วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2544

2544-09-29 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF  2544-09-29-เซิ่งเต๋อ #9.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

พยับแดดทำให้คนตาพร่ามัว อันความกลัวทำให้คนหลงทำผิด
คนยิ่งแยกผิดถูกยิ่งหลงติด มาย้อนมองชีวิตของตนเอง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
มีโชคดีในชาตินี้รู้ทางพ้น น้องกายคนคิดบำเพ็ญบ้างหรือเปล่า
อันทางแท้ไม่ใช่ใช้การคาดเดา แต่ต้องเอาชีวิตจิตใจมาบำเพ็ญ
บ้างยังเห็นบำเพ็ญดั่งทำเล่นอยู่ ฟังธรรมะเข้าหูซ้ายทะลุขวา
ยากจะได้สัมผัสซึ่งความล้ำค่า อันจิตฟ้าปัดฝุ่นให้สะอาดเทอญ
ทำวันนี้ได้ดีที่สุดไหม ชาตินี้มีทุกข์หรือไม่พุทธะถาม
อยากจะพ้นภัยเวียนว่ายที่คุกคาม ต้องพยายามตัดกิเลสเสมอต้นปลาย
คนมีบุญกับพุทธะร่วมชุมนุม จงสุขุมพิจารณาให้ถ้วนถี่
ว่าเพียงพอแล้วหรือไม่เป็นคนดี ขอให้มีจิตเมตตาช่วยเวไนย
ยืมกายปลอมมาบำเพ็ญจิตภายใน กี่คนใสสะอาด ณ จิตเบื้องต้น
ต่างต้นดีปลายร้ายทั่วทุกคน ธรรมแยบยลจึงไม่พาใครพ้นเวียน 
รับธรรมง่ายบำเพ็ญยากลำบากนัก บำเพ็ญง่ายบรรลุจักยากยิ่งแสน
ขอจงตื่นขึ้นจากฝันทุ่มเทแทน บำเพ็ญแม้นชีวิตดับกลับเบื้องบน
สองวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต เป็นนิมิตอันดีงามการเริ่มต้น
จงคงเส้นคงวาในจิตใจตน การดิ้นรนหาเงินทองยากจะพอ
เมื่อจบชั้นไปแล้วยังมาศึกษา เป็นผู้กล้าเพราะกล้าฝ่าอุปสรรค
เป็นผู้รู้เพราะความอ่อนน้อมนัก โลภโกรธรักยิ่งถลำเพราะไม่ถอนใจ
เลือกจะเป็นปุถุชนหรือคนฟ้า จะต้องมากำหนดเสียแต่วันนี้
มีศรัทธาและปัญญาควบคู่ดี และต้องมีรู้ใช้ยามเจอเหตุการณ์
ปัจจุบันโลกร้อนไม่สงบ คนจะรบกับคนทำลายถิ่น
ย้อนมองตนใจรบอยู่ไหมชาวดิน จงเร่งผินสงบใจก่อนเห็นทางสว่าง
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
ความสงสัยจับผิดจงอันตรธาน จงสราญนำที่ฟังไปปฏิบัติ
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องจิตกุศล
อย่ากำหนดจิตใจให้อกุศล จงใช้ตนสร้างโอกาสในยุคปลาย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดพู่กันคุมชั้นเรียนบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  อ.ปราณบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

คนจะดีดีที่ใจใช่หน้าตา คนรวยหนาใช่ที่มากทรัพย์สิน
คนที่ดีดีที่ใจไร้ราคิน เป็นอาจิณคนรวยก็ด้วยน้ำใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
อารยชนยอมรับการขัดเกลา ผู้บำเพ็ญแท้ทุเลาตัวตนนั่น
สลัดกลุ้มความเบาไม่เกิดฉับพลัน การบำเพ็ญผันจิตต้องให้เวลา
บำเพ็ญผิดเน้นวัตถุคนที่รัก คล้ายเมาหนักสับสนทางข้างหน้า
ในทะเลชีวิตนี้คลื่นเทมา คนเหนื่อยโลกหลงว่าตนปราชัย
ยามเหนื่อยเกินไม่ไปฝืนอุปสรรค ควรตระหนักพึงพักมีแรงใหม่
พลังอุ่นดุจแดดแห่งวันใหม่ ไม่ลับลงดินใดในโลกา
กระจ่างแจ้งอะไรทำในวันนี้ ชนะใจให้ดีก่อนเดินหน้า
แบบหญ้าที่เหนื่อยไม่หยุดวัฒนา ธรรมดาถอนรากหยั่งสิ้นจึงยอม
ชีวิตคนชีวิตเปื้อนคำเหยียดหยาม โลกไม่งามซ้ำร้ายต้องถนอม
กระทบดินน้ำตารินอย่าไปตรอม ขอทุกข์หมดสิ้นพร้อมปัญหาจาก
วาระปลายวิบากกรรมหันซึ่งหน้า กระไรยังคิดว่าไกลตนนั่น
ปัญหาวนไม่วายติดกับดัก ปัญญาหลักเมตตารองอย่างเพียงพอ
ฮา  ฮา หยุด


ชีวาไม่มีแน่นอน  แปรไปไม่มีทิศแนวทาง  หวงแหนดวงใจกระจ่าง  ปล่อยวางยุ่งยากในใจ  จงมีจิตใจที่ดี  ความดีจะเป็นเพื่อนเดินไป  เล็กน้อยไม่ปล่อยพ้นใจ  ชะรอยเก็บงำทำลาย
* เมื่อทุกข์ไม่เกิด  ดวงใจไม่ปลง  เมื่อคิดไม่ตก  ดวงใจไม่ตรง  นกอยู่ในกรง  อยากพ้นทนการฝึกใจ
** หากบำเพ็ญต้องรุด  แก้สิ่งใดเคยไม่ดี  ไม่ทิ้งให้เกิดอัตตามากมี  เมื่ออยู่โลกีย์  แต่ไร้การคุมจิตนี้  จะวนต่อไป
เวลาที่ยอมเสียไป  ใครทำอะไรที่คุ้มกัน  หมายมุ่งเต็มแรงบากบั่น  ไม่ปองยึดมั่นเกินไป  คนดีก็ดีเพราะตน  กังวลพลังลดลงไป  ทุกที่ที่เราเข้าไป  ยังมีเรื่องยากรอคอย (ซ้ำ *,**)
ความพร้อมภายในจิตใจ  ความคิดที่เป็นแง่ดี  ฝึกฝนเมตตาไม่เหน็ดเหนื่อยอย่าไปท้อ  ตั้งใจไม่สาย  (ซ้ำ **)

เพลง : เข้าถึงภาวะจิตใจ
ทำนองเพลง : จากคนอื่นคนไกล

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

หากภายในจิตใจของท่านยังมีม่านกังขาลังเลสงสัยอยู่ การที่จะคุยอะไรกันก็คงเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราเดินเข้ามาถึงหมู่บ้าน เจ้าของบ้านเปิดประตูออกมา ภายในบ้านนั้นเจ้าของทำหน้าตาฉงนสงสัยว่ามาทำไม มาเอาอะไร ท่านอยากยืนตรงนั้นแล้วคุยกับเขาหรือว่าท่านอยากจะเดินออกไปจากประตูนี้ ว่าอย่างไร ยังอยากคุยกับเจ้าของบ้านไหม (อยาก)  ฟังดีๆ นะ ถ้าสมมติว่า นี่คือบ้านของท่าน เราเปิดประตูเข้ามา ท่านมองหน้าเราแปลก สงสัย ใครกัน ท่านยังกล้ายืนอยู่ตรงหน้าประตูอีกไหม ถ้าหากว่าเรามาขออะไรจากเขา เราก็คงต้องกล้ายืนต่อใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้มีธุระอะไร แค่อยากมาเยี่ยมเยียน แต่ถ้าเขาทำหน้าอย่างนั้น เราอยากกลับทันทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าเรายังดื้อดึงอยู่ต่อ ท่านจะคิดว่าเรามาขออะไรไหม ในใจก็กลัวจะมาเอาอะไร หรือมาขออะไรจากเรา หรือมาหลอกอะไรจากเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ารู้จักกันแล้ว เคยได้ยินมาบ้างแล้วก็คงไม่กลัว ความกลัวก็ลดลงจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วใครเคยรู้จักเราบ้างหรือยัง (ยัง)
“คนจะดีดีที่ใจใช่หน้าตา  คนรวยหนาใช่ที่มากทรัพย์สิน  คนที่ดีดีที่ใจไร้ราคิน”  เป็นคนดีกันหรือเปล่า ใครเป็นคนดียกมือขึ้น คุณสมบัติของคนดีก็คือ เอาเริ่มต้นง่ายๆ ไม่โกรธง่าย ไม่ตัดพ้อต่อว่า ไม่โลภโมโทสัน ไม่ติดในลาภยศชื่อเสียงหรือแม้แต่ใบหน้าตัวเอง ไหนใครยังบอกว่าตัวเองเป็นคนดี มีอะไรดี (พูดดี คิดดี ทำดี, ใฝ่ดี)  คนทุกคนมักจะคิดว่าตนเองดีแล้ว ตัวเองสวยแล้ว ตัวเองหล่อแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเคยดูเบาดูถูกตัวเองบ้างไหมว่าตัวเองไม่ดี ตัวเองไม่สวย ตัวเองไม่หล่อ มีไหม (มี)  อย่างนั้นต้องพูดเป็นสองกรณี คนไหนที่มั่นใจว่าตัวเองดี ต้องรู้จักชมเชยคนอื่นบ้าง ต้องรู้จักถ่อมตัวอย่างแท้จริงจากใจบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นเขาก็เก่งเหมือนกัน และก็ต้องรู้จักที่จะถอยเป็นผู้ที่เหมือนไม่รู้ไม่เก่งบ้าง เพื่อจะได้ให้เขาที่เคยไม่มั่นใจในตัวเองได้มั่นใจขึ้นว่า ดูซิคนเก่งยังยอมให้คนไม่เก่งอย่างฉันได้อยู่ข้างหน้า เขาจะภูมิใจและปลื้มใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมลดตัวเองไม่เก่งเพื่อให้คนอื่นได้เก่งสลับขึ้นมาบ้าง ผลักดันให้คนอื่นกลายเป็นคนที่เก่งขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร รักในสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างเหนียวแน่น ผูกพันอย่างยึดติดไม่ยอมถดถอยใช่หรือไม่ (ใช่)  เด่นต้องมีหนึ่งเดียว อย่าเด่นหลายคนไม่อย่างนั้นเรียกว่าไม่เด่นจริง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าถามใจลึกๆ ของคนที่เด่น คนที่เก่งนั้น ถามเขาสิ เขามีความสุขไหม ไม่สุขหรอก บางครั้งเขากลับรู้สึกเหงา เพราะไม่มีคนเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  และบางครั้งเขารู้สึกเป็นอย่างไร ในโลกนี้ไม่มีใครเหมาะสมหรือคุยกับเขาได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเขารู้สึกว่าใครๆ ก็ไม่เข้าใจเขา คิดไม่เหมือนเขา ฉะนั้นอย่าคิดว่าเป็นคนเก่งในโลกเป็นคนยิ่งใหญ่ในสังคมจะมีความสุขเสมอไป ไม่แน่หรอก สู้เป็นคนธรรมดาเดินดินไม่ได้ บางทีมีความสุขมากกว่า แต่เป็นอย่างไร คนในอยากออกคนนอกอยากเข้าใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เตี้ยต่ำจนเคยชินก็มักจะไม่มีความสุขในความเป็นคนที่ด้อยค่าไร้ราคา แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะให้คนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ชอบในตัวเอง ไม่มีความสามารถอะไรเลยได้กลายเป็นคนที่มั่นใจขึ้น ไม่ยากเลย ก็แค่บางครั้ง เราเอาวาจาที่ดีนี่แหละให้กำลังใจเพื่อนหรือเอาขนมที่เรามีสักสองชิ้นหรือชิ้นเดียว แบ่งให้คนที่เขาไม่มีขนม เราจะเห็นรอยยิ้มในแววตาเขาและความภูมิใจที่เราทำได้จะบังเกิดขึ้นในกายและใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  และเราจะค่อยๆ มั่นใจทีละนิดว่า เราก็ยังมีดีเหมือนกันนะ เราก็ยังมีสิ่งที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้เหมือนกันนะใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังคำกล่าวที่ว่า ในน้ำโคลนแม้จะสกปรกเพียงใด แต่ก็ยังมีน้ำใสสะอาดเจือปนอยู่ ในโลกมายาที่คุกรุ่นไปด้วยร้อยแปดนานาฝุ่นผงธุลี กิเลส ตัณหา ราคะ แต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งสัจธรรมความจริงแท้ที่รอให้บุคคลหรือมนุษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ไปค้นพบและหาให้เจอใช่หรือไม่ (ใช่)  
ชีวิตคือการต่อสู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนเวลาค้าขาย บางทีมีเงินในกระเป๋าแล้วก็ยังอยากขายอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลามีเสื้ออยู่ในตู้ เปิดออกมาทีไรแน่นตู้ทุกที ก็ยังอยากซื้อมาใส่อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเงินในกระเป๋าหิ้วได้เท่าไหร่  เสื้อที่ใส่ ใส่ได้ทีละกี่ชุด (ชุดเดียว)  มนุษย์เราจึงไม่เคยสามารถค้นพบน้ำใสในน้ำขุ่น  สัจธรรมอันแท้จริงในโลกมายาใบนี้  เราเห็นแต่ว่าชีวิตต้องแก่งแย่ง ต้องแสวงหา ต้องดิ้นรน และต้องไขว่คว้ามาครอบครอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราคือ หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ  รู้จักเราไหม  (รู้จัก)  มีทั้งรู้และไม่รู้ ใช่หรือไม่ ถ้าพูดให้เป็นรูปเป็นร่าง ก็เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถือตระกร้าดอกไม้ พอนึกออกไหม  ถ้านึกออกแล้ว ตอนนี้จะเข้าบ้านได้หรือยัง (ได้แล้ว)  เปิดประตูต้อนรับจริงหรือเปล่า (จริง)  และคงไม่คิดว่าเราจะมาขออะไรนะ คิดไหม (ไม่คิด)  คิดก็ได้นะ เราจะมาขอจริงๆ จะให้หรือเปล่าเถอะ (ขึ้นอยู่กับว่าขออะไร)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีทุกอย่างแล้วจะขออะไรจากท่านล่ะ (ขอให้ประพฤติดี ทำดี)  เอาง่ายๆ ขอให้เป็นคนดีในสังคม ขอให้เป็นคนดีที่มั่นคง  ไม่ใช่เป็นคนดีที่โลเลและเปลี่ยนแปลงง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เป็นคนดีที่พ่ายแพ้ความชั่วร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  วันนี้ถ้ากลับบ้านไปโดนคนตบหน้า ยิ้มไหม (ยิ้ม, ยิ้มไม่ออก)  ขับรถออกไปโดนคนชนรถเรา ยิ้มไหม (ยิ้ม, ไม่ยิ้ม)  ทำไมเริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะ ยิ้มไหม (ยิ้ม)  กลับไปถึงบ้านเจอลูกขอเงินอีกแล้ว เจอสามีไม่อยู่บ้านแอบหนีไปเที่ยวอีกแล้ว เจอลูกหลานมีเรื่องมาให้กวนใจอีกแล้ว ยิ้มออกไหม (ยิ้ม เพราะได้รับธรรมะแล้ว)  ใครยิ้มยืนต่อ  ใครไม่ยิ้มนั่งลง  อย่ามองคนอื่น ตัวท่านทำตัวท่านเอง มีการดูคนอื่น  เห็นคนนั่งก็นั่งด้วย อย่างนี้จะเรียกทำความดีด้วยตัวเองหรือเปล่า
อย่ายึดติดในรูปลักษณ์จนเกินไปนะ ไม่อย่างนั้นเราจะมองไม่เห็นความจริงแท้ เราจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งจริงแท้ที่แฝงอยู่ภายใน  เหมือนวันนี้เรามาคุยกับท่าน หากท่านมัวยึดติดแต่รูปร่าง ยึดติดแต่คำพูดของเราเกือบทั้งหมด มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี  สิ่งที่เราควรจะมองและพิจารณาไตร่ตรองนั่นก็คือ คำพูดในนั้นมีอะไรแฝงอยู่ และต้องการสื่อให้ท่านรู้ถึงสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการคุยกันแล้วมองให้เห็นลึกถึงก้นบึ้งในสิ่งที่เขาพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัจจุบันนี้ มองกัน ฟังกัน สัมผัสกัน ก็เพียงภายนอก จึงทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่า อะไรคือสิ่งจริงแท้ อะไรคือสิ่งลวงหลอก  เมื่อใดที่เรามีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดตามไปด้วย  บางครั้งจะทำให้เรายากที่จะตัดสินใจ เหมือนวันนี้ถ้าเรามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เราต้องเป็นแต้มต่อหนึ่งแต้ม เพราะท่านต้องชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรามาด้วยท่าที่บึ้งตึงและถือมีดอีโต้เล่มโต ท่านเป็นอย่างไร เรากำลังทำคะแนนลบไปหนึ่งแต้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใด บางครั้งส่วนลึกภายในก็สำคัญ  แต่ภายนอกไม่สำคัญเลยหรือ ก็ไม่ใช่  ต้องเกี่ยวเนื่องกันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อตอนต้นเราพูดว่า ในชีวิตแม้จะวุ่นวายสับสน  แม้โลกจะแก่งแย่ง
แข่งขันกันอย่างไร  ก็ยังมีสัจธรรมแห่งชีวิตแฝงให้เราไปประจักษ์พบเห็น  มนุษย์ที่ว่าตัวเองไม่ดี  เป็นคนที่จิตใจดีบ้างไม่ดีบ้าง  แต่ในความไม่ดีนั้นก็เปรียบเหมือนน้ำโคลนที่ยังมีน้ำใสแฝงอยู่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจของทุกคนที่บางครั้งก็บอกว่าตัวเองดี บางครั้งก็บอกว่าตัวเองไม่ดี  ถ้าเรากลั่นกรองดีๆ แล้ว  ความดีในจิตใจเราก็ยังมีอยู่เหมือนกัน  แต่อยู่ที่ว่าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความสกปรกโสมมนั้น  เราจะรู้จักสรรหาหรือว่ากลั่นกรองสิ่งดีมาสู่ตัวเราหรือไม่  เราจะรู้จักกลั่นกรองขัดเกลาจิตใจตัวเองหรือไม่  บางครั้งเราไม่มีทางรู้เลย  ถ้าเราวิ่งวุ่น
ไขว่คว้าอยู่ตลอดเวลา เราจะรู้จักตัวเองและรู้จักสรรพสิ่งแวดล้อมได้ก็ต่อเมื่อเราทำสิ่งใด รู้ไหม (ทำแต่สิ่งที่ดีๆ)  การทำสิ่งที่ดีอาจจะยังไม่สามารถทำให้เรามองเห็นได้อย่างถ่องแท้  ยกตัวอย่าง การเริ่มต้นชีวิตของเราคือการเริ่มต้นสตาร์ทวิ่ง  ตื่นเช้ามาเราวิ่งไปเรื่อยๆ  ยิ่งสว่างมากเท่าไรความเร็วในการวิ่งก็ยิ่งมากขึ้น  พอตกค่ำความเร็วก็ช้าลงๆ แต่หยุดไหม บางทีไม่หยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังเหมือนว่าวิ่งอยู่ตลอดเวลา  ช่วงที่เราวิ่งเราสามารถมองเห็นตัวเรา  เราสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน)  โคลนที่เราบอกว่ามีน้ำใสอยู่เพราะอะไร  เพราะว่าต้องนิ่งก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บนโลกมายาใบนี้เราจะมองเห็นสัจธรรมชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อเราได้สัมผัส เราได้กระทบได้เจอ และจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่เราบอกนั้น  ก็ต่อเมื่อท่าน “หยุด” แค่นี้เอง  หยุดที่จะคิด หยุดที่จะไขว่คว้า หยุดที่จะดิ้นรนแสวงหา  หากให้ท่านวิ่งไปด้วย มองตัวเองไปด้วย เห็นไหม (ไม่เห็น)  การเริ่มต้นย่อมไม่เห็น  แต่ถ้าเกิดว่าคนรู้จักย้อนมองจะมองเห็น  แต่ถ้าให้ท่านในที่นี้มองมักจะมองไม่เห็นว่าตัวเองมีอะไรไม่ดี มีอะไรดี  จนกว่าคนอื่นจะบอกว่า ท่านเป็นคนอย่างนี้  ท่านเป็นคนอย่างนั้น  แล้วเราจึงบอกว่า ใช่ๆ  แต่ช่วงที่เราบอกว่าใช่นั้น  เราต้องหยุดนิ่งไหม (หยุด)  เราต้องคิดไหม (คิด)  โลกใบนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน  เราจะค้นพบภาพจริงแท้หรือสัจธรรมชีวิตอันจริงแท้ได้ก็ต่อเมื่อเราหยุดมองให้แจ่มชัด  แต่หยุดมองแล้วบางครั้งเราก็มองไม่แจ่มชัด  เพราะตาเราพร่ามัว ใจเราหม่นหมอง  หยุดอย่างเดียวจึงไม่พอ  หยุดแล้วยังต้องใสสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราใสสะอาด นั่นก็คือ เราไม่กังวลถึงผลประโยชน์ เราไม่กังวลเรื่องอารมณ์  เราไม่กังวลเรื่องอัตตาตัวตน  ถ้าสามอย่างนี้เราไม่กังวลในใจ  ใจเราจะใสขึ้นๆ  แต่ถ้าสามอย่างนี้ยังข้องเกี่ยวและฉุดรั้งใจ  ใจเราจะไม่มีวันใส  ตาเราจะยังพร่ามัวเมื่อมองทุกๆ สิ่งในโลกนี้ จริงไหม (จริง)  อย่างเช่น ถ้าเราชอบดอกไม้พันธุ์หนึ่ง  แต่ดอกไม้อีกพันธุ์หนึ่งไม่ชอบ  เมื่อถึงเวลามอง เราจะเห็นความแตกต่างได้แจ่มชัด  ที่เราชอบ เราจะเห็นข้อดีมากกว่าที่เราไม่ชอบ เวลาเรามองเราจะมองได้เที่ยงตรงหรือว่าเอนเอียง (เอนเอียง)  เมื่อเรามองได้เอนเอียงไม่เที่ยงตรง  เราจะดำรงอยู่ได้เป็นสุขหรือว่าไม่สุข (ไม่สุข)  เมื่อไม่สุขเรายังจะอยากเป็นหรือว่าไม่อยากเป็น (ไม่อยากเป็น)  ก็ไม่อยากเป็น  สิ่งนั้นเราต้องตัดทิ้งทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราตัดทิ้งอะไรไปได้บ้างแล้ว  ยังมีชอบยังมีชังอยู่ไหม (มี)  ยังมีรักยังมีเกลียดอยู่ไหม (มี)  อย่างนี้ไม่ใสหรอกนะ เมื่อไม่ใสจะสุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขอะไร ไม่สุกสกาว จริงไหม  บางคนบอกว่าแม้ไม่ใสเราก็สุขได้  สุขแบบขุ่นๆ สุขแบบดันทุรัง สุขแบบดื้อรั้น  สุขแบบตัวฉันเอง ใครจะทำไม ใช่ไหม (ใช่)  พอทุกข์ก็แอบทุกข์แบบเก็บเอาไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าการดำเนินชีวิต และการรักตัวเองที่ถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก)  กายนี้กว่าเราจะอบรมบ่มเพาะให้เป็นคนๆ หนึ่งได้  กว่าเราจะสั่งสมความรู้ เป็นคนที่ยืนอยู่ในสังคมได้ ใช้เวลานานไหม (นาน)  แต่ทำไมจึงชอบทำร้ายตัวเอง   รู้ว่าหวังแล้วจะผิดหวัง  ก็ยังหวัง  รู้ว่ารักแล้วจะเกิดทุกข์ก็ยังรัก  รู้ว่าหลงแล้วจะยึดติดก็ยังหลง  รักตัวเองไหม (รัก)  ถ้าไม่รักก็คงฆ่าตัวตายไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีที่ท่านยังรักตัวเองอยู่
ในอารมณ์ของมนุษย์เรามีสองจำพวก  จำพวกหนึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายดี  จำพวกหนึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายร้าย  อารมณ์ฝ่ายดีมีอะไรบ้าง (ให้อภัยกับทุกคน, อารมณ์ขันและร่าเริง, ใจกว้าง, ยืดหยุ่นกับผู้อื่น)  อารมณ์มนุษย์เรามีฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี  หากมีอะไรมาสัมผัสกับตัวเราแล้วปล่อยให้อารมณ์เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายนี้เป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  เหมือนมีอารมณ์โกรธมากระทบใจเรา เราก็โกรธทันที  มีอารมณ์ชอบมากระทบใจเรา เราก็รักทันที  มีอารมณ์เกลียดมากระทบใจเรา เราก็เกลียดทันที สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราจะทำอย่างไร (ปล่อยวาง)  บางครั้งให้ปล่อยทันที ให้อุเบกขาข่มก็ข่มยาก ใช่ไหม (ใช่)  ยังไม่ต้องปล่อยวางก็ได้นะ เรามีวิธีหนึ่ง ช่วยเราคิดก่อนเร็ว  (สงบและนิ่ง, ความอดทน, มีสติ)  มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อมีสติรู้แล้วทำอย่างไรถึงทำให้รู้ต่อไปว่า จะชกหรือไม่ชก จะให้อภัยหรือปล่อยวาง  จะทำหรือไม่ทำ (ปัญญา)  ปรบมือให้หน่อยนะ  แต่บางครั้ง คนเรามีสติยั้งคิด มีปัญญาไตร่ตรอง แต่เวลาตัดสินบางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็ล้มเหลว  เพราะว่าขาดอะไร  หากเราจะเป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตน  รู้จักคิด และรู้จักใช้สติปัญญา  สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ “คุณธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทั้งสามสิ่งนี้รวมกันเรียกว่า “การหยั่งรู้”  ไหนผู้บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญมาตั้งนานได้หยั่งรู้บ้างหรือไม่  อะไรมากระทบก็ไปทันที  อะไรมาโดนใจก็หุนหันพลันแล่น  ตัวท่านได้หยั่งรู้ตรงนี้บ้างหรือไม่  ไม่มีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเหมือนคนที่วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง หรือกำลังควบม้าควบไปเรื่อยๆ แสวงหาสิ่งโน้น แสวงหาสิ่งนี้ ไขว่คว้าสิ่งโน้น ไขว่คว้าสิ่งนี้  แต่พอเจอหินตกลงมา เบรกทันที เป็นอย่างไร  บางครั้งเบรกไม่ได้ เท้ายังคงซอยอยู่  ใจยังทำใจไม่ได้เพราะยังหวังอยู่ เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีแบบนี้เกิดขึ้นกับตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความหยั่งรู้จึงไม่เคยได้บังเกิด  บางครั้งจะบังเกิดก็ต่อเมื่อได้ทุกข์จนถึงก้นบึ้งแห่งความทุกข์  เราจึงได้หยั่งรู้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเป็นอย่างไร ไม่น่าใจร้อน ไม่น่าเอาแต่อารมณ์  ไม่น่ากังวลแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าจนลืมนึกถึงความโชคร้ายที่จะตามมาภายหลัง ไม่น่าโมโหโกรธา หุนหันพลันแล่นไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราน่าจะช้าอีกสักนิดหนึ่ง  เวลาน่าจะหยุดอีกสักหน่อยหนึ่ง แต่ใครล่ะจะแก้ไขได้  ดอกไม้เมื่อบานแล้วไม่มีวันที่จะกลับมาหุบอีก  มนุษย์เราเมื่อเจริญเติบโต ก้าวผิดก้าวถูกแล้วจะถอยหลังแล้วหยุดมองได้ไหม (ไม่ได้, ได้)  ถอยหลังไม่ได้ แต่หยุดมองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   นี่คือใช้ปัญญาสติยั้งคิด  หักห้ามจิตใจ  บางครั้งใช้คุณธรรมก็แล้ว  อุเบกขาก็แล้ว มุทิตา เมตตาก็แล้ว ก็ยังข่มใจไม่ลงเพราะว่าอะไร  บางครั้งขาดสติ บางครั้งขาดปัญญา  บางครั้งขาดใจกล้าที่จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)   บางครั้งรู้ว่าคนหกล้มต้องช่วยประคองแต่มือมันไม่กล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก แค่เดินไปถามว่าเป็นอะไรมากไหม  คันปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเราทำไม่ดี ทำไมเราไม่ปิดปากบ้างล่ะ  เวลาเรามองคนอื่นไม่ดีทำไมไม่ปิดตาบ้างล่ะ ได้ไหม  เราเป็นอย่างไร  ยิ่งไม่ดียิ่งเบิกกว้าง  ยิ่งเรื่องร้ายยิ่งง่ายต่อการอ้าปากพูด ถูกต้องหรือเปล่า (ถูก)  ยังถูกอีกหรือ  ถูกที่เราเป็น แต่ไม่ถูกที่ควรจะเอามาเป็นเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม เพื่ออะไร  เพื่อให้เราหยั่งรู้ชีวิตที่แท้จริงและดำเนินชีวิตที่แท้จริงนี้ให้ถูกหนทางและมีความสุข  นี่แหละคือการบำเพ็ญ  เริ่มต้นง่ายๆ  หยั่งรู้ทุกขณะที่คิด  เข้าใจทุกขณะที่กระทำ และเท่าทันกับทุกขณะเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบและสัมผัสตัวเรา   ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า “บำเพ็ญ”  และถ้าทำได้ถึงขนาดลืมอัตตาตัวตน ไม่โกรธ  ไม่หลง ไม่รักจนเกินไป ไม่หลงอย่างหน้ามืดตามัว  นี่เรียกว่า ก้าวขึ้นไปสูงอีกระดับหนึ่ง  แต่เราก็ยังอดไม่ได้  ทำดีแล้วต้องมีคนชม  ทำดีแล้วคนห้ามว่า  ทำดีแล้วทุกคนต้องเห็นด้วย ห้ามไม่เห็นด้วยเด็ดขาด  ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอไม่เห็นด้วยเราประท้วงทันที  ไม่ทำแล้ว  เราเลิกทำทันที  เราบอกว่าอยู่เฉยๆ ดีกว่า  ไม่ดีไม่เลวดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผู้นับถือศาสนาพุทธอย่าลืม พระพุทธองค์สอนว่าอะไร หลักของศาสนาพุทธ “ทำความดีละเว้นความชั่ว”  ขาดไปวรรคหนึ่งรู้ไหม “และหมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนนับถือพุทธมักนับถือกระท่อนกระแท่น  จำวรรคเดียว ทำวรรคเดียว  ถนัดวรรคไหน ทำวรรคนั้น  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถนัดละเว้นชั่ว แต่ทำดีนั้นไม่ค่อยถนัด  ทำจิตใจให้ผ่องใสอย่าพูดถึงเลยท่าน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า (ไม่ถูก)  ถ้าทุกคนเลือกแต่จะละเว้นชั่ว ไม่ทำดี  โลกนี้จะมีคนดีเหลืออยู่ในสังคมไหม (ไม่มี)  ทุกคนละเว้นชั่วแต่ไม่ช่วยพ่อแม่ล้างจาน  งานทำเสร็จแล้วแต่ไม่เก็บ  วางระเกะระกะ  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าทุกคนเอาแต่ละเว้นชั่ว แต่ความดีไม่เคยคิดทำ  จิตใจผ่องใสไม่เคยชะล้าง  อย่างนี้เรียกว่านับถือพุทธศาสนาได้หมดไหม (ไม่หมด)  เมื่อเราจะเป็นคนดีในสังคม  เราต้องละเว้นชั่วและหมั่นทำดี  ช่วงที่ทำดีและช่วงที่ละเว้นชั่ว อย่าลืมชะล้างจิตใจให้ผ่องใส  ไม่ใช่ทำดีไป ในใจก็บอกว่าต้องได้ดีสิ  ต้องมีคนชม  ทำบุญสิบบาท ขอเกือบร้อยบาท  ซื้อลอตเตอรี่ เต็มใจซื้อได้  แต่พอจะทำบุญ  รู้สึกเงินออกจากกระเป๋ายากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซื้อเสื้อผ้า ไม่ว่าแพงแค่ไหนก็ต้องซื้อ ต้องเลือกดีๆ  แต่เวลาทำดี อย่าเพิ่งได้ไหม เอาไปสิบบาทก่อน  อย่างนี้แปลว่าเรารักความสวยงามภายนอกมากกว่ารักความดีที่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นอีกไหม (ไม่เป็น)  ต่อไปจะหักจากเงินซื้อเสื้อผ้ามาเป็นอะไร (เงินทำบุญ)  โดยเฉพาะสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ โอกาสทำบุญง่ายหรือยาก (ง่าย, ยาก)  มีทั้งง่าย และมีทั้งยาก  ถ้าคิดมากก็ยากหน่อย จริงไหม  ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็เป็นอย่างไร (ง่าย)  ค่อยๆ มองเห็นใจตัวเองชัดขึ้นบ้างหรือยัง ว่าบำเพ็ญแล้วดีขึ้นหรือถอยหลัง  บำเพ็ญแล้วยังย่ำอยู่กับที่หรือว่าก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ
“เมื่อทุกข์ไม่เกิด  ดวงใจไม่ปลง  เมื่อคิดไม่ตก  ดวงใจไม่ตรง”
สองวรรคนี้ใครเข้าใจบ้าง มนุษย์เรารู้จักคำว่า “ปลง”  ตอนที่เราได้ค้นพบความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราจึงคิดไม่ตก  ก็เพราะใจเราไม่เที่ยงตรง  ถ้าใจเราเที่ยง เราจะชักหน้าพะวงหลังไหม (ไม่)  เราจะกล้ำๆ กึ่งๆ ไหม  เราจะคิดได้ตกทันทีถ้าใจเราเที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะไม่รู้สึกว่าอันนี้ก็อยาก อันนี้ก็จะเอาจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราคิดได้ตรงเที่ยง  รู้ถึงความเหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความสุข เกิดจากอะไร เกิดจากภายในจิตใจ สัมผัสบอกรวมกันเกิดมาเป็นอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์โกรธ รัก โลภ หลง ดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์  แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แม้จะมากระทบใจเรา  แม้จะมาสัมผัสภายในใจเรา  แต่ถ้าใจเรารู้จักหยั่งรู้ ดึงปัญญา สติและคุณธรรม มาควบคุมและไตร่ตรอง  การกระทำและการดำเนินชีวิตของเราจะสามารถผ่านทุกๆ อย่างไปได้อย่างราบรื่น  และจะเข้าใจในทุกข์ ไม่หลงยึดติดในสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้หรือไม่ (ได้)  การดำเนินมีอยู่สองสิ่งที่ไม่ยาก  หากเราจะพูดให้ง่ายเข้าไปอีก คือ ให้เท่าที่จะให้  ให้สิ่งที่ดี ให้คำพูดที่ดี ให้ความคิดเราคิดดีๆ ให้ใจเราบริสุทธิ์  มนุษย์เราสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข  ไม่กลัวคนร้าย ไม่กลัวอันตราย  เพราะถ้าใจเราบริสุทธิ์ ใจเราดีแล้ว  แม้อะไรจะเกิด ปล่อยให้เกิดไป แม้อะไรจะเป็นก็ปล่อยให้เป็นไป  เพราะอะไร เพราะเข้าใจโลกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงสามารถปลงตกและมองชีวิตได้ออก  ใจจึงใสและไม่มีอะไรหน่วงเหนี่ยวกักขัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักให้อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ให้อภัย  คนเรามีความทุกข์เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  มีความทุกข์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครหนีพ้น  แต่ถ้าเมื่อใดเราสร้างศัตรูขึ้นมาอีก  เรากำลังเพิ่มทุกข์ให้กับตัวตนเอง จริงหรือไม่ (จริง)  เรามีคนที่เราเกลียดเข้ามาอีก เราจะเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง  เพราะเมื่อใดที่เรามีศัตรู มีคนที่เกลียด มีคนที่ไม่ชอบ มีคนที่ทำอะไรไม่ถูกใจ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์หนึ่งคือ ระแวง  ทุกข์สองคือ อยู่กับเขาได้ไม่สนิทใจ  ทุกข์สามคือตัวตนเองสร้างทุกข์ แต่แก้ทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราย้อนคิดกลับไปว่า คนทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ คนทุกคนในโลกนี้ล้วนมีดีมีไม่ดีเหมือนๆ กัน  เรารักคนดี  แต่ในใจลึกๆ เราก็รักธรรมชาติที่ดีและไม่ดีของคนด้วย  เราจะเกลียดเขาไม่ลง จริงไหม (จริง)  ถ้าเรารักแต่ดี  แต่ไม่ยอมรับธรรมชาติของตัวมนุษย์  เช่นนี้เราจะเกลียดทุกๆ คน  เพราะทุกๆ คนมีไม่ดีหมด จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรามีจิตใจที่ใสแล้ว  เรายังมีจิตใจที่รักในความเป็นธรรมชาติของเขา  รักในความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง  เราจะไม่รู้สึกว่าอะไรชอบ อะไรชัง  อะไรเกลียด อะไรรัก จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าหวังถ้าหวังแล้วต้องทุกข์  เพราะว่าผิดหวัง  มีใครหวังหรือเปล่า  ในโลกนี้แม้เราจะหยั่งรู้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปคาดหวัง อย่าไปมุ่งหวัง แต่เราก็ยังอดมุ่งหวังไม่ได้  เพราะความหวังคือแสงทองของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อหวังแล้วอย่าลืมเผื่อใจไว้ผิดหวังด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มาดูบทกลอนก่อนดีไหม  ตอนต้นเรากล่าวไว้ว่า ชีวิตคือการต่อสู้   แต่บางครั้งถ้าเราสู้จนไม่มีแรงจะสู้  แล้วยังฝืนที่จะต่อสู้  ย่อมไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง  ถ้าบางครั้งเหตุการณ์หรือภาวการณ์ตอนนี้ต้องให้เรานิ่งเฉย  เราก็ควรที่จะหยุดนิ่งและเพิ่มศักยภาพให้กับชีวิตของตนเอง  ว่าเพราะอะไรเหตุการณ์จึงเป็นเช่นนี้  เพราะอะไรเราจึงต้องหยุด  เมื่อหยุดจงค่อยๆ คิด และค่อยๆ มองชีวิตอะไรคือ “การหยุด”  บางครั้งให้ท่านหยุดตอนนี้ หยุดทำงานย่อมเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หยุดภาระหน้าที่ย่อมทำไม่ได้แล้ว “หยุด” ของเราในความหมายนี้คืออะไร  นั่นก็คือ การรู้จักมีชีวิตที่เรียบง่าย  พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  เมื่อใดที่เรารู้จักดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย  พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  เมื่อนั้นเราจะเริ่มเห็นใจคน  แต่ถ้าเมื่อใดเรายังแสวงหาดิ้นรนและไขว่คว้า  เมื่อนั้นเราจะไม่เห็นใจใคร  ทุกๆ คนคือศัตรูเราหมด  ทุกๆ คนคือผลประโยชน์ของเราหมด  ทุกๆ คนคือกำไรและดอกเบี้ยของเราหมด จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เรารู้จักที่จะพอเพียง  รู้จักที่จะหยุดในการดิ้นรนแสวงหา  รู้จักที่จะหยุดในอารมณ์โลภ โกรธ หลงบ้าง  เราจะมีใจมองเห็นความเป็นจริงของชีวิต  มองเห็นตัวตนที่แท้จริงและมองเห็นธรรมชาติที่สวยงาม  ปัจจุบันนี้ใครเคยเห็นฟ้าแล้วรู้สึกว่า สวยจังเลย  มองเห็นต้นไม้แล้วรู้สึกร่มเย็นอยากนั่งอยู่เฉยๆ บ้าง มีไหม (มี)  บางครั้งพอจะนั่งก้นก็ร้อนแล้ว  พอจะมองก็มองไม่ออกแล้ว  เพราะไม่มีเวลาที่จะมอง  มองอย่างไรฟ้าก็เป็นฟ้า สวยไม่ขึ้นสักที  ใช่หรือไม่  ทำไมเราไม่มีโอกาสชื่นชมความเป็นธรรมชาติ  ทำไมเราจึงไม่มีโอกาสเติมความเป็นธรรมชาติให้กับจิตใจของเรา  เรามัวแต่ปรับเสริมเติมแต่งอยู่ทุกวัน  ปรับให้สูงขึ้น  แต่งให้งามขึ้น  เสริมให้ดีขึ้น  แต่ปรับแต่งเสริมอย่างไรก็สู้ธรรมชาติที่โตด้วยธรรมชาติไม่ได้  สวยตกแต่งกับสวยแบบธรรมชาติเอาแบบไหน (ธรรมชาติ)  ฉะนั้นถ้าตื่นมาสะบัดๆ ออกไปข้างนอกไม่ต้องหวีผม ได้ไหม (ไม่ได้)  ดีไหม (ไม่ดี)  ตอนแรกเราสอนท่าน  เราบอกท่านว่าต้องรักษาความเป็นธรรมชาติ  แต่ความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงคือธรรมชาติที่เหมาะกับภาวะการณ์ของธรรมชาตินั้นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอากาศร้อนๆ ท่านใส่เสื้อแจ๊กเก็ตหนาๆ ใส่เสื้อขนสัตว์ดีไหม  ใช่ธรรมชาติที่ถูกต้องกับธรรมชาติไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอากาศร้อนเราต้องร้อนตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอากาศหนาวเราต้องหนาวให้เหมือนอากาศ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราสอนท่านว่าเป็นอะไร ให้เป็นธรรมชาติ  ฉะนั้นห้ามเป็นศิษย์ล้างครู  ต้องฟังแล้วรู้จักพลิกแพลงให้เท่าทัน  แม้อากาศร้อนความเป็นธรรมชาติในการอยู่กับอากาศร้อนก็คือ พยายามปรับตัวตนให้ใจเย็น  เมื่อยามอากาศหนาวเย็นต้องทำตัวเองให้กระฉับกระเฉง  จะได้ไม่เกียจคร้าน ถูกหรือไม่ (ถูก)  นี่คือการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องแบบธรรมชาติและไปด้วยกันอย่างงดงาม  จริงไหม (จริง)  มีไหมที่อากาศร้อนแล้วต้นไม้เอาเสื้อมาคลุม ออกใบไม้สีจางๆ ได้หรือเปล่า  ยิ่งอากาศร้อนใบไม้ยิ่งสีเข้ม  อากาศหนาวใบไม้ยิ่งสีอ่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันย้อนกลับมาดูที่ตัวเรา  อากาศร้อนใจเราต้องเย็น  อากาศเย็นใจเราต้องกระฉับกระเฉงไม่ใช่ง่วงนอนต่อใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เป็นโอกาสที่ดี เราอธิบายไปแล้วรู้ไหมว่าเราอธิบายวรรคไหน
“กระจ่างแจ้งอะไรทำในวันนี้ ชนะใจให้ดีก่อนเดินหน้า
แบบหญ้าที่เหนื่อยไม่หยุดวัฒนา ธรรมดาถอนรากหยั่งสิ้นจึงยอม”
เคยสังเกตเห็นต้นหญ้าไหม  แม้จะถูกตัดกี่ทีหญ้าก็ยังคงขึ้นต่อใช่หรือไม่(ใช่)  แม้หินจะทับแต่พอเรายกหินออกหญ้ายังมีอยู่ไหม (มีอยู่)  หญ้าจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อหมดสิ้นรากแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ท่านดำเนินชีวิตเป็นคนดีบำเพ็ญตัวเองเป็นคนดีของสังคมเหมือนอย่างต้นหญ้าที่ไม่หวั่นแม้คนตัด ไม่กลัวแม้คนทับถม ยังคงเจริญงอกงามอยู่ตามสภาวะที่เหมาะสมและกำลังตัวเองที่ทำได้ เป็นเรื่องยากเกินไปไหม ทำแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อมีโอกาสจงเอาโอกาสที่ดีนั้นฉุดช่วยคน ให้เขาได้รู้ทางที่ดี เฉกเช่นที่ท่านได้รู้ ยุคนี้เป็นยุคสามแล้ว พระอนุตตรธรรมมารดา หรือ แม่ผู้ให้จิตวิญญาณของทุกๆ คนได้บัญชาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาฉุดโปรดเวไนยสัตว์ให้รู้ตื่น เมื่อไรที่หยั่งรู้แท้ชีวิต เมื่อนั้นชีวิตจะตื่นขึ้น แต่เมื่อหยั่งรู้ชีวิตอย่างแท้จริงแล้วจงตื่นขึ้นและไม่หลับอีกต่อไป อย่าตื่นแล้วกลับไปหลงอีก ชนะแล้วจงชนะแล้วก้าวต่อไป ชนะอะไรล่ะ ชนะที่ใจตัวเอง อะไรล่ะที่แพ้ กิเลส ตัณหา กามราคะ ตัดให้หมดสิ้น อย่าให้มาทำร้ายกายและใจของท่านอีกต่อไปเลย จงรู้จักดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและดีงามพร้อมกับมีคุณค่าต่อบุคคลอื่นด้วยทำได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่หรือไม่ในการบำเพ็ญตัวเอง แต่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือหมั่นขยันอย่าเกียจคร้าน มนุษย์เราถ้าขยันทำงานมากเกินก็เครียดก็เหนื่อย แต่ถ้าเอาแต่นอนหลับพักผ่อนมากเกินก็เกียจคร้านใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหาความสุขมากเกิน ไม่เคยสนใจไม่เคยช่วยใคร นั่นเขาเรียกว่าทำตัวไร้คุณค่า แม้หญ้าก็ยังใหญ่ยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าสู้ไม่ได้แม้กระทั่งหญ้าหรอกนะ ไม่ดีเลย ใช่หรือเปล่า
วันนี้ก็คงจบเพียงแค่นี้แล้วในสิ่งที่เราอยากฝากฝังไว้ ขอให้เมธีทุกๆ ท่านคิดไตร่ตรองให้ดีว่าที่จบไปนั้นหรือที่เราได้กล่าวไปนั้นเอาไปใช้อะไรได้บ้างกับชีวิตและเอาไปฝึกฝนบำเพ็ญกับตัวเองได้อย่างไร หากจะเป็นพุทธะต้องเป็นได้ทั้งกายและใจ และพุทธะคืออะไรล่ะ พุทธะคือผู้ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง รู้จักตัวตนที่แท้จริง เข้าใจชีวิตอย่างท่องแท้ อย่าเป็นผู้ยิ่งบำเพ็ญธรรม ยิ่งถอยหลัง ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งไม่เข้าใจชีวิตเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ยิ่งบำเพ็ญยิ่งก้าวไป ตัวเรายิ่งเข้าใจมากขึ้น ความมั่นคงในการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมยิ่งหนักแน่น อย่าเป็นคนที่ไม่เข้าใจแม้กระทั่งตัวเองดีหรือตัวเองไม่ดี และอย่าบำเพ็ญแล้วรู้ว่าตัวเองไม่ดี แต่ก็ยังแก้ไขให้ดีขึ้นไม่ได้ เช่นนี้ก็เรียกว่าบำเพ็ญยังไม่ก้าวหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าทุกคนย่อมมีเรื่องยากที่จะผ่านได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าไม่หัดปล่อยวางบ้าง ทำจิตใจให้เบาใสบ้าง คิดแต่ในด้านดีบ้างเราก็จะตัดไม่ได้ ปลงไม่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาตัวเองยังไม่หมด แถมยังมีวิบากกรรมโถมซัดเข้ามาอีกแล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านจะมีชีวิตรอดได้ไหม ก็ย่อมยากใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราดูแลตัวตนเอง บางครั้งก็ยังดูแลได้ไม่ดี จิตใจทะนุถนอมให้งดงามบางครั้งก็ยังเว้าๆ แหว่งๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังต้องดูแลผู้อื่นอีก ยังมีผู้อื่นที่อยู่ใต้ความดูแลของเราอีก อยากให้เขาเคารพเรา เราต้องทำตัวให้น่าเคารพ ถ้าเราไม่ทำตัวให้น่าเคารพ ใครล่ะจะเคารพเรา อยากให้เขาเห็นความสามารถของท่าน อยากให้เขานับถือท่าน ตัวท่านทำให้น่านับถือหรือยัง มีความสามารถเพียงพอหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้องพระที่นี่ต้องฝากไว้กับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับเห็นห้องพระเหมือนอะไร ประชุมธรรมครั้งหนึ่งก็มากันครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ แค่ขับรถมาไม่กี่ชั่วโมงมาช่วยไหว้พระมาช่วยกันส่งเสริม ปัดกวาดให้ห้องพระสะอาดสะอ้าน มาช่วยทำให้ห้องพระมีความสว่างไสว เรากลับสละไม่ได้ เรากลับไม่ยอมมีชีวิตที่เรียบง่าย เรายังอยากที่จะมีชีวิตที่ฟุ้งเฟื้อ เรายังอยากที่จะมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่อยากที่จะมาเสียสละตัวเองทำให้คนอื่นใช่หรือเปล่า  ถ้าคนทุกคนในโลกนี้ไม่คิดที่จะเสียสละทำเพื่อใครบ้าง คนในโลกนี้จะสูญพันธุ์ได้ไวจริงไหม (จริง)  จริงนะ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะค่อยๆ หดหายไป เพราะว่าอะไรล่ะ เพราะว่าพ่อแม่จะไม่ดูแลลูก ลูกจะไม่เลี้ยงพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  พี่น้องจะไม่ซื่อสัตย์ต่อกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงฝึกจิตใจ ให้เท่าที่เราจะให้ได้ ทำในสิ่งที่โลกขาดหายไป เติมในสิ่งที่เว้าแหว่งให้กับโลกใบนี้ นี่แหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ว่าห้องพระเงียบเหงา ช่วยมาเพิ่มความสดชื่น รู้ว่าห้องพระขาดคนดูแล ช่วยมาเพิ่มให้การดูแล ให้การเอาใจใส่ อย่าเกี่ยงงอนกัน ถึงแม้ไม่ใช่เวร แต่ว่าวันนี้เราว่าง วันนี้เรานึกถึง วันนี้เราอยากไหว้พระ เรามาหาพระ ไม่ใช่มาหาใคร เราทำให้พระ ไม่ใช่ทำให้ใครใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขณะที่ทำให้พระ ทุกขณะที่ใจมีพระ ท่านนั่นแหละคือพระ แต่ถ้าทุกขณะคิดอิจฉา ทุกขณะคิดเอาแต่ได้ ทุกขณะคิดถึงแต่ตน ท่านนั่นแหละยังเป็นปุถุชน บำเพ็ญไปก็เสียเปล่าจริงหรือไม่ (จริง)  เริ่มต้นเรามาด้วยท่าทีที่นุ่มนวล แต่กลับไปต้องมีบทเด็ดขาดบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนก็เหมือนกัน บางครั้งต้องรู้จักอ่อนนุ่ม และบางครั้งต้องรู้จักเข้มแข็งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าอ่อนแอและอย่ากล้าแกร่งอย่างที่ไม่ควรจะกล้าถูกหรือไม่ (ถูก)  เราทิ้งบทเพลงกับบทกลอนนี้ไว้เป็นข้อเตือนใจ อย่าปล่อยให้บทเพลงและบทกลอนนี้เป็นสิ่งไร้ค่าที่ผ่านตาแล้วก็ผ่านไป จงทำให้มีค่าและจงทำให้บทกลอนและบทเพลงนี้สะท้อนและดึงจิตใจของท่านขึ้นมาให้ได้ ดึงอะไรขึ้นมาให้ได้ล่ะ ดึงความเป็นพุทธะ ความเป็นคนดีที่ไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นก้าวต่อไป ไม่มีใครร้ายเกินเราอีกแล้ว และก็ไม่มีใครดีสู้ท่านได้อีกแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกสัมพันธ์กันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่โลกนี้มีความสุขใช่เรื่องยาก อาจารย์ฝากใครยังทุกข์คิดดูใหม่
สุขและทุกข์เท็จและจริงอยู่ที่ใจ อะไรไกลอะไรใกล้อยู่ที่คนมอง
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ดีใจที่เห็นหน้าศิษย์ในวันนี้
มนุษย์คุ้นมีเปลือกไปเป็นเกราะ การกะเทาะหมายเร่งคนบำเพ็ญหนอ
เพียงยินยอมติดดินจิตละออ ความจริงใจมีต่อทุกชีวัน
ตั้งใจจะฝึกฝนจิตกลายสับสน ชนะคนมีเปลือกด้วยยอมเท่านั้น
ปัญหาชอบแต่เรื่องแตกแยกกัน ปัญญาตันโอ้อวดคนด้วยกำลัง
ครรลองกว้างธรรมมีคนจึงเจริญ วาจาไม่แข็งเกินส่วนรวมตั้ง
อาวุโสนำตนก้าวตามรวมพลัง นิสัยยังเอาแต่ใจได้อย่างไร
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ร้องเพลงแบบนี้เขาเรียกว่าร้องแบบมีใจ แต่ไม่มีการฝึกฝน ใช่หรือเปล่า ฝึกร้องเพลงบ่อยไหม (บ่อย)  ร้องแบบนี้เรียกว่าร้องผิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วผิดคืออะไร ไม่แน่ว่าคนที่เริ่มศึกษาธรรมะอาจจะงงน้อยกว่าคนข้างหน้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่รู้ไหมว่าบางทีเรามองเฉพาะว่าเขาบำเพ็ญธรรม เพราะว่าเขามีใจที่จะช่วยคนอื่นมาก อย่างบางคนกว่าจะมาวันนี้ได้ถูกดึงมากี่ครั้ง บางคนมาด้วยความรำคาญเต็มที่ แล้วแต่ว่าคนที่เขาเรียกเรามาก็เรียกมาด้วยความเมตตา อยากให้เราฟังธรรมะ อยากให้เรารู้เหมือนกับที่เขารู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรารำคาญคนเมตตาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ตอนนี้ใครงงมากกว่ากัน เวลาที่อาจารย์พูดหมายความว่าเราทุกคนมาสถานธรรมก็เพื่อการฝึกฝน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้อาจจะยังไม่รู้ว่าธรรมะนี้ดีหรือเปล่า ถึงรู้ก็ไม่ค่อยแน่ใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีตาของเราก็เอาแต่มอง มองคนที่อยู่ข้างหน้าแล้วก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าเราเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญไม่ได้ดีไปกว่าเราเลยใช่หรือไม่ แล้วเราดีกว่าคนบำเพ็ญหรือไม่ อาจารย์พูดวนไปวนมาฟังแล้วศิษย์ก็งง เพราะว่าชีวิตคนเกิดมาก็เกิดมาอย่างงงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็รวยแล้ว เกิดมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จนแล้ว ยังไม่รู้ว่าตัวเองเจอปัญหาหรือไม่ ก็มาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่รู้ว่าปัญหาจะจบลงอย่างไร ก็เกิดความหยิ่งยโสในโชคชะตาที่เรารู้สึกว่าเฟื่องฟูและรุ่งเรือง  พอช่วงนี้เศรษฐกิจตกเราไม่อยากจะตกสะเก็ดเลย แต่มันตกไปแล้ว เราก็ตกลงมาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่อยากเป็นคนที่จนเลย เราก็จนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่อยากเป็นคนที่หยิ่งยโสเลยแต่เราก็เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราไม่อยากเห็นว่าทองสำคัญ แต่มันก็สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าชีวิตนี้เกิดมาไม่มีใครกำหนดอะไรได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีสิ่งเดียวที่เรากำหนดได้คืออะไร เขาบอกว่าตั้งท้องเก้าเดือน พอเก้าเดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าเกิดวันไหน  บางคนเกิดก่อนกำหนด บางคนเกิดหลังไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เดี๋ยวนี้ต้องผ่าอย่างเดียวถึงตรงกำหนดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แน่ใจหรือไม่ว่าผ่าออกมาแล้วแข็งเรง (ไม่แน่ใจ)  มีอย่างเดียวที่เรากำหนดได้คืออะไร (ความดี, ความชั่ว, กำหนดการกระทำ)  สิ่งที่เรากำหนดได้อย่างเดียวก็คือการกระทำของเราถูกหรือเปล่า (ถูก)  สมมติว่าเราไม่ชอบจะทำสิ่งนี้ แต่ว่าตามหน้าที่แล้วเราต้องไปทำ ถามว่าเราจะทำหรือไม่ทำอยู่ที่ใคร (ตัวเรา)  ใจชอบหรือไม่ชอบอยู่ที่ใคร  สิ่งที่เราจะไปลงมือกระทำกรรมดีและกรรมชั่วอย่างที่ตอบมา เป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหมว่าคนทำดีแล้วได้ดี (เชื่อ)  แน่ใจหรือไม่ (แน่ใจ)  ซื้อหวยแล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าหากว่าทำดีแล้วต้องซื้อเลขซื้อหวยแล้วต้องถูกใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนดีกินเหล้าแล้วต้องไม่เมาใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนที่ทำอย่างนี้อยู่เรียกว่าคนดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะว่าเราไม่สามารถกำหนดการกระทำของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเราเป็นคนดีแต่เราไปทำสิ่งที่เป็นอบายมุขจะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นคนที่เป็นคนดีก็ต้องห่างไกลอบายมุข ไม่ใช่บอกว่าเราเป็นคนดี เรากำหนดการกระทำได้ แต่ว่าเผื่อฟลุค เผื่อถูก เผื่อว่ากินแล้วจะไม่เมา  คนที่ไปกินเหล้ามีใครคิดว่าไปกินแล้วเราจะไม่เมาไหม กินแล้วก็เมาทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสที่อยู่ในตัวเรา ความอยากได้ใคร่รู้ การลักขโมย การที่เราชอบสิ่งใดและไม่ชอบสิ่งใด เกลียดคนไหนและไม่เกลียดคนไหน
เมื่อเราเข้าไปใกล้แล้วเราจะพ้นไปจากความเกลียด ความพ่ายแพ้ได้ไหม (ไม่ได้)  พูดง่ายๆ ก็คือหากว่าเราเข้าไปใกล้กิเลสและรับกิเลสมาเป็นส่วนหนึ่งของเราเมื่อไร เราก็จะติดอย่างไม่มีทางที่จะปลดได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และถามว่าทุกคนมีกิเลสไหม ทุกคนเป็นคนดีไหม  ถ้าหากว่าเปรียบห้องๆ นี้เป็นโลกใบหนึ่ง โลกใบนี้ คนในห้องนี้ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนดีหรือเปล่า เมื่อวานนี้ตอบไปตอบมาคนที่เป็นคนดีเหลืออยู่คนเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนดีหนึ่งคนนี้จึงต้องเหนื่อยมากเป็นพิเศษในการที่จะช่วยให้คนอื่นเป็นคนดีตาม หรือว่าคนดีคนนี้บอกว่าคนไม่ดีมากมายเหลือเกิน อย่างนี้เราก็ไม่ดีตามดีหรือเปล่า อย่างนี้เรียกว่าปากไม่ตรงกับใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะเราคิดว่าจะเป็นคนดีแต่พอออกไปข้างนอกแล้ว ลมมันพัดแรงไปหน่อยก็เลยปล่อยไปตามลม กระแสน้ำไหลแรงไปหน่อยอยู่กลางกระแสน้ำก็เลยปล่อยเลยตามเลยไม่มีใครคิดจะฝืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเห็นคนจำนวนมากเป็นคนไม่ดี มนุษย์โดยส่วนใหญ่ก็คิดว่าเราก็คงจะเอาชนะไม่ได้ คนไม่ดีตั้งเยอะแยะจะเป็นคนดีอยู่คนเดียวได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างหน้าก็เลยออกแรงมากไป ดูๆ แล้วเป็นคนน่าเบื่อ ใช่หรือเปล่า  กินเจก็แปลกแล้ว มาดึงเราจนน่ารำคาญแปลกไหม (ไม่แปลก)
เมื่อครู่ใครบอกว่าเขางง ตอนนี้เขาไม่แปลกแล้ว  เพราะว่าเขาตั้งใจจะเป็นคนดี ใช่หรือเปล่า มนุษย์ทุกคนต่อให้เป็นคนมีสติมากที่สุด ก็มีสิทธิที่จะทำผิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีคนที่ตั้งใจทำอะไรมากไปก็มักจะทำอะไรผิดพลาด แต่ในตอนนี้ก็คือให้ศิษย์ดูว่าสิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูก อาจารย์ถามว่าไม่มาฝึกร้องเพลงบ่อยๆ ผิดใช่ไหม  มีคนข้างหน้าบอกว่าผิด อะไรคือผิด  ถ้าจะผิดก็ผิดที่ว่างแล้วไม่มา
สถานธรรม ผิดที่มีโอกาสไม่เร่งคว้าไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาก็มาขายหน้าครั้งหนึ่ง นี่ยังไม่เป็นความผิดแต่ก็ไม่งามเท่าไร เพราะไม่สร้างความชำนาญให้ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนจะมองว่าเป็นคนเรียบร้อยได้อย่างแรกดูอะไร (ดูการแต่งกาย ดูกิริยามารยาท)  การที่เรามาบำเพ็ญธรรมแล้วเราชำนาญในสิ่งที่เป็นความถนัดของตนเอง อย่างเช่น เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็ต้องชำนาญในการบำเพ็ญ บำเพ็ญโดยชำนาญ ชำนาญอย่างไร บำเพ็ญให้ไปถึงจิตใจของเรา ให้มันสะอาดที่จิตใจของเรานั่นเรียกว่าผู้บำเพ็ญที่ชำนาญ ใช่หรือไม่ หากว่าเรามาบำเพ็ญธรรม จิตใจของเราก็สะอาดดีอยู่ แต่เวลาพูดก็พูดไม่สวยสักที คำพูดการกระทำก็เหมือนกับกิริยามารยาท ความชำนาญในสิ่งที่เราถนัดอย่างเช่น เรามีหน้าที่ร้องเพลง เป็นคนที่ถูกมอบหมายมาให้ร้องเพลงนำพาบรรยากาศ ก็ต้องชำนาญในการร้องเพลง นั่นเรียกว่าเสื้อผ้าของผู้บำเพ็ญ เหมือนกับเป็นแม่ครัวถ้าทำกับข้าวไม่อร่อยจะเรียกว่าแม่ครัวเต็มปากเต็มคำได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้เราเรียกตัวเองว่าเป็นคนนำร้องเพลงได้เต็มปากเต็มคำไหม (ไม่) เพราะทุกคนร้องได้แต่ไม่มีความพร้อมเพรียง สะท้อนไปถึงการที่เราทำงานด้วยกันทุกวันนี้ก็ไม่มีความสามัคคีกัน ฉะนั้นถ้าศิษย์ข้างหน้าไม่เป็นแบบอย่างที่ดีคนข้างหลังก็หมดหวัง ทุกๆ คนมีความสำคัญเท่าๆ กัน ทุกๆ คนมีความดีเหมือนๆ กัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องถนัดในสิ่งที่เป็นความชำนาญของเรา  สถานธรรมหนึ่งหลังก็เหมือนบ้านหนึ่งบ้าน คนที่ทำครัว คนที่กวาดบ้าน คนที่ซ่อมเสียงเพลงในบ้าน คนที่เก็บกวาดเช็ดถู หลายอย่างหลายหน้าที่ แล้วแต่ศิษย์จะเลือกความชำนาญ ใช่หรือไม่
ทุกวันนี้เราอยู่อย่างคนที่มีความทุกข์ จงอย่าหาความทุกข์เพิ่มให้กับตัวเรา อยู่กันด้วยความสามัคคีรักใคร่กัน เป็นสุดยอดของความสุข เป็นความสุขง่ายๆ ที่เราหาได้  แต่แปลกที่คนชอบจะอยู่กันอย่างแตกแยก ความสุขก็ไกล ความสุขง่ายๆ ก็ไม่มี มีแต่ความสุขยากๆ  หันมาถามนักเรียนในชั้นทุกวันนี้เป็นคนสุขยากหรือสุขง่าย คนที่มีความสุขง่ายๆ เป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ถามว่ามีข้าวกินทุกมื้อไหม (มี)  สุขหรือยัง เห็นไหมว่าเราไม่อยากได้ความสุขง่ายๆ เลย เราอยากกินข้าวทั้งอิ่มและอร่อย ใช่หรือเปล่า  ไม่อร่อยก็กินข้าวไม่ลง ความสุขนี้ยากไหม ถามว่าในหนึ่งวันมีอาหารมื้อไหนอร่อยที่สุด โดยประมาณหนึ่งวันมีสักมื้อหนึ่งที่อร่อยไหม (มี)  ถ้ามีสักมื้อหนึ่งที่อร่อยแสดงว่าเป็นคนยุ่งยาก  เพราะว่าจะต้องทำให้อร่อยให้ได้ ต้องไปเพ่งเล็งทำให้มันอร่อย ใครบอกว่าสามมื้ออร่อยหมดทุกมื้อ อิ่มหมดทุกมื้อ มนุษย์ไม่อยากจะได้ความสุขง่ายๆ มีแต่หาความสุขยากๆ เช่นการกินวันหนึ่งกินสามมื้อเสียเวลาไปกับการกินมากมาย แต่ยังไม่มีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทุ่มเทเวลาลงไป ใช่หรือไม่  วันหนึ่งใครได้อาบน้ำสองครั้ง ใครเงินทองไม่ขาดมือ เห็นไหมว่าคนเราถ้าอยากมีความสุขก็มีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขหาง่ายไหม (ง่าย)  มีข้าวกิน มีน้ำอาบ ถือว่าเป็นความสุขง่ายๆ ถือว่าโชคดีกว่าคนตั้งมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ยกมือครบทั้ง ๓ ครั้ง คือ ทั้งเรื่องกิน อาบน้ำ และเรื่องเงิน เป็นคนที่มีความสุขที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอยู่แค่ ๑๑ คน แสดงว่าคนส่วนใหญ่ทุกข์ใจ  คนที่มีความสุขเพราะตนเองอยากมีความสุข  ดูคนที่ยกมือว่าตนเองมีเงิน  บางคนที่ไม่ยกมืออาจจะมีเงินมากกว่า แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองนั้นมีเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรืออาจจะกังวลมากเกินไปว่า หากยกมือแล้ววันหลังจะมีผลกระทบ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากแสดงตนว่ามีความสุข เพราะถ้าแสดงว่าตนเองมีความสุขแล้วจะอยู่ไม่รอด เดี๋ยวความสุขจะลดหายไป  ไปคิดให้ดีนะผู้อยู่ข้างหน้า อะไรคือผิด อะไรคือถูก จะได้ไม่ว่าผู้อื่นทำผิดและเราทำถูก เพราะไม่แน่ว่าผู้ที่อยู่ตรงนี้อาจจะทำถูก และเราทำผิดได้ทุกเมื่อ ใช่ไหม (ใช่)  คนที่อยู่รอบข้างที่บำเพ็ญมาก่อน บางทีชอบบอกว่าคนอื่นทำผิดและเราทำถูก  แต่จริงๆ แล้ว ถูกผิดคืออะไร  ชีวิตนี้ไม่มีอะไรมากำหนดได้ว่าอะไรถูกหรือผิด  ถ้าหากว่าต้นไม้ต้นใหญ่ดูสูงแล้วเรียกว่าถูก  ต้นหญ้าต้นเตี้ยเรียกว่าผิด  วันหนึ่งต้นหญ้านี้ยังยาวเท่าเดิมก็ยังผิดอยู่  แต่ต้นไม้ต้นใหญ่ถูกตัดถึงโคน เตี้ยกว่าต้นหญ้าอีก แล้วอะไรคือผิด อะไรคือถูก  คนสายตายาว มองเห็นไกลๆ ชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคนสายตาสั้น มองใกล้ๆ ก็ยังบอกว่าไม่ชัด  เพราะฉะนั้น อะไรไกล อะไรใกล้ อะไรถูก อะไรผิดนั้น บางทีก็ไม่สามารถระบุได้  หากว่าเราอยากอยู่อย่างสันติ ก็คล้อยตามกันไปในเรื่องที่เราคิดว่าพอจะอะลุ่มอล่วยได้  นี่เป็นวิธีการอยู่อย่างมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  สามีบอกว่าผิด ภรรยาบอกว่าถูก จะทะเลาะกันไหมคู่นี้ (ทะเลาะ)  ทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  สามีควรจะยอมภรรยา หรือภรรยายอมสามีดี  อาจารย์เห็นว่าอยู่กันจนแก่เฒ่าก็ยังไม่มีใครยอมใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมาจนโตอยู่ในบ้านก็ไม่มีความสุข เพราะพ่อแม่ก็มีแต่บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอแต่งงานมีสามี ภรรยา และลูก ก็ยังไม่มีความสุขอีก เพราะอะไร  เพราะชะตาเป็นอย่างนี้หรือเราไม่รู้จักยอม (เพราะตัวเรา)  สมมติถ้าฝ่ายภรรยาเห็นว่าถูก และฝ่ายสามีเห็นว่าผิด  ฝ่ายสามีที่ยอมมีอยู่กี่คน  และฝ่ายภรรยาที่ยอมมีอยู่กี่คน  ดูแล้วพอๆ กัน  คนที่ยังไม่ยอมยังมีอยู่เยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็ยังไกลอยู่ นี่ขนาดยังไม่รู้ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่  ถ้ารู้รายละเอียดว่าเป็นเรื่องอะไรคงจะไม่ยอมเลย  และเราจะเอาหัวของเราไปชนฝา และดันกำแพงไว้  ถ้าจับได้ว่าใครผิดคาหนังคาเขา  เช่นนี้มีความสุขไหม (ไม่มี)  อยากจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็ต้องรู้จักยอม ยอมอย่างเดียวไม่พอ และไม่ใช่ยอมไปอย่างนั้น  ต้องมีใจอภัยด้วย  เพราะใจอภัยจะทำให้มีความสุข  ใครเคยอภัยคนบ้าง  คนที่ยังคิดไม่ออกว่าเราเคยอภัยคนหรือไม่ อาจารย์ว่าเราคงต้องกลุ้มใจไปอีกนาน
ดีใจที่เห็นหน้าศิษย์ในวันนี้  การที่เรียกให้ศิษย์มาบำเพ็ญธรรม ก็เพราะว่าต่อให้ศิษย์ทุกๆ คนนี้เป็นคนดี โลกนี้ก็ไม่สงบลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งศิษย์เป็นคนที่ไม่ดี โลกนี้ก็ยิ่งร้อนมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปรียบไปแล้วตอนนี้ก็เปรียบอาจารย์สร้างน้ำไปดับไฟ  แต่อาจารย์ไม่รู้ว่าน้ำที่อาจารย์สร้างขึ้นมาแต่ละเม็ด ก็คือศิษย์แต่ละคนนั้นจะระเหยไปเมื่อไหร่  บางคนนั้นสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่มีความร้อน ที่มีอารมณ์กลั่นตัวกลายเป็นน้ำได้แล้ว  แต่วันดีคืนดีก็เอาอารมณ์เผาตัวเองกลายเป็นไอไปอีก  ทำให้อาจารย์ต้องไปตามกลับมาเพื่อเรียกให้ศิษย์เป็นน้ำอีกครั้งหนึ่ง  น้ำอันนี้เป็นเหมือนน้ำอมฤต  ศิษย์ทุกคนเป็นน้ำอมฤตหนึ่งหยดให้โลกนี้  หากว่าเรานั้นเป็นคนดี โลกนี้ก็มีสันติสุขมากขึ้น  ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้โลกสงบขึ้นมาได้  แต่เราก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างเราใจเย็นได้  เมื่อใจเย็นแล้วสักวันหนึ่งก็กลายเป็นน้ำอมฤต  ทุกวันนี้ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นรอบข้าง  ภัยพิบัติต่างๆ บางส่วนศิษย์เป็นคนช่วยกันสร้าง  บางส่วนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นสร้าง  หากเราอยากให้โลกนี้สงบมากขึ้น ก็คือเราต้องเป็นคนดีมากขึ้น  ฉะนั้นการเป็นคนดีจึงไม่ได้หมายความอยู่แต่ตัวเอง  แต่การเป็นคนดีหมายถึง การที่ช่วยให้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โตเกิดขึ้นด้วย  เราเป็นคนดีในบ้าน เท่านี้ประเสริฐหรือยัง (ยัง)  ก็คงจะประเสริฐในสายตาคนในบ้าน  แต่หากว่าเรามีความสามารถมากกว่านั้น  ก็ไปช่วยคนให้มากขึ้น  คนที่เราเข้าไปช่วย ก็เหมือนกับศิษย์ที่มองคนที่ไปชวนศิษย์ตั้งแต่ตอนต้นว่าเขาดูน่าเบื่อ น่ารำคาญจริงๆ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนบำเพ็ญดีกว่า หรือตัวเราดีกว่ากันแน่  เรามักคิดว่าตัวเราดีกว่าคนที่บำเพ็ญ  แต่อย่างหนึ่งที่เราแพ้เขาก็คือ ความกล้าเผชิญ ความเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้  ก็หมายความว่าทุกคนต่างเป็นคนดี  คนที่คิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว  บางทีศิษย์ต้องมองว่า ดีเพื่อตัวเองหรือดีเพื่อทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราดีเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว ญาติพี่น้องยังไม่พอ  ดีแบบช่วยคนที่ไม่ใช่ญาติเรา คนที่ไม่ใช่พี่น้องเรา ทำได้ไหม (ได้)  
แต่คนที่ช่วยผู้อื่นอยู่เสมอมักจะโดนคนอื่นว่าไม่ดี จะโดนว่ายุ่ง  โดนว่าอะไรอย่างนี้อยู่บ่อยๆ  ฉะนั้นคนที่ไม่ดีทั้งหลายต้องเร่งบำเพ็ญให้มากขึ้น  บำเพ็ญมากกว่านี้จะได้เป็นคนที่ดีมากกว่านี้ ดีไม่ดี (ดี)  ถ้าหากว่าวันไหนเราเป็นคนไม่ดี  คนรอบข้างเป็นคนดี  อาจารย์ว่าอย่างนี้ไม่น่าชื่นชม  ช่วยกันดีให้ทั้งห้อง ดีหรือไม่ (ดี)  ช่วยกันดีให้ทั้งโลก ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนเป็นลูกโซ่หนึ่งลูก  ลูกโซ่หนึ่งลูกเป็นอย่างไร  ก็เป็นลูกนี้เกี่ยวลูกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นลูกโซ่หนึ่งลูก  ให้ยกมือขึ้นมาเกี่ยวกับคนข้างๆ  คนข้างหน้าเกี่ยวต่อไปถึงคนข้างหลังไหวไหม  แค่บอกให้เราเกี่ยวไปเกี่ยวมา  มันก็มีขาดเป็นช่วงๆ แล้ว  แสดงว่าให้เราสามัคคีกันก็เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องมีคนที่คอยเดินดูว่ามีตรงไหนขาดไป  สิ่งนี้เปรียบเหมือนเป็นหน้าที่ของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม  เราต้องมีตากว้างๆ มองดีๆ มองให้เห็นลึกถึงปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้น  เราจะมองไกลๆ แล้วสรุปง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ รู้ไหม  ศิษย์เป็นลูกโซ่ที่จะช่วยเวไนยในโลกนี้ให้กลับคืนขึ้นฝั่งได้  ถ้าวันไหนศิษย์เมื่อยหรือเหนื่อยแล้วปลดลูกโซ่จากตัวเองแค่เพียงหนึ่งห่วง  ก็หมายความว่า ปลดคนที่ต่อจากเราไปหมด  ถึงแม้ว่าคนที่ต่อจากเราเขาจะยังมีห่วงดีอยู่  แต่เราคนที่อยู่ตรงกลางปลดการเชื่อมของตนเองออกแล้ว ก็คือไม่สามารถจะนำให้ใครขึ้นฝั่งได้
บำเพ็ญธรรมมั่นคงแล้ว มีใจศรัทธา และมีปัญญา ทำงานธรรมะอย่างคนที่มีสติ เพราะว่าทุกวันนี้ฟ้าดินเร่งรีบ  ตอนนี้ภัยที่ศิษย์ไม่ได้สร้างกำลังมา ความเดือดร้อนคงไม่เท่านี้แน่ แต่ว่าไม่ต้องตกใจ เป็นทหารตายในหน้าที่ก็มีเกียรติ 
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากว่าเราตายไปเพราะว่าเราเป็นคนดีและเราทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว คุ้มหรือไม่ (คุ้ม)  หากว่าปลอดภัยตายอยู่ในบ้านคุ้มหรือเปล่า (ไม่คุ้ม)  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์คิดดีๆ  ทุกวันนี้ศิษย์เป็นทหารปกป้องอะไร ปกป้องความดีของโลกนี้ เพื่อให้ความดีของโลกนี้ไปหลั่งรดไฟแห่งภัยให้ดับลงให้ได้ อาจารย์ปรารถนาให้โลกนี้สงบสุขมากกว่า หากไม่ปรารถนาให้โลกสงบสุขก็คงไม่ลงมาโลกนี้  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาความสงบสุขในใจของตัวเอง อย่าเป็นคนที่ใจร้อน อย่าเป็นคนที่ร้อนรน อย่าเป็นคนที่เห็นหน้าตาสำคัญกว่า อย่าเป็นคนที่ถือทิฐิ บางเรื่องนั้นจบลงง่ายๆ  ด้วยคำว่า “อภัย”  แต่เรานั้นอภัยแค่ปากแต่ใจเราไม่อภัย ก็เป็นการยากที่จะทำให้สิ่งต่างๆ  ดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนบำเพ็ญก็คือ ทำให้ความดีผุดออกมาจากในใจของตัวเองให้ได้ แล้วให้มาหล่อเลี้ยงข้างนอก อย่าให้มีแต่เปลือกนอกแต่ในใจนั้นแห้งแล้ง ทำได้ไหม (ได้)  คนบำเพ็ญนั้นไม่ใช่ทุกๆ วันมุ่งมั่นแต่การช่วยคนอื่น บางทียังต้องย้อนมาช่วยตัวเองด้วย เหมือนที่อาจารย์พูดตั้งแต่ต้นบอกว่ามีความสุขไหม ความสุขหายากไหม ที่อาจารย์พูดในตอนต้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกๆ วันใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนบำเพ็ญก็จำเป็นที่จะต้องใส่ใจตัวเองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นคนจิตป่วย เพราะว่าเรากำลังจะบำเพ็ญจิต จึงต้องทำจิตใจให้แข็งแรง จิตใจไม่แข็งแรงช่วยคนอื่นได้ไหม ร่างกายไม่แข็งแรงช่วยคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีเงินทองช่วยคนอื่นได้ไหม (ได้)  ตอนนี้ก็ไม่มีใครมีเงินในกระเป๋ามากใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนก็ไม่ได้รวยเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรายิ่งไม่มีเงินก็ยิ่งดีใหญ่ ยิ่งจนก็ไม่ต้องไปเฝ้าเงิน  ชีวิตก็มีเวลามากขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  อาจารย์ว่าจนไม่เป็นไรแต่อย่ามีหนี้ มีหนี้เป็นเงินไม่เป็นไรแต่อย่ามีหนี้เป็นกรรม มีหนี้เป็นเงินก็ใช้ด้วยเงินยังสบาย มีหนี้เป็นกรรมใช้ด้วยอะไร ใช้ด้วยชีวิต  อย่างบางคนที่เห็นอยู่ตรงนี้ก็วิ่งไม่ทันกรรมแล้ว กรรมเหมือนคลื่น เวลาไม่มาก็มองเห็นอยู่ไกลๆ  เวลามาก็โดนตัวแล้ว ซัดเราจนยืนไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นก็ต้องบำเพ็ญ ต้องวิ่งให้เร็วๆ  บำเพ็ญธรรมต้องไม่ใช่เช้าชามเย็นชาม แต่บำเพ็ญธรรมคือการทำจิตใจตัวเองให้สะอาด หมั่นช่วยคนอื่นด้วยจิตใจที่ไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้เรียกว่า “กุศล”  และถ้าหากว่าเรามีสติยั้งคิดมากเท่าไร พอคลื่นมาอาจารย์ก็สอดเรือเข้าไปช่วย สบายไหม (สบาย)  แต่พอศิษย์ของอาจารย์ช้า อาจารย์ไม่รู้จะทำอย่างไร หมดชีวิตนี้ก็กลับมาอยู่กับอาจารย์แล้วกันอย่างนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ช้าดีหรือว่าช้าดี (เร็ว)  เร่งรีบอย่านอนใจ กลับฝั่งได้ด้วยกุศล อย่ามัวแต่สร้างกุศลตั้งเยอะแยะ แต่เป็นกุศลที่ตอนอยู่ในโลกนี้ขอไปหมดแล้ว สร้างไปเท่าไรก็ขอให้ได้อันนี้ อย่างนี้กุศลจะเหลือหรือไม่ (ไม่เหลือ)  ตอนอาจารย์ให้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วเป็นอย่างไร กลับ
ไม่ได้ต้องลงมาสร้างใหม่เพราะกุศลยังไม่พอ
คนเรามีชีวิตขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย คนตั้งมากมายอยู่ในโลกนี้ คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าทำดีทำอย่างไร คนที่เขาจะทำความชั่วเขาก็ไม่คิดจะทำความดี ก็คิดแค่ว่าเอาประโยชน์ไว้พอ คือตัวเองดีเท่านั้นพอ ไม่ได้คิดว่าทำไปใครเดือดร้อน ฉะนั้นเราเป็นคนโชคดีแค่ไหนที่เกิดมามีสติ เขาเรียกมาฟังธรรม แสดงว่าเราเป็นคนมีธรรมะ แล้วเราจะมาหน้าไหว้หลังหลอกทำไม เราก็ฟังธรรมะ แล้วถ้าศิษย์เห็นว่าดีก็ลงมือทำ ไม่เสียเวลาเกิดมาชาตินี้ บางคนเห็นว่าดีแต่ไว้ก่อน ถามว่าศิษย์ตายวันไหนรู้ไหม (ไม่รู้)  จำเป็นไหมที่คนอายุห้าสิบไปแล้วถึงมีสิทธิตายได้ ถามว่าตอนนี้เรามีสิทธิตายได้ไหม (ได้)  ชีวิตวันนี้ก็ดับได้ เหมือนที่เขาพูดเล่นๆ  ว่าไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็ตายได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอน เราจะอยู่ในโลกนี้ก็อยู่ให้มีคุณค่า ทุกวันผ่านไปก็มีคุณค่า
เวลาที่เราออกตัวไปชวนคนมารับธรรมะ  ในสังคมจะมีคนอยู่หลายระดับ  ระดับที่มีชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศ  ถ้ามีสิ่งเหล่านี้แต่ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์  เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “เปลือก”  เวลาที่เราจะคุยกับเขา จะเอาชนะเขาได้ไหม การที่จะคุยคือการที่จะต้องรู้จักยอม ยอมในสิ่งที่เรายอมได้ อย่าไปเถียง อาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนยอมคน แต่ไม่ได้สอนให้ศิษย์เป็นคนยอมแพ้  ฉะนั้นหากได้คุยกับคนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะ เมื่อพูดธรรมะให้ฟัง เขาย่อมต้องไม่ฟังอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  การยอมจึงเป็นวิธีหนึ่ง  บางคนถนัดแต่พูดเถียงไปเรื่อย ๆ แล้วชนะไหม (ไม่ชนะ)  แต่ถ้ามีคนตั้งท่าจะมาทะเลาะกับเราแล้วเราเงียบเสีย เราชนะไหม (ชนะ)  ไม่แน่เขาอาจจะแปลกใจว่าทำไมวันนี้เราเงียบผิดปกติ
คนที่ฟุ้งซ่านมากๆ เป็นคนที่ช่วยยาก คนที่จะช่วยเขาได้คือใคร คือตัวของเขาเองเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อเราตกอยู่ในภาวะของคนที่ฟุ้งซ่านเมื่อไรจงรีบช่วยตัวเอง ถ้าปล่อยให้อยู่ในอารมณ์ฟุ้งซ่านหนักๆ นานๆ ก็เหมือนตกนรก นรกอยู่ไหน (ในใจ)  สวรรค์อยู่ที่ไหน (ในอก)  อยากขึ้นสวรรค์หรือลงนรก (สวรรค์)  อยากขึ้นสวรรค์ก็ต้องขึ้นเอง อยากลงนรกก็ช่วยไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทบนกระดาน)
เวลาเราตกใจบางทีคนก็ไม่รู้ว่าตกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นนี่จึงเรียกว่าการควบคุมตนเอง แม้เรื่องของการตกใจหรือไม่ตกใจก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกกับเราได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนปราณบุรีมีคนใจร้อนหลายคน บางทีทำอะไรก็ด้วยความตกใจ ห้ามด้วยความตกใจ ยิ้มด้วยความตกใจ ร้องไห้ด้วยความตกใจ เพราะฉะนั้นความตกใจจึงเป็นอารมณ์ที่ไม่ได้มอบสิ่งที่ดีๆ ให้แก่เรา เป็นสิ่งที่เราก็ต้องตัดเหมือนกัน แม้เป็นสิ่งย่อยเล็กน้อยในการอยู่ร่วมกันของคน ซึ่งบางทีคนเขาไม่รู้ว่าในใจเราคิดอะไร เหมือนกับไม่รู้ว่าเราเกิดอารมณ์เช่นไรในตอนนี้ เคยไหมตกใจจนไปพูดให้คนอื่นงงเล่น เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากให้คนเก่าคิดดูให้ดีๆ
บางทีศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ใกล้เกลือกินด่างนะ มองแต่ความเสื่อมที่เกิดขึ้น แต่ไม่มองความรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ บางคนบวชพระเพราะเป็นธรรมเนียมประเพณี แต่อย่าลืมว่าในจำนวนนั้นก็มีคนที่บวชด้วยความศรัทธาและมุ่งหมายจริงๆ  อาจารย์ไม่รู้ว่าโลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรจึงกลับตาลปัตร อยากให้ศิษย์ยังคงความศรัทธาเชื่อมั่น คนที่สวมจีวรแล้วก็ยังเป็นบุคคลที่น่าเคารพ เพราะว่าคนที่เสื่อมมีอยู่ไม่กี่คน ยุคสมัยนี้มีทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และชอบให้ข่าวน่าสนใจ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่าฟังใช่หรือไม่ เรื่องดีๆ พูดกันอยู่พักหนึ่ง เรื่องไม่ดีพูดกันนาน แสดงว่าเรามีนิสัยไม่ดี อาจารย์จึงอยากให้ระวัง 
(พระอาจารย์เมตตากับอาจารย์บรรยายธรรมที่ดำเนินรายการหน้าชั้น)
เวลาที่เราพูดต้องระวัง บางครั้งเราพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้  เราก็ต้องดู
นักเรียนในชั้นด้วย ครั้งนี้พูดไม่เป็นการลบหลู่ก้าวก่าย แต่บางทีคนเป็นไปโดยไม่รู้ตัว  ศิษย์อยู่ในประเทศที่เป็นเมืองพุทธ  จึงต้องระวังไว้  อย่าทำสิ่งใดที่ไปกระทบ  ไม่เช่นนั้นภัยจะกลับเข้ามาหาศิษย์เอง  คนที่มีหน้าที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมทุกท่านจึงต้องระมัดระวัง  อาจารย์ขอห้ามไม่ให้พาคนที่เป็นพระภิกษุสงฆ์หรือแม่ชีมาฟังธรรม  เพราะว่าการบำเพ็ญในแต่ละสายไม่เหมือนกัน  ทุกๆ สายก็สามารถนำไปสู่การบรรลุหรือหลุดพ้นได้เช่นกัน  เขาสามารถที่จะบำเพ็ญในแง่ที่เขาทำอยู่แล้วไปให้ถึงที่สุด  แต่ถ้าทำไม่ได้จึงกลับมาทางนี้จะดีกว่า  ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะให้เขาไปถึงที่สุด  ก็เหมือนกับเรากักเขาไว้  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  การบำเพ็ญแต่ละที่แต่ละอย่างนั้นดีอยู่แล้ว  การบำเพ็ญขอให้บำเพ็ญจริงๆ ทุกๆ ทางก็พาไปสู่ความหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน เข้าใจตรงตามนี้ไหม (เข้าใจ)
เวลาที่น้ำหนึ่งถังรั่วรูใหญ่ๆ หรือเล็กๆ (เล็ก)  ถ้าปกติเราไม่ใส่ใจก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราปล่อยให้รั่วไปเรื่อยๆ  เป็นอย่างไร (ใหญ่)  กลับกันเอาน้ำไปอยู่ข้างนอกแล้วกะละมังเป็นเรือ เรือรั่วใหญ่หรือเล็ก แล้วเรือธรรมนี้รั่วหรือไม่ รั่วหรือไม่ก็ตอบกันเอง ที่เรือรั่วเพราะว่าเราปล่อยสถานธรรมร้างมากเกินไป ตอนนี้ก็ดีขึ้นนิดหน่อย หรือว่ารั่วที่ใจของเรา เรือที่อยู่ในหัวใจ คุณธรรมที่อยู่ในหัวใจของเราเป็นเรือที่ไม่แข็งแรงก็อาจจะรั่วได้  อาจารย์พูดไปพูดมาก็อยากให้สามัคคีกัน ถึงไม่มีคนใหม่อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าคนเก่าๆ  ที่อยู่ด้วยกันขอให้รักกัน
กลมเกลียวกัน สามัคคีกัน คุยกันได้ไหม  ศิษย์ของอาจารย์เก่งทุกคน บางทีความเก่งต้องโยนไปไว้ข้างหลัง แล้วเอาความอ่อนน้อมมาไว้ข้างหน้า เพราะว่าทุกคนเก่งหมด ถ้าไม่เก่งจะอยู่ในโลกนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  หลายคนที่นี่มีฐานะ การงาน การเงิน ถ้าไม่เก่งก็คงจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ฉะนั้นเวลาบำเพ็ญธรรมเอาความเก่งโยนไปไว้ข้างหลัง ปกติอยู่บ้านไม่ฟังใครมาสถานธรรมก็ต้องพยายามฟัง กลับไปบ้านก็จะได้ฟังคนอื่น เวลาที่คนอื่นพูด เราบังคับให้เขาพูดให้น่าฟังไม่ได้ แต่เราต้องบังคับใจตัวเองให้ฟัง ฟังไปมากๆ  ก็เจอในสิ่งที่มีประโยชน์ในความไร้สาระที่เขาพูดออกมา  เพราะทุกอย่างนั้นผสมอยู่ด้วยกัน สีขาวและสีดำแห่งโลกนี้ กิเลสและความรู้ตื่นนั้นมันอยู่ปนกัน อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกไปฝึกเป็นอะไร  จะเลือกฝึกเป็นคนที่งงในโลกนี้ จะฝึกเป็นคนที่รู้ตื่นก็ฝึกได้ แล้วแต่เราจะเลือกฝึกอะไรเข้าใจไหม
“ครรลองกว้างธรรมมีคนจึงเจริญ”  ครรลองก็คือทาง ทางภาษาจีนก็คือ เต้า หรือคนชอบเรียกกันว่า เต๋า แต่นี่ไม่ใช่เต๋า เป็นแค่คำแทน ทุกๆ วันนี้ธรรมะเจริญเฟื่องฟูขึ้นได้ก็เพราะว่ามีคน และคนที่อยู่ในกลุ่มนี้จะต้องรู้จักบำเพ็ญปฏิบัติธรรมะ จึงเจริญได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะเหมือนอันอื่นๆ  ที่เสื่อมไป ดังเช่นคนที่อยู่ในแวดล้อมอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้จักทำแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ให้ดีขึ้น ถึงมีคนมากก็เสื่อมไปทั้งหมด ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกัน อภัยกัน เข้าใจเห็นใจกัน ตั้งใจบำเพ็ญร่วมกัน มีอะไรพูดคุยกันสุดท้ายก็สามัคคีกัน คนใหม่ไม่มีไม่เป็นไร ขอให้คนเก่าที่มีอยู่รักใคร่กลมเกลียว บำเพ็ญตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเอาความอ่อนน้อมไปห่มไว้จะได้อุ่น เมื่อเราตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรมแล้วเราก็รู้ว่าภายในตัวเราทุกคนนั้นมีจิต  จิตของเราเหมือนจิตของธรรมชาติหรือเปล่า อาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์และสัตว์มีจิตญาณเหมือนกัน อย่างน้อยก็เจ็บเป็นเหมือนกัน อย่างน้อยก็เกิดมามีชีวิตเหมือนกัน ทั้งจิตของศิษย์และจิตของธรรมชาติ ไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้า สายลม แสงแดดล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาตักน้ำคนละหนึ่งแก้ว)
กะละมังใหญ่นี้เปรียบเสมือนภาวะจิตอันหนึ่ง ที่เป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ โดยในทางธรรม เรียกว่า “เหลาหมู่” (พระอนุตตรธรรมมารดา)  ส่วนแก้วและน้ำในมือของเรา เปรียบเสมือนจิตของเราที่แบ่งแยกจากเหลาหมู่ลงมาเกิด จะมีความแตกต่างกันตรงที่ว่า ในความเป็นจริง น้ำในธรรมชาติไม่มีวันที่จะเหือดแห้ง ไม่น้อยลง  แต่น้ำในแก้วนี้ ต้องอาศัยศิษย์มาเติมจึงจะไม่น้อยลง  แก้วในมือของเราเหมือนกับสังขาร  น้ำในแก้วเหมือนจิตที่ถูกแบ่งมา  หากว่าแก้วนี้ไม่มีน้ำ  มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ถ้าร่างกายนี้ไม่มีจิต ร่างกายนี้มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ถ้าน้ำไม่มีแก้วน้ำอยู่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าจิตไม่มีสังขาร จิตอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นร่างกายของเราตอนนี้เป็นร่างกายแค่จอมปลอม เป็นร่างกายแค่ชั่วคราว  แก้วน้ำเมื่อใช้บ่อยๆ ก็มีวันแตก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่างกายของคนเราใช้มา ๕๐-๖๐ ปีก็มีวันดับได้เหมือนกัน  แต่น้ำนี้ดื่มหมดไหม มองด้วยตาดูเหมือนว่าหมด  แต่จริงๆ น้ำนี้ไม่มีวันหมดไป  เพราะเมื่อมันระเหยไปผ่านกระบวนการก็จะกลับมาเป็นน้ำอีก  อาจารย์จึงเปรียบน้ำในแก้วเหมือนจิตของเรา  เป็นจิตที่แบ่งมาจากธรรมชาติ น้ำจึงเปรียบเหมือนกับจิต  หากใครตักน้ำมามากจนน้ำกระฉอกก็คือความโลภ  หากตักมาแต่พอดีก็คือความพอดีในจิตของเรา ฉะนั้นมองที่น้ำของตนเอง หากล้นขึ้นไปถึงปากแก้วมากเท่าไรก็คือความโลภที่มีอยู่มากเท่านั้น
ลองยกแก้วชูขึ้นต่อหน้าแล้วทำให้น้ำนิ่ง  น้ำไม่ยอมนิ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  จิตใจของเราก็เหมือนกัน  ถ้ายังอยู่ในร่างกายนี้ จิตดวงนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะนิ่ง  เพราะฉะนั้นบางคนบำเพ็ญธรรมแล้วบอกว่า ต้องบำเพ็ญให้นิ่งจนไม่เหลืออะไรเลย เป็นไปได้หรือเปล่า  อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้ต้องการทำลายขวัญและกำลังใจศิษย์ที่กำลังพยายามอยู่  แต่อาจารย์เห็นศิษย์บางคนนั้นคาดหวังสูงและตกลงมาแรง  ไม่ต้องให้น้ำในตัวเรา จิตในตัวเรานิ่งจนถึงที่สุดหรอก  แต่ขอให้น้ำนี้ยังเป็นน้ำอยู่ทุกเมื่อ อาจารย์ก็ดีใจแล้ว  ศิษย์ของอาจารย์เวลาเจอปัญหามากระทบ เหมือนเอาสีมาใส่น้ำ ทำให้น้ำเปลี่ยนสีไป  ครั้งที่สอง สีก็เปลี่ยนไปอีก  ยิ่งถ้ามีเศษฝุ่นเศษผงมาด้วย น้ำนี้ก็แทบจะรักษาสภาพไม่ได้  ในวันนี้การที่เรียกศิษย์มาฟังธรรมะ เปรียบเสมือนการกลั่นน้ำที่สกปรกในตัวเราให้กลับมาเป็นน้ำใสที่อยู่ตรงหน้า ให้เหมือนกับตอนที่ศิษย์เกิดมา เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ฉะนั้นคนบำเพ็ญต้องตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ และบำเพ็ญต่อไปโดยการคาดหวังและความหวังนั้น  เมื่อวาน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าความหวังเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความหวังนั้นมีได้ แต่อย่าหวังให้สูงเลิศลอยมากเกินไป หวังแต่เพียงพอดี  ชีวิตนี้มีความสุขหรือไม่อยู่ที่เรา ชีวิตนี้จะเปื้อนหรือเปล่าอยู่ที่เรา  เวลาเพียงแค่ช่วงชีวิตหนึ่ง น้ำถูกเทออกไปเรื่อยๆ แล้วสังขารนี้ก็จบไปไม่เหลือ  จิตของศิษย์กลับคืนสู่เบื้องบนในสภาพของคนที่มีการบำเพ็ญจิตที่ดี แต่หลายคนนั้นไม่ใช่  น้ำเปื้อนดำจนไม่สามารถนำกลับมาใช้อะไรได้อีก ไม่สามารถกลับคืนได้จึงเทลงดิน  น้ำสกปรกกินไหม (ไม่กิน)  เป็นน้ำไม่มีค่า  ฉะนั้น อาจารย์มาวันนี้เพื่อกลั่นน้ำที่เปื้อนอยู่ที่หน้าศิษย์นี้ให้ใส  ร้อน-ทนร้อน  เจ็บ-ทนเจ็บ  ป่วย-ทนป่วย  ปัญหาเกิด ไม่เป็นไร มันพ้นไป  ให้เวลากับชีวิต และการบำเพ็ญ ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่ฝนตกฟ้าร้อง ทุกครั้งที่ธรรมชาติมีอาการศิษย์จึงมีอาการ ทุกครั้งที่ศิษย์อยู่ในที่ๆ สงบศิษย์จึงมีความสงบ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เกิดขึ้น เพียงแต่เกิดมาแล้วศิษย์ทำให้ตนเองห่างไกลธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ และสร้างวัตถุขึ้นมาทดแทนธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ทันธรรมชาติแล้วอย่างไร รู้ว่าฝนจะตกแล้วอย่างไร ห้ามฝนตกได้ไหม  รู้ว่าพายุจะมาแล้วอย่างไร  ประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดก็ยังหลีกเลี่ยงไม่พ้น ฉะนั้นที่ๆ หลีกภัยที่ดีที่สุด ก็คือการสงบจิตใจของตนเอง การทำความดีทำให้มนุษย์มีค่า และเมื่อเกิดมามีค่าถึงชีวิตจะสั้นแต่ขอให้ชีวิตเกิดมาอย่างมีค่า บางคนเกิดมาอายุมากแต่ว่าทุกวันก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับใคร คนก็นิยมชมชอบแค่อายุมากเท่านั้น แต่ไม่นิยมชมชอบในความดีความงาม ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ชีวิตของคนเราเกิดมายาวสั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ขอให้ทุกๆ วันที่อยู่มีคุณค่า ขอให้คนรักเราด้วยความจริงใจ ไม่ใช่รักเราที่เงินทอง ไม่ใช่รักเราที่ความสวย แต่รักเราที่สัจจะและความซื่อสัตย์ ทำได้หรือไม่
คนมีเปลือกหรือเปล่า  (มี)  คนไม่ใช่ผลไม้จะมีเปลือกได้อย่างไร  คนไม่ใช่ต้นไม้ ไม่ใช่ผลไม้ แต่มีเปลือกถือว่าผิดธรรมชาติไหม (ผิด)  ทำไมถึงเรียกคนบางคนว่าเป็นคนมีเปลือก ลองตอบอาจารย์ว่าเปลือกของมนุษย์มีอะไรบ้าง (คนที่ไม่ยอมรับความจริง หน้าไหว้หลังหลอก)  บางทีอย่าคิดแต่จะว่าคนอื่นว่าเขาผิด บางทีคนที่ผิดที่สุดก็คือคนที่ว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเราเอาแต่ว่าคนอื่นจนเราไม่เห็นว่าความจริงคืออะไร คิดว่าตัวทำดี แต่ไม่เคยทำดี
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
แก่นของจิตใจมีแต่ความดี ความสะอาด เหมือนกับต้นไม้ที่เปลือกนอกอาจจะเป็นสีน้ำตาล แต่ข้างในเป็นสีขาว เปลือกข้างนอกของผลไม้ที่เราเคยกะเทาะกันมาส่วนใหญ่ข้างนอกก็จะเป็นสีขุ่นๆ แต่ข้างในเป็นสีขาว สิ่งที่ศิษย์ตอบไปนั้นก็เป็นเปลือกของมนุษย์จริงๆ  เวลาเรากะเทาะไปข้างในของเราก็คือจิตใจอันใสสะอาด อาจารย์อยากให้ศิษย์ใสสะอาดทำได้หรือเปล่า ไม่มีใครสามารถกะเทาะเปลือกให้เราได้ ไม่มีใครสามารถบอกให้ศิษย์ตัดลาภยศชื่อเสียง เงินทองของจอมปลอมอย่าไปหลงเลย  ต่อให้อาจารย์พูดอีกสิบปี อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ก็ทำไม่ได้ แต่คนที่ทำให้เราตัดได้มีแต่ตัวของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้คนอื่นจะทำได้ไหม (ทำได้)  หากว่าเราทำไม่ได้ก็เท่ากับว่าเราสละสิทธิ์การสำเร็จเป็นพุทธะ สำเร็จจากการเวียนว่ายตายเกิดไป แล้วให้คนอื่นสำเร็จแทน ยอมแพ้คนอื่นหรือเปล่า  เรื่องใดๆ อาจารย์ก็สอนให้ศิษย์ยอมแพ้ เพราะว่าการยอมแพ้บางทีก็เป็นการหยุดปัญหา แต่เรื่องการบำเพ็ญหลุดพ้น เวียนว่ายตายเกิดนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยอมแพ้ เพราะถ้ายอมแพ้ก็หมายความว่าเราจะต้องเกิดมาในชาติหน้า ซึ่งอาจจะจนกว่านี้ อาจจะพิการ หรือครอบครัวแตกแยก หรือเป็นใครก็ได้ที่ศิษย์เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาแย่มากๆ  แล้วศิษย์อยากจะเป็นคนคนนั้นไหม ชาติหน้าสามารถกำหนดได้ด้วยชาตินี้ แต่ถ้าให้ดีไม่มีชาติหน้าแล้ว ขออย่าให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นคนที่หาเช้ากินค่ำ เป็นคนที่ทุกข์ทรมาน เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ให้คนเขาไล่ล่าเอาไว้กิน ใครคิดว่ากลับไปแล้วจะบำเพ็ญตนให้เป็นคนดี เราจะพยายามสร้างโอกาสใหักับตัวเอง ขอให้ความตั้งใจตั้งมั่นในวันนี้ต่อเนื่องไปจนชีวิตหาไม่ เพราะว่ามนุษย์มีจิตใจที่ไม่มั่นคง หนึ่งนาทีคิดไปเป็นสิบเรื่อง เป็นอุปสรรคขัดขวางเพราะเราต้องการบำเพ็ญที่จิตใจ แต่ในขณะเดียวกันเราก็หาขยะมาสุมไว้ในใจ ทำให้เราไม่สามารถบำเพ็ญตัวของเราได้ อยากจะได้ดีก็ต้องผลักตัวเอง อยากจะมีเวลาก็ต้องรู้จักเจียดเวลาตัวเอง อยากจะรู้ในสิ่งใดก็ต้องเสียสละเวลาไปศึกษา  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้เงินทองซื้อ แต่ใช้จิตใจเรากำหนด
บางคนก็บำเพ็ญแค่ขอให้มีจิตใจสะอาด ขอให้มีความสุขผ่านไปวันๆ  บางคนก็มีจิตใจว่า บำเพ็ญตนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  บางคนก็บำเพ็ญตนเพื่อการบรรลุหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภายภาคหน้า  แล้วศิษย์เลือกเป็นคนประเภทไหน  คนทั้งสามระดับที่อาจารย์พูดมา  มีอยู่ครบในศิษย์ที่ยืนอยู่ในที่นี้  อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์หวังให้สูงไกลเกินเอื้อม  แต่อาจารย์หวังว่าบันไดทั้งสามขั้นนี้ศิษย์จะค่อยๆ ไต่และก้าวไปอย่างมั่นคง  ก้าวขึ้นไปขั้นหนึ่งยืนให้อยู่  ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็ยืนให้อยู่  จนไปถึงสุดท้ายคนที่ตั้งใจว่าจะบำเพ็ญตนให้หลุดพ้น  เมื่อสองก้าวยืนอยู่แล้วก็จะไม่เซถอยกลับมาเข้าที่ล้านั้นอีก  หากรู้ว่าชีวิตนี้ทุกข์ หากรู้ว่าไม่สามารถหนีทุกข์ได้  ก็สู้มันเข้าไป  เมื่อเราเผชิญอุปสรรคปัญหาด้วยความเด็ดเดี่ยว  เมื่อเราไม่หนีปัญหาและยอมรับความจริง  เมื่อเราสุขุมและรอบคอบ ปัญหาย่อมสามารถแก้ได้  ถ้าเราถอยหลังหนีไม่ยอมรับความจริง  ปัญหาย่อมใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ  เปรียบเสมือนก้อนเนื้อมะเร็งที่เรื้อรัง  ฉะนั้นชีวิตของเราก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ  จะมีปัญหาสักกี่ครั้งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา  จะมีกี่ปัญหาที่แก้ไม่ได้  เมื่อคิดแล้วคงน้อยไม่มากเท่าไร  แล้วลองถามตัวเองว่าเอาปัญหาเล็กๆ มาเป็นปัญหาใหญ่ไหม  หรือเอาปัญหาใหญ่ๆ ทำเป็นมองไม่เห็น รอให้ใหญ่เกินแก้แล้วค่อยไปมอง  ถ้าเราเป็นอย่างนี้คงไม่ใช่ปัญหาเป็นต้นเหตุ  แต่ตัวเรานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ปัญหาที่หนักที่สุดของมนุษย์คือ ความเจ็บปวด  ร่างกายเจ็บปวดไม่เท่าไร อย่าให้เจ็บปวดเพราะร่างกายนี้สิ้นไปแต่จิตใจยังอยู่  ถ้าชาตินี้จิตใจป่วย  ชาติหน้าหรือชาติไหนๆ ก็ป่วยอีก  ชาตินี้เราลองดูว่าสติของเราพร้อมหรือยัง  สติของเราร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง  สติของเราเต็มหรือยัง  โดยทั่วๆ ไปก็รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก  รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร  อาจารย์ก็ถือว่าสติของศิษย์เพียบพร้อมแล้ว  แต่ทั้งๆ ที่รู้ก็ปล่อยให้ตัวเองหลงอย่างไม่น่าเชื่อ  อาจารย์ชี้ทางให้ศิษย์นั้นได้รู้ก่อน  หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนบำเพ็ญให้ดีๆ
จริงๆ แล้วทุกถ้อยคำที่อาจารย์อยากพูดกับศิษย์ ปัญหาทุกๆ เรื่องอาจารย์รับรู้ได้ดีพอๆ กับศิษย์  ขอให้ศิษย์ทุกคนมีอาจารย์อยู่ในหัวใจ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีสติ มีปัญญา มีความรอบคอบ เป็นตัวของตัวเอง มีความสามัคคีเป็นที่สุด โดยเฉพาะที่นี่ ปัญหาจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ถ้าศิษย์รักอาจารย์ก็ขอให้มีใจและมีความมั่นคง อย่ามีใจแค่สามวัน ห้าวัน อย่าทำเป็นคนหาเวลาว่างยาก
รู้ไหมว่าการบำเพ็ญที่ดีทำอย่างไร รู้ไหมว่าตัวเองเจอเคราะห์อุปสรรคมามากหลายหนแล้ว อาจารย์ไม่สามารถต่อรองได้เป็นครั้งต่อไป  ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง หากว่าศิษย์มีใจจริงๆ  ตั้งใจจริงๆ อาจารย์จะช่วยศิษย์ แต่ถ้าหากไม่สามารถประคองใจของตัวเองให้คงเส้นคงวาได้ ก็ลำบาก  อดีตสร้างกรรมไม่สามารถแก้ ปัจจุบันเท่านั้นที่ควรจะแก้ สามารถเปลี่ยนหนักเป็นเบาก็ถือว่าเป็นเคราะห์ที่ดีแล้ว รักษาตัวให้ดีๆ ขอให้ศิษย์ปลอดภัย ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ  ให้หลบพ้นจาก
ภัยพิบัติต่างๆ  ขอให้เอาจิตที่ดีเข้าหากัน รอบคอบนะ  ขอให้มีความมั่นคงในธรรม ต่อให้วันหน้าเคราะห์จะหนักหน่อย หากว่าศิษย์ยังมั่นคงก็คงไม่มีใครสามารถทำให้ศิษย์ไม่เป็นพุทธะได้ วันหน้ามีโอกาสเจอกันใหม่นะ

รู้ไหมว่าการบำเพ็ญที่ดีทำอย่างไร รู้ไหมว่าตัวเองเจอเคราะห์อุปสรรคมามากหลายหนแล้ว อาจารย์ไม่สามารถต่อรองได้เป็นครั้งต่อไป  ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง หากว่าศิษย์มีใจจริงๆ  ตั้งใจจริงๆ อาจารย์จะช่วยศิษย์ แต่ถ้าหากไม่สามารถประคองใจของตัวเองให้คงเส้นคงวาได้ ก็ลำบาก  อดีตสร้างกรรมไม่สามารถแก้ ปัจจุบันเท่านั้นที่ควรจะแก้ สามารถเปลี่ยนหนักเป็นเบาก็ถือว่าเป็นเคราะห์ที่ดีแล้ว รักษาตัวให้ดีๆ ขอให้ศิษย์ปลอดภัย ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ  ให้หลบพ้นจาก
ภัยพิบัติต่างๆ  ขอให้เอาจิตที่ดีเข้าหากัน รอบคอบนะ  ขอให้มีความมั่นคงในธรรม ต่อให้วันหน้าเคราะห์จะหนักหน่อย หากว่าศิษย์ยังมั่นคงก็คงไม่มีใครสามารถทำให้ศิษย์ไม่เป็นพุทธะได้ วันหน้ามีโอกาสเจอกันใหม่นะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “กะเทาะเปลือก..ถึงแก่น”

บำเพ็ญแท้ทุเลาเบาความกลุ้มจิต บำเพ็ญผิดเน้นวัตถุสับสนหนัก
เมาชีวิตหลงโลกเหนื่อยไม่พัก พึงตระหนักแดดอุ่นลับลงดิน
ทำอะไรแจ้งใจให้ดีก่อน หญ้าที่ถอนรากหยั่งเหนื่อยไม่สิ้น
ชีวิตคนไม่งามซ้ำเปื้อนดิน น้ำตารินสิ้นหมดทุกข์ยังวน
คนมีเปลือกเร่งหมายกะเทาะไป คนมีใจจงยินยอมจะฝึกฝน
คนมีเปลือกชอบแต่เรื่องอวดโอ้ตน คนมีธรรมวางตนไม่แข็งเกิน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2544

2544-05-26 สถานธรรมชั่วคราว* จ.เชียงใหม่ (สถานธรรมเจาหยู)


PDF  2544-05-26-เจาหยรู #8.pdf

หมวด: คุณธรรมในการประกอบอาชีพ 


วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมชั่วคราว*  จ.เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ใช้ปัญญามาพิจารณาเห็นทุกอย่าง เมตตาสร้างโลกนี้ให้สันติ
คนหนึ่งคนมีชีวิตด้วยสติ บุปผาผลิเพียงช่วงหนึ่งแห่งเวลา
เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง        ฮวา   ฮวา 

ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร ยิ่งครวญใคร่ยิ่งเห็นชัดสิ่งใดหนา
ในโลกนี้มีแต่ภาพลวงตา ทำลายง่ายสร้างสรรค์ยากต่างรู้ดี
จงรู้จักตนเองให้ดีเถิด คนประเสริฐใช้ความดีชนะทุกสิ่ง
ความเข้าใจค่อยค่อยเพิ่มจึงจะจริง จิตไม่นิ่งทำอะไรก็ยากสำเร็จ
แก้ไขตนถือโอกาสเริ่มยามนี้ ไม่เคยพลีเสียสละเพื่อผู้อื่น
แต่ตั้งใจย่อมทำได้เพียงข้ามคืน อย่าได้ฝืนตามมาเถิดคืนเบื้องบน
บำเพ็ญธรรมสว่างจิตเพราะความเพียร ให้รู้เรียนรู้ปฏิบัติสัมฤทธิ์ผล
คนบำเพ็ญต้องไม่เห็นแก่ตน ไม่หลงตนเมื่อยิ่งสูงยิ่งระวัง
ขอจงมีตั้งใจกว่าความสงสัย ขอเปิดใจฟังธรรมะเพื่อได้ผล
ปลูกต้นไม้ใช่สองวันจะเห็นผล ลงแรงกันในตนละอัตตา
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมพิจารณาปัญญาเกิด
ฟื้นฟูใจจิตเดิมที่แสนประเสริฐ ให้บังเกิดคุณธรรมด้วยลงมือ
ย้อนมองตนละกิเลสโลภโกรธหลง เดินทางตรงใช้ศรัทธามาส่งเสริม
อันวัตถุที่ยึดติดมีแต่เพิ่ม จิตใจเดิมสว่างยากอย่าเผลอใจ
สองวันนี้ขอให้อยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบให้เข้มงวด
กลางวุ่นวายจิตสงบดั่งผนวช คนอื่นกวดขันตนไม่เท่ากวดขันตนเอง
หลังจากจบชั้นไปให้ยังศึกษา เป็นอาชา วิ่งไกลใจตรงเที่ยง
อุเบกขา พาจิตนี้ไม่โอนเอียง น้อมลำเลียงจิตตนนี้ให้สกาว
ศิษย์พี่รับพระบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันเป็นแต่เพียงการเริ่มต้น
ใจสว่างพบจิตแท้คืนเบื้องบน สำรวจตนให้ดีพร้อมและสมบูรณ์
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศึกษาธรรมให้มากขึ้น
จงเข้าใจในชีวิตไม่เมามึน จะเดินขึ้นต้องก้มตัวเขาสูงชัน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน ฮวา   ฮวา   หยุด
                           ฮวา   ฮวา   หยุด

* หมายเหตุ  เนื่องจากสถานธรรมคับแคบ จึงใช้สถานที่ในโรงแรมเชียงใหม่การ์เดน ตั้งเป็นสถานธรรมชั่วคราว

  ผนวช     หมายถึง     บวช
  อาชา       หมายถึง    ม้า
  อุเบกขา   หมายถึง    ความเที่ยงธรรม  ความวางตัวเป็นกลาง


วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๔  
พระโอวาทพระนาจา
มหาธรรมดั่งแสงทองแห่งชีวิต คอยปลุกจิตสำนึกมโนธรรมหนา
เข้มงวดตนสุขุมระวังตนนา ด้วยเมตตานำประชาตื่นแจ้งใจ
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมชั่วคราว แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนปวดเมื่อยไหม

บำเพ็ญธรรมเพื่อขัดเกลาให้ใจนิ่ง อารมณ์ยิ่งสงบใสใจยิ่งเย็น
กระจกสะท้อนความเป็นจริงให้เห็น ความลำเค็ญกลับไม่เคยทำร้ายใคร
ถูกผิดเห็นนิ่งวิ่งล้วนปฏิปักษ์ ล้วนเป็นภาพลักษณ์อันสมมติไว้
หากชอบได้ล้วนชังได้ทั้งหลาย สงบไปบำเพ็ญเป็นไม่หลงกัน
สติตามจิตใจล้างอัตตาสิ้น ยังหลงผิดคืนถิ่นอัตตานั่น
ขจัดไปย่อมใสหาใดปาน กว่าเพียรญาณอยู่ตัวใช้เวลา
เพียงย้อนมองตนเองหมั่นพินิจ กล้าปลุกจิตปลุกสำนึกออกอาสา
นำตื่นให้เวไนยอย่ารอช้า ทว่าอย่าร้อนใจเอาแต่ใจ
มุ่งแต่โทษไขสือหัวใจรน โทษคนอื่นแก้ตนได้ไฉน
จะมีสุขยืนนานได้อย่างไร หวังมิตรหวังศัตรูให้เลือกเอง
สรรค์สร้างง่ายกว่าง่ายด้วยตระหนัก ฝึกเป็นนักฟังจึงสามารถเก่ง
ฟังหูไว้หูพูดไว้เกรง ความอ่อนน้อมชนะกระด้างเองฉะนี้แล
แสงจันทรากระจ่างทุกลำเรือฝ่า อาศัยเวลาอาศัยอย่างรู้โดยแท้
กระแสธารไหลลับไม่เหลียวแล จึงมีแต่รู้อยู่กับปัจจุบัน
ฮิ   ฮิ   หยุด


พระโอวาทพระนาจา

เมื่อสักครู่เขาพูดว่าในรอบตัวของเรามีทั้งวิญญาณผีและเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากท่านเป็นคนๆ หนึ่งท่านอยากเห็นวิญญาณผีหรือว่าเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าอย่างไร อยากเห็นเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม แล้ววิญญาณผีล่ะไม่อยากเห็นหรือ (ไม่อยาก)  อย่างนั้นพ่อแม่ท่านที่เสียไปแล้วแสดงว่าท่านก็ไม่อยากเจอใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  พอท่านเสียชีวิตไปแล้วแม้แต่วิญญาณก็ยังไม่อยากเจอเลยหรือ  ตกลงอยากเห็นเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวิญญาณ (วิญญาณ)  ทำไมเป็นคนโลเล ตกลงอยากเห็นอย่างไหน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์)  แล้วผีวิญญาณอยากเห็นด้วยไหม (อยากเห็น)  แต่ต้องวงเล็บว่าขอเป็นบรรพบุรุษเท่านั้น เจ้ากรรมนายเวรไม่เอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทำอย่างไรเราจึงจะได้เห็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไรถึงจะได้เห็นวิญญาณและภูติผี  เคยคิดไหม เวลาเราอยากพบครูอาจารย์เราต้องไปไหน โรงเรียนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากไปหาหมอเราต้องไปไหน (โรงพยาบาล)  อย่างนั้นเวลาเราอยากหาพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เราต้องไปไหน (นิพพาน)  ที่เดียวหรือ อยากเห็นวิญญาณผีไปไหน (ป่าช้า)  เห็นไหม (ไม่เห็น) จริงๆ แล้วเราอยากบอกท่านว่าไม่ต้องไปไหนอยู่กับที่ แต่ขึ้นอยู่ที่ใจ ถ้าใจเป็นพระเห็นทุกคนก็เป็นพระ แต่ถ้าใจเป็นมารเห็นทุกคนก็เป็นมาร  ถ้ารังเกียจเขา เห็นเขาก็เหมือนผีเหมือนปีศาจใช่ไหม (ใช่)  รักเขาก็เห็นเขาเหมือนเป็นเทพ เป็นนางฟ้าจริงไหม (จริง)  ท่านเห็นเขาแม้จะเด็กกว่าหรือแม้จะอายุมากกว่า แต่ถ้าเห็นเขาเป็นหมอ เขาพูดอะไรก็รักษาเราได้ ถ้าท่านเห็นเขาเป็นครู เขาพูดอะไรก็สอนสั่งเราได้ แล้ววันนี้ท่านเห็นเราเป็นอะไร แล้วแต่ท่านนะ ถ้าท่านอยากเจอพุทธะก็จงฝึกเห็นเราเป็นพุทธะจริงไหม  แต่ถ้าท่านอยากเห็นเราเป็นมารก็ได้นะ ทนอยู่กับมารไปหนึ่งชั่วโมงเอาไหม ขึ้นอยู่กับท่านนะ ถ้าท่านเห็นเราเป็นมาร เราก็จะมาพูดเรื่องวิชามารกันดีไหม (ไม่ดี)  ท่านเชื่อไหมว่าถ้าใจท่านคิดอย่างไร แม้เราจะพูดกี่ประโยคท่านก็สนับสนุนให้เราเป็นมารแน่ๆ  จริงไหม   แต่ถ้าท่านเห็นว่าเราเป็นพุทธะ ไม่ว่าพูดอะไรก็ใช่ๆ พูดเหมือนพุทธะใช่ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าท่านไม่ไว้ใจคน มองอย่างไรก็น่าสงสัยไปหมด  แต่ถ้าท่านไว้ใจคนมองอย่างไรก็เชื่อใจเขาได้แม้จะยังไม่ทั้งหมด จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วถ้าท่านต้องฝืนอยู่กับเขาอย่างมีความสุข จะเอาเชื่อใจหรือกินแหนงแคลงใจดี (เชื่อใจ)  ไม่ค่อยได้ยินเสียงฝั่งชายเลย ไม่เป็นไรเราคุยกับฝั่งหญิงฝั่งเดียวก็ได้ ฝั่งชายตัดทิ้งเลยดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ คนเราอยู่ด้วยตัวเรา เรามีความสุขคนอื่นช่างดีไหม (ไม่ดี) ไม่ดีจริงๆ หรือ  ชีวิตนี้มีความสุขของเราคนเดียว ทำไมต้องมาเสียเวลาทำเพื่อคนอื่นด้วย ปล่อยเขาไป จริงไหม (ไม่จริง)  อย่างนั้นป่านนี้คงเห็นคนเสียสละเยอะกว่าคนเห็นแก่ได้ใช่ไหม (ใช่)  เราอยู่ร่วมกัน อยู่กับคนที่รักเราสนใจเรา คนเกลียดเราไม่สนใจเรา เราก็ปล่อยเขาไป ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมไม่ดีล่ะ อะไรๆ ก็ไม่ดีไปหมดเลย  หลายคนบอกว่าการอยู่ร่วมกันต้องมีเหตุมีผล แต่ทุกคนเหตุผลเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แล้วอยู่กันด้วยเหตุผลเป็นอย่างไร ทะเลาะหรือว่ายิ้มแป้น (ทะเลาะ) ทะเลาะมากกว่ายิ้มแย้มใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอยู่อย่างไรดี  จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ลองค่อยๆ พินิจพิจารณาสิ่งที่เราพูด อยู่กันอย่างมีความสุข  การหาความสุขไม่ใช่เรื่องยากเลยก็คือเมื่อเริ่มต้นพบ ท่านจะสร้างจิตใจของตัวเองกับเขาอย่างไร ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเริ่มต้นพบก็รังเกียจเขา ตั้งแง่ตั้งมุม อยู่กับเขาก็ไม่เป็นสุข  แต่ถ้าเริ่มต้นพบ เปิดใจออกกว้างๆ อยู่กับเขาก็จะสบายใจจริงหรือเปล่า (จริง) 
การที่อยู่ๆ คนๆ หนึ่งจะฆ่าอีกคนหนึ่งได้ หรือประหัตประหารให้เขาหมดสิ้นอายุขัยได้นั้นล้วนต้องเป็นอย่างไร (โกรธแค้น)  มีบ้างไหมที่รักมากจนอยากฆ่าให้ตาย (ไม่มี)  มีนะ เราเห็นรักมากเลย แต่เขาไม่ฟังก็ตีจนตายเลย  แต่อยู่ๆ คนๆ หนึ่งจะตีให้อีกคนหนึ่งตายได้นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  อยู่ๆ อารมณ์สุกงอมก็ฆ่าเขาตายทันทีคงไม่ใช่ อารมณ์นั้นต้องสะสมและพอกพูนหนามากพอสมควรใช่หรือไม่ (ใช่)   คนที่โกรธประเดี๋ยวประด๋าวก็หาย กับคนที่โกรธแล้วสุมไว้ในอก คนประเภทไหนที่ฆ่าคนได้ลง (สุมไว้ในอก) ทำไมท่านว่าสุมไว้ในอกจึงฆ่าได้ลง (หนักแน่น)  ก็ถูก โกรธจนหนักแน่นพอจะไปฆ่าเขาได้ลงใช่ไหม (ใช่) เพราะมีอารมณ์ แต่เป็นอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรกับบุคคลนั้น อย่างนั้นก็แปลว่าเมื่อเริ่มต้นในการอยู่ร่วมกัน  หากเราปลูกฝังความรู้สึกดีตั้งแต่แรก เราก็จะมองเขาได้อย่างดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเริ่มต้นเมื่ออยู่ด้วยกันท่านปลูกฝังไม่ดี พออยู่ๆ ไปท่านเผลอสะสมไหม ท่านเผลอสุมความรู้สึกที่ไม่ดีลงไปไหม (เผลอ)  แสดงว่าต่อไปถ้าท่านมองเห็นเราไม่ดี ต่อไปท่านก็ฆ่าเราลงแน่ น่ากลัวจังเลย จริงไหม จริงแต่อยู่ที่ว่าจริงนั้น บางคนมีอะไรมาล้าง บางคนไม่มีอะไรมาล้าง ใช่ไหม  ฟังหัวข้อตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ท่านคิดว่าเขาเอาอะไรมาล้าง แล้วทำไมเขาถึงไม่ล้าง  (นามธรรม, ธรรมะ, ความดี)  แต่ละคนย่อมมีวิธีสุมไม่เหมือนกัน มีวิธีเก็บที่ไม่เหมือนกัน วิธีเก็บไม่เหมือนกันฉะนั้นวิธีล้างจะเหมือนกันไหม เก็บด้วยความไร้รูป ก็ล้างยากหน่อยจริงไหม เพราะบางทีจะล้าง เอ๊ะ อยู่ตรงไหนนะ แต่ถ้าเก็บด้วยความมีรูปบางทีอาจจะล้างง่ายกว่าใช่ไหม เราต้องล้างต่างกันสิ เพราะเวลาเราเก็บเราเก็บไม่เหมือนกัน เวลาเราโกรธเราโกรธจากสาเหตุต่างกัน บางคนฟังแล้วก็โกรธ บางคนเห็นแล้วก็โกรธ บางคนเขาทำแล้วก็โกรธ ฉะนั้นเวลาแก้ก็ให้ฟังน้อยๆ จะได้โกรธน้อยๆ  เห็นน้อยๆ จะได้โกรธน้อยๆ  ทำน้อยๆ จะได้โกรธน้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านล้างอย่างไรล่ะ (สติปัญญา, สุขุมเยือกเย็น, จิตสำนึก) ท่านสุดท้ายตอบถูก บางทีเริ่มต้นเราต้องล้างด้วยจิตสำนึก บางทีสติปัญญาก็มีเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้เรายิ่งรู้แล้วพยายามล้างออกให้ไวมากที่สุดนั่นก็คือจิตสำนึกเราใช่ไหม  แม้จะมีสติปัญญาแต่บางคนก็ทำความโกรธด้วยสติเหมือนกัน ฉันมีเหตุผลในการที่จะโกรธเขานะ เพราะเป็นอย่างนี้ๆ เลยไม่ยอมดับลง แต่ถ้าเอามโนธรรมสำนึกมาล้าง เขาจะดับลงไหม ดับลงแล้วไม่เข้าข้างตัวเอง เขาจะรู้ว่าไม่ควรโกรธ ไม่ควรโมโห ไม่ควรเก็บไว้ควรปล่อยออกไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ปล่อยออกไป ต้องล้างทิ้ง จริงไหม (จริง)  เห็นไหมมีสติก็ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีความสำนึก โกรธเมื่อไรก็ปล่อยออกไป ท่านตายแน่ๆ เลย ไม่ตายเพราะเขาก็ตายเพราะตัวเองหาเรื่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราอยากให้เซียนผู้ใหญ่มาเจอกับท่านบ้าง มาผูกบุญสัมพันธ์บ้าง จะได้เห็นท่าทีของความสุขุม รอบคอบ ระมัดระวังและมีความสงบอยู่ในท่วงท่าที  แต่ถ้าให้ท่านมาพวกท่านก็คงหลับคาเก้าอี้จริงไหม  แถมยิ่งท่านสุขุม สงบนิ่งมากเท่าไร การเข้าใกล้กับท่านก็ยิ่งเป็นการยากใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะท่านยิ่งนิ่งเรายิ่งเข้าหา  แต่ท่านยิ่งนิ่งศิษย์น้องยิ่งหนีออก  เขายิ่งนิ่งมากเท่าไร ย่างสามขุมอย่างนี้น่ากลัวอย่าเข้าใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนเวลาเซียนเด็กมา เล่นเท่าไรท่านก็ชอบ แต่พอจบไม่เห็นได้อะไรเลย เดี๋ยวเราจะมาถามท่านต่อจากเมื่อสักครู่ว่าถ้าเกิดอยู่ร่วมกันแล้ว อยู่ด้วยเหตุผลทำไมถึงอยู่ไม่ได้ แต่ต้องอยู่ด้วยอะไร ลองคิดดู  
เราชื่อนาจานะ รู้จักไหม  ใครอยู่ใกล้เราแล้วรู้สึกร้อนแปลว่ากิเลสเยอะ  แต่ถ้าใครอยู่ใกล้เราแล้วเย็นสบายแปลว่ากิเลสไม่ค่อยมี  อย่าโกหกตัวเองนะเวลาเราเข้าใกล้ดูซิว่าร้อนหรือหนาว  
ไหนใครนั่งโดยไม่หลับเลยยกมือขึ้น  ไม่เป็นไร เพราะเป็นธรรมดาท่านไม่เคยมานั่งฟังแบบนี้ อากาศเย็นๆ อย่างนี้ด้วย ยิ่งเคลิ้มแล้วก็หลงไป  แต่ว่าเวลานั่งร้อนๆ หลับไหม (หลับ)  ลองปิดแอร์เปิดหน้าต่างท่านก็หลับ  แปลว่ามนุษย์เรา ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ก็หลงหมด จะร้อนจะหนาวก็หลงหมด หลงอย่างเดียวไม่พอ หลงแล้วหลับ หลงตามอากาศ หลงตามสภาพแวดล้อม เรียกตัวเองให้ตื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าน่ากลัว ทำไมถึงน่ากลัว มนุษย์เรานั้นถ้าเกิดเริ่มต้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สามารถครองตัวเองให้ไม่ไหวไปกับสภาพแวดล้อมได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี  แต่เกิดว่าเริ่มต้นอยู่กับธรรมชาติแล้ว มีอะไรก็ไหวไปหมดเลยย่อมเป็นอันตราย เพราะว่าครองตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีคำกล่าวคำหนึ่งหรือสิ่งที่ท่านน่าจะผ่านหูผ่านตามาบ้าง มนุษย์เราเมื่อแรกยังไม่รู้จักโลกนี้ เห็นต้นไม้ดี เห็นแม่น้ำสวย  เห็นทะเลเห็นภูเขาดี  ดีหมดเลย  รู้สึกอยากอยู่จังโลกนี้  แต่พอได้รู้จักว่าต้นไม้เป็นอย่างนี้ น้ำสกปรกแล้วนะ ใสได้ก็สกปรกได้ แถมสกปรกได้ยังใสยากอีก  พอเริ่มรู้จักคนมากขึ้น เริ่มรู้จักโลกมากขึ้นก็ไม่เอาแล้ว ไม่ค่อยอยากจะอยู่แล้วจริงไหม (จริง)  พอยิ่งรู้จักมากขึ้นว่าโลกนี้มีทั้งทุกข์มีทั้งสุข มีทั้งแก่งแย่ง มีทั้งนินทาว่าร้าย มีทั้งคดโกงเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ อยากอยู่ไหม (ไม่)  ไม่เหมือนตอนแรกๆ ที่ยังไม่รู้จักอะไรเลย รู้สึกว่าน่าอยู่ คนนี้น่าคบ พอรู้จักเขาก็คิดว่าไม่น่าเอามาด้วยเลย แต่งมาได้อย่างไร  จริงไหม (จริง)  แต่ว่าพุทธะสอนไม่เหมือนกันนะ ท่านสอนไว้ว่ามนุษย์เรานั้นต้องอยู่อย่างสอดคล้อง แต่สอดคล้องแบบนั้นต้องไม่ลื่นไหลจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง  แปลว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้สอดคล้อง นั่นก็คือเอาสิ่งที่ไม่รู้กับสิ่งที่รู้แล้วมาใช้ แล้วอยู่บนโลกนี้อย่างถูกต้อง ไม่ไหลไปกับโลกเกินไป แล้วก็ไม่ขวางโลกเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่พุทธะกล่าวหรือท่านได้ค้นพบเจอกันบ้างไหมว่า เรียนธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี มีธรรมดีมาก แต่ถ้าวางธรรมดีที่สุด เข้าใจตรงนี้ไหม เหมือนกันตอนแรกเราอยู่บนโลก หากเราไม่ศึกษาเราย่อมอันตราย เราไม่เคยศึกษาว่ายน้ำลงไปกระโดดตูม ตายไหม (ตาย)  เห็นทะเลแล้วว่ายลงไปในทะเลตายไหม (ตาย)  ฉะนั้นอยู่บนโลกต้องรู้จักเรียนรู้ก่อน เรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี  แต่เมื่อเรียนรู้แล้วจงมีสิ่งที่เรียนรู้นั้นเก็บไว้ จะได้สอนคนอื่นได้ แล้วจะได้ช่วยตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียนแล้วต้องมีไว้กับตัวบ้าง ถึงจะดีมาก  แต่เมื่อรู้แล้วเข้าใจโลกนี้แล้ว ต้องวางบ้างถึงจะดีที่สุด เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ดูง่ายๆ เหมือนคนจบปริญญา เขาเรียนได้ไหม เรียนได้และเรียนได้ดีด้วย  มีไหม มีด้วย แต่พอมีแล้วยึดมั่น เป็นอย่างไร  พอปริญญาตอบคำถามของเด็กประถมไม่ได้ ปริญญารู้สึกเศร้า จริงไหม (จริง)  แล้วก็มีออกถมไป ลูกๆ ตั้งคำถามพ่อ ตึกอะไรสูงสุด พ่อก็พูดใหญ่เลย ตึกใบหยกในกรุงเทพฯ ตึกใหม่ไงลูก ลูกบอกไม่ใช่ ต้องเป็นตึกกองบัญชาทหารสูงสุด พ่อบอกพ่อโง่เองลูก พ่อก็สู้ลูกไม่ได้  แต่ในความเป็นจริงเรากลับเจอคนที่ตั้งคำถามที่มากกว่า แล้วทำให้เรารู้สึกว่า ไม่น่ามีเลย ไม่น่ายึดมั่นไว้เลย บางครั้งปล่อยวางบ้าง จะทำให้เราดีที่สุด  อันนี้เอามาใช้ทั้งทางโลกทางธรรมด้วย และก็เอามาใช้ทั้งรูปแล้วก็นามได้ เช่นเรามีวัตถุ ตอนแรกเรามีชีวิตอยู่ไม่จำเป็นต้องวัตถุอะไรก็ได้ แต่พอมีชีวิตอยู่จริงๆ เราถึงรู้ว่าต้องมีวัตถุบางอย่างบ้าง อย่างเช่นนาฬิกาเอาไว้บอกเวลา  แต่ถ้าเกิดติดมั่นในเวลามาก เราจะเป็นทุกข์จริงไหม (จริง)  เสื้อมีไว้สวมใส่ แต่ถ้ามีมากเกินไป ไม่รู้จักปล่อยวาง เธอทำเสื้อฉันสกปรก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตัวใหม่ด้วยยังไม่ได้ใส่เลยทุกข์ไหม (ทุกข์)  พอยังไม่มีได้รู้ก็ดี แต่รู้แล้วมีแล้วก็ดีมาก  แต่ถ้ามีแล้วปล่อยวางได้ก็ดีที่สุด แล้วจะสุขง่ายด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันที่เป็นนาม อย่างเช่นชื่อเรา แต่ก่อนชื่อนี้ไหมก็ไม่รู้ อาจจะใช่ก็ได้  แต่ตอนนี้ได้รู้จักชื่อเราแล้ว พอมีชื่อก็ดีมาก ยิ่งรู้จักชื่อนี้มากเท่าไร ชื่อนี้ก็ยิ่งดี  แต่พอมีคนมาว่าชื่อเราหน่อย มีคนเอาชื่อเราไปทำให้เสียเกียรติหน่อย เป็นอย่างไร ก็โกรธ ไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งเมื่อเราได้เรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้รูปนามต่างๆ แล้ว  ได้เรียนรู้แล้ว มีแล้ว บางครั้งก็ต้องรู้จักปล่อยวาง
จบหนึ่งเรื่อง ได้ข้อคิดบ้างไหม (ได้)  แต่ถ้ามุมกลับเอาวิชามารไหม (ไม่เอา)  เอาไปซิ จะได้ไปรู้ไง มองคนอื่น ไปวัดคนอื่น ไปตรวจสอบคนอื่นดีไหม  เอาไว้ไปดูคนอื่น เขาจะได้ไม่มาหลอกเราอีก ดีไหม เอาไว้ก็ดี ไม่ต้องไปตรวจสอบคนอื่น ตรวจสอบตัวเราเองดีที่สุดจริงไหม (จริง)  ตรวจสอบอะไร ตรวจสอบว่าเราอยู่ในโลกเราเรียนรู้แล้วมีหรือยัง  หลายต่อหลายคนนั้นเวลาอยู่ในโลกนั้นรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี คนทุกคนมีจุดอ่อนคือความสงสารใช่ไหม (ใช่)  จึงเอาสิ่งนี้แหละมาหลอกลวงกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้จะบอกว่าตัวเองนั้นถึงแม้จะรู้อยู่ว่าตัวเองนั้นมีแต่ก็ทำเป็นเหมือนว่างเปล่าใช่ไหม (ใช่)  ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่รู้แต่ทำตัวเองเป็นอย่างไร (รู้)  ใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งตรงข้ามของมนุษย์  ศึกษานิดเดียวแล้วก็บอกว่าฉันรู้ใช่ไหม (ใช่)  พอรู้แล้วก็แกล้งทำเป็นว่ารู้  รู้นิดเดียวแต่ก็บอกว่ารู้เยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  มีน้อยก็บอกว่ามีมากแต่บางครั้งก็เป็นยังไง อยู่กับคนที่เขามั่งมีก็พยายามอวดว่าตัวเองมั่งมีใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่กับคนเก่งก็พยายามอวดว่าเรารู้ ว่าเราเก่งเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พออยู่กับคนที่เหมือนกันเป็นอย่างไร เหมือนโง่โดนเราหลอกจริงไหม (จริง)  บางครั้งเราก็คือผู้รู้เหมือนกันแต่เราขี้เกียจ จึงไม่อยากเรียนรู้แล้วก็แทรกตัวเองเหมือนคนที่รู้ในสังคมใช่หรือไม่ บางคนรู้ว่าการปล่อยวาง แล้วมีคนนับถือก็แกล้งทำเป็นตัวเหมือนผู้ที่มีการปล่อยวางแล้ว แล้วก็ให้คนกราบไหว้ แล้วก็ให้คนนับถือใช่หรือไม่ นี่คือแค่หนึ่งข้อเท่านั้น ไม่ได้เอาสามข้อมาใช้ นี่คือคนฉ้อฉล ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาไม่ได้ใช้ทั้งสามข้อ แต่บางทีเขาเอาทีละหนึ่งข้อมาใช้ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นท่านเป็นอย่างไร จริง ๆ  แล้วเราว่าคนฉ้อฉลมีปัญญาดี แต่ใช้ปัญญาผิดทางใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนดีมักปัญญาช้าใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงทำให้บางครั้งความดีของเราจึงไม่สามารถที่จะคุ้มครองหรือชำระล้างความชั่วร้ายได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีคำหนึ่งในกลอนเราบอกไว้ว่า “ความลำเค็ญกลับไม่เคยทำร้ายใคร” บางทีพอเราพยายามที่จะทำสิ่งดีให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ในสังคม ในหมู่เพื่อน บางครั้งเรากลับเจอความยากลำบาก เจออุปสรรคเราก็ยอมแพ้เราก็เลิกราไม่อยากทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าลืมว่าขุนศึกที่เป็นขุนศึกที่โด่งดังได้ก็เกิดท่ามกลางกลียุค  บุคคลที่จะเป็นคนดีอย่างถ่องแท้ได้ก็เกิดท่ามกลางคนที่ไม่ดีมาให้เราได้ฝึกดี จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นอย่ามองความลำบากในการทำความดีเป็นสิ่งที่ตัดรอนไม่อยากให้ท่านทำ แต่ท่านต้องมองกลับว่า ความลำบากนั้นกลับยิ่งเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันและเชิดชูให้ท่านยิ่งสูงขึ้น ยิ่งเหนือกว่าผู้อื่นขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียกว่าให้กำลังใจตัวเองและเพิ่มเกราะป้องกันความชั่วร้าย ความอ่อนแอในจิตใจ มนุษย์เรานั้นจะนิ่งได้ก็ต่อเมื่อรู้จัก (ปล่อยวาง,ไขว่คว้า,รู้จักให้รู้จักอภัย)  ง่ายๆ  เอง อยากนิ่งนักก็หยุดจริงไหม หยุดคิด หยุดวิ่งแสวง แล้วเราจะนิ่งได้ใช่หรือไม่ หรือไม่ท่ามกลางความยิ่งแสวงนั้นใจต้องหยุดนิ่งใช่หรือไม่ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของตัวท่านเองต้องหยุดนิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราพูดจบไปสองเรื่องแล้ว ตอนนี้กำลังพูดเรื่องนิ่งอยู่ใช่ไหม (ใช่)  เรื่องแรกก็คือการเรียนรู้มีแล้วก็ปล่อยวาง เรื่องที่สองก็คือเมื่อตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วบางครั้งเจอความยากลำบากก็อย่าได้ยอมแพ้และท้อถอยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรื่องที่สามนั้นก็คือความนิ่ง  มนุษย์เราที่ไม่สามารถมองสิ่งต่าง ๆ  ได้ชัดเจนหรือเรียนรู้อะไรได้อย่างแจ่มชัดก็เพราะว่าเราสับสนวุ่นวาย เหมือนวันนี้อาจจะนั่งฟังไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ถ้าจิตใจของท่านไม่นิ่งพอ หรือไม่จดจ่อใช่ไหม (ใช่)  หากใจวอกแวกก็ฟังไม่รู้เรื่อง หูไม่รับฟัง ใจไม่เปิดออกใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้กายจะไม่ขยับเขยื้อนแต่ใจวุ่นวายก็ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ความนิ่งนั้นจะบังเกิดได้เมื่อมนุษย์เรารู้จักหยุด แม้กายจะเดินแต่ถ้าใจเรานิ่งเราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ  ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป กระทบมาแล้วก็ออกไปได้อย่างชัดเจนจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจไม่นิ่ง ใจคิดวุ่นวาย เดินไปเดินไปท่านอาจจะสะดุดล้มก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสักครู่อะไรมาโดนก็ไม่รู้สึก  เพราะว่าใจไม่อยู่กับกายใช่หรือไม่ หรืออยู่เหมือนกันแต่มัวคิดเรื่องอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วความนิ่งมีประโยชน์อะไรอีก ความนิ่งมีประโยชน์ทำให้เรามีสติใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีสติแล้วเรารู้จักใช้มโนธรรมสำนึกด้วยการกลั่นกรองเรื่องราวหรือเปล่า ถ้าใช้มโนธรรมสำนึกคอยกลั่นกรองเรื่องราวใจของเรา  เมื่อนิ่งมีสติมีมโนธรรมสำนึกกลั่นกรองเรื่องราวมีคุณธรรม คอยตรวจสอบและชะล้างตอนนั้นใจจะเที่ยง  เมื่อใจเที่ยงก็ย่อมเปิดกว้าง เมื่อเปิดกว้างก็ย่อมสะอาด เมื่อสะอาดก็ย่อมสว่างและใสในที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความนิ่งนั้นมีประโยชน์อย่างไร มีประโยชน์ตรงที่ว่ามนุษย์เรานั้นกายกับใจเคลื่อนไหวย่อมเคียงคู่กันไปใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเรายกตัวอย่างว่าใจนั้นมีคุณลักษณะเหมือนลมพัด กายมีคุณลักษณะเหมือนต้นหญ้า พอลมพัดต้นหญ้า หญ้าก็ไหว  ความคิดเป็นเมล็ดพันธุ์ของการปฏิบัติ เมื่อใจคิดการกระทำก็เริ่มออกมาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใจนิ่งมีมโนธรรมมีคุณธรรมมาคอยชะล้างเรื่องราวต่าง ๆ  กายของเราก็จะเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบเหมือนมีเครื่องกรองอยู่ในตัว กรองออกมาเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและดีงาม ไม่กระทบกระเทือนเบียดเบียนไม่ทำร้ายใครจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจไม่นิ่งอารมณ์ปรวนแปรอัตตาย่อมผูกมัด กิเลสตัณหาย่อมดึงดันจริงไหม แล้วเมื่อขยับเขยื้อนการกลั่นกรองก็เลยเป็นการผูกมัดและดึงดัน เวลาออกมาจึงไม่ค่อยเที่ยงก็ง่ายที่จะไปกระทบซ้าย กระทบขวา และง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่าที่จะนึกถึงคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้เมื่อเรียนรู้เป็นแล้วยังต้องระวังกลไกของร่างกายนี้ด้วยเพราะร่างกายนี้เหมือนเครื่องจักรถ้ากรองได้ดีเดินไปก็ไม่มีควันพิษจริงไหม (จริง)  เดินไปก็ไร้รอยคนด่าว่า  แต่ถ้าเครื่องจักรนี้ทำงานไม่ดีควันพิษก็ออก  เดินไปก็ทิ้งร่องรอยให้คนนั้นเก็บกวาดใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักที่จะใช้คุณธรรมมาปลูกฝังมโนธรรมในจิตใจ ไปเรียกร้องให้ตื่นขึ้นมา ตรวจสอบการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าแล้วก็มีความสุข
ฟืนสิ้นแต่ไฟดับ เคยได้ยินไหม  มีคำกล่าวว่า มนุษย์เรานั้นก็เหมือนกับกองถ่านกองหนึ่งใช่หรือไม่ บางครั้งจุดขึ้นมาทำสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ประโยชน์บางครั้งเพื่อตัวเองมากกว่าคนอื่นใช่หรือไม่ แล้วพอชีวิตใกล้หมดลงกลับมีคนบางคนมาช่วยเขี่ยให้ไฟนี้ลุกขึ้นมาใหม่ใช่หรือเปล่า เคยคิดบ้างไหมว่าใครจะช่วยเขี่ยท่าน แล้วเคยคิดบ้างไหมว่าเรานั้นคือถ่านดีๆ นั้นเอง แม้นถ่านดำแต่ให้เปลวไฟที่ส่องสว่างใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวดำแต่ใจไม่ดำดีหรือไม่จริงไหมดูเหมือนไร้ค่าแต่ถ้าก่อเมื่อไหร่ก็มีประโยชน์  บางครั้งเราไม่เคยแสดงตัวเองไม่เคยปฏิบัติตัวเองเพื่อคนอื่นแต่ถ้าลองขยับเขยื้อนจะทำสิ่งใดใครว่าไม่มีประโยชน์จริงไหม (จริง)ใครว่าเสียสละไม่เป็นจริงไหม แต่อยู่ที่ว่าก่อขึ้นมาแล้วก่อเพื่อตัวเองคนเดียวหรือก่อขึ้นมาแล้วช่วยเพื่อคนอื่นให้หายทุกข์ได้ด้วย แล้วเคยคิดบ้างไหมว่าเรานั่นแหละคือถ่านดีๆ นี่เอง เป็นถ่านเอาไหม เป็นได้นะ แล้วก็ดีด้วยใช่หรือไม่ แม้จะดำแต่ให้เปลวไฟที่ส่องสว่างใช่หรือไม่  ตัวดำแต่ใจไม่ดำจริงหรือไม่ (จริง)  ดูเหมือนไร้ค่าแต่ก่อเมื่อไรก็มีประโยชน์เหมือนกัน ตัวท่านก็เหมือนกัน บางครั้งเราไม่เคยแสดงตัวเอง ไม่เคยปฏิบัติตัวเองเพื่อคนอื่น  แต่ถ้าลองขยับเขยื้อนจะทำสิ่งใด ใครว่าไม่มีประโยชน์  ใครว่าเสียสละไม่เป็น จริงไหม (จริง)  แต่อยู่ที่ว่าก่อขึ้นมาแล้วก่อเพื่อตัวเองคนเดียวหรือว่าก่อขึ้นมาแล้วยังช่วยคนอื่นด้วย ให้หายทุกข์ได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ปกติชีวิตนี้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมวันนี้คงไม่รู้หรอกว่าชีวิตเราก็เป็นถ่านดีๆ นี่เอง เป็นหรือไม่เป็นตอนนี้ อยากเป็นถ่านไหม ใครอยากเป็นถ่านยกมือขึ้น สิ่งที่เราพูดว่าเป็นถ่านนั่นคือ ปณิธานความมุ่งมั่นหรือค่าของการมีชีวิตอยู่  ไม่ใช่บอกว่าเป็นถ่านก็เป็นถ่าน  แต่ความนัยของเราก็คือการใช้ชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าใช่หรือไม่ ฉะนั้นเห็นเราเล่นกับท่านอย่างนี้ เห็นเราพูดเหมือนไม่มีสาระ แต่ลองมองให้ดีๆ ว่าถ่านนั้นก็มีค่า เหมือนโลกใบนี้ อย่าบอกว่าผ้าชิ้นเดียวไม่มีประโยชน์  ผ้าชิ้นเดียวหากเอามาต่อกันอีกหลายๆ ชิ้นก็เกิดเป็นกระโปรงหนึ่งตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  คนหนึ่งคนอย่าบอกว่าไร้เรี่ยวแรง ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่หรอก หนึ่งเรี่ยวแรงลองทำ  ไม่แน่สองสามเรี่ยวแรงก็ตามมาช่วย แต่ถ้าไม่มีสักหนึ่งเรี่ยวแรงเลย แล้วจะมีใครล่ะทำดี จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นลองคิดให้ดีๆ  แล้วลองชั่งน้ำหนักให้ดีๆ ว่าสิ่งที่เราพูดกับท่านวันนี้ เราหลอกลวง ล้อเล่น หรือว่าจริงจังใช่ไหม (ใช่)  
เมื่อสักครู่เราพูดจบไปกี่เรื่องแล้ว (สี่เรื่อง)  เรื่องอะไรบ้าง เรื่องที่หนึ่ง (จิตสำนึก มโนธรรม)  แต่ยังไม่ถูกทั้งหมด (การปล่อยวาง, จิตนิ่ง)  จำได้ไหมเราพูดอะไรอีก  เราจะพูดเรื่องต่อไปแล้วนะ เราไม่สรุปแล้วนะ เพราะว่าเรื่องนั้นต้องไปเรื่อยๆ  ถ้าท่านไม่ไปกับเรา เราไม่ตัดทิ้งหรอกนะ แต่ว่าลองพิจารณาเรื่องอื่นต่อไปดีไหม เผื่อจะเอาไปใช้กับตัวเองได้บ้าง เพราะชีวิตของมนุษย์นั้นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สบายใจมากที่สุดก็คือความทุกข์  มีคำกล่าวว่า “มหาธรรมนั้นก็เปรียบเหมือนเรือ ตัวเรานั้นก็เปรียบเหมือนคนที่ว่ายอยู่ในทะเล โลกนี้ก็เปรียบเหมือนทะเลทุกข์” เราได้รับรู้ธรรมนั่นก็คือเราได้ขึ้นจากทะเลมานั่งอยู่บนเรือใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมานั่งบนเรือแล้วใช่ว่าจะไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าทุกข์นั้นเกิดจากตัวเองเป็นคนสร้าง แม้จะมีธรรมะแต่ถ้าเกิดว่าไม่รู้จักเอาธรรมะมาใช้ดับทุกข์ แม้นั่งอยู่ในห้องพระหรืออยู่ในวิหารอันมีเกียรติ ท่านก็ยังต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แม้จะอยู่ในวิหารแห่งพุทธะหรือวิหารของพระพุทธองค์ก็ตาม อย่างไรทุกข์ก็ยังต้องเกิด แต่เมื่อเราเจอทุกข์เราจะทำอย่างไรกับทุกข์ นี่คือเรื่องสำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าเราเทียบตัวอย่างง่ายๆ เหมือนท่านนั่งเรือ เวลาจะให้เรือออกท่านต้องทำอย่างไร (ช่วยกันพาย, แก้เชือก, นั่งเรือ)  ต้องมีอะไรก่อน (ถอนสมอขึ้น) แล้วมีอะไรอีก (มีจุดหมายที่จะไป) จะออกเรือก็ต้องมีจุดหมายที่จะไป เดี๋ยวพายวนไปวนมาในอ่างใช่หรือเปล่า (ใช่)  (สำรวจเรือ, ร่วมใจช่วยกันพาย)  ถ้าใครนึกไม่ออก ไม่เคยขึ้นเรือ ไม่เคยพายเรือ ก็นึกเหมือนการขึ้นรถ (กางใบ, ทดสอบเรือ)  ไม่มีใครตอบได้เลยหรือว่าเริ่มแรกทำอย่างไร (สำรวจดูเส้นทาง, ตรวจสอบสภาพอากาศ)  วันนี้จะได้ออกเรือไหม คิดกันเยอะเหลือเกิน ไม่มีใครบอกว่าเรียนพายเรือก่อนเลยหรือ  ทำไมเราจึงยกเรื่องเรือ  เพราะว่าเรือนั้นก็เปรียบเหมือนมนุษย์เราที่มีการแสวงหา เหมือนเวลาเราจะแสวงหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างเช่นท่านจะไปหาเงิน ก่อนจะไปหาเงินท่านต้องเป็นอย่างไร เตรียมพร้อมร่างกายใช่หรือไม่  ร่างกายไม่แข็งแรงไปหาเงินไหม ไม่ไป  จะค้าขายอะไร แล้วตัวเองค้าขายเป็นไหม เหมือนการที่เราให้ท่านคิดก็คือ คล้ายๆ กับตอนที่ท่านจะแสวงหาสิ่งหนึ่งในโลกมนุษย์ เมื่อรู้ว่าจะไปค้าขาย ต้องรู้ว่าตัวเองทำเป็นไหม ออกไปได้หรือเปล่า  ต้องดูว่าตัวเองมีทุนทรัพย์หรือเปล่าที่จะไปทำสิ่งใด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่จะไปทำอะไรก็ตามในโลกนี้ จะไปแสวงหาสิ่งใดก็ตามในโลกนี้ ถ้าขาดอย่างหนึ่ง การค้าขายนั้นก็อาจจะกลายเป็นการลักเล็กขโมยน้อย การไปประกอบอาชีพอาจจะกลายเป็นการเบียดเบียนและทำร้ายผู้อื่น ถ้าขาดสิ่งหนึ่งคืออะไร  (ความซื่อสัตย์สุจริต) ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ “คุณธรรมในการประกอบอาชีพ” นั้น ใช่หรือเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นครู พยาบาล นักเรียน ค้าขาย  ถ้าเกิดค้าขายอย่างขาดคุณธรรม คนก็ไม่อุดหนุน ค้าขายก็ไม่เจริญ  ถ้าไปเป็นนักเรียนหรือจะไปเอาความรู้ แต่ชอบแอบลอกข้อสอบ ไม่มีความขยันพากเพียรมีแต่ความเกียจคร้าน ความรู้ก็ย่อมไม่ได้มา  แปลว่าจะต้องมีคุณธรรมในการเป็นสิ่งนั้นด้วย จะขาดเสียมิได้ เพราะถ้าขาดเมื่อใด ท่านมิอาจจะเป็นสิ่งนั้นได้ดีและสมบูรณ์ หรือไม่อาจจะเป็นสิ่งนั้นได้สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะพูดก็คือ สังเกตว่าพอเรือออกไปแล้ว เราเจอพายุมาโหมกระหน่ำ กำลังจะเข้ามาอยู่ข้างหน้า เราจะทำอย่างไรดี (พายเรือหนี, ใส่เสื้อชูชีพ, พายเรือกลับไปตั้งลำใหม่)  แสดงว่าพอเจอปัญหาเราก็วิ่งกลับไปเริ่มต้นใหม่ จะกลายเป็นแบบนั้น ต้องคิดให้ดี  เวลาเรียนลำบากจะโยนตำราทิ้งเลยหรือ (ตั้งสติแล้วหาทางแก้ไข)  เห็นเราเล่นๆ แบบนี้ แต่ก็อยากให้ท่านตอบแบบใช้ปัญญา  มีแต่คนบอกว่าตั้งสติแล้วค่อยๆ แก้ไข  แต่มักจะเป็นอย่างไร เวลามนุษย์เราเจอความทุกข์ประเดประดังเข้ามา ทำอย่างไรดี สติตั้งไม่ค่อยอยู่  ถ้าเกิดว่าเอาเรือออกไปแล้วเจอพายุเราต้องลดใบเรือลงก่อน พอลดเสร็จก็ต้องคำนวณเวลาดูว่าหักเลี้ยวนั้นจะทันหนีไหม  ถ้าเกิดหักเลี้ยวไม่ทัน สู้ฝ่าเผชิญย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ฝ่าเผชิญแรงปะทะมากเท่าไร โอกาสคว่ำย่อมมากเท่านั้น  ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดเวลาจะฝ่าเผชิญความทุกข์ยาก ฝ่าเผชิญความยากลำบากนั่นก็คือเปิดประตู หน้าต่างทั้งหมดของเรือ  เวลาลมกระทบมา แรงกระทบก็น้อย แล้วก็ทะลุผ่านไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดปิดประตู หน้าต่าง แล้วก็กางใบเรือให้สูง แรงกระทบมาก และโอกาสพลิกคว่ำสูง  คิดกลับกัน เมื่อเราเจอทุกข์ หากเราถืออัตตาตัวตนสูง เวลาความทุกข์มากระทบจิต กระทบมาก  ถ้าเกิดเราลดอัตตาให้เบาบาง เปิดใจให้ออกกว้าง สิ่งที่มากระทบจะเป็นอย่างไร เหมือนกับเรือไหม โอกาสที่จะผ่านไปย่อมง่าย  แต่ถ้าเราปิดประตูหน้าต่าง เวลาเจอทุกข์ก็บอกต้องพยายามใช้สติฝ่าออกไป แต่ถ้าใช้สติฝ่าออกไป แล้วใจเราไม่เปิดกว้างพร้อมจะรับรู้และพยายามแก้ปัญหา โอกาสที่จะกระทบเรื่องราวย่อมเจ็บมาก และกว่าจะฝ่าได้ย่อมทุกข์มากกว่า  ฉะนั้นเมื่อเจอทุกข์ หนึ่งลดอัตตาตัวตน สองเปิดใจให้ออกกว้าง สามจึงค่อยคิดพิจารณา และค่อยๆ ฝ่าออกไป   ไม่ใช่พอเจอทุกข์ชนเลย หรือไม่ก็หนี แล้วกลับมาเจอใหม่แล้วก็หนี แบบไหนดี คิดเอา
ทีนี้รู้วิธีดับทุกข์แล้ว ว่าเจอทุกข์ให้ทำอย่างไร  ต่อไปก็คือเวลามีสุขท่านต้องพยายามตั้งสติให้ดี อย่าหลงใหลในความสุข อย่าปล่อยให้ความสุขนั้นทำให้ท่านเผลอไผลไปทำผิดอีก หรืออย่าปล่อยให้ความสุขนั้นทำให้ท่านหลงจนมองไม่เห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้  มนุษย์เรานั้นสิ่งที่สำคัญและย้ำให้มนุษย์เป็นคนประเสริฐได้นั่นก็คือคุณธรรม ถ้าพูดให้ลึกเข้าไปอีกนั่นก็คือ สำนึก  ท่านมีความสำนึกในความเป็นคนมากเพียงใด  หากมีความสำนึกในความเป็นคนที่ประเสริฐสูงมาก จงพยายามรักษาสิ่งนั้นให้ดี แล้วเอาสิ่งนั้นมาคอยยับยั้งไม่ให้ตัวเองเผลอทำผิด  รักโลภโกรธหลง เป็นกิเลสที่ทำให้มนุษย์นั้น เผลอไผลและลื่นไหลได้ง่าย จนยากที่จะบำเพ็ญได้มั่นคง  
บำเพ็ญธรรมนั่นคืออะไร ตั้งแต่เราพูดมาจนถึงตอนนี้ เราสรุปให้ท่านฟังง่ายๆ คือว่าบำเพ็ญธรรมก็คือการชะล้างสิ่งที่ไม่ดี และเอาคุณธรรมมาสาดส่องตัวตนเองว่า มีสิ่งใดที่ควรชะล้าง มีสิ่งใดที่ควรเก็บไว้ นี่คือการบำเพ็ญธรรม  เมื่อทำได้หรือช่วงที่ทำอยู่นั้น มีโอกาสเห็นใครตกทุกข์ได้ยาก จงเอาธรรมนี่แหละไปช่วยเขา  ในโลกนี้สิ่งที่เป็นสิ่งที่เอื้อให้คนเราอยู่ร่วมกันได้ นั่นก็คือการเสียสละ การมีน้ำใจให้แก่กัน  เสียสละเงินทองท่านก็เห็น เสียสละแรงกายช่วยผู้อื่นท่านก็เคยเห็น  แต่เสียสละคุณธรรมของตัวเองแล้วชักนำให้ผู้อื่นเห็นคุณธรรมในตัวตน ท่านยังไม่เคยเห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนๆ หนึ่งจะทำคุณธรรมหรือจะทำความดีได้นั้น ต้องยืนหยัดและยืนนานด้วย  หากไม่ยืนหยัดไม่ยืนนานท่านจะบำเพ็ญและเอาคุณธรรมนั้นไปช่วยเขาไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่ท่านเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ สิ่งหนึ่งที่ช่วยเขาได้นั่นคือคำพูดอย่างดีมีธรรม คำพูดด้วยเมตตาธรรม คำพูดด้วยเห็นใจเขา  เมื่อไรที่ท่านพูดโดยที่ต้องการช่วยจริงๆ ไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังเอาหน้า ไม่หวังชื่อเสียง นั่นแหละคือการบำเพ็ญแล้ว ง่ายไหม (ง่าย)  ท่านช่วยเขาได้อย่างหนึ่งคือเอาคุณธรรม เข้าไปพูดกับเขาว่า เป็นคนต้องรู้จักปลง ต้องรู้จักปล่อยวาง  หรือว่าเจอทุกข์ต้องฮึดสู้ เอาชนะแล้วฝ่าออกไปให้ได้  แต่ชนะจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปชนะเขา แต่ชนะใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการบำเพ็ญตน เอาธรรมะของตนไปสาดส่องให้เขาเห็นธรรมะในตัวเขานี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญธรรม ฉุดช่วยเขาซึ่งจิตใจ ฟื้นฟูเขาให้เขาค้นพบพุทธจิตที่มีธรรมะ เรารู้ว่าน้ำสกปรก เพราะเราเคยมีน้ำสะอาด  จิตใจเราที่เคยแปดเปื้อนสกปรก ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยสะอาด หรือไม่ใช่ว่าเราจะสกปรกแล้วไม่มีสะอาดเลย จิตมนุษย์เป็นสิ่งที่แปลก เราอยากบอกท่าน มีทั้งดีและร้าย มีทั้งน้ำขุ่นและน้ำใสในตัวเดียวกัน  แต่ถ้าเมื่อไรท่านสามารถยืนหยัดและยืนนาน ความดีไม่จำเป็นต้องประหัตประหารความชั่วร้าย  ความชั่วร้ายนั้นจะหายไปเอง ไม่จำเป็นต้องไปชี้ให้หน้าคนอื่นเขาเปลี่ยนแปลง เขาจะเปลี่ยนแปลงเองด้วยการที่เรายืนหยัดธรรมด้วยมั่นคงและยั่งยืนนาน  จึงมีคำกล่าวไว้บอกว่า ถ้าท่านรักเขาเมตตาเขา มีหรือเขาจะไม่รักท่านเมตตาท่าน  ถ้าท่านดีได้เที่ยงแท้ ได้ยิ่งยืนนาน ดีได้มั่นคง มีหรือลูกหลานจะกล้าทำผิด และหลอกลวงเรา  ฉะนั้นสิ่งที่เริ่มต้นและควรจะเรียกร้องคือสิ่งที่ขาดหายไปในโลก และมีอยู่ที่ใด ก็อยู่ที่ตัวเราจะเริ่มต้นไหม มนุษย์โลกนั้นจะให้คนๆ หนึ่งเสียสละทำ ย่อมเป็นการยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเสียสละแล้ว ทำออกไปแล้ว จะให้สมบูรณ์ทันทีก็ยิ่งยากอีกเหมือนกัน  แต่ว่าเมื่อเราได้รับแล้ว เราจะรักษาให้ดีหรือเราจะเอาไปทำร้าย  ถ้าท่านรักษาดี เขาก็ทำบุญถูกคน  เพราะฉะนั้นอย่าได้มองสำรวจแต่เขา  แต่บางครั้งให้ผู้รับต้องสำรวจตนเองต่างหาก  ว่าเป็นผู้รับ รับแล้วเราไปทำให้เกิดดี หรือรับแล้วไปทำร้ายบุญเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วลองคิดกลับ ตัวเราเวลาจะเสียสละทำให้คนอื่นสักทีหนึ่ง กว่าจะออกได้สิบบาทคิดแล้วคิดอีกจริงไหม พอให้สิบบาทก็รู้สึกว่าได้บุญ แต่เขากลับเอาไปใช้เล่นการพนัน แล้วไปว่าเราเสียๆ หายๆ ว่าโง่  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ทั้งผู้ให้และผู้รับ อย่าได้สำรวจแต่ผู้ให้ แต่บางครั้งผู้รับต้องสำรวจตัวเองด้วยจริงหรือไม่ (จริง)  อย่าว่าเขาหลอกลวง ต้องสำรวจตัวเองด้วยว่าหลอกลวงเขาหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าศิษย์พี่สรุปให้ฟังง่ายๆ ว่า การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มีเพื่อชดใช้กรรม และมีเพื่อสร้างกรรมหรือสร้างบุญ
ศิษย์น้องก็เหมือนคนที่ได้ขึ้นบนเรือธรรมะแล้ว แต่ขึ้นมาฟังธรรมะ ขึ้นมาแล้วจะบำเพ็ญธรรมหรือเปล่าขึ้นอยู่กับตัวศิษย์น้อง ช่วงนี้หรือโลกใบนี้อาจจะเหมือนราตรีที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทราหรือแสงคุณธรรมเพียงเล็กน้อย  หากรักษาจิตใจให้คงมั่น แม้อยู่บนโลกที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งที่เลวร้าย แต่ถ้าจิตใจปลูกฝังแต่สิ่งที่ดี ศิษย์น้องก็จะเดินฝ่าความเลวร้ายนี้ได้อย่างเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าจิตใจปลูกฝังแต่สิ่งที่ไม่ดี ถึงแม้แวดล้อมจะดี ท่านก็ต้องทุกข์จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นลมพัดให้หญ้าไหวเพียงใด หญ้าก็อย่าได้มัวแต่มองตัวเอง  แต่ต้องอย่าลืมตรวจสอบใจตัวเองนี้ด้วยใช่ไหม  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกไปแล้วว่า ลมเหมือนใจ หญ้าเหมือนกาย คุณธรรมของตัวท่านก็เหมือนกัน  ถ้าท่านทำได้ดีก็เหมือนลม คนอื่นก็เหมือนหญ้าที่คอยพัดตามเรา แต่ถ้าท่านทำไม่ดี ลมมาอย่างไร หญ้าก็ไม่สนจริงไหม (จริง)  อย่ามัวแต่สนใจร่างกายนี้มาก  บางครั้งก็ต้องหาเวลาให้ตัวเองมารักษาจิต รักษาใจ และฟื้นฟูคุณธรรมดีหรือเปล่า (ดี)
ปัจจุบันนี้ยิ่งนับวันจิตใจคนยิ่งน่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความน่ากลัวนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีดี ดังคำว่า “ทองคำแม้จะล้ำค่า ก็สู้น้ำใจอันงดงามของมนุษย์ไม่ได้”  ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำนี้หรอก จริงไหม (จริง)  ทะเลแม้จะกว้างก็สู้จิตใจของมนุษย์ที่เปิดกว้างพร้อมจะช่วยเหลือคนไม่ได้เหมือนกัน อย่าได้ดูถูกดูเบาตัวเองว่าเป็นคนไม่ดี  เปลี่ยนความไม่ดีนั้นให้เป็นความดี แล้วรักษาความดีให้ยิ่งยืนนาน ท่านก็คือคนดีนี่เอง  เมื่อไรที่ดีได้ยิ่งยืนนานท่านก็สามารถเป็นพุทธะได้  แต่ดีแล้วต้องรู้จักช่วยคนด้วยนะ  ช่วยคนแล้วจะช่วยได้อย่างไรล่ะ  เมื่อไรที่คิดถึงตัวเอง อย่าลืมคิดถึงผู้อื่น เมื่อไรที่ช่วยตนเอง อย่าลืมเอื้อมมือไปช่วยผู้อื่น นี่แหละคือพุทธะ
ขอบคุณผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกคนนะ ศิษย์น้องน้อยๆ ของศิษย์พี่ที่อยู่ข้างหน้าแล้ว คุณธรรมต้องหมั่นส่งเสริมในจิตใจตนเองนะ  แล้วก็อย่าเป็นเด็กเกียจคร้านสันหลังยาวนะศิษย์น้อง เพราะนี่ก็ใกล้จะไม่มีงานประชุมธรรมแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าหลงระเริงในโลกมากรู้หรือเปล่า  แล้วก็อย่าเกียจคร้านในการขัดเกลาตัวเอง  รู้ว่าตัวเองมีผิดก็จงแก้ไขตัดทิ้งเสีย มีโอกาสก็รีบฉุดช่วยคน  เขายังไม่เชื่อก็หมั่นเอาคุณธรรมไปให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ห่วงข้างหน้าแล้วก็ห่วงข้างหลัง ท่านลองเป็นพุทธะดูแล้วจะรู้  เป็นแล้วมีความสุข แต่มาเจอมนุษย์แล้วสุขจริงๆ  ไม่รู้จะสุขอย่างไรให้ท่านได้เห็นความสุขที่แท้จริง  โลกมนุษย์นี้ที่บอกว่าสุขนั้น ยังสู้ไม่ได้กับนิพพานเบื้องบน จิตใจมนุษย์ที่ว่าดีแล้ว บางทีสู้ไม่ได้กับใจแห่งพุทธะ  เป็นแล้วต้องเป็นให้ดี อยู่แล้วต้องอยู่ให้รอด แต่รอดแล้วคิดเผื่อคนอื่นด้วยได้ไหม (ได้)  อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่ารังแกตัวเอง และอย่าเข้าข้างตัวเองจนเกินไป  ไม่อย่างนั้นจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในตัวเองไม่ได้จริงไหม (จริง)  ลองสละเวลาที่ตัวเองคิดว่ามีความสุขที่สุด แบ่งปันไปช่วยคนอื่นบ้าง แล้วเมื่อยามตัวเองทุกข์จะไม่โกรธและไม่ต่อว่าคนอื่นเลยที่ไม่ช่วยเรา จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านไม่เคยช่วยใคร  ก็น่าจะโกรธและต่อว่าตัวเองที่ตอนสุขไม่ยอมช่วยใครต่างหากจริงไหม (จริง)
ไปแล้วนะ ขอให้ตั้งใจฟังธรรมะให้ดี อย่าคิดว่าเรามาหลอกเลย เราคือศิษย์พี่ของท่าน ไม่เจอกันวันนี้ก็ขอให้เจอกันวันหน้าที่เบื้องบนดีไหม (ดี)  อย่าหลงในโลกนี้เลยนะ โลกนี้ไม่น่าอยู่หรอก อยู่แล้วเจ็บใจ ใช่หรือไม่ 


วันอาทิตย์ที่  ๒๗  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

โลกมนุษย์ไม่ใช่แดนอันเปี่ยมสุข ขอศิษย์ปลุกจิตตนด้วยตนหนา
พาแดนสรวงมาสู่ใจของตนนา อวิชชาขจัดสิ้นเดินทางธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ที่วุ่นวาย  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมบำเพ็ญหรือไม่

จะทำอะไรตั้งใจเป็นหลัก  ก้าวเดินหนักแน่นมีทิศทาง  ต่อเติมแรงใจให้มีพลัง  จะทุ่มเทกำลังฝ่าไป  สายธารอาจจะกลายแล้งไป  หนึ่งชีวาอาจมีเพียงพอ  กับสิ่งที่เราเพียรต้องการ  ขอเพียงอย่าหมดความหวังไป  อย่าไปท้อเพราะทุกข์นานๆ  คงมีสักวันได้พ้นคืน
? ศึกษาบำเพ็ญฝึกฝนให้ดี  หากหลงโลกีย์ไม่รู้วันหน้าอีกไกลถึงไหน  หากแม้นลองเพียร  แต่มิเป็นดังใจ  ก็จงภูมิใจอย่างน้อยเคยรุดสุดหัวใจ  กล้าที่จะฝัน  กล้าวิ่งไล่ตามฝันงดงาม  (ซ้ำ ?)

ทำนองเพลง  :  คนสุดท้าย
ชื่อเพลง  :  ลองดูสักครั้ง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้สึกเหมือนเป็นเด็กนักเรียนไหม  เวลาที่ครูเดินไปตรวจการบ้านก็ทำ เวลาครูเดินผ่านไปก็แอบๆ ไม่ทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อครู่ตอนที่ให้พายเรือมีใครกินแรงคนอื่นหรือเปล่า  แท้จริงแล้วมีบางคนไม่ยอมทำ  แต่พออาจารย์เดินไปถึงก็ทำขึ้นมาเองทันที เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น)  โกหกหรือเปล่า มนุษย์นั้นชอบโกหกใช่หรือไม่  ใครเป็นคนชอบโกหกคนอื่นยกมือขึ้น เผื่อบาปกรรมจะได้เบาบางลงบ้าง ไม่ดีหรือ  ใครคิดว่าตนเป็นคนชอบโกหกหรือเป็นคนเคยโกหกมาก่อนลองยกมือดีไหม  ถ้าใครบางคนไม่ยกแสดงว่าคนนั้นโกหกอยู่ใช่ไหม  ชอบโกหกไหม (ไม่ชอบ)  แต่ทำหรือเปล่า (ทำ)  ทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบอย่างนั้นหรือ  เราไม่ชอบโกหกแต่เราโกหกใช่ไหม (ใช่)  บางคนก็ไม่ได้เจตนาที่จะเป็นคนที่โกหก เพียงแต่พูดไปแล้วมันทำไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เหมือนโกหกไหม (เหมือน)  คิดว่าคนเรานั้นเกิดมาเป็นคน พูดคำพูดไปก็ตั้งเยอะตั้งแยะ มันก็ต้องมีคำพูดที่เป็นเท็จบ้าง  เป็นคำพูดที่ไม่จริงบ้างใช่หรือเปล่า  ทีนี้เราจะทำอย่างไรดี จะให้จิตมาควบคุมอายตนะของเรา หรือเราจะให้อายตนะมาควบคุมจิตของเรา (จิตควบคุมอายตนะ)  ต้องเอาจิตของเราควบคุมอายตนะของเราใช่หรือไม่  หู ตา จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ  รู้จักไหม  เรารู้จักสิ่งเหล่านี้ดีเพราะสิ่งเหล่านี้นั้นส่องกระจกก็มองเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รู้จักง่าย แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้จักเขาเลย เพราะเราไม่สามารถจะควบ  คุมหูของเราได้  เราไม่สามารถจะควบคุมตาของเราได้  เราไม่สามารถจะควบคุมปากของเราได้  เราไม่สามารถจะควบคุมใจของเราได้  เราไม่สามารถจะควบคุมอายตนะของเราได้  ดังนั้นตอนนี้บอกว่าเรารู้จักก็คือไม่รู้จัก ใช่หรือไม่ (ใช่)   ส่วนจิตใจของเราแล้ว เรารู้จักไหม (รู้จัก)  จิตใจเป็นส่วนที่เก็บความรู้สึก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ในจิตใจของเรา เราชอบอะไร  รักอะไร เกลียดอะไร หลงอะไร ทำอะไร จิตใจของเรา เรารู้อยู่ เรารู้จักจิตใจของเราเอง แต่ทว่ารู้จักไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลกนะ สิ่งที่เราบอกว่าเรารู้จัก จริงๆ แล้วเรายังไม่รู้จัก ส่วนสิ่งที่เราบอกว่าเรารู้จักแล้ว กลับรู้จักไม่ถ่องแท้  มนุษย์ในโลกเป็นแบบนี้คิดว่าไปรอดไหม (ไม่รอด)  ที่อาจารย์พูดมาเป็นความจริงไหม
พุทธะจึงบอกว่ามนุษย์นั้นไม่รู้จักตนเอง เชื่อหรือยัง (เชื่อ)  ฉะนั้นการที่บอกว่าเราไม่รู้จักตนเองนั้นก็ไม่ผิด แต่ถามว่ารู้จักตนเองบ้างไหม ก็รู้อยู่บ้างใช่หรือไม่  อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราต้องการทำอะไร แต่เราไม่ไปทำ  ฉะนั้นการที่คนหนึ่งคนอยู่ในโลกนี้จะประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าเราฝืนจิตใจของตัวเราเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเรื่องโกหก จริงๆ แล้วไม่ได้อยากโกหกเลย แต่ทว่ามันก็เป็นอย่างนั้นไปเอง เราก็ทำอย่างนั้นไปเองไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี เหตุผลของมนุษย์นั้นมีอยู่มากจริงๆ  แล้วก็ต่างเป็นเหตุผลที่สัมพันธ์กับตัวเองทั้งนั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นเหตุผลที่เข้าข้างตัวเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นมาฟังธรรมะนี่ก็เพื่อที่จะให้เรานั้นกลับมารู้จักตนเอง ก็เพื่อให้เรากลับไปฟื้นฟูจิตใจของเราเอง ด้วยการบำเพ็ญธรรม  วันนี้เป็นวันที่สองแล้วหากยังไม่สามารถยอมรับความจริง ยังไม่สามารถที่จะรู้จักตนเองได้  เดี๋ยวเรากลับไปเราก็เป็นเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยโกหกอย่างไรก็กลับไปโกหกอย่างนั้น เคยทำบาปโดยไม่ตั้งใจอย่างไร ก็ทำบาปไปโดยไม่ตั้งใจอย่างนั้น  แล้วก็ตกนรกไปโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่อาจารย์พูด อาจารย์ไม่ได้แช่ง แต่เป็นการเตือนให้เรารู้ว่าเรายืนอยู่ปากบ่อนรก และมือนั้นเอื้อมไปถึงสวรรค์  ทำไมเราไม่ถอยออกมาจากบ่อนี้ แล้วเอามือเอื้อมไปเหนี่ยวตัวเอง ฉุดตัวเองให้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์  คิดว่าการตัดสินใจโดดลงไป กับการยึดตัวเองแล้วดึงตัวเองขึ้นไปข้างบน อย่างไหนเหนื่อยกว่ากัน อย่างไหนง่ายกว่ากัน แต่คนที่รู้จักตัวเองย่อมรู้ว่าเรื่องง่ายๆ  วิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ ที่เราใช้กันอยู่ที่อยู่ในโลก นำมาซึ่งภยันตราย อันตรายอยู่เบื้องหน้าของเรา  เราตัดสินใจเพียงหนึ่งครั้ง แต่เหมือนตัดสินใจไปตลอดชีวิต  บางเรื่องเริ่มตัดสินใจวันนี้ แต่มีผลไปสิบปี  บางเรื่องตัดสินใจดีเพียงครั้งเดียวให้ผลถึงสิบวัน  ทำไมถึงไม่เท่ากัน สิบปีกับสิบวัน เพราะปัจจัยต่างๆ ในโลกนี้  โลกนี้มีคนดีหรือคนชั่วมากกว่า (คนชั่ว)  เมื่อศิษย์ปักใจว่าคนชั่วมากกว่าคนดี  รอบๆ ตัวศิษย์จึงเป็นคนชั่วหมด มีแต่ศิษย์เท่านั้นที่ดี อย่างนั้นไหม (ไม่ใช่)  มองใหม่สิ มองรอบๆ นั้นให้ดี รอบๆ นั้นยังมีคนดี แล้วการตัดสินใจของเราครั้งเดียวอาจจะยืนความดีของเราไปได้ถึงสิบปี  
ทุกอย่าง ทั้งโชค วาสนา เคราะห์ภัยต่างๆ เกิดมาจากมนุษย์และต้นตอนั้นมาจากจิตใจ ทั้งความดี ความชั่ว ทั้งโชคลาภ ทั้งเคราะห์ภัย เราเลือกอะไรก็มองว่าจิตใจของเราเป็นอย่างนั้น   หากว่าเราเป็นคนที่มีจิตใจดี  มองไปรอบๆ  รอบข้างก็ดี เราก็คิดที่จะทำดี  เมื่อคิดจะทำดี เรา  ก็ย่อมได้รับผลดี ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ตอนนี้เรามองรอบๆ เราไม่ใช่คนดีเท่าไร ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง บางทีก็คิดว่าตนเองนั้นดีกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ  ฉะนั้นความดีที่ศิษย์สร้างขึ้นมานั้นจึงเป็นเรื่องชั่วคราวเพราะว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่สร้างขึ้นมา คือจิตใจที่หวังสร้างความดีนั้น ลึกๆ เป็นจิตใจที่ดี แต่แฝงไว้ด้วยความไม่ดี  เป็นคนดีที่จิตใจนั้นมีความไม่ดีแฝงตัวอยู่แล้วพร้อมที่จะปรากฎเสมอๆ ใช่หรือไม่
อาจารย์ขอศิษย์พายเรืออีกสักรอบได้ไหม หัวหน้าชั้นนำพาดีๆ  หัวหน้าชั้นผู้หญิงมีลูกแถวยาวยิ่งกว่าผู้ชาย แต่ว่าผู้หญิงเป็นคนที่อ่อนนอก แต่แข็งข้างใน มีจิตใจที่แข็งแกร่งใช่ไหม ส่วนผู้ชายนั้นแข็งข้างนอก แต่มีความอ่อนโยนอยู่ข้างใน เป็นคนที่มีความเมตตาอยู่ในจิตใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรานำสองอย่างนี้มาช่วยกัน แล้วทุกๆ อย่าง ปัญหาทุกๆ เรื่องก็จะไปอย่างราบรื่น และเรือธรรมของเราก็จะพายไปถึงฝั่งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวอายที่จะทำความดี อย่ามัวอายที่จะพายเรือในครั้งนี้
ใช้อะไรรับอาจารย์ (ใจ)  ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้  เป็นใจที่ศรัทธาไหม  
“ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมบำเพ็ญหรือไม่”  พร้อมหรือไม่ (พร้อม)  ไม่รู้มีใครโกหกโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า  การทำลักษณะให้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมทำง่าย  ดูภายนอกว่าเป็นคนที่กำลังบำเพ็ญทำง่าย  แต่การบำเพ็ญลงไปถึงจิตใจของตัวเองจริงๆ ทำยาก  หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่ถ้ามองแต่ลักษณะภายนอกก็คือกำลังบำเพ็ญตน  แต่ว่าจิตใจจริงๆ แล้ว กำลังบำเพ็ญอยู่หรือเปล่านั้น คงมีแค่ตัวเองเท่านั้นที่เป็นคนบอกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าจิตใจของเรานั้น ยังรักพี่เสียดายน้อง อยากจะบำเพ็ญธรรมแต่ในขณะเดียวกันก็ยังอยากรวย  คนที่อยากรวยก็ไม่มีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเวลาทั้งหมดก็ใช้ไปกับการหาเงินทอง ใช่หรือเปล่า  อาจารย์ถามหน่อย โลกนี้ใครรวย มีใครรวยไหม (ไม่มี)  โลกนี้ไม่มีคนรวย เพราะว่าคนนั้นไม่รู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่รู้จักพอนั้นเป็นคนที่รวยที่สุด ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เมื่อเรารู้เช่นนี้นั้นเราอยากที่จะรวยไหม (อยาก)  แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังเป็นจิตใจที่ไม่เข้าใกล้ชิดกับธรรมะเพียงพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ในเมื่ออาจารย์ถามว่าโลกนี้ใครรวย ก็บอกว่าไม่มี ไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีใครรวยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็คงไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าเราอยากรวยก็ต้องรู้จักพอ แล้วรู้จักพอหรือยัง (ยัง) วันหนึ่งให้ใช้ห้าสิบบาทพอไหม (ไม่พอ)  ใช้ร้อยหนึ่งพอไหม (พอ)  แล้วได้ร้อยหนึ่งไหม (ไม่ได้)  แสดงว่าต่อให้อยากได้ ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้น ที่เรามีอยู่ก็มีความสุขกับเท่าที่เรามี เราจะได้ไม่ต้องมีจิตใจที่ทุกข์ร้อน  จิตใจที่ทุกข์ร้อนก็เหมือนกำลังทอดปลา  ปลาในกะทะนั้นก็คือใจของเราเอง น้ำมันคือความรวย  ทอดไปแล้วเข้าเนื้อปลาไหม  เวลาเราทอดปลานั้น น้ำมันไม่ค่อยจะเข้าตัวปลาเท่าไรหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าน้ำมันก็ยังเหลือในกะทะเยอะแยะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมุติว่าเราเป็นปลา จิตใจเราต้องการที่จะมั่งมี  เอาตัวเองลงไปทอดยังไม่พอ ดิ้นรน ร้อนรนยังไม่พอ ความรวยนั้นก็ไม่ได้เข้ามาสู่ตนเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในความเป็นจริงก็คือ ทอดเท่าไร น้ำมันก็ยังเหลือ  ขนาดปิดเตา เอาปลาแช่ลงไปเฉยๆ อย่างนั้น  น้ำมันก็ยังไม่เข้าตัวปลาจนหมด ในความเป็นจริงก็เหมือนอย่างนี้  เราไม่สามารถที่จะมั่งมีอย่างที่ใจของเรานั้นต้องการ  โลกนั้นมีแต่ภาพลวงตาและหลอกล่อ ให้เรานั้นรู้และให้เราอยากได้  ในที่สุดแล้วเมื่อเราไม่ได้มา จิตใจของเราก็เป็นทุกข์  ความทุกข์นั้นมีอยู่มากมาย ตั้งแต่จิตใจออกไปจนถึงภายนอก  ไกลไปพันกิโล หมื่นกิโล แสนกิโล ไปจนทั่วโลกนี้ก็มีแต่ความทุกข์ ไม่ว่าศิษย์จะอยู่ที่ไหน บางคนบอกว่าไปเที่ยวให้จิตใจสบาย  แต่ความทุกข์ถูกขังอยู่ในใจ ถามว่าเที่ยวไปถึงไกล ไม่พบหน้าใครที่เรารู้จักเลย ถามว่ามีความสุขไหม  แล้วความทุกข์อยู่ที่ไหน (ใจ)  อยู่ที่ใจของเรา  ความสุขอยู่ที่ไหน (ใจ)  ทุกวันนี้มีทุกข์มากกว่า หรือสุขมากกว่า (ทุกข์มากกว่า)  แล้วความสุขไปไหน  จริงจังกับคำถามของอาจารย์นิดหนึ่ง ถ้าศิษย์อยากมีชีวิตที่มีความสุข  ถ้าหากไม่อยากมีชีวิตที่มีความสุข ก็ไม่ต้องฟังก็ได้  ใครอยากมีชีวิตที่มีความทุกข์บ้างยกมือหน่อย ไม่มี  ทุกคนอยากมีชีวิตที่มีความสุข  แล้วความสุขได้มาด้วยอะไร ด้วยการที่เรานั้นตั้งใจฟัง แล้วกลับไปทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรากลับไปทำเหมือนเดิมก็ทุกข์เหมือนเดิม  ถ้าหากว่าเราฟังสิ่งใดแล้วเรานำกลับไปปฏิบัติในสิ่งที่ดี  เราย่อมมีความสุขมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ทีนี้ตอบอาจารย์ว่า สุขของศิษย์ไปไหน  ลองคิดดู  
อาจารย์ก็เห็นมนุษย์ในโลกนี้ทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้ประจำอยู่แล้ว  หลายคนชอบทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ยังจะทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บำเพ็ญเป็นพุทธะยากไหม (ยาก)  แต่ว่าถ้าบำเพ็ญแล้วอาจจะได้ก็ได้ใช่หรือไม่  (ใช่)  เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ครั้งนี้น่าลองไหม (น่าลอง)  ลงทุนแค่ชีวิตที่บำเพ็ญ แล้วผลที่ตอบกลับมาก็คือความสุขชั่วนิรันดร์  ไหนๆ ตอนอยู่ในโลกก็ชอบทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรที่เขาบอกว่ายากชอบทำใช่หรือเปล่า ฉะนั้นการบำเพ็ญครั้งนี้ก็ลงทุนชีวิตของเราลงไป  ไม่ใช่ลงทุนชีวิตแล้วมาขลุกกับสถานธรรม  แต่ว่าไม่ว่าเราจะไปหนใด  ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน  ไม่ว่าจะยามตื่นหรือยามหลับ  ทำเพื่อผู้อื่น ยิ่งทำเพื่อผู้อื่น จิตใจนั้นจะยิ่งอ่อนโยนลง ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนที่มีจิตใจที่แข็งกระด้าง ยิ่งทำเพื่อผู้อื่นก็ยิ่งอ่อนลง  ยิ่งทำเพื่อผู้อื่นก็ยิ่งมีความเมตตามากขึ้น  รู้จักที่จะเสียสละมากขึ้น  คนที่ตระหนี่ก็จะเลิกตระหนี่  คนที่เคยเกลียดคนอื่นก็จะเลิกเกลียด  ถ้าหากว่าอยากขึ้นสวรรค์ไม่ต้องรอให้ตาย ขึ้นสวรรค์ตั้งแต่มีร่างกายเป็นมนุษย์นี้แหละ  ดีไม่ดี  (ดี)  ด้วยการที่เรารู้จักที่จะทำเพื่อผู้อื่น คำๆ นี้อยากจะให้จำไว้ในใจ  จำไว้ในใจคือทำเพื่อผู้อื่นให้มาก  ทำเพื่อตนเองให้น้อยลง  ชีวิตนั้นจะได้มีความสุขมากขึ้น เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ)  เพราะว่าตลอดมานั้นเราทำเพื่อตัวเองมาเยอะก็ยังไม่มีความสุขสักทีใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์บอกว่ามีหลายเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้วมนุษย์ชอบทำ  แล้วบางเรื่องทำก็ประสบความสำเร็จด้วย  หลายเรื่องทำก็ประสบความสำเร็จด้วย  อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ทำสำเร็จ  นิพพานที่บอกว่าไกลเกินเอื้อมทำไมไม่ลองเอื้อมดู  กลัวอะไรกับความเหนื่อย สนใจไปทำไมกับอารมณ์ที่ท้อและขึ้นๆ ลงๆ ของตัวเอง ถ้าหากว่าเรามีความมั่นคงพอ  ไม่ว่าจะเรื่องร้ายแค่ไหน  ถ้าหากว่าจิตใจของเรานั้นเป็นจิตใจที่เบิกบาน  เราจะสามารถแปรอุปสรรคนั้นให้เป็นกำลังกับตัวเองได้ทีเดียว  เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ)  
เรื่องที่รู้มานี้  เรื่องที่อาจารย์พูดนี้  อาจไม่ใช่เรื่องใหม่  แต่เป็นเรื่องที่ศิษย์นั้นเคยรู้แต่ไม่เคยทำต่างหาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เหมือนเรื่องทำความดีแล้วมีความสุข  เคยรู้มาก่อนหรือไม่  (เคย) เคยรู้มาก่อน  แต่เวลาคนเขาตบหน้าเราฉาดหนึ่ง เราทำอย่างไร  (เอาคืน) ผู้ชายถูกขโมยเงินไปต่อหน้าต่อตาทำอย่างไร  (ตบคืน)  เสร็จแล้วได้ของคืนมาแล้ว เขาตบหน้าเราฉาดหนึ่ง เราก็ตบกลับฉาดหนึ่งก็คือคืนใช่หรือไม่  คนขโมยเงินไปต่อหน้าต่อตา ไปตามเอาคืนก็คือเอาของคืนมาแล้วใช่หรือเปล่า  ได้ของคืนมาแล้วแต่อะไรหายไป (ความดี,จิตสำนึก,ความรู้สึก) หัวหน้าชั้นอะไรหายไป (ความเมตตา)    ไม่มีใครในโลกนี้ที่ยอมเสียเปรียบใครเลย ทุกครั้งที่โดนแย่งชิงอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีค่าต่อเรา แต่หากว่าถูกคนอื่นแย่งชิงไป สิ่งนั้นกลายเป็นสิ่งที่มีค่าต่อเราทันที ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราก็คิดว่าเราต้องได้คืนมา  แน่นอนเราได้คืนมา แต่ว่าเขาใจร้อนอยากได้ของเรา เราก็ใจร้อนอยากได้กลับมา  สิ่งที่หายไปในจิตใจก็อาจจะเป็นความเมตตาอย่างที่นักเรียนทั้งสามคนนั้นได้ตอบมา  หรืออาจจะมีอีกหลายอย่างที่หายไปพร้อมกับของที่หายไปแล้วนั้น  ฉะนั้นการที่อาจารย์มาตั้งแต่ต้นแล้วบอกว่าให้รู้จักใช้จิตใจมาควบคุมอายตนะทั้งหมด   เราต้องรู้จักจิตใจของเราก่อน ไม่ใช่รู้จักจิตใจเพียงแต่ผิวเผิน เพียงแต่ว่าจิตใจของเรานั้นเป็นอย่างไร เราชอบคนแบบไหน  เราเกลียดใครรักใคร เราชอบอะไร  ไม่ใช่แค่นั้น  เราไม่ได้ให้จิตใจของเราทำหน้าที่อยู่แค่นั้น  เราต้องให้จิตใจได้สว่าง จิตใจจะสว่างได้อย่างไร  จิตใจจะสว่างได้เพราะเรารู้จักแก้ไขตนเอง  
ใครเป็นคนที่ชอบโมโห ใครขี้โมโหบ้าง อารมณ์โมโหเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) หนึ่งวันเกิดขึ้นหลายหนใช่หรือเปล่า  แต่ว่าสมมติหากเกิดขึ้นสิบหน เราจะหักห้ามเหลือห้าหน ได้หรือไม่ ถ้าหากว่าเรา จิตใจเราวันหนึ่งโกรธสี่หน หักเหลือสองหนได้หรือไม่ (ได้) รับปากแล้วนะ   อย่างนี้ทำไม่ได้ตามสัญญาก็คือโกหก ใช่ไหม  (ใช่)  ถ้าเรารู้จักหักห้ามอารมณ์โมโหของตนเองไว้ได้นั้นก็เป็นผลดีกับตัวเองถูกหรือเปล่า  แต่หากเราหักห้ามไม่ได้ก็ผลร้ายกับตัวเองใช่หรือไม่   ทีนี้ใครเป็นคนที่ชอบโลภ เป็นคนโลภ เห็นเงินแล้วตาวาวอยากได้ของคนอื่น  คำว่าโลภหนักกว่าคำว่าโกรธอีกหรือถึงไม่กล้ายกมือ  จริงๆ แล้วก็เหมือนๆ กันใช่หรือไม่  เวลาพูดก็พูดรัก โลภ โกรธ หลงมาด้วยกันใช่หรือเปล่า  แล้วจะเบากว่าตรงไหน  ถ้าบอกว่าเราเป็นคนที่โลภ  ก็คือคนมีกิเลสใช่หรือเปล่า  (ใช่) มีกิเลสไหม  (มี) แล้วในกิเลสนั้นมีความโลภไหม (มี) แต่ไม่กล้ายกมือใช่หรือเปล่า  เราอายที่จะยอมรับความจริงใช่หรือไม่ (จริง)  ทีนี้ถ้าเราอายที่จะยอมรับความจริง เราจะแก้ไขได้อย่างไร  ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
คนที่ฝึกฝนคุณธรรมได้สูงส่งสูงสุด  คือคนที่ยอมรับการประนามเหยียดหยามได้รู้ไหม  เคยถูกคนอื่นประนามเหยียดหยามไหม  แล้วเรารับได้หรือยัง  หากว่าเรายังรับไม่ได้ ก็แสดงว่าเรานั้นไม่ได้ฝึกฝนตนเองเลยใช่หรือไม่  แต่ก่อนที่เรามีคุณธรรมต้องบำเพ็ญธรรมก่อน มีใครคนไหนที่ได้ชื่อว่าบำเพ็ญคุณธรรมแต่นิสัยเสีย คงไม่มีใช่หรือไม่  ถ้ามีคุณธรรมก็หมายความว่าจะต้องบำเพ็ญตนให้เป็นคนที่สงบนิ่งด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)   เรานั้นจะบำเพ็ญธรรม ก็คือการแก้ไขขัดเกลาตนเองนั่นเอง  ถามว่าตนเองนั้นมีอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง มีใครบ้างไม่รู้ตนเองมีไหม ไม่มีนะ  ทุกคนรู้ตนเองว่าเรานั้นมีข้อผิดพลาดอะไร  ธรรมะมีไว้สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของเรา  หากว่าเราไม่เอาไปใช้  รอแต่ว่ามาสถานธรรมแล้วค่อยบำเพ็ญธรรม อย่างนั้นได้ไม่ได้ (ไม่ได้) ธรรมะนั้นอยู่ทุกๆ ที่ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราบำเพ็ญธรรมก็บำเพ็ญเป็นธรรมชาติ คือถ้าหากว่าเราเป็นลูกก็เป็นลูกที่กตัญญู หากเป็นพ่อแม่ ก็เป็นพ่อแม่ที่เมตตา หากเป็นลูกน้องก็เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ เป็นเจ้านายก็เป็นเจ้านายที่รักผู้อื่น  ไม่เอาเปรียบกัน  ทำอย่างนี้ถามว่าโลกนี้ผาสุกไหม  (ผาสุก)  แต่โลกทุกวันนี้ที่เห็นนั้นผาสุกหรือเปล่า (ไม่ผาสุก)  ไม่ผาสุก  
เวลาที่คนเรานั้นอยู่ร่วมกัน พอมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  พอมีเรื่องร้ายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเราก็ได้เห็นจิตใจของคนทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)   เรียกว่ามีสุขร่วมเสพ แต่พอมีทุกข์แล้วเป็นอย่างไร  ต่างคนต่างหนี  นี่เป็นความน่ากลัวของมนุษย์ใช่หรือไม่  ทุกเรื่องราวในโลกนี้มีวันเปลี่ยน ชีวิตของศิษย์ก็เหมือนกัน ทุกๆคนที่มานั่งอยู่นี้ บางคนมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์อยู่แล้ว  แต่ไม่แน่ อาจจะทุกข์กว่านี้ก็ได้  อาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็ได้ใช่หรือไม่   ศิษย์ปรารถนาอยากให้ชีวิตเป็นชีวิตที่ดีขึ้นหรือเลวลง  (ดีขึ้น)  ถ้าเราอยากได้ชีวิตที่ดีขึ้นเราทำอย่างไร  มีเคราะห์ไปสะเดาะเคราะห์ใช่หรือเปล่า  หรืออยากรู้ล่วงหน้าไปดูดวงใช่ไหม หรืออยากรวยไปซื้อหวยใช่หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่วิธี ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องสำหรับคนที่เกิดมา  ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องสำหรับคนหนึ่งคน  แต่เป็นวิธีที่พาตนเองนั้นตกอับไปเรื่อยๆ อย่างแยบยล การที่เราอยากจะได้ดีนั้นก็ต้องรู้จักที่จะทำดี  
คำว่าทำดีได้ดีนั้น เป็นคำพูดที่ฟังกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วทุกวันนี้ก็ยังได้ยินอยู่ มีใครกี่คนบ้างที่มีความเชื่อมั่นในความดี ว่าความดีงามนั้นคุ้มครองโลก ไม่ต้องดูอะไรมาก  ถามว่าศิษย์นั้นชอบคบคนดี หรือคนไม่ดี  (คนดี)  แล้วตัวเราเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ยังไม่เป็น ฉะนั้นความดีนั้นไม่คุ้มครองเราก็เพราะแบบนี้  เพราะเราเป็นคนดีที่ดีไม่แท้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพร้อมที่จะไม่ดีเสมอๆ ใช่หรือเปล่า เราพร้อมจะทำไม่ดีเสมอๆ   ฉะนั้นความดีจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์  อยากให้ความดีศักดิ์สิทธิ์ต้องทำตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์ ต้องหัดช่วยเหลือผู้อื่นทำได้ไหม  
อาจารย์มีคำถามง่ายๆ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ผลไม้  อาจารย์จะถามว่าเมื่อคิดว่าเราพร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม กลับไปเราควรทำอะไรดี  ผู้ชายก่อน (ช่วยเหลือผู้อื่น) ช่วยเหลือผู้อื่นกี่คน (กี่คนก็ได้แล้วแต่เจอ) กี่ปี (ตามอายุขัย) ว่าอย่างไร (ทานเจ) ปรบมือให้หน่อย (ขยันทำความดี , เผยแพร่ธรรมที่บ้าน) 
มานั่งเฉยๆ หรือนั่งปิดใจเนี่ย  จริงๆ แล้วไม่มาก็เหมือนกันใช่หรือเปล่า ถ้ากลับไปบ้านขี้โมโหได้ไหม ถ้าเห็นเขาทำผิดจะจะกับตาแล้วทำอย่างไร (ตักเตือน) อย่าตั้งศาลเตี้ยนะ  ว่าอย่างไรอีก (เสียสละเพื่อผู้อื่น, ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด)  ตอนนี้ดีหรือยัง (ดีแล้วแต่ยังดีไม่ถึงที่สุด) จะอีกนานไหมกว่าตนเองจะดีได้ บางทีถ้าหากว่าเราเห็นว่าอะไรดีก็รีบๆ ทำ
อาจารย์นั้นไม่สนใจว่าศิษย์คิดอะไร   เพราะว่าความคิดของศิษย์ในหนึ่งนาทีนั้นเปลี่ยนไปได้เยอะแยะไปหมด มีความคิดเชื่อ มาแวบหนึ่ง แล้วก็มีความคิดไม่เชื่อตามมาอีกเยอะแยะไปหมด ความคิดของเรานั้นยังไม่นิ่งพอ อาจารย์ไม่สนใจว่าศิษย์จะมีความไม่เชื่อล้วนๆ หรือว่าจะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง หรือว่าจะเชื่อแล้ว แต่สนใจอย่างเดียวว่าสิ่งที่อาจารย์พูดทั้งหมดนี้  ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติให้ได้  เพราะถ้าหากว่าเราทำได้ โลกนี้ก็จะมีคนดีมากขึ้นอีกหนึ่งคน  ศิษย์หนึ่งคนอยู่ในบ้านหนึ่งหลัง ศิษย์ก็สามารถทำให้บ้านหลังนั้นผาสุกขึ้นได้  และเมื่อสังคมนี้ผาสุกโลกนี้ก็ผาสุก  อย่างนี้คือโลกพระศรีอาริย์ และอาจารย์ต้องการทำอย่างนั้นให้บังเกิดบนโลกใบนี้  แต่ว่าต้องอาศัยความร่วมมือจากศิษย์ทุกๆ คน ขอคนที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมดนั้นทำความดี  ขอคนที่มีชีวิตนั้นจงรักที่จะทำความดี  วันหนึ่งเมื่อศิษย์ตายไป  ในวันข้างหน้าอย่างน้อยถ้าไม่ไปนิพพานก็คงได้ไปสวรรค์  อาจารย์ก็คงไม่ห่วงศิษย์ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  
ทุกๆ คนนั้นมีหน้าที่ของตนเอง มีความลำบากใจของตนเองในการที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จขึ้นมา  ในการที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดีก็มีความลำบาก  เหมือนมนุษย์ชอบพูดว่าจำเป็นต้องโกหก  แต่จำเป็นแค่ไหน  ความจำเป็นนั้นทำให้มนุษย์สร้างบาปและบาปนั้นทำให้ศิษย์ตกต่ำ  ถามว่าเราอยากต่ำหรือว่าอยากสูง หากเราเป็นคนที่สั่งสมความดีมากๆ  พูดอะไรไปคนก็เชื่อถือ 
ความดีนั้นเป็นเกราะคุ้มกันภัยที่ดี  สามารถที่จะก้าวหน้าไปได้  หากว่าศิษย์นั้นทำความชั่วมากกว่าความดี ความชั่วก็เป็นสายเอ็นที่เกี่ยวรั้งคอยกระตุกให้เรานั้นล้มลงเรื่อยๆ  และไม่มีวันที่อาจารย์จะช่วยได้ ทำดีด้วยจิตใจของเราเอง  ด้วยจิตใจที่เบิกบานเป็นอย่างพุทธะ  เป็นพุทธะองค์น้อยๆ ก่อนแล้วไปเป็นพุทธะองค์ใหญ่ๆ ในวันหน้าได้  แต่หากไม่คิดจะเริ่มต้นก็คงไม่มีผลสำเร็จ  ฉะนั้นที่อาจารย์มุ่งหวังนั้นไม่ใช่ให้เชื่อในอาจารย์  แต่ต้องการให้คนทุกคนนั้นเป็นคนดี  ธรรมะดีหรือเปล่า  สองวันนี้บางคนยังไม่สามารถตัดสินใจได้  แต่อาจารย์ขอให้  ให้เวลามาศึกษาดีหรือไม่  สองวันนี้ไม่สามารถตัดสินได้ จึงต้องขอให้ศิษย์นั้นศึกษาต่อไป  เวลาคนไปตามอย่าบอกว่าไม่มีเวลาว่าง  เห็นอะไรที่ผิดหูผิดตาไม่น่าจะใช่แบบนี้ก็ขอให้เราทำใจ  เกิดมาในโลกนี้บ้านของเรา  บ้านหนึ่งหลัง พ่อแม่ลูก พี่น้อง ก็ยังทะเลาะเบาะแว้งกัน  เพราะทุกคนมีใจหนึ่งใจที่ต่างคนต่างใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) มาอยู่ที่นี่ทุกๆ คนก็คือคนที่ต้องการมาบำเพ็ญและขัดเกลา ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักที่จะอภัยให้คนอื่นใช่หรือไม่  (ใช่)  ธรรมะไม่มีรูปลักษณ์คนที่บำเพ็ญอยู่นี้ก็คือตัวแทนของธรรมะ  ทุกคนทำตัวดีธรรมะนั้นก็ดี หากมีสักครั้งหนึ่งที่เราโมโหขึ้นมา หรือมีสักครั้งที่เราลำเอียงไป  มีสักครั้งที่เราทำเรื่องที่ผิดขึ้นมา  อาจารย์ก็หวังว่าทุกๆ คนที่ห้อมล้อม ทุกๆ คนที่อยู่ร่วมกันมีจิตใจที่ให้อภัยและเมตตากัน  ทำให้เรื่องใหญ่ๆ กลายเป็นเรื่องเล็กได้ ดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าศิษย์นั้นกับคนข้างนอกยังทำแบบนี้ได้  กับคนในครอบครัวก็คงไม่มีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“มิตรสร้างง่ายกว่าศัตรู”  มิตรสร้างง่ายกว่าศัตรู ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราชอบสร้างศัตรูมากกว่ามิตรใช่ไหม  สวนทางกันอีกแล้ว คิดอย่างทำอย่าง  อยากให้เป็นอีกอย่างแต่ไปลงมือทำอีกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะพูดดีๆ เก็บไว้ในใจ ที่พูดออกมาล้วนแต่ไม่ดี อยากชมคนแต่ว่าเดี๋ยวกลัวเขาเหลิง เลยติเขาไว้ก่อนใช่หรือเปล่า 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตา ให้นักเรียนออกมาวงคำครอบพระโอวาทซ้อนพระโอวาท) 
เห็นไหมว่าคนที่ได้วง มีโอกาสใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรายังวงไปคิดเพลินไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคนอยากได้ก็ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า  สมเป็นโลกมนุษย์โดยแท้  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง”ลองดูสักครั้ง”)  เพลงนี้ทั้งหมดอาจารย์พูดถึงเรื่องของการที่ศิษย์นั้นจะมาบำเพ็ญธรรม  การบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะบำเพ็ญสำเร็จ  เพราะตั้งแต่โบราณมา มีคำพูดบอกว่าคนบำเพ็ญมากเหมือนขนวัวแต่คนสำเร็จนั้นน้อยเหมือนเขาวัว  เขาวัวมีอยู่สอง แต่ขนนั้นมีมากมาย  เพราะฉะนั้นคนที่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรม ก็ควรที่จะต้องรีบบำเพ็ญ  เราเป็นคนที่เกิดมาในยุคที่มีเภทภัยมากที่สุด  ทุกวันนี้นับวันไม่ว่าจะเป็นภัยทางธรรมชาติ ภัยมนุษย์ด้วยกัน ทุกอย่างนั้นก็คือภัยสำหรับศิษย์  ว่าไปแล้วศิษย์ยังโชคดีที่มีที่ที่สงบสุขให้เรานั้นได้ซุกซ่อนตัวอยู่  แต่ว่าถ้ามนุษย์เลวร้ายกว่านี้ ภัยพิบัติก็จะมากกว่านี้  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่เริ่มที่จะทำตนเป็นคนดีขึ้นมา ก็เรียกร้องคนอื่นให้ดีไม่ได้  หรือจะดีอยู่เฉพาะตัวนั้นก็คงจะไม่พอที่จะช่วยโลกนี้ไว้ได้  ฉะนั้นการที่อาจารย์พูดถึงเพลงนี้ ก็คืออยากให้ศิษย์ลองบำเพ็ญดูสักครั้งหนึ่ง  อาจจะไม่ได้สำเร็จแต่ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่เคยลงมือเลย  ถ้าหากว่าเราไม่เคยลองทำดู เราก็คิดอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นเรานั้นต้องได้อยู่แล้ว เรื่องง่ายๆ แค่นี้  คนที่บำเพ็ญสำเร็จเป็นพุทธะไปแล้วบางคนนั้นมิได้เก่งกว่ามนุษย์ที่อยู่ในโลกปัจจุบันนี้เลย  บางคนอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำ  แต่ว่าการบำเพ็ญธรรมะนั้นไม่ได้อยู่ที่ความรู้ ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถ  ความรู้ความสามารถและประสบการณ์นั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ให้ศิษย์เดินไปอย่างสะดวกสบายเท่านั้นเอง  สิ่งที่สำคัญนั้นก็คือจิตใจของเราที่ได้ขัดเกลา งดงามเหมือนเดิม เป็นจิตเดิมแท้  เหมือนจิตใจของทารกเล็กๆ  จิตใจของเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาเกลียดใครเป็นไหม เขานึกจะเกลียดยังเกลียดไม่ออกเลย  เขารักใครมากกว่าใครหรือเปล่า (ไม่)  ดูแล้วก็ไม่เป็น  ดวงตาที่มองออกมาก็ไม่เป็นดวงตาที่แห้งแล้ง เป็นดวงตาที่มีประกาย ทำให้รู้ว่าสุขภาพของจิตของเขานั้นก็มีประกายเหมือนกันป็นประกายที่งดงาม  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์นั้น เริ่มต้นยังไม่ต้องกลับไปเป็นจิตพุทธะ กลับไปเป็นจิตทารกก่อนแล้วกัน  จิตทารกเป็นจิตที่ใสๆ  ไม่เกลียดใคร ไม่รักใคร ไม่อยากรวย ไม่อยากจน ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีสกปรกและไม่มีสะอาด  จิตใจอย่างนั้นแหละเป็นจิตที่เริ่มต้นไปสู่การเป็นพุทธะที่แท้จริง  เห็นไหมว่าถึงแม้ว่าโลกนี้จะมากมายไปด้วยภัย  โลกนี้จะมากมายไปด้วยคนดีคนไม่ดีปะปนกัน  แต่ฟ้านั้นก็ยังให้ศิษย์ได้รู้ว่า จริงๆ แล้วการที่เด็กๆ มีจิตใสๆ อย่างนี้ก็เพื่อเตือนให้ศิษย์รู้ว่า จิตใจของเราห่างจากเดิมมามากเท่าไร  ถ้าหากว่าเราเกลียดคนจนนั่งคิดฆ่าคนได้ ก็แสดงว่าเรานั้นเกือบจะหมดทางเยียวยาอยู่แล้ว แต่การมีชีวิตก็คือมีโอกาส ขอเพียงศิษย์มีชีวิต มีชิวิตนี้ชีวิตหนึ่ง ชีวิตที่ศิษย์บอกว่ามันทุกข์เหลือเกิน ชีวิตที่ศิษย์บอกว่าไม่สมหวัง แต่แปรจากคนที่ตกอับที่สุดไปเป็นคนที่โชคดีที่สุด  อาจารย์อยากให้ศิษย์ลองดูสักครั้ง เหมือนดั่งเพลงนี้ที่ให้ไว้  มนุษย์มีคำว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์สำเร็จได้ไหม  พยายามดูสักครั้งดีไหม (ดี)  พยายามอย่าลืมคำนี้ไป  เพลงนี้มีใครร้องได้ 
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลง)
ชั้นนี้วัยรุ่นเยอะใช่หรือเปล่า  เด็กเดี๋ยวนี้เกิดมาอายุน้อยก็จริงแต่ปวดเมื่อยเหมือนคนแก่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่างกายของเรายังเหมือนคนแก่เลย  เพราะว่าเราเป็นคนที่ขี้เกียจ ขี้เกียจออกกำลังกาย ขี้เกียจรักษาสุขภาพ กินก็ไม่ระวัง ทำอะไรก็ไม่ระวัง  เวลาควรต้องเสี่ยงไม่เสี่ยง เวลาไม่ควรต้องเสี่ยงไปเสี่ยง ทำให้ร่างกายเราพังเร็วกว่าปกติ
มีใครที่หลังจากสองวันนี้จะวิ่งไปตามไล่ฝันของตนเองบ้าง  คนเราทุกคนนั้นมีฝันกันทั้งนั้น  แล้วมนุษย์ก็อยู่ได้ด้วยความฝัน ฝันที่อยากจะเป็นอะไร  แต่ฝันใดๆ ก็คงไม่สูงส่งไปกว่าฝันที่จะไปเป็นพุทธะ ใช่หรือไม่  คงเป็นฝันที่ยากที่สุด แต่ว่าในเมื่อเรานั้นเกิดมาเป็นมนุษย์  เรานั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคน และเราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีด้วย อาจารย์นั้นเคยเกิดมีร่างกายเป็นคน และเป็นเหมือนศิษย์ อาจจะอัปลักษณ์กว่าศิษย์ด้วยซ้ำ แต่ว่าการที่เราจะสำเร็จเป็นพุทธะได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่ภายนอกอันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ความจน ไม่ได้อยู่ที่ความรวย  ไม่ได้อยู่ที่เรานั้นเป็นคนที่คนรังเกียจหรือไม่  ทุกคนมีสิทธิ์ เกิดมามีร่างกาย มีชีวิตคือโอกาส  ขอเพียงแต่ศิษย์ของอาจารย์ตั้งใจที่จะบำเพ็ญ  เริ่มต้นแม้ว่าเราจะพร้อมหรือไม่พร้อมอาจารย์ก็อยากที่จะให้ศิษย์นั้นออกไปเดิน   เดินไปบนเส้นทางธรรม  เดินไปบนทางที่ศิษย์ยังไม่รู้แน่ว่าเป็นอย่างไร  แต่อาจารย์รับรองได้ถ้าหากศิษย์เดินทางธรรมนี้แล้วเดินไปจนสุดทางศิษย์จะไม่ผิดหวัง  แต่หากทุกๆ วันศิษย์ของอาจารย์หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกนี้ รักอยู่แต่พวกของตน  วันๆ ก็คิดอะไรไม่รู้ พูดอะไรไม่รู้  ทำอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตไร้แก่นสาร  เดินบนทางโลกีย์นี้ สุดท้ายปลายฝั่งแล้ว  จะไปเจออะไร  ศิษย์น่าจะคิดออกเองใช่หรือไม่ มนุษย์นี้ร่างกายไม่ใช่สิ่งที่ถาวรอยากจะให้รักษาไว้ทุกเวลาทุกนาทีของตนเองให้มีค่า  และทำให้ชีวิตของเรามีค่ามากขึ้น ด้วยการรู้จักช่วยผู้อื่น  
วันนี้บางคนนั้นมาแต่กาย  ใจไม่ได้ตามมาด้วย  การที่ให้ศิษย์ฟังธรรมจึงเป็นเรื่องที่ยาก แต่อาจารย์ก็อย่างที่บอกไว้  อยากให้ศิษย์ลองดูสักครั้งดีหรือไม่  (ดี)  
โอวาทซ้อนพระโอวาทได้คำว่าอะไร (ชำระใจให้สะอาด) อาจารย์ให้น้ำมาชำระใจ  น้ำนี้คือน้ำพระธรรม  ชำระจิตใจของศิษย์ให้สะอาด  ปราศจากกิเลสทั้งมวล แม้วันนี้ยังทำไม่ได้ดี แต่ก็ขอให้ลงมือทำบ้าง  ถ้าหากว่ากิเลสเบาบางก็ยังดีกว่ากิเลสหนาเตอะใช่หรือไม่ (ใช่)  ชำระจิตใจนี้ให้สะอาด ต้องไปลงมือทำเอง  เคยทำสกปรกไว้ที่ไหน นิสัยของเราเสียอย่างไร  จิตใจของเราเป็นอย่างไร  คิดอะไร เคยพูดอะไร เคยทำอะไร  บาปอะไรที่แรงที่สุดที่เคยทำมา  กรรมอะไรที่เบาที่สุดที่เคยทำมา  เราย่อมเป็นผู้ที่รู้ดี  เราจะสาดน้ำไปได้ถูกที่ใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าให้อาจารย์ หรือให้คนที่อยู่รอบข้างทั้งหมดนี้มาช่วยที่จะชำระจิตใจของศิษย์ก็สาดไปมั่วๆ ใช่หรือไม่  ในที่สุดแล้วจิตใจของศิษย์สะอาดไหม ไม่สะอาด  แต่อย่างน้อยในสองวันนี้อาจารย์นั้นสาดน้ำไปอย่างทั่วๆ สะอาดขึ้นกันคนละนิดคนละหน่อย แต่ว่าถ้าจะสะอาดให้ดีก็คือต้องล้างเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นจึงเป็นการที่ต้องลงมือบำเพ็ญเอง  ให้คนอื่นบำเพ็ญแทนไม่ได้ บางคนบอกว่าลูกบำเพ็ญแทน หลานบำเพ็ญแทน  สร้างกุศลอุทิศให้คนโน้น อุทิศไปให้คนนี้  แต่ถามว่าตอนมีชีวิตอยู่ทำไมไม่ทำ  คิดหรือว่าสิ่งที่คนอื่นอุทิศมาให้นั้นจะเหลือให้ศิษย์สักเท่าไร  ถ้าสมมติว่าศิษย์เป็นคนที่อุทิศไป  ถามว่าจิตใจที่อุทิศของศิษย์นั้นเป็นกุศลไหม  ถ้าหากว่าเป็นกุศล  กุศลก็ย่อมไปถึง  แต่หากว่าจิตใจนั้นไม่ได้เป็นกุศล อุทิศไปแล้วจะถึงหรือเปล่า  แล้วทำไมตอนที่มีชีวิตอยู่ถึงไม่ลงมือทำเอง  จะต้องให้รอให้คนเขามากรวดน้ำให้อุทิศให้หรือ จำเป็นไหม ไม่จำเป็น อาจารย์อยากให้ศิษย์มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า
รู้สึกว่าสองวันนี้มานั่งฟังตรงนี้มีคุณค่ามากขึ้นไหม  สามารถเข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือเปล่า กลับไปแล้วคิดว่าตนเองทำได้ดีขึ้นไหม  (จะพยายาม)   
รู้ไหมว่าอาจารย์มาวันนี้ บางทีอาจจะเสียใจที่สุดก็ว่าได้  เพราะศิษย์หลายคนนั้นทำเหมือนอาจารย์ไม่ได้อยู่ตรงนี้  เมื่อไม่เชื่อ ไม่เปิดใจยอมรับ  อาจารย์ก็ไม่ได้ขอการยอมรับจากศิษย์ แต่เราเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน แม้ว่าศิษย์ไม่รู้ แต่ก็ขอร้องอย่าทำเฉยๆ ตอนนี้อาจารย์ผูกพันกับศิษย์แต่ศิษย์ไม่ผูกพันกับอาจารย์ ถามจริงๆ เถอะโลกนี้มันย่ำแย่ โลกนี้มันขาดคนช่วย ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์ก็คิดว่าตนเองนั้นช่วยไม่ไหว  สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยากช่วย แต่มนุษย์ไม่ร่วมมือ  อาจารย์ไม่เคยอยากจะมาด้วยวิธีนี้  แต่นอกจากสอนให้ศิษย์ไปบำเพ็ญเอง ทำตัวเป็นคนดีแล้ว อาจารย์ทำอะไรได้มากกว่านี้  
ให้กำลังใจซึ่งกันและกันเอง คนอื่นโจมตี แต่ว่าเราสามัคคีอุปสรรคนั้นก็กลายเป็นพลัง  พูดคำดีๆ ให้แก่กัน  ติก็ติด้วยความจริงใจ  คำพูดนั้นพูดออกมาเก็บกลับไปไม่ได้  เกิดมาก็เกิดได้แค่ครั้งเดียว ตายก็ตายได้ครั้งเดียว  ชาตินี้ขนาดรู้อะไรมากๆ  รู้ว่าดีชั่วเป็นอย่างไร ยังฝืนใจตัวเองฝ่ากระแสโลกีย์ไม่ได้ แล้วชาติไหนล่ะ 
หัวหน้าชั้นบุญวิ่งมาชนเราแล้วนะ  อาจารย์ไม่พูดถึงสิ่งที่ศิษย์มีอยู่ทั้งหมด แต่พูดถึงจิตใจของเราว่าเริ่มบำเพ็ญ เริ่มเดินหน้า  สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนี้ ยังเป็นเพียงภาพลวงตา  ถ้าหากว่าเราไม่สามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็รักษาไว้ไม่ได้  ฉะนั้นสิ่งที่ถาวรที่สุด แน่นอนที่สุดคือชีวิตของตัวเอง เป็นคนมีบุญ ทำอะไรก็ต้องตั้งใจให้ดีๆ  สมาธินั่งได้  เห็นสิ่งใดก็ยังไม่ใช่ภาพแท้จริง  นอกจากการที่เรานั้นจะหลุดพ้นไปจริงๆ  ได้มอง ได้เห็น ได้รู้ ได้สร้าง ไม่เท่ากับเรานั้นได้คืนกลับไป  มีบุญนะแต่ว่าต้องทำดีให้มากๆ ไม่อย่างนั้นบุญก็หายไป
เป็นคนอายุยังน้อยอยู่ ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น  ขอให้เริ่มต้นด้วยดี  ทำในสิ่งที่ดี ทำหน้าที่ของตัวให้มากๆ  อย่าไปหลงใหลอบายมุข  
ขอให้พักสงบในอาศรมของจิตใจ แล้วสู้ต่อไป  ลาก่อน

ให้กำลังใจซึ่งกันและกันเอง คนอื่นโจมตี แต่ว่าเราสามัคคีอุปสรรคนั้นก็กลายเป็นพลัง  พูดคำดีๆ ให้แก่กัน  ติก็ติด้วยความจริงใจ  คำพูดนั้นพูดออกมาเก็บกลับไปไม่ได้  เกิดมาก็เกิดได้แค่ครั้งเดียว ตายก็ตายได้ครั้งเดียว  ชาตินี้ขนาดรู้อะไรมากๆ  รู้ว่าดีชั่วเป็นอย่างไร ยังฝืนใจตัวเองฝ่ากระแสโลกีย์ไม่ได้ แล้วชาติไหนล่ะ 
หัวหน้าชั้นบุญวิ่งมาชนเราแล้วนะ  อาจารย์ไม่พูดถึงสิ่งที่ศิษย์มีอยู่ทั้งหมด แต่พูดถึงจิตใจของเราว่าเริ่มบำเพ็ญ เริ่มเดินหน้า  สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนี้ ยังเป็นเพียงภาพลวงตา  ถ้าหากว่าเราไม่สามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็รักษาไว้ไม่ได้  ฉะนั้นสิ่งที่ถาวรที่สุด แน่นอนที่สุดคือชีวิตของตัวเอง เป็นคนมีบุญ ทำอะไรก็ต้องตั้งใจให้ดีๆ  สมาธินั่งได้  เห็นสิ่งใดก็ยังไม่ใช่ภาพแท้จริง  นอกจากการที่เรานั้นจะหลุดพ้นไปจริงๆ  ได้มอง ได้เห็น ได้รู้ ได้สร้าง ไม่เท่ากับเรานั้นได้คืนกลับไป  มีบุญนะแต่ว่าต้องทำดีให้มากๆ ไม่อย่างนั้นบุญก็หายไป
เป็นคนอายุยังน้อยอยู่ ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น  ขอให้เริ่มต้นด้วยดี  ทำในสิ่งที่ดี ทำหน้าที่ของตัวให้มากๆ  อย่าไปหลงใหลอบายมุข  
ขอให้พักสงบในอาศรมของจิตใจ แล้วสู้ต่อไป  ลาก่อน

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท

“ชำระใจ”
     ใสสงบยิ่งสะท้อนความเป็นจริง ไม่นิ่งเห็นผิดเป็นชอบได้
ภาพลักษณ์ล้วนเป็นไปตามจิตใจ ล้างอัตตาหลงผิดไปย่อมใสคืน

“ให้สะอาด”
          ย้อนมองตนเองหมั่นใช้ ปลุกจิตปลุกใจให้ตื่น
อย่าเอาแต่โทษคนอื่น แก้ไขตนยืนมีหวัง
มิตรสร้างง่ายกว่าศัตรู ฟังหูไว้หูกระจ่าง
อ่อนน้อมชนะกระด้าง ทุกอย่างอาศัยเวลา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา