วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2543

2543-06-17 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี


PDF 2543-06-17-ถงซิน #13.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

คุมจิตใจฟังธรรมาสองวันนี้ สอบตรวจใจถึงความดีที่เคยสร้าง
สามเวลาล้วนบำเพ็ญไม่เลือนลาง ภูมิมนุษย์โอกาสกว้างจับมั่นเทอญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันยังไม่ตื่น ต้องกล้ำกลืนความทุกข์ท่านเหนื่อยไหม
หันหลังกลับพบฝั่งธรรมสงบใจ ยามมีกายเร่งบำเพ็ญไม่เสียที
เมื่อเวลาวิ่งไปเราเร่งตาม ภัยคุกคามคือมนุษย์เฝ้าประหัตประหาร
ขอให้รู้จะพ้นห่วงทรมาน ต้องคืนบ้านเดิมสงบด้วยบำเพ็ญ
ปัจจุบันโลกก้าวไปใจคนเสื่อม ศีลธรรมเหลื่อมล้ำไร้คนสน
เพียงฟื้นฟูพุทธจิตในกายตน ไม่อับจนเพราะเรามีคุณธรรม
ความเชื่อมั่นเป็นรากแห่งความกล้าหาญ และกล้าหาญเป็นรากแห่งความเมตตา
ความเมตตาเป็นรากแห่งดวงปัญญา และปัญญาเป็นรากแห่งการบำเพ็ญ
ในวันนี้สละเวลามาประชุม ขอสุขุมในใจและกายนิ่ง
เรื่องทางบ้านวางชั่วคราวอย่าประวิง ในจิตนิ่งเป็นสรณะศึกษาธรรม
เพื่อได้รู้และปฏิบัติอย่างถูกต้อง เดินไปตามครรลองต้องขยัน
ทวนกระแสน้ำเชี่ยวต้องบากบั่น เพียรทุกวันย่อมก้าวหน้าขึ้นหน้าเอง
เคารพผู้ชราอาวุโส จึงเติบโตเป็นเมธีที่เรียบร้อย
ฉุดเวไนยที่ยังเฝ้ารอคอย จากเล็กน้อยค่อยทวีตามกำลัง
อย่าใกล้เกลือแล้วกินด่างนะน้องท่าน อดีตผ่านอย่ายึดติดอย่างขื่นขม
หวานเป็นลมขมเป็นยารู้เลือกชม อย่าระทมเพราะทำผิดแก้ไขกัน
เมื่อมาสู่ทางฟ้าเปิดใจกว้าง อย่าอำพรางอคติให้ใจปิด
ขอให้รู้ใช้ธรรมะนำชีวิต ขอลิขิตชะตาด้วยตนเอง
ละกิเลสลาภยศอีกสรรเสริญ อย่ามัวเพลินแสงสีอำนาจหนา
ชีวิตคนไม่อาจตีเป็นราคา สร้างคุณค่าให้กับตนด้วยปัญญา
สองวันนี้ขอตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบสม่ำเสมอ
จะนั่งเดินยืนฟังตั้งใจเสมอ สัจธรรมล้างละเมอในใจเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
ขอศิษย์น้องตั้งใจทั้งสองวัน หยกดีนั้นจำต้องผ่านเจียระไน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน

จิตกุศลนำมาซึ่งวาสนา จิตต่ำช้านำมาซึ่งเคราะห์ใหญ่
จิตสงบอายุยืนยาวไกล จิตบำเพ็ญคืนไปได้ไม่วนเวียน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ความคิดดีเป็นรากแห่งฤทัย ทำอะไรทำสิ่งที่ดีเสมอ
ลำบากเพียงใดต้องเริ่มต้นเจอ ฝึกเสมอจิตเราย่อมจะแข็งแรง
ชนะตนเองก่อนหย่อนเร่งได้ รู้ตนไม่รู้ใครไม่หน่ายแหนง
ทานการให้เร่งใครไม่สำแดง เร่งตนคนนี้แผลงผลบัดดล
ความสำเร็จให้มุ่งเมื่อมีโอกาส คนประมาทเริ่มทำสิ่งฉ้อฉล
บำเพ็ญใช่ใช้อื่นใดไกลอดทน รอหรือรีบต้องเราท้นพิจารณา
เวลาเดียวทำเริ่มไปหลายอย่าง ล้มเหลวไปทุกครั้งเอยทำไมหนา
รู้เรียบเรียงใดก่อนหลังด้วยปัญญา อย่าจับปลาสองมือถือสำคัญ
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน

ใครรู้สึกเมื่อยเต็มที่แล้วบ้าง มานั่งที่นี่แล้วสบาย คิดว่าก็ยังดีกว่านั่งอยู่ที่บ้าน ใช่ไหม (ใช่)  มาที่นี่มีคนเตรียมอาหารให้ทาน ร้อนก็ส่งผ้าเย็นให้เช็ด แถมยังคอยเป็นห่วงเป็นใย คอยถามว่าเหนื่อยไหม นั่งฟังง่วงหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าอยู่บ้านมีคนถามไหม (ไม่มี) ดูแทบจะไม่มีเลยใช่ไหม (ใช่)  มีแต่ตัวเองถามตัวเอง เหนื่อยแล้วก็พักซะ เมื่อยแล้วก็สะบัดให้ตัวเองให้หายเมื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งฟังก็ต้องอดทนหน่อยนะ ถ้าใครรู้สึกว่านั่งแล้วลำบากก็ฝึกความอดทนนะ แต่ถ้าเกิดว่าใครที่อยู่บ้านแล้วไม่ได้ทำอะไร มานั่งที่นี่แล้วสบาย เราก็ขอยินดีด้วย นั่นคือผลพลอยได้ของเขาที่เคยลำบากมาก่อน ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้บางคนเกิดมาก็สบาย บางคนเกิดมาก็ลำบาก พอมาเจอความลำบากก็รับไม่ได้ บางคนเกิดมาทุกข์ยากลำบาก พอมาเจอสบายก็คือกำไรชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)  จะเอาอะไรกับชีวิต บางครั้งดีบางครั้งร้ายอยู่ที่ใครกันล่ะ อยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำพูดกล่าวไว้ว่า คิดอะไรบางครั้งก็ได้อย่างที่คิดนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ วันนี้เรามา ท่านคิดว่าเรามาหลอกลวง เดินไปทางซ้าย แบบนี้เหมือนหลอกลวงเลย พอเดินไปทางขวา พูดแบบนี้ยิ่งเหมือนหลอกลวงเลย ไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวา จะพูดสูงพูดต่ำน่าฟังแค่ไหนก็ต้องบอกว่าหลอกลวงทั้งเพ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนวันนี้ ถ้าท่านบอกว่าของท่านหายไปอย่างหนึ่ง แล้วท่านเห็นคนๆ หนึ่ง สมมติว่าเป็นเราเดินเข้าไปในห้องที่ท่านเอาของวางอยู่ มองอย่างไรท่านก็รู้สึกว่า เหมือนขโมยจริงๆ แต่พอตกเย็นของยังอยู่นี่ เมื่อสักครู่เรารีบร้อนไปเลยมองไม่เห็น พอกลับไปมองเด็กคนนี้ใหม่ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนขโมย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันนี้คิดอยากให้เราเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่ที่ตัวท่านแล้วนะ อยากให้เป็นคนหลอกลวงหรืออยากจะให้เป็นเพื่อนคุยดี ตอนนี้อยู่ที่ใจท่านเองดีไหม คิดอย่างไรเราก็เป็นแบบนั้น คิดดีก็เป็นกุศลจิต คิดชั่วร้ายก็อัปราชัยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก็อยู่ที่ตัวท่านแล้วนะ หรืออีกอย่างหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับความคิด หากได้เรียนรู้เราจะรู้ว่า “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังเรื่องพูดจา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้แม้จะอยู่กับคนมากมาย แต่ถ้าหากว่ายังไม่พูด เราก็ต้องระวังความคิด แต่ถ้าเมื่อไรจะพูดก็ต้องคิดก่อนพูด จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นก็คือต้องระวังการพูดจา
"จิตกุศลนำมาซึ่งวาสนา จิตต่ำช้านำมาซึ่งเคราะห์ใหญ่"
ใครว่าไม่ใช่บ้าง ที่นี่เป็นประชาธิปไตยใช่ไหม (ใช่)  ใครจะประท้วงคำพูดเราก็ได้นะเราไม่ว่า ใครไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูดบ้าง มีไหม  ฉะนั้นลองคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะโต้แย้งสิ่งใด ไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะเป็นผู้ที่สร้างหลุมให้กับตัวเอง แล้วก็ตกในหลุมที่ตัวเองสร้างก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนเราคิดว่าเด็กคนนี้หลอกลวง มองอย่างไรก็มีหลุมหลอกลวงเต็มไปหมด เราล้อท่านเล่นนะ เห็นท่านทำหน้าจริงจังกันเหลือเกิน มาฟังธรรมะต้องรู้จักผ่อนคลายบ้างนะ ไม่เช่นนั้นแล้วอยู่ใกล้ธรรมก็เหมือนไม่ได้ลิ้มรสเลย จริงหรือไม่ (จริง)  นั่งไปก็รู้สึกเกร็ง อึดอัด เมื่อยจะแย่แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นผ่อนคลายจิตใจลงบ้าง ปล่อยวางบ้างดีหรือเปล่า
"จิตสงบอายุยืนยาวไกล จิตบำเพ็ญคืนไปได้ไม่วนเวียน"
ชีวิตคนในโลกนี้จะอายุยืนหรืออายุสั้น บางครั้งไม่ใช่ฟ้าดินกำหนด แต่บางครั้งหลายต่อหลายคนที่อายุด่วนไปก่อนที่ฟ้าดินจะกำหนดก็มี หรืออายุสิ้นก่อนที่จะหมดอายุขัยก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกือบห้าสิบหรือเกือบครึ่งหนึ่งของคนจำนวนมากที่ต้องตายก่อนกำหนด นั่นก็คือไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดี เอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเกือบครึ่งหนึ่งของครึ่งหนึ่งในห้าสิบนั้นก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างปล่อยปละละเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งส่วนในร้อยส่วนนั้น ที่สามารถอายุยืนเหนือกว่าชะตาชีวิตที่กำหนดก็มี แล้วคนที่อายุยืนนั้นเขาก็ต้องมีเคล็ดลับ พุทธะก็มีเหมือนกัน ทำไมพุทธะบำเพ็ญแล้วจึงมีอายุยืนนับพันๆ ปี นั่นก็คือว่าแม้กายจะดับแต่ปณิธานและความมุ่งมั่น หรือชื่อของท่านก็ยังคงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือแม้จะสิ้นอายุขัย แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นก็เปรียบเหมือนท่านยังมีชีวิตแม้จะไร้ตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกทางหนึ่งที่พุทธะจะแนะนำ เราบางคนมีชีวิตอยู่ในโลก อยากอายุยืนยาว แล้วทำอย่างไรให้อายุยืนยาว นั่นก็คือว่าอย่าใช้แรงกายนี้จนเกินกำลัง หากเราไม่ใช้จนเกินกำลังเราย่อมรักษาชีวิตให้คงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือดูง่ายๆ เหมือนฟัน หากเราบดเคี้ยวอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าแข็งไม่ว่าอ่อนเราใช้ทำงานหนักไม่หยุดไม่พัก ฟันต้องไปก่อนแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่างกายก็เฉกเช่นเดียวกัน หากมนุษย์เราเอาแต่ทำงาน เอาแต่แสวงหา ไม่รู้จักหาเวลาพัก ชีวิตต้องสั้นกว่าที่กำหนดแน่ ฉะนั้นเราอยากจะอายุยืนหรืออายุสั้น ไม่ใช่อยู่แค่เพียงฟ้ากำหนด แต่บางครั้งอยู่ที่ตัวมนุษย์กำหนดก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ เราจึงต้องดำรงชีวิตให้ดี อย่าพาชีวิตไปเสี่ยงภัย ไม่เช่นนั้นเรานั่นแหละ เราจะเป็นผู้ดับชีวิตให้สั้นลงกว่าที่จะเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในกลอนนั้นเรายังพูดต่ออีกว่า พุทธะนั้นต่างกับมนุษย์ตรงที่ว่า พุทธะเมื่อรู้จักบำเพ็ญตนแล้ว ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายทรมาน แต่มนุษย์นั้นหากไม่รู้จักบำเพ็ญตน ไม่ช้าไม่นานต้องไปเวียนว่ายในวัฏสงสาร เหมือนวันนี้ บางคนไม่เชื่อว่าชีวิตนี้หมดสิ้นแล้ว บางคนคิดว่าหมดแล้วหมดกัน แต่บางคนบอกว่ายังมีว่ายเวียนอยู่  สิ่งใดล่ะที่ช่วยเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ชีวิตหาใช่หมดแล้วหมดกัน ดูง่ายๆ เหมือนเราตีเขา น้อยนักที่จะไม่มีการตีกลับตอบ ถ้าเกิดเราตีด้วยอารมณ์มีไหมจะตีกลับตอบ ย่อมมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเราตีเขาด้วยความเอ็นดู หัวเราะร่าเริงมีไมตรี แล้วเผลอเอามือไปแตะ เขาจะไม่ตีกลับตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเมื่อไรที่เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ เรากระทำอะไรก็ตามที่เป็นการเบียดเบียนทำร้ายโดยไม่ก่อความสุข แต่ก่อความทุกข์ให้ กรรมนั้นย่อมกลับมาสู่ผู้กระทำ จริงไหม (จริง)  เหมือนง่ายๆ การตีเขาด้วยอารมณ์โกรธ การว่าเขาด้วยจิตใจที่รังเกียจ ย่อมมีคำว่ากลับ แม้จะไม่ว่าตอนนี้ แต่ย่อมมีสำเนียงเสียงสะท้อนกลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงต้องรู้จักระมัดระวัง อย่างที่เราบอกจะอายุยืนหรือจะอายุสั้นก็อยู่ที่การกระทำ จะเวียนว่ายหรือหยุดเวียนว่ายก็อยู่ที่การกระทำเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะพูดก็ต้องระวัง แล้วคิดก็ต้องระวัง แล้วกระทำก็ยิ่งต้องระวังอีก ไม่เช่นนั้นการกระทำของเราจะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น
มีใครรู้จักเราบ้างไหม เราเป็นเซียนองค์เดียวในแปดเซียนทั้งหมดที่ไม่เหมือนใคร เซียนองค์อื่นถือกระบี่ ถือดาบแสดงความกล้า แต่เราถือกระเช้าดอกไม้ รู้จักไหม ใครยังไม่รู้จักวันนี้ก็ได้รู้จักแล้วนะ เชิญทุกท่านนั่งลงได้ ไม่ต้องพิธีรีตองมากนักนะ ตามสบายเถอะ เรียกว่าเคารพซึ่งกันและกัน ทำไมถึงต้องมีพิธีรีตอง ก็เพื่อให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคนนั้น หากเราอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มาก เราไม่เคารพเขาแล้วเขาจะเคารพเราหรือ ฉะนั้นไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ถ้าเรามีจิตเมตตาเรามีจิตรักเคารพ แม้ไม่ใช่ญาติมิตรก็ต้องรักและเคารพให้เกียรติเราบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า จงให้ผู้อื่นไปเถอะแล้วเราจะได้รับอย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้าไม่เคยคิดให้ใครเลยก็อย่าได้รอรับจากใครเลยในโลกนี้ จริงหรือไม่ (จริง)
เก้าอี้นี้จริงหรือเปล่า (จริง)  จริงหรือ เราว่าเก้าอี้นี้เหมือนของปลอมนะ เราพูดอะไรแปลกๆ หรือเปล่า เก้าอี้นี้เก้าอี้ปลอม ใช่ไหม ไหนใครว่าไม่ใช่นั่งลง ไหนใครว่าใช่ยืนขึ้น ตอนแรกคนที่บอกไม่ใช่ก็เปลี่ยนเป็นใช่แล้วใช่ไหม คนที่บอกว่าใช่ก็เปลี่ยนเป็นไม่ใช่เหมือนเขาแล้วใช่ไหม พอมีอะไรมาหลอกล่อใจเราก็รู้สึกใช่ไหม (ใช่) เชิญนั่งเถอะนะเราทดสอบใจท่านดูเล่นๆ นะ เมื่อสักครู่ใครเข้าใจสิ่งที่เราพูดบ้างนะ เมื่อสักครู่เราบอกว่าเก้าอี้นี้ปลอม ถ้าบอกว่าใช่ให้ยืนขึ้น แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ให้นั่งลง ถ้าตอนแรกเราบอกว่าใช่เราก็ต้องยืน แต่ถ้าตอนนั้นใจเรารู้สึกว่าเมื่อยแล้วอยากนั่งก็เปลี่ยนเป็นไม่ใช่ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้เรียกว่าไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักยึดมั่นยึดกุมในสิ่งที่ตัวเองมั่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนเช่นนี้จะเป็นคนที่ทำอะไรยากจะสำเร็จ จริงใช่หรือไม่ นั่นก็คือว่าในโลกนี้ไม่ว่าจริงหรือเท็จ มีไร้ ได้เสีย บางครั้งเรารู้สึกสับสน บางครั้งเราไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่เป็นเกณฑ์ตัดสินที่แท้จริง เราไม่มีมาตรการอะไรวัดใช่หรือเปล่า บางครั้งมีมาตรการวัดแล้วแต่พอไปใช้เข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่าไม่แน่ใจไม่มั่นใจ ใช่ไหม (ใช่)
มีเรื่องง่ายๆ คือมีชายตาบอดคนหนึ่ง เขาไม่เคยรู้ว่าพระจันทร์เป็นเช่นไร พอเดินไปได้สักพักหนึ่งเจอคนเขาก็ถามว่าตอนนี้พระจันทร์เป็นอย่างไร เผอิญว่าพอแหงนมองไปบนท้องฟ้าพระจันทร์เป็นแบบนี้   เขาก็ตอบว่าเป็นวงกลม คนตาบอดก็รู้แค่เพียงว่าตอนนี้พระจันทร์เป็นวงกลม แต่พอเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง พระจันทร์กลายเป็นเช่นนี้  คนตาบอดก็อยากรู้อีกว่าพระจันทร์ตอนนี้เป็นเช่นไร แต่คนที่บอกนั้นเขาเห็นเป็นแบบนี้ จึงบอกว่าพระจันทร์เป็นครึ่งเสี้ยว ใช่ไหม (ใช่) แต่พอเดินไปอีกสักระยะหนึ่งคนตาบอดเริ่มงงไหม งงใช่ไหม (ใช่)  ตกลงว่าพระจันทร์เป็นวงกลมหรือเป็นเสี้ยวกันแน่ เขาก็เลยคิดว่า อ้อ…พระจันทร์คงเป็นทั้งกลมและเสี้ยว คือเรียกว่าพระจันทร์ แต่พอเดินไปอีกระยะหนึ่งไปเจอชายอีกคนหนึ่ง เขาก็ถามอีกว่าพระจันทร์เป็นอย่างไร ชายคนนั้นกลับตอบว่าพระจันทร์ไม่มีรูปร่าง เพราะว่าตอนนี้เมฆได้บังหมดแล้ว ชายคนนั้นงงมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงยกตัวอย่างเรื่องนี้ เพราะชีวิตของมนุษย์ เราพูดว่าชีวิตคือการแสวงหา ต้องให้มีมากที่สุดคือความสุข การมีมากที่สุดจึงเหมือนพระจันทร์วงกลม เราเรียนรู้มาอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคือแสวงหาไม่ว่าเงินทอง ชื่อเสียง ความรู้ แต่เผอิญว่าเมื่อเราเดินไปตามสิ่งที่เขาพูด เรากลับพบว่าเราไม่สามารถมีได้ บางครั้งเราต้องกลายเป็นคนที่ไม่รู้ บางครั้งเราต้องกลายเป็นคนที่ไขว่คว้าแล้วไม่ได้ จึงเหมือนกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งเราว่าเรามีแล้ว ได้แล้ว เรียนรู้มากแล้วนะ แต่พอเดินไปอีกสักระยะหนึ่งเรากลายเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย จริงไหม (จริง)  หรือเราเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือว่าหลายต่อหลายคนมักจะพูดว่า ความสุขคือการมี ไม่ว่ามีเงินทอง มีชื่อเสียง มีความรัก มีคนรัก นั่นแหละเรียกว่าสุข แต่พอเมื่อไรที่ไม่มีความรัก ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเงินทอง นั่นคือด้านตรงข้ามของความสุข คือความทุกข์ เรารู้ชีวิตแค่สองด้านนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เขาบอกว่าให้มาบำเพ็ญธรรมต้องรู้จักพอ แสวงหาน้อยๆ รู้จักพอเท่าที่มี มีเท่าไรพอเท่านั้นแล้วสุขเท่านั้น บางครั้งเรางุนงงเพราะเราไม่เคย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเอาเวลาจากการแสวงหานั้น ไปรู้จักช่วยคน พอเราไปบำเพ็ญปุ๊บ เรารู้สึกว่าเรียกว่าสุขหรือเรียกว่าทุกข์ล่ะใช่ไหม พอเข้าใจไหม หรือพูดง่ายๆ วันนี้ท่านมาศึกษาธรรม การศึกษาธรรมนั้นก็คือการรู้จักพอในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าปล่อยให้ชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับการแสวงหา อย่าปล่อยให้ชีวิตนี้มีความสุขในการมี แต่การบำเพ็ญธรรมก็คือว่าการรู้จักดำเนินชีวิตให้เข้าใจชีวิตมากกว่าการมีและไร้ มากกว่าความสุขและทุกข์ เป็นการบำเพ็ญธรรมที่อยู่เหนือทุกข์สุข มีไร้ ได้เสีย พอเข้าใจไหม นั่นก็คือเป็นการบำเพ็ญตนอยู่ท่ามกลางมีสุขมีทุกข์ แต่เราไม่รู้สึกทั้งทุกข์และสุข เรามีจิตใจที่บำเพ็ญตนแล้วอยู่เหนือสภาวะตรงกันข้าม หรืออยู่เหนือสภาวะที่เป็นคู่ เข้าใจไหม เริ่มไม่เข้าใจแล้วใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์เราตั้งแต่เกิดมาเรารู้แค่เพียงว่าการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ความสุขคืออะไร และความทุกข์คืออะไร ใช่ไหม (ใช่) เรารู้ว่าการมีทรัพย์สมบัติ การมีชื่อเสียงคือการได้มาซึ่งความสุข การไม่มีทรัพย์ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีความรู้คือการได้มาซึ่งความทุกข์ แล้วนอกนั้นเราไม่รู้แล้วใช่หรือไม่ แต่การบำเพ็ญธรรมคือการศึกษาสิ่งที่อยู่เหนือกว่าสุขและทุกข์ นั่นคือศึกษาความเป็นจริงแห่งชีวิตและค่าแห่งชีวิตที่อยู่เหนือกว่าสุขและทุกข์ มีใครเข้าใจขึ้นอีกบ้าง ยังงงอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) งั้นเราพูดง่ายเข้าไปอีก มนุษย์เรานั้นมักจะกำหนดว่าชีวิตของเราเกิดมาคือมีเงินทอง มีชื่อเสียง มีครอบครัวที่ร่มเย็นเป็นสุขเท่านี้คือชีวิต แต่เมื่อไรที่เราได้เปิดตำราศึกษาความเป็นพุทธะ เราจะได้รู้ว่าทิ้งเงินทอง ทิ้งชื่อเสียง ทิ้งครอบครัวคือการได้เดินไปสู่ความเป็นพุทธะ แล้วค้นหาความเป็นพุทธะ แต่มนุษย์เราบอกว่าทำไม่ได้ ไม่มีจริงหรอกในโลกนี้เราทำไม่ได้หรอก ถามทุกท่านในที่นี้ทิ้งเงินทองได้ไหม ทิ้งลาภยศชื่อเสียงได้ไหม ทิ้งให้ตัวเองเป็นเหมือนคนที่ไม่มีความรู้โง่เขลาเบาปัญญาได้ไหม ทิ้งความสุขในโลกนี้ให้หมดสิ้นยอมไปเผชิญความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) แต่ทำไมพุทธะจึงทำได้ แต่ทำไมพุทธองค์จึงทำได้ล่ะ ตอนท่านทำได้ท่านเป็นพุทธะหรือยัง (ยัง) ท่านคือมนุษย์ธรรมดา แต่ท่านมองเห็นแล้วว่าชีวิตเรานั้นนอกจากการมีเงินทอง มีชื่อเสียง เป็นคนร่ำรวย เป็นครอบครัวที่มีความสุข นอกนั้นเรายังมีสิ่งที่เหนือกว่านั่นก็คือการรู้จักปล่อยวางชื่อเสียง รู้จักปล่อยวางเงินทอง รู้จักปล่อยวางปลงเรื่องครอบครัวบ้าง แล้วมุ่งเดินหน้าค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต เมื่อไรที่เขามุ่งเดินหน้าตั้งใจค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต เมื่อนั้นเขากำลังฝึกฝนก้าวย่างความเป็นพุทธะ ค้นหาความเป็นพุทธะในการเกิดเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หลายต่อหลายคนมักจะติดอยู่แค่วังวนแห่งทุกข์สุข มีไร้ ได้เสีย ไม่ยอมก้าวออกมา เพราะคิดแค่เพียงว่า ทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามจริงๆ วันนี้ท่านทำได้อย่างหนึ่งคือ ยอมไม่แสวงหาความรู้ทางโลก แต่มาแสวงหาทางธรรม ยอมไม่ไปสะสมทางโลก แต่มาสะสมคุณธรรม ยอมปล่อยวางเรื่องทางบ้านแต่มาเพียรหาทางธรรมทำได้ไหม (ได้) วันนี้ทำได้แล้วจริงหรือไม่ (จริง) แต่การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้ทิ้งหมดแต่คือการรู้จักพอรู้จักปลง และเอาเวลาที่พอปลงนั้นมาเพียรหาความเป็นพุทธะในตัวตนแค่นี้เอง คือการบำเพ็ญความเป็นพุทธะท่ามกลางสังคมและอยู่ในครอบครัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือว่าแต่ก่อนเราเคยเห็นแต่พระจันทร์เต็มๆ ไม่เต็มก็เห็นเสี้ยว ตอนนี้ลองไม่เห็นพระจันทร์  แต่มีพระจันทร์อันสว่างไสวอยู่ในใจทำได้ไหม (ได้)  นั่นก็คือการบำเพ็ญตนในยุคนี้ แม้ภายนอกจะมืดมน แต่ภายในใจสว่างไสว แม้ภายนอกดูขรุขระวุ่นวาย แต่มีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตอย่างดีงามถูกต้อง และเห็นถ่องแท้ หากทำได้ เมื่อนั้นท่านจะเป็นพุทธะเดินดิน เป็นพุทธะที่กำลังเริ่มต้น เข้าใกล้ความเป็นพุทธะทุกก้าวแห่งลมหายใจของชีวิต ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องยากจริงหรือไม่ (จริง)  อยู่ที่ว่าเราจะยอมทำตัวเป็นพระจันทร์ใต้หมอกเมฆอันมืดมนหรือไม่ ทำได้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างเช่นวันนี้ทำได้ไหม ถ้าทำได้ แล้วไม่รู้สึกว่าสุข ไม่รู้สึกว่าทุกข์ นั่นแหละคือการฝึกฝนได้หนึ่งระดับ หากวันนี้มาฟัง ไม่รู้ว่าสุขเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร นั่นคือการได้เริ่มบำเพ็ญตนหนึ่งขั้น แต่วันนี้หากมาฟังแล้ว ยังติดในสุข ยังติดในทุกข์ ก็ยังก้าวไม่ถึงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากวันนี้มานั่งฟังแล้ว ยังรู้สึกว่าใจห่วงเงินทอง ใครจะเก็บเงินนะ ลูกจะแอบเอาเงินไปหรือเปล่า สามีจะขโมยเงินหรือไม่ นั่นก็คือยังทำได้แบบพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรื่องแห่งการบำเพ็ญจึงไม่ใช่เรื่องไกลชีวิตเลย ทุกท่านสามารถทำได้ ขอเพียงไม่ยึดติดสัญญาในโลกนี้ ไม่ยึดติดทัศนคติ ความคิดหรือความรู้ที่ตัวเองเคยปลูกฝังมา มองข้ามสิ่งที่อยู่เหนือความคิดความเข้าใจ แล้วท่านจะเห็นสัจธรรมความเป็นจริงในโลกนี้ด้วยตาและด้วยตัวตนเอง มีใครฟังแล้วรู้สึกว่ายิ่งงงมากยิ่งขึ้นบ้าง มีไหม (มี)  อย่างนั้นเรายกตัวอย่างเพื่อจะได้ฟังง่ายขึ้น
เราจะเล่านิทานเมื่อสักครู่ใหม่นะ เรื่องชายตาบอด แต่คราวนี้จะมีมากกว่าพระจันทร์กลม พระจันทร์เสี้ยว และพระจันทร์ที่ถูกเมฆบัง พอเขาเดินไปได้อีกสักพักหนึ่ง เขาถามบอกว่าตอนนี้พระจันทร์เป็นอย่างไร เขาบอกว่าตอนนี้พระจันทร์ไม่มีแล้ว กลายเป็นพระอาทิตย์ เพราะคนตาบอดไม่รู้ว่าตอนไหนมืด ตอนไหนสว่าง ชีวิตนี้มีแต่ความมืด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ นั่นแปลว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ บางครั้งเราคิดว่า เรารู้แล้ว เราเรียนมาแล้ว แต่สิ่งที่รู้ที่เรียนในโลกนี้ยังมีอยู่สิ่งๆ หนึ่ง ที่ไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นถ้อยคำได้ ที่ไม่อาจสามารถยกขึ้นมาจำแนกแยกแยะให้ชัดเจนได้ นั่นคือความเป็นจริงอันสูงสุดที่ไม่สามารถมีสิ่งใดเทียมเท่าได้ แต่ความเป็นจริงอันสูงสุดนี้ คนในโลกนี้สามารถหยั่งลึกและเข้าถึงได้ แต่จะสามารถหยั่งลึกและเข้าถึงได้ ก็ต่อเมื่อเขาสามารถทำลายกฎความคับแคบในจิตใจ หรือความเข้าใจในจิตใจนั้นให้เบาบาง เมื่อไรที่ทำลายได้เบาบาง หรือปล่อยวางได้เบาบางแล้ว เมื่อนั้นใจของเขาจะมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าสิ่งที่เขากำหนด เหมือนเราอยู่ในโลกนี้ เรารู้ว่าหากได้เงิน นั่นคือความสุข หากเสียเงินนั่นคือความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ทั้งเงิน และไม่เสียทั้งเงิน เช่นนี้เราเรียกว่าอะไร (ไม่ยึดติดกับสิ่งของ)  นั่นคือจิตใจที่ไม่ยึดติดสิ่งของใดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราสามารถให้ได้แค่ความหมาย แต่เราไม่สามารถกำหนดได้ว่านั่นเรียกว่าอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมก็คือ การอยู่เหนือสภาวะสองด้านนี้ หากเราสามารถอยู่เหนือสภาวะสองด้านนี้ แล้วทำจิตใจให้เป็นสุข แต่ไม่ใช่สุขที่กลับเป็นทุกข์ นั่นแหละคือการที่เรารู้จักเอาความเป็นจริงในโลกนี้มาฝึกฝนตน มาหล่อหลอมตนให้อยู่เหนือสุข-ทุกข์ ดี-ไร้ ได้-เสีย ทำได้หรือไม่ (ได้)  หรือพูดง่ายๆ สรุปไม่ยึดติดอะไรในโลกนี้ แม้ตัวตนเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เฉกเช่นปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจก แล้วฝุ่นจะเกาะอะไร”   เมื่อไม่มีกายไม่มีตน แล้วกิเลสจะมาจากไหน จริงไหม (จริง)  แล้วทุกข์จะเกาะอะไร คราวนี้เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  หรือพูดง่ายๆ อีกคำหนึ่งก็คือ นั่นก็คือให้เรารู้จักปล่อยวางเรื่องราวในโลกนี้ ปล่อยวางตัวตนเองที่เป็นคนเช่นนั้นเช่นนี้ พอบอกว่าเราเป็นคนเช่นนั้นเช่นนี้ มีคนบอกว่าไม่ใช่ ท่านเป็นคนเช่นนั้น ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราบอกว่าเราสวยเช่นนี้ พอเขาว่าท่านไม่สวยทุกข์ไหม (ทุกข์)  คราวนี้เราฝึกตนเอง ไม่สวยเช่นนี้ แล้วก็ไม่ใช่ไม่สวยเช่นนั้น มีอะไรให้ทุกข์ไหม พอเขาจะว่าก็ไม่เหมือนอะไรสักอย่างเลย แล้วก็ไม่มีอะไรให้เหมือนเลย ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะว่าสวยไม่สวย ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วสุขไหม (สุข)  สุขเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สุขที่กลับไปเป็นทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะไม่มีอะไรให้ทุกข์ใช่ไหม เหมือนท่านบอกว่านี่คือตะกร้าของท่าน พอเขาบอกว่าตะกร้าท่านแหว่ง ทุกข์ไหม ต้องดิ้นรนจะทำอย่างไรให้ตะกร้านี้ไม่แหว่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอบอกว่าตะกร้าท่านมีทองน้อยจัง เราก็ต้องดิ้นรนอย่างไรก็ได้ให้มีทองมากที่สุด เวลาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วไม่อายใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าชีวิตนี้ไม่มีตะกร้าแล้ว พอเราเห็นคนอื่นมีตะกร้าเราเป็นอย่างไร ไปหยิบตะกร้าเขามาวางที่ใจเราว่าอยากมี พอไม่มีเลยต้องทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้านอกจากไม่มีเราแล้ว ไม่มีเขาด้วย เป็นอย่างไร คราวนี้ไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเห็นทุกอย่างเหมือนไม่เห็น คราวนี้มีอะไรให้ทุกข์อีกไหม (ไม่มี) แม้เห็นตะกร้าก็เหมือนไม่เห็น เฉกเช่นเดียวกัน บางครั้งเราดำเนินชีวิตอยู่  บางครั้งชีวิตเรานั้นไขว้เขวไปตามคำพูดคน พอคนพูดดี จิตใจเราก็ฟูเบิกบานปิติแจ่มใส พอคนพูดร้ายจิตใจเราก็ห่อเหี่ยวเป็นทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเขา ย่อมเหมือนไม่ได้ยินเสียงเขาคราวนี้เป็นอย่างไร บางทีไม่ต้องสุขก็ได้ แต่ใจเราสงบนิ่ง แม้มีอะไรมาก็ไม่รู้จะสัมผัสอะไร เหมือนลมพัดมาหากไม่มีต้นหญ้า จะมีอะไรไหวไหม (ไม่มี) แต่คราวนี้ไม่มีทั้งลม ไม่มีทั้งหญ้า เป็นภาวะที่เราต้องการจะบอกท่าน อย่างนั้นก็คือทุกคนทำได้แต่เราลืมนึกไป เรานึกแต่ว่าชีวิตต้องมี พอมีแล้วก็กังวลว่าจะสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็มัวแต่กังวลเกินไป มีไม่มี มีไม่มี หรือพูดง่ายๆ พอมีชีวิตก็มัวแต่กังวลกับว่า ทุกข์สุข ทุกข์สุข ไม่จบไม่สิ้นสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแม้จะบำเพ็ญก็เปล่าประโยชน์ แม้จะมานั่งฟังก็ไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะยังมัวกังวลกับคำว่า “รู้, ไม่รู้, เข้าใจ, ไม่เข้าใจ” จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ ต้องปล่อยวางบ้างนะ หากเรารู้จักปล่อยวาง หากเราสามารถมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ไม่ติดพันธนาการใดๆ เราจะสามารถเป็นผู้ที่บำเพ็ญเข้าถึงภาวะความเป็นพุทธะได้เร็วที่สุด แม้กระพริบตาหนึ่งทีก็ไปได้ถึง แต่ตอนนี้แม้กระพริบตาเป็นร้อยๆ ทีก็ไปไม่ถึง เพราะว่าเรายังมีตัวตน  ยังมีตัวเขา ยังมีได้มีเสีย มีทุกข์มีสุข จริงหรือไม่ (จริง)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนในชั้นลุกขึ้นยืนเมื่อท่านยกตะกร้าขึ้น และนั่งลงเมื่อท่านยกตะกร้าลง)
หายเมื่อยหรือยัง (หาย)  อย่างนั้นเราเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ง่ายๆ หน่อยดีไหม (ดี)  พูดเรื่องนี้จริงๆ แล้ว พูดไม่ใช่สิ่งที่ยาก ไม่ใช่สิ่งที่น่างุนงงเลยนะ แต่เป็นสิ่งที่ปกติแล้ว ตัวทุกๆ ท่านเองนั้น ไม่เคยกลับไปศึกษาหลักธรรมะของพระพุทธะ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เมื่อพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญตน จึงเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ฟังอย่างไรก็เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของมนุษย์นั้นโดยปกติของทุกคน มีสุขมีทุกข์ที่เวียนสลับกันไป ไม่เคยจบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สุขทุกข์นั้นเกิดจากสาเหตุใด บางครั้งทุกข์มาเราไม่รู้สาเหตุ บางครั้งทุกข์ไปเราไม่รู้เพราะอะไรถึงไป บางครั้งสุข
มาเราไม่รู้ว่าอะไรทำให้เรามีสุข บางครั้งสุขไปก็กลายเป็นทุกข์ เราก็ไม่รู้อีกใช่หรือไม่ นั่นเพราะว่าเราไม่เคยได้หวนมองสิ่งที่มากระทบ สิ่งที่มาสัมผัสชีวิตเรา เวลาที่มีสุข เราเคยพยายามหาดูไหมว่า เพราะอะไรเราถึงสุข เวลาที่จากสุขเปลี่ยนเป็นทุกข์ เราเคยสืบหาดูไหมว่า ทำไมล่ะจากสุขจึงกลายเปลี่ยนเป็นทุกข์ พระพุทธองค์บอกว่า เรามองสิ่งใดต้องให้มองที่ต้นเหตุ อย่ามองที่บั้นปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำพูดว่า หากเกิดมาแล้ว รู้เส้นแรกและรู้เส้นจบ จะสามารถเป็นคนที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขและเท่าทันเหตุการณ์ แต่ถ้าเกิดมาแล้วรู้แต่เส้นจบไม่รู้เส้นเริ่ม หรือรู้แต่เส้นเริ่มไม่สามารถเดาเส้นจบ นั่นก็ยังคงต้องยากลำบากในโลกนี้ แต่ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ เรายกตัวอย่างสั้นๆ มีชายคนหนึ่งเดินไป แล้วปรากฏว่านั่งพักลงใต้ต้นไม้ เขาเกิดรู้สึกคันขึ้นมาจับจิตจับใจ เขาก็เกา แต่ตอนช่วงเกานั้น เขาก็คิดว่านั่งใต้ต้นไม้แล้วคันจึงลุกไปนั่งที่อื่น คราวนี้ไปนั่งโขดหิน จากคันตรงนี้ไปคันตรงนี้ เขาก็บอกว่า เอ๊ะ อะไรกันนี่ นั่งใต้ต้นไม้ก็คัน มานั่งตรงโขดหินก็คันอีก คราวนี้เปลี่ยนเป็นนั่งที่เก้าอี้ จากคันตรงนี้ คราวนี้คันด้านนี้ เขาจะนั่งตรงไหนก็คัน พอเขาคนนี้จะเข้าไปนั่งในบ้าน ก็คันอีก เขาก็บ่นกับลูกเขาบอกว่า “ทำไมคันจังก็ไม่รู้ลูก พ่อไปนั่งตรงไหนก็คันอยู่ตลอด” ปรากฏว่าลูกบอกว่า “พ่อนั่นไงมดไต่อยู่ที่ตัวพ่อ“ เหมือนมนุษย์เรานั้น บางครั้งไปอยู่ที่ใดก็ทุกข์ ย้ายที่ก็แล้ว ทุกข์อีก ย้ายไปอีกทุกข์อีกไหม บางครั้งทุกข์หนักกว่าเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพยายามหนีทุกข์ตลอด แต่เราไม่เคยหันมามองที่ตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์จากอะไร ทุกข์เพราะอะไร แล้วเราไม่ได้ดับที่ตัวทุกข์ แต่เราไปดับที่อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน เราอยู่บนโลก ทำไมจึงทุกข์แล้วทุกข์อีก หนีเท่าไรก็ยังทุกข์ นั่นก็คือเราไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แต่เราไปแก้ที่ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งแต่ที่ฟังเรามาใครพอเข้าใจบ้างว่าเราสามารถดับทุกข์ได้ด้วยการทำเช่นไรบ้าง วันนี้เรามาไม่ได้มาให้เงินทองท่าน ไม่ได้มาแสดงอภินิหาร ความแปลกตื่นตาให้กับท่าน แต่เรามาบอกว่าชีวิตของมนุษย์สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความทุกข์ คนทุกคนในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่กลัวทุกข์ เรามาถึงที่นี่ เรามาบอกวิธีดับทุกข์ได้ เรามาบอกวิธีที่จะช่วยทำให้ท่านมีชีวิตแล้วไม่ต้องไปเผชิญความทุกข์ได้ ไม่เป็นสิ่งที่ดีกว่าได้เงินทองหรือ บางครั้งมีเงินทองก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ ไม่มีเงินทองทุกข์ไหม ก็ทุกข์เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เราเจอกัน เราบอกวิธีดับทุกข์ให้กับท่านไม่ดีหรือ (ดี)
บางครั้งเราต้องทำสิ่งที่มีให้เหมือนไม่มี แล้วบางครั้งก็ทำสิ่งที่ไม่มีให้มองไม่เห็นไม่ได้ยินบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ทำสิ่งที่มีให้ไม่มีและทำสิ่งที่ไม่มีให้มี ไม่ถูกนะ ไม่ใช่เมื่อก่อนไม่มีตะกร้าพอเห็นก็อยากมี อย่างนั้นก็ทุกข์เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งการอยู่ร่วมกัน การไม่พูดความจริงก็ทำให้ทุกข์เหมือนกัน เพราะเรากำลังหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นอยู่ เมื่อไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้ เมื่อไม่ได้ก็จงบอกว่าไม่ได้ บางครั้งคนเขาไม่ซ้ำเติมหรอก เขาอาจจะยื่นมือช่วยก็มีใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้ไม่ใช่จะมีแต่คนเลวร้ายไปเสียทั้งหมด คนที่ดีพร้อมจะยื่นมือช่วยก็มีเหมือนกัน แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นก็คือการที่เราพร้อมที่จะเป็นคนดีท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย ปั่นป่วนและมืดมน พร้อมจะเป็นไหม (พร้อม)  นั่นก็คือเราสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ รู้จักมองความเป็นจริงและช่วยเพิ่มเติมสิ่งที่สังคมกำลังขาดแคลน เราจะเป็นผู้เติม นั่นแหละคือการบำเพ็ญตนช่วยเหลือคนในสังคมและช่วยขัดเกลาจิตใจของตนเองด้วย ทำได้ไหม (ได้)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาวงคำในบทกลอนเพื่อซ้อนพระโอวาท)
เมื่อสักครู่เราให้กลอนแต่ภายในกลอนยังมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่ เราอยากให้ท่านลองค้นหาให้เจอ ในตัวตนของมนุษย์นี้บางครั้งดูวุ่นวายสับสน บางครั้งดีบางครั้งร้าย แต่ในท่ามกลางดีร้ายนั้น ยังมีความเป็นพุทธะอยู่ หากมนุษย์รู้จักไขว่คว้า รู้จักแสวงหาภายในตัวตน เราจะค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตน ทุกๆ คนถนัดที่จะแสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง มีความชำนาญ มีประสบการณ์ มีความรู้ มีความเก่ง มีความสามารถอยู่ในโลกมากมาย แต่บางครั้งก็เอาตัวไม่รอด เพราะไม่เคยรู้จักตน เพราะแม้โอกาสจะอยู่ข้างหน้าก็มิเคยที่จะคิดไขว่คว้า
วันนี้สิ่งที่ท่านได้ศึกษาหรือสิ่งที่เราได้พูดมาตั้งแต่ต้น นั่นก็คือต้องการให้ท่านค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิตที่อยู่เหนือความมีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสีย หากเมื่อไรที่ท่านสามารถค้นพบ เมื่อไรที่ท่านมองเห็น เมื่อนั้นท่านจะรู้จักความเป็นพุทธะในตัวตน แต่มนุษย์ทุกคนนั้นอดไม่ได้ ยังติดอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง ทุกข์ สุข ได้ เสีย เมื่อไม่ปล่อยวางก็ไม่มีวันได้เจอ จริงหรือไม่ (จริง)  แม้วันนี้หากไม่ปล่อยวางความเป็นตัวตนก็ไม่มีวันได้เข้าถึงความเป็นพุทธะ หากวันนี้ยังยึดติดในตัวตนก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เราพูดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะทำอย่างไรกับความง่วงเหงาหาวนอนดี นั่งฟังไปได้สักพักหัวก็เริ่มเอียงซ้ายเอียงขวา หลังก็เริ่มปวดเมื่อย แม้วันนี้จะเมื่อยแต่ลองนั่งให้ดีๆ นั่งให้สง่าสักหน่อยได้ไหม (ได้)  ผู้ปฎิบัติงานธรรมยืนให้ตรงหน่อย
ความเปลี่ยนแปลงในโลกนี้ บางครั้งมนุษย์เราแม้จะเป็นคนที่ว่องไวในการดำเนินชีวิต แต่บางครั้งความเปลี่ยนแปลงของชีวิตแม้เราจะว่องไวเท่าไร บางครั้งเราก็ตามไม่ค่อยจะทัน แล้วเราจะไม่รู้ว่าอยู่ๆ ทำไมจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น ทำไมจากซ้ายจึงเปลี่ยนเป็นขวา จากขวาจึงเปลี่ยนเป็นซ้าย จากคนที่เคยดีๆ กันอยู่ทำไมจึงกลายเป็นคนคดในข้องอในกระดูก จากจิตใจที่เคยซื่อสัตย์จงรักภักดีกลายเป็นคนที่บกพร่อง บางครั้งเราอยู่ร่วมกับคนในสังคมที่เห็นกันอยู่ดีๆ ก็หายไป บางครั้งเราทำใจได้ไหม (ไม่ได้) แต่ละสิ่งแต่ละอย่างในโลกนี้ ก่อนที่จากหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นอีกหนึ่ง จากหน้ามือเปลี่ยนเป็นหลังมือย่อมมีช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดสมมติว่าท่านสามารถยึดกุมได้ แล้วจับจังหวะได้ย่อมเป็นคนที่ตามเท่าทันการเปลี่ยนแปลง และสามารถเปลี่ยนแปลงแล้วยังอยู่ได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสมย่อมเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งมนุษย์เราแม้จะรู้ว่าช่วงเปลี่ยนนั้นจะมีระยะ แต่เราก็มักจะปล่อยระยะนั้นทำให้เราเผลอลืมเตรียมตัวเตรียมใจ เหมือนวันนี้เราเคยมีความสุข แต่พอพรุ่งนี้เรานึกว่าความสุขยังอยู่ ความสุขกลับกลายเป็นความทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  บางทีเราตั้งรับไม่ทัน บางทีใจเราเปลี่ยนไม่ทัน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ท่ามกลางสิ่งที่ตรงกันข้ามสอนให้เรารู้จักชีวิต และทำให้เรามีชีวิตที่เข้มแข็งขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  หากโลกนี้มีเพียงด้านเดียว มนุษย์คงไม่รู้จักพัฒนาก้าวไกล จริงหรือไม่ (จริง)  จิตใจคนคงไม่ก้าวหน้าได้ คงถดถอย ความทุกข์จึงเป็นบทเรียน ความสุขบางทีก็สอนให้รู้จักความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่ามองว่าภาวะตรงข้ามเป็นสิ่งที่น่าเศร้า บางครั้งภาวะตรงข้ามก็เป็นบทเรียนอันดีงามที่ทำให้เราเห็นชีวิตได้แจ่มชัดขึ้น เห็นความเป็นคนได้อีกมุมหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลกนี้เราจะต้องตามให้ทันทุกๆ เหตุการณ์ อย่าประมาท แม้นั่งอยู่กับเราหากใจท่านจับไม่ดี ฟังก็อาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะมัวคิดไปเรื่องอื่น จริงหรือไม่ (จริง)
ภายในกลอนนี้มีคำว่าอะไรแฝงอยู่ อยากรู้ไหม (อยาก)  วันนี้ธรรมะที่เราจะพูดกับท่าน หากเราพูดยาวต่ออีก ท่านคงไม่มีใจจะรับฟังอีก เพราะแค่ฟังไปเรื่องเดียวก็มึนเลย อย่างนั้นสิ่งที่เราอยากจะบอกเป็นเรื่องสุดท้ายก่อน นั่นก็คือว่ามนุษย์เรานั้นจะเป็นคน จะเป็นพุทธะ หรือว่าจะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐปฎิบัติตนดีงาม ล้วนขึ้นอยู่ที่การกระทำของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กระทำเช่นไรล่ะ หากกระทำแล้วยังติดในทุกข์สุข ดีร้าย ได้เสีย ก็ยังเป็นมนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าเรารู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนมีโอกาสรู้จักปล่อยวางเรื่องงานทางโลก มีโอกาสรู้จักปล่อยวางเรื่องการแสวงหาทรัพย์สิน ชื่อเสียง แล้วเอาเวลาที่ปล่อยนั้นมาฉุดช่วยคน มานำพาคน ให้รู้จักหนทางในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และถูกต้อง นอกจากช่วยคนได้หนึ่งคนแล้ว เรายังช่วยขัดเกลาจิตใจตนได้หนึ่งครั้ง เพราะคนแต่ละคนย่อมมีอุปนิสัยที่แตกต่างจากเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราสามารถน้อมนำและนำพาเขาได้ และเขาพร้อมที่จะติดตามเราไป เมื่อนั้นเราได้ฝึกความอดทนอดกลั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราได้ฝึกจิตใจเมตตาและเสียสละ หากคนที่รู้จักทำเช่นนี้ได้ ย่อมเป็นบุคคลที่น่าเคารพในสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันกันในปัจจุบันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่ามกลางความแก่งแย่ง หากเรายังมาบอกให้ท่านแก่งแย่งแข่งขันแสวงหาอีก เราก็คงไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ หาใช่เรียกพุทธะไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามาครั้งนี้ เรามาบอกให้ท่านรู้ว่า มนุษย์นั้นจะเป็นพุทธะได้ ไม่ใช่เรื่องยาก รู้แค่เพียงว่าไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตน แต่เกิดมาแล้วค่าของคน คือมีชีวิตต้องรู้จักให้คนอื่นบ้าง มีชีวิตต้องทำดีเพื่อคนอื่นบ้าง เรายังมัวกังวลสุขของตัวเอง เรายังมัวกังวลทุกข์ของตัวเอง ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเรื่องบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องไกลเกินชีวิต เรื่องบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องหลอกลวงชีวิต คนที่บำเพ็ญได้คือคนที่สามารถนำพาชีวิตกลับคืนสู่ความสว่างไสว กลับคืนสู่ต้นเดิมที่ตัวเองเคยเป็นมา ไม่ใช่ตัวตนปัจจุบันนี้ที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความหลง อารมณ์นานานับไม่ถ้วน เรามาพูดกับท่านถึงคราวที่ต้องพูดหนักเราก็ต้องหนัก ถึงคราวที่พูดเบานุ่มนวลให้เข้าใจก็ต้องเบานุ่มนวลให้เข้าใจ ใช้ไม้เดียวกับท่านมักไม่เป็นผล ต้องใช้หลายๆ ไม้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตีท่านหนเดียวมักไม่ตื่น ต้องตีท่านหลายๆ ครั้ง ปลุกท่านทีเดียวท่านไม่รู้จึงต้องปลุกท่านหลายๆ ครั้งจึงจะปลุกได้จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะถ้าท่านห่างห้องพระแล้วตอนนั้นก็คงจะหาใครปลุกท่านเรียกท่านอีกต่อไปได้น้อยเต็มที เพราะมีแต่ตัวท่านเองเท่านั้น จะเรียกตัวเองไหม จะเรียกตัวเองเดินไปทางนี้หรือจะเรียกตัวเองเดินไปทางนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีธรรมอยู่ทุกทางธรรมนั้นจะช่วยให้เราไม่ผิดไม่หลง แต่ถ้าไร้ธรรมทุกๆ ทางไม่ว่าทางนั้นจะดีหรือทางนั้นจะร้าย ก็หลงได้ทุกๆ ทาง จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะมนุษย์เรานั้นก็เปรียบเป็นเหมือนปฏิมากรรมอันยิ่งใหญ่ จะเป็นปฏิมากรรมอันยิ่งใหญ่หรือเป็นปฏิมากรรมอันเล็กนิดเดียวขึ้นอยู่กับว่าเขามองเห็นคุณค่าของตน และได้ใช้คุณค่าของตนเพื่อใครบ้าง หากเพียงเพื่อตนเขาก็มีค่าแค่ตนเอง แต่ถ้าเกิดว่าเขาหาคุณค่าในตัวตนและเอาคุณค่าในตัวตนนั้นช่วยมวลชน ค่าของเขาจะเป็นปฏิมากรรมที่สร้างแล้วยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
“ทำสิ่งใดต้องเริ่มที่ตนเองก่อน เราย่อหย่อนจะเร่งใครใครเร่งให้
เมื่อมุ่งให้คนอื่นเริ่มทำสิ่งใด เราต้องรีบไปเริ่มทำก่อนทุกครั้งเอย”
พอเข้าใจกลอนบทนี้ไหม นั่นก็คือว่าอยู่ในโลกนี้เราอย่าได้เรียกร้องว่าผู้อื่นต้องแสดงก่อน หากเรารอแต่เรียกร้องผู้อื่น เราจะไม่มีวันที่จะได้ค้นพบมีแต่เรียกร้องตัวเองทำก่อน เมื่อไรที่ตัวเองทำก่อนผู้อื่นย่อมทำตาม มีแต่เร่งที่ตัวเองก่อน ไปเร่งใครไม่มีผลเท่ากับไปเร่งที่ตัวตนเองใช่หรือไม่
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกคนเมื่อตั้งใจจะบำเพ็ญตนเองแล้ว ขอให้ยืนอยู่บนรากฐานที่เชื่อมั่นและเข้าใจ หากบนรากฐานขาดซึ่งตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เมื่อยิ่งเดินทางไกลจะยิ่งไปไม่ถึงใช่ไหม ถ้าขาดความเข้าใจในการบำเพ็ญธรรมเดินไปก็จะยิ่งสับสน เดินไปก็จะยิ่งไขว้เขว หากขาดซึ่งความเชื่อมั่นในตัวตน เชื่อมั่นในพุทธะ หรือเชื่อมั่นในธรรมะ หากขาดตัวใดตัวหนึ่งแล้ว แม้ยิ่งเดินทางไกลก็ยิ่งไปได้ไม่ถึงจะล้มก่อนข้างทาง ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมขอให้ยืนอยู่บนความเชื่อมั่นและความเข้าใจที่ถูกต้อง หากมีสองสิ่งนี้แม้หนทางจะไกลหมื่นลี้ก็ไปได้ถึง แม้ความเป็นพุทธะจะยากเพียงใดก็สำเร็จด้วยมือท่าน
วันนี้ก็คงเพียงเท่านี้นะ ขอให้รักษาโอกาสให้ดี ใครที่คิดว่ามาวันเดียวแล้วไม่อยากมาอีก ขอให้เอากลับไปพิจารณา ขอให้ลองทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ธรรมะไม่ใช่เรื่องไกลชีวิตและไม่ใช่เรื่องหลอกลวง

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

แม้หยกแตกละเอียดแล้วหยกยังขาว ไผ่ลำยาวแม้นถูกแบ่งยังเหลือปล้อง
ศิษย์เมธีแม้นเจอทุกข์ให้รู้ตรอง คงครรลองการบำเพ็ญเป็นพุทธา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์     แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า

หากปลงตกความจริงชีวิตได้ ไม่ต้องใช้ความอนธการแอบโศกศัลย์
ศึกษาธรรมเข้าใจในเปลี่ยนผัน สติมั่นปัญญาคนย่อมทันตา
ไม่เปลี่ยนแปลงใจอดทนในบำเพ็ญ ต่างความเห็นทำการต้องปรึกษา
กว่าเห็นดีเขารอใจผวา ไม่สนง่ายแต่ทว่าแตกสามัคคี
ทางบำเพ็ญเรียบดีขึ้นเพราะขัดเกลา ขยันเข้าการปลุกคนยิ่งหน้าที่
ย้อมกิเลสพุทธจิตในเมาทันที ท่องโลกีย์เริ่มต้องมึนยากกำราบ
อนาคตสรรค์สร้างโดยขึ้นกับตน สร้างตนค่อยสร้างคนตามลำดับ
ไม่เห็นแก่ตนจึงสามารถรับ ภาระหนักบ้างถึงกับน้ำตาคลอ
ฮา  ฮา  หยุด

สุขที่กลายทุกข์ไป   ใหม่ที่กลายหมองลง   ศิษย์อย่าไปพะวง ทำให้ใจสบาย
หนักกลับเบาขึ้นมา โศกกลับนำโชคกว่าครั้งใด   ศิษย์อย่าไปได้ใจ   สยบใจให้ตรง
? ศิษย์ที่บำเพ็ญแล้วคงรู้   สู่ความดี   ทำด้วยความตั้งใจ   ตื่นมาแล้วนอนต่อทำไม   รู้สร้างตนแล้วสร้างคนตาม   คอยร้อนใจ  หากบางครั้งเราตื่นธรรม   ในจิตนี้น้อยไป

ทำนองเพลง : หักใจให้ลืม
เพลง : ทำจิตใจให้เป็นปกติเสมอ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เรามานั่งสองวันนี้  ถ้าเราตั้งใจฟังเรารู้หรือใครรู้ (เรารู้)  แล้วใครรู้สึกผิด (ตัวเรา) เพราะฉะนั้นอย่าถามว่าเรานั้นเกิดมาเพื่ออะไร ทำอย่างนี้เพื่ออะไร แต่ควรจะถามว่าตัวเราอยู่เพื่ออะไร แล้วตัวเราทำอะไรอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคำถามที่เราควรจะตอบตัวเองไหม (ควร)  คนบำเพ็ญเกิดมาตลอดชีวิตไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองนั้นทำอะไร และไม่เคยรู้เลยว่าเราควรจะทำอะไรดี  เพราะว่าตลอดชีวิตนั้นไม่เคยกลับมานั่งคิดย้อนมองตนเองเลย แม้ว่าเรานั้นจะจนจะรวย เป็นเรื่องสำคัญไหม (ไม่สำคัญ)  เรารู้จักคนอื่นมาก เรารู้จักว่าเขามีฐานะอย่างไร รู้ไปหมดทุกอย่าง แต่กลับไม่รู้จักตนเอง  น่าสงสารไหม (น่าสงสาร)  เพราะฉะนั้นการที่เราฟังธรรมะสองวันนี้ควรจะได้อะไรมากที่สุด สองวันฟังไปแล้วต้องมีความเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงในทางที่เลวลง (ดีขึ้น)  แล้วใครจะเป็นผู้ที่ทำให้เราดีขึ้น (ตัวเราเอง)  แล้วถ้าหากว่าเราอยากจะดีขึ้น เราต้องทำอย่างไร กลับไปนั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ หรือว่าตื่นเช้าเราไปทำงาน ถึงเวลากินข้าวเรากิน อย่างนี้จะมีความเปลี่ยนแปลงไหม (ไม่มี)  ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดได้ เมื่อเรานั้นรู้จักที่จะลงมือทำเอง เราทำเท่าไรเราก็จะได้เท่านั้นไม่มากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ทำเพื่อตัวเองมาก หาเงินก็หาเพื่อตัวเอง ลงแรงทำอะไรก็เพื่อตัวเอง เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่รู้จักทำเพื่อผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องสมควรไหม (สมควร)  แต่ก่อนที่เราจะช่วยผู้อื่นนั้น ต้องช่วยใครก่อน (ตัวเอง)
สองวันนี้มานั่งฟังมีคนพูดมากมาย สอนให้ศิษย์รู้สิ่งต่างๆ มากมาย แต่หากว่าฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา จะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เราฟังแล้วต้องกลั่นกรอง  ต้องพิจารณาด้วยปัญญา ไม่ใช่พิจารณาด้วยสมอง ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ดีๆ นั่งอยู่กับบ้านดูทีวีแล้วจะมีปัญญาไหม (ไม่มี)  ถ้าหากว่าเรารู้จักออกไปช่วยผู้อื่นบ้าง อย่างเช่น เดินออกไปจูงคนข้ามถนน ศิษย์คิดว่าปัญญาของศิษย์จะเกิดขึ้นบ้างไหม  (เกิด)  แต่ยังเป็นปัญญาที่เล็กน้อยมาก ถ้าเทียบสัตว์ในโลกนี้ก็อาจจะเปรียบเสมือนตัวมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่อเมื่อศิษย์ทำความดีขึ้นบ่อยๆ ปัญญาของศิษย์ก็จะมีมดหลายๆ ตัวมารวมกัน ก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้น เมื่อศิษย์รู้จักที่จะช่วยผู้อื่น โดยไม่เห็นแก่ส่วนตนแล้ว เมื่อนั้นปัญญาของเราก็อาจจะใหญ่เท่าไหน ใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเราเอง)  อยากมีปัญญา อยากมีความดีเท่าไหน ใครเป็นผู้กำหนด (เราเป็นผู้กำหนด)
เมื่อวานนี้ได้พระโอวาทซ้อนคำว่าอะไร (สร้างตน)  เข้าใจหรือยังว่าทำไมถึงให้สร้างตน พอเข้าใจหรือยัง ถึงบอกว่าต้องสร้างตัวเองก่อน สร้างตัวเองออกไปให้ดี เพื่อที่จะไปช่วย (ผู้อื่น)  ถ้าเราบอกผู้อื่นว่าทำดี เปลี่ยนแปลงนิสัยให้ดีๆ หน่อย แต่นิสัยใครยังแย่อยู่ (เราเอง)  พูดไปใครฟังไหม  (ไม่ฟัง)  เพราะฉะนั้นการที่เราสร้างคนนั้น คือสร้างตนให้เป็นคนดี แล้วเป็นแบบอย่างใช่หรือไม่  (ใช่)  จำเป็นไหม (จำเป็น)  ไม่ใช่สร้างตนให้เป็นคนร่ำรวย ให้เป็นผู้ดูแล้วมีสง่าราศี แต่สง่าราศีนั้นตามหลังมา หลังจากที่เรานั้นได้เป็นผู้สร้างตนให้เป็นคนดีแล้ว สง่าราศีนั้น ก็จะยิ่งมาหาเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนดูดีมีสง่าราศีก็ไปทำผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเปลี่ยนรองเท้า ใส่ทอง แต่งหน้าทาคิ้ว คาบซิการ์สักหน่อย ในกระเป๋ามีเงินหนาๆ แล้วก็ดูมีสง่าราศี กับอีกคนหนึ่งแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ใบหน้าของเขายิ้มเสมอ ถามว่าใครจะมีสง่าราศีมากกว่ากัน (คนที่ยิ้มเสมอ)  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่ามนุษย์สมัยนี้เดินจนหลงทาง จิตใจไม่รู้จะออกไปทางไหนดี  จิตใจของเรานั้นบางทีก็ดีบางทีก็ร้าย ถึงบอกว่าจิตใจของเรานั้นหลงทาง สมควรไหมที่เบื้องบนต้องลงมาช่วยคนที่จิตใจหลงทาง  (สมควร)  แล้วเราเป็นผู้หลงทางหรือเปล่า (เป็น) ยอมรับตัวเองไหม (ยอม)  ใครไม่ยอมรับไม่เป็นไร อาจารย์ชื่นชม คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองจิตใจหลงทางก็ดีแล้ว จำเป็นต้องช่วยให้ผู้อื่นนั้นมีจิตใจที่ไม่หลงทาง ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อเราไม่หลงทางก็จำเป็นที่จะต้องช่วยผู้อื่นไม่หลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นจึงเรียกว่าเป็นผู้มีจิตใจที่ไม่หลงทางอย่างแท้จริง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราบอกว่าอะไรๆ เราก็รู้ แต่เราไม่เคยทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถามว่าเรานั้นเป็นผู้ที่ดีหรือเปล่า ต้องพิจารณา ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แม้นหยกแตกละเอียดแล้วหยกยังขาว”
วันแรกท่านองค์ประธานคุมสอบสามภูมิบอกว่า หยกต้องเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์บอกว่า หยกแตกละเอียดเลย หยกอันนี้หมายถึงใคร (ตัวเราเอง)  เราเจอความยากลำบากมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีตัวเราก็หาเรื่อง บางทีคนอื่นก็หาเรื่อง แต่ความยากลำบากนานานั้น บางทีก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจารย์จึงบอกว่า แม้หยกแตกละเอียด คือตัวเรา จิตใจของเรานั้นจะถูกทำร้ายจนแตกละเอียด แต่ว่าถ้าเราเป็นหยก ก็ต้องเป็นหยกอยู่วันยังค่ำ   ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่ใช่หยกแตกออกมาก็เป็นอะไร ถ้าเราไม่ใช่ คนเอาไม้มาเคาะดูว่าเป็นหยกแท้หรือเปล่า ก็ต้องเจียระไน ต้องกระเทาะเอาข้างในออกมาดู ถ้าหากว่าเราเป็นหยกจริง เราก็คงจะฝ่าฟันความยากลำบากได้ แม้ว่าจะแตกแล้วข้างในก็ยังเป็นหยกอยู่ แต่ถ้าเราไม่ใช่ แตกออกมาก็กลายเป็นหินซ่อนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าคนที่เป็นคนดี แม้จะถูกความอยุติธรรม แม้จะถูกอุปสรรค ความยากลำบากต่างๆ นานา  เข้ามาทดสอบจนแตกละเอียด ก็ยังคงสภาพของความเป็นหยกอยู่เสมอๆ ฉะนั้นไม่ต้องสงสัย หากว่าวันนี้เราเจอความยากลำบากอยู่ ก็ดูซิว่าตอนแตกนั้นเราเป็นหยกหรือเปล่า
“ไผ่ลำยาวแม้นถูกแบ่งยังเหลือปล้อง”
เคยเห็นไม้ไผ่ไหม (เคย)  เป็นอย่างไร (ลำยาว)  ถ้าถูกแบ่งแล้วเป็นอย่างไร เคยเห็นตะเกียบไม้ไหม (เคย)  เคยเห็นตอนที่เราเอาไม้ไผ่นั้นมาทำสิ่งต่างๆ ไหม แล้วถ้าเราแบ่งไม้ไผ่ออกจากกันแล้วยังเหลือปล้อง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ว่าถูกแบ่งไป ความเป็นไผ่แสดงให้คนที่มาแบ่งเรานั้นรู้ว่าเรายังเป็นไผ่ได้ที่ไหน (ที่ปล้อง)  เพราะว่าถึงจะแบ่งไปเท่าไร แบ่งละเอียดเท่าไร  ปล้องที่ไม้ รอยที่ไม้ก็ยังเป็นหยัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราจะเป็นคนที่โดนคนอื่นกลั่นแกล้งอย่างไร แม้ว่าจะมีความอยุติธรรมมาทดสอบเรามากขนาดไหน  ถ้าหากว่าเราเป็นไผ่ เราก็ต้องเหลือปล้องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเหลือปล้องไม่ได้ แสดงว่าเราไม่ใช่ไผ่ ใช่ไหม (ใช่)
"คงครรลองการบำเพ็ญเป็นพุทธา"
เมื่อเราคิดจะเป็นพุทธะเจอความยากลำบากอะไรก็จะต้องมีจิตหนึ่งใจเดียวที่จะฝ่าฟัน แม้เจอความทุกข์ยากลำบากอย่างไร ให้เรารู้จักคิด แม้เรานั้นทุกข์อย่างไรให้คงครรลองแห่งการบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะนี้ไว้ให้ได้ ท่ามกลางความทุกข์นี้ ขอให้เป็นชาติสุดท้ายที่ศิษย์จะเวียนว่ายอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราคิดว่าเราเชื่อมั่นแล้ว ขอให้เรานั้นได้ช่วยผู้อื่นบ้าง ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ช่วยใครเลย แล้วศิษย์ของอาจารย์จะไปเป็นพุทธะคนเดียวหรือ
อาจารย์จะพูดอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง คนที่ยิ่งอยู่เคยชินกับความเย็นยิ่งโดนพัดลมจ่อยิ่งร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งอดทนต่อความร้อนมากเท่าไหร่ยิ่งไม่ร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสบายอยู่กันอย่างสบายๆ มากเกินไปยิ่งทนความลำบากไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นลำบากๆ หน่อย จะได้ทนความลำบากได้ มิเช่นนั้นชะตาชีวิตของศิษย์ก็จะมีแต่ความยากลำบากเอาไหม (ไม่เอา)  เป็นไปได้ไหมที่ใครคนหนึ่งจะสบายตลอดชีวิต (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็เคยมีความยากลำบากมาบ้าง หรือเรากำลังเจอความยากลำบากอยู่เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า เราก็เหมือนปกติชาวบ้าน ถ้าหากว่าเราไม่เคยเจอความยากลำบากเลยถึงต้องตกใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะสักวันหนึ่งเราต้องเจอความยากลำบากแน่นอน เหมือนสัจธรรมที่บอกว่าเมื่อทุกข์ถึงที่สุดแล้วก็จะกลายเป็นอะไร (สุข)  เมื่อสุขจนถึงที่สุดก็จะมีอะไรแทน (ทุกข์)  เพราะฉะนั้นคนที่สุขอยู่ตอนนี้ก็ต้องรู้จักรักษาความสุข หากไม่รู้จักรักษาความสุขแล้วความสุขจะหลุดลอยไปไหม บางทีแม้ว่าเรารักษาความสุขนั้นไว้ แต่ความสุขนั้นจะอยู่กับเราหรือเปล่า บางทีเรารักษาแทบตายก็ไม่อยู่กับเรา บางทีเราไม่รักษาก็อาจจะอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้คือความไม่แน่นอน คำนี้เคยได้ยินกันมานานแล้ว แต่เมื่อมีความไม่สมหวังเกิดขึ้น มีความไม่สมใจ ขัดใจเกิดขึ้นเราทำใจได้ไหม (ทำใจไม่ได้)  เคยเห็นมนุษย์บางคนถึงขนาดฆ่าตัวตายหรือเปล่า แล้วเราคิดว่าเราจะไปถึงจุดนั้นไหม บางทีคนที่เขาคิดจะฆ่าตัวตายก็เคยคิดแบบศิษย์เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนไป จิตใจในขณะนั้นเปลี่ยนไปทำให้เขาคิดไม่ตก ทำไมคนถึงคิดไม่ตก เพราะว่าไม่เคยศึกษาธรรมะมาก่อน ทำให้เรานั้นไม่รู้จักหาทางแก้ปัญหาให้กับตัวเอง ฉะนั้นสองวันนี้ฟังธรรมะแล้ว เราต้องรู้จักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงหนึ่งเพลงเป็นการต้อนรับพระอาจารย์ ก่อนร้องเพลงให้ยิ้มหวานๆ)
ทำไมถึงได้ยิ้มยากกันอย่างนี้ เพราะจิตใจของเรายังไม่เปิด อยู่ดีๆ เรียกให้เรายิ้มก็ยิ้มไม่ได้ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นลองหันไปเปิดใจตัวเองหน่อย ไหนหลับตาเปิดใจตัวเองหน่อย ใครใส่กุญแจไว้หลายชั้นก็เปิดยาก ถ้าหากว่าใส่กุญแจไว้น้อยชั้นก็เปิดง่าย ใช่ไหม (ใช่)  บ้านของเราถ้าหากว่าปิดประตู ปิดหน้าต่างไว้นานๆ ก็อับ ต้องเปิดให้หมด ให้ลมเย็นเข้าไปหน่อยดีหรือไม่ (ดี) ให้ธรรมะเข้าไปนิดหนึ่ง
อย่าไปปรบอยู่ตรงตักมันไม่มีเสียง เอาจิตใจเปิดกว้างๆ แล้วเอามารวมกันดีหรือไม่ (ดี)  จิตใจเปิดไม่กว้างก็รวมไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงต้อนรับอาจารย์)
อย่างนี้ค่อยเปิดใจกว้างๆ หน่อยใช่ไหม อาจารย์อยากฟังศิษย์ของอาจารย์พูดว่าสองวันนี้มาที่นี่มีอะไรที่คิดว่าตัวเองกลับไปเปลี่ยนแปลงได้บ้าง แล้วใครคิดว่ากลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรก็ยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้นตอบดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อวานนี้หากใครไม่ได้ผลไม้วันนี้เอาให้ได้ (ที่ผมได้มาอบรมผมได้เกิดความรู้สึกว่ากลับไปจะต้องกลับไปคิดดี ทำดี สร้างดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยังด้อยโอกาสไม่อยู่ในวันนี้)
ความกตัญญูเป็นคุณธรรมประการแรกของการบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าเรานั้นไม่กตัญญูจะสำเร็จเป็นพุทธะไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องกตัญญูทั้งต่อพ่อและต่อแม่ไม่เลือกคนใดคนหนึ่ง เราต้องมีจิตใจที่เปิดกว้างในความผิดของพ่อแม่ของเรา ถึงแม้ว่าท่านจะทำผิดเท่าไร แต่ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะโทษพ่อแม่ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่ต้องหาวิธีที่จะพูดกับท่านให้ดีเข้าไว้และส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าศิษย์อยากกลับไปเริ่มต้นง่ายๆ ส่งน้ำให้พ่อแม่ดื่ม และค่อยขยับไปส่งข้าวให้พ่อแม่ทานแล้วค่อยขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่สูงที่สุด ทองแท้ไม่กลัวการพิสูจน์ ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ทำจริงๆ วันเวลาจะคอยบอก
อาจารย์บอกให้แค่รู้ว่าเรามีกิเลส ก็เท่ากับว่าเราได้ก้าวขึ้นบันไดขึ้นที่หนึ่งแล้ว เพราะว่าโดยทั่วไปเราคิดว่าเราไม่มีกิเลส  ถึงจะรู้ตัว แต่เรามักจะให้เหตุผลตัวเองต่างๆ นานา เมื่อเรามีเหตุผลมาก เราก็ย่อมจะไม่ฟังผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกให้ศิษย์ลุกขึ้นยืนตอบว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไร เพื่อให้เราได้แสดงความตั้งใจออกมาเป็นสิ่งที่คนอื่นได้ฟังด้วย  คนส่วนใหญ่มักจะมัวแต่ฟังเสียงตัวเอง  ว่าเราต้องการอะไร เราจะทำอะไร เราเห็นอย่างไร โดยที่ไม่ฟังว่าคนอื่นเห็นอย่างไร  เหมือนกับเรามานั่งฟังธรรมะสองวันนี้ เราก็คิดว่าธรรมะไม่มีอะไร แต่ศิษย์คิดไหมว่าทำไมคนอื่นเขาถึงบอกว่าเขาอยากเปลี่ยนแปลง  แสดงว่าเรานั้นคิดไม่เหมือนชาวบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความเปลี่ยนแปลงระหว่างเขาและเรา  อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้รู้ถึงความคิดของผู้อื่น เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราต้องเพิ่มเติมสิ่งใดให้กับตัวเราบ้าง  ถ้าหากว่าเป็นคำพูดที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดกันบ่อยๆ ก็จะบอกว่า "มีรากธรรมไม่เท่ากัน"  แต่เราจะยอมให้รากธรรมไม่เท่าคนอื่นหรือ  บางทีเราก็ต้องเอาใจช่วยรากของเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราก็ต้องตั้งใจรักษารากของเราด้วย เพื่อที่จะให้รากต้นไม้ รากพุทธจิตธรรมญาณของเรานั้นแข็งแรง  เอาใจช่วยตนเองด้วย อย่าให้ตัวเองนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนไม่มีบุญ ไม่มีโอกาส และก็ไม่รู้จักทำด้วย  ขอให้เราเอาใจช่วยตัวเองด้วย ฟังความคิดของผู้อื่น
คนที่มีบุญมาก คนที่คิดจะบำเพ็ญ หลังจากที่ฟังสองวันนี้ ในสายตาคนทั่วไปนั้นเหมือนกับว่าเป็นคนโง่  แต่ศิษย์คิดไหมว่าที่ให้ทำนี้ทำอะไร ไม่ได้ให้ศิษย์ทำสิ่งอื่นเลย นอกจากบำเพ็ญตน บำเพ็ญความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะเสียหายตรงไหนถ้าศิษย์ของอาจารย์จะดีมากกว่าเมื่อวานนี้ จะดีมากกว่าวันที่ผ่านไป  แล้วจะเป็นอะไรถ้าเราจะเสียเปรียบคนอื่นนิดหน่อย จะเป็นอะไรถ้าเรายอมให้คนอื่นรังแกนิดหน่อย จะเป็นอะไรถ้าเราจะเสียเงินไปแล้วได้ความดีกลับมา จะเป็นอะไรถ้าเราเสียโอกาสบางโอกาสไปแล้วเราได้ความเคารพของคนอื่นมา  ขอให้เรารู้ว่าเรานั้นจะเปลี่ยนแปลงอะไรหลังจากสองวันนี้
เด็กๆ กับผู้ใหญ่กลับรับปากว่าจะเลิกเถียงพ่อแม่  ต่อเมื่อพ่อแม่ไม่ขัดใจใช่ไหม (ใช่)  มีข้อแม้ไหม (ไม่มี)  เลิกเถียงก็คือเลิกเถียง  เพราะว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าพ่อแม่จะพูดว่าอะไร จะขัดใจเรามากเท่าไหร่ก็ต้องเลิก ใช่ไหม (ใช่)  ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำนะ
ตอนนี้อาจารย์มาพบหน้าศิษย์ให้ศิษย์พูดความในใจก่อน อาจารย์นั้นพูดตามหลัง การมาบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่เคยแกะทุเรียน แต่เราอยากจะกินทุเรียน ไม่มีคนแกะให้ เราต้องทำอย่างไร (แกะเอง)  ครั้งแรกแกะก็เจ็บเป็นธรรมดา  แต่ครั้งต่อไปถ้าหากว่าเราแกะ เราก็ชำนาญมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีความสนใจในด้านการแกะทุเรียน วันนี้แกะยังไม่ประสบความสำเร็จ วันหน้าพอเจอคนที่เขาแกะเป็น เรารีบเข้าไปถามเลย  นั่นเรียกว่าความสนใจในการใฝ่รู้ ในการต้องการที่จะเป็น ถ้าหากว่าเราไม่ใฝ่รู้ในการบำเพ็ญธรรม เราไม่เคยมองไม่เคยสนใจ ก็เหมือนคนที่อาจารย์สมมติว่า เขานั้นไม่อยากแกะทุเรียน ทุกครั้งไปซื้อ ก็ไปซื้อลูกที่เขาแกะเสร็จเรียบร้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์จึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วทุกๆ อย่างต้องทำด้วยตัวเอง คนรวยใช้เงินซื้อ คนจนต้องทำเอง  คนรวยมีโอกาสกิน คนจนก็อดกินใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีชีวิตเกิดมานั้น ทำไมคนเราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องเงินทองมาก เพราะว่าเงินทองให้ได้ทุกอย่าง  แต่เงินทองให้ความสุขได้ไหม (ไม่ได้)  ความสุขอยู่ข้างนอกหรืออยู่ข้างใน (อยู่ข้างใน)  เราจะสุขได้เราต้องทำใจของเราให้สุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราไม่ทำใจให้สุข มานั่งสองวันนี้เขาบอกว่าธรรมะทำให้คนสุขได้ มานั่งสองวันนี้จบกลับไปยังทุกข์ ทำไมยังทุกข์ เพราะว่าใจของเรามันไม่สุขเอาเสียเลย  แต่ว่าความสุขแท้จริงในโลกนี้ไม่มีหรอก ความสุขในโลกนี้มีอยู่แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ถ้าหากศิษย์ยึดความสุขเป็นสรณะก็จะไม่เจออะไรเลย  ฉะนั้นเกิดมานั้นจะต้องทำความดีตลอดมาตั้งแต่เล็กจนโต
อาจารย์ถามว่าอยู่ที่นี่ใครคิดว่าตัวเองเป็นคนดียกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดียกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองดีครึ่งไม่ดีครึ่งยกมือขึ้น แล้วคนที่ไม่ยกมือหมายความว่ายังไม่รู้ตัวเองใช่ไหม ยังไม่รู้ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี (ไม่แน่ใจ)
อาจารย์จะบอกว่าคนนั้นเกิดมาต้องทำดี เราฟังตั้งแต่เด็ก เกิดมาอยู่ในประเทศไทย พ่อแม่ก็สอนให้เราทำดี  แต่เราก็ไม่เคยยอมที่จะทำดีจริงๆ ใช่ไหม ทำไมอาจารย์ต้องมาพูดว่าทำดีๆ ก็เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ยังไม่แน่ใจตัวเองว่าเป็นคนดีหรือเปล่า ถึงต้องมาเรียกร้องให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนดี และก็ดีจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะบอกว่าคนที่มาสถานธรรมนั้นดีทุกคนได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะทุกคนเป็นคนจึงมีดีมีเสียคละเคล้ากันไป  อยู่ที่ว่าในขณะนั้นยอมให้ความดีหรือยอมให้ความชั่วมาเป็นใหญ่ หมายความว่าเวลาที่ศิษย์จะนั่งลงกินข้าว พอดีมีคนมาขอข้าวกิน แต่มีอยู่ชามเดียว ดังนั้นถ้าหากเราถึงขนาดรำคาญคนที่มาขอ แสดงว่าเรายอมให้ความชั่วร้ายมาเป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากเราบอกว่าเรากินครึ่งเดียวแล้วกัน ให้เขาไปครึ่งหนึ่ง แสดงว่าตอนนั้นเรายอมให้อะไรเป็นใหญ่ (ความดี)  หากว่าใจหนึ่งก็อยากให้อีกใจหนึ่งไม่อยากให้ อะไรเป็นใหญ่ ความไม่รู้จักตัวเป็นใหญ่
"ศึกษาธรรมเข้าใจในเปลี่ยนผัน"
ชีวิตคนเกิดมานั้นต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายทุกคน  ไม่มีใครหนีพ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่ามีใครบ้างเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงอันนี้บ้าง อย่างเช่นผู้หญิงเวลาอายุมากๆ แล้วต้องไปดึงไว้ คนๆ นี้เข้าใจในความเปลี่ยนผันไหม (ไม่เข้าใจ) คนเกิดมาไม่ได้รวยทุกคน รวยแล้วต้องมีจนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาจนแล้วทำใจไม่ได้ คนนี้เข้าใจความเปลี่ยนผันไหม (ไม่เข้าใจ)  เกิดมามีพร้อมทุกอย่างถึงวันหนึ่งทุกอย่างหายไปกับตาทำใจไม่ได้ คนนี้เข้าใจความเปลี่ยนผันไหม (ไม่เข้าใจ)  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าศึกษาธรรมเข้าใจความเปลี่ยนผันหมายความว่า เราศึกษาธรรมเพื่อทำใจได้ ปล่อยวางได้ รู้ปลงได้ รู้พอได้ มีความสุขได้ อยากมีความสุขต้องรู้จักพอใช่หรือไม่ (ใช่)
"ไม่เปลี่ยนแปลงใจอดทนในบำเพ็ญ ต่างความเห็นทำการต้องปรึกษา”
หมายความว่า การที่จะอยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่เรามาจากต่างพ่อแม่จึงมีต่างความคิดเห็น เราต้องใช้ความอดทนในการที่จะอยู่ร่วมกัน แล้วถ้าหากความเห็นไม่ตรงกัน ต้องรู้จักที่จะปรึกษาหารือกัน แล้วความคิดของคนส่วนมากเป็นใหญ่ไม่ใช่เอาความคิดของตัวเราเป็นใหญ่
"กว่าเห็นดีเขารอใจผวา" หมายความว่าบางทีเรามีอารมณ์ กว่าที่คนอื่นเขาจะมาขอความคิดเห็นเรา เขาจะต้องคิดหลายตลบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาก็กลัวเราไม่พอใจ กว่าเราจะเห็นดีกับเขาก็ยังอีกตั้งนาน เพราะฉะนั้นบางทีเราต้องหัดมองหน้าคนอื่นบ้าง ต้องหัดเห็นใจคนอื่นบ้างและเข้าใจเขาบ้าง บางทีนั้นเรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย  แต่มนุษย์สมัยนี้ถนัดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอยากจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กก็ยังได้ เพียงแต่ว่าต้องเห็นใจซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
"ไม่สนง่ายแต่ทว่าแตกสามัคคี" ทำไมต้องไปสนใจเขาด้วย อาจารย์จึงบอกว่าไม่สนนะง่าย เราไม่สนใจที่จะเข้าร่วมที่จะอยู่กับใครก็ได้ เราจะอยู่กับตัวของเราเองคนเดียวก็ได้ "แต่ทว่าแตกความสามัคคี" คือความสามัคคีนั้นไม่ก่อเกิด เมื่อไม่มีความสามัคคีถามว่าจะทำงานใดๆ สำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าไม่สนใจใคร อยู่กับตัวเองคนเดียว ต้องกินข้าวคนเดียว ต้องทำงานอยู่คนเดียว ต้องนอนคนเดียว ต้องไปไหนคนเดียว ชีวิตนี้ไม่เจอใครเลยต้องอยู่ที่ไหน อยู่ในสังคมหรืออยู่ในป่า (อยู่ในป่า) ต้องอยู่ในป่าจึงอยู่คนเดียวได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปัจจุบันนี้ธรรมะลงสู่ครัวเรือนลงสู่สังคม เพราะฉะนั้นจะต้องให้ศิษย์เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยใช้ความอดทน ไม่ได้ใช้เงินทองมาอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ใช่ใช้ชื่อเสียงลาภยศมาอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ใช่ใช้อำนาจมาอยู่ร่วมกับคนอื่น แต่ใช้ความอดทน แม้เราจะมีเงินทอง คนอื่นก็เกรงใจเราเพียงชั่วครู่ พอเราไม่มี เขาเกรงใจเราไหม (ไม่เกรงใจ)  ศิษย์อยากอยู่กับความจริงหรืออยากอยู่กับความเท็จ (ความจริง)  อยากอยู่กับความจริงเราต้องทำจิตใจของเรานั้นให้จริงๆ ก็คือจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
"สร้างตนค่อยสร้างคนตามลำดับ"
ศิษย์อยากรู้ไหมว่าทำไมคนถึงต้องบำเพ็ญธรรม ก็คือศิษย์ของอาจารย์นั้นอยากที่จะมีความสุข อยู่ในโลกนี้ไม่มีใครจะมีความสุขไปตลอด บางทีเรื่องเล็กน้อยก็ยังทำให้ศิษย์มีความทุกข์ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าคนนินทาลับหลัง พอดีคนนินทานั้นเป็นคนที่เรารักมาก มานินทาลับหลังเราก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้จึงหนีไม่พ้นความทุกข์ เพราะว่าศิษย์นั้นไม่สามารถบงการ ไม่สามารถบังคับทุกอย่างได้
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็เป็นเรื่องของการหนีความทุกข์ แต่เราจะหนีอย่างคนที่หนีไม่ได้ เราต้องหนีด้วยการที่หันหน้าเข้าหาความจริง ถ้าหากว่ายิ่งวิ่งหนีความทุกข์ก็ยิ่งวิ่งตาม ถ้าหากว่าเราหันหน้าไปเผชิญกับเขา มันจะหมดสิ้น สิ่งสำคัญในการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการแก้ไขตัวเอง แก้ไขเท่าที่เราแก้ไขได้ และแก้ไขในสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ เราต้องพยายาม ถ้าหากว่าไม่พยายามแล้วจะได้รับความสำเร็จได้อย่างไร มีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องคิดว่าเรานั้นอยากที่จะอยู่ในความทุกข์อันนี้ หรือว่าอยากที่จะพ้นจากทุกข์อันนี้ เกิดมาทุกคนต้องตาย ตายไปแล้วศิษย์ของอาจารย์ไปที่ไหน อยากจะไปในที่ๆ ทนทุกข์ทรมาน หรืออยากจะไปในที่ๆ มีความสงบสะอาด ถ้าหากว่าเราอยากที่จะไปที่ๆ สงบสะอาด นิพพานนั้นก็ไม่ใช่อยู่บนนิพพาน แต่นิพพานนั้นอยู่ที่ใจของเรา ตอนที่อยู่ในโลกนี้เราไม่สามารถทำจิตใจให้สะอาดเลยสักครั้งเดียว ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบเลยสักครั้ง แล้วศิษย์จะขึ้นไปอยู่บนดินแดนของความสงบและสะอาดได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่เคยหุงข้าวหรือทำกับข้าวเลย ให้เข้าไปอยู่ในครัวก็ดูประดักประเดิดเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เหมือนกัน ตอนนี้เราอยากที่จะเป็นพุทธะก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นพุทธะ ก้าวในทางที่พุทธะก้าว เดินในทางที่พุทธะเดิน มีจิตใจเป็นพุทธะเสียก่อน เมื่อขึ้นไปสู่แดนที่สะอาดและสงบแล้ว เราก็จะไม่รู้สึกแปลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากจิตใจเราไม่สะอาดและสงบนั้น เมื่อขึ้นไปนิพพานแล้วจะต้องไล่ศิษย์ลงมาหรือว่าศิษย์เดินลงมาเอง (เดินลงมาเอง)  ศิษย์ของอาจารย์จะเดินลงมาเองโดยอัตโนมัติ  เพราะฉะนั้นตอนนี้เราต้องเริ่มต้นหรือยัง แล้วยังมีทางไหนนอกจากนิพพานบ้าง รู้จักสวรรค์ไหม รู้จักนรกไหม (รู้จัก)  สวรรค์เป็นที่ของคนทำอะไร (ความดี)  แล้วนรกเป็นที่ของคนทำอะไร (ความชั่ว) ที่นี่เรียกว่าแดนโลกมนุษย์เป็นที่สำหรับคนเป็น ตายไปแล้วไปสวรรค์เพราะว่าเราทำความดี ไปนรกเพราะว่าเราทำความชั่ว ตอนนี้ทำอะไร ดีก็ไม่ใช่ร้ายก็ไม่เชิง ต่อไปเป็นอสูรกายเอาไหม (ไม่เอา)  ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ ไม่ใช่บอกว่าไม่ได้  เรายังไม่ใช่พุทธะ ตอนนี้เรายังเป็นคนอยู่ เพราะฉะนั้นคนว่ามาทำไมเราจะไม่โกรธ
เวลาเราพายเรือเราต้องออกแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่ออกแรงไม้พายก็หนักเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นไม้พายอยู่ในมือ  เราต้องรู้จักใช้ อาจารย์เห็นบางคนพายเหมือนไม่มีแรงพาย กลางวันได้กินข้าวหรือเปล่า (กิน) กินแล้วต้องทำท่าเหมือนคนมีแรงหน่อย ถ้าคิดว่ามาสองวันนี้แล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาดเต็มทีก็แปลกซะให้พอ
อย่าลืมว่าเวลาทำอะไรต้องมีสติว่าเราทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำไปจนจบแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไร อาจารย์ให้พายเรือเป็นการทำโทษ ลงโทษคนหนึ่งแล้วคนทั้งชั้นรับผิดชอบที่นอนหลับใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนคนหนึ่งที่ออกมาวงพระโอวาทคำว่า "ใช้")  สองวันนี้มานั่งฟัง อะไรที่ได้ฟังก็เอากลับไปใช้บ้าง ศึกษาบ่อยๆ จะได้รู้ว่าเขาทำอย่างนี้กันเพื่ออะไร แล้วเขาทำอย่างนี้ได้ประโยชน์อะไรบ้าง (นำไปไช้) ถ้าศิษย์นำไปใช้ประโยชน์ก็เกิดขึ้นกับตัวเราเข้าใจไหม แล้วถ้าเราดีขึ้น คนอื่นข้างๆ เราย่อมดีขึ้น เข้าใจหรือเปล่า
อยากเป็นพุทธะ ทุกท่านเริ่มจากคน พระพุทธเจ้ายังต้องเกิดเป็นคน แล้วจึงบำเพ็ญเป็นพุทธเจ้า ทุกๆ คนสามารถเป็นพุทธะได้ แต่ว่าต้องพยายามนะ  ไม่ง่าย
แม่ครัวทำกับข้าวอร่อยหรือเปล่า (อร่อย)  แม่ครัวนั้นมาทำกับข้าวด้วยความยากลำบาก เมื่อเทียบกับเรา ที่เรานั่งฟังธรรมะแล้ว เขายังลำบากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังให้สมกับที่เขานั้นตั้งใจมาช่วยให้เรานั้นฟังได้อย่างสะดวกสบายดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้และส่งเสริมแม่ครัว)
ศึกษาธรรมะให้เยอะๆ เชื่อมั่นศรัทธาในธรรมะด้วยหลักธรรม ทำความเข้าใจ เพื่อให้เรานั้นบำเพ็ญได้ตลอดชีวิตอย่างมีความสุข มีธรรมดีมากมายในวงการธรรม แต่มีอย่างหนึ่งที่เรานั้นไม่เคยรู้เลย ก็คือเรายังบำเพ็ญไม่ดี เราต้องบำเพ็ญตัวเราให้ดียิ่งกว่านี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเหตุการณ์วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะจบลงตรงไหน เรานั้นก็พร้อมที่จะรับ เพราะว่าเรานั้นบำเพ็ญดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเรานั้นบำเพ็ญไม่ดี ถ้าหากว่ายอมทนได้ แล้วเรายังท้อใจ แล้วอาจารย์จะพึ่งใครล่ะ ก็พึ่งคนที่เข้ามาประชุมธรรมแล้ว มีความเข้าใจในธรรมะ สามารถที่จะช่วยงานอาจารย์ได้ทุกคน ทุกคนคืออาจารย์ในโลกนี้ และอาจารย์คืออาจารย์ที่คอยดูแลศิษย์ ถ้าหากศิษย์สามารถช่วยกันได้ ถ้าหากศิษย์รักใคร่กลมเกลียวกัน จะมีความพ่ายแพ้ที่ไหน ที่จะสามารถทำร้ายเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สถานธรรมที่นี่กว้างใหญ่ไหม (กว้าง) ต้องอาศัยคนดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องดูแลด้วยใจของเรา ต้องดูแลด้วยความตั้งใจ มีคนที่ดูแลที่นี่ ทุกครั้งเรามาก็จะเจอพวกเขา เพราะฉะนั้นคนที่เป็นฐันจู่นั้น จึงมีหน้าที่หนักเช่นเดียวกัน ดูแลทั้งสถานธรรมอันโอ่อ่านี้ แล้วอย่าลืมดูแลสถานธรรมในใจของเราเองด้วย ทำให้สะอาดสวยงาม
ตื่นมาแล้วนอนต่อทำไม ใครตื่นมาแล้วนอนต่อบ้าง  คำว่า “ตื่น” กับคำว่า “หลับ” ในความหมายของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นหมายความว่าอย่างไร  ตื่นคือจิตใจอันเบิกบาน รู้ที่จะทำอะไร รู้ว่าอะไรไม่ควรทำ  นอนหมายความว่าจิตใจมืดบอด เห็นกิเลสเป็นความสุข
เมื่อวานนี้ให้สร้างตน สร้างตนค่อยสร้างคน  รู้สร้างตน รู้สร้างคน อาจารย์เอาซ้ำๆ แบบนี้ล่ะนะ เขียนไปเถอะ  รู้สร้างตนแล้วสร้างคนตาม
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลงพระโอวาท)
“สุขที่กลายทุกข์ไป ใหม่ที่กลายหมองลง ศิษย์อย่าไปพะวง ทำให้ใจสบาย”
ความสุขกลายเป็นความทุกข์ ของใหม่กลายเป็นของเก่า ศิษย์อย่าไปพะวง อย่าไปห่วง อย่าไปวิตกกังวล ทำให้ใจของเราสบายๆ เข้าไว้
“หนักกลับเบาขึ้นมา โศกกลับนำโชคกว่าครั้งใด”
ถ้าหนักกลับเบาขึ้นมาล่ะ ทีนี้หนักกลายเป็นของเบา  ความโศกเศร้ากลับนำโชคมาให้ ทีนี้เราจะดีใจไหม  อาจารย์ขอบอกว่าศิษย์อย่าไปได้ใจ สยบใจให้ตรง อย่าไปได้ใจ ให้ทำใจของเราให้ตรงเหมือนเดิมนั่นล่ะ  ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะหนัก ไม่ว่าจะเบา จะร้อนจะหนาว จะใหม่ จะเก่า  เราก็ต้องทำใจของเรานั้นให้ปกติเข้าไว้ สยบใจให้ตรง  ทำจิตใจให้เป็นปกติเสมอ ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะเจอสิ่งที่เป็นความโชคดี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นความโชคร้าย จะเป็นความสุข ความทุกข์ เราก็ทำจิตใจของเรานั้นเป็นปกติเสมอๆ  อย่าดีใจจนมากเกินไป อย่าดีใจจนลืมตัว อย่าเสียใจจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง  ถ้าหากว่าคนที่ดีใจหรือเสียใจมากเกินไป ก็จะมองสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนไป
(พระอาจารย์เมตตานำนักเรียนในชั้นร้องเพลงพระโอวาท)
เมื่อวานได้คำว่าอะไร (สร้างตน) วันนี้ได้คำว่าอะไร (สร้างคน)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เวลาหนึ่งวันในการสร้างตนและวันนี้อาจารย์ให้เวลาสร้างคน เราสร้างตัวเราสร้างอย่างไร อาจารย์บอกแล้วไม่ใช่ไปสร้างชื่อเสียง ลาภยศ ไม่ใช่สร้างเงินทองมากๆ แล้วเอาเงินทองไปช่วยคนอื่น แต่เราช่วยจิตใจของคน หากว่าเราเอาตัวไม่รอด เราจะช่วยคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  สอนอะไรเขา เขาก็ย้อนเรากลับมาได้เท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องรู้จักสร้างตัวเราก่อน สร้างตัวเราให้ดี ไม่มีความรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่าทำไม่ได้อย่างน้อยต้องเบาลงบ้าง เพื่อที่ว่าวันนี้เบา วันหน้าจะได้ไม่มี แต่วันนี้เบาไม่ได้ วันหน้าก็ไม่อาจจะหายได้ เพราะฉะนั้นต้องสร้างตนเองก่อน อย่างน้อยความรัก โลภ โกรธ หลงไม่มี อวิชชาในใจอย่าได้เกิด คำว่า "ความดี" ที่ได้ฟังมาทั้งหมดต้องเป็นความดีจริงๆ ที่เรานั้นมาเริ่มสร้าง ไม่ใช่หยิบยืมความดีของคนอื่นมาเป็นของเรา ยืมจมูกคนอื่นหายใจ อย่างนั้นไม่เรียกว่าความดี ถ้าหากว่าทำความดีแล้วยังหวังผลตอบแทน ไม่เรียกว่าเราสร้างตนสำเร็จ เมื่อเราสร้างตัวเราสำเร็จแล้ว เราจะไปบอกใครให้เขาตัดความรัก โลภ โกรธ หลง เขาก็ตัดได้เพราะว่าเราทำได้  ถ้าหากว่าเราอยากให้เขาเดินตามเรา เราก็ก้าวนำก่อน เราก้าวไปทางไหนเขาก็ก้าวไปทางนั้นถูกหรือเปล่า (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สร้างคน”)
เวลาหนึ่งวันเมื่อวานนี้ที่ผ่านไปที่ให้ไปสร้างตนนั้น ทำความเข้าใจได้แค่ไหน บางคนกลับไปถ้าหากว่าคิดฟุ้งซ่าน คิดนั่นคิดนี่ มัวแต่มองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า ไม่ยอมมาดูว่าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สร้างตนนะสร้างอะไรดี ถ้าหากว่าคิดในสิ่งที่ไม่มีสาระแล้ว ใจของเราก็จะมีแต่ความฟุ้งซ่าน ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจริงวันนี้หรือไม่มาจริงวันนี้ ไม่มีความสำคัญเพียงแต่ที่พูดไปทุกคำๆ นั้น ต้องทำให้ได้ ถ้าหากว่าเราทำได้ ต่อให้เป็นเด็กมาสอนเรา เราก็ยังต้องฟัง ต่อให้เป็นยาจกมาสอนเรา เราก็ยังต้องฟัง ต่อให้เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาปัญญาอ่อนมาสอนเรา เราก็ยังต้องฟัง ใช่หรือเปล่า  ถ้าหากว่าเราไม่ยอมฟังแสดงว่าเรามีทิฐิ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  คำว่า "ทิฐิ" นั้นทำให้เราไปถึงความตกต่ำทีเดียวนะ  เพราะฉะนั้น  "สร้างตน"  แล้วก็ให้ไป "สร้างคน" ถ้าหากว่าศิษย์สร้างตนได้ ศิษย์จะสร้างคนนั้นง่ายนิดเดียว แต่หากว่าศิษย์นั้นจะสร้างคนก่อน โดยที่ไม่ยอมสร้างตน ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นโอวาทฉบับนี้ อาจารย์อยากให้เน้นหนักที่ "การสร้างตน"
อาจารย์บอกว่าใช้ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงใจคน หากว่าเราอยากให้ใครเปลี่ยนใจจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เราจะใช้อะไร บังคับเขาก็ไม่เปลี่ยน เอาเงินให้เขามากๆ ให้คนมารุมซ้อมเขาก็ไม่เปลี่ยน ใช้อะไรเปลี่ยนเขาได้ ใช้ความดี ใช้ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเข้าใจเขา คือใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เขาย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ต้องเป็นคนที่ใจเย็น อยากให้คนๆ หนึ่งจากที่มีนิสัยเลวร้ายเป็นคนดี เราต้องมีความเข้าใจในตัวเขาให้มากๆ ก็คือใช้ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงใจคน เมื่อเราเข้าใจเขาย่อมอดทนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราย่อมอดทนต่อเขาได้ในการที่จะรอให้เขานั้นดีขึ้นได้
"ดีเรียบง่ายในการปลุกคนเมามึน"  การที่จะปลุกใครสักคนหนึ่งให้ตื่นขึ้นจากกองกิเลส ตื่นขึ้นจากโลกีย์นั้นใช้วิธีเรียบง่าย ไม่ต้องใช้กลวิธี ไม่ต้องใช้อุบายในการที่จะทำให้เขานั้นตื่นขึ้น แต่ว่าใช้ความเรียบง่าย เหมือนคนสมัยนี้ใช้คอมพิวเตอร์ ถามว่าคอมพิวเตอร์กับสมองคนสิ่งไหนดีกว่ากัน (สมองคนดีกว่า)  ถ้าหากว่ามีรูปภาพแขวนไว้ที่กำแพงเป็นรูปอาหารน่าอร่อยรูปหนึ่ง กับของจริงๆ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าไม่อร่อยเลย อะไรกินได้ อาหารที่ไม่อร่อยอยู่ตรงหน้ากินได้ สิ่งที่อยู่ในรูปกินไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อให้มีรูปภาพอันสวยงามเท่าไหร่ ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่เรียบง่ายที่อยู่ข้างหน้าแม้ว่าจะไม่อร่อยก็ตาม
"ต้องเริ่มขึ้นโดยสร้างตนค่อยสร้างคน"  เริ่มต้นขึ้นโดยการสร้างตัวเราให้ดีก่อน แล้วจึงจะนำผู้อื่นได้ แม้ว่าเรานั้นจะเป็นคนที่คนอื่นยกย่องให้เกียรติ แต่เขารู้ไหมว่าเรามีข้อไม่ดีอะไร เราย่อมรู้แก่ใจตัวเราเองว่าเรานั้นแม้คนอื่นยกย่องเราเท่าไหร่ แต่เรามีข้อไม่ดีอะไร เราต้องรีบแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่กลัวคนอื่นรู้ แต่กลัวตัวเองรู้
(พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สร้างตน”)
"ทำสิ่งใดต้องเริ่มที่ตนเองก่อน เราย่อหย่อนจะเร่งใครใครเร่งให้
เมื่อมุ่งให้คนอื่นเริ่มทำสิ่งใด เราต้องรีบไปเริ่มทำก่อนทุกครั้งเอย"
โอวาทของท่านแปดเซียนให้มาง่าย และกระชับความแล้ว อาจารย์คิดว่าศิษย์คงเข้าใจทุกคน ท่านเพียงแต่บอกว่าทำสิ่งใดนั้นต้องเริ่มที่ตนเองก่อน และทำสิ่งใดนั้นจะต้องลงมือไปทำก่อน ข้อความของท่านมีเท่านี้ แต่ว่าการกระทำใช้ชีวิตทั้งชีวิตลงไปทำทีเดียว  ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ  มีแต่การที่ปฏิบัติเท่านั้นจึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรมได้ อ่านหนังสือมากมาย แต่หากว่าทำตามไม่ได้แม้แต่บรรทัดเดียว เราก็ย่อมจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่มีความรู้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อาจารย์หวังว่าหลังจากสองวันนี้ไปแล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นยังกลับมาศึกษาธรรมะให้มากๆ ทำความเข้าใจรู้จักตนเองให้มากๆ เพื่อที่จะได้ช่วยคนอื่นให้ดีขึ้น เมื่อศิษย์เข้าใจอาจารย์ก็ต้องไป ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่เลิกรา ใช่ไหม (ใช่)  หลังจากที่อาจารย์ไปแล้ว วันหลังถ้าหากว่ามีคนเขามาตามเราไปเข้าชั้นเรียนต่างๆ เราจะบอกว่าเราไม่ว่างไหม พยายามพูดให้น้อยที่สุดดีหรือไม่ ชีวิตคนเกิดมาไม่มีใครนั้นว่าง ทุกคนมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่เราจะเลือกใช้เวลาของเราไปทำอะไร หากวันๆ หนึ่งทำความดีมาก อาจจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี วันๆ หนึ่งทำความผิดมากก็ได้ชื่อว่าเป็นคนทำผิดอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ขอให้เรานั้นมีสติคอยคิดอ่านนำทางเรา ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์มาเพียงแค่ยืมรูปลักษณ์นี้บอกในสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกเท่านั้น แต่คนที่จะทำหรือไม่ ก็คือตัวศิษย์เอง อาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย บางคนสามารถหลุดพ้นได้ บางคนยังตกนรกก็มี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะแต่ละคนมีอิสระในตัวเองที่จะเลือกเดินทางไหนก็ได้
ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน วันนี้อยากเลือกเป็นศิษย์ของอาจารย์ วันหน้าอยากเลิกที่จะเป็นศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่มีใครว่าได้ ชีวิตของเรานั้นเราต้องกำหนดเอง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นมองให้ชัดทุกอย่าง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมท่านหนึ่ง)
คนในโลกนี้ไม่มีคนไหนไม่ป่วยไข้ บางคนป่วยไข้เพราะว่าเป็นโรคกรรมมาหา ถ้าหากว่าวันนี้ให้อาจารย์ช่วยแล้ววันหลังก็ต้องให้อาจารย์ช่วย แล้วเมื่อไรจะหายจริงๆ ล่ะ ทำได้หรือเปล่าคิดดีๆ นะ ไม่ใช่ตั้งปณิธานทานเจแล้วจะหายนะ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์หายจริงๆ คือหายจากโรควิบากกรรม เมื่อโรคนี้หายไปอะไรก็หายหมดเข้าใจไหม ทำให้ได้ศึกษาธรรมะให้ใช้สัจธรรมอย่าใช้ความงมงาย อย่าเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด อย่าปักใจในสิ่งที่ตนเองมองเห็นมากเข้าใจไหม
จบไปแล้วจะบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า อาจารย์อาจเป็นพระศักดิ์-สิทธิ์สำหรับคนบางคนที่เขาฟังอาจารย์แล้วสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่อาจารย์อาจไม่เป็นพระศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนบางคนที่ฟังอาจารย์เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยบำเพ็ญธรรมเลย อาจารย์ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้
ที่สถานธรรมถงซินที่ดำเนินสะดวกนี้ มีคนบำเพ็ญธรรมมากมาย โดยเฉพาะสถานธรรมแห่งนี้มีคนอยู่มากมายจริงๆ การที่คนมากขนาดนี้ย่อมยากจริงๆ ที่จะหลีกเลี่ยงความขัดใจกัน ความไม่พอใจกัน ยากจริงๆ ที่จะหลีกเลี่ยงความกระทบกระทั่งกัน ยากจริงๆ ที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ แต่ว่าเราต้องทำใจให้กว้างเพราะทุกคนนั้นบำเพ็ญธรรมอยู่เหมือนๆ กัน ทุกคนเป็นศิษย์ของอาจารย์เหมือนกัน เมื่อมีอาจารย์เดียวก็ต้องมีใจเดียวเดินทางเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือกัน เมื่อมีความเข้าใจกันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ ความสามัคคีนั้นไม่ใช่ว่ามองแค่วันนี้ แต่ความสามัคคีนั้นต้องใช้เวลามองหลายปี อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นรักกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นคุมตัวเอง คุมใจตัวเองเอาสิ่งที่อาจารย์สอนออกมาใช้อภัยกัน รักคนที่อยู่ข้างๆ เหมือนที่รักอาจารย์ ทำได้ไหม (ได้) แล้วสักวันหนึ่งอาจารย์จะไม่ได้อยู่ลำพัง เพราะอาจารย์จะอยู่กับศิษย์ ศิษย์จะกลับมาอยู่กับอาจารย์ บำเพ็ญธรรมนะ ลำบากช่วงนี้ ลำบากตอนนี้ ลำบากชีวิตนี้ ชาตินี้ เพื่อหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวันข้างหน้า อย่าคิดว่ามันไกลไปให้เราลองทำดูนะ รักษาตัวให้รอดปลอดภัยกลับมาเจออาจารย์ใหม่นะศิษย์รัก


วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินฯ
พระโอวาทพระนาจาและท่านหนันผิงเซียนถง

ทำสิ่งใดหากไร้ซึ่งมัชฌิมา เหนื่อยจนสิ้นใจก็ไร้ค่าให้นึกถึง
เมื่อทำดีจึงต้องหวนคำนึง ดีพองามมีค่าแก่ทุกชีวี
เราคือ
นาจาศิษย์พี่เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานถงซิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนบำเพ็ญธรรมแล้วมีอะไรก้าวหน้ากันบ้างหรือเปล่า

น้องผิดพลั้งเหมือนตั้งใจใช่เจตนา น้องเจอทุกข์ช้ำอุราดูเศร้าหมอง
มีน้ำใจห่วงใยกันโอบประคอง ไม่ซ้ำเติมไม่เป็นฆ้องเพลินนินทา
เปิดใจกว้างให้อภัยช่วยแนะนำ ผู้น้อมต่ำย่อมผูกใจประชาได้หนา
อย่าคาดโทษกันถึงตายไร้สุขนา น้ำสะอาดย่อมไร้ปลาอยู่อาศัย
ความทุกข์ยากลำบากมีทุกคน ฝ่าผจญมองให้ออกเหตุแก้ไข
ที่ว่ายากเมื่อผ่านเป็นอดีตไป กลับว่าง่ายไม่ต่างการพลิกฝ่ามือ
บำเพ็ญนานล้าก้าวออกไปช่วยใคร เพราะห่วงในความเป็นตนที่ยึดถือ
ครั้นช่วยคนเห็นยากก็รามือ เพราะยึดถือความสบายที่เคยมี
ก้าวเท้ายาวยิ่งเร็วยิ่งยากคงมั่น ใจบากบั่นยิ่งนานยิ่งน้อยเต็มที่
หนทางไกลคนหมดใจท้อทุกที ยิ่งทำดียิ่งต้องใช้ความอดทน
เมื่อบำเพ็ญมีจุดหมายมั่นเสมอ ปล่อยใจเผลอเพลินโลกีย์พาลสับสน
เดินทางลัดสร้างทางแยกเพราะใจตน ไม่อดทนไม่มั่นคงยากเดินทางไกล
ฮิ  ฮิ  หยุด

ตาถึงใจถึงมือถึง กายหนึ่งใจหนึ่งประสาน
บำเพ็ญนานนานสู้งาน วันผ่านไม่ติดสิ่งใด
เราคือ
หนันผิงเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านบำเพ็ญจริงจริงแล้วหรือยัง

ยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องมีความสุข เรื่องความทุกข์เอาไว้วันพรุ่งนี้
มองทุกคนให้เป็นคนแสนดี จะได้มีความสุขทุกทุกวัน
สูงสุดคืนไปสู่อะไรเอ่ย ละชินเคยต้องรีบเร่งเหมือนแข่งขัน
อย่าได้ถูกปัญหาสารพัน คอยลงทัณฑ์จนชีพไร้ความธรรมดา
อย่าท้อถอยจนไม่เป็นอันทำอะไร บำเพ็ญไวใจอย่าตกค้างกังขา
ทุกทุกคนต่างมีเท่าวันเวลา อยากจะช้าหรือเร็วก็เลือกเอา
มาว่างว่างไปว่างว่างปลงให้ตก ตกนรกทั้งเป็นกิเลสเย้า
เร่งบำเพ็ญบำเพ็ญจริงจริงนะพวกเรา อุทิศตนเป็นเสาหลักคอยค้ำธรรม
สวัสดีและลาก่อนในวันนี้ มาเจอกันอีกทีจะมาถาม
หาคนที่มีจิตใจใสงดงาม สามารถข้ามความทุกข์ตนไปช่วยคน
ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทพระนาจาและท่านหนันผิงเซียนถง

ท่านหนันผิงเซียนถง :  ใครที่บอกว่าตัวเองร้องเพลงไม่ได้  แต่พอยืนขึ้นแล้วร้องทำไมล่ะ
พระนาจา :  แล้วคนที่ร้องได้ล่มไปด้วยใช่ไหม   จำได้เป็นบางวรรค   แถมเอาบางวรรคมาผสมปนเปกันหมดเลย  ขี้โกงๆ
ท่านหนันผิงเซียนถง : ร้องไม่ได้หรือ  อย่ายืนเผื่อเลือก  ร้องไม่ได้ก็ยืนขึ้น  ร้องได้ก็นั่งลง
พระนาจา :  ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเพลง  เป็นเพลงพายเรือธรรม
ท่านหนันผิงเซียนถง :  เดี๋ยวจะเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะให้นั่งครบลงทุกคนเลย  ถ้าไปจนถึงสุดท้ายเหลือตัวเองแค่คนสองคน  จะจับมาเดินเป็ดสองรอบ  เดี๋ยวถ้าหากใครร้องได้ก็นั่งลง  รีบนั่งไปทำไม
พระนาจา : เพลงเมื่อสักครู่ใครร้องได้ก็นั่งลง คนที่ร้องไม่ได้ต้องยืนก่อน  เพลงนี้เป็นเพลงประจำ  มีทุกชั้นมีทุกครั้งเลย ใช่ไหม (ใช่)    ร้องอีกเพลงหนึ่ง เพลงจี้กง จี้กง  หยุด  ร้องได้หรือเปล่า  ยังไม่ได้อีกหรือ  ออกไปยืนข้างๆ  เลยนะอย่างนี้
ท่านหนันผิงเซียนถง :  อย่างนี้แสดงว่าเป็นคนเก่าหรือคนใหม่
พระนาจา :  คนไหนที่ยืนแล้วร้องเพลง จี้กง จี้กง ไม่ได้  บำเพ็ญธรรมมากี่ปีแล้ว  แต่ร้องเพลงไม่เป็นเลยหรือ ไม่ได้  ผู้บำเพ็ญต้องบอกว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไร  เพราะว่ายิ่งสิ่งไหนที่ท่านทำไม่ได้  สิ่งนั้นท่านจะต้องเจอบ่อยและเป็นอุปสรรคใช่ไหม (ใช่)  สิ่งไหนที่ท่านบอกว่าลำบาก  ทำไม่ได้  ทำไม่เป็น  นั่นจะเป็นอุปสรรคของท่าน  อย่างสมมติท่านบอกว่าร้องเพลงไม่เป็น  เดี๋ยวสักพักก็ทำอย่างไรดี  ร้องไม่เป็น  ต้องมีโอกาสได้ร้องเพลงเข้าวันใดก็วันหนึ่ง ใช่ไหม  เหมือนท่านบอกว่าบำเพ็ญธรรมะอดโมโหไม่ได้ ใช่หรือเปล่า  แล้วต้องมีเรื่องทำให้โมโหทุกทีเลย  แล้วก็ไม่เคยผ่านได้สักทีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญต้องไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้  แล้วต้องพยายามทำให้ได้และทำให้ดี ใช่หรือเปล่า  อย่าหาทางออกแบบหัวชนฝา  อย่างนั้นไม่ถูกต้อง   ใครจะมาให้อภัยท่านบ่อยๆ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือเปล่า
ท่านหนันผิงเซียนถง :  เดี๋ยวเรามาเล่นใหม่อีกทีหนึ่ง  ให้ทุกคนยืนขึ้นพร้อมกัน  แล้วเราจะเริ่มใหม่  เราจะให้ท่านร้องเพลงดีกว่า  ถ้าหากท่านร้องเพลงได้ก็นั่งลง  เพลงนี้ใครร้องได้
พระนาจา :  เพลงนี้เป็นเพลงข้างนอก ร้องได้เชียวนะ ทีเพลงธรรมะร้องไม่ได้ หมดแรง อย่างไรก็ร้องไม่ได้ เศร้าใจๆ สักวรรคไม่ได้เลยหรือ ทำท่าได้ไหม ต้อนรับน้องใหม่ไหม  น้องใหม่ยังทำไม่ได้  เราจะต้องช่วยสอน ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทำท่าจับไม้พาย)
พอก่อน ใครว่าเขาทำไม่ถูก ยกมือขึ้น ลุกขึ้นก่อน พร้อมหรือยัง     (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนทำท่าประกอบเพลง)  พอแล้วๆ
ท่านหนันผิงเซียนถง  : บางทีคนเก่าต้องนำคนใหม่ ต้องมีคนเก่าไปนำเสมอ ใช่ไหม (ใช่)  ท่านต้องแสดงความเก่าของท่านออกมาด้วย ความเก่าของท่านนั้นแสดงง่ายๆ ในวันนี้ก็คือจะต้องร้องเพลงธรรมะเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนังสือเพลงธรรมมีจำกัด ต้องส่งให้กับคนที่ร้องไม่ได้ ใช่ไหม แล้วตัวท่านต้องดูไหม สมมติว่าหนังสือเพลงมีอยู่สิบเล่ม  ท่านเป็นคนเก่ามีอยู่กี่คน คนใหม่มีอยู่กี่คน ท่านต้องให้เขาดู ใช่หรือไม่  แล้วตัวท่านต้องร้องเพลงปากเปล่าได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้จึงเป็นการแสดงความเก่าออกมาถูกไหม  ถ้าหากว่าท่านยึดหนังสือไว้กับตัว แล้วคนใหม่จะร้องได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นท่านต้องมีความเก่าอยู่ในตัวก็คือท่านต้องสามารถร้องได้ แล้วหนังสือเพลงธรรมนั้นก็เปรียบเสมือนระยะทางการบำเพ็ญ แต่ท่านจะใช้หนังสือนำพาไปตลอดไม่ได้ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมะนั้นอยู่ที่ใจ และการปฏิบัติก็คือการปฏิบัติลงแรง หากว่าท่านเป็นคนเก่า ท่านต้องมีความเก่า  เก่าอย่างคนที่มีความสามารถ ใช่หรือเปล่า ในสถานธรรมนั้นมีการร้องเพลงบ่อย ฉะนั้นท่านก็ต้องร้องเพลงได้ ในสถานธรรมมีการไหว้พระบ่อย จะต้องเป็นพิธีกรในการไหว้พระได้ ถ้าหากท่านไหว้พระเองไม่ได้ แล้วท่านต้องรอคนอื่นมา แล้วบังเอิญวันนั้นไม่มีคนมาไหว้พระ จะต้องรอกี่ชั่วโมง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นเรามาเข้าชั้นนี้จะต้องนำตัวเองได้ ไม่ใช่รอให้คนอื่นมานำท่าน  ถ้าหากท่านให้คนอื่นมานำท่านๆ ก็เป็นคนใหม่หรือคนเก่า (คนใหม่)  คนใหม่ทั้งหลาย คนเก่าทั้งหลาย
พระนาจา :  มีเสียงเท่านี้เองหรือ เสียชื่อหมด เอาดังๆ หน่อยซิ แต่ถ้าสมมติว่าคนที่เขาเพิ่งมาใหม่แล้วเขาก็ทำผิด ท่านจะเอาแต่ชี้ว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้) บอกไม่ถูก  ผิดแก้เดี๋ยวนี้  นำอย่างนี้ถูกไหม ไม่ถูกใช่ไหม (ใช่)  ต้องบอกว่าไม่ใช่นะ แบบนี้ๆ  ไม่ใช่เอาแต่ชี้หน้า  เอาแต่ใช้คำพูด  แต่ไม่มีการกระทำให้เขาดู อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แม้จะนำอย่างไรก็นำไม่ได้ ใช่ไหมแบบนี้  เพราะคนเขาไม่ชอบฟัง  ต้องใช้ท่าทีและใช้ตัวอย่างให้เขาเห็น ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งจะมีคนใหม่ขึ้นมาไหม  บางทีก็ต้องดูคนเก่าด้วย  หากคนเก่าไม่เป็นแบบที่ดี  คนใหม่ก็ยากที่จะขึ้นมา จริงหรือไม่ (จริง) แล้วถ้าหากคนเก่าไม่ยอมสอน ไม่ยอมชี้แนะ  จะว่าคนใหม่ทำดีกว่าได้ไหม  บางครั้งถ้าหากคนใหม่มา  แล้วเขาทำดีกว่าคนเก่า จึงต้องรู้จักยอมรับ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ถือความเป็นรุ่นพี่   มาทำดีแซงหน้าไม่ได้ ทำท่าอย่างนี้ไม่ได้  วันนี้เราก็เหมือนพี่ๆ น้องๆ กัน  ท่านก็เหมือนรุ่นพี่  หากรุ่นพี่ทำไม่ได้  รุ่นน้องก็ยากที่จะทำดีตามได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่บางครั้งเมื่อเวลาเราทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจ การลงแรงกายและใจ เราต้องรู้ความพอดีด้วย หากทำแล้วทำร้ายร่างกาย ทำแล้วไม่ได้ก็พักก่อน ทำแล้วทำให้ร่างกายต้องทรุดโทรม บางครั้งเราต้องหยุดที่จะสละให้ผู้อื่นได้มีโอกาสทำบ้าง อย่าเก็บงานไว้ให้เป็นของตัวเองคนเดียว ใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้คนใหม่ๆ เริ่มมาสถานธรรมกันมากขึ้น หน้าที่ก็เริ่มมีน้อยลง เมื่อหน้าที่น้อยลงเราจะมัวหวงหน้าที่ไม่ให้คนอื่นช่วย  ไม่ให้คนอื่นทำไม่ได้   แม้จะรู้ว่างานมีแค่อย่างเดียว แม้จะรู้ว่างานมีน้อย แต่ตัวเราต้องรู้จักแบ่งและสอนงานให้คนอื่นได้มีส่วนร่วมทำด้วย คนทุกคนอยากให้ใครๆ เห็นคุณค่าของตัวเอง  และอยากเป็นคนที่มีคุณค่าของทุกๆ คนด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราเป็นคนมีคุณค่า และเรายังสอนให้คนอื่นได้มีคุณค่าด้วย ไม่เป็นการดีกว่าให้ตัวเองมีคุณค่าคนเดียว แล้วทอดทิ้งคนอื่นไร้คุณค่า ใช่ไหม ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำงานอะไร งานเล็กหรืองานใหญ่ เราจึงต้องรู้จักแบ่งงานให้ทุกๆ คนได้มีส่วนร่วม เขาเอ่ยปากเรายิ่งต้องให้   ถ้าเขาไม่เอ่ยปาก เราต้องถามตัวเราเองแล้วว่าเป็นผู้ที่เก็บงานไว้คนเดียวหรือเปล่า เราเป็นผู้ที่หวงงานหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเวลาทำจนเหนื่อย บางครั้งเราต้องถามตัวเราเองว่าเราได้รู้จักสละ หลีก ถอยให้คนอื่นได้มีโอกาสสร้างงานและทำงานบ้างไหม อย่าเป็นผู้เก็บงานไว้คนเดียว  และอย่าเป็นผู้ปิดโอกาสไม่ให้คนอื่นได้มีโอกาสสร้างงาน และมีส่วนร่วมในงานธรรมะ พอเข้าใจนะ ไม่เช่นนั้นท่านทำเหนื่อยจนตาย  ก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า จริงหรือเปล่า (จริง)  ยังต้องมีคนนำอีกหรือชั้นนี้  ไม่ต้องแล้วมั๊ง
ท่านหนันผิงเซียนถง : ชั้นนี้ชั้นญาติธรรมเก่า  คนใหม่ทั้งนั้นเลย  ให้ร้องเพลงธรรมะก็ร้องไม่ได้ ใช่ไหม
พระนาจา : วันนี้เรายังไม่กลับ เราจะอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ แล้วท่านก็ห้ามกลับนะ  อยู่ตรงนี้กินข้าวเปล่าๆ ไม่ต้องทำกับข้าวดีไหม (ดี)  จะได้ฝึกตัวเองได้หรือเปล่า  กินข้าวกับน้ำหนึ่งแก้วได้ไหม (ได้ ) แน่ใจนะ   ใครอย่าไปแอบหยิบซีอิ้ว หยิบเกลือ หยิบน้ำตาลมาโรยนะ  น่าจะจับท่านให้พบความยากลำบากมากอีก ดีไหม  (ดี)  พบแล้วให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้หล่อหลอมดีไหม   ไม่ดีแล้วนะ  ต้องให้พบกับคนข้างนอกบ้าง ท่านพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ ท่านต้องบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอะไรว่าตามหมด  ทำอะไรทำได้หมด แต่พอพบคนข้างนอก ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่เรื่องอะไรจะทำตาม  เรื่องอะไรจะยอม  คิดอย่างนี้ได้อย่างไร คิดเสียว่าเขาทุกคนคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้ท่านฝึกใจ ถ้าท่านถือว่าทุกคนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมด ท่านก็เริ่มเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ใช่หรือเปล่า เขาบ่นอย่างนี้ บ่นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย  เขาโมโหเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดดีๆ ไว้ดีไหม (ดี) จะได้เป็นการให้กำลังใจตัวเอง สร้างกำลังใจตัวเอง
ท่านหนันผิงเซียนถง : สิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนให้โมโหหรือไม่โมโห  (ไม่โมโห) เพราะอะไร (จิตเป็นพุทธะ)
พระนาจา : เพราะจิตเป็นพุทธะเลยไม่โมโห  ต่อไปห้ามโมโหแล้วนะ  โมโหหนึ่งครั้งโดนหักกุศลไปสิบคะแนนดีไหม  แต่จริงๆ แล้วพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า  โมโหหนึ่งครั้งกุศลมีเท่าไรถูกเผาเรียบเลย ใช่ไหม  ฉะนั้นก่อนพูดคิดให้ดีๆ นะ
ท่านหนันผิงเซียนถง : ไฟกองใหญ่ชนะไฟกองเล็ก ใช่ไหม (ใช่) เราคิดว่าเราจะทำผิดข้างเดียว ใช่ไหม ถ้าหากว่าท่านให้โอกาสตัวท่านเอง  โมโหเล็กๆ ต่อไปก็เป็นโมโหใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านโมโหมากขึ้น แล้วท่านคิด จะดับไฟให้ลง ทำได้ไหม ถ้าทำได้เราก็ต้องรีบๆ ทำ ใช่ไหม  ถ้าทำได้แล้วบอกว่าเดี๋ยวค่อยทำ ดีหรือไม่ดี ถ้าหากว่าทำอะไรได้ก็ต้องรีบๆ ทำใช่ไหม (ใช่) ถ้ามีญาติธรรมเข้ามา ท่านที่เป็นญาติธรรมเก่าเดินเข้าไปต้อนรับเขา แต่พอดีตอนนั้นกำลังโมโห หน้าตาก็มู่ทู่ไปหมด คนที่เข้ามาใหม่  เขาจะบอกว่า เอ๊ะ! ทำไมคนที่อยู่ในห้องพระดูแล้วไม่มีความสุขเลย   มีความสุขไหมอย่างนี้   ดูซิเพลงพระนาจาก็ร้องไม่ได้
พระนาจา : คราวหน้าไม่ให้แล้วดีกว่า  ไม่มาด้วย    หนีไปให้ไกลๆ เลยด้วย  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เลิกเป็นห่วงไม่ดีหรือ มีพุทธะเลิกห่วงหนึ่งคนแล้ว ดีไหม  ไม่ดีหรือ พอศิษย์พี่มา ศิษย์พี่ก็เรียกให้ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ คราวหน้าไม่มีศิษย์พี่ก็ไม่มีคนห้ามแล้ว ทำอะไรก็เชิญ ดีไหม อยากไปเจออะไรก็เจอเลย  เป็นอะไรก็เป็นไปเองเลยดีไหม แล้วอย่ามาบอกว่าศิษย์พี่ไม่บอกนะ ศิษย์น้องอยากทำเองใช่ไหม ห้ามแล้วไม่ฟัง ดื้อ ดื้อจริงๆ ดื้อยิ่งกว่าศิษย์พี่อีก
ท่านหนันผิงเซียนถง : พวกท่านเป็นมนุษย์ที่ติดรูปลักษณ์   เห็นเราก็บอกเห็นอาจารย์ ใช่หรือเปล่า ขนาดท่านมาสถานธรรมบ่อยๆ ก็ยังแยกไม่ออกเลย ว่าเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานั้น ท่านเห็นเพียงแค่ยืมรูปลักษณ์อันนี้เท่านั้นเอง เราก็แค่ยืมร่างของคนๆ นี้มาสอน ท่านจะมาบอกเราเป็นอาจารย์จี้กง ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)คนที่ติดรูปลักษณ์บำเพ็ญได้ไหม  (ไม่ได้) ตัวเราเป็นคนที่ติดรูปลักษณ์ การติดทำให้ใจท่านไม่สว่าง    คนที่บำเพ็ญเป็นพุทธะต้องมีใจที่สว่างไสว
พระนาจา : มีอะไรก้าวหน้าบ้าง  นิสัยตัวเองก้าวหน้าหรือ  มีคุณธรรมก้าวหน้าไหม  สิ่งที่เคยผิดได้ลงมือแก้ไขจริงๆ จังๆ หรือยัง  มีไหม  ยังมีใจที่จะคิดฉุดช่วยคนหรือเปล่า  ท้อถอยกันบ้างไหม  เบื่อกันบ้างหรือเปล่า  เห็นหน้ากันทุกวัน เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  ยิ่งเห็นหน้ากันต้องยิ่งรักกันขึ้น  ยิ่งเห็นหน้ากันยิ่งมีแต่สิ่งดีๆ ให้กัน  ไม่ใช่ยิ่งเห็นหน้ากันก็บอกว่าคนนั้นก็ไม่ได้เรื่อง  คนนี้ก็ไม่ดี อย่างนี้ได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)  อยู่ข้างหน้าแต่เป็นข้างหน้าที่ไม่ดีเลยได้ไหม  บำเพ็ญธรรมยิ่งบำเพ็ญยิ่งเห็นแต่สิ่งที่ดีๆ ยิ่งมอบแต่สิ่งที่ดีๆ ให้แก่กัน  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งอยู่ร่วมกันยิ่งสนิทแน่นแฟ้น เหมือนพี่กับน้อง ใช่ไหม (ใช่)
ท่านหนันผิงเซียนถง : ทุกท่านบำเพ็ญจริงๆ หรือยัง
พระนาจา : คนที่บำเพ็ญจริงๆ แล้ว ต้องสามารถข้ามทุกข์และวางทุกข์ของตัวเองลงไปได้  แล้วเห็นแต่ทุกข์ของคนอื่น ข้ามความรู้สึกตัวตน ข้ามความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอารมณ์และกิเลส  สามารถวางลงได้ และมองเห็นแต่ทุกข์ของมวลชน นี่คือคนที่ได้ก้าวผ่านการบำเพ็ญตนแล้ว ก้าวผ่านความทุกข์ยากไปหนึ่งขั้นแห่งตน ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าหากว่าท่านบำเพ็ญแล้วยังมัวกังวลแต่ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ยังมัวกังวลถึงความสุขของตัวเอง ยังมัวห่วงเรื่องความทุกข์ของตัวเอง นั่นแปลว่าบำเพ็ญแล้วยังก้าวไปไม่ถึงระดับหนึ่ง ใช่ไหม เพราะว่าถ้าเมื่อใดเรายังมองเห็นทุกข์ของตัวเองอยู่นั้น เมื่อเวลาที่ศิษย์น้องจะมองเห็นทุกข์ของคนอื่นก็เป็นอันน้อย ใช่ไหม (ใช่) และเวลาที่จะทำเพื่อผู้อื่นหรือเสียสละช่วยคนก็เป็นอันยาก  เพราะยังกังวลถึงความสุขและความทุกข์ของตัวเองอยู่ ใช่ไหม  แล้วเช่นนี้จะต่างอะไรกับคนที่ไม่ได้บำเพ็ญ จริงไหม (จริง)  จึงต้องมีความแตกต่างกันบ้างในการบำเพ็ญตนกับคนข้างนอก  ไม่เช่นนั้นแล้วบำเพ็ญไปก็เปล่าประโยชน์  สิ่งแรกที่ศิษย์น้องต้องรู้นั่นก็คือว่าทุกชีวิตมีทุกข์กันเป็นธรรมดา  แล้วทุกข์มาจากอะไรบ้าง ทุกข์มาจากหนึ่งเราเป็นคนสร้างทุกข์ด้วย สองก็คือมีทุกข์เป็นธรรมดาของชีวิต และสามนั่นก็คือทุกข์ที่มาจากกรรมเวรของศิษย์น้องที่เคยสร้างมาในอดีตชาติหรือตอนปัจจุบันที่เป็นคนนี้ ใช่ไหม (ใช่) เราสามารถหยุดทุกข์ที่เกิด เราสามารถเบาทุกข์ที่เกิดจากกรรมเวรได้ สามารถขจัดเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลได้ แต่ต้องถามใจของศิษย์น้องเองว่า ศิษย์น้องได้มองเห็นเหตุแห่งทุกข์ไหม แล้วดับที่เหตุแห่งทุกข์หรือเปล่า  ถ้าเกิดศิษย์น้องไม่มองเห็นเหตุแห่งทุกข์  ศิษย์น้องเอาแต่ก้มหน้าเศร้ากับความทุกข์ แต่ไม่ลุกขึ้นฝ่าเผชิญ ไม่ลุกขึ้นมองหาเหตุ ศิษย์น้องก็แก้ได้ไม่ถูก
ในการเป็นผู้บำเพ็ญตน   เมื่อเจอความทุกข์ยากไม่ว่ามาจากสิ่งใดก็ตาม เราจะต้องรู้จักหนึ่งทำใจให้ได้ก่อน เมื่อทำใจได้  สองค่อยๆ มองดูว่าทุกข์เกิดจากอะไร  อะไรเป็นต้นตอ เป็นสาเหตุ สามค่อยๆ แก้ไปทีละขั้นๆ เมื่อแก้ได้แล้ว  นั่นแหละไม่ว่าศิษย์น้องจะเจอทุกข์กี่ครั้งๆ ก็สามารถผ่านได้หมด  แต่เมื่อมีทุกข์แล้ว ศิษย์น้องมักจะไม่ยอมรับ  พอเจอทุกข์ไม่เอาๆ ไม่อยากเจอ  พอไม่อยากเจอ  แต่ต้องเจอเป็นอย่างไร  ก็ยิ่งทุกข์ใช่ไหม  แล้วก็ทำใจสู้ไม่ไหว  เพราะว่าแค่ยังไม่ทันแตะก็กลัวแล้ว  แต่ศิษย์น้องก็รู้ว่าคนเราเอาแต่กลัวน้ำ  จะว่ายน้ำเป็นไหม  ไม่เป็น ต้องลงไปในน้ำเลยใช่ไหม  ต้องลองจมดูสักครั้งหนึ่ง  ลองเจ็บดูสักครั้งหนึ่ง  แล้วเราจะรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร  พอเริ่มจมปุ๊บ  เราก็เริ่มที่จะต้องหาทางช่วยเหลือตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) ท่ากบ ท่าฟรีสไตล์ ลอยเข้ามาหมด ใช่ไหม  แต่เมื่อมาหมดต้องค่อยๆ เรียบเรียง ไม่ใช่เอาทั้งหมด 3 ท่า รอดไหม  เราต้องดูก่อนท่าไหนเราพอทำได้  เหมือนกันเมื่อเจอทุกข์  หนทางออกที่ง่ายที่สุด อย่างแรกก็คือยอมรับ ปลงและทำใจ นี่คือสิ่งที่ง่ายที่สุดเมื่อเจอทุกข์  ยอมรับ ปลงและทำใจ  เขามาทวง  เขามาทำให้เราเจ็บ เขามาทำให้เราทุกข์ ยอมรับเสียว่านี่คือกรรมของเรา  หากเราไม่ยอมรับ  เราโมโหคนที่มาทวง  คนที่มาทำให้เราทุกข์  เขาจะยิ่งไม่ยอม ไม่ยอมก็ยิ่งทำให้ท่านเจ็บหนักขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนท่านตีเราเจ็บหนึ่งที แล้วท่านก็สะใจ แล้วเราที่โดนตียิ่งโกรธๆ เขาอยากที่จะตีท่านอีกไหม เขาอยากที่จะหาเรื่องท่านอีกไหม อยากใช่ไหม  ไม่เหมือนกับพอเขาตีเราที  ท่านยอมให้ตี เขาก็เบาโกรธไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นง่ายๆ เองเรื่องความทุกข์
ท่านหนันผิงเซียนถง : ยืนก่อน บอกให้นั่งก็ไม่อยากนั่ง มาสถานธรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารักษาโรคหรือเปล่า รักษาหรือไม่รักษา อย่ารักพี่เสียดายน้อง คนที่ยังตอบว่ารักษาแสดงว่ารักพี่เสียดายน้อง  การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มานั้น มาเพื่อสั่งสอนให้ท่านทำในสิ่งที่ท่านควรจะกระทำ  ไม่ได้มารักษาโรค  เมื่อพูดอะไรไปท่านก็ต้องทำตามๆ เท่าที่เราทำได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าหากว่าท่านไม่ทำตาม มีประโยชน์ไหมที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา  ไม่มีประโยชน์ ท่านเป็นญาติธรรมเก่า  ท่านจะต้องเข้าใจหลักธรรมให้ถูกต้อง   เพื่อที่จะได้อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ถูกต้อง  ถ้าท่านไม่ได้ถือว่าเป็นผู้มาก่อน    ท่านยังไม่รู้อะไรแล้วไปบอกคนใหม่ว่า  จริงๆ แล้วท่านยังไม่รู้อะไรเลย  ท่านรู้สึกละอายใจไหม  ท่านต้องรู้สึกละอายใจ ใช่ไหม  เราควรที่จะขยันศึกษา  เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น ใช่ไหม  ถ้าหากท่านไม่ศึกษา  ประชุมธรรมนานๆ ก็มาสักครั้ง  ท่านจะเข้าใจได้อย่างไร  หรือมาสถานธรรมแต่ใจไม่มีความศรัทธาเลย ท่านคิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์ไหม ก็ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์  เพราะว่าเราไม่ศรัทธา ใช่ไหม  การที่เราตั้งต้นมา จริงๆ ก็ต้องมีเมล็ดพันธุ์ดี ถ้าหากว่าพื้นดินดีอยู่แล้ว  หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปขึ้นไหม  ขึ้น  พื้นดินก็เหมือนกับเบื้องบนที่ศักดิ์สิทธิ์  ส่วนเมล็ดพันธุ์ก็คือตัวท่านเอง  เมล็ดพันธุ์ของเราดีไม่ดี สมมติว่ามีเมล็ดพันธุ์ของจิตที่เป็นอกุศล  กับมีเมล็ดพันธุ์ของจิตที่เป็นกุศล  ท่านจะเลือกเมล็ดพันธุ์ไหนไปปลูก (เมล็ดพันธุ์กุศล) แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  ท่านเลือกเมล็ดพันธุ์กุศลไปปลูกงอกงามใช่ไหม  ทำไมล่ะ  ก็เพราะว่ามนุษย์มีปัญญา  ท่านจะต้องรีบๆ รีบนี้รีบอะไร  ไม่ใช่รีบที่จะเป็นเจี่ยงซือ  เป็นฐันจู่  แต่รีบขัดเกลาตัวท่านเอง  ไม่ใช่รีบว่าฉันจะไปเป็นฐันจู่แล้ว  รีบไปเป็นเจี่ยงซือแล้ว  รีบไปทำในสิ่งที่เป็นรูปธรรมทั้งหลายนั้นไม่มีประโยชน์  ต้องรีบให้ใจเรานั้นงดงามมากขึ้น  แม้ว่างดงามในใจไม่มีใครเห็น  ท่านก็อย่าได้ทุกข์กังวลไป  เพราะว่าความงดงามที่อยู่ภายในกว่าจะออกมาภายนอกจะต้องใช้เวลาอีกมากนัก  ท่านต้องค่อยๆ แล้วใจเย็นๆ ดีไหม  คนที่ขี้โมโหบำเพ็ญธรรมอย่างแรก   เพราะว่าคนขี้โมโหแล้ว   เวลาที่มีคนมาแหย่เรา   เราทนไม่ไหว  ไม่ต้องพูดถึง  ท่านก็เริ่มจุดไฟเข้าไป  แล้วไฟก็ลามจนหมดไปเลย  เพราะฉะนั้นความโกรธ  ความโมโห  เป็นอันดับหนึ่งที่ต้องตัดทิ้ง   ตัดได้ไม่ได้  ที่เราถามท่านบอกว่า บำเพ็ญจริงๆ หรือยัง  หมายความว่าอะไร ไม่ใช่ไหว้พระทุกวัน  กินเจทุกวันเรียกว่า บำเพ็ญ แต่ท่านต้องรู้จักที่จะมองจิตใจของตัวเองทุกวัน  หนึ่งวันอย่างน้อยต้องขัดเกลากิเลสให้ได้   อย่างน้อยต้องให้กิเลสของท่านตัดไปวันละครึ่งๆ
พระนาจา : เรามาตั้งสองคน ท่านจะต้องตั้งใจ ตั้งสติให้ดีๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่มีอะไรมาสะดุดนิดหนึ่งใจไปแล้ว  ฟังก็เลยฟังไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม  อย่ามัวห่วงทุกข์ของตัวเองมาก  เดี๋ยวจะฟังไม่รู้เรื่อง  บางครั้งทุกข์ในโลกนี้แกล้งทำเป็นลืม  บอกพรุ่งนี้ฉันค่อยทุกข์  พรุ่งนี้ฉันค่อยเจ็บ  บางทีพอถึงพรุ่งนี้กลายเป็นวันนี้ ใช่ไหม  แล้วทุกข์อีกไหม  ไม่ทุกข์แล้วไว้พรุ่งนี้ซิ  ทำไมศิษย์น้องไม่รู้จักใช้ความพลิกแพลง  ใช้ปัญญากับการจัดการทุกข์ของตัวเอง ทุกข์บางเรื่องเป็นเพราะว่าเรากังวลมาก  ปล่อยไม่ได้ ปลงไม่ได้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์น้องก็ต้องเล่นเกมกับความทุกข์หน่อย  เอาไว้พรุ่งนี้ฉันค่อยทุกข์  พอถึงพรุ่งนี้  พรุ่งนี้ซิค่อยทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เวลาตัวเองผิด  อย่าบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยแก้  มะรืนค่อยแก้ อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) บางครั้งเวลาศิษย์น้องมาบำเพ็ญ  ศิษย์น้องจะเจอคนหลายๆ แบบ  แม้จะมองดูมีหู มีตา มีจมูก มีร่างกายเหมือนกันหมด  แต่ไม่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือนิสัย  ความเคยชิน บางครั้งศิษย์น้องก็คิดเสียว่าเขาไม่เหมือนกับเรา  เขาไม่ได้มาจากบ้านเดียวกับเรา  พอคิดได้อย่างนี้ก็โกรธเขาน้อยลงหนึ่งครั้ง ใช่ไหม  พอโกรธน้อยลงก็ให้อภัยเขาได้อีกหน่อยหนึ่ง  แล้วก็ทนเขาได้อีกหน่อยหนึ่ง  เมื่อให้อภัยได้  โกรธได้  เบาได้  ตรงนี้ก็ลดความทุกข์ได้อย่างหนึ่งแล้ว  เลิกสนใจเขาได้อย่างหนึ่ง  แต่ลำบากอยู่อย่างหนึ่งคือศิษย์น้องมีตา มักจะชินกับการมองออก ใช่ไหม  แต่ลืมมองตัวเองบ้าง  บางครั้งเราเห็นคนนี้  รู้นะ ถ้าเขาเป็นแบบนี้ๆ ไม่ดีเลย  แต่เคยเอาสิ่งที่วิจารณ์เขามาวิจารณ์และมาตรวจสอบตัวเองบ้างหรือเปล่า บางครั้งน้อย
ศิษย์น้องเคยเห็นขวานไหม  ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดเรื่องขวาน  เพราะว่าศิษย์น้องเคยใช้ขวานกัน  ขวานนี้คอยบาก คอยถากต้นไม้หรือไม่ก็คอยฟันต้นไม้ ใช่ไหม (ใช่) แต่ตัวด้ามขวานนี้เคยฟัน เคยถากด้ามที่ตัวเองเป็นบ้างไหม (ไม่เคย) เขาเคยแต่ไปฟันต้นไม้อื่น  แต่ตรงช่วงด้ามไม้ของตัวเองนี้  เขาไม่เคยทำตัวเองเลย ใช่ไหม  การเอาแต่มองคนอื่น  ตรวจสอบคนอื่นหรือคอยขัดเกลาคนอื่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขวานที่มองไม่เห็นตัวเอง  แต่จริงๆ แล้วศิษย์น้องมีนิสัยเหมือนขวาน  แต่เป็นขวานหรือเปล่า  ศิษย์น้องเป็นคน   จริงๆ แล้วศิษย์น้องไม่ได้เป็นขวาน  แต่มีนิสัยเหมือนขวาน ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่นิสัยแบบนี้ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้  ในเมื่อตาเรามองออกได้  ทำไมตาเราไม่รู้จักมองเข้ามาดูตัวเองบ้าง  เมื่อมองเห็นผู้อื่น  ก็ลองกลับมามองเห็นตัวเองบ้าง  เห็นผู้อื่นได้ก็ต้องเห็นตัวเองได้ เมื่อเห็นตัวเองก็จะรู้ว่าอะไรถูก  อะไรผิด  แต่ถ้าไม่มองจะเห็นไหม    เอาแต่มองคนอื่นจะเห็นไหม  (ไม่เห็น)  ก็จะต้องคิดว่าตัวเองเป็นขวานที่สวยแล้ว  จามคนโน้นที จามคนนี้ที ได้หรือเปล่า ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองผิดต้องกล้ายอมรับ  อย่าผัดวันบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยแก้แล้วกัน  หรือไม่ก็บอกว่ามันติดมานานแล้ว  เดี๋ยวก็แก้ได้เอง ได้ไหม  คนที่ผัดวันคือคนที่ไม่ยอมเปลี่ยน  คนที่โทษคนอื่นคือคนที่ไม่เห็นตัวเอง  ไม่มองตัวเอง ยังมีนิสัยเหมือนขวานอยู่  ใช่ไหม (ใช่)
 ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์น้องจะทำสิ่งใด หากตัวเองยังติดนิสัยเหมือนขวาน  ก่อนที่จะอ้าปากไปว่าเขา  เอาคำพูดนั้นหันมามองตัวเองก่อน มีไหมที่มันเกิน  มีไหมที่มันทำแล้วทิ่มแทงใจคนอื่น ใช่หรือไม่  เมื่อหมั่นมาสำรวจตัวเองตนนี้  ก็จะทำให้เราไม่กล้าที่จะว่าคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองทำผิดห้าก้าว แต่คนอื่นทำผิดสิบก้าว  แล้วไปหัวเราะคนที่ทำผิดสิบก้าวได้ไหม  (ไม่ได้)  ตัวเองเป็นคนขี้โมโห  แม้จะโมโหแต่ยังไม่เคยทำร้ายใคร  แต่คนอื่นโมโหแล้วลงโทษ  แล้วฆ่าคนที่ทำให้โมโห เราไปชี้หน้าหัวเราะเขาได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าคนที่วิ่งหนีสิบก้าวกับวิ่งหนีห้าก้าวเหมือนกันไหม   หนีเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ท่านหนีน้อยกว่าเขา ใช่ไหม (ใช่)  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็อย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นด้วย  และอย่าเอาแต่ว่าคนอื่น  ว่าคนโน้นไม่ดี  คนนี้ไม่ดี  เพราะจริงๆ แล้วหากตัวเองยังมีอยู่  แม้จะยังไม่หนักก็ไม่ต่างกับเขา ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นหัดมองตัวเองเยอะๆ แล้วก็ลงแรงแก้ไขที่ตัวเองเยอะๆ แล้วเราจะเป็นผู้บำเพ็ญแล้วมีประโยชน์   บำเพ็ญแล้วได้ก้าวหน้า  ใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้หยิบขนมที่ถวายอยู่บนโต๊ะพระมาทานและเมตตาแจกให้กับนักเรียนในชั้น)
ท่านหนันผิงเซียนถง : เมื่อครู่เราถามว่านี่อร่อยไหม มีคนบอกว่าอร่อย  ท่านใช้อะไรตัดสินใจว่าอร่อย อันนี้เป็นขนมในโลกมนุษย์นี้ คนที่บอกว่าอร่อยก็แสดงว่าเคยกินมาแล้ว ท่านเอาสิ่งที่ท่านเคยกินมาปักษ์ใจว่าอันนี้อร่อย อันนี้ไม่อร่อย สิ่งที่ปักษ์ใจนั้นทำให้ท่านตีความไปในความดีและความไม่ดี ถ้าขนมนี้เกิดเสียขึ้นมา  สมมติว่าไปโดนฝน  เพราะน้ำเข้าแต่ดูภายนอกยังแห้งอยู่  พอท่านกินเข้าไปอร่อยไม่อร่อย  มีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ท่านต้องปล่อยวาง บางทีคนที่ท่านเคยบอกว่าดีหรือไม่ดีนั้น ความดีไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเขา โยนให้เขาดีกว่า  โยนดูว่าใครจะไปไกลกว่ากัน
พระนาจา :  น่าสงสาร  โยนไปข้างหน้าก็อดได้  แต่ข้างหลังได้นะ  จะใจดีข้างหน้าหรือใจดีข้างหลังดี  ศิษย์น้องรอตรงนี้เลยหรือ  ศิษย์น้องทำไมเป็นคนอย่างนี้  (เป็นยา) ไม่เป็นหรอก  กินก็เหมือนขนมธรรมดา
ท่านหนันผิงเซียนถง : ถ้าขนมอันนี้เป็นยา  เขาเรียกว่างมงาย  รู้ไหม
“น้องผิดพลั้งเหมือนตั้งใจใช่เจตนา น้องเจอทุกข์ช้ำอุราดูเศร้าหมอง
มีน้ำใจห่วงใยกันโอบประคอง ไม่ซ้ำเติมไม่เป็นฆ้องเพลินนินทา”
พระนาจา :  ศิษย์น้องดูกลอนศิษย์พี่หน่อยนะ  บางครั้งเวลาศิษย์น้องบำเพ็ญมักเจอคนบำเพ็ญที่กลับใจแล้ว  แล้วกลับเผลอไปทำผิดใหม่อีก หรือไม่ก็เราบำเพ็ญแล้วต้องไปเจอคนข้างนอกที่ทำผิดร้ายแรง   แล้วศิษย์น้องจะทำอย่างไรที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงและเอาคุณธรรมนี้ไปโน้มน้าวจิตใจเขาได้  สิ่งแรกก็คือใจของศิษย์น้องต้องยอมรับเขาให้ได้ก่อน หากใจเราไม่ยอมรับ แม้จะยื่นมือไปช่วย  ก็ช่วยเขาได้อย่างไม่เต็มที่ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วบางครั้งถ้าศิษย์น้องไปเจอคนบำเพ็ญธรรมที่เผลอทำผิด  ศิษย์น้องยิ่งต้องให้อภัยเขาหน่อย ใช่ไหม  อย่าได้ตัดเขาออกจากการเป็นผู้บำเพ็ญธรรม  หรือคนที่เคยรู้จักกันมา  เช่นนี้ก็ใจร้ายเกินไป ใช่ไหม
 กลอนของศิษย์พี่ก็คือบอกไว้ว่า  แม้เขาจะผิดเหมือนตั้งใจ  แม้เขาจะทุกข์  เราก็ต้องมีน้ำใจไปโอบช่วยเขา  มีน้ำใจให้อภัยเขา  หากศิษย์น้องไม่มีน้ำใจไปช่วยเขา  ศิษย์น้องก็ไม่สามารถที่จะโปรดคนทุกข์ยากในโลกนี้ได้ จริงไหม (จริง)  แล้วใจเช่นไรล่ะถึงจะสามารถฉุดช่วยคนทุกประเภทได้  โดยเฉพาะคนที่ทุกข์มากๆ หรือทำผิดมากๆ ก็คือใจที่อ่อนน้อม ศิษย์น้องเคยเห็นน้ำทะเลๆ ที่อยู่ต่ำที่สุดจึงสามารถรวมน้ำในโลกนี้ให้มาอยู่ได้  จิตใจที่น้อมต่ำที่สุด จึงสามารถไหลเข้าสู่ทุกอณูของจิตใจของทุกๆ คนได้ ใช่ไหม  แต่จิตใจนั้นเมื่อไหลไปสู่ที่ใด เมื่ออ่อนน้อมจะชักจูงใคร  ต้องไม่เสียความมุ่งมั่นเดิม  ไม่เสียใจเดิม  ไม่ใช่เราจะไปดึงคนไม่ดี  แต่เราเผลอติดความไม่ดีของเขา  เช่นนี้ไม่ถูกต้อง เราจึงต้องรักษาความมุ่งมั่นเดิม  แล้วพยายามโน้มนำเขากลับมาให้ได้ ด้วยความพยายามและอดทนอดกลั้น  ภายในใจฝึกความให้อภัยและเมตตาจิต  แล้วศิษย์น้องจะสามารถดึงคนที่ไม่ดีกลับมาเป็นคนดีได้  ด้วยจิตใจอันมั่นคงและเที่ยงธรรมของเรา  พอเข้าใจนะ  แต่ถ้าศิษย์น้องไม่มีความมั่นคงเที่ยงธรรม  แม้จะเข้าไปอยู่กับเขาได้  แต่ก็จะเปลี่ยนแปลงใจเขาไม่ได้  แต่เมื่อไรที่เขาทำผิด  ก็อย่าได้เอาโทษเขาถึงตาย  อย่าตีหน้าเขาว่าเป็นคนชั่ว  ตลอดชีวิตไม่มีการแก้ไข   เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม  เพราะส่วนลึกๆ ของศิษย์น้องก็เคยผิดด้วยกันทั้งนั้น  น้ำสะอาดบริสุทธิ์มักไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่   จิตใจที่เข้มงวดจนเกินไปก็ไร้ผู้ใดรักและชิดใกล้  ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักผ่อนปรนให้อภัยกัน  แต่ข้อผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราผิด  เราต้องไม่ผ่อนปรน  ใช่ไหม (ใช่)
ท่านหนันผิงเซียนถง : สิ่งภายนอกเริ่มมารบเร้าจิตใจแล้วใช่ไหม
พระนาจา :  ศิษย์น้องจึงต้องตั้งสติให้ดีนะ  ไม่เช่นนั้นจะฟังศิษย์พี่ไม่รู้เรื่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเราจะเข้มงวด  เราต้องเข้มงวดตัวเอง  ผ่อนปรนผู้อื่น  สิ่งใดที่เป็นข้อผิดเล็กๆ น้อยๆ เราต้องรีบ (แก้ไข)  แก้ไขเพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้เกิดปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เล็กๆ ไม่เอา  ใหญ่ๆ ก็ไม่เอา ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมองให้ออกตั้งแต่เล็กๆ  หากมีสิ่งใดที่เป็นข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในจิตใจ   ก็ต้องรีบปัดก่อนที่มันจะเกิดลุกลามและใหญ่โตยิ่งขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ท่านหนันผิงเซียนถง : ถ้าหากว่ามัวแต่มองตัวเอง  ไม่มีเวลามองคนอื่น  ท่านก็สนใจแต่ตัวเอง ใช่หรือเปล่า  เมื่อเราสนใจแต่ตัวเองก็มีอัตตาสูง  สิ่งที่ท่านได้เจอตลอดเวลาการบำเพ็ญนี้  บางคนเจอเส้นทางที่มีความยากลำบากมากมาย  บางคนเจอเส้นทางสะดวกกว่า  จริงๆ แล้วสองเส้นทางนี้คนละแบบ ท่านจำเป็นต้องเดินอย่างระมัดระวัง ต่อให้มีทางราบรื่น  ส่วนคนที่บอกว่าขรุขระหน่อย  ในใจขอให้เพียงแต่บางอย่างสมดุล  ไม่มีใครขาด  ไม่มีใครเกิน  อย่าโทษ อย่าติ อย่าดูถูกกัน  มีจิตใจเหมือนกัน คิดดีก็ได้ คิดร้ายก็ได้ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่เราบอกท่าน ก็จะได้รับผลดี เพราะว่าทุกคนก็เป็นศิษย์ของอาจารย์เดียวกัน ใช่ไหม (ใช่) ทุกคนก็มีเรื่องเท่าๆ กัน แต่ท่านห่วงมากที่สุดก็คือการที่พวกท่านได้อยู่ร่วมกัน  แต่ว่าการศึกษาธรรมไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย  จิตใจก็ไม่ได้รับการขัดเกลา  มีความท้ออยู่เป็นประจำๆ ทำงานธรรมะก็เพราะเป็นหน้าที่   แต่ที่ห่วงที่สุดคืออะไรรู้ไหม อาจารย์พูดให้ฟังอยู่เสมอๆ แล้วก็ห่วงมากก็คือพวกท่านทุกคนบำเพ็ญธรรมอย่างงมงาย ทำไมถึงบอกว่างมงาย เพราะว่าท่านไม่ได้เอาสัจธรรมหรือหลักธรรมมาบำเพ็ญ ใช่ไหม  อย่างเรามานี้ตอบเลยว่ามารักษาโรค โรคที่เรามารักษาก็คือโรคทางใจเพราะว่าโรคทางใจมี  โรคทางกายก็ตามมา ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงต้องใช้หลักสัจธรรมให้มากๆ  ทุกท่านนั้นเป็นคนที่พระอาจารย์ท่านรักและเป็นห่วง
พระนาจา :  ไม่เห็นน่ารักน่าเป็นห่วงเลยหน้าอย่างนี้  ให้อาจารย์ห่วงศิษย์พี่คนเดียวก็พอ  การบำเพ็ญนะศิษย์น้อง   บางคนอาจจะยังสับสนอยู่ว่าเราบำเพ็ญนั้นแท้จริงแล้วเราบำเพ็ญอะไรกัน  การบำเพ็ญก็คือ การให้เราพลิกฟื้นคืนกลับจิตใจอันแรกเดิม จิตใจอันใสเดิม หรือสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเรา ซึ่งเรียกว่าพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  พุทธะจะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อศิษย์น้องรู้จักหันไปมอง  การที่ศิษย์น้องเอาแต่เดินออกแสวงออก นั่นก็คือการทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการฟื้นหาความเป็นพุทธะในตัวตน ศิษย์น้องต้องอย่าลืมว่าเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราต้องมีจุดมุ่งหมายอยู่ทุกขณะจิต  ทุกวันทุกเวลา  ไม่ว่าเราจะทำอะไร   ขอให้นึกว่าการทำนั้นเป็นการพลิกฟื้นค้นหาจิตใจของตัวเองไหม การทำนั้นเป็นการบำเพ็ญตนแล้วเรียกว่า”ผู้บำเพ็ญตน” ไหม  หากทุกขณะจิตได้คำนึงถึงสิ่งนี้  ไม่ว่าศิษย์น้องจะเดินไปทางซ้าย  เดินไปทางขวาก็จะมีความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา  แต่ถ้าเกิดว่าศิษย์น้องไม่มีจุดมุ่งหมาย  ไม่รู้ว่าตัวเองบำเพ็ญตน  ไม่ว่าเดินไปทางซ้าย  ไม่ว่าเดินไปทางขวา  ก็เหมือนไม่เคยก้าวหน้าย่ำอยู่กับที่  ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าการบำเพ็ญตนก็คือการที่เราจะต้องฟื้นฟูจิตใจอันแรกเดิมของเราให้พบ แต่เราจะทำอย่างไร  ในเมื่อทุกๆ วัน  เดี๋ยวเราต้องกระทบกับคนนั้นกระทบกับคนนี้     อารมณ์มากระทบทีหนึ่ง  ความอยากมากระทบทีหนึ่ง  ไม่ว่าอารมณ์ใครมากระทบเรา  ไม่ว่าใจเราเกิดความอยาก ความต้องการ อารมณ์รัก อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง  เมื่อใดที่มากระทบใจ  ขอให้ศิษย์น้องตั้งสติให้รู้ว่าอะไรมากระทบ  เมื่อกระทบผ่านมาแล้วผ่านไปไหม  หากกระทบแล้วเข้ามาคั่งค้างในใจ  เกิดเป็นอารมณ์ เกิดเป็นความต้องการ  แล้วแสดงออกมาทางร่างกายนั่นก็คือใจน้องไม่ว่าง  ใจน้องไม่มีความเป็นพุทธะ แต่ใจของศิษย์น้องกำลังเกิดกิเลส แล้วเป็นกิเลสที่ต้องทำให้สำเร็จเช่นนี้ไม่เรียกว่า ใจว่าง แล้วฟื้นความเป็นผู้บำเพ็ญตน เข้าใจไหม  แต่ถ้าเมื่อไหร่อารมณ์มากระทบ  ศิษย์น้องรู้ตัวมองให้ออกควรโกรธไหม  ควรรักไหม   รักแบบใด  โกรธแบบใด  ไม่ให้โกรธแล้วเกิดเป็นกิเลส  ไม่ให้เป็นอารมณ์แล้วเกิดเป็นจิตใจที่ขุ่นมัว  ไม่ว่าสิ่งใดมากระทบ  ศิษย์น้องสามารถไกล่เกลี่ยแล้วออกได้ด้วยความดี  ออกไปด้วยความไม่กระทบกระทั่งใคร  ไม่เบียดเบียนใคร  ไม่ทำร้ายใคร  การผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  จะเป็นการผ่านมาผ่านไปที่จิตว่าง  เข้าใจไหม  แต่ถ้าเกิดว่าอารมณ์มากระทบ  ศิษย์น้องเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา  โกรธๆ ๆ  แล้วก็ว่าเขาไป  เช่นนี้เรียกว่าผ่านมาแล้วไม่สามารถทำใจให้ว่าง  ผ่านมาแล้วไม่สามารถบำเพ็ญตนแล้วขัดล้างอารมณ์ออกให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อศิษย์น้องสามารถควบคุมตัวเองได้  เมื่อศิษย์น้องสามารถไกล่เกลี่ยปัญหาที่จะเจอกับตัวเองได้  การที่จะก้าวออกไปช่วยคนก็ย่อมมีโอกาสทำได้  แต่ถ้าหากศิษย์น้องไม่สามารถไกล่เกลี่ยอารมณ์ของตัวเองได้  ไม่สามารถปล่อยวางความทุกข์ ความสุข ภาระในโลกได้  การจะก้าวออกไปช่วยคนจึงเป็นการยาก  บางครั้งบำเพ็ญมานานๆ ชักล้า  กิเลสเริ่มเกาะเยอะ    เบื่อที่จะไปดึงใคร  เพราะว่ายังเป็นห่วงสุขของตัวเองอยู่ ยังรู้สึกว่าทุกข์ของตัวเองยังล้างไม่หมดเลย    แล้วจะไปช่วยทุกข์ใครได้ ใช่ไหม   ฉะนั้นศิษย์น้องจึงต้องรู้จักบำเพ็ญตัวเองด้วย  และช่วงที่บำเพ็ญตัวเองก็ต้องพร้อมที่จะก้าวและยื่นมือไปช่วยคนด้วย  หากช่วงที่ทุกข์อยู่  ช่วงที่ไม่สบายใจอยู่  ศิษย์น้องมีใจพร้อมจะก้าวไปช่วยคน  มีใจพร้อมที่จะไปเห็นทุกข์ของคน  แล้วดึงทุกข์ของเขาให้กลายเป็นสุข  ให้กลายเป็นความราบรื่นแห่งจิตใจ   ตอนนั้นทุกข์ของศิษย์น้องอาจจะหายไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์น้องยังห่วงสุขของตัวเอง  ห่วงทุกข์ของตัวเอง  ศิษย์น้องจะไม่มีทางก้าวออกไปได้  มือก็ไม่มีทางยื่นไปช่วยใครได้  แล้วใจของตัวเองก็ไม่มีทางบำเพ็ญได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะก้าวออกไปช่วย  อย่ามัวกังวลความสุข  ความทุกข์ของตัวเองจนเกินไป  มิเช่นนั้นจะช่วยใครไม่ได้เลย
แล้วตอนนี้สามารถทำใจให้ว่างได้ไหม  ใจว่างก็คือไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น  นั่งอยู่ก็มีความปิติเบิกบานได้  เข้าใจคำว่า “ปิติเบิกบาน” ไหม  ปิติเบิกบานต่างจากเกษมเปรมปรีดิ์ยินดีปรีดา ใช่ไหม  นั่นก็คือว่าแม้เราจะยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ไปแสวงหามากมายอย่างคนอื่น  เราก็มีสุขได้  นั่นคือการบำเพ็ญตน  แม้ท่ามกลางการแสวงหาเราไม่รู้สึกว่าโลภ  ต้องได้ ต้องมี ศิษย์น้องใจคิดว่าทำไปเพื่อหน้าที่  ทำไปเพื่อเลี้ยงชีพ  มีเสื้อผ้า มีเงินทอง  เพียงเพื่อดูแลร่างกาย  หากทำได้ขนาดนี้  จิตใจแห่งความโลภจะน้อยลง  แต่ถ้าเกิดว่าที่ๆ ทำอยู่นั้น  ต้องมีให้มาก  ต้องได้  นั่นแหละความโลภย่อมเพิ่มขึ้น ใช่ไหม  ขอให้ทำไปด้วยเป็นหน้าที่  ทำไปด้วยใจที่รู้สึกพออยู่เสมอ  ถ้าทุกขณะที่ทำไปรู้จักพออยู่เสมอ  ได้เราก็ไม่ดีใจเกิน  เสียเราก็ยังทำใจได้ทัน  เพราะใจเราพร้อมอยู่เสมอ  รับอยู่ทุกสภาวะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่คือใจของผู้บำเพ็ญ  อยากให้ศิษย์น้องมีใจนี้และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ศิษย์น้องก็จะตั้งรับไว้ทัน  ไม่ว่าฝนตก ลมจะแรง  ฟ้าจะมืด  ศิษย์น้องก็รับรู้ได้ด้วยใจที่เปิดกว้างและยินดี  แต่ถ้าใจนี้มีความเป็นตัวตน  มีอารมณ์  มีกิเลสฝังอยู่  พอมีอะไรมากระทบเป็นธรรมดาต้องเจ็บ ใช่ไหม (ใช่)  พอมีอะไรมาขัดกับสิ่งที่อยู่ในใจก็ต้องทุกข์  ฉะนั้นเมื่อไรที่ใจเรากำลังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น  จงพยายามล้างให้สะอาด  จงพยายามไม่มีความเคยชิน  ไม่มีนิสัยและไม่มีอะไรที่เป็นอารมณ์  แล้วเรียกว่าตัวเราติดอยู่  เมื่อไรที่สามารถล้างได้จนสะอาด  ล้างได้จนไม่เรียกว่าอะไรคือนิสัย  อะไรคือความเคยชินที่เป็นของเรา  แม้อะไรมากระทบเราก็จะไม่ต้องเจ็บปวดและไม่ต้องทุกข์จริงไหม   ไม่ยากใช่ไหม  ง่ายๆ เองลืมตัวเองไปบ้าง  อย่าบอกว่าตัวเองชื่อนี้  พอพูดว่าตัวเราชื่อนี้   ทุกข์แน่นอน ใช่ไหม  บางครั้งลืมตัวเองเสียบ้างจะได้ช่วยดับทุกข์  ผ่อนทุกข์ในตัวตนเองได้บ้าง ดีไหม
ท่านหนันผิงเซียนถง : เมื่อเราจะพูดสิ่งใดก็ขอให้สิ่งนั้นออกมา   ถ้าใครอยู่ในสถานธรรมทำอะไรก็ดีไปหมดเลย ต้องทำทุกอย่าง ฉะนั้นถ้าหากตัวท่านเป็นน้ำที่มีคลื่น ท่านไม่สามารถเป็นผู้ที่สงบนิ่ง  การบำเพ็ญของท่านนั้นก็วุ่นวายไม่รู้จบ  เพราะฉะนั้นท่านจะต้องทำจิตใจให้นิ่งๆ เหมือนน้ำไม่มีคลื่น ใช่ไหม  น้ำใสเหมือนกระจก  คนอื่นต้องหมั่นยืนส่อง  น้ำสะอาดคนก็เอาไว้ล้างหน้า  น้ำไม่สะอาดล้างเท้ายังคันเลย ใช่ไหม
พระนาจา : หนทางแห่งการบำเพ็ญธรรมมองดูแล้วยังอีกไกล ใช่ไหม (ใช่) แต่ใจของศิษย์น้องต้องรักษาให้คงมั่น  ใจแห่งความเป็นผู้บำเพ็ญตน   ใจแห่งความเป็นพุทธะ  ใจที่มีความเป็นพุทธะอยู่เป็นใจที่รู้จักมองโลกนี้ให้เป็น  รู้จักดูชีวิตของตนเองให้ออก  แล้วก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข นี่คือใจของผู้บำเพ็ญตน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าหนทางจะยังอีกยาวไกล  ศิษย์น้องก็ยังสามารถเดินไปด้วยความมั่นคงและอดทนเพียรพยายาม   ยิ่งอดทนมากเท่าไร  ยิ่งมั่นคงมากเท่าไร  ศิษย์น้องจะไปได้ไกลเท่าที่ตัวเองต้องการ  แต่ถ้าเมื่อไรหมดความอดทน  หมดความมั่นคง  หมดความเชื่อมั่น หมดความเข้าใจ  แม้ทางจะราบเรียบ  แม้ทางจะยาวไกลก็สั้นแค่นิดเดียว  เพราะใจเราไม่เอา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องพยายามก้าวมา และจะพร้อมเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่กลับคืนเบื้องบนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวศิษย์น้องเอง  เพียรพยายามศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจเรื่องที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ  พยายามศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจ  เรื่องที่ตัวเองยังรู้สึกงุนงง  เรื่องที่ตัวเองยังรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่าย  บางครั้งต้องรู้จักปล่อยวางและเอาธรรมะมาข่มใจบ้าง  บางครั้งอาจจะมีท้อบ้าง  บางครั้งอาจจะมีเบื่อหน่ายบ้าง  บางครั้งอาจจะมีความล้าเกิดขึ้นได้บ้าง  แต่เมื่อเกิดแล้วต้องสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดให้เป็นกำลังใจแล้วสู้ต่อไป  ไม่ใช่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดนั้นมากัดกร่อนจิตใจ  และทำให้ตัวเองยิ่งบำเพ็ญยิ่งทรมาน  ยิ่งเป็นทุกข์ เช่นนี้ไม่ดีเลย เช่นนี้ศิษย์พี่เห็นก็สงสาร จริงไหม  ยังไม่บำเพ็ญอยู่ข้างนอกก็สบาย  แต่พอมาบำเพ็ญแล้วต้องมาทุกข์ยาก  ศิษย์พี่เห็นศิษย์พี่ก็ทำใจลำบาก ใช่ไหม  บอกให้เดินต่อไปก็รู้สึกว่าศิษย์น้องไม่ไหว    ฉะนั้นต้องรู้จักเอาธรรมะมาข่มใจบ้าง  เอาธรรมะมาช่วยล้างจิตใจที่ไม่ดีออกไปบ้าง  อย่าปล่อยให้ความท้อแท้เบื่อหน่าย หรือเบื่อคน  เบื่อคนโน้น เบื่อคนนี้  ล้างออกเสีย  อย่าเอามาทำให้เราเกิดใจที่ไม่อยากบำเพ็ญแล้ว  ไม่อยากก้าวหน้าแล้ว  เช่นนี้ไม่ดีเลย จริงไหม (จริง)  บำเพ็ญไปศิษย์พี่ก็เศร้าแทน
 ฉะนั้นเมื่อบำเพ็ญแล้วเกิดใจล้า เกิดใจท้อ  เกิดใจเบื่อหน่าย  เกิดใจไม่สู้  ล้างออกบ้าง  แล้วพยายามกระโดดข้ามให้ได้  เมื่อใดที่กระโดดข้ามได้แล้ว  ศิษย์น้องจะรู้ว่าความทุกข์ของศิษย์น้องเป็นความทุกข์ที่เล็กนิดเดียวเอง  ยังมีทุกข์อีกมากมายในโลกนี้ที่รอให้ศิษย์น้องก้าวข้ามแล้วไปช่วยเขา  นี่คือหน้าที่ของศิษย์น้องต่างหาก   ไม่ใช่หน้าที่เกิดมาทุกข์  ท้อ บำเพ็ญอย่างไรดี  เกิดมาไม่คุ้มเลยนะ  ได้รับชี้หนึ่งจุดไปจะเป็นผู้บำเพ็ญก็เสียเปล่า จริงไหม  ฉะนั้นต้องก้าวข้ามความรู้สึกนี้ให้ได้  ถ้าเมื่อไรก้าวไม่พ้น  ก้าวไม่ข้าม  ตัวเองก็ช่วยไม่ได้  คนอื่นก็ช่วยเขาไม่ได้เช่นกัน  ส่วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝันไปเถอะว่าจะได้กลับคืน ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนจากแรงท้อเป็นแรงสู้ ดีไหม  ลมหายใจแห่งการต่อสู้เมื่อหมดหายใจออก  ก็สูดหายใจเข้าๆ มาใหม่  เมื่อสูดหายใจเข้าหมดก็ปล่อยออกบ้าง  บางครั้งมีทุกข์ มีท้อ มีดี มีร้าย มีสุข  ก็จงก้าวต่อไป  ก้าวต่อไปด้วยใจที่ไม่หวั่นไหว  มั่นคงเข้มแข็ง  อย่ามัวแต่ปล่อยใจเพลินไปกับโลกนี้  จนลืมหน้าที่ของตัวเอง  ลืมปณิธานของตัวเองและลืมจุดมุ่งหมายของตัวเองเสีย
ท่านหนันผิงเซียนถง :  ในนี้มีใครไม่ได้ตั้งปณิธานข้อ 1 บ้าง  ข้อ 1 คือเห็นงานทางธรรมสำคัญกว่างานทางโลก ใช่ไหม (ใช่)  ปณิธานเป็นเรื่องที่ตั้งแล้ว  ตัวท่านทุกคนต้องลงมือไปกระทำเอง การที่บอกว่าเห็นงานธรรมสำคัญกว่างานทางโลก  บางท่านคิดว่าคนเราตั้งปณิธานข้อนี้  ไม่ใช่เรื่องจริงจังเท่าไหร่  เราก็อยากบอกว่าจริงๆ แล้วการตั้งปณิธานนั้นอยู่ที่ตัวท่านเอง  สิ่งที่สำคัญที่สุดในปณิธานก็คือปณิธานตั้งแล้ว  ก็เหมือนกับทุกท่านตั้งกับใจตัวเอง  ตั้งกับองค์มารดา  สิ่งที่สำคัญที่สุดในงานธรรมและงานโลก   ก็คือในใจของท่านต้องมีงานธรรมะมาเป็นที่ตั้ง มากกว่าที่จะมีงานทางโลกมาเป็นที่ตั้ง เมื่อท่านสามารถที่จะปันใจออกจากงานทางโลก  คือความวุ่นวายต่างๆ มาสนใจงานธรรมะ  มาสนใจสถานธรรมมาก ท่านเองก็จะมีความเบิกบานมากขึ้น  การบำเพ็ญของท่านก็บำเพ็ญด้วยความสุขมากขึ้น  เพราะฉะนั้นนอกจากการกระทำโดยการลงแรงไปทำตามปณิธานนี้  ยังต้องรู้จักที่จะลงแรงในใจ  คือมีปณิธานมาตั้งแต่ออกจากใจ  การบำเพ็ญธรรมะก็จะมีความสุขมากขึ้นเอง  การบำเพ็ญธรรมะก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นเอง  เพราะว่าคนพอใจก็จะเกิดมีความ   (สุขใจ)  อยากได้ความสุข  อย่าขอกับพระ ให้ขอกับตนเอง  อยากได้ความสุขอย่าขอกับคนอื่น  ต้องขอกับตนเอง เข้าใจไหม  ต้องทำใจของเราให้เบิกบานเข้าไว้  ถ้าหากท่านทำใจของท่านเหี่ยว ท่านก็ไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อไปได้  การบำเพ็ญก็ยิ่งอ่อนแรง
พระนาจา : ใครมาจากทางไกล  ค่อยๆ ขับดีๆ นะ  (ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา) ทำไมถึงบอกว่าเอาผลไม้จากมือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วรู้สึกว่าผลไม้นี้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ใช่ไหม  ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวศิษย์พี่จับผลไม้ทุกลูกบนโต๊ะดีไหม  แล้วไม่ว่าใครได้ลูกไหนก็ศักดิ์สิทธิ์หมดเลยดีไหม  ศิษย์พี่เคยบอกแล้วว่า  โชคหรือความทุกข์ยากที่เกิดจากร่างกาย  หรือความทุกข์ยากที่เกิดจากกรรมเวร  ศิษย์น้องต้องยอมรับ  ถ้าศิษย์พี่ให้ยาบรรเทาความทุกข์  ศิษย์พี่ไม่ลำเอียงกับเจ้ากรรมนายเวรเขาหรือ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ควรจะให้ยาบรรเทากับเจ้ากรรมนายเวรดีกว่า  จะได้ไม่ต้องมาเจอศิษย์น้องดีกว่าหรือ  ทำไมต้องให้ศิษย์น้องเจ็บก่อน แล้วเอายาไปปลอบใจ โหดร้ายกว่าอีก ใช่ไหม  สู้ให้ศิษย์น้องเผชิญตอนนี้ดีที่สุด  เคี่ยวกรำตอนตัวเองมีร่างกายดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงแม้จะล้มอย่างไรศิษย์น้องก็ยังมีธรรมะช่วยค้ำ  ธรรมะคอยช่วยโอบอุ้ม  อย่าไปล้มเอาตอนที่ศิษย์น้องไม่มีอะไรเลย   ตอนนั้นน่าสงสารกว่าอีก  ฉะนั้นเป็นผู้อยู่ข้างหน้าอย่ายึดติดตรงนี้  ให้ผ่านมือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจนะ
ท่านหนันผิงเซียนถง : ใครป่วย นี่เป็นยา  ต้องป่วยนะ ไม่ป่วยกินเข้าไปหนักกว่าเดิม
พระนาจา : คนที่ยืนอยู่ตรงนี้  ตกหมดเลย  เพราะว่าเมื่อครู่เพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่ได้มา (รักษาโรค) ให้ยึดอะไรบำเพ็ญ (ธรรมะ) เพราะฉะนั้นถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เอง  ตัวท่านก็ต้องพิจารณา  วันนี้เรามาเรากิน  วันหน้าคนอื่นมายืมร่างของคนนี้  ท่านมีปัญญาแยกแยะออกไหม วันนี้ไม่ฟังคำเตือน  วันหน้าตกไม่รู้ด้วย  เพราะว่านี่ก็คือร่างของมนุษย์  ท่านมองไม่เห็นข้างใน  ท่านจะบอกว่าเป็นจริงไปหมด ได้ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็พูดว่า ให้ฟังอย่างพิจารณา  ให้มีความเข้าใจจริงๆ  ถ้าหากว่าคนในโลก  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่เพิ่งพูดไปให้เผชิญ ตอนนี้ท่านไม่ยอมเผชิญ  อยากจะได้ทางลัด และทางลัดก็ทำให้ท่านตกเหวตาย ใช่ไหม  บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญจริงๆ  รู้สัจธรรมรู้จริงๆ  รู้ก็บอกว่ารู้  ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ง่ายไหม (ง่าย)  ไม่อย่างนั้นถ้าหากศิษย์น้องไปเห็นการยืมร่างอื่น  แล้วก็บอกว่าเป็นศิษย์พี่เหมือนกันนะ โอ้ศิษย์น้องไม่ได้พบกันนาน ป่วยหรือ เอาไปกินซิ  ศิษย์น้องก็เชื่อ  พอหายจริงๆ เชื่อใหญ่เลย  แล้วทำอย่างไรล่ะ ไปแล้ว ใช่ไหม
ท่านหนันผิงเซียนถง : ยุคนี้ต้องการร่อนให้เหลือแต่คนจริงเท่านั้น   แต่ไสยศาสตร์เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น  ถ้าหากใครมัวติดรูป ติดเสียง ติดในสิ่งที่เป็นรูปทั้งหลาย  ติดในสิ่งใดก็แล้วแต่ รวมทั้งติดอยู่ในสิ่งของ  ติดอยู่ในบุคคล  ท่านจะบำเพ็ญให้ผ่าน  ถ้าหากอยากจะบำเพ็ญไปสูงกว่านี้ ก็ต้องยกระดับจิตใจของตนเองเข้าไว้ เข้าใจไหม มีเมตตา มีกรุณา  มีปัญญา  มีจริยมารยาทที่ดี  ถือผลไม้ไว้ในมือ  ร้องเพลงแล้วก็ส่งไป  ส่งไปแล้วถ้าหากผลไม้อยู่ในมือใคร  ก็ถือว่านั่นเป็นเราแจกแล้วกันนะ
พระนาจา : ลูกนี้ให้คนดำเนิน ให้เขาใช้ปัญญา เมตตา  กรุณาและกล้าหาญไปจัดการกับสับปะรดนี้เองนะ  สับๆ หรือจะใช้เครื่องปั่น ทำอย่างไรจะได้มากกว่ากัน
ท่านหนันผิงเซียนถง : พวกเราอยู่ข้างบนมีความสุขดี  อยากให้ท่านไปมีความสุขอยู่กับเรา  แต่ท่านต้องฝ่าฟันนิสัยความเคยชินของท่านเอง  ท่านก็ฝ่าด่านรัก  โลภ  โกรธ  หลงของท่านเองให้หมด  บำเพ็ญธรรมะ  พระอาจารย์บอกว่าไม่รับบริจาค    หมายความว่าให้ให้ฝึกด้วยใจของท่านเอง   คนที่เป็นฐันจู่  เจี่ยงซือ  เตี่ยนฉวันซือก็ดี  ทุกคนจะมีสิทธิ์ขาดในตัว  ในอำนาจ  มีลาภยศ สัมภาระมากมาย  ขายของในสถานธรรมก็ดี  ทำสิ่งที่ผิดก็ดี เพราะว่าการบำเพ็ญนั้นต้องบำเพ็ญด้วยตัวเอง  จะไม่มีใครมาเจ้ากี้เจ้าการให้  เวลาที่ท่านเห็นคนอื่นบำเพ็ญไม่ดี  ท่านก็ต้องอภัยนะ รู้ไหม
พระนาจา : พร้อมหรือยัง  ใครอย่าเผลอเอาแอปเปิ้ลที่ได้ในการตอบส่งไปนะ เดี๋ยวไม่ได้กลับมาไม่รู้ด้วย
ท่านหนันผิงเซียนถง :   ถ้าหากว่าไปอยู่ในมือของใคร     คนนั้นก็ได้แอปเปิ้ล แล้วก็ให้กลับมาคืนดีหรือเปล่า (ดี) อย่าโลภมากมีหลายลูกนะ  จับปลาสองมือจะวิ่งหลุดออก
พระนาจา : ตั้งใจบำเพ็ญกันให้ดีๆ นะ  นอกจากดำเนินแล้วยังมีที่ไหนอีก ใครมาบ้าง  แบ่งให้ทั่วนะ
ท่านหนันผิงเซียนถง : ออกกำลังกายไว้บ้าง  อย่ามัวนั่งเฉยๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ทุกคนถ้าออกกำลังกาย  ว่างๆ ก็ออกกำลังกายจะได้สุขภาพแข็งแรง ดีไหม (ดี)  กินเจมากๆ ดีไหม (ดี)
 พระนาจา : ใครยังไม่ได้ตั้งปณิธานข้อ 3 บ้าง ยกมือขึ้น แล้วใครยังไม่ยอมกินเจบ้าง  ไม่ได้ทานเจเลย
ท่านหนันผิงเซียนถง : ใครที่ดีอยู่แล้วตอนนี้ ก็อย่าเลิกวันหน้านะ รู้ไหม
พระนาจา : พยายามต่อไป ส่วนคนที่ยังไม่ได้กินก็ต้องพยายามไปฝึกจิตใจเมตตาให้ได้นะ เอาชนะใจตัวเองให้ได้
ท่านหนันผิงเซียนถง : ถ้าหากว่ากินแล้วเลิก กรรมจะกลับมาหนักกว่าตอนที่เรายังไม่กินอีกรู้หรือเปล่า (รู้)
พระนาจา : แล้วใครรู้ว่าตัวเองลงแรงน้อย  ต้องรีบลงแรง  โดยเฉพาะศิษย์น้องฝ่ายชายแค่จานตัวเองก็ไม่ยอมล้าง  ต้องรู้จักลงแรงให้กับตนเองบ้างนะ  รู้หรือเปล่า อย่าปล่อยให้แต่ผู้หญิงบริการ  ตัวเองไม่ทำอะไรเลยไม่ดีนะ  ต้องไม่เกี่ยงงาน  ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมอย่าได้เกี่ยงงาน  งานเล็กงานใหญ่  ไม่ว่าหนัก ไม่ว่าเบา  เราทำได้หมด  เพราะไปอยู่ที่ใดเบาเราก็เอา  หนักเราก็สู้  ไปอยู่ที่ไหนเขาก็รัก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เอาแต่นอนชี้นิ้ว  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมมีนิ้วใช้อย่างเดียวไม่ได้นะ  และก็ห้ามใช้แต่ปากด้วย  ไม่อยากไปเลย  ลาที


ท่านหลันต้าเซียนเมตตาประทาน พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สร้างตน”

ทำสิ่งใดต้องเริ่มที่ตนเองก่อน เราย่อหย่อนจะเร่งใครใครเร่งให้
เมื่อมุ่งให้คนอื่นเริ่มทำสิ่งใด เราต้องรีบไปเริ่มทำก่อนทุกครั้งเอย

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สร้างคน”

ใช้ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงใจคน ย่อมอดทนในการรอเขาดีขึ้น
ดีเรียบง่ายในการปลุกคนเมามึน ต้องเริ่มขึ้นโดยสร้างตนค่อยสร้างคน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา