วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

2548-05-14 สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร


PDF 2548-05-14-ฉือหัง #3.pdf

#สามบริสุทธิ์สี่เที่ยงตรง  #สามบริสุทธิ์  #สี่เที่ยงตรง

西元二00五年 歲次乙酉四月初七日                                 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘            สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพมหานคร
                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    อดีตนั้นเป็นรากฐานของวันนี้        มวลคนดีทำชีวิตสร้างคุณค่า
อย่าได้หลงเพลินกับโลกมายา           ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรทำอะไร
                        เราคือ
     องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                       ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ      ฮวา  ฮวา

    ดำเนินชีพภายใต้ข้อจำกัด           ในความขัดต้องค้นหาตนจริงแท้
หาความสุขแน่ใจหรือเป็นสุขแน่         หากไม่แก้ที่ตนเองยากพ้นภัย
ดำรงตนชีพคนเมืองเฟื่องเจริญ         น้องต่างเพลินวัตถุกันเป็นใหญ่
ไม่เห็นตนจิตเดิมแท้บำเพ็ญใจ           ยิ่งห่างไกลจิตพุทธะอันเบิกบาน
มีเวลาก็เพราะคนมีใจ                   ศึกษาธรรมเพิ่มเข้าใจได้แก่นสาร
พ้นความทุกข์ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ทุกคืนวันย้อนมองตนฝึกทางธรรม
เดินทางโลกเท่าไหร่ก็ไม่สิ้น              น้องนั้นยินดีจะปลงให้ใจสุขหรือไม่
ยินดีจะรู้พอมากน้อยเพียงไร            ยินดีจะเข้าใจชีวิตกันหรือยัง
อันเงินทองกองโตแล้วโดดเดี่ยว        ต่างปีนเกลียวโต้เถียงแล้วสุขแค่ไหน
เห็นตนผิดคนอื่นถูกบ้างเป็นไร           ทำใจง่ายขึ้นถ้าไร้อัตตา
ในวันนี้อย่าเป็นแค่คนดี                  แต่ต้องมีจุดหมายสู่บัณฑิต
จงควบคุมทั้งการกระทำและความคิด   จุดให้ติดประทีปแห่งปัญญา
ศึกษาธรรมบำเพ็ญจิตได้ทุกวัน          ทุกเหตุการณ์ยืมมาฝึกจิตแข็งแกร่ง
คนยกย่องไม่สู้คนไม่บ่นแรง             คนกลั่นแกล้งดีกว่าคนอยู่คนเดียว
สองวันนี้รักษาเวลาเข้าประชุม          จงสุขุมเนื่องด้วยอยู่ในหมู่มาก
อย่าได้เขวไปตามความลำบาก           อีกลมปากจงหอมด้วยคำดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป           น้องคนบุญหวังใจให้ศึกษา
จงเรียนรู้ไม่เว้นแม้เรื่องธรรมา         จงเดินหน้าอย่าสงสัยบดบังญาณ
จงรักษาพุทธระเบียบให้จงดี            ในสิ่งที่รู้แล้วเร่งปฏิบัติ
ในชาตินี้ดำเนินหนทางลัด               ความอึดอัดจงแปรด้วยรู้จักตน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                              ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร
    พระโอวาทท่านราชบุตรสามนาจา
    อ่านความคิดคนอื่นกันน่าดู              โลกนี้ดูผ่านยากกว่าที่เป็น
คนรู้มากอยากสุขดูแสนเข็ญ                ฝึกใจเย็นควานใจไร้เดียงสาคืน
                    เราคือ
    ราชบุตรสามนาจา                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา        ลงสู่พุทธสถานฉือหัง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์น้องทุกท่านอยากฟังเราพูดหรือเปล่า
    ใจหากไม่เคยรับทุกข์อึดอัด              จะสัมผัสไม่ถึงความสุขนั่น
เห็นอุปสรรครู้จักเผชิญอย่างจิตมั่น         บรรลุความสำเร็จอันสมกับตน
บำเพ็ญได้จิตมั่นต่อความดี                  ชีวิตมีใดคงอย่าหมองหม่น
สร้างความดีงามไว้เป็นมงคล               คนแปรใจทางสับสนลังเลใจ
ชีวิตคนไม่ยาวฝันจึงฝ่า                      กระจ่างมาแต่ไกลไขว้เขวไม่
บำเพ็ญจิตเข้าถึงธรรมทุ่มเทใจ              พ่ายนานอาจไม่ถึงโอกาสเรา
อคติมีกันทุกใจใคร่คำนึง                    ฉะนั้นจึงเมตตาคนไม่เทียมเท่า
กระทบกันทนแต่เปลือกได้ชั่วคราว          ระยะยาวชีวิตขาดการรู้ตน
ปะทะนานคนดีอย่าเพิ่งเบื่อ                 คงมั่นเชื่อความดีอย่าสับสน
ปัญหาเนิ่นนานความจริงยิ่งแยบยล         ประกอบดีไม่เอาตนเป็นเกณฑ์
งานกินตัวเปรียบชีวิตคนกรุง                ใช้แรงเหนื่อยใครมุ่งอยากบำเพ็ญ
มีชีวิตดีกว่าฉีกกฎเกณฑ์                     เอือมการให้ยื้อเป็นสุขอย่างไร
ย้อนมองใจเพิ่มอย่างเข้มแข็ง               วัตถุแย่งมีได้เติมเต็มไหม
รู้พอให้สร่างทุกข์ตระหนี่ไป                 เรื่องแรงแรงหลายหลากสร้างวีรชน
รักคนด้วยเมตตาค้ำจุนโลก                  เป็นลมโบกพระพายคลายทุกข์ทน
เป็นคนดีแปรความร้ายด้วยยั้งตน           มีมากล้นความเมตตาให้อภัย
                                             ฮิ  ฮิ  หยุด



พระโอวาทท่านราชบุตรสามนาจา

วันนี้เรามาที่นี่ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราไม่ว่า แต่ที่เรามาที่นี่เพื่อต้องการมาพูดธรรมะให้ท่านฟัง แต่มาพูดธรรมะก็ไม่ใช่ให้ท่านเปลี่ยนศาสนาใหม่ ใครยังเป็นพุทธ ใครยังเป็นคริสต์ ก็ยังเป็นอย่างเดิม แต่สิ่งที่เราจะมาพูดคือธรรมะล้วนๆ ธรรมะที่เอาไปใช้ในชีวิตแล้วเมื่อเจอทุกข์รู้จักทางแก้ทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวเรา เราไม่ได้ล้างสมองท่าน เราไม่ได้มาเปลี่ยนแนวความคิดท่าน ท่านคิดอย่างไรก็คิดอย่างนั้น แต่กำลังจะมาเพิ่มมุมมองที่แตกต่างในการอยู่บนโลกใบนี้เอาไหม (เอา)
“คนรู้มากอยากสุขดูแสนเข็ญ”  บางทีเราเรียนวิชาจนจบโท จบดอกเตอร์ แต่ถามว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  บางทีถามว่าทำอย่างไรให้มีเงิน ยังตอบง่ายกว่าทำอย่างไรให้ตนเองมีความสุข หรือทำอย่างไรให้คนอื่นได้เงินยังทำง่ายกว่าทำอย่างไรให้คนอื่นมีความสุขจริงหรือไม่ (จริง)
นั่นเป็นเพราะว่าอะไร เพราะว่าความสุขสร้างยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  คนที่ยกมือตอบหน่อยสิว่าทำอย่างไรให้คนอื่นมีสุข (ยิ้ม)  แต่เราว่าไม่จริง ตั้งแต่เรามาเรายิ้มจนจะแห้งอยู่แล้วยังไม่มีใครยิ้มกับเราเลย ยังไม่เห็นใครมีความสุขเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่ายิ้มอาจจะใช้ไม่ได้ตลอด ฉะนั้นคนที่ยกมือคิดว่ามีอะไรอีก (ให้ธรรมะ)  วันนี้เขาก็ให้ธรรมะมาเกือบครึ่งวัน สุขไหม (สุข)  สุขจนพูดไม่ออกเลยใช่หรือไม่ มีอย่างหนึ่งนะที่ทำให้คนยิ้มได้ใครคิดออกบ้าง (ให้ความรักและความเมตตา)  เราให้ความรัก ความเมตตากับลูก แต่เขามักจะไม่พอใจในสิ่งที่แม่ให้ มักจะชอบเพื่อนมากกว่าแม่ มักจะเลือกเพื่อนมากกว่าแม่ ในบางครั้งจริงไหม (จริง)  ทำอย่างไรให้คนอื่นมีความสุข บางทีต้องดูเหตุการณ์แวดล้อม ดูลักษณะนิสัย และก็ดูว่าตอนนั้นเขาต้องการอะไร อย่างเช่น เขากำลังทุกข์กับปัญหาเงิน หาเงินไม่ได้ เราแกล้งทำเงินตกห้าร้อยแล้วบอกให้เขาหยิบขึ้นมา เราก็บอกเขาว่าเราเจอกันทั้งคู่เลย ไม่เป็นไรเธอเอาไปเถอะ เพื่อนก็จะดีใจได้เงินแล้ว เราทำความสุขให้เขาไหม (ทำ)
ฉะนั้นความสุขเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกให้มีสุขได้ ธรรมะเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้คนเป็นคนดีตลอดไปได้ ใช้ธรรมะอย่างเดียวทำให้เราดีในสายตาทุกคนได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนเราเป็นคนซื่อสัตย์ ไปอยู่ที่ไหนก็ซื่อสัตย์ คนบางคนก็รำคาญความซื่อสัตย์ของเราจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้อย่าตายตัว อย่าหมกมุ่นกับความคิดใดความคิดหนึ่งจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นคนที่ไม่สามารถเปิดโลกกว้างให้กับชีวิตและโบยบินอยู่บนโลกได้อย่างอิสระเสรี
ไม่สบายตัวยังรักษาได้ ไม่สบายใจยากรักษา โรคทางใจจะให้หมอดีขนาดไหนก็รักษาไม่ได้ คนที่จะช่วยให้ตัวเองหายจากโรคทางใจได้คือ (ตัวเราเอง)  แต่ถึงเวลาตัวเราก็ไม่รักษาตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองทุกข์อยู่กับความคิดอย่างนั้น เราอยากบอกท่านว่า เมื่อไรที่เราสุข ถ้าเรารู้ว่าเราสุข และคิดว่าคงสุขเพียงวันนี้วันเดียว ความสุขนั้นจะเป็นอย่างไร เราจะหมดสุขทันที ในทางเดียวกันถ้าเมื่อไรที่เราทุกข์และเราคิดว่าวันนี้เราคงทุกข์วันเดียว เราคงจะสุขกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราโกรธ เราไม่พอใจ เวลาเราเกลียดใคร คิดไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าเรากำลังหมกมุ่นกับอารมณ์นั้นอย่างตายตัวหรือเปล่า หมกมุ่นจนทำให้ตัวเองฟุ้งซ่าน จนทำให้ตัวเองไม่สามารถเปิดแสงสว่างให้กับชีวิต เปิดมุมมองความคิดใหม่ให้กับตัวเองบ้าง
ฉะนั้นเราอยากให้ตัวท่านบ่มเพาะจิตใจที่สามารถปลดเปลื้องปมในใจออกง่ายๆ แล้วเราจะเป็นคนที่อยู่คนเดียวก็มีสุข ไปอยู่กับใครก็ไม่อึดอัด แต่ต้องรู้จักลดทิฐิ อัตตาบ้าง เปลี่ยนมุมมองความคิดด้านเดียว แล้วไปอยู่ที่ไหนก็จะทนฟังได้ แม้จะไม่เคยทนมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีมนุษย์เราจะรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยเขา รู้จักยับยั้งชั่งใจ ถ้าเราอดทนได้ ระงับยับยั้งชั่งใจไม่ทำผิดได้ เราก็ดีขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง  แต่คนบางคนไม่คิดอย่างนั้น ทำไมต้องอดทน ทำไมต้องอภัย จริงหรือไม่ (จริง)
เราจะเล่าอะไรให้ฟังดีไหม มีสองเรื่อง สนุกกับไม่สนุก จะฟังเรื่องไหนก่อน (ไม่สนุก)  ฟังเรื่องไม่สนุกก่อน เรามีบ้านอยู่ ข้างๆ บ้านเรายังซ่อมแซมอยู่ ตอกฝาบ้านเสียงดัง เรารู้สึกหงุดหงิดมาก นอนก็นอนไม่หลับ เพราะรำคาญ เราเดินไปทันทีทนไม่ได้ไปโวยวายเขาเลิกดังได้แล้วรำคาญ พอวันหนึ่งเราซ่อมบ้าน เราทุบตุบๆ บ้าง เขากลับมาด่าเราเขาผิดไหม (ไม่ผิด)  เหมือนกันถ้าวันนี้เราไปเที่ยวมา เรากลับมาโดนแม่ว่า แม่ลองเป็นลูก ลูกลองเป็นแม่ แม่คงไม่โมโหลูกและลูกคงไม่โกรธแม่ จริงไหม (จริง)  เพราะห่วงจึงด่า เพราะรักจึงบ่น ถ้าไม่ห่วงไม่ด่าเราจะบ่นไหม (ไม่บ่น)  ลูกคนอื่นกลับบ้านดึกเราไปว่าเขาไหม (ไม่ว่า)  แต่พอลูกเรากลับบ้านดึกทำไมเราว่า (เป็นห่วง)  อยากให้ลูกๆ รับรู้ไว้เราก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน แม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนไหม (เคย)  แม่ให้กลับสามทุ่มแต่ลูกอยากเลยไปนิดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราคิดอยู่อย่างนี้เราจะไม่โกรธใคร
เหมือนอย่างเพื่อนที่เราทำงานร่วมกัน ทำไมเขานั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยเราทำงานอยู่คนเดียว ให้คิดว่า เขายังไม่รู้แต่เรารู้แล้วว่าการขยันเป็นสิ่งที่ดี เขาไม่รู้เราให้อภัย ได้ไหม (ได้)  หรือในบางครั้งเราทำงานร่วมกัน เราเคยเป็นเบื้องล่างมาก่อน เคยถูกเขากดขี่ ด่า ข่มเหง เราก็คิดว่าวันหนึ่งถ้าเราเป็นใหญ่ขึ้นมา เราจะไม่กดขี่ ไม่ข่มเหง แต่พอเป็นใหญ่ขึ้นมาเรากลับกดขี่ข่มเหง เพราะอะไร แล้วคนที่ทำกับเราใช่คนที่เรากำลังกดขี่เขาไหม
จงจำไว้นะโลกเรามีคนอยู่สองประเภท รู้ก่อนกับรู้หลัง ถ้าเรารู้ว่าอะไรดีแต่เขาไม่รู้ว่าอะไรดีก็อย่าไปโกรธ เราจะทำอย่างไรที่จะสอนให้เขารู้อย่างเราได้บ้าง ถ้าตอนนั้นเราให้อภัยเขามากๆ นั่นแหละคือคนที่คิดได้ อกเขาคืออกเรา ใจเขาคือใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่บางครั้งคนเราจะเจอคนสองประเภท โดนกดขี่แล้วพอเป็นใหญ่ไม่กดขี่ แต่คนอีกประเภทหนึ่งโดนกดขี่แล้วพอเป็นใหญ่กดขี่ต่อ ชีวิตคนเราจะต่างกันก็ตรงนี้เองจะเอาธรรมะสอนใจหรือเลิกเอาธรรมะแต่เอามารมาคู่ใจ ความแตกต่างของคนดีกับคนเลวจึงอยู่ตรงจุดๆ นี้ ใช่ไหม (ใช่)
อยากฟังเรื่องตลกหรือยัง  เรื่องตลกก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งเราไปกับเพื่อนคนหนึ่งเดินไปด้วยกัน เดินไปเจอเด็กๆ ยืนร้องไห้ข้างๆ กองขี้หมา เราก็เดินเข้าไปถาม ร้องทำไมหนู เขาก็ตอบว่า “หนูจะเอาเงินไปซื้อขนมแต่เงินตกลงไปในกองขี้“ เรากับเพื่อนเรายืนมองเฉยๆ แต่เพื่อนกลับเอามือแหวกๆ แล้วก็หยิบเงินขึ้นมานี่ใช่ไหม เด็กคนนี้ดีใจบอกว่า “ใช่เงินหนู พี่ช่วยเช็ดให้หนูหน่อยหนูไม่กล้าจับ”  เขาก็เช็ดให้จนสะอาดเด็กก็ดีใจกลับบ้านไป แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง เพื่อนเราก็ซื้อขนมมา เขาก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเราก็อยากกินเพื่อนก็เลยส่งถุงขนมให้เรากินไหม  เพราะว่ากลัวมือไม่สะอาด
เหมือนกันถ้าเรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สูง ต่ำ ดำ ขาว ทุกสิ่งคือสิ่งเดียวกันหมด จิตใจเราก็คงอยู่บนโลกนี้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เรามักจะแบ่งแยก อันนี้สะอาดอันนี้สกปรกอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี อะไรที่สกปรกเราจะรู้สึกรังเกียจ แต่ถ้าเราไม่คิดอะไรกินเข้าไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดมากกลับไปนอนป่วยเป็นโรคเพราะว่ากินขนมที่เปื้อนมูลอุจจาระ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกันวันนี้ท่านจะอยู่ฟังด้วยจิตใจเช่นไร และเห็นเราเป็นมูลอุจจาระที่สกปรกแล้วไม่กล้าเข้าใกล้ หรือจะเห็นเราเป็นมากกว่ามูลอุจจาระ ท่านลองเอาไปคิดเอาไปพิจารณา คิดให้ดีๆ คนบางคนพอพูดว่ามีการยืมร่าง อะไรก็ไม่รู้ลัทธิอะไรหรือเปล่า  ท่านคิดอะไรหรือเปล่า อย่าดูถูกว่าสิ่งที่สกปรกนั้นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าอาจจะจริงหรืออาจจะไม่เป็นจริง ท่านเอาอะไรพิสูจน์ ใช่ไหม (ใช่)  เอาแค่ตาเอาแค่หูเท่านั้นหรือ เราน่าจะดูที่คุณค่ามากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมว่ามูลสัตว์ก็ทำให้ต้นไม้เติบโต ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลกนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายถ้าเรารู้จักเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนความคิดและกล้าที่จะไม่ติดยึดกับความคิดใดอย่างตายตัว จริงไหม
วันนี้มาฟังเรื่องธรรมะล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลย แต่ถ้าเกิดว่าคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ว่าตนเองรู้แล้วแน่แล้ว ไปอยู่กับใครก็จะไม่มีใครอยากพูดอะไรอยากเตือนอะไรเขา แต่คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่กับใครก็เข้ากับเขาได้ง่าย ไม่ถือทิฐิ ไม่ถือมานะ คนๆ นั้นไปอยู่ที่ใดก็สร้างความสุขให้กับตรงที่ๆ นั้นใช่หรือไม่ ฉะนั้นท่านก็ไม่ชอบให้คนมาอวดดีกับท่าน แล้วเราเผลออวดดีกับใครหรือเปล่า เป็นไหม อย่าลืมนะว่าโลกหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สิ่งที่ท่านรู้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่รู้ก็เป็นได้ อย่ามั่นใจว่าตัวเองทำถูกเสมอไป บางครั้งเราต้องยอมเป็นผู้ที่ไม่รู้บ้าง เราอยากคุยเล่นแต่ในการคุยเล่นนั้นก็มีธรรมะ ในธรรมะก็ให้แง่คิดกับชีวิตใช่หรือไม่ โลกนี้ยุติธรรมไหม เราเชื่อว่าในที่นี้มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดกับฟ้าดินเสมอว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรมเลย” ทำไมปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ทำไมปล่อยให้คนดีถูกเหยียบย่ำ ใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินคำว่า “เมตตามหาเมตตา” (เคย)  แล้วหาได้ที่ไหน
เราจะบอกท่านให้นะว่า ยิ่งถูกเอาเปรียบมากเท่าใด ยิ่งถูกคนอยุติธรรมมากเท่าใด ตอนนั้นแหละจะเป็นตอนที่ท่านได้ฝึกเมตตามหาเมตตา จริงนะเราไม่โกหก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้คำว่า อภัย แต่เราเจอคนนี้แหละ เรารู้ว่าควรอภัยให้เขา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนเราไม่เคยรู้จักคำว่าต้องอดทนนั่งขนาดนี้ พวกนี้แหละทำให้เรารู้ ใช่ไหม ฉะนั้นคืออย่าเกลียด เริ่มแรกคือเปิดมุมมองให้กว้างๆ ถ้าบางทีเรารู้ว่าเขาเดินทางนี้แล้วตกนรกแน่ แล้วเราเห็นอยู่ เขาจะด่าอย่างไรเราก็ต้องรั้งเขาไว้ จริงหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าเป็นลูกเรา แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ บางทีอย่าไปโกรธเลย เพราะลูกเขายังมองไม่เห็น จริงหรือไม่
แต่เราอยากจะบอกท่านว่า มีคนมักจะพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอว่า คุณ ผม ฉัน ไม่เคยทำอะไรเขาเลย ทำไมเขามาทำกับฉัน ด่าเขาก็ไม่เคยด่า อยู่ๆ เขาก็เหม็นขี้หน้า ใช้ก็ไม่เคยใช้ แต่เขาใช้เราหัวปักหัวปำ เราอยากบอกท่านว่า ท่านกำลังได้รับคืนในสิ่งที่ท่านเคยทำไว้ในอดีต ท่านกำลังได้รับผลในสิ่งที่ท่านได้หว่านเมล็ดลงไปในอดีต เหมือนเราทำไมตาเราชั้นเดียว ทำไมเราขาวแต่เพื่อนเราดำ ทำไมตัวเราดำ ทำไมพ่อแม่เราจน ทำไมพ่อแม่เพื่อนรวย สิ่งที่เป็นเหล่านี้ล้วนเกิดจากเรากระทำไว้ในอดีตชาติ ถ้าคิดได้ขนาดนี้เราก็คงไม่โกรธเขา แล้วเราก็คุ้นในการใช้จิตเมตตาและให้อภัยเขา ยิ่งโชคร้ายมาถึงเรามากเท่าไร โชคร้ายนั้นแหละจะช่วยขจัด ขัดเกลาใจท่านให้สะอาดใสยิ่งขึ้น ยิ่งโชคร้ายมาสู่ตัวเรามากเท่าไร เขาด่าเรา เราแผ่เมตตา เขาเกลียดเรา เราให้อภัย ไม่โกรธใส่ ใช้การสนองเวรที่ล้ำค่าด้วยการระงับโทสะ สร้างกุศลเจตนาที่ดี เขาร้ายมาอวยพรไปอภัยไป นี่แหละเรียกว่าเมตตามหาเมตตา
เวลาเจอคนที่ร้ายขอเอาสิ่งที่ร้ายออกจากใจ แล้วเติมความเห็นใจเข้าไปเยอะๆ เติมเมตตาเข้าไปเยอะๆ เติมอภัยเข้าไปเยอะๆ เมื่อนั้นทุกวันมีแต่สร้างกุศลจิต ทุกวันสร้างแต่เจตนารมณ์ที่ดี ถ้าเราทำได้อย่างนี้ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีแต่คนเจตนาที่ดีคนนั้นจิตใจจะยกสูงขึ้น ปัญหา ทุกข์ที่ประดังเข้ามาก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีได้ ต่อไปทุกข์เข้ามา ดีใจเราจะได้ฝึกเมตตา นี่แหละวิธีการที่จะจัดการกับปัญหาที่เราคิดไม่ถึง นี่แหละวิธีการจัดการกับปัญหาที่จะทำให้เราทุกข์แต่กลายเป็นสุข
ท่านรู้เรื่องนี้ไหม เราว่าคิดได้แต่ไม่ทำ จริงไหม แต่ถ้าคิดได้แล้ว ลองทำดู ท่านไม่ต้องเจอคนที่รังเกียจอีก แต่ถ้าอยากเจออีกทำไปเถอะ อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดทำไปเลย ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมก็เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น และเพื่อการกระทำที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ด้วยการคิดอย่างคนที่มีธรรม คิดอย่างคนที่รู้จักให้ ไม่ยาก ถามท่านตรงๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ คนชั่วกับคนดี เวลาท่านเจอคนดีท่านก็ชอบ เวลาเจอคนชั่วท่านก็ว่าเขา แต่ถึงเวลาเราชั่ว ทำไมไม่ว่าตัวเองให้เจ็บล่ะ ถึงเวลาเลือกได้ท่านก็อยากเลือกคนดี แต่ทำไมถึงเวลาตัวเองเราถึงทำไม่ดีล่ะ เพราะอดทนไม่ได้แค่นั้นเองหรือ น่าเสียดายนะ ความประเสริฐของมนุษย์จะยังคงเป็นความประเสริฐได้ ก็ต่อเมื่อเขารู้จักเอาธรรมะมายับยั้งชั่งใจ เขารู้จักเอาธรรมะมาเป็นตราชั่ง แล้วตัวท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ล่ะ จะคิดแค่เพียงปล่อยไปตามอารมณ์ หรือจะรู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าลืมนะว่าท่านคือแม่พิมพ์ของรุ่นต่อไป
ท่านอยู่กับเพื่อน ทุกวันพูดแต่สิ่งที่ดี เพื่อนที่คบก็คือเพื่อนที่ดี แต่ถ้าทุกวันคือการเล่น เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ท่านก็จะมีแต่เพื่อนเล่น เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ กรรมมันก็สนองอยู่แล้วในตัวมันเอง จริงไหม (จริง)  ทุกวันนี้ท่านมีลูกเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ท่านมีเพื่อนเป็นอย่างไร อย่าโทษเขา ถ้าตัวท่านไม่เป็นอย่างนี้ เพื่อนแบบนี้จะเดินเข้าหาไหม (ไม่เดิน)  จริงหรือไม่ เราว่าเพื่อนปากร้ายตัวเราปากร้ายหรือไม่
ใครๆ ก็อยากโชคดีใช่ไหม (ใช่)  แต่เคยทำดีไหม ทำแต่ทำไม่ตลอดรอดฝั่งจริงไหม ลองทำดีให้ตลอดรอดฝั่งสิ ผลของความดีอาจจะดียิ่งขึ้นก็ได้ หรือไม่ลองทำดีโดยไม่หวังผลสิ ผลของความดีอาจจะยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านคิดก็ได้ ลองทำดีโดยไม่เขียนชื่อสิ ผลความดีอาจจะมีคุณค่าที่ดีกว่าการเขียนชื่อก็เป็นได้ ลองทำดีแบบที่คนอื่นเขาทำไม่ได้สิ ผลของความดีอาจจะทำให้เรายิ่งเจริญรุ่งเรืองก็เป็นได้ ใช่ไหม เราอยากบอกท่านว่าคนที่ทำร้ายท่าน ทำให้ท่านเจ็บปวด ถ้าท่านอโหสิกรรมเขา แล้วอวยพรเขาขอให้เขาโชคดี เขาเจริญได้เมื่อไร ท่านก็เจริญตามด้วย แต่ถ้าเกิดว่าคนที่ทำร้ายท่านๆ กลับทำร้ายต่อ เขาโชคร้ายเมื่อไร ท่านก็โชคร้ายด้วย จริงไหม เมื่อวันนี้เขาแพ้ สักวันหนึ่งเขาก็จะมาเอาชนะเรา แต่ถ้าทุกครั้งเราให้เขาชนะ ต่อไปเขาจะมาเอาชนะเราไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงหรือไม่
เราอยากให้ท่านสนุกสนานมีชีวิตที่ดีงาม เราสนุกสนานแต่ลืมครรลองคลองธรรมที่ดีงามก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สอนคนอื่นให้ดีได้แต่ตนเองไม่เคยดีเลยก็ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากให้ลูกได้ดีมีสุขตัวท่านทำอะไรที่เรียกคุณงามความดีบ้าง อย่าคิดว่าวันนี้เด็กมาสอนผู้ใหญ่เลยนะ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกันได้หรือเปล่า (ได้)  ธรรมะไม่ใช่มีสำหรับคนแก่ แต่ธรรมะมีไว้สำหรับคนที่รู้จักยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ธรรมะมีไว้สำหรับคนที่รู้จักใช้ชีวิตได้เป็น และเมื่อเจอทุกข์ก็พร้อมจะดับทุกข์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่าหนึ่งบวกหนึ่งทำไมไม่เป็นสองแต่บางทีกลายเป็นหนึ่ง ไม่ยากเลยนะเขารักเราแต่เราไม่รักเขา หนึ่งบวกหนึ่งจะเป็นสองหรือไม่ บวกยังไงก็ไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาเกลียดเราแต่เรายังรักเขา แม้วันนี้หนึ่งบวกหนึ่งจะเป็นสอง แต่ต่อไปสองบวกสองนานเข้าก็จะกลายเป็นหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตเราก็เหมือนกัน บางทีเราทำดีกับเขาทุกอย่างแต่ยังไงเขาก็ไม่รักเรา ฉะนั้นเราต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่งมันไม่เป็นสอง แต่มันกลายเป็นหนึ่ง แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง หนึ่งบวกหนึ่งมันกลายเป็นศูนย์นั่นหมายความว่าอย่างไร ใครพอรู้บ้างไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมตอบคำถามว่า ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งแล้วจึงเป็นศูนย์)
แปลกหนอสิ่งที่ดีๆ เรากับไม่ค่อยเลือกให้กับชีวิต เรากลับเลือกแต่ชีวิตไปวันๆ กับสิ่งที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือปล่อยชีวิตไปกับวัตถุหนึ่งอย่างเท่านั้นเอง เพราะค่าที่มากกว่าเงินทองในกระเป๋าคืออะไร คือการดำรงชีวิตอย่างคนที่มีธรรมอันประเสริฐต่างหาก ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทองในกระเป๋าอีกนะ มนุษย์เรามีอิสระที่จะคิด ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ไม่ใช่สิ่งผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ให้เขาไปแล้ว เขาอาจไม่ต้องการก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำงานร่วมกับใคร ถ้าประสานกันได้กลมกลืนก็เป็นศูนย์ แต่ในศูนย์นั้นก็พร้อมที่จะเป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ตามมาได้ ฉะนั้นธรรมะถ้าเราเปิดใจ เปิดมุมมอง เราจะได้หนึ่งบวกหนึ่ง แล้วกลายเป็น สอง สาม สี่ ก็ได้จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนชีวิตของท่านแหละ มีใครจะตอบอีกไหม
(หัวหน้าตอบ)  หนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ ในความหมายของผมก็คือ บุคคลสองคนซึ่งมีความคิดเห็นอะไรไม่ตรงกันหลายๆ อย่าง ผลทุกอย่างที่ออกมาจะเป็นศูนย์ เพราะศูนย์ตามที่เราเข้าใจก็คือไม่มีความหมาย Zero นั่นเอง
แต่ศูนย์ของนักเรียนแถวหลังก็มีความหมาย เพราะทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ แล้วก็กลายเป็นหนึ่งจริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเพราะเป็นศูนย์มาก่อนเราเลยอยากมีหนึ่ง เพราะมีหนึ่งมานานแล้วเราจึงอยากมีสองใช่ไหม (ใช่)  มีสองนานๆ แล้วก็อยากมีสาม  แล้วบางทีพอมีสาม มีสอง แล้วรู้สึกว่าอยากเป็นหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่มันสลัดไม่ออก จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วมนุษย์เราก็เหมือนกับคนที่เดินทางไปถึงเลขเก้าแล้วกลับมาเป็นเลขสิบไม่ได้ มันกลายเป็นเลขศูนย์ หมายความว่าอะไร ใครคิดต่อได้บ้าง
(พอเราเริ่มจากศูนย์ถึงเก้า แต่วันหนึ่งเราก็ต้องตายไป)  พึงย้ำตนเองเสมอนะว่าแม้จะมีปัญญาขนาดไหน ทางสุดท้ายของชีวิตทุกคนเหมือนกันคือ ความว่างเปล่า แต่ถามท่านที่นั่งอยู่ที่นี่เคยสละอะไรได้บ้าง ไม่เคยสละอะไรเลยโดยเฉพาะตัวตน ถึงเวลาจะตายมักจะไม่อยากตาย โดยเฉพาะเวลาเจ็บป่วย “แม่หนูจะตายไหม คุณผมยังไม่อยากตาย ผมยังอยากอยู่ ฟ้าช่วยหน่อยถ้ารอดแล้วจะเป็นคนดีกว่านี้ จะทำบุญเจ็ดวัดเจ็ดวาไม่หยุด”  แต่พอรอดมาแล้วหนึ่งวัดก็ยอมแพ้แล้วใช่ไหม (ใช่)  ธรรมะไม่ได้สอนให้มนุษย์เอาชนะทุกข์หรือมองเห็นทุกข์อย่างเดียว แต่ธรรมะยังสอนให้มนุษย์รู้จักยอมรับความจริงได้ แม้มีมากเท่าไหร่สักวันย่อมเป็นศูนย์ และในความศูนย์เราจะทำอย่างไรให้เราหลุดพ้นแล้วตายได้อย่างสบาย ไม่เป็นศูนย์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
“งานกินตัวเปรียบชีวิตคนกรุง”  ตื่นมาก็ทำงานๆ หาเงินใช่หรือไม่ (ใช่)  วันไหนไม่มีเงินในกระเป๋าก็นอนไม่หลับใช่ไหม (ใช่)  แต่เราถามท่านหน่อยว่าบางครั้งมีเงินเยอะ แต่ก็หาความสุขไม่ได้ หาความเข้าใจจากเพื่อนคนหนึ่งหรือญาติพี่น้องคนหนึ่งก็ไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  หาเงินได้มาซื้อคนดีสักคนหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วที่สุดของชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ ต้องการคนเข้าใจหรือต้องการเงิน คนเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เคียงข้างเราเมื่อเราทุกข์เมื่อเราสุข แต่เราถามท่านว่าถึงที่สุดคนที่เคียงข้างท่านคือใคร ตัวเราเองเป็นผู้สร้างทุกข์ ตัวเราเองเป็นผู้ที่ทำให้ทุกข์คงอยู่ และตัวเราเองเป็นผู้ที่ทำให้ทุกข์นั้นหายไปได้
เราเพียงแค่พูดชี้ให้ท่านรู้ ทางอีกทางหนึ่งหรือมุมมองความคิดอีกอย่างหนึ่ง ที่เวลาเรามีชีวิตแล้ว คิดอย่างนี้เราจะมีสุข คิดอย่างนี้เราจะไม่ทำให้ใครทุกข์ แล้วคิดอย่างนี้  แม้เขาจะสร้างทุกข์มาให้ แต่เราจะแปรเป็นสุขได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปลอบใจเขาก็คือการปลอบใจเรา ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ช่วยเขาก็คือช่วยเรา” แต่ถ้าเราไม่ช่วยใครก็น่าเสียดายโอกาสที่อยู่ตรงนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยช่วยใครให้มีสุข ชีวิตนี้ไม่เคยอภัยใครให้มีสุข มีแต่สร้างทุกข์ นั่นก็มองได้เลยว่าชาติหน้าหรือชาตินี้ทุกข์เป็นแน่แท้ ชีวิตนี้ไม่เคยเชื่ออะไรใครง่ายๆ ก็เดาได้เลยว่าชีวิตนี้ท่านก็คงไม่มีใครเชื่อท่านง่ายๆ กงกรรมกงเกวียนมันเป็นจริง ไม่หลุดรอดไปหรอก ใครทำอย่างไรต้องได้รับอย่างนั้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมส์บวกเลขถ้าบวกแล้วเป็นเลขคู่ให้ยืนขึ้น ถ้าบวกแล้วเป็นเลขคี่ให้นั่งลง)
มนุษย์เราพอมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเราถึงกระตือรือร้น แต่พอปล่อยเป็นอิสระ เรากลับไม่มีความกระปรี้กระเปร่า เราชอบคนบังคับหรือ ชอบให้คนมากำหนดกฎเกณฑ์ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วทำไมเราปล่อยให้คนเขาต้องมากำหนดกฎเกณฑ์ เมื่อสักครู่เราบอกว่าไม่มีบทลงโทษ ท่านก็จะทำช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมีบทลงโทษ ท่านก็ไวทันที ชีวิตก็เหมือนกัน ทุกคนมีความเชื่อถือ ทุกคนมีความน่าเคารพเลื่อมใส แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองทำผิดแล้ว ความน่าเชื่อถือหายไป ตอนนั้นจะไปเรียกร้องกับใครก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยากให้ท่านมีความอดทนให้มากๆ ฟังให้จบสองวันนี้เข้าใจให้ได้ ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้น หรือธรรมะที่ท่านกำลังฟังอยู่นี้มีค่าอะไรกับชีวิต แล้วคนที่เขาทำอยู่นี้เขาทำเพื่ออะไร เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขานะ แต่เขาทำเพื่อให้ท่านยืนอยู่และเป็นคนที่อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แม้เจอทุกข์ก็ยืนได้อย่างคนที่คิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลามีคนดีทำดีให้จงขยันชม แล้วความดีนั้นจะยั่งยืนนาน แต่คนเราในโลกใครทำดีเรามักปากหนักชมไม่เป็น ลองชมคนเขาบ่อยๆ เขาจะได้รู้ว่า ทำแบบนี้แม่ชอบ ทำแบบนี้แปลว่าถูกใจ แต่บางครั้งเราอยู่กับเขาเดาไม่ออก ทำดีก็แล้ว เขาก็ไม่ชม ทำชั่วก็แล้วเขาก็ไม่ว่า แล้วฉันจะเป็นคนอย่างไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาทำชั่วด่าเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนท่านทำผิดมากที่สุดท่านอยากได้คนด่าหรือคนเห็นใจ (คนเห็นใจ)  ฉะนั้นเอาความคิดนั้นแหละไปใช้กับเขา เวลาท่านผิดมากที่สุดท่านอยากได้คนเห็นใจ “ไม่เป็นไรลูก” “ไม่เป็นไรคุณ เงินเดี๋ยวมันไปมันก็กลับมา” พอเขาไปมีใหม่ “ไม่เป็นไรคุณเดี๋ยวคุณไปคุณก็กลับมา”  ทำใจได้ไหม ได้เถอะนะ แล้วเราจะมีสุข วันนี้เราอาจจะทำใจยาก คุณไปแล้วคุณไม่กลับ เราไม่ดีมั๊ง เขาอาจจะดีกว่า ถ้าทำใจยอมรับความจริงในโลกเราจะทุกข์น้อยลงและสุขมากขึ้น
เราอยู่บนโลกเราช่วยกันจับผิดหรือจับถูก (จับถูก)  จับถูกดีกว่านะ  ไม่มีใครอยากให้มาจับผิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเขาผิด เราให้อภัยและให้โอกาส ดีไหม (ดี)  เราอยู่ร่วมโลกกัน เราเห็นเขาทุกข์เราสุขได้หรือ เห็นเขาทุกข์เราต้องช่วยเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้เราสามารถให้อะไรคนอื่นได้บ้างที่ไม่ใช่เงิน (เลือด)  ร่างกายนี้ เราสละให้เขา ต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน พ่อแม่ทุกคนรักลูกใช่ไหม (ใช่)  พอลูกสละเลือดบางทีพ่อแม่ก็เจ็บปวด (ให้ความเคารพ)  แต่ตัวเราต้องทำให้เขาเคารพ (ให้ความไว้วางใจ, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ให้โอกาส, ให้ความอบอุ่นให้คำแนะนำ, ให้คำปรึกษา, ให้ความจริงใจ, ให้เขารู้ว่ามีคุณค่ากับเรา, ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ให้ความกระจ่าง, ให้ความเมตตา)  ให้เยอะๆ เลยนะ (ให้ความรู้เรื่องธรรมะ)  แล้วเข้าใจธรรมะถึงขนาดไหน (เข้าใจแต่พยายามปฏิบัติอยู่)  ขอให้ทำให้สำเร็จ ทำดีอย่าแพ้ภัยตัวเอง (ให้ความคิดที่ดี,ให้แรงใจให้แรงกาย, ให้ความรักกับคนที่ควรจะรัก)  แปลว่าคนที่ไม่ควรรักก็ไม่ให้เลยหรือ เราว่าเป็นความรักที่ให้ทุกคนและไม่แบ่งแยก ความรักนั้นถึงจะบริสุทธิ์และดีงามที่สุด ลองให้ความรักกับคนที่ท่านเกลียดที่สุด แต่ต้องให้แบบขยันให้นะ เผื่อเขาจะกลับมารักเราได้ (ให้ชีวิต)  ให้ชีวิตเลยหรือ ให้ชีวิตให้กับใคร (ลูก)  บางทีเราอยากจะบอกว่าเอาชีวิตให้กับพ่อแม่ ทำให้เต็มที่ที่สุดมีค่ากว่า (ให้ความรู้กับผู้ที่ไม่รู้)  ฉะนั้นใครโง่ๆ ก็ไม่โกรธเขา (ให้แง่คิด)  ให้แง่คิดอะไรลองพูดมา (แง่คิดเรื่องกตัญญู)  เห็นไหมว่าเราต้องคิด ถ้าไม่คิดไม่มีวันออก
เราว่าที่เขาพูดมาท่านรู้ไหม (รู้)  แต่ท่านเอาออกมาใช้บ่อยๆ ไหม ไม่ค่อยเอาออก พอถึงเวลาก็เลยใช้ได้ไม่ถูก จริงหรือไม่ (จริง)  แง่คิดดีๆ ง่ายเลยนะ เป็นคนต้องอดทนเป็นคนต้องขยันจึงสำเร็จ แค่นี้เอง (ให้ความช่วยเหลือ)  จะให้เขาบางทีอย่ารอเขาขอ เดินไปช่วยเลยจะดีกว่า มีคุณค่ากว่ารอให้เขาขอ เหมือนพ่อแม่ไม่ต้องรอให้ท่านเรียกเดินไปช่วยท่านเลย (ให้โอกาสคนที่ทำผิด)  ไม่ให้โอกาสกับเราบ้างหรือ (ให้ความซื่อสัตย์, ให้โอกาสทางการศึกษา)  เราว่าให้เวลากับพ่อแม่บ้างดีกว่า ให้โอกาสทางการศึกษาเป็นการให้ที่ไกลเกินเอื้อมและยังไม่ถึงเวลาที่เราจะทำได้
สิ่งที่เราจะให้ง่ายที่สุดเมื่อเวลาอยู่บ้านคือ ให้เวลากับพ่อแม่ให้ความกตัญญูรู้คุณ ไปลามาไหว้ ไปไหนคำนึงถึงท่านว่าเราคือตัวแทนของท่านทำผิดเมื่อไร เราก็ทำความเดือดร้อนให้ท่านเมื่อนั้น มีใครจะให้อะไรอีกไหม (ให้จิตใจที่ดีซึ่งกันและกัน, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ให้เกียรติ)
เราจะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่อเมื่อเขามีแล้วหรือเขาขาด สิ่งต่างๆ ที่ท่านพูดมานี้เราจะให้เขาได้ตอนไหน (ตลอดเวลา)  (ให้อภัยตัวเอง)  ผิดไหม ถูกนะ คนที่รู้จักให้อภัยตัวเองจะเป็นคนที่สามารถล้มแล้วลุกขึ้นมายืนแล้วก้าวต่อไปได้ คนบางคนมักจะหมกมุ่นกับความผิดของตัวเองแล้วทำให้ไม่ยอมก้าวไปไหนต่อ (ให้รอยยิ้มกับทุกคน)  หันไปยิ้มหน่อย ให้ความเข้มแข็งกับตัวท่านดีไหม เพราะกินไม่ตรงเวลาจึงป่วย นอนก็ตื่นสาย เดี๋ยววันนี้กินข้าวเช้าเมื่อวานไม่ได้กินก็เลยป่วย (ให้การดูแลแลเอาใจใส่ ให้ความรักและเมตตา)  ให้เราบริสุทธิ์ทั้งกายใจอย่าบริสุทธิ์แค่เสื้อผ้ามีค่ากว่า สวยที่รูปไม่ได้สวยที่ใจ
(ให้ธรรมทาน ให้ความเห็นอกเห็นใจ ให้ความยินดี ให้คำแนะนำในทางที่ดี)  อยู่บนโลกนี้ถ้าชีวิตนี้มีแต่ให้ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ การรู้จักเสียสละนี่แหละคือการให้ที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่บนโลกนี้มีชีวิตเป็นผู้ให้ ให้ตลอดอย่างไม่เหนื่อย ให้อย่างไม่รู้เบื่อ ให้ด้วยกุศลเจตนารมณ์ที่ดีไม่ได้ให้เพื่อหวังคำชม ไม่ได้ให้เพื่อเราต้องการเป็นคนดี ให้เพราะอยากให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ การให้จะช่วยลดอัตตาตัวตนและความตระหนี่ถี่เหนียวในตนได้ จริงไหม (จริง)  ให้ไปนะแล้วชีวิตจะมีค่า แต่ต้องคิดให้บ่อยๆ นะ เพราะอยู่เฉยๆ คิดไม่ออกหรอก
มนุษย์มักจะสงสัยว่าเรามาได้อย่างไร แล้วก็มักจะสงสัยว่าเราจริงหรือเปล่า เราถามท่านหน่อยนะว่า รู้จักเราแล้วว่าจริงหรือเท็จ ช่วยท่านพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  เราอยากบอกท่านว่า ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยงแท้ ท่านเห็นว่าเราจริงแท้ เราต้องตอบท่านว่าไม่จริง ถ้าท่านบอกว่าเราไม่จริงเราต้องตอบท่านว่า เราจริง อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ใช่รูปนี้หรือ ไม่ใช่ สิ่งที่แท้จริงคือพุทธจิตธรรมญาณ หรือวิญญาณที่อยู่ในตัวของทุกท่าน อันนี้แหละคือสิ่งจริงแท้ สิ่งที่เป็นตัวสร้างสรรค์ให้มนุษย์กระทำต่างๆ
ท่านเคยเห็นไม้ไหม สองอันสีกัน ไฟมันอยู่ในไม้ไหม ทำไมสีแล้วเกิดไฟ เพราะอะไร (ความร้อน)  เหมือนกัน มนุษย์เราทำไมออกมาเป็นการกระทำล่ะ เรามีวิญญาณอยู่ข้างในเรามีญาณแล้วสัมผัสได้ไหม เหมือนกันมันก็เหมือนไม้กับไม้สีกันแล้วก็เกิดไฟ เราก็มาจากอย่างนั้น แต่ถึงเวลาเมื่อไฟมันมอด ไฟมันหายไปไหม มันก็หายไปจากกองนี้ แต่มันหายไปจากโลกไหม  (ไม่หาย)  มันยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการ (สีกัน)  เรามาอย่างไรเรามาคล้ายๆ กับไม้ที่สีกันนั้นแหละ มนุษย์มาได้อย่างไร วิญญาณมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร เมื่อไรที่ไปแล้วมันไปจริงๆ ไหม แล้วไปไหน แล้วถ้าเกิดมันสีขึ้นมาแล้ว เราจะต้องกลับมาเป็นไฟหรือเปล่า ชีวิตของมนุษย์ก็เปรียบเช่นนี้แหละ มองให้ทะลุ แล้วเราจะรู้ว่าเรามาตัวเปล่าแล้วสักวันต้องกลับไปตัวเปล่า มีแต่ความดี ความชั่วเท่านั้นเองที่จะไปกับท่านนะ แล้วความดีที่รู้จักให้ ความดีที่รู้จักยอมความดีที่รู้จักเสียสละ จะนำพาท่านสูงกว่าที่ที่ควรจะไป
วันนี้เรามาแค่นี้แหละ เชื่อไม่เชื่อเราไม่ว่า ไม่เชื่อเลยเราก็ไม่ว่า ขอให้กลับไปพิจารณาสิ่งที่เราพูดว่าเป็นจริงไหม คนๆ หนึ่งมีธรรมะรู้จักยอมรู้จักให้อภัย คนด่าเท่าไรเราก็เมตตา เขาเอาเปรียบมากเท่าไรแต่เราก็ยังรู้จักให้ ถ้าทำได้ วันนั้นท่านจะรู้ว่าพุทธะบนแดนโลกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือท่านทุกคนเป็นได้ จริงไหม และเมตตายิ่งกว่าเมตตานั้นคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร คือท่านที่นั่งที่นี้จะยอมทำไหม เมื่อเจอคนเอาเปรียบจะให้อภัยเขาได้ไหม
มองให้ดีๆ นะ คนที่รังแกเรามากที่สุดคือคนที่สอนเรามากที่สุด คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดคือคนที่สอนให้เรารู้จักชีวิตตัวเองยิ่งขึ้น เหมือนกันนะ สอนลูก สอนแต่สิ่งดีๆ อะไรอยากได้ให้หมดๆ กำลังสอนเขาผิดทางหรือเปล่า บางครั้งต้องรู้จักใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง ผิดต้องว่า แต่ว่าอย่างไรที่ทำให้เขารู้สำนึก ชีวิตนับจากตอนนี้ไปท่านเป็นคนเลือกเอง และขีดทางเดินให้กับตัวเอง จะขึ้นหรือลง จะดีหรือเลวไม่ได้อยู่ที่เรานะ แต่อยู่ที่ตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแค่เป็นผู้ชี้ทางๆ หนึ่ง ที่อยากจะบอกท่านว่ามีทางหนึ่งของชีวิตที่นำพาทุกคนพ้นทุกข์และมีสุขได้ ก่อนตายนี่แหละทำอย่างไร คิดอย่างคนมีธรรมะ คิดอย่างคนเสียสละ คิดอย่างคนเมตตาให้อภัย ถึงเวลาเราก็คงไปแล้วนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา นักเรียนที่มาร่วมประชุมธรรมหนึ่งวัน)
เปลี่ยนใจเป็นสองวันก็ดีนะ ถ้าสองวันยังรักษาอยู่ สองวันก็จะดียิ่งขึ้นใช่หรือไม่ อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจเป็นหนึ่งวันนะ เสียดาย จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้แหละ ไม่เชื่อไม่ว่านะ แต่เอากลับไปคิดให้ดีๆ ได้ไหม ชีวิตมีค่าอยู่ที่การกระทำดี




วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    พูดเพื่อตัวใช้ทุกวิธีการ              พูดนานนานคนโง่ยังฟังออก
พฤติกรรมเหมือนเปลือกที่ถูกปอก      แม้ยากบอกแต่เวลาพิสูจน์คน
           เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมฉือหัง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
    เพราะกลัวเป็นคนไม่ดี                   ถึงทีต้องพูดไม่กล้า
จงกลัวใจตนมากกว่า                       กลัวว่าพูดไม่ได้ความ
เสียเรื่องก็เพราะพูดช้า                     พูดเร็วเกินหน้าใช่ดี
อะไรพูดให้พอดี                              จงพูดเท่าที่คนฟัง
พูดเป็นไม่ทำใครโกรธ                      เห็นโทษอดใจไม่พูด
วาจาเป็นดังเหมือนทูต                     ดึงดูดคนด้วยความดี
หากใจรู้สึกแบ่งแยก                         จะแทรกอยู่ในน้ำเสียง
คำพูดที่ไม่ร้อยเรียง                          โต้เถียงไม่อาจหลีกไป
ใส่ธรรมลงในวาจา                          ไม่กลัวใครว่าดีแกล้ง
ความจริงนั้นไร้คู่แข่ง                        ฟ้าแจ้งอยู่ภายในตน
                                                                              ฮา  ฮา  หยุด





แม้ไม่นึกไม่ฝัน  คนรักกันมาทิ้งกันอย่างนี้  ความเห็นใจเริ่มตระหนี่  คลายความสงสารจากกัน  เห็นความสุขสลาย  ดั่งลมพาพัดทรายจากกัน  คนใจน้อยทึกทักเอานั่น  จมความทุกข์ความผิดใจ
ไม่ปลงจะไม่รู้  ถ้าปลงจะได้คิด  หยัดยืนชีวิตธรรมฉะนี้  เพราะไม่รู้อะไรในเดิมที  ถึงวันนี้ทนไม่ได้  เริ่มเรียนจากธรรมะรอบกาย  ฝึกจากความเสียใจผิดหวัง  เหมือนคนเข้าคุกขัง  ออกกำลังช่วยตนเองอีก
ถึงมีรักกี่ครั้ง  เหมือนดังไม่เคยผ่านพบ  ความทุกข์ยังเวียนไม่จบ  ในคนไม่ยอมหลาบจำ
                                                                         เพลง : รักสติ
                                                        ทำนองเพลง : นึกว่าสงสาร


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไหนขอดูหน้าศิษย์ของอาจารย์หน่อยนะ เขาบอกให้ยิ้มต้อนรับไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดี๋ยวนับหนึ่ง สอง สาม แล้วยิ้มพร้อมกันดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้อนุญาตให้หุบยิ้มก่อน ยังไม่อยากยิ้มอย่าเพิ่งยิ้ม หุบไว้ก่อนปิดฟันไว้ เอาหรือยัง หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม ยิ้มซิ ยังเหลือคนไหนเก็บฟันไว้อยู่ ยิ้มนะ ทีนี้ถามว่ารอยยิ้มของเราเป็นรอยยิ้มปุเลี่ยนๆ หรือเปล่า หรือรอยยิ้มของเราเป็นรอยยิ้มที่ขอไปทีหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ปกติเรายิ้มให้ใครเรายิ้มแบบนี้ไหม เขาเรียกว่ายิ้มตามมารยาท อีกอันหนึ่งเรียกว่ายิ้มแบบจริงใจ ถามว่าทั้งสองอันคือรอยยิ้มหรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเรายิ้มส่วนใหญ่เราใช้ยิ้มแบบไหน ไหนใครว่าตัวเองยิ้มจริงใจเป็นส่วนใหญ่ยกมือขึ้น ไหนใครว่าตัวเองยิ้มตามมารยาทบ่อยๆ ยกมือขึ้น คนที่ยอมรับตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุด เพราะเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ยอมรับความจริง จะแก้อะไรก็แก้ง่าย ปัญหาอะไรก็ไม่มีจริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถ้าหากว่าไม่รู้ตัวเอง หรือปัญหาของตัวเองๆ ก็ยังไม่รู้ จะแก้อย่างไร แก้ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่รู้ปัญหาก็แก้ปัญหาไม่ถูกจริงหรือเปล่า (จริง)  ชีวิตนี้มีปัญหาเยอะไหม (เยอะ)  ถามว่าปัญหาไหนที่เราแก้ได้แล้วบ้าง มีปัญหาไหนที่แก้ตกไปแล้ว ไหนตัวเองคิดว่าตัวเองแก้ตกไปแล้วยกมือขึ้น ส่วนใหญ่ที่คิดว่ายังแก้ไม่ตกเลยยกมือขึ้น จะยกก็ไม่กล้ายก ไม่ยกก็ไม่ดี ลังเลอยู่นี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตตลอดมาดำเนินแบบลังเลๆ แบบนี้มาตั้งนานแล้ว เมื่อไรจะแน่นอนล่ะ ไม่แน่นอนอยู่ที่ไหน ไม่แน่นอนอยู่ที่ใจของตัวเราเอง ใจเป็นปัญหาสำคัญเลยจริงหรือเปล่า (จริง)
รู้มากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะมีวิชามากแค่ไหน ประสบการณ์มากแค่ไหน เรื่องง่ายๆ มันกลายเป็นเรื่องยากเพราะว่าเรามีปัญหาอยู่ที่ไหน (ใจ)  จะมากก็ดีจะน้อยก็ดี แต่ปัญหาจิตใจอันนี้ต่างกับโรคจิตนะ ไม่ใช่อาการโรคจิต แต่เป็นอาการที่มีปัญหาทางจิตใจ คือรู้แล้วยังเป็น เป็นแล้วแถมรู้แล้วก็แก้ไม่ได้จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นกลายเป็นคนที่มีสภาพจิตใจที่ลังเล กลายเป็นคนที่มีจิตใจที่ไม่รู้จักพอ พอถึงจุดพอดีแล้วหยุดไหม ไม่ยอมหยุด ฉะนั้นการที่เรามานั่งฟังธรรมะ ฟังเพื่ออะไร ไม่ได้ให้มานั่งฟังที่นี่เพื่อเราจะฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา หรือไม่ได้ให้เรามานั่งฟังเพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้ว แต่เราต้องฟังให้ทำไม (เข้าใจ)
ปกติเรื่องที่รู้ก็รู้อยู่แล้วแต่แก้ไม่ได้จริงหรือเปล่า (จริง)  รู้แสดงว่าเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นเรามาทบทวนใหม่ เรารู้จักตัวเองดีหรือยัง ทุกวันเราส่องกระจก เห็นเงาเห็นรูปตัวเองทุกวัน ไฝ ฝ้า กระ ตรงไหนรู้หมด หน้าตาเราเป็นอย่างไรถึงจะสายตาสั้นแต่ถ้ามีกระจกอยู่ตรงข้ามมองไกลๆ ก็รู้ว่านี่คือตัวเรา เราจับลักษณะตัวเราได้หมด แต่เรานั้นไม่รู้จักตัวเอง คือไม่รู้จักจิตใจของตัวเอง ทุกวันนี้จึงมีความสุขที่ไม่จริง เป็นความสุขที่ถูกหลอกไว้ด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายที่เรามี จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกมาก เราอยากฟังไปซื้อเครื่องเสียง เราอยากดูไปซื้อทีวี เราอยากขี่สบายเราไปซื้อรถ แต่ถามว่าเรามีความสุขไหม เราได้รุ่นที่เราต้องการ ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ แต่เราไม่มีความสุข เพราะว่าความสุขอยู่ที่ไหน (ที่ใจ)
เพราะว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการไปหาข้างนอกเข้ามา แต่ความสุขมันเกิดจากการหาเข้าไปข้างใน ถามว่าทุกวันนี้เรามองหาหรือเปล่า หลับตาสิ หลับตาจะได้มองเห็น มองเห็นอะไร หลับตามองไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาหลับตาเรามักจะคิดจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าเวลาเราคิด คิดมากๆ เข้าถึงจุดหนึ่งเราจะหลับตาไปเอง เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้ใจของเรา ถึงตรงนั้นไม่ได้ใช้ตาที่เป็นตาเนื้อนี้ แต่ตาเนื้อกับตาใจมันก็ต่อกัน ตอนนี้ให้เราลืมตามองเห็นอะไร เรามองเห็นคน เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง แต่เวลาที่เรามองเห็นเรามองไม่เห็นตัวเองจริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรจึงจะมองเห็นตัวเองได้ ถึงตรงนี้จึงมาถึงคำว่า ย้อนมองแล้วก็ส่องตน ใช้คำว่า “มอง”  เหมือนกัน แต่มองแล้วไม่เหมือน ตอนนี้เราลองคิดทบทวนว่าเรามองเห็นว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร สรุปแล้วเรามีนิสัยดีหรือไม่ดี เกือบดีใช่ไหมหรือว่ามีนิสัยไม่ดี เกือบดี ดีมากหรือมีนิสัยกึ่งดีและกึ่งไม่ดี เลือกอะไรดี ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ยกมือยอมรับความจริง เราเป็นกึ่งๆ อย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เมื่อไรเราจะข้ามกึ่งนี้ไป ต้องให้ใครแก้ (ตัวเราเอง)
ธรรมะที่ฟังสองวันนี้ก็เช่นเดียวกัน บางเรื่องรู้แล้ว บางเรื่องรู้มากกว่า บางเรื่องรู้น้อยกว่า แต่การฟังเป็นกำไร การพูดขาดทุน จริงไหม (จริง)  การฟังได้กำไร ยิ่งฟังมากพูดน้อยก็ยิ่งได้กำไรมาก ทีนี้เราจะเป็นคนกึ่งๆ อยู่อย่างนี้ไปชั่วชีวิตไหม ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์อายุ ๓๐ ก็ดี ๒๐ ก็ดี ๔๐ ไปจนถึง ๖๐ ก็ดี ถ้าตอนนี้เรากึ่งๆ อยู่ ให้เวลาไปจนถึง ๒๐ ปีเลิกเป็นคนกึ่งดีกึ่งไม่ดีได้ไหม (ได้)  ใครที่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไปแล้วลุกขึ้นยืนหน่อย ถามว่าทุกวันนี้ยังเป็นคนกึ่งดีกึ่งไม่ดีไหม (ค่อนๆ ไปทางดี)  เห็นไหมว่าอีกกี่สิบปีเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ แต่หากอยากเปลี่ยนตัวเองไม่ต้องรอ ๒๐ ปี เมื่อไรดี เดี๋ยวนี้ อะไรก็แล้วแต่ที่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำได้ทำหรือเปล่า (ไม่ได้)  อะไรที่บอกว่าทำเลยได้ทำหรือเปล่า (ได้ทำ)  ได้ทำแล้วจึงทำได้ ไม่ได้ทำก็ทำไม่ได้  อะไรก็แล้วแต่หากว่ารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี เปลี่ยนได้เปลี่ยนเลย
“พฤติกรรมเหมือนเปลือกที่ถูกปอก”  ถ้าหากเอาส้มมาแกะเปลือกออกจะเห็นอะไร (เห็นเนื้อส้ม)  ปกติผลไม้มีเปลือกไว้สำหรับทำอะไร เปลือกมีไว้ห่อหุ้ม แกะเปลือกออกเห็นเนื้อ เนื้อในของเราเป็นอย่างไร เวลาเราพูดออกมาคนอื่นเขาฟังแล้วตีความ เขาปอกเปลือกตัวเราเรียบร้อย เราดีหรือไม่ดีเห็นได้ที่คำพูดของเรา แต่ว่ามีอีกอย่างที่เห็นชัดยิ่งกว่าคำพูดอีกคือ การกระทำ จริงหรือเปล่า (จริง)  สมมติว่าเราเบื่อคนนี้มากเลย ไม่ชอบ ให้เราไปประจันหน้ากับเขา เราจะทำหน้าอย่างไร ถามว่าแม้แต่ยิ้มตามมารยาทเราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ยังทำไม่ได้เลย แปลว่าเราไม่เคยฝืนใจตัวเองเลย ฝืนใจตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่ฝืนใจตัวเองเลย ดีไหม (ไม่ดี) 
“แม้ยากบอกแต่เวลาพิสูจน์คน” หนทางพิสูจน์อะไร (พิสูจน์ม้า)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เวลาพิสูจน์อะไร (คน)  แม้จะบอกได้ยากมากๆ ว่าคนๆ นี้เป็นอย่างไรเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่เวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ คนยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งมองเห็นกันชัดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเป็นแฟนกันอะไรก็ดูดีไปหมดเลย พออยู่บ้านเดียวกันดีไม่ดีหลบได้ไหม โกหกได้ไหม (ไม่ได้)  ที่ไม่โกหกหรือโกหกไม่ได้เพราะว่าเห็นได้ที่ไหน (การกระทำ)  ผู้ชายที่อยากมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็ชอบที่จะโกหก ทั้งๆ ที่ผู้หญิงก็จับได้แล้ว แต่ว่าโกหกแล้วได้ผลไหม ก็ยังได้ผลเรื่อยๆ เพราะว่าอย่างไรคำพูดถ้าพูดให้ดีก็จะเป็นคุณ แต่พูดไม่ดีก็จะกลายเป็นโทษ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ตอนนี้เราไม่ได้พูดเรื่องคำพูด เรากำลังพูดเรื่องพฤติกรรม ถึงแม้ว่าจะโกหกสำเร็จ แต่พฤติกรรมซ่อนได้ไหม (ไม่ได้)  กลับบ้านไม่ตรงเวลา เงินหาย หนีเที่ยว เพราะฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง ไม่เป็นไร เวลาบอกได้ทุกอย่างจริงหรือเปล่า เวลาบอกได้ว่าคนๆ นั้นดีหรือไม่ดี เวลาบอกได้ว่าเราดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่กับใคร สนิทมากแค่ไหน จะรู้เขารู้เรามากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ยังต้องมีไว้ให้กับทุกๆ คนเลยคืออะไร คือมารยาทและความเกรงใจ  ถ้าหากว่าคนๆ นี้สนิทกับเรามาก เราไม่ชอบคนมาตบหัว เขาเดินมาตบหัว ชอบไหม (ไม่ชอบ)  เขาเห็นว่าเขาสนิทกับเรา เราอาจจะไม่สนิทกับเขาก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราสนิทกับใครก็แล้วแต่ จะเป็นคนบ้านเดียวกันก็แล้วแต่ จะเป็นลูกที่คลอดออกมาเองก็แล้วแต่ จะมีญาติมิตร เพื่อนที่รู้จักกันมายี่สิบสามสิบปีก็ดี สิ่งหนึ่งที่ยังต้องมีไว้ก็คือ “ความเกรงใจ”  คำไทยบอกว่า “ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี”  เพราะฉะนั้นเราต้องมีสมบัติชิ้นนี้ไหม (ต้องมี)  สมบัติชิ้นนี้ล้ำค่ากว่าเงินทอง สมบัติชิ้นนี้หาไม่ได้จากที่ไหน นอกจากตัวเราเอง มีสมบัติหรือไม่มีสมบัติ จะเป็นคนรวยหรือเป็นคนจนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสมบัติที่เรามีอยู่ข้างใน คนรวยไม่น่าคบ คนจนน่ารังเกียจก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราดูแล้วเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับเราทำอะไร
นั่งมาสองวันแล้ว นั่งอย่างมีความทุกข์หรือมีความสุข  นั่งอย่างมีความสุข แต่ขามันเมื่อยเอวมันปวดหรือเปล่า (ใช่)  นั่งเมื่อยแล้วก็อยากยืนจริงหรือเปล่า เวลานั่งรถเมล์นั่งเมื่อยก็ไม่เห็นจะลุกให้ใครนั่งเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถามว่าที่ถูกต้องแล้วคืออะไร ในเมื่อนั่งจนเมื่อยแล้วก็ลุกให้คนอื่นนั่ง จริงไหม (จริง)  แต่เราทำไหม (ไม่ทำ)  อย่างนี้เขาเรียกว่ารู้แต่ไม่ทำ อีกยี่สิบปีข้างหน้าเราก็ยังเปลี่ยนเป็นคนที่ดีไม่ได้ เพราะเรายังไม่ยอมลุกให้ใครนั่ง เราไม่ยอมลุกในขณะนั้น (มโนธรรม)  สำนึกของเราว่าเราไปอีกสองชั่วโมงเรายังไม่หยุดด่าตัวเองเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากด่าตัวเองต้องทำอย่างไร ลุกขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าหากว่าจะเป็นลมค่อยสะกิดเขาขอที่นั่งคืน ทำได้ไหม เคยไหมขึ้นรถเมล์แล้วเขาไม่ลุกให้เรานั่ง (เคย)  เคยไหมเราถือของหนักแล้วไม่มีคนช่วยถือ (เคย)  แสดงว่ากรรมตามสนอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ในขณะเราไม่ได้นั่ง เราไม่ได้นึกถึงตอนที่เรานั่ง แต่เวลาที่เราได้นั่งเราก็ทำเหมือนกันจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นทำอะไรคิดให้ดี อย่าให้มโนธรรมสำนึกของเราว่าเราไปอีกสองชั่วโมง
ฉะนั้นเมื่อฟังอาจารย์พูดถึงตรงนี้ ศิษย์ว่าธรรมะนี้ดีไหม (ดี)  แต่ที่ศิษย์ว่าธรรมะไม่ดีอยู่ที่ไหน  ธรรมะนี้ไม่ดีเพราะว่าคนที่ปฏิบัติ ยังปฏิบัติไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เราจึงต้องหัดแยกแยะออกจากกันว่า เราจะพูดว่าธรรมะไม่ดี หรือเราจะพูดว่าคนที่ปฏิบัติธรรมไม่ดี จริงหรือเปล่า (จริง)  พูดอย่างนี้ไม่ได้แก้ตัวให้กับคนอื่นๆ แต่คำว่า “ธรรมะไม่ดี”  เป็นอุปสรรคที่อยู่ในใจของเรา คำว่า “ธรรมะไม่จริง”  เป็นอุปสรรคในใจของเราว่า เราคิดอะไรอยู่ เมื่อเราคิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง เราจะมาบำเพ็ญไหม   เราก็ไม่ยอมที่จะก้าวแม้เพียงหนึ่งก้าวเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
วันนี้อาจารย์มาพร้อมแก้วน้ำหนึ่งแก้ว ที่สมมติขึ้นในมือ แก้วน้ำนี้มีน้ำอยู่เต็มแก้ว ถามว่าทำอย่างไรอาจารย์ถึงจะใส่น้ำเข้าไปเพิ่มในแก้วนี้ได้  มีน้ำอยู่แก้วหนึ่ง แล้วมีน้ำเปี่ยมอยู่เต็มปากแก้ว ถามว่าเราจะทำอย่างไร ให้เราสามารถใส่น้ำเพิ่มเข้าไปได้อีก (ทำน้ำในแก้วหกก่อน, ให้คนอื่นทานน้ำ, แบ่งน้ำให้คนอื่น, ทำน้ำหก คว่ำแก้วน้ำ) ปรบมือให้กับคำตอบสุดท้ายดีไหม สงสัยว่านักเรียนชั้นนี้จะเป็นคนคิดมากอยู่สักหน่อยนะ ยิ่งตอบ คำตอบยิ่งหลากหลายแยบยลขึ้นทุกทีเลย
แต่ความหมายของการที่มีน้ำอยู่ในแก้วนั้นคืออะไร ตอนนี้ทุกคนมานั่งอยู่ที่นี่  มีบุคคลที่มีความรู้สูงอยู่หลายคน เป็นปัญญาชนอยู่หลายคน อาจารย์จะบอกให้ แก้วที่มีน้ำอยู่เต็มเปี่ยมเนี่ยก็เปรียบเสมือนคนที่มีความรู้อยู่มากมาย ตอนนี้อาจารย์จะมาเติมน้ำอันใหม่ คือความรู้อันใหม่เข้าไป ถามว่าศิษย์จะยินดีเทน้ำเดิมทิ้งหรือเปล่า (ยินดี)  อันนี้เป็นแค่การเปรียบเทียบ เทไป ใจของศิษย์นั้นความรู้ก็ไม่ได้ลดลง การเพิ่มเข้าไปก็อาจไม่ทำให้ความรู้ศิษย์เพิ่มขึ้น แต่ทำให้ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์มาอยู่ที่นี่แล้วเราเป็นผู้ที่มีบุญร่วมกัน ให้เรานั้นพูดจาสื่อกันเข้าใจ
อาจารย์ยืมร่างมาด้วยความจำใจ ไม่ได้จงใจจะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นติดในรูปลักษณ์ใดๆ ฉะนั้นในวันนี้หวังว่าให้ศิษย์เทน้ำในใจของศิษย์นั้นออกบ้าง เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นฟังสิ่งใดเข้าใจเข้าไปบ้าง เข้าหูเข้าไปบ้างเอาไปปฏิบัติได้บ้าง บางทีเราอาจจะมาที่นี่เพราะว่าเราเกรงใจ แม้ว่าเราจะเป็นคนอยู่ในบ้านนี้เองก็อาจจะเกรงใจเหมือนกัน มีผู้ใหญ่กว่าเราเรียกมา เมื่อมีผู้ที่เราเคารพรักนั้นเรียกให้เรามานั่งฟัง แต่เมื่อเรามานั่งแล้วถามว่า เคยทำอะไรเสียเที่ยวไหม (เคย)  ส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรเราจะไม่ให้เสียเที่ยวเลย เราทำแล้วเราต้องได้มากขึ้นๆ แต่วันนี้เราจะได้เพิ่มมากขึ้นหรือเราจะขาดทุนหรือเสียทีที่มานั่งฟังหรือเปล่า
อย่างน้อยถึงจะไม่ได้อะไรเพิ่มพูนกลับไปแต่อย่าให้เสียเที่ยวที่มานั่งฟังดีหรือไม่ (ดี)  นั่งอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนดีหรือเปล่า (ดี)  บางครั้งศิษย์มองออกว่าเป็นคนดี หรือบางทีพูดไม่ดีแต่ก็เป็นคนดีได้จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงบางทีทำไม่ดีแต่จริงๆ เจตนาของเขาไม่ใช่อย่างนั้น เหมือนกับศิษย์เคยยิ้มให้ใคร ถามว่าถ้ายิ้มด้วยความจริงใจได้ ศิษย์จะทำไหม (ทำ)  แต่ส่วนใหญ่เราก็ยิ้มให้เขาตามมารยาท ยิ้มไปแกนๆ เพราะว่าเรานั้นเลี่ยงไม่ได้ใจมันไม่ยอมยิ้มใช่หรือเปล่า บางทีใจของเรามันยิ้มไม่ออก เพราะฉะนั้นยิ้มให้ใครก็ยิ้มไม่ออก เช่นเดียวกัน มาที่นี่ แม้ว่ามาแล้วอาจจะดี หรืออาจจะไม่ดีกับตัวเราก็ขอให้เรานั้นตั้งใจทำ แล้วเก็บสิ่งที่ดีกลับไปให้มากดีหรือไม่ ความดีทำให้คนอื่นก่อน ทำให้คนอื่นเขามากๆ แม้กระทั่งเขาไม่ได้ให้เงินทอง ไม่ได้ให้กำไรอะไรแก่เรา แต่หากว่าเราทำอย่างนี้เสมอเราขาดทุนไหม  (ไม่ขาดทุน)  เราทำดีให้คนอื่น คนอื่นส่งยิ้มให้เรากลับมา ถามว่าเรากำไรไหม (กำไร)  เราก็กำไรแล้ว
เกิดเป็นคนอย่าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์มากเกินไป ผลประโยชน์ทำให้คน
ตาพร่ามัว โดยเฉพาะเงินทองที่เราประสงค์ เราอยากจะได้เงินก้อนนี้จากการทำงานชิ้นนี้มากๆ เวลาเรามองเงินมากจิตใจขุ่นมัวไหม เราอยากจะได้ตำแหน่งนี้มากๆ ตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของเราหรือว่าเราก็สามารถทำได้ เราอยากได้ตำแหน่งมากๆ เราจะทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป เพื่อที่จะแย่งให้ได้สิ่งนั้นมา
ฉะนั้นคนเราอย่าได้เห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปโดยเฉพาะกับคนของคนกรุง สังคมของคนกรุเทพมีผลประโยชน์ล่อตาล่อใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ยังมีผลประโยชน์จริงหรือเปล่า มีประโยชน์ว่าเราจะต้องรีบขึ้น เราถึงจะได้นั่ง ถ้าเราขึ้นช้า ได้นั่งไหม ตกลงศิษย์ต้องการถึงปลายทางหรือต้องการขึ้นไปนั่งให้ได้ อยู่บ้านนั่งนานไหม (นาน)  นั่งนานอยู่แล้ว ดูหนังนานกี่ชั่วโมง สองชั่วโมงถามว่านั่งพอหรือยัง ยืนสักหน่อยเป็นไร ขาไม่ดีหรือเปล่า เข่าไม่ดีหรือเปล่า หลังไม่ดีหรือเปล่า หรือว่ายืนไม่อยู่ อาจารย์ว่าศิษย์ของอาจารย์ขาก็ดี เข่าก็ดี หลังก็ดี แล้วก็แถมโชกโชนประสบการณ์ในการยืนไม่ให้ล้มด้วยจริงหรือไม่  แต่ว่าเสียสละให้ผู้อื่นได้หรือเปล่า
มาที่นี่เรามีเพื่อนมากมาย มีสุภาษิตจีนคำหนึ่ง “ถ้าหากว่าเราคบเพื่อนดีไม่ได้ ก็สู้นอนอยู่กับบ้านดีกว่า” ถ้าหากว่าศิษย์ออกไปข้างนอกมีเพื่อนดีๆ ไม่ได้อาจารย์ขอแนะนำให้ศิษย์อยู่กับบ้านดีกว่า ถ้าทำอะไรแล้วผิดสู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะว่ามันก็จะไม่ผิดจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรสักที ก็ขอให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมดีงามและไม่ต้องด่าตัวเอง ถ้าหากพูดอะไรก็พูดให้ดี พูดให้คนอื่นมีรอยยิ้ม พูดแล้วไม่ให้คนอื่นมาว่าทีหลัง คนนี้ปากไม่ดีอย่างนี้คุ้มไหม
คนเราเกิดมาในชีวิตคนๆ หนึ่ง อยากจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี อย่าเอาตัวของเรามาตัดสินว่าเราดีหรือเปล่า แต่มันต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นมาตัดสิน เหมือนเรามองลูก มองหลาน มองเพื่อน เรามองแล้วคนนั้นดีหรือเปล่า เราบอกได้เลยว่าคนนั้นดีหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะศิษย์มองเขาตลอดเวลาจริงหรือไม่ แล้วถามว่าเรามองตัวเองตลอดเวลาไหม เรามองตลอดเวลา ทุกอย่างที่ทำไปเราต้องรู้ใช่ไหม แต่เราเข้าข้างตัวเอง ว่าเรายังดี ที่เราทำอย่างนี้เพราะคนโน้นทำมา ถ้าทำอย่างนี้แล้วถามว่า เรานั้นมีความสุขจริงไหม เราไม่มีความสุขจริงๆ หรอก อยากมีความสุขจริง อยากเป็นมนุษย์ที่แท้จริง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ต้องทำอะไร ต้องไม่ใช่คนที่รู้แล้วยังทำ ทำได้ไหม สิ่งที่อาจารย์พูดจะดีหรือเปล่านั้นอยู่ที่ใคร อยู่ที่ตัวคนที่นั่งฟังตรงนี้ จริงหรือเปล่า คนฟังเนี่ยทำได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น หุงข้าวหนึ่งถ้วยถามว่าจะหุงข้าวให้เท่ากับสองถ้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ข้าวหนึ่งถ้วยหุงขึ้นมา จำนวนก็เท่ากับหนึ่งถ้วย หุงข้าวสองถ้วยข้าวที่ขึ้นมาก็เท่ากับสองถ้วย ส่วนข้าวนั้นพอกพูนมากแค่ไหน พอกินหรือไม่ อันนี้ย่อมขึ้นกับเราเป็นผู้กะ


“เพราะกลัวเป็นคนไม่ดี   ถึงทีต้องพูดไม่กล้า”
เคยไหมไม่กล้าพูด พูดกันทั้งวัน วันหนึ่งพูดตั้งหลายชั่วโมงเนี่ย แต่บางคำไม่กล้าพูดใช่หรือไม่ อาจารย์จะบอกให้ ว่าคนอื่น, นินทาคนอื่น, โกหกคนอื่น, พูดจาเพ้อเจ้อ เหล่านี้ไม่ต้องกล้าพูด อย่าได้พูดออกมา แต่หากเป็นคำที่เตือนสติเขา ถ้าเราพูดช้าจะได้ผลไหม ถ้าหากเป็นคำที่ให้สติเขาเราต้องพูดทันที พูดในขณะที่เหตุการณ์นั้นเกิด เพราะถ้าหากเราพูดช้าเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด หลายๆ คนไม่ใช่นักสื่อสารความในใจ คือเป็นคนจริงใจ เป็นคนที่บริสุทธิ์ใจ เจตนาดี แต่พอพูดออกมาแล้วเป็นอย่างไร เสร็จเลย โดนเขาจำฝังอยู่ในจิตใจ ว่าเราเป็นคนไม่ดีเลย ทำไมพูดจาแบบนี้ คือไม่ใช่นักสื่อความในใจของตัวเองที่ดี ฉะนั้นเวลาเราพูดนอกจากจะพูดให้ได้ใจความ พูดให้ดีแล้ว เรายังต้องใช้อีกหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเข้ามาประกอบคำพูด ไม่ว่าจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดี ถ้าหากบอกว่าเป็นคนเจตนาบริสุทธิ์ แต่พูดคำว่าคำ ถือว่าดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นคำพูดที่เราพูดออกมา พูดวันหนึ่งหลายชั่วโมงจึงต้องพูดให้ดีทุกๆ ชั่วโมง ต้องพูดให้ดีทุกๆ คำเลย
“เสียเรื่องก็เพราะพูดช้า พูดเร็วเกินหน้าใช่ดี”
ใช่ดีก็คือใช่ว่าจะดี หรือว่าพูดอีกทีก็คือ ไม่ดี ถึงตอนที่ควรหยุดก็ควรหยุด หยุดตรงไหนดี  “จงพูดเท่าที่คนฟัง”  บางทีคำพูดของเราดีมาก แต่คนฟังไม่อยากฟัง ถามว่าเราพูดตอนนั้นเขาเป็นอย่างไร น้ำล้นออกจากแก้ว เพราะฉะนั้นจงพูดเท่าที่คนฟัง แต่บางทีเรารู้ว่าสิ่งที่เราพูดนี่แสนที่จะดี  แต่ถ้าหากคนไม่ฟัง พูดให้ดีแค่ไหน ในเมื่อตัวส่งๆ ไปไม่มีคนรับ ทำได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้อาจารย์ให้เรื่องพูดนะ เพราะวันหนึ่งพูดตั้งหลายชั่วโมง เสร็จแล้วก็พูดให้คนอื่นเขาผิดใจ พูดให้คนอื่นดีใจ ช้ำใจ
“พูดเป็นไม่ทำใครโกรธ”  เราเคยพูดแล้วทำใครโกรธไหม (เคย)  แสดงว่าเรายังพูดไม่เป็น
“วาจาเป็นดังเหมือนทูต  ดึงดูดคนด้วยความดี”  ตอนนี้ดึงดูดคนด้วยเสื้อผ้า หน้าตา เงินทอง สิ่งของกำนัล ดึงดูดคนด้วยทุกอย่างที่เป็นสิ่งนอกกาย แต่เราไม่เคยดึงดูดคนด้วยความดี จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรให้สามีอยู่กับบ้าน ให้ภรรยาไม่
ขี้บ่น อันนี้เป็นปัญหาโลกแตกของคนที่มีครอบครัว เขาบอกว่าเราบ่นมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าบ่นมากแต่ว่าอดบ่นได้ไหม เขาบ่นมากๆ ตีความง่ายๆ ก็คืออยากให้เราเงียบๆ ใช่หรือเปล่า แต่เราเงียบไหม ยิ่งพูดใหญ่เลย บอกว่าสามีเป็นคนที่ไม่รักดีเลย ไม่เอาถ่านเลย ถามว่าสามีรู้ไหมว่าภรรยาต้องการอะไร รู้ ก็แค่ให้ขยันทำมาหากิน อย่าติดเที่ยว ติดเล่นมากเกินไป เพราะว่ามีลูกแล้วใช่หรือเปล่า แต่ว่าสามีทำได้ไหม ก็ไม่ค่อยทำเป็นเรื่องง่ายๆ ของคนที่ยากๆ
เวลาฟังอาจารย์พูดถึงเรื่องการทำดี พูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ในชีวิตจริงของหลายๆ คน กลับไปบ้านแล้ว ทุกคนคงจะมีสิ่งที่ตามมาสำหรับคนที่ลงมือทำก็คือ การทำผิดพลาดจริงหรือเปล่า (จริง)  ทุกคนเกิดมาเป็นคนต้องทำผิดทั้งนั้น ไม่มีใครไม่ทำผิดจริงหรือไม่ (จริง)  ความผิดก็เป็นธรรมดาคู่กับความดี ความผิดก็เป็นธรรมดาคู่กับคนที่ลงมือทำ หากไม่ทำก็ไม่ผิด ทำมากก็ผิดมาก แต่เราจะทำอย่างไรในเมื่อความผิดนั้นมันตรงข้ามกับความถูกต้อง ทีนี้เราต้องมานั่งพิจารณาว่าทำอย่างไรเราถึงจะพ้นผิดได้ เวลาที่เราทำผิด เราจะต้องมีใจที่ระลึกไว้อย่างหนึ่ง คืออะไรรู้ไหม เมื่อผิดแล้วเราต้องรู้ตัวว่าเราทำผิด เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะไม่ทำผิดอีก เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะสำนึกอย่างจริงใจ เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะแก้ไขอย่างจริงจัง นี่คือสิ่งที่เอาไว้รับมือสำหรับความผิดพลาดที่เราทำ เราอยากจะเกิดมาเป็นคนรวยกว่านี้ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่มีหน้าตามากกว่านี้ เราอยากเกิดเป็นคนที่สวยกว่านี้ สมบูรณ์แบบกว่านี้ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่สายตาไม่สั้น
เราอยากเกิดมาเป็นคนที่ตัวสูง เราอยากเกิดมาเป็นคนที่หุ่นดี เราอยากเกิดมาเป็นคนที่มีพร้อม เราอยากเกิดมาเป็นคนที่เสียงเพราะ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่ดีกว่านี้ แต่ทุกคนนั้นยังไม่คิดว่าจะไม่เกิดเลย ความทุกข์ที่มีทุกอย่างนี้ มีมาหลังที่เราเกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วจึงมีทุกข์ หากจะดับทุกข์กันจริงๆ แล้ว ต้องเลิกเกิด แต่ตอนนี้เราไม่ได้เลิกเกิด แต่เราเลือกเกิด ฉะนั้นเราต้องรู้จักที่จะต้องทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ให้มันดีกว่า เราต้องทำสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ให้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ให้ดีได้
อย่ามัวตัดพ้อน้อยใจ อย่าคิดว่าฆ่าตัวตายแล้วจะดีขึ้น ถ้าหากว่าศิษย์เองไม่เชื่อว่าเราเกิดมามีจิตวิญญาณสามารถหลุดพ้นการเกิดดับได้ ไม่เชื่ออาจารย์ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืมร่างเป็นเรื่องจริง แต่ทำไมเชื่อว่าถ้าตายเกิดมาแล้วจะดีกว่านี้ แล้วตายแล้วจะไปที่ไหนล่ะ จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นอย่าเลือกเชื่อเป็นบางเรื่อง แล้วไม่เชื่อเป็นบางเรื่อง
จงพัฒนาชีวิตของตัวเองทุกวันนี้ให้ดีขึ้น แล้วจงทำในสิ่งที่เราอยากจะเป็นให้มาก แต่อย่าเพ้อฝัน ทำอย่างจริงจัง จริงใจ คนที่มีอุดมการณ์ยาวไกลดูแล้วน่าเคารพ น่ายกย่อง แต่ศิษย์เอ๋ยคนมีอุดมการณ์ไกลมาก เหมือนคนเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ ฉะนั้นเมื่อเราคิดจะเป็นอะไร ขอให้เราทำ เพราะเราเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไม แต่ทำอะไรก็แล้วแต่ทำให้ดี ทำให้เต็มที่ แล้วทำในสิ่งที่ไม่ผิดต่อตัวเอง และไม่ผิดต่อผู้อื่น
เวลามีเท่ากันทุกคน จะเอาเวลาไปใช้ทำอะไร จะเอาเวลานอนอยู่กับบ้าน หรือจะเอาเวลาออกไปช่วยคนอื่น เอาเวลาออกไปทำงาน เอาเวลาไปหาเงิน จะเอาเวลาออกไปทำอะไร เวลามีมากมายเท่ากันทุกคน ต่อให้เป็นจอมปราชญ์ทั้งหลายก็มีเวลาเท่ากับศิษย์  แล้วทำไมเขาถึงทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้ แล้วศิษย์ทำในสิ่งที่ แม้กระทั่งคนข้างบ้านยังไม่รู้เลยว่าศิษย์ทำอะไร หรือคนในบ้านยังเดาทางไม่ออกเลยว่าศิษย์จะเป็นอะไร ทำไมเราถึงเป็นคนที่ดูแล้วชีวิตไร้คุณค่าขนาดนั้นล่ะ เพราะว่าเรานี่เป็นคนที่แม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นหลังจากวันนี้ต้องมองข้างในตัวเองให้มากๆ มองข้างนอกตัวเองให้น้อยๆ ศิษย์จะไปวิ่งไล่ตามกระแสสังคมที่มันรุดหน้าไปเรื่อยๆ จะเป็นแฟชั่น จะเป็นหนังสือ จะเป็นสังคม จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นวิทยาศาสตร์ จะเป็นทุกๆ ด้าน คนไล่ตามเหนื่อย คนวิ่งตามเหนื่อย ส่วนคนที่นำหน้าไปเหนื่อยไม่เหนื่อย (ไม่เหนื่อย) เขาอยากจะนำเขาก็นำไป เราวิ่งตาม ทำไมเราไม่ลองจะกลับมานำตัวเอง จะได้ไม่ต้องวิ่งไล่ตามอะไร นำตัวเองให้ตัวเองรุดหน้า ยกระดับจิตใจของตัวเองให้เป็นที่หนึ่ง  อย่างน้อยถึงเราจะไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่ได้มีฐานะ ไม่ได้มีชาติตระกูล แต่เรามีความภูมิใจ ภูมิใจในชีวิตนี้ที่เกิดมาแล้วเป็นคนที่มีคุณค่าที่สุด  อย่างน้อยตอบใครไม่ได้ เพราะเขาเอาเงินทองมาวัดเป็นบรรทัดฐาน เอาหน้าตาสังคมมาวัดเป็นบรรทัดฐาน เอาเสื้อผ้ามาวัดเป็นบรรทัดฐาน ไม่เป็นไร ศิษย์ไม่ต้องตอบคนพวกนั้น ศิษย์ตอบตัวเองได้ไหม ว่าภูมิใจในตัวเองมากพอหรือยัง ว่าพอใจกับชีวิตที่เกิดมาหรือยัง ทำอะไรเต็มที่แล้วหรือยัง กลัวอะไร กลัวเหนื่อย กลัวลำบาก กลัวยาก  กลัวทำไม ถามว่าทุกอย่างที่ทำมีอะไรไม่ยากไหม
วันนี้อาจารย์ลงมาหาศิษย์อาจารย์ก็ยาก แต่อาจารย์กลัวไหม ไม่ได้กลัว เพราะว่าคิดว่าศิษย์ยังมีทางที่จะตื่นขึ้นมาในจิตใจตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์ในวันนี้ วันหน้าศิษย์บรรลุเป็นพุทธะแล้ว ศิษย์ก็เจอความยากไปเรื่อยๆ ความยากมาคู่โลก เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว กลัวเหนื่อยไหม งานเหนื่อยๆ คนทำน้อยหรือเปล่า (น้อย)  งานสบายคนทำเยอะ แล้วคนสบายถึงจะมีเวลาพูดนินทากัน คนสบายถึงมีเวลาว่างมาว่ากัน จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นลำบากหน่อย เหนื่อยหน่อย จะได้ไม่พูดเยอะ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากวันนี้ห้องน้ำทุกห้องไม่มีคนล้าง คนร้อยคนเข้าไม่มีคนล้างได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคนร้อยคนมา แล้วไม่มีคนทำกับข้าวได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกที่ต้องมีคนลำบาก อยู่ที่ใครจะยอมทนลำบาก ศิษย์หรือใคร
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง รักสติ ทำนองเพลง นึกว่าสงสาร)
เพลงนี้อาจารย์ออกจะไปทางเพลงทางโลกหน่อยๆ นะ แต่เป็นเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ช่วงนี้หลายคน ออกจะไปทางโลกหน่อย แม้กระทั่งคนที่มีธรรมะอยู่เต็มอก อยู่วงการธรรมะมาตั้งแต่เด็กก็ยังไปทางโลกกันเยอะเลย เมื่อเด็กเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ความรักก็เป็นเรื่องที่ตัดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อว่า “รักสติ”  รักกันฉันหนุ่มสาวเป็นสิ่งที่หวือหวาเร้าใจ เป็นสิ่งที่หอมหวาน แต่ว่าให้อยู่ในกรอบในระเบียบความเหมาะสม อย่าปล่อยใจให้เตลิดมาก อย่าหลบๆ ซ่อนๆ ดูแล้วไม่งาม พูดอย่างนี้เพราะว่าเป็นหลายคน อย่าได้บอกว่าเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง วันหนึ่งก็อาจจะเจอกับเราก็ได้ แม้นกระทั่งคนที่อยู่ในวัยสี่สิบก็ยังไม่ค่อยแน่ คำพังเพยบอกว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” แล้วก็ตาบอดไปหลายคน เพราะฉะนั้นขอให้อยู่ในสิ่งที่เหมาะควร
สถานธรรมมีคำพูดที่ใช้กันมานานคำว่า “สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง”  สามบริสุทธิ์หมายถึงอะไร ชายหญิงชัดเจน เงินทองชัดเจน และทางโลกทางธรรมชัดเจน ทางโลกทางธรรมที่อาจารย์เจอในช่วงนี้ที่พูดถึงอาทิตย์ที่แล้วคือขายของในสถานธรรม วันนี้ก็มาพูดเรื่องชายหญิง ฉะนั้นทุกคนอย่าไปมองใคร ให้มองที่ตัวและระวังตัว หากคิดว่าจะผูกห่วงแล้ว ห่วงให้ดี เอาตัวให้รอด
ในการบำเพ็ญธรรมร่วมกัน แน่นอนคนที่มีความรู้เมื่ออยู่ในสังคมย่อมเป็นผู้นำอยู่แล้ว ในการบำเพ็ญธรรมก็เหมือนๆกัน คนที่มีความรู้บางคนก็เป็นผู้นำเสมอ แต่การบำเพ็ญไม่ได้ใช้ความรู้ แต่ใช้ความรู้ตื่น ใช้ความรู้ตัว ใครสะกิดตัวเองได้เร็วกว่ากัน คนๆ นั้นก็บำเพ็ญธรรมะได้เข้าถึงมากกว่ากัน ฉะนั้นจงแปรความรู้ที่มีให้เป็นความรู้ตื่น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้อยู่ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน คือมีความรู้แล้วทำงานสบาย เมื่อสบายแล้ว ก็ว่างมากเกินไปก็จ้ำจี้จ้ำไชคนอื่นเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะเลือกบุคลากรสักคนหนึ่ง อาจารย์จะเลือกเขาที่คุณธรรมไม่มองที่ความสามารถ เพราะคุณธรรมของคนหาไม่ได้ในคนทุกคน แต่ความสามารถแม้ฝึกก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็ทำงานธรรมะ ทำงานทางโลก จงฝึกในสิ่งที่ขาดไปคือคุณธรรม บารมีเกิดจากไหน บารมีเกิดจากสิ่งที่คนอื่นมองเรา แล้วเขาเคารพ อย่าดุมากเกินไป อย่าเสียงดัง อย่าพูดจาให้คนฟังรับไม่ได้ อย่าโกรธโดยแสดงกิริยาท่าทาง อย่าใช้อำนาจ อย่าเอาเงินทองมาวัดและซื้อใจใคร สถานธรรมใหญ่โต อาจารย์ไม่ดีใจ ที่นี่เล็กไปนิดหนึ่ง เมื่อเทียบกับปริมาณศิษย์ตรงนี้ แต่โดยทั่วไปที่นี่ก็กว้างดีใช่ไหม ฉะนั้นทุกอย่างมีความเหมาะสมในทุกๆ ช่วง ช่วงไหนเหมาะสมกับใคร คนไหนเหมาะสมจะทำอะไร การใช้คนก็มอบงานตามความสามารถนั่นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้
วันนี้อาจารย์มาที่นี่อาจารย์หวังว่า ศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ไม่ว่าจะนั่งโดยไม่ตอบอะไรเลย จะนั่งโดยมีจิตใจรับฟังอาจารย์หรือไม่รับฟังอาจารย์ก็ดี จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ดี สิ่งที่ศิษย์ทำได้ขอให้กลับไปทำ ให้ชีวิตนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีเป็นอย่างน้อย และสามารถเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเข้าถึงธรรม และเป็นผู้นำธรรมไปให้ผู้อื่นนั้นมีความสุข สร้างความสุขให้คนอื่นแล้วตัวเองจะมีความสุข ถ้าอยากมีความสุขแล้วบำรุงบำเรอตัวเอง ศิษย์จะไม่มีความสุข เพราะว่าคนไม่เคยมีใครรู้จักพอเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เมตตาด้วยธรรม”)
ปกติเราจะได้ยินแต่คำว่า เมตตาธรรม ใช่หรือเปล่า คนสมัยนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีเมตตาทุกคน ศิษย์กล้าว่าใครว่าไม่เมตตาหรือเปล่า คำว่าเมตตาของคนปัจจุบันจึงไม่ใช่คำว่าเมตตาธรรม แต่เป็นคำเมตตาที่ยกย่อง เป็นคำเมตตาที่เมตตากันแต่เปลือก คือมันไม่ลึกเข้าไปอยู่ข้างในใจจริงๆ ฉะนั้นอาจารย์บอก เมตตาด้วยธรรม คืออย่าลืมว่า เมตตาต้องใช้ธรรม ธรรมะแปลว่าความดี ฉะนั้นเมตตาคนด้วยความเป็นคนดีของเรา ถ้าหากว่าเรายังกลัวว่าคนอื่นจะว่าเราเป็นคนไม่ดี เราเลยเมตตาอย่างนั้นไม่ใช่เมตตา หรือเมตตาเหมือนแม่เมตตาลูก แต่ว่าเมตตาแบบถึงขั้นเอาใจลูก แล้วก็เลี้ยงลูกออกมาผิดๆ อย่างนี้ก็ไม่ใช่เมตตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมตตาต้องกลางๆ คือต้องทำให้ผู้อื่นได้ดี เข้าใจไหม ฉะนั้นไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในมุมใด สังคมใด วันใด ขอให้ศิษย์เมตตาคนด้วยธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดไว้เมื่อต้องใกล้กลับ  ศิษย์เอ๋ย เกิดเป็นคนต้องหัดทำใจ ความทุกข์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ อาจจะลดลงได้หากเราเป็นคนที่รู้จักทำใจ ความทุกข์เป็นปัญหาของมนุษย์ ความสุขเป็นปัญหาของมนุษย์ ความสุขและทุกข์เป็นปัญหาของคนทุกคน ไม่มีคนไหนไม่เจอ ไม่มีคนไหนไม่เป็น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าทำใจได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อมีความสุขอย่าหลงระเริง ต้องรู้จักหยุดตัวเองด้วย เมื่อมีความทุกข์ก็จงหยุดตัวเองเหมือนกัน ไม่มีอะไร สุขมากเกินไปก็ไม่ดี ทุกข์มากเกินไปก็ไม่ดี อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้เหมือนกับว่าอาจารย์พยายามจะแก้ปัญหาให้มนุษย์ ซึ่งมนุษย์เป็นผู้วุ่นวายสับสนที่สุด อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะแก้ปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน สองวันนี้อาจารย์คงไม่หวังว่าสามารถทำให้ศิษย์นั้นเข้าใจแล้วก็ตื่น แต่หวังว่าสองวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาธรรมบ่อยๆ ได้ไม่ได้ (ได้)
อาจารย์หวังดี อย่ามองอาจารย์ว่ามาเล่นละคร ถ้าหากว่ายังรู้สึกไม่ค่อยแน่ไม่ค่อยชัด วันหลังต้องศึกษาบ่อยๆ  เวลาใครถามว่ามีเวลามาสถานธรรมไหม อย่าพูดประโยคแรกว่าไม่มีเวลา คิดก่อนว่ามีเวลาหรือเปล่า


คนสมัยก่อนบำเพ็ญธรรมเน้นการสวดมนต์ เน้นการไหว้ สมัยนี้ให้ศิษย์มา
สวดมนต์ก็ทำไม่ได้ จิตใจก็ไม่สงบพอ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์สวดมนต์วิธีใหม่ สวดด้วยการปฏิบัติ ในเมื่อการสวดมนต์แผ่เมตตาคือการให้ ถ้าอย่างนั้นขอให้ทำวันละ ๒๔ ชั่วโมง เห็นคนตกทุกข์ได้ยากเมื่อไหร่ ให้ยื่นมือเข้าไปช่วย อย่าลืมว่าเรานั้นเป็นคนมีธรรมะ จะทำตัวอย่างคนไม่มีธรรมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นการถอยหลังเข้าคลอง ศิษย์ทุกคนรักษาตัว รักษาใจ รักษาก้าวเดินของตัวเอง ขอให้เดินแล้วยิ่งเดินยิ่งก้าวหน้า ยิ่งสง่างาม ยิ่งเป็นคนที่คนอื่นนั้นเขาให้ความเคารพ โดยที่เรานั้นไม่ต้องเรียกร้องจึงสูงส่ง 



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เมตตาด้วยธรรม”
    หากไม่เคยเผชิญอุปสรรค          
ไม่รู้จักความสำเร็จอันใดได้
จิตมั่นคงงามดีความไม่แปรใจ        
ทางยาวไกลแต่มาถึงไม่อาจนาน
    เมตตามีกันทุกคน                      
แต่ทนกันไม่ได้นาน
คนดีขาดความเชื่อมั่น                   
เนิ่นนานความดีกินแรง
เหนื่อยตัวไม่เอาเปรียบใคร                 
การให้ดีกว่ายื้อแย่ง
มีใจเพิ่มได้หลายแรง                       
ให้แรงคนด้วยเมตตา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2547

2547-12-25 สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


PDF 2547-12-25-ฉงเต๋อ #20.pdf

西元二00四年 歲次甲申十一月十四日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

จงฝึกฝนทำตนให้มีคุณค่า วันเวลาพิสูจน์คนในทุกเรื่อง
ความโง่เขลามาก่อนความปราดเปรื่อง อันปัญญาเป็นเครื่องนำพ้นอับจน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา ฮวา

จงจ้องมองชีวิตแบบตาไม่กระพริบ ดูว่าหยิบความคุ้มค่าให้ตนไหม
ต่างหามาล้วนวัตถุใช่จิตใจ แสวงไกลแต่ใกล้มือเมินไม่มอง
ใช้ความคิดความสามารถในทางถูก อย่าเป็นคนผูกได้แก้ไม่ได้
ความระวังช่วยเหลือตนได้มากมาย ความเข้าใจทำให้เดินไม่ผิดทาง
อันโลกนี้คนเก่งนั้นมีมาก แต่หายากคนอ่อนน้อมเฝ้าศึกษา
ชีวิตคนความอดทนจึงทรมา ไม่รู้ว่าทำอะไรเพื่ออะไร
เกิดมาแล้วอยู่ไปให้บำเพ็ญเถิด การได้เกิดถือเป็นบุญหาใดเทียบ
จงอยู่กับจิตใจนี้อย่างราบเรียบ ใช้ความเงียบสยบความวุ่นวายใจ
น้องทุกคนต่างบำเพ็ญต่างย้อนมอง จงประคองก้าวเท้าตนให้ตรงเที่ยง
จงใส่ใจดูจิตใจอย่าเอนเอียง ทุกวันเบี่ยงร้อยวันตกข้างทาง
ประชุมธรรมสองวันฟื้นฟูจิต หัดพินิจทุกอย่างด้วยจิตเป็นกลาง
ความทุกข์นั้นอยู่ที่ใครจะวาง การคิดสร้างใช่หนทางดับวุ่นวาย
ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ที่เท้าเหยียบพื้น ที่ไม่ฝืนใจในการอยู่ให้สุข
ที่ไม่ทนล้มไปโดยไม่ลุก วันนี้ปลุกจิตใจให้ตื่นเต็มตา
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ จงเคารพพุทธระเบียบอันเคร่งครัด
กายและใจความประพฤติให้วางจัด จงสันทัดในการเป็นคนดีเอย
ศิษย์พี่รับบัญชามาคุมชั้น หวังน้องนั้นศึกษาด้วยความตั้งจิต
อย่าปล่อยให้ความสงสัยในความคิด มาคอยปิดบังปัญญาที่งอกงาม
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ
เรื่องที่ว่ายากเข็ญมองให้ดี ติดตรงที่ไม่เอาหรือไม่ไหว
หรือเพราะความมุ่งมั่นยังน้อยไป อย่าให้ใจเป็นอุปสรรคของตนเอง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ในความเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม เมื่อพร้อมคนรู้นำสามัคคีไว้
วิสัยรู้น้อมคือปราชญ์ยิ่งใหญ่ ยิ่งยวดให้รู้จักยอมด้วยยินดี
อย่ายิ่งใจเย็นเหมือนไม่อีนังขังขอบ อาณาทั่วไม่ใคร่ชอบคนฉะนี้
ในใจเย็นมีกระตือรือร้นรู้หน้าที่ ขุ่นข้องสิงอารมณ์ทีสำรวจตน
มีปัญญาจริงเท็จแยกแยะออก แต่แบ่งแยกบ่งบอกความสับสน
โลกไม่จางมัวหมองหัวใจคน เกิดเป็นคนไม่วุ่นวายเข้าใจกัน
ฮา  ฮา  หยุด



พญามารปีศาจร้าย ถ้าจิตใจเรากว้างขวางเพียงพอ กว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในโลกนี้จะมีหรือคนที่เรียกว่าใจแคบ ใช่ไหม (ใช่)
ยอมอดทน หวังแต่ความสบาย ทำอะไรก็ปล่อยปละ ตั้งใจทำอะไรแล้วพอเหนื่อยล้าแล้วก็ยอมแพ้  คนเช่นนี้ยากจะประสบผลสำเร็จ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ๑. คนดีรู้จักคิดไตร่ตรองทำอะไรก็สุขุมรอบคอบ  ๒. คนร้ายคือคนที่ปล่อยปละละเลยบางทีตามใจอารมณ์บางทีตามใจตน จึงทำให้บางทีตัวเองดีบ้างร้ายบ้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์เราหากไม่อดทนก็เป็นข้อบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเกิดเป็นคน  ฉะนั้นไม่ว่าจะเรียนสำเร็จหรือเป็นคนดีได้สำเร็จ อยู่ที่เขาอดทนอดกลั้นได้มากเพียงใด
หัวใจ หากเมื่อไม่ยอมสลายความดื้อและทิฐิในหัวใจแล้วหันมาย้อนถามตัวเองว่าอภัยและยอมให้เขาได้หรือไม่  วันนั้นเขาจะไม่พบความสุขในชีวิตเลย  แต่ถ้าว่าวันใดมนุษย์ผู้มีทิฐิความดื้อรั้นยอมสลายทิฐิความดื้อรั้นความไม่เข้าใจแล้วหันมามองตัวเองแล้วบอกว่าอภัยให้เขา ยอมให้เขา  วันนั้นเราจะพบกับหนทางอีกหนทางหนึ่งที่สุกใสและเรืองรอง  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้การเป็นผู้มีธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าเมื่อเผชิญปัญหาอุปสรรคเราจะย้อนมองส่องตนหรือเอาแต่ทุ่มด่าทอเขา  ถ้าทุกวันเราเอาแต่จะทุ่มด่าเขาเราก็จะไม่พบธรรมะในหัวใจ  เหมือนวันนี้ถ้าอดทนไม่ไหว นั่งฟังไม่ไหวแล้ว เราจะนั่งตรงนี้ได้จบหรือไม่ (ไม่จบ)  แต่ถ้าเราอดทนอีกสักหน่อยไม่แน่อาจจะมีอะไรดี ๆ ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อดทนอีกสักหน่อย แค่นี้อดทนไม่ได้เกิดเป็นคนแล้วจะไปทำอะไร อย่างน้อยเราก็ได้ฝึกความอดทนในจิตใจ  ฉะนั้นธรรมะไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่ธรรมะอยู่ที่ภายในใจเรา จะรู้จักย้อนมองหรือไม่ ย้อนมองแล้วเสียสละให้หรือเปล่า  ถ้าเราย้อนมองแล้วเสียสละให้ ธรรมก็จะบังเกิดขึ้นในใจ
ศรีสุขถ้าไม่มีธรรมในใจ เขาก็หลงตน และเห็นแก่ตัวได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนเราที่ประพฤติผิดคิดร้าย โดยไม่ทำดีนั้น เพราะอะไร ตอบได้หรือยัง  เพราะสถานการณ์บีบบังคับ และเพราะอะไรอีก เพราะสภาพแวดล้อมเป็นใจทำให้เราทำดี เราก็เลยทำดี เหมือนอยู่ในวัด ใครไม่ตักบาตร ใครไม่พูดดี ก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนแปลกนะชอบหาหุ่นเข้าวัด หากิเลสเข้าวัด อยู่ในวัดแทนที่จะพูดดี กลับชอบนินทาพระ ติคนนั้น ติคนนี้ อยู่ในห้องพระแทนที่จะทำเรื่องที่เหมาะที่ควร ก็กลับจับผิดคนนั้น จับผิดคนนี้ นั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อมบีบบังคับ จริงๆ หรือ  เริ่มไม่ใช่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำ กล่าวว่า .”ถ้าคิดถึงคนที่สภาวะแวดล้อมยากลำบากกว่าเรา เราคงไม่ประพฤติชั่วหรอก” เราก็ดีแล้ว ถูกไหม (ถูก)  แล้วถ้าคิดว่าคนอื่นเขาได้ดีมากๆ แต่เรายังไม่ได้ดีเลย  แต่เราคิดว่าที่เขาได้ดีเพราะเขาขยันหมั่นเพียร ที่เขาได้ดีมีสุขเพราะเขาอดออม มัธยัสถ์  ประหยัด  ถ้าเราคิดได้อย่างนี้เราก็รู้สึกอับอาย เราก็ไม่กล้าทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีชั่ววูบหนึ่งเราก็คิดได้  แต่อีกชั่ววูบหนึ่งเราก็คิดว่า ถูกบีบบังคับแล้ว หมดหนทางแล้ว ก็ชั่วไปเลย  แต่อีกคนๆ หนึ่ง ถูกบีบบังคับแล้วแต่ทำให้นึกถึงคนที่แย่กว่าเราอีก เขากลับไม่กล้าชั่ว เพราะยังคิดว่ามีคนในโลกอีกหลาย ๆ คนที่ยังแย่กว่าเราอีก เราจะชั่วลงไหม ไม่ลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วถ้าคิดว่าเขาดีแล้ว แต่เรายังไม่ดี ในความที่คิดดีนั้น จะคิดว่า ดูสิเขายังดีได้ ทำไมเรายังไม่ดี  ในใจถ้าตอนนั้นรู้สึกอับอาย คนที่รู้สึกอับอายจะประพฤติชั่วไหม ไม่ประพฤติชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะดี จะร้าย ขอเพียงเริ่มต้นที่ตัวเรา ย้อนมองส่องตน และรู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น  ไม่ว่าจะเป็นสภาวะแวดล้อม หรืออะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้  ดังคำกล่าวว่า “สถานการณ์สร้าง
วีรชน แต่วีรชนก็สร้างสถานการณ์ได้เหมือนกัน”  แม้สภาวะแวดล้อมไม่อาจทำให้เราเป็นคนดี แต่เรายืนหยัดจะเป็นคนดี เราก็ดีได้ด้วยตัวของเรา แต่ถ้าเกิดสภาวะแวดล้อมดีหมด แต่ใจเรามันไม่เอาดี จะโทษใครได้ ฉะนั้นคนจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวเรา  แต่คนบางคนนั้น ถึงเวลาดี ควรจะทำดี กลับนิ่งเฉย  ถึงเวลาไม่ควรชั่ว แต่กลับชั่วทันทีเลย เพราะความหลงผิดหรือกระตือรือร้นผิดที่ผิดทางกันแน่  ท่านว่าเพราะอะไร กระตือรือร้นผิดที่ผิดทางจริงไหม (จริง)  อย่างเช่นในโลกนี้มีแต่คนทำไม่ดี เราเลยลุกมาโวยวายบ่นด่าทอ  เหมือนเราขับรถ เมื่อเขาไม่เคารพกฎ เราก็ปี๊บ  ปี๊บ ปี๊บ ด่าเขาโดยใช้แตร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาทำผิดกฎจราจร เราก็ด่าเขาในใจ เราก็กดแตรด่าเขา  ไม่อย่างนั้นเราไม่ต้องขับรถก็ได้ ถ้าเขาไม่เคารพกฎจราจร เรายืนอยู่ข้างๆ ถนน เราก็ชี้หน้าด่าเขา แช่งชักให้ตายไวๆ เถอะ  พอเราอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่ามีคนที่ไม่ประพฤติดี ไม่ทำดี เราก็ว่าคนนี้เป็นลูกอกตัญญู คนนี้ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป  ความน่ากลัวของมนุษย์ก็อยู่ตรงนี้ล่ะ  ทำไมเราจึงบอกว่าอยู่ตรงนี้รู้ไหม ตัวเองไม่เคารพกฎ แต่ชอบเรียกร้องให้คนอื่นเคารพกฎ  มีสะพานลอยข้ามไหม ไม่ข้าม พอข้ามถนนพอโดนเขาเฉี่ยวหน่อยก็ด่าเขาไม่มีน้ำใจ จริงไหม (จริง)  ตัวเองยังมีคุณธรรมไม่เพียงพอ ตัวเองมีธรรมหรือเปล่าไม่แน่ใจ  แต่พอเห็นเขาทำผิดก็เอาคุณธรรมมาด่าทอเขา คนนี้ไร้ธรรมจริงๆ  แต่ไม่เคยถามตัวเอง ไม่เคยทบทวนตัวเองเลยว่า ตัวเองมีธรรมหรือยัง ก่อนที่จะไปชี้ว่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาตรฐานต่ำที่ไหน อย่างน้อยมีสิบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคำว่าถูกหรือผิด จริงๆ แล้วต่างรู้ดีแต่ทำได้หรือไม่ทำ ทำไม่ได้หรือไม่ยอมทำ หากมีคนบอกว่ามีคนๆ หนึ่งแรงเยอะมากสามารถยกโต๊ะพระโต๊ะนี้ได้ แต่พอบอกให้เขามายกเก้าอี้เขาบอกว่ายกไม่ขึ้น เราเชื่อหรือไม่เชื่อ คนนี้ทำไม่ได้หรือไม่ยอมทำ (ไม่ยอมทำ)  แต่บอกว่าคนนี้มีแรงน้อยมากเขาสามารถยกเก้าอี้ได้เท่านั้นเอง แต่พอให้เขายกโต๊ะพระเขารีบไปเรียกคนอื่นมาช่วยเลย คนนี้ทำไม่ได้หรือเปล่า คนที่ทำไม่ได้หรือว่าเขาพยายามจะทำ (พยายามจะทำ)  เพราะฉะนั้นคนเราทำอะไรได้ไม่ได้ใครวัด ตัวเราเองต้องเป็นผู้วัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
จิตใจของเรา ให้เรานั้นห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ ให้เราเฉานั้นลงเรื่อยๆ ให้เราไม่สนใจตัวเองเหมือนที่ทุกวันนี้ทำ เราก็จะกลายเป็นคนที่เหี่ยวเฉา จริงหรือเปล่า (จริง)  การที่เราจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัวของเราบ้าง เหมือนกับว่ามานั่งสองวันนี้ก็เดินมาหงอยๆ ซึมๆ  อาจารย์บอกให้ลุกนั่ง ลุกนั่ง ตอนแรกลุกนั่งพร้อมกันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ตอนนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ลุกนั่งๆ แบบนี้มองไปเหมือนทรมานคนแก่นะ แต่ว่าจริงๆ ทำให้เข่ามันดีขึ้น เพราะว่าปกติไม่เคยออกกำลังกาย กินอิ่มแล้วก็นั่ง เมื่อยแล้วก็นอน ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ  ไม่อร่อยก็ไม่กิน นี่แหละตามใจตัวเองขนาดนี้เลย เอาใจคนอื่นยากไหม (ยาก)  เอาใจคนอื่นว่ายากแล้ว เอาใจตัวเองยากกว่าหรือเปล่า (ยากกว่า)  สารพัดวิธีที่จะมาประเคนให้ตัวเองนั้นมีความสุขมากๆ แต่ยิ่งประเคนเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น
แอปเปิ้ลเราจับท่านี้ แต่วันนี้เราอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเราต้องลองจับมือซ้ายดู ใช่หรือไม่ (ใช่)   เหมือนกับวันนี้เราจับแก้วน้ำดื่มเราจับท่านี้เราจะเปลี่ยนอย่างไรดี ทุกครั้งที่ปกติศิษย์จับแก้วน้ำศิษย์จับท่าไหน ถ้าเราจะเปลี่ยนจะเปลี่ยนไปท่าไหน (นักเรียนเปลี่ยนเป็นจับมือซ้าย)  ถนัดไหมกินมือซ้าย ถ้าไม่ถนัดแสดงว่าจับไม่ถูกต้อง เวลาที่เราเปลี่ยนอะไรต้องทำให้ตัวเองถนัดในสิ่งนั้นด้วยถึงจะเปลี่ยนได้อย่างเป็นความสุขด้วยไม่ใช่เปลี่ยนอย่างคนที่ฝืน ปกติของเราเป็นแบบนี้พอเราเปลี่ยนปุ๊บเราก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้เลยแล้วเรามีความสุขไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นทำอย่างไร ไหนลองเปลี่ยน (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงแถวหน้าเจ็ดคนเปลี่ยนท่าถือแก้ว)  อาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์เป็นโรคบ้าจี้ เวลาบอกให้เปลี่ยนปุ๊บก็จะเปลี่ยนเป็นอะไรที่เหมือนๆ กัน นักเรียนเจ็ดคนที่เปลี่ยนการถือแก้วแล้วไม่เหมือนคนอื่นมีกี่คน คนเดียว แสดงว่านิสัยทั่วไปของมนุษย์เป็นนิสัยที่คล้ายกัน  เวลาอยู่กับคนนิสัยเดียวกันแล้วอยู่ได้ไหม (ได้, ไม่ได้)  มีคนตอบว่าได้และไม่ได้ จริงแล้วเรายังฟังไม่จบว่าอยู่ร่วมกันแง่ไหน เพราะฉะนั้นคงตอบได้ไม่ดีว่าอยู่ได้หรือไม่ได้ แต่ตรงนี้แสดงให้เห็นว่านิสัยของมนุษย์โดยทั่วๆ ไปเป็นนิสัยที่คล้ายๆ กัน ตามๆ กันเป็น จริงหรือไม่ (จริง)  เวลาเจอคนนิสัยเดียวกับเรา ขี้โมโห จุกจิก ขี้บ่น ทำอะไรลูบหน้าปะจมูกเหมือนเราเราโกรธเขาได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราโกรธเขาก็เหมือนโกรธตัวเราเอง เพราะฉะนั้นนิสัยมนุษย์ที่คล้ายๆ กันอย่างนี้แก้ยากหรือง่าย ถ้าอาจารย์บอกว่าวันนี้ไหนๆ ทุกคนก็จับแก้วเหมือนกันหมดเพราะฉะนั้นอาจารย์เปลี่ยนแก้วทั้งหมดเลย ยากไหม ยกแก้วลังนี้ไปยกแก้วลังใหม่มา ยากหรือไม่ยาก (ไม่ยาก)  การเปลี่ยนแก้วจริงๆ แล้วทำได้แล้วก็ทำง่าย แต่ว่าเวลาเราอยู่ร่วมกันเขาจะยอมให้เรายกแก้วทิ้งไหม เขาจะไม่ยอมให้เรายกแก้วทิ้งไป ยากตรงไหน ไม่ได้ยากที่การเปลี่ยนแก้ว แต่ยากตรงที่ทำให้ทุกๆ คนยอมรับ จริงหรือเปล่า (จริง)
ผลกระทบรุนแรงต่อผู้อื่นจึงใส่ใจ หากไม่มีผลกระทบต่อใคร เช่น เขาใส่ถุงเท้าส่งกลิ่นเหม็น ผลเสียเกิดกับใครมากที่สุด (ตัวเขาเอง)  เป็นผลเสียกับส่วนรวมไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นมองข้ามข้อเสียของเขาไป เมื่อข้อเสียของเขาไม่มีผลกระทบต่อส่วนรวมจงมองข้ามไปเยอะๆ เพราะข้อเสียของเขาไม่ใช่มีอยู่ร้อยวันพันวัน ห้าปีสิบปี บางทีข้อเสียนั้นอาจอยู่แค่ห้าวัน แต่ศิษย์ของอาจารย์อาจคิดไปแล้วถึงสามปี ถามว่าถ้าศิษย์เอาเรื่องที่เป็นอคติของผู้อื่นทิ้งไป หัวสมองของศิษย์จะว่างขึ้นอีกเยอะไหม (เยอะ)  เคยรู้สึกว่าในหัวมีแต่ความเครียด หันไปทางไหนโลกนี้ก็มีแต่ความอับเฉาไม่น่าอยู่ เพราะว่าเรามีอคติต่อผู้อื่นมากมาย ลองเอาออกไปสักครึ่งหรือถ้าทำได้เอาออกไปให้หมด เราจะกลายเป็นคนที่มีหัวสมองว่างมากขึ้น เราจะกลายเป็นคนที่มีสมาธิมากขึ้น เราจะกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากขึ้น มองข้อดีคนอื่นให้ชัดๆ แล้วมองข้ามข้อเสียของผู้อื่นให้มากๆ
(ไม่ได้)
เนิ่นนาน แต่จะอยู่เพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้นเอง  เมื่อเราแก้ตัวเราก็จะไม่พ้นผิด  แต่ถ้าเราแก้ไขเราก็จะพ้นผิดอย่างถาวร  จงเลือกเอา
ดีไหม  เราก็ต้องพูดว่าเราไม่ได้ทำ แต่คนจะเชื่อเราไหม เขาอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  แต่ถ้าหากเราเป็นคนที่นิสัยเลินเล่อประมาท แล้วก็ทำอะไรหล่นบ่อยๆ  ถามว่าเขาจะเชื่อเราไหม (ไม่เชื่อ)  ฉะนั้นเราต้องบ่มเพาะนิสัยการเป็นผู้ระวัง  ถ้าหากว่าเขาไม่เคยเห็นว่าศิษย์เป็นคนที่นิสัยเลินเล่อทำอะไรตกหล่นกับมือ  เขาก็จะคิดว่าศิษย์นั้นทำหรือไม่ทำ (ไม่ได้ทำ)
ขั้นตอนการฝึกฝน การยอมแพ้ไม่ใช่หมายความว่าเราต้องแพ้ แต่การยอมแพ้นั่นคือเราสามารถชนะใจตัวเองได้  การรู้ผิดรู้ชอบเป็นบ่อเกิดของปัญญา หากว่าเรานั้นรู้ว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ชอบ สิ่งนี้ควร สิ่งใดผิดก็ต้องหยุดมือ สิ่งใดที่เป็นเรื่องชอบ เรื่องถูก เรื่องดี เราต้องทำต่อไป อย่าบอกว่าเบื่อหน่าย มิฉะนั้นเราจะเป็นคนที่มีปัญญาขึ้นมาไม่ได้ หากว่าเราไม่เคยทำผิด เราจะทำถูกได้ไหม หากไม่เคยทำสิ่งที่ถูกต้องเราจะรู้ไหมว่าสิ่งใดผิด  ฉะนั้นการเกิดปัญญานั้นความฉลาดเป็นเปลือกนอก แต่เมื่อฉลาดแล้วจงเข้าไปถึงเปลือกใน จงเข้าไปถึงใจกลางก็คือปัญญาของตัวเราเอง อย่างที่บอกคนบำเพ็ญถ้าขาดปัญญา คนๆ นั้นบำเพ็ญไม่รอด
ลุ่มหลงในอำนาจ ไม่สามารถปล่อยวางได้ อะไรที่ควรจับยกขึ้นมาก็ปล่อยให้เลยเวลา ถึงจับยกขึ้นมาก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์เต็มที่ จึงมีความเครียดอยู่ในจิตใจ มีความหดหู่อยู่เป็นนิจ เรียกร้องยุติธรรมให้กับตนเองไม่มีวันจบสิ้น ใครจะให้ล่ะ ใครจะให้เรา คนที่มีจิตใจที่ดีงาม มีคุณธรรม คนๆ นี้ตกนรกไปไฟนรกก็จะไม่เผาผลาญไป  แต่หากคนที่มีจิตใจที่เอนเอียง ไม่มีตรงกลางไม่เป็นมัชฌิมา ไม่ดำเนินทางสายกลาง แม้กระทั่งขาของศิษย์นั้นถ้าเผลอตกนรกไปนิดเดียว ศิษย์ของอาจารย์ก็จะร้อนมากๆ  อยากให้ศิษย์มีความสุข ไม่อยากให้ศิษย์มีความทุกข์แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร คนในโลกนี้บางทีเรื่องง่ายๆ เรื่องที่รู้อยู่แล้วควรจะดีขึ้นแต่รอเท่าไรก็ไม่ดีขึ้นสักที พูดให้คนอื่นฟังร้อยรอบพันรอบแต่มันผิดอยู่ที่ใจตัวเอง ทำไมไม่พูดให้ตัวเองฟัง ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นศิษย์ ทุกอย่างที่ชีวิตนี้มีอยู่แล้วเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเลยนะ เพียงแต่ศิษย์ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบ ไม่เอาใครมาวัดกับตัว ศิษย์จะมีความสุขมากขึ้น สนใจตัวเองให้มากขึ้น สนใจในด้านจิตใจ มองไปให้ไกล ก้าวไปให้ไกลกว่านี้ในด้านของการแก้ไข ปรับปรุงตัว หนทางการบำเพ็ญยืดยาวพอๆ กับหนทางชีวิต ไม่มีชีวิตก็ไม่ต้องบำเพ็ญธรรมก็เท่านั้น เมื่อไหร่ไม่มีร่างกายเมื่อนั้นไม่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญธรรม วันนี้ที่มีชีวิตอยู่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่กรรมเวรมันจะตามมาทำให้ศิษย์ต้องประสพโชคชะตาที่พลิกผัน ฉะนั้นอย่างหลงระเริงกับสิ่งที่รู้สึกสมบูรณ์ในวันนี้
แค่อยากเอาชนะในจิตพลันวุ่นวาย กดอารมณ์ไว้มีก็เลยไม่มี นับวันไฟต่อไฟคอยโกรธใครชักถี่ ไม่เคยหยุดดีดี จิตสงบวันไหน ต้องตกใจไหวหวั่น แก้ตัวจนลิ้นพันจุกในฤดี พบความจริงข้างใน เตือนจิตใจย้ำถี่ ไม่ลืมเลยสักวัน
เพราะคอยจะลืมบำเพ็ญข้างใน ในนั้นไร้นามรูปขันธ์ คือความไม่มีไม่เปลี่ยน คนไหนคิดอยากหยุดพัก จงรุกมิใช่ตั้งรับ คอยปรับปรุงแก้ไข
ไม่อยากจะชนะ ใจก็หายยึดมั่น ทำได้นานวันใจก็เย็นสักที ของใครควรแก่ใคร กำหนดไปทุกที่ไม่จริงเลยสักอัน

ชื่อเพลง : แค่อยากเอาชนะ
ทำนองเพลง  สายเกินไป

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ
วันนี้ฟังธรรมมาค่อนวันแล้วท่านก็เหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนในที่นี้มีภาระหน้าที่ การที่จะยอมสละเวลาแห่งความสุข เวลาแห่งการพักผ่อน มาเพื่อนั่งฟังธรรมะ ส่วนใหญ่วันเสาร์อาทิตย์คือวันพักผ่อน แต่วันเสาร์อาทิตย์นี้ได้พักไหม (ไม่ได้พัก)  ทำไมอยู่ที่นี่ไม่ได้พักเลยหรือ เราว่าได้พักนะ ได้พักใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะอยู่ที่นี่เราไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะขายอะไร หรือพรุ่งนี้จะทำอะไรใช่ไหม (ใช่)  เพราะออกไปก็มีคนทำให้เสร็จสรรพใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ก็ได้พักแต่ได้พักคนละแบบกับที่เคยคิดเคยหวังถูกไหม (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้จะเอาหูฟังแต่สิ่งที่เราอยากฟังทุกๆ วันได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้หูฉันอยากฟังแต่คนพูดเพราะๆ ใครพูดมึงมาพาโวยไม่อยากฟังได้ไหม อยากมองแต่สิ่งสวยๆ อะไรเหี่ยวเฉาไม่น่าดูไม่อยากมองได้ไหม เพราะตื่นมาก็เห็นตัวเองเหี่ยวเหลือเกิน เฉาเหลือเกิน ได้หรือเปล่า มันไม่ได้หรอกบางที  เราอยู่ในโลกนี้เราเลือกที่จะฟัง เราเลือกที่จะมอง และเราเลือกที่จะอยู่ร่วมตลอดชีวิตไม่ได้ บางครั้งเราต้องทำใจอยู่ร่วมกับสิ่งที่เราไม่อยากเจอ ไม่อยากฟัง และไม่คาดคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจที่เปิดรับสภาพทุกเรื่องทุกราว คือจิตใจของคนที่ยอมรับความจริง  แต่จิตใจที่ปิดบัง บิดเบือน อยากฟังแค่เรื่องที่ชอบ อยากมองแค่เรื่องที่อยากมอง คือจิตใจของคนที่กำลังขังตัวเองอยู่ในห้องแคบๆ ไม่ยอมรับความจริงของโลกใบนี้ สองคนนี้เวลาเจอเรื่องราวใครจะรับทุกข์รับสุขได้มากกว่ากัน ใครจะสู้ทุกข์สู้สุขได้มากกว่ากัน ใช่คนที่กล้ามองในสิ่งที่ไม่อยากมอง กล้าฟังในสิ่งที่ไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเลือกอยากมองแต่สิ่งที่ตัวเองอยากมอง อยากฟังแต่สิ่งที่ตัวเองอยากฟังพอเจอทุกข์เขาจะรับไม่ได้ พอเจอสุขกลับหัวเราะงอจนเกือบเหมือนเป็นบ้าจริงไหม (จริง)  วันนี้ฉันถูกลอตเตอรี่ได้ด้วยหรือ วันนี้เขาพูดดีๆ กับฉันเป็นด้วยหรือ บางทีตกใจหัวใจแทบวาย ฉะนั้นเราอยู่ในโลกใบนี้ต้องกล้าที่จะเผชิญความจริงในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง หรือในสิ่งที่เราไม่อยากรับฟัง แล้วเราจะสู้กับความทุกข์ได้ แล้วเราจะรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ด้วยจิตใจที่มีสติจริงไหม (จริง)  แต่ผู้ปฏิบัติธรรมพอเจออะไรที่คาดไม่ถึงก็เป็นอย่างไร คนดีมีวันเจอภัยได้ไหม ท่านคิดว่าคนดีมีวันเจอทุกข์ภัยได้ไหม (ได้)  ทำไมเจอได้ ทำไมคนดีจึงเจอทุกข์ภัยได้ คิดว่าอะไร ทำไมคนดีจึงเจ็บปวดใจได้ ทำไมคนดีๆ จึงโดนคนว่าให้ร้ายป้ายสีได้เพราะอะไร (มีความแปรปรวน)  เพราะว่าโลกนี้มีเรื่องที่ไม่แน่นอน โลกนี้มีเรื่องที่แปรปรวนให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ และสิ่งที่แปรปรวนอยู่เสมอนั่นก็คือตัวเราเองนะ  บางทีก็คิดดี บางทีก็คิดร้าย บางทีก็เข้มแข็ง บางทีก็อ่อนแอ บางทีก็รู้จักระมัดระวัง บางทีก็ประมาทเลินเล่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโชคร้าย อุบัติเหตุ หรือเคราะห์ภัยจึงมาจากตัวท่านเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกรรมเวรนั้นก็เกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่คิดดี เหมือนคนๆ หนึ่งถือขวดใบหนึ่ง ในขวดมีเงินเยอะแยะ เดินไปครึ่งทางปรากฏสะดุดหินก้อนเล็กๆ แล้วล้ม เงินกระจายขวดแตกเลย กว่าจะเก็บเงินมาได้ คนที่คิดร้ายก็บอกว่า เฮ้อ จากเงินเต็มขวดนับไปนับมาทำไมเหลือครึ่งขวด แต่ถ้าเกิดคนคิดดี เฮ้อ ไม่เป็นไรขวดไม่บาดเราก็ดีนักหนาแล้ว เงินเหลือเท่านี้ก็ช่างมัน ตัวเราไม่เจ็บปวดจากขวดก็ดีนักหนาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางทีเคราะห์ภัยโชคร้ายอย่าได้โทษผู้อื่น บางครั้งอาจจะเกิดจากตัวเราเองก็เป็นได้
บางคนนั้นมีพระอยู่ตรงหน้าแต่มองไม่เห็นพระ มีพระอยู่ใกล้ๆ แต่ใจไม่รับรู้ถึงพระเพราะว่าอะไร (มารมาบัง)  มารมาบังหรือ ท่านเคยได้ยินไหม มองคนอื่นเป็นพุทธะ ที่ไหนก็มีพุทธะ  มองคนอื่นเป็นพญามารปีศาจร้าย ที่ไหนก็มี
วันนี้เราลองมาแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยการสนทนาธรรมกันดีไหม (ดี)  ปกติก็สนทนากันเรื่องโน้นเรื่องนี้ วันนี้เราลองมาสนทนาเกี่ยวกับเรื่องธรรมะดีไหม (ดี)  มนุษย์เรานั้นเรียนรู้การเป็นคนฉลาดเรียนง่ายไหม การเรียนรู้การเป็นคนฉลาดในโลกนั้นเรียนยาก และต้องเรียนจากข้างนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ความรู้ข้างนอก เบื้องหน้าเรานั้นมีมากมาย มีทั้งความรู้ มีทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เรามองเท่าไรหรือเรียนเท่าไรก็ไม่จบไม่สิ้น แต่วันนี้สิ่งที่เรามาศึกษา สิ่งที่เรามาเรียนรู้ ไม่ใช่การทำตัวเป็นคนฉลาด แต่เรียนรู้การทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรม การทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรมกับการทำตัวเป็นคนฉลาดนั้น ยากง่ายแตกต่างกัน เรียนรู้การเป็นคนฉลาดก็คือ อ่านหนังสือเยอะๆ และฟังคนอื่นพูดมากๆ เรื่องราวอะไรที่ไม่รู้ก็หัดน้อมรับฟังเยอะๆ เราจะได้รู้ จะได้พร้อมรับมือกับทุกสภาวะ แต่ว่าการศึกษาหลักธรรม หรือการมีธรรม หรือการเรียนรู้หลักธรรมนั้น ไม่ใช่หาจากภายนอกแต่แค่ย้อนมองที่ตัวเอง อย่างเช่นใครด่าทอเรา ในใจเรานั้นให้อภัยไหม ถ้าให้อภัยเราก็ได้ธรรมะหนึ่งข้อถูกไหม (ถูก)  ใครทำดีเราเป็นอย่างไร ยินดีปรีดาด้วยหรืออิจฉาริษยา (ยินดีด้วย)  ถ้าเรายินดีด้วยเราก็ได้ธรรมมะข้อหนึ่ง คือ วางใจเป็นกลาง ฉะนั้นการหาความรู้ความฉลาดในโลกจึงแตกต่างจากการหาธรรม หาธรรมคือย้อนมองส่องตนในใจ ดึงเอาออกมาจากภายในแต่การเป็นคนฉลาดนั้นต้องค้นคว้าจากภายนอกแล้วใช้การลงแรงด้วยตัวเองภายในถูกหรือไม่ (ถูก)
ทุกท่านมีความสุขหรือไม่ (มี)  มีแต่ทำไมทำหน้าเช่นนี้ ทำไมรอยยิ้มจึงเปื้อนไปด้วยความทุกข์ ความเศร้าเสียใจภายใน เพราะเหตุใด เพราะมนุษย์เราเกิดมา ลืมความทุกข์ ลืมเรื่องที่เราอยากลืมไม่ได้เสียที เรื่องที่อยากจำกลับลืมแล้วลืมอีก เพราะอะไรทราบหรือไม่ เพราะแค่ ”อยากเอาชนะในจิตพลันวุ่นวาย”  จริงหรือไม่ (จริง)  บางทีแค่อยากเอาชนะตัวเอง อยากเอาชนะคนอื่น แต่บางทีกลับเอาชนะไม่ได้ทั้งผู้อื่นและตัวเอง
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างของมนุษย์คืออะไร หนึ่งคือชอบเอาชนะทัดทานผู้อื่น สองคืออารมณ์ร้อน ใจเร็วด่วนได้ แค่วันนี้เรียนหนังสือก็อยากให้จบเร็วๆ แค่วันนี้นั่งฟังธรรมะเราอยากให้จบเร็วๆ ฟังเพียงชั่วโมงเดียวก็คิดว่า เมื่อไรจะจบเสียทีนะ แต่พอเวลาผ่านไปแล้วกลับบอกว่าจบแล้วหรือ ทำไมเรากลับไม่ได้อะไรเลย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง เราอยู่ในโลกเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ตัวเราได้นั่ง คนอื่นได้ยืนไม่เป็นไร ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะอะไร (เพราะเป็นการเอาเปรียบ)  ถ้าเป็นเช่นนั้นเรานั่งรถโดยสาร เราซื้อตั๋วแล้ว ที่นั่งตรงนี้เป็นของเราแล้ว ใครไม่มีที่นั่งเราจะลุกให้เขานั่งไหม (ให้)  การทำดีบางครั้งต้องดูกาลเทศะและสภาพแวดล้อมด้วย มนุษย์ในโลกมีอยู่สองประเภท คือ มีชีวิตอยู่เพื่อธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความดี อะไรก็ตามที่ทำให้ตนเองต้องเป็นคนที่ประพฤติผิด ทำบาป ทำให้คนเดือดร้อน คนประเภทแรกจะไม่ยอมทำ อีกประเภทหนึ่งก็คือทำอะไรก็ได้ให้ตัวเราสบายใจ ตามใจ ตามอารมณ์ ผู้อื่นเป็นอย่างไร บางครั้งคิด บางครั้งไม่คิด แล้วท่านคิดว่าท่านเป็นคนประเภทไหน เป็นคนดีที่รักษาความดีไว้ในตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดก็ยับยั้งไว้ไม่ให้พลุ่งพล่านทำร้ายใคร  ตอนนี้ท่านบอกว่าไม่เมื่อย หากเราคิดถึงตัวเองเป็นหลัก  เราบอกว่าเรายังไม่เมื่อย แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นก่อนเราจะบอกว่านั่งเถิดเมื่อยแล้ว
มนุษย์มี ๒ ประเภท คือ ๑. คือคนที่รู้จักขยันหมั่นเพียร อดทนอดกลั้น เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วถ้าไม่สำเร็จจะไม่ยอมแพ้  คนคนนั้นคือคนที่สามารถมีชีวิตอยู่แล้วพบความสุขความสำเร็จได้  ๒. คือคนที่ถ้าเกิดว่าทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่
อย่างเช่นเวลาเขาทำอะไรให้เราไม่พอใจ หากเราโมโหด่าทอเขาไปหนึ่งที หากเราทนไม่ได้โวยวายเขาไปหนึ่งที ก็เหมือนกับเอามีดไปกรีดที่เขา แม้เราจะขอโทษเขาสักพันครั้ง แผลนั้นก็ไม่ได้ลบไปจากใจ  ฉะนั้นมนุษย์ผู้มีความดื้อ มีทิฐิใน
คนเราหรือมนุษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่อะไรที่ดลใจให้เราทำดีและอะไรที่ดลใจให้เราทำไม่ดี  ท่านว่าเพราะอะไร (ความเชื่อ, ถ้าคิดดีก็ทำดีคิดชั่วก็ทำชั่ว)  ถ้ามนุษย์มีความเชื่อที่ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว คนคนนั้นคงพยายามทำแต่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความกล้าก็ทำให้เราดีได้ แต่ความกล้าบางครั้งก็ทำให้เราทำชั่วได้เหมือนกันถ้ากล้าในทางที่ผิด แล้วมีอะไรอีก (กิเลส)  กิเลสข้อไหนที่ทำให้ดีแล้วกิเลสข้อไหนที่ทำให้ชั่ว (กิเลสที่เวลาอยากจะได้ของเขาทำให้ต้องทำชั่ว)  แล้วความดีมีกิเลสได้หรือไม่ได้นะ มีกิเลสคือความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้จริงๆ ว่าที่เขาบอกว่าดี มันดีอย่างไร ก็เลยมาใช่ไหม  ฉะนั้นความอยากหรือกิเลสตัณหาบางทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ถ้ามีพื้นฐานอยู่ในความดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
อะไรอีกที่ทำให้เราทำชั่ว อะไรที่ทำให้เราทำดี (สติและปัญญา, อารมณ์ชั่ววูบ)  ส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินว่าคนเรายอมทำความดีเพราะสภาพแวดล้อมเป็นใจให้ทำ ยอมทำความชั่วเพราะสภาพแวดล้อมบีบให้ทำ  ท่านเคยได้ยินไหมว่า วัว ควาย จากที่เราเคยเลี้ยงดูมันดีๆ แต่ถ้าเราทรมานมันหนักเกินไป มันจะหันกลับมาชนคน  มนุษย์ก็เช่นกันถ้าเราเลี้ยงเขาดีๆ เขาก็ทำงานให้ แต่ถ้าเราบีบบังคับเขาจนไม่มีทางออก ไม่มีทางสู้ เขาก็จะประพฤติผิดคิดร้าย เคยได้ยินไหม (เคย)  อย่างเช่นแค่เราโมโหเขานะ แต่เราด่าเขาเสียไม่มีดี บางทีเขาโมโหเราจนไม่รู้จะทำอย่างไร ไปทำชั่วเสียเลย จริงไหม (จริง)  เหมือนเราว่าลูกเรา ลูกเรียนอย่างไรก็ไม่เคยได้ดี ไม่เคยทำให้แม่ภูมิใจเลย  ลูกที่โดนแม่ด่าทุกวัน โดนแม่ว่าทุกวัน เขาจะมีกำลังใจเรียนดีขึ้นไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นคนเรานั้นอย่าบีบบังคับให้คนไม่มีทางออก ถ้าบีบบังคับให้คนไม่มีทางออก ไม่ว่าจะเป็นการใช้อารมณ์กับเขาหรือการด่าเขา เขาจะประพฤติผิดได้ทันที ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนคนที่ไม่มีคุณธรรม (ลองปล่อยให้เขายากจน ทุกวันไม่มีข้าวจะกิน แล้วเราไปดูถูกเขาว่า แกเป็นคนไม่ดี ฉันไม่ให้แกทำงานอะไรหรอกเพราะไว้ใจไม่ได้ แล้วก็ไปบอกและโพนทะนากับคนทุกคนว่าอย่าให้คนนี้ทำงานเด็ดขาด ถ้าทำแล้วไว้ใจไม่ได้  คนถ้าเขาไม่มีทางออก เขาจะคิดดีไหม (ไม่ดี)  ในเมื่อโดนว่าแล้ว ก็ทำชั่วให้เห็นเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นตัวเรานั่นเองกำลังบีบใครให้ทำชั่วหรือเปล่า หรือกำลังย้ำตัวเองให้เป็นคนชั่วไหม  บางทีเราชอบย้ำกับตัวเองว่า ก็ฉันมันไม่ดี ฉันมันปากจัด ปากร้าย เวลาพูดอะไรออกไป เราจะพูดดีออกไหม  ไม่ออกเพราะทุกวันย้ำแต่ตัวเองว่าปากจัด ปากร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าบีบน้ำใจตนเอง หรืออย่าบีบน้ำใจใครผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เขาทำผิดคิดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้อยู่ในความสุขก็ตาม แม้มั่งมีศรีสุขก็ตาม คนมั่งมี
ท่านเคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งกล่าวบ้างไหมว่า “สิ่งที่ยอมโค้งงอ จึงสามารถกลับยืดตรงได้ สิ่งที่ยืดตรงเข้มแข็งแต่ไม่ยอมโค้งงอ ย่อมมีวันหักได้”  เคยได้ยินคำนี้ไหม (เคย)  อย่างเช่นอะไรบ้าง สิ่งที่ยอมโค้งงอได้ ย่อมสามารถกลับมายืดตรงได้อีก แต่สิ่งที่ไม่ยอมโค้งงอ ย่อมไม่มีวันอยู่รอด ท่านคิดว่าอะไร (ยอมผ่อนผัน, อ่อนน้อมถ่อมตน)  ความอ่อนน้อมถ่อมตนในตัวเราเอง ลองก้มดูสิ เราก็กลับมายืดตรงได้ แต่ถ้าวันใดเรายืดตรงแล้วก้มไม่ได้แปลว่าวันนั้นกระดูกของเราเคลื่อนไปแล้ว  หรือวันนั้นคือวันที่เราได้ตายเสียแล้ว สิ่งที่อ่อนเมื่อถึงเวลาให้รู้อ่อน เมื่อถึงเวลาให้รู้แข็ง นั่นเรียกว่ามีชีวิต แต่ถ้ามีชีวิตเอาแต่แข็ง แต่ไม่รู้จักอ่อน นั่นก็คือความตาย  แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่า “หากดื้อดึงดันทุรังจะแข็งอย่างเดียว สักวันจะได้รู้จักความอ่อน หากดื้อดึงดันทุรังจะอ่อนอย่างเดียว สักวันจะได้รู้จักความแข็ง  อยากให้คนนี้เสื่อมสลาย ต้องให้รู้จักคำว่ารุ่งโรจน์สูงสุด อยากให้คนนี้ได้ใหม่ ก็ต้องให้รู้จักคำว่าเก่าจนถึงที่สุด นี่คือความเป็นจริงแห่งชีวิตหรือที่เรียกว่าสัจธรรมที่มีเหตุและผลแจ่มชัด”  อยากให้เขาเป็นอย่างไร ทำด้านตรงข้ามสิ อยากทำให้เขาเข้มแข็ง จงทำให้เขาอ่อนแอจนถึงที่สุด แล้วเขาจะรู้ว่าอะไรคือคำว่า “เข้มแข็ง”  อยากให้เขาสิ้นไร้ไม้ตอก จงทำให้เขารุ่งเรืองจนถึงที่สุดสิ แล้วเราจะรู้ว่า คำว่าสิ้นไร้ไม้ตอกของเขาเป็นอย่างไร  อยากให้คนรู้จักให้ เราจงรู้จักให้ก่อนสิ แล้วคนนั้นเขาจะให้กลับมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เราอยากได้อะไรจากผู้อื่น จงให้ตัวเราเป็นผู้เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเข้าอกเข้าใจหรือแม้แต่ความรัก อยากให้ใครรักเรา ไปที่ไหนก็อยากให้มีแต่คนรัก ตัวเราเคยรักใครหรือยัง เรารักแบบไหน รักแบบแบ่งแยก นี่พี่น้องฉัน นี่ไม่ใช่พี่น้องฉัน รักแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากจะเอาด้วยหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมเราจึงบอกอย่างนี้ล่ะ เพราะมีจิตใจที่รักผู้อี่นอย่างเท่าเทียม รักอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม รักอย่างเที่ยงธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถใกล้ชิดกับคำว่า “เมตตา กรุณาปราณี”  ได้ แต่ถ้ารักอย่างแบ่งแยก เธอ ฉัน เขา หรือรักแบบเลือกที่รักมักที่ชัง ความรักของคนนั้นก็ยังอยู่ห่างไกลคำว่า “เมตตา กรุณา”  ยิ่งนัก
ฉะนั้นหนทางธรรมจึงไม่ใช่อยู่ไกล อยู่ที่ว่าเรามีจิตใจบริสุทธิ์ยุติธรรมเมื่อปฏิบัติอะไร มีอารมณ์อะไรอยู่ในตัว มีความรักแต่เป็นความรักที่บริสุทธิ์จริงใจ เราก็สามารถมีความรักที่มีธรรมได้ ฉะนั้นหนทางของผู้มีธรรมจึงไม่ได้อยู่ไกล อยู่ที่ว่าเรามีใจรักที่บริสุทธิ์ยุติธรรมหรือเปล่า หากเรามีความรักให้ทุกๆ คนไม่แบ่งพี่แบ่งน้อง แบ่งเขาแบ่งเรา ความรักนั้นก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเมตตาธรรมได้ ไม่ว่าจะทำอะไรมีสติคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ สตินั้นก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาธรรมได้ ไม่ว่าทำอะไรรีบถ่อมตนตัวเอง ไม่เข้มงวดกับผู้อื่นเกินไป คนนั้นก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติสุขและมีธรรมได้ ฉะนั้นหนทางบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่หนทางที่ไกลเลย อยู่ที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติและกระทำเช่นไร เมื่ออยู่ในโลกใบนี้ วันนี้สิ่งที่เรามาพูดนั้นคือเรื่องหลักธรรมะเป็นส่วนใหญ่ ท่านไม่ได้มาศึกษาศาสนาใหม่ แต่สิ่งที่เราพูดคือหลักธรรมที่มนุษย์ควรมีอยู่ในหัวใจ ในความเป็นคน หรือหลักธรรมที่ควรมีหัวใจในการมีศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ หรือศาสนาใดก็ตาม ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์รู้จักมีธรรมและปฏิบัติธรรมได้เราก็จะไม่ประพฤติผิด ก่อบาป ก่อความชั่ว และสร้างความเดือดร้อนให้กับกลุ่มชน สิ่งที่เราพูดวันนี้อาจดูน่าเบื่อไปบ้าง แต่อยากจะบอกว่าเรื่องที่น่าเบื่อนี้ถ้ารู้จักคิดและนำไปใช้ย่อมมีความสุขได้ แต่มันอาจน่าเบื่อได้ถ้าเราไม่รู้จักคิดและนำไปใช้เลย
เรื่องสุดท้ายที่เราจะคุยกัน สรรพสิ่งในโลกนี้เมื่อเดินไปจนถึงที่สุดย่อมถอยหลังลงมา คนเราเมื่อเจริญเติบโตจนถึงที่สุด วันหนึ่งก็ต้องถอยหลังกลับมาสู่หนึ่งใหม่ เช่นกันอารมณ์ในกายที่พลุ่งพล่านไม่ว่าจะเป็น ความโกรธ ความเกลียด ความริษยา เราปล่อยจนถึงที่สุดสักวันก็กลายเป็นความเรียบง่ายธรรมดา ฉะนั้นก่อนที่จะเกิดบาดแผล ความบาดหมางในใจ เราข่มสิ่งเหล่านี้ไว้ดีไหม (ดี) อย่าไปทำอะไรให้ใครเจ็บปวดเลย เราเก็บไว้ก็ปวดใจอยู่แล้ว บางที่เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นแล้วสักวันหนึ่งก็ต้องเงียบหายไป แต่อย่าปล่อยให้สิ่งที่เกิดแล้วมาทำร้ายใคร เกิดแล้วจงดับที่ตัวเรา หยุดที่ตัวเรา เราต้องไม่ก่อการเบียดบังทำร้ายใคร ถ้าเราหยุดอารมณ์ที่ไม่ดีได้ รู้จักยับยั้งชั่งใจได้ คนนั้นก็ได้ชื่อว่าคนดีและบำเพ็ญธรรมได้ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือการควบคุมตัวเองให้มีธรรมะอยู่ทุกขณะจิต และไม่ปล่อยให้อารมณ์มาทำร้ายผู้ใด พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เช่นนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ทุกท่านในที่นี้ทำได้ แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
บางทีเราอยู่ในโลกนี้ที่ทะเลาะกันขัดแย้งกัน เพราะเราอยากเอาชนะเขา แต่เราคิดอย่างนี้เราทุกข์ไหมวุ่นวายไหม แม้บางครั้งจิตใจนี้จะเป็นจิตใจที่ดีก็ตามแต่เป็นทุกข์ เราอยากเอาชนะเมื่อใดก็เดือดร้อนเมื่อนั้น บางครั้งยอมแพ้ยอมถอยหนึ่งก้าวบ้างดีกว่า ฟ้าอาจจะสดใสขึ้น สอนโดยไม่พูดแต่ใช้การกระทำ ย่อมดีกว่าคำพูดใดๆ เอาตัวเราเป็นแบบอย่างที่ดีนั้นดีกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ฉะนั้นปฏิบัติธรรมขอเพียงเริ่มต้นที่ตัวเราก่อนอย่าไปเรียกร้องใคร ทำดีให้ได้ เมื่อเราทำดีได้แล้ว คนอื่นย่อมอยากทำตามจริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราคงมาเพียงเท่านี้ ไม่ได้อยู่กับท่านนานๆ ขอให้ท่านรักษาบุญโอกาสในการเป็นคนดี ในการสร้างความดีให้แก่ตน ในการที่จะเสียสละ ลดความเห็นแก่ตัว ลดความอยากในโลก โดยการเสียสละทำเพื่อผู้อื่นบ้าง ถ้าทำได้ก็เรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้วนะ พอทำไม่ได้ก็เรียกว่าคนเลินเล่อ ที่เห็นแก่ตัวอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้ว่าท่านเห็นแก่ตัวนะ แต่ธรรมบอกอย่างนั้นจริงๆ วันไหนที่เราทำเพื่อตัวเองก็เห็นแต่ตัวเอง ไม่เคยเห็นใคร เรายิ่งเห็นแก่ตัวเองมากๆ เราก็มีโอกาสทำร้ายผู้อื่นมากกว่า ประพฤติผิดมากกว่าประพฤติดี
วันนี้คงเพียงเท่านี้ ธรรมะพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ยืนเฉยๆ แล้วมีธรรมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางเรื่องการยืนดูเฉยๆ ก็ดีกว่าการพูดมากๆ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ขอให้รักษาบุญโอกาสนี้ด้วยการสร้างบุญโอกาสด้วยตัวเองนะ


วันอาทิตยที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บางเรื่องนั้นทำได้แต่ไม่ยอมทำ บางเรื่องนั้นแม้พยามแต่ทำไม่ได้
ศิษย์รักเอยเจ้าทั้งหลายเป็นแบบใด ทำไม่ได้ต่างกับไม่ยอมทำ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉงเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มไหม
ความละอายเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ชอบ
ความสงสารเป็นบ่อเกิดแห่งความเมตตา
ความอ่อนน้อมเป็นบ่อเกิดแห่งจริยธรรม
ความรู้ผิดรู้ชอบเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา
อย่าอาศัยผู้อื่นเป็นที่ตั้ง จงรับฟังกันเพื่อขจัดอุปสรรค
อย่าไปหาวิธีการไปหยุดเขานัก จงรู้จักหาวิธีให้เขาหยุดเอง
อย่าปล่อยให้บ้านนี้ต้องเงียบเหงา อาจารย์นี้เรียกศิษย์ก้าวไม่ใช่เร่ง
เรียกศิษย์รักรู้จักซึ่งตนเอง เรียกศิษย์เร่งตามกำลังอันสมควร
เป็นชาวบ้านธรรมดาบำเพ็ญง่าย ความราบเรียบเป็นไปไม่เร่งด่วน
น้ำเรื่อยเรื่อยเซาะหินเป็นกระบวน ขอศิษย์ชวนตนเองบำเพ็ญธรรม
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนเป็นพี่ที่อยู่ข้างๆ สร้างบรรยากาศเก่งไหม (เก่ง)  แต่ว่าเรานั่งอยู่กลับไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือ เห็นการเต้นแล้วเหมือนฝืนใจ ฝืนใจหรือเปล่า (ไม่ฝืนใจ)  ไม่ฝืนใจแต่เต้นไม่ถูกใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากว่าเต้นไม่ถูกต่อไปต้องมาเต้นบ่อยๆ ดีไหม (ดี)  บ่อยแค่ไหน คนที่เต้นมาได้บ่อยไหมก็ต้องถามว่าพี่ๆ ปีหนึ่งมากี่รอบ ถ้าหากว่าปีหนึ่งมารอบเดียวคนตรงนี้ก็มาปีละรอบเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าพี่มาปีละหลายรอบคนที่มาเต้นก็มาหลายรอบใช่ไหม (ใช่)  เราเดินตามใคร เดินตามพี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นพี่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีไหม เรารู้ไหมว่าเมื่อไรที่คนกำลังมองเรา เราไม่รู้ว่าเมื่อไรคนกำลังมองเรา เพราะฉะนั้นเราต้องระมัดระวังตัวเอง ทำทุกๆ อย่างด้วยความเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ในขณะที่เรากำลังมองจับผิดคนอื่น คนอื่นก็กำลังมองเรา เพราะฉะนั้นเราและคนรอบข้างต่างกันไหม เราและคนรอบข้างไม่ต่างกัน เราบอกว่าเราเป็นคน บางทีเราไม่อยากทำในเรื่องนี้ แต่ว่าการที่เราไม่ทำมีผลต่อคนอื่นหรือไม่ (มี)  การที่เราไม่ทำก็ย่อมจะมีผลต่อคนอื่นไม่มากก็น้อย เมื่อไรที่เราคิดว่าความดีอันนี้ เราทำมาเยอะแล้ว แต่เผอิญว่าคนที่มองเราไม่เคยเห็นเราทำ ถึงแม้ว่าเราจะทำมาเยอะแล้ว เราก็ยังต้องทำต่อไป ถึงแม้ว่าความดีข้อนี้เราบอกว่าเรายังไม่พร้อมจะทำ เราก็ยังต้องทำเพราะเรานั้นเป็นแบบอย่างของผู้อื่น
เมื่อไรที่ศิษย์พร้อมจะเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น ศิษย์ก็เป็นครู หากว่าศิษย์อยากจะเป็นผู้ที่คนอื่นต้องพร่ำสอนศิษย์ก็เป็นลูกศิษย์เป็นนักเรียนอยู่เสมอ เราเก่งไหม (ไม่เก่ง)  เรามักจะคิดว่าเรานั้นเป็นคนเก่ง อยู่กับคนสิบคนก็บอกว่าตัวเองเก่ง อยู่กับคนร้อยคนตัวเองเก่งไหม ก็ยังเก่งอยู่ ไม่ว่าเราจะอยู่กับใครเราก็เก่งที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเก่งแล้วต้องเก่งในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะให้คนอื่นนั้นมองเราเป็นแบบอย่างให้ได้ ไม่ใช่กลายเป็นผู้ที่คนอื่นต้องมาพร่ำสอนเราเสมอ บางคนสอนด้วยตาเคยเห็นไหม บางทีเขาถมึงตามองเรากลัวไหม บางคนสอนเราด้วยเสียงกระแอมกลัวหรือไม่ (ไม่กลัว)  บางคนทนไม่ไหวถึงขนาดพูดบอกเราตรงๆ เลย เราก็ยังไม่กลัว ฉะนั้นเราอย่าคิดว่าไม่ว่าเราจะถมึงตา เอียงหูฟัง ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าคิดว่าคนอื่นเขากลัวเรา แต่สิ่งที่เขาทำตามเรา เพราะว่าการที่เรานั้นทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีเท่านั้น เป็นการสอนด้วยการกระทำ ถ้าผู้อื่นไม่ทำตามเราจะหมดกำลังใจไหม (ไม่)  เราดีเพราะคนอื่นหรือเปล่า ตัวเราไม่ได้ดีเพราะคนอื่น เพราะฉะนั้นต่อให้คนอื่นชมหรือด่าเราก็ทำต่อไป อยู่ที่ว่าเราบอกตัวเองได้ไหมว่าสิ่งที่เราทำมันใช่สิ่งที่ดีจริงๆ หรือไม่ ถ้าหากเราบอกว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดีจริง แล้วศิษย์เลิกทำเพราะคนอื่นเขาด่าเราถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  ใครไม่ถูก ตัวเราทำไม่ถูกจริงหรือไม่ (จริง)
บางทีเราทำถูกบางทีเราทำผิด ถ้าหากว่าเราทำผิดมากกว่าถูกเราก็กลายเป็นคนที่ชอบทำไม่ดีจริงหรือเปล่า (จริง)  ถึงแม้จะบอกว่าเรานั้นทำดีด้วยคนเชื่อเราไหม (ไม่เชื่อ)  ถ้าหากว่าเราทำถูกมากกว่าทำผิด เราก็กลายเป็นคนดี เพราะฉะนั้นทุกคนทำถูกและทำผิดได้แต่ทุกคนทำถูกหรือผิดมากกว่ากัน คนที่คิดว่าทำผิดมากกว่าถูกยกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองทำถูกมากกว่าผิดยกมือขึ้น ใครยังตอบไม่ถูกว่าผิดหรือถูกดียกมือขึ้น คนยกครั้งที่สามนี่สับสนแย่เลย จริงๆ แล้วเรื่องที่บอกว่าผิดหรือถูกเป็นเรื่องที่พูดยากที่สุด จริงอยู่ที่ว่าจะเอาอะไรมาวัด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าถามหน่อยว่าคนที่มีมาตรฐานสูงกับคนที่มีมาตรฐานต่ำ สองคนอยู่ด้วยกันมีอะไรเหมือนกัน มีมาตรฐานเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติมาตรฐานต่ำที่สุดอยู่ที่สิบ คนหนึ่งมีมาตรฐานอยู่ที่ห้าสิบ อีกคนมีมาตรฐานต่ำอยู่ที่สามสิบ สองคนมี
หลายๆ ครั้งที่อาจารย์เห็นศิษย์แล้วรู้สึกว่าเป็นอาการของคนไม่ยอมทำมากกว่า พอไม่อยากทำใจก็ฝ่อ พออยากทำยากแค่ไหนใจก็สู้ ใจที่สู้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แต่มันอยู่กับเราตลอดไหม (ไม่)  ทำอย่างไรให้อยู่กับเราตลอด เรามุ่งหวังว่าจะต้องให้คนที่เราชอบเท่านั้นมาเป็นผู้ให้กำลังใจเรา ต้องให้คนที่ใครๆ ยกย่องเขาว่ามีความสำคัญมาเห็นตอนเราทำดีเท่านั้นเราถึงอยากจะทำ คิดอย่างนี้ไปรอดไหม คำว่า “สู้” ผูกอยู่กับใคร (คนอื่น)  คำว่า “สู้” ของศิษย์ผูกอยู่กับคนอื่น ไม่ได้ผูกอยู่กับหัวใจตัวเอง เพราะฉะนั้นทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต่อไปนี้ถ้าหากว่าเราเจอเรื่องอะไรที่เรารู้สึกว่าเราทำไม่ไหวทำไม่ได้ ลองถามตัวเองว่าทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าเราขี้เกียจหรือเปล่า หรือว่าเราไม่พร้อม หรือว่าเราไม่ดี หรือว่าเราไม่ใช่ หรือคนอื่นไม่เอาเรา หรือเราไม่เอาตัวเอง ต้องไปคิดดูใหม่ใช่ไหม (ใช่)
เคยเป็นไหม เวลามีเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตเราก็รู้สึกว่าเฉยๆ เวลามีเรื่องแย่ๆเข้ามาในชีวิตเราก็เฉยๆ เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วเรื่องอะไรทำให้เราดีใจได้  มีความกระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้นในชีวิตของเรา  ความกระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้นสร้างได้อย่างไรบ้าง (สร้างด้วยจิต)  แล้วจิตอยู่ไหนล่ะ (อยู่ที่ใจ ตั้งใจที่จะทำ)  หัวหน้าผู้หญิงก็ตอบแล้วผู้ชายก็ตอบแล้วเชิญนั่งลงได้ (ขอบคุณอาจารย์เมตตา)  พออาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้นั่งพร้อมกันใครนั่งช้าแม้แต่คนเดียวยืนขึ้นใหม่หมดเลย  เราเป็นปลาข้องเดียวกันถ้าเน่าตัวเดียวก็เน่าหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝึกแบบนี้ ให้เล่นกิจกรรมแบบนี้ห้ามแก่เด็ดขาด ห้ามบอกว่าอายุเลยห้าสิบแล้วไม่ไหว ตัวแก่ไป ใจแก่หรือเปล่า (ไม่แก่)  อายุมากเป็นอุปสรรคหรือเปล่า (ไม่เป็น)  อายุมากไม่ใช่อุปสรรคของความกระตือรือร้นกระปรี้กระเปร่า  สังเกตว่าตั้งแต่สองวันมานี้นั่งๆยืนๆช้าไปหมดเลย  เดินก็เดินช้าๆ บางคนเดินเข้ามาคอตก  บางคนนั่งยังไม่ทันถึงครึ่งหนึ่งเลยก็หลับ จริงหรือไม่ (จริง)  อะไรที่มันหายไปจากชีวิตของเรา เราดึงมันกลับมาดีหรือไม่ (ดี)
เราเคยรู้สึกไหมว่า ขา เข่า มันเริ่มติดๆแล้ว เมื่อยก็บ่อยขึ้นเรื่อยๆ  หลังที่เคยไม่ปวดก็เริ่มปวดมากขึ้นๆ  เคยเห็นไหมว่าผมขาวมันขึ้นมาทีละเส้น (ไม่เคย)  การที่คนมีความทุกข์เป็นเรื่องผิดปกติหรือเปล่า (ไม่ผิด)  ศิษย์อยู่ในโลกนี้เรียกว่าอยู่ในทะเลทุกข์  จะหันซ้ายขวาหน้าหลัง จะดูข้างในดูข้างนอก จะดูเข้าไปในตามองเข้าไปในใจก็มีแต่ความทุกข์  ถ้าหากว่าตอนนี้มีความสุขอีกไม่นานความทุกข์ก็จะมา  เพราะฉะนั้นความทุกข์เป็นปกติของชีวิต ความสุขต่างหากที่ผิดปกตินานๆมาที จริงไหม (จริง)   อาจารย์จะบอกกับศิษย์ว่าเมื่อเรามีความทุกข์เป็นปกติแล้วเราก็อยู่กับความปกติด้วยความปกติ ดีหรือไม่ (ดี)  เวลามีความทุกข์แล้วอยากร้องไห้ ร้องไห้ทำไม ร้องเสร็จแล้วถามว่าความทุกข์หายไหม (ไม่หาย)  มันไปแล้วมันก็กลับมาอีกแล้วก็บ่อยด้วย แต่ว่าความทุกข์มันเหมือนผมขาวบนศีรษะเรา มันขึ้นทีละเส้นจริงหรือไม่ (จริง)  ผมขาวมีกี่เส้น มี 2-3 เส้นขึ้นมา ถามว่าเราสนใจไหม (สนใจ)  เราสนใจแล้วเราก็สังเกตด้วย แต่เราสนใจผมดำที่อยู่ทั้งหัวไหม  เราไม่สนใจผมดำที่มันมีอยู่ทั้งหัวเลย  อาจารย์ขอเทียบผมขาวเหมือนกับความทุกข์ที่มันงอกขึ้นมา แล้วเราก็เฝ้าสังเกตความทุกข์นั้น มองแล้วก็เพ่ง ยิ่งเพ่ง ยิ่งชัด ยิ่งทุกข์ ผมดำที่มีอยู่ทั้งหัวเป็นความสุข เราสนใจไหม (ไม่สนใจ)  เพราะฉะนั้นเรามีความทุกข์เป็นเรื่องปกติ จริงหรือเปล่า (จริง)
ตอนแรกอาจารย์บอกว่าอยู่นี่มีความทุกข์เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ทำไมบอกว่าผมดำทั้งหัวเป็นเรื่องความสุข เพราะว่าอะไร เพราะถึงแม้ว่าเราจะเกิดมาอยู่ในทะเลทุกข์ก็ตาม แต่ทว่าความสุขที่มัน จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าไม่เคยจะมีเลย จริงๆ มันอยู่กับเราตลอดเวลา จริงหรือไม่ (จริง)  เราจะเอาความทุกข์มาโจมตี
ร่างกายอันนี้ยิ่งไปบำรุงบำเรอมันเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าคนเป็นนักเรียกร้อง เรียกร้องในทางอะไร เรียกร้องในทางเพิ่มมากขึ้นๆ  ถามว่าเพิ่มแล้วเมื่อไรลด  เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงต้องมาเบรคให้ตัวของเรานั้นสะดุดหยุดอยู่กับที่ เหมือนเมื่อเรากินเข้าไปมากๆ ถึงเวลาไม่กินตอนไหน ตอนไม่สบาย กินไม่ลง อย่างนี้ ก็ดีเหมือนกันนะไม่อย่างนั้นก็ต้องกินเยอะ ไปเรื่อยๆ
เรื่องทุกเรื่องจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ไหน (ตัวเรา)  อย่าตอบว่าตัวเรา อย่าตอบว่าใจของเราเท่านั้น เพราะว่าคำตอบประเภท ตัวเราและใจเราเป็นคำตอบที่เป็นยาครอบจักรวาล เพราะว่าทุกอย่างก็อยู่ที่ตัว และทุกอย่างก็อยู่ที่ใจ แต่ว่าสิ่งที่เป็นตัวและเป็นใจตัวเอง ก่อนที่จะเป็นตัวและเป็นใจตัวเอง มองเข้าไปให้ลึกๆ แล้วจะเห็นมากกว่า ตัวและใจเท่านั้น  ถ้าเราพูดว่าทุกอย่างก็คือตัวของเรา ทุกอย่างก็คือจิตใจของเรา เราจะแก้ไม่ถูกเลย จริงหรือไม่  (จริง)  เหมือนคนที่ชอบกินยาปฏิชีวนะ กินเข้าไป ไม่รู้ว่ารักษาโรคอะไร รู้แต่กินแล้วมันหาย เพราะฉะนั้นมองเข้าไปให้ลึกๆ ว่าตัวของเราและใจของเรานั้นที่มีปัญหาจะแก้ที่ตรงไหน  ใจของเรามีอะไรบ้าง ใจมีอุปนิสัย เพราะฉะนั้นต้องแก้ที่นิสัยของตัวเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)  เรารู้แต่ว่าเวลาที่เราจะทำอะไรเรามักจะตามใจตัวเอง สมมุติว่าทุกครั้งที่เราจับ
การทำให้ทุกๆ คนยอมรับจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า   ฉะนั้นการที่จะไปเปลี่ยนคนอื่นพร้อมๆ กับเรา ยากไหม (ยาก)  เปลี่ยนตัวเราเองง่ายกว่า แต่ระวังว่าเปลี่ยนแล้วก็เหมือนเราเปลี่ยนท่าจับแก้ว ทุกคนเปลี่ยนเหมือนๆ กันแล้วเปลี่ยนไปมีข้อเสียเหมือนๆ กัน เปลี่ยนจากข้อเสียอย่างนี้ไปเป็นข้อเสียอย่างอื่นที่เหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้นเราก็ยังจะไม่พ้นวนเวียน ทำอย่างไรให้เราพ้นวนเวียน ฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนตัวเรา การเรียกร้องตัวเองเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิต แต่ว่าทำได้ง่ายกว่าการไปเรียกร้องคนอื่น  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว สิ่งที่เหมือนๆ กันก็คือนิสัย นิสัยนั้นเราจะเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  การที่เราจะกระปรี้กระเปร่ากระตือรือร้นขึ้นมานั้น จึงต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
สิ่งที่อยู่ในใจอีกนั้นก็คือ นิสัย ยังมีอะไรอีก (ความคิด)  สิ่งที่เราควรจะเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่ง คือ ความคิด ความคิดของเราเปลี่ยนไหม สามีเคยคิดว่าภรรยาขี้บ่น มองไปกี่ทีๆ ก็ยังขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่)   ต้องเปลี่ยนเป็นไม่บ่น ทำได้ไหม  เวลาที่มองอะไรสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเราก็มีความคิดและก็ความรู้สึกกับสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)   สมมติว่าเราเพิ่งได้ยินว่าคนนั้นเป็นคนที่ลักเล็กขโมยน้อยเรามองเขาเดินมาแต่ไกล ใจเราก็เห็นเขาเป็นโจรเราไม่ได้เห็นเขาเป็นคนนั้น ต่อมาห้าวันให้หลังมีคนมาเล่าให้เราฟังว่าจับโจรตัวจริงได้แล้ว เราจะมองเขาว่าเป็นโจรอีกไหม (ไม่เป็น)  เพราะฉะนั้นความคิดของเราสำคัญไหม (สำคัญ)  เวลามีคนบอกว่าแอปเปิ้ลลูกนี้สีชมพู เราก็มองแอปเปิ้ลลูกนี้เป็นสีชมพูทันที หากเรามองให้เป็นสีแดงยากไหม (ยาก)  ถ้าอาจารย์บอกว่าแอปเปิ้ลลูกนี้สีแดง มาเปลี่ยนความคิดศิษย์ยากไหม (ยาก)  ความคิดเป็นสิ่งที่เกาะแน่น และยึดติดอยู่ในใจเราเอง การเปลี่ยนความคิดจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเปลี่ยนในจิตใจเราที่ยากอันดับต่อไปก็คือความคิด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดไหม หากเราต้องการได้ความสุข ความราบรื่นในชีวิต จำเป็นต้องเปลี่ยนมากแค่ไหน
สมมติว่าศิษย์ของอาจารย์มีสามีอยู่ที่บ้าน สามีเป็นคนที่ขี้เหล้า เที่ยวเก่ง ไม่เอาไหน นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเรา ลูกของเราเป็นคนเที่ยว เรียนไม่เก่ง เวลาเรามองหน้าเขา เราอยากชมไหม แต่ถ้าเราว่าเขาทุกวันจะเกิดอะไรขึ้น ทุกวันนี้เราก็ทำใช่ไหม ไม่ว่าด้วยคำพูดแต่ก็ว่าด้วยหางตา ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ทำอย่างไรให้เขาเปลี่ยน (พูดดีๆ)  พูดดีๆ ถามว่าพูดได้ไหม เราทำไม่ได้หรือไม่ยอมทำ
ทำอย่างไรให้เรามองเขาให้ดีขึ้น เราต้องเปลี่ยนความคิด สมมติว่าคนนี้เป็นคนขี้เหล้า แต่ทุกครั้งเวลาที่กินข้าวเสร็จ เขามาช่วยเราล้างจาน ผ่านไปสิบปีเรารู้สึกว่าการล้างจานเป็นหน้าที่ของเขา เราลองขุดเรื่องนี้มาเป็นเรื่องชมเขาทำได้ไหม (ได้)  แต่การมองเห็นข้อดีของเขายากไหม (ยาก)  การมองข้อดีในข้อเสียของเขากลับยาก แต่ว่าถ้ามองข้อดีในข้อเสียของตัวเองกลับง่ายเพราะเราเห็นใจตัวเราเองมาก เพราะฉะนั้นจงเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วมองเห็นเขาเหมือนมองเห็นตัวเราเอง แม้ว่าข้อดีเล็กน้อยของผู้อื่นจงอย่าได้มองข้าม แต่ว่าข้อเสียของเขามองข้ามไปบ้าง อาจารย์มองว่าศิษย์มองข้ามข้อเสียไปครึ่งหนึ่ง ยังเหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งเลยนะ เราต้องมองว่าข้อเสียของเขามีผลกระทบต่อผู้อื่นหรือไม่ หากว่ามี
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาทมาให้นักเรียนอ่าน)
พระโอวาทอาทิตย์ที่แล้วอ่านว่าอะไร “พึงรู้ธรรมดา”  พึงรู้ธรรมดาหมายถึงอะไร ตั้งแต่ต้นที่อาจารย์พูดไป ทุกวันนี้เวลาเราหาสิ่งใดก็แล้วแต่ แสวงภายนอก แสวงวัตถุ แสวงสิ่งที่จะมาบำรุงจิตใจก็ดี เรามักจะแสวงสิ่งที่ไม่ธรรมดา สิ่งที่เป็นพิเศษถูกหรือเปล่า แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่เป็นธรรมดาที่อยู่กับเรา เป็นสิ่งที่ดีสุด อย่างเช่นอาจารย์พูดไปตั้งแต่ตอนต้นว่าความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาจริงไหม (จริง)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  จากมุมมองของมนุษย์บอกว่าความทุกข์ไม่ดี แต่ถามว่าทุกวันนี้ที่มีความสามารถ ทุกวันนี้ที่เก่งได้ขนาดนี้ ทุกวันนี้ที่ได้มาทั้งหมดได้มาจากความสุขหรือเปล่า ความสุขนั้นทำให้ศิษย์นั้นนอนสบายไขว่ข้าง แต่ความทุกข์ทำให้ศิษย์นั้นออกไปฝึก เพราะฉะนั้นอะไรดีกว่ากัน (ความทุกข์)  แล้วถ้าไม่มีความทุกข์ที่ให้ศิษย์ออกไปฝึกฝน ถามว่าศิษย์จะมีความสามารถ แล้วใช้ความสามารถแปรเป็นเงินทองอย่างที่ทุกวันนี้ทำได้ไหม
ฉะนั้นความทุกข์เป็นสิ่งที่ดี ในความธรรมดาสร้างสิ่งที่ไม่ธรรมดา แต่ในความไม่ธรรมดาสร้างแต่เรื่อง สร้างแต่พิบัติสร้างแต่ความหายนะ เพราะฉะนั้นความธรรมดาที่มีอยู่ดีแล้ว เสื้อผ้าของศิษย์นั้นเป็นเสื้อผ้าธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  จริงหรือ เวลาให้ออกไปซื้อเสื้อมาสักตัวหนึ่ง ถ้ามีเงินมากหน่อยถามว่าจะซื้อเสื้อธรรมดาๆ มาไหม (ไม่)  ถ้าหากว่ามีเงินมากหน่อยเราจะเลือกเสื้อที่ธรรมดาที่สุด ที่ไม่พิเศษ ที่ไม่มีลวดลาย ที่เรียบๆ มาหรือเปล่า (ไม่)  ถ้ามีโอกาสเลือกเราเลือกในสิ่งที่ดีเสมอจริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถามว่าเสื้อตัวที่เราบอกว่าเป็นเสื้อที่เก่าที่สุด เราอยากจะโละเป็นผ้าขี้ริ้วถามว่ามีสภาพของความเป็นเสื้อไหม (มี)  ก็ยังมีสภาพของความเป็นเสื้อ ถามว่าเสื้อธรรมดาที่ไม่ต้องเสียเงินกับเสื้อที่ไม่ธรรมดาที่ต้องไปเสียเงินซื้อตัวไหนดีกว่ากัน บางคนเอาเสื้อเก่ามาทำเสื้อนอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเสื้อเก่านอนสบายจริงหรือเปล่า (จริง)  เสื้อใหม่จะใส่ทีก็ต้องมารีดใช่ไหม ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นอย่ามองว่าสิ่งที่ธรรมดาไม่ดี สิ่งที่ธรรมดาดีที่สุด คนที่มีชีวิตที่ราบเรียบ คนที่มีชีวิตที่ธรรมดาเป็นชาวบ้านเป็นชีวิตที่ดีที่สุด เพราะว่าชีวิตที่มีความราบเรียบ เมื่อเส้นชีวิตราบเรียบการทำอะไรออกมา ย่อมมีเวลามากกว่าคนที่มีความรู้ ย่อมมีเวลามากกว่าคนที่ยุ่งทั้งวันจริงหรือไม่ (จริง)  ทุกวันนี้ใครที่ยุ่งทั้งวันมีไหม หลายคนเป็นคนที่ยุ่งทั้งวันเลย ยุ่งทั้งข้างนอกยุ่งทั้งข้างในเลย จริงหรือไม่ (จริง)  การที่เราเป็นคนที่ยุ่งทั้งวันจึงเป็นคนที่ไม่มีความธรรมดาอยู่ในตัว ต้องหาอยู่เสมอ ต้องดิ้นรนอยู่เสมอ ถามว่าดิ้นรนไปเรื่อยๆ มีความสุขไหม (ไม่มี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง “แค่อยากเอาชนะ”)
เคยไหมแก้ตัวจนลิ้นพัน เคยไม่เคย (เคย)  ถามว่าพ้นผิดหรือเปล่า (ไม่พ้น)  ถ้าแก้ตัวไม่พ้นผิดแล้วจะเลิกแก้ตัวไหม
การแก้ตัวไม่ได้ทำให้เราพ้นผิด  แต่การแก้ไข ทำให้เราพ้นจากความผิดอย่างถาวร  การเปลี่ยนแปลงตนเองท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจและต้องปรับตัวของเราอย่างรวดเร็ว  ถ้าหากเราไม่เป็นผู้ที่รู้จักปรับตัว เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถที่จะดิ้นได้  แต่หากว่าเราสามารถที่จะแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ  ความผิดต่างๆ ไม่ได้อยู่กับเรา
เวลาคนอื่นพูด เราหลีกไม่พ้นคนเข้าใจผิด  แต่เราหลีกพ้นจากความผิดได้เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่จะมองเห็นแล้วรู้ทันที  แต่ต้องมองไปนานๆ มองยิ่งนานก็ยิ่งรู้ว่าคนนั้นผิดจริงหรือไม่จริง  หากว่าเขามองว่าเราเป็นคนที่ทำแก้วแตก เราแก้ตัว
ฉะนั้นเวลาที่คนเขาจะมองว่าเราเป็นคนประเภทไหน เขาไม่ได้มองแค่ที่เราทำแก้วตกเท่านั้น  เขาจะมองไปถึงที่เราทำในอดีตและอนาคต  แล้วเขาจะมองว่าศิษย์นั้นเป็นคนทำหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราดูตัวเองออกไหม ดูตัวเองต้องยอมรับความเป็นจริงด้วย  หากเราเป็นคนประมาทเลินเล่อ อนาคตของเราจะดีไหม (ไม่ดี)  แต่การที่จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนประมาทเลินเล่อนั้นยากหรือไม่ยาก
ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นจะเป็นสิ่งที่เราเห็นเสมอ  เมื่อเวลาเปลี่ยนเราจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วย  เมื่อเรามีลูก เมื่อก่อนลูกต้องการเราเลี้ยง พอเราเปลี่ยนไปลูกต้องเลี้ยงเรา เมื่อก่อนลูกต้องฟังเรา เดี๋ยวนี้เราต้องฟังลูก ถามว่าเหมือนเดิมไหม (ไม่เหมือน)  โอวาทนี้เมื่อเวลาเปลี่ยนไปจากอาทิตย์ที่แล้ว ถามว่าจากธรรมดาก็กลายเป็นไม่ธรรมดา
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “พึงรู้ธรรมตามสภาพ”)
แต่ละคนที่นั่งที่นี่มีสภาพที่เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่สามารถที่จะรู้ธรรมได้เหมือนๆกัน  ธรรมที่เป็นไปตามสภาพภาวะแวดล้อม  ธรรมอยู่ทุกๆ ที่ที่เราไปและเราอยู่  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในภาวะที่เครียด หรืออยู่ในภาวะที่สบาย ไม่ว่าศิษย์จะอยู่ที่ไหน เมื่อไร วันไหน  ศิษย์สามารถที่จะรู้ธรรมไปตามสภาพของตัวเองได้  สภาพที่แท้จริงและยอมรับความเป็นจริงจะทำให้ศิษย์เป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดีได้  หลายๆคนที่เป็นพี่คือมาก่อน แต่ว่าพี่ไม่ค่อยชำนาญไม่ค่อยเก่ง น้องเก่งกว่า เราต้องรู้ธรรมตามสภาพของตัวเอง รู้ว่าตัวเองนั้นมีความสามารถด้อยกว่า ต้องให้น้องมีบทบาทมากกว่า  แต่เราก็ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นพี่ ฉะนั้นพี่จะไปพาลน้อง จะไปเอาเรื่องน้อง ได้ไหม (ไม่ได้)
คนที่อยู่ในช่วงของการปฏิบัติธรรม คนที่อยู่ในช่วงๆ หนึ่งก็อาจจะเหมาะกับช่วงๆ นั้น  เมื่อเวลาเปลี่ยนไปเราก็ต้องให้คนใหม่ บทบาทใหม่ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น แล้วเราก็ต้องเรียนรู้และยอมด้วย  คลื่นลูกหลังมักจะมาแซงคลื่นลูกแรก  แต่ว่าคลื่นลูกหลังต้องรู้จักที่จะทำตัวอ่อนน้อม จึงจะทำตัวให้พี่เกิดความรู้สึกยอมรับได้ จริงหรือไม่ (จริง)
จริงๆ แล้ว อาจารย์เป็นคนที่ชอบศิษย์ของอาจารย์ที่บำเพ็ญทุกๆ คนนะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในระยะทางการบำเพ็ญ อาจารย์เห็นคนที่เป็นชาวบ้าน เวลาบำเพ็ญแล้วดีกว่าคนที่เป็นปัญญาชนบำเพ็ญอีก เพราะว่าบำเพ็ญด้วยความซื่อ ความใส และไม่ใช้ความคิดมากในการบำเพ็ญ  ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์ที่อยู่ที่นี่ ซึ่งไม่เหมือนกับชั้นเรียนในชั้นตามเมืองเจริญ อย่างเช่นกรุงเทพฯ  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์บำเพ็ญได้ จะสำเร็จธรรมง่ายกว่าคนที่เป็นพวกฉลาด เพราะว่าฉลาดก็มักมาพร้อมกับวิธีการ มักจะใช้ความคิดในการทำโน่นทำนี่ จนเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต  อยากจะได้อะไรอย่างหนึ่งก็ไม่พูดอย่างนั้น แต่ไปพูดอีกเรื่องหนึ่ง ทำไปทำมาจึงได้มา แต่ว่าได้เรื่องอื่นมาด้วย ฉะนั้นคนที่เป็นปัญญาชน การบำเพ็ญธรรมต้องเท้าติดดินมากๆ ต้องรู้จักตัวเองมากๆ ต้องย้อนมองส่องตนบ่อยๆ จึงจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จง่ายเหมือนๆ กัน  ฉะนั้นคนที่รับผิดชอบอยู่ที่นี่ จึงได้มีความหวังกับที่นี่มากๆ ลงแรงแล้วก็ทุ่มเทตามที่สภาพพาไป ต้องใช้ปัญญา ต้องแยกแยะถูกผิดให้ได้ แล้วก็อย่าหัวสี่เหลี่ยม  เวลาจะออกจากสี่เหลี่ยมก็ต้องระวังด้วย ว่าคนอื่นจะไม่ชอบใจนะ เพราะว่าทุกคนก็สี่เหลี่ยมเหมือนๆ กัน ถ้ามีใครสักคนอยากจะกลมขึ้นมาก็ต้องกลมอย่างมีศิลปะใช่ไหม
คนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมมักจะชอบนินทาคนที่เห็น นินทาคนที่มีศีลมีธรรม แต่คนที่มีศีลมีธรรมก็อย่าคิดว่า แม้เราตั้งตัวอยู่ในศีล เราทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วคนเขาจะเลิกนินทาเรา เพราะว่าคนนินทากันเหมือนกับเป็นนิสัย อดไม่ได้ปากมันคัน ฉะนั้นจะบอกว่าเวลาศิษย์คิดจะตอบโต้หรือโต้แย้ง จงโต้แย้งอย่างคนที่คิดหน้าคิดหลังแล้วก็มีสติ อยู่ที่ไหนก็ไม่พ้นคนนินทา แต่ว่าเราอย่าไปนินทาใคร เวลาศิษย์ทำดีมากแค่ไหนแล้วถูกคนเขาว่าเขาตำหนิ จะตอบโต้ก็ดีจะอยู่เฉยก็ดี แม้บางทีอยู่เฉยก็ยังผิดเลย บางทีการเฉยไปก็เป็นการผิด บางทีการพูดไปก็เป็นการผิด ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราควรจะทำอะไร มันก็อยู่ที่ปัญญาของเรา
คนบำเพ็ญถ้าไม่มีปัญญาจะทำให้บำเพ็ญลำบากมาก มีปัญญาน้อยไปก็ลำบากมาก แต่หากฉลาดเกินคนอื่นก็ลำบากอีกเหมือนกัน คนอื่นไม่รู้แต่เรารู้อยู่คนเดียว เคยไม่เคย (เคย)  แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่เรารู้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรารู้สึกว่าตัวของเราเป็นคนดีมากๆ แล้วเราโจมตีคนที่เขาทำผิด ถ้าหากว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรมเป็นสุภาพชนโจมตีคนอื่นมากเกินไป โจมตีคนชั่วมากเกินไป รู้ไหมว่าใครผิด คนที่เป็นคนบำเพ็ญธรรมคนนั้นก็จะเป็นคนผิด เพราะฉะนั้นการที่จะบอกว่าเขาไม่ดี ทุกคนบอกว่าเขาไม่ดี แล้วช่วยกันประโคมช่วยกันโจมตีก็เป็นความผิดของคนที่บำเพ็ญธรรมเหมือนกัน แม้ว่าเราจะพูดถูกทุกคำ จริงไหม (จริง)  พูดถูกทุกคำพอรวมๆ กันแล้วมันผิด ผิดที่ไหน ผิดที่ความประพฤติของเรา
ทำอะไรก็แล้วแต่คิดหน้าคิดหลัง พูดอะไรออกมาสักคำหนึ่งก็ให้พูดยากเหมือนพิกุลทองจะร่วงออกจากปาก ให้มันพูดยากหน่อย พูดน้อยหน่อย พูดดีหน่อย   จะทำอะไรสักเรื่องหนึ่งก็ขอให้ทำอย่างคนที่มีความคิด เมื่อคิดแล้วว่าถูกแต่หากคนเขาทักว่าผิดเราต้องฟังอยู่ดี เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เราคิดว่าถูกมันก็อาจจะผิดได้ สำคัญที่สุดคือความคิด เพราะถ้าหากเรามีความคิดที่ยึดติดอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้สำเร็จ เหมือนคำพูดที่มนุษย์ชอบกล่าว อาจารย์ก็ชอบนะคำนี้ บอกว่า “เมื่อความคิดเปลี่ยนชีวิตก็เปลี่ยน”  เมื่อมองเห็นคนที่เดินมาไม่ใช่โจร ต่อให้เขาเป็นโจรเราก็ไม่ได้มองเขาด้วยหางตา แต่หากว่าเขาผิดไม่ว่าเขาจะทำดีกับเราแค่ไหนเราก็ยังมองว่าเขาเป็นโจรอยู่ดี ฉะนั้นเมื่อความคิดของเราเปลี่ยนทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป อาจารย์ถามนักเรียนมาสองชั้นแล้ว ถามว่าจำเป็นแค่ไหนที่เราจะต้องพูดว่าคนอื่น จำเป็นแค่ไหนที่เราจะต้องนินทาผู้อื่น จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องพูดไม่ดี นักเรียนในสองชั้นตอบเหมือนกันว่าไม่จำเป็น คำพูดที่ไม่ดีไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ไม่มีความจำเป็นข้อไหน แต่หากว่ามีความจำเป็น ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นสิ่งที่เดือดร้อนต่อผู้อื่นเราอาจจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่จงระวัง เพราะว่าเวลาไปช่วยคนตกน้ำต้องระวังตัวเองจะจมน้ำตายด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สี่อย่างข้างหน้านี้คือ ความละอาย ความสงสาร ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความรู้ผิดรู้ชอบ เป็นสิ่งที่อยากให้ศิษย์ไปทำเป็นการบ้านให้มองว่าเราสงสารคนจริงๆ ไหม หรือสงสารแบบหมั่นไส้ ถ้าหากว่าเราสงสารผู้อื่นได้ ต่อไปเราก็จะเป็นคนมีความเมตตา หากว่าเรามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปได้ ต่อไปเราจะเป็นผู้ที่รู้ผิดชอบชั่วดี  ถ้าหากว่าเรามีความอ่อนน้อม ต่อไปเราจะเป็นคนที่มีมารยาท ฉะนั้นจงอย่ากลัวการก้มหัวให้กับผู้อื่น อย่ากลัวผู้อื่นมาหลอกใช้ เพราะนั่นเป็น
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทจากพระโอวาทซ้อนคำว่า “พึงรู้ธรรมตามสภาพ”) อ่านว่าอะไร ดุลจิต คืออะไร คือจิตใจที่มีความสมดุล ถ้าหากว่าตอนนี้ให้มองกลับไปที่จิตใจของตนเองว่าเป็นคนที่มีจิตใจสมดุลไหม สมดุลหรือยัง (สมดุล)  เคยร้องไห้ไหม เคยหัวเราะอยู่คนเดียวไหม เคยเบื่อไหม เคยเศร้าไหม เคยทุกข์ไหม เคยสุขไหม (เคย)  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน ทั้งทุกข์ สุข เสียใจ ดีใจ โกรธ ยินดี อยากได้ ไม่อยากได้ พลัดพราก เจอกัน สองอย่างนี้ศิษย์ต้องอยู่ตรงกลาง ศิษย์ต้องหาตรงกลาง ถ้าหากสมมติจิตใจของตนเองเป็นถ้วยหนึ่งที่ใส่ทรายไว้ ทรายอันนี้ศิษย์ลองเกลี่ยให้เสมอได้ไหม (ได้)  การเกลี่ยทรายนั้นทำง่าย แต่การเกลี่ยใจนั้นทำยาก เพราะว่าเรายังสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง ตอนที่ยินดีเราก็ชอบ ตอนที่เสียใจเราก็ไม่ชอบ อย่างนี้จิตใจไม่สมดุล คนที่มีจิตใจมีสมดุล จะไม่รู้สึกเบื่อง่าย จะไม่รู้สึกเหนื่อยง่าย จะไม่รู้สึกชอบหรือชัง  คนที่มีจิตใจสมดุลจะสามารถทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างตัวเองมีความสุข โดยที่ตัวเราเองไม่ต้องถึงขนาดมีความสุขก็ได้ เพียงรู้สึกยินดีก็พอ
อาจารย์เห็นคนที่มีจิตใจไม่สมดุลเป็นคนที่มีความทุกข์มากเลยนะ เห็นใครทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เหมือนคนที่มีแก้วน้ำแต่ไม่มีน้ำ มันเป็นความทุกข์มากๆ มีสิ่งที่ควรใช้แต่ไม่ได้ใช้ ถ้าภาษาจีนก็เรียกว่า不平衡的心“ปู้ผิงเหิงเตอซิน”  ฉะนั้นถ้าหากว่าอยากมี不平衡的心ผิงเหิงเตอซิน”  ก็คือจิตใจที่มีสมดุล ต้องไปพยายามอย่างไร ต้องเป็นคนที่ปฏิบัติเท่านั้นถึงจะรู้ แต่หวังว่าคำแรกนี้ รู้ธรรมตามสภาพอยากให้คนที่ใหม่ๆ ได้รับไป ส่วน “ดุลจิต”  อยากให้คนเก่าๆ ได้รับไป เพราะอาจารย์เห็นศิษย์ทั้งหลายแม้จะบำเพ็ญมานานปียังมีความลุ่มหลงในโลก มีความ
ศิษย์ที่เป็นนักเรียนในสองวันนี้ไม่มีใครมีบุญมากกว่าใคร ไม่มีใครวาสนาดีกว่าใคร ทุกๆ คนที่มานั่งอยู่ที่นี่มีดวงชะตาที่พอๆ กันแต่อาจารย์มองว่าศิษย์ทุกคนนั้นมีโอกาสที่เท่าเทียมกันด้วย แต่อยู่ที่ใครนั้นจะส่งเสริมตัวเองให้ขึ้นมามากกว่านี้ ซึ่งอาจารย์หวังว่าทุกคนนั้นส่งเสริมตัวเองขึ้นมา อย่าพอใจแค่สวรรค์ที่ศิษย์นั้นจะไปถึง ให้สร้างตัวเองส่งตัวเองไปยังนิพพาน ไม่ต้องเกิดไม่ต้องดับไม่ต้องทุกข์และไม่ต้องสุข นิพพานไม่ได้เกิดในโลกหน้าแต่เกิดในวันนี้ ณ เวลานี้ ยามใดที่ศิษย์มีความอบอุ่นหัวใจ ยามใดที่มีความรู้สึกยินดีในการทำดีให้ผู้อื่น ยามนั้นนิพพานย่อยๆ ก็เกิดในความคิด ยามนั้นนิพพานย่อยๆ ก็เกิดในจิตใจของศิษย์แล้ว ทำให้นิพพานนั้นเกิดต่อเนื่องและทุกวัน ให้ทุกวันเรานั้นเป็นคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีทำได้ไหม (ได้)  กลับมาเจออาจารย์บ่อยๆ นะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา