วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2544

2544-03-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร





วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

จิตเข้มแข็งเอาชนะอุปสรรค รู้ตระหนักด้วยปัญญาพาสดใส
เรื่องทุกอย่างในโลกมีทางออกได้ เพียงเข้าใจจะแก้ด้วยทำอย่างไร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจินจง  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

การเริ่มต้นแฝงความหมายแห่งความพร้อม การรอมชอมย่อมดีกว่าการเอาเรื่อง
มนุษย์นั้นล้วนเกิดมาผู้ปราดเปรื่อง ขอชำเลืองตนเกิดมาเพื่ออะไร
ตลอดเวลาจิตใจเฝ้าสับสน ไว้ใจคนจิตสงบระดับหนึ่ง
ทำความดีด้วยจิตใจไม่หย่อนตึง เป็นที่พึ่งให้คนเพราะเรายืนมั่น
ในวันนี้มีโอกาสมาพร้อมหน้า เพราะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวน้องรู้ไหม
เร่งศึกษาพระธรรมให้แจ้งใจ และแก้ไขความผิดมากดั่งเกล็ดปลา
ตัดกิเลสละอารมณ์ให้หมดสิ้น แม้แดนดินยังมีเครื่องลวงใจหลาก
แต่ว่าผู้บำเพ็ญไม่กลัวลำบาก ขอให้มากความพยายามและอดทน
สองวันนี้ฟื้นฟูจิตย้อนมองตน เกิดเป็นคนต่างเคยพลาดไม่มีเว้น
แต่ครานี้พบพระธรรมอันเยือกเย็น ขอจงเบนสู่ทางธรรมด้วยศรัทธา
ขจัดจิตงมงายและความสงสัย เดินทางไกลคนมั่นคงจึงไปถึง
อย่าได้เป็นคนโลเลทิ้งกลางครึ่ง ใจเป็นหนึ่งกับพุทธะมาคืนแดน
หลายเรื่องนั้นยามคิดง่ายแต่ทำยาก พี่ขอฝากจงตั้งใจสม่ำเสมอ
วันหนึ่งหนึ่งมีหลายครั้งที่เผอเรอ แต่อย่าเผลอทำผิดอย่างจงใจ
น้องที่มาในวันนี้ล้วนมีบุญ สนับสนุนตนเองเข้าน้องทั้งหลาย
สามวันดีสี่วันไข้เพียรอย่างไร ทำอะไรมีจุดหมายจึงยั่งยืน
อย่าดูถูกตนเองทำไม่ได้ ฟ้าแม้ไกลแต่คลุมครอบคนเรื่อยมา
อย่าได้หลงทรัพย์สินอีกยศถา หนึ่งชีวาใช้บำเพ็ญพ้นว่ายเวียน
ปัจจุบันใจคนเสื่อมน้อยคนดี แต่ไม่ใช่จะไม่มีเร่งฉุดช่วย
พิจารณาให้นานนานก็จะช่วย ให้มองเห็นด้วยปัญญาวิเศษจริง
ในวันนี้มีโอกาสมาคุมชั้น ทั้งสองวันหวังว่าน้องต่างอยู่ครบ
พุทธระเบียบรักษาด้วยเคารพ ขอให้จบชั้นนี้ไปปฏิบัติจริง
ธรรมะใช่สิ่งที่มองเห็นได้ ทำเท่าไรได้เท่านั้นตลอดมา
อย่าได้ตีทุกสิ่งเป็นราคา สร้างคุณค่าให้ชีพตนหมั่นช่วยคน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

หยดน้ำค้างต้องแสงส่องประกาย พริบตาหายดุจเมธีไปไม่คิดหวน
หลงกับฝันในโลกอันเชิญชวน ยอมสู้ทวนกระแสไหมในโลกีย์
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

เปรียบดั่งคนสลับนั่งสลับลุก สุขและทุกข์ไม่สุขไปทั้งหมด
แม้คลายทุกข์ก็สุขไม่ปรากฏ กระจ่างกฎได้ทำงานสบายใจ
เผลออวดใจจิตด้วยอารมณ์ตน ความไม่ดีบรรลุผลยากแก้ไข
ทั้งที่รู้รู้ไม่ห้ามฤทัย เตือนตนในความอวดประกวดดี
ทางถ้าตันอย่าถือทิฐิฝ่า ใช้ปัญญาลดทิฐิไม่ต้องหนี
ยิ่งอ่อนน้อมยิ่งรู้ชีวิตดี ใช่บำเพ็ญเพียรยามที่อับจนทาง
มีเรื่องเศร้าอย่าได้หนีปัญหา ซ่อนหน้าว่ากลบเกลื่อนจนกระด้าง
จำเพาะได้สุขคืนเมื่อปล่อยวาง คิดสะสางขลุกปัญหานานตาลาย
พลาดไม่เพี้ยนจิตพายนาวาธรรม เมธีจำปวงกิเลสเล็กไปใหญ่
เริ่มจากน้อยแต่ผุดประดุจสาย มาเข้าใจอุปสรรคเวียนวนเพราะตน 
ชะตากรรมเขียนด้วยนิสัยเป็นอาจิณ คำติฉินประชากล่าวให้ฝึกฝน
อภัยเกิดสามัคคีเกิดหลังย้อนตน วาจาคนถอดความจากสัมมาเอย
จงช่วยกันใจเข้าสู่ศรัทธา ร่วมมือกันฤทัยมาเปิดเผย
ต่างครองชีพสรรค์สร้างโอกาสเอย อย่าละเลยสำคัญด้วยเห็นไม่สำคัญ
กายใจงามคุณธรรมให้ทั่วหน้า ทรัพย์ไร้ค่ายิ้มใสกำลังขวัญ
บำเพ็ญธรรมจริงใจควรเท่ากัน จิตพื้นฐานสะอาดเป็นสิ่งควรมี
คนเผอเรอหลงชินชาความผิด เดิมพันชีวิตรักษาอาการในผิดนี้
จงเป็นคนดีและบำเพ็ญดี เข้มแข็งที่ได้พาไม่เวียนวน
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

น้ำค้างเวลาโดนแสงแดดแรงๆ อยู่ได้นานไหม (ไม่นาน)  แวบเดียวก็จางหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนสติของมนุษย์หรือเปล่า มีสติอยู่แค่แผล็บๆ มา แผล็บๆ ก็ไป แต่สติของมนุษย์นั้นแผล็บมาแผล็บไปก็กลับมาได้ ไม่ใช่เหมือนน้ำค้างที่โดนแสงแดดแล้วก็หายวับ แต่หายวับจริงๆ หรือไม่ (ไม่จริง) แล้วหายไปไหนล่ะ (หายไปในอากาศ) ระเหยไปในอากาศและพร้อมจะกลั่นตัวกลับลงมาเป็นหยดฝนหรือหยดน้ำค้างอีกคราหนึ่งยามรุ่งเช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์นั้นเป็นเช่นไรล่ะ เรามาดูกลอนกันนะ
"หยดน้ำค้างต้องแสงส่องประกาย พริบตาหายดุจเมธีไปไม่คิดหวน
หลงกับฝันในโลกอันเชิญชวน ยอมสู้ทวนกระแสไหมในโลกีย์" 
บางครั้งพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นมนุษย์ในแดนโลก มีความสนุกสนานมีความรื่นเริงบันเทิงใจ มีความยินดีปรีดาทางโลก การจะกวักมือหรือการจะกู่เรียกให้ตื่นจากฝัน มารับรู้ความเป็นจริงของโลกนี้ ที่สุขสนุกสนาน ที่เพลิดเพลินจำเริญใจนั้นแท้จริงไม่ใช่ความสุขที่นิจนิรันดร์ ท่านยังถูกสภาวะแวดล้อมบดบังนัยน์ตาแห่งพุทธะ ทำให้มองไม่เห็นความเป็นจริงของชีวิต ทำให้เห็นว่าสุขที่ผ่านมาเหมือนลมพัดผ่านให้เย็นนั้นเป็นสุขที่แท้ การที่พุทธะจะลงมาปลุกให้เวไนยสัตว์ได้ตื่นจึงยากที่จะทำใจ พูดง่ายๆ ว่าทำใจยากที่จะปลุกให้ท่านตื่น เพราะถ้าท่านยังมีความสุขอยู่ จะปลุกให้พบความจริงของโลกที่น่าทุกข์ทนก็ดูจะใจร้ายไป คนที่จะเรียกต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)  แต่จะรอให้ท่านทุกข์แล้วปลุกจากทุกข์ก็กลัวท่านไม่มีกำลังใจที่จะลุกมาต่อสู้ จริงไหม (จริง) ถ้าตอนนั้นท่านกำลังทุกข์ พุทธะบอกว่า ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ ท่านก็บอกว่าไม่มีเรี่ยวแรง แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ถึงเวลาเรียกก็ต้องเรียก ถึงเวลามาก็ต้องมา  ไม่มีใครห้าม หรือกำหนดชะตาชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาต้องปลุกให้ท่านตื่น จะทุกข์จะสุขอย่างไรก็ต้องรีบตื่นเสีย แต่ถ้าตื่นแล้วไม่ตื่นจริงๆ จะกลับไปหลับฝันต่อ นั่นก็จนใจจริงไหม (จริง)  แล้ววันนี้อยากหลับต่อหรือจะตื่นมากับเราดี (ตื่น)  ถ้าใครอยากตื่นก็จงเรียกสติ เรียกกำลังใจออกมา อย่าเพิ่งง่วงเหงาหาวนอน  เรามาคุยกันต่อดีไหม (ดี)  
เคยได้ยินชื่อเราบ้างไหม เคยได้ยินแปดเซียนข้ามทะเลไหม แล้วมีเซียนองค์หนึ่งผูกผมจุกสองข้างและถือตะกร้าดอกไม้แต่เป็นผู้ชาย เคยเห็นไหม 
มีความสุขกันดีไหม ฟังธรรมะมีความสุขไหม (มี) อย่าฟังธรรมะแล้วยิ่งห่อเหี่ยวลงเศร้าใจลง อย่างนี้ไม่ถูกนะ เซียนเด็กเคยกล่าวว่าอย่างไร ถ้าฟังธรรมะยิ่งฟังยิ่งสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ก็เป็นพุทธะ แต่ถ้าฟังธรรมะยิ่งหวาดกลัวยิ่งลนลานก็เป็นผี เป็นวิญญาณ เป็นปีศาจใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ชีวิตนี้สิ่งที่สำคัญคืออะไรบ้าง (การสร้างบุญบารมี, ละบาปบำเพ็ญบุญ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์) ในความเป็นจริงแล้วทุกๆ สิ่งในโลกนี้สำคัญหรือไม่สำคัญขึ้นอยู่ที่ไหนกัน (ใจ) ใครว่านิ้วหนึ่งสำคัญบ้างยกมือ  ใครว่ามือทั้งมือสำคัญบ้างยกมือขึ้น ใครว่าแขนทั้งแขนสำคัญบ้างยกมือขึ้น เราต้องปรบมือให้กับคนที่เห็นนิ้วสำคัญมากกว่า ไม่ใช่เพราะเล็กน้อยแล้วจึงเกิดเป็นแขนๆ หนึ่งหรือ ใช่ไหม  ถ้าหนึ่งนิ้วไม่สำคัญ สองนิ้วสำคัญไหม หนึ่งนิ้วไม่สำคัญตัดไปก็เหลืออีกหนึ่งนิ้ว  ฉะนั้นอีกหนึ่งนิ้วจะสำคัญไหม ก็ไม่สำคัญกับท่านอีก พอตัดไปสองนิ้วแล้ว นิ้วที่สามจะสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) ก็โดนตัดอีก แล้วถ้าห้านิ้วไม่สำคัญมือจะสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) ในเมื่อมือไม่สำคัญแล้วแขนจะสำคัญได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราจึงพูดแบบนี้  หลายต่อหลายคนนั้นมักจะเห็นใหญ่ ๆ สำคัญ เล็ก ๆ ไร้คุณค่า จริงไหม (จริง) อย่างนั้นบาทเดียวอย่าสะสม ร้อยเดียวอย่าเก็บเข้าธนาคาร ดีหรือเปล่า ร้อยเดียวใช้ให้หมด ห้าพันใช้ให้เกลี้ยง ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) หนึ่งร้อยจึงเกิดห้าร้อย ห้าร้อยจึงเกิดเป็นพัน พันจึงเกิดเป็นหมื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในความสำคัญนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็กน้อย เฉกเช่นเดียวกับการทำความดี แค่ช่วยยกน้ำให้คนอื่นที่เขาหิวกระหาย เป็นผู้สูงอายุ เรามักไม่ทำใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดผู้สูงอายุนี้มีเกียรติมีตราตั้งเราทำไหม (ทำ) อย่างนี้ทำดีเพื่อความดี หรือทำดีเพื่อหน้าตาและชื่อเสียงกันล่ะ  (ทำดีเพื่อหน้าตาและชื่อเสียง)  ปัจจุบันจึงเห็นคนทำดีเพื่อความดีน้อย ส่วนใหญ่ทำดีเพื่อชื่อเสียง ทำดีเพื่อลาภสักการะ ใช่หรือไม่  แล้วโทษว่าสังคมเสื่อมทราม  เราต่างหากที่ตั้งไม่ตรงแล้วโทษว่าโลกเอียง  แม้โลกจะเอียงจริงก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่เราคุยกับท่านเรื่อย ๆ นะ ฟังให้สบาย ไม่ใช่ฟังแล้วคิดแต่ว่า "จริงไม่จริง เท็จไม่เท็จ พุทธะหรือเปล่า หรือเด็ก" อย่างนี้จะฟังเราไม่รู้เรื่องนะ ทุกท่านในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีความรู้ แต่คนที่จะรู้อย่างแท้จริง คือรู้แล้วปิดประตูตัวเอง ปิดหน้าต่างตัวเองไม่ศึกษาต่อ นั้นเรียกว่าผู้รู้แท้หรือผู้รู้เทียม (รู้เทียม) ทำไมถึงว่ารู้เทียมล่ะ  (เพราะปิดประตู) ตอบได้ดีมากเพราะปิดประตู บางครั้งเรามักจะลืมปัญหาของตัวเอง ทำไมเราจึงทุกข์ล่ะ ก็เพราะเรามองเห็นทุกข์เป็นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือว่าหากแม้นเราจะเป็นผู้ศึกษามากก็ตาม แต่ถ้าปิดประตูศึกษาวันหนึ่ง จะกลายเป็นผู้ด้อยการศึกษาไปหนึ่งวันจริงไหม (จริง) เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกๆ วัน ใจคนหมุนเวียนเปลี่ยนไม่แน่นอน ธรรมชาติก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าท่านช้าการศึกษาไปนิดนึงแม้จะเป็นผู้คงแก่เรียน ก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่รู้ไปได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าเกี่ยงการศึกษาอย่างอแงเอาแต่ใจตนเอง ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา เพราะตนเองทำตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ชีวิตนี้ถ้าเราเห็นทุกอย่างสำคัญ ก็มีความสำคัญ แต่ถ้าเห็นไม่สำคัญก็ไม่สำคัญไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าสำคัญแล้วยึดติดไหม สำคัญแล้วยึดมั่นเกินไปหรือเปล่า บางคนเห็นชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ เห็นตัวเองมีคุณค่า ยึดมั่นและให้ความสำคัญกับตนเองมาก ให้ความสำคัญคนอื่นน้อยไม่ค่อยเห็นคุณค่า หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงเงินทองทรัพย์สินที่มีเราให้ความสำคัญหมดทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราให้ความสำคัญเราก็เลยยกย่องสิ่งของสิ่งนั้นว่าเป็นจริงเป็นของเราและต้องอยู่กับเราแน่นอน เคยคิดอย่างนี้ไหม (เคย) เหมือนเรารักชีวิตเรา เราให้ความสำคัญกับชีวิตเรา และเราก็ให้เกียรติกับตัวเราเอง แต่ถ้าท่านเคยได้ยินคำว่า "เมื่อไรที่เห็นชีวิต เห็นทุก ๆ สิ่งในโลกนี้เป็นจริง ก็เปรียบได้กับคนที่กำลังฝัน หาใช่คนตื่นที่แท้จริงไม่" เคยได้ยินคำนี้ไหม (ไม่เคย)  จบเรื่องความสำคัญไปแล้วนะ เราจะมาเข้าอีกเรื่องหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกัน เมื่อไรที่เราเห็นว่าชีวิตสำคัญแน่นอน เงินทองสำคัญต้องยึดมั่น เสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามต้องเฉิดฉัน ต้องดีเลิศกว่าใครๆ เมื่อไรที่เราเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นจริง หรือแม้แต่ชีวิตของเราเป็นจริง เราก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ยังฝัน หาใช่ผู้ที่ตื่นแท้จริงไม่ เพราะผู้ที่ฝันคือผู้ที่เห็นทุกอย่างในโลกนี้เป็นจริง เที่ยงแท้ และไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ผู้ที่ตื่นแล้วคือผู้ที่เห็นว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอน สรรพสิ่งในโลกนี้หาเที่ยงแท้ไม่ พอเข้าใจบ้างหรือไม่ว่า "ตื่น" กับ "ฝัน" ต่างกันอย่างไร คนที่ตื่นแล้วคือคนที่สามารถเข้าใจสภาวะความเป็นจริงบนโลกใบนี้ ว่าชีวิตที่แท้จริงล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ย่อมมีเจ็บไข้ได้ป่วย ย่อมมีเปลี่ยนแปลง ดี ร้าย ทุกข์ สุข 
สรรพสิ่งไม่ว่าเงินทองหรือชื่อเสียงย่อมมีแน่แท้และไม่แน่นอน เขาจึงไม่กล้าเห็นทุกอย่างสำคัญและเป็นจริง เพราะว่ากลัวให้ความสำคัญมากเกินแล้วจะปล่อยวางไม่ได้ กลัวรักมากเกินแล้วจะทิ้งไม่ลง กลัวหวงแหนมากเกินแล้วให้คนอื่นไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่) นี่คือจุดต่างระหว่างผู้ตื่นกับผู้ฝัน นี่แหละคือจุดต่างระหว่างผู้มองเห็นโลกกับไม่เห็นโลก พอเข้าใจบ้างไหม จึงสรุปกันได้ว่า ชีวิตคือความฝัน รู้หรือเปล่า โดยเฉพาะถ้าฝันดีก็นอนต่อ ฝันร้ายจึงอยากตื่นขึ้น แต่อย่างที่เราบอก ถ้าท่านตื่นขึ้นยามฝันร้าย ท่านจะมีแรงไปต่อสู้ไหม (ไม่มี)  จงกล้าตื่นเมื่อยามฝันดี จงกล้าที่จะมองเห็นความเป็นจริงบนโลกใบนี้เมื่อยามสุขเกษมเปรมปรีดิ์ นี่แหละคือที่เรียกว่าคนที่อยู่บนโลกแล้วสามารถเข้าใจโลกและอยู่เหนือโลกใบนี้ หรือพูดง่ายๆ คือผู้ที่รู้จักเอาธรรมะมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตตัวเอง เรียกว่า มีธรรมไม่เสียเปล่า อย่าได้มีธรรมสักแต่มีธรรม อย่าได้มีธรรมสักแต่แขวนชื่อว่าเป็นคนมีธรรม แต่การปฏิบัติไร้และไม่มีเลย อย่างนี้ธรรมะก็ช่วยให้เราเจริญหรือพ้นทุกข์ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) กลับจะช่วยทำให้เราหลับฝันดีไม่ยอมตื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่ามนุษย์ในโลกนี้กลัวที่สุดก็คือ กลัวตัวเองต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกข์ตอนฝันแล้วใครจะช่วย ใครเคยฝันแล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ยกมือขึ้น ใครเคยฝันแล้วเอาแต่หนี สู้ไม่เป็นยกมือขึ้น ใครเคยฝันแล้วสามารถเอาชนะมารในฝัน ศัตรูในความฝันได้ยกมือขึ้น บางครั้งกว่าจะสู้ได้ต้องมีภาคต่อ วันนี้ยังไม่ได้ฝัน ตื่นเสียแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในฝันนั้นเราไม่สามารถกำจัดศัตรูได้อย่างแท้จริง ฉะนั้นจึงต้องรีบตื่นแล้วกำจัดศัตรูให้หมดสิ้น อย่าฝัน ถ้าฝันแล้วจะกำจัดศัตรูได้ไม่สิ้นซาก เดี๋ยวมีภาคหนึ่ง ภาคสอง พลิกหมอนนอนต่อฝันอีกเป็นภาคสามใช่ไหม (ใช่)  แถมในฝันไม่มีพระเอก นางเอกนะ ถ้ามีก็ไม่ใช่ดังที่ใจคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีฝันไปฝันมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาได้อย่างไร เคยมีไหม ฉะนั้นจงตื่นจากฝันได้แล้วนะ ต่อสู้กับความเป็นจริงด้วยชีวิตของตนเอง แล้วเอาอะไรมาสู้ล่ะ เอาปัญญาแห่งธรรมะ เอาธรรมะที่ได้ศึกษามาต่อสู้ ใครสู้ล่ะ เราสู้หรือท่านสู้  (ตัวเราเอง) ตัวท่านเองต้องสู้กับตัวท่านเองนะ เดี๋ยวเราจะพูดต่อว่า การสู้นี้ต้องสู้ด้วยอะไรบ้าง  และจะเอาชนะได้อย่างไร 
สุขทุกข์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตท่านไหม (สำคัญ)  ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญไหม (สำคัญ)  สำคัญ แล้วยึดมั่นไม่ให้เปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้)  สุขทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน มีความสำคัญกับชีวิตมากไหม  สุขทุกข์เป็นเรื่องสำคัญ ตอนนี้เรามาศึกษากันต่อดีกว่าว่า เมื่อเราตื่นขึ้นแล้ว เราต้องขจัดทุกข์ออกไปจากตัวตนให้หมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เป็นสิ่งที่มาเมื่อไร ก็แก้เมื่อนั้น เพราะถ้าทุกข์มาเมื่อไรท่านก็เอาแต่ทุกข์ เอาแต่ทุกข์ แล้วจะหายทุกข์ไหม (ไม่หาย)  ไม่มีวันหายหรอก  มาเมื่อไรก็หวานอมขมกลืน เก็บไว้กดไว้ในใจ ถูกทางหรือเปล่า  ไม่ถูกนะ มีทุกข์อย่าได้เก็บไว้จงคิดหาทางแก้ ถ้าบางเรื่องแก้ไม่ได้จงปล่อยวาง และยืนรับความเป็นจริง ในโลกนี้มีสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถสุขได้นั่นก็คือ การให้อารมณ์อยู่เหนือความเป็นจริง พุทธะอยากจะบอกไว้ว่าเมื่อไรที่เรามีชีวิตจงรู้ไว้ว่าชีวิตนั้นคือความตาย เมื่อไรที่เรามีรักจงรู้ว่ารักนั้นพร้อมจะผิดหวัง เมื่อไรที่เรามีได้ จงรู้ว่าในได้นั้นพร้อมที่จะมีสูญเสีย.นั่นก็คือว่า อย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่ จนมองไม่เห็นความเป็นจริงหรือหน้าตาจริงๆ ของสรรพสิ่งในโลกนี้ เมื่อไรที่เรามีโกรธจงเห็น “อภัย” เมื่อเขาไม่เป็นดั่งหวัง จริงไหม บางครั้งเมื่อมีรัก รักของเราจึงสวยงาม พอเขาหมดจากสวยเราจึงผิดหวังและทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ยากที่จะสุขได้อย่างแท้ เพราะเราเห็นหน้าตาภายนอกแต่ไม่เห็นถึงความเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไรที่เราอยากจะสุขจงเห็นได้ทั้งหน้าตาที่มองเห็นและทั้งสิ่งที่ไม่อาจคาดฝันได้ด้วย ดีหรือไม่ (ดี)  เหมือนลูกหลานเรา เหมือนเพื่อนเรา เหมือนสามีเรา ให้เผื่อใจไว้ เหมือนดังคำกล่าวว่า "เตรียมไว้ก่อนเนิ่นๆ แม้ภัยมาก็จัดการได้ ตั้งรับได้ทัน" เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า "อย่าประมาท" แม้ตนเองจริงหรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าเราอยู่บนโลกจะได้สิ่งใดจะเสียสิ่งใด อย่าลืมมองสิ่งตรงข้ามของสิ่งของนั้น และเราจะได้ทำใจเผื่อไว้ได้ นี่คือการที่เราจะหาความสุขได้หนึ่งเรื่อง 
อีกเรื่องนั้นก็คือ ถ้าใจเราไม่นิ่ง ถ้าใจเราไม่สงบเราจะไม่มีวันสุขได้เลย ถ้าใจเราไม่รู้จักว่าการนั่งเฉยๆ ก็มีความสุข ยืนเฉยๆ ก็มีความสุข ได้สิ่งที่ไม่ถูกใจก็มีความสุขทำได้ไหม (ไม่ได้)  นั่นก็เพราะมนุษย์นั้นเป็นคนที่สุขยาก ทุกข์ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งโน้นก็ไม่ถูกใจ สิ่งนั้นก็ไม่ถูกตา เสียงนั้นก็ขัดหูไม่ไพเราะ ทำไมไม่เป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยากบ้างล่ะ จริงหรือเปล่า อะไรๆ ก็ดีไปหมด ยิ้มนิดๆ ก็รู้สึกดี ยิ้มกว้างๆ ก็รู้สึกดี ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เรากำหนดให้สุขตัวเองสูงมากๆ แล้วกำหนดทุกข์ให้ง่ายมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่สองที่จะช่วยให้สุขง่ายทุกข์ยากๆ ดีหรือเปล่า (ดี)  นั่งนานๆ สุขไหม (ไม่สุข)  จะนั่งนานนั่งเล็กน้อยก็สุข ดีกว่าไม่ได้นั่งจริงไหม (จริง)  แต่ไม่ได้นั่งก็สุข ใช่หรือเปล่า จงสุขง่ายๆ ซะ แล้วแค่นี้เราก็ยิ้มได้แล้ว 
แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สุขยาก ก็เพราะว่าเรานั้นยึดติดในรูปนามสมมติ ใครว่าเราไม่หล่อ ใครว่าเราไม่สวย โกรธไหม สุขลงไหม วันนี้เขามีกระเป๋าใหม่แต่เราเป็นกระเป๋าเก่าสุขลงไหม เขาเรียนโรงเรียนดี เราเรียนโรงเรียนธรรมดาสุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขเพราะอะไร เพราะเรายึดติดในรูปนามชื่อเสียง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้นั่งกับเขาเราใส่เสื้อเปื้อน เขาใส่เสื้อขาว สุขไหม (ไม่สุข)  เขาใส่เสื้อลายเราใส่เสื้อเรียบสุขไหม (จะลายอย่างไรก็สวยกว่า)  นั่นก็เพราะว่าเรายึดติดในรูปนาม เราจึงไม่สุข วันนี้เห็นนักเรียนนั่ง ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนสุขไหม (สุข)  ทำไมยิ้มยากไปล่ะ ผู้ปฏิบัติงานธรรมกลายเป็นเสือยิ้มยาก นักเรียนในชั้นกลายเป็นแมวนอนหวด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟังแล้วก็ขดตัวหลับอย่างเดียว ใช่ไหม (ใช่) แมวนอนหวดนี้พอเดินออกไปกลายเป็นเสือผยองไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
การหาความสุขง่ายๆ มีอยู่สามอย่าง คือทำอย่างไรบ้าง (ทำใจให้สงบ)  มีคนช่วยข้อหนึ่งแล้ว นั่นก็คือสุขในการที่จะรู้จักทำใจให้สงบบ้าง มนุษย์เราที่ไม่สุขก็เพราะอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อีกสองข้อ (ไม่ยึดติด)  ไม่ยึดติดในรูปนามสมมติ  ยังขาดอีกหนึ่งข้อ   อย่าให้อะไรมากกว่าอะไร จำได้ไหม (อย่าให้ความทุกข์มากกว่าความสุข, อย่าให้มีความสุขมากกว่าความทุกข์) หลายต่อหลายคนอยากมีสุขเยอะๆ ใช่ไหม (ใช่)  อยากมีสุขมากๆ ไม่ยากเลย  สุขนี้มีอยู่ที่ตัวท่านแล้ว  ทุกข์นี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราหรอก เรารีบขับออกไปให้ไกลๆ ทำไมเราจึงบอกว่าสุขนั้นมีอยู่ในตัวเราล่ะ  แค่เรายิ้ม แค่เราให้อภัย แค่เราไม่โกรธ แค่เรารู้จักปล่อยวาง แค่เราไม่ถือสา  แค่เราไม่อะไรอีกมากมาย  "แค่" เท่านั้นเองใช่ไหม (ใช่)  เราก็จะเป็นผู้ที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุขแล้วก็เป็นผู้ที่ร่ำรวยความสุข ยิ่งให้ยิ่งสุขใช่ไหม  อย่าไปรอความสุขจากข้างหน้า แต่จงทำปัจจุบันนี้ให้มีความสุข อย่าไปรอความสุขจากสิ่งที่ไม่มี แต่จงสุขจากสิ่งที่ตัวเองมี อย่าไปคาดหวังว่าจะต้องมีสุขแต่จงสุขเท่าที่ตัวเองหวังได้ ทำได้ใช่ไหม (ใช่)  แม้คนอื่นจะมากระทบเรา แม้คนอื่นจะมาทำให้เราขึ้งโกรธ แต่ถ้าเรามอบสุขกลับไป ให้อภัยกลับไป ไม่ถือสากลับไป สุขไหม (สุข)  แม้ลูกหลานไม่ได้ดั่งใจ แม้ตัวเองไม่ได้ดั่งหวังก็ไม่เป็นไร ยิ้มสู้กับตัวเอง สู้กับความทุกข์ร้อนที่เข้ามากระทบ ความสุขที่หาได้ง่ายนี่แหละจะทำให้เรากล้าเผชิญชีวิต และพร้อมจะมีชีวิตอย่างมีคุณค่าไม่ได้อยู่อย่างน่าเบื่อหน่าย ไม่ได้อยู่อย่างคนสิ้นหวัง แต่อยู่อย่างคนที่สุขแล้วที่หวังได้เท่านี้ มีเท่านี้ก็สุขแล้วใช่ไหม (ใช่)  พุทธะมาบอกบ่อยๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดตั้งหลายองค์ แต่น้อยคนนักจะทำเพราะอะไรล่ะ ทำยากหรือเปล่า ตัดใจได้ไหม อภัยได้ไหม เมื่อมีทุกข์อย่าเก็บทุกข์ไว้แล้วกลบเกลื่อนไว้จนกลายเป็นคนกระด้าง สมมติว่าท่านไม่พอใจคนๆ นี้ บอกว่าให้อภัย แต่อภัยนั้นกลับกดไว้ในใจ อย่างนี้เรียกว่าอภัยแท้จริงไหม แล้วเราก็เก็บทุกข์ไว้อยู่ในใจ รอวันปล่อยออกมา รอวันที่มันจะล้นปรี่ แล้วไปทำร้ายคน อย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญ อย่างนี้ไม่เรียกว่าหนทางแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อภัยแล้วจงปล่อยวาง อภัยแล้วจงไม่เหลือเก็บไว้คั่งค้างในจิตใจ นี่คือผู้ที่สามารถตื่นแล้วรู้จักสุขบนโลกเป็น คนในโลกนี้แม้จะเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ยังมีพุทธะที่เอาชนะได้ ยังมีตัวท่านที่สามารถปราบเขาไว้ให้อยู่หมัด จริงไหม (จริง) อยู่ที่ว่าเราอย่าแพ้ใจตัวเอง ความดีทำง่าย ความชั่วทำยาก โดยเฉพาะกิเลสและความไม่ดี มักไม่อยากให้ท่านได้ดีจำไว้นะ ยิ่งท่านร้ายยิ่งท่านโมโหยิ่งท่านเก็บกด กิเลสจะรักท่านยิ่งกว่าอะไร แต่พุทธะจะไม่มองท่านเลย เศร้าไหม (เศร้า) แล้วตอนนั้นจะขอพุทธะเป็นเพื่อนคงยากแล้ว เพราะเล่นนอนกอดกิเลสทุกวันทุกคืน จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นจึงต้องฝึกตัวตนเองนี้ ฝึกที่ไหนล่ะ อย่าฝึกที่กายอย่างเดียวล่ะ แต่ต้องฝึกทั้งกายและใจตัวเอง เริ่มต้นที่การทำอะไรล่ะ หนึ่งตั้งใจ ตั้งได้ไหม เหมือนเด็กเวลากว่าจะตั้งไข่นานไหม (นาน)  ถ้ายอมแพ้จะเดินได้ไหม เหมือนกัน วันนี้ถ้าท่านไม่ตั้งใจท่านจะไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ ท่านจะนอนคลุกฝุ่นกิเลสเต็มตัวไปหมดเอาหรือเปล่า (ไม่เอา)  มีกิเลสเป็นเพื่อนมีมารเป็น (สหาย)  ไล่กิเลสออกเอาธรรมะยึดถือ ถามว่ากิเลสมีอะไรบ้าง (ตัณหา)  ความอยากนี้เป็นตัณหาไหม (เป็น)  ตัณหาเป็นเพื่อนกับกิเลสไหม (เป็น)  จงตั้งใจ ความตั้งใจทำให้มนุษย์สามารถประสบความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความตั้งใจทำให้เราสำเร็จ แต่การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเพื่อให้เราเป็นคนดี เป็นพุทธะนั้นตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและแน่วแน่ เมื่อไรที่เราตั้งใจแล้วมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและแน่วแน่ เราย่อมชนะได้ ชนะอะไรล่ะ (ชนะใจตัวเอง) เพราะกิเลสมาจากไหน (ตัวเราเอง)  โกรธคือกิเลสไหม อยากคือกิเลสไหม แล้วใครโกรธใครอยากล่ะ (ตัวเราเอง)  แล้วใครเป็นคนสร้างกิเลสล่ะ (ตัวเราเอง)  ใครสร้างปราสาทให้กิเลสอยู่ (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ที่กำจัดและชะล้างกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ เมื่อใจเราตั้งมั่นแล้วอย่างเดียวพอไหม (ไม่พอ) เพราะว่าความตั้งใจนั้นบางครั้งตั้งใจดี แน่วแน่ มั่นคง แต่ทำไมถึงไม่พอ เพราะว่าบางครั้งความตั้งใจนั้นอาจจะมีความคิดที่ไม่ค่อยเที่ยงตรง ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราตั้งใจจะเป็นคนดี แต่บางทีความคิดเรามักจะไม่ค่อยชัดเจน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การแบ่งแยกการตัดสินมักจะไม่ถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่าต้องดูความคิดด้วย คนทุกคนมีความตั้งใจ คนทุกคนเป็นคนดีได้ เป็นคนดีมีความตั้งใจแต่ถ้าไม่ตรวจสอบภายในจิตใจ ภายในความคิดว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม แม้จะตั้งใจแม้จะมุ่งมั่นก็ล้มได้เหมือนกัน โดนขัดขวางได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงต้องตรวจสอบความคิดด้วยว่ามีความคิดที่ถูกต้องเมื่อตั้งใจแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเพราะว่ามีอารมณ์กับความคิดนั้น มีอารมณ์กับเรื่องนั้น อย่างเช่นง่ายๆ เมื่อไรจะทำดี เห็นคนสองคน คนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำ คนหนึ่งยืนนิ่งๆ คนหนึ่งยืนลอกแลก เวลาเราทำดีเราจะให้ใคร ให้คนที่ยืนนิ่งๆ หรือคนที่ลอกแลก (คนที่ยืนนิ่งๆ ) หลายต่อหลายคนเวลาจะทำดีมักจะมองที่รูปลักษณ์ภายนอก แล้วก็ตัดสินส่งความดีนั้นไป โดยที่มองเห็นแค่เปลือกนอก ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งคนที่ลอกแลกนั้นเขาอาจจะกำลังรีบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลอกแลกแล้วกลายเป็นคนไม่ดีเลยหรือ น่ากลัวนะพวกท่าน ตัดสินคนโดยใช้สายตาแวบเดียวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งใจอย่างนี้ก็ล้มได้ ใช่หรือเปล่า เพราะตัดสินคนผิดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตั้งใจแล้วต้องตามด้วยความคิดที่ถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าสองคนนั้น คนหนึ่งรักมากเป็นลูกของเรา อีกคนเป็นเพื่อนของลูกเรา ให้ใครมากกว่า (ให้ลูกเรา)  ให้ลูกมากกว่าทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ตั้งใจดีไหม (ไม่ดี)  ดีไม่หมด ดีลำเอียง ใช่ไหม (ใช่)  ดีแบบแบ่งแยกด้วย แล้วถ้าของสิ่งนั้นเป็นของเพื่อนลูกเรา แต่ลูกเราบอกว่าของหนูเองแม่ แล้วแม่ยื่นให้ลูก ผิดไหม (ผิด)  ฉะนั้นแม้จะตั้งใจก็อย่าลืมสำรวจความคิดตัวเอง เพราะจิตมักพาให้มนุษย์ไขว้เขวใช่หรือไม่ (ใช่)  ความคิดดีตั้งใจดีแล้วยังต้องมีอะไรอีกรู้ไหม คิดให้ดีๆ นะ (ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ, มีความยุติธรรมในจิตใจ, ความไม่หย่อนหรือตึงจนเกินไป, สภาพแวดล้อมน่าจะดีด้วย) แปลว่าถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดี ต้องคิดนานๆ ใช่ไหมจึงจะทำ (สภาพแวดล้อมอาจจะคล้ายเป็นมารผจญ) ก็ได้แง่คิดอย่างหนึ่ง คนหลายต่อหลายคนที่ไม่ยอมทำดีก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้ทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราตอบว่าไม่ใช่  ได้ไหม (ได้)  สภาพแวดล้อมไม่เอื้อแต่เราจะทำ มีปัญหาไหม (ไม่มี)  เดี๋ยวเรามาคุยกันต่อนะ ท่านพูดได้น่าคิด  
การมีความตั้งใจ เริ่มมีแนวคิดที่ถูกต้องยังต้องตามด้วยปัญญาที่เท่าทันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะมีแนวคิดที่ถูกต้องแต่มนุษย์มักหลงกลกิเลส เพราะกิเลสไม่อยากให้มนุษย์ได้ดี เราจึงต้องใช้ปัญญาคอยสอดส่องดูแลและควบคุมตัวตนเองไม่ให้พ่ายกิเลส และควบคุมความคิดให้ระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัญญาจะมีได้นั้นจะขาดเสียไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคืออะไรรู้ไหม (สติ) สติก็ถูกนะ (การเปิดรับ)  การเปิดรับก็ถูกนะแต่เรียกง่ายๆ หรือเรียกเป็นทางการว่า ศึกษา ปัญญาเกิดได้เพราะได้ศึกษาเมื่อศึกษาจึงเกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาจึงมีความคิด เมื่อมีความคิดจึงตั้งใจ เมื่อตั้งใจแล้วจึงปฏิบัติใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือว่า เราอยู่ในโลกนี้แม้มีรัก แต่ถ้ามีรักแล้วไม่ศึกษาในรักให้ดีก็จะกลายเป็นตาบอดจริงไหม (จริง) แม้มีความเมตตาแต่ถ้าไม่ศึกษาให้ดีแล้วก็จะกลายเป็นโง่งมใช่หรือไม่ (ใช่) โดนเขาเอาความดีที่เราอยากจะทำนั้นไปใช้หลอกลวงผู้อื่น แม้เรามีความกล้าหาญแต่ความกล้าหาญนั้นไม่ได้ศึกษาให้ดีความกล้านั้นจะกลายเป็นมุทะลุเอาแต่ใจ กล้าแบบผิดๆ กล้าแบบเอาชีวิตไปเสี่ยง  แม้จะมีใจที่รับฟัง แต่ถ้าเอาแต่รับฟังไม่ศึกษาสิ่งที่ฟัง ไม่ศึกษาสิ่งที่พิจารณาก็เป็นอันตราย โดนเขาจูงไปไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาสองวันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เกิดความคิด ทำให้เกิดความตั้งใจที่จะเป็นสิ่งใด เป็นอะไรที่วันนี้ศึกษากัน เป็นคน เป็นพุทธะหรือเป็นเหมือนเดิม (เป็นพุทธะ)  วันนี้เรามาศึกษาเพื่อเป็นพุทธะ แต่ก่อนจะเป็นพุทธะต้องเป็นคนให้ดีก่อน เมื่อเป็นคนดีได้จึงก้าวไปสู่การเป็นพุทธะได้ใช่หรือไม่(ใช่)  ช่วงที่จะก้าวเป็นคนดีก้าวเป็นพุทธะ ช่วงนั้นต้องรู้จักเอาความดีนั้นช่วยคน ทำไมจึงต้องช่วยล่ะ หากท่านมีทรัพย์แต่เก็บทรัพย์ไว้ใต้ดิน เรียกว่ามีทรัพย์หรือไร้ทรัพย์ (ไร้ทรัพย์)  ถ้าท่านมีความรู้แต่เก็บความรู้ไว้ ไม่เคยพูดไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร เรียกว่ารู้หรือไม่รู้  (ไม่รู้)  แล้วถ้ารู้เอาแต่โอ้อวดแต่ไม่ถ่ายทอด เรียกว่ารู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  ฉะนั้นการถ่ายทอดจึงต้องระมัดระวัง ถ่ายทอดแบบไม่อวด บางคนมีทรัพย์แต่ เก็บทรัพย์ไว้ นี่ก็ไม่ถูกต้อง  บางคนมีทรัพย์แต่อวดทรัพย์นี่ก็ใช้ไม่ถูกทางใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีสิ่งดีจึงนำสิ่งดีใช้ ใช้แบบไม่ยึดติด ใช้แบบเปิดใจกว้าง พร้อมที่จะแก้ไข และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองดีขึ้น พร้อมที่จะช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สังคมนอกจากจะเป็นแบบนี้แล้วเราจะช่วยให้ดีได้ด้วยตัวเองเป็นผู้เริ่มต้น แผ่นดินที่แห้งแล้ง รอน้ำ และต้นหญ้าที่แกร่งกล้าไปอยู่ในแดนดินนั้น โลกที่สกปรกโสมมรอพุทธะที่องอาจ พร้อมจะนำคุณธรรมไปเบ่งบาน ชะล้างให้โลกนี้กลับสะอาดเหมือนเดิม แต่ปัจจุบันนี้ ตัวท่านไม่ยอมทำดีไม่อยากทำดี หนึ่งกลัวคำพูดคน  สองทำแล้วอาย ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีไปแล้วกลัวโดนเขาล้อ  โดนเขาว่า พอบอกว่าเราจะเป็นคนดีนะ ก็โดนเพื่อนถากถาง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมต้องกลัว ถ้าท่านอยากได้ดี อยากให้มีดี และอยากให้เพื่อนดีด้วย  เราต้องไม่กลัวสิ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่รู้จักพระพุทธองค์ ไม่รู้จักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าท่านกลัวการทำดี เพราะว่าคนไม่อยากได้ดี จริงไหม (จริง)  ถ้าคนมีแต่ชั่วร้าย แล้วพุทธะไม่ทำดี แล้วจะมีความดีหลงเหลือในโลกนี้ไหม (ไม่มี) ท่านลองคิดให้ดีๆ นะ  
เมื่อสักครู่คำพูดของท่านน่าคิดมาก หลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้ไม่อยากทำดีก็เพราะว่ากลัวคนร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมท่านไม่เอาความดีนี้สู้ความร้าย วางมาตรฐานชีวิตของตัวเองให้ถูกต้อง ถ้าวางได้ถูก ดำเนินอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แม้ทำหนึ่งครั้งโดนว่าร้อยครั้ง ก็ยังยืนหยัดและพร้อมจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ร้อยครั้งอาจจะมีหนึ่งครั้งที่ดลใจให้เขาเห็นด้วยกับเราก็เป็นได้  แต่ถ้าแค่หนึ่งครั้งแล้วถอยใครล่ะจะตามท่านมาดีด้วย จริงไหม (จริง) แล้วโลกจะเหลือดีไหม (ไม่เหลือ) ที่มีการประชุมธรรม ที่มีการถ่ายทอดธรรม ที่มีการชี้จุดให้รู้ถึงความเป็นพุทธะ ก็เพราะว่าพุทธะอยู่ในตัวท่าน ความดีอยู่ในตัวท่าน แต่ท่านจะเลือกเป็นหรือไม่เลือกเป็น เลือกทำหรือนิ่งเฉย จริงไหม (จริง)  อย่าคิดว่าเรามาเล่นละครเลย ถ้ามาเล่นละคร ก็เป็นละครที่ไม่ค่อยจะสนุกเสียเท่าไร และเป็นละครที่เราไม่ได้กำลังใจอะไรเลยด้วย จริงไหม(จริง) ฉะนั้น ขอให้จงเอาคำพูดของเราวันนี้ไปทบทวนให้ดี ความดีอยู่ที่ตัวท่าน พุทธะก็อยู่ที่ตัวท่าน ทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง เริ่มต้นง่าย ๆ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด อย่าทำหน้าที่เพราะเป็นหน้าที่ เข้าใจไหมผู้บำเพ็ญธรรม (เข้าใจ)  แล้วจงสร้างความสุขในครอบครัวโดยสร้างสัมพันธ์ที่ดี หากเริ่มต้นที่ครอบครัวผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีแล้ว การที่เราจะไปเริ่มต้นทำกับใครย่อมเป็นเรื่องง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) หน้าที่ดี สัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีด้วย ออกไปข้างนอกเขาก็ชื่นชมเรา ใช่หรือเปล่า(ใช่) หน้าที่ยังขาดตกบกพร่องแล้วจะไปเป็นคนดีได้อย่างไร 
แล้วจะไปช่วยคนได้อย่างไร ความสัมพันธ์ในครัวเรือนยังบาดหมางอยู่ แล้วจะไปผูกสัมพันธ์ช่วยเหลือคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น เริ่มต้นแรกในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นคนดี แล้วก้าวไปสู่การเป็นพุทธะ นั่นก็คือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างสัมพันธไมตรีในครอบครัวให้สมัครสมานกลมกลืนที่สุด แล้วเราจะออกไปสู่สังคมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยากไหม (ไม่ยาก) กลัวลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว) อย่ากลัวเลยนะ เพราะในโลกนี้แม้จะไม่มีธรรมก็ลำบากอยู่แล้ว มีธรรมะหน่อยลำบากขึ้นอีกหน่อยแต่เป็นคนดีได้ เป็นพุทธะได้ จะไม่เป็นหรือใช่ไหม (ใช่) อย่าอ่อนแอ อย่าเอาแต่ใจตัว อย่าเข้าข้างตัวเองมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เราเห็นทุกท่านแล้ว บางครั้งเราก็อดสงสารอาจารย์ของท่านไม่ได้ ข้างหน้าก็ทุกข์ ข้างหลังก็ท้อ ถ้าท่านเป็นอาจารย์ของคนทั้งสองคนยืนอยู่ระหว่างทุกข์กับท้อ คนที่เป็นอาจารย์น่าสงสารนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
"ต่างครองชีพสรรค์สร้างโอกาสเอย อย่าละเลยสำคัญด้วยเห็นไม่สำคัญ"
วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ท่านได้เรียนรู้การฝึกฝนตนโดยนำคุณธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จงรีบนำไปสร้างอย่ายอมแพ้กิเลส จงเอาชนะจิตใจตัวเองนี้ให้ได้ และบากบั่นไปให้ถึงซึ่งความดีอันแท้จริง แล้วจงมองเห็นโลกใบนี้ให้ชัดเจน ว่าตาที่เรามองเห็นว่าโลกนี้สวย แท้จริงแล้วยังมีความจริงอีกมากมายที่เรายังมองไม่เห็น เหมือนชีวิตนี้เราดิ้นรนไขว่คว้ากันมากมาย แต่สิ่งที่ได้มาคือ ทุกข์ กับ สุข เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงพอบ้างและให้เวลากับตัวเองมาศึกษาหลักธรรม มาค้นคว้าว่าจิตใจของตัวเองนี้เป็นพุทธะได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
"กายใจงามคุณธรรมให้ทั่วหน้า ทรัพย์ไร้ค่ายิ้มใสกำลังขวัญ"
วรรคนี้เข้าใจไหม ทรัพย์ไร้ค่า ยิ้มใส ๆ ก็เป็นกำลังขวัญที่ดี บางครั้งมีเงินมากมายซื้อชีวิตไม่ได้ ซื้อมิตรแท้ไม่ได้ ซื้อความซื่อสัตย์ในโลกไม่ได้ และซื้อความกตัญญูจากบุตรหลานก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรจึงซื้อไม่ได้ เพราะคนขาดซึ่งคุณธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เพราะคนไม่มีธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ซื้อไม่ได้แสดงว่าเขามีธรรม ถ้าซื้อได้แสดงว่าเขาไม่มีธรรม เป็นเพราะเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำให้ท่านมึนงงหรือเปล่า  เดี๋ยวก็ดุ เดี๋ยวก็ข่ม เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ไม่แน่นอน ก็เหมือนใจท่านนั่นแหละ ใช่หรือไม่   เดี๋ยวยิ้มแย้มร่าเริง เดี๋ยวหม่นหมองร้องไห้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามเราทันได้ก็ตามใจท่านทันได้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นแม้จะมีเงินมากมายแต่ถ้าเราไม่ปูพื้นฐานคุณธรรมให้ดี ลูกหลานก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  พี่น้องก็คบหาไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจงให้ธรรมะนี่แหละเป็นตัวสานเป็นตัวเชื่อมให้โลกนี้น่าอยู่  ให้คนอยู่ด้วยกันได้ แม้ไม่มีเงินก็รักกันได้ แม้ไม่มีเกียรติก็คบกันลงดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วโลกนี้จะไร้ซึ่งพรหมแดนไร้ซึ่งตำรวจไร้ซึ่งกฎหมาย เพราะทุกคนดีไปหมดจริงไหม (จริง)  แต่มีกฎหมายเพราะว่าคนยังสามวันดีสี่วันไข้ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ก่อนจะจากกัน ขอให้ยังเป็นคนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังได้ดีไหม (ดี)  หรือว่าจะเป็นคนที่ไม่น่าหวังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย หวังได้ไหม (ได้)  หวังที่จะได้ดีนะ  และหวังที่จะเห็นท่านดีจริงๆ ลบเหลี่ยมลบร้อยร้ายในตนให้หมดสิ้น เป็นคนที่สะอาดทั้งนอกทั้งใน เป็นคนที่งดงามอย่างแท้จริง  แม้จะเป็นเพชรในตมก็ตาม แม้ไก่จะเขี่ยเพชรทิ้งก็ตามทีใช่ไหม (ใช่)  แต่สักวันหนึ่งไก่นั่นแหละจะเห็นค่าของเพชร "ไก่" ในที่นี้เราหมายถึงอะไรรู้หรือเปล่า แม้คนอื่นเขาจะไม่เห็นค่าเรา แต่เราก็ไม่ยอมทิ้งค่าของเราเพื่อให้ไก่มองหรอกนะจริงไหม (จริง)  จงรักษาคุณค่าของตัวเองให้มั่นคงนะ 
"คนเผอเรอหลงชินชาความผิด" กลัวที่สุดก็คือกลัวใจท่านเผลอทำผิดแบบจงใจใช่ไหม  
"คนเผอเรอหลงชินชาความผิด เดิมพันชีวิตรักษาอาการในผิดนี้
จงเป็นคนดีและบำเพ็ญดี เข้มแข็งที่ได้พาไม่เวียนวน"
วรรคสุดท้ายนี้หากตีความง่ายๆ นั่นก็คือ วันนี้เราได้เอาธรรมะที่เป็นหลักสัจธรรมมานำพาให้ท่านค้นพบความเป็นจริงของชีวิตและไม่อยากให้ท่านเวียนวนในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป ด้วยการเอาชนะกิเลส  เอาชนะใจตัวเองที่ชอบหลงไปสู่เบื้องต่ำ ใช้ชีวิตนี้ในครานี้เป็นเดิมพัน จะบำเพ็ญจนหมดลมหายใจ จะดีจนเฮือกสุดท้าย จะรักษาความดีนี้ให้อยู่แม้ลมหายใจหมดสิ้น จะไม่ยอมให้ตัวเองเผลอผิดอีกครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้คงจบเท่านี้แล้ว สิ่งที่จะเอ่ยก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรมากไปกว่านี้อีก
เราก็เป็นเซียนเล็กๆ องค์หนึ่งในแปดเซียนทั้งหมดที่มี ทุกวันเราต้องหมั่นสอดส่องช่วยเหลืออาจารย์ของท่านทำงาน เท่าที่เรามีโอกาสจะเอื้ออำนวย ช่วยเหลือเวไนยสัตว์เท่าที่เราจะช่วยได้ แต่บางครั้งเราก็จนใจเพราะว่าถ้าตัวท่านไม่ช่วยตัวเอง แม้พุทธะจะให้แนวทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าตัวท่านไม่เดิน ใครล่ะจะช่วยได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตัวท่านยังยึดติดในอัตตาตัวตน ยังแข็งกระด้างอยู่ นี่ไม่ใช่ทางที่ถูกในการบำเพ็ญ  จงอ่อนน้อม จงว่าง่าย จงยอมรับและกล้าหาญสู้กับความเป็นจริงในโลกใบนี้ ถ้ามีโอกาสจงเอามือนี่แหละ ใจนี่แหละช่วยคนที่เขายังทุกข์อยู่ ท่านนั้นยังโชคดีกว่าหลายๆ คน ท่านนั้นยังโชคดีกว่าเวไนยสัตว์อีกมากมายที่ต้องทุกข์ทน วันนี้ท่านนั่งเป็นสุข แต่ท่านคงไม่ได้ยินหรอกว่ายังมีเสียงอีกมากมายที่เจ็บปวดที่ทุกข์ทน ตาที่ท่านเห็น ท่านคงมองไม่เห็นหรอกว่า ยังมีเวไนยสัตว์อีกมากมายที่ยังดำผุดดำว่าย เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะที่น่าสงสาร เมตตาได้จงเมตตา อภัยได้จงอภัย ผิดบาปลดได้จงรีบลด อย่าได้ทำอย่าได้เบียดเบียน ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยทุกชีวิตต่างรักชีวิตใช่ไหม (ใช่) ตัวท่านเองก็รักถนอมกายใจนี้ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เฉกเช่นเดียวกัน อย่าเบียดเบียนเขา อย่าผูกใจเจ็บ ให้อภัย และเปิดใจเมตตากว้างๆ 
ถึงเวลาเราก็ต้องไป เจอกันตอนแรกก็ต้องเตรียมใจไว้แล้วว่า เดี๋ยวท่านมาท่านก็ต้องไปใช่ไหม (ใช่) ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน  ถึงเวลามาก็มา ถึงเวลาไปก็ต้องไป อยากเอื้อนเอ่ยมากๆ  แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรอีกแล้ว รู้สึกว่าคำพูดเต็มล้นอยู่ที่ปากวาจานี้ ถนอมรักษาตัวเองให้ดีนะ มีโอกาสเราคงได้ผูกบุญกันอีก



วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มนุษย์นั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง                      ศรัทธาตั้งมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ
หากล้มเหลวศิษย์เอยอย่าได้เข็ด                     ดุจคว้าเพชรในโคลนตมภูมิใจได้มา
                        เราคือ
  จี้กงวิปลาส                             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                        ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

     ความรู้สึกพาใจไหวเอน    วางกฎเกณฑ์ครบครันทันใจ   หากทุกอย่างดีสมใจ   จะยิ้มออกมาทันใด  หมองใดไม่คลุมครอบจิตตน
     กลัวแต่คนชะรอยทุกข์สร้าง   แปรหน้าเป็นหลังมือเวียนวน  อาจยิ้มออกไม่ทุกคน    ความคิดที่สู้เพื่อตน   แฝงปะปนแต่เรื่องเศร้าใจ  
     เห็นหน้าแล้วตัดสินกัน   ดูช่วงสั้นไป   ทุ่มเถียงเสียงตีแสกใจไม่ใช่ปัญญา
     คนถ้าลองว่าชังแล้วนั่น   เพียงชั่ววันคุ้ยเรื่องนานา  ไม่รักก็ไม่หันมา   คนคุ้นใส่ใจพูดจา   ละนินทามองโลกแง่ดี
     การเห็นใจช่วยกันนั้นง่าย  คนตั้งใจรู้ให้ทันที  ช่วยเท่าที่เป็นผลดี โดยมิแบ่งแยกในที ณ ฤดีคือความซื่อตรง
     *เตือนใจคนลำเอียงยึดมั่น   "ดีต่อกันครั้นสิ้นยืนงง"   #เมื่อไม่อยากให้ลดลง   ทำทุกอย่างใจขาดตรง#  รักพ้องพงศ์จิตถือเที่ยงธรรม *
     หลายเรื่องแม้พลาดพลั้งไป  เผลอแล้วต้องจำ   แก้ไขไม่ไปโทษกรรมให้เกิดกังวล
     ความรู้สึกพาใจนั้นเปลี่ยน   มาเพื่อเรียนพระธรรมนำตน  อย่าคิดมากจนทุกข์ทน    ความคิดที่สู้เพื่อชน   แม้ทำจนตนสิ้น    สุขใจ

ชื่อเพลง  อย่าใช้ความรู้สึกนำทางการบำเพ็ญ
ทำนองเพลง พรหมลิขิต

* ________  หมายถึง  ผู้ให้
   "               "   หมายถึง ผู้รับ
#                 #   หมายถึง ผู้ให้และผู้รับ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ก่อนฟังธรรมะสองวันนี้เราเป็นคนดีหรือยัง (เป็นแล้วทำไมตอบไม่เต็มเสียงเลย ฝ่ายชายก่อนฟังธรรมะสองวันนี้เราเป็นคนดีแล้วหรือยัง (ยังและผู้หญิงก่อนฟังธรรมะสองวันนี้เราเป็นคนดีแล้วหรือยัง (เป็นแล้วแสดงว่าผู้ชายไม่ชอบสร้างความดี แล้วผู้หญิงเป็นคนที่ชอบสร้างความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่และชอบสร้างความไม่ดีด้วยใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่ฉะนั้นก่อนที่จะมาฟังธรรมะสองวันนี้ เราก็อาจจะไม่แน่ใจว่าบางครั้งเรานั้นเป็นคนดี บางครั้งก็เป็นคนไม่ดี  แต่ว่าหลังจากสองวันนี้เป็นต้นไป ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง เราต้องให้ตัวเรานั้นมั่นใจว่าตัวเราเป็นคนที่ดีขึ้น เราเชื่อมั่นในความดีที่มีอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่เรามั่นใจว่าเรานั้นช่วยคนอื่นได้อย่างไม่หวังผลอะไรเลย เพราะถ้าหากว่าเรานั้นหวังผลว่าเราช่วยคนแล้วเราจะต้องได้ดี เกิดไม่ได้ดีมาแล้วเรารู้สึกเป็นอย่างไร เราก็รู้สึกผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่
สองวันนี้มาฟังธรรมะ เป็นเวลาที่นานหรือเปล่า (ไม่นานสองวันเป็นเวลาที่ไม่นาน ที่นานคือการกลับไปทำในสิ่งที่ฟังมาในสองวันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่ฟังสองวันแต่ต้องทำไปตลอดชีวิต ทำอะไรตลอดชีวิต ทำดีตลอดชีวิต วันหลังถ้าหากมีคนมาถามศิษย์บอกว่า เอ๊ะ เธอเป็นคนดีหรือเปล่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี จะอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนวันนี้หรือเปล่า (ไม่
คนเราเกิดมานั้นมีทั้งข้อดี มีทั้งข้อเสีย เรื่องทุกเรื่องทำขึ้นมานั้นมีทั้งผิดและถูก แล้วทุกคนที่อยู่ด้วยกันนั้น ไม่มีใครคิดเลยว่าตัวเรานั้นเป็นคนทำผิด แล้วเรื่องๆ นี้ใครจะผิด เรื่องๆ หนึ่งมีหลายอย่างรวมตัวกันขึ้นมา ทั้งด้านนิสัย ทั้งด้านสภาพแวดล้อม ทุกอย่างรวมตัวกันขึ้นมาเป็นเรา เหมือนในบ้านเรา มีพ่อด้วย มีแม่ด้วย มีเราด้วย มีลูกด้วย มีพี่ด้วย มีน้องด้วย หลายๆ ครั้งนั้นอย่าได้ทะเลาะกัน เพราะว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้โกรธเคืองกันเพราะว่าเรานั้นคิดเล็กคิดน้อย เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไรล่ะ กลับไปหลังจากวันนี้ ปรับปรุงแก้ไข ตัวเองดีหรือเปล่า (ดีไหนใครคิดว่าตอนนี้ตั้งใจจะปรับปรุงแก้ไขตัวเองยกมือหน่อย คนที่ยกมือแสดงว่ายอมรับว่าเรานั้นมีสิ่งที่ยังไม่ดีอยู่จริงๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่ต้องหัดย้อนมองส่องตน ใครมองไม่เห็นเรา แต่เรามองเห็นตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่
อย่างที่อาจารย์บอกทุกคนมีข้อดีข้อเสีย ทุกคนเคยผิด ฉะนั้นจงอภัยให้กับคนที่ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าเขาไม่เชื่อฟังเราว่าทำอย่างนี้ถึงจะดี โมโหได้ไหม เหมือนบอกลูกอย่าเล่นมีด แต่ถ้าลูกเล่นมีดโมโหได้ไหม  เริ่มจะไม่แน่ใจอีกแล้ว บางเรื่องนั้นเราเฝ้าแต่บอกเขาว่าสิ่งนี้มันผิด อย่าทำนะสิ่งนี้มันผิด แต่คนฟังนั้นฟังอย่างไรๆ ก็ไม่ออก บางทีต้องยอมให้เขาโดนเจ็บก่อนถึงจะจำ ใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าหากว่าลูกเราโดนมีดบาดหนึ่งครั้ง เขาทำอีกไหม (ไม่ทำต้องให้เราเตือนอีกหรือเปล่า (ไม่ต้องเตือนอาจารย์ถึงอยากบอกศิษย์ว่า หลายๆ คนเป็นคนใจร้อน ขอจงใจเย็นๆ บางทีการพูดนั้นไม่สามารถจะสื่อ สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ประสบการณ์ไม่สามารถจะช่วยเราได้  เพราะอะไร เพราะเขาไม่เห็นในสิ่งที่เราเห็น เขาไม่เคยรับในสิ่งที่เราเคยโดน ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นบางทีก็ต้องให้ชะตากรรมนั้นสอนแต่ละคนเอง ถูกหรือไม่ (ถูก
มนุษย์นั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง                ศรัทธาตั้งมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ
หากล้มเหลวศิษย์เอยอย่าได้เข็ด              ดุจคว้าเพชรในโคลนตมภูมิใจได้มา
คนเรานั้นมีความหวังได้หลายแบบ คนดีก็หวังในสิ่งดี คนร้ายก็หวังในสิ่งร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าหากว่าเราหวังว่าจะทำให้คนนั้นได้รับบาดเจ็บ หรือทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ เป็นความปรารถนาอันสูงสุดของเรา เราต้องย้อนมองตนเองหน่อยแล้ว ว่าเรานั้นเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเราหวังให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บหรือให้คนอื่นนั้นเจ็บช้ำน้ำใจ เราถึงจะพอใจ แสดงว่าเรานั้นเป็นคนไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าหากว่าเราหวังว่าถ้าเขานั้นสามารถที่จะเลื่อนขึ้นไปสูงกว่านี้ได้อีก  ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่านี้อีก หรือเรานั้นหวังให้เรานั้นเป็นคนดีให้สำเร็จ แสดงว่าเรานั้นเป็นคนดีหรือเปล่า (คนดีแล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นเคยคิดมุ่งร้ายกับคนอื่นไหม (เคยด้านจิตใจของเราเคยมุ่งร้ายกับคนอื่นไหม (เคยทุกคนที่ยอมรับว่าตัวเองเคยนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่คนอื่นมองไม่เห็นเรา แต่เรามองเห็นตัวเองได้ เมื่อเรามองเห็นได้ เราย่อมแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้ามองเห็นไม่ได้แสดงว่าแก้ไขไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่เหมือนกับอาจารย์ถามผู้ชายว่า เป็นคนดีหรือเปล่า เขาไม่ค่อยแน่ใจ แต่อย่างนี้สิถึงจะสามารถเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่กับถามว่าเราเป็นคนดีไหม (ดีแต่เราจะเป็นคนดีได้กว่านี้ไหม ถ้าเราเห็นว่าตัวเราเป็นคนดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ก็ไม่แน่นะ
วันนี้อาจารย์อยากแจกผลไม้บนโต๊ะนี้ให้หมดเกลี้ยงเลยนะ ศิษย์ของอาจารย์อยากได้หรือเปล่า (อยากได้เตรียมพร้อมหรือยัง (พร้อมแล้วพร้อมอะไร   พร้อมใจหรือไม่ (พร้อมใจใจเป็นสีอะไร (ขาวแน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจพร้อมตอบหรือไม่พร้อม (พร้อมพร้อมบำเพ็ญหรือไม่ (พร้อม) แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจไม่รู้ว่าแน่ใจเพียงแค่สองวันนี้หรือเปล่า
ให้ยืนนานอากาศก็ร้อนอยู่แล้วเดี๋ยวจะเป็นลมใช่หรือเปล่า  ห้องนี้มีแอร์หรือเปล่า (มี)   ถ้าไม่มีแอร์จะแย่กว่านี้ เพราะว่าจิตใจของเรานั้นเป็นจิตใจที่พร้อมจะต่อสู้ ห้องนี้ก็เลยร้อนใช่หรือไม่  สู้กับอะไร (ความไม่ดีทั้งหลาย, ความทุกข์, สู้เพื่อความเป็นพุทธะ, สู้กับตัวเอง, สู้กับความอดทนสู้กับความร้อนใช่หรือเปล่า  (สู้กับตัวเอง
(ก่อนพระอาจารย์จะประทานผลไม้ ท่านถือผลไม้ในมือแล้ววนเป็นวงกลม)
ทำไมต้องวนเป็นวงกลมล่ะ (เพราะใจคนไม่อยู่นิ่งเพราะใจคนไม่อยู่นิ่งวนไปวนมาเหมือนเราเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่แล้วถ้าหากอยากหยุด  ต้องจับอะไรให้อยู่  จับจิตใจของตัวเองให้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่เวลาจับ ถ้าเขาคิดมากจะจับอยู่ไหม (ไม่อยู่ต้องนิ่ง ใช่หรือไม่  บางคนคิดว่าถ้าหากว่าเราบรรลุ  เราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่เราจะไปบรรลุได้อย่างไรในเมื่อเรายังมีภาระหน้าที่ เงินก็ยังไม่พอใช้เลย จะไปบำเพ็ญธรรมได้อย่างไร บำเพ็ญได้ไหม (ได้ยิ่งเงินไม่พอใช้ยิ่งดีใหญ่เลย จะได้ไม่มีเวลามานั่งห่วงเงิน มีเงินมากเดี๋ยวต้องคิดวิธีใช้เงินอีก แล้วต้องคิดว่าใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ที่สุด อย่างนั้นหรือเปล่า  อย่างนี้เดี๋ยวเทพวาสนาเก็บเงินให้หมดดีหรือเปล่า 
(นักเรียนลุกขึ้นตอบคำถามเดิมของพระอาจารย์)
(สู้กับกิเลส, สู้กับความร้อนและทุกสิ่งทุกอย่าง ความไม่แน่นอนของอนาคต, สู้กับสิ่งไม่ดีงามแล้วสิ่งไม่ดีงามนั้นเกิดจากไหน ความไม่ดีที่เราพานพบนั้นเราเคยสังเกตไหมว่าสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น จริงๆ แล้วเรามีส่วนสร้างขึ้นมาใช่หรือเปล่า  ถ้าหากว่าเราไม่มีส่วนสร้างก็คงไม่มาเกิดกับเรา เราบอกว่าทุกอย่างเป็นการพบโดยที่ไม่มีสาเหตุ เราไม่เคยทำผิดอะไรเลย ไม่ใช่อย่างนั้น ทุกคนนั้นต่างเคยทำผิด แล้วบางทีผลของมันก็ยาว ยาวพอที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นนึกไม่ถึง  ลืมสาเหตุไปแล้ว รู้แต่ว่าเราต้องรับผลแล้วเราไม่ชอบรับเลยใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นบางทีก่อนจะทำอะไรจึงต้องรู้จักคิด ถ้าทำไม่รู้จักคิด เราก็จะเป็นคนที่ทำอะไรอย่างเลอะๆ เทอะๆ ถึงเวลาวันหนึ่งผลมา เราก็รับผลอย่างคนที่ไม่อยากรับ แล้วทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ รับผลมาอย่างคนที่ไม่อยากรับมันเลย  แต่เวลาตอนทำนั้นคิดน้อยเหลือเกิน
ศิษย์รู้ไหมว่าความศรัทธาที่อาจารย์พูดถึงตรงนี้คือศรัทธาอะไร ที่อาจารย์บอกว่า มนุษย์นั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง ศรัทธาตั้งศรัทธาตั้งขึ้นมา ศรัทธานี้ก็คือศรัทธาในความหวังของตัวเองนั่นแหละ บางคนนั้นได้แต่หวังอยู่ในใจ แต่ไม่เคยลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองหวัง ถึงเวลาแล้วผ่านไปปีหนึ่งสองปีจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) ไม่สำเร็จเพราะเราไม่เคยลงมือทำใช่หรือไม่ (ใช่ลึกเข้าไปในจิตใจก็คือเราไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่เรานั้นหวังไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่บางคนบอกว่า หวังว่าบำเพ็ญธรรมหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด มีความหวังอย่างนั้นจริง แต่ไม่เคยมีความศรัทธาในความหวังของตัวเอง ไม่เคยทำไม่เคยบำเพ็ญจิตใจ ปล่อยให้จิตใจโกรธวันละสามหนเป็นอย่างต่ำ ปล่อยให้จิตใจเกลียดคนอื่นได้อาทิตย์หนึ่งก็ไม่ต่ำกว่าสองสามหน ปล่อยให้จิตใจหลงได้ เจออันนี้ก็หลง เจออันนั้นก็หลง อย่างนี้เราได้ลงมือบำเพ็ญจิตใจหรือยัง (ยัง) หากไม่ได้ทำก็คือคนที่ไม่ศรัทธาในความหวังของตัวเอง  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จึงต้องหันกลับมามองตัวเองว่า เรานั้นได้ทำในสิ่งที่เราหวังมากเท่าไร หากศิษย์หวังว่าตัวเองนั้นจะมีการศึกษาสูงๆ ก็ต้องมั่นใจว่าตัวเองสามารถเรียนได้ หากมั่นใจว่าได้งานที่ดี เราก็ต้องลงมือไปหา แล้วเราต้องไม่กลัวความยากลำบาก งานเล็กเขามอบมาเราก็ทำตามงานเล็ก งานใหญ่มอบมาเราก็ทำตามงานใหญ่ ทุกๆ เรื่องราวต้องอาศัยความรอบคอบและระมัดระวัง ประมาทไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว จิตใจนั้นต้องเป็นคนใจกว้าง อย่าคิดมาก เพราะว่าเราคิดมาก ใจไม่กว้างพอ ทุกวันก็คิดหยุมหยิมคิดเล็กคิดน้อย น้อยใจคนนี้ที ว่าคนนั้นที คนนั้นว่าเราที เราไม่ยอมเลยสักอย่างหนึ่ง แล้วเกิดอะไรขึ้น เมื่อจิตใจไม่ยอม มือก็ไม่ขยับไปทำงานนั้นๆ  ถึงจะทำก็ทำไปแกนๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความพร้อมที่จะทำงานนั้นๆ ด้วยจิตใจที่กว้างขวางเหมือนกับฟ้าดิน ใช่หรือไม่ 
มนุษย์นั้นเป็นชีวิตที่ไวต่อความรู้สึกมาก วันๆ หนึ่งคิดไป บางทีคิดดี บางทีคิดร้าย บางทีดีใจ บางทีเสียใจ คนอื่นเขาทำอะไรแม้แต่นิดเดียว เราก็คิดไปเสียไกล บางทีเรื่องของคนอื่นแท้ๆ เรายังอุตส่าห์โกรธได้ เพราะเรานั้นเน้นหนักในความรู้สึกนั้นๆ มากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่เราควรที่จะมีจิตใจที่สงบมากกว่านี้ อย่าให้ความวุ่นวายต่างๆ นั้นมารบกวนจิตใจของเรามาก ถ้าทำได้อย่างนี้จิตใจของเรานั้นก็จะนิ่งขึ้น จิตใจที่นิ่งมีประโยชน์ต่อเราอย่างไรบ้าง ถ้าหากว่าเรานิ่งแล้วเราย่อมเป็นคนที่ไม่โกรธง่าย เป็นคนที่ทำอะไรก็คิดก่อนทำ มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อเราคิดมากๆ เข้า หลายๆ ครั้งเกิดการฝึกฝน เรานั้นก็จะเป็นผู้มีปัญญา อยากเป็นผู้ที่มีปัญญาไหม (อยาก
อาจารย์จะวาดวงกลมสามวงซ้อนกัน (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวาดวงกลมสามอัน)

 


 ศิษย์ว่าวาดวงกลมซ้อนกันอย่างนี้ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูกใครว่าไม่ถูกออกมาวาด เวลาคนเขาทำผิดอย่าไปว่าเขา เพราะว่าผิดนี้อาจจะเป็นถูก เพราะว่ายังไม่ได้บอกว่าให้วาดแบบไหน


วงกลมไหนที่วาดถูก ใครว่าอันนี้ถูกยกมือขึ้น ไหนใครที่ไม่ยกมือยกมือขึ้น เป็นธรรมดาถ้าหากอยู่โลกมนุษย์แล้ว คนที่ไม่ยกอะไรเลยเป็นคนฉลาดที่สุดใช่ไหม แต่ในสายตาของอาจารย์ คนนี้เป็นคนที่เจ้เล่ห์ที่สุดเลย  ใครอยากคบคนเจ้าเล่ห์บ้าง (ไม่อยากคบ) แต่อาจารย์รู้สึกศิษย์จะเป็นคนเจ้าเล่ห์นะ  เลยไม่มีใครอยากคบเราหรือเปล่า  ทัพหน้าก็ไม่อยากเป็น ทัพหลังก็ไม่อยากเป็น แต่อยากเป็นคนที่รอดตลอดกาลหรือ เป็นไปได้ไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราเลยหาทางรอดมากที่สุด  เพราะเรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรอด เราเลยรอดมากที่สุด  ทำอย่างไรก็ได้ให้เรารอดมากที่สุด  เลยกลายเป็นคนที่เจ้าเล่ห์  เราก็เลยเป็นคนดีไม่ได้ใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นบางทีหากต้องเสียก็ต้องยอมเสียไป  หากจะได้มาศิษย์ไม่ต้องทำอะไรก็ได้มา  ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าตัวของเราเอง นิสัยของเราเอง ชะตากรรมของเราเองนั่นแหละ  เราเป็นคนที่ใจกว้าง คนอื่นก็ย่อมใจกว้างกับเรา  หากเราเป็นคนที่ใจแคบ คนอื่นก็ย่อมใจแคบกับเรา  เราเอาเปรียบคนอื่น คนอื่นก็เอาเปรียบเราถูกต้องหรือเปล่า ไม่มีใครเห็นเวลาเราทำผิดทำบาป แต่ว่าศิษย์คิดว่าศิษย์จะพ้นบ่วงกรรมไหม (ไม่พ้น)
การทำงานร่วมกันก็เหมือนกับที่อาจารย์ให้ออกมาวาดวงกลม บางทีอาจารย์ให้ออกมาวาดก็ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าเป็นอย่างไร พอออกมาแล้วผิดหรือถูก ก็จงปล่อยให้คนออกมาวาด จะผิดจะถูกก็ปล่อยไปก่อน ดูห่างๆ ถ้ามีปัญหาแล้วค่อยแก้ไข  คนที่เป็นผู้นำควรจะทำอย่างนี้กับคนที่เป็นผู้น้อย อย่าตามเขาทุกฝีก้าว อย่าเห็นว่าเขาทำผิดอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นศิษย์จะไม่ได้ก้าวหน้าเลย
 

คนนี้ยิ่งวาดวงเล็กยิ่งกลม เห็นไหมว่าคนเรายิ่งทำงานยิ่งใหญ่จุดผิดพลาดย่อมมีมากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนที่วงใหญ่มักจะวงได้บิดๆ เบี้ยวๆ เวลาศิษย์มองไปคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราคนที่อาวุโสกว่าเรา บางทีเขาก็มีจุดผิดพลาดเยอะแยะกว่าเราไปหมดเลย เพราะว่าเราเป็นวงเล็ก จุดผิดพลาดของเราก็น้อยใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่วงใหญ่จุดผิดพลาดก็เยอะ แต่คนที่วงใหญ่อย่าได้ใจ ยิ่งเราวงใหญ่เท่าไร เราต้องยิ่งระมัดระวังมากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ระวังทำอะไรให้เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ ระวังการนำพา ระวังจิตใจ ระวังอารมณ์ ระวังความคิดและความรู้สึกของเรา สิ่งที่อาจารย์อยากจะเขียนไว้ใน 3 วงนี้คือ จิตใจ วงที่ 2 ความคิด วงที่ 3 คืออะไร (อารมณ์) ศิษย์โมโหง่ายไหม ทำอย่างไรให้ดับดี สงบจิตใจทำได้ไหม อาจารย์แนะนำวิธีง่ายๆ ว่าศิษย์ทุกคนทำได้ เวลาโมโหให้ออกไปเดินเล่น แต่อย่าไปเดินผ่านคนที่โกรธนะ เวลาโมโหอย่ามัวแต่นั่งอยู่กับที่ จมอยู่กับความคิดความรู้สึกของตัวเอง ไม่งั้นก็จะยิ่งนั่งยิ่งโมโห พอลุกไปก็ลุกไปเอาเรื่องเลยใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นง่ายๆ เวลาโมโหให้ออกไปเดินเล่น มองไปรอบๆ ตัว อย่าเดินไปคิดไป ให้เดินไปแล้วทำจิตใจให้สบาย แล้วอารมณ์ของเราก็จะเย็นมากขึ้น
วงที่ 3 ไม่ใช่อารมณ์ แต่ใกล้ๆ กับอารมณ์ เมื่อสักครู่บอกไปแล้วครั้งหนึ่ง (การปฏิบัติ, ปัญญา, การกระทำนี่เป็นสภาพคร่าวๆ ของจิตใจเรา นี่เป็นเปลือกนอกของจิตใจเรา เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ที่มีเปลือกหุ้มออกมาเรื่อยๆ  หนาออกมาเรื่อยๆ หยาบขึ้นเรื่อยๆ  ศิษย์คิดว่าที่หยาบๆ อยู่ข้างนอกนี้ควรจะเป็นอะไร (กิเลส, ความประพฤติ, การแสดงออกยังไม่ถูก ผู้ปฏิบัติงานธรรมคนไหนอยากตอบ (ปัญญา, ความศรัทธา, สติสิ่งที่อยู่วงสุดท้ายนี่เป็นพระเอกเลยนะ ที่อาจารย์อยากจะพูดถึง อันสุดท้ายก็คือความรู้สึก เห็นไหมว่ามันอยู่แถวไหน
อารมณ์และความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่คล้ายๆ กัน แต่อารมณ์นั้นก็คงจะมีแต่รัก โลภ โกรธ หลงใช่หรือไม่ แต่ถ้าเป็นความรู้สึกมีมากกว่านั้น อย่างเช่นความรู้สึกเกลียด ชอบ น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้ระแวง ความรู้สึกที่เป็นแง่บวกและเป็นแง่ลบ มีทั้งสองอย่าง มากมายกว่าแค่อารมณ์ ที่อาจารย์อยากจะพูดถึงนี้ เพราะว่าบางทีมนุษย์นั้นใช้จิตใจเหมือนกัน แต่ใช้แต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่นำพาความถูกต้อง ไม่นำพาผิดชอบชั่วดี ใช้แต่ความรู้สึกของเราไปสัมผัสเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา จึงเป็นเรื่องผิดพลาด เรียกว่าใช้ความรู้สึกมากกว่าหลักเหตุผล หลักธรรม ก็ย่อมไม่สามารถจะจัดการเรื่องราวใดใดได้อย่างสมบูรณ์
อันต่อมาละเอียดเข้าไปอีก บางคนเป็นคนช่างคิด พิจารณา เป็นอย่างไรบ้าง คนช่างคิดก็ใช้ความคิดในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ  แต่บางทีความคิดของเรานั้นก็เป็นเพียงแค่ความคิดของเราคนเดียว บางทีเกิดความยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเรา ก็ยิ่งไม่สามารถที่จะนำพาสิ่งใดให้ตลอดรอดฝั่งได้ เพราะว่ามีแต่ความถูกต้อง แต่ไม่มีความเมตตา ถูกแต่ไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
ฉะนั้นอันสุดท้ายที่ละเอียดมากๆ ก็คือจิตใจ จิตใจนี้เป็นอย่างไรบ้าง จิตใจที่มีความเมตตา คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง จิตใจที่โอบอ้อมอารีพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นนั้น ใครเห็นใครได้รับ ใครๆ ก็ชอบใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์ชอบให้คนอื่นเอาใจเราไหม (ชอบชอบให้คนอื่นชมเราไหม (ชอบแต่ว่าที่เขาชมนั้นเขาชมจริงหรือชมเล่น ต้องพิจารณาตัวเองว่าเรามีความดีนั้นๆ อย่างที่เขาพูดจริงหรือเปล่า เวลาคนติก็อย่าได้น้อยใจ  ให้มองว่าเขานั้นหวังดีจึงติเรา  เพราะฉะนั้นสามอย่างนี้เป็นองค์ประกอบในจิตใจ เวลาจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ อย่าใช้ความรู้สึกมาก อย่าใช้ความคิดมากจนลืมจิตใจ และจิตใจของเรานั้นต้องประกอบทั้งสามอย่าง คือจิตใจที่ดีงาม คิดอย่างมีหลักเหตุผล และคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ทำร้ายจิตใจของผู้อื่น  จึงสามารถที่จะทำสิ่งใดได้อย่างราบรื่น
หากว่าศิษย์ใช้แต่หลักเหตุผลมากเกินไปศิษย์ก็อาจจะปวดหัว ปวดหัวเพราะว่าต้องไปขัดกับคนอื่นเพื่อความถูกต้องใช่หรือไม่  แต่หากว่ายังต้องขัดกับคนอื่นเพื่อความถูกต้องก็แสดงว่ายังไม่ถูกต้อง บางทีเราใช้แต่จิตใจของเรา ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น เราก็ทำเรื่องเดือดร้อนเช่นเดียวกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่บางทีเราเน้นหนักแต่ความรู้สึกมากเกินไป ไม่คิดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเราก็ย่อมทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเช่นเดียวกัน เวลาทำเรื่องๆ หนึ่ง ให้คิดว่าเดือดร้อนตัวเองไหม เดือดร้อนผู้อื่นไหม ถูกต้องตามมารยาทสังคมหลักทำนองคลองธรรมหรือเปล่า  คิดให้ถี่ถ้วน ถ้าหากว่าศิษย์คิดได้ดังนี้ ความเดือดร้อนที่จะนำมาให้ผู้อื่น นำมาให้ตัวเองนั้นก็จะลดทอนลงใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้บรรยากาศธรรมของที่นี่ ในสายตาอาจารย์แล้วรู้สึกอบอุ่นดี เพราะวันนี้มีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมตั้งหลายท่านมาอยู่ร่วมกัน อาจารย์ฮวั๋งเตี่ยนฉวันซือก็มา อาจารย์หลินเตี่ยนฉวันซือก็มา อาจารย์ประทินเตี่ยนฉวันซือก็มา อาจารย์จวังเตี่ยนฉวันซือก็ยังอยู่เป็นประธาน อาจารย์หลินเตี่ยนฉวันซือไต้หวันก็กรุณาศิษย์มาอยู่เป็นประธานเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการทำงานธรรมะนั้น ทำงานร่วมกันรักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง    สมกับที่ศิษย์นั้นมีเฉียนเหยรินที่ชื่อ หลี่เอวี๋ยน (         )  อย่างนี้จึงดี ไม่ว่าจะเป็นพุทธระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นกฎต่างๆ ก็แล้วแต่ ตั้งขึ้นมาเพื่อความเหมาะสม ล้วนตั้งขึ้นมาด้วยอยากให้ศิษย์นั้นปรองดองกัน ยิ่งปรองดองกันเท่าไรก็ยิ่งดี ตอนทำงานเราแยกกันทำงาน ตอนที่จำเป็นเราก็มาอยู่พร้อมหน้ากันใช่หรือไม่ (ใช่อันว่าแยกกันทำงานไม่แยกจิตใจ อย่างนี้จึงเป็นครอบครัวที่อบอุ่นได้ อาจารย์ดีใจที่วันนี้เห็นแบบนี้
อาจารย์มาน่าเบื่อหรือเปล่า (ไม่เบื่ออาจารย์ไม่ให้หวยให้เลขน่าเบื่อหรือเปล่า (ไม่น่าเบื่ออาจารย์ให้แต่ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรมะชีวิตจะได้ดีขึ้น คนมีเงินก็ไม่ใช่คนที่มีความสุขเสมอไป คนมีครอบครัวที่สมบูรณ์แต่หากว่าเจ้าตัวนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยก็รู้สึกไม่สมบูรณ์ใช่หรือเปล่า (ใช่อารมณ์นั้นถ้าเราดับไม่ได้ จิตใจของตัวเองถ้าเราสงบไม่ลง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ดูแล้งไปหมดใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยศิษย์ได้นั้น คงไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือการปล่อยวาง การทำใจได้ หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่มาโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัว แต่ว่าต้องปลงได้ ทำใจได้ จะยังเด็กอยู่หรือผู้ใหญ่แล้วคงไม่ได้แยกแยะว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่นั้นปล่อยวางได้ดีกว่าเด็ก ดีไม่ดีเด็กนั้นปล่อยวางได้ดีกว่าผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำใช่หรือไม่ อย่าเป็นคนหวงมาก อย่าเป็นคนรักจนลืมตัว 
เพลงนี้ทั้งเพลง ส่วนใหญ่อาจารย์จะพูดถึงความรู้สึกของคนทั้งนั้นเลย เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกของเรา ท่อนแรกอาจารย์บอกว่าความรู้สึกพาใจไหวเอน วางกฎเกณฑ์ครบครันทันใจ”  เวลาเรารู้สึกว่าคนนี้ผิด หรือรู้สึกว่าคนนี้เป็นคนที่เราไม่ชอบใจ ทันทีทันใดเราก็จะวางกฎเกณฑ์ลงไป ว่าโทษเขาก่อน เขาผิดก่อน หรือเรารู้สึกดีกับคนนี้มากๆ เราก็วางความรู้สึกไปว่าคนนี้ดีมาก โดยที่แทบจะยังไม่เห็นความจริงเลยด้วยซ้ำ ในสังคมปัจจุบันนี้เขาบอกว่า โจรใส่สูท”  แสดงว่าคนเรานั้นมองแค่สีหน้า มองแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมนั้นไม่ได้ หรือจะบอกว่าโจรนั้นต้องจนก็ไม่ได้  อาจจะรวยกว่าเราเสียด้วยซ้ำใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้สึกอะไร พอมีความรู้สึกปุ๊บ มีความเอนเอียงลำเอียงปั๊บ นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาดในตัวของเราทุกคน บางคนนั้นใส่เสื้อมอซอ ไม่มีตังค์เลยเขาอาจจะเป็นคนที่จิตใจดีก็ได้
ทำจนตนสิ้น สุขใจ  คนที่ทำดี คนที่ไม่หวังผล คิดดีต่อผู้อื่น เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีแล้วมีความสุข เวลาเขาทำจนตัวตายเขาก็มีความสุขใจ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง พรหมลิขิต”)
ชื่อเพลงอะไรดี (feeling) เกิดเป็นคนไทยต้องรักในภาษาของตัวเอง ชื่อเพลง อย่าใช้ความรู้สึกนำทางการบำเพ็ญ
คนที่บำเพ็ญยิ่งนานอย่าเป็นคลื่นลูกหน้าที่โดนคลื่นลูกหลังกลบเรียบนะ ยิ่งอายุทางธรรมมากขึ้นก็ยิ่งจะต้องก้าวหน้ามากขึ้น ใครที่มีความสามารถมากกว่าเราก็ปล่อยเขานำหน้าไปไม่เป็นไร ถ้าประสบการณ์ของเราสูงกว่า วันหนึ่งเขามีเรื่องเดือดร้อนเขาจะมาหาเรา  อย่าคิดว่าเราจะต้องโอ้อวดความเป็นคนที่อาวุโสกว่าหรืออายุมากกว่า  ไม่ใช่อย่างนั้น อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนมีความก้าวหน้า แม้ว่ามีไม่มากก็มีน้อย ไม่มีนิดก็เชื่อว่ามีหน่อย เราหยุดเรียกร้องความก้าวหน้าไม่ได้  เราต้องพาตัวเราให้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบกับใคร ไม่ใช่เปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ใช่บอกว่าคนนั้นดีกว่าฉัน คนนี้แย่กว่าฉัน แต่ต้องเปรียบเทียบกับตัวเอง เพราะอาจารย์เชื่อว่าให้ศิษย์บำเพ็ญจนตายก็มีข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ เพราะว่ายิ่งทำงานมากก็ยิ่งผิดมาก ยิ่งเดินก้าวออกไปมากก้าวเท่าไร โอกาสล้มก็ยิ่งสูง แปลว่าล้มแล้วต้องลุก ไม่ใช่ล้มแล้วนอนต่อ  ล้มแล้วต้องลุก
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาจารย์ให้แล้วดูแปลกๆ ต้องอธิบายสักหน่อย กลัวศิษย์ของอาจารย์ที่เฉลียวฉลาดทุกคนจะเอาคำพูดของอาจารย์ตั้งหลายคำไปใช้ผิดๆ  แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นฉลาดกว่าอาจารย์อีกนะ พูดอย่างนี้ ไปบอกคนอื่นอย่างนี้เหมือนกันแต่เป็นเหตุผลเข้าข้างตัวเองด้วย เคยทำแบบนี้ไหม
การเห็นใจช่วยกันนั้นง่าย    คนตั้งใจรู้ให้ทันที    ช่วยเท่าที่เป็นผลดี
เป็นผลดีไม่ใช่เป็นผลดีต่อตัวเอง แต่เป็นผลดีต่อคนอื่น เพราะว่าคนในโลกปัจจุบันนั้นแปลกมากจริงๆ เวลาคนอื่นเขาช่วยเรา นอกจากไม่ขอบคุณแล้ว ยังถือโอกาสที่จะทวงสิทธิ์ด้วย เหมือนกับเขามีหน้าที่จะต้องช่วยเราอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่บอกว่าเป็นผลดีคือ เราผู้ช่วยก็ช่วยเท่าที่เป็นผลดีต่อผู้อื่นเท่านั้นก็พอ ที่ให้มาอย่างนี้ก็เพื่อรองรับความประหลาดของมนุษย์ในปัจจุบันนี้แหละ มนุษย์ในปัจจุบันนี้เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยงลูก เลี้ยงลูกจนเสียคนยังไม่รู้เลยว่าลูกเสียคนไปแล้ว ยังเข้าข้างอยู่นั่น  อาจารย์จึงบอกว่าบางทีช่วยก็ช่วยเท่าที่เป็นผลดีเท่านั้นก็พอ  ถ้าหากว่าดูแล้วเขาจะถูกเราตามใจจนเหลิงแล้ว เราต้องหยุด มองก่อน คิดก่อน พิจารณาก่อน แล้วค่อยช่วยต่อ อย่าช่วยไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่คิดอะไรเลย ไม่อย่างนั้นแล้ว คนๆ นี้แทนที่ศิษย์จะช่วยให้เขาเป็นพุทธะ ศิษย์จะช่วยให้เขาเป็นพุทธะที่ดื้อ พุทธะที่เอาแต่ใจตัวเอง พุทธะประเภทนี้มีบนฟ้าไหม (ไม่มีเพราะฉะนั้นสรุปแล้วศิษย์ไม่ได้เป็นพุทธะ ศิษย์ช่วยคนเป็นพุทธะไม่สำเร็จ แถมถ้าหากว่าเขาหลงจนกระทั่งทำสิ่งไม่ดีขึ้นมา ศิษย์ก็ต้องแบกกรรมร่วมกับเขาไปด้วย
เตือนใจคนลำเอียงยึดมั่น ดีต่อกันครั้นสิ้นยืนงง เมื่อไม่อยากให้ลดลง ทำทุกอย่างใจขาดตรง รักพ้องพงศ์จิตถือเที่ยงธรรม 
ทุกคนรักพวกของตัวไหม (รัก) พ้อง คือพวกพ้อง พงศ์คือญาติของเราเอง ศิษย์รักไหม (รัก) แต่จริงๆ แล้วอาจารย์จะบอกว่า ถ้าหากว่าเรารักพวกพ้องของเราเอง เราต้องถือความเที่ยงธรรม
เตือนใจคนลำเอียงยึดมั่น เส้นใต้เส้นเดียวที่เห็นนี้คือผู้ให้ อาจารย์ให้คนที่เป็นฝ่ายให้ ให้ด้วยความลำเอียงเพราะความรักพวกพ้องของตัวเองมากเกินไป รักพ้องพงศ์ของตัวเองมากไป นี่เป็นฝ่ายผู้ให้ เพราะเราคิดว่านี่คือคนของเรา หรือว่านี่คือญาติของเรา เราย่อมดีกับเขาเป็นพิเศษใช่หรือไม่ (ใช่แต่อาจารย์จบท้ายบอกว่า ถ้ารักเขาจริงให้ยึดถือความเที่ยงธรรม  ถ้าหากว่าเรารักลูกของเราจริง ถ้าลูกเราไปตีกับเขา เราจะเข้าข้างลูกเราดีหรือเปล่า ถ้าลูกเราเป็นฝ่ายผิด เราเข้าข้างเขาดีไหม (ไม่ดีถ้าศิษย์ทำแบบนี้ ถ้าศิษย์เข้าข้างลูกของตัวเองหัวยันฝา แสดงว่าศิษย์นั้นทำให้ลูกเสียคนใช่หรือไม่ (ใช่แต่ในงานธรรมะนั้นมีผู้นำ ผู้น้อย ญาติธรรม บางทีเราก็เผลอตามใจเขาแบบนี้แหละ เราเองแทบจะลืมไปแล้วว่าอย่างไรควร  อาจารย์ไม่ได้ว่าคนที่นี่ ไม่ได้ว่าคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ทุกคนมีสิทธิ์เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะวันนี้นั้นมีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมหลายท่านอยู่ที่นี่ จึงถือโอกาสที่จะบอก สำหรับคนใหม่ก็ควรดูญาติมิตรของตัวเอง สำหรับคนที่เป็นญาติธรรมเก่า เป็นผู้นำ ต่างคนก็ต่างมีพวก ต่างคนต่างมีพ้อง คิดเอาเองนะ
 “ดีต่อกันครั้นสิ้นยืนงง เส้นใต้สองเส้นนี้เป็นฝ่ายผู้รับ  ถ้าหากว่าเราให้เขาตลอด โดยที่เราไม่ได้บอกว่าสิ่งใดคือความถูกต้อง เมื่อเราให้ไปแล้ว วันหนึ่งเราเกิดเห็นข้อไม่ดีของคนๆ นี้ขึ้นมาปุ๊บ เราหยุดให้  เขาก็งง ถามว่าข้อไม่ดีของคนนี้นั้นเมื่อก่อนมีไหม (มี) คนไม่ดีคนนี้เมื่อก่อนก็ไม่ดีแบบนี้แหละ เพียงแต่เราไม่รู้ ถึงมีคำพูดบอกว่ารู้เรื่องคนอื่นให้น้อยที่สุดเป็นดี ความผิดเขา ความถูกเขาเราไม่เกี่ยว เราอย่าได้เอาจิตใจไปผูกอยู่กับความผิดของเขา อย่าไปรู้เรื่องของคนอื่นเขามาก จนกระทั่งทำให้จิตใจของตนเองลำเอียง เอนเอียงไป
เมื่อไม่อยากให้ลดลง ใครไม่อยากให้ลดลง คนที่ถูกให้ๆๆ ตลอด ไม่อยากให้ลดลงเลย ทำไมอยู่ดีๆ เขาไม่ดีกับเราล่ะ คิดมากไหม คิดทั้งสองฝ่ายไหม (คิด) มองหน้ากันไม่ติดแล้ว 
ทำทุกอย่างใจขาดตรง  คนที่เป็นฝ่ายรับนั้นย่อมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้เหมือนเดิม เพราะว่าต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตนเอง ไม่มีใครเชื่อว่าตัวเราผิด แต่นี่คือลักษณะของคนที่ใช้ความรู้สึกมากเกินไป ฉะนั้นใครผิด ผิดทั้งคู่
ทำทุกอย่างใจขาดตรงอันนี้สามารถที่จะขีดเส้นใต้เส้นเดียวได้เหมือนกัน เพราะคนที่เป็นคนให้ ทีนี้ก็ไม่อยากจะให้ล่ะ ก็ทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เหมือนกัน ทั้งที่เมื่อก่อนให้ตลอดใช่หรือไม่ อาจารย์จึงบอกว่าถ้ารักกันจริง จิตต้องถือความเที่ยงธรรม เที่ยงแปลว่าอะไร เหมือนธูปอันนี้ ก้านตรงไหม (ก้านตรง) แต่อยู่ที่คนปัก ที่จะปักตรงหรือไม่ ถ้าชอบข้างซ้ายมากกว่า ก็ปักข้างซ้ายมากหน่อยก็ไม่ตรง ธูปตรง แต่ใจเราไม่ตรง หลักการเรื่องราว คน อาจจะสัมพันธ์กันได้ถูกต้องแล้ว มีแต่จิตใจของเราที่ยังไม่ตรง 
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท ปัญญาแยกแยะตามจริง”)
ขอให้เรานั้นมองให้เห็นซึ่งความจริงที่เป็นอยู่ หากว่าเราเป็นคนจน ตอนนี้เราไม่ค่อยมีเงิน เราจะเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแล้วคิดว่าเดี๋ยวเงินมาเองใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) หากว่าเราเป็นโรคเราก็ต้องหาหมอ หรือเราคิดว่าอยู่ดีๆ โรคจะหายเองเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) การบำเพ็ญธรรมะในยุคปัจจุบันนี้ อาศัยตัวเองนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเอง หากว่าเราไม่บำเพ็ญย่อมไม่ได้รับผลนั้น เจอปัญหาก็ไม่ใช่หนีปัญหา แล้วคิดว่ามันจะพ้น มีแต่ต้องสู้ต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราก้าวหน้าแล้วก็ยังจะต้องให้ตัวเองก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถ้าเราไม่เปรียบเทียบกัน ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ทุกอย่างก็จะราบรื่น อาจารย์เห็นแล้วก็ไม่กลุ้มใจ แต่ถ้าหากว่าทุ่มเถียงกันอย่างคนที่ไร้คุณธรรม อาจารย์กลุ้มใจ เพราะว่าหากทะเลาะกันยังใช้เหตุผลมาสู้กันได้ใช่หรือไม่ (ใช่) พอจบเรื่องจบราวก็อาจจะไม่มีเรื่องอะไรกันอีก แต่หากว่าคนนั้นไม่มีคุณธรรมต่อกัน ไม่ว่าวันนี้  ไม่ว่าวันไหน หากว่าไม่มีเมตตา หากไม่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น อยากได้แต่ความสุข ไม่รู้จักช่วยผู้อื่น แล้วความสุขนั้นจะมาจากไหน อยากให้ทุกคนนั้นใช้ปัญญาแยกแยะตามจริง อาจารย์จึงอยากให้นักเรียนในชั้นนี้ทุกคน เมื่อฟังธรรมะทั้ง 2 วัน ใช้สติ ใช้ความคิดของเรา ใช้จิตใจอันบริสุทธิ์สะอาดของเรามาขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง เมื่อเราไม่ชอบให้คนอื่นว่าเรา ไม่ชอบให้คนอื่นติเรา เราจึงต้องติตัวเอง
เวลาอยู่คนเดียวอยู่ในที่มืด อย่าได้คิดทำในสิ่งที่ไม่ดี คิดว่าใครมองไม่เห็น ใครมองไม่เห็นก็ใช่ แต่เรามองเห็นตัวเองไหม จิตของเราเป็นจิตพุทธะ เมื่อคนอื่นมองไม่เห็น พุทธะนั้นมองเห็น ถ้าหากว่าเราไม่มีจิตที่ลังเล สู้ต่อไป วันข้างหน้าของเราก็คือ พุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะต่างจากปุถุชนตรงไหน ปุถุชนนั้นคิดทุกอย่างเพื่อตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง แต่หากว่าเรามีจิตเป็นพุทธะ ก็ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ดังเช่น ศิษย์ของอาจารย์นั้นทั้งร้อยกว่าคน ในการที่เรามาที่นี้วันนี้ได้ เพราะมีคนคิดที่จะช่วยเรา ช่วยให้เราฟังธรรมะ เข้าใจธรรมะ เพื่อให้เราบำเพ็ญธรรมะ ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติเองได้ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ อันว่าเกิดมานั้นทุกข์ไหม (ทุกข์) ตายไปทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์) ตายไปก็ทุกข์เกิดมาก็ทุกข์ หลุดพ้นเกิดๆ ตายๆ จึงไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายดีหรือเปล่า
วันนี้คนที่ยังไม่ได้ผลไม้ โอกาสสุดท้าย ขอให้ใช้ความกล้าตอบ อาจารย์จะให้ตอบว่ากลับบ้านไปแล้วจะกลับไปเริ่มต้นทำอะไรดี (การทำความดี) กลับไปบำเพ็ญจิตใจให้ดีๆ ดีไหม อายุก็มากแล้วรีบๆ บำเพ็ญนะ บำเพ็ญอย่างไร (ทำตัวให้เป็นคนดีขึ้น) แน่ใจไหม, (ทำในสิ่งที่ทำแล้วคิดว่าเราดีที่สุด) แน่ใจหรือเปล่าที่รู้สึกถูก คิดถูกและทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ร้ายเท่าไร เราก็จะยึดมั่นในความดี ใช่ไหม, (ดีขึ้นกว่าเดิมดีขึ้นกว่าเดิมตอนนี้ดีหรือยัง (ดีขึ้นแล้ว) ดีขึ้นในสองวันใช่ไหม, (พาลูกเต้ามาบำเพ็ญ) พาลูกเต้ามาบำเพ็ญธรรมจะได้กลับไปด้วยกันดีไหม ต้องโมโหน้อยๆ ทำได้ไหม (ได้ต้องบ่นน้อยๆ นะ ทำได้ไหม (ได้แน่ใจหรือทีนี้ไม่บ่นแล้วนะ, (ปฏิบัติธรรม) ปฏิบัติธรรมทำอะไรบ้าง (ทำตนให้เป็นคนดี) ก่อนอื่นมาศึกษาให้มากๆ มีเวลาว่างให้เยอะๆ เป็นคนขี้ใจน้อยไหม เป็นคนขี้ใจน้อยดีไหม (ไม่ดี) มีเวลาว่างมาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม, (ทำความดีทุกวันนี้ยังทำความไม่ดีหรือว่าทำความดีข้างนอกแล้วจิตใจยังคิดหยุมหยิม เวลาจะทำดีไปอย่าได้คิดหวังผลตอบแทน เวลาทำดีไปอย่าได้คิดสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ ตอนที่ทำดี ทั้งข้างนอกก็ดี ข้างในก็ต้องดีด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะไม่ได้บุญ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้กุศล ไม่ใช่ตักบาตรไป ตักข้าวไปก็นึกนินทาพระไป อย่างนี้ได้บุญหรือไม่ได้ (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนชายในชั้นเราเป็นผู้ชายเพียงไม่กี่คน เราก็เด่นอยู่แล้วใช่ไหม  ยิ่งต้องทำความดีให้เป็นที่เด่นให้เป็นที่ปรากฏใช่หรือเปล่า
ว่าอย่างไร ทำอะไรดีเมื่อกลับไปบ้าน (ทำความดีดีเหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าเราดีเหมือนเดิมแสดงว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะทุกวันนี้เราก็บอกว่าเราดีใช่ไหม ดีเหมือนเดิมแสดงว่าเราไม่เปลี่ยน ทำอย่างไร (ดีขึ้นกว่าเดิม, ทำความดีสั่งสอนลูกหลานถ้าเราจะสั่งสอนคนอื่น เราต้องรู้ให้ชัดก่อน เราต้องศึกษาให้มากๆ อาจารย์จะบอกให้ คนที่เสียชีวิต เสียได้ตอนไหนบ้าง เช้าสายบ่ายเย็น ทุกเวลาทุกนาทีใช่ไหม เกิดเราไปหลงตอนเช้าแล้วตอนเย็นเราไม่อยู่แล้วล่ะ ยังไม่ทันพรุ่งนี้เช้าเลยนะ เพราะฉะนั้นหลงปุ๊บจับจิตปั๊บ ดึงให้อยู่ อย่ารอ อย่าผัดวัน  อายุเราอาจจะยืนยาวแต่มีความหลงตั้งวันหนึ่ง, (ทำความดีทำความดีอีกแล้ว ทำไมคนดีไม่อยู่บนสวรรค์นะ ทำไมคนดีมาอยู่บนโลก คิดได้สองอย่าง หนึ่งศิษย์เกิดมาเพื่อช่วยงานธรรมะ ศิษย์เกิดมาเพราะหมดบุญบนสวรรค์ กับสองคือ ที่บอกว่าทำความดีแสดงว่ายังดีไม่พอ
 (พระอาจารย์สนทนากับญาติธรรมชาวจีนที่มาร่วมชั้นประชุมธรรม)
อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้สนับสนุนให้ศิษย์ทำงานธรรมะในเมืองจีน ไปต้องระวัง ดูให้ดี ระวังให้มากเข้าใจไหม เพียงแต่อาจารย์อดใจไม่ได้ มาแล้วก็ส่งเสริมหน่อยเพียงแต่ต้องรู้ว่ายังไม่ถึงเวลานะ
วันนี้อาจารย์มาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้สิ่งต่างๆ ไปมากมาย ชั้นนี้เป็นชั้นเรียนที่เพิ่งเริ่มต้น  นานๆ จัดประชุมธรรมทีก็ดีนะ ดูแล้วการพบกันนั้นเป็นสิ่งมีค่า ดูแล้วทุกคนนั้นมีการเก็บพลังสั่งสมพลังเอามาใช้ในงานนี้ได้ดี อาจารย์หวังว่าต่อไปนั้นทุกวันๆ ทุกอาทิตย์ๆ ก็ทำได้แบบนี้ เมื่อเราเหนื่อยก็อย่าพยายามเอาความเหนื่อยของเรานั้นไปบอกคนอื่น ให้คนอื่นเขาเกิดความท้อใจเหมือนๆ กับเรา เราลองดูสิว่าเราสามารถที่จะจัดการความท้อแท้ของตัวเองได้ไหม คนเรานั้นท้อแท้ได้ไม่ผิด แต่อย่าท้อแท้จนมาทำลายการปฏิบัติธรรมของเรา หนทางการบำเพ็ญอีกยาวไกล การทำความดีนั้นแม้ศิษย์จะมองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งทุกวันๆ นั้นศิษย์ตามใจตัวเองเป็นส่วนใหญ่ การทำความดีนั้นจึงยังเป็นเรื่องยาก แต่หากว่าทำความดีเป็นส่วนมาก ความดีนั้นก็ทำง่ายขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่
วันนี้อาจารย์จะกลับแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มลาศิษย์จากตรงไหน  นานๆ พบหน้ากันทีนั้นก็เป็นเรื่องดี ศิษย์ของอาจารย์นั้นห่างกัน ในจิตใจนั้นอย่าได้ท้อ มีเวลาว่างก็ขอให้มาสถานธรรม เพื่อที่ว่าอะไร เพราะว่ายิ่งเราห่างไกลสถานธรรมมากเท่าไร เรายิ่งไม่สามารถประคองจิตใจที่คิดจะบำเพ็ญธรรมไว้อยู่ได้ เวลาไม่คอยใคร แต่ละคนนั้นถ้าหากว่าทำดีมาก กุศลก็เพิ่มพูนมากขึ้น หากทำสิ่งที่ร้ายมาก ทำสิ่งที่เป็นกรรมมาก ยิ่งเวลาเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ศิษย์ก็ยิ่งใกล้หนทางแห่งความมืดเพิ่มขึ้นเท่านั้น วันนี้โลกเราปัจจุบันอาจจะไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่สำหรับคนที่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ศิษย์ลองมองย้อนไปดูเด็กๆ ทั้งหลาย พวกเขาก็ยังเห็นโลก เห็นการเล่นเป็นเรื่องสนุกอยู่  อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีจิตใจที่ใสๆ สะอาดๆ เหมือนเด็กทารก คนเรานั้นมีทิฐิมากก็จะเป็นเรื่องที่ทำให้เรานั้นยิ่งตกต่ำมาก จงอย่าทิฐิ ละทิฐิของเราลง เมื่อทิฐิของเราลดลงก็ยิ่งอ่อนน้อม ทำได้ไหม
ขอให้ทุกๆ คนนั้นสามัคคีรวมพลังกัน วันนี้ดีอยู่แล้วขอให้วันหน้าดีขึ้นไปอีก
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น) เป็นหัวหน้านะ ไม่ใช่เป็นหัวหน้าเฉพาะสองวันนี้ ขอให้วันต่อๆ ไปก็สามารถเป็นหัวหน้าเขาได้ คนที่เป็นหัวหน้าไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่เหนือคนอื่น แต่ยิ่งหมายความว่าจะต้องแบกรับสิ่งที่ยากลำบากมาสู่ตัว อย่ากลัวความยากลำบาก บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ เป็นแรงแทนอาจารย์เข้าใจไหม
บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ นะ ศิษย์ศึกษาธรรมะให้มากๆ นะรู้ไหม ไม่ว่าวันนี้วันหน้าวันไหนจิตใจของเรามีหนึ่งเดียว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ธรรมะยังเป็นเรื่องใหม่ เราบำเพ็ญทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เก่าอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเราเอง อย่าให้เสียแรงที่วันนี้อาจารย์มาเจอ ขอให้ศึกษาให้ดีเข้าใจไหม 
ศิษย์สี่คนนี้เป็นคนที่มีบุญแต่อย่าคิดว่าทำไมคนมีบุญอย่างเราถึงได้ตกต่ำอย่างนี้ ขอให้ศิษย์นั้นทำในสิ่งที่ดีเชื่อมั่นในความดีเข้าใจไหม บำเพ็ญดีๆ นะ สิ่งใดคับแค้นในชีวิตปล่อยออกมาได้
ลูกศิษย์อาจารย์ใครที่เป็นนักศึกษาเรียนหนังสือ ขอให้รู้จักแบ่งเวลางานธรรมงานโลก งานธรรมงานโลกแบ่งให้ดีๆ อย่าให้ทางโลกนั้นกลืนจนเรามิดไป จะเสียแรงที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมา บำเพ็ญดีๆ นะรู้ไหม  บำเพ็ญดีๆ ก็ตามอาจารย์มาดี
ศิษย์ต่างนั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ วันนี้นั่งร่วมกันวันหน้าใครบำเพ็ญก็ขึ้นไป บำเพ็ญร่วมกันพร้อมกันก็กลับคืน แต่หากว่าศิษย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ แม้วันนี้ได้นั่งเก้าอี้เซียนแต่หากศิษย์ไม่อยากบำเพ็ญธรรมศิษย์ก็กลับคืนไม่ได้เข้าใจไหม  บำเพ็ญให้ดีๆ  รักษาใจเราให้มั่นคง คนที่อยู่ข้างๆ เราเขายังมั่นคงเลย
บำเพ็ญกันให้ดี เหนื่อยแล้วเราก็เห็นใจกัน พร้อมแล้วก็สู้ไปด้วยกัน เป็นเรื่องยากทำงานธรรมะ บางทีเราก็คิดว่าดีแล้ว แต่ทำไมมันยังไม่ดีก็ไม่รู้ ไม่เป็นไรลองดูใหม่ สู้ต่อไป แม้อาจารย์จะเป็นคนที่ว่าศิษย์ ว่าไม่เลิกเสียที แต่ถ้าอาจารย์ไม่ว่า อาจารย์ก็ต้องปล่อยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นท่านว่าศิษย์ เพราะฉะนั้นทุกครั้งอาจารย์จึงเลือกที่จะว่าเอง ดีกว่าให้คนอื่นว่า แม้อาจารย์จะพูดไม่ออกแต่อาจารย์นั้นก็อยากให้ศิษย์ได้ฟัง ทำแต่สิ่งดีนะ รักษาตัวเองให้ดีๆ เก็บความรู้สึกของเราที่มันไม่ดีต่างๆ ให้มิดลงไปข้างล่าง อย่าได้ใช้มันออกมา หากว่าศิษย์ใช้ความรู้สึกนั้นหนักหนาสาหัส ใช้ความรู้สึกตัวหนักหนาสาหัสกว่าหลักธรรมหรือสิ่งที่ถูกต้อง หรือว่าหลักเหตุผลของเรานั้นดีกว่าคนอื่นเสมอ นอกจากศิษย์จะทำตัวเองเดือดร้อน ยังทำผู้อื่นเดือดร้อน อย่าทิฐิที่จะแก้ไข เมื่อต้องแก้ไขก็ต้องแก้ไข เมื่อต้องยอมก็ให้ยอม เมื่อต้องสละก็ให้สละไป ของบางอย่างหากศิษย์จะปลดออกจากตัว เมื่อนานเกินไปแล้วปลดออกลำบากเข้าใจไหม เหมือนอย่างตอนนี้รู้ตัวว่าบำเพ็ญธรรมดี แต่ไม่ยอมบำเพ็ญ วันหลังอยากจะบำเพ็ญใจมันก็ไม่สู้ เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่มีใจ ถ้ามาเริ่มต้นเอาตอนไม่มีใจก็เริ่มไปอย่างทุลักทุเล ศิษย์จะลำบากโดยที่ศิษย์นั้นไม่อยากลำบากเลย รักษาตัวให้ดี


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ปัญญาแยกแยะตามจริง”

สุขไม่ทุกข์ทุกข์ก็สุขไปไม่ได้ ทำงานด้วยจิตใจดีบรรลุผล
อวดไม่รู้รู้ไม่อวดความในตน อย่าถือตนถ้าไม่รู้ยิ่งน้อมเพียร
ยามที่เศร้าอย่าได้เกลื่อนกลบว่าสุข คนเมื่อขลุกปัญหานานพาจิตเพี้ยน
ปวงกิเลสเล็กน้อยแต่ผุดวนเวียน อุปสรรคเขียนด้วยนิสัยให้ประชา
ความสามัคคีเกิดหลังจากเข้าใจกัน มาสร้างสรรค์ชีพให้งามด้วยคุณค่า
ยิ้มใสใจสะอาดเป็นสิ่งควรรักษา การชินชาในความผิดไม่พาได้ดี


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-23 สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี


PDF 2543-12-23-ถงซิน #25.pdf

#หลักการบำเพ็ญ หลี่ อี้ เหลียน ฉื่อ


วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ใช้ความรู้ความสามารถให้ถูกทาง ศึกษากว้างไปสู่ละเอียดใหม่
อยากรู้ตนกลับแสวงอยู่นอกกาย แล้ววันใดน้องจะเจอดังต้องการ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

เพียงวันเดียวแห่งผู้เปี่ยมปัญญา ย่อมมีค่ากว่าร้อยวันของคนโลเล
หากว่าทำสิ่งใดไม่ทุ่มเท จะปนเปความแพ้พ่ายตลอดทาง
แต่ครานี้ประชุมธรรมรวมสองวัน ปวงน้องท่านต้องมั่นคงใจเป็นหนึ่ง
แม้สองวันอาจเข้าใจธรรมลึกซึ้ง อย่าทิ้งกลางคันครึ่งมาไม่ครบ
ขอให้รู้โลกวุ่นวายใจคนวุ่น ธรรมะหนุนลงกู้โลกคลายสับสน
แม้ว่าจะมีร่างกายได้เป็นคน แต่มากล้นคนจิตเสื่อมหาใช่คน
จงตั้งใจย้อนมองตนแก้ไขผิด แม้เพียงนิดไม่ยอมทำผิดซ้ำซ้อน
จงนำใจของตนเป็นขั้นตอน แม้ลุ่มดอนเพียรบำเพ็ญพ้นทุกข์นา
ชีวิตคนถ้าไม่ทุกข์ก็คือยังไม่เจอ ท่านอย่าเผลอรักกิเลสกว่าตนหนา
เกิดมาแล้วให้เพียรสร้างคุณค่า เร่งเปิดตาแห่งปัญญาของตนเอง
อันคนเก่งไม่อาจเก่งตลอด ไม่อาจกอดทรัพย์สินโดยไม่ปล่อย
ขอให้บำเพ็ญจริงจริงอย่าลอยลอย เริ่มจากน้อยไปหามากก้าวของเรา
ฝึกจิตใจอภัยเพื่อทำงานใหญ่ คนจู้จี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
ขอตรวจสอบจิตตนก่อนบำเพ็ญใจ เพื่อจะได้ลดการโทษคนอื่นผิด
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมเพื่อศึกษาไปปฏิบัติ
ในชาตินี้ขอหลุดพ้นเพราะเคร่งครัด รู้จำกัดใช่เรียกว่าขาดเสรี
ขอตั้งใจเปิดใจตนเป็นกุศล จงอดทนนั่งฟังด้วยปัญญาแท้
ดีเร่งตามหากว่าไม่อย่าเปลี่ยนแปร ศึกษาต่อธรรมะแท้ไร้รูปนาม
ขอให้มีปณิธานดั่งพุทธะ เร่งลดละอบายมุขสิ่งต้องห้าม
กามราคะตัดสิ้นสง่างาม เร่งเดินตามรอยแห่งอริยา
จงรักษาพุทธระเบียบในชั้นเรียน และพากเพียรไม่กระจ่างต้องหัดถาม
ใดขุ่นเคืองมองให้ชัดอย่าวู่วาม อันไฟลามอาจเกิดจากแค่ประกาย
อย่าให้พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า บางคนเขลาเพราะเคืองใจชั่วขณะ
การบำเพ็ญคือขัดเกลาเพื่อชนะ และชนะครั้งนี้คือชนะตน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
และจะอยู่ร่วมกับน้องทั้งสองวัน คนสำคัญท่านจงได้ตั้งใจจริงจริง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา    หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระนาจา

ความสบายมาเปลี่ยนคนเปลี่ยนนิสัย การอภัยเป็นดั่งฟ้าหลังฝน
คร้านเพียรดั่งเทพทิ้งวิมานตน สามารถทนปรักปรำได้กุศลจริง
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนลำบากหน่อยทนได้หรือเปล่า

สุขทุกข์ร้ายดีเหลือเพียงอารมณ์ จะขื่นขมปรีดาสิ่งทั้งสอง
คืนความใสธารไหลตามครรลอง อย่าหลงค้างกรองตะกอนคืนชีวา
อย่าให้วัตถุสำคัญเหนือใจจิต สำคัญผิดเงินซื้อได้ใต้หล้า
รู้จักให้ความสุขไม่กำพร้านา ย่อมดีกว่ามากสุขลำพังมี
ให้ก่อนรับคิดดีเป็นมงคล ตั้งต้นใหม่ฉลาดกว่าคิดหนี
แพ้ความสบายแม้คนบำเพ็ญดี จิตไม่หลับรัศมีจับสร้างอะไร
คนมักลืมน้ำใจในคนคุ้น คนมีบุญโชคอยู่หน้าแจ่มใส
ใช้รอยยิ้มพูดแทนเสียงหัวใจ ร้ายนิ่มนิ่มใคร่ครวญไม่ขุ่นตาม
รู้คุณทำให้โลกเพราะสำนึก มาผนึกพลังช่วยสมดุลความบุ่มบ่าม
ให้เมตตาได้อุ่นโลกดีงดงาม เพียรพยายามย่อมสำเร็จกันทุกคน
กลัวลำบากยากเดินสู่มุ่งหมาย หากเข้าใจเพียงผิวเผินเดินสับสน
สู่จุดหมายต้องมีใจอดทน เพื่อส่งผลสัมฤทธิ์อันงดงาม
ฮิ ฮิ   หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

อยู่บ้านเราเคยชิน จะทำอะไรเราก็ได้ทำตามที่เราต้องการ แต่พอมาอยู่ในสังคมคนหมู่มากก็ต้องมีกฎระเบียบ ข้อบังคับและสิ่งที่ต้องทำให้เหมือนกัน ทำให้เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ตามใจเรา  ฉะนั้นพอมาอยู่นี่ นั่งเฉยๆ บางทีก็เบื่อ ต้องโทษนิสัยเราที่ปล่อยเราเคยชิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจตัวเองจนเคยตัว พอมีคนมาบังคับตัวเองหน่อยก็เลยลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนอะไรที่ทำให้ตัวเองลำบากก็จะพยายามไม่ทำ  อะไรที่ตัวเองเหนื่อยก็พยายามจะหนี ใช่ไหม (ใช่)  พอมาอยู่ที่นี่ ลำบากก็ต้องทน ต้องใช้ธรรมะมาข่มว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นคนศึกษาพุทธศาสนาต้องทน  เกิดเป็นคนทนไม่ได้ก็เสียความเป็นคนแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นิสัยความเคยชินนี้ ถ้าเราปล่อยตามใจตัวเองโดยที่ไม่รู้จักควบคุม ย่อมส่งผลดีหรือผลร้าย (ผลร้าย)  หน้ามือหรือหลังมือ (หลังมือ)  บางครั้งเราปล่อยตัวเองตามใจตัวเองก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูก การรู้จักควบคุม การรู้จักอยู่ในกฎระเบียบ  ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มากได้
ตั้งใจฟังก็จะได้ยิน ถ้าไม่ตั้งใจฟังแม้ได้ยินก็ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้หายเมื่อยหรือยัง (หายแล้ว)  หายเมื่อยจริงๆ นะ งั้นพรุ่งนี้เพิ่มอีกเป็นสามวันดีไหม (ดี)  ฟังแล้วดีไหม (ดี)  งั้นเพิ่มอีกเป็นสี่วันดีไหม  ทำไมเสียง “ดี” เบาลงๆ ล่ะ  แปลว่าคนเห็นด้วยเริ่มน้อยลงแล้วสิ ใช่หรือเปล่า
ตอนนี้ท่านอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ๆ เวลาตอบอะไรบางทีท่านต้องฟังเสียงข้างๆ ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเสียงของท่านอาจตัดสินชะตาชีวิตทั้งชั้นเลยก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเราอยู่ในโลกนี้ ตัวท่านที่เป็น “คน”  ไม่ว่าจะพูด ทำ คิด จึงต้องระวัง อย่าปล่อยให้ตัวเองมีอารมณ์ผูกพันกับนิสัยความเคยชิน ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นคนที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นคนที่ทอดทิ้งตัวเองโดยที่ตัวเราเองไม่รู้ตน จริงไหม (จริง)
หลายต่อหลายคนรักตัวเอง เป็นห่วงตัวเอง  แต่บางครั้งการกระทำอะไร พอเราทำสำเร็จไปอย่างหนึ่ง เราเพิ่งรู้ว่าเราทำแบบนี้ไม่รักตัวเองเลย เคยไหม (เคย)  เราบอกว่าเราทำงานเพื่อเราจะได้มีความสุข แต่พอเราทำ เรารู้สึกไหมว่าเรารักตัวเองหรือเรากำลังทำร้ายตัวเอง (ทำร้ายตัวเอง)  บางครั้งตอนแรกเรารู้ว่าชีวิตเราเกิดมาถ้าไม่ทำงาน เราจะไม่สามารถถนอมร่างกายนี้ได้  แต่พอเราทำงาน เรานึกว่าทำเพื่อจะทำให้เรามีชีวิตอยู่ แต่กลับกลายเป็นยิ่งทำก็ยิ่งทำร้ายชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราทำอะไรก็ตาม เราคิดว่าเราทำแบบนี้เรารักเราหวังดีกับเขา แต่พอคิดไปคิดมาโดนคนว่ากลับบอกว่าไม่ใช่ เธอทำแบบนี้เธอรักตัวเธอเอง แล้วเธอจะให้ฉันทำให้เธอ เคยไหม (เคย)  บางครั้งการกระทำของเราเอง จึงต้องคิดพิจารณาให้ดีว่า จริงๆ แล้วเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น จริงๆ แล้วเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่คนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านอยู่ในโลกนี้ล้วนแต่เคยเห็นแต่คนๆๆๆ ใช่ไหม  ตาที่เห็นก็เป็นแต่คน หูก็ฟังแต่เสียงคน ใจที่เปิดรับก็เปิดรับแต่ความเป็นคน พอพุทธะมาก็เลยเป็นคน จริงไหม (จริง)  เพราะว่าเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าความเป็นพุทธะเป็นแบบไหน จิตแห่งพุทธะเป็นอย่างไร  เรารู้เราเห็นก็เพียงแค่พุทธะคือรูปภาพสวยๆ ยืนอิริยาบทแตกต่างกันไป มีความสงบนิ่งลึกล้ำอยู่ภายใน และก็มีภูมิประวัติงดงามที่น่าศึกษาเรียนรู้ ใช่ไหม (ใช่)  แม้เราจะพยายามศึกษาค้นคว้าเราก็ได้รู้เพียงแค่กระพี้เปลือกนอก แต่เราไม่เคยได้ถึงแก่นแท้ความเป็นจริง  แม้เราจะพยายามหาภาพความเป็นพุทธะ แก่นแท้แห่งธรรมะ เราก็พบได้แค่ความเป็นคน ไม่เคยพบซึ่งความเป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะบางครั้งขนตาใกล้ๆ มองไม่เห็น สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้แจ้ง นั่นก็คือว่าความเป็นพุทธะที่แท้จริงแล้ว มนุษย์เราเฝ้าแสวงหาจากโลกภายนอก แต่แท้จริงแล้วอยู่ที่ภายในใจของตัวตนเอง  ธรรมะไม่ได้เรียกร้องจากใคร ไม่ได้เรียกร้องจากหนังสือคัมภีร์  แต่ธรรมะจริงๆ แล้วต้องเรียกร้องจากจิตใจตัวเอง บุกเบิกตัวเองให้ค้นพบความเป็นพุทธะ  แต่จะบุกเบิกให้ค้นพบได้อย่างไรล่ะถ้าเราไม่ได้ศึกษา ถ้าเราไม่ได้ค้นคว้า จริงไหม (จริง)  ถ้าเราเอาแต่ดำเนินชีวิตตามความเป็นคน เราก็จะไม่พบความเป็นพุทธะ  ฉะนั้นท่านจึงต้องให้เวลาตนเองได้มาค้นหาความเป็นพุทธะในตัวตนและในตัวคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแล้วงงไหม
แต่ก่อนใจเราคิดว่าตัวเราก็คือคนๆ หนึ่ง แล้วก็ยอมรับว่าคือคนๆ หนึ่ง  แล้วท่านจะเห็นพุทธะไหม (ไม่เห็น)  ถ้าเราบอกว่าในตัวคนๆ หนึ่งนี้สามารถมีพุทธะได้ สามารถมีผู้ประเสริฐได้ แต่ถ้าเอาแต่คิดแล้วไม่ลงมือทำ เราจะพบไหม (ไม่พบ)  เหมือนเวลาเราอ่านหนังสือของคน เราก็จะพบคนในหนังสือ  แต่ถ้าเราอ่านหนังสือของพุทธะ เราก็จะพบพุทธะในหนังสือใช่หรือไม่ (ใช่)  กลับกัน หากเราเปิดใจของเรา เปิดหาคำว่าคน คนคืออะไร ชีวิตคนคือแบบไหน เราก็จะพบคน ชีวิตคนในใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเราอยากพบคำว่าพุทธะก็ต้องเปิดที่ใจเรา แล้วพุทธะเป็นแบบไหนล่ะ พุทธะคือผู้ที่มีเมตตาจิต มีไหม (มี)  แล้วพุทธะเป็นแบบไหนอีก  ใครพยายามเปิดหาความเป็นพุทธะในใจของเราที่เราเคยได้รู้มา (รู้จักให้อภัย, เป็นคนดี)  ใครว่าก็ไม่โกรธ ใครผิดก็ไม่นินทา อะไรที่ลำบากก็ต้องอดทน อะไรที่ขัดใจตนก็ต้องอดกลั้น  นี่เราค่อยๆ เปิดใจดูว่าความเป็นพุทธะมีอยู่ในตัวเราไหม พอเราเปิดได้หนึ่งข้อเราก็สำรวจตัวเราได้หนึ่งอย่างว่าเรามีไหม มีแล้วใกล้ชิดไหม หรือมีแล้วยิ่งถอยห่าง เหมือนเราพูดว่าเป็นคนต้องมีเมตตา ยิ่งเมตตาแบบมหาเมตตาจะเรียกว่าพุทธะหรือโพธิสัตว์ใช่ไหม (ใช่)  และยิ่งถ้าเมตตาโดยไม่สนใจตัวตนก็เรียกว่าพุทธะอริยะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอพูดคำว่าเมตตา ทำไมเราไม่มีเลย นั่นก็แปลว่าเราพบแล้วว่าเรามีความเป็นคนมากกว่าความเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้แค่เปิดนิดหนึ่ง อยากค้นไหมว่าความเป็นพุทธะมีอีกหรือเปล่า แล้วจะมีอย่างไร อยากรู้ไหม (อยาก)  อยากรู้เท่านี้เองหรือ เห็นเรียนนั่นเรียนนี่ก็อยากเรียนไปหมด ทำไมไม่เห็นมีใครอยากเรียนเป็นพุทธะเลย  ฉะนั้นต้องระวังความคิดเพียงชั่ววูบ  หากคิดผิดก็ทำร้ายความดีของเราจนหมดสิ้น แต่ถ้าคิดถูกเราก็จะสามารถชำระล้างความทุกข์ให้มลายเบาบางลงไปได้  ฉะนั้นหนึ่งความคิดก็ต้องระมัดระวังให้ดี
อยากสมัครเป็นพุทธะไหม มีคนไม่อยากสมัครด้วย ถ้ายังไม่อยากก็ยังไม่บังคับ แต่ถ้าไม่อยากก็ลองฟังดูซิว่า การเรียนฝึกฝนเป็นพุทธะนั้นยากเกินไปไหม แล้วก็ลองพินิจพิจารณาดูว่าหากเรียนจบแล้วเป็นพุทธะได้ไหม ดีหรือเปล่า  แต่อย่าลืมนะว่าการเรียนฝึกฝนเป็นพุทธะต้องทนคำนินทาว่าร้ายและกล่าวหาปรักปรำได้ ข้อนี้มักจะสอบไม่ผ่าน  สังเกตว่าการจะเรียนอะไรก็ตาม จะก้าวไปหนึ่งขั้น เป็นพุทธะจบชั้นหนึ่ง เป็นพุทธะจบชั้นสองได้ ต้องมีการสอบวัดความรู้ใช่ไหม (ใช่)  การฝึกฝนความเป็นพุทธะก็ต้องมีการวัดความมั่นคงด้วย  สังเกตว่าคนถ้าจะทำความดี หากไม่มีความมั่นคง มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้โดนอะไรนิดหน่อยก็หวั่นไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่แท้ แม้โดนอะไรนิดหน่อยจะไม่หวั่นไหว สิ่งที่มากระทบกลับยิ่งทำให้เข้มแข็งและหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเรียนการเป็นพุทธะแล้ว แต่โดนกล่าวหาปรักปรำว่าเป็นพุทธะที่ไม่ได้เรื่อง เป็นพุทธะที่ชอบนินทา เป็นพุทธะที่ยังปากร้าย เป็นพุทธะที่ยังปากว่าตาขยิบ เป็นพุทธะที่โดนกล่าวหาว่าเลวร้ายตลอดเวลา ยังอยากเป็นอยู่ไหม
(อาจารย์บรรยายธรรมพูดว่า “เชื่อว่าคงได้อะไรกลับไปจากสองวันนี้เยอะมากทีเดียว”)
ไม่มากก็น้อยดีกว่า เอามากไปเดี๋ยวฟังไม่รู้เรื่องก็จะเสียเปล่า ใช่หรือไม่  เอามากไปแล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ไร้ค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีแล้วแต่ก็ไม่ยอมดีตลอดก็ไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  ฟังพุทธะทีหนึ่งก็กระเตื้องทีหนึ่ง แต่พอกลับบ้านไปที่กระเตื้องขึ้นก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เป็นไหม  ต้องถามผู้ที่ปฏิบัติธรรมข้างๆ ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  ส่วนท่านที่อยู่ตรงนี้ เราอยากบอกอีกสักนิดหนึ่ง บอกเกือบทุกครั้งที่มาเยือนบนแดนโลกนี้เลยนะว่า อย่าเพิ่งสงสัยกัน เปิดใจแล้วลองคิดพินิจพิจารณาสิ่งที่เราพูดนี้ให้ดีๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ และไม่ใช่เรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องที่ทุกๆ ท่านสามารถทำได้  และถ้าทำได้ ท่านนั่นแหละจะโชคดียิ่งว่าถูกล็อตเตอรี่อีกนะ เอาไหม (เอา)
พุทธะแต่งตัวเพื่อปกปิดร่างกาย แต่มนุษย์ตกแต่งเพื่อสวยงามหล่อเหลา  หรือไม่ก็เสริมสร้างบารมีใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องและทำท่าประกอบเพลง “พายเรือธรรม” )
ทุกคนอยู่ในโลกนี้ต่างคนต่างปั้นหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างไม่มีความจริงใจให้แก่กัน ก่อนที่เราจะพูดแบบนี้เราต้องถามตัวเราก่อนว่า เราได้ยิ้มบ้างหรือยัง เราได้จริงใจให้กับคนอื่นบ้างหรือยัง สิ่งนี้มักจะเป็นสิ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักเรียกร้องให้ทุกคนทำก่อน เราอย่าได้ไปเรียกร้องคนอื่น เราเรียกร้องที่ตัวเอง เรายิ้มโลกก็ยิ้มให้เรา เราทุกข์ทุกคนก็จะโบกมือลาให้เราทุกข์คนเดียว ชีวิตนี้เรามีความทุกข์เป็นเพื่อน เราไม่ได้มีความสุขเป็นเพื่อน ความสุขมักไม่ค่อยรักเรา ชอบวิ่งหนี เวลาเราได้สุขมาเราก็ดีใจ แต่สุขมักไม่อยู่กับเรา อยู่เพียงครึ่งชั่วโมงหรือวันเดียวก็หนีไปแล้วก็กลายเป็นทุกข์ ความทุกข์เราสะบัด เราชี้หน้าว่า  ไล่ไปก็แล้วแต่ทุกข์ก็ไม่ยอมไป จะหลับจะตื่นก็ต้องทุกข์  เพราะชีวิตของมนุษย์นั้นมีความทุกข์แอบแฝงซ่อนอยู่เบื้องหลัง ก็เพราะว่าเมื่อใดที่เรามีร่างกายนี้ เมื่อนั้นความทุกข์ย่อมเป็นเพื่อนเรา สังเกตไหมว่าเวลามืดพอมีแสงจันทร์ส่อง เราเห็นเงาสะท้อนมืดใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งกลางวันเราเดินไป เงาที่เห็นยิ่งเห็นชัดยิ่งสะท้อนความมืด เพราะอะไร สิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการจะบอกก็คือมีปริศนาธรรมแฝงอยู่ในนั้น เวลาเราเจอแสงแดดร้อนเราก็หลบ แต่ถ้าคิดให้ดีฟ้ายิ่งสว่างเงายิ่งทอดเห็นชัด แต่ชีวิตของคนนั้นจะมืดจะดำ ขาว บริสุทธิ์ ถ้าหากมีความสว่างไสวของชีวิตมาส่องจะเห็นได้ว่าอะไรมืด อะไรสว่าง อะไรจริง อะไรปลอม ฉะนั้นมนุษย์เราจิตจึงต้องสัมพันธ์ เพราะถ้าจิตสว่างเราย่อมเห็นอะไรแจ่มชัด ถ้าจิตบริสุทธิ์เที่ยงตรงเท่าไหร่ ยิ่งมองอะไรได้บริสุทธิ์ยุติธรรม นั่นก็คือเมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องเห็นพระอาทิตย์สว่างแล้วส่องเงาดำได้ชัดเท่าไหร่ ต้องสะท้อนใจไว้ว่า ความสว่างยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างของจริงกับของปลอมได้ชัด ใช่ไหม (ใช่) มีใครทำอย่างนั้นบ้าง แท้ที่จริงแล้วมีปริศนาสอนอยู่ข้างในธรรมชาติบนโลกใบนี้ ฉะนั้นเวลาเรามองอะไรต้องมองให้ดี ดั่งที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า สรรพชีวิตมีใจเป็นผู้นำ หากคิดดีก็กระทำดี หากคิดร้ายใจเห็นพ้องด้วยก็กระทำชั่ว ศิษย์น้องเวลาว่าคนในเรื่องร้ายมักจะใส่อารมณ์มากกว่าปกติ ทำไมไม่ใส่อารมณ์ไปในความดีความงามบ้าง สิ่งที่ไม่ดีมักชอบเติมแต่ให้ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวเลย เพราะถ้าน่ากลัวจริงศิษย์น้องคงไม่ชิดใกล้และไม่เข้าไปกระทำเด็ดขาด เพราะเมื่อใจเป็นผู้นำแล้วมีสถานการณ์บังคับ เราจึงพร้อมที่จะทำไม่ดี   เวลามีเหตุการณ์บีบบังคับเรายอมทิ้งดีไปทำชั่ว  กับอีกคนหนึ่งแม้สถานการณ์จะบีบบังคับให้ทำเลวร้ายอย่างไรก็ตาม  ให้ทำไม่ดีอย่างไรก็ตาม   แต่เขาก็ยังยึดมั่นไม่ยอมทำสิ่งที่เลวร้าย กลับมั่นคงในการทำความดี เพราะอะไร  สองคนนี้แตกต่างกันเพราะอะไร (จิตใจ, จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก, ปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้, กรรม)  เพราะกรรมหรือ เมื่อสักครู่เราบอกว่าพระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าสรรพสิ่งมีใจเป็นผู้นำ ไม่ใช่มีกรรมเป็นผู้นำ  (มีศีลธรรมและคุณธรรม)  และอีกคนที่ทำไม่ดีเพราะไม่มีศีลธรรมและคุณธรรมหรือ (เพราะลืมไปชั่วขณะ)  ศิษย์พี่ถามว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจทำไม่ดี เพราะอะไรถึงตัดสินใจทำดี (ปณิธานที่แน่วแน่ในการทำความดี)  สิ่งบางอย่างไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกรรม  ตอนนี้สิ่งที่ศิษย์พี่ยกตัวอย่างนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจชั่วขณะ  ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้น  อารมณ์ตอนนั้นศิษย์น้องอยากดีหรืออยากไม่ดี  ตอนนั้นอยากดีแล้วมีดีให้รักษาไหม  หรือว่าอยากไม่ดีแม้จะมีดีให้รักษาก็ไม่เอา ใช่ไหม    เหมือนคนๆ หนึ่งอยากได้ส้มลูกนี้เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดินผ่าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็น ท่านอยู่ข้างๆ  ก็ล้วงหยิบเอา   ชั่วขณะนั้นเขามีแค่อารมณ์อยากได้  แต่ไม่มีสติและไม่มีคุณธรรม ไม่มีความละอายและไม่มีการยั้งคิด  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่มีความมุ่งมั่นในตัวตน  มุ่งมั่นอะไรล่ะ มุ่งมั่นในตัวตน มุ่งมั่นจะเป็นคนดี ใช่ไหม  (ใช่)  เขามุ่งมั่นแต่เพียงว่าเขาอยากได้ๆ เขาวิ่งไปตามอารมณ์  แต่ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)    อยู่ที่ตอนนั้นสติยั้งคิดเรื่องอะไร อยากได้เป็นอันดับหนึ่ง หรือว่าคุณธรรมการยั้งคิดเป็นอันดับหนึ่ง ฉะนั้นช่วงขณะหนึ่งของทุกชีวิตจึงสามารถตัดสินตัวเราได้ว่าดีหรือร้าย  ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นเราต้องไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต แต่หลายคนแม้ช่วงขณะหนึ่งจะคิดดี แต่อารมณ์มักจะทำให้เราผูกพันและเกี่ยวเนื่องกับใจ ชักพาใจเราให้ไขว้เขว ยากจะตัดสินได้อย่างยุติธรรม จริงไหม (จริง)   สมมติว่าเวลาที่ศิษย์น้องอยู่กับเพื่อน เขาก็มีความเห็นที่ถูกต้อง ศิษย์น้องก็มีความเห็นที่ถูกต้อง ต่างคนต่างถูกต้อง เราจะใช้อะไรมาตัดสิน  เราเอาปัญญามาช่วยตัดสิน เอาคุณธรรมมาเป็นเกณฑ์วัดความเที่ยงตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนั้นเราจะอิงเหตุผลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องใช้คุณธรรม ก็คือคุณธรรมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจริงใจไหม เราซื่อตรงไหม ในความมีเหตุผลในการตัดสินใจ นี่คือข้อรายละเอียดในการตัดสินใจ แปลว่าช่วงขณะหนึ่งในการทำ แม้เราจะมีใจเป็นผู้ทำ แต่อารมณ์มักจะทำให้เราไขว้เขวได้ ฉะนั้นเราต้องอยู่บนโลกแบบกันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมไว้ก่อนจะสาย ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท แม้เพียงชั่วขณะจิต เราก็กลายเป็นคนที่ดีหรือร้ายได้เพียงหนึ่งวินาที จริงไหม ความดีทำได้ไม่ง่ายแต่ความชั่วทำง่าย
คนนั้นมีใจเป็นผู้นำ แต่ใจนี้ต้องไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับอารมณ์ ถ้าเมื่อไรมีใจเป็นผู้นำ แต่ใจนำเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับอารมณ์ การตัดสินใจก็ยากที่จะบริสุทธิ์และยุติธรรมได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นทำดีหรือทำชั่วขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาใจของเราได้ดีเพียงใด เราจะสามารถควบคุมสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้มาเกี่ยวเนื่อง และชักพาใจให้เหลวไหลไปหรือเปล่า ต้องระวังให้ดี เพราะศิษย์น้องหลายๆ คนพอมีใจเป็นผู้นำ กายเป็นผู้ตาม แต่ว่ากายยืนอยู่บนอารมณ์ที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม การตัดสินใจหรือการทำอะไรก็ยากที่จะสำเร็จและลุล่วงด้วยดี  แม้จะบำเพ็ญธรรมก็ยากบำเพ็ญได้สำเร็จมรรคผล แม้จะปฏิบัติธรรม มาศึกษาบำเพ็ญธรรมก็ยากจะปฏิบัติได้โดยราบเรียบ จริงไหม (จริง)
เมื่อสักครู่ศิษย์พี่พูดว่าความทุกข์มีอยู่ในทุกผู้ทุกคนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกชีวิตมีความทุกข์ครอบคลุมอยู่ ไม่ว่าเด็กหรือแม้กระทั่งสรรพชีวิตที่มองดูเหมือนไม่มีชีวิตก็ตาม ศิษย์พี่พูดเช่นนี้เพราะต้องการให้ศิษย์น้องรู้ว่ามนุษย์นั้นมีความทุกข์เป็นธรรมดาของโลก หลายคนมักจะห่วงกังวลความทุกข์ ยากจะดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขเพราะหาทางกำจัดทุกข์ไม่เจอ และก็ไม่รู้ว่าทุกข์ที่แท้จริงนั้นมาจากแห่งใด แล้วสุขที่แท้จริงจะหาได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เรามารู้กันหน่อยว่าทุกข์มาจากไหน ดีไหม (ดี)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นกำมือตัวเองแล้วบีบให้แน่นๆ และถามว่าเจ็บไหม และค่อยๆ ให้ปล่อยมือที่กำออก)
เข้าใจไหมว่าศิษย์พี่กำลังบอกอะไร (คือการปล่อยวาง, ไม่ยึดมั่น)  เป็นคำตอบที่ถูก นั่นก็คือว่าชีวิตของมนุษย์นั้นมีความทุกข์เป็นธรรมดาของชีวิต เกิดทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  เปลี่ยนแปลงทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตายทุกข์ไหม (ทุกข์)  เกิดแก่เจ็บตายเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในตัวมนุษย์ ไม่มีใครหนีพ้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้  แต่ว่าเราต้องรู้และเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวเรา สิ่งของเกิดได้ไหม (ได้)  รูปนามเกิดได้ไหม (ได้)  นามที่เป็นชื่อเสียงเกียรติยศหรือแม้แต่ชื่อเราเองเกิดได้ไหม (ได้)  วันนี้คนยกชื่อเราสูงเชียว สักพักเขาก็ยกลงมา กลาง แล้วก็ต่ำ  ทุกๆ อย่างเกิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดอะไรได้ เกิดทุกข์ได้ และเป็นเหตุให้เราทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  อยู่ที่ว่าใจเรากำลังเกี่ยวข้อง  กำลังสัมผัสเรื่องอะไร เราอาจจะคิดว่าส้มลูกนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องและเป็นเหตุให้เราทุกข์ได้ แต่ไม่แน่ถ้าส้มนี้เป็นของๆ เรา แล้วส้มลูกนี้ก็หายไปจากเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะอะไร เพราะความเปลี่ยนแปลง แต่ใจนั้นไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ใจนั้นยึดมั่นอยู่กับส้ม  ส้มนั้นต้องเป็นของเรา ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงไม่มีส้มแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องต้องรู้ไว้ว่า ทุกสิ่งมีเกิดแล้วก็มีตาย ก็ถือว่าส้มหายไปแล้ว  นั่นก็คือว่าพอสิ่งใดมากระทบใจใจก็ไม่นิ่ง พอสิ่งนั้นอยู่ในใจ เราก็เริ่มครอบครองแล้วถือว่าเป็นของเรา พอบอกว่าเป็นของเรา จากมือที่ว่างๆ ก็กลายเป็นรับส้มหนึ่งใบ แต่ในความเป็นจริงส้มนั้นไม่มีอยู่ แต่ใจรับส้มอยู่ก็เลยเป็นทุกข์ จริงไหม (จริง)  เพราะใจมีส้มแต่มือไม่มีส้มแล้ว ใจไร้ส้มเราจึงเป็นทุกข์  ฉะนั้นทางแก้ของการดับทุกข์ก็คือตัดส้มทิ้ง หรือตัดใจทิ้ง (ตัดใจทิ้ง)  ทุกข์บางอย่างต้องปล่อยทิ้งบ้าง แต่มนุษย์หลายคน แม้จะรู้ว่าตรงนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ใจอย่ายึดมั่นนัก ใจอย่าเปิดรับนัก ใจอย่าผูกมัดนัก  เรารู้ไหมว่าอย่าทำอย่างนี้ มีทั้งไม่รู้แล้วก็รู้ แต่วันนี้ศิษย์น้องรู้หรือยัง
(นักเรียนในชั้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าเปลี่ยนจากส้มเป็นคนจะทำอย่างไร)
ถ้าเปลี่ยนจากส้มเป็นคนพูดยากกว่าอีกนะ เพราะส้มไม่มีจิตใจ ไม่มีขาเดิน แต่คนนั้นไม่ใช่ วันนี้ท่านรักเขาแต่พรุ่งนี้ยังจะรักเขาไหม วันนี้เขาบอกว่ารักท่านแต่พรุ่งนี้เขาจะรักท่านไหม ใจนั้นจับยากยิ่งกว่าส้มอีกนะ  ฉะนั้นจับคนอย่าไปจับเลย ยึดมั่นแล้วเป็นทุกข์เปล่าๆ เพราะใจเรานั้นเปลี่ยนแปลงทุกๆ หนึ่งวินาที สู้ส้มก็ไม่ได้ จะชี้หน้าว่าส้มๆ ก็ไม่ว่ากลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอเรารู้ว่าความทุกข์ต้องเกิด แล้วเกิดได้ทุกๆ อย่างที่อยู่รอบตัวเรา และทุกๆ อย่างเป็นเหตุให้เราทุกข์ได้ เราต้องทำใจ  นั่นก็คือบางครั้งเราต้องปล่อยวางตัวตนเองบ้าง อย่าให้ทุกข์มีที่อยู่ อย่าให้สุขมีที่อาศัย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราปล่อยวางแล้ว เราก็จะไม่ต้องเสียใจ  แต่ที่ศิษย์น้องต้องรู้อย่างหนึ่งก็คือ สรรพสิ่งในโลกนี้เปรียบเหมือนหินก้อนหนึ่งกลิ้งไปแล้วก็กลิ้งมา แล้วสิ่งที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นี้เปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  วันนี้เราเห็นเป็นแบบนี้ แต่ถ้าพรุ่งนี้หินนี้กลิ้งไปอีกทางหนึ่ง พอกลิ้งไปวันหนึ่งหินก็เปลี่ยนไปรูปหนึ่ง พอกลิ้งไปอีกวันหนึ่งหินก็เปลี่ยนเป็นอีกรูปหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้เป็นเหตุบอกให้รู้ว่า เมื่อเราศึกษาสิ่งใดก็ตาม เมื่อใจเราคิดสิ่งใดก็ตาม เราจะต้องไม่ยึดมั่นกับความคิด กับสิ่งที่ศึกษาอย่างตายตัว พลิกแพลงไม่เป็น เพราะว่าชีวิตบนโลกนี้หรือเรื่องราวในโลกนี้ก็เหมือนหินที่กลิ้งอยู่ตลอดเวลาและเปลี่ยนรูปไปอย่างไม่จบสิ้น  ถ้าเกิดเรายึดมั่นว่าหินต้องเป็นหินๆๆ  หินต้องเป็นรูปนี้ หินต้องเป็นสามเหลี่ยมหยักอย่างนี้ พอพรุ่งนี้เราก็ยืนยันว่าเป็นสามเหลี่ยมอย่างนี้ พออีกคนหนึ่งมาบอกว่าไม่ใช่ เราไปว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้)  หากเราไปว่าเขาและเรายึดมั่น คนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง แต่เราต้องพร้อมใจที่จะเปลี่ยนแปลงด้วย หรือเข้าใจสรรพชีวิตด้วย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกตัวอย่าง โดยนำผลสาลี่มาเปรียบเทียบ)
เราต้องยอมรับว่าโลกนี้มาก็เหมือนสาลี่หนึ่งลูก แล้วก็กลับเหมือนสาลี่หนึ่งลูก เรามาเหมือนสาลี่หนึ่งลูก แต่บางทีเรากลับเหมือนสาลี่เว้าๆ แหว่งๆ หนึ่งลูก เรามาเหมือนสาลี่หนึ่งลูก แต่บางทีเราแบกสาลี่ไปอีกสองลูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เลยไม่สามารถเข้าใจสัจธรรมชีวิตที่เรียกว่า  “มาตัวเปล่าแล้วก็กลับตัวเปล่า” เราจึงต้องทุกข์ เวลากลับแล้วก็ทุกข์ เวลาที่เกิดอยู่บนโลกนี้ก็ทุกข์ เพราะเราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจงจำไว้สรรพสิ่งในโลกนี้เหมือนหินที่กลิ้งแล้วเปลี่ยนมุมได้ตลอดเวลา  ความรู้ก็เฉกเช่นเดียวกัน เรามั่นใจว่าเราเป็นผู้รู้จริง รู้แท้ แต่โลกใบนี้ ไม่มีใครที่สามารถรู้ได้อย่างแท้จริง  เพราะโลกนี้เปลี่ยนทุกเวลาทุกนาทีใช่ไหม (ใช่)  คนที่รู้จักนอบน้อมเรียนรู้ศึกษาอย่างถ่อมตนจึงเป็นผู้ที่รู้กว้างอย่างแท้จริง  แต่คนที่ยึดมั่นว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมีความสามารถนั่นแหละคือคนที่โง่เขลา ไม่รู้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกับสรรพชีวิต  เราเอาเรื่องนี้มาสอนใจเราได้เหมือนกันว่า เมื่อเราเข้าใจว่าชีวิตนี้อย่าได้ยึดมั่นในความรู้ อย่าได้ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองมี เพราะบางครั้งเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และเมื่อเราเข้าใจเราก็จะไม่ยึดติดทั้งรูปนามแล้วก็ตัวตน ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเผชิญกับเรื่องราวที่เข้ามากระทบใจเราก็จะไม่ประหวั่นพรั่นพรึง แล้วจะกลัวทุกข์ทำไม ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว จริงไหม (จริง)  คราวนี้รู้หรือยังว่าทุกข์มาจากไหน แล้วรู้หรือยังว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร มีคนมากมายที่จบชั้นบัณฑิตพุทธะแล้วแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ก็มีออกถมไป  รู้มากมายแต่นำไปใช้ไม่ได้สักอย่างหนึ่ง เพราะว่าเมื่อรู้แล้วไม่ยอมฝ่าความยากลำบากในการฝึกฝน จึงไม่สามารถสำเร็จในบทเรียนนั้นได้อย่างแท้จริง  ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้องต้องเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ใช่ว่ายากสอนยาก อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ เป็นเด็กที่ไม่น่ารักใช่ไหม (ใช่)
"ใช้รอยยิ้มพูดแทนเสียงหัวใจ"
บางครั้งไม่ต้องพูดอะไร ยิ้มอย่างเดียวก็ดีนะ แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้วก็บอกว่านี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดอะไรเลย เขาคงบอกว่าเด็กคนนี้บ้าแน่เลย แต่ในโบราณหากศิษย์น้องได้ศึกษาจะรู้ว่าปราชญ์บางครั้งสอนธรรมะจากจิตสู่จิต จากใจหนึ่งสู่อีกใจหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลย บางครั้งตี ก็รู้แจ้ง แต่ศิษย์น้องตีก็หลง จริงไหม (จริง)  ยิ่งพูดยิ่งไกลธรรมะ แต่ไม่พูดเลยก็ไม่เข้าใจธรรมะใช่ไหม (ใช่)  พูดมากๆ ก็งงธรรมะ มากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็ไม่ดี ฉะนั้นต้องพอดีๆ ถึงจะดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเรานั้นเวลาอยู่ด้วยกันหลายๆ คน บางครั้งมีลำแข้งตัวเองแต่ชอบไปพึ่งลำแข้งคนอื่นบ่อยๆ จึงทำให้คนอื่นต้องลำบากใจ แต่คนบางคนไม่อยากรบกวนคนอื่น ตัวเองลำบากใจไม่เป็นไร คนอื่นอย่าลำบากใจ คนสองประเภทนี้เหมือนมากเกินกับน้อยเกินไหม  ทำไมจึงบอกว่าเหมือนมากเกินกับน้อยเกิน ในชีวิตของศิษย์น้องทุกๆ คน บางครั้งถ้าเราเห็นตัวเองมากหน่อย เราก็จะทำให้คนอื่นลำบาก และเป็นทุกข์เพราะตัวเรา แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นตัวเราน้อยหน่อยเห็นคนอื่นมากหน่อย เราจะยอมลำบากมากแล้วคนอื่นไม่ต้องลำบาก  แต่ศิษย์น้องมักจะเห็นตัวเองมาก ให้คนอื่นลำบากไว้ใช่ไหม (ใช่)  พอเห็นตัวเองมาก ตัวเองทุกข์นะ ตัวเองไม่ดีนะ ตัวเองไม่เก่งนะ หรือไม่ตัวเองเก่งแล้ว คนไม่เก่งก็ฝึกๆ ไปเถอะ ตัวเองทุกข์ เขาไม่ทุกข์หรอก เขาสบาย ทำไปเถอะจริงไหม (จริง)
เราอยู่บนโลกนี้เราอย่าได้เป็นแบบนี้ เพราะว่าประเภทมากเกินกับน้อยเกินนั้นไม่มีใครต้องการ ถ้าศิษย์น้องคิดถึงตัวเองมากคิดถึงคนอื่นน้อยก็ไม่ดี คิดถึงคนอื่นมาก คิดถึงตัวเองน้อยก็ไม่เหมาะสม ฉะนั้นต้องคิดอย่างครึ่งทาง แล้วเราจะทำงานกับเขาได้อย่างไม่ลำบากใจ แล้วก็ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร สรรพสิ่งในโลกนี้เกิดมาเรารู้ว่าเกิด พอดับไปแล้วเราทำให้สิ่งที่ดับไปเกิดมาใหม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจงอยู่อย่างไม่ทำร้ายและเข่นฆ่าเขา  ฉะนั้นนับจากนี้ไปจะไม่กินเนื้อสัตว์ ก็เมื่อสักครู่ศิษย์น้องพูดเอง ใช่หรือไม่
พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า สรรพชีวิตเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ทำไมจึงน่าอัศจรรย์ล่ะ เกิดมาหนึ่งครั้งแล้วก็ต้องตาย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือเกิดมาหนึ่งแม้เราจะทำร้ายเขาอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าทำให้เขาตายเมื่อไร ศิษย์น้องจะไม่สามารถเรียกให้เขากลับคืนมาเหมือนเดิมได้ นี่คือความเป็นจริง กฎของสัจธรรม กฎของชีวิต ฉะนั้นอยู่ด้วยกันเราจงสร้างแต่สิ่งที่ดีต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน ดังคำกล่าวที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นแนวทางของตน ตนต้องตรวจสอบตน และตนต้องรู้จักตน"  คำกล่าวนี้ทำให้เราได้รู้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถบังคับทำให้เราบริสุทธิ์หรือทำให้เราสกปรก ทำให้เราไม่บริสุทธิ์หรือทำให้เราสะอาดได้ นอกจากตัวตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า "หว่านเมล็ดพืชสิ่งใดลงไปเราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลของสิ่งนั้น"  เราอยากให้เขาทำอย่างไรกับเรา เราจึงต้องรู้จักทำสิ่งนั้นสู่เขาก่อน หากชีวิตศิษย์น้องเกิดมาเบียดเบียนล้างผลาญชีวิต ศิษย์น้องก็จะได้การเบียดเบียนล้างผลาญตอบแทน หากศิษย์น้องมีเมตตาจิต มีความจริงใจนำสิ่งดี ศิษย์น้องก็จะได้เมตตาจิต และความดีตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งชีวิต  ฉะนั้นเราอยากได้รับสิ่งใด เราต้องเป็นผู้ที่สร้างสิ่งนั้นขึ้นด้วยตัวเราเอง บุคคลที่รู้จักสร้างและบำเพ็ญด้วยตัวเราเองจะเป็นแสงสว่างให้แก่คนรู้ไหม (รู้)  รู้ตื่นกับไม่รู้ตื่นต่างกันเช่นนี้แล สว่างกับมืดบอดก็เป็นแบบนี้หนอ คำนี้ย่อมสื่อให้รู้ว่าชีวิตของตัวเรานั้น ไม่มีใครจะกำหนดชีวิตเราได้นอกจากตัวของเราเอง และชีวิตนี้จะสว่างไสวได้ก็ต่อเมื่อเราต้องช่วยตัวตนเอง และเมื่อไรที่เราช่วยตัวตนเองได้ ความสว่างในชีวิตก็จะเป็นแสงสว่างนำผองชนได้เฉกเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ที่ศิษย์พี่พูดมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดับทุกข์ หรือการจะทำสิ่งใดก็ตามศิษย์น้องได้เรียนรู้แล้ว ศิษย์น้องจะต้องวางแนวทางให้กับตนเองว่านับจากนี้เราได้รู้แนวทางแห่งนี้แล้ว เราจะเดินบนแนวทางนี้ไหม เราจะตรวจสอบตัวเองไหม และเราจะตั้งต้นในการบำเพ็ญหรือไม่ แต่คนบำเพ็ญธรรมจะบำเพ็ญไม่ได้เลย หากไม่รู้จักปล่อยวางซึ่งการแสวงหาลาภยศ ชื่อเสียง และความสุขของตัวตนเอง  สิ่งหนึ่งที่ศิษย์น้องไม่สามารถมาบำเพ็ญได้ และไม่สามารถลงแรงที่ตัวตนเอง แล้วบำเพ็ญตน ขัดเกลาเพื่อค้นหาความเป็นพุทธะในใจตนที่แท้จริงได้ก็เพราะว่าห่วงสุข ยังกังวลทุกข์ ยังห่วงทรัพย์สิน ชื่อเสียง และยังห่วงตัวเอง จริงไหม (จริง)  จึงทำให้ศิษย์น้องไม่สามารถเสียสละเวลามาบำเพ็ญได้บ่อยๆ และไม่สามารถลงแรงที่ใจตนเองแล้วชี้ชัดเห็นผิดที่ตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)
จะเอาอะไรมาเล่นกับศิษย์น้องดีนะ หากพูดแต่ธรรมะศิษย์น้องก็จะเบื่อ เมื่อก่อนศิษย์พี่มาจะเล่นสนุกสนานตลอด แต่หลังๆ นี้จะไม่ค่อยเล่นแล้ว พอเล่นมากๆ ศิษย์น้องก็ติดเรื่องเล่น ไม่ยอมจริงจังกับชีวิต ไม่ยอมเข้มงวดกับตัวเอง ปล่อยปละตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าการบำเพ็ญธรรมคืออะไร วันนี้มาศึกษาธรรมเพื่อนำพาตนเองไปฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ ถ้าเกิดจะไปฝึกฝนเป็นพุทธะ แต่พุทธะนี้ยังดับทุกข์ตนเองไม่ได้ ยังปล่อยวางไม่ได้ จะไปฝึกฝนได้ไหม  ถ้าเกิดพุทธะที่อยากจะฝึกฝนนี้ไม่รู้จักขัดเกลาตนเอง เอาแต่ชี้ด่าว่าคนอื่น เอาแต่เข้มงวดคนอื่น แต่ไม่เข้มงวดตัวเอง และไม่ลงแรงที่ตนเอง จะฝึกฝนบำเพ็ญได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาตั้งแต่ต้นนั้นก็คือให้รู้เหตุแห่งทุกข์ และดับทุกข์ ให้รู้จักปฏิบัติตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง ลงแรงที่ตัวเอง และสร้างแนวทางให้กับตัวเองใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ศิษย์พี่แค่ชี้ แต่ศิษย์น้องจะต้องเป็นผู้ปูแนวทางในการบำเพ็ญตนบนโลกนี้ด้วยตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราหาความสุขได้อย่างไร  มนุษย์มีความสุขในการทำสิ่งใดบ้าง  ศิษย์น้องบอกศิษย์พี่ได้ไหม  (ทำความดี, การช่วยเหลือผู้อื่น เช่น ช่วยคนแก่ข้ามถนน, พูดปลอบใจเมื่อเขาทุกข์, ช่วยผู้อื่นให้หมดความทุกข์, การไม่ยึดติด, ปล่อยวาง, ทำตนให้เป็นคนดีในสังคมและในหมู่เพื่อนฝูง, ตัดโลภ โกรธ หลง, กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ, ช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังของตนเอง)  เรารู้ว่าความสุขบนโลกหาได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกความสุขในทางธรรมทำอย่างไรดีไหม (ดี)  รู้แล้วต้องทำให้ได้นะ หากรู้แล้วยังกลับมาร้องไห้เหมือนเดิม คราวหน้าศิษย์พี่ไม่บอกแล้วนะ ความสุขในทางโลกทำอย่างไรรู้ไหม กินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่ มีที่อยู่ ไม่เจ็บป่วย เป็นสุขไหม (สุข)  (มีความรู้จักพอ, มีความกตัญญูรู้คุณ)  แต่ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องไม่ใช่แบบนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ดี ทำให้มีความสุข แต่เราไม่ได้หมั่นทำในทางนี้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราหมั่นทำกันและมีความสุขได้ก็คือ  การมีเงินเยอะๆ มีเสื้อหลายๆ ตัว มีชื่อเสียง เรียนสูงๆ นี่คือความสุขที่ศิษย์น้องแสวงหา แต่สิ่งที่ศิษย์น้องตอบศิษย์พี่มานั่นเป็นความสุขที่ศิษย์น้องไม่ค่อยได้ทำเลย เป็นการทำดีแต่ไม่ได้เรียกว่า “สุข” ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องนิยมสิ่งนั้นว่าการทำดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าศิษย์น้องเพิ่มเข้าไปอีกว่า “ทำดีแล้วมีสุขอิ่มใจ” ศิษย์น้องจะทำบ่อยกว่านี้ จริงไหม (จริง)  จะทำบ่อยและก็จะลดเรื่องการแสวงลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง ลงไปเยอะเลย  ความสุขที่แท้จริงก็คือ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุขราบเรียบ ไม่ลุ่มๆ ดอนๆ  ไม่กวัดแกว่งไปมาอย่างหาที่ลงไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ นั่นก็คือ ความสุขจะเกิดได้เมื่อเราสามารถเยียวยา โลภะ โทสะ โมหะ และราคะ ให้หายจากใจ และสามารถดับไฟแห่งทิฐิอัตตาตัวตน  เมื่อมีสิ่งนี้อยู่ในชีวิต ก็จะวุ่นวายไม่จบสิ้น ยากที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างสงบราบเรียบร่มเย็น  เมื่อไม่สามารถตัดได้ ไม่สามารถเยียวยาให้หายได้  เมื่อไม่สามารถดับไฟในใจลงได้ เมื่อนั้นศิษย์น้องก็ยังต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ จริงไหม (จริง)   แต่เมื่อเราจะทำก็ทำได้เหมือนกัน เราต้องกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับตัวเอง ราคะ ตัณหา โทสะ โมหะ เกิดจากใจ  ทิฐิอัตตาความยึดมั่น ความเป็นตัวของตัวเองเกิดจากไหนล่ะ  ก็ตัวเอง  แล้วดับที่ใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องเอาชนะความเพลิดเพลินในแสงสีบนโลกนี้ให้ได้เสียก่อน หากเอาชนะไม่ได้ก็จะดับไฟในใจไม่ลง หากไม่รู้ความสุขในการหาคุณธรรมก็จะไม่มีวันบำเพ็ญตน
วันนี้ศิษย์พี่รู้ว่าศิษย์น้องนั่งเก้าอี้นี้เมื่อยมากๆ เลย ใช่ไหม มาฟังธรรมะ นั่งเก้าอี้ตัวนี้จริงๆ แล้วเป็นโชคดีนะศิษย์น้อง  เพราะสมัยก่อนนั้น การจะศึกษาหลักธรรมเพื่อค้นพบการเป็นพุทธะในตัวตน ศิษย์น้องจะต้องไปแสวงหาเอง ไปกราบแสวงหาอาจารย์เอง และค้นคว้าลงแรงเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่วันนี้เพราะคนอื่นเขาลากมา แล้วก็ต้องยอมเอง แล้วสำเร็จไหม ไม่สำเร็จหรอก  เพราะว่าศิษย์น้องมาแบบคนไร้ใจ  ฟังมาตั้งแต่ต้น จุดสำคัญมีอยู่อย่างเดียว ที่ศิษย์พี่บอกไว้ก็คือว่า ถ้ามาฟังธรรมะอย่างไม่มีใจ ฟังอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง  ฟังไปแล้วเข้าใจ  แต่กลับไปก็เหมือนเดิม  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการศึกษา ไม่ว่าธรรมะหรือศึกษาข้างนอกต้องมีใจ  หากมีใจเราจะสามารถทำทุกๆ อย่างได้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ใจเราก็จะสู้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าศิษย์น้องไร้ใจที่จะศึกษา แม้แค่นั่งตรงนี้ ข้าวก็ไม่ต้องทำ นั่งฟังอย่างเดียวศิษย์น้องก็ไม่เอา จริงไหม (จริง)
วันนี้เป็นวันแรกและเป็นครั้งแรกที่ศิษย์น้องจะได้รู้ว่าการฝึกฝนเป็นพุทธะเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้ว่ามีความลำบากด้วย มีความสนุกด้วย มีความดีด้วย ทำไมจึงไม่ศึกษาธรรมแต่ไปศึกษาข้างนอก  ศึกษาโลก ศึกษาชีวิต ศึกษาคน ศิษย์น้องเรียนรู้มาช่วยชีวิตได้  ช่วยตนเองได้ แต่ค้นพบความสว่างไหม (ไม่)  ช่วยดับทุกข์ให้ศิษย์น้องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่ใช้ธรรมะไปควบคุมใจ ใช้ธรรมะไปดับทุกข์ในจิตใจ และสามารถส่องสว่างให้กับคนอื่นได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องเข้มงวดกับตัวเอง มีใจแล้วก็จงตั้งใจและมุ่งมั่นไปให้สมดั่งใจ แล้วความสำเร็จจะมีสู่ใจ  อย่าเห็นว่าการบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ถ้าศิษย์พี่ทำได้ ทำไมศิษย์น้องจะทำไม่ได้  ศิษย์พี่บรรลุธรรมตอนกี่ขวบ (เจ็ดขวบ)  ศิษย์น้องบรรลุกี่ขวบ (ยังไม่บรรลุเลย)  ธรรมะก็ยังไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าห่วงตัวเองมาก อย่าห่วงมันสมองมาก อย่าห่วงชื่อตัวเองมาก แต่จงห่วงคุณค่าของชีวิตให้มากๆ  คุณค่าตัวเองมีเท่าไร ตั้งแต่เกิดมาสร้างประโยชน์ให้กับใครบ้างไหม เคยดีกับพ่อแม่บ้างหรือยัง เคยรักตัวเองจริงๆ บ้างหรือเปล่า เคยหาความสว่างให้กับชีวิตบ้างหรือไม่  ฉะนั้นจงหมั่นหาเวลา สละเวลาที่ตนเองพอสละได้มาศึกษาหลักธรรม  วันนี้ไม่สามารถปลูกต้นโพธิ์ได้ในหนึ่งวัน แต่อย่างน้อยก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิไว้บ้างก็ยังดี แล้วหว่านเมล็ดนี้คงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ และนำพาให้ศิษย์น้องกลับคืนสู่เบื้องบนได้
ชีวิตนี้หาเงินมาก็มากแล้ว เรียนรู้มาก็มากแล้ว มาลองเรียนธรรมะศึกษาความเป็นพุทธะบ้างจะเสียประโยชน์อะไร จริงไหม (จริง)  อย่าเอาศิษย์พี่มาเป็นเหตุแล้วทำให้ไม่บำเพ็ญแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อไม่ได้ แต่จงเอาตัวเองเป็นหลักของตัวเองโดยมีความเข้าใจ โดยมีความมุ่งมั่นและมั่นคงในการศึกษา อย่าเอาใครเป็นลำแข้ง  จงยืนด้วยตนเองและก้าวไปด้วยตัวเอง สู่หนทางที่ถูกต้องและแสงสว่างแห่งชีวิต ทำได้ไหม (ทำได้)  ขอเพียงเอาชนะนิสัยตัวเองให้ได้ ลดความเป็นตัวของตัวเองลง อย่ายึดมั่นในตัวเอง เพราะยิ่งมีตัวของตัวเองมาก คนที่ทุกข์ก็คือตัวของศิษย์น้องเอง จริงไหม (จริง)  และก็อย่ายึดมั่นสิ่งที่อยู่รอบตัวมาก เพราะยึดมั่นเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เงินเดี๋ยวมาก็ต้องไป  ชีวิตคนก็เหมือนกัน วันนี้เขาดีกับเรา พรุ่งนี้เขาก็เปลี่ยนแปลง ไม่อยากจะทุกข์จะต้องคิดเผื่อไว้  วันนี้ดีพรุ่งนี้อาจจะร้าย วันนี้ร้ายคิดในใจพรุ่งนี้ต้องดี ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ได้พรุ่งนี้อาจจะเสีย ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วศิษย์น้องจะไม่ทุกข์มากกว่านี้จริงไหม (จริง)  เผื่อใจไว้ก่อน แล้วจะไม่เจ็บมากกว่านี้
ชั้นนี้เป็นชั้นประชุมธรรมครั้งสุดท้ายของปีนี้ เหลือพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน แต่ครั้งนี้เป็นการอบรมครั้งสุดท้ายแล้ว  ศิษย์พี่ก็ต้องจากศิษย์น้องไป ไม่เห็นหน้าหลายเดือน  ก็ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เอาชนะจิตใจตัวเองให้ได้  นิสัยความเคยชินที่ไม่ดี ล้างทิ้งนะ อย่าเก็บไว้ เรื่องไม่ดีของคนอื่นเราต้องทำใจ ไม่มีใครดีไปหมดโดยที่ไม่มีร้าย  เผื่อใจไว้บ้างแล้วเราจะไม่เจ็บ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ ทุกทีจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาอวยพร คราวนี้ฟังศิษย์พี่ที่เป็นเด็กอวยพรให้ศิษย์น้องได้ไหม  (ได้)  ศิษย์พี่เป็นศิษย์พี่ แม้จะอายุน้อยกว่า แต่คนที่มีความรู้กว้างอย่างแท้จริง จะไม่เกี่ยงเรียนรู้ แม้จากผู้ที่มีประสบการณ์อายุน้อยกว่า เพราะความรู้มีมากศึกษาไม่มีวันหมด อวยพรก่อนจะจากกัน ให้เป็นเด็กดีของสังคมทำได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่เป็นเด็กดีของตัวเอง แต่จงเป็นเด็กดีของสังคม ดีอย่างแท้จริง ดีอย่างผู้ให้ไม่หวังผล ดีอย่างผู้ปิดทองหลังพระ ไม่นึกถึงตัวเอง ทำได้ไหม (ได้)  ขอให้เป็นคนดีนะ แล้วก็บำเพ็ญให้ดีๆ โบกมือลา ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ  หนทางบำเพ็ญยังอีกยาวไกล  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่ายอมแพ้ความยากลำบาก และอย่าแพ้ใจตัวเอง  ไม่อยากจากไปเลย แต่ต้องไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนฉลาดที่ยังโลภน่าหวาดกลัว ไม่รู้ตัวตกอยู่ในสภาวะไหน
คนส่วนใหญ่รู้สึกตัวต่อเมื่อสาย เรื่องง่ายง่ายอย่าทำให้กลายยากเกิน
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลกจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมถงซิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ใกล้ปีใหม่แล้วอวยพรให้ศิษย์โชคดีมีชัย

ถ้าหากหวังโดยไม่เผื่อใจ  วันหนึ่งผิดหวังต้องมาหมดหวัง  หากคนทุกคนมุ่งอย่างระวัง  โอกาสฝังในมือของเรา
เกิดเป็นคนสูงที่ใจ  เมื่อจะทำดีแล้วไม่หวังผลวกวน  อย่าคอยเอาเปรียบรักแต่พวกของตน  หากสับสนคงจุดหมายย้ำเดิน
ไม่อยากเห็นเขาดีกว่าเรา  ตามความสมบูรณ์ที่ไร้ทิศทาง  ก้าวตามทุกข์ทุกข์พาห่างหายต้องระวัง   บำเพ็ญโดยหมดคำถามราบรื่นดี  สู้บนเส้นทางที่เคยหลง
ก้าวหน้าเมื่อรับความเป็นจริง  ต่างมีน้ำใจได้กว่านี้  เก็บศักดิ์ศรีไว้ไม่ต้องใช้เลย  เคลือบแคลงทำไมจิตนี้  ตั้งใจได้กว่านี้   ก้าวหวนแดนเดิม

เพลง  : ดีได้กว่านี้
ทำนองเพลง :  ข้ามสีทันดร

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้จักนิพพานหรือเปล่า ใครว่าตัวเองรู้จักนิพพานยกมือขึ้น อายุขนาดนี้แล้วรู้จักตนเองไหม รู้จักคนอื่นไหม ทำไมถึงไม่รู้จักตัวเอง เราเกิดมากี่ปีแล้ว  คนอื่นเราก็ไม่ค่อยจะรู้จัก ตนเองก็รู้จักไม่หมดสักที  แล้วชีวิตที่ผ่านมาทำอะไรอยู่  เกิดมาก็ต้องรู้จักสร้างตัวเองให้มีคุณค่า  ชีวิตเราเกิดมา เรารู้จักคนอื่นไหม เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่รู้จัก  ถามว่ารู้จักตัวเองไหม เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่รู้จัก  เราจะไปที่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมีข้อมูลที่นั่น รู้จักที่นั่นพอสมควรถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าหากว่าไม่รู้จักที่นั่น พอถึงแล้วจะรู้ไหมว่าเป็นนิพพาน (ไม่รู้)  ในตอนนี้ถ้าศิษย์อยากจะเจอนิพพาน ไม่ได้รอเจอตอนตาย  แต่ว่าเจอได้ในจิตใจของตัวเอง  เหมือนคำพูดที่ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ"  บางคนตอนนี้จิตใจไปถึงนิพพานแล้ว ก็ไม่รู้จักว่านี่คือนิพพาน  อยู่ไปอยู่มาก็พาตัวเองลงมาจากนิพพานนั้นๆ  บางคนจิตใจของตัวเองตกนรกลงไปเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่รู้จักอีกว่านี่เราตกนรกแล้วนะ  ไม่รู้จักฉุดตัวเองขึ้นมาเร็วๆ  แล้วให้ใครพาตัวเองไป ให้ใครบอกตัวเองได้ ในเมื่อเราเองเราก็ไม่ค่อยจะฟังใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในเมื่อเราไม่อยากฟังใคร ก็ต้องหัดรู้จักที่นั้นๆ ด้วย  บางคนบอกว่าเราฝึกสติ เราฝึกสมาธิ  สมาธิของศิษย์บางคนก็มีแค่ตอนนั่งเท่านั้นเอง  พอลุกขึ้นมาจากสมาธิ สมาธิไปไหนก็ไม่รู้  บอกว่าฝึกสติ เวลาคนเขายั่วโมโหเราโกรธไหม (โกรธ)  เวลาคนขโมยของโกรธไหม (โกรธ)  ทำไมล่ะ สติไปไหน  แต่อาจารย์ก็ยังอยากให้ศิษย์นั้นฝึกในสิ่งเหล่านี้อยู่ ไม่ได้บอกว่าให้เลิกฝึก  สมมติให้ศิษย์ไปสะกดรอยคนๆ หนึ่ง ตอนแรกเราก็ต้องไปเดินตามเขาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินตามเขาไปเรื่อยๆ  แล้วคนที่อาจารย์ให้ศิษย์ไปสะกดรอยนั้นคือใครรู้ไหม  ตัวนี้สะกดด้วย จ.จาน สระอิ ต.เต่า  ให้เราไปสะกดรอย “จิต” ของเราเอง  ตอนนี้ยังตามจิตใจของตัวเองไม่ทัน บางทีก็โมโหเก่ง ทั้งๆ ที่เป็นคนมีสติดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็เป็นคนมีสติดีนะ แต่เราก็ยังโลภอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็สติดีนะ แล้วเรารักลูกคนอื่นเท่าลูกเราไหม (ไม่เท่า)  เราเป็นคนสติดี  แล้วก็มีอารมณ์ต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง  ถ้าหากว่าให้ศิษย์จดขึ้นมา วันหนึ่งมีอารมณ์เป็นสิบๆ ครั้งเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าตอนนี้ต้องสะกดรอยก่อน เราต้องตามจิตของเรานี้ไป ตามไป จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเราตามทัน  ตามทันจิตใจเป็นอย่างไร ตอนนี้มีคนมายั่วโมโหให้เราโกรธ  มีใครบ้างไม่โกรธ (ไม่มี)  ประเภทโกรธง่ายหายเร็วเป็นลักษณะของคนที่ตามทันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะตอนนี้บอกศิษย์ว่าไม่โกรธ อย่าโกรธนะ ทำได้ไหม (ไม่ได้) ยิ่งคนที่บอกว่าทำได้ยิ่งต้องระวัง คนที่ตอบว่าทำได้ ฉันเก่ง ส่วนใหญ่จะไม่เก่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยคิดไหมว่าตัวเองเก่ง พอให้ชมว่าคนนั้นก็เก่งคนนี้ก็เก่ง ถามว่าใครเก่งที่สุด เราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีความเชื่อมั่นก็เป็นสิ่งดี แต่ว่าเชื่อมั่นแล้วก็ต้องใช้ในทางที่ถูก  ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง ก็ต้องนำตัวเองให้ถูกต้อง  บางคนก็เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองดี แต่ทุกๆ วันก็นำตัวเองอย่างผิดลู่ผิดทาง จิตใจไม่มีธรรมะอย่างนี้ก็ไปไม่ถึงไหน  ในที่สุดเราก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ ก็จะเดินอยู่ ย่ำอยู่ แต่ไม่ไปไหนเลย  เมื่อกี้ตามไป แล้วก็ตามทันแล้วใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปเป็นอย่างไร (แซงจิต)  แซงจิตก็เป็นประเภทอัจฉริยะ บ้าๆ บ๊องๆ อยู่ในโลกนี้ไม่ค่อยได้ เหมือนอาจารย์แซงจิต  ตามไป ตามทัน ทีนี้เรากับจิตคือคนๆ เดียวกันไหม (คนๆ เดียวกัน)  มนุษย์แบ่งเป็นแค่หนึ่งกายหนึ่งใจรวมกันเรียกว่าหนึ่งชีวิต เมื่อเราตามทันจิตของเรา เราก็รวมจิตของเราให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ต้องไปรวมกับคนอื่น ไม่ต้องไปรวมกับแฟน ลูก สามี ภรรยา ญาติพี่น้อง  แต่ว่าควรจะรวมก่อน นี่คือรวมตัวเอง  รวมจิตใจของเราให้เป็นหนึ่ง เมื่อเราตามทันจิตใจของเราได้ ก็รวมกับกายของเราให้เป็นหนึ่ง นั่นเรียกว่าคนที่มีสติ  รวมตัวเรากับคนที่เราสะกดรอยให้เป็นหนึ่ง เพราะแท้จริงแล้วที่เราตามอยู่ก็คือจิตใจของเราเอง  อย่ามัวแต่ไปจ้องจับผิดจิตของตัวเอง แต่ให้รวมจิตใจของตัวเราให้เป็นหนึ่ง  เมื่อจิตใจเป็นหนึ่งได้ กายเป็นหนึ่งได้ไหม (ได้)  เหมือนที่อาจารย์เคยให้ศิษย์มาจ้องธูปข้างหน้าว่าตรงไหม คนอื่นปักเท่าไหร่ก็ไม่ตรง เราปักก็ตรงแล้ว พอกลับไป คนต่อไปมาดูก็ยังบอกว่าไม่ตรงอยู่ดี  เพราะว่าจิตของเราไม่ตรงใช่หรือไม่ (ใช่)     มองเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่ตรง  ถ้าหากว่าจิตใจของเราตรงแล้ว ทุกอย่างที่ตามมาก็จะตรงเอง ทุกอย่างก็จะดีพร้อม
ฉะนั้นในวันนี้มาที่นี่ ศิษย์บอกว่าพายเรือกลับนิพพานบ้านของเราเอง เราต้องรู้จักบ้านของเรา  สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ  จะไปนิพพาน อย่ารอให้ตัวเองตาย  อย่าคิดว่าตายไปแล้วฉันจึงจะไปถึง  บางทีศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้จักว่าดีคืออะไร นิพพานคืออะไร  ไม่รู้จักว่ากุศลคืออะไร ไม่รู้จักว่าตัวเองคืออะไร อันหลังนี่สำคัญที่สุด  ไม่รู้จักอย่างนี้ก็ไม่สามารถจะเข้าถึงความดีได้ ไม่สามารถจะทำความดีได้  ไม่รู้จักนิพพาน ต่อให้ไปถึงนิพพานก็บอกว่านี่ไม่ใช่  ทำไมสวรรค์ของคนฝรั่ง คนจีน คนไทยไม่เหมือนกัน  เพราะว่าจิตไม่เหมือนกัน จริงๆ แล้วก็มีอยู่ที่เดียว พอไปถึงต่างคนก็ต่างจินตภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกัน นิพพานที่ศิษย์จะไปถึง สภาพที่ว่างแล้ว เมื่อเราไปถึงก็คือเป็นสภาพตามจิตใจของเราเช่นเดียวกัน  ทำไมบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่ามีผลท้อล่ะ ทำไมยังบอกว่าสวมเสื้อเซียนล่ะ เพราะอะไร ก็แค่จินตภาพออกมาให้ศิษย์เห็นตามที่ศิษย์รู้จักเท่านั้นเองว่ามีผลท้อ เพราะศิษย์ยังติดเรื่องกินใช่หรือไม่ (ใช่)  จินตนาการให้ศิษย์เห็นว่ามีเสื้อผ้า เพราะว่าศิษย์ใส่เสื้อผ้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงเวลาอีกหน่อยเราจะต้องข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นสัญญาในจิตใจของเราข้ามพ้นไปให้ได้  แต่นั่นเป็นขั้นที่สูงกว่าที่ศิษย์จะทำตอนนี้  ตอนนี้ที่ศิษย์ต้องทำก็คือความดีที่เป็นความดีแท้ การขัดเกลาอารมณ์ของตัวเองที่เป็นการขัดเกลาให้สิ้นซาก อย่าบอกว่าคนที่บำเพ็ญก่อนฉัน ทำไมถึงทำไม่ได้ แล้วทำไมฉันจะต้องทำให้ดีกว่าล่ะ  เพราะว่าเรานั้นมุ่งหมายไปทำ แต่ว่าการที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องทำได้สำเร็จ  บางคนทำสำเร็จ บางคนทำไม่สำเร็จ  ถ้าศิษย์อยากสำเร็จ ทำไมจะต้องไปเทียบกับคนที่เขาทำไม่สำเร็จล่ะ   ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เกิดความรู้สึกที่ท้อแท้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เรามาพายเรือกันอีกรอบหนึ่ง เราจะพายไปให้ถึงนิพพาน ศิษย์ก็ต้องรู้จักนิพพานของตัวเองด้วยนะ
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพายเรือธรรม) พายถึงไหนแล้ว (ไม่ไปไหนเลย)  แสดงว่าชั้นนี้ไม่ได้ไปถึงไหนเลย
ศิษย์คิดดูนะว่าเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าในแดนโลกนี้ก็บอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร อยู่ดีๆ ก็ประเสริฐหรือเปล่า เพราะเรายกย่องตัวเองให้ประเสริฐหรือเปล่า คงไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นมีความคิด สัตว์มีความคิดไหม (มี)  คำว่าความคิดอันนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ ไม่ได้เป็นความรู้สึกรักหรือความรู้สึกโลภนั้นๆ แต่ความรู้สึกที่อาจารย์พูดถึงนี้ หมายถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำให้มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ ตามลักษณะภายนอกหัวเราชี้ฟ้า ขาเราเหยียบดิน  แต่สัตว์ทั้งหลายหลังชี้ฟ้าหน้าก้มดินใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นทั้งภายนอกและภายในเรานั้นประเสริฐกว่าทั้งหมด แต่ด้วยเหตุนี้อาจารย์อยากถามศิษย์ว่า ถ้าหากว่าเราเป็นผู้รู้จักคิด รู้ผิดชอบชั่วดี ความคิดของเราถ้าไม่สะอาด คิดแต่เรื่องร้ายๆ ไม่สามารถจะมองโลกในแง่ดี ไม่สามารถจะคิดต่อผู้อื่นให้ดีได้ เราจะต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานต่างๆ ไหม (ไม่ต่าง)  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักทำความคิดของเราให้สะอาดสะอ้าน ต้องรู้จักที่จะคิดดี ถ้าหากว่าเรารู้ว่าสิ่งนี้ผิดแล้วเรายังจะทำ เราจะต่างกับสัตว์ทั่วไปอย่างไรได้
ศิษย์เชื่อหรือไม่เชื่ออาจารย์ก็จะพูดอย่างนี้ คนเกิดมามีการเวียนว่ายตายเกิด แล้วถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่สามารถรักษาความคิดของตัวเองให้สะอาดได้ ต่อไปศิษย์จะเกิดเป็นอะไร ศิษย์ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรายิ่งทำผิดทำบาป เราก็ยิ่งเพิ่มกรรมให้ตัวเองนั้นเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมากขึ้นใช่หรือเปล่า นี่เป็นสาเหตุที่ทำเรามองเห็นสัตว์ในโลกนี้มีมากมาย แล้วคนก็ยังมีมากอยู่ แต่ถึงแม้ว่าคนจะมีมากเท่าไหร่ ก็อยากให้คิดทบทวนดูว่า ที่เราเกิดมาเป็นคนนั้น แม้ว่าคนจะมีมากมายอยู่ แต่คนที่ดีนั้นหาได้กี่คน เราผู้ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั้นได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีคุณค่าหรือยัง ชีวิตของเราที่เกิดมาเท่ากับอายุของเราที่มีอยู่ตอนนี้ ทำในสิ่งที่ได้ชื่อว่ามีคุณค่าพร้อมแล้วหรือยัง สมมติว่าศิษย์จะต้องเสียชีวิตไปในสามวันห้าวันนี้ ชีวิตที่ใช้มาคุ้มค่าหรือยัง (ยัง)  ชีวิตคนเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่มีชีวิตอยู่มาจนผมขาวแล้ว แก่เฒ่าแล้วต้องบอกตัวเองว่าเป็นคนโชคดี อย่ามัวน้อยใจลูกหลานว่าลูกหลานไม่แยแสเรา อย่ามัวที่จะน้อยเนื้อต่ำใจ อย่ามัวใช้ชีวิตของตัวเองแบบเลื่อนลอย เรายิ่งอายุมากเรายิ่งต้องขยับแข้ง ขยับขา ขยับมือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำในสิ่งที่มีคุณค่าให้มากยิ่งขึ้น จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าความคล่องแคล่วของเรานั้นจะขาดหายไปเมื่อยามที่เราอายุมาก แต่ว่าพลังของใจก็ยังมีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสนใจในเรื่องที่ควรสนใจเช่น สนใจในเรื่องการช่วยเหลือผู้คน ศิษย์จะลืมความแก่ของตัวเองไปถนัด จะลืมความอายุมากของตัวเองไป เพราะยิ่งเราแก่ยิ่งเรารู้สึกว่าเวลามันไม่พอใช้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรื่องไม่คาดฝันนั้นมีขึ้นมากมาย ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอดู เพราะหมอดูอาจจะแม่นหรือไม่แม่นก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้เขาอาจจะดูเราแม่นแต่ว่าเราไปสร้างกรรมเพิ่มมากขึ้น  เขาก็ดูไม่แม่นแล้วนะ  แล้วเราก็สร้างกรรมมากขึ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน สร้างความดีน้อยลงๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้
พระศรีอาริย์บอกว่า อยากให้โลกนี้เป็นแดนสันติสุข สงสัยว่าจะยากแล้วล่ะนะ ขณะอยู่ในห้องพระอยู่ในสถานธรรมบอกว่า ทำดีน้อยลง ทำชั่วมากขึ้น ก็ยังบอกว่าใช่อีก เห็นไหมว่าข้างหน้านี่ใคร พระศรีอาริย์ ท่านมีปณิธานช่วยให้โลกนี้มีสันติสุข แล้วพวกเราที่เป็นดั่งลูกหลานของท่านต้องเป็นผู้ช่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าท่านมีปณิธานอยากจะทำอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าคนที่อาศัยในโลกนี้ก็คือเราผู้เป็นมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องช่วยท่าน เมื่อเราคิดว่าเราจะทำให้โลกนี้เกิดสันติสุขควรจะทำอย่างไรล่ะ ทำตัวเหมือนที่ผ่านมา อยู่กับบ้านเฉยๆ  นึกจะทำก็ทำ นึกจะไม่ทำก็ไม่ทำ  คนโกรธมาฉันก็โกรธตอบ โลกอย่างนี้สันติสุขได้หรือไม่ (ไม่ได้)  วันๆ คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงผู้อื่น ช่วยผู้อื่นก็เพียงน้อยนิด  ส่วนใหญ่จะช่วยตัวเอง ถามว่าวันหน้าต่อไปสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เมื่อวานศิษย์พี่มาสอนการเป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  การเป็นพุทธะนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แค่อะไร แค่อย่าห่วงตัวเองมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ศิษย์เก่าๆ อมทุกข์มีทุกข์มากเลย  เจอหน้าอาจารย์จะยิ้มให้อาจารย์สักนิดยังยิ้มไม่ออกเลย  ไหนใครอมทุกข์บ้างยกมือขึ้นหน่อยซิ  อาจารย์ให้คิดนะบางทีที่เราบอกว่าทุกข์ๆ อยู่นี้ ถามตัวเองสักคำว่าเราทุกข์เพราะตัวเราเองหรือเปล่า เราทุกข์เพราะเรื่องส่วนตัวของเราเองทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ครอบครัวเรา งานเรา พี่น้องเรา การเงินของเรา ญาติของเรา คนที่เรารู้จัก  มีแต่เราทั้งนั้นเลย ถ้าเราทุกข์เพราะเรื่องแค่นี้ ขอให้เรานั้นปล่อยวางบ้าง รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินนะ  ตอนนี้ยิ้มไม่ออกลองยิ้มบ่อยๆ  ครั้งแรกยิ้มอาจจะไม่จริงใจเท่าไร แต่ยิ้มไปยิ้มมาก็จริงใจเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเรายิ้มให้เขา เขาก็ยิ้มให้เรา พอยิ้มเสร็จเขาก็มาคุยกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ยิ้มมีคนกล้าคุยกับเราไหม (ไม่กล้า)  ถ้าหากเราต้องการให้คนคุยด้วย ต้องใช้เงินซื้อหรือเปล่า (ไม่ต้องใช้)  การอยากให้คนคุยด้วยสนทนาด้วยไม่ต้องใช้เงินซื้อ  รอยยิ้มของเราก็ไม่ต้องใช้เงิน ความสบายใจก็ไม่ต้องใช้เงินเหมือนกัน หลายคนหาเงินมาแทบตายแต่ตัวเองไม่มีความสุขเลย ถามว่าเงินมีค่าตรงไหนล่ะ  ถ้าให้เลือกระหว่างสุขกายกับสุขใจสิ่งไหนดีกว่า  (สุขใจ)  สุขใจนั้นก็เกิดขึ้นด้วยอะไร ก็เกิดขึ้นด้วยใจของเราเอง  เกิดขึ้นด้วยเราทำจิตใจของเราให้เบา ไม่อาฆาตมาดร้ายใคร  ไม่ไปหวังในตัวของใครมากไป 
ความสุขใจเกิดขึ้นง่ายๆ  เรายิ้มให้เขา เขายิ้มให้เรา  กล้าคุยกัน ยิ่งคุยก็ยิ่งสบายใจ ความทุกข์ใจที่มีอยู่ก็หายไป ถ้าหากใครมีความทุกข์ ใครอยู่ในสภาพอมทุกข์อับเฉา เพราะว่าเรานั้นมัวแต่หาเงิน แล้วก็ปัญหาทีได้มาทั้งหมดนี้ก็เกิดจากตอนไปทำงาน  หรือปัญหาที่ได้มาทั้งหมดเกิดจากความที่เรานั้นมีจิตใจที่อับเฉาอยู่ตอนนี้ ลองเปลี่ยนตัวเองสักหน่อยสิ ใกล้จะปีใหม่แล้วเปลี่ยนตัวเองสักหน่อยให้จิตใจของเรานั้นชื่นบาน คำว่า “จิตใจชื่นบาน” ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทอง  ไม่ต้องใช้วิธีการอะไรเลย เป็นวิธีการพื้นๆ ตื้นๆ ที่ศิษย์นั้นลืมไป ใช่หรือไม่ ตอนเป็นเด็กให้ท็อฟฟี่ก็ดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ตอนนี้อยากจะดีใจต้องให้คนให้เงิน ใช่หรือเปล่า ให้เท่าไรเราถึงพอล่ะ รู้สึกว่ามีมากก็ใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย แล้วเท่าไรพอล่ะ  ในจิตใจของเรามีแต่คำว่าไม่พอเท่านั้น ใช่หรือไม่  (ใช่) เพราะว่าจบเรื่องนี้ก็ต้องใช้เรื่องนั้น  จบเรื่องนั้นก็ใช้เรื่องโน้น  ถ้าไม่ใช่ลูกเราใช้ หลานเราก็ใช้ เราไม่อยากใช้พี่น้องเราก็ใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีเท่าไรก็จึงไม่พอ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ โลภ เป็นคนโลภจะมีความสุขได้ไหม (ไม่ได้) เป็นคนโลภก็มีความสุขไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แล้วเราเป็นคนโลภหรือเปล่า (ไม่เป็น) ไม่เป็นเลยนะ ศิษย์ว่าไม่เป็นก็ไม่เป็น  
คำว่า “โลภ” นี้พูดง่ายๆ สั้นๆ แต่กินความกว้าง คนนั้นไม่ได้โลภแค่เงินทอง ไม่ได้โลภยศฐาบรรดาศักดิ์  แต่โลภความสุข รู้จักไหมคนโลภความสุข ไปส่องกระจกดูสิแล้วจะเห็น มีเท่านี้ก็ไม่พอต้องมีเท่านั้น  มีเท่านั้นไม่พอต้องมีเท่านี้  อะไรๆ ก็อยากจะให้สมหวัง  อะไรๆ  ก็อยากให้ดีงามพร้อมไปหมด แต่ว่าตัวเรานั้นไม่พร้อม ตัวเรานั้นไม่ดีงามแท้ จึงหาความพร้อมไม่ได้  ถ้าหากว่าอยากได้สิ่งใด ก็หัดทำสิ่งนั้น อาจารย์พูดง่ายไหม (ง่าย)  แต่ทำยากหรือเปล่า  (ยาก) ถ้าหากว่าอยากได้สิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น อยากให้คนเอาเงินทองมาให้ ก็ต้องให้คนอื่นก่อนนะ  ถ้าอยากให้คนอื่นนำความสุขให้ เราก็ต้องให้คนอื่นก่อนถูกหรือเปล่า (ถูก)  มีไปถึงมีมา มีออกถึงมีเข้า ถ้าหากว่าเข้าอย่างเดียวไม่ออกได้ไหม โลกนี้ก็ไม่ยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะฉะนั้นหากว่าเราเป็นคนโลภอยากได้มากๆ  ต้องให้มากๆ ถ้าอยากจะได้ความสุขมากๆ  ก็ให้ความสุขมากๆ  ถ้าอยากได้ความทุกข์มากๆ  ก็ให้ความทุกข์ไปมากๆ ก็กลับมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยโกรธ เกลียด รักเขาไหม รักเกินไปไหม  โกรธคนก็ชอบโกรธ  เกลียดคนก็ชอบเกลียด  เป็นคนช่างจดช่างจำก็เท่านั้น  จำได้แต่เรื่องที่ไม่ดีเสียด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่กลับมาก็จะเป็นความทุกข์มาก  
ตอนนี้เราทุกข์ใจมาก  ไม่มีความสุขเลย  เราต้องหันกลับมามองว่าเราทำอะไร  เทพเจ้าแห่งความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล เทพเจ้าแห่งความสุขนั้นอยู่ใกล้ ใกล้มาก  นั่นคือตัวเราเอง  ขอเพียงแต่เรานั้นรู้จักที่จะทำในสิ่งที่ดี  สิ่งที่ตอบกลับมาก็คือสิ่งที่ดี  หากว่าเราทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี วันๆ ก็เกลียดคนโน้น วันๆ ไม่ชอบคนนี้ จำว่าคนนี้เขาไม่ดีอย่างไร  แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร  อะไรควรลืมก็ต้องลืม  อะไรควรจำก็ต้องจำ  ยามที่ต้องเสียก็ต้องเสีย  ยามที่ต้องรักษาก็ต้องรักษา  ยามที่บำเพ็ญก็ต้องบำเพ็ญ  ยามที่ต้องใช้ปัญญาก็ต้องใช้ปัญญา  มีไหม (มี)  มีเท่าไหน มีน้อย มีมาก  อย่าบอกว่ามีกลางๆ นะ  ตัวเราตั้งเท่านี้  ตัวใหญ่ไหม (ใหญ่)  ปัญญาต้องทำไม (มาก)  เพราะว่าเราตัวใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เทียบกับมด  เทียบกับแมลงเราตัวใหญ่ไหม เทียบกับสุนัขใหญ่ไหม  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ตัวใหญ่เหมือนกับช้างม้าวัวควาย  เสร็จแล้วปัญญาของเรามีอยู่นิดเดียวก็เหมือนกับอะไร  เราก็เหมือนช้างม้าวัวควายนั่นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามจริงๆ เถอะว่าคนกับช้างม้าวัวควาย อะไรฉลาดกว่ากัน (คน)  ทั้งที่คนตัวเล็กกว่าช้างม้าวัวควาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ตัวใหญ่เท่านี้แล้วยังปัญญาเท่านี้  ก็เท่ากับว่าเราก็เหมือนเป็นช้างม้าวัวควายดีๆ นั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าสัตว์ต่างๆ  นั้นมีคุณธรรมเฉพาะตัวของเขามีคุณธรรมเฉพาะตัวมากมายที่เป็นสิ่งที่ดี  ด้วยความที่เขานั้นเป็นสัตว์ที่ไม่ได้รู้ผิดชอบชั่วดีอย่างมากมายเท่ากับเรา  เมื่อสัตว์เหล่านั้นไม่มีปัญญาเท่ากับขนาดตัวที่มีอยู่ จึงเป็นสัตว์ที่โง่  จริงๆ แล้วคนนั้นเป็นผู้ที่มีปัญญามาก  จึงอยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้น รู้จักใช้ปัญญาในการนำทางของตัวเอง เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  คิดดูสิว่าคนนั้นประเสริฐแค่ไหน  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเวลาปั้นออกมาเป็นรูปอะไร เป็นรูปคน  เพราะฉะนั้นคนจึงต้องรู้จักบำเพ็ญให้ดีๆ  
ให้ศิษย์ถือหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก  แต่เราสงสัยหนังสือเล่มนี้เหลือเกินว่ามันจะดีจริงหรือเปล่า เพราะว่าเรานั้นเกิดความไม่แน่ใจในหนังสือเล่มนี้ เกิดความไม่แน่ใจในคนเขียนหนังสือเล่มนี้  แม้จะเปิดไปๆๆ  ความรู้สึกดีนั้นต่อให้มีก็มีน้อยลง ใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นวันนี้ ไม่ว่าอาจารย์นั้นจะมาจริงหรือเปล่า  ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นจริงหรือเปล่า  ไม่สำคัญ  อาจารย์ไม่เคยคิดจะให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการเชื่ออาจารย์  แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการเชื่อคำพูดของอาจารย์  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนดีอย่างแท้จริง  เป็นคนดีที่รู้จักความดี  ไม่ได้ทำความดีไปอย่างนั้นๆ  หรือทำความดีเพราะว่าตั้งแต่สมัยก่อนเขาก็สอนให้เราทำดี  เราจึงทำดี  ไม่ใช่แค่นั้น  แต่เราต้องดีอย่างคนที่รู้จักความดี  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนดี  ถ้าหากว่าศิษย์สามารถทำอย่างที่อาจารย์พูดได้  ต่อให้ศิษย์เชื่อหรือไม่เชื่ออาจารย์นั้นไม่สำคัญ  เพราะอาจารย์ไม่ได้อยู่กับศิษย์ตลอด  และอาจารย์ก็ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไชศิษย์  ฉะนั้นขอให้แค่ทำในสิ่งที่อาจารย์พูดให้ได้  มีเวลาว่างก็มาสถานธรรม  มาหัดฝึกฝน ไหว้พระ  มาหัดฝึกฝนพิธีกรรมต่างๆ  มาหัดศึกษาให้เป็นเข้าไว้  
ถ้าหากคิดว่าธรรมะนี้ดี เราก็บำเพ็ญต่อไป  อย่าไปมองคนอื่นว่าเขาดีหรือไม่ดี  ให้มองว่าเราทำดีหรือยัง  ส่วนใหญ่ที่บำเพ็ญธรรมไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง สามปี ห้าปีก็เลิกแล้ว  เพราะว่าตาเราสอดส่าย มองแต่คนโน้น มองแต่คนนี้ เห็นคนโน้นบำเพ็ญไม่ดี  คนนี้บำเพ็ญไม่ได้  เราก็รู้สึกว่าไม่อยากที่จะบำเพ็ญแล้ว  อย่างที่อาจารย์บอกเมื่อสักครู่ว่า ถึงเวลาควรรักษาก็ต้องรักษา  ตอนนี้อาจารย์ยืมคำว่า “รักษา” มาบอกว่า “รักษาโอกาส”  ตอนนี้ถ้าหากว่าศิษย์ทำอย่างที่อาจารย์พูดก็เท่ากับศิษย์นั้นเป็นคนที่ไม่รักษาโอกาส ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะคุ้มค่ากับชีวิตหนึ่งชีวิตที่เกิดมาหรือ  ธรรมะที่มาฟังบางคนก็บอกว่าไม่รู้ว่าธรรมะจริงหรือเปล่า  ไม่รู้ว่าธรรมะดีหรือเปล่า  แต่ว่าการที่จะรู้ว่าดีหรือไม่ดีนั้น มองภายนอกก็ไม่สามารถเห็นภายใน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเทียบไปแล้วอาจารย์ให้ศิษย์นั้นเกาะกลุ่มกัน  ปกป้องอะไรสักอย่างหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง  ให้รุมล้อมๆ ๆ  ชั้นในก็เป็นอาจารย์อาวุโส ส่วนชั้นนอกก็เป็นศิษย์ทั้งหลาย  รุมเข้าไปเรื่อยๆ จนกลุ่มใหญ่ ให้ศิษย์มองไปบอกว่าธรรมะนี้ดี มองเห็นอะไร  ก็เห็นแต่ภายนอกก็คือคนใช่หรือไม่ (ใช่) ใช้เวลาสามปีมองเห็นข้างในไหม (ไม่เห็น)  ก็ยังไม่เห็นหรอก   ธรรมะที่ดี ธรรมะที่แท้นั้นก็มองยากพอๆ กับมองจิตใจของตัวเองไม่ได้ตามหาเจอง่ายๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเจออย่างง่ายดายแล้วก็ตาม แต่การที่ให้เรานั้นนำธรรมะแท้ๆ ซึ่งเป็นหัวใจที่คนนั้นเขาพยายามที่จะปิดไว้ มาปิดบังไว้เยอะแยะ ให้ศิษย์เอาหัวใจนี้ออกมาบำเพ็ญ ก็ต้องฝ่าอุปสรรคตั้งหลายด่าน เพราะฉะนั้นบางทีเจอคนบำเพ็ญด้วยกันแล้วเขายังไม่ดีเท่าไหร่ หรือไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าศิษย์มัวแต่ไปใส่ใจเรื่องพวกนี้ศิษย์จะบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีเจอคนจู้จี้ ขี้บ่น บางทีเจอคนเอาแต่ใจ คนดื้อ บางทีเจอคนวางอำนาจ บางทีเจอคนที่ยังบำเพ็ญไม่ดี บางทีเจอปัญหา พอดีคลื่นเรากับคลื่นเขามาจูนชนกันก็เกิดเรื่องปัญหา หากมัวสนใจสิ่งภายนอกก็บำเพ็ญไม่ได้ การบำเพ็ญคือการบำเพ็ญจิตใจของตัวเราเอง มองในทางกลับกัน ถ้าทุกคนต่างมีจิตใจที่ดีงาม การแสดงออกก็นอบน้อม พูดจาก็ไพเราะ ถามว่าคนกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันมีปัญหาไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่า ที่ไหนที่งานธรรมมีปัญหาเราลองมาดูสิว่าตัวเราดีหรือยัง ไม่ต้องดูปัญหาอะไร ไม่ใช่บอกว่างานธรรมมีปัญหาไปดูสิปัญหาอยู่ที่ใคร ใครผิด คนที่จะไปหาคนผิดนั่นแหละ ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้มอง ถ้าเราคิดว่าตอนนี้ที่เราอยู่มีปัญหาก็ให้เราดูว่าตัวเราดีหรือยัง ถ้าทุกคนๆ ต่างดี ปัญหาก็ลดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้เริ่มจากเราเป็นผู้แก้ปัญหาที่จิตใจของเราเอง ทำจิตใจของเราให้สะอาดสะอ้านจะได้สมกับที่ได้เกิดเป็นคนที่รู้ผิดชอบชั่วดีทำตัวของเราให้เหมาะสมกับคำว่าบำเพ็ญธรรม 
บำเพ็ญธรรมต้องไวๆ แต่ต้องไวอย่างคนมีสติ บางคนบำเพ็ญธรรมอืดอาดยืดยาด กว่าจะบำเพ็ญธรรมสามปีผ่านไปแล้วก็ยังไม่เริ่ม มีแต่ชื่อว่าเป็นคนบำเพ็ญ แต่ว่าบางคนก็ไวชอบคิดแทนคนอื่นไปหมด คนที่ไม่ชอบออกความเห็นอะไรเลย เหมือนใคร อาจารย์จะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีคนอยู่คนหนึ่งเขาเป็นคนที่เฉยๆ เรียบๆ ง่ายๆ เทียบไปแล้วก็เหมือนกับคนที่ไม่ยอมยกมือ คือคนนั้นจะดีฉันก็ไม่ออกความเห็น ฉันก็ไม่ชม คนนั้นจะแย่ฉันก็ไม่เตือนเขา ฉันก็เฉยๆ เหมือนกัน สุดท้ายถามว่าคนประเภทนี้จะบำเพ็ญธรรมอย่างไร ในเมื่ออย่างนั้นๆ ธรรมะดีนะแต่ฉันไม่บำเพ็ญ เป็นคนที่จะดีก็ได้จะร้ายก็ได้เป็นไปตามสภาวะการณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงเหตุการณ์คับขันตัวเองจะเดือดร้อนแล้วก็เลือกเข้าข้างใครข้างหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนมีนิสัยเอาตัวรอดใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนที่ไม่ชอบออกความคิดอะไรเลย อย่างนี้อาจารย์จะบอกให้ว่าบำเพ็ญไม่สำเร็จพุทธะ เพราะว่าคนทำงานมากก็มีผลงานมาก มีผลงานมากก็มีความผิดมากไหม
(นักเรียนท่านหนึ่งตอบว่า ถ้าเราไม่ทำทั้งสองอย่าง เราอยู่เฉยๆ ดีก็ไม่ไป เสียก็ไม่ไป)  อยู่เฉยๆ ศิษย์หมายถึงเรื่องอะไร การบำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ดีก็ไม่ไป เสียก็ไม่ไป แล้วสุดท้ายศิษย์จะเป็นอะไรล่ะ ถามว่าเวลาที่เราจะต้องไปสู่ช่องทางของการเวียนว่ายตายเกิดเราเป็นอะไร ทะลุไปที่เฉยๆ มีไหม (ไม่มี)   ไม่มีที่ไหนของสวรรค์ที่เรียกว่าที่เฉยๆ ไม่มีนรกที่ไหนที่เรียกว่าที่เฉยๆ  เหมือนกัน คนเราเกิดมาก็ด้วยสร้างกรรม ไปเป็นเทพหรือเซียนก็ด้วยสร้างบุญ ถ้าศิษย์อยู่เฉยๆ  ศิษย์จะเป็นอะไร เคยเห็นคนที่เกิดมาหาเช้ากินค่ำไหม (เคย)  ถ้าเขาทำเขาก็มีกิน  ไม่ทำเขาก็ไม่มีกิน นี่แหละเป็นคนเฉยๆ  อยากเป็นคนรวยหรืออยากเป็นคนจน (อยากเป็นคนรวย)  อยากเป็นคนรวยชาตินี้ก็ทำบุญเยอะๆ เรียกว่าอะไร ถ้าหากว่าทำดีมากก็ต้องมีข้อผิดพลาดมาก ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่โดนตำหนิตลอดเวลา ให้เราคิดทบทวนว่าสิ่งที่โดนตำหนิมากๆ  บ่อยๆ นั้นเกิดจากเราทำความดีมากใช่ไหม  ถ้าหากว่าทำดีมาก  เราต้องภูมิใจกับสิ่งที่เราโดนตำหนิ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)   แต่ไม่ใช่ภูมิใจอยู่อย่างนั้น ผิดฉันไม่แก้ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)   ความผิดต้องแก้ไหม  ต้องยอมรับไหม หรือว่าฉันแก้ไปอย่างนั้นๆ  ฉันก็ไม่ยอมรับผิดของฉันหรอก คนอื่นว่าฉันผิด แต่ฉันว่าลึกๆ  ฉันถูกอย่างนี้ได้ไหม  (ไม่ได้)   อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้แบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” แล้วพอครั้งใหม่เราก็ผิดมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราแก้ไปเรื่อยๆ  วันหนึ่งเมื่อผลงานของเรามาก ความผิดของเราก็จะน้อยลง สรุปแล้วคนที่โดนตำหนิติเตียนน้อย  ก็แสดงว่าเขาทำมากแล้วก็ปรับปรุงมาก  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อาจารย์อวยพรให้ไม่ได้ยิน แต่พอคนนินทาให้ได้ยินไหม  (ได้ยิน)   ทำไมได้ยินล่ะ  ต้องเลือกที่จะฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดได้ดีตลอดเวลา อาจารย์เข้าใจเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น คำว่า “คน” ก็หมายถึงดีครึ่งไม่ดีครึ่ง แต่ถามว่าศิษย์จะยอมให้ครึ่งไหนมากกว่าครึ่งไหน (ครึ่งดี)  ถ้าเราดีไปเรื่อยๆ ครึ่งดีของเรามันมากขึ้น จนในที่สุดไม่เหลือความไม่ดี สมมติว่ามีวงกลมอยู่วงหนึ่ง  มีครึ่งดีเป็นสีขาว ครึ่งไม่ดีเป็นสีดำ แล้วตอนแรกมันเป็นกลางอยู่อย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็ให้ครึ่งดีมากขึ้นเรื่อยๆ  จนกระทั่งทำสีขาวกลืนสีดำไป ถามว่าคนที่มีจิตใจขาวสะอาดเหมือนอะไร  เหมือนคนไหม  (ไม่เหมือน)  เหมือนผีไหม  (ไม่เหมือน)  เหมือนเทวดา เหมือนเทพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าคนส่วนใหญ่มีคนบอกว่าเธอไม่ใช่คน ไม่ค่อยชอบเท่าไร สรุปอาจารย์จะต่อให้ว่า ศิษย์ไม่ใช่คนก็ดีแล้ว แสดงว่าศิษย์เป็นเทพนี่ ชอบไหม  (ชอบ)  เพราะฉะนั้นเวลาโดนคนอื่นว่าไม่ใช่คน อย่าไปเดือดเนื้อร้อนตัว  ก็คิดในแง่ที่ดี  เพราะเขาอาจจะบอกว่าเราเหมือนเซียนก็ได้  อย่างนี้เวลาโดนคนอื่นว่าอย่าโกรธดีไหม (ดี) 
อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงนั้น  โกรธได้ขึ้นชื่อว่าเกิดบ่อยที่สุด  ส่วนอารมณ์รักเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่คลายง่ายๆ อันว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วก็จะมัดเราอยู่กับที่ ส่วนอารมณ์โลภ ก็จะเกิดขึ้นมาเป็นระลอกๆ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เรานั้นจับเงินครั้งแรก  เพราะว่าเวลาที่เราโลภ มันก็เกิดขึ้นมาแบบเรื่อยๆ ดูแล้วเหมือนบ่อย แต่จริงๆ ไม่ใช่  ความโลภบางทีปักหลักอยู่ในใจของเรา  แต่ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนครั้งมากที่สุดคือความโกรธ  ส่วนความหลงนั้นเป็นสิ่งที่มาซึมอยู่ในจิตของเราทีเดียว ความหลงนี้ทำให้คนเห็นธรรมะเป็นอวิชชา เห็นผิดเป็นชอบ  สิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ก็คือความหลง  เพราะฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง สี่อย่างที่เราได้ยินกันมาบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ในด้านของการตัด การละจริงๆ เรายังไม่ค่อยที่จะทำ  ฉะนั้นคนที่ต้องการจะบำเพ็ญธรรม คือบุคคลผู้ที่จะต้องไปตัดรัก โลภ โกรธ หลงเหล่านี้  แม้ว่าศิษย์ตัดไม่ได้อย่างเฉียบขาด ก็ขอให้ตัดได้บ้าง หากตัดไม่ได้นิด ก็ขอให้ตัดให้ได้หน่อย  มีเวลาที่เราตัดได้ มีเวลาที่เราตัดไม่ได้ ก็เหมือนคน บางทีเราสะกดรอยตามทัน บางทีเราก็ไม่มีเลยทั้งสี่อย่าง เราก็กลายเป็นใจที่เป็นหนึ่งเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นก็ยังจำเป็นที่จะต้องสะกดรอยตามไป เพื่อให้ตามทันและเพื่อให้กลมกลืนเป็นจิตเดียวกันได้ ถ้าหากว่าเราตามไป โอกาสของการเกิดขึ้นบ่อยก็จะลดน้อยลง  ถ้าหากว่าเราตามทันก็ยิ่งน้อยลง ถ้าหากว่าเราสามารถกลมกลืนเป็นจิตเดียวกันได้ โอกาสของการเกิดก็แทบจะเป็นศูนย์  แต่ไม่ใช่ศูนย์ทุกวัน  บางวันจิตใจตกหน่อยก็เกิดขึ้นมาอีกแล้ว แต่เราต้องไม่ท้อ ไม่เบื่อ ไม่หน่ายที่จะไปตัดมันใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนบำเพ็ญธรรมไปนานๆ แล้วเบื่อ  เราเป็นกันบ่อยๆ เลย อารมณ์เบื่อหน่าย  อันว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องเป็นกันทุกคน เพราะว่าศิษย์ยังเป็นมนุษย์ทุกคน  แต่ว่าทำอย่างไรให้มันหายไปเร็วที่สุด  ทำอย่างไรให้ความเบื่อหน่ายไม่มาพรากศิษย์ให้เลิกบำเพ็ญ ส่วนใหญ่บางคนนั้นก็เรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง พาตัวเองให้ตกต่ำชนิดที่เราเลิกบำเพ็ญไปทีเดียว  บางคนกินเจอยู่ก็เลิกกินเจไป โดยไม่สนใจว่าตัวศิษย์เองจะเป็นอย่างไรเมื่อผิดปณิธานตัวเอง  อาจารย์จึงห่วงใยศิษย์มาก อยากจะให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะห่วงใยตัวเอง และเกิดความรู้สึกกลัวเกรงต่อสิ่งที่ยังมาไม่ถึงบ้าง โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลัว  เรียกว่าอนาคตเป็นอนาคต วันนี้ไม่เกี่ยว และก็จะเป็นเหตุที่ทำให้จิตศิษย์นั้นตกต่ำลงไปเรื่อยๆ  แล้วกรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องเป็นผู้รับผลเอง  อาจารย์นั้นก็มีแค่เตือน มีแค่ห่วงใย ช่วยได้เท่าที่ช่วย  คนทำผิดอาจารย์ต้องปล่อยให้รับผล มีเจ้ากรรมนายเวรมายังต้องปล่อยให้เขาไปหาศิษย์เองเลย  ฉะนั้นอาจารย์อยากช่วยศิษย์ ศิษย์ต้องช่วยตัวเองด้วย  บุญต้องสร้าง กรรมต้องลด ดีต้องทำ บาปต้องลด  เพื่อให้เรานั้นเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไม่ว่าจะมองในเวลาไหน ไม่ว่าจะมองภายนอก การกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะมองภายในจิตใจเราก็ดี  ขอให้มีความเสมอต้นเสมอปลาย เสมอนอกเสมอใน ทำได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้คนออกมาอธิบายกลอน "คนส่วนใหญ่รู้สึกตัวต่อเมื่อสาย เรื่องง่ายง่ายอย่าทำให้กลายยากเกิน" (คือคนที่จะรู้ตัว คนที่โลภนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัว คนที่ฉลาดคือคนที่ค่อนข้างน่ากลัว เพราะว่าเขามีความรู้ในสิ่งที่เขาจะทำในสิ่งที่ไม่ดีได้  คนพวกนี้มักจะไม่รู้ตัวว่าขณะนี้เขามีความโลภอยู่ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาทำในสิ่งที่ไม่ดี เขาจะรู้ตัวต่อเมื่อสายเกินไปแล้ว คือทำความผิดไปมากแล้ว  เรื่องง่ายๆ คือเรื่องการทำความดีเราอย่าทำให้มันยากไป คืออย่าไปหลง ถ้าเกิดเราโลภมาก ก็จะทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก)
ถ้าหากว่าศิษย์จะบำเพ็ญธรรม เป็นสิ่งที่ดีมาก จะทำให้ชีวิตของเราดียิ่งขึ้นกว่านี้อีก เพราะว่าโดยทั่วๆ ไปแล้วคนทุกคนมีดวงชะตา ถึงแม้ว่าอาจารย์ไม่ให้ไปหาหมอดู แต่ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ไม่มีดวงชะตา ทุกคนมีดวงชะตา มียามที่ดวงตกกันทุกคนเลย ยามที่ดวงตกเรียกว่าเคราะห์ภัยมาหา การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อที่จะฉุดจากร้ายให้กลายเป็นดี หรือถ้าดีไม่ได้ก็จะฉุดให้เบายิ่งขึ้น ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็เพื่อช่วยตัวเอง การนั่งสมาธิก็ไม่ใช่สงบแค่ตอนนั่งเท่านั้น แต่สมาธิอยู่ในทุกขณะๆ ไม่ว่าจะยืน นั่ง เดิน นอน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กินข้าว ทุกขณะก็ต้องมีสมาธิ  และสมาธิที่ดีที่สุดก็คือสมาธิตามไปให้ทันอย่างที่อาจารย์พูด เข้าใจไหม
เห็นไหมว่าคนๆ นี้แม้จะเป็นนักเรียนในชั้น เป็นญาติธรรมใหม่ แต่ก็สามารถที่จะพูดธรรมะได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้พูดอย่างไม่เกรงใจศิษย์นะ ทุกคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราอ่านหนังสือมาก รู้เนื้อหามาก มีประสบการณ์มาก ก็จะเกิดการพูดที่ชำนาญขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน  แต่คนเราจะดีแต่พูดไม่ได้  อันว่าอาจารย์บรรยายธรรมหมายความว่า ต่อให้ศิษย์นั้นจะไม่เต็มใจที่จะเป็นคนดีหรือจะไม่เต็มใจที่จะแสดงถึงความดีออกมา ศิษย์ก็ยังต้องทำ มันเป็นการยาก เหมือนกับที่สิ่งที่เราพูดทั้งหมดเราต้องทำได้  แต่หากว่าศิษย์สามารถฝืนตัวเองได้อย่างอย่างที่อาจารย์พูด ผลดีทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ตัวเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
บางคนคิดว่าตัวเองมีโอกาสที่จะทำไม่ดี  หมายความว่าเราอยากจะทำดีก็จริง แต่เหมือนกับว่าต่อให้เราทำไม่ดี ก็ไม่มีใครมาสนใจเรา ถ้าเราหยุดพักผ่อน พักร้อน เลิกบำเพ็ญไปพักหนึ่ง ก็ไม่มีใครสนใจเรา หรือต่อให้เขาว่า เราก็ไม่สนใจเท่าไหร่  เราถือว่าเรามีสิทธิ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า อยู่อย่างคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิที่จะหยุดนั้นดีกว่า  หมายความว่าไม่เปิดโอกาสให้ตนเองนั้นไปปล่อยตัวเองลอยชาย พอเราไม่รู้สึกว่าเราสามารถที่จะไปหยุดได้ เราก็จะไม่หยุด  แม้ว่าจะเหนื่อยกว่าปกติ แต่ผลที่ตอบรับมาจะดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองนั้นไหลไปตามกระแสอีก วัยรุ่นบางคนก็เพราะมีความรัก ก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากบำเพ็ญหรือบำเพ็ญได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางคนก็เลิกบำเพ็ญไป  หรือบางคนเลิกบำเพ็ญไปเพราะว่าโกรธคนนั้นโกรธคนนี้ คนนี้ทำให้ฉันรู้สึก
ว่าการบำเพ็ญของฉันไม่ราบรื่น ก็เลิกบำเพ็ญไป  บางคนก็เกิดความรู้สึกรับไม่ได้ที่ทำไมการบำเพ็ญธรรมเป็นอย่างนี้ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่าการบำเพ็ญนั้นเป็นการบำเพ็ญระหว่างคนและคน ธรรมะเป็นสิ่งไม่มีรูปลักษณ์ ว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าต้องโปรดคนในโลกนี้ รูปลักษณ์ที่อยู่ข้างหน้านี้ก็จะไม่มีเช่นเดียวกัน การบำเพ็ญนั้นจึงต้องใช้ปัญญา ความคิดของศิษย์นั้นต้องเที่ยงตรง โดยเฉพาะความคิดในแง่ธรรมะ ภาษาจีนเรียกว่า "หลี่เนี่ยน” (        )  จะต้องเที่ยงตรง เวลาที่เราเป็นผู้นำเราก็เป็นผู้นำที่ดี เป็นผู้น้อยก็เป็นผู้น้อยที่ดี เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดี เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่ดี เป็นญาติก็เป็นญาติที่ดี เป็นน้องก็เป็นน้องที่ดี  ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ จะต้องอยู่ในภาวะที่เป็นน้องในบางวัน เป็นผู้นำในบางที เป็นผู้น้อย เป็นผู้ตาม เป็นลูก เป็นพี่  ทุกคนต้องตกอยู่ในสภาวะนี้ทั้งนั้น  แม้ว่าเราไปอยู่ในสถานะไหน ก็ขอให้เราอยู่ในสถานะนั้นให้ดีๆ  โดยเฉพาะคนที่จะทำงานธรรมะ  ความคิดเกี่ยวกับอาวุโสผู้น้อย  ความคิดเกี่ยวกับการทำงานธรรมะนั้นต้องให้ชัดเจน  หากว่าศิษย์ไม่รู้ เราสามารถที่จะศึกษาได้  อย่ามั่นใจว่าตัวเองเข้าใจถูกไปเสียหมด  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเดิมทีไร้รูปลักษณ์  มีรูปลักษณ์ มีกฎเกณฑ์ก็เพราะว่ามันอยู่กับคน  เพราะฉะนั้นกฎต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจและขาดเหตุผล เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์คงไว้ครองไว้ ก็คือ ธรรมะในหัวใจของศิษย์ บรรยากาศธรรมที่เราจะมีร่วมกัน  การเกิดบรรยากาศธรรมภายนอกเกิดได้เพราะว่าความสามัคคี ส่วนบรรยากาศธรรมในจิตใจนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าเรามีความตั้งใจที่จะบำเพ็ญ มีความศรัทธาจริง  คนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็จะคล่องแคล่วว่องไว คนที่มีใจบำเพ็ญก็จะคล่องแคล่วว่องไวเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นคนไหนเนือยๆ เฉื่อยๆ ช้าๆ นั่นก็แสดงว่าตอนนี้ท้อแล้ว  ถ้าเราเห็นคนท้อแล้วเราควรซ้ำเติมหรือควรให้กำลังใจ ถ้าหากว่าคนที่ท้อคนนั้นเป็นคนที่นิสัยไม่ค่อยดีเราจะทำอย่างไร เราจะซ้ำเติมดีหรือว่าให้กำลังใจดี  (ให้กำลังใจ)  ใช่ เราต้องให้กำลังใจ  เพราะเราต้องคิดว่าตัวเราก็มีทั้งดีและไม่ดี ตัวเขาเองก็มีทั้งดีและไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน จิตใจที่ดีก็เข้าได้กับทุกสภาวะ มองสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดีให้ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำครอบพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
 (พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมแข่งกินส้มโดยแบ่งนักเรียนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละห้าคน)
ฝ่ายชายเชียร์กลุ่มไหน ข้างตัวเองนะ ฝ่ายหญิงเชียร์ข้างนี้ใช่ไหม แล้วอยู่ตรงกลางเชียร์ข้างไหน (อะไรก็ได้)  ระวังนะคนที่อะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้  อีกหน่อยสวรรค์ก็เอา  นรกก็เอาใช่ไหม 
อาจารย์จะชี้ให้ศิษย์เห็น ทำไมให้เล่นเกมนี้  เพราะว่าการทำงานธรรมะหรือการทำงานใดใดในชีวิตประจำวันของศิษย์ก็ดี  ก็คือความเร่งรีบ ก็คือความสมบูรณ์แบบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็คือการสามัคคีกัน แล้วคืออะไรอีก  จุดสำคัญคือ ในกลุ่มเดียวกันนั้นไม่ใช่คนประเภทเดียวกันทั้งหมด  ทำไมกลุ่มนี้ชนะ  ไม่ใช่ว่าเขากินเก่งนะ  แต่กลุ่มนี้มีคนที่ยังมีแรงและพลังอยู่ถึงสอง ถือว่ามีวัยรุ่นอยู่ถึงสองคน ในขณะที่กลุ่มนี้เขาเลือกออกมาแล้ว มีแต่คนอ่อนวัยทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมดา  อาจารย์จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า  ในระหว่างการทำงานร่วมกัน วัยที่ต่างกัน  ความคิดที่ต่างกัน  สิ่งที่เจอที่ต่างกัน ภูมิหลังที่ต่างกัน  บางทีคนในกลุ่มนั้นอาจจะเป็นคนที่เคี้ยวช้า  แต่บางคนในอีกกลุ่มอาจจะเป็นคนเคี้ยวเร็วหรือว่าฝึกเคี้ยวเร็วได้  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันก็มีสิ่งที่ไม่ตรงกันเรียกว่าวิทยุคนละคลื่น  กลุ่มนั้นมีคลื่นลูกหลังที่วิ่งเร็วใช่ไหม  แซงคลื่นลูกหน้ากลุ่มนี้ ใช่หรือไม่  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันสิ่งที่สำคัญคือความสามัคคี  ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน  อาจารย์สังเกตเห็นตอนนี้ในการนำพาของทุกๆ เตี่ยนฉวันซือ มีสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลง เป็นการมีปัญหาเล็กน้อยในทุกๆ กลุ่ม เนื่องด้วยกว้างขึ้น คนมากขึ้น  ต่างคนต่างมีภาระมากขึ้น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นต่างมีความสามัคคี ต่างคนต่างยอมถอยให้กันหนึ่งก้าว  เพื่อจะได้ไม่มีปัญหา  สิ่งใดที่ไม่ตรงกัน ไม่เข้าใจกันก็หมั่นคุยกัน  สิ่งใดที่อภัยได้ก็ให้อภัย เพราะเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม  เราไม่ได้ต้องการทำงานเพื่อให้ได้เงิน  เราไม่ได้ต้องการแข่งกันเพื่อเอาชนะ แต่เราต้องแข่งกับตัวเอง ชนะใจตัวเองให้ได้นะศิษย์นะ  การที่ต่างคนต่างมีความคิดก็คิดได้ไม่เป็นไร  แต่ขอให้มีความคิดที่เที่ยงตรง เที่ยงธรรม ยุติธรรมด้วย เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
เงินทองไม่สามารถที่จะซื้อได้ทุกสิ่ง โดยเฉพาะความสุข  แม้ว่าสถานธรรมที่นี่สร้างออกมาจะดูสวยงาม  แต่หากว่าจิตใจของเราไม่สวยงามแล้วก็ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่วยกันมาไหว้พระ  ช่วยกันทำบุญ ช่วยกันทำจิตใจให้ดีงาม แล้วคนที่เป็นเด็กๆ ก็อย่าบอกว่าไม่มีส่วนร่วม อาจารย์ไม่เคยมองข้ามศิษย์ของอาจารย์ที่เยังอายุน้อยๆ  อาจารย์อยากจะเตือนศิษย์เหล่านี้ว่า การคุยกัน คุยได้ แต่ขอให้คุยแล้วมีธรรมะบ้าง  อย่าคุยแต่เรื่องไร้สาระ  จิตใจอย่าฟุ้งซ่านง่าย  ยิ่งคุยกันก็ขอให้คุยแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่จรรโลงจิตใจแล้วนำพาให้ตัวเองและเพื่อนนั้นบำเพ็ญธรรมะไปได้รอด เพราะว่าคำว่าบุญนั้น  คนที่มีรากบุญไม่ใช่ว่าคนที่อายุมากรากบุญหนักกว่าคนที่อายุน้อย  คนที่สูงจะมีภาวะคุณธรรมที่สูงส่งกว่าคนที่เตี้ย ก็ไม่ใช่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดูจากชาติที่แล้วๆ มา  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่มีบุญในชาติที่แล้วๆ มา  ขอให้สร้างบุญชาตินี้  ขอให้วิ่งตามให้ทัน  เราเหนื่อยหน่อยไม่เป็นไร  ขอให้เวไนยได้ขึ้นฝั่งนะศิษย์นะ เข้าใจไหม 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ดีได้กว่านี้” ทำนองเพลง “ข้ามสีทันดร” และเมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
คนเราเมื่อจิตใจเป็นหนึ่งแล้วก็ไม่ควรจะได้อะไรมากเกิน  จับปลาสองมือปลาก็จะดิ้นหลุดทั้งคู่ใช่ไหม (ใช่)  บางทีศิษย์ของอาจารย์บางคนมีสิ่งที่ดีอยู่ในมือแล้ว  แต่กลับไม่ใช้สิ่งที่มีอยู่ในมือให้มีประโยชน์  กลับเรียกหาสิ่งที่เป็นสิ่งที่ใหม่  เรียกหาเพิ่มเติมแต่สิ่งที่อยู่ในมือนั้นยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่เลย  ก็อยากแต่จะได้สิ่งใหม่ๆ อยากจะได้สิ่งใหม่อยู่เรื่อยๆ  สุดท้ายสิ่งใหม่ที่เราหวังจะได้มาก็ยังไม่มา หรือมาแล้วก็ไม่ได้ดีเท่าของเก่า  แถมนำปัญหามาให้ ของเก่าที่อยู่ในมือก็ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์  อย่างนี้แล้วเราจะหาสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จะอธิบายเพลงนี้บางท่อน “ถ้าหากหวังโดยไม่เผื่อใจ วันหนึ่งผิดหวังต้องมาหมดหวัง” หมายความว่าอะไร  แสดงว่าคนที่หมดหวังอยู่ตอนนี้ก็คือคนที่มีความหวัง แต่ว่าศิษย์หวังโดยที่ศิษย์ไม่ได้เผื่อใจไว้  ในที่สุดเมื่อเราแพ้พ่ายก็ต้องผิดหวัง  ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะ  ถ้าหากว่าชีวิตคนไม่มีความหวัง  มนุษย์ในโลกนี้ก็พูดอยู่แล้วว่าคนไม่ความหวังก็คือคนที่ตายเสียดีกว่า    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกว่า หวังได้แต่ศิษย์ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ไม่มีใครชนะโดยไม่เคยแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งเราจะต้องแพ้พ่าย  เพราะฉะนั้นให้เราหวังอย่างคนที่เผื่อใจไว้  ถ้าหากว่าเราแพ้ก็ขอให้รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อย่าเก็บเป็นความแค้นเก็บกดอยู่ในใจจนเป็นความเครียด คนสมัยนี้เครียดง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็เครียดแล้ว อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่อยากจะอยู่แล้ว อย่างนี้เป็นชีวิตของคนไม่มีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราๆ รู้มากกว่าคนอื่นว่าชีวิตของเรามีค่าแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของตนให้ถึงที่สุด  ต้องทำในขณะที่เรามีชีวิตมีสติอยู่นี้  
“โอกาสฝังในมือของเรา” คนที่เป็นผู้ที่รู้จักทำสิ่งใดอย่างเป็นผู้ที่ระวังโอกาส โอกาสของเราจะงอกเงยขึ้นมาใหม่เสมอๆ  ขอให้เราเป็นผู้ที่รู้จักระมัดระวังตัว จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่สูงอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้นคนสูงส่งนั้นก็สูงโดยจิตใจของตนเอง
“ไม่หวังผลวกวน” คือ เมื่อจะทำแล้วบางคนก็บอกว่าฉันทำดีไม่หวังผลหรอก  บางครั้งได้นิดหน่อยก็ดีนะ  ผลก็ไม่หวังแต่เดี๋ยวก็มาหวังอีกแล้ว  บอกว่าไม่หวังๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ใจลึกๆ ก็คือหวังอยู่  อย่างนั้นจะพูดไปให้มันเสียคำพูดทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
“อย่าคอยเอาเปรียบรักแต่พวกของตน” บางคนก็มีกลุ่มของตัวเอง คนกลุ่มนี้ของฉัน แล้วฉันก็หวังดีเฉพาะคนกลุ่มนี้เท่านั้น  คนอื่นฉันไม่รู้ด้วย อย่างนี้ไม่ได้  โดยเฉพาะการบำเพ็ญธรรมนั้นถึงแม้ว่าจะต่างอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม แต่ศิษย์ทุกคนนั้นก็เป็นคนที่อยู่ในสายของท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักรักกันไว้  ถึงแม้ว่าเฉียนเหยรินของศิษย์นั้นไม่ค่อยได้มาหา  แต่ว่าทุกๆ ขณะ ทุกๆ เวลา  ท่านมองดูเราอยู่  งานธรรมะในเมืองไทยนั้นรุ่งเรืองเพราะว่าจิตใจพื้นฐานของศิษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่คำว่า “เป็นคนดี” แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์จะบำเพ็ญธรรมะได้หลุดพ้น  เพราะว่าเรานั้นไม่ใช่ดีแท้  เราจะต้องหัดปรับปรุงตนเองให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่านี้  เราจะต้องรักแม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนละอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมกัน  เราจะต้องรักกัน  มีอะไรก็ต้องคุยกัน  สิ่งที่ควรพูดก็ต้องพูด  ไม่ควรพูดก็เก็บไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนนั้นบำเพ็ญด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าจุดหมายของตัวเองคืออะไร หรือแม้จะรู้ว่าจุดหมายของตัวเองคืออะไร  แต่กลับไม่รู้ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร  ควบคุมไม่ได้  อาจารย์บอกว่าขอให้คุมจิตใจของตัวเองให้ดี  หากว่ามีความสับสนในด้านการบำเพ็ญธรรมก็ให้กำยึดจุดหมายของตนเองให้ดี การที่เรารู้จุดหมายของเราเองก็คือ รู้ว่าเรามุ่งไปไหน สิ่งที่เรามุ่งไปคือนิพพาน เพราะฉะนั้นก็คือทำดีเท่านั้นเอง เลือกทำแต่สิ่งที่ดี
“ตามความสมบูรณ์ที่ไร้ทิศทาง”  บางคนบอกว่า ฉันต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบแล้วก็เฝ้าเรียกร้องตัวเอง เรียกร้องเสียสูง ต้องการแต่ความสมบูรณ์แบบ แต่อาจารย์บอกว่าความสมบูรณ์ของศิษย์นั้นเป็นความสมบูรณ์แบบไหน เป็นความสมบูรณ์ที่มีทิศทางก็คือเป็นความสมบูรณ์ที่ก้าวไปสู่ความดี หรือเป็นความสมบูรณ์ที่ไม่มีทิศทาง อะไรก็ได้ขอให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการโดยที่ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างนั้นเรียกว่าเป็นความสมบูรณ์ที่ไม่มีทิศทาง 
“ก้าวตามทุกข์ทุกข์พาห่างหาย”  คำว่า ห่างหาย นี่ก็คือ ห่างหายจากงานธรรมะ ห่างหายจากการบำเพ็ญ เพราะว่าคนบางคนมีทุกข์มากเกินไป แล้วคิดว่าการเลิกบำเพ็ญคือการจบทุกข์ อาจารย์จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด
“ต่างมีน้ำใจได้กว่านี้”  การบำเพ็ญธรรมนั้นต่างคนต่างต้องการน้ำใจ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีน้ำใจให้กันมากกว่านี้ “ศักดิ์ศรี”  รู้จักคำว่าศักดิ์ศรีไหม บางคนไม่รู้ว่าศักดิ์ศรีคืออะไร แต่ว่าใช้แต่ความหยิ่งและทะนง ในเมื่อศิษย์คิดว่าศักดิ์ศรีของศิษย์คือความหยิ่ง อาจารย์จะบอกว่าศักดิ์ศรีนั้นเก็บไว้ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องหยิ่งในการที่เราจะเข้าหาใคร ยิ่งเราเป็นอาวุโสก็ยิ่งต้องเข้าหาผู้น้อย บางทีวันดีคืนดีเราพูดธรรมะอยู่ข้างบน วันดีคืนดีเราเข้าไปทำครัวบ้าง เข้าไปขัดห้องน้ำบ้าง เข้าไปดูแลความทุกข์ของคนที่อยู่ข้างล่างบ้าง หากศิษย์มองจากข้างบนจะมองข้างล่างชัดไหม (ไม่ชัด) เหมือนอาจารย์อยู่ข้างบน ยังต้องมาหาศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละศิษย์ต้องทำแบบเดียวกัน บางทีก็ต้องลงมาดูให้มันชัดๆ ด้วย ไม่ใช่อยู่แต่ข้างบน อยู่บนหอคอยมันก็มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน
ชื่อเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อว่า “ดีได้กว่านี้”  หมายความว่าศิษย์ทุกคนนั้นในสายตาอาจารย์ยังดีได้กว่านี้อีก ศิษย์ยังสามารถจะดีขึ้นกว่านี้อีก ขอให้เราเชื่อมั่นว่าเราจะไปถึง ทำความดีให้สมกับที่เราเกิดมาเป็นคน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า“สุข สวัสดี”)
คำว่า “สุข” นี้คือความสุข อันว่าความสุขนั้นเป็นสิ่งหายากในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์มีอยู่ตอนนี้ก็คือความสุขจอมปลอม แต่ว่าถ้าความสุขจอมปลอมนั้นทำให้ศิษย์จิตใจเบิกบานได้ก็อยากให้ศิษย์มีความสุข 
ความ “สวัสดี” ก็คือความเจริญรุ่งเรือง เมื่อเราอยากได้ความเจริญรุ่งเรือง เราก็ต้องหาความก้าวหน้าให้กับชีวิตตัวเอง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความก้าวหน้าในชีวิตนั้นคงเทียบไม่ได้กับความก้าวหน้าทางจิตใจ พัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้น ในเมื่อเราไม่ชอบให้ใครเตือน ในเมื่อเราไม่ชอบให้ใครบอก เราก็ต้องยกระดับจิตใจของตัวเรานี้ด้วยตัวเอง
อาจารย์มีความคิดหนักอกที่อธิบายให้ศิษย์ฟังไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ทั้งศิษย์และอาจารย์ใครหนักอกเรามาถอนหายใจพร้อมกันดีไหม (ดี)  แล้วหลังจากถอนหายใจแล้วเราก็ขอให้ความทุกข์นั้นมันละลายหายไปดีหรือไม่ดี (ดี)  แต่การที่ความทุกข์จะหายไปจริงๆ อยู่ที่ศิษย์กลับไปทำทุกอย่างของตนให้ดีขึ้นด้วยการแก้ไขชีวิตของตัวเอง  ถ้าสิ่งใดที่เราแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะสาเหตุเกิดขึ้นจากคนอื่น  เราก็ต้องหัดปล่อยวางบ้าง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  พร้อมไหม (พร้อม)
ขอให้ศิษย์ทุกคนมีความสุข มีความสวัสดี โชคดีมีชัย ทำตัวเป็นที่รักของมนุษย์และทำตัวเป็นคนที่น่ารักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าดื้อ  อย่าหาเรื่องใส่ตัว ดูแลตัวเองให้ดีๆ สิ่งที่ควรทำก็ไปทำ สิ่งที่ควรพูดก็ต้องพูด ควรหยุดก็ต้องหยุด  เกิดเป็นคน หนีไม่พ้นคำครหาว่ากล่าว มีใครในที่นี้สักคนไหมที่ไม่เคยโดนคนอื่นครหาปรักปรำ คงไม่มี  อยากจะให้ชีวิตนี้ราบรื่น อยากให้ชีวิตนี้มีสุข ก็จงมอบความสุขให้กับคนอื่น เป็นเด็กๆ ก็บำเพ็ญให้ดีๆ ยึดใจของตัวเองให้ดีๆ อย่าปล่อยให้มันเขวไปเขวมา  ศิษย์เบาแรงอาจารย์ได้เยอะ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้เราจะเป็นวัยรุ่น แต่วันข้างหน้าเราคือผู้ใหญ่  วันนี้เราเป็นผู้ใหญ่ วันหน้าเราเป็นอาวุโส
เพราะว่าอาจารย์คงไม่เจอศิษย์อีกเป็นพัก วันนี้มีศิษย์จากหลายๆ ที่มารวมกัน ศิษย์หลายๆ คนว่างในเวลาเดียวกัน อาจารย์จึงอยากสั่งเสีย 
(ขณะที่พระอาจารย์เดินผ่านแถวนักเรียนซึ่งนั่งบนเก้าอี้ นักเรียนหลายคนลุกจากที่มาห้อมล้อมกราบพระอาจารย์ เชาฉือบอกให้นักเรียนกลับนั่งที่เดิม)  ไม่เป็นไรหรอกนะนี่เป็นความรักของเขาส่วนหนึ่งที่ให้อาจารย์ อาจารย์มีคำพูดเหมือนเดิมๆ คืออยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญดีๆ เข้าใจซึ่งกันและกัน 
ร้องเพลงส่งอาจารย์แล้วกันนะ อาจารย์อยู่นานไปก็จะรบกวนเวลาของศิษย์อีก เดี๋ยววันนี้ยังต้องฟังธรรมะต่อ ฟังสิ่งใดได้ก็เก็บสิ่งนั้นไปปฏิบัติ อาจารย์มีอยู่สี่คำพูดเป็นคำสุดท้าย ภาษาจีนเรียกว่า  หลี่ (     )  อี้ (     ) เหลียน (     )  ฉื่อ (     )  ก็คือผู้บำเพ็ญธรรมนั้นต้องมีจริยธรรมอันดีงาม ต้องมีมโนธรรมสำนึกที่เพียบพร้อม ต้องมีสุจริตธรรม สุดท้ายต้องมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ศิษย์อย่าลืมนะ เราผู้บำเพ็ญต้องมีสี่อย่างนี้จำใส่ใจให้มองเห็นได้ทั้งในแง่ของการปฏิบัติ ทั้งในแง่ของทางจิตใจของเรา อย่าทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงเรา อย่าเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ นานาสารพัด แต่ขอให้เราเป็นต้นเหตุของความสงบสุขสารพัดที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ อาจารย์ไม่เจอศิษย์แล้วดูแลตัวเองดีๆ นะ เจอกันใหม่วันหลัง ขอให้อาจารย์ได้เจอศิษย์บ่อยๆ 

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สุข สวัสดี”

เงินซื้อความสุขไม่ได้ การให้สุขมากกว่ารับ
คิดดีสบายแม้หลับ รัศมีจับคนสร้างบุญ
โชคอยู่ในคนหน้ายิ้ม พูดนิ่มใครไม่ทนขุ่น
ช่วยทำให้โลกสมดุล โลกอุ่นได้เพราะความดี

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา