วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2545

2545-01-05 สถานธรรมจือเจวี๋ย อ.น้ำกระจาย จ.สงขลา




PDF  2545-01-05-จือเจวี้ย #18.pdf

วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

อันหนทางย่อมจะพิสูจน์ม้า กาลเวลาย่อมจะพิสูจน์คน
รู้แล้วเร่งม้าลงแส้บำเพ็ญตน พิสูจน์คนด้วยผ่านอุปสรรคเทอญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจือเจวี๋ย  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

น้อยคนตื่นจากฝันโดยไร้คนปลุก หนึ่งชีวิตกี่ครั้งลุกจากกลุ้มได้
ใส่ใจแต่เรื่องไม่ควรจะใส่ใจ ทางใกล้ไกลตามองพร่าไม่ชัดเจน
ยืนอยู่นี่แต่ใจคิดไปโน่น อายตนะเป็นโจรปล้นช่วงชิง
ทนไม่ได้กับเสียงที่ใครติติง หมายจะยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว
ในวันนี้มาประชุมธรรมศักดิ์สิทธิ์ ขอให้คิดด้วยปัญญาพาตนตื่น
พาจิตใจที่เคยหลับให้กลับตื่น แม้ค่ำคืนใจสาดแสงเหนือแสงใด
อันว่าม้าสำคัญที่กำลังวังชา อันคนหนาสำคัญที่ความมุ่งมั่น
จงศึกษาตั้งใจทั้งสองวัน อย่าพัวพันจิตกังขาให้วกวน
น้องต่างมีบุญร่วมกับพุทธะ จงชนะกิเลสที่พาสับสน
อย่าได้ให้เสียทีเกิดเป็นคน แม้อับจนไม่จนใจบำเพ็ญจริง
ศิษย์พี่รับพระบัญชามาคุมชั้น หวังน้องนั้นรักษาระเบียบแห่งพุทธะ
มีโอกาสสละได้ให้สละ อย่าปะทะด้วยอารมณ์ตายทั้งเป็น 
หวังศิษย์น้องอยู่ครบทั้งสองวัน และขยันพิจารณามองตามจริง
อย่าได้ให้จิตใจคอยประวิง อยู่ไม่นิ่งฟังธรรมะไม่เข้าใจ
ในชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย จงแปรร้ายกลายดีด้วยจิตงดงาม
อย่าได้ให้จิตวอกแวกเข้าคุกคาม พยายามตามกำลังที่ตนมี
เกิดแก่ตายไม่มีใครจะหนีพ้น คืนเบื้องบนต้องบำเพ็ญจึงไปถึง
ทำสิ่งใดขอให้สามคำนึง ชีวิตดึงปัญญานำด้วยคุณธรรม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจทำให้ดีที่สุด
ขอให้ค้นหาจิตใจอันวิสุทธิ์ ขอให้ดุจน้ำใสบัวงามผลิ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระนาจา

เปิดดวงใจของตนเองด้วยศึกษา นำธรรมมาขัดเกลาบ่มนิสัย
รู้ย้อนมองรู้ลดละสิ่งไม่ดีให้ออกไป และหมั่นเพียรชิดใกล้เพียรหาธรรม
เราคือ
ศิษย์พี่พระนาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องที่น่ารักทุกคน สบายดีไหม
มาก่อนหลังไม่สู้มาพอดี ควบม้าเปลี่ยนสู่วิถีความสำเร็จ
ชีวิตจงให้ใหม่ดุจดั่งเช็ด ปีพิเศษมาเปลี่ยนดีกว่าเดิม
ราบรื่นแจ้งราบไร้อุปสรรคไม่ โดยพื้นม้าดีได้ละฮึกเหิม
โดยพื้นคนต้องอภัยอ่อนน้อมเพิ่ม บำเพ็ญเร็วฝนฝึกเติมเดิมทบทวน
มีโอกาสแต่อาจไม่สะดวกใช้ คนว่องไวอีกบวกปัญญาด่วน
ลงแรงและอดกลั้นสิ่งยั่วยวน ใจไม่แข็งทานจึงรวนมโนธรรม
ธรรมะดีคนเป็นต้องรู้มี จากไม่มีฝึกตนงามคุณธรรม
กุศลทวีเท่าตัวหรือว่ากรรม เป็นม้ามืดแซงนำอดีตตน
ใช้ความสำเร็จกลั่นคนต้องระวัง บ้างพยายามด้วยเหนี่ยวรั้งเฉพาะผล
ฉลาดแต่คร้านคุกคามเรือพายวน ความสำเร็จกลัวคนมุ่งบริสุทธิ์จริง
แบกหามเรื่องสารพัดไว้ในใจ จงอย่าพ่ายใช้สติ พิศุทธิ์  นิ่ง
มารู้จักตนเองที่แท้จริง ยามนี้ขึ้นฝั่งทิ้งใจวุ่นวาย
ของไม่เก่าคนไม่ใหม่พิจารณา ปัญหาใช้ปัญญาแปรยากกลายง่าย
ยามเมื่อพลั้งมีแต่ต้องแก้ไข เป็นคนใหม่ของก็เก่าธรรมดา
ฮิ  ฮิ  หยุด

[1] พิศุทธิ์ ความผ่องใส, ความงาม, ความดี. ความสะอาดบริสุทธิ์, ความถูกต้อง


พระโอวาทพระนาจา

มาฟังธรรมะหรือมาคุย เมื่อสักครู่คุยหรือฟัง (ฟัง)  ศิษย์พี่เห็นคุยกันใหญ่ อ้าปากได้หรือเปล่า ยิ้มห้ามเห็นฟันได้หรือเปล่า รู้สึกควบคุมตัวเองยากไหม เอาแค่ปากอย่างเดียว ควบคุมไม่ให้พูด พูดโดยไม่ให้เห็นฟันยากไหม ยากใช่หรือไม่
มีคำกล่าวว่า “หากเราสามารถควบคุมตัวเองได้ ก็สามารถควบคุมคนทั้งโลกและสรรพสิ่งในโลกได้”  เคยได้ยินคำนี้ไหม เหมือนกับคำที่ว่า “เราสามารถดัดต้นไม้และปลูกต้นไม้ให้ขึ้นด้วยมือของเราเองได้”  ทำไมเราไม่ปลูกคนๆ หนึ่งหรือชีวิตๆ หนึ่งให้ขึ้นด้วยมือเรา  ทำได้หรือไม่
ใครเคยปลูกต้นไม้ยกมือขึ้น ปลูกโตหรือว่าตาย (โต)  ถ้ายังโตยกมือขึ้น จนถึงตอนนี้โตหรือตาย ใครยังโตอยู่ยกมือขึ้น ใครโตแล้วไม่มีแมลงกินเลย ยกมือขึ้น  โตแล้วยังให้ออกดอกออกผลยกมือขึ้น และไม่มีแมลงด้วยนะ มีไหม
แปลว่าทุกท่านก็เคยปลูกต้นไม้ให้โตได้ด้วยมือของตัวเอง ใช่หรือไม่  แปลว่าเราปลูกชีวิตขึ้นมาด้วยหนึ่งชีวิต แต่ว่าเราต้องเอาหนึ่งชีวิตไปลงแรงด้วย หนึ่งชีวิตถึงจะเกิดขึ้นได้ และการลงแรงนั้นต้องเกิดด้วยความเสียสละ  เฉกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เราสามารถหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตได้ เราสามารถควบคุมได้ ใช่หรือไม่  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้วิธีใดควบคุม ทำอย่างไรถึงให้โต  จริงๆ แล้วต้องอยู่ที่ความตั้งใจ ความพร้อม การตัดสินใจก่อนการทำสิ่งใดต้องเกิดจากการศึกษาให้เข้าใจก่อน  จะปลูกต้นไม้อย่างไร จะเลี้ยงอย่างไร ต้องมีความรู้มาบ้าง รู้แล้วจึงตัดสินใจใช่หรือไม่ว่าจะปลูกหรือไม่ปลูก เลี้ยงหรือไม่เลี้ยง
วันนี้ก็เหมือนกัน วันนี้มาฟังธรรมะสิ่งแรกที่จะทำให้เราตัดสินใจบำเพ็ญคือการศึกษา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านต้องศึกษาก่อน ถ้าไม่ศึกษาท่านจะบำเพ็ญไหม จะสนใจไหม  แม้จะมีคนประกาศโฆษณาว่าธรรมะดี แต่ถ้าหูไม่ฟัง ตาไม่มอง ใจไม่รับ เอาหรือไม่  ก็ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่
เรื่องราวในโลกนี้ถึงแม้จะขึ้นอยู่กับมือเรา แต่ก็ไม่ใช่มือเราอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจโดยผ่านการศึกษาและความรู้มาก่อน ฉะนั้นวันนี้ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาในวันนี้ด้วย เพราะวันนี้เป็นพื้นฐานของการตัดสินใจว่าท่านจะบำเพ็ญธรรมหรือไม่บำเพ็ญธรรม
ยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม โหดหน่อยทนได้หรือเปล่า อย่างไรก็ถือว่าศิษย์พี่รักและเอ็นดู ถึงจะรุนแรงไปหน่อยก็ให้อภัยได้ไหม ยอมให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคี่ยวกรำตัดแต่งให้จิตใจสะอาดสดใสไหม
ยืนกับศิษย์พี่สักสามชั่วโมงได้ไหม ยืนขาเดียวได้ไหม ยืนขาเดียวแล้วกางแขนด้วยไหวไหม ยืนให้มั่นห้ามหวั่นไหว ห้ามเกาะสิ่งใด ทำจิตให้นิ่ง ถ้าจิตเรานิ่งแม้จะยืนขาเดียวก็จะยืนได้นาน อย่าเอาจิตใจไปวางไว้ที่ขา ถ้าเอาใจไปวางไว้ที่ขา เอาใจไปพะวงพันผูกกับขา เราก็จะเริ่มรู้สึกเมื่อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นพูดตาม)
“มีขาเหมือนไม่มีขา มีใจเหมือนไม่รู้สึก มีร่างกายเหมือนไม่มีตัวตน มีตัวตนเหมือนไม่มีใจ”
เป็นอย่างไร เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  เรานั้นโชคดีมีสองขาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะเสียไปหนึ่งขาจะต้องรักษาสองขานี้ให้ดี  เหมือนกับชีวิตของคนเรานั้น เราไม่รู้ว่าวันใดเราจะสูญเสียสิ่งใดไปฉะนั้นต้องรู้จักเตรียมตัวพร้อมที่จะสูญเสียไว้แต่เนิ่นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งแต่ศิษย์พี่มา ศิษย์น้องรู้ไหมว่าศิษย์พี่จะแกล้งให้ไม่มีขาข้างหนึ่ง รู้ไหม (ไม่รู้)  ชีวิตก็เหมือนกัน ศิษย์น้องออกไปข้างนอก ศิษย์น้องรู้ไหมว่าต่อไปศิษย์น้องจะมีขาครบหรือไม่ มีร่างกายครบหรือเปล่า มีใจที่ครบเต็มสมบูรณ์หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปลูกต้นไม้กับเลี้ยงสัตว์อันไหนยากกว่ากัน (เลี้ยงสัตว์)  เลี้ยงสัตว์กับเลี้ยงคนอันไหนยากกว่ากัน (เลี้ยงคน)  ทำไมคนยากกว่า เพราะคนพูดมาก สัตว์ไม่พูด ตีก็ไม่ร้อง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่งไปฆ่าก็ไม่เป็นอย่างไร (ก็ไม่ร้อง)  เลยขยันส่งเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ขยันส่งวัวไปฆ่าก็เหมือนยมทูตเอาคนไปลงนรก  เมื่อไรที่จูงวัวไปให้เขาฆ่า เมื่อนั้นท่านก็เป็นยมทูต อยากเป็นยมทูตบ่อยๆ ไหม (ไม่)  ก็อย่าจูงมันไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ ไม่ใช่บอกเป็นยมทูตครึ่งทางแล้วก็ส่งต่ออีก ใช่หรือเปล่า
เวลาศิษย์น้องเลี้ยงวัวจะให้มันเดินทำอย่างไร (จูง)  ต้องมีเชือกมาสนตะพายมันก่อนใช่หรือไม่ แล้วค่อยดึงมัน ถ้ามันไม่เดินทำอย่างไร การเลี้ยงวัวนั้นเราก็ต้องรู้จักวิธีที่จะควบคุมใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมศิษย์พี่บอกตอนต้นว่า มนุษย์เรานั้นหากรู้จักควบคุมตัวเองได้ก็จะสามารถควบคุมสรรพสิ่งในโลกนี้ได้ เพราะว่าใจของตัวศิษย์น้องเอง หากเพียงนึกอยากได้สิ่งหนึ่งเราก็จะสามารถวิ่งไปหาสิ่งนั้นมาให้ได้ตามที่ใจต้องการ เหมือนเวลาเรารักใครสักคน อยากจะให้เขาเป็นในสิ่งที่เราเป็น ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์น้องจะควบคุมตัวเองอย่างไร แล้วไปใช้กำลังของตัวเองควบคุมเขาอีกทีหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เกิดเป็นคนถึงแม้จะควบคุมสัตว์ได้ เพาะเลี้ยงพืชพันธุ์ได้ แต่อย่าลืมว่าต้องรู้จักควบคุมใจตัวเองให้เป็นได้ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาจะเรียกว่า ชำนาญแต่เรื่องภายนอก แต่ไม่ชำนาญในการควบคุมหรือรักษาตัวเอง  อย่าเป็นคนที่ถนัดนักในการชี้นิ้ว ถนัดนักในการมองออกไปเห็นคนอื่น แต่ไม่ถนัดในการย้อนมองและเห็นข้อผิดพลาดของตนเอง
ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นในการมีชีวิตอยู่ เรารู้จักที่จะเริ่มต้นชีวิตของตัวเอง เวลาที่จะก้าวเดินไป ทำสิ่งใดก็ย่อมที่จะอยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องให้ใครมาตี ไม่ต้องให้ใครมาสนตะพายดึงเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยไหมเวลาอยู่ในโลกนี้ บางครั้งเราอยากเป็นตัวของตัวเองแต่บางครั้งเราควบคุมตัวเองไม่เป็น เราไม่รู้จักตัวเอง เลยปล่อยให้ตัวเองลื่นไหลไปกับโลกีย์ โลกอยากใส่เสื้อสีแดง เราก็แดงตามเขา โลกอยากใส่เสื้อสั้นๆ เล็กๆ เห็นสะดือนิดหน่อย เราก็ใส่ตามเขา  คนเขาอยากใส่ทองเส้นใหญ่เราก็ใหญ่ตามเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเช่นนี้เรียกว่า คนที่เป็นตัวของตัวเองไหม (ไม่ใช่)  แต่เป็นคนที่ปล่อยใจปล่อยตัวไปตามโลก เมื่อไรที่เราปล่อยใจปล่อยตัวไปตามโลก เมื่อนั้นแหละเราก็ง่ายที่จะถูกพัดพาและทำให้เจ็บและก็ทุกข์ แต่ถ้าไม่ว่าโลกจะพัดพามาในเรื่องการแต่งตัว ในเรื่องคำพูดคำจา ในเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เรารู้จักควบคุมตัวเอง เข้าใจตัวเอง รู้จักพอดีกับตัวเอง และรู้จักใช้ตัวเองได้ถูกต้อง เราก็จะไม่ลื่นไหลไปกับกระแสของโลก จะไม่ต้องวิ่งตามคนอื่น ไม่ต้องวิ่งตามสมัย ไม่ต้องเหนื่อยวุ่นวายอย่างที่ไม่น่าจะเหนื่อย และไม่ต้องถูกใครเรียกว่ามีชีวิตแล้วเป็นทาสของชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราสามารถมีชีวิตแล้วเป็นอิสระ เขาอยากแดงก็แดงไปไม่เป็นไร เราขาวเด่นดี ใช่ไหม (ใช่) เขาแดงหมด เราขาวสวยดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กล้าทำไหม (กล้า)  คนในโลกกินเนื้อสัตว์หมดเลย ฉันกินเจ เอาไหม (เอา) 
ทุกก้าวที่เราก้าวเป็นก้าวที่เข้าใจตัวเอง ไม่เป็นทาสของสิ่งใด แต่เราเป็นนายเหนือตัวเองและเป็นนายเหนือชีวิตทั้งมวล ดีไหม (ดี) เขาเรียกว่าอิสระที่แท้จริงของการมีชีวิต  แต่ไม่ใช่มีชีวิตอยู่แล้วห้อยด้วยโซ่ ล่ามด้วยเครื่องติดต่อสื่อสาร พอได้ยินก็วิ่งไปรับแทบไม่ทันใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะบางครั้งก็อดไม่ได้ มีเพราะจำเป็น เพราะต้องใช้ธุระ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเข้าข้างมากเราก็ตกเป็นทาสของเขาและยินดีรับใช้เครื่องมือถือเครื่องนี้ แถมปกป้องเหมือนอีกาหวงไข่ด้วยใช่ไหม (ใช่)  เราเหนื่อยกับการมีเสื้อสิบตัวกี่ครั้ง มากกว่าสิบอีกนะเพราะหนึ่งตัวบางทีหนึ่งอยากแล้วได้ทันทีเลยไหม (ไม่)  หนึ่งอยากแล้วบางทีอีกสิบอยากกว่าจะได้หนึ่งตัว ใช่ไหม (ใช่) สมมติว่าเสื้อตัวนี้ราคาหนึ่งพันบาท ขอแม่ได้หนึ่งร้อยแล้วต้องขอใครอีก (ญาติพี่น้อง) บางทีไม่ขออย่างเดียวแถมไปทำร้ายเบียดบังคนอื่นอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐและสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์น้อยที่สุดนั้นก็คือ ลดความอยาก อย่าลื่นไหลไปตามกระแส แล้วเราจะทุกข์น้อยมาหนึ่งก้าว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรที่เราลื่นไหลไปตามกระแส เขาทาคิ้วโก่งๆ เราก็ต้องไปกรีดคิ้วแล้วทำโก่งๆ  ตอนนี้เขาชอบผมตั้งๆ เราก็ไปซื้อกระปุกเจลมา จากที่แต่ก่อนไม่ต้องซื้อก็ต้องซื้อ แล้วก็หมั่นตั้งๆ ยิ่งตั้งมากเท่าไรยิ่งรับฝุ่นได้มากขึ้น  จากที่สระผมอาทิตย์ละหนึ่งครั้งกลายเป็นต้องสระอาทิตย์ละนับไม่ถ้วนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หาเรื่องเหนื่อยไหม (เหนื่อย) หาเรื่องเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน) 
ฉะนั้นเกิดเป็นคนเรามีทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วทำไมเราจะต้องทุกข์เพิ่มอีก ทำไมจะต้องหาความทุกข์ใส่ตัวเองอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใส่ทองเส้นหนึ่งสุขกว่าคนไม่มีทองเป็นไหนๆ จริงหรือเปล่า(ไม่จริง)  แล้วใส่ทองสิบเส้นกังวลยิ่งกว่าทองหนึ่งเส้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตทั้งแขนใส่กี่เส้น (เส้นเดียวก็พอ)   ศิษย์พี่ว่าไม่มีสักเส้นก็ดีนะ เพราะว่าบางทีมือกับแขนก็ไม่อยู่กับเราไปตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใส่เส้นเดียวไม่แน่มืออาจจะหนีแขนไป จริงหรือเปล่า (จริง)  คิดให้ดีๆ นะอย่ามีอะไรมาล่อตาล่อใจคนมาก  บางครั้งความอยากของเราหนึ่งอยาก อาจทำให้คนอื่นมีหนึ่งอยากตามมาด้วยก็ได้ หรืออาจจะทำให้คนอื่นมีสิบอยากตามมาก็ได้  บางครั้งเราคิดว่าเราสวย เรารวย เราหล่อ ไม่เดือดร้อนใครหรอก แต่ไม่แน่หรอกท่านสวย ท่านหล่อ คนอื่นเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  เดือดร้อนทางไหน ทางตากับทางใจ ใช่ไหม (ใช่)  ตาเริ่มอิจฉา ใจเริ่มอยากได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่ค่อยรู้จักควบคุมตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นอะไรอยากได้ เห็นอะไรดี แล้วเป็นอย่างไร ทุกข์ที่จะต้องวิ่งไปให้ได้ เอาให้เหมือนเขา ทั้งที่จริงๆ หุ่นให้ไหม (ไม่ให้)  เงินในกระเป๋าให้ไหม (ไม่ให้) บางครั้งต้องคิดให้ดีๆ นะ อย่าลืมความเป็นตัวของตัวเองไป เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งจะเป็นต้นไม้ที่มีค่าก็เลยยอมให้คนตัดทิ้ง พอตัดทิ้งเสร็จก็ต้องแล่ออกจากร่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) จากที่อยู่กับดินธรรมดาก็ต้องทิ้งรากของตัวเองไป ทิ้งรากเสร็จก็เลื่อย เลื่อยเสร็จแล้วก็ตกแต่ง จึงกลายมาเป็นเก้าอี้อย่างนี้ สวยไหม (สวย) แล้วมีชีวิตไหม (ไม่มี)  จะเอาแบบนี้หรือจะเอาต้นไม้แบบที่พลิ้วไหวไปข้างนอก เอาแบบไหน (พลิ้วไหว) ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องเป็นอย่างนี้เป็นแถวเลย ยอมทิ้งจิตใจของตัวเองที่ดีๆ เพื่อที่จะให้ตัวเองสวยขึ้นมากกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยอมทิ้งความเป็นเพื่อนเพื่อให้ตัวเองรวยกว่าเขาขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  ยอมเป็นลูกที่เถียงพ่อแม่ฉอดๆ เพื่อให้ตัวเองน่ารักขึ้นมานิดหนึ่งในสายตาหนุ่มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ แล้วไม่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์น้องจะก้าวให้ตัวเองเปลี่ยนไปนั้น ขอให้คิดและก็ย้อนมองให้ดีว่าเราทิ้งรากฐานแห่งความเป็นคนไปหรือเปล่า เราทิ้งคุณธรรมดีๆ ในใจเราหรือเปล่า แล้วเราจะมีชีวิตทุกก้าวอย่างมีคุณค่า และเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของตัวเองและไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใดๆ
ฟังตอนต้นเข้าใจหรือยัง ได้รู้วิธีลดทุกข์โดยการไม่เพิ่มความอยาก ตอนนี้พอดีหรือยัง พอดีแล้วใช่ไหมจะไม่ซื้อเสื้อซื้อทองอีกใช่หรือไม่ จะไม่วิ่งไปตามกระแสโลกอีกใช่หรือไม่ แปลว่าศิษย์พี่สอนให้เป็นคนเชยๆ หรือเปล่า (สอนให้เป็นคนดี)  ศิษย์พี่สอนให้รู้ว่าลดความทุกข์ที่มันเกินตัว  ตามสมัยอาจจะตามได้ แต่ไม่เกินตัว ไม่ตัดซึ่งความเป็นคนทิ้ง ยังทำผมตั้งได้ ยังใส่เสื้อตัวเล็กๆ ได้ ยังมีโทรศัพท์มือถือได้ แต่นั่นต้องไม่ตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆ และสิ่งต่างๆ นั้นจะไม่มาเกี่ยวพันกับใจศิษย์น้องให้เป็นทุกข์ได้  ถ้ามีแล้วทำให้ใจศิษย์น้องเป็นทุกข์ ศิษย์พี่ควรสนับสนุนหรือไม่ อะไรก็ตามที่มีแล้วทุกข์มากขึ้น ก็จงพยายามตัดทิ้ง เข้าใจไหม ไม่ใช่ว่าให้กลายเป็นคนเชย แต่งตัวไม่เป็น ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งที่ตัวเองได้มา และไม่ทำให้สิ่งที่ตัวเองไขว่คว้ามาเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตของตัวเอง
เรามาคุยกันเรื่องต่อไปดีไหม (ดี)  เรื่องต่อไปก็ต้องมีการออกกำลังกายนิดหน่อย เมื่อสักครู่เราพูดถึงเรื่องการควบคุมตัวเองใช่หรือไม่ เราลองมาฝึกภาคปฏิบัติ เมื่อสักครู่ได้ภาคทฤษฎี คราวนี้จะดูว่าภาคปฏิบัติศิษย์น้องจะทำได้ดีเหมือนภาคทฤษฎีไหม เอาเป็นว่า ใช้การปรบมือและซอยเท้าสองอย่างนี้ได้นะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งดีให้ปรบมือเสียงดัง ต้องลงแรงกายและใจทำให้เต็มที่  สิ่งใดที่เป็นสิ่งไม่ดีก็พยายามปรบมือให้เบาที่สุดจนไม่มีเสียงได้ไหม
“โทรศัพท์” อยู่ที่ว่าเราใช้แบบไหน ใช้ตามญาติธรรมมาไหว้พระ หรือว่าใช้นินทาคน คนนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ โทรเป็นชั่วโมงก็ไม่วาง โทรศัพท์มีทั้งดีและไม่ดี
“กินเนื้อสัตว์” เป็นอย่างไร ดีไหม (ไม่ดี)  มีทั้งดีและไม่ดีใช่หรือไม่ แต่ทางที่ดี ไม่กินดีกว่า จะทำอย่างไรได้ เคยชินกินมาตั้งหลายปีแล้ว จะให้ลดทันทีก็คงทำยากใช่หรือเปล่า ค่อยๆ เขี่ยออกก็แล้วกันนะ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่โลภมาก ไม่น้อยใจ ไม่ด่าคน ชอบแกล้งคน ก็แปลว่าถ้าปฏิบัติจากสี่ได้แค่สองก็แล้วกัน ยังมีที่ผิดอยู่ใช่หรือไม่ ศิษย์น้องต้องไปใช้เองและต้องไปหยั่งเอง จะเอาอะไรมาหยั่งว่าจะทำดีหรือไม่ทำดีเอาอะไรช่วยหยั่งช่วยกั้นใจเรา ควบคุมกายควบคุมใจเราดี ไม่ให้ก้าวถลำไปเป็นทาสในสิ่งที่ไม่น่าเป็น ก้าวถลำไปในสิ่งที่ไม่น่าทุกข์ เอาอะไรมากั้นดีเอาอะไรมาปกป้องดี ใช้สติปัญญาที่ตั้งมั่นในการบำเพ็ญธรรมนะ (เอาจิตใจ ปัญญา สติ ความดี ความอดทน มุ่งมั่น พยายาม)  ความเป็นพุทธะหรือความมีปัญญาอย่าได้ดูแต่ภายนอกใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีมือนี้เราก็สามารถจะควบคุมตัวเองได้ มือที่ชอบไปหยิกทำร้ายคนอื่นเราก็เก็บเสียใช่หรือเปล่า (ใช่)  นอกจากมือแล้วอะไรอีกรู้หรือเปล่า (ใช้สมอง) แล้วถ้าสมองนี้เกิดต้องเปลี่ยนขึ้นมาท่านจะใช้อะไร (ไม่มีสมองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้) ไม่มีสมองเราสามารถควบคุมได้ (เกิดจากใจ)  ใช่ไหม จริงๆ แล้วอย่าคิดว่าสมองควบคุมใจแต่จริงๆ แล้วใจต่างหากที่เป็นตัวสั่งการทั้งหมด ถ้าใจไม่มองไม่สนแม้ตาจะเปิดก็ไม่เห็น ท่านเคยเป็นไหม อารมณ์หม่นหมอง ใครพูดอะไรก็เหมือนไม่ได้ยิน แต่สมองก็สั่งการ เคยไหม (เคย)  ถ้าอย่างนั้นใจสำคัญสุด มีอะไรอีกที่ใช้ควบคุมตัวเรา  (ความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา) นั่นแหละเรียกว่า มีสติเท่าทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีสติเท่าทันทุกขณะ ใครจำได้บ้างว่าตอนออกจากประตูบ้านก้าวซ้ายก่อนหรือก้าวขวาก่อน วันนี้กินข้าวกับอะไรจำได้ไหม ต้องมีคนจำไม่ได้แน่เลย  (จิตใต้สำนึก) จิตใต้สำนึกหรือเสียงเรียกที่อยู่ภายใน เคยไหมว่าบางครั้งศิษย์น้องจะไปทำไม่ดี แล้วใจข้างในร้องบอกว่าอย่าทำ มันผิด เคยไหม (เคย)  จงฟังเสียงนั้นมากๆ นะแล้วเราจะไม่ทำผิด  มีอีกไหมศิษย์พี่บอกว่าใช้มือก็ได้ ยังใช้อะไรได้อีกรู้ไหม (ศีล สมาธิและปัญญา) นั่นก็คือถ้าตัวศิษย์น้องเองไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง ถ้าจิตภายในเราสงบ ความสงบจะทำให้เราไม่ลื่นไหลและหวั่นไหวง่าย แต่ถ้าเกิดจิตเราฟุ้งซ่านแตกแยกเป็นสองสาม ความวุ่นวายนี่แหละที่ทำให้เราง่ายที่จะพลัดพรากไปตามความปรวนแปรของโลก  ฉะนั้นถึงแม้ว่าศิษย์น้องจะมีสติ มีปัญญา แต่สำคัญก็คือมีความนิ่งและเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเกิดว่าใจแตกเป็นสองเป็นสามเราย่อมยากที่จะควบคุม ถ้าใจมีแค่หนึ่งเดียวเวลาไปไหนเรามีความนิ่งอยู่ภายใน มีความสงบมีธรรมะเป็นฐานคอยควบคุมใจเราไว้ เราก็ไม่ง่ายที่จะลื่นไหลไปตามกระแส ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะมีมือมีแขนขาก็ดูไม่เกะกะ สามารถควบคุมแขนขา ควบคุมกายใจให้เป็นไปได้อย่างงดงาม แต่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ บางครั้งแรงจูงใจมันยั่วยวนเหลือเกินใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องเพิ่งเริ่มต้นง่ายๆ ก็คือ อะไรที่มันสวยก็ปิดลงไปบ้าง ใช่ไหม (ใช่) เสียงอะไรที่มันเพราะๆ ก็อุดหูเสียบ้าง  ปากที่ขยันชอบเห็นแล้วพูด ต้องบอกกับตนเองว่าอดใจไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นอย่างนี้ก่อนแล้วพอก้าวได้มั่นคงแล้ว แม้ตาจะลืมอยู่ แต่อะไรที่ไม่อยากเห็นตาก็จะบอกว่าอย่าไปมองเอง
ฉะนั้นอำนาจของจิตใจนั้นเป็นอำนาจที่เข้มแข็งสามารถทำให้ศิษย์น้องตาดูหูฟังปากขยับได้ถูกต้องด้วยใจที่ฝึกมาอย่างดีแล้ว ฉะนั้นต้องพยายามทำใจนี้ให้เข้มแข็ง ใจของศิษย์น้องสามารถเอาชนะทุกๆ สิ่งได้ แม้กระทั่งตัวเองก็เอาชนะได้ แล้วสามารถเอาชนะกิเลสต่างๆ จนกระทั่งถึงขั้นบรรลุการเป็นพุทธะได้ด้วยใจที่เข้มแข็งนี่แหละ แต่ใจนี้ต้องมีธรรมะเป็นพื้นฐานมีความมุ่งมั่น อดทนและพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ใจนี้จะเอาชนะทุกอย่างได้ ทำได้ไหม (ได้) ต้องพยายามทำให้ได้เพราะมีคำกล่าวบอกว่า “สัตว์ที่ฝึกมาดีแล้วก็เรียกว่า สัตว์อาชาไนย  แต่ถ้ามนุษย์ฝึกรู้จักควบคุมตัวเองได้ดีแล้วนี่แหละเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ” ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนลืมคำนี้ไปหรือเปล่าว่าเราก็คือ คนที่ประเสริฐแต่เรายิ่งมีชีวิตเรายิ่งห่างความประเสริฐออกไปทุกขณะ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งแก่งแย่งยิ่งเอาเปรียบ ยิ่งรัก โลภ โกรธ หลง ทวีมากขึ้น แต่อย่าลืมนะว่าหากเมื่อไรศิษย์น้องแม้จะมีสิ่งนี้ แต่ถ้ารู้จักควบคุมให้ดี ไม่ให้มีมากเกิน ไม่ให้ทำร้ายใครได้ ศิษย์น้องก็จะกลับมายืนเป็นคนที่ประเสริฐได้ แล้วศิษย์น้องว่า โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ศิษย์พี่บอกว่าจริงๆ แล้ว รัก โลภ โกรธ หลงก็ดีนะ แต่คนที่เอาไปใช้ไม่ได้เรื่อง จริงไหม (จริง)  รัก โลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม (ไม่มี) แต่พอไปอยู่กับศิษย์น้องทำไมออกมาเป็นตัวตนเต็มไปหมด  โลภ โกรธ หลง จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ดีแต่คนใช้นั้นใช้ผิด ใช้แล้วไม่รู้จักควบคุม ใช้แล้วไม่รู้จักระงับอารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเกิดเป็นอบายมุขล่ะ ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  พอคนเอาไปใช้แล้วเป็นอย่างไร เป็นคนไม่ดี จริงๆ แล้วอบายมุขก็มีดีเหมือนกันนะ ทำให้เราเห็นว่าคนติดนั้นเป็นคนไม่ดี เหมือนที่ศิษย์พี่บอกกับศิษย์น้องว่า สิ่งที่ไม่ดีแท้จริงแล้วมีดีอยู่ เหมือนศิษย์น้องว่าคนอื่นที่เป็นคนเลว จริงๆ แล้วเขาก็มีดีอยู่เหมือนกัน มีดีตรงไหนล่ะ ตรงที่ยิ่งเขาเลวเท่าไรเรายิ่งดีเท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ แล้วเราไม่มีอะไรเลยแต่ยิ่งเขาเลวมากเท่าไร ยิ่งมาอยู่ใกล้เรา เรายิ่งดีเหมือนนางฟ้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอบายมุข รัก โลภ โกรธ หลง เอามาอยู่ใกล้ๆ ดีไหม (ไม่ดี) เอามาอยู่ใกล้ๆ ศิษย์น้องเคยไหมที่จะมองอย่างเดียว เดี๋ยวก็ลูบ สักพักหนึ่งหมุน สักพักหนึ่งชิมหน่อยนะ ใช่ไหม (ใช่)  จากตอนแรกเหล้าอยู่ข้างนอก สักพักเหล้ามาอยู่ในตัว สักพักเรากลายเป็นเหล้า ใช่ไหม แล้วคนเมาหรือเหล้าเมา (คนเมา)  เหมือนกันพอศิษย์น้องมีรักโลภโกรธหลง รักโลภโกรธหลงเมาหรือศิษย์น้องเมา ศิษย์น้องเมาในรักโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นมองสิ่งใดต้องมองให้ดี แล้วจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลก็ต้องมองให้ออก ไม่ใช่บอกว่าไม่เป็นไร ก็เหมือนคนไม่ดีเอามาอยู่ใกล้ๆ ก็เผลอไปติดเขาโดยไม่รู้ตัว เหมือนปลาเน่ายิ่งอยู่ใกล้แล้วเป็นอย่างไร (เหม็น) ดอกไม้หอมอยู่ใกล้แล้วเป็นอย่างไร (หอม) แล้วจะเลือกปลาเน่าหรือดอกไม้หอม (ดอกไม้หอม)  เลือกแหล่งบันเทิงใจหรือเลือกห้องพระ (ห้องพระ)  แปลว่าตอนกลางคืนจากนี้ไปจะไม่ไปเที่ยวดิสโก้เธค จะมาเที่ยวห้องพระ จะไม่กินเหล้าแต่จะมากินน้ำมนต์พุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  เมาธรรมะดีกว่าเมาทางโลกนะ เมาธรรมะทำให้เราตื่นขึ้น แต่เมาทางโลกทำให้เราจมจนโงหัวไม่ขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
"ธรรมะดีคนเป็นต้องรู้มี"
เราจะแยกได้อย่างไรล่ะว่าคนนี้จริงหรือคนนี้เท็จ คนนี้พูดจริงหรือคนนี้พูดโกหก คนนี้ดีหรือคนนี้ไม่ดี เราใช้อะไรตัดสิน  ดูง่ายๆ กาดำไหม (ดำ) นกดุเหว่าดำไหม (ดำ) นกดำทั้งคู่ไม่ว่านกดุเหว่าหรือนกกาก็ดำ  แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้แยกออกว่าเป็นกาหรือเป็นดุเหว่าก็โดยการฟังเสียงและตาดูลักษณะใช่หรือไม่ (ใช่)  ลักษณะบางทีอาจจะคล้ายๆ กันแต่ต้องใช้ฟังเสียงเอา คนก็เหมือนกันจะเป็นคนดีหรือคนร้าย จะเป็นคนจริงหรือเป็นคนลวงหลอก ไม่ใช่อาศัยการวัดแค่เพียงภายนอก แต่ศิษย์น้องต้องใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาคำพูดของเขา ถ้าทุกคำพูดเขาเป็นคำพูดที่เป็นจริง แปลว่าสิ่งที่เขาพูดน่าเชื่อถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเป็นจริงแล้วต้องเอาเงินมาล่ออย่างนี้ก็ต้องคิดพิจารณา  แต่ว่าการที่จะอยู่กับคนๆ หนึ่งแล้วตัดสินได้นั้นอย่าใช้แค่ตาดู หูฟัง แต่ต้องใช้เวลาและสติปัญญาพินิจพิจารณาแล้วเราจะแยกออกว่าคนนี้มาจริงหรือมาหลอก 
 เหมือนกันเวลาศิษย์น้องจะพินิจพิจารณาสิ่งใดก็ตาม ไม่ใช่ดูที่เขาพูดอย่างเดียว แต่ต้องดูที่ว่า เวลาผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เขาคิดถึงตัวเองหรือเขาคิดถึงทุกๆ คน ถ้าคบกันแล้วเขาบอกว่า เวลามีผลประโยชน์อยู่ข้างหน้า เขาเอาให้ตัวเองสิบแล้วให้ศิษย์น้องหนึ่ง ศิษย์น้องก็ต้องคิดหนักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเขาโมโห เขารู้จักโทษตัวเองไหม หรือว่าเขาเอาแต่ว่าคนอื่น  
ฉะนั้นเวลาจะตัดสินใครอย่ามองแค่เพียงเปลือกนอก แต่จงพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญาของศิษย์น้อง เวลาเขาพูด เวลาเขาโมโห เวลาผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เขาคิดถึงส่วนตัวหรือส่วนรวม  แล้วศิษย์น้องจะดูคนเป็น แต่ดูคนเป็นแล้วก็ยังไม่พอ ถ้าเกิดเรายังยึดติดตัวตนเองอยู่ว่าตัวเองดีแล้วคนอื่นไม่ดี เช่นนี้ก็ไม่ถูก ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าคนที่ยึดมั่นตัวเองนั้นมักจะมองเห็นคนอื่นผิดหมดแล้วตัวเองถูกคนเดียว มีคำพูดเปรียบเทียบไว้ว่า “คนที่ยึดมั่นในตัวตนเอง ยึดมั่นในชื่อเสียงของตัวเองนั้นเหมือนกับคนที่เป็นเหมือนพื้นดิน แม้จะมีแสงแดดแรงกล้าอย่างไร เขาก็ยังมืดดำอยู่อย่างนั้น” ศิษย์น้องอยากเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่อยาก)  จงเป็นคนที่รู้จักปล่อยวางตัวเองบ้าง แล้วกล้าเปิดอกยอมรับว่าตัวเองมีดีมีเสียอะไร แล้วจะเป็นคนที่สามารถสว่างได้ด้วยใจของตัวเองและล้างคำพูดของเขาที่ติเรา
ปีนี้เป็นปีม้า ศิษย์พี่จะบอกว่าปีม้านี้เป็นปีที่ดีมีความหมาย  สัตว์ที่รู้จักควบคุมตัวเองเป็นสัตว์เรียกว่าอาชาไนยใช่หรือไม่ บุรุษหรือสตรีที่รู้จักควบคุมตัวเองเรียกว่าผู้ประเสริฐ สิ่งที่ทำให้เรียกว่าอาชาไนยเพราะ 1.เร็วเหมือนม้า  2.มีความอดทนเหมือนลา  ลาตัวเล็กแต่แบกของได้เยอะ เมื่อประกอบด้วยสองอย่างนี้ก็จะเป็นม้าอาชาไนยได้  มองกลับกัน คนที่มีความเร็วกับความทน ดีไหม ดีอย่างไร  เร็วในสติปัญญาที่คิดอะไรได้ทัน คิดอะไรได้เป็น เรียนรู้อะไรได้เร็ว นี่คือเร็ว , ทนคือทนต่อสิ่งที่คนอื่นอดทนอดกลั้นไม่ได้ เอาปีม้ามาสอนตัวเราว่า จงมีความเร็วและทนในตัวเองแต่คนโดยทั่วไปมักมีแค่อย่างเดียว พุทธะสอนว่า แม้จะมีอย่างเดียวแต่จงพยายามเพียรพยายามให้มีสองอย่างให้ได้ แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่คนที่ได้เพียรแล้วจะได้พบว่า การกระทำทั้งสองนี้ได้เรียกว่าเป็นคนที่ประเสริฐได้ หรือเป็นบุคคลที่ได้ควบคุมตนเอง
คนเรานั้นสิ่งหนึ่งที่มักจะอดทนไม่ได้คือ หากคนที่ต่ำกว่ามาดูถูกเรา เราจะทนไม่ได้ใช่ไหม สูงกว่าดูถูกเรา เรายังทนได้เพราะความกลัวบารมี คนที่เท่าๆ กับเราดูถูกเรา เราก็พอทนไหว เพราะถ้าเขาอาละวาดมาเราก็พอต่อกรได้ แต่คนที่อดทนได้แท้จริงนั้นประเสริฐ คือ คนที่อดทนต่อคนที่ต่ำกว่าแล้วกล้าว่าเราแล้วเราสามารถอดทนได้ นั่นแหละคือคนที่ประเสริฐ ขอให้ศิษย์น้องมีตรงนี้นะ มีสติและปัญญาที่เท่าทัน รู้จักใช้ธรรมะมาเป็นหลักสอนใจ คิดอะไรก็คิดในสิ่งที่ประเสริฐ  ความอดทนอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีความเมตตาด้วย เพราะความอดทน ไม่ใช่อดทนแบบกลั้นไว้ๆ อย่างนี้สักวันต้องระเบิด ระเบิดกับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) คนที่อดทนแล้วมีเมตตาด้วยนั่นแหละคือคนอดทนแท้จริง ไม่บ่นไม่ว่ามีแต่จิตใจที่ดีให้กับเขา เขาไม่รู้ไม่เป็นไร เขาไม่รู้จักเราเขาจึงว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  นี่คืออดทนแบบมีเมตตา หากอดทนแบบมีเมตตาไม่ว่าจะไปเจริญธรรมะข้อใด คนนั้นก็จะบรรลุเป้าหมายและสามารถก้าวย่างอย่างพุทธะได้สำเร็จ
จงมีความอดทนเหมือนลาและมีสติปัญญาเท่าทันกิเลสและสิ่งลวงหลอกต่างๆ ให้ได้เร็วเหมือนม้า แล้วม้ากับลารวมกันเป็นอะไร (ล่อ) จะเป็นล่อหรือเป็นคนประเสริฐ (คนประเสริฐ) ก็คือคนที่รู้จักเอาสิ่งภายนอกมาสอนใจเราใช่หรือไม่ (ใช่)  จะมีความอดทนเหมือนลาและมีความว่องไวในสติปัญญาเหมือนม้า แล้วรู้จักควบคุมตัวเองให้
ถูกกาลเทศะ ถูกวัย แม้สูงอายุเแล้วแต่แต่งตัวเหมือนวัยรุ่นได้ไหม แต่งได้ถ้าศิษย์น้องเป็นสุขนะ ศิษย์พี่ไม่ว่าหรอกถ้าเราจะใส่เสื้อแขนสั้น กระโปรงสั้นอะไรก็ใส่ไปเถอะ แต่ใส่แล้วอยู่ในบ้านดีกว่านะ อย่าออกมาข้างนอกเลยไม่อย่างนั้นทรมานสายตา ใช่ไหม  อยากจะเป็นอะไรศิษย์น้องก็เป็นไปเถอะ แต่เป็นแล้วต้องคิดให้ดีว่า เป็นแล้วทำลายตัวเองหรือเปล่า เป็นแล้วทุกข์กว่าเดิมหรือเปล่า ถ้าเป็นแล้วทุกข์กว่าเดิมก็ตัดๆ มันทิ้งใช่ไหม (ใช่)  เราอายุปูนนี้แล้วต้องรู้จักอะไรรู้หรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากจะบอกก็คือ จงรู้จักมีความดับอยู่ภายในตัวเสมอ ระลึกเสมอว่าชีวิตนี้ยุบหนอพองหนอ พองหนอยุบหนอ ให้ท่องไว้เสมอว่าคนเรานั้นเกิดได้ก็ดับได้ ตั้งอยู่ได้ก็สูญสลายได้ เมื่อไรที่คิดอยู่ทุกขณะเราจะไม่ประมาท แล้วเราจะเปลี่ยนจากคนไม่ดีเป็นคนดี แล้วเราจะโกรธคนน้อยลงเพราะยุบหนอพองหนอไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้ถึงแม้จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าพรุ่งนี้พองแล้วมายุบ ศิษย์น้องจะช่วยได้ไหม ใจศิษย์น้องเก็บความโกรธไว้มันก็หนัก จะขึ้นเบื้องบนก็ยาก  เมื่อไรพระท่านเทศน์ว่ายุบหนอพองหนอให้เตือนไว้ว่า อย่าประมาทอย่าหลงมากอย่าโลภมาก
ความรักนั้นเหมือนอะไรรู้ไหมศิษย์น้อง พุทธะมักจะพูดว่าความรักเหมือนไฟ แต่ศิษย์พี่ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าความรักนั้นเหมือนน้ำ  ตอนแรกเราเดินอยู่พอเห็นน้ำเราก็ว่าใสดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเจอแล้วบอกว่าหล่อสวยดี จากอยู่ห่างๆ ก็กระชิดๆ ใช่ไหม (ใช่)  จากว่ายไม่เป็นขอลงไปว่ายหน่อย ใช่ไหม (ใช่)  พอลงไปว่ายในความรักเป็นอย่างไร ตอนแรกก็เหมือนจะว่ายได้ สนุกจริงๆ แต่พอว่ายนานขาเริ่มเป็นเหน็บ มือเริ่มว่ายไม่ออก เริ่มรู้แล้วว่าไม่น่าลงมาเลย  บางคนยังสะบัดทันลุกขึ้นมาได้ แต่บางคนลงแล้วลุกไม่ขึ้น  ความรักก็น่ากลัวเหมือนน้ำนี่แหละ ไม่ใช่ใสดี สวยดี กระโดดเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เอาแล้ว ทุกข์เหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องในโลกนี้ก็เหมือนกันอย่าไปลองเลย ผ้าสะอาดๆ ดีอยู่แล้วทำไมชอบไปแต่งแต้ม ใจของเราใสบริสุทธิ์อยู่แล้วทำไมไปสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ สัมผัสแล้วสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ไหม (ไม่ได้)  ได้สิ ใจก็ของเราเองทำไมไปเปื้อนอะไรง่ายล่ะ เขาจะว่าเราอย่างไรก็ไม่เป็นไร ก็เขาว่าแล้วทำให้เราเจ็บ เราก็เอาใจถอนมาไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเอาไปอยู่กับเขาแล้วทุกข์ก็ดึงออกมา จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจ ถ้าอยู่กับเราแล้วปวดใจก็เอากองไว้ตรงนี้ ทำใจได้ก่อนแล้วค่อยดึงมาเก็บ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องควบคุมตัวเองได้ ศิษย์น้องก็จะบอกกับตัวเองว่ารอดมาได้เสียที ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กว่าจะรอดมาได้วันหนึ่งแทบตาย มนุษย์เรามีทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์ในเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก เสียจากสิ่งที่ไม่น่าจะเสีย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงต้องรักษาใจให้ดี ควบคุมใจให้มั่นคง มีธรรมะอยู่กับใจ อย่าพยายามเบียดเบียน อย่าพยายามทำร้ายและอย่าพยายามคิดร้าย คิดดีๆ บ้างจะได้ยิ้มได้ตลอดทั้งวันใช่ไหม (ใช่)  ออกจากบ้านก็ยิ้มดีหรอก แต่พอกลับมาคอตกหน้าเศร้ามาเชียว พอได้แรงจากบ้านมาก็ยิ้มกลับไปใหม่ พอเจอโลกอีกก็หงอย  หรือไม่บางทีอยู่ในบ้านก็หงอย อยู่นอกบ้านก็ยิ้มออกได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องคิดแล้วนะถ้าเป็นแบบนี้ อยู่ในบ้านไม่มีความสุข ออกนอกบ้านแล้วมีความสุข เราต้องคิดแล้วนะ มีคำพูดกล่าวไว้บอกว่า ถ้าอยู่ในบ้านแล้วเรามีสติ เราจะเป็นคนเรียกสติคนในบ้านได้ แต่ถ้าอยู่ในบ้านแล้วเราไร้สติ ออกไปข้างนอกเราก็ไม่มีทางมีสติหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงเป็นคนที่เริ่มมีสติเริ่มควบคุมตัวเองได้ก่อน แล้วคนในบ้านก็จะเริ่มมีสติและควบคุมตามเราได้ จงเป็นแบบอย่างที่ดีแล้วคนอื่นจะมาอิงแอบและเรียนรู้ตาม อย่าเป็นแบบอย่างที่ถนัดพูดแต่ไม่ถนัดทำ เช่นนี้จะไม่มีใครสนใจ  เมื่อสักครู่เขาพูดถึงน้ำแก้วหนึ่งทำให้ศิษย์พี่คิดอะไรได้อย่างหนึ่ง ใจของศิษย์น้องบางครั้งพอว่างไปนิด มารก็ไหลลงมาแทนที่  เขาบอกว่า ถ้าอยากศึกษาให้รู้เรื่องต้องเปิดใจให้เหมือนแก้วว่างใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่พอเวลาเรามีใจว่างเราไม่ได้เอาธรรมะลงไปใส่ แต่เราเอาความโลภ อัตตา ตัวตนความโกรธ ไปถมใจไว้ใช่ไหม (ใช่)  พอมันถมมากขึ้นใจก็เป็นอย่างไร แสดงออกมาเป็นความเคยชิน ฉะนั้นก่อนที่ใจเราจะเต็มไปด้วยความไม่ดี จงพยายามถมธรรมะให้เข้ามาแทนที่ จงมีธรรมะให้เปี่ยมใจได้ไหม แต่บางครั้งเมื่อมาศึกษาธรรมะ ธรรมนั้นก็ต้องพร้อมที่จะพร่องในธรรมไปพร้อมกับเราได้ นำธรรมอีกอย่างหนึ่งมาแลกเปลี่ยนชะล้างกับธรรมที่มีอยู่ นั่นคือใช้ธรรมล้างธรรม แต่อย่าใช้อัตตามาแทนที่ในใจ ทำได้หรือเปล่า พูดตั้งเยอะแล้วพอรู้ไหมบำเพ็ญธรรมคืออะไร บำเพ็ญธรรมคือ การขัดเกลาจิตใจตนเองที่แท้จริงที่เรียกว่า "พุทธะ"  เกิดเป็นคนถ้าเราไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง แล้วเราจะสามารถดำเนินชีวิตของเราได้ไหม ปลอดภัยไหม จริงๆ แล้วเราก็รู้ว่าเราเป็นใคร แต่เราไม่กล้าเปิดใจยอมรับใช่หรือไม่ ศิษย์น้องใช้ธรรมมาค้นหาใจตนเองมาชะล้างใจตนเอง ดึงสิ่งที่ดีให้เข้ามาเรียกว่าบำเพ็ญธรรม  เมื่อจิตใจที่ดีกว่าอยู่เหนือจิตใจที่ไม่ดีจึงเรียกว่า ได้บำเพ็ญธรรม แล้วเมื่อเราได้บำเพ็ญธรรมแล้วสามารถช่วยคนอื่น นั่นเรียกว่าการบำเพ็ญธรรม เข้าใจไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แต่ควบคุมตนเองอย่างเดียว แต่เป็นแบบอย่างที่ดีและน้อมนำสิ่งที่ดีและนำพาคนดีด้วย
ถ้าเมื่อไรเราอยู่ในสังคมเจอคนคดโกง เราจงถือความซื่อสัตย์ มีคนมาต่อว่าเราจงอดทนไม่ว่ากลับ พยายามฝึกทวน ตอนไหนสังคมเขาขาดเราพยายามเติม นั่นแหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมและรู้จักนำธรรมมาใช้ให้โลกนั้นสันติ ทำได้หรือเปล่า เมื่อไรที่เขากินเนื้อเราจะไม่กิน เมื่อไรที่เขาด่าเราจะไม่ด่าตอบ เขานินทาเรา เราจะไม่นินทาตอบ  เขาชกเรา เราไม่ชกตอบ  อย่าลืมนะ
พระพุทธองค์ที่ท่านสำเร็จเป็นพุทธะได้เพราะความเมตตายิ่งกว่าเมตตา แล่เนื้อเถือหนังก็ยอมสละได้  ศิษย์น้องล่ะทำไม่ได้ อย่ากลัวเจ็บมากนัก อย่ากลัวทุกข์มากนัก ถ้ากลัวเจ็บกลัวทุกข์มากนักก็จะไม่สามารถก้าวผ่านไปสู่ความเป็นพุทธะได้ คนเราเกิดมามีทุกข์อยู่แล้วมีอุปสรรคอยู่แล้ว ถ้าศิษย์น้องฝ่าฟันความทุกข์และอุปสรรคไปได้ก็จะก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ  เมื่อไรเจอทุกข์ก็ต้องบอกว่าดีเพราะทำให้ใจเข้มแข็ง เมื่อลำบากก็ว่าดีเพราะทำให้มั่นคง เมื่อเจ็บปวดก็ดีเพราะจะทำให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นขนาดไหน พยายามขนาดไหน ไม่ใช่ว่าเจอคนทำให้เจ็บแล้วไม่ก้าวไป ยิ่งเจอทุกข์ความยากลำบากจะยิ่งทำให้ศิษย์น้องก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะเร็วขึ้นเท่านั้น ถ้าศิษย์น้องหนีก็ทำให้ศิษย์น้องต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร
โลกนี้ไม่สวยงามแท้จริงนะ ถ้าหากศิษย์น้องยังหลงติดอยู่ จงพยายามใช้สายตาแห่งความเป็นพุทธะก้าวผ่านไปให้ได้แล้ววันหนึ่ง ศิษย์น้องจะมีชีวิตที่ยิ่งกว่าชีวิตเหนืออะไรๆ คนที่เหนือคนเป็นอย่างไร และพุทธะสุขแค่ไหน คิดให้ดีๆ นะ
นี่คือหนทางอีกหนทางหนึ่งที่ศิษย์น้องจะก้าวไปเป็นพุทธะได้ อย่ายอมแพ้ความทุกข์ อย่ายอมแพ้ตัวเอง เอาชนะตัวเองให้ได้ ขอให้ศิษย์น้องรู้ว่า วันนี้คือธรรมะไม่ใช่ของเก่า ใครที่ได้รับรู้ไปก็จะยิ่งใหม่ขึ้นๆ แต่ว่าเป็นคนเก่าที่หลงลืมไป ใช่หรือไม่ จงเอาธรรมะไปคิดให้ดีว่ามีคุณค่ากับตัวเราไหม จงนึกให้ดีว่าชีวิตที่ดำเนินมาถึงตอนนี้เคยใฝ่ซึ่งความดีบ้างหรือเปล่า เคยคิดอยากเป็นคนดีที่ไม่แพ้ภัยบ้างไหม หากคิดได้จงพยายามก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ศิษย์พี่ก็รอไหว แต่อย่าฉับๆ แล้วถอยพรึบพรับแล้วไม่กลับมาเลย อย่างนี้ก็ไม่ไหว  ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ พิจารณาดู ธรรมะนี้ไม่ใช่เรื่องห่างไกลหรือเรื่องนอกชีวิต ไม่ใช่เรื่องของอาวุโส ตัวศิษย์น้องก็เป็นพุทธะได้ เป็นคนดีอย่างที่คนอื่นเขาคิดว่ามีด้วยหรือในโลกนี้ เราก็เป็นคนนั้น ลองดูสิ แล้วโลกนี้จะมีสันติสุขใช่หรือไม่ 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแกะห่อลูกอมเพื่อแจกให้กับนักเรียนในชั้น)
ห่อสวยจังเลย สวยแบบนี้ทำให้แกะไม่ลงเลยนะ แต่ต่อให้สวยอย่างไร ก็ต้องแกะ สวยแล้วกินไม่ได้อยากได้ไหม (ไม่อยากได้)  เห็นว่าชอบนัก สวยๆ หล่อๆ แล้วกินไม่ได้สักคนใช่ไหม ต้องสวย หล่อทั้งนอกและในใช่ไหม
เกิดมาแล้วก็ปลงๆ บ้างนะ วันนี้สวยพรุ่งนี้อาจจะไม่สวย วันนี้ของเราพรุ่งนี้อาจจะไม่เป็นของเรา กลัวพรุ่งนี้จะไม่ดี ฉะนั้นยุบหนอพองหนอเกิดมาแล้วหนอก็ต้องตายแล้วหนา  ท่องไว้นะจะได้ไม่กล้าคิดไม่ดี เราจะได้ไม่ขี้บ่น จงเป็นผู้อาวุโสที่มีค่าเป็นวัตถุล้ำค่าของคนในบ้าน ให้เขากราบให้เขาไหว้ ให้เขาอยากมาหาบ่อยๆ อย่าบ่นมากนะใช่ไหม  ลูกหลานมีเวรกรรมของเขา มีกรรมมีบุญวาสนาของเขา ห่วงมากเกินก็ไม่มีประโยชน์ เราทุกข์เปล่าๆ พูดไปก็เท่านั้น ถ้าเราพูดว่าเจริญๆ นะ โชคดีนะลูก เขามาก็ขอให้ลูกโชคดี เขาไปก็ขอให้โชคดี ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวัน ลูกก็จะมาหาทุกวัน ลูกหลานก็ต้องรักปู่ย่าตายายบ้างนะ ไม่ใช่เห็นท่านแล้วน่ารำคาญ ต่อไปแก่แล้วคนเขาก็ต้องรำคาญเราเหมือนกันใช่ไหม
ปีใหม่ขอให้เป็นปีแห่งรอยยิ้ม แม้จะขลุกขลักบ้างก็ขอให้ผ่านไปด้วยรอยยิ้ม ขอให้อดทนและก็ว่องไวให้ได้นะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานลูกอมให้กับนักเรียนในชั้น)
เมื่อเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่แล้ว ศิษย์พี่ก็จะพยายามป้อนธรรมะให้ศิษย์น้องให้เต็มที่ที่สุด จะได้เอาธรรมะไปสู้กับกิเลสตัณหาของตัวเองให้จงได้ ได้ไหม ตั้งใจบำเพ็ญนะ
แม้วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เข้าไปจับมือทุกๆ คน แต่ขอให้มีกำลังใจตั้งใจบำเพ็ญธรรม เอาความดีชนะใจของทุกๆ คน และไปเปลี่ยนแปรใจคนให้ได้ และจงชะล้างใจของตัวเองที่ไม่ดีออกไปให้หมด
อย่าดื้อนักนะ ชอบดื้อกันเหลือเกินนะศิษย์น้อง แข็งในตอนที่ไม่น่าจะแข็ง อ่อนในตอนที่ไม่น่าจะอ่อน ลองใช้ให้เป็น อะไรที่แข็ง อะไรที่อ่อน เด็ดเดี่ยวในตอนที่ต้องเด็ดเดี่ยว เข้มแข็งในตอนที่ต้องเข้มแข็ง อย่าดื้อดึงมากนัก ถ้าดื้อดึงเราจะไม่สามารถขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากใจได้
ไปแล้วนะ ไม่เสียเวลาแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี จากกันด้วยรอยยิ้มที่ดีนะ จงเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักของพระอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ถ้าหมั่นมีธรรมะ ธรรมะนั้นจะคุ้มครองศิษย์น้องด้วยความเชื่อมั่น


วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำ ไร้เหตุผลจำพูดแบบอ้อมแอ้ม
เมื่อปฏิเสธจะต้องเหลือช่องแง้ม การพูดแกมบังคับไร้คนเชื่อจริง
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา   แฝงกายกราบ
องค์มารดา สวัสดีปีใหม่ศิษย์รักทุกคน

ความสุขมีใจรองรับ ความลับยิ่งมากยิ่งยุ่ง
คนเก่งยิ่งมากยิ่งรุ่ง คุยฟุ้งไม่สู้ลงมือ
มีรอยยิ้มใสใสเหมือนเด็กน้อย อรุณผ่องใจไม่ลอยไม่คอยยื้อ
ใจอย่าเอียงเอนไปตามคำลือ คนไม่ถือเอาผิดคนจึงมีมิตร
อันม้าดีลงแส้เดียววิ่งพันลี้ อันม้าเลวแส้พันทีไม่ขยับสักนิด
บำเพ็ญธรรมไม่พ้นบำเพ็ญจิต หนึ่งชีวิตใช้ปัญญามาเป็นทุน
นาวาธรรมล่องลอยมาก็แสนไกล มวลใบไม้ผลัดเปลี่ยนไปเป็นรุ่นรุ่น
ทำลายตนจิตแท้ด้วยความมักคุ้น จงยืดหยุ่นบำเพ็ญอย่างมีขอบเขต
หวังศิษย์รักบำเพ็ญด้วยการปฏิบัติ จงเคร่งครัดตนจึงไกล เทวษ 
อย่าได้ติดแดนโลกีย์เหล่ากิเลส เปิดดวงเนตรแห่งธรรมกำชีวิตตน
ฮา  ฮา  หยุด

มาขวนขวายกัน ขึ้นนิดหน่อย  ค่อยทยอยดีวันดีคืน  ใครบ้างอยากทนเต็มกลืน  ปัญญาคืน หน้าชื่นไม่อกตรม
ศิษย์ขยันหาเรื่องกัน ให้น้อยหน่อย  เหมือนลาภลอยที่ได้ฟรีฟรีมา  คนโมโหดั่งคนบ้า  ให้เวลาคิดก่อนแล้วจึงทำ
ศิษย์หัวเสเจ้ากรรม  เห็นว่างานธรรมนั้นคืออะไร  บำเพ็ญคิดให้ออกไวไว  สิบปีนั้นไซร้ก็เหมือนดังวันเดียว

ชื่อเพลง  สิบปีเหมือนดังวันเดียว
ทำนองเพลง ผู้ใหญ่ลี


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนที่มานั่งอยู่ในที่นี้นิสัยหยาบๆ โดยทั่วไปเหมือนกันคือ ขี้โมโห โลภมาก และยังมีนิสัยเหมือนกันอีกหลายข้อวันนี้อาจารย์มาถึงพัดของอาจารย์นี้ฝุ่นมันเกาะ ตบๆ เอาฝุ่นออกไป เหมือนอะไร รู้ไหม พัดของอาจารย์เหมือนกับจิตใจของเราเอง จิตใจของเราที่เราไม่ได้หยิบมาใช้เสียนาน ส่วนใหญ่จะใช้สมองสั่งการ ส่วนใหญ่การกระทำจะไปเร็วกว่าที่เราจะคิด พูดง่ายๆ ก็คือส่วนใหญ่เราทำแล้วมาคิดว่าไม่น่าจะมาทำอย่างนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เรื่องอะไรๆ ในชีวิตก็ดูจะผิดพลาดไปหมด จริงๆ แล้วเรื่องบางเรื่องจบลงง่ายๆ ก็ดูจะยากส่วนใหญ่เราให้อารมณ์เราพาไป เราให้สมองสั่งงานไป ให้มือทำ ตาดู แต่เราไม่ใช้จิตใจของเรามอง ไม่ใช้จิตใจของเราพูด ไม่ได้ใช้จิตใจของเราคิด เพราะฉะนั้นตอนนี้ พัดในมือนี้ก็คือจิตใจของเรา เอาจิตใจของเรามาตบๆ ให้ฝุ่นที่อยู่ที่ใจของเราออกไปหน่อยดีหรือไม่ (ดี)
เวลาที่ฟังคนเขาพูดดีๆ หรือเวลาเห็นคนเขาทำอะไรดีๆ เราเคยคิดไหมว่าเราทำได้ (เคย)  แล้วมีกี่ครั้งที่เราลองไปทำดู มีหลายครั้งแต่เป็นหลายครั้งที่ยังนับได้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ต้องการหลายครั้งที่นับไม่ได้ เวลาที่เราเห็นคนอื่นดี ใจดีแล้วเราใจดีได้ไหม (ได้)  คนอื่นเมตตาเราเมตตาได้ไหม (ได้)  ช่วยคนอื่นโดยไม่บ่นแล้วเราทำได้ไหม แล้วความดีต่างๆ ที่เราเคยฟังมา สิ่งที่ว่าดีๆ ทั้งหลาย มากมายเหลือเกิน เราก็คิดว่าเราก็ทำได้ แต่เรายังไม่ได้ทำเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่วันนี้ใครๆ เขาก็บอกว่าเราเป็นคนดี ดีอย่างไร (มาฟังธรรมะ)  อาจารย์ถามว่าที่เขาว่าเราเป็นคนดี เราเป็นคนดีตรงไหน ลองยกตัวอย่างมาสิ (ทำดีอยู่ที่ใจ, เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่) มากเท่ากับมาตรฐานที่เราเคยวางไว้หรือยัง (ดีมากแต่ไม่เท่ามาตรฐาน)  เห็นไหมว่าเราจำเป็นต้องเอาจิตใจของเรานั้นมาปัดฝุ่นสักทีหนึ่ง
อายุเราเท่าไรแล้ว ไหนใครที่เลขสี่ขึ้นแล้วยกมือหน่อย อายุเกินเลขสี่แล้วนะ เวลามันเหมือนกับจะนับถอยหลังอยู่อายุยี่สิบยังนับไปข้างหน้า พอคนสี่สิบแล้วนับถอยหลังแล้ว อายุเกินยี่สิบมาก็ถือว่าผ่านวัยเด็กมาแล้ว  คนไหนที่เริ่มเห็นผมหงอกบนศีรษะของตัวเองแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ผมหงอกมันก็ขึ้นแล้วใช่หรือไม่ เท่ากับเรานับถอยหลังแล้วหรือยัง (ถอยหลัง)  แม้ตอนนี้อายุเราจะอายุยี่สิบกว่า แต่ผมหงอกขึ้นแล้วก็เรียกแก่หรือยัง ผมหงอกขึ้นบนหัวใคร (คนแก่)  ถ้าหากว่าเรามีผมหงอกหนึ่งเส้นก็แก่หน่อยหนึ่ง ถ้ามีผมหงอกห้าเส้นก็แก่มากขึ้น ถ้าใครมีผมหงอกทั้งหัวล่ะ แสดงว่าต้องหาความดีในตัวเราให้เจอแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาคนเขายกย่องว่าเราว่าเป็นคนดี เราต้องถามตัวเองว่าดีอย่างไร ดีที่ใจ ดีเพราะเป็นคนชอบฟังธรรมหรือ นั่นยังไม่ถูกต้อง มีความดีอีกมากมายที่ศิษย์นั้นสามารถที่จะฝึกหัดและเป็นคนดีด้วยความดีนั้นๆ ในเมื่อเวลาไม่รอเรา เราจะรอเวลาไหม (ไม่รอ)  ในเมื่อคนเขาชวนให้เราบำเพ็ญธรรม เราจะรอเวลาไหม (ไม่รอ)  ยี่สิบกว่าสามสิบกว่าเราก็มีผมขาวเสียแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะรอเวลา เพราะเวลาไม่รอเรา อย่าคิดว่าอายุของเรายังน้อยอยู่ สี่สิบกว่าเท่านั้น เวลาเราจะทำความดียากหรือเปล่า (ยาก)  ความดีทำยากทำสักเรื่องใช้เวลาหลายปีไหม (หลายปี)  กว่าคนอื่นเขาจะเชื่อว่าเราเป็นคนดีอย่างนั้นจริงๆ ใช้เวลานานมากเลย เพราะฉะนั้นสมมติว่าศิษย์อายุหกสิบปี สองปีต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองหนึ่งเรื่อง เหลือทั้งชีวิตทำความดีได้กี่เรื่อง หกสิบปี ศิษย์ทำความดีได้กี่เรื่อง สามสิบเรื่องเท่านั้นเอง น้อยไหม (น้อย)  ความดีมันก็มากมาย เราจึงไม่รู้ว่าเราดีตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้อาจารย์มาที่นี่ อาจารย์จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์นั้นฟังคำพูดที่อาจารย์พูดแล้วจะปฏิบัติตามหรือไม่ หากว่าอาจารย์พูดแล้วศิษย์ไม่ปฏิบัติตาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์นั้นมันอิงอยู่กับมนุษย์ ก็คือศิษย์ทั้งหลาย อาจารย์นั้นชื่อว่า “จี้กง” ( ???? )  แม้จะเป็นชื่อที่ดีแต่ชื่อที่ดีก็เหม็นไปในบางครั้ง ศิษย์เองก็มีทั้งชื่อและนามสกุล บางคนก็เป็นชื่อที่ดี แต่ว่าชื่อของเรามันจะเหม็นหรือจะหอม ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ ความไพเราะและความสวยงามของคน แต่อยู่ที่การปฏิบัติตนของคนๆ นั้น  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม อาจารย์ให้คิดง่ายๆ คือสิ่งใดที่ดีก็ให้ลงไปทำ สิ่งใดที่ไม่ดีต้องไม่ทำ ตอนนี้จำได้แล้วหรือยัง อาจารย์สอนเรื่องแรกแล้วนะ ทำได้ไหม แน่ใจไหม (แน่ใจ)  คนเขาใส่ร้ายแล้วทำอย่างไร (อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร , ยิ้มสบาย)  เห็นไหมว่าวิธีการของแต่ละคนมันก็อาจจะไม่เหมือนกันแต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ต้องเหมือนกันคืออะไร ห้ามโมโหใช่หรือเปล่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า อยากโง่ไหม อยากบ้าไหม (ไม่อยาก)  เพราะฉะนั้นต้องไม่โกรธ เวลาคนใส่ร้ายเราต้องไม่โกรธ ทำได้ไหม

“มีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำ ไร้เหตุผลจำพูดแบบอ้อมแอ้ม”
ถ้าหากเรามีเหตุผลก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ แล้วคนไม่มีเหตุผลจะพูดแบบไหน (ไม่เต็มปากเต็มคำ)

“เมื่อปฏิเสธจะต้องเหลือช่องแง้ม”
เมื่อเวลาที่เราจะปฏิเสธคนอื่นเราปฏิเสธเด็ดขาดไปเลยเป็นการทำร้ายตัวของเราเอง ถ้าบางทีคนอื่นเขามาชวน เราปฏิเสธเสียเด็ดขาดแต่ไม่ควรปฏิเสธชนิดที่ปิดช่องว่างหมด เวลาที่เราพูดอะไรจำเป็นที่จะต้องคิดหน้า คิดหลัง เพื่อรุกไปข้างหน้า เพื่อถอยมาข้างหลัง
หลายๆ คนเป็นคนที่มีอำนาจอยู่ในมืออาจจะเป็นอำนาจทางธรรม อำนาจทางโลก เวลาเราพูดถ้าอยากพูดให้คนอื่นเขาเชื่อเราจริงๆ เราต้องพูดออกจากจิตใจของเรา เราต้องพูดออกจากความเมตตา ออกจากความมีเหตุผล พูดออกจากความเห็นใจ เข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน นั่นแหละจะทำให้คนนั้นเชื่อเราและฟังเราจริงๆ แต่บางคนพูดจาเป็นการบังคับคนอื่น แม้ว่าคนอื่นนั้นเขาจะทำตามแต่ว่าจิตใจเขาตามเราไหม (ไม่ตาม)  จิตใจของเขาไม่ได้ตามเราเลย ถ้าหากว่าเราใช้คำพูดแกมบังคับ ก็รู้ไว้เลยว่าเราไม่สามารถบังคับเขาได้ถึงสองหน วันหน้าเวลาเราอ้าปากพูดคนวิ่งหนี เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมก็คือการควบคุมความประพฤติตัวเองและฝึกคุณธรรมเพิ่ม ลดอัตตาและลดทิฐิ ลดกิเลสลงเพื่อจะเราเกิดความกลมกลืนกับผู้อื่น เวลาทำงานแล้วจึงราบรื่น  หากเราบอกว่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานความราบรื่นให้กับการบำเพ็ญธรรมของเรา แต่นิสัยของเราไม่เปลี่ยนสักข้อหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะช่วยได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถเสกให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนไปได้ทุกอย่างทำไมอาจารย์จะต้องลงมาพูดให้เมื่อยปาก  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์เกินคนธรรมดาทั่วไป คนธรรมดาทั่วไปนี้เวลาที่ทำดี เวลาทำกุศล ยังแรงกว่าอีก เป็นคนสร้างกรรมก็แรงยิ่งกว่าเทวดาผีสางอีก เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ใช้เวลาทุกๆ วัน ทุกๆ วินาทีให้คุ้ม ทำแต่สิ่งที่ดีจะได้ไม่เสียใจทีหลัง เหมือนกับตอนทำบุญเมื่อบุญเราแรง กรรมเราก็แรง ฉะนั้นจะต้องรู้จักที่จะระวังตัวของเราเอง ใช้สิ่งที่เรามีคือปัญญาและสติมาควบคุมตัวของเราเอง ใช้สิ่งที่เรามีนั้นทำให้เราเป็นคนที่มีความสามารถแต่อย่าหลงในความสามารถและตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นเราจะตายเพราะตัวของเราเอง
สวัสดีปีใหม่ศิษย์รักทุกคน ไม่มีศิษย์คนไหนสวัสดีปีใหม่อาจารย์เลย
(นักเรียนในชั้นกล่าวสวัสดีปีใหม่พระอาจารย์)
วันนี้อาจารย์เดินไปเดินมาเก้าอี้มันก็แคบติดขัดไปหมด วันธรรมดาๆ คนในสถานธรรมเยอะขนาดนี้ไหม (ไม่)  แสดงว่าเรานั้นมา
สถานธรรมเป็นพักๆ ใช่หรือไม่ คนเขาชวนแล้วถึงจะมามีงานแล้วถึงจะมาใช่หรือไม่ ชีวิตของเราส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านกับการทำงานใช่หรือเปล่า ชีวิตส่วนน้อยเพียงสองวันในหนึ่งปีที่เรามาสถานธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะที่เราปฏิบัตินั้นปฏิบัติที่ไหน ไหนใครว่าสถานธรรมยกมือขึ้น ไหนใครว่าที่บ้านยกมือ มีคนไม่ยกด้วยก็เลยเป็นครึ่งๆ ใช่หรือไม่ อาจารย์สรุปว่าคนส่วนหนึ่งบอกว่าธรรมะปฏิบัติที่สถานธรรม อีกส่วนหนึ่งบอกว่าปฏิบัติที่บ้าน ที่ทำงาน อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ยกอาจารย์คิดเอาว่ายังไม่รู้จะปฏิบัติที่ไหน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แบ่งรับแบ่งสู้ไว้เป็นคนดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์จึงปฏิบัติได้ทุกๆ ที่ แต่เมื่อชีวิตของเราส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวและการทำงาน ธรรมะจึงปฏิบัติในบ้านและในงานเป็นส่วนใหญ่ ธรรมะนั้นอาจจะไม่ได้ปฏิบัติในสถานธรรมเสมอไป แต่หากว่ามีเวลาว่าง ศิษย์ของอาจารย์ต้องมาศึกษาเพิ่มเติมถ้าหากว่าไม่มาศึกษาเพิ่มเติมจะรู้ไหมว่าธรรมะปฏิบัติอย่างไร (ไม่รู้)
อาจารย์มาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นติดในรูปลักษณ์หรือว่าเกิดความสงสัย แต่อาจารย์มาเพื่อสอนวิธีการบำเพ็ญธรรมให้กับศิษย์ อาจารย์ทำอย่างนี้มานานแสนนานแต่คนที่ปฏิบัตินั้นก็ยังน้อยเหลือเกิน คนที่มาสถานธรรมนั้นเต็มไปหมดแต่คนที่ปฏิบัติธรรมนั้นน้อย ศิษย์เข้าใจคำพูดของอาจารย์ไหม (เข้าใจ)  หมายความว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ผู้ปฏิบัติเองก็ไม่ยอมปฏิบัติธรรม ฉะนั้นธรรมนั้นจึงดูไม่มีค่า ธรรมนั้นจึงไม่ได้การเก็บผลที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จิตใจของพวกเราทุกคนก็ยังเป็นจิตใจที่เว้าๆ แหว่งๆ เพราะว่าเรานั้นบำเพ็ญแต่เราไม่ปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ในเมื่ออาจารย์นั้นสวัสดีปีใหม่กับศิษย์ทุกคนไม่ใช่อาจารย์นั้นสวัสดีปีใหม่กับศิษย์ทุกปี แต่วันนี้อาจารย์ตั้งใจจะสวัสดีปีใหม่เพราะอยากจะให้วันนี้เป็นปีที่ใหม่ของศิษย์จริงๆ เป็นปีใหม่ ใหม่คือการเป็นคนใหม่ของเรา เราคนเก่าเป็นอย่างไร เอาแต่ใจ ขี้งอน ขี้บ่น ขี้เกียจ ขี้อิจฉา ขี้โมโห ล้วนแล้วแต่นำหน้าด้วยขี้อะไรทั้งนั้นเลย ในวันนี้อาจารย์ตั้งใจสวัสดีปีใหม่กับศิษย์เพื่ออยากให้ศิษย์รู้ว่าเรานั้นควรที่จะทำตนเป็นคนใหม่ คือใหม่ด้วยการบำเพ็ญธรรม ใหม่ด้วยจิตใจที่ใหม่ ดีมากขึ้น คนเราสำคัญอยู่ที่ไหน (จิตใจ)  เพราะว่าเมื่อเวลาใจร้อนอากาศเย็นเป็นอย่างไร (ร้อน)  เวลาที่อากาศหนาวเหน็บแต่จิตใจของเรานั้นกลัวสุดขีด อากาศเป็นอย่างไร (ร้อน)  เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่จิตใจของเราไม่ปกติ คิดมาก ขี้ใจน้อยเราจะมองหน้าคนที่เรากำลังเกิดความรู้สึกนั้นมองได้ด้วยจิตใจหรือดวงตาที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  มองด้วยตาขวางๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นจิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ บางคนเห็นปัญหาเล็กๆ นั้นเป็นปัญหาใหญ่ๆ ส่วนบางคนมองปัญหาใหญ่ๆ ก็มองเหลือเล็กนิดเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรารู้สึกสำหรับเรานี่คือปัญหาใหญ่ สำหรับคนอื่นปัญหานี่คือปัญหาเล็ก ทำไมต่างกัน ต่างกันที่ตรงไหน (จิตใจ)  ต่างกันที่จิตใจและการรับรู้สถานการณ์มาต่างกัน ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์นั้นเกิดเป็นคนแล้ว บำเพ็ญธรรมแล้ว ต้องเป็นคนที่มีจุดหมายด้วย เราจะเป็นคนเหมือนอย่างที่เราเคยผ่านมาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวของเรานี้ให้ดีมากยิ่งขึ้น
มีแต่ความไม่ดี มีแต่นิสัยไม่ดี ลุกขึ้นมาให้เป็นคนที่เต็มคน ลุกขึ้นมาให้เป็นคนที่ดีงาม ไม่ใช่ตัวเราชมตัวเราเองนะ ต้องให้คนอื่นชมตัวเรา เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่า คนดีไม่ชมตัวเองว่าดี แต่คนชั่วมักชมตัวเองว่าดี  ฉะนั้นศิษย์อาจารย์รู้เช่นนี้แล้ว อยากจะมีปีใหม่หรือยัง (อยากมี)  อาจารย์เห็นทุกๆ ปี ศิษย์ของอาจารย์ปีใหม่ก็จริง แต่ใหม่แต่ปี คนไม่ใหม่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอเปลี่ยนปีทีก็คำนวณใหญ่เลยปีหน้าจะเป็นอย่างไร คนชอบดูดวงก็ไปดูดวงก่อนเลย คนชอบเสี่ยงโชคก็ไปเล่นไพ่ เล่นหวยก่อนเลยใช่ไหม (ใช่)  หากว่าใครเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการแทงเลข ดูดวง ก็แสดงว่าคนนั้นไม่มีความเป็นตัวของตัวเองมากพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปีใหม่ของศิษย์ขึ้นอยู่กับอะไร อาจารย์ถึงบอกว่าไม่เคยเห็นปีใหม่ในโลกมนุษย์ เห็นแต่ปีที่มันเปลี่ยนไป แต่คนไม่ยอมเปลี่ยน ขี้โมโหอย่างไรก็อย่างนั้น เอาแต่ใจอย่างไรก็อย่างนั้น ปีที่ใหม่จึงใหม่แต่ปี คนไม่ใหม่ อยากมีปีใหม่หรือยัง ใครอยากมีปีใหม่ยกมือขึ้น อาจารย์ดีใจกับศิษย์เหล่านี้ ขอให้ศิษย์นั้นมีปีใหม่และเริ่มต้นปีที่ดีได้ ปรบมือให้กับตัวเอง เสียงปรบมือนี้ขอให้ก้องอยู่ในใจเวลาที่เราท้อใจ มีคนพร้อมที่จะดีพร้อมๆ กับเรา เสียงปรบมือนี้ไม่ใช่เสียงปรบมือของเราคนเดียว ฉะนั้นคนที่ดีขึ้นในสังคมนี้ ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียว เวลาทำความดีจึงไม่ยากอีกต่อไปเพราะว่ามีคนจะทำความดีเป็นเพื่อนเราถูกหรือเปล่า (ถูก)  เก็บเสียงปรบมือนี้ในยามท้อใจ
(พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลแก่นักเรียนที่ตอบ)
คนตอบหลายคำถามได้ลูกเดียวคุ้มไหม อาจารย์คิดว่าคุ้มนะ เวลาที่เรารับอะไรถ้าเราประคองด้วยสองมือจะมั่นคงไหม (มั่นคง)  ถ้าหากว่าซ้ายมือ ขวามือ มั่นคงไหม (ไม่มั่นคง)  แล้วหากว่าลูกที่สามโยนมาถึงจะทำอย่างไรรับลูกที่สามแล้วปล่อยสองลูกแรกทิ้ง เพราะฉะนั้นจึงไม่มั่นคง ใช่ไหม (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมเหมือนกับอะไร เมื่อสักครู่อาจารย์โยนผลไม้ไป ศิษย์ของอาจารย์อ้ามือออกรับ รับได้ไหม (ได้)  แต่หากว่าอาจารย์โยนไปศิษย์ไม่เอามือมารับ รับได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นวันนี้มาศึกษาธรรมก็เหมือนกับอาจารย์โยนมาให้ ศิษย์ก็ต้องแบมือออกรับ เวลาคนที่มาศึกษาธรรมจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ ต้องเปิดใจรับธรรมะเข้าไป ไม่เช่นนั้นก็เหมือนอาจารย์โยนไปให้แต่ศิษย์ก็หันหลังใส่ ฉะนั้นคนที่ฟังมาจนถึงตอนนี้หากจิตใจยังรู้สึกเปิดไม่ได้ เราต้องพยายามเปิดใจออกรับ รับเสร็จแล้วเราวางจะมีใครว่าไหม รับต่อหน้าอาจารย์ก่อนแล้วพอลับหลังอาจารย์แล้วค่อยไปวางแล้วกันนะ เดี๋ยวอาจารย์ลองโยนดูแล้วให้ศิษย์ของอาจารย์รับ ใครอยากโชคดีบ้างยกมือขึ้น โยนให้ฟรีๆ ต้องยกมือขึ้นรับใช่หรือไม่ (ใช่)
“คนเก่งยิ่งมากยิ่งรุ่ง” บางที่สถานธรรมเล็กนิดเดียว แต่ว่าทุกคนอ่อนน้อมถ่อมตนควบคู่ไปกับความเก่ง อันนี้ทำให้สถานธรรมผาสุก ราบรื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางที่สถานธรรมใหญ่โตแต่ว่าคนเก่งแย่งกันเก่ง รุ่งไม่รุ่ง (ไม่รุ่ง)  เป็นดาวรุ่งหรือดาวดับ (ดาวดับ)  เพราะฉะนั้นอาจารย์พูดไว้ว่าคนเก่งยิ่งมากยิ่งรุ่งก็อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำตัวเองให้รุ่ง มองธรรมะที่อยู่ในใจเรา เห็นธรรมะที่อยู่ในใจของเรา มีคนเขาบอกว่าภาษาไม่สามารถสื่อไปถึงธรรมะอาจารย์ก็เห็นด้วย แต่ศิษย์ในยุคปัจจุบันนี้ไม่มีเวลามาย้อนมองส่องใจของตนเอง ไม่มีเวลาที่จะมามองเห็นสัจธรรมในจิตใจของตนเองแล้วจึงไปสอนคน เพราะเรานั้นต่างเข้าข้างตนเอง ธรรมะจึงเอียงกระเท่เร่  ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ใช้ภาษามาศึกษาธรรมะ แล้วพูดให้คนอื่นฟังอย่างจิตใจที่ตรงเที่ยง สักวันหนึ่งบำเพ็ญผ่านไปจิตใจของเรานั้นเปล่งประกายแห่งพุทธะออกมามากเมื่อไหร่ วันนั้นเราก็จะเห็นถึงความแยบยลของธรรมะและสัจธรรมไปเอง แต่เฉพาะหน้าตอนนี้ขอให้เรานั้นเป็นคนที่มีความสามัคคี
ในชั้นเรียนชั้นนี้หลายๆ คนมีโอกาสออกมาจับไมค์ หลายคนมีโอกาสที่จะมาเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ในปีที่แล้วๆ มาเราไม่เคยทำ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นสร้างโอกาสให้เป็นโอกาส ไม่ใช่สร้างโอกาสให้เป็นวิกฤต ต้องรู้จักที่จะสร้างโอกาสของเรานั้นให้เป็นความก้าวหน้าต่อไปให้เป็นโอกาสจริงๆ และต้องพยายามที่จะเปิดใจให้กว้าง เราถามคนเก่า คนเก่าถามเรา เราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งสถานธรรมเต๋อฮว่า ( ???? ) ทั้งสถานธรรมจือเจวี๋ย ( ???? ) เป็นพี่น้องร่วมมือกันเมื่อไรก็รุ่ง ขัดกันเมื่อไรก็ (ร่วง)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ทำหน้าที่เขียนพระโอวาทบนกระดานดำ)
อาจารย์ว่าการเขียนให้ถูกต้องนั้นทุกคนทำได้ ทุกคนในที่นี้ก็มีความสามารถ แต่การเขียนให้ดีไม่ค่อยมีใครทำได้เท่าไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นไปเขียน ลายมือก็จะเปลี่ยนไป ทำไมถึงไม่เหมือนกันล่ะ เพราะต่างคนต่างเอาลายมือของตัวเองขึ้นไปเขียน สิ่งที่ต้องเหมือนกันก็คือ ตัวหนังสือแห่งความสามัคคีที่ข้างซ้ายและข้างขวานั้นต้องเขียนให้เป็นลายมือที่ค่อนข้างจะเหมือนกันและไม่เขียนไปตามนิสัยของตัวเราเอง อาจารย์จึงบอกว่างานธรรมนั้นยิ่งมากโดยเฉพาะศิษย์นั้นจัดประชุมธรรมเกือบทุกอาทิตย์ ความสามารถของศิษย์แต่ละคนก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าเวลาที่เราทำงานธรรมะ ไม่ได้ทำไปตามความชำนาญหรือความสามารถเท่านั้น แต่ยังต้องทำตามคุณธรรมของตัวเราด้วย อย่างเช่นเรามีหน้าที่ทำกับข้าว เราล้างจานล้างชาม เราก็ล้างจิตใจของเราไปด้วย เมื่อเราทำหน้าที่เขียนกระดาน เมื่อเวลาเราลบทิ้ง เราก็ดูว่าเราลบได้สะอาดเพียงไหน เมื่อเราทำหน้าที่บรรยายธรรม พูดไปก็คิดไปว่าเรานั้นทำได้หรือยังอย่างที่เราพูด เวลาทำงานร่วมกันยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย เห็นชัดใคร ไม่ใช่เห็นคนอื่นชัด คนส่วนใหญ่จะเห็นคนอื่นชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมัวแต่มองผู้อื่นว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันเป็นอย่างไร และสรุปทีไรฉันก็ดีกว่าทุกทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้แหละอาจารย์ถึงอยากที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์มองเห็นตัวเอง เข้าใจตัวเอง ฝึกคุณธรรมของตัวเอง ทุกๆ วันที่ผ่านไปจึงไม่ผ่านไปอย่างคนที่ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่สิบปีที่แล้วยังไม่บำเพ็ญธรรมก็เป็นอย่างนี้ แย่กว่านี้นิดหน่อย พอสิบปีหลังบำเพ็ญธรรมแล้วก็เป็นอะไรที่คล้ายๆ กัน อย่างนี้แสดงว่าเรานั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้ก้าวหน้าเลย ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งมีแต่ความเป็นตัวของตัวเองอัตตามากขึ้น อย่างนี้จะเรียกว่าบำเพ็ญธรรมได้อย่างไร
ส่วนคนที่มาใหม่ในวันนี้ ไหนลองตอบสิว่า การบำเพ็ญธรรมของศิษย์คืออะไร (ขัดเกลาตัวเอง, การเริ่มต้นทำความดี)  บำเพ็ญธรรมคือการขัดเกลา ขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง เป็นเรื่องไกลตัวไหม ใกล้ตัวเสียจนเราลืมไปเลยด้วยซ้ำจิตใจของเรามีกี่ดวง (ดวงเดียว)  ขัดเกลาจิตใจใช้เวลากี่นาที  ไหนลองหลับตา ลองสมมติว่าในมือซ้ายของเรามีแก้วกลมๆ อยู่ลูกหนึ่ง มือขวาจับผ้าขึ้นมา อาจารย์นับหนึ่งถึงสามก็เริ่มเช็ด ใครเช็ดเสร็จยกมือนะ หยุดเช็ดก่อน คนยกมือแล้วค้างไว้ ลืมตา เช็ดไวแบบนี้สะอาดไหม (ไม่สะอาด)  ใครที่คิดว่ายังไม่สะอาดหลับตาแล้วเช็ดต่อไป ใครเช็ดเสร็จแล้วยกมือ สะอาดหรือยัง สะอาดแล้วใช้เวลากี่นาที (หนึ่งนาที)  ทุกคนลืมตาขึ้น อาจารย์สมมติให้แก้วดวงนี้คือจิตใจของคนเรา สมมติว่าผ้าคือการขัดเกลา  อาจารย์นับสามยังไม่ถึงเท่าไรเลยก็มีคนยกมือแล้ว แสดงว่าจริงๆ แล้วการเช็ดจิตใจของเรามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเกินไปใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์ของอาจารย์คิดก็สามารถทำได้แล้ว เพียงแต่ว่าโดยปกติเราไม่เคยมองตัวเอง เราไม่มองตัวเองจึงไม่รู้ว่าการเช็ดขัดเกลาจิตใจของเรานั้นมันง่าย และเรานั้นก็ยังไม่เคยทำ อาจารย์จึงบอกว่า สมมติให้ศิษย์ดึงจิตใจออกมาได้ แล้วจิตใจของเรานั้นให้เราเช็ดได้ ถ้าให้เราเช็ดได้เราจะใช้เวลาสักเท่าไร จริงๆ แล้วการขัดเกลาจิตใจการบำเพ็ญตนนั้นก็ไม่ง่าย มันยากตรงที่ว่าแก้วที่เป็นจิตใจของเรา พอนานๆ ไปเราคุ้นกับความสกปรกของแก้ว เคยเห็นคราบที่จับตามแก้วน้ำไหม (เคย)  แก้วอันนี้ถ้าเราใช้ทุกๆ วันโดยที่เราไม่ได้ล้าง คราบมันก็ไปจับที่แก้ว จับๆ ไปในที่สุดแล้วความขุ่นของคราบสกปรกนี้ก็กลมกลืนไปทั้งแก้วเลยใช่ไหม (ใช่)  เราลืมไปเลยว่าจริงๆ แล้วนี่คือคราบสกปรก ตราบเมื่อวันใดวันหนึ่งที่มีแก้วอีกใบที่ใสกว่ายังไม่ได้ใช้เอามาตั้งเทียบกัน เราก็จะรู้ทันทีว่าจริงๆ แล้วแก้วของเราเป็นแก้วที่สกปรก ฉะนั้นเวลาที่เราบำเพ็ญธรรม ขอให้เราตัดสินใจที่จะเช็ดแก้วของเราให้สะอาด แล้วหากวันหนึ่งวันใดมีโอกาสที่จะให้คนอื่นมาติเราว่าเราหรือมีโอกาสมองเห็นความดีของคนอื่น ให้รีบหันกลับมามองตัวเองว่า แก้วของเรานั้นมันขุ่นไปอีกรอบหนึ่งหรือเปล่า ถ้าหากว่าศิษย์ใช้หลายคนหลายมือ แก้วที่สะอาดก็ขุ่นง่ายใช่หรือไม่ เราต้องพยายามพิจารณามองตัวเอง โทษผู้อื่นไม่ได้ การบำเพ็ญกล่าวติผู้อื่นก็ไม่ถูก มีแต่ต้องกล่าวติตัวเองและมองจิตใจของตัวเอง ทำจิตใจของเราให้ดีขึ้น เช็ดจิตใจของเราให้สะอาด อาจารย์พูดแบบนี้มาเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญแล้วแต่ยังไม่ปฏิบัติเลย การที่บำเพ็ญผ่านไปทุกวันๆ จึงมีความหน่ายขึ้นทุกวันๆ เช่นเดียวกัน

(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมอาจารย์ถ่ายทอดธรรม)
เวลาที่ทำพระโอวาท มีวิวัฒนาการนำสมัยมากมาย มีคนที่ใช้โดยไม่ได้บอกให้ศิษย์รู้ มีโฮ่วเสวีย ( ???? - นักธรรมรุ่นหลัง ) ของศิษย์ที่เขาทำโดยที่ศิษย์ก็ไม่รู้ ฉะนั้นการใช้สิ่งที่เป็นวิวัฒนาการสมัยใหม่ ให้ใช้อย่างมีขอบเขต ใช้อย่างรู้ประมาณตน เวลาที่เราสร้างความดีนั้น เป็นสิ่งที่สร้างแล้วคนไม่ค่อยเห็น แต่ว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเห็น เราต้องอาศัยความใจดี เข้าไปแลกใจเขามานะ รู้ไหม (รู้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงพระโอวาท)
นั่งสองวันนี้เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  นั่งเป็นสามวัน สี่วัน ห้าวันได้ไหม (ได้)  เสียงเบาลงเรื่อยๆ นะ การนั่งฟังธรรมสองวันนี้เป็นเพียงการลงเมล็ด แต่กลับไปบ้านอย่าลืมรดน้ำรู้หรือเปล่า หว่านเมล็ดลงไปแล้วไม่รดน้ำต้นไม้เป็นอย่างไร (ตาย)  อยากให้ต้นพุทธะของตนเองตายไหม (ไม่อยาก)  รู้ว่าธรรมะมีค่าต้องเอากลับไปปฏิบัติ ถ้าเราทำดีต่อผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ถ้าเราฝึกจิตใจก็เหมือนกับยิ่งรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้แห่งพุทธะของเรานั้นมันก็จะเจริญงอกงาม กลับไปขี้บ่นได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเด็กๆ ล่ะ กลับไปต้องขยันทำอะไร (ขยันเรียน)  ขยันเรียนเท่านั้นเองหรือ เด็กดีต้องทำอย่างไร (ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ , จะลดความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง , ช่วยเหลือเพื่อนพ้อง)  ช่วยอย่างไร เวลาเพื่อนขอให้ช่วยไปซื้อบุหรี่มาให้หน่อยจะไปไหม เวลาเพื่อนบอกให้ไปซื้อยาม้ามาสักเม็ด ไปเสพเฮโรอีนด้วยกัน เอาไหม (ไม่เอา) (รักษาศีลห้า)  ข้อไหนต้องรักษาหนักที่สุด (ข้อสาม)  ว่าด้วย (ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น)  เห็นไหมว่าโลกมนุษย์เดี๋ยวนี้เสื่อม จงใจรักษาข้อนี้แสดงว่าคงไม่เด็กแล้วนะ
เวลาเป็นเด็กต้องใช้ชีวิตอย่างเด็กให้คุ้ม เวลาแก่แล้วก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนแก่ให้คุ้ม เวลาทำงานก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนทำงานให้คุ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเด็กมักเน้นเรื่องเรียน พอเป็นคนแก่มักเน้นเรื่องเข้าวัด พอทำงานมักจะบ้างาน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์ก็จับสามวัยนี้มารวมกัน เป็นเด็กก็เน้นได้ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องของการฟังธรรมะ ฟังธรรมสงบกว่าการฟังเพลง สงบกว่าการไปเที่ยว คนนี้เด็กไหม (เด็ก)  ไหนผู้ใหญ่ลองตอบเด็กน่ารักตรงไหน (ไร้เดียงสา)
อาจารย์จะบอกให้ ไม่มีใครมีกำลังมากตั้งแต่เกิด ไม่มีใครมีความสามารถตั้งแต่เกิด ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด แต่ทุกอย่างเกิดจากการฝึกฝน เดิมเราอาจจะมีปัญญาแค่ฟุตหนึ่ง แต่หากว่ายิ่งฝึกฝนก็ยิ่งมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากไม่ฝึกฝนล่ะ ไม่ใช่คงที่ แต่มันหดสั้น หดสั้น
เด็กน่ารักตรงไหน (มีความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์, เป็นเด็กดี, เด็กน่ารักคือเด็กที่ยังตัวเล็กอยู่, เด็กน่ารักทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจและไม่เสแสร้ง, ไม่กล่าวคำว่าร้าย, ไม่พูดโกหก)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกไปวงพระโอวาทซ้อน และประทานเพลงพระโอวาท)
“ศิษย์ขยันหาเรื่องกันให้น้อยหน่อย”
แต่ประหลาดบางทีเราไม่หาเรื่องเขา เขาก็หาเรื่องเราใช่หรือไม่ ถ้าต่างคนต่างไม่หาเรื่องแล้วเป็นอย่างไร (สบายดี)

(พระอาจารย์เมตตาอาจารย์บรรยายธรรมที่ดูแลหน้าชั้น)
อาจารย์พูดบ่อยๆ ว่า คนถือไมค์อยู่ข้างหน้ามีอำนาจอยู่ในมือเต็มที่ พูดอะไรจะพูดอย่างคนไม่คิดไม่ได้ แล้วต้องขยันอ่านหนังสือให้มากๆ ถ้าหากว่าเราอยู่ในเกณฑ์ที่อาจจะต้องมานำคนอื่น เราก็ต้องเร่งอ่านหนังสือมากเป็นสามเท่า ส่วนคนที่ตอนนี้ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ อาจารย์ว่าดีนะ เพราะว่าเราอ่านหนังสือ เป็นประจำทุกวันๆ พอถึงวันหนึ่งเรามีหน้าที่ เราก็ทำได้เต็มที่  แต่ว่าคนที่ตอนนี้ขึ้นมานำแล้วจับไมค์แล้ว ลงได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเวลาพูดบางทีพูดอะไรก็ยังไม่รู้ ยังงงๆ เพราะฉะนั้นต้องอ่านหนังสือเยอะๆ คำพูดของปราชญ์โบราณอ่านเยอะๆ แล้วเราต้องใช้ทั้งน้ำเสียงและความรู้ที่เรามีมา ใช้ทั้งความสามารถพูดออกไป ถ้าหากว่าเรานำได้ไม่ดีก็หมายความว่าเราไม่ได้เรื่อง แล้วพอไม่ได้เรื่อง ใครเห็น คนอื่นเห็น ไม่ใช่ว่ารู้ไว้เพื่อขายหน้า แต่รู้ไว้เพื่อพัฒนา ใช่หรือไม่ วันนี้เราพัฒนามากขึ้น ปีหน้าก็ยิ่งมากขึ้นๆ ทุกปีนะ
“ให้เวลาคิดก่อนแล้วจึงทำ  ศิษย์หัวเสเจ้ากรรม เห็นว่างานธรรมนั้นคืออะไร  บำเพ็ญคิดให้ออกไวไว สิบปีนั้นไซร้ก็เหมือนดังวันเดียว “
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “สิบปีเหมือนวันเดียว” ทำนองเพลง “ผู้ใหญ่ลี”)
เราจะใช้สิบปีเหมือนวันเดียวได้อย่างไร ทุกวันนี้เวลาเรามีความทุกข์ หนึ่งวันของเราเหมือนกี่ปี สิบปี แล้วเวลาเรามีความสุขล่ะ สิบปีเหมือนวันเดียว แสดงว่าเราบำเพ็ญอย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์สิบปีเหมือนกี่ปี
ถ้าหากว่าสิบปีเหมือนวันเดียวได้เมื่อไร แสดงว่าเราบำเพ็ญธรรมอย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเรายิ่งช่วยคนยิ่งทำงานมากก็ยิ่งรู้สึกเวลาไม่พอ ใช่หรือเปล่า ถ้าหากวันๆ นั่งเบื่อ นั่งเหงาและท้อ โทษโน่นโทษนี่ สิบปีเหมือนกี่ปี เหมือนร้อยปี ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมไม่มีความสุข แล้วใครจะมีความสุข ขนาดคนบำเพ็ญธรรมยังไม่มีความสุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีความสุข และมีความสุขในการบำเพ็ญธรรม ความสุขทำให้ศิษย์ปลงได้ ความสุขทำให้รักตัวเองอย่างถูกทาง การบำเพ็ญธรรมนั้นทำให้ศิษย์เป็นตัวของตัวเอง แต่หากว่าเราบำเพ็ญธรรมแล้วรู้สึกว่ากลัว รู้สึกไม่อยากที่จะเข้าใกล้ รู้สึกผิด อย่างนี้เราบำเพ็ญธรรมถูกทางหรือเปล่า การบำเพ็ญคือการขัดเกลา และในการขัดเกลานั้นคือการแก้ไข อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นแก้ไขตัวเองและมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ดีไหม หมดเวลาชีวิตนี้ไปอย่างมีคุณค่า และหมดเวลาชีวิตนี้ไปอย่างมีความสุข สิ่งที่ทำให้ได้สองอย่างนี้คือการบำเพ็ญธรรม
บำเพ็ญให้ถูก เวลาใครพูดอย่าไปเชื่อ ทำไมพูดอย่างนี้ เพราะเราต้องพิจารณาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาที่เขาพูดถูกแล้วเราจะบอกว่าเขาพูดผิดได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนติดนิสัยเวลาคนอื่นพูดมา เรายังฟังไม่ทันจบเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าไม่ใช่ ยังฟังไม่ทันจบเลยเราก็เกี่ยงแล้วว่าไม่ใช่ ที่คนอื่นพูดไม่ใช่หมด แต่ที่เขาพูดจริงๆ แล้วถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นต้องพยายามที่จะใจเย็นลงและฟังคนอื่นให้มากขึ้น คนอื่นพูดก็อาจจะถูก แม้ว่าคนนั้นจะอาวุโสกว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อเสียทีเดียว แต่ขอให้เราใช้ปัญญาพิจารณา เมื่อเขาพูดถูก พูดดี ศิษย์จะไม่ยอมรับได้อย่างไร ใช่หรือไม่ แต่อย่าโอบอุ้มจิตใจที่คิดว่าไม่ใช่ๆ ไม่เอาๆ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เป็นจิตใจที่คัดค้านก่อน เมื่อจิตใจคัดค้านแล้วทำอะไรจะสำเร็จได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่จดพระโอวาทบนกระดาน)
เห็นเขาเขียนผิดๆ อย่างนี้ ทั้งที่อาจารย์ก็พูดชัดแล้ว เห็นๆ แล้ว อาจารย์มองๆ ก็ไม่ได้คิดถึงเขาคนเดียวนะ อาจารย์คิดถึงศิษย์ทุกคนเลยนะ บางทีไม่น่าจะงงง่ายๆ ในการปฏิบัติธรรมทำงานธรรมอะไร แต่ไม่รู้อะไรขัดขวางอยู่ทำให้เรามึนงง เราต้องพยายามคิดและขจัด นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่ไว้ย้อนมองการบำเพ็ญธรรมของเรา เราไม่อยู่ตรงนั้นเราก็ไม่รู้ ทำไมคนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ลำบากจึงรับรู้ได้ ลำบากเพราะเขาเอาใจเข้าไปใส่ใช่หรือไม่ ใจของเราเข้าไปผูกกับความลำบากนั้น และคิดว่าความลำบากนั้นเป็นของเราจึงทำให้เรายิ่งลำบากใหญ่เลย ขนาดเขียนก็ยังผิดเลยใช่หรือไม่
(เนื่องด้วยเนื้อเพลงพระโอวาทเขียนผิด พระอาจารย์จึงเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เป็นผู้เขียน)
คนเขียนผิดออกมาแล้ว ควรทำอย่างไร (นักเรียนปรบมือให้)  เวลาที่เราเจอคนผิดเราต้องให้กำลังใจเพราะว่าความผิดนี้ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น และความผิดนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความผิดนี้ไม่ใช่ความผิดที่ลักขโมย เพราะฉะนั้นเวลาผู้อื่นทำผิด เราควรที่จะให้อภัย ให้กำลังใจเขา เนื่องจากเขาไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และความผิดนั้นไม่ได้ร้ายแรง ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์อยากจะซ้ำคน ต้องดูให้ดีๆ หากว่าดูไม่ดี อาจจะซ้ำใคร (ซ้ำตัวเอง)  ซ้ำว่าตัวเราเองนั้นยังด้อยคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาเจอคนที่มีความสามารถมากกว่าในเรื่องที่เราไม่รู้เราก็บอกว่าถูก ต่อเมื่อวันหนึ่งพอเรารู้มากขึ้น เรียกว่าคนรู้มาก พอรู้มากคนอื่นพูดอะไรก็บอกว่าผิดหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่เป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเจอคนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วคนนั้นก็คือเราหรือเปล่า ฉะนั้นเวลาที่เรารู้มากขึ้นก็ทำตัวเหมือนไม่รู้ ยังอ่อนน้อมไต่ถามเหมือนเดิม นั่นแหละจึงจะแสดงให้เห็นว่าเรานั้นบำเพ็ญธรรมมีความก้าวหน้ามากขึ้น ไม่ใช่พอถึงวันหนึ่งเมื่อเรารู้มากขึ้นคนที่เราเคยบอกว่าเขาเก่ง มาวันนี้เขาดีเทียบเราไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่า “หม่า ?•” หมายถึง “ม้า”  “เต้า •?” ก็คือคำว่า “ถึง”  “เฉิงกง ?•??” แปลว่า “สำเร็จ”  ปีนี้เป็นปีม้า เมื่อวานนี้ศิษย์พี่ของเจ้าก็ให้คำนี้ไว้เพื่อเป็นการบอกว่าปีม้ามาถึงแล้ว ขอให้สำเร็จรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ขอให้งานธรรมเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ขอให้ชีวิตมีแต่ความสำเร็จ อย่างนี้ต้องขอบคุณศิษย์พี่หรือเปล่า (ขอบคุณ)  ความหมายอันนี้เป็นความหมายที่ดีมากและอยากให้ศิษย์รู้ไว้ว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดด้วยการไม่ทำอะไรเลย แต่ความสำเร็จเกิดจากการที่เรานั้นยิ่งทำยิ่งสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารอราชรถมาเกยแล้วราชรถไม่มาเกย นี่จะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  แล้วชีวิตนี้ใครคิดว่าตัวเองนั้นจะมีราชรถมาเกยบ้างฉะนั้นราชรถนั้นก็คือราชรถที่เราหาและมาเกยบ้านของเราเอง
วันนี้ศิษย์มาประชุมธรรมและเป็นวันที่ศิษย์เก่าหลายๆ คนนั้นเคยผ่านไปแล้ว โอวาทที่อาจารย์ให้ คำพูดที่อาจารย์บอกวันนี้ ใครที่เป็นม้าดีอาจารย์ลงแส้ไว้วันนั้นวันเดียว แต่ลงแส้ไปศิษย์ก็ไม่เจ็บแล้วนะ อาจารย์ไม่ได้ลงคำกล่าวโทษแต่อาจารย์ลงแรงเชียร์ให้ศิษย์บำเพ็ญสุดใจ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วถ้าหากว่าใครเป็นม้าดีอาจารย์ลงแส้ทีเดียว เจออาจารย์ครั้งเดียวศิษย์ก็อาจจะบำเพ็ญไปตลอด แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นม้าไม่ดี ไม่ใช่ม้าอาชาไนย เวลาที่อาจารย์ลงแส้ไปเป็นพันๆ ครั้งศิษย์อาจจะไม่บำเพ็ญเลยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง เจออาจารย์อาจจะเป็นความสุข แต่หากว่าศิษย์ไกลอาจารย์นั้นไม่ใช่ความทุกข์ ขอให้ศิษย์นั้นมุ่งมั่นก้าวหน้าบำเพ็ญด้วยจิตใจของตัวเองให้จิตใจของเราเป็นอาจารย์ของเรา เพราะว่าเวลาที่เจออาจารย์ แม้บางทีอาจารย์อยากจะตักเตือนแต่อาจารย์ก็ตักเตือนไม่ได้ อาจารย์ไม่สามารถที่จะพูดได้เมื่ออาจารย์ไม่มีร่างที่ให้อาจารย์ยืม ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นให้ตัวเองเป็นอาจารย์ตัวเอง เวลามองเห็นความผิดของตัวเองอย่าปิดบัง อย่ากลบเกลื่อนความผิดของตัวเองโดยเอาความดีเข้ามาโปะ แล้ววันหนึ่งความผิดต่างๆ นั้นมันสุมขึ้นมา มันพอกพูนขึ้นมา จนแม้กระทั่งความดีเล็กๆ ของศิษย์มันปิดไม่มิดถึงเวลานั้นจะให้ใครช่วย
บำเพ็ญดีๆ อาจารย์อยู่เป็นกำลังใจกับทุกคน ดีไม่ดีเราย่อมรู้อยู่แก่ใจ ทำอะไรก็ระวัง คิดหน้าคิดหลัง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ เป็นเด็กดีรู้ไหม ยังไม่โตหรอกเรา ศึกษาบำเพ็ญธรรมให้มากๆ อย่าย่ำอยู่กับที่ ชีวิตนี้ทุกข์ไหม ชีวิตนี้มีความทุกข์ อาจารย์นั้นนำทางพ้นทุกข์ ตามอาจารย์ก็พ้นทุกข์ไป ไม่ตามอาจารย์ก็ไม่อาจพ้นทุกข์ คนตาบอดเวลาให้เขาถือเทียน บอกว่าเทียนนี้มันสว่าง เขาก็คิดว่ามันสว่าง ตาดีๆ ถือเทียนอยู่สว่างจริงแต่ว่าใจนี้มันมืด อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนตาดีที่ถือเทียนสว่างและใจสว่างด้วย ธรรมะที่ให้ทางหลุดพ้นและทางดับทุกข์เหมือนเทียนที่ให้ความสว่าง ตาดีจะปล่อยให้ใจมันมืดอย่างไร ในเมื่อเราทั้งเก่งทั้งฉลาด อย่าปล่อยให้ปัญญามืดทึบ
บำเพ็ญไม่ต้องไปติคนอื่นว่าคนอื่น เห็นคนอื่นต้องเห็นตัวเรา ย้อนมองส่องตน บำเพ็ญเป็นสิบปีแล้วความก้าวหน้าอยู่ที่ไหน ก้าวหน้านี้ไม่ใช่ว่ามีห้องพระใหญ่แล้วเรียกว่าก้าวหน้า ไม่ใช่ศิษย์ทานเจแล้วเรียกว่าก้าวหน้า แต่ก้าวหน้าที่จิตใจ ต้องมองที่จิตใจ จิตใจต้องดีขึ้น นั่นเรียกว่าก้าวหน้า เป็นความดีที่ไม่ต้องให้คนอื่นเห็น เป็นความดีที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วยชม อย่าลืมก้าวหน้านะ ก้าวหน้าทุกคน คนวิ่งมาไวต้องยิ่งก้าวหน้า อย่าให้เป็นอย่างคำคนอื่นพูด ที่ว่ามาไวไปไว อย่างนั้นไม่ดี
เห็นศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นเด็กๆ การบำเพ็ญธรรมถ้าเราเป็นเด็กดี ขยันๆ บำเพ็ญนั้น บางทีดีกว่าผู้ใหญ่เพราะว่าเด็กๆ เปลี่ยนง่ายแก้ง่าย แต่น่าเสียดายที่คนสมัยนี้มีผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมโต กับมีเด็กที่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ เมื่อยามโตเราไม่ยอมที่จะรับผิดชอบ อย่างนี้กลับตาลปัตร คนบำเพ็ญธรรมแล้วต้องเข้ารูปเข้ารอย จะต้องเป็นเด็กที่ศึกษาและเรียนรู้ขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ให้มาก เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเราต้องไปรับผิดชอบมากมาย ถึงเวลานั้นไม่อยากโตก็ต้องโต  ฉะนั้นเวลาที่มีอยู่ในช่วงชีวิตเราอยู่ในช่วงไหนก็กุมเวลานั้นให้ดีๆ คนที่รักตัวเองก็ย่อมนำสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ตัวเอง การบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ ต่อให้ศิษย์นั้นมีเวลามา
สถานธรรมน้อย แต่อย่างน้อยเวลาที่ศิษย์อยู่กับคนอื่นบนโลกนี้ศิษย์ต้องเอาดีเข้าหา แม้กระทั่งคนอื่นที่ร้ายกับเรา นี่เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรกระทำ ธรรมะอยู่ทุกที่ อยู่ในชีวิตครอบครัว อยู่ในชีวิตการงาน อยู่ทุกๆ ที่ที่ศิษย์อยากให้มี

อาจารย์กลับไปแล้วจะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ อาจารย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะว่าศิษย์นั้นนำสิ่งที่อาจารย์สอนไปปฏิบัติ อาจารย์ไม่อยากเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครปฏิบัติตาม อยากเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนเอาสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นไปปฏิบัติให้ได้ อยากให้บำเพ็ญธรรม อยากให้ศิษย์มีเวลาศึกษาธรรมและรู้จักตัวเองให้มากๆ ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใด ธรรมะอีกมากมายที่อาจารย์นี้พูดไม่หมดแล้ว อาจารย์นี้คงพูดไม่ออกแล้ว ใจของอาจารย์นั้นอยู่กับศิษย์ทุกคน ศิษย์ทุกคนอยู่ในใจอาจารย์ “จงเอาใจของเจ้าสัมผัสถึงสิ่งที่อาจารย์อยากพูด จงเอาใจของเจ้านั้นไม่ขลุกอยู่ในแดนโลก จงเป็นคนที่พ้นโลก พ้นกิเลสอันเป็นภัยร้ายแก่มนุษย์ อย่าหลงมัวเมา และทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองนั้นจะทำได้”
อาจารย์ยอมเหนื่อยถ้ามีเวไนยขึ้นฝั่งได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ทุกวันเจ้ายอมเหนื่อยเพื่อใคร อาจารย์ยอมทุกข์ถ้าหากว่าแก้ทุกข์ศิษย์ได้ แล้วทุกวันนี้ศิษย์ทุกข์เพราะใคร ทะเลทุกข์กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หันหลังมาก็คือฝั่งธรรม กลัวแต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ยอมแม้แต่จะหันหลัง ยังจมปลักและขอเป็นส่วนหนึ่งของโลกีย์ตลอดไป
วันนี้อาจารย์ลงแส้เดียว หวังว่าศิษย์นั้นวิ่งไปไกลอีกพันลี้ อาจารย์คงไม่ผิดหวังในตัวศิษย์ เพราะศิษย์ทุกคนนั้นเป็นศิษย์ที่ดี เป็นคนดี รักตัวเอง บำเพ็ญธรรมให้มาก ไม่ต้องทำเพื่ออาจารย์ แต่ให้ทำเพื่อตัวเองนะศิษย์นะ
คนดีอยู่ที่ไหนใครก็รัก คนไม่ดีอยู่ที่ไหนใครก็ชัง อนาคตเลือกได้ด้วยมือของเรา ไม่ต้องไปดูหมอ ให้ศิษย์ดูตัวเราก็พอ สิ่งที่วันนี้เราเป็นคือสิ่งที่เราเคยทำมา อย่าท้อถอยต่อชีวิต เราจะสู้ต่อไปใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  รักษาตัวเองให้ดีๆ ทำงานธรรมะตามกำลังนะศิษย์นะ อย่าลืมเปลี่ยนแปลงตัวเอง นิสัยตัวเอง  ลาก่อน.

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หม่า เต้า เฉิง กง” 
สู่ปีม้าปีใหม่ให้จงราบรื่น มาแจ้งพื้นม้าดีได้ต้องฝึกฝน
เร็วว่องไวอีกแข็งแรงและอดทน เป็นคนดีจึงต้องฝึกตัวเท่าทวี

ความสำเร็จกลั่นด้วย พยายาม
กลัวแต่คร้านคุกคาม เหนี่ยวรั้ง
เรือใช้พายอย่าหาม เรือนี้ ขึ้นฝั่ง
คนเก่าไม่มีพลั้ง เมื่อใช้ปัญญา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2544

2544-12-22 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น


PDF  2544-12-22-ฮุ่ยอวี้ #17.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
  สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

การยอมคนวัดใจในเรื่องอัตตา ยอมถูกว่าวัดใจเรื่องความถือมั่น
เหตุการณ์เปลี่ยนวัดใจเรื่องความไหวหวั่น ถูกคนถือมั่นในท่านดูการวางตัว
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

เรื่องง่ายกลายเรื่องยากเพราะจิตว้าวุ่น ใจเป็นคุณแปรความยากด้วยสติ
ฝึกหัดตนที่สุดย่อมชำนิ บุปผา  ผลิใช้เวลาฟูมฟักตน
เกิดเป็นคนอย่าเสื่อมถอยศีลธรรม อันบาปกรรมอย่าก่อให้เป็นเหตุ
ดวงจิตจงสุกสว่างดั่งดวงเนตร ล้างกิเลสที่เป็นดั่งฝุ่นเข้าตา
ขอให้มีปัญญามาฟังธรรม ขอให้นำสิ่งที่รู้ไปปฏิบัติ
หากรู้อย่างทำอย่างยากกำจัด กิเลสที่มาสันทัดในใจตน
บำเพ็ญจิตปรับปรุงตนเสมอ อย่าได้เผลอมีรักโลภเกินไปหนา
ชีวิตคนไม่อาจตีราคา จงสร้างค่าให้ชีวิตด้วยทำดี
ในวันนี้น้องชายหญิงมาพร้อมหน้า ฟังธรรมาต้องตั้งใจอย่างยิ่งยวด
การบำเพ็ญต่อตนเองต้องขันกวด ให้กิเลสงวดลงด้วยไฟสุขุม
ขอให้ใช้ชีวิตทั้งชีวิต มาลิขิตอนาคตในชาติหน้า
จงตั้งใจใช้ชีวิตคุ้มเวลา ทุกย่างก้าวเพื่อประชาฟ้าอุ่นใจ
ในสองวันจงมากันให้ครบ เรียนให้จบด้วยชีวิตแสนยิ่งใหญ่
จงช่วยเหลือตนเองอย่ารอใคร พุทธะล้วนสำเร็จไปจากปุถุชน
อย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล่นไม่ใส่ใจ รู้เขาและรู้เราให้สร้างกุศล
กายเนื้อมีแต่ชราอย่าท้อบ่น ให้อดทนชีวิตหนึ่งเร่งบำเพ็ญ
เจียดเวลาศึกษาธรรมบำรุงจิต อันความคิดเป็นเรื่องควบคุมยาก
ทุกวันอย่าได้ห่วงแค่ท้องปาก ญาณเป็นรากหากรากดีชีวิตดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
จะอยู่ร่วมดูแลน้องทั้งสองวัน ขอเร่งหมั่นเพียรบำเพ็ญพ้นเกิดตาย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่

ไม่มีลมต้นไม้ก็ไม่ไหว มีเมฆลมในน้ำก็มีคลื่น
สัจธรรมแห่งชีวิตพาคนตื่น วันและคืนเหตุและผลอยู่คู่กัน
เราคือ
อว๋า อวา เซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว พุทธะน้อยน้อยรักษาศีลห้าให้ได้นะ

ชื่อเสียงเงินลาภยศถายากปฏิเสธ คือกิเลสเรียกร้องให้รับขาน
พะวงอยากได้มาตนแสนทรมาน คือต้องการความถือนับหน้าตา
ต่างกับสุขสร้างดีด้วยอดทน ฟ้ามงคลทุกที่ที่คนเมตตา
สร้างความดีในจิตไม่ทรมา ฝั่งสุทธาไปถึงโดยบำเพ็ญญาณ
กระจกส่องตัวเราความเป็นจริง อุรายิ่งรักและห่วงมือสั่น
มุ่งช่วยคนดึงมาตนสำคัญ ใช่ขยันทำดีอยู่แค่ใจ
อย่าเป็นอื่นคนพึ่งในพยายาม สละยามอับจนรักการให้
รู้ความธรรมเป็นยารักษาใจ ลดความตึงร้อนใจอย่างแยบยล
อารมณ์เสียให้หย่อนหย่อนอย่าตึง ถึงปล่อยปละให้ตึงมัชฌิมาเป็นถนน
ประโลมจิตด้วยสุขผลเวียนวน กิเลสบนการบำเพ็ญใจตัดจริง
วงชีวิตที่ตนชนะและพ่าย โลกาไร้ความแน่นอนยวดยิ่ง
เพียงแต่อย่าไร้ความพยายามจริง ทุกทุกสิ่งสำเร็จที่ใจสำคัญ
ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่

มาศึกษาจิตภายในดีไหม   (ดี)  ผู้หญิงเยอะจริงๆ ทำไมผู้ชายเหลือเท่านี้ ผู้ชายหายไปไหนหมด  เพราะว่าผู้หญิงสนใจธรรมะมากกว่าผู้ชายหรือ (ใช่)  เรามาจากเบื้องบนแล้วลงมาอยู่ตรงนี้เพื่อจะมาชวนพุทธะกลับคืนเบื้องบนเอาไหม (เอา)  การจะกลับคืนเบื้องบนนั้นก็ไม่มีอะไรยาก แค่ต้องแกะแล้วก็ปอกทิ้ง แล้วก็ปอกทิ้ง ได้ไหม (ได้)  ปอกทิ้งออกให้หมดอะไรที่เป็นเปลือกปอกทิ้งให้หมด เมื่อปอกทิ้งหมดแล้วเราก็จะเห็นเนื้อใน  แต่ช่วงที่เราปอกเปลือกนั้น เราจะต้องใช้ (วิจารณญาณ ดวงจิต ความพยายาม จิตใจ)  เราต้องใช้ความพยายาม ใช้กาย และใช้ใจ ปอกเสร็จแล้วทำอย่างไร (กิน)  ถ้าเราบอกว่าเราปอกเสร็จแล้ว  แล้วเราก็แจก แล้วเราก็แจก  เหลือไหม (ไม่เหลือ)  ทำไมหายไปหมดเลยล่ะ  เราก็เอามาใหม่ได้ใช่หรือไม่ พอเอามาใหม่แล้วเราก็ต้องทำอย่างไรอีก ชีวิตเราเหมือนกับส้มไหม (เหมือน)  เหมือนตรงไหนล่ะ  (ต้องปอกเปลือกออก)  ต้องปอกเปลือกออกพอพบเนื้อในก็กินๆๆ ใช่หรือเปล่า
ชีวิตของมนุษย์เรานั้นก็เหมือนกับส้ม ส้มที่เราค้นพบ  เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เราค้นพบความสามารถของชีวิตเราแต่ละวันไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราค้นพบนั้นเรามองแค่เห็นเป็นส้มเพียงอย่างเดียวไหม ง่ายๆ ชีวิตเราก็เหมือนต้นไม้ที่ตอนแรกค่อยๆ เติบโตมา บางครั้งก็ให้ผลเป็นทุเรียนบ้าง บางครั้งก็ให้ผลเป็นเงาะ บางครั้งก็ให้ผลเป็นส้มบ้าง  พอเราได้ผลออกมาแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราแกะออกมาแล้ว เราจะให้กับตัวเอง หรือเราแกะออกมาแล้ว เราได้ผลออกมาแล้ว เราจะแบ่งปันให้กับคนอื่น (แบ่งปันให้กับคนอื่น)  พอเข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  ชีวิตเราไม่ใช่แค่เปลือกกับเนื้อในเท่านั้น แต่ชีวิตของเรานั้นเหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ เติบโตออกมา  บางคนเป็นต้นทุเรียน บางคนเป็นต้นส้ม บางคนเป็นต้นเงาะ  ทำไมจึงบอกว่าเป็นทุเรียน เพราะทุเรียนขึ้นเป็น (ต้น)  มีหนามใช่หรือไม่  แล้วขึ้นเป็นช่วงเป็นฤดูใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทุเรียนนี้บางคนกิน บางคนไม่กิน  เหมือนกับการแสดงของเราบางคนชอบ บางคนไม่ชอบ  แล้วการแสดงของเรากว่าจะออกผลก็เป็นอย่างไร (ช้า)  บางคนต้องรอฤดูว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วถึงจะตกผลออกมาเป็นทุเรียนให้เขาใช่ไหม ถ้าเกิดใครเป็นส้มออกได้ทุกหน้า  ออกได้ทุกงวดคนนั้นดีหน่อย เพราะว่าเป็นอย่างไร ออกบ่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าคนเป็นต้นกล้วย เป็นอย่างไร ไม่ว่าใบ ไม่ว่าก้าน ไม่ว่าดอก ไม่ว่าผล กินได้หมด จริงไหม (จริง)  แล้วเราลองดูซิว่าชีวิตเรานี้ตั้งแต่เกิดมาจนโตถึงตอนนี้ เราเป็นต้นอะไรกันบ้าง ใครยอมรับว่าตัวเองเป็นต้นกล้วยยกมือขึ้น  ที่ใช้ทุกส่วนใช้ทุกอย่างได้ แต่ทุกส่วนทุกอย่างที่ใช้ได้นั้นไม่ใช่หมายความว่าใช้กับตัวเองคนเดียวนะ เพราะกล้วยเนี่ยเป็นอย่างไร ไปบ้านไหนๆ ก็อยากปลูกใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าไปอยู่บ้านไหน ใครก็รัก แปลว่าเป็นคนที่จิตใจดีเข้ากับคนได้ด้วย  ถ้าเป็นต้นทุเรียนเป็นอย่างไร  (มีหนาม)  ไม่เอาหรือ นานๆ ออกที ขายแล้วได้เงินเยอะเอาไหม (ไม่เอา)  ระหว่างต้นกล้วยกับต้นทุเรียนเอาต้นไหน (ต้นกล้วย)  ใครเอาต้นกล้วยยกมือขึ้น  ใครว่าต้นทุเรียนยกมือขึ้น แปลว่าคนส่วนใหญ่ชอบมีชีวิตสมถะง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะต้นกล้วยดินชนิดไหนก็ขึ้น ใช่หรือเปล่า โดนตัดทิ้งแล้วขึ้นอีกไหม (ขึ้น) ไม่รดน้ำขึ้นไหม (ขึ้น) แปลว่าต้นกล้วยทนแดดทนฝน ขึ้นได้ทุกสภาพ ขึ้นได้กับดินทุกชนิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้นทุเรียนเป็นอย่างไร (ปลูกยาก) แล้วใครอยากเป็นต้นข้าวบ้าง
เราพูดเรื่องง่ายๆ ในสิ่งที่ท่านอยู่คุ้นเคยกัน มนุษย์เราคุ้นเคยอยู่กับธรรมชาติ ต้นไม้ ดินฟ้าอากาศ แล้วธรรมชาติข้างนอกก็สามารถสอนเราได้ด้วย ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดีๆ แล้วต้นข้าวมีประโยชน์ไหม (มี) มีเหมือนกันใช่หรือไม่ และสิ่งหนึ่งที่สำคัญของต้นข้าว ก็คือก่อนที่เราจะปลูกให้ได้ข้าว เราต้องทำอย่างไร จะปลูกข้าวเราต้องมีอะไรก่อน ถึงจะปลูกได้ จะปลูกข้าวต้องมีเมล็ดพันธุ์ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราหวงเมล็ด เราจะได้ต้นกล้าไหม แล้วเราจะได้ข้าวเป็นยุ้งเป็นฉางไหม ไม่ได้ ฉะนั้นไม่ว่าเราอยากจะได้สิ่งใด เราจะต้องยอมสละก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นไหมสละหนึ่งเม็ดได้ต้นข้าวหนึ่งรวงด้วย แปลว่ามนุษย์เรานั้นนอกจากจะรู้คุณค่าของการมีชีวิต ยังต้องรู้จักคุณค่าแห่งการเสียสละเพื่อได้มาด้วย  แค่สองอย่างเองทำได้ไหม (ได้) อยากเป็นต้นกล้วย ต้องเป็นให้เหมือนต้นกล้วยนะ โดนตัดทิ้ง โดนตัดใบก็ยังออก ไม่หวั่นไม่ไหว ยังอยู่กับบ้านนั้นทุกเช้าทุกเย็น ไม่น้อยใจหดหัวอยู่ในดิน ได้ไหม เหมือนเราอยู่ในบ้าน โดนพ่อแม่ด่า โดนสามีด่า โดนภรรยาบ่น น้อยใจไหม (น้อยใจ) ยังน้อยใจอยู่อีกหรือเป็นต้นกล้วย อย่างนี้ถ้าน้อยใจไม่ใช่ต้นกล้วยแล้วนะ น้อยใจไหม (ไม่น้อยใจ รับได้) ยังออกใบออกดอกออกผลไปเรื่อยๆ ยังรับได้อยู่ ยังสู้ทนแดดทนฝนได้  และจะเป็นต้นกล้วยที่น่ารักของบ้านนี้ต่อไป กล้วยโดนตัด กล้วยบ่นไหม (ไม่บ่น) กล้วยเอาก้านมาตีไหม (ไม่ตี) เวลาออกหน่อผลแล้วผลแทงใครไหม (ไม่แทง) ไม่ว่าจะออกก้านออกหน่อแทงยอดออกมาก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน มีแต่ให้ประโยชน์ คราวนี้ต่อไปกลับบ้านไปไม่เป็นไร ฉันจะบำเพ็ญธรรมแบบต้นกล้วย เสียสละแบบต้นข้าว ได้ไหม (ได้) ง่ายๆ เองนะ
อย่าเพิ่งสงสัยนะว่าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม ค่อยๆ คุยกัน และพิจารณาสิ่งที่เราพูดดูว่าจริงหรือเท็จดีไหม ถ้าสิ่งที่เราพูดมาจริงก็จงเอาไปทำ เอาไปปฏิบัติ อย่าสนใจรูปลักษณ์ภายนอกเลยไม่มีประโยชน์  สนใจเนื้อหาภายในที่วันนี้เราจะให้ท่านดีกว่า  เหมือนกับวันนี้เรามาบอกให้ท่านปอกเปลือก ปอกออกให้หมดเราเอาแต่เนื้อในที่มีประโยชน์เท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนตัวท่านมองเราจะเป็นพุทธะหรือเปล่าหรือไม่ใช่พุทธะไม่ต้องไปสนใจ สนใจในสิ่งที่เราพูดมีประโยชน์มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงแข่งขันกัน โดยให้ฝ่ายชายและหญิงสลับกันร้องนำและร้องตาม พร้อมลุกนั่งสลับกันทีละวรรค)
เห็นไหม อะไรก็ตาม ถ้าเราตั้งใจตั้งสติให้ดีๆ และหมั่นพยายามฝึกฝนบ่อยๆ ที่ว่าทำไม่ได้แน่เลย แล้วทำได้ไหม (ได้)  เหมือนเพลงนี้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ต้องตั้งสติให้ดีๆ มีใจจดจ่อ ผิดพลาดไหม (ไม่ผิด) ไม่ผิด  แต่เวลามีผิดแล้วอย่าผลักความผิดให้คนอื่นอีก   เราไม่ว่าทั้งหญิงทั้งชายนะ เพราะพอๆ กัน เหมือนเวลาท่านอยู่ในบ้าน อยู่ในครอบครัว เราอยู่กันเป็นครอบครัว ย่อมมีทะเลาะเบาะแว้งเป็นธรรมดา  แต่เมื่อมีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาไม่ใช่ต่างคนต่างผลักความผิดให้กับคนอื่น  เราต้องกลับมามองตัวเรา แล้วพยายามฝึกฝนแก้ตัวใหม่ให้ดีขึ้น ให้กำลังใจตัวเอง ไม่เป็นไรคราวหน้าแก้ตัวใหม่  ไม่เป็นไรคราวหน้าคุณทำให้ดีขึ้นก็ได้  ฉันผิดเองงวดนี้ฉันผิดเอง  แล้วรอยยิ้มก็จะมีอยู่ที่บ้านและครอบครัวของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวว่าอย่าไปเรียกร้องให้คนอื่นดีเลย เราดีก่อนเดี๋ยวอะไรก็ดีตามเอง  แต่ถ้าเกิดว่าเราไปเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ใจเราบอกว่าคนโน้นก็
ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี มัวแต่เรียกร้องให้คนอื่นดี เราจะรู้สึกดีไหม (ไม่ดี)  เพราะใจตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรดีเราถึงเรียกดีขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าสมมติว่าใจเรารู้สึกดี เราจำเป็นต้องเรียกไหม (ไม่)  ไม่เรียกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดเราอยู่ในบ้าน เรารู้สึกว่าเราเรียกสามีว่าสามีต้องเป็นอย่างนี้ แปลว่าเรานั่นแหละคือคนที่ไม่มีก่อน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่ามองไกล จงหันมามองที่ตัวเองบ้างได้หรือไม่ (ได้)  การบำเพ็ญธรรมนั้น คืออะไรล่ะ วันนี้มาฟังธรรมะ ธรรมะเอาไปทำอย่างไร (เอาไปปฏิบัติ)  ไม่ได้ถามแต่ว่าพูดเหมือนเป็นคำถาม  บางครั้งการที่มีเรื่องมีราวกันเพราะว่าฟังกันไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ว่าแค่บ่นๆๆ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ได้อยากด่าลูกหรอก แต่ว่าลูกไม่ดีเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราอยู่ในสังคม เราอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้  และสิ่งที่จะทำให้สังคมและโลกนี้เป็นสุขยิ่งนักก็คือการรู้จักมีคุณธรรม มีความดีอยู่ในใจ และคุณธรรมความดีนั้นคืออะไร ที่ง่ายๆ ก็คือศีลห้า เรามีศีลห้าครบหรือไม่ครบ วันนี้ใครไม่ฆ่าสัตว์ยกมือขึ้น  วันนี้ตั้งแต่เช้ามายุงยังไม่ตบสักตัวเลย วันอื่นไม่นับเอาวันนี้  ยกมือขึ้น  ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่มีหรือ ไม่มีไม่เป็นไร ไม่ลักทรัพย์  ไม่ประพฤติผิด (วันนี้)  ไม่ดื่มน้ำเมา (วันนี้)  ไม่โกหก (วันนี้)  ทำไมมีเฉพาะวันนี้ แต่ไม่เป็นไร มีหนึ่งวันก็ยังดีกว่าไม่มีสักวัน  นั่นก็แปลว่าอย่างน้อยคนเราเริ่มต้นการเป็นคนดีต้องมีศีลมีธรรมใช่หรือไม่   ถ้าไม่มีศีลจะมีธรรมไหม (ไม่มี)  แปลว่าวันอื่นไม่มีธรรม ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ขอเลขเด็ดกับเล่นหวยนี่อยู่ในข้อไหนล่ะ (มุสา)  ซื้อหวยมุสาหรือ (ไปหลอกให้เขาโกหกไปถามเขา  เขาก็โกหกเรามา)  เราไม่ไปเขาก็ไม่โกหกจริงเปล่า ถ้าเราไม่ขอ เขาก็ไม่โกหกให้จริงไหม (จริง) เป็นเพราะเราชอบจริงหรือเปล่า  งั้นเลิกชอบไม่ดีกว่าหรือ  ถ้าบอกว่าต้องมีศีลมีธรรม แต่ในศีลในธรรมนั้น เราต้องรู้จักที่จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียน ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ไม่โกหกในนั้นยังมีธรรมแฝงอยู่  ทำไมถึงบอกว่ามีศีลแล้วมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ก็คือฝึกจิตใจให้มีเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเราไม่ได้ฆ่าสัตว์ๆ แต่สั่งเขาฆ่า ไม่ได้ฆ่าแค่เขาช่วยฆ่าให้เรา แล้วเราก็กินเฉยๆ เมตตาไหม (ไม่เมตตา)  ไม่เมตตานะ คราวหน้าต่อไปจะรักษาศีลข้อหนึ่งให้มีใช่หรือไม่  ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้ก็คือไม่กินเนื้อ ไม่กินเนื้อ ได้ไหม (วันนี้ได้)  ท่านบอกว่าวันนี้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพรุ่งนี้เป็นวันพรุ่งนี้หรือเป็นวันนี้ (วันนี้)  พอถึงพรุ่งนี้เป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ (เป็นวันนี้)  แปลว่าทุกวันคือวันนี้ ท่านรับปากเองนะ
มีวันพรุ่งนี้ไหม พอถึงวันพรุ่งนี้ก็คือวันนี้ พอถึงวันมะรืนนี้ก็คือวันนี้ แปลว่าทุกวันท่านมีวันนี้วันเดียว ทำได้แล้วนะ ทำได้ไหม (ได้) เริ่มไม่แน่ใจแล้ว งั้นเริ่มต้นง่ายๆ ก็คืออย่าพยายามเป็นคนฆ่าได้ไหม (ได้) อย่าพยายามเป็นคนฆ่าหรือให้คนอื่นฆ่า  แม่อยากกินปลา ลูกฆ่าปลาให้แม่หน่อยนะ มีศีลไว้ทำไม มีศีลไว้ปกป้องมหาโจร จริงไหม งั้นเรื่องนี้เราข้ามไปก่อน ค่อยๆ เขี่ยออกแล้วกัน ไม่ใช่เขี่ยเข้า เพราะว่าทุกชีวิตล้วนมีจิตวิญญาณ เราเรียนหลักพุทธศาสนามา พระพุทธองค์สอนไว้ว่า ทุกชีวิตล้วนมีญาณแห่งพุทธะสิงสถิตอยู่ ไม่ว่าเป็นสี่ขา หรือสองขา เราเดินสองขาอยู่แน่ใจหรือวันหนึ่งเราอาจจะเดินสี่ขาก็ได้ ท่านเคยเดินสี่ขามาก่อนนะ อย่าหัวเราะ จริงหรือเปล่า ตอนเด็กๆ เกิดมาเดินกี่ขา (สี่ขา) ฉะนั้นไม่ว่าสี่หรือสองก็ล้วนมีชีวิต มีความรู้สึก ท่านใช้งานเขาอย่างเต็มที่ พอเขาแก่ตัวท่านฆ่าเขาทิ้ง ถ้าเกิดเราอยู่กับท่านเราใช้งานท่านเต็มที่ พอแก่ตัวขอกินเนื้อหน่อย ใจร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) เรารักเราอยากได้อะไร เหมือนทำดีย่อมได้ดี ท่านรักการเบียดเบียน ท่านก็ต้องได้การเบียดเบียนกลับ นี่คือสัจจะความเป็นจริงของชีวิต
ท่านตีใครเจ็บ เราเจ็บด้วย เขาเจ็บด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอย่ามองซิว่า เราตีเราเจ็บ เขาไม่เจ็บหรือ เจ็บใช่หรือไม่ ของมากระทบกันย่อมมีเสียง มนุษย์เราเบียนเบียนทำร้ายกันก็ย่อมมีเสียงและมีกรรม มนุษย์เราไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่ว่ากรรมนั้นขอให้ตกเป็นผลพวงที่ดี อย่าให้กรรมนั้นหล่นมาเป็นผลพวงที่ต้องถูกจองล้างจองผลาญอีก เอาไหม (ไม่เอา) ท่านตีเขาหนึ่งที แต่เขาจะตีกลับท่านยี่สิบทีเอาไหม (ไม่เอา) แล้วมีใครบ้างโดนตีหนึ่งทีแล้วจะตีกลับหนึ่งที มีไหม (ไม่มี) ตีหนึ่งทีขอตีกลับหลายที ไม่ยอมขาดทุนเลยใช่ไหม เห็นไหมแค่มนุษย์คิดยังจะเอากำไรเลย แล้วสัตว์ล่ะ
คนเรายิ่งถ้าเกิดสะสมความโกรธแค้นมากเท่าใด ผลของการจองล้างจองผลาญยิ่งสูงขึ้นๆ ฉะนั้นเราเป็นคน เราเป็นมนุษย์ ศีลต้องรักษา ธรรมต้องบ่มเพาะขัดเกลา ใช่หรือไม่ (ใช่) มีศีลธรรมคอยควบคุมความประพฤติ ไม่ให้ใจกับกายนี้เถลไถลไปทำผิด มนุษย์เราพอผิดปุ๊บ ก็เสียทันที ฉะนั้นก่อนที่จะเสีย เราจงรักษาและปกป้องให้ดี ศีลธรรมก็เหมือนกั้นกำแพง ก่อหลังคา ถ้าหลังคากับกำแพงแข็งแกร่ง แดดมา ฝนมา ลมมา เราอยู่เป็นอย่างไร นั่งสบาย ฝนมา ฝนตกก็ไม่เปียก แดดมาไม่ร้อน ลมมาไม่หนาว ศีลธรรมจึงเหมือนเกราะป้องกันภัยให้มนุษย์พ้นจากแดด ลม ฝน ของโลก ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยใจที่เป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไร มนุษย์ไร้ศีล ไร้ธรรม ไม่รู้จักมีศีล มีธรรม เวลาแดดมาก็ร้อนรุ่ม เวลาฝนมาก็ตื่นตระหนก เวลาลมมาก็หวั่นไหว จริงไหม (จริง) และเราก็ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐาน ล่องไปทางนู้นที ลอยไปทางนี้ที แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรม เราจะเหมือนคนที่มีหลักยึด มีเกราะป้องกันภัย และจิตต้องสงบ สำคัญที่สุด คนเรานั้นอยู่บนโลกนั้นบางครั้งจะเป็นอย่างไร ใจออกจะหวั่นไหวไปกับโลก ปรวนแปรไปกับสิ่งที่มากระทบอารมณ์ เพราะอะไรล่ะ เพราะเราขาดศีลขาดธรรม ฉะนั้นตอนนี้เราจึงต้องเรียกร้องตัวเองให้มี เมื่อไรที่เราอยู่ในบ้านได้อย่างสงบ ฝุ่นกิเลสตัณหาก็เริ่มเกาะน้อย เมื่อฝุ่นกิเลสตัณหาเกาะน้อย ใจก็เป็นอย่างไร ใจก็ค่อยๆ สะอาด ค่อยๆ สว่าง ไม่มืดมน ไม่อับจน แต่เวลาเราอยู่ในโลก พอเราไร้ศีล พอเราไร้ธรรม อยู่ในโลกเป็นอย่างไร ใครว่าก็ร้อน ใครด่าก็ทุกข์ ก็สั่นก็ไหว จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเกิดคนมีศีลมีธรรม ใครว่าใครร้อนก็ยังจะรู้จักใช้ศีลใช้ธรรมข่มใจ คุมใจ ตีกรอบใจ ตีกรอบกายให้รู้จักไม่กระแทกกระทั้น ไม่กระทบกระทั่ง ต่อไปอีก ฉะนั้นมนุษย์เราหรือตัวท่านเองนั้นจึงต้องรู้จักรักษาศีลและบ่มเพาะคุณธรรม ทำได้ไหม (ได้) ถ้าทำได้แล้วเราจะอยู่บ้านได้อย่างสงบ ออกจากบ้านก็สบายใจ เพราะว่าใจนั้นมีศีล มีธรรมคอยปกป้องคุ้มครอง ถึงเรียกว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เพราะอะไรล่ะ (มีศีลธรรม) แต่ทำไมโดนไฟทีไรไหม้ทุกที ตกน้ำทีไร ว่ายน้ำป๋อมแป๋มทุกทีเลยล่ะ ความหมายของไฟกับน้ำนี้ไม่ใช่ไฟกับน้ำในทางรูป แต่หมายถึงไฟกับน้ำในทางนามธรรม ไฟอะไรล่ะ ไฟแห่งโทสะ น้ำอะไรล่ะ น้ำแห่งราคะและโลภหลง และเรามักจะโดนไฟไหม้บ่อยหรือจมน้ำบ่อย ส่วนใหญ่โดนไฟบ่อยหรือจมน้ำบ่อย (ไฟ) รักกับโกรธอย่างไหนเกิดบ่อยกว่ากัน ใครโกรธบ่อยก็แปลว่ามีไฟบ่อย รักโลภบ่อยก็เป็นน้ำบ่อยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพยายามรักษาศีลกับธรรม จะช่วยทำให้เรานั้นดับไฟร้อนให้เย็นลง แล้วศีลกับธรรมช่วยดับความโลภ ความหลงให้เป็นน้ำที่ตื้นเขิน เปียกหน่อย แต่ก็เป็นอย่างไรไม่ถึงกับจมตายใช่หรือเปล่า (ใช่) ใครเคยจมน้ำตื้นบ้าง คือเหลืออยู่แค่ขอบตาตุ่ม ยังจมอีกไหม (ไม่จม) แต่ว่ารักโลภ โกรธ หลง เป็นอะไรที่บางครั้งก็ตัดยาก แม้จะรู้กันอยู่แต่เราก็ยังตัดยาก เพราะว่าอารมณ์มันพาใจไป ฉะนั้นเวลาเราเห็นอะไรที่จะทำให้เราเกิดชอบ พยายามมองเขาติๆ ไว้ ได้ไหม แล้วเราจะชอบน้อยลง และความชอบจะไม่ทำให้เราจมน้ำตายได้ไหม (ได้) แล้วเวลาเห็นใครจะทำให้เราโกรธ เราก็พยายามนึกถึงในสิ่งที่ดีๆ แล้วเราก็จะโกรธไม่ลง  เวลาใครทำให้เราหลงเราก็นึกถึงโทษของความหลง หลงแล้วจะเป็นอย่างนี้ หลงแล้วจะหมดเนื้อหมดตัว แล้วเราก็จะได้ไม่หลง
คนเรามีศีลมีธรรมอย่างเดียวไม่พอ ศีลและธรรมนั้นยังต้องรู้จักใช้ปัญญาในการดึงศีล ดึงธรรมมาควบคุมกายกับใจอีกด้วย ทุกท่านต่างมีปัญญา อย่าดูเบาปัญญาตัวเอง เมื่อไรที่ปลูกต้นข้าวขึ้น แปลว่ายังมีปัญญาอยู่ เมื่อไรยังตักข้าวเข้าปากพอดีไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา แสดงว่าปัญญายังมีอยู่ เมื่อยังตีเขา และตีได้ถูก ก็แสดงว่าปัญญายังมีอยู่ จะไม่มีปัญญาก็ต่อเมื่อไม่มีกายนี้แล้วต่างหาก นั่นแหละปัญญาหมดแล้ว ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง เมื่อเรามีศีลมีธรรมครบ มีปัญญาสามารถช่วงใช้ได้   แต่เวลามีปัญญานั้นก็ต้องแก้ไขให้ทันท่วงที ไม่ใช่บอกว่าเกิดเรื่องแล้วศีลธรรมเพิ่งมาไม่น่าทำผิดเลย อย่างนี้เรียกว่าศีลธรรมมาช้าไป มีแล้วต้องมีให้ทันการ  ไม่ใช่ให้ตกน้ำจนเปียกขึ้นมาแล้วใช่ไหม (ใช่) แล้วจะมีปัญญาทำไม เพราะมีแล้วใช้ไม่ได้จริงไหม (จริง) เราพูดง่ายมากแล้วนะ ไม่เข้าใจอีกหรือเปล่า
ชีวิตแม้จะเอียงซ้ายไป  เอียงขวาไป  แต่อย่าลืมจุดศูนย์กลางของตัวเอง คนเรานั้นแม้จะมีเรื่องให้มากระทบใจ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง มีปัญหาบ้างแต่เราต้องไม่ลืมความเป็นคนของตัวเอง เกิดเป็นคน เรารักที่อยากจะมีเงินทอง  อยากมีชื่อเสียง อยากมีเพชรพลอย อยากมีที่นาเยอะๆ อยากปลูกข้าวได้กำไร ไม่อยากโดนคนว่า เราอยากมีให้มากที่สุดเท่าที่จะพยายามหาได้ แต่พอเรามีมาก เราเป็นสุขไหม เราเหนื่อยไหม (เหนื่อย) แล้วเรากังวลไหม (กังวล) แล้วยังอยากอีกไหม (อยากอีก) นั่นแหละที่เราไม่เข้าใจ ท่านเหมือนคนที่รักมือตัวเองแต่เกลียดนิ้ว   แล้วตัดนิ้วทิ้ง   ท่านรักชีวิต   แต่ทำร้ายร่างกายทุกวัน ไม่มีวันไหนให้ร่างกายพักผ่อนเลย รักไหมชีวิต (รัก) ห่วงไหม (ห่วง) แต่ตะบี้ตะบันใช้ มองจนใส่แว่นแล้วก็ยังอยากมอง หูเริ่มฝ้าฟางแล้วก็ยังอยากฟัง มือเริ่มสั่นแล้วก็ยังอยากไปหยิบ เตือนขนาดนี้แล้วต้องปิดบ้าง อย่าหูเบาลืมความเรียบง่ายไปเพราะนึกว่าชีวิตที่เรียบง่าย คือชีวิตที่หยุดนิ่ง ตายด้านไร้อารมณ์ ท่านลืมมองข้ามไปว่า ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่ทำให้มนุษย์สามารถเป็นสุขได้ด้วยการ กินง่ายๆ พอใจง่ายๆ แล้วก็อยู่ง่ายๆ เมื่อกินง่าย พอใจง่าย อยู่ง่าย เวลาเหลือไหม (เหลือ) เหลือพอมองชีวิตออกไหม (ออก) เอาไปช่วยคนได้ไหม (ได้) แล้วทำให้เราเห็นโลกแท้จริงได้ไหม (ได้) แต่ถ้าเกิดไปแสวงหาเงินหาทองตั้งแต่เช้าจรดเย็น เย็นจรดเช้า ท่านมีเวลามองชีวิต มีเวลาให้กับครอบครัว มีเวลาให้กับจิตใจหรือไม่ (ไม่มี) แล้วท่านจะเป็นสุขหรือไม่ (ไม่สุข) ดูเหมือนจะมีสุข แต่พอมีมากกลับทวีความกลุ้มกังวลและทุกข์ ฉะนั้นจงพอใจกับความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เพราะการเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย แม้จะก้าวช้าๆ แต่ทุกก้าวล้วนเป็นสุขและพอใจ  แต่ถ้าก้าวแบบฉับๆ อันตรายไหม เพราะแต่ละก้าวเราไม่ได้มองดู แต่ละก้าวที่ก้าวเราไม่ได้ตรวจสอบชีวิต จึงมีหลายคนที่เวลาก้าวไปๆ ตายก่อนที่จะได้เงินทอง และชื่อเสียง  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม จึงเรียกร้องให้ท่านรู้จักมีชีวิตอย่างเรียบง่าย  และเอาเวลาที่เหลือนั้นมาย้อนมองดูตัวเอง  ว่าชีวิตที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร  โลกนี้ที่พยายามแสวงหานั้นมีสัจจะอะไรแฝงอยู่  และรู้ที่จะไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตนด้วย ในการรู้จักมีชีวิตเรียบง่าย เพราะมนุษย์เราเบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน ตีกัน เพราะความอยากมากเกิน อยากแล้วไม่รู้ว่าไปตีคนอื่นเขา แต่ถ้าทุกก้าวเราเดินชีวิตอย่างเรียบง่าย เราจะรู้ว่าก้าวนี้ตีเขาหรือเปล่า ก้าวนี้เตะเขาหรือเปล่า ฉะนั้นเราเป็นคนที่เมื่อมีศีลมีธรรมแล้ว ยังต้องรู้จักพึงพอใจในชีวิตที่ (เรียบง่าย)
บางครั้งมนุษย์นั้นพยายามหนีที่จะไม่ให้มีทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้ใครๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนๆ กันใช่หรือเปล่า แต่สุขนั้นมีน้อยเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่)  เราจึงต้องตบตีแย่งกันเพื่อให้ได้มาใช่ไหม (ใช่)  ตอบได้เต็มปากเต็มคำดีนะ โหดจริงๆ เลย ฆ่าให้ตายไปเลยดีไหม ข้าวใครๆ ก็ปลูกใช่หรือไม่ (ใช่)  จะให้ราคาดีต้องฆ่าคนนี้ให้ตายเลย เอาไหม (ไม่เอา)  เราจะได้สุขคนเดียว เอาไหม    (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ แบบว่าข้าวมีสองพันธุ์ ข้าวนี้ชื้นหน่อย ข้าวนี้แห้งหน่อย ข้าวแห้งขายได้หน่อยเดียวเอง ก็เลยเอาชื้นกับแห้งผสมกันเลย แล้วเป็นอย่างไร ขายไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่าโกง จงมีความซื่อสัตย์ด้วยเมื่อยามมีชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  (อาจารย์บรรยายธรรมอธิบาย : คุณธรรมที่เราอยู่ใกล้ชิดก็คือเรื่องของความซื่อสัตย์ จริงๆ แล้วเราชาวบ้านแต่ไหนแต่ไรก็มีความซื่อสัตย์อยู่แล้ว อย่างการปลูกข้าว เราชาวนาตั้งแต่บรรพชนมาเราก็รักษาวัฒนธรรมนี้ไว้  แต่ปัจจุบันนี้ความโลภทำให้หลายคนเริ่มไม่ซื่อสัตย์เพราะอยากได้มากขึ้น เอาอันหนึ่งมาผสมกับอันหนึ่งให้มันมีน้ำหนักมากขึ้น จนสุดท้ายเมืองนอกเขาไม่ซื้อเรา ทุกวันก็กลับเป็นปัญหาตกถึงเราเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่คนทำเดือดร้อน คนอื่นก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะฉะนั้นคุณธรรมก็คือความซื่อสัตย์ สร้างได้ก็คือมีศีลมีธรรม คนเราจะทำอะไรมีศีลมีธรรมกำกับ อย่าคิดแต่อยากได้เบื้องต้น  เพราะว่าสุดท้ายมันก็ตีกลับมาเป็นความทุกข์ของเรา ญาติเรา พี่น้องเรา เหมือนกันหมด  ทุกข์กันทั้งประเทศ)
ฟังมาตั้งเยอะแล้วพอเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)  ถ้ารู้จักรักษาศีลมีธรรมะ ไม่โกหก ไม่ทำร้าย ไม่คดโกง ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นแต่ให้เหลือน้อยที่สุด แล้วเหลือแต่ความดี จิตใจย่อมสว่างไสว เมื่อจิตสว่างไสว ใจย่อมเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเป็นสุขแล้ว เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยวางบ้าง  ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้รู้จักการปฏิบัติแล้ว พอปฏิบัติได้ดีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าเราจะทำดี เราจึงต้องรู้จักปล่อยวาง อย่ามัวรอผล อย่างสมมติเราทำดีให้กับคนหนึ่ง แล้วอีกคนหนึ่งเขาไม่ชมเรา ก็ไม่เป็นไร  เราก็ยังดีใจที่ได้ทำให้เขา  แล้วดีใจที่ความดีนั้นหอมติดใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  เคยไหม (เคย)  เคยทำแล้วความดีนั้นหอมติดตรึงใจไหม (เคย)  จงทำบ่อยๆ เพราะความหอมนั้น เป็นเหมือนอาภรณ์ประดับกายและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราแม้จะประดับด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ   ตุ้มหู  ทองคำ แหวนเพชรมากมายก็ไม่งามเท่ากับคนที่ประดับด้วยศีลธรรม คุณงามความดี ใช่ไหม (ใช่)   และคุณงามความดีศีลธรรมนั้นยังผูกใจให้เขารักเรา  แล้วก็เห็นดีกับเรา แล้วก็ซื่อสัตย์กับเราด้วย  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง แม้ท่านจะให้เงินเขา ก็ไม่สู้ให้ความดี ให้สิ่งที่มีคุณค่าแก่เขาใช่หรือไม่ (ใช่)
การเลี้ยงลูกด้วยเงินกับเลี้ยงลูกด้วยคุณธรรมความดี ลูกใครจะกตัญญูกว่ากัน (ลูกที่เลี้ยงด้วยคุณธรรมความดี)  แต่ถ้าเกิดว่างวดนี้แม่เลี้ยงเราด้วยเงิน ลืมเลี้ยงเราด้วยคุณธรรม ลูกจะมีความกตัญญูไหม (ไม่มี) มีสิ กตัญญูอยู่ที่แม่หรืออยู่ที่ลูก (อยู่ที่ลูก)  ใช่ไหม เราบอกว่าถึงแม้ว่าถ้าแม่วางตัวได้ดี ลูกก็ดีตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้แม่ไม่ดี แต่ลูกพยายามดีเพื่อให้แม่ดีตามลูกก็ได้เหมือนกัน  แต่ต้องใช้เวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนล้วนมีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราเรียกร้องแม่ไม่ได้ ให้แม่สอนเรา ให้แม่พูดกับเราด้วยธรรมะ บางทีไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราจงเอาธรรมนี่แหละไปค่อยๆ ตะล่อม ให้แม่เห็นดีและทำดีตามย่อมดีกว่า  นี่คือหนทางที่ถูก เหมือนกันเราอยู่กับเพื่อน บางครั้งเพื่อนชอบเอาเปรียบเราเหลือเกิน ชอบกินแรงเรา  แล้วเราจะกินแรงเขาต่อหรือเอาไหม (แต่ต้องช่วยกัน) ช่วยกันอย่างไรนะ  ช่วยเขากินแรงต่อหรือ  ไม่สิ แต่ว่าเราต้องเป็นอย่างไร เอาความซื่อสัตย์ให้เขาเห็น แล้วค่อยๆ ตะล่อมๆ เปลี่ยนเขาให้เป็นคนซื่อสัตย์ตามเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนเรา ง่ายๆ ระหว่างส้มบนโต๊ะพระกับส้มบนถนน ส้มลูกไหนมีค่ามากกว่ากัน (ส้มบนโต๊ะพระ)  ส้มบนโต๊ะพระใช่หรือไม่ (ใช่)  ส้มบนถนนมีค่าไหม (ไม่มี) เราเปลี่ยนส้มบนถนนเป็นส้มบนโต๊ะพระได้ไหม (ได้)  อยู่ที่ว่าเราจะดีดหรือเหยียบ ใช่ไหม (ใช่)  คนที่ไม่ดีก็เหมือนกัน บางครั้งเขาเลือกที่จะเป็นไม่ได้ แต่เราช่วยเลือกกันประคับประคองให้เขาดีขึ้นมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชีวิตท่านก็เหมือนกันแม้ท่านไม่ได้เกิดมาสวยหรูบนโต๊ะพระ แต่เกิดมาไม่ค่อยงามอยู่บนพื้น  แต่ท่านก็สามารถทำให้มันเปล่งประกายมีคุณค่าจนคนเขาโอ้โหได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่าอยู่บนโต๊ะใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่ายากดีมีจนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราจะเลือกทำ
อย่างไรให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงแล้วมีค่าเจิดจรัสใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปจมอยู่กับสิ่งที่แก้ไม่ได้แต่จงมองในสิ่งที่สามารถแก้แล้วดีขึ้นได้  กายเราเปลี่ยนได้ไหมตอนนี้ (ไม่ได้)  แปรงแล้วแช่ไว้ในผงซักฟอกจะขาวได้ไหม (ไม่ได้) สะอาดหมดจด เอาผงซักฟอกถูตัวทุกวันเลย ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราเปลี่ยนกายนี้ไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนใจนี้ให้สะอาดเหมือนเดิมได้ ใช่ไหม (ใช่)  สะอาดแล้วเจิดจรัส ทำให้ที่ตัวสีดำๆ นี้เปล่งประกายงดงามได้ด้วยใจนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใจนี้ทำอย่างไรล่ะ ใจนี้ก็ต้องรู้จักพูดดี คิดดี ทำดี มอง (ดี) ฟัง (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)
ต่อไปนี้ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าทำดี (ใจดี  วาจาดี  กายก็ดี พูดดี ทำดี ไม่ให้คนเดือดร้อน ทำดีให้คนรู้ว่าทำดี  ไม่นินทาว่าร้าย  ช่วยเหลือคนอื่น)  การให้เป็นสิ่งที่ดีแต่การให้ถ้าให้แล้วทำให้เขาเคยตัว เราต้องหยุดให้  (ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก  ถ้าเงินทองมีก็จะช่วยและช่วยให้กำลังใจ)  บางครั้งเงินทองไม่สำคัญสู้ช่วยให้กำลังใจเขา ให้ชีวิตใหม่เขาด้วยคุณธรรมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (กตัญญูต่อพ่อต่อแม่)  ขอเพียงไปไหนก็บอก  กลับมาก็บอก บางทีเท่านี้ก็กตัญญูแล้ว ไม่ใช่ไปก็ไม่บอก กลับมาก็ไม่บอก นี่แหละทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ (ทำบุญให้ทาน)  ให้ทานก็ดีนะแต่ต้องดูว่าให้แล้วทำให้เขาเป็น
ขอทานหรือเปล่า ไม่ดีนะ  อะไรคือการทำดี (ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น  ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  รักษาศีลห้าโดยเคร่งครัด ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  โดยเฉพาะวัยรุ่นทำดีโดยไม่หวังเงิน
เอาใจพ่อแม่โดยไม่หวังผล  ทำประโยชน์ให้แก่สังคม เช่น เห็นหน้าบ้านสกปรก แม้ไม่ใช่หน้าบ้านเรา ก็ยังเก็บให้)
ถ้าเริ่มต้นทำดีได้ ต่อไปในการบำเพ็ญก็ไม่ยุ่งยาก   การบำเพ็ญ
ขัดเกลาที่ใจ  ร่างกายของมนุษย์เรามีศัตรูที่น่ากลัวคือ โรคภัยไข้เจ็บ  ศัตรูที่น่ากลัวของจิตใจก็คือ (รัก โลภ โกรธ หลง)  หรือที่เรียกง่ายๆ ว่ากิเลสตัณหา เมื่อไรที่เราขจัดศัตรูของกายได้ร่างกายก็เป็นสุข แต่เมื่อขจัดศัตรูของร่างกายได้แล้วก็อย่าลืมขจัดศัตรูของใจด้วย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใจของเราป่วย เมื่อใดที่ใจเราทุกข์ เมื่อใดที่ใจเราเจ็บ นั่นแหละจงเอาธรรมะไปข่มใจ ดับใจ แล้วก็ล้างทุกข์ออกให้หมด เวลากายป่วยเรารู้ใช่ไหม มีอาการตัวร้อน เจ็บโน่นเจ็บนี่ไปหมด แต่เวลาใจป่วยเรารู้ไหม (ไม่รู้)  รู้ แต่ท่านดูไม่ออกเองว่ามันป่วย  ใจป่วยเป็นอย่างไรล่ะ เจ็บนั่นเจ็บนี่ แล้วก็ทุกข์นั่นทุกข์นี่ นั่นแหละตอนนั้นที่ใจป่วย  ป่วยกับไม่ป่วยอันไหนดีกว่ากัน  (ไม่ป่วย)  ไม่ป่วยย่อมดีกว่าใช่ไหม  อย่างที่พระพุทธองค์สอนการไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ เราขอเพิ่มต่อว่าการไม่มีกิเลสตัณหาคือสุขอันแท้จริง ฉะนั้นจงพยายามอย่าให้ใจป่วย เพราะความโลภโกรธหลง หรือตัณหา ราคะในใจเราที่คิดผิดๆ หลงผิดๆ ที่คิดว่าเนื้อสัตว์กินได้ กินเหล้าแล้วไม่เป็นอะไร เขาเรียกว่ารักชีวิตแต่ทำลายชีวิตโดยไม่รู้ตัว เหมือนเราวิ่งหนีเงาตัวเอง แต่ยิ่งวิ่งเท่าไรเงาก็ยิ่งตาม จะทำอย่างไรล่ะ ก็หยุดวิ่ง  เหมือนกันโลภ โกรธ  หลง เป็นเหตุให้ใจเราทุกข์ ทำอย่างไรถึงจะหมด ก็โลภให้น้อย โกรธให้ไม่มี หลงให้ไม่เหลือได้หรือไม่
อายุมากแล้วถึงเวลาต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง ชีวิตของคนเรานั้นมักจะมีอะไรสองอย่างอยู่เสมอ มีเกิดก็มีตายหรือดับ มีเช้าก็มีค่ำ มีตะวันขึ้นก็มีตะวันลง มีคนชมก็มีคนนินทา มีทุกข์ก็มีสุข มีโชคดีก็มีโชคร้าย เราตัดสิ่งหนึ่งแล้วไม่เอาอีกสิ่งหนึ่งได้ไหม (ได้)  ไม่ได้ เพราะเป็นของคู่กันเหมือนท่านชอบด้านหน้า แต่ด้านหลังไม่เอาได้ไหม ก็ต้องเอาเพราะมันติดมา มีใครมีด้านหน้าสองด้านบ้าง ทุกข์กับสุขก็เหมือนกัน โชคดีกับโชคร้ายก็เหมือนกัน เกิดกับดับก็เหมือนกัน คนชมคนด่าก็เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง  เราพอใจในสุขก็จงยินดีในทุกข์  แต่ยินดีในทุกข์อย่างเข้าใจ ไม่ใช่หวานอมขมกลืน ไม่เช่นนั้นจะยิ่งทุกข์สองชั้น  เหมือนคนที่อยู่กับลูกหลาน อยู่กับสามี จะเลือกแต่ส่วนที่เราชอบได้ไหม ก็เขาเป็นเขาแล้วจะตัดทิ้งได้ไหม ฉะนั้นเราต้องมีสุขที่รู้จักสุขเป็น ไม่ว่าจะเจออะไรก็รู้จักมองให้เห็นสุขจนได้ การที่เราทำดีถึงแม้จะไม่ได้ดี แต่เราก็เป็นสุขที่ได้ทำดีจริงหรือไม่ ดีกว่าเกิดมาแล้วเสียชาติเกิด อบายมุขก็เลิกไม่ได้ เนื้อสัตว์ก็ขยันกิน โกหกก็ชอบโกหก
อยู่ด้วยกันเราต้องช่วยเหลือกัน ดูแลกัน วันนี้รักใครไม่เท่า (รักตัวเอง)  ก็รักตัวเองอยู่นั่นแหละ เลยไม่เลิกเป็นห่วง หัดคิดให้มากกว่านี้นะ รักใครก็รักให้เท่ารักตัวเอง แล้วเขาก็จะรักเราได้เหมือนกัน อย่าบอกว่าไม่รักใครเท่ารักตัวเอง เปลี่ยนความคิดได้แล้วนะ
แม้เราจะไม่มีชะตาชีวิต ทำให้เราอับจน  เราจงหมั่นมีใจที่จะให้ แล้วชะตาชีวิตจะเปลี่ยนแปลงให้เรา  ไม่ใช่พอไม่มีแล้วเรายังงกอีก ชะตาชีวิตก็จะทำให้ท่านอับจนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อยามที่เราทุกข์ ท้อ สิ้นหวัง จงใช้ความดีนี้สู้ต่อไป และความดีนี้จะช่วยผลักดันให้ท่านดีขึ้นมาได้  ความดีเท่านั้นที่จะช่วยทั้งชีวิตและจิตใจของเรา ไปแล้วนะ  วันนี้มาแป๊บเดียวเองแต่ฟ้าค่ำแล้วมีมาก็ต้องมีไป  เหมือนตัวท่านก็เหมือนกัน วันนี้ถึงเวลาของเราแต่วันต่อไปถึงเวลาของท่าน  ตอนที่มีอยู่รักษาสิ่งที่มีนี้ให้ดีและเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง  อย่าเห็นแก่ตัวมากนัก  แล้วก็อย่าหลงโลกนี้มากเกินไป เพราะโลกนี้ไม่ได้ช่วยอะไรท่านได้เลย แต่ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยให้เราขึ้นแล้วก็ขึ้น จริงหรือเปล่า ไปแล้วนะ ผู้บำเพ็ญธรรมตั้งใจบำเพ็ญธรรม


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ปีเอ๋ยปีใหม่ปีไหนดี ต้องเป็นปีนี้เป็นแน่แท้
เพราะเราตั้งใจจะเปลี่ยนแปร จะแก้ใจร้ายกลายเป็นดี
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนหนาวหรือเปล่า

ดำเนินชีวิตตนอย่างพอดี คนเป็นพี่อดทนอยู่ในหัว
คนเป็นน้องอย่าเอาแต่ใจตัว อาจารย์กลัวแค่ศิษย์ไม่รักกัน
เชื่อมือกันทำงานได้เรียบร้อย ที่รอคอยหาใช่โอกาสนั่น
แต่เป็นความศรัทธาที่มีต่อกัน แต่กระนั้นย้อนมองตนไม่โทษใคร
ในการเสียสละต้องเปี่ยมปัญญา อวิชชา ทำให้บรรลุไม่ได้
ขอศิษย์รักสว่างมาสว่างไป เวลาว่างขยันไว้ศึกษาธรรม
จงต่อสู้กับกิเลสในใจตน จงฝึกฝนช่วยตนเองไม่ท้อร่ำ
อาจารย์สอนอะไรแล้วศิษย์ต้องจำ อย่ามัวแต่เดินคลำทางฟ้ายามเย็น
ฮา  ฮา  หยุด

จิตใจยึดมั่น     ถึงคอยร้อนใจ สั่งฝนหรือหลั่งรู้พลันปล่อยวาง
ยึดความสุขไว้กับตน   ทุกข์ยิ่งวนไม่ซ้ำกัน
หากเอาทุกข์มารวมกัน  จะทนได้กันหรือไร   สายธารผ่านแล้วผ่านไป
รู้ความจริงต้องแข็งใจ  อย่าทำเหมือนคนเข้าใจ  หากใจเจ้ายังไม่มี (ซ้ำทั้งเพลง)
ทำนองเพลง : ไจ้สุ่ยอี๋ฟัง
เพลง : คลายยึดมั่นถือสา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครมีความสุขยกมือขึ้น เมื่อวานนี้ใครมีความสุขยกมือค้างไว้ แล้วเมื่อวันก่อนนี้ใครมีความสุขยกมือค้างไว้ เมื่อวันก่อนเมื่อวันนั้นใครมีความสุขยกมือค้างไว้ เอาล่ะ ถามใหม่ พรุ่งนี้ใครมีความสุขยกมือค้างไว้ คนไม่ยกหมายความว่าอย่างไร
เราไม่รู้เรื่องวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรื่องของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันนี้กำหนดหรือเปล่า วันนี้กำหนดเรื่องของวันพรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า เงินที่หามาวันนี้คือพรุ่งนี้ใช้หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นความสุขในวันพรุ่งนี้คือวันไหนกำหนด (วันนี้กำหนด)  วันนี้กำหนด ส่วนชาติหน้าก็คือชาตินี้กำหนด ชาตินี้ก็คือชาติที่แล้วกำหนดมา ให้เราลองนึกถึงตอนที่เราส่องกระจก คนที่อยู่ในกระจกนี้คือคนที่ชาติที่แล้วเรากำหนดมา เรากำหนดมาแค่นี้เอง รู้สึกว่ากำหนดมาน้อยไปหน่อยหรือไม่ กำหนดมาเงินก็น้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความสวยก็ (น้อย)  บ้านก็ (น้อย)  รถก็ (น้อย)  อะไรน้อยอีก ทุกอย่างที่ชาติที่แล้วเรากำหนดมาดูจะน้อยเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสร็จแล้วความทุกข์ก็ (มาก)    ความทุกข์ก็มาก ความเดือดร้อนก็มาก ไม่เคยที่จะมีวันไหนที่ไม่มีเรื่องเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยทั่วๆ ไปก็เดือดร้อนอยู่ทุกวันๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่เราหาเรื่องก็คนอื่นหาเรื่องให้เรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)    เป็นอย่างนี้มีความทุกข์ไหม (มี)  แต่ว่าทุกข์กับสุขอยู่ที่ไหน (ตัวเรา)  ทุกข์หรือสุขเป็นความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าแม้ร่างกายของเราจะมีทุกข์ แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่มี เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ความทุกข์หรือว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่ที่จิตใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราก็มาเริ่มกำหนดชีวิตของเราดีหรือไม่  ให้ความทุกข์จากชาติที่แล้วที่กำหนดมากองใหญ่มากก็พยายามที่จะตัด เจียดให้มันกองเล็กกว่านี้ดีหรือไม่ (ดี)
ส่วนความสุขที่ชาติที่แล้วที่กองน้อยๆ กองแค่นี้ เราก็มาเพิ่มขึ้นๆ ให้มันมากขึ้นดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ไม่ดีหรือ ไม่อยากมีความสุขหรือ มีความสุขดีไหม (ดี)  ความสุขที่ชาติที่แล้วที่กำหนดมาน้อยนั้นก็กำหนดให้มันมากขึ้นๆ แต่ว่าอาจารย์จะบอกให้ คนเรามีความสุขนั้นไม่ได้มีความสุขในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ได้มีความสุขที่เห็นผู้อื่นนั้นทุกข์ ไม่ได้มีความสุขที่มีบ้านหลังใหญ่ๆ ไม่ได้มีความสุขที่มีรถคันโตๆ ไม่ได้มีความสุขที่มีที่นาเยอะแยะ แต่คนเรามีความสุขได้เพราะว่าเราเห็นคนอื่นนั้นมีความสุข  นี่เป็นความสุขที่ค้างอยู่ในจิตใจได้นานที่สุด  ความสุขที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นความสุขที่มากที่สุด แต่ว่าคนสมัยนี้รวมทั้งศิษย์ของอาจารย์ที่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองที่ยื้อแย่งแข่งขันกันมากมาย แต่ว่าในชีวิตของเรา เรากลับซึมซับเรื่องของการมีความสุขกับสิ่งที่เป็นแสงสี ต้องเป็นเสียง เป็นภาพมากมาย วันไหนไม่ได้ดูทีวีรู้สึกว่าทุกข์ไหม ทีวีกลายเป็นความเคยชินของเราที่เรามีอยู่ทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ละครเป็นสิ่งที่เราติดหนึบ แต่การบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่อย่างไร ติดยากหรือเปล่า ใช่ไหม
การบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยจะชอบเลย ทำไมถึงไม่ชอบการบำเพ็ญธรรมล่ะ  ผีชอบโผล่มาตอนไหน ผีชอบโผล่มาตอนกลางคืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนเทพเนี่ยเวลาเขาวาดภาพขึ้นมาต้องอยู่ในที่สว่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจิตใจของเราถ้ามืดบ่อยๆ แล้วเรารู้สึกว่าการบำเพ็ญซึ่งเป็นเรื่องสว่างไสว เป็นเรื่องที่ติดยาก ส่วนมืดๆ ดูทีวีเป็นเรื่องติดง่าย เอ๊ะเราคิดว่าเราบำเพ็ญเป็นอะไร หรือเรามีชีวิตเป็นอะไร ตอนนี้เราฝักใฝ่โน้มไปทางไหนมากกว่ากัน ระหว่างไปสวรรค์กับลงนรกเนี่ยเราอยู่ข้างไหนมากกว่ากัน (ข้างสวรรค์)  ใจอยากไปสวรรค์แต่ความดีไม่ค่อยทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีทำยากไหม (ไม่ยาก)  ไหนใครว่ายากยกมือ เวลาออกเสียงคนเขาไม่รู้ว่าคนไหน แต่เวลายกมือนี่เห็นชัดๆ เพราะฉะนั้นยกมือก็เอาไว้ก่อน ถ้าให้ตอบก็พอไหว คนที่ว่ายากเอามือลง ส่วนคนที่เหลือยกมือขึ้นมา
โลกนี้มีผู้ชายกับผู้หญิงหรือเปล่า มีสีขาวกับมีสีดำ มียากแล้วก็มีง่ายทั้งสองอย่าง จะมามีเป็นกระเทย ดีก็ไม่ใช่ ไม่ดีก็ไม่ใช่ ยากก็ไม่ใช่ ง่ายก็ไม่ใช่ อย่างนี้นี่เป็นยังไง  คนนั้นชอบตรงกลางสีระหว่างขาวและดำ ชอบเป็นตรงกลางระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ชอบเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างยากและง่าย อย่างนั้นหรือ อย่างนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็เท่ากับเลือกไม่ไปสวรรค์แล้วไม่ไปนรกใช่ไหม
ทุกอย่างในโลกนี้สร้างขึ้นมาเป็นคู่กัน ทุกอย่างในโลกนี้มีอยู่แค่สองสิ่ง หากศิษย์บอกว่าการที่เรานั้นช่วยเหลือผู้อื่น การที่เรานั้นทำดีเป็นเรื่องยาก ก็เลือกคำว่ายาก แต่หากไม่เลือกคำว่ายาก ก็หมายความว่า เจ้ากำลังเลือกคำว่าง่าย ถูกหรือไม่ ถูกหรือเปล่า อาจารย์จะบอกให้ที่เราทำดีแล้วบอกว่าทำยาก เพราะว่าเราหวังผล เราหวังว่าช่วยเขาแล้วอย่างน้อยเขาก็ควรจะพูดขอบคุณเรา เมื่อทำดีต้องมีกุศลใช่หรือเปล่า แล้วเราก็หวังว่า ถ้าหากทำดีไปอย่างน้อยก็ไม่ถูกเขาว่าใช่หรือไม่ เพราะเรามีจิตใจพวกนี้เป็นอุปสรรค เราจึงรู้สึกว่าการทำดีนั้นยาก แต่หากเราช่วยก็คือช่วยไม่มีอย่างอื่น ไม่ต้องคิดว่าเขาจะต้องมาขอบคุณเรา ไม่ต้องคิดว่าเขาจะต้องมาช่วยเรากลับ แล้วไม่ต้องคิดว่าเขานั้นจะต้องมาดีกับเรา เราช่วยไปก็คือช่วยไป ช่วยไปก็จบ อย่างนี้ทำให้การที่จะทำความดีง่ายขึ้นไหม (ง่ายขึ้น) รวมทั้งถึงเวลาที่เราทำดีให้คนอื่นแล้ว คนอื่นนั้นว่าเรากลับมา ก็ไม่เป็นไรด้วย ทำได้ไหม อย่างนี้ ถ้าหากเราทำดีให้คนอื่นแล้วคนอื่นเขาว่าเรากลับมา แล้วเรารู้สึกว่าไม่เป็นไร อย่างนี้เวลาเราทำความดี เราก็จะรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นใช่หรือไม่ ถ้ามัวมานั่งคิด ว่าถ้าเราทำดีไปแล้วจะต้องดีตอบ แล้วถ้าเราไม่ดีกับเขาแล้ว เขาก็ไม่ดีกับเรา ต้องเป็นเช่นนี้ ใช่หรือเปล่า เวลาที่เราไม่ดีกับเขาแล้ว อยากได้อะไรกลับ แปลกจริงๆ ว่าเวลาที่เราดีต่อเขา แล้วเขาจะต้องดีตอบมา แต่เวลาที่เราไม่ดีต่อเขา แล้วเขาก็ต้องดีตอบมาเหมือนกัน คิดอย่างนั้นใช่ไหม เวลาที่เราไม่ดีกับเขา แล้วเขาไม่ดีกลับมาอันนี้เป็นธรรมชาติใช่หรือเปล่า แต่หากเราดีกับเขาแล้วเราไม่หวังให้เขาดี อันนี้หมายความว่าเรานั้นมีการบำเพ็ญธรรม คือบำเพ็ญตบะ ในจิตใจของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนนี้ที่นี่เป็นสถานธรรมหรือเป็นแดนโลกีย์ (สถานธรรม) สถานธรรมที่มนุษย์มีโลกีย์วิสัยอยู่เรียกว่าแดนโลกีย์หรือสถานธรรม (สถานธรรม) ไหนบอกอาจารย์ว่าที่นี่เป็นแดนโลกีย์หรือสถานธรรม (สถานธรรม) ที่นี่เรียกว่าสถานธรรม  เพราะว่าศิษย์เลือกให้ที่นี่เป็นสถานธรรม แสดงว่าเป็นสถานที่มีแต่ธรรมะ จิตใจของเราก็ต้องมีแต่ธรรมะ ใช่หรือเปล่า ถ้าจิตใจของเรามีแต่ความอยาก ความใคร่ มีแต่ความไม่รู้จักพอ  มีแต่จิตใจที่เลวทราม มีแต่จิตใจที่ช่วงชิง แก่งแย่งมา แสดงว่าที่นี่นั้นถึงแม้ว่าจะเป็นสถานธรรม แต่เมื่อใจทุกดวงเป็นโลกีย์วิสัย ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานธรรม แต่ว่าตอนนี้เป็นขณะเวลาที่จิตใจของเรานั้น มันเริ่มจะสุกสว่าง เหมือนกับมะม่วงที่เวลามันสุกแล้วเป็นสีเหลือง ตอนนี้จิตใจของเราเริ่มจะสุกสว่าง จิตนั้นเริ่มเปิดและเริ่มดีขึ้น ตอนนี้ที่นี่ก็เป็นสถานธรรม เพราะจิตใจของทุกคนนั้นเริ่มเป็นธรรมะ เป็นทุกที่ที่เราย่างไปถึง ทุกที่ที่เราอยู่ ทุกที่จะกลายเป็นโลกีย์ ทุกที่จะกลายเป็นสวรรค์ ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ถ้าหากว่าจิตใจของทุกคนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นใจเทวดา ที่นี่เป็นโลกีย์นั้นก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) แต่หากว่าที่นี่แม้จะเป็นสถานธรรม แต่ทุกวันก็มาทะเลาะกัน ทุกวันก็คิดแต่จะหาเงินหาทอง ทุกวันฟังธรรมะเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา  ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) )
อยู่บนนี้อบอุ่นใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งติดๆ กันแล้วอบอุ่นใช่หรือไม่ แล้วอยู่บ้านเวลาเรานั่งติดๆ กับคนที่ไม่ชอบอบอุ่นไหม (ไม่อบอุ่น) ทำไมเราไม่อบอุ่นล่ะ เวลาที่สี่ห้าคนอยู่ข้างๆ เรา เราไม่ชอบหมดเลย เราอบอุ่นไหม (ไม่อบอุ่น) ทำไมล่ะ ถ้าหากว่าหนีได้เป็นหนี ใช่หรือไม่ แต่หากว่าหนีไม่ได้เป็นอะไร (ต้องทน) คนเราพอพูดถึงเรื่องว่าต้องทน นี่ก็เพราะว่าจิตใจมันรู้สึกว่าทนไม่ไหว ถึงได้พูดคำว่าต้องทน จิตใจของเรานั้น รู้สึกว่ารอบๆ ข้างเราไม่ชอบเราจึงต้องพูดว่าต้องทน แต่หากว่าจิตใจของเราเป็นจิตใจที่ไม่เกลียดชังใครเลย เราจะต้องพูดคำว่าต้องทนไหม (ไม่ต้องพูด) ทำอย่างนี้จะไม่มีเกิดขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ต้องการให้ปรับเปลี่ยนแก้ไข ในปีใหม่ที่จะถึงนี้ ก็เหมือนกับที่กระดานนี้ว่าไว้ คือ “จะแก้ไขใจร้ายกลายเป็นดี” คำว่าใจร้ายคำนี้ ไม่ได้เป็นใจร้ายทั่วๆ ไปที่ศิษย์นั้นพูดถึง ว่าคนนั้นใจร้าย คนนี้ใจร้าย คนนั้นใจดำ ไม่ใช่คำพูดนี้ แต่คำว่าใจร้ายเป็นอย่างไร ใจที่ยังมีความรู้สึกรัก ใจที่ยังมีความรู้สึกโลภ ใจที่มีความรู้สึกโกรธ ใจที่ยังหลง ใจที่เกลียดคนอื่น ใจที่ไม่สามารถปล่อยวางความรู้สึกใดๆ ลงได้ วันๆ หมกมุ่นแต่จิตใจของตนเอง ที่มันเป็นจิตใจที่ขุ่นมัวอยู่อย่างนั้น ใจดวงนี้จึงเป็นใจที่ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะเปลี่ยนแปลงใจดวงนี้ให้เป็นจิตใจที่ดี ก็เหมือนกับอะไร อาจารย์ยกตัวอย่างประจำ สมมติว่าแอปเปิ้ลลูกนี้ที่อาจารย์จับมีฝุ่นอยู่บ้าง เราต้องการจะเปลี่ยนแปลงดวงใจดวงนี้ทำอย่างไร ล้างหรือไม่ก็เช็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลไม้บางลูกต้องใช้วิธีการล้างจึงจะสะอาด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่บางลูกก็เหมือนอย่างนี้ เช่น ส้มผลนี้ใช้วิธีการเช็ดก็พอ แต่ถ้าหากว่าเป็นองุ่นพวงนี้ใช้อะไร (น้ำ)  อันนี้ต้องทั้งล้างทั้งแช่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ก็คือผลไม้ที่อาจารย์ยกตัวอย่าง แอปเปิ้ลนี้ต้องล้างหรือต้องเช็ด (เช็ด ล้าง) ล้างหรือเช็ด อาจารย์คิดว่าเช็ดนะ  ไหนใครว่าล้างยกมือขึ้น ไหนใครว่าเช็ดยกมือขึ้น แล้วคนไม่ยกมือล่ะ ก็มีให้เลือกอยู่สองอย่าง ไม่ให้ความร่วมมือเลยใช่หรือไม่ คนที่ไม่ให้ความร่วมมือเวลามาอยู่ที่นี่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่อาจารย์มองไปคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ เหมือนอะไร เรามองเห็นผีไหม จริงๆ แล้วมันก็อยู่แถวนี้นะ แต่เราสนใจเขาไหม (ไม่)  เพราะอะไร (มองไม่เห็น)  มองไม่เห็น ถ้าอาจารย์ทำเป็นมองไม่เห็นคนไหนนี่ก็เหมือนผีแล้วกัน เพราะฉะนั้นผลไม้ลูกนี้จะว่าสะอาด ไหนลองจับดูสิว่าสะอาดไหม มีหลายคนอยากจับ เดี๋ยวให้คนจับหลายๆ คนส่งต่อไปให้คนข้างๆ ใครได้ผลไม้แล้วลูกที่อาจารย์ส่งไปเป็นตัวอย่าง ส่งไปข้างๆ ส่งไปให้คนที่อยากจะจับ ใครไม่อยากจะจับก็อย่าจับ ดูผลไม้ที่อยู่ในมือเรา ไปสุดที่ใครก็ถือเป็นความโชคดี  ผลไม้ลูกนี้ดูแล้วก็รู้สึกว่าสะอาด ใช่หรือเปล่า  แต่ก็มีจุดดำๆ เล็กๆ ทำให้รู้สึกว่าดูสกปรก แล้วสรุปว่าผลไม้ลูกนี้ต้องล้างหรือต้องเช็ดดีถึงจะสะอาดกว่ากัน (ล้าง)  เราก็ไม่แน่ใจใช่หรือเปล่า  เหมือนกับจิตใจของเรา เป็นผลของจิตใจของเรา เรามองเห็นใจของเราก็อย่างนี้  ผลไม้ลูกนี้เราจะเอาไปล้างดีหรือเอาไปเช็ดดี ใจของเราดวงนี้จะเอาไปล้างดีหรือจะเอาแค่เช็ดๆ ก็พอ เรามั่นใจในจิตใจของเราเองไหม เวลาเรามองผลไม้ลูกนี้ ก็เหมือนมองจิตใจของเรา เรายังหาวิธีไม่ถูกเลยว่าจิตใจของเรานี่มันร้ายกาจขนาดที่เราต้องเอาไปล้างสักสามน้ำ หรือว่าจิตใจของเรามันก็ดีพอประมาณที่จะเอาไปเช็ดๆ ก็พอ แต่เอ๊ะมองไปมองมาบางทีก็ร้ายบางทีก็ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นคนที่มีจิตใจที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอ เพราะฉะนั้นจิตใจของเรา เราเองเรายังมองไม่ออก จงอย่าเอาตัวเราไปตัดสินใคร ว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี อย่างน้อยความสุขก็เทมาหาเราตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วจิตใจของเราดวงนี้นั้น วันไหนที่เรารู้สึกสกปรกมากๆ ก็จำเป็นต้องล้าง  เรื่องไหนที่เรารู้สึกว่าดีอยู่แล้วเราก็แค่เช็ดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างบางคนเป็นคนโมโหง่ายมากเลย ขนาดที่ต้องเอาไปล้าง แต่บางคนนั้นก็โมโหเล็กน้อย โมโหง่ายหายเร็ว อันนี้แค่เช็ดก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนไม่ได้มีแค่นิสัยโกรธ ไม่ได้มีแค่นิสัยขี้โมโห ยังมีนิสัยอย่างอื่นอีกตั้งเยอะแยะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนิสัยของเราคนอื่นก็ไม่รู้มีแต่เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นก็ไม่รู้ว่าเราแย่อย่างไร มีแต่เราเท่านั้นที่รู้ เวลาที่เอาเรื่องที่ดีๆ มาฉาบตัวเราไว้ มาปิดบังตัวเราไว้ให้คนอื่นรู้สึกว่ามองภายนอกคนนี้เป็นคนดีนะ คนนี้เป็นคนดี แต่จริงๆ แล้วลึกๆ เราเป็นคนดีหรือเปล่า ใครตอบได้ (ตัวเราเอง)  แต่บางคนแย่กว่า ขนาดตัวเรายังไม่แน่ใจว่าตัวเราดีหรือเปล่า  แล้วส่วนใหญ่ก็จะตอบอาจารย์ว่าดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ไปครึ่งดี ไม่ใช่ไปครึ่งไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครบอกว่าตัวเองต่อไปหลังจากวันนี้ปีใหม่แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ไปครึ่งดีให้หมดเลย เราจะกลายเป็นคนดี เชิญนั่ง  (นักเรียนนั่งทั้งหมด)  เอ้าปรบมือ  ใครทำไม่ได้ก็ฝีขึ้นก้นนะ สัญญาไหม (สัญญา)  ใครทำไม่ได้ก็เป็นเหมือนที่อาจารย์ว่านะ ไหนใครเปลี่ยนใจอยากยืนบ้าง มีไหม รับปากอาจารย์เองนะ
มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหม (อยาก)  มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ทุกวันๆ ผ่านไปอย่างปกติสุขเหมือนกับเรา เหมือนที่เราผ่านมาทุกวันๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ดีก็ไม่ร้าย เวลาพูดอะไรคนอื่นก็เหมือนจะเชื่อเราไปทุกอย่าง เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่มีวันหนึ่งตอนเช้าเขาตื่นขึ้นมาขี้ตามันมาติดที่ตา มันติดเข้าไปข้างในเลย  เคยมีขี้ตาไหม (มี)  ไม่ใช่ติดที่หนังตา มันติดอยู่ที่ลูกตา แล้วเขาก็รู้สึกว่าตาทำไมฟางๆ มองอะไรก็ไม่ชัด ไม่ชัดไปหมดเลย มองกระดาน กระดานมีคราบ มองกระจก กระจกมีคราบ เสื้อผ้าตัวนี้ก็มีคราบ มันเป็นคราบที่เอามือไปปัดก็ยังไม่หายสักที มองไปทางไหนก็มีคราบไปหมดเลย แต่ว่าเขาไม่คิดว่าตาของเขามีขี้ตาเลย เขากลับคิดว่ากระจกนี่ทำไมมัวนัก เสื้อผ้าตัวนี้ก็ไม่สะอาด คนนั้นก็อาบน้ำแล้วแต่ทำไมไม่สะอาดเลย  ทุกอย่างรอบๆ ตัวเขาดูจะเป็นอย่างไร สกปรกหมดเลย ทีนี้อาจารย์จะบอกว่าคนๆนี้ ที่ไม่รู้ว่าตาของตัวเองมีขี้ตาติดก็เหมือนกับเรา เหมือนกับเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ความผิดของเรา ความไม่ดีของเรา มันเหมือนขี้ตาที่ติดในตาเรา เวลาที่เรามองคนอื่นเราเห็นอะไร เห็นคนอื่นไม่ดี  เคยเห็นคนอื่นไม่ดีไหม   ลูกก็ไม่ดี แฟนก็ไม่ดี บ้านเราก็ดูโทรมๆ กว่าคนอื่นเขา เงินของเราก็น้อยกว่าคนอื่นเขา ทำไมนะ แต่จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นแล้วคนอื่นผิดนั้น ผิดอยู่ที่ไหน ผิดอยู่ที่ขี้ตา ผิดที่ตัวเรามีขี้ตาแล้วมองไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแล้วเหมือนตลกไหม (เหมือนตลก)  แต่ว่าในชีวิตจริงของเราเราชอบโทษคนอื่นหรือเปล่า เราอาจจะไม่ชอบโทษแต่เราก็โทษเขาใช่หรือไม่ (ใช่) เราชอบโทษคนอื่นไม่ดีอย่างนั้น คนอื่นไม่ดีอย่างนี้ พ่อเราก็ไม่ดีอย่างนี้ แม่เราก็ไม่ดีอย่างนี้ ลูกเราก็ไม่ดีอย่างนี้ พี่น้องของเราก็ไม่ดี คนรอบข้างบ้านเราก็ไม่ดี สังคมแวดล้อมเราก็ไม่ดี เราจนก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดีไปหมด  ถามศิษย์ว่าถ้าศิษย์มองทุกๆ อย่างรอบตัวของศิษย์ไม่ดี อะไรไม่ดี ขี้ตาของเราหรือเปล่า ขี้ตาของเรามันติดอยู่ที่ตา  เราเลยมองทุกอย่างดูไม่ดีไปหมดเลย เพียงแต่ขี้ตาอันนี้เป็นขี้ตาล่องหน เรามองกระจกเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นขี้ตาตัวเองสักที จิตใจของเรามองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นกิเลสที่มันเกาะอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามอง เราเริ่มรู้สึกว่ามองอะไรๆ ก็ไม่ดี เราลองมาดูสิว่าจิตใจของเรามีขี้ตาหรือเปล่า ไม่แน่อาจจะมีขี้ตาอยู่หนึ่งก้อน  ดีไม่ดีมีขี้ตาทั้งสองข้างเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเอาขี้ตาออกเราก็จะเห็นโลกที่สว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็กลายเป็นเรื่องหาง่ายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าบ้านเราไม่มีเงินซื้อกับข้าว ออกไปตามริมถนน ออกไปตามทุ่ง ก็ไปเด็ดผักสดๆ กิน ดีกว่าเราไปซื้อในตลาดดีกว่าไหม (ดีกว่า)  ดีกว่าอีกนะ  ถ้าหากว่าเรามีเงินน้อย เราก็ใช้น้อย  เราก็ไม่ต้องกลัวโจรขึ้นบ้าน มีความสุขกว่าไหม (มี)  ลูกของเราดูไม่ฉลาดเฉลียวเลย แต่เอ๊ะเขาไม่ฉลาดเนี่ยดีไหม (ไม่ดี)  โอ้  ศิษย์ของอาจารย์มองโลกในแง่ร้าย  เขาไม่ฉลาดก็ดีใช่หรือเปล่า เขาจะได้อยู่ช่วยเราทำนา ทำไร่ ใช่ไหม ถ้าหากว่าเขาฉลาดเขาก็ไปทำงานในเมือง ใช่ไหม (ใช่) แล้วเวลาแก่อยู่กับใครล่ะ เขาไม่ฉลาดก็ดีนะ มีอะไรอีก
สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรานอกจากเรื่องลาภยศชื่อเสียงเงินทอง มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าอีก  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเรื่องลาภยศชื่อเสียงเงินทอง เรื่องใดก็ตาม ลอกขี้ตาออกจากตาซะ จะได้เห็นว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีเงินสักบาทนึงที่เราจะเอาเข้าโลงไปได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่มีสิ่งใดที่เรานั้นสามารถที่จะยึดไว้ได้ตลอดชีวิตถูกหรือไม่  เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ใครๆ ก็บอกว่าการศึกษาไม่ค่อยดี ใครๆ ก็บอกว่าเรานั้นแก่ทำอะไรไม่ได้ ใครๆ ก็บอกว่าเรานั้นเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่อาจารย์จะบอกให้ชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมดาอย่างนี้ เป็นเรื่องหายากในโลกปัจจุบัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่คนจะวิ่งไปหาความวุ่นวายมากกว่าที่ตัวเองเป็น มากกว่าที่ตัวเองมี เกินกำลังที่ตัวเองนั้นจะรับได้ มีแต่คนวิ่งไปหาในเรื่องที่เกินกำลังในเรื่องที่ตัวเองจะรับได้  แต่ทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่อย่างนี้เรียบง่ายอย่างนี้ เป็นเรื่องของความโชคดี เรียกว่าเป็นคนที่ทำบุญมาจึงมีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างนี้ เป็นความโชคดีที่เราเกิดมาหน้าตาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เราจะได้ไม่ต้องมีความวุ่นวายเรื่องความรักมากมายเกินเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้โชคดีหรือยัง (โชคดีแล้ว)  แล้วแถมได้มาเป็นศิษย์ของอาจารย์อีกโชคดีไหม (โชคดี)  แล้วถ้าหากอาจารย์บอกให้บำเพ็ญธรรมแล้วบำเพ็ญไม่สำเร็จโชคดีไหม (ไม่โชคดี)  พอมีโอกาสมาเจอกันแล้ว แต่ถ้าหากว่าศิษย์ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ก็ถือว่าเราก็เป็นคนโชคร้ายเต็มที่เลยนะ จากคนที่โชคดีกลายเป็นคนโชคร้ายสุดๆ เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นแสดงว่าเราอยากจะโชคดี เราต้องบำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากโชคดีต้องบำเพ็ญธรรม ไหนคิดว่าตัวเองจะบำเพ็ญธรรม ยกมือ อย่ายกตามๆ กันไป ยกครึ่งไม่ยกครึ่ง จะยกก็ต้องยกให้สุด ทีนี้ดูใหม่ อย่าเพิ่งเอามือลง ถ้าข้อศอกเราเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่าเราพร้อมจะเอาข้อศอกลง ยกมือค้างไว้ไม่กี่นาทีเหนื่อยหรือ เอาข้อศอกตัวเองยืดขึ้นให้ตรงๆ ไหนดูซิว่ามีใครข้องอๆ บ้าง ไม่ต้องเผื่อว่าจะกลับไปเลิกบำเพ็ญ เอามือลง เปลี่ยนข้าง เอามือขึ้น เอามือลง ลุกขึ้นยืน
ทำเท่าที่กำลังไหว เอาตัวของเรายกขึ้นแล้วใช้ปลายเท้ายืน อาจารย์ให้ยกทั้งตัวเลย ยกทั้งตัวและหัวใจเลยนะ ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ทำไปอย่างฝืนๆ หรือเปล่า
หลายๆ คนผิดสัญญากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ลงโทษ เพราะว่ามีอย่างหนึ่งที่ลงโทษเราอยู่แล้วเสมอๆ คืออะไร คือกรรมของเรา ถ้าหากว่าวันนี้ ศิษย์เป็นคนที่โชคดี ที่มีโอกาสรับธรรมะ โชคดีที่เกิดเป็นคน และโชคดีที่มีชีวิตอย่างเรียบง่ายนี้ แต่เราไม่รักษาเอาไว้ สักวันหนึ่ง เราไม่บำเพ็ญธรรม เราก็ไม่สามารถที่จะขึ้นสวรรค์ได้ นั่นก็เป็นเรื่องของ (ตัวเราเอง)  ของตัวเราเอง ทำไมไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่าเรานั้นถูกกรรมของเราดึงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำดี ถ้าเราช่วยเหลือผู้อื่น ที่เราช่วยเหลือจิตใจของตัวเอง นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมระดับหนึ่ง แต่หากว่าบำเพ็ญธรรมระดับเตี้ยนี้ ทำไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) กรรมก็จะลงโทษศิษย์เอง เพราะว่าสิ่งที่ดึงศิษย์ลงไปจากสวรรค์ ก็คือกรรมของเรา
เราอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ทุกวันนี้ก็สามารถทำให้โลกมนุษย์นี้เป็นสวรรค์ได้ ด้วยการที่อะไร เทวดาหน้าบึ้งมีไหม (ไม่) เทวดาหน้าบึ้งไม่มี เทวดาสูบบุหรี่มีไหม (ไม่มี) เทวดาเล่นไพ่มีไหม (ไม่มี) เทวดาเล่นหวยมีไหม (ไม่มี) เทวดาโลภมากมีไหม (ไม่มี) เทวดาโกรธง่ายมีไหม (ไม่มี) เทวดาแย่งของมีไหม เทวดามีความทุกข์มีไหม (ไม่มี) เป็นเทวดาหรือยัง เรื่องของดีๆ นั้น ถ้าขยันสร้างให้มาก เราก็กลายเป็นเทวดาได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เขาแล้วทั้งเราและเขามีความสุขดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าคนอื่นเขาเห็นเราแล้วเขามีความสุข แสดงว่าเราเป็นเทวดาไหม แล้วตอนนี้คนเห็นเรามีความสุขหรือมีความทุกข์ มีสุขหรือทุกข์ (สุข ทุกข์) โดยทั่วไปจะชอบยิ้ม ใบหน้าจะอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือใบหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา (ยิ้มตลอดเวลา) ให้ยิ้มนะ ต้องเป็นเทวดาให้ลูกดูก่อนนะ ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากว่าเจอลูกไม่เชื่อฟังอยากจะตีเขา เทวดาตีคนมีไหม (ไม่มี) ถามว่าลูกทำผิดแล้วไม่ตีได้ไหม แล้วจะทำอย่างไร (สอน)  สอนด้วยเสียงโกรธๆ ได้ไหม (ไม่ได้) วัวหายล้อมคอกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องดูก่อน ว่าเราจะสอนลูกเรื่องอะไรบ้าง แล้วต้องสอนเรื่องอะไร เราต้องสอนตั้งแต่เด็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) โตๆ แล้วเขาอยากฟังไหม ศิษย์ของอาจารย์โตขนาดนี้ อาจารย์พูดอะไรไป ยังไม่ค่อยอยากฟังเลย เพราะฉะนั้นต้องสอนลูกตั้งแต่เด็กๆ แล้วไม่ต้องใช้วิธีการตีก็สามารถทำให้เขาเชื่อฟังเราได้ เพราะว่าเรานั้นเป็นแบบอย่างที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) พ่อสูบบุหรี่ อยากให้ลูกเลิกสูบบุหรี่ได้ไหม (ไม่ได้) พ่อกินเหล้า อยากให้ลูกอดเหล้าได้ไหม (ไม่ได้) แม่เล่นไพ่อยากให้ลูกเลิกเล่นไพ่จะทำได้หรือไหม(ไม่ได้)  แม่เล่นหวยแต่อยากให้ลูกเลิกหวยจะทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นตัวเรานี่แหละคือแบบอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อาจารย์บรรยายธรรม: ในการประชุมแต่ละครั้ง พระอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเมตตาพวกเรา ไม่ใช่การมาบอกเลข) หรือจะเอาเลข ไหนใครเอายกมือ เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) ดีมาก ปรบมือให้ตัวเองหน่อย ใครเปลี่ยนใจจะเอา ยกมือ (ไม่เอา) ปรบมือให้ตัวเองอีกรอบหนึ่ง ให้เปลี่ยนใจ ใครจะเอายกมือ ปรบมือให้ตัวเองหน่อย
อาจารย์ทดสอบสามรอบ มารทดสอบสิบรอบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทดสอบคนแค่สามรอบ มารทดสอบคนสิบรอบ อาจารย์ว่าน้อยคนที่จะสอบรอบที่สิบแล้วจะไม่คว้าไว้ใช่ไหม มารหลอกล่อด้วยเงินทองเป็นสิ่งที่ทำให้เรานั้นหัวใจเต้นระริกทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องระวังๆ ไม่ใช่ระวังมารนะ ระวังตัวเอง เพราะสิ่งที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าไม่ใช่คนอื่นที่เขาว่าเรา แต่เป็นตัวของเราเองที่ยอมแพ้ให้แก่สิ่งนั้นๆ ที่มาหลอกล่อจิตใจของเรา เพราะฉะนั้นมารก็ไม่น่ากลัว ผีก็คือคนที่ตายไปแล้ว เทวดาก็คือคนที่ทำดีขึ้นไปเป็นเทวดา คนที่น่ากลัวอยู่คนเดียวที่จะเป็นข้างเทวดาและเป็นทั้งมารก็คือตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกๆ ครั้งที่มีเรื่อง มีปัญหาเข้ามาหาเรา ดูซิว่าเราใช้จิตใจอะไรของเราไปรับมือกับปัญหานั้นๆ บางคนใช้จิตใจของเทวดาเพื่อคลายปัญหาเมื่อคลายได้แล้วจะคลายตลอดไป ไม่ให้ปัญหานั้นกลับมาอีก แต่หากรับมือด้วยจิตใจของมาร ปัญหาจะคลายไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียว แต่ว่าปัญหานั้นไม่ยอมจบใช่หรือไม่ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้สุจริตในการที่จะรับมือกับปัญหานั้นๆ เราไม่ซื่อตรง เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง คือการชำระล้างจิตใจของตัวเราเอง คือการเช็ดฝุ่นที่อยู่ในจิตใจของเรา คือการแคะขี้ตาของเราออกไปจากตา คือสิ่งที่เราทำได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทุกสิ่งอาศัยเวลานาน อาศัยชีวิตของเราในการแก้ปัญหา แก้นิสัยของเราเรื่องเดียว ที่มันอาจจะติดมาจากชาติปางก่อนด้วย แต่บางทีอาจจะไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้น อาจจะใช้เวลาแค่สิบปีก็ได้ แต่ว่าสิบปีของมนุษย์ มนุษย์บอกสิบปีนี้มันนาน แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่า ถ้าหากศิษย์สามารถใช้เวลาสิบปีบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญให้ดีไม่นาน คนมักจะคิดว่าสิบปีนั้นยาวนาน แต่หากสิบปีสามารถสำเร็จได้ไม่นานเลย  เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงแม้ว่าเราอายุมากแล้ว บางคนผมขาวแล้วแต่หากว่านับจากวันนี้ไปสิบปีหรือนับจากวันนี้ไปจนชีวิตหาไม่ สิบ ยี่สิบปีนี้สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมให้ดี  แล้วสามารถไปเป็นเทวดา นางฟ้า ดีไหม (ดี)  ถ้าสามารถทำได้ อาจารย์ก็ถือว่าศิษย์นั้นประสพความสำเร็จ กลัวแต่ว่าให้เวลากับตัวเองไม่ให้ถึงสิบวัน
วันนี้มาประชุมธรรมสองวัน พอพรุ่งนี้ไม่รู้จะทำดีหรือเปล่า พอมะรืนนี้ก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง พอมะเรื่องนี้ก็เอาเหมือนเดิมแล้วกัน เหมือนเดิมๆ ที่เคยเป็นมาก็คืออะไร ก็คือเราที่อยู่ในกระจก
(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมและอาจารย์บรรยายธรรมนำร้องเพลงพระโอวาทที่ประทานให้)
ถึงแม้ว่าเริ่มต้นจะยังร้องไม่ได้ครบถ้วนแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีคนนำใช่หรือไม่  บางทีเรื่องบางเรื่องในโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้น เราไม่ใช่อาจารย์บรรยายธรรมและอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลาย รวมทั้งคนที่มีหน้าที่ในการนำคนอื่นนั้น ไม่ได้ว่าตัวเองมีความสามารถมากมาย อาจารย์เองก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสามารถมากมาย แต่เป็นเพราะว่าอะไร แต่เป็นเพราะว่าเรามีหน้าที่และเราจำเป็นต้องทำ แต่การทำหน้าที่ต่างๆ นั้นไม่ใช่ทำด้วยความรู้สึกบังคับและฝืนใจ แต่ต้องทำออกมาจากใจ หน้าที่ของเราที่เรารับผิดชอบและทำออกมาจากใจนั้นล้วนจบลงด้วยดีทั้งสิ้น
อย่างเช่นศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในห้องนี้ร้องเพลงจีนไม่เป็น แต่ว่าพออาจารย์ให้เพลงจีนมา แล้วมีคนนำที่ดี ในที่สุดแล้วเพลงนั้นก็เพราะใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร ไม่ใช่ เพราะว่าเพลงเพราะ แต่เพราะทุกคนนั้นร้องออกมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหลายที่ศิษย์ของอาจารย์ต้องไปเจอในอนาคต ในอดีตที่ผ่านมาก็ดี ปัจจุบันนี้ก็ดี เรื่องทุกเรื่องไม่ใช่ว่าเรามีความสามารถ แต่เราต้องทำให้ดีที่สุด แต่อย่าลืมสิ่งหนึ่งก็คือยอมรับเวลาที่ผู้อื่นเขาว่า ยอมรับเวลาที่ผู้อื่นเขาชม อย่าได้หลงระเริงตน แต่เรานั้นต้องรับคำชมมาเพื่อเรานั้นจะได้รู้ว่าเรานั้นไปถึงไหนแล้ว และเราต้องรู้ว่าเราไม่ปล่อยตัวเองให้เตลิดไปกับคำชมนั้นๆ
ในขณะเดียวกันเวลาที่คนเขาว่าเรา เราก็ต้องรู้ว่า อ้อเรายังมีข้อเสียอยู่ ข้อเสียเหล่านั้นที่เขาว่าเราจริงไหม ไม่จริงก็ไม่เป็นไรนี่นะ ฟังไว้ ใช่ไหม  เพราะฉะนั้นเวลาโดนคนอื่นว่า เวลาโดนคนอื่นชม อย่าเลือกฟังแต่คำชม ไม่ชอบฟังคำว่า ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนที่มีความทุกข์เพราะเราเอามือไปปิดปากเขาไม่ได้ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราห้ามเขาคิดไม่ได้ เอ๊ะ ความทุกข์แบบนี้เป็นความทุกข์ที่ไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์แบบนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามเลย เพราะฉะนั้นควบคุมอะไร ควบคุมตาของเรา อย่าไปมองเรื่องคนอื่น ควบคุมหูของเรา อย่าไปฟังเรื่องคนอื่น ควบคุมปากของเรา อย่าไปนินทาคนอื่น ควบคุมใจของเรา ให้แม่นมั่นอย่าให้ใจของเรานั้นมันเผลอซ่อนกิเลสไว้ข้างใน แล้วเอาคราบความเป็นคนดีมาฉาบไว้ เพราะว่าจริงๆ แล้วเวลาที่เรามีกายนี้ เราสามารถจะปิดบังได้ทุกอย่างว่าเราดีหรือไม่ดี แม้แต่บางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ยังดูไม่ออกเลยว่ามนุษย์คนไหนดีจริงหรือดีไม่จริง เพราะอะไร เพราะเวลาดีก็ดีออกมาจากใจ เวลาร้ายก็ร้ายออกมาจากใจ
การเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ใช่จะมองออกว่ามนุษย์นั้นคนไหนดีหรือไม่ดี ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนด้วยกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นคิดเหมือนอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องดูว่าศิษย์ของอาจารย์คนไหนดีหรือไม่ดี ดูตัวเราดีกว่า แล้วเราทำให้ตัวของเราดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เริ่มจากเปอร์เซ็นต์แรก เริ่มจากครั้งแรกที่เรานั้นคิดว่าเราจะดี ต่อไปเรื่อยๆ แล้วให้เรานั้นดีให้ถึงที่สุด ดีให้ถึงวาระสุดท้ายของตัวเราเอง นี่แหละการเป็นคนดี
โอวาทซ้อนโอวาทก็เป็นอย่างที่อาจารย์นั้นพูดมาตลอด อันนี้ให้เป็นของขวัญปีใหม่ด้วย อ่านว่าอะไร (คนดีที่สุขเป็น)  ทำไมไม่บอกว่าคนดีที่เป็นสุขล่ะ เพราะจริงๆ แล้วคนดีก็ควรจะเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนดีเป็นสุขนั้นคู่กัน แต่ว่ามนุษย์สมัยนี้เป็นอย่างไร เป็นคนดีอยู่แต่ว่าสุขไม่เป็น วันๆ มีแต่ คิดถึงแต่ปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำตัวเป็นคนดีที่สุขไม่เป็น แต่จริงๆ แล้วควรที่จะเป็นคนดีที่เป็นสุข แต่ว่าเรานั้นไม่รู้ เราไม่รู้อย่างไร พวกเรานั้นชอบเป็นคนดีที่มีความสุขไม่เป็น ดีน่ะดีอยู่ แต่ความสุขในจิตใจในชีวิตนี้หายากเหลือเกิน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเราเรียกสูงเกินไป เรียกร้องใคร เรียกร้องคนอื่น เรียกร้องใครอีก เรียกร้องตัวเอง เรียกร้องซะจนสูงลิบลิ่วจนเรานั้นทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ สุดท้ายต่างคนต่างก็เป็นคนดีแต่ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องดูในถิ่นที่เราอยู่ ดูในหน้าที่ที่เราทำ ดูในทุกอย่างที่เราเป็น จริงๆ แล้วคนดีนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ไม่จำเป็นต้องดีให้เท่ากับคนอื่น แต่ขอให้ดีในแบบที่เราเป็น แล้วให้เราเป็นคนดีที่สุขเป็น อาจารย์ขออวยพรให้เราทุกคนเป็นคนดีที่สุขเป็น แล้วคราวหลังก็กลายเป็นคนดีที่เป็นสุขเองนะ
วันนี้อยากกลับบ้านเร็วไหม อยากกลับบ้านเร็วๆ อาจารย์จี้กงก็ต้องรีบไปเร็วๆ เหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้อาจารย์ยังไม่เสร็จภารกิจเลย ภารกิจอะไรรู้ไหม ภารกิจสุดท้ายคือต้องแจกผลไม้ให้ศิษย์ก่อน ใครอยากได้ผลไม้ยกมือ ภารกิจสุดท้ายนะ ที่นี้อาจารย์จะถามเหมือนทุกครั้งที่อาจารย์ถาม กลับไปบ้านเราจะไปแก้ไข จะไปปฏิบัติ จะไปทำอะไรให้ดี เป็นคำถามที่ง่ายๆ จริงๆ แล้วศิษย์อาจารย์ต้องเริ่มคิดตั้งแต่เมื่อวานนี้ เซียนเด็กมาแล้วก็กลับไปแล้ว ท่านพูดแต่สิ่งที่เป็นคุณและเป็นประโยชน์ต่อศิษย์ทั้งสิ้น ท่านชี้ทางให้ศิษย์กลับไปแล้ว ไปทำอย่างที่ท่านมาสอน ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็เหมือนกับเราไม่ได้ฟัง ถ้าหากเราฟังแล้วไม่ปฏิบัติก็คือเราไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นอาจารย์มาเพื่อกระตุ้นให้ศิษย์คิดเร็วขึ้นว่า เมื่อกลับไปแล้วจะทำอะไรดี แต่อันนี้มีผลตอบแทนเป็นแอปเปิ้ล ใครตอบได้ปัญหาง่ายๆ แบบนี้ อาจารย์ก็ให้ผลไม้ (ทำตนเป็นคนดี) เมื่อก่อนเป็นคนดีหรือเปล่า (เป็นแต่เป็นน้อย) เหมือนเราเลยหรือเปล่า เวลาฟังคำตอบของเพื่อนก็คิดย้อนกลับมาที่ตัวเองด้วยว่า เมื่อก่อนเราดีน้อยเหมือนกันหรือเปล่า (จะเลิกบุหรี่ เลิกดื่มสุราครับ)  แล้วเวลาหนาวๆ ล่ะ (กินกาแฟครับ) ผู้ชายก่อน แถวหน้านี้เป็นอะไร เป็นช้างเท้าหน้าที่เอาแต่ก้าวหรือเปล่า (จะทำตัวให้ดีกว่าเก่า) ปกติเราดีไหม (ดีครับ) ดีกว่าเก่าเป็นอย่างไรล่ะ เรื่องอะไรที่จะดีขึ้น อยากปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้น (เรื่องจิตใจ ช่วยพ่อแม่ทำงานครับ) พ่อแม่เปรียบเสมือนผู้ที่สูงส่ง ถ้าเราจะช่วยทำงาน ก็ต้องเห็นท่านเป็นเทวดา ทุกๆ วัน แสดงต่อท่านด้วยความเคารพรัก ถึงแม้เทวดาจะทำผิดก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม มีจิตใจที่เคารพนะ ถ้าเห็นอาจารย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ต่อให้อาจารย์จะมาตีแขน เราก็คงคิดว่าสงสัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมารักษาโรคปวดแขนให้ ใช่หรือเปล่า แต่ถ้าแฟนเรามาถึงมาตีเรา เรารู้สึกอย่างไร อะไรทำไมต้องตีฉันด้วยใช่หรือเปล่า นี่คือความหมายที่อาจารย์พูดให้ฟังว่าถ้าเราเห็นว่าใครมีคุณค่าต่อเรา ต่อให้เขาทำอะไรเรา ก็ดูดีไปหมดใช่หรือไม่ ถ้าหากจิตใจเราไม่ชอบคนคนนี้เป็นทุนอยู่แล้ว มีอคติเป็นทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ดูแย่ไปหมดใช่ไหม (กลับไปทำตัวเป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบพูดมีศีลธรรม มีธรรมะครับ)  เอ..ทำไมวันนี้มีคนรับปากเลิกเหล้าหลายคน (จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม จะทำความดี) ทำความดีอะไรล่ะ (จะปฏิบัติเคร่งครัดต่อศีลห้า) ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อให้เราเห็นเศษขยะที่อยู่บนถนน แล้วเราช่วยเก็บให้ชุมชนของเราสะอาด ก็เป็นการทำความดีต่อสังคมแล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนำความเจริญมาสู่สังคม ถึงจะเรียกว่าทำความดี ให้เราเห็นเศษขยะ เศษใบไม้ เห็นคนไม่มีข้าวกิน แต่เราแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง ก็เป็นการทำประโยชน์ต่อสังคม คนนั้นถ้าเขาไม่มีข้าวกินไปสามวัน เขาจะเป็นโจรไหม เพราะฉะนั้นเวลาเราทำอะไรอย่าคิดว่าเราทำเรื่องเล็กๆ
ทุกอย่างทุกเรื่องที่เราทำ แม้จะเป็นเรื่องนิดเดียวแต่ถ้าเราทำไปด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มันจะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ที่สำคัญต้องเป็นคนอย่ามองโลกในแง่ร้าย ถ้ามองโลกในแง่ร้าย พระอาทิตย์ที่แสบตาก็กลายเป็นสีดำใช่ไหม เมฆมาก็คิดว่าฝนจะตกแล้ว ถ้าตากผ้าอยู่ก็ไม่อยากให้มีใช่ไหม คนเรามองโลกในแง่ร้าย ไม่ดีนะ (จะทานเจไปตลอด)
อาจารย์เมตตาประทานมะม่วงบนโต๊ะพระให้นักเรียนที่ตอบ
เนื้อสัตว์รสมะม่วงเอาไหม (ไม่เอา) พูดว่าทานเจมันง่าย แต่ถึงเวลาแล้วถ้าผักแพง จะรู้สึกอยากทานเจหรือเปล่า ไม่ใช่ รอให้หมูเป็นโรคแล้วค่อยทานเจนะ (จะปฏิบัติตัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่จะบอกครอบครัวว่ามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่ควรปฏิบัติต่อไป) ควรจะอธิบายได้ด้วยว่ามันดีอย่างไร บางคนก็พอใจ ที่คนอื่นบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี พอบอกว่าดีๆ ก็ตามๆ กันไป ต้องอธิบายคำว่าดีให้ออก คำอธิบายที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร คือการปฏิบัติของเรา ปฏิบัติได้ดีจริงๆ มองแล้วหนึ่งเรื่องที่เราทำแค่กตัญญูต่อพ่อแม่ ก็ส่องให้เห็นถึงหลายๆ อย่างในตัวเราใช่หรือเปล่า (ให้ทรัพย์เป็นทาน แนะนำให้ญาติพี่น้องมารับธรรม เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ ไม่ฆ่าสัตว์ ปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งสอน สั่งสอนลูกหลานให้ทำดี กลับไปปรับปรุงเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนแปลงจิตใจให้ดีขึ้น ปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งสอน) อาจารย์สอนอะไรไปบ้าง (ทำดี จิตใจดี กายก็ดี เป็นลูกที่ดีของแม่ และเป็นแม่ที่ดีของลูก ทำตัวเองให้เป็นคนดี ทำดีต่อครอบครัว  ชวนให้แม่มารับธรรมะ ชวนสามีมารับธรรมะ ปฏิบัติต่อครอบครัวให้ดีต่อไป ไปทำตัวที่บ้านให้ดีขึ้นกว่าเก่า ดูแลคุณแม่ ดีต่อครอบครัวทุกอย่าง ไปเป็นแม่ที่ดีของลูก สอนให้ลูกทานเจ) หลายคนเป็นคนพูดเก่ง แต่ว่าทุกคำพูดที่เราพูดไป ก็คือธรรมะ คือหนังสือเล่มหนึ่งที่ให้คนอื่นอ่านเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่พูดเก่ง ต้องรู้จักหัดพูดแต่ในสิ่งที่ดี และพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ชัด และต้องแยกแยะ บางทีจึงไม่ต้องพูดในความจริงบางเรื่อง ฉะนั้นพูดแต่ในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นนั้นเป็นดี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) บางคนบอกว่า ฉันพูดความจริง แต่ว่าความจริงทำให้คนอื่นนั้นมีความทุกข์ บางทีก็ไม่น่าจะพูดใช่หรือไม่ ที่สำคัญคือ ทุกเรื่องที่เราพูดเราต้องรู้ให้แน่ๆ ว่ามันใช่แบบนั้น จึงจะเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว บางทีรู้มากมายดีต่อตัวเราเอง แต่ไม่ดีต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังชั้นล่าง : อาจารย์หวังว่าศิษย์อาจารย์ทุกคนตรงนี้ไม่ใช่ผู้ร่วมฟังทุกปีนะ กลับไปแล้วทำตัวที่ดียิ่งขึ้น เป็นคนดีที่สุขเป็น อาจารย์หวังว่ามาสถานธรรม อย่ามาอย่างคนที่ไม่รู้ธรรมขอให้บำเพ็ญธรรมให้ดี
นับว่าศิษย์ของอาจารย์ในวันนี้จะมาอยู่ที่นี่ด้วยความมึนๆ งงๆ เขาเรียกเรามานั่งทำอะไรก็ไม่รู้ เขาหวังในตัวเราอะไรก็ไม่รู้  คนอาจจะตอบคนด้วยกันไม่ได้ แต่อาจารย์นั้นตอบศิษย์ได้ อาจารย์หวังให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญธรรม อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น อาจารย์หวังให้จิตใจของศิษย์นั้นใสสะอาด บำเพ็ญธรรมฉุดช่วยได้ แม้จะช่วยไม่ได้เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ช่วยไม่ได้เรื่องของการพ้นทุกข์ในฉับพลัน แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นช่วยศิษย์ได้ให้จิตใจนั้นคลายทุกข์ออก และเป็นความสุขที่ถาวร เพราะฉะนั้นอาจารย์หวังอย่างยิ่งให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญธรรม
สิ่งที่ศิษย์ตอบอาจารย์นั้นเป็นแค่ปุถุชนที่ทำตนเป็นคนดีแต่อาจารย์หวังในตัวศิษย์มากกว่านี้  อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นถึงเทวดา เป็นนางฟ้า อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นพุทธะไม่กลับมาเวียนว่ายในโลกนี้อีก ทุกวันนี้ทุกข์ไหม สุขไหม (ช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตในโลกนี้) จะยอมทุกข์อย่างนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์  หรือจะยอมใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายฝืนตนเองขึ้นจากโลกีย์อันนี้ อยู่ที่เราเลือก

(พระอาจารย์เมตตาผู้ดูแลสถานธรรมและเจ้าของสถานธรรม)
หวังว่าวันหน้านั้นอาจารย์มาพบศิษย์อีก  งานสถานธรรมที่นี่ เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์พูดอยากจะพูดทิ้งท้ายสักนิดหนึ่ง สถานธรรมที่นี่เป็นที่ๆ ลงทั้งหยาดเหงื่อแรงกายและน้ำตา ทรัพย์สินเงินทองของใครอีกหลายๆ คน ทุกๆ ปีก็คือคนที่มาจากที่ไกลๆ กรุงเทพฯ มาช่วยงาน ศิษย์รู้ไหมพวกเขามีความเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์นั้นเป็นคนที่มีคุณค่าทั้งต่ออาจารย์และต่อพี่ๆ น้องๆ ของศิษย์เอง อาจารย์อยากให้ศิษย์ไม่ว่าจะผมขาวหรือว่าจะผมดำ เห็นคุณค่าในตัวเองดูให้ชัดๆ มองให้ชัดๆ ที่นี่ต้องการผลประโยชน์อะไรจากศิษย์ นอกจากศิษย์บำเพ็ญธรรมและช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าหากว่าศิษย์นั้นจะมาร่วมอุดมการณ์ในการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นอาจารย์ก็ยินดี อย่าให้คนอื่นเขาช่วยศิษย์โดยที่ศิษย์ไม่ได้ช่วยเหลือตัวเอง คนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องมีปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝน ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ ถ้าหากว่าศิษย์ใช้ปัญญามามองศิษย์ก็จะรู้ว่าที่นี่ต้องการให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมไม่ต้องการอะไรจากศิษย์
นอกจากนี้อาจารย์จี้กงจะจริงหรือจะปลอมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์นั้นจะต้องคิด เพราะอาจารย์มาครู่เดียวอาจารย์ก็ไป ศิษย์จะทำเหมือนอาจารย์ไม่มีตัวตน ไม่เคยอยู่ที่นี่ ไม่เคยมา ไม่เคยเห็นก็ได้ แต่อาจารย์อยากให้เมื่อมีเวลาว่าง ศิษย์อาจารย์ขยัน กลับมาศึกษาธรรมะ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเมื่อสิ้นจากกายนี้ไปแล้วไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่หมายความว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไปนั้นศิษย์ต้องพยายามเป็นคนดีของคน พยายามเป็นคนดีของเทวดา  พยายามเป็นคนดีที่ไม่หวังผลตอบแทน ต้องฝ่าอุปสรรคอีกมาก แต่อย่าเหนื่อย อย่าท้อ เรามากำหนดอนาคตชาติต่อไป ถ้าหากว่าชาตินี้เขาบำเพ็ญธรรม ชาติหน้าเราไม่ตกต่ำเท่านี้แน่นอน อาจารย์รับรอง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ปีใหม่นี้อาจารย์ก็ขอให้ศิษย์เป็นคนดีที่สุขเป็น มีความสุขในชีวิตของเรา พอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอีก มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ แล้วศิษย์ของอาจารย์จะมีความสุขมาก

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ คนดีที่สุขเป็น ”

     มาเรียกร้องให้ตนนับถือความดี สุขในทุกที่ที่เราไปถึง
โดยความห่วงและรักเป็นมือมาดึง คนดีพึ่งคนอื่นแค่ในยามอับจน
ธรรมเป็นยารักษาความใจร้อน ตึงให้หย่อนหย่อนให้ตึงมัชฌิมาผล
สุขด้วยการบำเพ็ญใจตัดเวียนวน จงชนะตนที่ไร้ความแน่นอน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา