PDF 2541-12-05-อิ๋งเซียน #26.pdf
วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ชาติศาสน์กษัตริย์เป็นร่มเกล้าแห่งชาวไทย ขอตั้งใจใฝ่ตอบแทนด้วยจงรัก
คนผู้ใดใคร่ครวญแล้วสำคัญนัก เคยตระหนักลงมือทำแล้วหรือยัง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮา ฮา
ในวันนี้มีบุญร่วมสู่สถาน จิตชื่นบานแล้วหรือไม่น้องทั้งหลาย
ฟังธรรมะจะเข้าใจต้องเปิดใจ จากภายในบำเพ็ญสู่ภายนอก
ความเชื่อมั่นสิ่งสำคัญดั่งเข็มทิศ จะพินิจถูกผิดได้ปัญญาบอก
ขอให้รู้กิเลสทั้งในนอก น้ำกระฉอกจิตปิดอยู่ยากเห็นตามจริง
ในครานี้ต้องเปิดใจใสสะอาด คนประมาทจำต้องพ่ายไปทุกสิ่ง
ความกังวลพาให้ใจไม่หยุดนิ่ง มองเท็จจริงรู้ญาณเดิมอยู่แห่งใด
ในครานี้ยุคขาวบำเพ็ญแท้ จิตแน่วแน่จะเปี่ยมไปด้วยความหมาย
รักโลภโกรธหลงทั้งนั้นอันตราย จนชีพวายทำลายตนมิหยุดหย่อน
อันความผิดยิ่งทำยิ่งปรากฏชัด เดินทางลัดมาทางนี้ฟ้าจะสอน
ให้รู้หนักรู้เบารู้เย็นร้อน และรู้ก่อนลงมือทำพิจารณา
สามวันนี้รวมกายใจให้เป็นหนึ่ง ใจพึ่งกายความเข้าใจจากศึกษา
ธรรมะแท้อยู่ในชีวิตธรรมดา คนรู้ค่าอยู่แห่งใดก็ปฏิบัติได้
ในยามนี้คนดีน้อยคนชั่วมาก ใจหลายหลากน้องท่านยังสงสัย
จงตั้งใจศึกษาเถิดไม่ง่ายดาย จนเข้าใจลงมือทำจึงเป็นผลดี
เกิดตายวนมานานนักต้องรู้แจ้ง คนพลิกแพลงได้เป็นสง่าศรี
จะก้าวหน้าขึ้นมาทุกทุกปี ลำดรี[๑]
รอน้องมาช่วยกันพาย
ภัยภายนอกหาเท่าภัยใจไม่ ขอตั้งใจบำเพ็ญใจสู่ดวงใหม่
ในครานี้ขอให้รู้พร้อมตั้งใจ ช่วยเวไนยต้องช่วยตนให้ดีก่อน
ขอสามวันตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบมิผัดผ่อน
การบำเพ็ญจริงแท้มีขั้นตอน อย่าให้ความง่วงนอนมารังควาน
จงอดทนในสิ่งที่ยากทน อย่าดูถูกซึ่งตนเองน่าสงสาร
ในบัดนี้ช่วยตนพ้นทรมาน รู้ซึ่งกาลฟ้าดินเร่งซ่อมใจคน
ในวันนี้มิกล่าวความมากกว่านี้ ขอน้องพี่ตั้งใจฟังให้เป็นผล
ทะเลทุกข์มีแต่เรื่องต้องจำทน อย่าวกวนเพราะเสียดายโลกีย์เลย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮา ฮา หยุด
วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานอิ๋งเซียน
ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย
มีน้อยคนมีชีวิตแล้วรู้จักชีวิต ใช้ความคิดแล้วสามารถควบคุม
การกระทำไม่ระวังพลอยกลัดกลุ้ม จิตใจสุมอารมณ์กิเลสกระจัดกระจาย
เราคือ
พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกราบน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามหลานน้อยน้อยทุกคนเมื่อยหรือเปล่า
มงคลชีวิตเกิดจากรู้เปลี่ยนแปลงตน ละสับสนอันดาษดื่นและพบง่าย
บริสุทธิ์ต้องฝึกฝนจึงพบได้ จิตวุ่นวายสงบปรามนิ่งคืนใจ
โอนอ่อนลงดังใบบัวอันพลิกใบ ภายในใจต้องงดงามสว่างไสว
ช่วยสังคมช่วยโลกที่คล้ายป่วยกาย ด้วยช่วยใจตนพี่น้องกตัญญู
หอมระรื่นเย็นชื่นกลิ่นความดี ตัวเองนั้นใช่จำเป็นต้องมีล้นหลามอยู่
แม้ขาดแคลนแต่ช่วยกันด้วยใจสู้ หลานผู้นี้ฟ้าเฝ้าดูยังชื่นชม
ชีวิตสั้นดังความฝันในคืนหนึ่ง ยามนี้จึงเตือนคนดีจึงเหมาะสม
ชีวิตนี้อย่าได้เฝ้าผูกปม เรือรอจมไร้ความหมายจะพายต่อ
เนรมิตนานาสิ่งด้วยเงินทอง แม้ว่าได้ครอบครองไม่เคยพอ
คำขมจิตแท้จริงคือคำยกยอ ใจคดงอดัดให้ตรงมิหลงลม
ฮา ฮา หยุด
วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานอิ๋งเซียน
ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระนาจา
สู่หนทางการบำเพ็ญในวันนี้ โอกาสมีเพียงเปิดใจฟังสักหน่อย
การบำเพ็ญช่วยขัดกิเลสทีละน้อย อย่างค่อยค่อยแต่มั่นคงปฏิบัติจริง
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกทุกคนสบายดีไหม
ลมเย็นผ่านมาไล่ดับร้อน พร้อมจักผ่อนลงแล้วอัตตา พบโอกาสจะเพียรศึกษามา ฝึกชีวาใจปรีดาร่มเย็นชื่นใจ
เสียใจกลับกลายเป็นสุขสันต์ ผองติดขัดกลายโล่งโปร่งใจ พุทธะตื่นขึ้นยามหลับใหล ฝึกว่องไวเป็นคนดีบัณฑิตเมธา
ร้องบรรเลงเพลงธรรมกรำคลื่นแปรปรวน พร้อมกันชวนคนเดิมวันนี้เดินหน้า แม้ว่าทางยังยาวไกลเมื่อใดไม่รู้คืนมา วอนเพียงแต่เราไม่ท้อ
* เหน็ดเหนื่อยหลอมหลอมให้รู้รักษ์โอกาสตน จะกี่ฝนจะกี่หนาวบำเพ็ญเรื่อยไป ตื่นจากฝันถึงได้รู้เท็จจริงอย่างไร จะมั่นคงจะซื่อตรงด้วยใจ ( ซ้ำ * , * )
ชื่อเพลง : เพลงธรรม
ทำนองเพลง : รักหนักแน่น
พระโอวาทท่านพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย และพระนาจา
พระนาจา
: ร้อนไหม (ไม่ร้อน)
ไม่ร้อนแล้วนอนที่นี่ดีไหม
เราไม่ใจร้ายกับศิษย์น้อง
แต่ถ้าใจร้ายแล้วศิษย์น้องได้ดี ดีหรือไม่ (ดี) เป็นผู้ร่วมฟังแล้วใช่หรือเปล่า
แล้วก็เคยผ่านการประชุมธรรมมาแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่หนึ่งชั้นก็สองชั้น
แต่ฟังแล้วเรามีความก้าวหน้าทางการบำเพ็ญธรรมบ้างหรือไม่ (มี) มาอย่างไรก็นั่งเฉยๆ รอเขายกข้าวมาให้
แล้วก็ยกไปเก็บ คนอื่นเขาทำให้เราตลอด
อย่างนี้หรือเรียกว่าก้าวหน้าในการบำเพ็ญธรรม
ผู้บำเพ็ญต้องรู้จักกระตือรือร้น ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือตนเองอย่างเดียวได้หรือเปล่า
(ไม่ได้)
เห็นใครยังไม่มียอมยกให้เขาก่อนได้หรือไม่ (ได้) นี่คือจิตใจของผู้ฝึกฝนบำเพ็ญธรรม แม้วันนี้เราไม่ได้นั่งในห้องแอร์
เรายอมทนร้อนก็ได้ใช่หรือไม่
สำหรับผู้บำเพ็ญธรรม ใครทนไม่ได้แต่เราทนได้ ต้องยกนิ้วให้ใช่หรือไม่
(ใช่) ใครทำไม่ได้ แต่เราทำได้
ต้องยกนิ้วให้ใช่หรือเปล่า แม้คนข้างนอกจะไม่ยกนิ้วให้ท่าน
แต่รู้ไว้ว่าศิษย์พี่กำลังยกนิ้วให้
ยกนิ้วครั้งนี้เป็นการชมเชยว่าเราได้ฝึกฝน เรียนรู้และก้าวหน้า
ทุกคนมาศึกษาบำเพ็ญธรรมแล้วมีประโยชน์ต่อสังคมและตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในห้องพระ
พิธีกรถามว่าต้อนรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่)
ต้อนรับแบบหน้ามีปริศนาใช่หรือเปล่า วันนี้ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้
ศิษย์พี่ไม่ว่า แต่วันนี้เราลองมาคุยกัน
เรามาฟังคำพูดที่ศิษย์พี่อยากจะพูดกับศิษย์น้องดีไหม (ดี) แม้จะเป็นคำพูดเล็กๆ น้อยๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ไม่ว่าอะไร
มนุษย์นั้นถ้ามีใจจดจ่อ
ไม่ว่าข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราก็ต้องมีสมาธิ และฟังรู้เรื่องได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าใจจดจ่อ
แต่เราไม่ได้ตั้งใจฟัง แม้คนข้างๆ
จะพูดมากมายเพียงใด เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นส่งตัวแทนออกมาสองคน
โดยให้ถือฝาที่ใส่น้ำไว้จนเต็ม เดินไปหลังห้องแล้วเดินกลับมา
ในขณะที่เดินไปหลังห้องต้องเดินผ่านนักเรียนที่นั่งอยู่
ซึ่งพระนาจาได้ให้นักเรียนที่นั่งอยู่
พูดคำพูดสี่คำให้กับนักเรียนที่เดินถือฝาใส่น้ำผ่าน และเมื่อนักเรียนทั้งสองเดินกลับมาถึงด้านหน้า
พระนาจาเมตตาถามนักเรียนทั้งสองคนว่า
จำได้ไหมว่านักเรียนที่นั่งอยู่พูดว่าอะไร
ตัวแทนนักเรียนตอบว่าจำ ได้นั่น คือ ตั้งสติ มีสมาธิ) อย่างนี้แปลว่าเขาใจไม่จดจ่อ ถ้าใจจ่อ ไม่ว่าคนรอบข้างจะพูดอะไร เขาจะจำไม่ได้
ถ้าเราบอกว่าหากทำน้ำหกแม้เพียงนิดเดียว
เขาจะมีโทษประหารชีวิต
หากโดนขู่อย่างนี้ ไม่ว่าคนข้างๆ
จะพูดกับท่านอย่างไรท่านก็คงไม่ฟัง เพราะใจของท่านก็คงจดจ่ออยู่กับน้ำถ้วยนี้ เพราะชีวิตคือน้ำในถ้วยนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาฟังธรรมะ ถ้าเรามีใจจดจ่อ ตั้งใจฟัง ไม่ว่ารอบข้างจะเป็นอย่างไร
ถึงแม้ว่าเราจะยังได้ยิน แต่ข้างหน้าเราก็ยังฟังรู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าวันนี้เราไม่เปิดใจเลย
เราไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อย หรือไม่มีใจที่อยากจะฟังเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าข้างหน้าจะพูดดังเท่าไร
ท่านก็จะไม่ได้ยินเลย แม้หูจะเปิดอยู่ ไม่ได้อุดสำลี
แต่ท่านก็จะไม่ได้ยินใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วตอนนี้ท่านจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือหรือไม่
หรือเป็นเรื่องที่กำลังหลอกให้ท่านงมงาย
ถ้าท่านปิดใจ ปิดหู ก็ย่อมยากที่จะพินิจพิจารณาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นวันนี้มานั่งฟัง
ขอเพียงเปิดใจสักนิดหนึ่งก่อน
อย่าเพิ่งสงสัยอะไร
แต่ขอให้ลองพิจารณาคำพูด หรือสิ่งที่วันนี้ได้ฟังไป
แล้วเอาไปคิดทบทวนว่าวันนี้สิ่งที่ได้ฟังมานั้น หลอกลวงท่านหรือเปล่า
ชวนท่านไปลัทธิอะไรงมงายหรือไม่ ทุกคนต่างมีปัญญาคิดได้ว่าอะไร
หลอกลวง อะไรไม่หลอกลวง
ถ้าวันนี้เขายังเปิดโอกาสให้ท่านได้นั่งฟัง
ก็แปลว่าเขาไม่ได้หลอกให้ท่านงมงายหรือเชื่อถือทันที
แต่ยังเปิดโอกาสให้ท่านได้คิดพิจารณา ใช่หรือเปล่า ย่อมดีตอบ รู้สัจธรรมแล้ว ปฏิบัติให้จงได้ และเข้าถึงอย่างถ่องแท้ แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข บ่อยครั้งเรายืนอยู่บนโลกด้วยคราบน้ำตา ความทุกข์ยาก เพราะเรามีกิเลส และยึดมั่นตัวตนเองจนเกินไป พอใครทำให้เจ็บ เราก็รู้สึกโกรธแค้น พอใครทำให้ไม่ถูกใจ ไม่ได้ดั่งใจ เราก็รู้สึกกลุ้มกังวล วิตกทุกข์ร้อน หากมนุษย์เราปล่อยความเป็นตัวของตัวเองบ้าง เราก็คงมีความสุขไม่น้อย หากเราปล่อยคำว่า “สุข” บ้าง เราก็คงมีความสุขมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราพูดให้ปล่อยคำว่า “สุข” บ้าง เราพูดอะไรแปลกไปไหม การละความสุขนั้นก็คือ การละความยึดมั่นในคำว่าสุข บ่อยครั้งที่ภาษามักทำให้เราเข้าไม่ถึงแก่นแท้ความเป็นจริง บางครั้งเราอยากนั่งสมาธิเพื่อเข้าถึงความสงบ แต่เราก็ติดคำว่าสงบ จนไม่พบความสงบสักทีหนึ่ง บ่อยครั้งเราอยากค้นหาความสุข แต่เราก็ติดความสุขจนไม่พบสุขสักทีหนึ่ง บางครั้งด้านตรงข้ามกับคำว่าสุขอาจจะสามารถสรรค์สร้างความสุขให้กับเราก็เป็นได้ อยู่ที่ใจอันนี้สัมผัสต่อเรื่องราวภายนอก สัมผัสต่อเรื่องราวที่เข้ามาในจิตใจเราอย่างไรต่างหาก
สร้างแต่กรรมมาก การที่จะบำเพ็ญได้ดีก็ต้องไปล้างกรรมเหล่านี้ก่อน ถ้าหากว่ากรรมไม่ล้าง การบำเพ็ญนั้นจะบรรลุได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญได้ดีก็อาศัยเวลาเป็นเครื่องชำระจิตใจของเราให้สะอาด ตอนนี้จิตใจของเราไม่มีความสะอาดมากเพียงพอ เพราะฉะนั้นการอาศัยเวลายังต้องใช้อีก เมื่อเวลายาวแล้วจะต้องอดทนด้วย หากไม่มีความอดทนไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็จะไม่สำเร็จ ในบัดนี้ศิษย์ของอาจารย์จำเป็นจะต้องอาศัยความอดทนอย่างยิ่ง ในการที่จะดิ้นรนผ่านชีวิตอันทุลักทุเลนี้ไปหนึ่งวันๆ เป็นความยากลำบากอยู่แล้ว การที่จะอาศัยชีวิตของเราเข้าสู่การบำเพ็ญอีกยิ่งเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า จริงๆ แล้ว ทุกคนก็มีธุระส่วนตัว การบำเพ็ญธรรมนั้นก็คือต้องยอมสละเวลาของตนเองออกมาบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีใครว่างเลย
พระพฤฒาชันษา
: นั่งมาครึ่งค่อนวันแล้ว เมื่อยหรือเปล่า
(ไม่เมื่อย) ใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว
รู้สึกว่าเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) ทุกข์ไหม
(ทุกข์)
ความทุกข์นั้นไม่เข้าใครออกใคร
ไม่ได้หมายความว่าคนที่อายุเท่าไหร่จึงจะทุกข์เป็น ในยามนี้เรามีชีวิตอยู่
ต้องรู้จักใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด
อันว่าความทุกข์นั้นเป็นความเมื่อยของชีวิต ใช่หรือเปล่า จึงถามว่าใช้ชีวิตนี้ เมื่อยหรือไม่
(เมื่อย) ทำอย่างไรจึงหายเมื่อย ความทุกข์เป็นความเมื่อยล้าของชีวิตนี้ หลายๆ
คนที่เป็นวัยรุ่นก็ชอบไปเที่ยวหาความบันเทิง เพื่อให้ชีวิตนี้หายเมื่อยล้า
ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่อายุเข้าวัยกลางคนแล้วทำอย่างไร (เข้าวัด)
คนที่ปลงในชีวิตได้บ้างจึงรู้จักเข้าวัดเข้าวา คนไม่รู้จักปลงในชีวิตทำอย่างไร หากไม่รู้จะยิ่งเกิดความสับสนขึ้นทุกวันๆ
ชีวิตมีแต่จะอับเฉาลงทุกทีๆ ฉะนั้นเมื่อชีวิตนี้มีความเมื่อยล้าแล้ว
ยิ่งต้องรู้จักที่จะมองตนเองให้มากๆ เวลาที่เราเมื่อยเรายังรู้จักลุกขึ้นยืน
ชีวิตนี้เมื่อเมื่อยแล้วก็ต้องรู้จักลุกขึ้นยืนเหมือนกัน อันว่าชีวิตนี้ยืดยาว หดสั้น
เหมือนกับความฝันใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อเราตื่นขึ้นมา
ความจริงเป็นอะไร อยู่ที่ไหน
เพราะฉะนั้นความเมื่อยล้าแห่งชีวิต
เมื่อชีวิตเมื่อยแล้วต้องลุกขึ้นยืน
ลุกขึ้นยืนคืออะไร
ความเมื่อยล้าของชีวิตอันได้แก่ความทุกข์นั้นขจัดด้วยความสุขใช่หรือไม่
พระนาจา
: วันนี้มาให้ท่านเห็นสองวัย วัยหนึ่งคือวัยสดใส
วัยหนึ่งคือวัยอันน่าเคารพของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) เสาที่อยู่ได้หมื่นปีพันปี
ก็เป็นเสาที่มีคุณค่า คนที่อยู่ได้หลายชั่วอายุก็เป็นคนน่านับถือ
มีประสบการณ์ มีเรื่องราวที่ทำให้เราสามารถนำมาใช้และสอนชีวิตเราได้ ใช่หรือไม่
(ใช่) ฉะนั้นเราจะหัวเราะท่านได้หรือเปล่า
(ไม่ได้) สักวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นอย่างท่านใช่หรือเปล่า
(ใช่) วันนี้เรามีสองขา
แต่วันไหนล่ะเราจะมีสามขา เราไม่รู้ใช่หรือไม่
บางคนยังอายุไม่มากอย่างท่านก็เดินสี่ขาแล้ว เพราะว่าคะนองชีวิตมากเกินไปใช่ไหม (ใช่)
พระพฤฒาชันษา
: เมื่อสักครู่นี้บอกไว้ว่าความทุกข์นั้นขจัดได้ด้วยความสุขใช่หรือเปล่า
(ใช่) คิดออกหรือยัง (การปล่อยวาง) ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างมีคำตอบให้กับตนเอง
แต่ว่าวิธีการแก้ไขปัญหาของหลานๆ ทุกวันนี้
แก้ปัญหาความทุกข์ของตนเองด้วยการหาความสุขเข้ามาเพิ่มพูน ทั้งๆ ที่วิธีนี้ใช้ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นจะพ้นความทุกข์ได้ก็คือต้องหาทางที่จะพ้นทุกข์ไป
ถูกต้องหรือเปล่า (ถูกต้อง)
แล้ววิถีธรรมที่ได้รับในครานี้ ในชีวิตนี้คิดว่าเป็นหนทางพ้นทุกข์หรือไม่
(เป็น) เมื่อเราได้รู้หนทางพ้นทุกข์แล้ว
ทางมีอยู่แล้วถ้าหากว่าไม่เดิน
จะถึงเส้นชัยได้หรือไม่ (ไม่ได้)
แล้วผู้ที่จะต้องเดินเส้นทางสายนี้คือใคร (ตัวเรา)
จะให้ผู้อื่นเดินแทนได้หรือไม่ (ไม่ได้)
หนทางดับทุกข์นั้นมีมาตั้งแต่โบราณ
เพียงแต่ทุกข์นั้นมองสิ่งผิดเป็นสิ่งถูกเหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ไม่รู้ว่าหนทางดับทุกข์นั้นเป็นของเราทุกคน
มองว่าคนที่จะดับทุกข์ได้จะต้องเป็นคนที่เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นใคร
แท้ที่จริงแล้วคนที่จะดับทุกข์ได้ก็คือคนที่ทุกข์ใช่หรือไม่ ในบัดนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ทุก ๆ
คน ฉะนั้นหนทางนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดิน
จำเป็นไหมว่าคนที่อยู่ในสังคมนั้นจะใช้หนทางดับทุกข์นี้ไม่ได้ หลาน ๆ รู้สึกตนเองว่าเป็นปุถุชน เราเป็นผู้หาเช้ากินค่ำ เป็นผู้มีกิเลสหนา ยึดติดลาภยศ
ชื่อเสียงเงินทอง แล้วเราจะปล่อยวางได้อย่างไร
แต่เราผู้เฒ่าอยากจะถามว่าเคยปล่อยวางสักครั้งหนึ่งหรือเปล่า เมื่อครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ
เคยปล่อยวางครั้งที่สองหรือเปล่า (เคย)
แล้วเคยมีสักครั้งไหมที่จะได้รับความสำเร็จในคนที่พยายาม (เคย) จะต้องมีอยู่แน่นอน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นความพยายามจึงเป็นสิ่งที่น่าชมเชยและน่านำกลับไปปฏิบัติทุกคน
ไม่เข้าใครออกใคร ทุก ๆ
คนมีได้ใช้ได้
ฉะนั้นตอนนี้ทุกคนก็เปรียบเสมือนคนที่มีชีวิตเมื่อยล้าและลุกขึ้นแล้วใช่หรือไม่
(ใช่) แต่ไม่รู้ว่าลุกขึ้นแล้วจะหายจากความหลงหรือเปล่า (หาย)
พระนาจา
: หายหลงเดี๋ยวเดียวแล้วสักพักก็กลับไปหลงใหม่ ใช่ไหม
เหมือนคนถูกตีแล้วเจ็บพักหนึ่ง
พอหายเจ็บก็กลับไปเล่นใหม่ เป็นผู้ไม่รู้จักเข็ดก็เลยต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก
ล้มแล้วล้มอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ใครยอมรับว่าตนเองเป็นคนเก่งบ้าง ยกมือขึ้น
ใครมั่นใจว่าตัวเองไม่เก่ง ยกมือขึ้น คนที่ไม่ยกมือหมายถึงเก่งด้วยและไม่เก่งด้วยใช่ไหม หรือว่าตัวเองก็ยังไม่รู้จักตัวเอง ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง
ใช่หรือไม่ (ใช่) คนไม่เก่งสามารถเป็นคนเก่งได้
แล้วคนเก่งก็สามารถเป็นคนไม่เก่งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นอยู่ที่สติปัญญาและไหวพริบตอนนั้นว่าแก้ได้ทันไหม สามารถรับมือแล้วฝ่าฟันไปได้หรือเปล่า บางครั้งเรายอมเป็นคนโง่ก่อนแล้วค่อยฉลาดทีหลัง
ดีกว่าเป็นคนฉลาดแล้วภายหลังถูกเขาว่าโง่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้เรายอมเป็นผู้ที่ไม่รู้ย่อมดีกว่า
พระพฤฒาชันษา
: เวลาเรารู้สึกเมื่อยเราก็ควรที่จะลุกขึ้น เพื่อที่จะทำให้ร่างกายของเราหายเมื่อย
เวลาชีวิตของเรารู้สึกเมื่อย เราก็ต้องทำชีวิตของเราให้เบิกบาน หลายคนมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างอับเฉา
แต่คาดหวังว่าตนเองนั้นจะได้ความชื่นบาน
บางคนอยากจะได้ความชื่นบานแต่ทำชีวิตของตนเองให้อับเฉา หลายคนสร้างเหตุขึ้นมาแต่กลัวผล เหตุและผลสิ่งใดสำคัญกว่ากัน (เหตุ)
เหตุย่อมสำคัญกว่าผล
เพราะว่าผลเป็นสิ่งที่เรารับเท่านั้น
ฉะนั้นการแก้ปัญหาหลายๆ อย่างจะแก้ที่ผลหรือเหตุดี (เหตุ) แล้วทุกวันนี้แก้ที่ผลหรือเหตุ
เหตุอันร้ายแรงที่สุดคือนิสัยของตัวเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) หลาย ๆ ครั้ง เรื่องราวผิดพลาด
ความสมหวังหรือไม่สมหวังเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีแห่งอารมณ์ที่เราสั่งสมมานาน เพราะฉะนั้นนิสัยของเราจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลง
เชื่อไหม (เชื่อ) ถ้านิสัยของเราไม่เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ย่อมไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี นิสัยของเราแบ่งเป็นกี่อย่าง (๒ อย่าง)
เป็นสิ่งใดบ้าง (ดีและไม่ดี) สิ่งใดมากกว่ากัน (ดี,ไม่ดี)
ในวันนี้มานั่งฟังที่นี่ตลอด ๓ วันจะฝึกให้เราเป็นพุทธะที่ดี เป็นปุถุชนที่ดี
ไม่ใช่เป็นปุถุชนที่เราพบเห็นอยู่ภายนอก
ไม่ใช่บอกว่าเขาไม่ดี แล้วเราจะดีอยู่ได้อย่างไร อันนี้ไม่ใช่เหตุผลของพุทธะ ฉะนั้นการที่เราจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีจะต้องรู้จักว่านิสัยของเราเป็นอย่างไร มีสิ่งใดบ้างที่เป็นข้อเสียและเป็นข้อดี สิ่งใดที่จำเป็นต้องแก้ไข
พระนาจา
: คนเราถ้าไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ก็ต้องเป็นอย่างไร
(ทุกข์) ก่อนจะทุกข์ก็ต้องเดือดร้อนตัวเองก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่เราบอกว่าคนทุกคนสามารถเป็นทั้งคนเก่งและคนโง่ได้
แต่ถ้าเราจะอยู่บนโลกนี้เราไม่อยากถูกใครว่าโง่เราก็ต้องยอมเป็นคนโง่ก่อนดีหรือไม่
(ดี) เรารู้ตัวเองแล้วก็บอกตัวเองว่าเราไม่รู้ แล้วคนที่ไม่รู้ก็มีแต่คนอยากมาสอน
มาบอกเรื่องดีๆ ให้ฟังไม่เหมือนคนที่บอกว่าตนเองรู้แล้ว หรือไม่ก็กลัวเสียฟอร์ม
พอเขาเล่าแล้วก็บอกว่าฉันรู้มาตั้งนานแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เหมือนวันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม
บางคนก็บอกว่าหลักธรรมที่ได้ฟังในวันนี้เรารู้มาตั้งนานแล้ว ฟังเรื่องเดิมๆ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทั้งที่รู้อยู่แล้วแต่ทำไม่ได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่วันนี้เราได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมนั้น
เราสามารถฝึกฝนและขัดเกลาตนเองได้
เราสามารถพบความเป็นพุทธะหรือความดีงามในตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ปัจจุบันนี้เรามักจะพูดว่า
อย่างเราไม่สามารถเป็นคนดีได้หรอก พอมีใครมายั่วโมโห เราก็อดโมโหตามไม่ได้ พอมีใครมาว่าเรา เราก็อดว่ากลับไม่ได้
ใช่หรือเปล่า (ใช่ )
จิตใจเราจึงเหมือนกับผ้าผืนหนึ่ง
พอจุ่มในน้ำร้อนก็ร้อน
จุ่มในน้ำเย็นก็เย็น
ผ้าผืนนี้ก็แกว่งไปแกว่งมา หาความเป็นตัวของตัวเองไม่เจอสักที แต่วันนี้เราต้องการจะมาบอกท่านให้ดึงผ้าผืนนี้ขึ้นมา
แล้วบอกว่าผ้าผืนนี้สามารถเป็นผ้าที่ขาวสะอาดได้ แต่หลายคนก็มักจะพูดว่า
ไม่มีทางหรอก มันสกปรกขนาดนี้แล้ว
แต่ก่อนที่มันจะสกปรกขนาดนี้ ล้วนแต่เคยขาวมาก่อนทั้งสิ้น ใช่หรือไม่
(ใช่) ขอเพียงแต่เราไม่ดูเบาตนเอง
และไม่ยึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เคยได้ยินคำว่า "เล็กพริกขี้หนู" ไหม
(เคย) แล้วก็เคยได้ยินว่า บางครั้งม้าผอมๆ
ก็สามารถเตะคนได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเราอย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด
เราเป็นคนหนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นคนๆ หนึ่ง เราอยู่ที่นี้อาจจะเป็นคนๆ หนึ่ง
แต่ไปอยู่อีกที่หนึ่งอาจจะหาเพื่อนฝูงได้เป็นสิบ เป็นหมื่นคนก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าหมู ๑
ตัวไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นหมู ๑ ตัว บางทีไม่แน่ พอไปอยู่อีกที่หนึ่งอาจจะออกลูกออกหลานให้ท่านก็ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จิตใจเราก็เช่นเดียวกัน วันนี้เราบอกว่าไม่มีทางเป็นพุทธะ
ไม่มีทางเป็นคนดีที่แท้จริงได้หรอก
ไม่แน่ใช่หรือไม่
อยู่ที่ว่ามาอยู่ตรงนี้พร้อมจะขัดเกลา พร้อมจะเป็นคนดีหรือไม่ แล้วคนอีกประเภทหนึ่งที่เอาแต่ยึดมั่นตัวเอง
คิดว่าตนเองเก่งแล้ว รู้มามากพอแล้ว ดีแล้ว ไม่ต้องฟังเขาหรอก พรุ่งนี้ไม่มาดีกว่า
แล้วเขาจะมีวันได้ก้าวหน้าไหม (ไม่มี)
น้ำที่ไม่มีโอกาสได้ถ่ายเท สักวันหนึ่งย่อมเน่าเหม็น
จิตใจของคนหรือความคิดของคนที่ไม่รู้จักเปิดกว้างแล้วถ่ายเทความคิดของคนอื่นเข้ามาบ้าง
ความคิดก็นอนนิ่งแล้วสักวันก็จะมีปัญหา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรียกว่าพวกคิดมากและเชื่อในตนเองจนเกินไป จึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า แม้จะมีความสามารถ
แม้จะเป็นคนเก่งนานัปการ
แต่ถ้าหยิ่งยโสโอหังก็ไม่มีใครอยากจะนับถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาศึกษาพร้อมเปิดใจเป็นคนไม่รู้บ้างสักนิดหนึ่งได้หรือไม่
(ได้) เสียงมีเท่านี้เองหรือ
อย่างนี้ยังไม่ทันรบก็แพ้แล้ว เวลารบต้องมีการตีกลองเพื่อปลุกใจ แล้วกลองจะต้องเสียงดังและหนักแน่นใช่หรือเปล่า
วันนี้เรามาศึกษาธรรม จิตใจที่ก้าวเดินไปในการศึกษาจะต้องมั่นคงและหนักแน่น ไม่ใช่เดินไปก็ลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี
อย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่
ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาอย่าดูถูกตัวเองและอย่ายึดมั่นในความคิดของตัวเอง หากไม่ดูถูก
ไม่ยึดมั่นท่านก็ย่อมฟังเรารู้เรื่อง
แล้วก็ฟังอาจารย์ที่มาบรรยายธรรมได้เข้าใจ
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนนั่งข้างหลังอย่าน้อยใจแม้จะไม่ได้นั่งข้างหน้า เพราะคนข้างหน้าอาจจะน้อยใจว่านั่งข้างหลังดีกว่าเพราะแอบหลับก็ได้ ฉะนั้นเรานั่งข้างหลังก็อย่าเสียใจ โลกใบนี้สอนให้เรารู้จัก อย่ามองโลกในแง่เดียว
แต่ต้องรู้จักมองหลายๆ ด้าน และอย่าเข้าข้างตนเองจนเกินไป
เพราะคนที่เข้าข้างตนเองจนเกินไป ไม่ยอมรับรู้ความเป็นจริงของโลก
หรือเรื่องราวของโลก ก็มักจะเป็นคนที่หาเพื่อนฝูงไม่ได้
แล้วยากจะมีความสุขบนโลกใบนี้ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรามองเห็นพระอาทิตย์มีขึ้นและมีตก
เรื่องราวในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง
เราจงรู้ไว้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มักจะเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
อยู่ที่ว่าจิตใจเราจะสัมผัสและตระหนักรู้ต่อเรื่องราวบนโลกนี้อย่างไร ถ้าตระหนักรู้ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเห็นจริง เราก็เป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข
แต่ถ้าอยู่บนโลกนี้ด้วยการตระหนักรู้แต่ยึดมั่นด้านใดด้านหนึ่ง เราก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าโลกมีขึ้นมีลง เรื่องราวในโลกก็ต้องมีทุกข์มีสุขเป็นธรรมดา
ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพฤฒาชันษา
: คนที่มีอายุเพียงสามสิบปีน่าจะรู้จักความทุกข์น้อยกว่าคนที่อายุเจ็ดสิบปีหรือเปล่า
(น้อยกว่า) ความจริงแล้ว
ความทุกข์นั้นไม่มีรูปร่าง ไม่มีสิ่งใดให้เรานึกสัมผัสได้ ฉะนั้นความทุกข์ที่ได้รับในครั้งนี้
เพียงพอให้หลานรู้จักเข็ดรู้จักจำ นำมาคิดพิจารณาหรือไม่ ชีวิตนั้นมีอย่างมากเพียงแค่ร้อยกว่าปี
อยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)
ตอนนี้โรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนก็รู้สึกทุกข์จะแย่อยู่แล้ว เวลาที่เราไม่มีเงินทองก็มีทุกข์ เวลาเกิดอาการเมื่อยล้า มีความท้อใจ
ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ทว่าชาตินี้มีอายุยืนเพียงแค่ร้อยกว่าปี ไม่อยากจะตายก็ต้องตายไป ปัจจุบันนี้เวลาที่คนเสียใจมากแล้วไปฆ่าตัวตาย
อยากจะบอกว่าเรานั้นมีอายุอย่างมากก็เพียงแค่ร้อยกว่าปี ไม่อยากตายก็ต้องตาย ไม่อยากเจ็บก็ต้องเจ็บ ไม่อยากป่วยก็ต้องป่วย ไม่ต้องดิ้นรนหาความตายเร็วกว่ากำหนด สักวันหนึ่งความตายก็มาหาใช่หรือไม่ อยู่ที่ว่าชีวิตหนึ่งชีวิตที่เกิดมา เราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ามากเท่าไหร่
ถ้าหากว่าผิดหวังกับตนเองก็สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น ถ้าหากผิดหวังกับผู้อื่นก็สร้างประโยชน์ให้กับตนเอง แต่ประโยชน์ต่างๆ นี้จะต้องนำมาจากคุณธรรมภายใน
ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ เอาเปรียบคน ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ในสมัยนี้ชอบที่จะเอาเปรียบคน
โดยเฉพาะสังคมกรุงเทพฯอันวุ่นวาย ขาดไม่ได้เลยคือคนประเภทใด
พระนาจา
:
คนประเภทใด มีสารพัดเลย คนชั่ว คนเห็นแก่ตัว
พระพฤฒาชันษา
: หลานทุกๆ คนนั้นเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายใช่หรือไม่
(ใช่) สังคมอันวุ่นวายที่ขาดไม่ได้คือคนดี
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราบอกว่าสังคมวุ่นวายขาดไม่ได้คือคนชั่ว ในที่สุดเราทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นเอาเปรียบเรา เราก็กลายเป็นคนชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ในที่สุดแล้ว ผู้อื่นก็มองเราว่าเป็นคนไม่ดี
แล้วก็วนไปเวียนมา
คนไม่ดีคนนั้นก็คือหลานของเราเอง
ลูกของเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การที่รู้จักมองโลกในแง่ดี รู้จักมองเห็นสีขาวเป็นสีดำ
ย่อมทำให้เราเป็นคนหูตากว้างไกล ทัศนวิสัยโปร่งชัด ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะบอกให้ลูกหลานในบ้านของเราดี
แต่ให้คนข้างนอกไม่ดี
เวลาที่คนอื่นมองลูกหลานของเรา เขาก็บอกว่าเป็นคนอื่น ใช่หรือเปล่า
(ใช่) แท้จริงสังคมในโลกนี้ยังมีคนดีอีกมาก
เพียงแต่ความดีที่เขาทำนั้นไม่เคยกล้าจะปรากฏชัดออกมาให้ใครพบเห็นใช่หรือเปล่า
(ใช่) เวลาเราอยากทำดี บางทีก็ไม่กล้า
เพราะรู้สึกว่าเราจะดีมากกว่าผู้อื่น
แท้จริงความดีไม่มีหนักไม่มีเบา ไม่มีมัวไม่มีชัด มีสภาพเดียว
ความดีที่แท้จริงและบริสุทธิ์ต้องออกมาจากจิตใจของเรา ในขณะนี้บางคนได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม
จะมีแต่ชื่อนั้นไม่ได้ จะต้องมีการกระทำมายืนยันคำพูด ถ้าหากว่าเราบอกว่าเป็นคนดี
แต่ว่าเราไม่เคยกระทำออกมายืนยันสิ่งที่เราเรียกว่าดีด้วย ในที่สุดแล้วคนดีก็จะหายไป คนชั่วก็จะมาแทนที่
คนที่ไม่คิดจะรักษาความดีให้คงคู่โลก แม้สังคมจะวุ่นวายเพียงใด แม้ว่าหลานๆ
จะเชื่อมั่นว่าคนข้างๆ เราเป็นคนไม่ดี
เราก็ยังคงต้องรักษาความดีนี้ไว้ใช่หรือไม่ (ใช่) มีคำไทยโบราณ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า
"รักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม"
เรามีความเค็มนี้ไหม (มี)
เป็นความเค็มที่เข้มข้นหรือเปล่า (เข้มข้น)
เราสามารถนำคนอื่นให้ทำความดีตามเราได้หรือไม่ (ได้) การที่เราจะนำผู้อื่นให้ทำความดีตามเรา
ความดีของเราต้องยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในชีวิตนี้เราทำความดีที่ยิ่งใหญ่กี่ครั้งแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้ว
พุทธะมักมองเห็นมนุษย์ทำความดีเล็กๆ น้อยๆ
แต่ความดีที่ชัดเจนที่สามารถนำมากล่าวขวัญได้ ยิ่งทียิ่งน้อยลงทุกวัน การทำความดี ไม่ใช่อยู่ที่เรามีรูปหน้าที่สวยงาม แต่อยู่ที่เรามีจิตใจที่ดีงามหรือเปล่า
ความดีที่ยิ่งใหญ่คือความดีที่ไม่หวังผลตอบแทน ถ้าหากเราทำความดีชิ้นนี้เพื่อที่จะได้ผลงานอย่างนั้น ความดีนั้นก็จะหายไป เปรียบไปเหมือนกับทำบุญเอาหน้า บุญนี้ก็จะไม่หลงเหลือ คำว่า "ทำบุญเอาหน้า" มีคำว่าบุญอยู่หนึ่งคำ แต่บุญนี้กลับมีความหมายไปในทางลบ
อันเรียกว่าบาป
ฉะนั้นการทำความดีจึงต้องทำความดีที่แท้จริง และเกิดจากความสุขุมของเราเอง
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม)
พระนาจา
: มังกรตัวนี้ก็เปรียบเหมือนความวุ่นวายในโลกนี้
จะมีใครสักกี่คนที่กล้ายืนหยัดฝ่าฟันความชั่วร้าย
คนๆนั้นนอกจากยืนหยัด สามารถช่วยเหลือตนเองและทุกคนในเรือได้แล้ว
ยังสามารถช่วยคนที่จะเดินทางต่อไป ไม่ต้องมาเจอมังกรร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) โลกปัจจุบันนี้ขาดคนที่ยืนหยัดอย่างหาญกล้าต่อสู้กับความอยุติธรรม
ต่อสู้กับอธรรม แม้วันนี้ไม่สำเร็จ
แต่ต้องมีไฟแห่งความมุ่งมั่น ใช่หรือไม่
เปรียบเหมือนนักปราชญ์ท่านหนึ่ง
แม้จะรู้ว่าเผยแพร่ความดีไปก็เท่านั้น โลกวุ่นวายยากจะแก้ไข
ก็ยังคงยืนหยัดที่จะแก้ไข ฟื้นฟูความดีงาม
ความดีก็สามารถปรากฏได้ ขอเพียงมีคนกล้าหาญ ยืนหยัดสู้ ใช่หรือไม่(ใช่)
ความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้นเพราะหาคนประเภทนี้ได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้คนเอาแต่นิ่งเฉย
ไม่ยอมคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงเรา อ่านหนังสือพิมพ์กันทุกๆ วัน อาจจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่มีวันโดนหรอก ออกไปทีก็พกอาวุธเต็มตัวเลย ใช่หรือไม่ ดังนั้นการศึกษาธรรมะในวันนี้
เพื่อฟื้นฟูความดีงามในจิตใจให้สังคมเต็มไปด้วยความสันติ ความสงบสุข วันนี้ท่านที่ฟังไป
ขอให้นำไปฝึกฝนเพื่อจะเป็นผู้กล้า
จะได้ไปฝ่าฟันความชั่วเพื่อยืนหยัดและฟื้นฟูความดีงาม ขอเพียงทุกๆ คนทำได้เพียงอย่างละนิดๆ
เท่านั้น ย่อมทำให้โลกเกิดสันติสุข
ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่น้อยคนนักที่จะเอาชนะจิตใจที่กล้าหาญแล้วลุกขึ้นสู้อย่างยืนหยัด ทุกคนต่างหวาดกลัว นิ่งเฉย
ไม่ลองคิดจับอาวุธแล้วต่อสู้เพื่อความดีงามกัน เป็นเรื่องยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก)
พระนาจา
: ถ้าอย่างนั้นเราเล่านิทานอีกเรื่องคือ เรื่องลุงโง่กับคนฉลาด เรื่องมีอยู่ว่า
มีชายชราผู้หนึ่ง เขาเลี้ยงวัว แล้ววัวก็ออกลูกมาหนึ่งตัว
เขาก็เอาลูกวัวไปแลกกับม้าคนฉลาดผ่านมาเห็นเข้าก็คิดว่าลุงคนนี้เลี้ยงวัวอยู่ดีๆ
แต่ออกลูกมาเป็นม้า ลุงคนนี้ต้องขโมยมาแน่เลย
ก็ไปบอกลุงว่าลุงขโมยม้ามาใช่ไหม ลุงก็ไม่พูด เขาก็เลยจูงม้าไป
แล้วทุกคนก็บอกว่าลุงน่ะโง่
แล้วท่านว่าลุงโง่ไหม (ไม่โง่) แล้วทำไมถึงไม่พูด หลายคนในโลกก็เป็นแบบนี้
เป็นเหมือนลุงโง่ใช่หรือเปล่า เป็นทั้งลุงโง่และคนฉลาดใช่หรือเปล่า
ทำไมเราถึงพูดแบบนี้ เพราะคนเราอยู่ในโลกนี้บางครั้งเราก็ฉกฉวยเอาของเขาไปโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
แล้วอ้างว่าเขาไปทำอย่างนั้นมา เขาไปทำอย่างนี้มาใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้เราก็เป็นคนฉลาดแกมโกง บ่อยครั้งเราก็ต้องยอมเป็นคนโง่ให้เขาเอาไป
ปัจจุบันนี้คนในสังคมเต็มไปด้วยลุงโง่และคนฉลาด
และเราก็สามารถเป็นทั้งลุงโง่และคนฉลาดได้พร้อมๆ กัน เพราะว่าบางครั้งคุณธรรมความดี
ความถูกต้องมักจะมีอำนาจน้อยกว่าความชั่วร้าย พูดง่ายๆ
ก็คือคุณธรรมมีอำนาจไม่เพียงพอที่จะไปต่อสู้หักห้ามความไม่ดีในสังคม
โลกจึงเต็มไปด้วยคนแก่งแย่งกันต่อหน้าต่อตาและคนเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่
แล้วคนที่ทำอะไรไม่ได้ก็คือคนที่อ่อนแอ คนที่ยอมแพ้ไม่อยากที่จะสู้ความจริง
ไม่อยากที่จะยืนหยัดคุณธรรมให้ปรากฏ
โลกก็เต็มไปด้วยลุงโง่และคนฉลาดไปหมด แล้วเราเผลอไปเป็นลุงโง่บ้างหรือเปล่า
เมื่อเรารู้ว่าลูกจะเอาเงินไปเที่ยวก็เอาไปเถอะ พอรู้ว่าเขาโกงเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราอยากได้
แม่จะพูดอย่างไร เพื่อนจะพูดอย่างไร คนทำงานร่วมกันจะว่าหรือเปล่าไม่สนใจ
ประโยชน์ฉันได้ฉันก็เอาใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจึงเป็นได้ทั้งคนโง่และคนฉลาด
ฉะนั้นอยากให้โลกนี้เต็มไปด้วยคนเช่นนี้หรือเปล่า (ไม่อยาก)
แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นทั้งคนโง่และคนฉลาด
เพราะว่าเราขาดอะไร (ขาดคุณธรรม ขาดมโนธรรม ขาดหิริโอตตัปปะ)
นอกจากขาดความละอายเกรงกลัวต่อบาปแล้วยังขาดอะไรอีก (ขาดความสุจริตธรรม ขาดเมตตา
กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
แล้วก็ขาดความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจเขาเข้าใจเราใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกปัจจุบันนี้อย่างที่ท่านผู้เฒ่าบอกไว้ก็คือ เรามักจะมองเห็นแต่ตนเอง
แต่มองไม่เห็นคนอื่น เพราะคิดว่าตนเองทุกข์ ตนเองเดือดร้อน แล้วก็ไม่สนใจคนอื่น
อย่างนี้ไม่ได้ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นอยู่ด้วยกันเราต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจกันและกัน
พร้อมที่จะเข้าใจเขาด้วย เราอยู่ได้เขาก็ต้องอยู่ได้
นี่ถึงจะเรียกว่าคนที่มีเมตตา
ไม่ใช่เราอยู่ได้เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างนี้ไม่ถูกใช่หรือไม่
(ใช่)
พระพฤฒาชันษา
: ชีวิตนี้เมื่อรู้แล้วว่ามีวันสิ้นสุด หลังจากวันนี้จึงต้องรู้จักสร้างชีวิตของตนเองให้ดี
เปรียบเสมือนสร้างบ้านที่มั่นคง
ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้มีวันสิ้นสุดได้จึงใช้ชีวิตอย่างลวกๆ ง่ายๆ ไม่เป็นแก่นสาร
ทำอย่างนั้นไม่ถูก กลับยิ่งต้องรู้จักระมัดระวังทุกๆ นาที ทุกๆ วินาที
ว่าชีวิตของเรานั้นมั่นคงแข็งแรงหรือยัง เมื่อเข้าสู่วัยที่ชราแล้วจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงอย่างแท้จริง
ชีวิตนี้มีวันสิ้นสุดได้ เกิดตายได้
ยิ่งต้องรู้ว่าชีวิตของเรานั้นหากขัดแย้งกับผู้อื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข
ยิ่งไม่สมควรใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งใดก็ตามถ้าแลกมาด้วยความไม่เหมาะไม่ควรก็เป็นสิ่งที่ผิดทำนองคลองธรรม
ในการที่เรานั้นมีเงินทอง มีลาภยศสรรเสริญรอบกาย
มีสิ่งที่ผิดและถูก สิ่งที่เท็จและจริงอยู่รอบกายเราเต็มไปหมด จึงอยากจะขอหลานๆ
ให้ใช้ชีวิตของเรานั้นด้วยปัญญา อันว่าถ้าขาดปัญญาแล้วย่อมไม่เจริญ
ย่อมไม่สามารถใช้ชีวิตของความเป็นคนให้สมบูรณ์ได้ ย่อมไม่สามารถเป็นพุทธะที่ดีได้
ในครานี้เมื่อเรามีลาภยศ เงินทอง จึงต้องรู้จักเป็นนายแห่งเขา
ไม่ใช่ให้เขาเป็นนายแห่งเราใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกๆ วันนี้เคยคิดบ้างไหมว่า
คนอื่นนั้นเขาเคารพเราที่ลาภยศหรือเคารพที่เราเป็นเรา (ตัวเรา) ฉะนั้นตัวเรามีคุณค่ายิ่งกว่าลาภยศ เงินทอง
แล้วถามว่าคุณค่าจริงๆ ของหลานๆ นั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่คุณงามความดี) ฉะนั้นความดีสำคัญกว่าหรือเงินทองสำคัญกว่า
(ความดีสำคัญกว่า) แล้วทุกๆ
วันนี้เสียเวลาไปหาเงินทองหรือหาความดีมากกว่า ในขณะที่หาเงินทองเคยระลึกหรือไม่ว่าเราจะต้องหาความดีไปด้วย
(ไม่เคย) เมื่อเราหาเงินทองแล้ว
เราจะไม่โลภนั้นก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเวลาเงินทองหายไปจึงไม่เกิดความรู้สึกเสียดายใดๆ ทั้งสิ้นใช่หรือไม่
ในครานี้มีใครบ้างไม่เสียดายเมื่อเงินทองหายไป
มาสรรค์สร้างอีกหลายอย่างแต่ไม่สามารถสรรค์สร้างคุณค่าแห่งคนได้อย่างหนึ่ง อันว่าการบริจาค
การช่วยคนด้วยเงินทองไม่เท่ากับการช่วยด้วยน้ำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าบอกว่าคนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะสามารถทำดีได้ หลานๆ ที่ไม่มีเงินก็สามารถที่จะทำความดีได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อกลับไป
ขอให้รู้จักเพิ่มพูนความดีให้กับตนเอง
รู้จักเพิ่มพูนคุณค่าให้กับตนเองดีไหม (ดี) คุณค่าของคนจะมากหรือน้อย เวลาเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามากำหนด
คนอายุสั้นย่อมไม่สามารถจะสร้างคุณงามได้มาก คนอายุยืนจึงจะสามารถสร้างคุณงามได้มาก แต่ทว่าอายุนั้นไม่ใช่สิ่งที่หลานๆ
สามารถกำหนดเองได้ ทุกๆ
วันจึงต้องรู้จักระมัดระวัง ไม่ว่าจะทำสิ่งใด
ไม่ว่าจะรู้สิ่งใด รู้แล้วจะพูดดีหรือเปล่า
พูดแล้วจะเกิดผลดีหรือเปล่า จะต้องรู้จักคิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
บางคนรู้ในสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นก็ชอบที่จะนำไปพูดต่อ
เมื่อรู้ในสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นแล้วเอาไปพูดต่อก็เท่ากับเป็นการเรียกภัยเข้ามาหาตนเอง
ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากจะอยู่รอดปลอดภัย
ไม่ใช่รู้จักเอาตัวรอด
แต่ขอให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระนาจาเมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง
"เพลงธรรม" ทำนองเพลง
"รักหนักแน่น")
พระนาจา : จากเพลงนี้ศิษย์พี่อยากให้กำลังใจศิษย์น้องให้บำเพ็ญอย่างไม่ท้อ เพราะหลายคนมานั่งฟังธรรมเจอความยากลำบาก โลกใบนี้เรามักไม่ได้อะไรมาโดยง่ายดาย พอบอกว่าสิ่งนี้มีคุณค่า คุณค่าก็ยิ่งไม่สามารถอยู่กับเราได้ยืนนาน มักจะมีเหตุให้เราต้องปล่อยของมีคุณค่านั้น
หรือไม่ก็พลาดโอกาสที่จะได้รับคุณค่านั้น
แต่คนที่มีคุณธรรม รักที่จะกระทำดี เขาย่อมเป็นคนที่ไม่พลาดโอกาส
และขวนขวายทำจนได้ ไม่ว่าจะมีวิถีทางมากหรือน้อย
วันนี้ศิษย์น้องทุกคนรู้ว่าการบำเพ็ญเป็นสิ่งที่ดี ก็ต้องเอาชนะจิตใจ อารมณ์ที่ใฝ่ต่ำ ท้อถอย
และยอมแพ้ในการทำความดีให้ได้
พระพฤฒาชันษา
: ตอนนี้ทุกๆ คน ก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีความต้องการต่างๆ
นานา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องควบคุม
เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจตนเอง ดังที่ให้ไว้ในกลอนบทแรก
มีชีวิตแต่ไม่รู้จักใช้ชีวิต
มีความคิดแต่ไม่รู้จักควบคุม
มนุษย์นั้นสามารถใช้ความคิดได้ตลอดเวลา
ดูโดยผิวเผินเหมือนจะควบคุมความคิดตนเองได้
แต่ที่จริงแล้วไม่เคยควบคุมความคิดตนได้เลย ความต้องการ
กิเลสและความอยากก็ไม่สามารถจะควบคุมได้
ในตอนเด็ก ๆ นั้น
เวลามีเรื่องชอบใจหรือไม่ชอบใจสามารถแสดงออกได้โดยตรง แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น
ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องรู้จักควบคุมให้อยู่ในกรอบระเบียบ ถ้าในทางศาสนาก็เรียกว่าศีล แต่โดยรวมๆ แล้ว
ถ้าถามว่าศีลของการบำเพ็ญธรรมในครัวเรือนแบบนี้คืออะไร เราผู้เฒ่าตอบได้เพียงอย่างเดียวคือ
ความรู้สึกละอายใจ
สิ่งใดที่ทำแล้วรู้สึกละอายก็อย่าได้ทำ อย่าได้คิด อย่าได้พูด เพราะหลายๆ
คนรู้ว่าถูกและผิดนั้นเป็นเช่นไร
แต่ก็ไม่เคยควบคุมใจตนเองได้
"การกระทำไม่ระวังพลอยกลัดกลุ้ม"
ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มักกลุ้มใจไปต่างๆ นานา
จึงบอกว่าการกระทำต้องรู้จักระมัดระวัง
เมื่อทำไปแล้วบางทีก็ไม่สามารถแก้ได้
เมื่อทำไปแล้วเป็นเหตุให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
จึงบอกว่าการกระทำต่างๆ ต้องระวัง
ไม่เช่นนั้นก็จะเจอความกลุ้มใจ
บางเรื่องที่ทำดูเป็นเรื่องเล็ก
แต่ในที่สุดกลายเป็นเรื่องใหญ่จึงแก้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นความล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จของชีวิตกำหนดได้ที่ใจ แต่ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย
"จิตใจสุมอารมณ์กิเลสกระจัดกระจาย" ตอนนี้เมื่อรู้ว่าใจของเรามีอารมณ์และกิเลสกระจัดกระจายอยู่
จึงจำเป็นต้องรวมมาเป็นที่เดียวจึงจะสามารถขจัดปัดเป่าออกไปได้ เวลาจะกวาดบ้าน
มีฝุ่นเลอะเทอะก็ต้องกวาดให้มารวมเป็นที่ก่อน
จึงสามารถปัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย
ธรรมะนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากชีวิตประจำวัน
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดจากประวัติศาสตร์แต่เกิดจากการรู้จักทำความดีเล็กๆ
น้อยๆ จนในที่สุดสามารถทำความดีที่ยิ่งใหญ่ได้
ประวัติศาสตร์เป็นเพียงการเล่าเรื่องราวของท่านเท่านั้น เราก็เป็นคนในประวัติศาสตร์เช่นกัน เพราะในอนาคตเมื่อทุกคนชีวิตหาไม่แล้ว คนก็จะเล่าขานเรื่องของเรา
แล้วเรามีเรื่องอะไรให้เขาเล่าขานคนในอนาคตกาลก็จะลืมเราไป
ประวัติศาสตร์มีทั้งแง่ดีและไม่ดี เราจะนับเป็นคนที่ไม่ดีก็ยังไม่ถูก จะนับว่าเป็นคนที่ดีก็ยังไม่ใช่
ฉะนั้นเมื่อยังไม่ได้เริ่มทำสิ่งใดจริงจัง ตอนนี้เราผู้เฒ่าอยากให้หลานๆ
รู้จักทำความดีที่เป็นความดีที่แท้จริง บริสุทธิ์และสะอาด
มีโอกาสที่จะทำความดีอย่าปล่อยให้โอกาสเหล่านั้นหลุดลอยไป หลายๆ
คนเวลาที่โอกาสมาถึงไม่รู้จักรักษา พอโอกาสเลยไปแล้วก็บอกว่าเสียใจจริงๆ
ที่ตอนนั้นเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ในบัดนี้จงมีสติเป็นของตนเอง สิ่งนี้เป็นคำอวยพรจากเรา
เป็นสิ่งมงคลที่สุดที่พุทธะนั้นสามารถจะมอบให้ได้
คำอวยพรนั้นไม่ได้อวยพรให้อายุยืน ไม่ได้อวยพรให้สุขภาพแข็งแรงก็จริง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลานๆ หาเองได้ แต่การเป็นคนดีนั้นไม่ได้หาได้ในทุกคน
และการเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ยิ่งหาไม่ได้ในคนพันคน จึงหวังว่าหลานทุกๆ
คนจะทำตนเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ มิใช่ด้วยทรัพย์สินเงินทอง มิใช่ด้วยลาภยศสรรเสริญ
มิใช่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เป็นที่จิตใจของเรา เข้าใจไหม (เข้าใจ)
การประชุมธรรมยังต่อเนื่องไปอีกสองวัน
คนที่เป็นนักเรียนแล้วขอให้ตั้งใจมาให้ครบทั้งสามวัน
คนที่มานั่งฟังแล้วยังไม่แน่ใจ ถ้าเปลี่ยนใจได้ก็ขอให้เร่งเปลี่ยนใจ
ในวันนี้ธรรมะแท้จริงแค่ไหนคงไม่สำคัญ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจริงหรือไม่คงไม่ต้องเก็บไปสงสัย
สิ่งที่ควรสงสัยอย่างเดียวก็คือ สิ่งที่ได้ฟังมาในสามวันนี้ ทำได้หรือไม่
อันว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วจะต้องเป็นให้ถึงที่สุด ไม่ท้อถอยกลางคัน
ผู้ใดที่ท้อถอยเปรียบไปแล้วก็เหมือนตัดผ้าที่กำลังทออยู่ทิ้ง
ถ้าหากว่าทอไม่สำเร็จก็ไม่เรียกว่าผ้าผืนหนึ่ง ผ้าชิ้นนี้ก็ใช้ไม่ได้
เช่นเดียวกับการบำเพ็ญธรรม แม้ว่าจะมีอุปสรรคบ้าง แต่หากว่าเรานั้นพยายามทำให้การบำเพ็ญธรรมเป็นรูปเป็นร่างสำเร็จขึ้นมาเป็นมรรคผล
ย่อมมีความภาคภูมิใจให้กับตนเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะได้ความภาคภูมิใจ
ก็ต้องรู้จักหาให้กับตนเอง
(ท่านพระพฤฒาชันษาเมตตาพูดกับผู้ร่วมฟัง) ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเลยหลานๆ
ที่มานั่งที่นี่ทุกคน คงเป็นผู้ที่มีจุดหมาย
ขอให้หลานๆ ทุกคนนั้น
ตั้งจุดมุ่งหมายที่จะทำตนให้เป็นคนดี
หากว่าไม่สามารถใฝ่ดีได้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่ตัวเราต้องไป ถามว่าจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไร ถ้าหากคนไหนไม่มั่นใจว่าตนเองไปถึง ก็ต้องลงแรงมากขึ้น ลงแรงกาย ลงแรงใจ หลานทุกๆ คนนั้นเป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้น
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ยังไม่รู้ว่าจะมีหลานคนไหนเป็นเด็กดี เป็นเด็กที่น่ารักเลย ชีวิตอาจจะยืนยาวเป็นร้อยปี แต่ในร้อยปี ทุกๆ วันที่ผ่านไป
ไม่มีวันไหนเลยที่สามารถสร้างคุณค่าอันแท้จริงขึ้นได้ คือเป็นร้อยปีที่ไม่มีประโยชน์
ไม่มีความหมาย แต่หากว่าเรานั้นมีชีวิตสั้นเพียงแค่ไม่กี่สิบปี แต่แค่ไม่กี่สิบปีนี้ เราได้สร้างคุณงามความดีอันแท้จริง เราผู้เฒ่ารับประกันได้ว่า ชีวิตของหลานๆ
มีค่ายิ่งกว่าคนที่มีอายุเป็นร้อยปี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอายุยืนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่คงไม่สำคัญกว่าการได้สร้างความดีที่ยืนยาวมั่นคง อย่าได้ติดในรูปลักษณ์ เพราะการยืมร่างเป็นเรื่องชั่วคราว หลานๆ ก็เช่นกัน สักวันหนึ่งก็มีวันที่ต้องกลับขึ้นไป ถ้าเราทำความดีไม่เพียงพอ
จะเรียกร้องความดีเข้ามาสู่ตัวเราก็เป็นเรื่องยาก ขอให้หลานๆ มีความดีที่เป็นที่รักของฟ้าดิน เราขออวยพร
พระนาจา
: มาฟังธรรมะหนึ่งวันก็เหมือนกับใส่เสื้อแขนเดียว
แต่ถ้าฟังธรรมะสามวันก็ใส่ทั้งตัวและใส่อีกแขน
และถ้าอยู่จนจบแล้วฟังรู้เรื่องและเข้าใจก็เหมือนติดกระดุมและเอาเข้าในกางเกงเรียบร้อย ใช่หรือเปล่า
ออกไปก็เป็นคนเรียบร้อยไม่ใช่คนบ้า ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้มาฟังธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าฟังแล้วรู้จักนำไปใช้ ปฏิบัติได้
ก็เป็นคนที่มีบุคลิกที่ดีออกไปสู่สังคม แต่คนปัจจุบันนี้บุคลิกกลายเป็นอย่างไร
แต่งตัวก็เหมือนไม่ค่อยจะเรียบร้อย "สวยแต่รูปจูบไม่หอม" ใช่หรือไม่
(ใช่) งามแต่ข้างนอกแต่จิตใจเว้าแหว่ง
เวลาซื้อของชอบที่กระเป๋าภายนอกสวยแต่ภายในขาดเต็มไปหมดหรือเปล่า ท่านก็ไม่ชอบ
ใช่หรือไม่ (ใช่) งานอะไรก็อยากได้
ได้งานที่สำเร็จและสมบูรณ์แบบแล้วสวยงามที่สุด
วันนี้มาฟังธรรมก็เหมือนงานเพิ่งเริ่มทำไปได้นิดเดียวเอง ฟังอีกแค่สองวันทำไมมาไม่ได้ ถ้าวันนี้โลกเต็มไปด้วยคนดีมีคุณธรรม
มีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาบอกให้ท่านทำดี
แต่วันนี้ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาแล้วบอกว่ามาทำดีเถอะ
กวักมือเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มา
เพราะว่าโลกนี้ขาดแล้วซึ่งคนมุ่งมั่นและยืนหยัดกล้าหาญที่จะเป็นคนดี
และบำเพ็ญตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) หากวันนี้เราบำเพ็ญแล้ว เป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง
แล้วรุ่นต่อไปจะเหลือดีสักเท่าไหร่กันใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการมาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินไปเลย
ท่านจะเป็นที่เคารพของคนอื่นก็ต้องเกิดจากตัวเราเคารพตัวเราเองก่อน
เราอยากจะให้ลูกหลานเชื่อเราและปฏิบัติตนเป็นคนดี แต่คนส่วนมากมักจะเป็นอย่างไร
ตัวเองทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่บอกคนอื่นว่า "ทำสิ ลูกทำสิ"
หรือไม่ก็คนที่มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย "อย่าโกง อย่าทุจริตฉันนะ"
เรามักจะเรียกร้องคนรอบข้าง แต่ลืมเรียกร้องตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่เคารพตนเอง แล้วใครจะมาเคารพเรา
แล้วใครจะทำให้เราได้ วันนี้อยากให้ลูกดี
อยากให้เพื่อนและผู้ร่วมงานเป็นคนดี เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราเคารพตนเอง
และเป็นคนดีให้คนอื่นเห็นหรือยัง
บางคนมาฟังธรรมก็ยืนท่าทางโซเซ แล้วก็บอกว่าก็คงดีนะ
คนประเภทนี้น่าคุยด้วยไหม (ไม่น่าคุย) หรือไม่ประเภทนั่งฟังให้พูดไปเถอะ
ฟังไปก็เท่านั้น
เราอยากบอกท่านว่าตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันแล้ว พี่ก็รักน้องทุกคน
แต่น้องทำตัวน่ารักหรือเปล่านี่สิปัญหาใหญ่
วันนี้เชื่อแต่พรุ่งนี้แกว่งไปแกว่งมาเหมือนหางเป็ดใช่ไหม
ฉะนั้นแม้กาลเวลาหรือโลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ขอให้จิตใจท่านมั่นคง
ข้างนอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ยากที่จะทำให้ใจที่มั่นคงนี้เปลี่ยนแปลงได้
เราเป็นคน มีสติปัญญาและมีคุณธรรม
เราเลือกได้ว่าจะทำตัวเองเป็นคนอย่างไรเลือกได้ว่าเราจะเดินทางไหนให้กับชีวิต
วันนี้มีโอกาสได้ศึกษาธรรม ได้รู้ว่าถ้าเติมคุณธรรมสักนิดให้ชีวิตปรุงให้ดีงามสักหน่อย
เราก็เป็นคนที่สามารถมีคุณค่าต่อตนเอง และเป็นแบบอย่างที่ดีงามต่อมวลชนได้
ฉะนั้นถ้าทำได้ก็ทำ แล้วก็จะดีกับท่านเอง
วันนี้เรามายืมร่าง ก็คิดว่าเราหลอกลวง ไม่น่าเชื่อ
แต่เราอยากบอกศิษย์น้องทุกคนว่า ตอนนี้ศิษย์น้องได้รับสิ่งที่มีค่าแล้ว อย่าเป็นเหมือนคนที่ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
มีนิทานอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่ามีเพื่อนสองคน
สองคนนี้เกิดมามีอะไรเหมือนกันหมด แต่เขาเลือกทางเดินแตกต่างกัน
เขาตกลงกันว่าพอผ่านไปห้าปี ให้มาเจอกัน ณ จุดๆ นี้ พอมาเจอกันแล้ว คนหนึ่งผอม
แต่งตัวมอซอ แต่อีกคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน พอมาเจอกัน เขาก็อดสงสารเพื่อนไม่ได้
ก็ถามๆ คุยๆ กันไปทั้งวัน
ก่อนจะจากกันไปเขาก็แอบเอาเพชรเม็ดหนึ่งใส่ไว้ในกระเป๋าคนขอทานนั้น
แล้วก็เดินจากไป เขาก็บอกว่าอีกห้าปีกลับมาเจอกันใหม่
คนที่แต่งตัวดีก็คิดว่าเพื่อนเขาต้องเอาเพชรนั้นไปใช้จนเกิดประโยชน์แน่
แต่จนแล้วจนรอดพออีกห้าปีกลับมาเจอกันคนนั้นก็เป็นเหมือนเดิม เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะพอเขาเจอหน้ากัน เขาบอกว่ามีเพชรอยู่ด้วยหรือ เขาไม่รู้เขาไม่เห็น การไม่รู้ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมีอยู่
เพราะเขาไม่เคยได้ค้นคว้าหรือศึกษาตนเองดูเลย
อย่างที่เราบอกไปตั้งแต่ต้น
คนเราหากไม่งอมืองอเท้า อะไรๆ ก็ย่อมบังเกิดได้ ขอเพียงอดทนฝ่าฟัน ความสำเร็จย่อมบังเกิด แต่เราก็ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าลาภยศทรัพย์เงินทองบางครั้งฟ้าก็ลิขิต หากไม่ได้มา ก็จงทำใจว่าไม่ใช่ของเรา หากว่าไม่เป็นของเราก็จงปล่อย แล้วเราก็จะมีความสุขกับการมีชีวิตโดยมีคุณธรรมเป็นเพื่อนปลอบใจ บางครั้งเราอยู่บนโลกนี้เหมือนมีคนมากมาย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เราเหมือนยืนอยู่คนเดียว ฝ่าฟันอยู่คนเดียวทุกเรื่องราวทุกโอกาส
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีธรรมเป็นเพื่อน
มีธรรมยามทุกข์ยาก จะเป็นสุขไหม (เป็นสุข)
สุขไม่สุขอยู่ที่ศิษย์น้องเอาไปใช้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่บอกว่าให้อดทนก็ตะบี้ตะบันทนไป
ไม่ใช่เรื่องของเราก็จะทน จะเอาให้ได้อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาเรียกว่าไม่รู้จักพลิกแพลงใช้ให้ถูกใช้ให้เป็น
ใครที่คิดมาแค่วันเดียวอย่าลืมใส่เสื้อให้ครบ ใส่เสื้อให้เสร็จดีไหม
(ดี) ส่วนคนที่คิดมาสามวัน
จะขอถอดเสื้อไม่ได้นะ
ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่เสียใจแย่เลย
เพราะถ้ามาวันนี้แล้วถอดเสื้อ แสดงว่าศิษย์พี่ผิดเอง
ถ้าศิษย์พี่ทำอะไรพูดอะไรไม่ถูกใจศิษย์น้อง ก็อย่าถือโทษโกรธกัน ให้อภัยตนเองได้ก็ขอให้อภัยผู้อื่นให้เป็นด้วย
ดีหรือเปล่า (ดี)
การอยู่ร่วมกัน นอกจากเราจะต้องเห็นใจผู้อื่นแล้ว
เราต้องยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองด้วย ไม่ใช่มองคนอื่นผิดเป็นอย่างเดียว แต่มองตัวเองผิดไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ใช่คนที่น่าเป็นมิตรด้วย
ถ้านับตามกัปกัลป์แล้ว ศิษย์พี่อายุมากกว่าศิษย์น้อง คิดเสียว่าวันนี้ศิษย์พี่มาบอกเรื่องดีๆ
มาบอกเรื่องอันมีค่าแก่ชีวิตให้ศิษย์น้องดีไหม (ดี) ถ้าทำได้ ศิษย์น้องก็จะมีความสุขในการมีชีวิต
การบำเพ็ญธรรมบนโลกนี้
บางครั้งอาจจะเจออุปสรรคบ้าง เจอความยากลำบากบ้าง ก็อย่าได้ท้อ ขอให้มุ่งมั่นที่จะทำต่อไป
พระพฤฒาชันษา
: หลานๆ คนไหนที่มาวันนี้ยังไม่ได้ส่งยิ้มให้ใครเลย
ก็ต้องรู้จักส่งยิ้มให้คนรอบข้างบ้าง เพื่อแสดงถึงความมีมนุษยสัมพันธ์อันดี
อย่าพิจารณามากจนใบหน้าบึ้งตึง
อันว่านิพพานนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่อยู่ที่ใครเป็นผู้เดินหน้า คนนั้นก็ไปถึงก่อน นิพพานมีผลท้อหอมหวลรอหลานๆ นั้นไปเด็ดกิน
มีเซียนน้อยที่ชอบเล่นแบบพระนาจานี้อยู่เต็มไปหมด
ฉะนั้นนิพพานนั้นก็เป็นบ้านของเราเช่นเดียวกัน ขอให้ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาที่ว่าง
หมั่นมาสถานธรรม มาบ้านหลังนี้ก่อน
มาทำความคุ้นเคยกับสิ่งที่ไม่ใช่โลกียภูมินี้ก่อน ขอให้เรานั้นบำเพ็ญตนให้ดียิ่งก่อนจึงจะสามารถไปอยู่ในแดนที่สงบสุขได้ ไม่เช่นนั้น ทุกๆ
วันก็จะดิ้นรนแสวงหาอยู่เช่นนี้
ไม่คิดหยุดไม่คิดเพลา ตลอดชีวิตนี้อย่าได้คิดว่าการแสวงหาโลกียภูมินั้นจะหยุดเอง ขอให้หยุดๆ เพลาๆ ลงบ้าง ใครที่แสวงหาหนักๆ
ก็แสวงหาเบาๆ ลงบ้าง ถ้าหากไม่เชื่อใจใคร
ก็ลองเชื่อใจดูบ้าง ดีไหม (ดี)
หน้าตาที่ยิ้มแย้มก็ใกล้เคียงกับใบหน้าเดิมแท้ที่สุด หน้าตาที่บึ้งตึงก็ห่างไกลจากใบหน้าพุทธะที่สุด
พระนาจา
: ไปแล้วนะ
ขอให้ตั้งใจฟังธรรมะให้ดี
ง่วงนอนอย่างไรก็หาผ้ามาเช็ดก็แล้วกัน
วันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทท่านแปดเซียนหันเซียงจื่อ
ความลำบากใช้อดทนแลหนักแน่น ความคุมแค้นใช้อภัยแลสงบ
การไม่รบคือสุดยอดแห่งการรบ การบรรจบคือจุดเริ่มแห่งการลา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ชีวิตอย่าปล่อยไปใฝ่เร่งรีบ อัสดงชีพลอยเลื่อนไร้ความหมาย
ตั้งจุดหมายปลายทางว่างจากอบาย สู่จุดหมายเมื่อทางเปลี่ยวยังอบอุ่น
ความลำบากเมื่อต้องเจอก็ประหวั่น พิจารณาไม่ขวัญเสียที่โลกขุ่น
ไม่ปล่อยชีพตามสบายบังเกิดคุณ เดือนที่ใครว่าอบอุ่นสัมผัสดู
วันวันหวั่นชีวิตพ่ายจนอับเฉา จงบรรเทาไปนั่นใจไม่สู้
ขึ้นยิ่งยากจักสำเร็จไม่อดสู ทุกทุกปีมาดูผลพัฒนา
มารู้ผู้เป็นใหญ่เพราะอะไร การใช้ชีพให้ได้ซึ่งคุณค่า
ทุกทุกวันจักมองย้อนตนมา กรุณาสิ่งจำเป็นคุ้มป้องตน
การรับเป็นคือให้สละได้ บำเพ็ญจิตจักรู้ได้จากฝึกฝน
ลมกระทบน้ำพลอยเคลื่อนควบคุมตน ใจจักรู้ที่พ้นความปราชัย
ชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งสิ่งคือบำเพ็ญ จิตย่อมดีพร้อมงามเย็นสดใส
บำเพ็ญดีความมีสู่ความไร้ เพราะน้อมใจพร้อมแก้ไขตั้งแต่ต้น
หนึ่งชีวากาลผ่านคอยคำเฉลย วิสัยเคยไม่เร็วรอคอยผล
ใครได้คิดให้เร่งสว่างตน เพราะบางคนสายเกินแสงตะวัน
ยามแก้ยากจนคั่งค้างมุทินอยู่ จึงค่อยรู้ว่าคุณค่าคนขยัน
อยู่ที่เพียรจึงได้ตามต้องการ รู้ต้องหมั่นสร้างมาความพยายาม
สำเร็จแลกมาจากการลงแรง ปัญญาแกร่งล้วนอดใจคำเหยียดหยาม
รู้อภัยรู้ทนอย่าร้อนวู่วาม บำเพ็ญธรรมสามกาลอย่าชะล่าใจ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านแปดเซียนหันเซียงจื่อ
“ความลำบากใช้อดทนแลหนักแน่น” มานั่งฟังอย่างนี้ลำบากไหม
วันนี้มานั่งฟังย่อมเจอความลำบากและต้องใช้ความอดทนอย่างสูงถึงจะฝ่าความลำบากนี้ได้
ในชีวิตและความเป็นจริงของมนุษย์นั้นล้วนแต่เจอความยากลำบากแตกต่างกันออกไป
อยู่ที่ว่าใครทนได้มากใครทนได้น้อย คนที่ทนได้มาก เพียรพยายาม
เขาก็จะพบความสำเร็จได้ คนที่ไม่ทนอะไรง่ายๆ
เจอเรื่องลำบากเพียงนิดหน่อยก็ยอมแพ้แล้ว
คนๆ นั้นก็ยากจะประสบผลสำเร็จในการมีชีวิตอยู่
“ความคุมแค้นใช้อภัยแลสงบ” เราอยู่ในโลกนี้เรายากที่จะอยู่ตัวคนเดียว บ่อยครั้งที่เราต้องพบปะผู้คน
บ่อยครั้งที่เราต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น บางครั้งมีถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง
แต่ไม่มีใครอยากมีศัตรูคู่แค้น เราเกิดมาเราก็อยากมีมิตรที่ดี
ฉะนั้นเวลาเราไม่พอใจขึ้นมา เราควรจะใช้น้ำใจที่ดีในการให้อภัย เสียสละ
แม้ตนเองจะเสียเปรียบไปบ้าง แม้ตนเองจะโดนเขาว่ากล่าวไปบ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่) การให้ที่ดีนั้นคือการรู้จักให้อภัย
แล้วเราจะได้ไม่มีแค้นที่ผูกกันไปไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
“การไม่รบคือสุดยอดแห่งการรบ” อยู่บนโลกนี้เหมือนสนามรบ แต่รบอย่างไรจึงไม่ต้องรบต่อๆ ไป
ไม่ต้องมีคำว่าแพ้ คำว่าชนะ นั่นก็คือการรบที่ไม่ต้องรบ
คือการอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่ต้องใช้มีด ใช้วาจา ใช้การกระทำทำร้ายใครใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะขึ้นชื่อว่ารบก็ต้องเจ็บทั้งสองฝ่าย
ต่างกันตรงที่ว่าเจ็บมากเจ็บน้อยเท่านั้นเอง แต่ก็เจ็บเหมือนกันทั้งคู่ ใช่หรือไม่
การอยู่ร่วมกันจึงเป็นโอกาสที่ดี เราควรสร้างสัมพันธไมตรีต่อกัน คนๆ หนึ่งมาเจอกันได้ไม่ใช่ง่ายดายเลย
ฉะนั้นเรามีโอกาสมาเจอเขา เราจึงควรสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีมากกว่าที่จะสร้างรอยร้าว
รอยเจ็บปวดต่อกัน ฉะนั้นวันนี้ก็เหมือนเป็นโอกาสอย่างหนึ่งที่เรามีโอกาสพบหน้าเจอกัน
เราจึงควรถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี เพราะเมื่อถึงเวลาที่จากกันไป
เราก็จะไม่รู้สึกเสียดาย ไม่รู้สึกว่าเราจะต้องมานั่งแก้ไขอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) การมีชีวิตของทุกๆ
ท่านที่นี่ก็เฉกเช่นเดียวกัน โอกาสที่เราจะเจอเขาอีก บางครั้งหาได้ยาก
เวลาเราเจอกันเราควรสร้างสิ่งที่ดีต่อกัน
แล้วเราก็จะไม่อาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราได้มาเจอกัน
ให้รักษาโอกาสนี้ให้ดีๆ สิ่งใดที่คิดว่าดีคิดว่างาม ก็ลองนำไปใช้ดู ลองพิจารณาดู
“ชีวิตอย่าปล่อยไปใฝ่เร่งรีบ อัสดงชีพลอยเลื่อนไร้ความหมาย
ตั้งจุดหมายปลายทางว่างจากอบาย สู่จุดหมายแม้เหน็บหนาวยังอบอุ่น”
เมื่อเกิดมาบนโลกนี้ทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายความต้องการแตกต่างกันออกไป บางคนก็อยากเป็นคนที่ร่ำรวย มีหน้ามีตา
บางคนก็อยากมีเกียรติ มีชื่อเสียงเป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
แต่ปุถุชนกับบุคคลที่กำลังฝึกฝนบำเพ็ญตนเป็นอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างกันตรงไหน
ก็ต่างกันที่จุดมุ่งหมายการมีชีวิต พุทธะหรือผู้บำเพ็ญแล้ว
มีจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตไม่ใช่เพียงแค่ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง
แต่จุดมุ่งหมายในการมีชีวิตนั้นก็คือการให้ตนสามารถเข้าถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของโลก
แก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิตด้วยการบำเพ็ญตนฝึกฝนตนและขัดเกลาตน
แต่อาจจะนับได้เลยว่ามีสักกี่คนกันที่มีจุดมุ่งหมายเช่นนี้
คนที่คิดจะมีจุดมุ่งหมายเช่นนี้ตั้งแต่เกิดมาก็คงนับว่าน้อยมาก
จุดมุ่งหมายตอนที่เราเกิดมาได้ศึกษาเรียนรู้มักจะเป็นเรื่องทางโลกมากกว่าเรื่องทางธรรม
ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เรื่องทางโลกที่เราได้รับรู้กัน ที่เราได้ประสบกันนั้น
ทำให้เรามีสุขมีทุกข์มากน้อยเท่าไหร่กัน มีทุกข์มากใช่หรือไม่ (ใช่) สุขแทบจะนับได้เลยว่ามีกี่ครั้ง
แล้วเพราะอะไรเราจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจของเราได้อย่างเต็มที่
ยกตัวอย่างง่ายๆ บางครั้งเวลาเราแต่งตัวธรรมดาไม่มีเครื่องประดับ
ยืนอยู่ใกล้คนที่มีเครื่องประดับแล้ว แต่งตัวดี กระเป๋ามียี่ห้อ เสื้อผ้ามีชื่อ
เราก็รู้สึกละอาย น้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่สามารถมีได้อย่างเขา มีชีวิตเหมือนเขา
แต่ทำไมข้าวของที่เรามีอยู่ ฐานะที่เราได้รับถึงไม่สูงส่งและดีงามเช่นเขา
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จนบางครั้งเราพยายามทุกวิถีทาง
พยายามเกือบค่อนชีวิตเพื่อจะได้มีอย่างที่เขามี อย่างที่คนรอบข้างมี ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราก็รับรู้อยู่อย่างหนึ่งว่ามนุษย์ที่แท้นั้นไม่ใช่วัดค่ากันด้วยวัตถุภายนอกหรือทรัพย์สินที่มี
แต่วัดกันที่จิตใจภายในต่างหาก แต่บ่อยครั้งมนุษย์เรามักจะหลงกับสิ่งภายนอก
มักจะหลงยึดติดกับรูปร่างวัตถุมากกว่าเข้าใจถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของสิ่งของและชีวิต
จึงทำให้ชีวิตค่อนชีวิตเสียไปกับการหาเพื่อให้ได้มีเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น
ให้ยืนเคียงข้างคนอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งเรามักจะสูญเสียความดีงาม
ความเป็นตัวของตัวเอง เพียงเพื่อมีหน้ามีตาเฉกเช่นคนอื่น
หรือให้คนอื่นสนใจสิ่งภายนอกของเรา แต่เราลืมไปแล้วหรือว่าคนเราแม้ภายนอกจะไม่สวย
แต่จิตใจก็ดีงามได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาคู่กับเรา
จะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเห็นคุณค่าของเราได้
เราจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่สักวันหนึ่ง
เขาย่อมเห็นความเป็นจริงของเรา
เพราะฉะนั้นเวลาจะมองคนหรือมองอะไร อย่าได้ยึดติดเพียงแค่หู ตา จมูก
หรือมือที่สัมผัส แต่ต้องมองให้ลึกถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของสิ่งของและคนๆ
นั้น
แล้วเราจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจถึงแก่นแท้ความเป็นจริง ไม่ใช่ยึดติดเพียงรูปภายนอก เห็นคุณค่าเพียงรูปลักษณ์ภายนอก หลายๆ
คนก็ไม่อยากให้ใครดูถูกเราเพียงเพราะว่าเราแต่งตัวไม่ดี ไม่ทันสมัย
ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเพจเจอร์
คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาว่าตัวเรา เพียงเพราะวัตถุนำสมัย
เสื้อผ้าที่สวยงาม ใครๆ
ก็อยากให้คนอื่นเห็นเราซึ่งเป็นตัวของเราต่างหาก
ฉะนั้นจุดมุ่งหมายเวลาอยู่บนโลกนี้
จึงต้องมองเห็นให้ถึงซึ่งความเป็นจริง
อย่ายึดติดเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก
แล้วเราก็จะเป็นผู้สามารถเห็นคุณค่าความงามและความบริสุทธิ์ที่แท้จริงได้ในตัวคนและตัวของเรา
โดยที่ไม่ถูกวัตถุภายนอกมาแปดเปื้อนทำให้จอมปลอม ฉะนั้นแม้โลกภายนอกจะวุ่นวาย แปรปรวน มืดมนเพียงใด
เราก็สามารถประคับประคองจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์ใส โดยที่ไม่ถูกวัตถุหรือรูปลักษณ์มาทำให้เราต้องเสียความใสบริสุทธิ์ได้ เพราะเรามีจุดยืน
มีชีวิตที่มองเห็นแก่นแท้แห่งความเป็นจริง
วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรมที่เราไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน
ปกติแล้วในปัจจุบันมนุษย์มักศึกษาวิชาความรู้เป็นอันดับแรก จริยธรรมหรือคุณธรรมเป็นอันดับรอง บ่อยครั้งที่เราได้รับรู้ว่ามนุษย์มีความสามารถ
แต่ไร้คุณธรรม
และมนุษย์ผู้นี้มักจะก่อความวุ่นวายและเดือดร้อนแก่สังคม หากท่านได้เคยศึกษาอดีตมา
ท่านจะรู้ว่าการศึกษาอันดับแรกก็คือคุณธรรม
รองลงมาคือวาจา
อันดับต่อมาคือสังคมและวิชาความรู้ ตามลำดับ ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่ามนุษย์ไม่ควรเพิกเฉยคุณธรรม ควรเห็นคุณธรรมเป็นหลัก ความรู้ความสามารถควรเป็นอันดับรอง บ่อยครั้งที่มนุษย์เก่งแล้วมักหลงลืมตน พอมีความสามารถแล้วมักมองข้ามคนอื่นไป
แล้วลืมที่มาของตนเองอยู่บ่อยๆ
แต่คุณธรรมนั้นช่วยให้เรารู้ว่าคนเราไม่ควรลืมความเป็นคนอันประเสริฐ ถึงแม้จะมีความรู้มากมาย แต่ขาดซึ่งคุณธรรม
ความดี เขาก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อสังคม
ครอบครัว
การอยู่บนโลกนี้ จิตใจก็มีส่วนสำคัญ เพราะใจเป็นผู้บังคับกายให้เดิน ให้คิด
ให้ทำสิ่งต่างๆ
หากมนุษย์เรามีความคิดไม่เที่ยงธรรมแล้ว ก็ยากจะดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข
เพราะอะไรเวลาใจเราไม่เที่ยงธรรมก็คือใจเรามัวหวังอะไรอยู่
หรือกำลังติดขัดเรื่องอะไรอยู่
แล้วทำไมพอไม่เที่ยงธรรมแล้ว เรายากจะอยู่บนโลกได้อย่างเป็นสุข (ความโลภ,
ความหลง)
ความหลงและความโลภทำไมจึงทำให้เราลำเอียงได้ เวลาเราหลงคนๆ หนึ่ง เวลามองเขาใจเราเที่ยงธรรมไหม
(ไม่เที่ยง)
แล้วตอนนั้นยอมรับไหมว่าตัวเองไม่เที่ยงธรรม (ไม่ยอม) แล้วมองเห็นเขาชัดเจนไหม เวลาหลงเขา
(ไม่ชัดเจน) แล้วเวลาโลภล่ะเที่ยงธรรมไหม
(ไม่เที่ยง)
เพราะมีความอยากใช่หรือไม่
เวลาโลภเรามักลืมความเมตตาและน้ำใจต่อคนอื่น เวลาเราหลงเรามักเห็นเขาดีไปหมด
หาข้อเสียไม่เจอเลย หรือเวลาเกลียดคนๆ
หนึ่ง ข้อดีหาไม่ได้แม้สักกระพี้หนึ่ง ข้อร้ายมีเต็มไปหมด เต็มอยู่ที่ใจของเรา
ฉะนั้นมนุษย์อยู่บนโลก
อารมณ์จึงเป็นส่วนสำคัญที่พร้อมจะชักจูงให้เราไขว้เขว ทำให้เราไม่ยุติธรรม ฉะนั้นเวลาเกิดอารมณ์อะไร
เราต้องรู้จักประคับประคองให้ดี วางให้เที่ยงธรรม
หากตัดได้ก็ตัดเสีย
หากรู้พอได้ก็รู้พอเสีย
แต่บ่อยครั้งมักจะพอกันไม่เป็น นอกจากสองอย่างนี้มีอะไรอีกที่ทำให้ใจเราลำเอียง
(ความโกรธ, เห็นแก่ตัว, ความเกลียด, อยากเอาชนะคนอื่น) อยากเอาชนะก็มีส่วนสำคัญ
จะล้มด้วยวิธีใดไม่สำคัญ ขอให้ล้มได้ก็พอ
นอกจากนั้น ความน้อยเนื้อต่ำใจก็ทำให้เราลำเอียงได้
ความเห็นแก่ตนเองจนเกินไปก็ทำให้เราลำเอียงได้ ฉะนั้นถ้าเกิดอารมณ์ความรู้สึกที่เรากล่าวมาเช่นนี้
จิตใจเราก็ยากจะเที่ยงธรรมได้
แต่เพราะอะไรบางครั้งเรารู้ว่าเรามีอารมณ์เช่นนี้ เรามักจะไม่ยอมตัดทิ้งโดยง่าย
เคยคิดไหม (เพราะเราต้องอยู่ในสังคมและต้องปรับตัว) แปลว่าเขาเห็นแก่ตัวมา
เราก็ต้องเห็นแก่ตัวกลับหรือ
ตอนนี้เรากำลังพูดหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องความลำเอียง
แต่บ่อยครั้งที่เราไม่สามารถเอาชนะและตัดความลำเอียงออกไปจากตัวหรือออกไปจากใจได้
ก็เพราะว่าเราไม่อยากจะยอมเขา เราไม่อยากให้เขามาข่มเรา และเราก็ไม่อยากให้เขาอยู่เหนือเรา
เป็นเพราะว่ามนุษย์ขาดซึ่งจิตใจแห่งการให้ต่อกัน
ขาดซึ่งจิตใจที่ยอมและอภัยต่อกัน เราจึงเกิดความลำเอียงอยู่ทุกๆ วัน
เกิดจิตใจที่ใฝ่ร้ายต่อกัน หรือพูดง่ายๆ
ก็คือเราไม่อยากเป็นผู้แพ้ เราไม่อยากเป็นผู้เสียเปรียบ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่จริงๆ แล้วคนที่รู้จักยอมบ้าง
เสียเปรียบบ้างแล้วให้คนอื่นได้ดี ให้คนอื่นได้เป็นคนดี
มักจะเป็นคนที่น่านับถือของสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) ยอมเป็นเรือให้เขาข้าม
ยอมเป็นสะพานให้เขาเหยียบ แต่จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่ยอมเป็นเรือได้อย่างแท้จริง
ตอนแรกอาจจะยอมให้เขาก้าวข้ามแต่พอเขาทำร้ายเรานิดหนึ่ง เราก็คว่ำเรือทิ้งเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนแรกอาจจะเป็นสะพานให้เขาเหยียบ
แต่พอเขาเหยียบสิ่งสกปรกมาแล้วทำให้สะพานเราเปื้อน เตะสะพานเรา
เราก็คว่ำสะพานทิ้งอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจึงเป็นคนดีไม่ได้สักทีหรือเป็นคนดีที่ไม่ประสบผลความสำเร็จในการทำความดี
ใช่ไหม(ใช่) เรายึดติดตัวตนไม่ยอมให้อภัย
ไม่ยอมอดทนในการทำความดี หากเรายอมได้ หากเราอดทนได้ก็จะมีหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความดี
ใช่หรือไม่ (ใช่)
“จงบรรเทาไปนั่นใจไม่สู้” ขอเพียงมีใจสู้ อย่าได้เกิดใจไม่สู้ขึ้นมา
ถ้าเกิดใจไม่สู้ขึ้นมาขอให้รีบล้างออกบรรเทาทิ้ง การทำความดี
ถ้าพูดถึงความยากก็คงคล้ายๆ กับการปีนเขา
เวลาทำความดีเหมือนการปีนเขา ปีนก็ยาก แต่ทำความชั่วเหมือนอะไร
(ลงภูเขา) ลื่นลงภูเขาไม่ว่าวิธีใดก็ทำได้
ไม่เหมือนการปีนเขามีอยู่เพียงไม่กี่วิธี
แต่เวลาลื่นลงเขาง่ายยิ่งกว่าปีนอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมทุกคนถึงไม่ชอบไปชมฟ้า
เพราะคิดว่าการปีนเขานั้นยาก ทุกคนเลยชอบชมพื้นดินมากกว่า
เป็นอย่างนั้นกันเยอะแยะเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราทำความดีทุกๆ ครั้ง ทุกๆ วันจนเป็นปี เราก็สามารถเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ได้ เป็นคนที่พร้อมฝึกฝนขัดเกลาตนเองได้ ใช่หรือไม่
(ใช่) แต่ทุกๆ
ปีที่ผ่านไปจนถึงวันนี้ก็ใกล้จะหมดไปอีกปีหนึ่งแล้ว
เคยขีดเคยนับการทำความดีของตนเองบ้างหรือไม่ (ไม่เคย)
แล้วเวลาปีหนึ่งหมดไปเราได้เคยตรวจสอบตัวเองบ้างไหมว่ามีข้อผิดพลาด
มีข้อแก้ไข มีสิ่งเลวร้ายอะไรที่ควรปรับปรุงให้ตนเองดีขึ้น พัฒนาขึ้น เคยไหม
(เคย) เคยและก็คิดว่าต้องทำในปีหน้า
แต่พอถึงปีหน้าจนกระทั่งสิ้นปีก็นับไม่ได้สักขีดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) หมายความว่าโดยปกติพื้นฐานทุกๆ
คนเป็นคนที่มีจิตใจมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ได้
แม้จะเคยทำผิดพลาดมาก็ตาม แต่ทว่ามีใจที่ใฝ่สูงโดยธรรมชาติ
เมื่อมีใจใฝ่สูงโดยธรรมชาติเราก็ต้องไม่ลืมที่มาของตนเอง ใช่หรือเปล่า
(ใช่)
การจะเดินก้าวไปได้จากการทำความดีเราต้องรู้จักตัวเองเสียก่อน เราต้องรู้ก่อนว่าตนเองมีอะไรที่เป็นสิ่งดี
ตัวเองก้าวออกไปจะเอาอะไรที่เรียกว่าความดีออกไป
เราถึงจะสามารถส่งมอบให้คนอื่นได้ ฉะนั้นมีปณิธานที่สูงส่ง
แม้จะมีใจที่ใฝ่ก้าวหน้า แต่ถ้าลืมความเป็นมาของตนเอง
ไม่ยืนหยัดอยู่บนความเป็นตัวของตัวเอง ในการที่จะก้าวทำสิ่งใดก็ตามเราก็ยากจะสำเร็จได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศึกษามาเรามีจุดยืนของตนเอง
มีที่มาของตนเองเป็นอย่างไร ใครๆ ก็อยากได้มาสว่างและไปสว่าง มาสูงก็ต้องไปสูง
ฉะนั้นต้องถามตนเองก่อนว่าตนเองจะไปอย่างไร และมีที่มาอย่างไร (ศึกษา,
มาอย่างคนไม่รู้แต่กลับไปอย่างคนรู้)
เป็นคำตอบที่ดีมากก็คือถึงแม้ว่าเรามาอย่างคนไม่รู้ แต่เราต้องกลับไปอย่างผู้รู้
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วนอกจากนี้วันนี้เรายังรู้ว่าเรามีสิ่งที่ดีอยู่ในจิตใจ
สิ่งที่ดีนั้นเป็นพื้นฐาน เป็นสภาวะแห่งการเป็นพุทธะ
เป็นสภาวะของการบำเพ็ญตนเป็นคนดี บำเพ็ญตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นพุทธะได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อเราก้าวเราควรก้าวลงต่ำหรือขึ้นสูง(ก้าวขึ้นสูง)
ไม่สูงอย่างน้อยก็ต้องพอดีตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเรามีสภาวะแห่งความดีงามที่สามารถจะเดินไปและสามารถคืนสู่เบื้องบนได้
มีสภาวะแห่งความดีงาม
หากเรารู้จักใช้ก็สามารถเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักก้าว
เมื่อรู้เริ่มต้นแล้วก็ต้องรู้จักเริ่มก้าวเดิน
ทางไกลพันลี้เริ่มจากหนึ่งก้าวเดินใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ด้วยความเพียรพยายาม ด้วยการมีแนวทางและความมุ่งมั่น
ตอนนี้นอกจากเรารู้ตนเองที่จะก้าวแล้วเรายังต้องรู้จักอะไรอีก (ความมุ่งมั่นและศรัทธา,
มีเป้าหมายในการเดิน, มีจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้, รู้ปณิธานของตัวเอง)
ปณิธานก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจ
เมื่อสักครู่ทุกคนตอบเราแล้วว่าไม่มีทางจะลงต่ำอย่างมากสุดก็เสมอตัว
แล้วตอนแรกเรารู้ว่าเรามีพื้นฐานแห่งความเป็นพุทธะ อย่างน้อยเสมอตัวก็ต้องเป็นพุทธะ
แต่ขออย่างเดียว อย่าดูถูกตนเอง และอย่ายึดมั่นในตัวตน คนทุกคนสามารถขึ้นที่สูงได้
แต่การขึ้นที่สูงมีหลายวิธี หากพูดให้ทันสมัยแบบวิทยาศาสตร์ก็คือขึ้นลิฟท์
ไวที่สุด แต่ถ้าบางคนล้าสมัยหน่อยก็ค่อยๆ
ก้าวเดินอย่างมั่นคงและหนักแน่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
การก้าวเดินอย่างมั่นคงและหนักแน่นเวลาตกก็เจ็บน้อย
ไม่เหมือนลิฟท์เมื่อสายขาดเป็นอย่างไร (ตาย)
ฉะนั้นการบำเพ็ญต้องค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ เรียนรู้ อย่าใจร้อนอย่าใจเร็ว
ใจเร็วด่วนได้มักไม่ให้ผลดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
การทำงานก็เฉกเช่นเดียวกัน
“การรับเป็นคือให้สละได้”
คนเราเมื่อรู้จักรับเป็นก็ต้องรู้จักอะไรเป็น (ให้) รับเป็นแล้วก็ต้องรู้จักแบ่งปัน ถ้ามีใครมาขอแบ่งทานผลไม้บ้างจะพูดว่าอย่างไร
(ให้หมดเลย) ยอมให้เขาทั้งลูกเลยหรือเปล่า
เราอยู่บนโลกนี้ จะศึกษาเรียนรู้สิ่งใดก็ตาม เราจะเรียนรู้แค่ด้านหน้าด้านเดียวได้หรือไม่
(ไม่ได้) แล้วเราจะเรียนรู้แค่ด้านหลังด้านเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทุกอย่างในโลกนี้มักมีหลายด้านหลายมุม
หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่มีด้านหน้าก็ต้องมีด้านหลัง
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้เราจะมัวแต่ติดในสุขแล้วไม่รับทุกข์ได้หรือไม่
(ไม่ได้) เราจะพบโดยไม่มีการจากได้หรือไม่
(ไม่ได้)
ในเมื่อรู้อย่างนี้เมื่อถึงเวลาทำไมเราถึงทำใจกันไม่ได้ สัจธรรมชีวิตเราก็รู้ เราก็เข้าใจ แต่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า "รู้นั้นง่าย ปฏิบัตินั้นยาก"
แต่เราขอเปลี่ยนเป็น "ปฏิบัตินั้นง่ายแต่รู้จริงๆ ยาก" ใช่หรือไม่ (ใช่)
แค่ให้ไปปฏิบัติเราทำได้ แต่ให้รู้อย่างแท้จริง
รู้ถึงแก่นแท้ของสิ่งที่ท่านรู้
ท่านมักจะไม่รู้กันจริงๆ
รู้กันเพียงเปลือกนอก เข้าใจกันเพียงนกแก้วนกขุนทอง ใช่หรือไม่
อย่างที่เรากล่าวไว้ตั้งแต่ต้น
ทำไมคนสมัยก่อนถึงให้เรียนคุณธรรมก่อน
วาจาอันดับสอง
สังคมและการศึกษาเป็นอันดับสุดท้าย
ก็เพราะว่าการศึกษาคุณธรรมนอกจากเราจะรู้แค่คุณธรรมอย่างเดียวนั้นไม่พอ เราต้องมีหลักแห่งสัจธรรม ยึดมั่นในคุณธรรม ไม่ละทิ้งกัลยาณธรรม คือ ความเป็นจริงแห่งโลก
และความเป็นจริงแห่งชีวิต เราต้องเข้าใจ เราต้องมีจุดยืนในสัจธรรม เมื่อเรามีชีวิต
เราต้องมีคุณธรรมอยู่เสมอ
แล้วเวลาเราต้องไปเจอคนในสังคมเราต้องไม่ละทิ้งคุณธรรมที่เรียกว่ากัลยาณธรรม
ถ้าเราปฏิบัติในธรรมสามอย่างนี้ได้
เราก็สามารถมีชีวิตได้อย่างเป็นสุข
และสามารถนำปัญญา ความรู้ สิ่งที่เรียนรู้มาไปใช้ให้สอดคล้อง
คนโบราณจึงกล่าวว่า คนที่ศึกษาเป็นคือคนที่เป็นเช่นไร (รู้แล้วนำไปปฏิบัติ,
ศึกษาเป็นปฏิบัติเป็น)
ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่เรียนรู้มาและกับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไป
เพราะสิ่งที่เรารู้ในวันนี้ต่อไปอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้ววันนี้นอกจากเรารู้แล้ว ปฏิบัติให้สอดคล้องกับสิ่งที่เรียนมาแล้วยังไม่พอ
ยังต้องสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมและสอดคล้องกับบุคคลที่อยู่รายล้อมด้วย ใช่หรือไม่
(ใช่)
แล้วนอกจากนี้ คนที่ศึกษาเป็นแล้วต้องเป็นอย่างไร
เมื่อเขาศึกษาได้ ปฏิบัติได้แล้ว
เพื่อนมาจากแดนไกลก็คิดอยากจะเรียนรู้ อยากจะศึกษาสิ่งที่เขาปฏิบัติด้วย ใช่หรือไม่
(ใช่) แล้วมีความสุขไหม
หากเรามีชีวิตอยู่แล้วมีเพื่อนมาจากแดนไกลเพื่อมาศึกษาความรู้จากเรา
เพื่อมาเรียนรู้ความเป็นคนอันดีงามกับเรา
น่าปลื้มปิติยิ่ง
แปลว่าชีวิตของเราเป็นชีวิตที่น่านำมาเป็นแบบอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้เพื่อนที่มาเยี่ยมเรามักมาเยี่ยมเพราะความเป็นคนดีงามหรือเพราะเปลือกนอกอันสวยงามกันแน่
(เปลือกนอก) ส่วนมากจะเพราะเปลือกนอก ส่วนมากจะเพราะเงินๆ ทองๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่างนี้เราจะภาคภูมิใจหรือ พอเห็นเขามาก็รู้แล้วว่ามาเพราะเงินแน่นอน เราก็รู้สึกเป็นทุกข์มากกว่าจะยินดีปรีดาให้เขายืม
แม้เราจะมีเงินทองมากมายสักเท่าไรก็ตาม
ถ้าหากว่าเราเป็นคนดี ศึกษาและปฏิบัติได้อย่างสอดคล้อง
แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่า จะเลิกทำเลยไหม
(ไม่เลิก)
หรือจะชี้หน้าว่าเขาว่าทำไมไม่เห็นคุณค่าของเรา ทำไมไม่เห็นความสำคัญของเรา เราเป็นคนมีความสามารถ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (วางเฉย)
วางเฉยก็เป็นส่วนที่ถูกต้อง
แต่ส่วนมากเรามักจะเป็นอย่างไร
พอศึกษา พอปฏิบัติเป็นมักจะอดอวดเบ่งไม่ได้ อดยโสโอหังไม่ได้
แม้จะไม่มีใครรู้ แม้จะไม่มีใครเห็น
ก็เที่ยววิ่งโพนทะนาใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า
กุลบุตรที่ดีเมื่อศึกษาเป็น เมื่อรู้จักใช้เป็นแล้ว ต้องรู้จักเก็บงำประกาย
ไม่สำแดงเด่น ของยิ่งมีคุณค่ามากเท่าไร
ต้องรู้จักเก็บ รู้จักซ่อนบ้างถึงจะมีคุณค่า
วัตถุยิ่งหาได้ยากเรายิ่งรู้สึกมีคุณค่ามากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ของที่โหลๆ มีคนเห็นเต็มไปหมด
เรากลับรู้สึกไม่เห็นค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมีความรู้ความสามารถอย่าได้หยิ่งยโสโอหัง
ง่วงนอนกันหรือไม่
ถ้าง่วงเราจะขอรบกวนผู้ปฏิบัติงานธรรมหาผ้าเย็นๆ มาให้ดีไหม หรือว่าอากาศเย็นๆ
อย่างนี้ต้องเจอผ้าร้อนๆ
เป็นการฝึกฝนตนเอง ร้อนๆ อาจจะทำให้เราสะดุ้งตื่นก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงมักจะมีสำนวนกล่าวว่า
“มนุษย์มักตายเพราะน้ำมากกว่าตายเพราะไฟ"
แม้ความโกรธจะน่ากลัวอย่างไรแต่เรามักตายเพราะความรักความหลงเสียส่วนใหญ่
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ลมกระทบน้ำพลอยเคลื่อนควบคุมตน” ไม่ว่าจะเจอร้อน เย็น หนาว ต้องไม่หวั่นไหวในการมุ่งมั่นปฏิบัติตนเอง
หากลมพัดมาท่านจะยืนอย่างไรดี (มั่นคง หนักแน่น, เชื่อมั่น, สุขุมรอบคอบ) ตั้งตรงหรือว่าคดงอดี (ตั้งตรง) แล้วเจอน้ำล่ะ
(ยืนด้วยความมีสติ) เป็นคำตอบที่ดี
แต่ละคนก็มีวิธีแตกต่างกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่) น้ำมีหลายแบบ
แบบราบกับแบบมาจากที่สูง พุทธะหรือเมธีในที่นี้จะตอบกันแบบใด เปรียบกับอะไรดีเวลาเราอยู่ในสังคม
(น้ำใจ)
เวลาเราเจอน้ำใจมาก็ควรปฏิบัติอย่างไรตอบ (มีน้ำใจตอบ) แล้วเวลาเจอแล้งน้ำใจมาจะทำอย่างไร
บางครั้งเรายึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง
ลมมักจะพัดทำให้เราหักงอได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การยึดมั่นนั้นต้องไม่ยึดมั่นแบบขวางทางผู้อื่น
เรารู้ว่าการบำเพ็ญตนเป็นคนดีเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเกิดว่าคนอื่นเขากำลังทำไม่ดี แล้วเรามาชี้หน้าและมาประกาศความดีของเราต่อหน้าเขา
เท่ากับการทำดีของเราเป็นการขวางทางคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
การจะเกลี้ยกล่อมคนนั้นอย่าเพิ่งใจเร็วด่วนได้ แต่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพราะบ่อยครั้งที่ความแข็งมักจะโดนลมอ่อนๆ
ทำให้หักได้ง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรายังรู้จักดัดต้นไม้เป็น รู้จักควบคุมสัตว์ที่ดุร้ายได้
ฉะนั้นมนุษย์เราก็ต้องใช้ปัญญาควบคุมตนเองแและสามารถควบคุมคนอื่นได้
โดยใช้ปัญญา ไหวพริบและคุณธรรมที่ถูกต้องเที่ยงธรรมด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
“จิตย่อมดีพร้อมงามเย็นสดใส” การบำเพ็ญนั้น นอกจากเราจะต้องรู้จักเกลาตนเอง
และรู้จักการอยู่ร่วมกับคนอื่นให้เป็นแล้ว เรายังต้องรู้จักอะไรอีก โดยปกติมนุษย์เรามาจากไร้แล้วจึงมีใช่หรือไม่
(ใช่) แล้วตอนนี้เราจะกลับจากมีไปสู่ไร้
เป็นไหม (เป็น, ไม่เป็น)
การแลกเปลี่ยนความรู้ การมอบคุณธรรมให้แก่กัน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี (อ่อนน้อม,
ปล่อยวางและทำจิตใจให้สงบ, เสียสละในสิ่งที่ตนเองมีอยู่) แต่การเสียสละนั้นต้องเกิดประโยชน์แก่เขา
ไม่ใช่ไปทำให้เขาเกิดความโลภ แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ นอกจากเสียสละเป็นแล้ว
เรายังต้องรู้จักการให้
การให้ที่ดีที่สุดและมีคุณค่าแก่ผู้อื่นมากที่สุดคือการให้อะไร (เมตตากรุณา,
น้ำใจ, ให้อภัย, ให้ธรรมะ, ให้คำแนะนำและสิ่งที่ดีแก่เขา) นอกจากการรู้จักให้แล้ว บางครั้งยังต้องรู้จักทำเป็นด้วย
การให้สิ่งที่ดีที่สุดก็คือให้เขาสามารถเป็นคนดีต่อจากเราได้ ใช่หรือไม่
(ใช่)
เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้เกียรติยศชื่อเสียง แต่เมื่อให้เขาไปแล้ว
เขาไม่สามารถเป็นคนดีและไม่เป็นผู้ที่จะไปสร้างความดีต่อ
เท่ากับว่าเราให้สิ่งร้ายแก่เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากให้แล้ว เรายังต้องรู้จักระวังตัวตนเองด้วย
เพราะบ่อยครั้งตัวเราเองอยู่ในโลกนี้ แม้เราไม่ได้คบค้าสมาคมกับใคร แต่ในการดำเนินชีวิตของเรา เคยถามตนเองไหมว่า
บางครั้งเผลอทำร้ายใคร บางครั้งเผลอเบียดเบียนจิตใจใครไปบ้างหรือเปล่า การสำนึกรู้เป็นคุณอันยิ่งใหญ่ ทำไมเราจึงบอกว่าเป็นคุณประโยชน์ เพราะว่าความผิด ถึงแม้จะยิ่งใหญ่มหาศาล
แต่ลดทอนลงและยับยั้งลงได้ด้วยการรู้สำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนๆ นั้นรู้สำนึก แม้จะทำผิดยิ่งใหญ่
ต่อไปความผิดยิ่งใหญ่ก็อาจจะไม่เกิดจากเขาได้
เพราะการที่เขารู้จักสำนึก ละอายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) โลกนี้นอกจากจะขาดคุณธรรมไม่ได้แล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ด้วยก็คือความละอายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเรารู้จักให้เขาเป็นแล้ว
ทำดีกับเขาเป็นแล้ว เราต้องไม่ลืมถามตัวเองว่าตนเองได้แก้ไข ได้ขัดเกลา
และรู้จักตรวจสอบตนเองหรือเปล่าว่ามีสิ่งผิดหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้แล้วก็ต้องลงมือแก้ไขอย่างจริงจังไม่ใช่ผัดวันประกันพรุ่ง
เพราะถ้าบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยทำจะมีวันพรุ่งนี้ไหม (ไม่มี) เพราะเราไม่รู้อายุของเรา
หรือถ้าพูดตามธรรมดาของโลกก็คือพรุ่งนี้ก็คือวันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแก้ได้วันนี้รีบแก้ แล้วพรุ่งนี้ หรือวันนี้ของพรุ่งนี้จะเกิดขึ้น
เราก็ไม่เสียใจเลย
มนุษย์เรานั้นหากมีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว แสดงว่าคนๆ
นั้นยังขาดซึ่งคุณธรรม
หากมีชีวิตอยู่อย่างลังเลสงสัย ก็แปลว่าขาดปัญญา
และหากมีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัวอันตราย ก็เพราะว่าขาดความกล้าหาญ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราไม่อยากหวาดกลัว
เราไม่อยากเป็นคนขี้ลังเลสงสัย เราไม่อยากเป็นคนวิตกกังวล จะต้องมีทั้งคุณธรรม ปัญญา และความกล้าหาญ ต้องพยายามทำให้ได้
แล้วเรานั้นก็จะเป็นพุทธะได้
ยุคนี้เป็นการปรกโปรดครั้งยิ่งใหญ่
ทุกคนสามารถที่จะเดินกลับสู่เบื้องบนได้
ตอนนี้มีแนวทางแล้ว ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบำเพ็ญไหม หากบำเพ็ญแล้วเดินได้ตรงทาง
เราก็สามารถกลับไปสู่ทางแห่งการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่สำคัญอยู่อย่างเดียว ก็คือเรามีแนวทาง
เรามีความมุ่งมั่นไหม
เมื่อมุ่งมั่นแล้วเรารักษาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายหรือเปล่า
ไม่ใช่วันนี้รักษาได้ พรุ่งนี้เปลี่ยนแปลงไป
อย่างนี้ก็น่าเศร้าเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) และเมื่อรักษาเสมอต้นเสมอปลาย
แล้วเจอความลำบากเราอดทนได้ไหม ฟันฝ่าได้หรือเปล่า (ได้) แล้วทำไมคนดีจึงมักเจอความทุกข์ยาก เรามักเคยถามตนเองใช่หรือไม่ว่า ทำความดีแล้วทำไมฉันจึงเจอความยากลำบาก
คนดีทำดีแล้วต้องพบความดีหรือ พบความยากลำบากไม่ได้เลยหรือ ส่วนมากเรามักจะถามว่าทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไร
(เพราะความดีทำยาก)
ความดีทำยากจึงไม่ยอมทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เพราะความดีเห็นผลช้า, เรายังตัดกิเลสไม่ได้)
บางครั้งความลำบากช่วยทดสอบความเป็นคนดีและความมุ่งมั่นของเรา
(เพราะทำความดียังไม่พอ, เพราะทำความดียังหวังผล, เพราะมีจิตใจไม่สู้ ท้อถอย,
ยังไม่ถึงจังหวะ, ขาดความมั่นใจในการที่จะทำความดี, เพราะอุปสรรคช่วยวัดความดี,
เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักทดสอบ) คนดีที่แท้จริงและผู้ที่จะเป็นคนนำความดีให้กับโลกนั้น บางครั้งต้องเจอการทดสอบ
เพราะต้องการรู้ความมุ่งมั่นตั้งใจของเขา ว่าตั้งใจจริงหรือเปล่า
ไม่ใช่ตั้งใจแค่เพียงลมปาก ไม่ได้ตั้งใจแค่เพียงหนึ่งวัน เราจะเป็นคนเก่งจริง เราต้องสอบผ่านได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขอยินดีด้วยกับผู้ที่เปลี่ยนใจจากประชุมธรรมหนึ่งวันมาเป็นสามวัน
(ถ้าเราอยากฉุดช่วยคน แต่เขาไม่ยอมมา)
ถ้าเราอยากฉุดช่วย แต่เขาไม่เห็นพ้องกับเรา ยังไม่ทำตามเรา วันนี้ยังไม่มา แต่น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน
ค่อยๆ ช้าๆ มักจะได้ผล
ผลไม้เวลาสุกงอมยังสุกไม่พร้อมกัน ใช่หรือไม่ นับประสาอะไรกับคนๆ หนึ่ง
เขาจะรู้และเข้าใจธรรมพร้อมกันได้อย่างไร
บ่อยครั้งที่เราทำความดี
แต่ไม่เห็นได้ดีอย่างที่เราทำ
ก็ต้องถามก่อนว่า เราทำดี ลงแรงเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า หากยังไม่ได้ผล เรารอได้หรือไม่
การตกผลในการทำความดีต้องใช้เวลาเหมือนผลไม้
กว่าแตงโมจะสุกต้องใช้เวลาบ่มเพาะ
หากเราใจเร็วจะเอาก่อน ผลที่ได้ย่อมไม่สุกสมบูรณ์ ฉะนั้นการทำดีอย่าเพิ่งใจร้อน อย่าเพิ่งใจเร็ว
ดีหรือไม่ เวลาเราทำความดี
ใจเรามักลำเอียงอยากให้ตกผลไวๆ
แต่เวลาทำชั่ว ไม่อยากให้ตกผลเลยใช่หรือเปล่า แต่คนเรามักจะหนีไม่พ้น ใครทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ถ้าเรากลัวผลทำไมเราไม่ขจัดตั้งแต่ต้น เราไม่อยากได้รับผลร้าย
ไม่อยากให้คนอื่นทำร้ายเรา ฉะนั้นหากเหตุที่สร้างไปดี ผลกลับมา
บทเพลงธรรมไม่ได้ให้เพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจโดยไม่เข้าถึงแก่นแท้
เพราะในบทเพลงก็มีธรรมะแฝงอยู่
การกลับคืนสู่บ้านบางครั้งก็มีหลายวิธี บางคนเดิน บางคนวิ่ง
การกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะก็มีหลายวิธีเหมือนกัน บางครั้งบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน
บางครั้งฉุดช่วยคน
บางครั้งอ่านหนังสือท่องมนต์ก็เข้าใจความเป็นพุทธะได้ อย่าคิดว่าบทเพลงทำให้ใจเราหลงระเริง
หากท่านเคยฟังเพลงธรรมกับเพลงทางโลก
ถ้าท่านมีจิตใจที่เที่ยง ท่านจะฟังแล้วเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน บทเพลงธรรมฟังแล้วรู้สึกสงบ
ให้ความเข้าใจและรู้ถึงการดำเนินชีวิต แต่บทเพลงทางโลก ฟังแล้วเป็นอย่างไร
(เคลิบเคลิ้ม)
ถ้าหากบทเพลงนั้นถูกกับใจก็เศร้าไปตามเพลง ถ้าบทเพลงนั้นถูกกับจังหวะถูกกับอารมณ์ก็ดิ้นไม่หยุดเลย
ใช่หรือเปล่า
วันนี้เรานั่งสบายแต่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ยืนข้างๆ
ต้องเหนื่อยยากเพื่อเรา แม้เราจะไม่มีคำขอบคุณให้เขา แต่มีรอยยิ้มสักหน่อยก็ยังดี
ผู้ปฏิบัติงานธรรมหลายคนในวันนี้ยอมอุทิศเสียสละเวลาเพื่อช่วยให้ท่านได้นั่งฟังสบาย
คนเราเวลาใครมีบุญคุณต่อเรา เราก็รู้จักตอบแทนบ้างไม่มากก็น้อย การตอบแทนที่ดีก็คือเมื่อเรามีโอกาสก็มาช่วยเขาบ้าง
พ่อแม่ชอบการตอบแทนเพียงแค่คำขอบคุณหรือ ก็ไม่ใช่
ท่านจะหวังอะไรจากลูก ท่านก็หวังเพียงให้ลูกได้เป็นคนดี ใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
ร้องเพลงแล้วรู้สึกสงบบ้างไหม (สงบ) เคยได้ยินคำว่า “สงบท่ามกลางความวุ่นวาย”
ไหม ทำได้หรือเปล่า ถ้าข้างนอกสงบแล้วจะหาความสงบข้างในเจอไหม บางครั้งก็หายาก
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการฝึกหาความสงบ
ท่ามกลางความวุ่นวาย ถ้าท่านสงบได้จะหาได้ง่ายยิ่งกว่าข้างนอกสงบ แล้วข้างในก็สงบ
ใช่หรือไม่ (ใช่) มักจะทำได้ยาก มักจะคิดว่าข้างนอกสงบ แล้วข้างในจึงสงบ
บ่อยครั้งพุทธจิตหรือความเป็นพุทธะของเราถูกภายนอกมาทำร้าย จนแปดเปื้อน
เพราะว่าข้างนอกวุ่นวาย ใจเราก็วุ่นวายตามไปด้วย
หากข้างนอกวุ่นวายแต่ใจเราสงบได้จึงนับว่าเป็นยอดคน ใช่หรือไม่ (ใช่) การมาพบเจอกันก็คือ
การเริ่มต้นจากการพรากจากกัน วันนี้เราดีใจที่มีโอกาสมาพบทุกท่าน
เราจะไปเราก็คงไม่เสียดายอะไรแล้ว
“บำเพ็ญธรรมสามกาลอย่าชะล่าใจ” สามกาลในที่นี้ก็คืออดีต ปัจจุบัน อนาคต แม้อดีตเราเคยไม่ดีอย่างไร
แต่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าต่อไปเราจะกลับเป็นคนใหม่ได้ เราจะเป็นคนดีได้
และเราจะก้าวหน้าได้ด้วยปณิธานและจิตใจที่ใฝ่ความก้าวหน้าและไม่ลืมที่มาของตน
โดยมีแนวทางที่ถูกต้องและดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นนับจากวันนี้แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
แต่ต่อไปหลังจากออกไปจากที่นี่ ขออย่างเดียวคืออย่าลืมความเป็นคนอันดีงามของตนเอง
อย่าปล่อยให้เวลาหรือโลกภายนอกมาทำให้ท่านต้องแปดเปื้อน เลวร้าย
หรือย่ำแย่ไปกว่านี้เลย
วันนี้เราอยากจะบอกว่าทุกท่านล้วนเป็นพุทธะได้
เป็นคนดีได้ และทุกท่านสามารถจะกลับคืนได้ ขึ้นอยู่ที่ว่าท่านจะทำหรือไม่ทำ
แม้เกิดมาชาตินี้ทำไม่สำเร็จ แต่ต่อไปการทำดีย่อมส่งผลให้ท่านกลับมาบำเพ็ญต่อได้
หรือไปฝึกฝนต่อยังเบื้องบนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้เวลาจะเปลี่ยนไปแต่ขอเพียงใจทุกๆ คนอย่าเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
มั่นคงจะเป็นคนดีอย่างไร ก็ขอให้มุ่งมั่นต่อไป ดีหรือไม่ (ดี) อย่าย่อท้อในการกระทำความดี
อย่าได้ย่อท้อในการฝึกฝนเป็นคนที่ประเสริฐ มีโอกาสบำเพ็ญขอให้ทำให้เต็มที่แล้วเราจะไม่เสียชาติเกิดเลย
แล้วเราจะไม่เสียดายเลยที่เราเกิดมาเป็นคน
วันนี้บางคนอาจจะเห็นว่ามาฟังเราพูดไม่เห็นมีประโยชน์
ไม่เห็นมีสาระเลย แต่ถ้าคนนั้นทำได้ ปฏิบัติได้ก็ไปเจอเราที่เบื้องบน ใช่หรือไม่
(ใช่) แม้ตอนนี้ท่านจะไม่เชื่อการยืมร่าง
แต่จะพิสูจน์ได้ก็ต่อเมื่อท่านกลับคืนไปเบื้องบน
ท่านปฏิบัติแล้วค้นพบความเป็นพุทธะแห่งตน ขออย่าได้คิดว่าเรามาหลอกลวงท่านเลย
คนที่คิดว่าเรามาหลอกนั้น เราก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรแล้ว
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาพูดกับผู้ร่วมฟังที่นั่งอยู่ด้านนอก)
นักเรียนที่มานั่งเป็นผู้ร่วมฟังเราไม่มีโอกาสได้เดินไปพบท่าน
คงไม่ถือโทษโกรธเรานะ เพราะเวลามีจำกัด แม้ตนเองจะไม่ได้
แต่ให้คนอื่นได้ดีนี่แหละผู้บำเพ็ญธรรม เราคงต้องจากกัน ขอให้รักษาโอกาสให้ดี
วันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อันลาภยศชื่อเสียงสิ่งจอมปลอม เฝ้าห้อมล้อมศิษย์รักจนเดินไม่ถูก
สร้างปวงกรรมนับวันดั่งปมผูก มิเคยฉุกใจคิดหาทางพ้น
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังหรือเปล่า
สายลมแผ่วใจดั่งแก้วอันแพรวพราว ใจเหน็บหนาวมิอาจเกิดในใจศิษย์
การบำเพ็ญใช้เวลาทั้งชีวิต เพียงศิษย์คิดย้อนดูตนได้แก้วใจ
ในยุคสามการบำเพ็ญในครัวเรือน อย่าบิดเบือนด้วยใจอันน่าสงสัย
เมื่อกิเลสเข้าใกล้ตนต้องเตรียมใจ ดั่งฟ้าใสกลายครึ้มมัวต้องเตรียมการก่อน
จงพร้อมเดินได้แล้วนะศิษย์รัก เร่งตระหนักระวังที่สุดความเหนื่อยอ่อน
ในยามผิดชอบแก้ตัวเป็นจุดอ่อน จึงหวังวอนศิษย์แก้ไขเป็นสำคัญ
ฮา ฮา หยุด
ประตูแดนฟ้าเปิดรอคอยคนเดิม
จิตที่อยากส่งเสริมเมตตาภายในใจ
หากถ้าใครท้อ ปลอบขวัญกันไป
พร้อมไปด้วยกัน
จิตใจกลมเกลียวห่วงใยไปถึง ความเต็มใจไม่เดียดฉันท์ รับการฝึกพุทธานานวัน หมั่นเพียรไม่เปลี่ยนใจ
เจ้าอยู่แห่งไหน ไม่เดียวดายลำพัง ศิษย์คือความหวังแห่งมวลเวไนย ก้าวคืนแดนสรวง ศิษย์รักทำได้ เพราะยอมลงมือ
ชื่อเพลง :
ศิษย์รักทำได้
ทำนองเพลง :
คิดถึง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้นั่งฟังธรรมะเป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว (วันที่สาม) วันที่สามนี้จิตใจของเราดีขึ้นหรือว่าแย่ลง
(ดีขึ้น) ดีขึ้นมากหรือไม่มาก (มาก) จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถที่จะมองเห็นได้
ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงจิตใจของเราเองหรือเปล่า
ในวันนี้จิตใจของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ย่อมเป็นผลดีต่อตัวเรามิใช่ผู้อื่น แล้วอยากจะเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราหรือเปล่า (อยาก) เปลี่ยนแปลงกี่วัน
(ตลอดไป) จิตใจของเรานั้นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงตลอดไป หากว่าเปลี่ยนสามวันห้าวันนั้นไม่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่
(ใช่)
เมื่อสักครู่ฟังหัวข้อพระมหากรุณาธิคุณแล้ว
รู้สึกว่าเราติดหนี้บุญคุณคนเยอะไหม (เยอะ) การที่เราติดหนี้บุญคุณคนแล้ว
ต้องตอบแทนบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะตอบแทนบุคคลเหล่านั้นด้วยอะไรบ้าง
(เป็นคนดี, ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีขึ้น,
เผยแพร่ธรรมให้ดีขึ้น, ศึกษาธรรมะ) แต่ละคนก็มีคำตอบของตนเอง
ในชีวิตนี้เราติดหนี้บุญคุณคนมากมาย
ไม่ใช่แค่คนที่เราฟังในหัวข้อนี้เท่านั้น
แต่ยังมีบุคคลอีกมากมายดังเช่นพ่อแม่นั้นเราก็ติดหนี้บุญคุณท่าน ถ้าหากไม่มีท่านก็ไม่มีเรา
แล้วเราจะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไรบ้าง
การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่นั้น
เราต้องดูเจตนาของพ่อแม่ด้วยว่า พ่อแม่นั้นมุ่งหวังให้เราเป็นอย่างไร
จึงเป็นไปตามนั้น เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) โดยพื้นฐานแล้ว
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากก็คือการเป็นคนดี แล้วทุกๆ วันนี้เราดีหรือยัง (ยัง) ใครคิดว่าตัวเองดีแล้วยกมือขึ้น
ใครที่อายุมากกว่า ๕๐ ปียกมือขึ้น อาจารย์จะบอกให้ คนที่อายุ ๕๐ ไปแล้ว
เราออกจากท้องแม่มา ๕๐ ปีแล้ว
ต้องทำตามเจตนารมณ์ของพ่อแม่ได้อย่างครบถ้วนแล้ว
ไม่ใช่บอกว่าเรายังไม่มั่นใจว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเรานั้นเกิดมา
๕๐ ปีแล้ว จึงจำเป็นต้องทำตามเจตนารมณ์ของพ่อแม่ ได้อย่างครบถ้วนแล้ว
จึงจะสามารถสั่งสอนลูกหลานของเราเองให้ดีได้ หากเรานั้นยังทำตามพ่อแม่ของเราไม่ได้
พอมาถึงรุ่นเราก็ยังดีไม่ได้ แล้วคนรุ่นต่อไปจากเรา เขาก็บอกว่าเขาก็ทำไม่ได้
ในที่สุดแล้วนับวันๆ เหลือคนดีอยู่เท่าไหร่ในโลก (น้อยมาก)
เมื่อเรานั้นออกจากท้องแม่มา
พอเหยียบแผ่นดินก็เป็นหนี้แผ่นดินแล้ว การเป็นหนี้แผ่นดินนั้นต้องตอบแทนอย่างไร (ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดิน) เมื่อเรานั้นเหยียบแผ่นดินก็เป็นหนี้แผ่นดิน
เมื่อเรานั้นมีแผ่นดินที่สงบร่มเย็นก็เป็นหนี้ใคร (พระมหากษัตริย์) เป็นหนี้พระมหากษัตริย์
เป็นหนี้ทหาร
เป็นหนี้ข้าราชการทั่วแผ่นดิน
การตอบแทนนั้นก็คือต้องจงรักภักดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วมีจิตใจที่ดีงาม เราก็เป็นหนี้ศาสนาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่มีศาสนาก็ไม่มีเราซึ่งรู้จักทำความดี
เพราะฉะนั้นศาสนาเป็นสิ่งสำคัญไหม (สำคัญ) สมควรทำตามคำสั่งสอนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากเราไม่ทำตามแล้วใครจะทำตาม
(ไม่มี) ฉะนั้นอย่าได้แต่บอกให้คนอื่นทำ ทุกๆ อย่างก็ต้องใครทำ (ตัวเอง) ถ้าเราไม่ตั้งใจถามว่าจะได้ผลไหม
(ไม่ได้ผล) ถึงได้ผลก็เป็นผลที่ไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามีความรู้ความสามารถ เราก็เป็นหนี้ครูบาอาจารย์
เมื่อรู้แล้วว่าเราจะต้องตอบแทนบุญคุณของครูบาอาจารย์ก็ต้องดูเจตนารมณ์ของครูบาอาจารย์นั้นด้วยว่าต้องการให้เราเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ
และที่สำคัญคือเราสามารถนำความสามารถนี้ไปใช้ได้
ครูบาอาจารย์สอนเราตั้งแต่เล็กจนโต ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ
อย่างที่ท่านสอนไปเราจำได้ไหม
เมื่อวานนี้ที่อาจารย์บรรยายธรรมบรรยายไปเราจำได้ไหม
แม้จำได้ก็จำได้ไม่ครบใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆ ครั้งฟังหัวข้อ ฟังใครสอน
ไม่ว่าใครมาสอนเราก็ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านสอนเราต้องจำใส่ใจ จำให้ได้ ต้องจำโดยประมาณคร่าวๆ ได้
โดยการสรุปไว้ในใจว่าท่านสอนอะไรใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนนั้นมักจะสรุปไว้ในใจแต่ยึดติดเป็นอัตตา
เรามักจะยึดติดเป็นอัตตาตัวตนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรารู้ สิ่งนี้เป็นของๆ เรา
และสิ่งนี้เป็นความคิดของเราโดยที่เรานั้นปล่อยวางไม่ได้
การมานั่งฟังสามวันนี้อาจจะแปลกใหม่สำหรับเรา
แต่ทว่าเราจะต้องเปิดใจให้กว้างๆ ถ้าเราไม่เปิดใจให้กว้างๆ สิ่งที่คนอื่นพูดไป
เราก็ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง คนที่เปิดใจฟังรู้เรื่องกว่าเราซึ่งไม่เปิดใจเขาจะฟังไหม
(มากกว่า) ประตูบ้านเปิดแคบๆ กับเปิดกว้างๆ ประตูไหนเข้าไปง่ายกว่ากัน (กว้างๆ) แล้วถ้าบ้านของเราเปิดประตูแคบทิ้งไว้
คนจะเข้ามาได้ง่ายไหม (ยาก) เช่นเดียวกัน ความคิดของเรา
เมื่อเราเปิดกว้าง เราก็ยอมรับสิ่งใหม่เข้ามาได้
เมื่อรับเข้ามาแล้วก็ต้องพิจารณา
แต่ทุกวันนี้การพิจารณาของเรานั้น มักจะเลือกพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เราชอบใจ
เรื่องไหนที่ไม่ชอบใจก็ไม่อยากจะฟัง ไม่ฟังให้เสร็จก็ไม่ได้พิจารณา
ไม่พิจารณาให้เสร็จก็เลยไม่รู้
เพราะฉะนั้นในยามนี้ใจของเรานั้นจะต้องเปิดกว้าง
วันนี้นั่งฟังเป็นวันที่สามแล้ว ไม่ใช่วันแรก
เพราะฉะนั้นความรู้ความสามารถ สิ่งที่ฟังไปนั้นจำเป็นจะต้องมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งสำคัญของการฟังก็คือการทำได้
ถ้าหากว่าฟังแล้วทำไม่ได้ก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยฟัง วันนี้เรารับธรรมะทุกคนแล้ว
รับธรรมะบอกว่าไปนิพพาน ถ้าเกิดว่ารับธรรมะเสร็จแล้ว เขาบอกว่าต้องปฏิบัตินะ
ต้องบำเพ็ญ เมื่อสักครู่บอกว่าฟังแล้วต้องทำได้ ตอนนี้รับธรรมะแล้วก็ต้องปฏิบัติให้ได้
ถ้าปฏิบัติได้นิพพานถึงไหม (ถึง)
ชีวิตนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว เราต้องเป็นคนที่สมบูรณ์
ไม่ใช่เป็นคนเว้าๆ แหว่งๆ เป็นคนที่ไม่มีความดีพร้อม ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ ไม่กล้าตอบ ไม่รู้ว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า แล้วจะให้ใครรู้ สามวันนี้มีคนพูดเรื่องบำเพ็ญธรรมหลายครั้ง
ศิษย์ของอาจารย์คนไหนตั้งใจว่าจะบำเพ็ญธรรมหลังจากสามวันนี้ไป
ถ้าไม่มั่นใจว่าตลอดชีวิตนี้เราสามารถบำเพ็ญธรรมได้ยังไม่ต้องยกมือ
(มีนักเรียนในชั้นบางท่านยกมือ)
ยินดีกับศิษย์ด้วย แล้วใครที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะบำเพ็ญธรรมดีหรือไม่บำเพ็ญธรรมดี ส่วนคนที่ยังไม่มีความเชื่อมั่น
ไม่เชื่อว่าธรรมะนี้แท้
ถามว่าชีวิตทั้งชีวิตของศิษย์ นอกเหนือจากการบำเพ็ญธรรมแล้ว
คนที่ไม่เชื่อมั่นลองตอบดูว่าจุดมุ่งหมายคือเอาชีวิตไปทำอะไร (ทำประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น)
การทำประโยชน์สูงสุดให้กับตนเอง
คือพาตนให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ศิษย์ลองพิจารณาดูว่าพระพุทธะอริยะสมัยก่อน
ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์กวนอิน หรือเป็นพระอริยะอีกหลายพระองค์
จำเป็นจะต้องมีร่างกายมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเป็นนก เป็นปลา
แล้วบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถึงจะเป็นสัตว์ก็ต้องบำเพ็ญให้ได้ร่างกายเป็นมนุษย์เสียก่อน
จึงจะสามารถเป็นคนและสำเร็จเป็นพระพุทธะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
จุดมุ่งหมายยิ่งใหญ่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตนเองหรือสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นเท่านั้นหรือ
(ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นการสร้างประโยชน์สูงสุดสำหรับการเป็นคนก็คือการได้สำเร็จเป็นพระพุทธะ
จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อรักชีวิตตนเองจึงต้องพาตนเองให้หลุดพ้นให้ได้ เมื่อเราสามารถที่จะหลุดพ้นได้
สามารถที่จะมีความสุขความสบายโดยอิสระ จึงพาให้ผู้อื่นอิสระด้วย
ความอิสระคืออะไรบ้าง ไม่มีคนมาคอยตามก็บอกว่าเราอิสระหรือ
ไม่มีคนมาคอยกวนใจก็บอกเราอิสระหรือ
นั่นเป็นความอิสระหรือไม่ (ไม่ใช่) ความอิสระที่แท้จริงคือจิตใจของเราไม่มีกิเลสตัณหา
สิ่งที่ก่อกวนใจเรามากที่สุดโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลยก็คือกิเลส เพราะไม่ว่าเราจะหลับตานอนก็ยังคิดใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าเราไม่สามารถตัดสิ่งนี้ได้ก็จะไม่มีความเป็นอิสระ
ชีวิตนี้อยากสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้กับตนเองหรือไม่ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี)
ศิษย์คนอื่นต้องการใช้ชีวิตไปทางใดอีก (ปฏิบัติธรรม, บำเพ็ญธรรมะ, ทำงานในสิ่งที่ดี) เคยเห็นคนตกงานไหม
แล้วงานที่ดีเป็นอย่างไร ที่อาจารย์พูดตรงนี้ก็คือขอให้ศิษย์ทำชีวิตนี้ให้มีคุณค่า
แต่ทุกๆ วันนี้เราสร้างอะไรให้กับชีวิต (พระอาจารย์เมตตาให้เขียนคำว่า “คุณ” และ “ค่า”)
คุณก็คือประโยชน์
ค่าก็คือราคา แล้วทุกๆ วันนี้
สิ่งที่เราสร้างขึ้นมา ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ลาภยศเงินทองทั้งหลายนั้น
มีครบทั้งคุณและค่าหรือเปล่า (ไม่ครบ) สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาทุกวันนี้มีคุณแก่ตัวเรา แต่ไม่ได้สร้างให้มีค่า ฉะนั้นเราสร้างสิ่งๆ
หนึ่งขึ้นมาต้องครบทั้งคุณและค่า สองอย่างนี้มีขึ้นที่ใดบ้าง
(ตัวเราเอง, จิตใจของเรา) ถ้าบอกว่าอยู่แต่ในใจ
กลับไปก็คงไม่ต้องสร้างบ้านหลังใหญ่ๆ และขับรถคันสวยๆ เสื้อผ้าตัวงามๆ
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อยากรวยไหม (เอา, ไม่เอา, เอาปานกลาง) อะไรคือปานกลางของความรวย ถ้าเรามีหนึ่งร้อย แล้วเห็นคนอื่นมีหนึ่งพัน เราบอกว่าเขารวยกว่าเรา
แล้วเราก็บอกว่าเราต้องรวยกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามีหนึ่งพัน
คนอื่นมีสองพัน เราก็บอกว่าเขารวยกว่าเรา
เราก็ต้องรวยกว่านี้
แล้วที่เราบอกว่ารวยอยู่นี่ รวยไหม (ไม่รวย) ถ้าเรามีหนึ่งแสน
เขามีหนึ่งล้าน เราบอกว่าเรารวยไหม (ไม่รวย) แล้วเมื่อไหร่รวย
ความรวยคือความรู้จักพอ มีเท่าที่เราควรจะมี เช่นวันนี้มีเงินพอที่จะกินอยู่
ดังนี้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่าไม่มีคำว่า “พอ” ในคำว่า “รวย”
กินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน (กินเพื่ออยู่) ทุกวันนี้เวลาออกไปข้างนอก
กินอาหารก็ต้องเป็นอาหารที่ดี อร่อยๆ และก็ต้องเข้าร้านแพงๆ ด้วย ฉะนั้นจึงบอกว่าคนมีคุณค่าอยู่ที่ไหน
รู้จักคุณค่าไหม ไม่ว่าสิ่งใดที่สร้างขึ้นมาต้องมีครบทั้งสองอย่าง ก็คือคุณและค่า
มีคุณแต่ไม่มีค่าถือว่าเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) ส่วนสิ่งที่มีค่าแต่ไม่มีคุณนั้นไม่มี
เพราะว่าสิ่งที่มีค่าส่วนใหญ่ก็จะมีคุณด้วย แต่ค่านี้ไม่สามารถนับเป็นเงินได้ ส่วนสิ่งที่มีคุณไม่แน่ว่าจะมีค่า อย่างเช่น เราหาเงินทองมาได้สักหนึ่งพัน
หรือหนึ่งแสน แต่หามาด้วยวิธีการทุจริต
สิ่งนี้มีคุณมีประโยชน์แต่ไม่มีค่า
เพราะว่าเราได้เงินมาเราก็นอนไม่หลับ เวลาตื่นก็ไม่สบายใจ
เพราะฉะนั้นการสร้างชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่แค่คุณหรือค่าอย่างเดียว
เวลาที่ผลไม้รอการตกผลต้องใช้เวลาไหม (ใช้) เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์ตั้งใจบำเพ็ญต้องใช้เวลาไหม
(ใช้) เวลาของการบำเพ็ญขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะสั้นหรือยาว บางคนสั่งสมบุญกุศลมากแล้ว
ตอนนี้ใช้เวลาบำเพ็ญก็เหลืออีกสั้นๆ
การบำเพ็ญส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ความราบรื่น
แต่คนที่ไม่สั่งสมบุญกุศลตลอด ที่ผ่านมา
เวลามีคนถามเราว่าว่างไหม
ถ้าเราถูกใจเราก็บอกว่าว่าง
ถ้าเราไม่ถูกใจเราก็บอกว่าไม่ว่าง
แล้วถามว่าการบำเพ็ญธรรมถูกใจเราไหม
วันนี้บอกว่าเราถูกใจ วันหน้าถูกใจหรือเปล่าต้องคิดดูอีกที ฉะนั้นอย่าได้นำพาการถูกใจหรือไม่ถูกใจของเรามาก
ควรจะนำพาการรู้จักสละเวลาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
อันว่าผลไม้กว่าจะออกนั้นต้องอาศัยเวลา
การบำเพ็ญนั้นก็ต้องอาศัยเวลาเช่นเดียวกัน อาศัยเวลานี้ทุกๆ เวลาที่ผ่านไป
หนึ่งนาที สองนาที หนึ่งชั่วโมง
สองชั่วโมง หนึ่งวัน สองวัน
ทำให้เกิดผลขึ้นมา ต้นไม้กว่าจะงอกเป็นต้นก็ต้องพรวนดินรดน้ำไปเรื่อย
ๆ หากว่าตลอดเวลาที่ศิษย์รอผลอันนี้โดยไม่พรวนดินรดน้ำเลย ไม่ใส่ปุ๋ยไม่ดูแลเลย
สุดท้ายมีผลออกไหม (ไม่มี) ต่อให้ใช้เวลาเท่ากับผู้อื่นแต่ก็ไม่สามารถจะได้ในสิ่งเดียวกัน
ใช่หรือไม่ (ใช่)
รู้จักคำว่า “มรรคผล” ไหม
เวลาที่เรานั้นสร้างบุญกุศลไปมากเท่าไร เบื้องบนนิพพานก็จะมีมรรคผล
มรรคผลนั้นมากมายเท่าไรก็อยู่ที่เรา
ถ้าหากจิตเราเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ออกลูกมาก็เป็นมรรคผลที่ดี
แล้วก็มีความใหญ่พอ แต่หากว่าจิตเรานั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี
หรือดีครึ่งหนี่งไม่ดีครึ่งหนึ่ง ในผลเดียวกันก็มีทั้งรสเปรี้ยวและรสหวาน
เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมสั่งสมมรรคผลเป็นของเราเองนั้น
เป็นเรื่องเฉพาะตัว เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา
อันว่ามรรคผลนี้สร้างขึ้นมาก็เพื่อเป็นสิ่งที่เรานั้นได้รับเอง เช่น
ฐานบัวที่พุทธะสิ่งศักด์สิทธิ์นั่งนี้เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับมรรคผล
ศิษย์รู้สึกยินดีที่ได้พบอาจารย์
ผู้ปฏิบัติงานธรรมและอาจารย์ก็ยินดีที่ได้พบศิษย์ที่มาเป็นนักเรียนทุกคน
ศิษย์ก็ต้องยินดีที่ได้พบพวกเขาด้วยใช่หรือไม่
ฉะนั้นเราต้องมีการส่งยิ้มให้กันด้วย
จะหน้าบูด ๆ บึ้ง ๆ ได้ไหม (ไม่ได้) วันนี้คนข้างหน้าก็ต้องรู้จักคนข้างหลัง
คนข้างหลังก็ต้องรู้จักคนข้างหน้า จะรู้จักคนข้างๆ อย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ต้องรู้จักกันหมดใช่หรือไม่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ
อยู่บ้านติดกันก็ไม่รู้จักกันใช่หรือเปล่า
เพราะฉะนั้นวันนี้เราไม่ทำตัวเป็นคนกรุงเทพฯ ดีไหม เราจะเปิดใจให้กว้าง ไม่ว่าจะมองใครก็ตาม
ถ้าเรามองคนอื่นไม่ดีแสดงว่าใจเราก็ไม่ดี ตา หู ปาก ของเราก็ไม่ เพราะฉะนั้นการที่เราจะมองคนอื่นเป็นคนดีได้
เราจะต้องมองคนอื่นดีก่อน
ถ้าเราไม่มีประโยชน์ให้เขาหา เขาจะมาหาอะไรกับเราใช่หรือไม่ ถ้าเรามีประโยชน์ให้เขาหา แสดงว่าเรารู้จักสร้างแต่คุณ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงต้อนรับ)
วันนี้อยู่ด้วยกันก็เหมือนพี่เหมือนน้องกันใช่หรือไม่ (ใช่) พี่บางคนอาจจะอายุมากไปนิดหนึ่ง
น้องอาจจะอายุอ่อนไปนิดหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นพี่น้องกันดีหรือไม่ (ดี) เวลาเขาว่าเรารู้สึกเป็นอย่างไร ให้ลุกขึ้นยืนตอบดีไหม
ตอบผิดตอบถูกไม่เป็นไร เอาคนที่ได้ที่หนึ่งคนเดียวดีไหม การเป็นพุทธะนั้นก็เหมือนกัน
คนที่บำเพ็ญได้ดีหรือไม่ดี ดีที่สุดก็มีคนเดียวใช่หรือไม่ ถ้าดีเท่าๆ
กันก็มีหลายคน ดีบ้างไม่ดีบ้างก็มาก ฉะนั้นเราจะต้องทำตัวเราให้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ
จากดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นดีเท่าๆ กัน แล้วก็เป็นดีที่สุด
แต่สิ่งนี้ไม่สามารถทดแทนกันได้ ความดีอันแท้จริงเกิดจากใจ
หากจิตใจไม่ดีถึงแม้จะทำในสิ่งที่ดีมากมาย
ก็ไม่สามารถจะเป็นพุทธะที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)
ในตอนนี้เราทุกคนมีความเหนื่อยอ่อน
ความเหนื่อยอ่อนของเราอาจจะไม่ได้เกิดในตอนนี้
อาจเพิ่งผ่านไปหรืออาจจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า
ความเหนื่อยอ่อนนั้นเป็นจังหวะที่อ่อนแอที่สุด ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใด
จะใช้ชีวิตก็ดี จะบำเพ็ญธรรมก็ดี หรือว่าจะทำงานทำการก็ดี
ในตอนที่เรามีความเหนื่อยอ่อนนั้น ต้องเป็นตอนที่มีความระมัดระวังที่สุด สมมติว่าคนหนึ่งอยากจะกดไม้อันนี้ให้หัก
เขาก็ต้องเลือกตรงที่เปราะที่สุด
คนจะทุบบ้านก็ต้องทุบตรงที่เปราะที่สุด อ่อนที่สุด
เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ลองสำรวจตนเองสิว่าเรานั้นมีความเหนื่อยอ่อนไหม
ชีวิตนี้มีความเหนื่อยอ่อนไม่มากก็น้อย แต่ว่าตอนที่เราเหนื่อยอ่อนนั้นต้องระวัง
ถ้าหากไม่ระวังแล้วก็ย่อมได้รับความพ่ายแพ้ กลัวความพ่ายแพ้ไหม
อาจารย์บอกว่าไม่ต้องกลัว ไม่มีใครสมหวังทั้งชีวิต ไม่มีใครชนะทั้งชีวิต
ต้องมีตอนที่แพ้บ้างใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วตอนที่เราแพ้เราควรที่จะทำอย่างไร
(สู้, ตั้งสติ, หาเหตุผล,
หาทางแก้ไข, ลุกขึ้นสู้, ไม่ย่อท้อ, กล้าเผชิญกับความจริง, อดทน, ยอมรับความจริง, ฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้า,
มีความเพียรพยายาม, ต้องพยายามให้มากขึ้น,
พักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อเริ่มต้นใหม่, ใช้เป็นบทเรียนในชีวิต) คนที่บอกว่าพักผ่อนแต่บางคนกายพักผ่อนแต่ใจไม่ได้พักใช่หรือไม่
(ใช่)
เวลาที่เราแพ้คนส่วนใหญ่มักคิดว่าต้องสู้
แต่ถ้าสู้แล้วแพ้อีกครั้งหนึ่ง เราจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะสู้
อย่างแรกต้องรู้จักยอมรับความจริงก่อน อย่างที่สองต้องหาเหตุผล อย่างที่สามคือสู้
แล้วถ้าแพ้อีกก็คือยังไม่ย่อท้อใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนที่เราจะยืนหยัดต่อสู้ได้นั้นน้อยคนที่ทำได้จริงๆ
คนส่วนใหญ่พ่ายแพ้ไปเสียก่อนจึงไม่สามารถยืนหยัดลุกขึ้นสู้ได้อีก
ในตอนนี้จึงอยากจะบอกศิษย์ว่าไม่ว่าจะเคยพ่ายแพ้ในสิ่งไหน
อย่าได้ท้อใจเพราะถ้ารู้จักแพ้จึงจะมีการชนะ ถ้าชนะมาทุกๆ
ครั้งก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองได้นั้นคือความสมหวังใช่หรือไม่ (ใช่) ก็ต่อเมื่อเราเคยแพ้จึงรู้ว่านี่คือชัยชนะ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าแพ้คราวนี้จะเป็นแพ้ที่หนักหรือเบา
ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องสู้ให้ได้ ถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ แล้วใครจะสู้ จริงหรือไม่ (จริง)
เวลาที่เราต้องการตอบ
เรามักไม่ค่อยกล้าที่จะตอบเพราะเรากลัวจะตอบผิดใช่หรือไม่ (ใช่) ในทำนองเดียวกันถ้าไม่เคยผิดจะถูกไหม
(ไม่ถูก) แต่ถ้าผิดแล้วผิดอีกได้หรือเปล่า (ได้) ไม่ได้นะ
สมมติว่าศิษย์เคยมองทับทิมผลนี้เป็นแอปเปิ้ล คนๆ นี้ฉลาดไหม (ไม่ฉลาด) คนๆ
นี้ไม่ฉลาดเลยใช่ไหม
สมมติว่าศิษย์เคยมองทับทิมเป็นแอปเปิ้ล ครั้งนี้เป็นการมองที่ผิด ครั้งต่อไปจะมองทับทิมเป็นแอปเปิ้ลอีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าเรารู้ว่าผิดแล้ว
จึงผิดซ้ำอีกไม่ได้แล้ว
ถ้าผิดครั้งแรกบอกว่าไม่เป็นไร เพราะไม่รู้
ครั้งที่สองผิดอีกเขาก็ไม่เชื่อว่าเราผิดด้วยความไม่จงใจ ครั้งต่อไปถ้าเราผิดอีก เขาก็บอกว่าเราตั้งใจ
ฉะนั้นความผิดในครั้งแรกเป็นความผิดที่ไม่มีความผิด แต่ครั้งที่สองมีความผิด ครั้งที่สามเป็นความผิดที่มีความผิดร้ายแรง อาจารย์ไม่หวังให้ศิษย์ทำอะไรผิด แต่ถ้าหากทำผิดขึ้นมาแล้ว ต้องรู้จักแก้ไข
และต้องทำให้ได้
ถ้าหากว่าเราผิดแล้วก็ผิดซ้ำอีก จะไม่มีคนอภัยเรา
จุดอ่อนของมนุษย์มีอยู่อย่างหนึ่งเวลาทำผิดคืออะไร (ผิดแล้วชอบแก้ตัว) เวลามนุษย์ทำผิด สิ่งที่มาก่อนเลยก็คือแก้ตัว แต่ไม่ยอมแก้ไข
เวลาทำความผิดมีสิ่งที่ยิ่งกว่านั้นคือการหาเหตุผล มนุษย์มักจะบอกว่าเรามีเหตุถึงได้ทำเช่นนี้ ไม่มีใครบอกว่าเราเผลอไผลไปทำผิด เวลาที่เราผิดเราบอกว่าเรามีเหตุผล
ไม่ใช่บอกว่าเราแก้ตัว
แล้วพอเราเอาเหตุผลขึ้นมาแย้งทุกคนก็ยอมเรา แต่ว่าความผิดนั้นอยู่ที่เรา แม้ว่าจะมีเหตุผลมากมายพันประการ
แต่ก็เป็นเหตุผลที่เข้าข้างตนเอง
จึงไม่มีประโยชน์อะไร
การใช้เหตุผลจึงต้องเป็นการใช้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้ตามอำเภอใจของเราเอง
มนุษย์ในสมัยนี้ติดความสบาย ทุกๆ
อย่างก็ต้องให้ตัวเองสบาย จึงไม่สามารถที่จะนำพาความลำบากได้ ความลำบากซ่อนอยู่ภายใต้ความสำเร็จ หลายๆ ครั้งศิษย์ของอาจารย์จึงไม่มีความสำเร็จ มีทางอยู่สองเส้น ทางกว้างๆ สบายหน่อย ทางแคบๆ ลำบากหน่อย เราจะเดินทางไหน (ทางกว้างๆ
) แต่สุดปลายของทางกว้างๆ
มีกับดัก สุดปลายของทางแคบมีทางออก
เราจะมองเพียงแค่ทางกว้างหรือแคบไม่ได้
เราต้องมองจากต้นทางให้เห็นถึงปลายทาง
จึงแสดงว่าเราเป็นคนที่มีทัศนวิสัยกว้างไกล คนที่มีทัศนวิสัยกว้างมักจะมีอยู่ในคนที่ไม่ทำอะไรเพื่อตนเอง ถ้าหากว่าศิษย์ยังทำอะไรเพื่อตนเอง
ก็เหมือนกับปิดตาข้างหนึ่งมอง มองไปก็พร่าๆ มัวๆ
ฉะนั้นวันนี้จึงอยากให้ศิษย์เปิดตาทั้งสองข้างมองให้ถึงปลายทาง และดูให้ชัดเจนว่าเราควรจะทำอย่างไร ความสำเร็จจะเกิดขึ้นตรงไหน แต่อย่าเชื่อในความคิดของตัวเองทั้งหมด
ขอให้เผื่อใจในคำชี้แนะของผู้อื่นด้วย
จากตรงนี้มองไปปลายทาง
ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่มีทัศนวิสัยกว้างไกล (ไม่ทำเพื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่) ถูกต้อง
ไม่ทำเพื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่แต่ทำเพื่อคนอื่นจึงจะมีทัศนวิสัยที่กว้างไกล
เหมือนกับเปิดตาทั้งสองข้างแล้วก็มองให้ถึงปลายทาง
แต่ว่าการไม่ทำเพื่อคนอื่นนั้นจะต้องมีแก่นสำคัญอีกอย่างหนึ่งเหมือนกับเคล็ดลับ
คืออะไร
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนท่านหนึ่ง)
เอามือกอดอกไว้ตลอดเวลาเมื่อไรจะปล่อยสักที (อีกระยะหนึ่ง)
อาจารย์ก็ขออีกระยะหนึ่งแล้วค่อยให้ผลไม้ดีไหม (ได้) แล้วถ้าหากผลไม้ลูกนี้เน่าไปก่อนจะทำอย่างไร
ผลไม้ลูกนี้เป็นของที่อยู่กับอาจารย์ก็จริงแต่ว่าจะเป็นของศิษย์ในวันหน้า
ถึงแม้จะอยู่ที่อาจารย์แต่มรรคผลของศิษย์ก็เน่าไปแล้วเหมือนกัน
ถ้าเน่าไปศิษย์ก็อด
เพราะฉะนั้นการขอเวลาก็ควรจะขอแต่พอเหมาะ
เวลาที่อาจารย์จะให้ของคน คนก็ต้องเต็มใจรับใช่ไหม
แล้วคนให้ก็ต้องเต็มใจให้ เต็มใจรับไหม (เต็มใจ) (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้
) คำนับแล้วใจต้องเปิดกว้างด้วย เพราะว่าเวลาที่เรากอดอกก็คือ
ใจของเรานั้นเปิดประตูแต่เอาไม้มากั้นไว้ ไม่มีประโยชน์
เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์สอนอะไรไปขอเพียงให้ศิษย์นั้นฟังและทำตาม อาจารย์จะใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่
ไม่ต้องสนใจ ขอให้เพียงทำตามได้
ก็ใช้ได้แล้ว (ทุกอย่างเราต้องพิจารณาด้วย) สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า
(ดี แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดอะไร เราต้องทำตามเสมอ) อาจารย์จะบอกว่า พิจารณาได้แต่อย่าพิจารณานาน (อยู่ที่ปัญญา
ถ้าคนปัญญาน้อยก็ต้องใช้เวลานาน) ในที่สุดก็ได้คำตอบแล้ว
รู้ไหมคำตอบอยู่ที่ไหน (ปัญญา) อาจารย์จึงบอกว่าไม่ว่าจะทางแคบหรือทางกว้าง
ศิษย์ของอาจารย์คนนี้อาจจะเดินอยู่ในเส้นทางแห่งความสงสัย ไม่เข้าใจไม่แน่ใจ
แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่มีความสงสัย
ถ้ามีปัญญาศิษย์จะมองตั้งแต่ต้นนี้แล้วก็มองไปถึงปลาย ปลายทางอันนั้น
เมื่อศิษย์มองเห็นปลายแล้ว ก็จะเดินตลอดทางนี้ได้โดยสบายใจใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเส้นทางนี้แม้จะมีความสงสัย
แต่ด้วยปัญญาที่แฝงอยู่ในความสงสัยนี้ มองให้เห็นปลายดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์นั้นแม้ว่าจะมาที่นี่ก็ไม่สามารถที่จะมาได้นาน
ในการที่จะบอกอะไรศิษย์ก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำตามก็ไม่มีประโยชน์
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญจึงบอกว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว
ถ้าเรานั้นใช้หู ตา จมูก ปาก ของเราในทางที่ไม่ถูกต้องผลเสียก็จะเกิดกับตัวเราเอง
การบำเพ็ญนั้นจะบรรลุถึงนิพพานได้นั้นอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง)
เพราะว่าใจเป็นของเรา ตา หู จมูก ปาก
ซึ่งใช้สร้างบุญและกรรมก็เป็นของเราใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวถูกหรือเปล่า
เพียงแต่มีผู้อื่นนั้นมาให้เราขัดเกลา ให้เกิดความกลม ความใสมากขึ้น
เปรียบเหมือนในกระด้งอันหนึ่ง ที่มีกรวดนับสิบ นับร้อยก้อนอยู่ด้วยกันแล้วเขย่า
เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์อยู่ด้วยกันตรงนี้ พอเขย่าก็เกิดการกระทบกัน
ในที่สุดแล้วกรวดต่อกรวดขัดสีกัน กลมไหม (กลม) ถ้าหากว่าศิษย์อยู่บ้านคนเดียวก็นอนเฉยๆ ดูทีวี
หาความสุขแต่เฉพาะตนเองหรือว่าคนในครอบครัว
เรานั้นก็ไม่ได้ขัดเกลา เราไม่ได้เอานิสัยเสียๆ ของเรานั้นทิ้งไปใช่หรือไม่
(ใช่) เพราะฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจำเป็นไหม
(จำเป็น) เราไปอยู่ใกล้คนที่เป็นกรวดหนามแหลมคมยิ่งต้องระวังตนเองว่าจะไปมองเขาไม่ดีใช่หรือเปล่า
ไปฟังว่าเขาไม่ดีใช่หรือไม่ แต่ว่าสุดท้ายนั้นที่ต้องมองก็คือมองตัวเราเอง
ก็คือกระจกบานหนึ่งที่เราเห็นตัวเรานั้น
คนในนั้นเหมือนพระหรือเหมือนมารเรายังไม่รู้เลยว่าตัวเราเองจะเหมือนอะไรดีใช่ไหม
เหมือนมารก็มีเขี้ยวงอก เหมือนพระก็มีรอยยิ้ม ทุกวันนี้เวลามองเห็นกระจก ก็เห็นแค่ว่าคนนี้สวยเท่าไร
เสื้อผ้าสวยหรือยัง ยังมองกระจกและเห็นเพียงหน้าตนเองแต่ไม่สามารถมองไปเห็นใจได้
แสดงว่าเรานั้นยังไม่รู้จักตัวเราเองใช่หรือไม่
สิ่งนี้สำคัญไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงพระโอวาทครอบ)
(พระอาจารย์เมตตาชี้แนะนักเรียนที่วงคำว่า "ยาก") กลัวยากไหม
กลัวง่ายไหม (กลัวอย่างละครึ่ง) อาจารย์บอกให้ไม่มียากไม่มีง่าย ฉะนั้นวันนี้ยาก วันหน้าจะได้สบายดีไหม (ดี) แต่ว่าจะต้องลงมือทำเอง วันๆ นั่งรอแต่ความสบายคงไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาชี้แนะนักเรียนที่วงคำว่า "ความ") มีคำว่า "ความ" สองตัว แต่มีความตัวหนึ่งต้องวงและอีกตัวหนึ่งไม่ต้องวง เราต้องใช้ปัญญาแยกแยะ
ปัญญานั้นยิ่งฝึกฝนยิ่งมากขึ้น ยิ่งทวีขึ้น
หลังจากวันนี้จะไปเริ่มบำเพ็ญ ต้องบอกตนเองว่าต้องมีปัญญาแยกแยะคำว่าความ
และความที่เหมือนกันนี้ให้ออกจากกันได้
ถ้าไม่รู้จักแยกแยะก็อาจบำเพ็ญแบบเลอะๆ เทอะๆ ได้
“เพราะยอมลงมือ”
อาจารย์ยังไม่รู้ว่าในสามวันนี้ศิษย์ของอาจารย์จะยอมลงมือหรือไม่
สมมติว่าจะปั้นดินเหนียวให้เป็นโอ่ง เราก็ต้องเอามือลงไปปั้นใช่หรือไม่
การที่เราจะสร้างอะไรขึ้นมาสักสิ่งหนึ่งก็ต้องลงมือทำ จะใช้ตาเพ่งให้เกิดรูปได้ไหม
แม้จะได้แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถหยิบใช้ได้
จะทำให้เกิดรูปก็ต้องสร้างจินตนาการใช่หรือเปล่า สร้างว่ามีวิมานอยู่กลางอากาศ
ถ้าไม่ดึงวิมานในนี้ลงมาจะเป็นจริงหรือเปล่า (ไม่จริง)
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญหรือการใช้ชีวิตก็ดี
อย่ามัวแต่จินตนาการ ต้องลงมือทำจริงๆ คนที่ชอบจินตนาการชอบพูด
เขาบอกว่าดีแต่พูดไม่ทำ
เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าตัวเองดีจริงต้องเป็นคนที่เคยผ่านเหตุการณ์อันเป็นสิ่งทดสอบคนเสียก่อน
จึงจะสามารถบอกว่าสิ่งนั้นยากหรือว่าง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรม บรรลุธรรม เป็นพุทธะ ไม่ใช่เป็นปุถุชน
คนๆ นั้นเป็นศิษย์ไหม (เป็น) ต้องมีอะไร
(ต้องมีความตั้งใจ ต้องมีความศรัทธา) มีอยู่อย่างหนึ่งที่ใช้ในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างคือ
(ความเชื่อมั่นในตัวเอง)
เมื่อเราคิดที่อยากจะได้ก็เป็นของใคร (ตัวเราเอง) เมื่อเราอยากจะได้สิ่งๆ
นั้น ในเมื่อเรามีแล้ว อยากจะได้อีก อย่างนี้เรียกว่าความโลภ แต่หากว่าเราคิดจะแบ่งให้ผู้อื่น ของๆ เราสิ่งนี้ก็จะเป็นของสาธารณะ
ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ทุกๆ คนหยิบฉวยได้ ทุกๆ คนกินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) น้ำยิ่งกินยิ่งลดไหม
(ลด) แต่มีกินกันทุกคนหรือเปล่า (ทุกคน) ก็คือยังมีให้ทุกๆ คนได้ใช้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่หากว่าเราอยากจะได้น้ำทั้งโลกเป็นของเราคนเดียวจะเป็นอย่างไร
(เห็นแก่ตัว)
ฉะนั้นเป็นคนจึงไม่ควรเห็นแก่ตัว
สิ่งใดก็ตามถ้าหากว่ายึดครอบครองไว้เป็นของเราเพียงผู้เดียว สิ่งๆ
นั้นก็จะไม่มีความเป็นสาธารณะ ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนนานได้ แต่ถ้าหากว่าสิ่งๆ นั้น
เรามุ่งมั่นว่าจะให้ผู้อื่นได้ด้วย สิ่งๆ
นี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปและเป็นสิ่งที่ไม่ตาย จริงๆ แล้ว
สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือกว่าชีวิตของเราคือความดีงามของเรา ฉะนั้นเมื่ออายุเรามีอยู่ตอนนี้ สามสิบ สี่สิบ
ห้าสิบ ก็ควรที่จะเริ่มสร้างความดีได้แล้ว
และต้องเป็นความดีที่สามารถอยู่ยั่งยืนยงได้ ไม่ใช่ความดีเฉพาะตัวเรา ครอบครัวเราเท่านั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง "ศิษย์รักทำได้" ทำนองเพลง : คิดถึง)
อาจารย์มีความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคน
เมื่อมีความตั้งใจก็ย่อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จได้ ถ้าเรามีความเชื่อมั่น
มีความมุ่งมั่น มีความพยายามลงมือทำแล้ว
แม้จะสำเร็จเพียงน้อยนิด
แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) กลับกัน ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรเลย
สุดท้ายก็ไม่สำเร็จอะไรเลย เราจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นหรือเปล่า (ไม่มี)
อาจารย์เชื่อว่าทุกๆ คน
เมื่อพยายามทำสิ่งใดย่อมจะได้รับผลสำเร็จ
โดยเฉพาะศิษย์ของอาจารย์เป็นศิษย์ของพุทธะจี้กง เป็นจี้กงน้อยๆ "จี้กง"
หมายถึงอนุเคราะห์ชาวโลก
ศิษย์ของอาจารย์จะมัวอนุเคราะห์ตัวเองคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ถึงเวลาผู้อื่นเดือดร้อนสิ่งใด
ก็ให้เรารู้จักช่วย ไม่เอาคำพูดของเรานั้นไปทดสอบผู้อื่น
ไม่เอาจิตใจของเรานั้นไปคิดร้ายต่อผู้อื่น ไม่เอาการกระทำของเรานั้นไปทดสอบผู้อื่น
ได้หรือไม่ (ได้)
ถ้าทำได้เช่นนี้ ทุกๆ คนก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข
เข้าใจไหม (เข้าใจ)
เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว ทุกๆ
ขณะจิตก็ต้องให้คนอื่นมองเห็นอาจารย์ที่อยู่ในศิษย์ได้
ก็คือศิษย์นั้นจะต้องรู้ว่าอาจารย์เป็นอย่างไร
ไม่ใช่รู้จักที่อาจารย์นั้นเป็นอาจารย์จี้กง แต่ต้องรู้จักอาจารย์ที่ต้องเมตตาคน
ที่ต้องรักคน ทำได้ไหม (ได้)
ทุกๆ วันนี้ อาจารย์มักจะเห็นคนส่วนใหญ่รักแต่ตนเอง
ศิษย์รักตนเองมากจนไม่ได้รักผู้อื่น
บางทียังรักตัวเองมากกว่ารักพ่อแม่เสียอีก
ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง
ฉะนั้นในวันนี้จึงบอกให้ศิษย์รักผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น เอาใจใส่ผู้อื่นด้วยการที่เรามีสิ่งใดก็ใช้สิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นทรัพย์สินเงินทอง เพราะว่าคนที่มีทรัพย์สินเงินทองก็ไม่แน่ว่าจะช่วยผู้อื่นได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เงินทองซื้อใจได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ซื้อใจกันได้ก็คือน้ำใจ
ศิษย์เคยหยิบยื่นน้ำใจให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนไหม (เคย) เคยหยิบยื่นน้ำใจให้กับคนอื่นโดยที่เราก็เป็นคนที่มีน้ำใจไหม
(เคย) ไม่คิดโน่น ไม่คิดนี่ ไม่คิดร้าย ไม่คิดทุจริต มีไหม (มี) ต้องทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "สร้างคุณค่าให้กับชีวิต")
แสดงว่าชีวิตของเรา จำเป็นจะต้องสร้างคุณค่าขึ้นมา
ใช่หรือไม่ (ใช่)
คำว่า "คุณค่า" อาจารย์แยกให้ฟังแล้ว มีคำว่า "คุณ" และ "ค่า" ต้องรู้จักสร้างให้ครบทั้งสองอย่าง
จะบอกว่าสร้างสิ่งมีคุณ ไม่สร้างสิ่งมีค่า
หรือสร้างสิ่งมีค่า ไม่สร้างสิ่งมีคุณ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ดังเช่นทรัพย์สินเงินทองเป็นคุณหรือค่า
(เป็นคุณ,เป็นค่า)
(เชาฉือ : คนเราต้องมีทั้งคุณและค่า คุณก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ค่าก็คือคุณค่าที่เราวัด
อาจจะวัดไม่ได้เป็นเงินทอง แต่เป็นสิ่งที่มีค่าที่เราประมาณกันไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาพูดคุยกับญาติธรรมท่านหนึ่ง) ชีวิตคนนั้นสั้นเหมือนกับอะไร
วันนี้ยังไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะสั้นหรือยาวเท่าไร ใช้ชีวิตนี้ให้มีคุณค่า
ชีวิตของเรานั้นเราต้องกำหนดเอง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัว)
ขยันขันแข็งสร้างบุญสร้างกุศล
ไม่ต้องขยันขันแข็งใช้ชีวิตและก็กลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะว่าสิ่งสำคัญของการบำเพ็ญก็คือการสร้างกุศล
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือการขัดเกลาจิตใจ ชีวิตของเรามีแค่ร้อยปี
แต่ว่าเราจะไปสู่ตรงนั้นได้อย่างมีคุณค่าได้มากเท่าไร
เรื่องอีกปีสองปีข้างหน้านี้อย่าเพิ่งสนใจ สนใจสิ่งเดียวคือ
ใจของเรานั้นขัดเกลาได้หรือยัง ไม่เช่นนั้นเรารอดพ้นสองปีสามปีนี้ไม่ได้
แต่ถ้าเรายังไม่สามารถกลับไปเป็นพุทธะได้
ก็ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือขัดเกลาจิตใจของเราให้เป็นผู้บำเพ็ญที่เที่ยงแท้
ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าที่สุด เข้าใจไหม
ในยามที่อาจารย์นั้นเห็นศิษย์ทั้งหลายกลัวในอนาคตของตัวเอง
กลัวในอนาคตของโลก อาจารย์อยากจะบอกศิษย์เหลือเกินว่ามันไม่มีประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์เตือน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์สอนให้ศิษย์กลัว
ให้กลัวไว้เพื่อที่จะหาทางระมัดระวังใจของตัวเอง ให้รู้ว่ามีเวลามากเท่าไร
เข้าใจไหม
ในวันนี้มีโอกาสได้พบเจอกันถือเป็นบุญวาสนาอย่างยิ่ง
อาจารย์ก็มีวาสนาที่ได้เจอศิษย์ ศิษย์ก็มีวาสนาที่ได้เจออาจารย์เช่นเดียวกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เพราะว่าศิษย์นั้นมีภูมิธรรมที่ดีทุกคน
การที่เราต้องรักษาสิ่งที่เรามีนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะว่าเราไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว
เรามีอยู่หลายๆ สิ่งที่เราต้องรักษาให้ดี
ดังเช่นชีวิตหนึ่งชีวิตมีอะไรบ้าง มีคนที่รักเราและมีคนที่เรารัก มีคฤหาสน์
มีบ้าน มีรถ ใช่หรือไม่
แต่เราต้องดูว่าสิ่งไหนสำคัญ
คนที่รักเรา คนที่เรารักกับสิ่งที่เป็นวัตถุเหล่านี้สิ่งใดสำคัญ บางคนหวงแหนวัตถุจนทำร้ายจิตใจคนรอบข้าง อันว่าคนเกิดมาหนึ่งชีวิตสำคัญกว่าทรัพย์สินกองท่วมเท่าภูเขา จงรู้ว่าการเกิดมาเจอกันนั้นเป็นเรื่องยาก ทุกๆ
ครั้งที่ทำร้ายจิตใจกันก็จงมองให้ดี คิดให้ดี
อาจารย์พูดไว้ในนี้บอกว่า “กาลผ่านเร็วไม่เคยคอยรอให้คิดได้” ชีวิตนั้นผ่านไปรวดเร็ว
ไม่เคยรอให้ศิษย์คิดได้ก่อนแล้วค่อยผ่านหนึ่งนาทีนี้ไป
เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
เพราะถ้าเราใช้อารมณ์เพียงชั่ววูบของเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่
เราจะเสียใจไปตลอดชีวิต
จบจากสามวันนี้แล้ว
ต่อไปจะเสียสละเวลามาสถานธรรมได้หรือไม่
อย่างที่อาจารย์พูดไปแล้ว หากว่าศิษย์ไม่เสียสละ ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็ไม่ว่าง ตราบเมื่อโรคภัยไข้เจ็บมาถึง
ไม่ว่างก็ต้องว่าง
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ขอให้รู้จักแบ่งเวลาให้ดี การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่พยายามแล้ว จิตใจของเรานั้นเหมือนกับม้าเหมือนกับลิง
ถ้าไม่รู้จักควบคุมแล้วจะให้ใครมาควบคุมได้
หลักธรรมที่ศิษย์ได้รู้ได้ศึกษาเป็นเพียงสิ่งภายนอกที่สามารถจะบังคับจิตใจของศิษย์ให้อยู่ในกรอบได้ ถ้าศิษย์ไม่ต้องการกรอบนี้ ย่อมไม่มีใครมาใส่กรอบเราได้ แต่อาจารย์จะบอกให้
กรอบทั้งกรอบนี้อิสระพอที่จะไม่ให้ศิษย์รู้สึกอึดอัด กรอบนี้เป็นกรอบของคนดี หากว่าศิษย์เป็นคนดีอยู่
ใช้กรอบนี้ก็จะเกิดความปิติสุขอย่างยิ่ง
อันว่าถ้าเป็นคนไม่ดีแล้วใช้กรอบของคนดี ย่อมเกิดความรู้สึกไม่ชอบ
ศิษย์รักของอาจารย์ทั้งหลาย ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่สั้น
บางครั้งอาจารย์เห็นศิษย์หลงงมงายกับโลกีย์ กับวัตถุ
กับความไม่เที่ยงแล้วเห็นว่าเป็นความเที่ยง ถามว่าความเที่ยงนั้นอยู่ที่ไหน ร่างกายของเราเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)
แม้แต่ร่างกายที่เราใช้อยู่นี้
ตาที่เรามองเห็นแล้วบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มั่นคงแข็งแรง เราเองยังไม่เที่ยง
แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เราเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้สร้างคุณค่าให้กับชีวิตตนเองด้วยการบำเพ็ญดีไหม
(ดี)
วันหนึ่งเรามีเวลาอยู่ ๒๔ ชั่วโมง
ขอให้รู้จักแบ่งสรรเวลา ๑ วัน ให้มองเห็นตนด้วย
เวลาเรามองกระจกให้มองเห็นตัวเองว่าวันนี้เราเป็นพระหรือเป็นมาร สัจธรรมเป็นเสมือนกระจก สัจธรรมไม่ใช่จิตใจ แต่ใจของเราต่างหากที่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ กระจกนั้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้แล้ว ก็จงรู้จักใช้กระจกอันนี้ให้เป็นประโยชน์
ใช้สัจธรรมนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้เหมือนกับการก้าวขึ้นบันไดเป็นพุทธะ
หนึ่งขั้นที่ก้าวคือหนึ่งขั้นของความเจริญ
หนึ่งขั้นที่ก้าวขอให้ศิษย์ก้าวด้วยความมั่นคงดีไหม (ดี) เชื่อมั่นต่อธรรมะที่ตนเองมาศึกษาสามวัน
เชื่อมั่นต่อสิ่งที่ตนเองนั้นได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ฟังเข้าใจหรือเปล่า
(เข้าใจ)
ทุกคนที่เกิดมามีชีวิตหนึ่งชีวิตนี้ไม่ง่ายเลย
ผ่านสิ่งต่างๆ มามากมาย เกิดขึ้นมาเป็นชีวิตคนแล้วก็ยังต้องเสี่ยงตาย
ในช่วงนี้โลกวุ่นวาย ใจศิษย์ก็ยิ่งวุ่นวาย
อาจารย์อยากให้ศิษย์สร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ในใจของเรา ก็คือ
"สวนสงบใจ" ให้รู้จักสงบใจของตนเอง แม้ว่าเรานั้นจะมีความวุ่นวายเท่าไร
แต่ขอให้ใจของเราสงบราบเรียบเหมือนกับน้ำที่ไม่มีคลื่น ได้หรือเปล่า
(ได้) ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น
จิตใจไม่มีความสงบเลย จะทำสิ่งใดๆ
ก็คงเจออุปสรรคร่ำไป เพราะว่ามีสติไม่พอ มีกำลังใจไม่พอ มีพลังไม่พอ
เห็นศิษย์ยิ่งมากมายเช่นนี้ อาจารย์ยิ่งไม่อยากไป
ไม่น่าเชื่อเลยว่าอาจารย์นั้นมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว
ได้พบศิษย์ของอาจารย์ที่มีอยู่มากมายเช่นนี้ด้วยความยินดี แต่ตอนนี้ต้องจากศิษย์ไปแล้ว
ก็ยังไม่มั่นใจว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะสามารถบำเพ็ญได้ไหม
สามารถที่จะกลับไปเป็นพุทธะได้ไหม
จะเอานิพพานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศิษย์ได้หรือเปล่า
อาจารย์ยังไม่รู้เลย
อาจารย์ขอบอกไว้อย่างหนึ่งว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นเป็นพุทธะได้
ขอให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง บำเพ็ญให้ตนเองก้าวหน้า อย่าท้อใจ ชีวิตนี้สั้น จบชีวิตนี้
ขอให้เรากลับไปเป็นพุทธะ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
จะได้ไม่ต้องมาทุกข์แล้วสุข ทุกข์แล้วสุข สลับกันทุกๆ
นาทีและวินาทีเช่นเดิม ดีหรือเปล่า (ดี)
วันนี้ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทุกข์
แต่รู้ไหมว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้ตัว รู้ตน ว่าเรานั้นจะบำเพ็ญ แต่เกิดชาติหน้าครั้งใหม่
ไม่รู้ตัวไม่รู้ตนว่าเรานั้นสามารถบำเพ็ญได้
ถ้ายิ่งเกิดมาเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีความศรัทธาในธรรมะ
ไม่รู้จักหาทางพ้นทุกข์ จะไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้หรือ เพราะฉะนั้นทุกๆ วันนี้
สิ่งที่มีอยู่คือวาสนา
รู้จักรักษาวาสนาของตนเองไว้ให้ดี
อาจารย์ไม่รู้จะบอกว่าศิษย์เป็นผู้โชคดี อย่างไรแล้ว ศิษย์ทุกคนรักอาจารย์ไหม (รัก) อาจารย์ก็รักศิษย์นะ
ไม่ต้องการสิ่งใดจากศิษย์เพียงแต่ต้องการให้บำเพ็ญนะ บำเพ็ญให้เป็นคนดี
เป็นคนที่ดีจึงจะสามารถเป็นพุทธะได้ในเร็ววัน ถ้าหากว่าการเป็นคนดียังทำไม่ได้
แล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร หลังจากวันนี้ ขอให้เราได้พบกันอีกนะ
ศิษย์ที่น่ารักทุกๆ คน
ศิษย์ทุกๆ คนมีทุกข์กันคนละอย่าง
ไม่มีใครไม่มีทุกข์เมื่อเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นมนุษย์เหมือนกัน
จงเห็นใจกันให้ดี อย่าไปมองว่าผู้อื่นเป็นคนไม่ดี
หากว่าเราไม่เข้าใจเขา เราก็ไม่ใช่พี่น้องของเขา เราต้องการคนเข้าใจเรา
คนอื่นก็ต้องการคนเข้าใจเขา
อาจารย์ก็หวังให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทั้งทางธรรมและทางโลก
แต่คนที่ประสบความสำเร็จทางโลกก็มักจะลืมบำเพ็ญธรรม คนที่ประสบความสำเร็จทางธรรมก็มักจะถูกดูถูก
ในการพบกันวันนี้ ขอให้ศิษย์คิดอะไรบ้าง รู้อะไรบ้าง
เข้าใจอะไรบ้าง
อย่าถลำผิดแล้วผิดอีกให้อาจารย์นั้นต้องคอยนั่งมอง ยืนมอง
แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะชีวิตเป็นชีวิตของศิษย์
อาจารย์ได้แค่พูด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รักษาตัวเองให้ดีๆ
รักษากายอย่างเดียวไม่พอต้องรักษาใจนี้ด้วย เพราะถ้าใจเป็นอะไรไปแล้ว กายศิษย์หรือจะอยู่ได้ ถ้าร่างกายแข็งแรง แต่ใจไม่ดีงาม
จะอยู่เป็นคนดีได้อย่างไร
ฟ้าดินก็ไม่ต้องการคนไม่ดีด้วย
หวังว่าคนที่จะเป็นพุทธะในวันข้างหน้าคงจะเป็นศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คน ช่วยตัวเองให้พ้นจากโลกีย์นี้ด้วยนะศิษย์นะ
[๑] ดรี เรือ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
“สร้างคุณค่าให้กับชีวิต”
อย่าปล่อยชีพลอยเลื่อนไปไร้จุดหมาย เมื่อปลายทางทางว่างเปลี่ยวต้องเสียขวัญ
ไม่ว่าใครที่ปล่อยชีพไปวันวัน ชีวิตนั่นจักยากยิ่งขึ้นทุกปี
มาเป็นผู้รู้จักใช้ชีพให้เป็น สิ่งจำเป็นคือรู้จักจิตให้พอที่
รู้จักเพิ่มอีกหนึ่งสิ่งคือความพอดี ย่อมพร้อมมีความดีงามสู่ชีวา
กาลผ่านเร็วไม่เคยคอยรอให้คิดได้ บางคนสายจนยากแก้ค่อยรู้ว่า
คุณค่าคนต้องหมั่นสร้างจึงได้มา ล้วนแลกมาจากอดทนรู้อภัย