วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2541

2541-09-19 พุทธสถานเฉิงอี้ บัวงาม จ.ราชบุรี


PDF 2541-09-19-เฉิงอี้ #16.pdf

#ไตรภูมิ  #การเวียนว่าย  #การเวียนว่ายตายเกิด  #ไตรรัตน์


วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานเฉิงอี้ บัวงาม จ.ราชบุรี

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ



องค์พุทธะแฝงอยู่ในกายมนุษย์ ประธานแห่งแดนวิสุทธิ์ปัญญาล้ำ

คุมชีวิตบังเหียนม้าให้รู้นำ สอบใจจำได้ไหมการรู้จริง

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา



ชีวิตนี้สิ่งใดกันสำคัญยิ่ง ทั้งเท็จจริงแยกออกไหมก่อนแสวง

ด้วยมึนเมาเท็จแท้มิพลิกแพลง ขอรู้ว่าเปลี่ยนแปลงตนสราญ

มีความสุขได้เพียงขณะหนึ่ง ขอคะนึงชีวิตนี้ยาวหรือสั้น

จะหันไปทิศใดเพื่อบากบั่น ต้องให้ทันเวลาแห่งชีวิตตน

บ้างลำบากวิบากกรรมมาซ้ำซ้อน ยามจะนอนยังเป็นทุกข์ใช่ไหมน้อง

ฟ้าส่งสายทองยาวตามครรลอง น้องประคองชีวิตตนเดินทางธรรม

เกิดเป็นคนว่าทุกข์แล้วอาจทุกข์กว่า ยามเวียนว่ายตามชะตาอันหักเห

ขณะนี้ลอยคออยู่กลางทะเล สุขปนเปเพียงนิดอย่าหลงเลย

ขอให้ฝืนใจตนบำเพ็ญเถิด ลังเลเกิดพยายามบั่นให้สั้น

ทุกวันนี้ทดสอบใจคนคงมั่น หากน้องท่านพิสูจน์พลันบันทึกลง

ขอให้ปากกับใจจงตรงกัน มองใครนั้นจงอย่ามองเพียงเปลือกนอก

ขอให้คิดจงพินิจอย่าลวงหลอก พุทธะบอกทางหลุดพ้นพิจารณา

ในวันนี้ผู้มีบุญกับพุทธะ ได้สละเวลามาศึกษาธรรม

ขอสองวันอยู่ครบจบด้วยจำ อันพระธรรมเก็บไว้ใช้ปฏิบัติ

ด้วยวันนี้เป็นวันแรกคืนสถาน ขอชื่นบานในจิตต่างสุขุม

ด้วยเวลาฟังธรรมกรรมก็รุม ขอทุ่มเทตั้งใจให้จริงจัง

ตนตื่นแล้วดีแล้วผู้อื่นจึง ตื่นตามถึงเท่าที่เราได้ตื่นขึ้น

ขณะจิตขณะเดียวจึงห้ามเมามึน ขอให้ยืนประดุจผาสง่าไกล

ขอตั้งใจสองวันมีจุดหมาย ฟ้ายุคปลายจิตใจคนคล้ายอาสัญ

จงช่วยกันช่วยเวไนยช่วยผลักดัน เรือธรรมนั้นใช่ของใครแต่ผู้เดียว

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป คุมชั้นเรียนครบสองวันน้องทั้งหลาย

ขอรักษาพุทธระเบียบมีต้นปลาย ขอเปลี่ยนใจหากใครคิดมาวันเดียว

จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด








วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ



ต่างอยู่ในแดนโลกขุ่นข้น ต่างดิ้นรนต่างระทมอย่างทุกข์ร้อน

แต่ยังมีน้ำใจให้กันก่อน อีกอาทรผิดจากคนย่อมไม่มี

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้ แฝงกายประณตน้อม

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีฤๅ



ชีวิตนี้แม้ไม่อาจเลือกเกิดได้ แต่กระทำเลือกใดมองเอ๋ยย้อน

กำลังหลับผวาตื่นพะวงนิจจาหลอน แม้ม้วยมรณ์ความดีชั่วยังตราตรึง

ลงเอยสุขชีวิตดั่งขึ้นสวรรค์ วัฏฏะนั้นอยู่หนไหนไม่นึกถึง

ต่างเลื่อนลอยต่างถลำทะยานบึ่ง ท้ายกลาดเกลื่อนมิตื่นถึงอนิจจา

หากเข้าใจลงแรงสายไฉน สู่ยุคปลายภัยสารพันสั่นผวา

ฟ้าปรานีไม่กวาดคัดต้องระอา อริยาขานรับคัดหยกใจตน

ทดสอบคัดจริงเท็จหินหยกบอก เข้าจากออกบำเพ็ญจากในฝึกฝน

อภัยกันแม้ยืนยันโกรธาเหลือทน พุทธะต้องค้นถ้วนถี่ทั้งฤทัย

ไม่ประดุจตายแล้วทั้งเป็นอยู่ มีประตูต้องเข้าใจวาจารู้จักใช้

ทุกหนแห่งเลิศมีปราชญ์สหาย เพราะใจดีและกายดีส่งเสริม

ผู้เฝ้าอุทิศเพื่อเวไนยสู่อาเวศ[๑] ตัดกิเลสจะต้องเลิกการเพิ่ม

มิพากันเบียดเบียนอย่างฮึกเหิม ปราชญ์ประเดิมฝึกให้ทานจากภายใน


ฮา ฮา หยุด












พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ



วันนี้มานั่งฟังธรรม ทุกๆ อย่างที่เขาบอกให้ทำ ก็เป็นเพราะว่าเรามีใจอยากทำเอง ไม่ได้ถูกข่มขู่ หรือถูกบีบบังคับ เราถึงทำใช่ไหม (ใช่) แล้วเพราะอะไรเราถึงเลือกที่จะมานั่งฟังตรงนี้ มาลำบากตรงนี้กัน (นับถืออาจารย์จี้กง) นั่นก็คือนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วนอกจากนับถืออาจารย์จี้กงแล้ว คนในที่นี้มีความคิดเห็นอื่นว่าอย่างไร (เต็มใจมา) มาเพราะเห็นว่าสิ่งที่มาศึกษาในวันนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่ามีความนับถือต่อคนที่ชักชวนเรามา และก็มีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อคนที่ชวนเรามาใช่หรือเปล่า (ใช่) ทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจและความนับถือที่มีต่อกันล้วนเกิดขึ้นได้เพราะคนเรารู้จักมอบสิ่งที่ดีให้แก่กัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เมื่อไรที่เราหยิบยื่น เราส่งมอบด้วยความเต็มใจ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็มักจะให้ผลที่ดีกลับมา และมักจะทำให้สังคมนี้อยู่กันฉันพี่น้องฉันเพื่อนฝูง และทำให้คนที่อยู่บนโลกใบนี้มีความสงบสุขต่อกัน เพราะทุกคนต่างมอบสิ่งที่ดีให้แก่กัน หากคนขาดซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็คงจะหาไม่ได้แล้วจากโลกใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำใจ ความเอื้ออาทรหรือความเมตตา ล้วนเกิดจากคนกระทำต่อกัน ล้วนเกิดจากคนหนึ่งมอบให้อีกคนหนึ่งด้วยจิตใจ ด้วยน้ำใจที่ดี แต่หากคนไม่ทำแล้วโลกนี้จะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าทุกคนต่างคนต่างอยู่ ทุกคนต่างเห็นแก่ตน โลกก็คงวุ่นวาย ยากจะสันติสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเช่นนั้น การมีน้ำใจไมตรีมอบสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในตัวเราก็ควรจะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)



“ต่างอยู่ในแดนโลกอันขุ่นข้น ต่างดิ้นรนต่างระทมอย่างทุกข์ร้อน

แต่ยังมีน้ำใจให้กันก่อน อีกอาทรผิดจากคนย่อมไม่มี”

ทุกคนต่างมีเรื่องทุกข์เรื่องสุขในชีวิต สลับปนเปกันไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนในวันนี้มีทุกข์ แต่อีกคนอาจจะสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) หากคนที่สุข รู้จักมอบกำลังใจ รู้จักเผื่อแผ่ความสุขให้แก่คนที่ทุกข์ รู้จักมีน้ำใจให้แก่กัน โลกนี้ก็ย่อมสันติสุข แต่ถ้าคนที่มีความสุขไม่เคยคิด ไม่เคยคำนึงถึง ไม่เคยเอื้ออาทร ไม่เคยมีน้ำใจให้แก่กัน ใครจะทุกข์ก็ช่างเขา ตัวเราสุขคนเดียวก็พอ โลกนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อยังไม่พูดถึงโลก เราอาจจะพูดถึงใกล้ๆ ตัวก่อน ตัวเราจะเป็นเช่นไร ตัวเราก็คงเป็นคนโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีคนนับถือ ไม่มีคนรักใคร่ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรเราถึงมีคนรู้จักมากมาย แม้จะไม่ใช่ญาติพี่น้อง เขาก็รักเรา ให้ความสนิทสนมกับเราได้ เพราะว่าเรารู้จักมอบน้ำใจไมตรีให้กับเขา รู้จักมอบสิ่งดีๆ เอื้ออาทรให้แก่เขาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในตัวเราไม่ต้องไปหาจากแดนไกล นั่นก็คือการยอมอุทิศ เสียสละมีน้ำใจเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นย่อมไม่ยากที่จะกระทำใช่หรือเปล่า (ใช่)

อยู่บนโลกนี้เราไม่เคยได้อะไรมาเปล่าๆ จะได้สิ่งหนึ่งต้องยอมเสียอีกสิ่งหนึ่ง จะได้ทรัพย์เงินทองมากมาย เราก็ต้องสูญเสียเวลาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้ววันนี้จะได้ธรรมะนำไปใช้กับชีวิตก็ย่อมต้องสูญเสียเวลาไปเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็ต้องสูญเสียเวลาหาเงิน บางคนต้องสูญเสียเวลาดูทีวี สูญเสียเวลาพักผ่อน แต่ถ้าเราจะยอมสูญเสียชีวิตเราชีวิตหนึ่งเพื่อให้ได้ธรรมะมาก็ย่อมคุ้มค่าใช่หรือไม่.(ใช่) ปัจจุบันจะมีสักกี่คนที่จะยอมสูญเสียชีวิตเพื่อให้ได้มาซื่งหลักธรรมะของชีวิต ก็คงจะมีน้อยเต็มทีใช่หรือไม่ (ใช่)

มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยมาบนแดนโลกนี้ เมื่อเรามาเราก็มองว่าโลกนี้เป็นโลกที่มีสีสันสวยสดงดงาม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสมีน้ำใจไมตรีต่อกัน แต่พอมาวันนี้สิ่งต่างๆ ที่เราเคยเห็นในครั้งนั้นได้ค่อยๆ จางหายไป เป็นเพราะกาลเวลาทำให้แปรเปลี่ยน หรือเพราะจิตใจคนทำให้โลกแปรเปลี่ยน (เพราะจิตใจคนทำให้โลกแปรเปลี่ยน) ใจมีส่วนสำคัญอย่างไรถึงทำให้โลกแปรเปลี่ยนได้ ถ้าใจนั้นดีโลกก็ย่อมดี ถ้าใจนั้นคิดร้ายโลกก็วุ่นวายมีภัยพิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าใจของเราที่อยู่ลับๆ ภายในตัวเรานี้มีอำนาจเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่มีอำนาจต่อตัวเราเพียงคนเดียวหรือต่อคนรอบข้างเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทั่วโลกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าดูอย่างนี้ดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน ถ้าจิตใจเราดีก็ทำให้โลกดีได้ ถ้าจิตใจเราชั่วร้ายโลกก็เลวร้ายได้ แสดงว่าคนๆ หนึ่งมีผลต่อโลกดูแล้วยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)

คนๆ หนึ่งสามารถมีผลต่อตัวเราเองได้ในแง่ใดบ้าง แต่ก่อนเขาอาจเป็นคนที่มีโชควาสนาที่ดี แต่ถ้าจิตใจเขาคิดชั่วร้ายเพียงชั่วครู่เดียวแล้วไปกระทำตามความคิดทันที วาสนานั้นอาจจะพลิกผันหรือว่าเปลี่ยนแปลงทำให้กลายเป็นคนตกอับ ทำให้กลายเป็นคนที่ไร้วาสนาไปเลยก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ในทางกลับกัน คนๆ นั้นแม้ว่าจะดูไม่มีสง่าราศี ไม่มีสีหน้าท่าทางที่ดูใจดีเลยแต่ถ้าจิตใจเขาฝักใฝ่กระทำดีอยู่ตลอดทุกวัน การกระทำดีของเขาก็ย่อมมีผลสามารถพลิกผันเปลี่ยนแปลงให้เขากลับกลายเป็นคนที่ดี และมีใบหน้าที่มีสง่าราศีขึ้นมาได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจิตใจของเราจึงมีส่วนสำคัญ ถ้าจิตใจดีก็ย่อมส่งผลให้ร่างกาย ใบหน้า สีหน้าของเราดีได้ ถ้าจิตใจเราไม่ดีก็อาจจะส่งผลทำให้ใบหน้า หรือโชคชะตาที่ควรจะดีอาจพลิกผันเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ดีได้เหมือนกัน ฉะนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเราหรือเรื่องราวที่ควรต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้นบางครั้งไม่ต้องมองข้างนอกเลย แต่ต้องถามที่จิตใจตัวเรา แล้วก็ดูที่การกระทำของเราว่ากระทำเช่นไรมีจิตใจเช่นไร เหตุมาเช่นไรผลก็ต้องติดตามเช่นนั้น หากเหตุสร้างดีผลก็ย่อมดี ถ้าเหตุสร้างร้ายผลก็ย่อมร้าย เรารู้กันอยู่ทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)



"ชีวิตนี้แม้ไม่อาจเลือกเกิดได้ แต่กระทำเลือกใดมองเอ๋ยย้อน”

แม้เราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะกระทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่) และแม้ชะตาชีวิตจะถูกกำหนดมาเป็นเช่นนี้ เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำสิ่งใดและไม่กระทำสิ่งใด



"กำลังหลับผวาตื่นพะวงนิจจาหนอ แม้ม้วยมรณ์ความดีชั่วยังตราตรึง"

หากเราอยู่บนโลกนี้แล้วอยากได้รับผลดี เราก็ต้องรู้จักสร้างเหตุที่ดีด้วย หลายครั้งที่เรายังกระทำสิ่งผิดแม้ผลยังไม่ปรากฏชัดทันที แม้ยังไม่ส่งผลทันที แต่เราก็รู้สึกว่าเมื่อเราทำผิดเราก็หลับตาไม่ลง เราก็อยู่ได้อย่างไม่เป็นสุขอย่างแท้จริงใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นบางทีไม่ต้องนึกถึงให้ไกลอื่นเลย เวลาเราจะทำอะไรขอให้นึกเพียงใกล้ๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร สิ่งนี้ก็จะอาจช่วยยับยั้งไม่ให้เรากระทำผิดลงไปได้ แต่หากว่าเรื่องชั่วก็ไม่คำนึงถึง เรื่องดีก็ไม่สนใจ เช่นนี้เราจะดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุขไหม ก็ย่อมยากใช่หรือเปล่า (ใช่)



"ลงเอยสุขชีวิตดั่งขึ้นสวรรค์ วัฏฏะนั้นอยู่หนไหนไม่นึกถึง"

ชีวิตนี้เมื่อได้พบความสุขก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ แต่เป็นสวรรค์เล็กๆ ในช่วงขณะหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อพบความทุกข์ก็เหมือนตกนรกตกเหวใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วชีวิตของเราต้องขึ้นสวรรค์ลงนรกกันกี่รอบ แล้วเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย) ยิ่งเวลาขึ้นสวรรค์แล้วตกนรกทำไมตกง่าย แต่เวลาตกลงไปในนรกแล้วจะป่ายปีนขึ้นสวรรค์ทำไมถึงป่ายปีนกันยากเหลือเกินใช่หรือเปล่า (ใช่) ทั้งที่ตัวก็นั่งอยู่ที่นี้ใจก็อยู่ตรงนี้ แต่เพราะอะไรทั้งตัวทั้งใจต่างก็ทำให้ใจเราขึ้นๆ ลงๆ ไม่อยู่นิ่งสักที เพราะว่าใจเราพันผูกอยู่กับความสุข ความทุกข์บนโลกใบนี้ ยังยินดียินร้ายอยู่บนโลกใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยใจที่ผูกพันติดยึดกับเรื่องราวบนโลกใบนี้ได้ เราคงอยู่อย่างเป็นสุขไม่ใช่น้อย แต่เพราะอะไรเราถึงทำกันไม่ได้สักที อยากมีสุขหรือเปล่า (อยาก) เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ขออยู่ทุกวัน แต่ทำไมจึงขอที่ภายนอกไม่ขอที่ตัวเอง ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ทำหรือ (ไม่ใช่) ตัวเราเองทำถึงได้สุขใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอภายนอกสู้ขอที่ตัวเองไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)



"ต่างเลื่อนลอยต่างถลำทะยานบึ่ง ท้ายกลาดเกลื่อนมิตื่นถึงอนิจจา"

จะกระทำสิ่งใดเราต้องรู้ก่อนว่าตัวใดเป็นตัวขับเคลื่อน ตัวใดเป็นตัวเคลื่อนไหวทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วทำไมเวลาขอความสุขไม่ขอตัวเอง กลับมาขอแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมักจะขอสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ตอนที่ตกลงไปในเหว แต่ตอนมีสุขไม่เห็นมีใครมาขอบ้างเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนมีสุขตัวท่านยังไม่คิดให้คนอื่น แล้วยามมีทุกข์คนอื่นเขาจะให้เราหรือ (ไม่ให้) ฉันใดก็ฉันนั้น เหตุทำเช่นไรผลย่อมได้รับเช่นนั้น ฉะนั้นอยู่บนโลกใบนี้ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์เพียงไร เราต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น รู้จักใช้คุณค่าของตนเองให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วคุณค่าของตัวเองก็ไม่เข้าใจ โลกเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วชีวิตจะดำเนินไปได้อย่างไร เดินไปได้ครึ่งทางเดี๋ยวก็ลื่น เดี๋ยวก็ล้ม ชีวิตวนเวียนไม่ทุกข์ก็สุข ไม่ยืนก็ล้ม ไม่ล้มก็ลุกใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อกังวลเรื่องทุกข์สุข ชีวิตก็ยากดำเนินไปได้ จะพัฒนาก้าวหน้าไปได้ก็ยาก เพราะเรามัวแต่กังวลเรื่องทุกข์เรื่องสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่หากเราคิดว่าเรื่องราวที่ผ่านพัดเข้ามาในตัวเราเหมือนกับลม เมื่อถึงคราวมาก็ย่อมถึงคราวไป เมื่อถึงคราวอยู่ก็ต้องมีวันอำลาจาก เรารู้ว่าเรื่องราวในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงไม่แน่นอน แล้วเราจะยึดอะไรกับทุกข์กับสุขที่เหมือนลมพัดผ่านใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีทุกข์ก็เฉยๆ เมื่อมีสุขก็เฉยๆ คิดเสียว่าเหมือนลมที่ผ่านมา การดำเนินชีวิตบนโลกก็ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)

"หากเข้าใจลงแรงสายไฉน" หากเราเข้าใจเช่นนี้การลงแรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตดีขึ้นก็ย่อมไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่บนโลกใบนี้ มีความร่ำรวยเราก็รู้สึกอยากได้ เมื่อพบเกียรติยศชื่อเสียงเราก็รู้สึกดีและอยากได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งความร่ำรวยและเกียรติยศชื่อเสียงมีตำแหน่งจำกัด คนที่จะร่ำรวยได้ต้องร่ำรวยมากกว่าคนอื่น หากทุกคนมั่งมีก็ไม่เรียกว่าความร่ำรวย เมื่อมีตำแหน่งจำกัดทุกๆ คนก็ใคร่อยากได้ใฝ่ปอง ก็ย่อมเกิดการแก่งแย่งแข่งขันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำอย่างไรล่ะ เมื่อตอนนี้ใจเรากำหนดแล้วว่าความสุขของเราคือการได้มาซึ่งลาภ ยศ ทรัพย์สิน ก็ยากที่จะปล่อยให้คนอื่นได้ไปโดยที่เราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนแปลงความสุขของเราเสียก่อน โดยที่แม้เราจะไม่ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ลาภยศ เราก็มีความสุขได้

มีสำนวนปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า "สุภาพชนนั้นมักปฏิเสธการเหลิงอำนาจ แต่ไม่ปฏิเสธความต่ำต้อย สุภาพชนนั้นมักจะปฏิเสธความมั่งคั่งแต่ไม่ปฏิเสธความยากจน” เมื่อทุกคนต่างไม่แก่งแย่งแข่งขันในสิ่งที่มีน้อย ความวุ่นวาย ความเดือดร้อนก็ไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อสุภาพชนที่คิดเช่นนี้ไปดำรงตำแหน่งใดก็ตาม ถ้าผลที่ได้นั้นเป็นเงินทองที่มากกว่าความสามารถ เขาจะต้องทำงานให้ตนรู้สึกว่าความสามารถอยู่เหนือกว่าเงินทอง เพราะเหตุใดปราชญ์โบราณจึงเลือกความต่ำต้อย เลือกความยากจนมากกว่าเลือกทรัพย์สินเงินทอง เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ที่มีทรัพย์สินแต่ยอมสละ เพราะเหตุใด (เพราะต้องการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร) แสดงว่าการได้มาซึ่งเงินทองและทรัพย์สิน ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วการได้มาซึ่งเงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศชื่อเสียง ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดหรือเปล่า อยู่ที่ว่าเงินทอง ทรัพย์สินและเกียรติยศที่ได้มานั้นต้องถูกทำนองคลองธรรมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) หรือว่าถ้าถึงคราวให้ท่านเลือก ท่านคงเลือกความมีอำนาจ มียศศักดิ์มากกว่าเลือกต่ำต้อยและยากจน เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่เป็น เลือกความยากจนดีกว่า ทำด้วยมานะ ด้วยตัวของตัวเอง) แต่หลายครั้งมักจะตรงข้ามกันใช่หรือไม่

เพราะเหตุใดปราชญ์โบราณถึงเลือกสิ่งที่ต่ำต้อย สิ่งที่อับจนให้ตัวเองมากกว่าที่จะเลือกความมั่งคั่ง ความมั่งมีให้กับตัวเอง เป็นเพราะว่าท่านรู้ค่าแห่งความเป็นมนุษย์อันประเสริฐมากกว่ารู้ค่าแห่งทรัพย์สินและรูปทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะท่านเห็นว่าหากได้มาซึ่งอำนาจ ได้มาซึ่งชื่อเสียงแล้วทำให้ท่านต้องบิดเบือนจากความเป็นมนุษย์อันประเสริฐ ท่านก็จะไม่เดิน ท่านก็จะไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่) และเพราะอะไรท่านถึงยอมรับความต่ำต้อย ความยากจน ก็เพราะว่าถ้าหากมนุษย์เรารู้จักดำเนินชีวิตในทางที่ถูกและเหมาะสม แม้จะต่ำต้อยชั่วขณะหนึ่ง แม้จะอับจนชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็สามารถพลิกผันเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนที่ไม่ตกต่ำก็ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนที่กล่าวไปตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะมีทรัพย์มากมาย แต่หากไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักคุณค่า เราก็สามารถทำให้ทรัพย์ที่อยู่ในมือ หรือทรัพย์ที่มีอยู่มากมายหายไปในพริบตาก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากเรารู้จักถนอมรักษาสิ่งที่มีอยู่ รู้จักขยัน รู้จักอดออม ไม่ช้าไม่นานก็จะได้มาซึ่งลาภยศที่ถูกต้อง ตำแหน่งชื่อเสียงที่ดีงาม แม้จะได้ช้าหน่อย แต่ถูกต้องดีงาม เราก็ย่อมเลือกสิ่งนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)

ฉะนั้นบางครั้งถ้ามีเกียรติยศชื่อเสียงอยู่ตรงหน้า แต่ได้มาอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม เราก็ต้องไม่เลือกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะมนุษย์เรา หากละเลยเพิกเฉยต่อความถูกต้องแห่งทำนองคลองธรรมแล้ว เราก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างแบ่งแยกได้ออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่เราแยกไม่ออก เราไม่สนใจเรื่องความถูกต้องความดีงาม ชีวิตเราก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ หรือพบความสุขได้อย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากต้องได้มาซึ่งชื่อเสียง แต่ผิดทำนองคลองธรรม เราก็ต้องไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่)

การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลายครั้งกว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ หรือกว่าจะได้มาซึ่งผลสำเร็จ เราต้องใช้ความวิริยะและอดทน แล้วพากเพียรกระทำสิ่งนั้นจนได้มา แต่เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนในสังคม อยู่ร่วมกับคนหลายลักษณะแตกต่างกันออกไป บางครั้งเราต้องรู้จักอดทน และเปิดใจแห่งความเมตตากรุณาเมื่ออยู่ร่วมกับเขาใช่หรือไม่ (ใช่) และไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง และถือว่าทุกเรื่องราวบนโลกนี้เป็นอนัตตา เป็นความว่างเปล่า เมื่อไม่มีเขาและไม่มีเรา ความผูกพยาบาทความเจ็บแค้นก็ย่อไม่เกิดขึ้น ความทุกข์ยากที่เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งก็ย่อมไม่บังเกิด เพราะเรารู้ว่าเรื่องราวบนโลกนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีตัวของเรา ไม่มีตัวของเขา เราก็ย่อมอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากว่าเมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น เราไม่รู้จักให้อภัย ไม่รู้จักอดทนระงับจิตใจ ก็จะต้องเกิดความโกรธแค้นกันและเกิดการทำร้ายกัน แล้วก็ย่อมผูกกันเป็นปมต่อไปไม่สิ้นสุด แค้นมาก็ต้องแค้นตอบ โกรธครั้งหนึ่งก็ต้องโกรธตอบ แต่หากเราดำเนินชีวิต เรารู้จักให้อภัย รู้จักลด รู้จักละ แล้วจะมีความแค้นให้แก้หรือไม่ (ไม่มี)

หากมนุษย์เราดำรงชีวิตอย่างรู้จักควบคุมชีวิตของตนเอง และรู้จักนำพาชีวิตของตนเอง สิ่งใดไม่ดีต้องหมั่นขัดเกลาชะล้าง นั่นก็คือการรู้จักบำเพ็ญตนอย่างง่ายๆ เมื่อดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ฟังดูแล้วก็คงไม่เป็นเรื่องที่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆ คนสามารถกระทำได้ แต่หลายครั้งกว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จในสิ่งที่เราต้องการ หรือกว่าจะให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในการบำเพ็ญตนนั้น เราต้องฝ่าฟันความยากลำบากและอุปสรรคนานา ขอให้เราคิดว่าอุปสรรคนั้นเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นปุถุชนหรือความเป็นพุทธะ ความทุกข์ยากเป็นเครื่องฝึกจิตใจของเราให้มั่นคงและแข็งแกร่ง เมื่อเราต้องเจอความทุกข์ยากลำบากในชีวิต หากเรามีแนวทางชัดเจนให้กับตัวเอง ดำเนินไปด้วยความมั่นคงและเที่ยงธรรม เราย่อมสามารถฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบากได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากตัวเราตั้งใจที่จะกระทำ มีจุดมุ่งหมายและหนทางให้กับชีวิต แต่ไม่มีความมั่นคงไม่แจ่มชัดในหนทาง แม้จะเดินไปก้าวหนึ่งก็ยากจะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราควรรู้ว่าสิ่งใดควรกระทำ สิ่งใดไม่ควรกระทำ สองสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน แต่สิ่งที่ควรกระทำก็คือเราได้เลือกสรร เราได้เข้าใจ แต่สิ่งที่ไม่ควรกระทำนั่นก็คือเราเด็ดเดี่ยว เราไม่ทำ เพราะว่าถ้าทำแล้วจะทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมาย ทำให้เราผิดหนทาง ผิดแนวทางของตนเองที่ตั้งไว้ หากเรารู้เช่นนี้ เวลาเราดำเนินชีวิต คำว่า “สำเร็จ” ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมใช่หรือไม่ (ใช่)

แต่มนุษย์เราเมื่ออยู่บนโลกนี้ มักเลือกที่จะเดินไปสู่ทางแห่งลาภยศชื่อเสียง ซึ่งล้วนเป็นเหมือนลมพัดผ่านมา เหมือนเมฆที่มาให้ร่มเงาเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง ที่เราพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ท่านดำเนินชีวิตโดยไม่หาเงินหาทองเลย แต่หนทางที่ถูกต้องและแนวทางของชีวิตที่แท้จริงก็คือการกลับคืนไปสู่ความสว่างไสวแห่งตัวตนเอง ไม่ใช่เดินทางไปสู่ความมืดบอดความอับจน เมื่อเราคิดจะเดินทางไปสู่ความสว่างไสว สิ่งใดเราควรทำก็ยังคงต้องกระทำ สิ่งใดไม่ควรกระทำก็ลด ละ เลิก ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงกล่าวได้ว่าความดีหากรักษาได้จึงมีค่า ความชั่วหากแก้ไขได้จึงเป็นคนดีมีประโยชน์ ฟังเช่นนี้แล้วก็คงไม่ยากเกินไปที่จะดำเนินชีวิตอย่างผู้บำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)

เรามีปัญญา มีสติ มีความรู้ เราต้องรู้จักกรองและเลือกสรรสิ่งที่ดีมาสู่ตน หากเห็นทุกอย่างแล้วก็รับมาหมด เก็บมาหมดอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) อะไรที่ไม่ดีก็ต้องตัดทิ้งบั่นทอนออกไปใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่ออะไรยาวเกินก็ต้องตัด เมื่ออะไรสั้นเกินก็ต้องต่อ แต่บางครั้งเราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาต่อ ไม่รู้ว่าจะตัดอย่างไร จะยากก็ตรงที่ตัด แล้วก็ยากตรงที่ต่อใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าคิดให้ดีๆ ไม่ยากเลย เปิดใจให้กว้างๆ วางใจให้เป็นกลาง มองทุกอย่างให้ตก มองให้ปลงให้ได้ เราก็จะรู้ว่าเรื่องราวบนโลกนี้ง่ายเหลือเกิน อยู่แค่พลิกฝ่ามือใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนไม่มีแรงที่จะพลิกตัวเอง ฟื้นตัวเองให้เป็นคนที่กล้าหาญ ให้เป็นคนที่เข้มแข็ง ให้เป็นคนดีของสังคมได้ เพราะว่ามักพ่ายแพ้และมีอำนาจแห่งการกระทำดีน้อยเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะแรงกิเลส แรงอารมณ์มีมากกว่าแรงกระทำดี แรงบำเพ็ญดีใช่หรือเปล่า (ใช่) จึงมีหลายครั้งยากจะทำดีได้สำเร็จ ยากจะบำเพ็ญตนและขัดเกลาตนให้มีจิตใจที่ใสสะอาดและดีงามใช่หรือไม่ (ใช่)

ฟังเรามากๆ อย่าเพลินไปเลยนะ ต้องมีตอบ ต้องมีคิดและต้องมีการใช้เหตุผลวิเคราะห์พินิจพิจารณา เวลาฟังแล้วไม่ใช่ฟังอย่างเดียว แต่ฟังแล้วต้องใช้สติ ใช้ปัญญา และใช้สมาธิ ฟังดูแล้วก็แยกแยะให้ถูก อะไรดีก็เก็บไว้กับตัว อะไรไม่ดีก็รีบตัดทิ้ง แล้วตัวเราก็จะไม่เป็นถังขยะเคลื่อนที่ แทนที่จะเก็บสิ่งดีของคนอื่นไว้ แต่กลายเป็นเก็บความไม่ดีของคนอื่น แล้วตัวเราก็เต็มไปด้วยความไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนแรกเป็นของคนอื่น ไปๆ มาๆ กลับมาเป็นของตัวเองได้ ว่าเขาขี้บ่น ว่าเขาขี้โมโห ว่าเขาชอบนินทา แต่ไปๆ มาๆ วันนี้เรานินทาไปแล้ว บ่นไปแล้ว โมโหไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการดำเนินชีวิตต้องมีสติ รู้จักยั้งคิด แล้วก็ตามให้เท่าทันทุกเหตุการณ์ที่พัดผ่านเข้ามาในใจเรา

การฝึกเป็นคนละเอียดรอบคอบอยู่ทุกขณะทุกเวลา จะทำให้เราเป็นคนที่ยากกระทำผิด ยากจะพลั้งเผลอ เพราะเรื่องราวบนโลกนี้เราประมาทไม่ได้แม้นาทีเดียว ประมาทไม่ได้แม้ชั่วความคิดเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) หนทางจะเป็นทางเดินได้เพราะเรารู้จักหมั่นเดิน หญ้าจึงไม่ขึ้นรก จิตใจของเราจะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง เราต้องรู้จักหมั่นขัดเกลาทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เช่นนั้นเมื่อใจว่างคุณธรรมไปสักครู่หนึ่ง ความคิดชั่วร้ายย่อมผุดขึ้นมาได้ทันที แล้วเมื่อใดที่เรามีใจคิดชั่วร้าย เราก็เป็นปีศาจร้ายได้ทันทีเหมือนกัน แต่เป็นปีศาจที่ยังไม่ออกฤทธิ์ไม่ออกลาย อย่าปล่อยให้ปีศาจแฝงอยู่ในตัวตน เพราะเมื่อใดที่มีปีศาจอยู่ อันตรายย่อมเกิดขึ้น ความทุกข์ย่อมบังเกิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังอย่างนี้แล้วดูการดำเนินชีวิตช่างเป็นเรื่องที่สนุกเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ที่ว่าเราจะขยับเขยื้อนตัวเองนี้ให้ดำเนินเรื่องใด บางครั้งเล่นเรื่องเศร้าโศกา บางครั้งเล่นเรื่องสุขปรีดาใช่หรือไม่ (ใช่)

ในโลกนี้มนุษย์เรามีสติปัญญาและความสามารถแตกต่างกันออกไป จะมีทั้งผู้ที่รู้ก่อนและผู้ที่รู้หลัง และก็อาจจะมีผู้ที่เข้าใจก่อนและผู้ที่เข้าใจหลัง เพราะอะไรถึงต้องแบ่งเป็นคนสองประเภท ก็เพราะว่าผู้ที่รู้ก่อนและเข้าใจก่อนต้องมีหน้าที่ไปบอกผู้ที่ยังไม่รู้หรือผู้ที่รู้ทีหลังให้เข้าใจ คนบำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเรารู้ว่าต้องบำเพ็ญธรรม เมื่อเราตื่นแล้วว่าจะต้องบำเพ็ญธรรม ชีวิตนี้ถ้าบำเพ็ญได้จะมีความสุข หากเรารู้ก่อนแล้วใครยังไม่รู้ เราก็มีหน้าที่จะต้องไปบอกให้เขารับรู้ แล้วถ้าหากว่าคนรู้ก่อน เข้าใจก่อน ตื่นก่อนแล้วไม่สนใจคนที่ยังไม่ตื่น คนที่ยังไม่เข้าใจจะเป็นเช่นไร คนที่ยังไม่รู้ยังไม่เข้าใจก็เต็มบ้านเต็มเมืองใช่หรือไม่ ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อน เข้าใจก่อน เห็นก่อน จะเห็นแก่ตัวไม่ได้ เอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ เมื่อมีโอกาส มีเวลาต้องรีบไปช่วยคนอื่นเขา ฉะนั้นการไปขอความรู้จากผู้อยู่หน้า เราจะทำตัวเย่อหยิ่งผยองได้หรือไม่ (ไม่ได้) ไม่อย่างนั้นแม้ผู้ที่รู้ก่อน หรือตื่นก่อนเขาอยากจะให้เพียงใดเราก็ยากจะรับ เพราะจิตใจเราปิดกั้นไม่ยอมรับใช่หรือเปล่า (ใช่)

วันนี้มาฟังธรรมะ มาเรียนรู้หลักธรรมะ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ต้องรู้จักมีน้ำใจต่อกัน จบชั้นแล้วก็ต้องรู้จักขอบคุณผู้ที่พาเรามาใช่หรือไม่ (ใช่) เจอหน้ากันก็ต้องรู้จักทักทายยิ้มแย้มต่อกันบ้าง เพราะเรื่องที่เขารู้ก่อนเข้าใจก่อนเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวหรือเปล่า (ไม่ใช่) ฉะนั้นเวลาจะรับอย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือปั้นปึง ต้องมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมที่จะรับใช่หรือไม่ (ใช่) ภาษาที่เราพูดก็เข้าใจกันทุกคน เรื่องที่เราพูดก็เป็นเรื่องที่ท่านเห็นกันทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรเราถึงทำไม่ได้และไม่เข้าใจ เพราะเหมือนเส้นผมบังภูเขาหรือไม่ก็เหมือนรู้แล้วแต่ไม่ยอมทำ



"ไม่ประดุจตายแล้วทั้งเป็นอยู่ มีประตูต้องเข้าใจวาจารู้จักใช้"

ในตัวเรามีประตูที่เปิดและปิดอยู่หลายทาง ประตูที่เปิดและปิดนั้นก็คือการรู้จักควบคุมที่จะรับเข้ามาแล้วนำออกไปใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วในตัวของเรานั้นมีประตูอะไรบ้าง (ตา ใจ ปาก) ใจเป็นประตูบานใหญ่ใช่ไหม วันนี้จะได้รับรางวัลหรือไม่ได้รับก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะยอมเปิดหรือปิดประตูบานนี้หรือไม่

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามเลือกระหว่างผลไม้กับดอกไม้)

ใครๆ ก็อยากได้รับผลที่ดี แต่ผลที่ดีอย่าวัดกันที่รูปลักษณ์ภายนอก ดอกไม้ก็มีคุณค่าของดอกไม้ ผลไม้ก็มีคุณค่าของผลไม้ อยู่ที่ตัวเราได้รับสิ่งนั้นแล้วเห็นคุณค่าแห่งสิ่งนั้นหรือเปล่า เรามักกล่าวอยู่เสมอว่าสิ่งที่มีคุณค่าแต่
ตัวเราไม่เห็นคุณค่าก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า สิ่งที่ไม่มีคุณค่าแต่รู้จักนำมาใช้พลิกแพลง ให้กลับมามีคุณค่าก็แสดงว่าคุณค่าต่างๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ แต่อยู่ที่ว่าตัวเราจะกระทำต่อสิ่งนั้นเช่นไร ธรรมะก็เช่นเดียวกัน จะมองเป็นธรรมะธรรมดาหรือธรรมะที่มีคุณค่าก็ขึ้นอยู่ที่ว่าท่านเห็นธรรมะแล้วนำไปปฏิบัติเช่นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)

หลายต่อหลายครั้งที่เราไม่รู้จักเปิดและปิดประตูของเราให้ถูกต้อง จนทำให้ชีวิตเราเหมือนกับตายทั้งเป็น ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) นอกจากประตูทางใจ ปาก ตาแล้ว ยังมีประตูใดอีก (หู , กระหม่อม , ประตูทวารทั้ง๙) หากเรารู้จักควบคุม เปิดปิดประตูของร่างกายเรานี้ให้ถูกต้องเหมาะสม รู้จักเลือกรับเลือกปฏิเสธ การที่จะหาเพื่อนหามิตรบนโลกนี้ก็ไม่ยาก การที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขก็ไม่ยากเช่นกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่โดยปกติมนุษย์รู้จักอายตนะแต่ไม่รู้จักใช้ มักจะใช้กันอย่างสับสนปนเป ไม่รู้ว่าเมื่อใดควรมองไม่ควรมอง เมื่อใดควรลิ้มรสหรือไม่ควรลิ้มรสใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเราไม่รู้จักใช้อายตนะ หากทุกวันเอาแต่ใช้สักวันย่อมเสื่อมได้ เช่นหู ถ้าฟังมากๆ ฟังเสียงดังเกินไปหูก็หนวกได้ ลิ้นรับรสจัดเกิน ลิ้นก็เฝื่อนได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือเปิดปิดเป็นแต่ควบคุมไม่เป็น ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้เราต้องรู้จักควบคุมกาย ใจ ตา หู จมูก ปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)

เราอยู่บนโลกทุกๆ วันนี้มีแต่เพิ่มเติม ไม่ยอมลด ไม่ยอมปล่อยวาง ทำให้ความทรงจำความรู้สึกที่เรามีต่อโลกนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย แล้วเราก็ปลงไม่ได้ วางไม่ได้อยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเป็นกิเลสตัณหา ความรู้สึกที่ดีและไม่ดีของคนอื่นเต็มไปหมด ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราบรรจุไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่วุ่นวายสับสนปนเปจนยากที่จะทำให้ใจบริสุทธิ์ ยากที่จะ ขัดเกลา ชะล้างทำใจให้สะอาด และบำเพ็ญตนให้เป็นคนดีอย่างแท้จริงได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะสายตา ทัศนคติหรือความคิดที่มีต่อโลก ต่อคน ล้วนแต่เลวร้าย ล้วนแต่ย่ำแย่ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เมื่อบำเพ็ญแล้วทำให้ท่านวางไม่ลง และคิดว่าตนไม่มีทางบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นพุทธะได้ เรารู้จักรับเข้ามาแต่ทำไมเราจึงไม่รู้จักปลดปล่อยบ้าง ล้างออกบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นผู้ที่รู้จักรับได้เพียงฝ่ายเดียวแต่ไม่รู้จักเทออกหรือแบ่งออกเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ที่รับได้อย่างเดียวก็ยากจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าทุกวันหวังแต่จะรับแต่ไม่เคยให้ แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะเป็นการช่วยกันตัดกิเลส ลดตัณหา ลดการเพิ่มในตัวตน ลดการเพิ่มสิ่งเลวร้ายในชีวิตของเรา ทำอย่างไรจึงจะช่วยชะล้างความไม่ดีออกจากตัวเราหรือทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เพิ่มมากไปกว่านี้ (รู้จักปล่อยวาง,ยินดีในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่) นั่นก็คือรู้จักค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ (ต้องรู้จักเสียสละ) เสียสละเวลาของตนเองไปอุทิศช่วยเหลือผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) (การให้อภัย) การให้อภัยเกิดขึ้นได้ตอนไหน ตอนที่โมโหหรือตอนที่ลูกเรา สามีเราทำอะไรไม่ได้ดังใจ บางครั้งก็ต้องให้อภัยเขาบ้าง ถ้าใช้วิธีเดิมแล้วไม่เคยก้าวหน้าหรือไม่เคยดีขึ้น เราก็ต้องรู้จักเปลี่ยนวิธีบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)

เราจะลดกิเลสหรือลดความอยากในตัวเองไม่ให้พุ่งพล่าน ไม่ให้เพิ่มเติมมากกว่านี้ได้อย่างไร เพราะหลายครั้งถ้าเราไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีชีวิตอยู่เพื่อให้ได้สิ่งที่สมความอยาก เราย่อมเหนื่อยกับการที่ได้มาซึ่งความอยากนี้ แล้วเราก็ต้องทุกข์ร้อนกับความอยากของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดความอยากขึ้นเราจะทำอย่างไรดี ในบางครั้งเมื่ออยากแล้ว มักจะทำให้เราบิดเบือนความเป็นจริง หรือทำให้เราบิดเบือนจากการเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ เพราะการให้ได้มาซึ่งความสมอยากนั้นมีทั้งวิธีที่รวดเร็วและมีทั้งวิธีที่ช้า ถ้าได้มารวดเร็วก็อาจทำให้เราต้องบิดเบือนทำนองคลองธรรม บิดเบือนกฎหมาย ถ้าได้เร็วแล้วต้องบิดเบือนเราก็ควรตัดความอยากทิ้ง หรือเลิกความอยากนั้นเสียใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราจะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะความอยากในใจเรานี้ให้หลุดไปจากตัวเราได้ เพราะหลายครั้งที่เราทำแล้วไม่สามารถหลุดได้ เราสร้างขึ้นมาแล้วแต่ยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้นมา บางครั้งก็ทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)

นั่นก็คือเวลาเจอความอยากในตัวเรา พบว่าตัวเรากำลังอยากจะทำสิ่งที่ผิดเราก็หนีเลย อย่างนั้นดีไหม คิดดีๆ เพราะในการดำเนินชีวิต บางทีเราแก้ไม่ออก นึกไม่ได้ จนในหนทาง จนในความทุกข์ เราก็หนีเสียเลย จริงๆ แล้วการหนีเป็นทางออกที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง) เราหนีได้เฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เราหนีต่อจิตใจของเราที่รู้สึกต่อเรื่องนั้นไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) (รู้จักยับยั้งใจ) รู้จักยับยั้งหักห้ามใจตนเอง แล้วใช้อะไรมายับยั้งห้ามใจ เวลาเรามีความอยาก ใจเรานั้นไม่เป็นเอก ไม่เป็นหนึ่งเดียว ใจเราแบ่งเป็นสอง แต่ถ้าแบ่งแล้วต้องตรวจสอบให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นใจที่แบ่งออกไปนั้นอาจจะมีมากกว่าใจที่ยับยั้งใช่หรือเปล่า เมื่อมีใจยับยั้งต้องเพิ่มพลังใจยับยั้งให้เหนือกว่าใจแห่งความอยาก เราจึงจะขจัดความอยากนั้นทิ้งลงได้ และปลงลงได้ใช่หรือไม่ (มีสติปัญญา) ต้องให้สติปัญญาอยู่เหนือกิเลส อยู่เหนืออารมณ์ ทุกคนมีสติมีปัญญา แต่ยากจะทำให้อยู่เหนืออารมณ์ และตามให้ทันความอยากได้ นอกจากมีสติปัญญา แล้วยังต้องมีสมาธิ (ต้องมีศีล สมาธิ และปัญญา) ศีลคืออะไร (ศีลคือสิ่งที่เราได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดี) นั่นก็คือคุณธรรมและหลักแห่งการดำรงชีวิตที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)



“มิพากันเบียดเบียนอย่างฮึกเหิม ปราชญ์ประเดิมฝึกให้ทานจากภายใน”

การจะตัดหรือลดกิเลสจากตัวเองได้นั้น วิธีง่ายๆ ก็คือรู้จักหมั่นอบรมบ่มเพาะ ขัดเกลาจิตใจตนเอง อย่างที่เรากล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่าหากจิตใจเราว่างคุณธรรมไปชั่วครู่ ความคิดชั่วร้ายย่อมแทรกเข้ามาได้ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทุกวันเรามีคุณธรรมบ่มเพาะและหล่อเลี้ยงจิตใจ การจะกระทำผิดก็ย่อมยาก
ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วสิ่งใดที่นำพาไปสู่ทางไม่ดี ทางแห่งความเสื่อมเสีย ทางแห่งความวิบัติ เราต้องไม่ชิดใกล้ เราต้องไม่เดินไปหาใช่หรือไม่ (ใช่) จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “แม้ศาสตราวุธก็ยากทำร้ายตัวเรา แม้เภทภัยก็ยากมาต่อกรกับตัวเรา” ก็เพราะว่าเราไม่เดินเข้าไปใกล้ เราไม่เดินเข้าไปหา แล้วเภทภัยนั้นจะมาทำร้ายเราได้หรือไม่ (ไม่ได้) เหมือนเราเห็นสัตว์ร้าย เรารู้ได้ทันทีว่าถ้าเราเดินเข้าไปใกล้ สัตว์ร้ายนั้นจะต้องเข้ามาทำร้ายเราทันที เราจึงไม่เดินเข้าไปใกล้สัตว์ร้ายนั้น แต่หลายครั้งที่ผู้บำเพ็ญธรรม เดินเข้าไปแล้วกลับเจออันตราย เจอศาสตราวุธและสัตว์ร้าย เพราะว่าไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่เดินเข้าไปหา สิ่งที่ตนเองกระทำนั้นเป็นสัตว์ร้ายหรือเป็นอาวุธร้าย จึงทำให้หลายครั้งต้องทำผิดพลาด หลายครั้งที่ต้องเลือกเดินทางผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าที่ใดเป็นที่ดี นำมาซึ่งความสงบ นำมาซึ่งศีลธรรม อบรมบ่มเพาะจิตใจ เราก็ควรชิดใกล้ เราก็ควรหมั่นฝึกฝน เดินเข้ามาหาใช่หรือไม่ แล้วที่ใดล่ะ ก็คือสถานที่ที่มีความสงบ ความศักดิ์สิทธิ์ และความร่มเย็นใช่หรือไม่ (ใช่) นอกจากภายนอกแล้ว เรายังหาได้จากภายในตัวเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาพูดตั้งมากมาย มีหลายคนที่ได้รับทั้งดอกไม้ ผลไม้ และก็มีหลายคนที่ไม่ได้รับ แต่ก็คงไม่รู้สึกเสียดาย เพราะท่านก็ได้รับรู้หลักสัจธรรมที่จะนำไปใช้ในชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เรากล่าวไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งที่ดีที่เรามอบให้แก่กัน ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนไกล ไม่ต้องไปเหนื่อยเดือดร้อนหาในที่ไกลๆ นั่นก็คือหยิบยื่นสิ่งที่ดี หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้แก่กันใช่หรือไม่ (ใช่) หากทุกๆ คนรู้จักหยิบยื่นสิ่งที่ดี รู้จักหยิบยื่นในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แล้วทำคุณค่านั้นออกมาให้ปรากฏ สักวันหนึ่งเราก็ย่อมเป็นผู้ที่มีประโยชน์หรือเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเป็นคนประเสริฐเพียงคำพูดเท่านั้น แต่ต้องประเสริฐได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าวาจาหรือการปฏิบัติ

การจะเป็นคนที่มีคุณค่าวัดได้จากตรงไหน (การกระทำ,จิตใจ) ต้องดูที่จิตใจคนว่าเขามีความเมตตาหรือเปล่า แต่ความเมตตาที่จะทำให้เราเห็นได้และรู้ได้นั้นก็คือเขาต้องแสดงออก แต่จะดูเขาเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าดูเขาเป็นแต่ดูเราเองไม่เป็น ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ดูเขาเป็น ตัวเราเองก็ต้องเป็นได้อย่างเขาด้วย แล้วเราจะวัดค่าแห่งความเป็นคนที่ประเสริฐนั้นได้จากอะไรอีก (จิตใจดีงาม) แล้วถ้าจิตใจดีงามไม่เคยปฏิบัติไม่เคยแสดงออกมาเลย จะเป็นคนดีที่แท้จริงหรือเป็นคนประเสริฐได้หรือเปล่า (ยังไม่ได้) ต้องลงแรงกระทำด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) ความกรุณาเอื้ออาทรเป็นการปฏิบัติของตน แต่ถ้าปฏิบัติได้แค่ตอนต้น แต่ตอนปลายไม่ปฏิบัติ ผลที่ได้รับก็ได้แค่ครึ่งเดียว หากมีความกรุณาแต่ทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่งก็ย่อมไม่ดี เมื่อจะกระทำสิ่งใดต้องกระทำให้ตลอดรอดฝั่งใช่หรือไม่ (ใช่) หากมาแค่หนึ่งวันจะเรียกว่ามาศึกษาธรรมเพื่อดำรงตน เพื่อบ่มเพาะตน เพื่อขัดเกลาตน เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้นหรือ (ต้องรู้จักอดทนและเสียสละ) หลายครั้งที่เราให้เขาได้ แต่เรามักจะอดทนไม่ตลอดรอดฝั่ง และตัดใจเสียสละไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่ายากที่จะยอมเสียเปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากจะเสียสละและอดทนได้นั้น เราต้องไม่คิดแม้เราจะเสียเปรียบบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)

การที่คนๆ นั้นจะมีคุณค่าได้ หรือเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ว่าเขากระทำเพื่อตนเองหรือเพื่อส่วนรวม คนประเสริฐที่เป็นพุทธะอริยะ เป็นบุคคลที่ขัดเกลาตนเองได้อย่างแท้จริง เขาล้วนกระทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบว่า สิ่งที่กระทำนั้นมีผลกระทบ มีผลทำร้ายต่อคนรอบข้างหรือเปล่า เมื่อทุกขณะที่เราดำเนินชีวิตรู้จักนึกถึงคนอื่น รู้จักมองคนอื่นบ้าง นั่นก็คือรู้จักฝึกเปิดใจกว้าง ฝึกเปิดใจเมตตาเฉกเช่นพุทธะ ค่าของเขาจึงประเสริฐที่ตรงนี้เอง นั่นก็คือไม่ได้มีชีวิตเพียงเพื่อตัวเองหรือครอบครัวตนเองเท่านั้น แต่ชีวิตของเรายังมีค่าและมีผลกระทบต่อปวงชนได้เช่นกันใช่หรือเปล่า (ใช่) หากเราตัดต้นไม้ต้นหนึ่ง ผลกระทบก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน เราเป็นคนไม่ดีก็สามารถสร้างผลกระทบได้เหมือนกัน แล้วสร้างผลกระทบต่อใคร (ต่อคนรอบข้าง) อย่าคิดว่าการกระทำของเราไม่มีผลกระทบต่อคนอื่น การกระทำที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเรา แล้วแสดงออกมามีผลกระทบต่อโลกใบนี้ได้ ถ้าเราทำไม่ดีหากคนอื่นเห็นแล้วเอาเป็นแบบอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว เราก็เป็นคนที่ทำให้เขาแย่ไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราทำดีตลอด เขาเห็นแล้วเอาเป็นแบบอย่าง เราก็ได้บุญโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) อยากได้ผลร้ายหรือผลดีโดยไม่รู้ตัวก็ไปคิดเอาเอง แล้วรีบไปกระทำเสีย

ขอเพียงวันนี้ท่านมาศึกษา แล้วพรุ่งนี้มาให้ครบ เมื่อศึกษาแล้วขอให้นำไปปฏิบัติให้ได้ ผลประโยชน์นั้นไม่ใช่ตกอยู่ที่ตัวเราแต่ตกอยู่ที่ตัวท่านเอง สิ่งที่เราพูดในวันนี้จะหลอกลวงหรือเป็นความจริง ก็อยู่ที่ท่านจะนำไปใช้แล้วไปประจักษ์ผล วันนี้ที่เรามานั้น ไม่ใช่เป็นการเล่นละครหรือเป็นการแสดงปาหี่หลอกลวงท่านเลย เราต้องการให้ท่านรู้และเข้าใจชัดถึงสัจธรรมที่เราได้เห็นว่าดี แต่เห็นว่าดีแล้วจะทำอย่างไรให้ท่านลงมือปฏิบัติ ให้เป็นคนดีให้ได้นี่ต่างหากที่สำคัญ บำเพ็ญอย่างตั้งใจแล้วหมั่นขัดเกลาตนให้ได้ แม้อุปสรรคจะมากมายเพียงใด ขอให้รู้ไว้ว่าอุปสรรคเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเราจะเป็นพุทธะหรือว่าปุถุชน ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นนานัปการในการบำเพ็ญธรรม เป็นเครื่องวัดจิตใจของเราว่ามั่นคงแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าท่านมุ่งมั่นและเห็นว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดี การขัดเกลาตนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แม้จะเจอความทุกข์ยากลำบากบ้างก็ต้องไม่ย่อท้อ ก็ต้องฟันฝ่าให้ได้ เพราะเราต้องการไปให้ถึงซึ่งความดีอันยิ่งใหญ่ ฉะนั้นอย่าได้ยอมแพ้อุปสรรคและความทุกข์ยาก อย่าได้ยอมแพ้ต่อความท้อแท้ที่เกิดขึ้นในจิตใจตนดีหรือไม่ (ดี)



(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานดอกไม้ในตะกร้าที่ท่านถือให้กับนักเรียนที่ตอบคำถามจนเกือบหมด)

เมื่อตอนมาตะกร้ามีดอกไม้เต็มๆ ตอนนี้ก็ว่างเปล่าแล้ว ชีวิตของเราก็เหมือนตะกร้าใช่หรือไม่ (ใช่) จะตักตวงสิ่งใดกลับขึ้นไป ถ้ายิ่งตักตวงความดีได้มากเท่าใด ความดียิ่งส่งผลมากเท่านั้น ถ้าความดีส่งผลถึงขนาดผลักดันให้เราหลุดพ้นจากวัฏฏะเวียนว่ายก็คงดีไม่ใช่น้อย อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ค่า และมีค่าในการที่ได้เกิดมาเป็นคนชาตินี้ และขอเป็นชาติสุดท้ายใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะบำเพ็ญตนและกลับคืนขึ้นไปยังเบื้องบนดีหรือเปล่า (ดี) ขอให้ทุกคนจูงมือกันไปให้ได้ ใครล้มใครทุกข์ใครท้อขอให้ช่วยกัน ใครยังมีกำลังใจก็เอากำลังใจนั้นไปช่วยคนทุกข์คนท้อ ยามท้อยามอ่อนแอ อย่าเพียงล้มเป็นแต่ลุกไม่เป็น หากล้มเป็นแล้วต้องลุกเป็นด้วยดีหรือไม่ (ดี)

(นักเรียนในชั้นร่วมกันขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทชี้แนะ)

เราก็ต้องขอบคุณท่านด้วยที่ทำให้เรามีโอกาสมาพบเจอกัน ผูกบุญสัมพันธ์กันใช่หรือไม่ (ใช่) ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีปุถุชนไม่มีเวไนยชน หรือจะมีพุทธะโพธิสัตว์" ไม่มีท่านหรือจะมีเราที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านก็มีค่าช่วยทำให้เรามีค่ายิ่งขึ้น ทุกคนอยู่ร่วมกันต่างเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน นำพากันไปสู่สิ่งที่ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งแล้วในการเป็นคน คงหมดวาจาที่จะกล่าวแล้วนะ ลาก่อน




วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



รีบรีบเร่งก้าวก้าวย่างสู่แดนโลก พร้อมลมโบกฝนโปรยปรายก็มาถึง

รีบรีบเดินนะศิษย์เอ๋ยอาจารย์ดึง อย่าดื้อดึงติดวิสัยปุถุชน

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้ แฝงกายกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า



สามัคคีกันและกันยอดแห่งขวัญ อยู่ร่วมกันยังทรมานเพราะอะไร

หัวใจตายคนเป็นเพราะขาดไป ขาดจริงใจร้ายแทรกได้ตลอด

เพียรจิตใจไม่ช่างตินินทา อนิจจาอย่าลุ่มหลงให้ใจบอด

ใครร้อนช่างใจหวังตนรอด โลกาวอดวุ่นวายศิษย์มากกว่าใคร

ปฏิปทาใช่ต้องมากมายตั้งหลายครั้ง ใจนี้ดังเป็นพุทธะยากเวียนว่าย

ยิ่งแก้ไขตนยิ่งดีเพราะแก้ไข ไม่ต้องหวั่นนานไกลยิ่งผ่องแผ้ว

สิ่งยิ่งดีอุปสรรคยิ่งมากแล ทว่าใช่ยิ่งแย่มาฝ่าคล่องแคล่ว

เดินระวังอย่างยิ่งให้ถูกแนว ปัญญาใช้แน่แน่วงามลงตัว

ไม่เข้าใจผลเหตุมาคุยกัน สารพันยิ่งลือไกลเรือยิ่งรั่ว

บ่ากว้างจึงแบกรับเกินตัว ทยอยลดในเรื่องตัวกลัวจาบัลย์



รักตนเกินหนักเบาพาลสับสน เปรียบความอดทนเสมือนสิ่งพื้นฐาน

เดินทางร่วมเพื่อนพี่น้องสมัครสมาน ศิษย์ดีกันอาจารย์นี้ก็ยินดี

ฮา ฮา หยุด







ยกเว้นไม่คิดจะกลับคืน จะหลับตื่นจะเร็วหรือจะช้า หนทางที่สุดตา หรือสั้นค่าอย่างไร

จะสุขทุกข์เท่าไหน เหนื่อยเพียงไรมิหยุดหวัง เข็ดจำไม่คิดวาง แล้วว่ามันธรรมดา

ผ่านสิ่งนี้ตรมใจ รวบสิ่งใหม่มาแทนขาดเกิน ระหกระเหิน ก้มหน้าแล้วเดิน เจ้าไม่เข้าใจ

* โปรดตระหนักและมองที่ใจเจ้าเอง เวลาเร็วไม่เกรงก็เกรงแค่จิตหลง เบือนบิดทางสายตรง ด้วยการล้มลงเพียงครั้งหนึ่ง (ศิษย์ไม่คิดจะก้าวต่อ)

กระจ่างต่างกับรักหลง จิตคงมั่นเกิดเพราะศรัทธา เห็นใครดีกว่า ชื่นชมมิเฝ้าขื่นใจ ศิษย์ก้าวขาตามฟ้ามีหรือจนใจ ฝนทั่งจิตไว้แม้ทำไม่ง่าย ( ซ้ำ * )



เพลง : กระจ่างต่างกับรักหลง

ทำนองเพลง : ไม่เจียม






พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ปรบมือคนละแปะสองแปะแบบนี้จะถึงฟ้าหรือเปล่า ความไม่พร้อมเพรียงจะไปถึงฟ้าหรือเปล่า มีหลายคนคิดว่าไม่ถึง คนที่บอกว่าไม่ถึงก็จะไปให้ถึงใช่ไหม (ใช่) ทำไมคนที่บอกว่าไม่ถึงจึงไปถึงล่ะ เพราะคิดว่าไม่ถึงจึงเร่งรีบพยายามใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์เคยเร่งรีบพยายามเรื่องใดบ้าง (รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์, ตั้งจิตมั่น, เร่งรีบทำความดี, เร่งรีบบำเพ็ญทางจิต) ชีวิตนี้เร่งรีบที่สุดคือเร่งรีบหาเงิน เพราะเงินทองขาดไปจากกระเป๋าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ต้องรีบหาใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วต้องเร่งรีบหาอะไรอีก (หาธรรมะ) อาจารย์ว่าเร่งรีบหาสิ่งที่จะทานใช่ไหม (ใช่) เวลาเราอยากจะทานก็ต้องหาในสิ่งที่อร่อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ ศิษย์นั้นได้เร่งรีบที่จะให้ตนเองนั้นเป็นคนที่ไม่น้อยหน้าใคร เรามีความเร่งรีบต่างๆ ก็เป็นความเร่งรีบแห่งปุถุชนใช่หรือเปล่า (ใช่) เรานั้นบอกว่าเราเร่งรีบในการทำความดี เรารีบแต่เราไม่ได้ทำ รีบๆ เร่งๆ อยู่ในใจ เวลาทำจริงๆ แล้วทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราทำไม่ได้มาก เพราะฉะนั้น การที่เราเป็นปุถุชนอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่ตัวเราหามา ตัวเราค้นมา ตัวเราสร้างให้ตัวเราเป็นปุถุชนใช่หรือไม่

ในวันนี้มาประชุมธรรม คนที่อยู่หน้าชั้นพูดถึงเรื่องพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถามว่าศิษย์ของอาจารย์มีความคิดอยากจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยาก) แล้วพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำในสิ่งไหนบ้าง (สิ่งที่ดี) สิ่งที่ดีเฉยๆ ได้หรือเปล่า (สิ่งที่ดีงาม) สิ่งที่ดีงามไม่ใช่ดีงามเฉพาะตน แต่ดีงามต่อคนจำนวนมากใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการให้ต่อคนจำนวนมากเราก็ต้องเสียสละมากด้วย ถ้าเราเสียสละน้อยๆ ก็ดีเพียงแค่ตัวเองใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ดีแค่คนในบ้าน แต่ต้องดีไปถึงคนข้างๆ บ้านด้วย แล้วเคยเป็นคนดีของสังคมไหม เราเคยเป็นคนดีของคนทั้งประเทศไหม เราเคยเป็นคนดีของคนทั้งโลกไหม (ไม่เคย) แล้วถามว่าเราจะเป็นพุทธะให้ใครกราบไหว้ ให้ตัวเองหรือให้คนข้างบ้านกราบไหว้ พุทธะมีคนแค่นี้กราบไหว้ใช่ไหม (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จึงต้องทำความดีที่เป็นความดีของคนทั้งสังคม ทั้งประเทศ และคนทั้งโลกใช่หรือไม่ (ใช่)

ยกตัวอย่างเช่น พระศรีอาริย์ฯ พระพุทธองค์ ศิษย์รู้จักดีใช่หรือไม่ คนที่กราบไหว้ท่านนั้นมากมายหลายประเทศ เป็นค่อนโลกใช่หรือไม่ (ใช่) เราคงไม่ต้องไปยิ่งใหญ่เท่าท่าน แต่ขอให้เราดีจริงๆ เพราะว่ามนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีความดี แต่เป็นความดีที่ไม่เที่ยง เป็นความดีเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ลมเพลมพัดใช่หรือไม่ ลมพัดแรงหน่อย ความดีของเราก็ฟุ้งกระจายไปไกลหน่อย ถ้าความดีของเรามีเพียงแค่เล็กน้อย ถึงลมจะมาแรง แต่ก็ไม่ทำให้ความดีของเราไปงอกเงยที่ไหนเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เกสรของดอกไม้เวลาโดนลมพัดก็จะฟุ้งกระจายไปไกล ความดีของเราเปรียบเสมือนเกสรดอกไม้ที่เวลาลมพัดไปก็ไปมอบความเจริญงอกงามให้แก่ที่นั่น แต่ทุกๆ วันนี้เรายังทำไม่ได้ถูกหรือเปล่า (ถูก) เรายังทำไม่ได้เพราะว่าเรามีอะไรเยอะ (กิเลส) อาจารย์อยากถามว่าพวกเรารู้จักคำว่า “กิเลส” ดีแค่ไหน (กิเลสคือรัก, โลภ, โกรธ,หลง) รู้จักกิเลสกันเพียงเท่านี้เองหรือ



“รีบรีบเร่งก้าวก้าวย่างสู่แดนโลก พร้อมลมโบกฝนโปรยปรายก็มาถึง





เมื่อสักครู่ฝนตกใช่หรือไม่ (ใช่) ฝนตกแล้วเป็นอย่างไรบ้าง (เย็นสบาย) ฝนตกลงมาเย็นคนเดียวหรือเปล่า (เปล่า) ฝนตกลงมาคนที่หายร้อนก็คือคนที่กำลังร้อนอยู่ ชีวิตนี้เราเคยทำตัวได้เหมือนสายฝนไหม เราเห็นฝนมาตั้งแต่ตอนที่เรายังเล็กๆ อยู่ แล้วมองมาตั้งนาน รู้สึกอยากเป็นแบบฝนไหม (อยาก)

พุทธสถานที่นี่ชื่อว่าอะไร (เฉิงอี้) “เฉิงอี้” แปลว่าอะไร (ศรัทธาจริงใจ) ถามว่าศิษย์จริงใจหรือเปล่า (จริงใจ) จริงใจนั้นเคลือบแฝงสงสัยหรือเปล่า (เปล่า) ข้างในสถานธรรมเรียกว่า “ข้างในประตูพุทธะ” ข้างนอกสถานธรรมเรียกว่า “ข้างนอกประตูพุทธะ” อยู่ภายนอกไม่สามารถเข้าสู่สภาวะวิมุติได้ อยู่ข้างนอกเป็นปุถุชนสบายๆ อยากทำอะไรก็ได้ทำ มีอิสระแต่ไม่สามารถเป็นพุทธะที่สมบูรณ์ได้ เพราะเราเอาแต่ใจตนเอง ดังนั้นสู้ข้างในร้อนแล้วเราเข้ามาอยู่กับเขาข้างในดีหรือเปล่า (ดี) ประตูพุทธะนั้นอยู่ที่ไหน (ที่ใจ) เข้าให้ถึงจิตใจของตนเองที่สุกใส เมื่อยามที่คนเขาเกลียดชิงชังเรา เราเกลียดตอบได้ไหม (ไม่ได้) เมื่ออาจารย์เดินเข้ามา หลังประตูนี้ก็คือประตูแห่งพุทธะแล้ว ศิษย์รู้สึกว่าเรามีเกียรติหรือเปล่า (มี) แล้วถามว่าจิตของเราที่ยังเคลือบแฝงอยู่นั้นควรมีหรือเปล่า (ไม่ควร) เมื่อเราได้รับเกียรติเช่นนี้ควรทำอย่างไรที่จะให้สมเกียรตินี้ (ทำในสิ่งที่ดี) หรือพูดอีกทีต้องเร่งรีบที่จะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นทำความชั่วจะเหมือนเราทำความชั่วไหม (ไม่เหมือน) เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเองใช่หรือไม่ แม้ว่าจะมีคนทำไม่ดีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่เราก็ต้องทำอย่างไร (ทำความดี)



"สามัคคีกันและกันยอดแห่งขวัญ" ถามว่าสามัคคีกันดีหรือเปล่า (ดี) สิ่งใดที่เกิดก่อนความสามัคคี (ความจริงใจ, ความเป็นมิตร, ความเอื้ออาทร, ความโอบอ้อมอารี) ในการที่เรานั้นจะมีความสามัคคี ต้องมีสิ่งหนึ่งที่มาก่อนความสามัคคี ก็คือความรักผู้อื่น ความเข้าใจผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยอยู่บ้านเดียวกันแล้วคุยกันไม่รู้เรื่องไหม ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะเราไม่เข้าใจกันใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เข้าใจเขา เขาจึงไม่เข้าใจเรา แต่ว่าอาจารย์ไม่ได้หมายความว่าศิษย์จะคุยกัน ทะเลาะกันไม่ได้สักครั้งหนึ่ง แต่หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นบ่อยครั้งใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องทำอะไรบ้างถึงจะสามัคคีกันได้ เราจะต้องมอบความเข้าใจต่อเขา มอบความรักให้เขา ในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มอบความรักความเข้าใจให้คนรอบๆ ตัวเราหรือยัง ให้มากมายเพียงพอที่เรานั้นจะสามัคคีกันได้ไหม ในการบำเพ็ญธรรมแห่งยุคนี้ อาจารย์นั้นเน้นให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนสามัคคีกัน เพราะว่ามาอยู่ร่วมกันเปรียบเสมือนพี่น้องกัน หากว่าเรานั้นไม่สามัคคีกัน ก็ไม่สามารถจะเดินไปด้วยกันจนสุดทางได้ ความสามัคคีนั้นเราจะเรียกร้องให้ผู้อื่นให้กับเราได้หรือไม่ (ไม่) จะเรียกร้องให้เขาเข้าใจเราก่อนโดยที่เราไม่เข้าใจเขาได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราทุกคนต้องมีสิ่งนี้ให้แก่กัน การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ธรรมะลงสู่ครัวเรือน เพราะฉะนั้น นอกจากจะสามัคคีกันต่อคนในสถานธรรมแล้ว ยังต้องสามัคคีต่อคนในบ้านของตัวเองด้วย ถ้าเรายังไม่สามารถสามัคคีกันก็แสดงว่าตัวเรายังไม่สามารถทำให้คนรอบๆ ตัวเรามีความรักในตัวเราได้ แล้วคนจำนวนมากเป็นร้อยคน เป็นล้านคน เราจะสามัคคีกับเขาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ทุกๆ ครั้งที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง จะต้องมองตัวเราเองก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่) หลายๆ ครั้งที่เรามองเห็นว่าเขาทำผิด เราใช้อะไรมอง (ตา) และเราใช้หูของเราฟัง แล้วเราก็บอกว่าคนที่อยู่ตรงข้ามกับเราคนนี้เป็นคนผิด จริงๆ แล้ว นอกจากเขาผิดแล้ว ต้องใครผิดด้วย (ตัวเราเอง) เพราะว่าตัวเรานั้นก็มีร่างกาย มีความคิด เรานั้นก็ผิดเป็น เพราะฉะนั้น เมื่อผิดแล้วต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเองผิด หลายคนยอมรับแล้วแต่ยอมรับอยู่ที่ไหน (ที่ใจ) ไม่ได้แสดงออกว่าเรานั้นผิดใช่หรือเปล่า เราไม่อยากจะยอมรับผิดกับผู้อื่น เพราะว่าเราขายหน้า ถ้าเราเป็นพุทธะ การที่เราเริ่มสามัคคีกัน เราต้องละทิ้งอะไรด้วย (ละทิ้งความอาย) ต้องละทิ้งความอับอายขายหน้า และยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ใช่หรือเปล่า

ในสังคมมนุษย์ บางคนที่มีกิเลสมาก เมื่อไม่มีสิ่งนี้ก็ทำเหมือนมีสิ่งนี้ เมื่อจนก็ทำเหมือนรวย เมื่อยากจนแล้วก็ควรที่จะยอมรับว่าตัวเราเป็นคนที่ยากจน เมื่อเราทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) การยอมรับดังนี้เรียกว่าได้ทำในสิ่งที่มนุษย์ควรทำ หมายความว่าเป็นคนที่เหมือนคนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเป็นคนที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แสดงว่าเราเป็นคน แต่ใจเราไม่ใช่คน ใจเราตกต่ำไปเสียยิ่งกว่ามนุษย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ทำไมต้องพูดถึงเรื่อง “มนุษย์” (เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นผู้มีความเที่ยงตรง) ทำไมจึงบอกว่ามนุษย์เรานั้นต้องเที่ยงตรงเสียก่อน เพราะว่าบางคนร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจไม่ใช่มนุษย์ ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนที่กินทิ้งกินขว้างก็ไม่ต่างกับอะไร สัตว์ประเภทไหนที่กินข้าวเหลือก้นชาม (สุนัข) ถ้าหากเป็นคนที่ทำอะไรแล้วทิ้งขว้างก็เป็นคนที่ไม่เรียบร้อยเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อหน้าที่ เราก็เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)

มนุษย์นั้นมีปัญญาและความฉลาดแต่กลับไม่ใช้ ชอบแก่งแย่งชิงดีกัน การแก่งแย่งชิงดีมีแต่ในพวกผี วิญญาณ เวลาที่ศิษย์ทำบุญแล้วกรวดน้ำไป พวกผีวิญญาณนั้นจำเป็นต้องแย่งกัน เคยได้ยินหรือเปล่า เพราะเขานั้นไม่มีแล้ว ไม่สามารถจะมีได้แล้ว ศิษย์ของอาจารย์มักชอบแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง เงินทองในโลกนี้มีมากมาย ขวนขวายอย่างไรก็ได้ แต่ว่าเราจะหาโดยสุจริตหรือทุจริต คนใช้ความฉลาดไปทำสิ่งที่ทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ นับว่าเป็นการกระทำของมนุษย์หรือไม่ (ไม่) การเป็นมนุษย์นั้นยาก ร่างกายของมนุษย์เกิดมาก็ยาก พ่อแม่นั้นกว่าจะให้กำเนิดเราให้ร่างกายที่สมบูรณ์นั้นยากหรือไม่ (ยาก) ทำไมคนจึงเกิดมาพิการ (เพราะเขาทำกรรมไว้) ถามว่าศิษย์ของอาจารย์ชาตินี้ทำกรรมมากหรือน้อย แล้วชาติหน้าจะเกิดไปเป็นคนสมบูรณ์หรือพิการ ถ้าหากว่าชาตินี้ทำความไม่ดี ชาตินี้ก็พิการแล้ว พิการที่ใด (ใจ) ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า เพราะการนินทาคนลับหลัง เราก็ผวา ต้องคอยเหลียวหน้าเหลียวหลังเพราะเราทำความผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) สู้ไม่ทำเลยจะดีกว่า เพราะการเป็นคนนั้นยากยิ่ง จึงควรทำในสิ่งที่สมควรทำ สิ่งที่มนุษย์สมควรทำนั้น เป็นเรื่องที่ต้องไม่เผอเรอ ต้องไม่ยอมที่จะผิดพลั้ง เพราะว่าตนเองเจตนาไปพลั้งเผลอ

(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปวงกลม ๓ วง)





















แดน ๓ แดนนี้ แดนแรกคือแดนมนุษย์ เป็นที่ที่มนุษย์อยู่ จึงต้องทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วย แดนต่อมาที่ชอบลงไปบ่อยๆ เรียกว่าอะไร (นรก) แดนต่อไปที่ไปกันไม่บ่อยนักเรียกว่าอะไร (สวรรค์) แดนสวรรค์นี้ต้องคนที่ทำความดีถึงขึ้นไปได้ แล้วตอนนี้เราทำบุญกุศลพอที่จะไปแดนไหน สมมติว่าตอนนี้เราจะไปแล้ว เราจะไปที่ไหน (สวรรค์) ทุกคนอยากไปสวรรค์ แต่ลองคิดดูสักนิดว่า ตามที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ การกระทำของศิษย์ที่ผ่านมาจะพาให้ศิษย์ไปนรกหรือไปสวรรค์ (เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองไปนรก แต่รับธรรมะแล้วรู้สึกว่าตัวเองต้องไปสวรรค์) ชั่วชีวิตนี้ ตั้งแต่วันแรกที่กำเนิดเป็นร่างกายมนุษย์ จนกระทั่งอายุล่วงเลยมาถึงวันนี้ ใครว่าไปนรกยกมือ (มีนักเรียนในชั้นยกมือ) คนที่ยกมือตรงนี้แสดงว่าเป็นผู้ที่รู้จักสำนึกแล้ว ถึงแม้ศิษย์สำนึกแล้ว กลับตัวกลับใจไม่ทำผิดก็ ย่อมสามารถไปสวรรค์ได้ คนที่คิดว่าไปสวรรค์ยกมือขึ้น (มีนักเรียนยกมือ) แล้วที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปนรกหรือไปสวรรค์ยกมือขึ้น ศิษย์ยังไม่รู้ว่าตัวเองกระทำความผิดหรือความชอบ แล้วจะให้ใครรู้ล่ะ จะบอกว่าไปนรกก็ตามแต่จริงๆ แล้วควรจะรู้ตัวเองจึงทำให้เราสามารถเดินอย่างคล่องแคล่ว ถ้าหากว่าเราไม่รู้ตัวเองแล้วจะให้ผู้ใดรู้ ไม่รู้ตัวเองแล้วผู้อื่นเตือนก็ไม่ฟัง จึงไม่สามารถเดินทางได้อย่างคล่องแคล่วจนถึงปลายทางได้ใช่หรือไม่ (ใช่)

แดน ๓ แดนนี้ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปนรกดีหรือว่าสวรรค์ดี ก็เป็นวิญญาณพเนจร ก็คือวนไปเกือบจะถึงสวรรค์แล้ว แต่ไปไม่ถึง ลงไปนรกก็เข้าไม่ได้ วนซ้ายและวนขวา อยู่ท่ามกลางสวรรค์และนรกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราควรที่จะมีจุดมุ่งหมายในการทำความดี จะได้ไปสู่สวรรค์ได้ แต่ว่าบัดนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นมนุษย์ ต้องการที่จะไปถึงสวรรค์ยังยาก แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงนิพพานนั้นยากขึ้นไหม (ยาก) นิพพานอยู่เหนือสวรรค์ขึ้นไปอีก เป็นมนุษย์ยากไหม (ยาก) อยากพบนรกหรืออยากไปสวรรค์ยากไหม (ยาก) แล้วอยากจะไปนิพพานยากไหม (ยาก) เพราะฉะนั้น เราต้องเพิ่มความเพียรให้กับตัวเอง ถ้าเราเพียรน้อยเราจะไปถึงไหม (ไม่ถึง) ศิษย์เคยเห็นธนูไหม (เคย) ยิ่งง้างแรงยิ่งพุ่งไกล ถ้าหากศิษย์ง้างไม่แรงก็พุ่งไม่ไกล ถามว่าถ้าเราง้างขึ้นมาต้องใช้แรงไหม (ต้อง) แล้วถามว่าปล่อยออกไป ต้องปล่อยด้วยความมั่นคงไหม (มั่นคง) ต้องปล่อยออกไปด้วยความมั่นคง เพราะว่าจุดหมายของเรานั้นอยู่ข้างหน้า ถ้าหากว่าเล็งเป้าพลาดก็จะไปไม่ถึง ฉะนั้นสิ่งที่พูดมาต้องใช้ความพยายามในการดึง ง้างคันธนู ต้องใช้ความมั่นคงในการปล่อยธนูออกไป ล้วนเกี่ยวกับใครทั้งสิ้น (ตัวเราเอง) หากว่าศิษย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะไปพ้นสามแดนนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ถึงแม้ว่าการไปนิพพานคือเรื่องยาก แต่ทว่าพระพุทธเจ้า พระอริยะและปราชญ์เมธีทั้งหลาย ที่ไปถึงแล้ว ล้วนเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มีร่างกายเช่นเดียวกับเราทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้น พวกท่านเหล่านั้นทำได้เราก็ต้องทำได้ด้วย ถึงตอนนี้มั่นใจหรือไม่ที่จะให้ตัวเองไปถึง (มั่นใจ) นิพพานยังไกลหรือเปล่า (ไม่ไกล) เมื่อก่อนนี้พระพุทธเจ้าและผู้ที่บำเพ็ญทั้งหลายต้องออกแสวงหาสิ่งหนึ่ง จึงจะสามารถหลุดพ้นได้ นั่นคือหาจิตของตนเองให้พบ แต่ในบัดนี้ ในวันที่ศิษย์รับธรรมะนั้น อาจารย์ได้ชี้บอกให้แล้ว แม้ว่าศิษย์จะไม่รู้เลยว่าเป็นจิตของตนเอง เพราะว่าเรานั้นยังไม่มีบารมี ยังไม่มีฐานที่
รองรับได้แน่นหนาเหมือนกับปราชญ์อริยะสมัยก่อน แต่ทว่าศิษย์ของอาจารย์ได้แล้วก็คือได้แล้ว ของมาถึงมือแล้วก็คือถึงมือแล้ว ไม่สามารถปัดทิ้งได้ จิตของเราอยู่ที่ไหน ศิษย์นั้นจะต้องลงแรงบำเพ็ญที่นั่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าในชาตินี้ได้รับแล้วทำเหมือนไม่ได้รับ เป็นคนโง่หรือคนฉลาด (คนโง่)

เรือลำนี้ที่ศิษย์นั่งเป็นเรือพุทธะ เมื่อสักครู่นี้ศิษย์พายเรือใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พายกันไม่เป็นจังหวะไม่พร้อมกัน ตอนนี้เอาความตั้งใจของเราที่อาจารย์มอบให้มาพายดีไหม (ดี) การที่เราพายเรือนั้นเราต้องพายด้วยความสมัครสมานสามัคคี ถูกหรือเปล่า (ถูก)

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพายเรือธรรมและทำท่าประกอบ)

กลัวไม่กลัวที่จะพายไปถูกคนข้างๆ (กลัว) ถ้าเราพายถูกจังหวะก็จะไม่ชนคนข้างๆ ฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องทำผิดให้น้อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์นั้นเมื่อทำผิดต้องมีสิ่งใด (ต้องมีสติ) ความรู้ที่เราเรียนมานั้นต้องทบทวนไปด้วยอย่าได้ทำผิดอีก เรือลำนี้ของศิษย์ยังไปพายแข่งกับใครไม่ได้ ถ้าพายแข่งกับใครต้องพ่ายแน่ เพราะฉะนั้นเราต้องเพิ่มความสามัคคีใช่หรือเปล่า (ใช่) ความสามัคคีเกิดจากอะไร เกิดจากความรักคนข้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเขาผิดเราต้องตักเตือน ถ้าเราผิดเราต้องแก้ไข แต่คนทั่วไปในสังคมนี้เมื่อเห็นผู้อื่นผิดหรือได้ดีมักทำอย่างไร เรามักแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ผิดตามเขา ในที่สุดเขาเดินลงนรก เราก็เดินลงนรกไปพร้อมกับเขาถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นถ้าเขาผิดเราต้องบอกเขา แต่ถ้าบอกเขาไม่ได้ เราก็อย่าได้เผอเรอทำผิดตามเขา โดยทั่วไปมนุษย์มักทำผิดตามกันไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนมดที่ขนอาหาร คนอื่นไปขนจากที่ไหนก็จะไปขนจากที่นั่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้จะรับธรรมะแล้ว ได้รู้จิตของตนเอง ได้รู้ทางหลุดพ้น แต่อาจารย์คงช่วยศิษย์ของอาจารย์ที่ไม่รู้จักบำเพ็ญไม่ไหว ฉะนั้นเมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว จงรู้จักปฏิบัติทางที่ถูกที่ควรได้หรือไม่ (ได้) การเป็นพุทธะนั้นเป็นเรื่องยากต้องอาศัยปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นเดียวกับการดำรงชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนี้ขอให้ศิษย์เริ่มที่จะสร้างกุศล เริ่มที่จะทำในสิ่งที่ดี เมื่อเห็นผู้อื่นทำไม่ดี จงอย่าได้ไปทำตามดีหรือเปล่า (ดี)

หลายๆ ครั้ง อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์ทำท่าเป็นคนฉลาด ทำไมถึงบอกเช่นนั้น เพราะเวลาที่เห็นคนอื่นได้ดี เราก็หลับหูหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ทำในสิ่งเดียวกับเขา แล้วก็คิดว่าคงจะได้ดีเหมือนกัน แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่ทำผิดแล้วได้ดีเพราะเขามีบุญหนุน แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเจ้ามีหรือเปล่า ศิษย์ไม่สามารถที่จะรู้ตัวเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงเวลาเมื่อทำผิดแล้ว เมื่อบาปแล้ว ศิษย์จะเป็นคนของฟ้าได้อย่างไร ถึงเวลานั้นจะมากราบพระขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถามว่าคนชั่วมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นพวกเจ้าทั้งหลายเป็นศิษย์ของอาจารย์แม้ว่าหนทางยังไกล แต่ศิษย์นั้นจะต้องเดินไปให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)

“จะสุขทุกข์เท่าไหน เหนื่อยเพียงไรมิหยุดหวัง" ถึงแม้ว่าเราจะเหนื่อย เราก็ต้องทำให้ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ จะผิดก็แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นอยากได้แต่กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นสิ่งที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการเลย ศิษย์จึงไม่สามารถกลับมาเป็นพุทธะได้

"เข็ดจำไม่คิดวาง แล้วว่ามันธรรมดา" ทั้งเข็ด ทั้งจำ แต่ไม่คิดวาง แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์มักมีคำนี้ไว้ในใจ บอกว่าที่เราสุขเราทุกข์ก็ธรรมดา ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันใช่หรือไม่ (ใช่) นับแต่นี้ไปศิษย์ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองจากความเป็นปุถุชนเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นพุทธะ การเป็นพุทธะเปรียบเสมือนกับการก้าวเข้าประตู ถ้าหากว่าศิษย์หยุดยืนอยู่หน้าประตู แม้จะยืนติดประตูพุทธะก็ไม่สามารถก้าวเข้าไปได้ แม้ว่าศิษย์ก้าวเข้ามาแล้ว แต่จิตใจพะว้าพะวงอยู่ข้างนอก ในที่สุดแล้วก็ต้องก้าวออกไปถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นตัดกิเลสจึงต้องตัดจากที่ใด (ที่ใจ) แม้ว่าผู้บำเพ็ญนั้นจะเป็นผู้ที่บำเพ็ญดี แต่หากว่าผู้บำเพ็ญนั้นไม่ยอมตัดสินใจก้าวข้ามประตูมา แม้ว่าจะทำดีเท่าไร แต่ไม่ตัดกิเลส ในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถเป็นพุทธะได้ ถ้าหากว่าจิตของศิษย์นั้นพะว้าพะวง ถามว่าศิษย์จะยืนหยัดเป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับใจของศิษย์เองว่าศิษย์นั้นตัดได้หรือไม่ ศรัทธาหรือไม่ และมั่นคงหรือไม่

เสื้อผ้าสวยงามที่เราอยากได้ คนที่เรารัก บ้านที่อยากจะได้สักหลังหนึ่ง รถที่เราอยากจะได้สักคันหนึ่ง ละครที่เราติด เบอร์ที่เราชอบเล่น สุรานารีที่เราชอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี ทั้งทรัพย์สินและความสนุกชั่วแล่น ดังนั้นเราจึงไม่ใช่พุทธะ พุทธะเล่นเบอร์ พุทธะกินเหล้าได้ไหม (ไม่ได้) พุทธะสูบบุหรี่ได้หรือเปล่า ถ้าพุทธะเมาเหล้าหรือสูบบุหรี่จะไปช่วยคนได้ไหม (ไม่ได้) พุทธะกำลังเล่นล็อตเตอรี่เล่นหวยอยู่ หากล็อตเตอรี่จะออกแล้ว ถ้ามีคนจมน้ำอยู่ข้างหน้าจะเลือกอะไร จริงๆ แล้วก็เลือกที่จะช่วยคน แต่ตาของเรามองเห็นแต่เบอร์ ก็เลยช่วยไม่ได้ เพราะเราไม่ได้นำตาของเราไปมองความเดือดร้อนของผู้อื่น เรามองเห็นแต่ตัวเอง ส่วนใหญ่เราจะมองเห็นความผิดของผู้อื่น แต่กลับไม่เห็นความผิดของตัวเอง ความผิดของเราและของคนอื่นก็เหมือนกัน แต่เราต้องเสียสละตัวเองไปช่วยคนอื่นใช่หรือไม่ ในที่สุดแล้วเราก็จะไม่สร้างความผิดเพิ่ม ส่วนความผิดที่มีอยู่ก็ชดใช้เสียให้สิ้น

“สิ่งยิ่งดีอุปสรรคยิ่งมากแล ทว่าใช่ยิ่งแย่มาฝ่าคล่องแคล่ว”

เราเคยยิ่งแย่หรือเปล่า แล้วเราสู้ด้วยอะไร (กำลังใจ) กำลังใจมาจากสิ่งที่เรามุ่งหวังจะให้เป็นใช่หรือไม่ ศิษย์เคยมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ หรือเคยมีกำลังใจที่จะช่วยผู้อื่นหรือเปล่า เราต้องมีสองสิ่งนี้เท่าๆ กัน เรามีกำลังใจเพราะว่าเรานั้นมีจุดหมาย การบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะนั้นต้องมีจุดหมาย จุดหมายคือนิพพาน กำลังใจนั้นคือการที่จะคิดให้คนอื่นนั้นหลุดพ้นไปพร้อมๆ กับเรา ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องคิดอย่างนี้เช่นกัน แม้ว่าเราจะมีอุปสรรคมากมาย แต่ต้องไม่ปล่อยให้ตัวของเรายิ่งแย่ลงไป

“เดินระวังอย่างยิ่งให้ถูกแนว” ถ้าเราเดินไม่ระวังก็อาจจะสะดุดล้มได้ การเดินเป็นสิ่งที่เรานั้นจะต้องออกแรง เราจะต้องควบคุมร่างกายของเราให้ดี ถ้าหากว่าทางหนึ่งเป็นทางอับเฉา อันได้แก่บ่อนการพนันทั้งหลาย กับทางหนึ่งเป็นทางไปสู่สถานธรรม ศิษย์จะเลือกทางไหนดี

“ปัญญาใช้แน่แน่วงามลงตัว” ศิษย์รู้จักใช้ปัญญาหรือยัง ปัญญาเหมือนกับความฉลาดไหม (ไม่เหมือน) เมื่อเราอยากจะได้ของสิ่งนี้ แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา เราจะใช้ความฉลาดของเราทั้งหมดนั้นหาวิธีเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนที่มีปัญญา ย่อมรู้เท่าทันว่าสิ่งนี้เป็นของเราหรือไม่ ถ้าหากไม่ใช่แล้ว ปัญญาสอนให้เราปล่อยได้วางได้ นี่คือปัญญา ไม่เช่นนั้นแล้วมนุษย์ทุกๆ คนจะรู้จักแก่งแย่งกันได้อย่างไร ทั้งนี้แก่งแย่งกันด้วยความฉลาดและเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)

หากศิษย์ของอาจารย์ปล่อยวาง ปล่อยวางอย่างไร สมมติว่าแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือเป็นของสิ่งหนึ่ง การปล่อยก็คือปล่อยลงไป ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งนั้นจะเจ็บเป็นหรือเปล่า เพราะถ้าหากศิษย์ไม่ทำเช่นนี้ ก็ไม่สามารถปล่อยได้ถูกหรือเปล่า (ถูก) แล้ววางทำอย่างไร สมมติสิ่งๆ นี้ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นของที่มีความรู้สึกก็ใช้วิธีการปล่อยไม่ได้ ศิษย์ก็วางมันลงไปโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าเรานั้นต้องการสิ่งนั้นอีกหรือเปล่า เวลาเรามีเรื่องกลุ้มใจ เราก็ปล่อยวางไม่ลง เพราะว่าเราเป็นมิตรกับมัน หรือเพราะมันให้ประโยชน์กับเราถูกหรือเปล่า แล้วทำไมเราถึงปล่อยให้มันให้ประโยชน์กับเรา ถ้าเราให้ประโยชน์กับมัน มันก็ต้องให้ประโยชน์ต่อเราด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นหากว่าศิษย์คิดจะปล่อยวาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ขอให้ปล่อยมันลงไป ขอให้วางมันลงไปดีหรือไม่ (ดี) เวลาที่อยากจะปล่อยวาง ขอให้ปล่อยวางโดยไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ดีหรือเปล่า (ดี) ใจเล็กๆ ของคนนี้เก็บความทุกข์ไว้มากมายใช่ไหม (ใช่) ความทุกข์มากมายเกิดเพราะเราปล่อยวางไม่ลงถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่นี้ไปเราต้องหัดปล่อยวาง ใบหน้าของเราก็จะยิ้มแย้มขึ้น อยากจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มไหม (อยาก) แล้วทำไมเราจึงยิ้มยาก พูดไปพูดมา วนไปวนมา เราก็รู้สึกว่าเรามีปัญหามากมายใช่หรือไม่ (ใช่)

“ก้าวขาตามฟ้า” ฟ้านี้คือฟ้ามโนธรรมสำนึก ก้าวขาตามฟ้าก็คืออย่าทำอะไรที่ผิดไปจากมโนธรรมสำนึกในใจของตัวเราเอง อาจารย์บอกได้เลยว่าหากศิษย์มีมโนธรรมสำนึกก็จะไม่เกิดความจนใจ จนกับยากจนนั้นไม่เหมือนกัน แม้จะยากจนแต่ว่าคงคุณธรรมไว้ก็จำเป็นต้องเลือกสิ่งนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนนั้นบอกว่าเราทำตามมโนธรรมสำนึก ความผิดชอบชั่วดีแล้ว แต่จนลงทุกวันๆ จะทำอย่างไรดี ศิษย์ก็ยังต้องรักษามโนธรรมสำนึกอันนี้ไว้ ไม่ใช่ไปรักษาความรวยความจนที่อยู่นอกกายนั้น

“มีหรือจนใจ” คือไม่จนใจเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนส่วนใหญ่นั้น ถึงแม้จะร่ำรวยแต่ก็มีความทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม

“ฝนทั่งจิตไว้แม้นทำไม่ง่าย” หมายความว่าจิตใจของเรานั้นจะต้องทำการฝนถึงแม้จะทำไม่ง่าย ฝนจิตใจทำอย่างไรดี รู้จักฝนทั่งให้เป็นเข็มไหม (รู้) แล้วเราจะฝนทั่งของเรานี้ให้เป็นเข็มทำอย่างไรบ้าง จิตใจของเราเป็นอย่างไรจึงต้องการการขัดและการฝน จิตใจของเราเต็มไปด้วยอารมณ์ เต็มไปด้วยความไม่ยอมกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก) จิตใจของเราไม่ยอมรับว่าตัวเรานั้นมีสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี เราต้องทำอย่างไรจึงจะเอาสิ่งนี้ออกไปได้ ก็คือการฝนทั่งให้เป็นเข็มใช่หรือไม่ (ใช่) เราฝนทั่งให้เป็นเข็มแล้วย่อมสามารถใช้ประโยชน์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้องระวังที่จะทิ่มแทงผู้อื่นด้วย

(พระอาจารย์เมตตาเรียกแม่ครัวเข้ามาในชั้นเพื่อประทานผลไม้และให้นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณแม่ครัว)

แม่ครัวมาแล้วทำอย่างไรดี (ขอบคุณแม่ครัว) ขอบคุณด้วยอะไร (ด้วยใจ) ขอบคุณด้วยใจแม่ครัวมองไม่เห็นต้องทำอย่างไรดี (มอบผลไม้) ถ้าหากว่าทุกคนตอบว่าขอบคุณแม่ครัวด้วยใจ วันหน้ามีโอกาสมาสถานธรรมต้องทำอาหารให้แม่ครัวทานดีหรือเปล่า (ดี) อย่างนี้จึงเป็นการขอบคุณจริงๆ

"ปฏิปทาใช่ต้องมากมายตั้งหลายครั้ง" ปฏิปทาคือการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าต้องมากมายแต่ให้ทำสิ่งนั้นๆ ให้ได้จริงจัง ให้ได้ดีที่สุด ถ้าเราจะเป็นพุทธะแล้วบอกว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ค่อยปฏิบัติธรรม อย่างนี้เป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้) หรือบอกว่า พรุ่งนี้ค่อยไปสถานธรรมดีกว่า ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้ไปใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกว่าไม่ใช่ว่าต้องมากมาย หมายความว่าเมื่อเราจะเป็นเหมือนกับสะพานให้คนเหยียบย่างขึ้นสู่แดนนิพพาน อาจารย์บอกว่าไม่ต้องมาก ขอให้ศิษย์ทำในปณิธานที่ศิษย์ได้พูดก็พอแล้ว แต่ไม่ใช่มีคนมาทำให้เราโมโหเราก็โกรธเขา ในที่สุดแล้วปฏิปทาของเราที่บอกว่าจะให้เขาเหยียบแต่ไม่ได้บอกว่าเราจะไม่โกรธเขา ในที่สุดเราก็เป็นพุทธะไม่สำเร็จ

"สิ่งยิ่งดีอุปสรรคยิ่งมากแล" ใครอธิบายได้บ้าง (บุคคลที่จะทำความดีนั้นย่อมมีอุปสรรคเข้ามาคอยขัดขวางไม่ให้กระทำความดี เหมือนกับทำความดีย่อมมีอุปสรรค มารไม่มีบารมีไม่เกิด มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า) อธิบายได้ดีหรือเปล่า (ดี)

"ยิ่งแก้ไขตนยิ่งดีเพราะแก้ไข" อันว่าชีวิตก็คือการปรับปรุงแก้ไข เพราะว่าชีวิตนี้การกระทำของเรา ความประพฤติของเรามีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีความผิดมากขึ้นเป็นเงาตามตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรานั้นไม่รู้จักแก้ไข ไม่รู้จักปรับปรุงเราก็จะมีความผิดสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว ฉะนั้นเมื่อเรากระทำในสิ่งหนึ่งจึงต้องสำรวจว่าตนเองมีการกระทำที่ผิดหรือเปล่า เมื่อผิดแล้วแก้ไขสิ่งนั้นๆ ชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จได้ และเรานั้นก็จะหลงลืมตนเองไม่ได้เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าคิด อย่าเข้าใจว่าตัวเราเองนั้นทำอะไรก็ถูกไปหมด ถ้าเราคิดเช่นนี้แล้วย่อมไม่สามารถจะเป็นพุทธะได้ เพราะว่าวันและคืนนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากวันนี้ไปสู่วันพรุ่งนี้มีสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย ดังเช่นตัวศิษย์ก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนนี้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น ไม่ได้ชรา ผมของเราไม่ได้หงอก ไม่ได้ขาว แต่ในปัจจุบันเราเป็นเช่นนั้นอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่) นับวันยิ่งมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ชีวิตจึงต้องมีการปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ หากว่าได้ปรับปรุงแล้วก็ย่อมจะประสบความสำเร็จได้ อาจารย์จึงบอกว่า "ยิ่งแก้ไขตนยิ่งดีเพราะแก้ไข" ตนยิ่งดีหมายความว่า ไม่ใช่ผู้อื่นนั้นจะได้ดีเลย แต่จะได้ดีที่ตัวเราเอง อยากจะให้ตนเองได้ดีหรือไม่ (อยาก) อยากจะให้ผู้อื่นได้ดีหรือไม่ (อยาก) เราต้องทำดีให้เขาเห็น แล้วเมื่อเขาเห็นเราทำดี เขาก็จะทำดีตามเรา ศิษย์เคยทำดีจนคนอื่นคิดที่จะทำดีตามหรือเปล่า (เคย) ไม่ใช่ใช้วิธีการแนะนำ แต่ใช้วิธีการกระทำจนกระทั่งเขาทำตาม ศิษย์ลองไปนับๆ ดู ถึง ๑๐ คนหรือยัง ทำได้ปีละ ๑ คน ถึงหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงเราก็ยังไม่เป็นพุทธะที่เป็นแบบอย่างที่ดีใช่หรือไม่ การทำดีไม่ใช่ทำแบบประเดี๋ยวเดียว ทำแล้วพอเลิกแล้วก็ลืมไป แต่ต้องเป็นการทำดีที่เสมอต้นเสมอปลาย

ความเป็นปุถุชนกับความเป็นพุทธะนั้นต่างกัน เราก็รู้ว่าการฟังธรรมะเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็เมื่อย แล้วเราเลือกที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจมากขึ้น หรืออยากที่จะไม่เมื่อยดี เราก็รู้ว่าเราควรจะเลือกฟังธรรมะ ศิษย์ต้องตัดสินใจว่าศิษย์จะทำสิ่งนั้นดีหรือสิ่งนี้ดี ข้างหนึ่งเป็นไปตามใจของตัวเราเอง อีกข้างหนึ่งเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ถึงเวลาแล้วก็ต้องเลือกว่าจะต้องทำสิ่งไหน ขออย่าให้ตาซ้ายกับตาขวาเอียงไม่เท่ากัน ตาหนึ่งเล็กตาหนึ่งใหญ่ไม่เท่ากัน ในที่สุดเราก็เลือกเอาตาเล็กแล้วก็ต้องสูญเสียตาใหญ่ไปใช่ไหม (ใช่) ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นคนที่ทำอะไรตามใจตนเองอยู่แล้ว เพราะเราไม่มีความยับยั้งชั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต่อไปนี้เราต้องฝึกฝน การฝึกฝนย่อมมีความยากลำบาก ศิษย์อยากเป็นนักเรียนจบชั้นก็ต้องเพียรพยายามที่จะเรียนหนังสือ เมื่อศิษย์อยากที่จะเป็นพ่อค้าร่ำรวยก็ต้องฝึกหัดค้าขาย เมื่อศิษย์ร่ำรวยแล้วไม่อยากหลงตัว ก็ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจของตัวเองให้เหมือนเดิม

อันว่าเวลาของอาจารย์ก็มีน้อยและอาจารย์นั้นไม่สามารถมาพบปะกับศิษย์ได้บ่อยๆ ต้นไม้ไม่สามารถจะโตได้ภายในสองวัน สองวันที่มาศึกษานี้เป็นเพียงการเอาเมล็ดหว่านลงไปบนพื้นเท่านั้นเอง แต่หลังจากสองวันไป ศิษย์จะกลับมาศึกษาได้หรือไม่ (ได้) ถ้าหากว่าไม่ศึกษาย่อมไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดได้ถ่องแท้ อย่าเห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ลวงโลก เพราะสิ่งที่ลวงโลกนั้นแท้จริงภายนอกมีอยู่มากมาย อาจารย์นั้นต้องการให้ศิษย์พ้นจากสิ่งเหล่านี้ การที่อาจารย์มายืมร่างนี้ย่อมไม่ใช่ร่างของอาจารย์ ขอให้ศิษย์นั้นยึดหลักสัจธรรม ขอให้รู้จักบำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้นถ้าหากว่าศิษย์ไม่รู้จักที่จะบำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้น แม้อาจารย์จะให้ผู้อื่นมาเรียกศิษย์ให้บำเพ็ญศิษย์ไม่ยอมเดินออกเหมือนไม่ยอมก้าวเข้าประตูพุทธะ มัวแต่หยุดยืนอยู่หน้าประตูใครกันแน่ที่ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะ (ตัวเราเอง) ตัวศิษย์เองที่ไม่สามารถเป็นพุทธะและตัวศิษย์เองที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด แท้จริงอาจารย์นั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับศิษย์เลยในการเวียนว่ายตายเกิด แต่อาจารย์นี้เป็นห่วงศิษย์อย่างยิ่ง ศิษย์บางคนครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเรื่องวิญญาณ เรื่องมนุษย์และเรื่องสวรรค์ เป็นเพราะว่ามองไม่เห็นจึงไม่เชื่อ แต่รอจนถึงวันที่เรามองเห็นเราจะหนีพ้นไหม (ไม่พ้น) ถึงเวลานั้นเราก็หนีไม่พ้นแล้ว เพราะฉะนั้น อาจารย์ยืนยันว่าขอให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญเถิด บำเพ็ญด้วยการให้ตนนั้นเป็นคนดียิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น เมื่อเราสามารถเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์เที่ยงแท้แล้ว เราจึงจะสามารถเป็นพระอริยะได้ในขั้นแรก หากว่าไม่สามารถเป็นมนุษย์ที่ดีแล้ว จะไปเป็นพุทธะได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง)

ทำอย่างไรเราจึงจะเอาใจของเรา ซึ่งมีใจให้กับสิ่งต่างๆ นานา ในโลกนี้ไปบอกให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เราใช้สิ่งใดแสดงออกถึงใจเราได้ (การกระทำ)

อาจารย์ไม่ชอบให้ศิษย์กลับบ้านดึก อาจารย์ไม่ชอบให้ศิษย์กลับคืนเบื้องบนยามค่ำ ตอนนี้เวลาของฟ้าดิน เย็นย่ำสนธยาเต็มที ศิษย์เอ๋ย แม้ว่าร่างกายของเรานั้นไม่ได้กลับคืนไปถึงฟ้าในขณะนี้ แต่จงฝึกจิตใจของเราให้เป็นพุทธะตั้งแต่ตอนอยู่บนโลก เท่ากับว่าเราได้สร้างผลสำเร็จแห่งมรรคผลไว้ตั้งแต่เรานั้นยังไม่เข้าสู่เวลาเย็นย่ำจนเกินไป หากว่าเย็นย่ำเกินไปแล้ว ตอนนั้นเพิ่งจะมาเริ่มก้าวเริ่มเดิน ในที่สุดนั้นเวลาเย็นเกินไป ประตูบ้านปิดแล้วจะเข้าไปอย่างไร นิพพานนั้นเป็นบ้านเดิมของศิษย์ เพราะว่าศิษย์เคยเป็นพุทธบุตรอยู่บนฟ้า แต่ศิษย์หารู้ไม่ ในวันนี้เข้าใจว่าเราเป็นคนที่จน ไม่ค่อยมีเงิน แล้วเราเคยคิดไหมว่าเรานั้นเคยเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มาก่อน มนุษย์ไม่แบ่งจนหรือรวย พุทธะไม่แบ่งคนหรือสัตว์ ย่อมมีพุทธจิตธรรมญาณเหมือนกันทั้งสิ้น ถ้าศิษย์ของอาจารย์ทำได้เหมือนกับพุทธะ ก็เป็นพุทธะเช่นเดียวกัน แต่ว่าศิษย์นั้นได้ยอมรับตัวเองหรือเปล่า หากว่ายังไม่สามารถยอมรับว่าเราเป็นพุทธะ ไม่สามารถบำเพ็ญตนอย่างพุทธะ ถามว่าเราจะเป็นพุทธะได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องมั่น ใจว่าเราเป็นพุทธะแล้วทำในสิ่งที่พุทธะควรจะทำ แล้วพุทธะทำอะไรกันบ้าง (ทำความดีเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม, ช่วยเหลือผู้อื่น, มีจิตใจโอบอ้อมอารี, ศึกษาธรรมะ, รู้จักวางเฉย, ให้อภัย, เมตตา ,เสียสละ, รู้จักยับยั้งชั่งใจ) สิ่งเหล่านี้ต้องไปทำจริงๆ จึงจะได้ผลจริง ถ้าทำอยู่เพียงแค่ในความคิดก็เรียกว่ามีแต่ใจ แต่ไม่สามารถเป็นพุทธะที่ลือชื่อได้

นักเรียนในที่นี้ใครจำไตรรัตน์ไม่ได้บ้าง เหมือนกับตอนนี้พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ประตูพุทธะแล้วแต่ว่าไม่มีกุญแจ สมมติว่าตอนนี้เรามายืนอยู่หน้าประตูแล้ว ตัวเราก็พร้อมที่จะเข้าไป แต่ขาดลูกกุญแจ อยากจะรู้ว่ากุญแจมีกี่ ล็อค (๓ ล็อค) แล้วไขกี่ครั้ง (ครั้งเดียว) และใส่กุญแจเข้าไปกี่ครั้ง (ครั้งเดียว) เราต้องรู้ว่าแม่กุญแจอันนี้มีกี่ล็อค และกุญแจทำด้วยเงิน ด้วยทอง หรือด้วยสิ่งไหน เพราะฉะนั้นตอนนี้ขาดกุญแจไม่ได้ ไม่ใช่บำเพ็ญแทบตาย แต่สุดท้ายลืมกุญแจกลับบ้าน แล้วก็ไปงัดไปแงะเอาใช่หรือไม่ (ใช่)

คนที่ทำไม่ดีเขาต้องมีข้อดี เราต้องค้นหาให้เจอ อาจารย์เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่าเวลาศิษย์มองเห็นเขาเป็นโจร ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็เป็นโจร เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ เวลามองก็ต้องพิจารณา ไม่ใช่มองว่าเขาเป็นคนไม่ดีตลอดไปใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ารอจนวันหนึ่ง มีคนมาบอกว่าแท้จริงแล้วคนๆ นี้เป็นคนดี แต่ศิษย์นั้นได้ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขาไปแล้ว ต่อไปคนๆ นี้กับศิษย์ก็จะเป็นศัตรูกัน เมื่อเกิดอคติในใจ น้ำเสียงนั้นก็มีอคติด้วย ปลายเสียงก็เต็มไปด้วยอคติ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นผู้ไร้อคติใดๆ อย่าได้เกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือว่าชอบ ในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง มียากมีง่าย ถ้าหากศิษย์คิดว่าตนเองนั้นยังไม่เก่งกล้า ก็จงเริ่มทำจากสิ่งที่ง่าย ไปจนถึงสิ่งที่ยาก หากว่าศิษย์นั้นรู้สึกว่าตนนั้นเก่งกล้าแล้วก็เริ่มจากตรงที่ยากไปสู่ตรงที่ยากกว่า เดิมทีนั้นศิษย์รู้ว่าสิ่งใดถูกต้องสิ่งใดไม่ถูกต้อง เพียงแต่ไม่เคยเชื่อใจตนเอง แล้วก็หลอกว่าเชื่อใจตนเอง การเริ่มต้นอันใดยากก็เริ่มตั้งแต่ง่าย อันใดง่ายก็จงพยายามยิ่งขึ้นไป

(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท “ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก”)

รู้จักความลำบากกับความยากไหม เวลาเราเจอกับความยากและความลำบาก เราท้อใจไหม (ท้อใจ) ถ้าหากว่าการบำเพ็ญนี้ยาก ศิษย์จะรามือหรือเปล่า (ไม่รา) แล้วถึงเวลาที่ได้รับความลำบาก ได้รับความยากจะรามือไหม (ไม่รา) ขอให้จริงอย่างที่ศิษย์พูด เวลาที่เรานั้นบำเพ็ญธรรม หากยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งยากจนลงเรื่อยๆ บำเพ็ญแล้วคนยิ่งต่อว่าเรา ถามว่าศิษย์จะย่อท้อไหม (ไม่ท้อ) โดยมากศิษย์ของอาจารย์มักท้อถอยต่อความยากต่างๆ นานา ถ้าหากอาจารย์จะทำเช่นศิษย์ อาจารย์คงจะรามือไปหลายครั้งแล้ว รามือด้วยเหตุใด ด้วยเหตุว่าจะหาศิษย์ได้สักกี่คนที่มีความเชื่อและจริงใจ หากศิษย์เชื่อจะหาได้สักกี่คนที่ยอมเดินจนสุดทางใช่หรือไม่ เวลาที่ศิษย์นั้นท้อใจไม่สมหวัง ขอให้ท่องไว้ว่า “ไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อ” ทำได้ไหม (ได้) ถ้าศิษย์ทำได้ดังนี้ แน่นอน ความไม่ย่อท้อจะมาเคียงคู่กับความพยายามด้วย แล้วในที่สุดก็จะประสบความสำเร็จ เมื่อศิษย์เลือกทำการใด อาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกทำสิ่งที่ดีเท่านั้น หลังจากวันนี้อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ของอาจารย์ย่อท้อ ไม่แม้แต่จะคิดว่าเราจะท้อใจ ไม่แม้แต่จะเลิกราไม่สนใจเวไนยสัตว์ทั้งโลก ทำได้หรือเปล่า (ได้) เป็นเรื่องที่ใหญ่นะ แล้วก็หนักด้วย หนักจนเกินตัวของศิษย์เลยทีเดียว

(พระอาจารย์เรียกญาติธรรมท่านหนึ่งออกมา)

ศิษย์ของอาจารย์คนนี้บำเพ็ญแล้วยิ่งจน บำเพ็ญแล้วไม่ดี ช่วงที่ไม่ดีนั้นรู้สึกย่อท้อไหม (รู้สึก) ศิษย์ของอาจารย์ทนผ่านไปอย่างยากลำบากใช่หรือเปล่า ถ้าเวลาเราย่อท้อ เราทำให้ตัวเองไม่ย่อท้อได้ไหม (ได้) ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เช่นนี้ น่าชมเชยไหม ไม่เพียงแต่อาจารย์จะชมเชย แม้แต่ฟ้าดินก็ชมเชยด้วย อันว่าคนเรามีทุกข์ร้อนเป็นเรื่องธรรมดา ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจฝ่าฟัน แม้ว่าจะเกิดความย่อท้อ แต่ก็ไม่ถอยหลังกลับไปเป็นปุถุชนอีก เมื่อหันหน้าบำเพ็ญสู่พุทธะแล้วจงหันทิศนี้ตลอดไป ทำได้ไหม (ได้) อาจารย์ก็ขอชื่นชมศิษย์ อุปสรรคยังมีอีกไม่น้อย ครั้งนี้ฝ่าฟันได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็ต้องไม่ย่อท้อและต้องผ่านให้ได้

วันนี้เย็นมากแล้ว อาจารย์เห็นทีจะต้องกลับ อยากรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้ พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปไหม (พร้อม) เมื่อหันสู่ทิศของการเป็นพุทธะแล้ว เดินต่อไปจนสุดทางได้หรือไม่ (ได้) ขอให้ศิษย์นั้นมีความมั่นคงจริงใจ มีความศรัทธา วันนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังสงสัยค้างคาอยู่ รู้สึกว่าตัวเองยังรู้ไม่พอก็ไม่แปลก แต่ขอให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาอีกในวันต่อไปดีหรือไม่ (ดี) หากว่ามีคนมาเรียกเราแล้วเราจะบอกเขาว่าไม่ว่างหรือเปล่า (ไม่) ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ว่างหลอกๆ อย่างนี้ไม่ดี ชีวิตคนเรานั้นจะหาเวลาว่างไม่ได้หากว่าใจเราไม่ว่าง ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูกต้องดีหรือไม่ (ดี) การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ไม่มีใครที่จะสามารถดึงเราได้ หากมีคนมาบอกเราว่าต้องบำเพ็ญอย่างนี้อย่างนั้น เราก็ไม่ฟัง ถึงครานั้นศิษย์จงเปิดใจให้กว้าง เมื่อมีคนเขาตักเตือนต้องยินดีฟัง เมื่อคนเขาต่อว่า เราต้องพิจารณา ไม่ใช้อารมณ์มาเป็นที่ตั้ง ไม่นำความหลงมาเป็นที่ตั้ง ดีหรือเปล่า (ดี) อาจารย์เชื่อแน่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่าคนข้างๆ ของเราก็คือพี่คือน้อง ขอให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญจนบรรลุนิพพาน บำเพ็ญจนตนเองมั่นใจว่าก้าวข้ามผ่านธรณีประตูแห่งนิพพาน แล้วจึงหยุด ดีหรือไม่ (ดี)

ในชั้นนี้หลายคนเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว ๔๐-๕๐ ปีผ่านไปแล้ว เราต้องรู้จักรักษาสุขภาพและต้องรู้จักรักษาเวลาของเราให้ดีๆ คนที่เขายังมีเวลาอีกมาก เขาอาจจะอู้ได้ท้อได้ แต่เรามีอายุมากแล้วหมดเวลาแล้ว อย่าได้ท้อถอย จงเดินหน้าอย่างเดียว แม้ว่าร่างกายของเราจะไม่ไหวแต่ใจของเรายังสู้ดีไหม (ดี)

วันนี้อาจารย์จะกลับไปด้วยความรู้สึกที่ดีๆ ขอให้ศิษย์ศึกษาให้รู้อย่างแท้จริง เพราะว่าเดินทางสายนี้ ถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้ายิ่งเดินหาก็จะยิ่งไกลไปใหญ่ เมื่อเราเดินไปจนถึงทางสายกลางแล้ว แต่ยังไม่เลือก ฝืนเดินต่อไปจนเอียงซ้าย ก็เท่ากับว่าเป็นคนที่ไม่รู้ทางสายกลาง หัวหน้าชั้นเป็นผู้ที่มีรากบุญดี เช่นเดียวกับรองหัวหน้าชั้น อย่าปล่อยเวลาของเราให้หมดไป ขอให้อาจารย์นั้นได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ตลอดไป

(นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงส่งพระอาจารย์)

อาจารย์รู้สึกว่าวันนี้ อาจารย์มาอยู่กับศิษย์นานมาก นานจนทำให้ความรู้สึกของอาจารย์ที่ผูกพันกับศิษย์อยู่แล้วยิ่งผูกพันหนาแน่นยิ่งขึ้น อาจารย์เห็นทีจะต้องแกะปมแห่งความผูกพันของเราให้จบลงเท่านี้ ในวันนี้ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจงเดินหน้าด้วยความมั่นคง ด้วยใจที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ไม่ว่าหนักไม่ว่าเบาอาจารย์เชื่อมั่นว่าศิษย์ของอาจารย์คงพร้อมที่จะเผชิญ






[๑] อาเวศ ทาง









พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก”


หลับผวาตื่นพะวงนิจจาเอ๋ย ชีวิตเอยความสุขนั้นอยู่หนไหน

ต่างลอยเลื่อนกลาดเกลื่อนมิตื่นใจ เข้ายุคปลายภัยลงกวาดไม่ปรานี

คัดเท็จจริงคัดหยกหินออกจากกัน แม้ยืนยันบำเพ็ญแล้วค้นถ้วนถี่

ทั้งวาจาใจต้องเป็นเลิศแห่งดี และกายมีต้องอุทิศเพื่อเวไนย

เลิกเบียนเบียดกันและกันยอดทาน ทรมานเพราะเป็นคนช่างใจร้าย

ไม่ลุ่มหลงให้ใจช่างร้อนวอดวาย ศิษย์มากมายเป็นดังนี้แก้ไขตน

ยิ่งนานวันต้องยิ่งดีใช่ยิ่งแย่ อุปสรรคมายิ่งแน่วแน่ใช้เหตุผล

ใจยิ่งกว้างจึงแบกเรื่องหนักเกินตน ความอดทนเสมือนเพื่อนร่วมทาง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2541

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2541

2541-08-28 พุทธสถานสิงเต๋อ จ.พะเยา



PDF 2541-08-28-สิงเต๋อ #14.pdf


      วันศุกร์ที่  ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๑               พุทธสถานสิงเต๋อ จ.พะเยา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

                  ชีวิตหนึ่งอนิจจังดั่งความฝัน     ร้อยปีผ่านไร้คุณงามน่าใจหาย
เป็นภมรเริงร่าอยู่สู่ที่ใด                  ไร้จุดหมายชีวิตนี้ค่าน้อยลง
                        เราคือ
      องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา               ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา                                            ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
                                                            ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา
                   ฟ้ามนุษย์รวมใจให้เป็นหนึ่ง    น้องจักซึ้งวาระสามสายทองส่ง
            ในครานี้วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางตรง      จงมั่นคงจากจิตสู่การกระทำ
            ด้วยเวลาสั้นนักเพียงสามวัน           ขอน้องท่านตั้งใจให้เป็นผล
            อริยาต่างมีซึ่งกายคน                    บำเพ็ญตนอย่างเงียบเงียบสู่นิพพาน
            จิตใจคนแยบยลซ่อนในกายปลอม  อารมณ์หลอมในเตาร้อนให้สุขุม
            เกิดเป็นคนตรองให้ดีอย่าบ่ามบุ่ม    ให้ควบคุมชีวิตเดินให้ถูกทาง
            หากยังมีอวิชชาเต็มดวงจิต                        หากจะคิดทำความดีกำแพงขวาง
            ขอตัดใจจากกิเลสมิลุกลาม            และทุกยามมิประมาทเผลอไผลบ่อย
            การเวียนว่ายเกิดตายทางทั้งหก      น้องต่างเคยผ่านนรกสวรรค์มา
            ขอให้รู้บำเพ็ญพ้นให้คืนฟ้า                        อย่าปล่อยให้ไปตามหนายถากรรม
ด้วยวันนี้โอกาสดีให้เริ่มเถิด            ขมเป็นเลิศของยาแท้เร่งขยัน
ขี้เกียจฟื้นจิตใจตนยิ่งนานวัน         เคยชินนั้นเป็นกิเลสเกาะรากญาณ
             ทะเลทุกข์เวียนว่ายไร้ความสุข                ขออย่าได้นึกสนุกทดลองหนา
อย่าใฝ่ฝันลาภยศอันลวงตา               เงินทองหนาใช่ของเราแต่ผู้เดียว
สมัครสมานจิตใจบำเพ็ญดี                ขอจงมีต้นปลายอันคงเส้น
มรสุมมายากห้ามแต่อย่าโอนเอน        อย่าทำเล่นกับกิเลสที่เหนือตัว
ในวันนี้วันแรกการประชุม                  ขอน้องอย่าลุ่มหลงคิดสงสัย
มองไม่เห็นอย่าเหยียดหยามระอาใจ     ทางยิ่งไกลยิ่งเห็นพุทธะจริง
จงรักษาพุทธระเบียบให้เคร่งครัด         ขออย่าวัดกันที่ภายนอกนั้น
เพราะพุทธจิตเป็นเสมอดวงเดียวกัน     ขอบากบั่นอดทนจนสุดทาง
ขอตั้งใจให้จงดี                                แล้วศิษย์พี่ยืนคุมข้างบันทึกคะแนน        
   จรดวางพู่กันลงเข้มงวดเทอญ

                           ฮวา   ฮวา   หยุด










       
           
        วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๑
       พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์   
        
            เวียนเกิดดับด้วยทุกข์ง่ายอีกสุขยาก                                             จนกระดูกกองสูงมากกว่าภูผา
               ปลงไม่ตกทะเลโศกภาพลวงตา                                                                            ประภัสสราจิตเดิมมีจึงขุ่นมัว
                        มหาธรรมลงมาพร้อมภัยหนัก                                                                    เหนื่อยนักพักยืดเยื้อยิ่งสลัว
                        มากทดสอบให้สลัดกรรมได้พ้นตัว                                                              อย่ามันมัวโทษฟากฟ้าว่าคนใคร
                                    เราคือ
        เจี้ยวฮว่าผูซ่า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา                                      ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
                        สิ่งดีดีที่มีให้กัน  เหมือนถ่านแดงเมื่อยามหนาวเยือน เมื่อมีคนต้องการ   มิเชือน  ถึงวาระรู้พลีไม่สาย  หากเวลาล่วงเลยสิ้นลง  ถึงให้คงไร้คนสนใจ  ให้ดีเป็นเลิศเกินของใคร  ร้อนเจียนไหม้ถ่านแดง  ใครหรือปอง
                        *   ถ้าหากหมายมุ่งทำดีใกล้ไกล  มิเว้นใครฤทัยเดียวไม่สอง มิติดใจที่ใครเมินไม่มอง  ไม่นำผลมาตัดสิน 
** หากเกิดทุกข์มิยอมให้ใจขม  หากใครล้มปราชญ์มิข้ามกันกิน  อย่าปะทุน้ำคำที่ติฉิน   โลกแตกร้าวจากลมลิ้นอย่าโทษผู้ใด 
โลกวันนี้ วุ่นวายน่ากลัว  ฟ้าหม่นมัวเหมือนคนไร้ใจ  เรื่องราวเป็นล้านซ่อนข้างใน  เพราะอัดอั้น  ใจคนจึงถึงพัง   (*,**)
                        ผู้บำเพ็ญจิตตนเองยามนี้  เมื่อใจมีไขว้เขวจะอับปาง  โลกไกลแดนนิพพานเพราะบาปกรรมขวาง  ถึงลำเค็ญทุกย่างไม่เปลี่ยนใจ   (**)
                                                                                
เพลง : มอบแต่สิ่งดีให้กัน

                                                                                      ทำนองเพลง : เปล่าหรอกนะ


๑   ประภัสสรา          แปลว่า     บริสุทธิ์

    พระโอวาทท่านไคซินถงจื่อ       
   
       อารมณ์ดีเหมือนอากาศตอนรุ่งสาง        กิเลสจางหมอกบางบางอาทิตย์ส่อง
            หมอกพลันหายปรากฏตัวในธรรมครรลอง   จิตมิปองอัตตาล้นในใจ
                        เราคือ
                        (ไคซินถงจื่อ)                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามเมธีทุกท่านมีเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตหรือยัง
                 ยามทุกข์มากก็ยิ้มยากเป็นปกติ     ถูกตำหนิก็แก้ไขอย่าถอยหลัง
            เคล็ดลับชีวิตอยู่ที่การยอมรับฟัง         บำเพ็ญตั้งมิพักดุจนที
            จิตกระจ่างดุจวันเพ็ญทอแสงนวล       มิเรรวนมิเรื่อยเอื่อยมิหน่ายหนี
            มิท้อแท้กระทำตนเป็นคนดี                           เสียงดนตรีมีจังหวะบำเพ็ญเช่นกัน
            บำเพ็ญจิตให้เหมือนกับทารกน้อย     แล้วค่อยค่อยเจริญโดยไม่ใฝ่ฝัน
            สิ่งเกินตัวเช่นลาภยศสารพัน              กิเลสอันดุจอาวุธที่มีคม
            ขยันมาสถานธรรมบ่อยบ่อยหน่อย     ดาวดวงน้อยเหน็บหนาวผ้าห่มห่ม
            ขยันหัดว่ายน้ำให้เป็นมิผุดจม           ทะเลขมชาตินี้นะมาคืนบ้านกันดีกว่า

ฮา  ฮา  หยุด





พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์พร้อมด้วยท่านไคซินถงจื่อ

ท่านไคซินถงจื่อ  : ในเรือมีอะไรบ้าง (ไม้พาย, คนพาย) ใครเป็นคนพาย (ตัวเองคนไม่พายกินแรงคนอื่นต้องจับโยนลงจากเรือดีไหม ถ้าใครพายเรือจะให้ใส่ชุดเซียน ใส่แล้วเป็นเซียน เชื่อไหม   ท่านนั่งเก้าอี้เซียน แล้วท่านจะใส่ชุดนี้ไหม  ถ้าหากว่าไม่ยอมบำเพ็ญธรรมจะใส่ไม่อยู่ เชื่อหรือเปล่า (เชื่อ) เวลาเชื่อต้องมีเหตุ    มีผล  เพราะฉะนั้นก็เลยมานั่งฟังสามวันนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ผลไม้เยอะอยากได้ไหม (อยากอยากได้ก็มีกิเลส  บำเพ็ญต้องไม่มีกิเลส  คนมีกิเลสมากต้องทำอย่างไร 
อารมณ์ดีเหมือนอากาศตอนรุ่งสาง
อากาศตอนรุ่งสางเย็นสบายไหม (เย็นสบายหนาวหรือเปล่า (ไม่หนาว)
จิตมิปองอัตตาล้นในใจ
มีอัตตาหรือเปล่า (มี) ถ้ามีก็ไม่เหมือนพุทธะ     แล้วจะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้อย่างไร
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : มีใจเดียวก็ยากจะควบคุมแล้ว คราวนี้จะแบ่งใจให้เป็นสองแล้วฟังได้รู้เรื่องทั้งสอง ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ท่านก็มักจะเป็นเช่นนี้อยู่    บ่อย ๆ มิใช่หรือ  ใจดวงเดียวแต่ชอบแบ่งให้เป็นสองเรื่องบ้าง  คิดสองอย่างบ้างแล้วก็ตัดสินใจไม่ถูก   จะเลือกที่รักมักที่ชังหรือว่าเลือกตามทำนองคลองธรรมดี   ใช่หรือไม่ (ใช่
ท่านไคซินถงจื่อ : การที่จะปกครองคนอื่นเป็นเรื่องยาก  แต่ว่าชีวิตนี้เราก็ต้องปกครองคนมากมาย เช่น สามีต้องปกครองบุตรและภรรยา   หัวหน้าต้องปกครองคนที่ทำงาน   คนในบ้านเขายังฟังเราใช่ไหม (ใช่แต่ถ้าเป็นหัวหน้าแล้วคนที่ทำงานเขาไม่ยอมฟังเรา  จะทำอย่างไรดี 
ใครรู้บ้างว่าเคล็ดลับของความเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่ไหน  เราไม่ได้หมายถึงกิจการร้านค้า เงินทอง  จะใช้ชีวิตได้ก็ต้องมีเคล็ดลับ ถ้าหากไม่มีเคล็ดลับก็ผัดกับข้าวไม่อร่อย  มีชีวิตอยู่ก็ง่าย  ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาโดนลมพายุพัดก็จะเอียง แล้วลุกไหวไหม (ไม่ไหว) ต้องบอกว่าลุกไหวใช่หรือเปล่า 
เอาแอปเปิ้ลลูกไหน  (ท่านไคซินถงจื่อเมตตาให้นักเรียนในชั้นเลือกแอปเปิ้ล  นักเรียนเลือกลูกที่ท่านกัด
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ปริศนาตรงนี้จะคิดได้ว่า แหว่งแล้วจึงสมบูรณ์ดีกว่าสมบูรณ์แล้วค่อยแหว่ง  ยอมที่จะไม่มีก่อนจึงได้พบกับคำว่ามี  หลายคนที่ชอบมีแล้วก็กลายเป็นไม่มีอยู่ร่ำไป เพราะแต่ก่อนเราเป็นคนที่ไม่มี แล้วตอนนี้เราเป็นคนที่มี นั่นคือ เราไม่มีจึงได้มี   เราเคยเว้าแหว่ง เคยไม่สมบูรณ์มาก่อน  จึงกลับกลายมาเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่ดีกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แล้วกลับกลายมาเป็นคนที่เว้าแหว่ง
เรื่องราวในโลกก็เช่นเดียวกัน  ถ้าคิดว่ามีก็มีมากมาย  แต่ถ้าคิดว่าไม่มีก็ไม่มีเลย  จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า  จิตเกิดสรรพสิ่งก็เกิด จิตดับสรรพสิ่งก็ดับ”     สรรพสิ่งจะเกิดหรือดับ  มีหรือไร้  ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาใจไปสัมผัส ไปรู้สึกกับ      สิ่งนั้นหรือเปล่า   คนเราหลีกไม่พ้นที่จะต้องมองเห็น ได้ยิน ได้สัมผัส  หากเรารู้สึกติดข้องใจ รู้สึกพอใจสิ่งนั้นก็เริ่มมาปรากฏอยู่ในใจเรา  แต่หากเราไม่รู้สึกอะไร ไม่ติดข้องใจ  สิ่งนั้นจะมาปรากฏอยู่ในใจเราได้หรือไม่ (ไม่ได้
สภาวะไร้เกิดขึ้นได้ท่ามกลางสภาวะมี สภาวะว่างเกิดขึ้นได้ท่ามกลางสภาวะที่ปรากฏ  ยกตัวอย่างเช่น  เรารู้สึกหิวเพราะท้องเราว่าง  รู้สึกอิ่มเพราะข้างในเต็ม  ความรู้สึกว่างเกิดขึ้นเพราะเราจำความรู้สึกที่มีได้  ความรู้สึกมีเกิดขึ้นเพราะเราเคยว่างมาก่อน  ความว่างเปล่ายากที่จะเกิดท่ามกลางความว่างเปล่า  เหมือนเรายากที่จะรู้สึกสงบท่ามกลางความสงบ แต่เราจะรู้สึกสงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย เหมือนกระดานดำที่สกปรก เราจะนึกถึงความสะอาดโดยการทำความสะอาด  สิ่งที่เคยนิ่ง พอมีสิ่งใดแทรกแซงเข้ามาเราจึงรู้ว่ามีขึ้นมา สกปรกขึ้นมา  เหมือนจิตของท่านในที่นี้ ทำไมจึงบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี  ขี้โมโห ขี้เหล้าเมายา  นินทาว่าร้าย   เพราะแต่ก่อนตัวเองไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้  ไม่ใช่คนแบบนี้  ตอนเด็ก ๆ เป็นคนใส ๆ ไม่มีความรู้สึกอะไร  ไม่โกรธง่าย ไม่ติดเหล้า ไม่ติดยา  เพราะว่าเราเคยมีสิ่งดีมาก่อน เมื่อเวลามีสิ่งไม่ดีเข้ามา  เราจึงสามารถรู้ได้ว่าไม่ดี
ท่านไคซินถงจื่อ : ธรรมะบำเพ็ญง่าย ท่านก็เลยเห็นไม่มีค่า   ตอนที่เขามาชวนเรารับธรรมะ  เราไม่ค่อยเชื่อใช่ไหม  ในโลกมนุษย์นี้ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ  แต่พ่อแม่ก็หาเงินมาให้ลูกใช้ โดยที่ไม่ได้คิดดอกเบี้ยสักสตางค์เดียว  ลูก ๆ รับไปได้ง่ายก็ใช้ง่าย  จริง ๆ แล้วควรใช้ฟุ่มเฟือยไหม (ไม่ควรธรรมะรับง่าย บำเพ็ญง่ายแต่หลุดพ้นยาก  เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนให้สตางค์ท่านไว้ใช้แล้วท่านจะต้องรู้จักบำเพ็ญอย่างประหยัด คือประหยัดคำพูด  การกระทำ  ความคิด  การฟังในสิ่งที่ไม่ดี  แล้วก็เอาสิ่งที่ดี ๆ ออกจากตัวไปให้คนอื่นดีไหม (ดี)  
ถ้าใครไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยลองไปช่วยคนอื่น ก็ต้องลองทำ  ถ้าหากเรานั่งเฉย ๆ  ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน ก็จะไม่รู้ว่าการยืนเป็นอย่างไร  แต่ถ้าเราลองยืนสักพักเราก็จะรู้  ถ้าหากว่าเรามีลูก  เมื่อเกิดมาก็คลาน ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน  เดินไม่ได้  เรากลุ้มใจไหม จิตใจเด็ก ๆ ไม่แฝงอะไรเลย  เวลาที่จะยืนก็ลุกขึ้นยืน  อยากร้องไห้ก็ร้องไห้  อยากหัวเราะก็หัวเราะ  เพราะฉะนั้นการที่ท่านจะเริ่มต้นปฏิบัติอะไร  ถ้าหากมีความกล้าก็เอาจิตใจเด็ก ๆ นี้เข้าไปช้อนตัวเองให้ลุกขึ้นยืน  แต่ตอนนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว  การเป็นผู้ใหญ่ก็สอนให้ท่านรู้จักที่จะรอบคอบและระมัดระวัง ไม่ไปทำร้ายจิตใจผู้อื่นใช่ไหม  ทำได้หรือเปล่า  เราต้องเริ่มต้นปฏิบัติ  ถ้าหากเราไม่นับหนึ่ง ก็จะไม่มีสอง สาม สี่ ห้าตามมา
เวลาที่ท่านมีอายุมากขึ้น ความคิดความอ่านก็มากขึ้น  แต่มีแต่สิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม  ในความคิดสิบอย่างมีดีอยู่หนึ่งก็ถือว่าเยอะแล้ว   เวลาท่านโตขึ้น อายุมากขึ้น  เริ่มที่จะนับ  หนึ่ง  สอง  สาม  กิเลสก็มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เวลาจะทำ       สิ่งดี  ๆ  ท่านรู้สึกไม่กล้านับสี่ สาม สอง หนึ่งแล้วก็ศูนย์  ศูนย์ก็คือว่าง ว่างก็คือเป็นพุทธะ       ใช่หรือเปล่า (ใช่)
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : มีโอกาสก็ยึดโอกาสให้ดี  ถ้าโอกาสหายไปแล้วจะมาเสียใจภายหลังก็ไม่ได้   เวลาล่วงเลยไปไม่เคยหยุดนิ่ง  ฉะนั้น เมื่อฟ้าประทานโอกาสให้เราได้รู้จักวิถีแห่งชีวิต  วิถีทางแห่งพุทธจิต  ไยไม่เร่งรีบศึกษาให้เข้าใจ 
อยากกลับคืนบ้านเดิมกันหรือเปล่า  เรามักได้ยินคำกล่าวว่า  เมื่อเราพลัดถิ่นมาจากที่ไกล  พอเจอคนถิ่นเดียวกันเราก็รู้สึกดีใจที่ได้พบเขา วันนี้ศิษย์พี่ก็เหมือนพลัดถิ่นมาเจอศิษย์น้องที่เคยอยู่บ้านเดียวกันมาก่อน  แต่จะมีศิษย์น้องกี่คนที่จำได้ว่าเราพี่น้องนี้เคยอยู่บ้านเดียวกันมา  เวลาเราเจอคนพื้นบ้านเดียวกัน  ที่พลัดกันมานาน  เราก็อดไถ่ถามเขาไม่ได้ว่าบ้านเป็นอย่างไร  คนที่บ้านเป็น   อย่างไร  แต่เราลืมไปเพราะจากมานาน ถูกกิเลส  ความอยาก ความไม่รู้จัก      ตัวเองบดบัง  จึงทำให้เราหลงลืมแม้กระทั่งตัวตนเอง   อย่าว่าแต่บ้านเดิมเลย  หากถามว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร  บางครั้งยังตอบไม่ได้   เมื่อตนเองไม่รู้ อยู่บนโลกนี้ก็มีแต่ชีวิตที่ไม่รู้ อันตรายหรือเปล่า  ตัวเองก็ยังไม่รู้จักตัวเองดี  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ออกไปจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย  ทุกฝีก้าวเมื่อเรามีชีวิตล้วนอันตราย   ทั้งนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่
เราจะทำตนอย่างไรถึงจะรอดปลอดภัย  มีอายุต่อไปได้อีก  สามารถมีชีวิตที่จะดำรงคุณงามความดี ไม่ต้องหวาดกลัว  ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว     ไม่ว่าภัยภายนอกหรือภายในตนเอง  ภัยภายนอกสามารถหลีกหนีได้  แต่ภัยที่เกิดจากตนเอง  แม้ในชาตินี้จะหลีกหนีได้แต่ชาติต่อไปไม่มีวันหลีกพ้น  ใครทำเช่นไรย่อมได้เช่นนั้น  ศิษย์น้องทุกคนล้วนรู้ประโยคนี้  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้แล้วเข้าใจและปฏิบัติให้ตนเองหลุดพ้นจากการต้องทุกข์ทรมาน  การต้องเวียนว่ายได้จริง  จึงมีคำกล่าวว่า  หากเราดำเนินชีวิตรู้จักสุขุม  ย่อมพ้นภยันตรายทั้งปวง  หากมีชีวิตรู้จักนอบน้อม  ไม่แข็งกร้าว ไม่อวดเบ่ง  ย่อมยากจะมีภัยมาหาตัว  ยากจะมีศัตรูเกิดขึ้น  ดังนั้น การดำรงชีวิตของเราจึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เราเป็นคนโชคดีหรือเป็นคนโชคร้าย  เป็นคนที่สามารถกลับคืนเป็นพุทธะหรือเป็นคนที่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด 
อย่ามองว่าชีวิตผ่านไปวันหนึ่ง ๆ  อย่างไร้ค่า  ทุกขณะเราได้ใช้พลังชีวิต  พลังแห่งลมหายใจ  พลังแห่งกำลังใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดี  มีหน้าที่ มีการวางตนให้เหมาะสม  ทำสิ่งใดก็ลงแรงอย่างจริงจัง  แม้พรุ่งนี้หรือมะรืนเราจะพ้นไปจากโลกนี้ เราก็ไม่หวาดกลัว    แต่ศิษย์น้องหาเป็นเช่นนั้นไม่  ทุกวันอยู่ด้วยความหวาดกลัวว่าวันใดเราจะไป วันใดเราจะมีภัยมาหา  แต่ถ้าทุกวันเราได้ปฏิบัติดี  แก้ไขสิ่งที่ไม่ดี  แม้ว่าพรุ่งนี้เราต้องดับสิ้นไป  เราก็ไม่กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อการประพฤติดีมีความสำคัญเช่นนี้  เราควรจะละเลยนิ่งเฉย  ปล่อยให้คนอื่นทำโดยที่ตนเองไม่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้ทำไมเวลาเห็นคนอื่นทำดี  ก็บอกว่าช่างเขา ปล่อยให้เขาทำเถอะ เรายังไม่อยากทำ  เอาไว้ทำทีหลัง
ศิษย์น้องชอบการทำความดี ชอบที่ได้อยู่ใกล้คนที่เป็นคนดี ชอบอยู่ในสังคมที่มีแต่หมู่ชนที่เป็นคนดีไหม (ชอบ) อย่าชอบแค่เพียงคำพูด  การชอบที่แท้จริงก็คือไม่ว่าการพูดหรือการปฏิบัติล้วนเป็นสิ่งที่ชอบที่ถูกที่ควร  จึงจะเรียกว่าชอบจากใจจริง และจะต้องพยายามขวนขวายหามาอยู่กับตัวให้ได้  จะมีใครบ้างไหมที่ชอบความดีเหมือนชอบทรัพย์สิน  รักคุณธรรมความซื่อสัตย์ ความเป็นคนดีเหมือนกับการรักเกียรติยศ  รักใบหน้าตนเอง
พระพุทธะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธะ  ล้วนต้องฝ่าความยากลำบากมาก่อน  ท่านปฏิบัติเช่นไร ถึงยังมุ่งมั่นไม่ไขว้เขว ไม่ถอยหลังในการประพฤติเป็นคนดี  นั่นก็คือ  ระหว่างชื่อเสียงกับชีวิตท่านเลือกชีวิต ถ้าชีวิตกับคุณธรรมท่านเลือกสิ่งใด (คุณธรรมแต่ความเป็นจริงศิษย์น้องเลือกชีวิตใช่หรือไม่  จึงทำให้ชื่อหมดแล้วก็หมดไป  ไม่เคยได้คงอยู่ในใจใครสักคน  หากพูดถึงการกระทำดีกับผลประโยชน์  ศิษย์น้องเลือกอะไรก่อน (ความดีหากได้เงินหนึ่งล้าน  แต่ต้องโกหกคนอื่น  ก็ต้องบอกว่าโกหกเป็นความชั่วเล็กน้อยไม่เป็นไร  เอาหนึ่งล้านมาแล้วค่อยไปทำบุญสร้างวัดวาดีกว่า  แปลว่าเรารักเงินและรักใบหน้านี้มากกว่าตัวเอง  เป็นการกระทำที่ถูกหรือไม่ (ไม่ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทอง  หากเราไม่รู้จักมีความรู้พอ  เราจะต้องเป็นทุกข์กับทรัพย์สิน  เงินทอง  เกียรติยศ  ชื่อเสียง   และใบหน้าอันนี้
หลายครั้งที่เราทุกข์  เราเจ็บปวด  น้ำตาไหล  เพราะว่า  เราติดในทรัพย์ ชื่อเสียง  เกียรติยศ  ใบหน้า  ความผูกพัน  จึงทำให้เรายอมทิ้งทุกอย่างได้  แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง  อย่างนี้เป็นเรื่องน่าเสียดาย ใช่หรือเปล่า 
ท่านไคซินถงจื่อ  : สิ่งที่ท่านจะเสียเวลาที่สุดก็คือ ชีวิตผ่านไปหนึ่งวันโดยที่ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมาเลย  เหมือนต้นไม้ที่แคระแกร็น  ไม่สามารถปลูกให้เติบโตได้  ถ้าหากลงแรงปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง  ท่านอยากให้มันโตก็ต้องรดน้ำทุกวัน  แต่ว่าต้นไม้ของท่านไม่เจริญเติบโตท่านเสียเวลาไหม  ในวันนี้ที่ท่านได้รับธรรมะแล้ว  ถ้าท่านบำเพ็ญธรรมในชาตินี้  ไม่ว่าจะเริ่มต้นบำเพ็ญ หรือยังไม่บำเพ็ญ หรือบำเพ็ญถึงขั้นไหนก็แล้วแต่  แต่ไม่สามารถบำเพ็ญจนบรรลุเป็นพุทธะได้ทั้ง ๆ ที่ ชาตินี้พระอนุตตรธรรมมารดาให้ท่านบำเพ็ญเป็นพุทธะ  ถือว่าชีวิตนี้ก็เสียเวลาไปเปล่า ๆ  เลยใช่ไหม  การเสียเวลาของชีวิตทั้งชีวิตเป็นเรื่องที่เสียหายที่สุด  หากไม่รู้จักบำเพ็ญ  ไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะ
เราชื่อว่าไคซิน  แปลว่า  เบิกบาน  พวกท่านไม่ยอมยิ้มไม่ยอมเบิกบาน  ก็แสดงว่าเราไม่ได้มาที่นี่ 
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์  : หลายครั้งเราทำดีแล้ว  คนไม่อยากรับสิ่งที่เราให้  เราก็น้อยอกน้อยใจ  ประชดตัวเองโดยไม่ทำอีก  หรือโกรธเกรี้ยว  การกระทำเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่  (ไม่ถูกเวลาเราจะทำสิ่งใดก็ตาม  ต้องรู้วาระโอกาสด้วย  หากมีคนทำงานให้เรา  เมื่อถึงเวลาเราต้องรู้จักแสดงน้ำใจไมตรีต่อเขา  โดยการขอบคุณ  หรือถ้าหากเขาเป็นเพื่อนเรา  ก็ยิ้มให้  แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้วมาขอบคุณทีหลัง  ก็ช้าเกินไป  เมื่อเราพบเพื่อนเดือดร้อน  เราต้องยื่นน้ำใจไมตรีต่อเขา  แม้จะเล็กน้อยไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย  เขาก็อิ่มเอิบใจในการอุทิศให้ของเรา  แต่ถ้าเราเพิ่งมานึกเสียสละให้ได้ทีหลัง  แม้จะให้ไปแล้วก็เหมือนให้ถ่านแดงกับคนที่รู้สึกร้อนย่อมไม่มีประโยชน์  หากเราจะช่วยเหลือเขาก็ต้องให้ตอนที่เขารู้สึกหนาว รู้สึกต้องการ  แต่ถ้าผ่านความต้องการ ผ่านความรู้สึกหนาวไปแล้ว  แม้ให้สิ่งดีกว่าก็สายเกินไป ฉะนั้น เวลามีโอกาสทำดีต้องรีบทำ  อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป  ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเป็นผู้ทำลายน้ำใจไมตรีต่อกันก็เป็นได้
อยู่ในโลกนี้เราไม่อาจทำทุกเรื่องราวให้ถูกใจคนรอบข้างหมด  แต่เราก็ต้องยึดมั่นในการเป็นคนดี  ในการประพฤติให้ถูกทำนองคลองธรรม หากเราเป็นคนบำเพ็ญดี ปฏิบัติดี  แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่าของความดี  เราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้คนอื่นมองเราและเห็นว่าเราปฏิบัติดี  เราก็ไม่เปลี่ยนแปลง  ยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่หลงลำพอง  นั่นคือ  มุ่งมั่นกระทำสิ่งใด  และไตร่ตรองแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี  ถูกครรลองคลองธรรม  ถูกต้องในการบำเพ็ญตน  ขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติต่อไป  อย่าเปลี่ยนแปลงไม่ว่าคนอื่นจะมองหรือไม่
หลายครั้งที่เราอยู่ในโลกนี้  พอคนอื่นไม่มอง  เราก็พยายามเปลี่ยนแปลงตนเองให้เขาสนใจ  พอเขาสนใจ  เรากลับหลงลำพอง หลงลืมสิ่งที่ตนเองทำให้เขามอง ใช่หรือไม่  เหมือนเราอยากจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงยอมเสียเงินแต่งตัวสวย ๆ  ยอมเสียสัจจะเพื่อให้ตนเองเป็นคนเด่นคนดัง เพื่อให้คนอื่นมอง  แต่พอเขามอง  เรากลับยิ่งทำตัวแย่ลงไปอีก  อย่างนั้นเรียกว่า  ลืมแม้กระทั่งตนเอง  ทำร้ายแม้กระทั่งตนเองได้  อย่างนี้น่าสงสารไหม  แล้วจะยอมทำผิดอีกไหม  อย่าปล่อยให้ความไม่รู้  ความเผอเรอ  ให้อารมณ์มาครอบงำจิตใจจนทำให้เราลืมความเป็นตัวของตัวเอง  หรือลืมคุณธรรมความดีงาม ทำได้หรือไม่ 
ท่านไคซินถงจื่อ : เคล็ดลับความเจริญของเราก็ง่าย ๆ   คือการเอาหูไว้รับฟัง  ความคิดเห็นของผู้อื่น  ใช้ผู้อื่นมองตัวเอง  หากสามารถให้คนอื่นบอกได้ว่าท่านผิดอะไร  แล้วเอามาแก้สิ่งที่ไม่ดีให้ดี   สิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นอีก  ในที่สุดท่านก็ลอยขึ้นจากปุถุชนขึ้นมาเป็นพุทธะ  ถ้าท่านไม่ยอมแก้ สิ่งเสียที่อยู่ในร่างกายก็จะกลายเป็นน้ำมูก น้ำตา น้ำเหลืองที่หนัก  เพราะฉะนั้นต้องทำจิตใจของเราให้เบา  อย่าเอาจิตของเราไปรวมกับสิ่งเสียเหล่านี้ ดีหรือเปล่า (ดีร่างกายของเรามีสิ่งไม่ดีเยอะแยะ  สิ่งที่ดีก็มีอยู่ด้วย   ต้องทำดีให้เหนือชั่ว  แล้วทำความดีให้เหนือความดี
            (ท่านไคซินถงจื่อ เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียน ๒ คนแบ่งกัน)
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : หากท่านยอมเสียสละให้ใครสักคน  แล้วอีกคนหนึ่งก็มีใจแบ่งปันให้อีกครึ่งหนึ่ง   เขาเรียกว่าไม่สร้างศัตรูต่อกันแต่เป็นมิตรกันด้วยของเพียงสิ่งเดียว  เราเลือกทางเดินได้แต่เราจะเลือกทางไหนที่ดีที่สุด มนุษย์เป็นผู้มีปัญญา  แต่ต้องเปิดกว้าง  หากมัวแต่หวังประโยชน์  จะทำให้ความกว้างแห่งปัญญากลายเป็นคับแคบใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องราวทุกเรื่องไม่ใช่มีทางเดียว  จริง ๆ แล้วมีหลายทาง อยู่ที่ว่าปัญญาเราเปิด  ใจเรากว้างพอไหม  เวลามีปัญหาเกิดขึ้น คนที่อยู่ในปัญหา  มักจะมองปัญหาไม่เห็น  บางครั้งให้คนที่อยู่ข้างนอกมาช่วยมองปัญหากลับเห็นเด่นชัด  เห็นทางแก้มากกว่า  ฉะนั้น ถ้าเราทำตัวให้อยู่เหนือปัญหาแล้วเราจะแก้ปัญหานั้นได้  ไม่ใช่พอเกิดปัญหาก็มัวแต่จมในปัญหาแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้  เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์  : ไม่เจอกันตั้งนานศิษย์น้องทุกคนสบายดีใช่ไหม  แม้จะทุกข์บ้างสุขบ้าง  ก็ขอให้ยังมีใจในการประพฤติธรรม  ไม่ถดถอย  เพราะเราเข้าใจแล้วว่า  สิ่งที่เรากระทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีค่าต่อชีวิต  ขอให้เป็นคนที่มีจุดหมายแห่งชีวิต  เป็นคนที่รู้แนวทางแห่งชีวิตตน  ไม่ยอมแพ้แม้อุปสรรคขวากหนาม  ไม่ยอมแพ้แม้สิ่งที่ไม่ดีมาทำร้ายจิตใจ  หากทนได้  เราสามารถเป็นพุทธะ  เป็นคนที่ดีได้
ถ้าหากหมายมุ่งทำดีใกล้ไกล   มิเว้นใครฤทัยเดียวไม่สอง
  ไม่ติดใจที่ใครเมินไม่มอง      ไม่นำผลมาตัดสิน
หากเราทำดีไปแล้วต้องตั้งใจ  มีใจเดียวที่จะกระทำ  ถ้ามัวแต่ลังเลก็ยากที่จะกระทำได้  แต่ถ้าเรามองดูที่ผลแล้วไม่ทำดีเลย  แปลว่าเราไม่ยึดมั่นในสิ่งที่เราตั้งใจจะกระทำ  การกระทำของเราเปลี่ยนแปลงไปได้ตามคนรอบข้าง  เปลี่ยนแปลงตามผล  เราไม่สามารถกระทำดีด้วยความตั้งใจจริง  เมื่อจะกระทำสิ่งใดแล้วต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด ไม่ท้อถอย ไม่หวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองตัดสินใจและไตร่ตรองแล้ว
หลายครั้งเวลาเราทำดี  เราเกิดสองใจว่าจะทำหรือไม่ทำดี  บางครั้งจะทำดีก็คิดว่าทำแล้วไม่ได้ผลดี  อย่าทำเลยดีกว่า  เหมือนกำลังจะก้าวออกไปแต่ยังไม่ทันก้าวก็ลังเล  ผลสุดท้ายก็คือไม่ได้ก้าวเดินหรือไม่ได้ทำดีเลย  เพราะมัวคิดมากไป  การคิดมากเกินไปก็มีประโยชน์สำหรับคนที่คิดน้อยเกินไป  บางคนเวลาทำไม่คิด  นึกจะทำก็ทำ อย่างนี้ก็ไม่ถูก  เพราะอาจจะกลายเป็นว่าเอาความดีไปใส่ไว้บนความไม่ดีของคนอื่นก็เป็นได้ ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดเวลากระทำต้องคิดไตร่ตรองให้ดี  แล้วสำหรับคนที่คิดเกินไป ลังเลจนไม่กล้าก้าวก็ต้องคิดให้น้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่
หากเกิดทุกข์มิยอมให้ใจขม      หากใครล้มปราชญ์มิข้ามกันกิน” 
เวลาเกิดความทุกข์  หากใจเราไม่รู้สึกทุกข์ไปกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น  นั่นก็คือ เราอยู่เหนือสภาวะที่เกิด  สภาวะนั้นก็ยากที่จะมาเกาะกุมใจเราได้  ถ้าเรามีจิตใจอยู่เหนือความผิดหวัง ความเสียใจ  สิ่งเหล่านี้ก็ยากที่จะมาอยู่ในตัวเรา  จิตใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่ใจเราเหมือนภาวะที่เหนียวมาก  เกาะแล้วไม่ยอมปล่อย  ทุกข์แล้วไม่ยอมเลิกทุกข์เสียที  ทั้งที่เราไม่อยากเจอ 
ปราชญ์ในที่นี้หมายความว่า  ความสำเร็จหรือสิ่งที่เป็นผลสำเร็จ  เวลาเราได้ผลสำเร็จขึ้นมา  เราต้องคิดด้วยว่าเป็นผลสำเร็จที่เหยียบย่างอยู่บนความทุกข์ร้อนของคนอื่น หรือเกิดมาจากการโป้ปดมดเท็จหรือไม่  หากเป็นผลสำเร็จที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน  แต่ตนเองได้หน้าอย่างนั้นไม่ควรทำ  เหมือนคำพูดว่าคนล้มอย่าข้าม  เพราะเขาสามารถลุกขึ้นมายืนใหม่ได้เหมือนกัน  ฉะนั้น  เวลาเรากระทำสิ่งใดก็ตาม  หากเป็นผลสำเร็จเราก็อุทิศให้กับทุกคน  เพราะทุกคนช่วยเหลือ  เพราะฟ้าดินช่วยการุณย์ให้โอกาสเราได้ทำดี  ถ้าเรายกความดีให้ฟ้า  ความดีของเราก็ยิ่งใหญ่เฉกเช่นฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่หากเรายกความดีให้ตนเอง  ความดีก็อยู่ที่ตัวเองคนเดียว  ถ้าดีตอนต้นมาเสียตอนปลายเราก็รู้สึกว่าไม่น่ารับผลดีเลย    แต่ถ้าเรายกให้ฟ้าแล้ว  เราก็โล่งใจใช่หรือเปล่า (ใช่
เรื่องราวบางเรื่องอย่ายึดตัวตนมากนัก  เพราะมีตัวตนจึงเกิดทุกข์  ถ้าปล่อยตนได้  ละความยึดมั่นได้ เราก็เป็นสุข  อย่ายึดมั่นว่าสุขในโลกนี้จะต้องมีรถ  มีเงิน  มีความรัก   บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลยก็เป็นสุขได้  นั่นคือสุขที่ใจ  เป็นสุขที่ปราศจากตัวตน  เป็นสุขที่สงบ   เป็นสุขอันนิรันดร์  ทำได้ไหม (ได้
หากศิษย์น้องค่อย ๆ ศึกษา  นำไปพินิจพิเคราะห์แล้วกระทำตาม  ย่อมเป็นผลดีต่อศิษย์น้อง  อย่ามองเห็นว่าที่ศิษย์พี่มา  ที่เซียนเด็กมาเป็นการหลอกลวง  เป็นการโป้ปด  ถ้ามัวแต่คิดว่าหลอกลวงโป้ปดอย่างนี้  บางทีจะได้ฟังสิ่งที่ดีก็พลาดไปใช่หรือไม่ (ใช่โลกใบนี้จะสวยหรือไม่สวย  บางครั้งก็อยู่ที่ตาเรา  ตาเราเปิดกว้างหรือเปล่า  มีทัศนะในแง่คิดที่ดีหรือไม่ โลกนี้อาจจะเป็นโลกที่สวยและน่ากลัวได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา  ขึ้นอยู่กับน้ำมือเรา  และก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง  ความทุกข์ก็เหมือนกัน  อาจจะเอื้อให้ศิษย์น้องเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ถ้าหากศิษย์น้องรู้จักเผชิญหน้ากับความทุกข์และรู้จักที่จะรับมือกับความทุกข์  อย่ามองแต่ความทุกข์ที่ทำให้เราทุกข์  บางครั้งความสุขก็สามารถทำให้เราหลงระเริงได้ 
เดี๋ยววันนี้ศิษย์พี่ขอไปก่อน  มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันใหม่
ท่านไคซินถงจื่อ : อย่าลืมว่าตอนนี้เราก้าวเข้าสู่ประตูพุทธะแล้ว  การบำเพ็ญก็จะเกิดขึ้น  ท่านอย่ามัวเล่นเพลินแล้วมาเพ้อกับความฝันอันลวงตา  ไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะเสียเวลาชีวิตนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์  เป็นการเสียเวลามากที่สุด  ขอให้ทุกท่านคิดถึงเราบ่อย ๆ  และขอให้บำเพ็ญทุก ๆ วันด้วย  การบำเพ็ญไม่ใช่มีแค่จิตกับกายเท่านั้นที่เรียกว่า บำเพ็ญ  มีอีกตั้งมากมายที่เรียกว่าการบำเพ็ญ  อีกสองวันท่านไปหาคำตอบว่า  การบำเพ็ญคืออะไรดีหรือเปล่า  ขอให้ทุกท่านร้องเพลง ปลุกจิตตน  และร้องด้วยความเบิกบาน เอาจิตใจของตนเองออกมาร้อง
เราต้องหัดช่วยคนข้างหลังเหมือนกับที่ช่วยตัวของเรา  อย่าคิดมาก  เวลาเริ่มทำก็มีผิดมีถูกบ้าง  แต่อย่าผิดบ่อยนัก  เพราะจะกลายเป็นทำผิดไม่ใช่ทำถูก  เอาไว้วันหลังมีโอกาสเราเจอกันใหม่















       วันเสาร์ที่  ๒๙  สิงหาคม  พุทธศํกราช  ๒๕๔๑
      พระโอวาทท่านแปดเซียนฮั่นจงหลี

        คนเก่งกาจใช่ว่าจะประสบ         ความสำเร็จอันครันครบน่านับถือ
คนเมตตาใช่ต้องเก่งเขาลงมือ            คนนับถือด้วยใจถึงจะจริง
              เราคือ
       ฮั่นจงหลีต้าเซียน                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถาน    แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                                           ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                                 
                                     เมาลาภยศยกย่องของนอกกาย                    เฝ้าขวนขวายจนใจสิ้นความเสถียร
               ชีพมีย่อมลำบากสบายสลับเวียน                                                หยุดเบียดเบียนชีวันตนปล่อยพ้นพันธนาการ
บุญสิ้นสุดได้แต่ทนเวทนา                                                   วาสนาหมดได้อย่าไปโศกกำสรวล
หมดไปเสียก่อนเวลาอันสมควร                                          ต้องทบทวนอดทนชะตามาเป็นทุน
คนไม่กล้าตะวันร้อนกำบังตัว                                              คนพันพั วใจอาจย่ามซ่อนหมกมุ่น
อารมณ์รุมให้เผาใจเป็นจุณ                                            ตื่น ภายในอบอุ่นเป็นคนใหม่
ประคองไว้สุขุมนิ่งตรองเสียสาม                                         มีพยายามความสำเร็จไปไหนได้
ถูกรบเร้าลามเลียภัยไม่เว้นใคร                                          กระจ่างใสปัญญาเหตุฝนลาฟ้า
เริ่มฝึกหัดแก้กระทั่งจิตราเพ็ญ                                            ทั่งมาเป็นเข็มสมบูรณ์ต้องฟันฝ่า
หยิบใช้ได้ยังประโยชน์แด่ประชา                                        ผายความกล้าสู่นิรันดร์เมธีมี
ผู้ชอบให้สาธารณะจะศรัทธาคุณธรรม           สานกันต่อมั่นสัจธรรมเชื่อวิถี
พัฒนาใจกว้างใหญ่แคบอย่ามี                                          ชาวดรีไว้สายกลางควรคะนึง
สามัคคีมือจูงมือหมั่นอภัยจิต                                              พิสูจน์ก่อนประสานจิตหวั่นเลิกหนึ่ง
เมื่อสุดทางไม่หวั่นไหวกลางคืนบึ่ง                                     เพราะมาถึงบ้านเดิมคัคนานต์ทัน

เคยสำคัญนานสิ่งกลายค่าไร้                                               เสมือนวันมีใจกลายอดีตนั่น
ปัญญาอวิชชาประดุจมีดเล่มเดียวกัน   ตามให้ทันมายาตื่นให้จริง
                                                                                                            ฮา    ฮา    หยุด
 


๑  เสถียร         แปลว่า             มั่นคง, แข็งแรง
๒  พันธนาการ                       แปลว่า      การจองจำ
๓  กำสรวล      แปลว่า              โศกเศร้า, คร่ำครวญ, ร้องไห้
๔  จุณ                                      แปลว่า       ของที่ป่น, ของที่ละเอียด, ผง
๕  ดรี                                        แปลว่า       เรือ
๖  คัคนานต์           แปลว่า                                 ฟ้า















พระโอวาทท่านแปดเซียนฮั่นจงหลี

ชีวิตของเราจะมีแต่ความสุขสนุกสนานอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้       บางครั้งก็ต้องมีทุกข์บ้างสุขบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วใช้แต่ความหยิ่งผยอง โอ้อวดว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น  ใช้ความเก่งข่มผู้อื่น ก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกับผองชนได้อย่างปกติสุข มีแต่จะหลีกหนีไปทีละคน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาท่านมาถึงสถานธรรม อยากได้ความรู้ อยากได้ธรรมะ อยากได้สิ่งที่ดี  ไม่อยากให้ใครหลอกลวง ไม่อยากให้ใครมาแสดงตนโอ้อวดต่อหน้าท่าน  เมื่อเราไม่ต้องการสิ่งใด เราก็ต้องไม่ทำสิ่งนั้นต่อคนอื่น  นี่ก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง 
หากเรามาในลักษณะที่หน้าบึ้ง ในใจของท่านคงหวาดกลัว หรือไม่ก็   กล้า ๆ กลัว ๆ ใช่หรือเปล่า  ถ้าเราหน้าบึ้งคงไม่มีใครอยากจะสนทนาหรือเชื้อเชิญให้เรามาอยู่ในสถานธรรมแน่นอน  แต่ถ้าเราเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่เป็นยิ้มแย้ม ท่านคงอยากคุยกับเรา เพราะเราก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากท่านมากมาย จะต่างกันก็เพียงพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น  แต่เรามีพุทธจิตธรรมญาณเหมือนกัน ความประพฤติและรูปลักษณ์ภายนอกทำให้คนแตกต่างกัน  ถ้าเราวางท่าทางเคร่งขรึมดุดัน ก็จะน่ากลัว  หรือไม่ก็ต้องคิดว่าเขาเป็นผู้ที่มีอำนาจ มียศศักดิ์  แต่ถ้าอีกท่านหนึ่ง วางตัวยิ้มแย้มด้วยไมตรี มีอัธยาศัยที่ดี จริงใจต่อท่าน พูดคุยกับท่าน ท่านจะรู้สึกว่าคนนี้เป็นมิตร แล้วก็อยากคุยกับเขา อยากสนทนากับเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้น ตอนที่มาสถานธรรม เราควรปฏิบัติตัวเช่นไรต่อคนรอบข้างบ้าง  มีกี่คนที่จะยิ้มได้เต็มปาก  ส่วนใหญ่มาเหมือนโดนบีบบังคับ โดนข่มขู่ กลัวเขาจะเสียน้ำใจ กลัวเสียสัจจะวาจา หรือกลัวเสียเพื่อนที่หวังดี ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อไม่จริงใจต่อเขาแล้ว  คนที่ชวนมาก็รู้สึกลำบากใจ  การอยู่ร่วมกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ      อย่าทำให้เขาลำบากใจ  เพราะถ้าลำบากใจแล้วก็อยู่ร่วมกันได้ไม่ตลอด ใช่หรือเปล่า (ใช่
บางครั้งอำนาจวาสนาก็ไม่สามารถทำให้คนนับถือเราด้วยใจจริงได้ สิ่งใดที่ทำให้คนเรานับถือกันได้ด้วยใจจริง (ความดี , ความเสมอต้นเสมอปลายในความซื่อสัตย์ และการทำงานร่วมกันทำไมเรานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทำไมเรานับถือบิดา มารดร  (เป็นผู้ให้กำเนิด ให้สิ่งที่ดีกับเราทำไมเรานับถือเพื่อนที่สนิทกับเรามาก แต่คนอื่นเราไม่นับถือ  (เพราะเป็นคนมีน้ำใจและจริงใจกับเรา       ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่การที่เราจะสร้างความนับถือให้กับใคร สร้างความจริงใจให้กับใคร  ตัวเราต้องเป็นผู้รู้จักให้กับเขาก่อน  อยู่บนโลกนี้เราหวังจะรับฝ่ายเดียวเป็นไปไม่ได้
            การยอมมานั่งฟังสามวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  ทุกท่านในที่นี้ต่างก็มีบุญ    ไม่มากก็น้อย การที่เรายังมีบุญวาสนาอยู่ ได้กินได้ใช้ของบรรพชน ก็เพราะมีรากบุญที่บรรพชนได้สั่งสมไว้ ใช่หรือไม่  (ใช่
นอกจากเราจะนับถือบุคคลที่มีน้ำใจไมตรี  ที่มีความเมตตากรุณาแล้ว  เราอย่าลืมนับถือบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเราด้วย  เรามักจะเห็นคนอื่นมีความเก่งแล้วเราก็ยกย่องนับถือเขา  แต่เรามักมองข้ามและหลงลืมคนที่เก่งที่สุด ที่อยู่ใกล้ตัว   ที่สุด ที่มีบุญคุณและน่านับถือที่สุดคือใคร (บิดา มารดา) นอกจากบิดามารดาแล้วก็คือบรรพชนของเรา  แม้คุณความดีจะไม่แผ่กระจายไปทั่วผองชน แต่คุณความดีนั้นก็ส่งและตกทอดมาถึงเรา  และแม้คุณความดีนั้นจะไม่ยิ่งใหญ่และอาจจะมีร่องรอยของการทำผิดพลาดบ้าง แต่ความผิดนั้นก็สอนให้เราได้รู้ ฉะนั้น ไม่ว่าบรรพชนจะทำถูกหรือผิด ก็สอนให้เราได้รู้จักชีวิตไม่เดินซ้ำรอยเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่ ) ดังนั้น นอกจากเราจะนับถือคนข้างนอกแล้วเราต้องนับถือคนในบ้านเราด้วย 
โลกใบนี้ยังเป็นโลกที่น่าอยู่ เป็นโลกที่ปกติสันติสุขได้ ก็เพราะมีผู้เสียสละ  มีผู้ยินยอมที่จะอุทิศชีวิตของตน โดยไม่สนใจโลกียสุข แต่มาสนใจศึกษาธรรมะ  พยายามที่จะกอบกู้ธรรมะให้ยังคงอยู่ไม่ว่าเวลาใด  บุคคลเช่นนี้น่าเคารพหรือไม่ (น่าเคารพถ้าไม่มีเขาแล้วจะมีเราที่ได้รู้จักธรรมะอยู่ตรงนี้หรือไม่ (ไม่มี) หากเราจะเป็นผู้รับอย่างเดียวโดยไม่มีความรู้สึกอยากจะให้ อยากจะเสียสละ  การให้นั้นก็ย่อมจะเริ่มหายไปจากเรา จิตใจของเราก็มีแต่อยากจะรับอย่างเดียว เท่ากับว่าสังคมก็เพิ่มแต่คนที่อยากจะรับ  ส่วนคนที่จะอุทิศให้ก็ค่อยๆ  น้อยลง    เมื่อคนให้มีน้อยลงแต่คนรับเพิ่มขึ้นจะเป็นเช่นไร  เมื่อคนหนึ่งได้แต่อีกคนหนึ่งไม่ได้ ก็ต้องเกิดการต่อสู้  แก่งแย่งแข่งขันกัน ความวุ่นวายก็ย่อมจะเกิด   โลกก็ย่อมยากที่จะสันติสุขได้   ฉะนั้น เราควรที่จะสืบต่อความคิดในการอุทิศเสียสละและกอบกู้ธรรมนี้ให้ดำรงคงอยู่ในโลกหรือไม่   (ควร)     แม้เราจะสละได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม  แล้วเราควรที่จะให้ความเคารพบุคคลที่มีใจใฝ่ศึกษาธรรม  อุทิศตนเพื่องานธรรมะ หรือไม่ (ควร)   แม้เขาจะอายุน้อยกว่าเราก็ตาม  ทำได้หรือไม่ (ได้)
การมองสิ่งใดก็ตาม อย่ายึดติดเพียงภายนอก เราจะต้องมองให้ถึง    แก่นแท้ของความเป็นจริง หากท่านมองเปลือกท่านก็ได้เปลือก แต่ถ้ามองให้ถึงแก่นแท้ภายในท่านย่อมได้แก่นแท้ภายใน
ถ้าพูดถึงบุญคุณที่ทำให้เรามีชีวิตจนถึงปัจจุบัน พูดทั้งวันก็คงไม่หมดสิ้น  ไม่ใช่แค่บุญคุณบิดามารดา บรรพชนหรือผู้ที่ยังสืบต่อในวงการธรรมะ แต่ยังมี บุญคุณแห่งฟ้าดิน บุญคุณแห่งบุคคลที่อยู่รอบข้างเราอีก  แม้คนที่ไม่รู้จัก เขาก็มีบุญคุณเหมือนกัน  บุญคุณที่อยู่ร่วมกับเรา  บุญคุณที่สร้างทำให้เราได้มีเสื้อผ้าใส่  ได้มีอาหาร  ได้มีเครื่องดื่ม  เพราะคน ๆ เดียวไม่สามารถจะทำงานทุกอย่างได้เพราะเรามีมือแค่สองมือ แม้เราจะมีความสามารถมากมาย  แต่ว่าเวลามีจำกัด เราจึงไม่สามารถทำทุกอย่างได้ เรามีชีวิตได้ก็ด้วยการลงแรง การอุทิศให้ของคนรอบข้าง ไม่มากก็น้อย   แม้ว่าเขาจะได้ประโยชน์  แต่เราก็ได้ประโยชน์เช่นกัน
ชีพมีย่อมลำบากสบายสลับเวียน       
          หยุดเบียดเบียนชีวันตนปล่อยพ้นพันธนาการ
ชีวิตเรามีพันธนาการผูกพันหรือไม่ (มี) มนุษย์นั้นตัวเปล่า  แต่ก็มักจะหาอะไรมาพันผูก คอว่างก็หาสร้อยมาใส่ แขนขาว่างก็หากำไลมาใส่ หูเบา  หัวเบา  ก็หาอะไรมาห้อย   พอห้อยแล้วรู้สึก อิสระเสรีหรือไม่ (ไม่)
ตัวเราเบา ๆ ก็ห้อยน้ำหนักเพิ่มให้มากขึ้น  ภาระน้อย ๆ ก็เพิ่มให้มากขึ้น  ทรัพย์สินมีเพียงเท่านี้ สามารถเบิกบาน พึงพอใจและมีความสุขได้ก็ไม่พอ  ต้องมีมากขึ้นอีกถึงจะสุขมากขึ้น  ความสุขจึงกลายเป็นอยู่ที่วัตถุแทนที่จะอยู่ที่จิตใจ  เมื่อขึ้นชื่อว่าวัตถุ ขึ้นชื่อว่ารูปนามแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่ง   ย่อมตกอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดและการดับ วันนี้ทรัพย์สิน ลาภยศอยู่กับมือเรา  วันต่อไปมีไหมที่จะไม่เปลี่ยน ที่จะอยู่กับเราโดยไม่ดับหรือหายไป  แม้จะมีข้าวของเต็มตู้แต่ก็หยิบไปได้เพียงแค่สองกำมือ  แม้จะมีทรัพย์สินมากมายเต็มคลัง  แต่ก็หยิบได้ใช้เพียงวันละครั้งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่วันละครั้งนั้นสำหรับคนที่รู้จักใช้  แต่ถ้าหยิบวันละหลาย ๆ ครั้ง  ต้องเรียกว่าคนฟุ่มเฟือย มนุษย์มักเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุ  ซึ่งย่อมมีขึ้นมีลง  มีได้มีเสีย  แล้วจิตใจจะเป็นสุขได้หรือไม่ (ไม่ได้) จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า  ถ้าใจตั้งไว้ที่ผิด  ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ความทุกข์ ความสุขนั้นจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ใช่ไหม (ใช่) เมื่อใจไปตั้งอยู่กับวัตถุ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่จบ ไม่สิ้น
คนเราต้องแสวงหาต้องดิ้นรนเพราะอะไร สำหรับคนที่กำลังศึกษาทำไมถึงต้องศึกษาหาความรู้ สำหรับคนที่กำลังค้าขาย ทำไมต้องหาทรัพย์ สำหรับคนที่กำลังทำงานทำไมต้องแสวงลาภยศชื่อเสียง ใครจะเป็นตัวแทนตอบแทนคนสามประเภท (ตัวแทนคนทำงาน : เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต) แต่ความเจริญก้าวหน้ามักไม่มีที่สิ้นสุด จนเราลืมนึกไปว่าสูงสุดนั้นก็คือสามัญ เมื่อพอเราไต่ไปจนถึงที่สุดแล้ว  ผลสุดท้ายเราก็ต้องกลับมาอยู่ตำแหน่งที่เหมือนนับหนึ่งใหม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) (ตัวแทนคนค้าขาย : เพื่อให้ชีวิตเราไปสู่จุดมุ่งหมายที่เราตั้งไว้คือความสุขของครอบครัว) แต่ถ้าคิดให้ดี  ความสุขของครอบครัวแท้จริงได้มาจากการอยู่อย่างสมานปรองดองกันต่างหาก  ไม่ใช่การอยู่ร่วมกันอย่างมีทรัพย์สินมากมายแต่ทุกคนต่างกระจัดกระจายกันไปทำงาน ไม่มีเวลาแม้จะพบหน้ากัน   (ตัวแทนนักเรียน : การเรียนเพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า,มีวิชาชีพติดตัวไม่ว่าเราจะทำงานหรือศึกษาล้วนเพื่อให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป       ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ว่าเราจะเรียนหรือทำงาน เมื่อเรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใดแล้ว  เราย่อมไปให้ถึงจุดหมาย  แต่ถ้าเกิดสิ่งที่เรามุ่งมั่น สิ่งที่เราตั้งเป้าจะไปให้ถึงจุดหมายนั้น  ทำให้เรากลายเป็นคนที่มีหูแต่ไม่สามารถได้ยินเรื่องราวได้ชัดเจน  มีตาแต่ไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างอิสระ  มีใจแต่ไม่สามารถที่จะปรารถนาสิ่งที่ตนเองต้องการได้อย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากคนที่ผูกพันธนาการ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยกตัวอย่างคนที่จะมุ่งมั่นไปให้ถึงแม้ตำแหน่ง ชื่อเสียง  โดยยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้ตำแหน่ง ชื่อเสียงมา ใช่หรือไม่ (ใช่จนบางครั้ง แม้เขามีหูแต่หูของเขาไม่ยอมรับฟังอะไร  เขามีตาแต่ไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง  เขามีใจแต่ใจเขาก็ไม่มีอิสระเสรีที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ การค้ากับการศึกษาก็เช่นเดียวกัน  หากเราวุ่นกับการค้าจนแบ่งเวลาไม่ถูก  หูเราก็ย่อมยากที่จะได้ยินเสียงแห่งความเป็นจริงได้ เสียงที่ได้ยินจึงเป็นเสียงด่าทอกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาก็เหมือนกัน  ถ้าเราศึกษาจนไม่ยอมมองความเป็นจริง ไม่รับฟังความเป็นจริงของคนอื่น  ไม่รับฟังเรื่องที่เป็นสัจธรรม  จิตใจของเรา ตัวของเราก็เหมือนกับถูกพันธนาการด้วยการเรียน การค้าขาย การทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่เราพูดมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรเรียน ไม่ควรค้าขาย หรือไม่ควรมีอาชีพการงานเพื่อความก้าวหน้า  ชีวิตของเราจนเกินก็ไม่ดี รวยเกินก็ไม่ดี เราต้องรู้จักใช้เวลาให้เหมาะสม  เมื่อถึงคราวทำงานก็ต้องทำงาน  เมื่อถึงคราวพักก็ต้องพัก  แล้วก็มีสุขเท่าที่ตนเองพึงได้ พึงมี ตามที่กำลังตนขวนขวายมาได้      ใช่หรือไม่ (ใช่หากไม่ได้ก็ยอมรับรู้รับฟังความเป็นจริง  นั่นก็คือไม่ว่าเราจะเรียน  ค้าขาย ทำงานหรือมีอาชีพใด เราก็สามารถมีจิตใจที่เป็นอิสระ  มีหูมีตาที่เปิดกว้างรับฟังเรื่องราวต่างๆ ได้  มนุษย์รู้จักดำรงชีวิต แต่มักจะทำให้ชีวิตนั้นยากที่จะดำรง  เพราะว่าขาดความเข้าใจอย่างแจ่มชัดในชีวิตของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่
ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นคนร่ำรวยแต่เราก็เป็นสุขได้ ถึงแม้เราเป็นคนร่ำรวย แต่ต้องไม่หลงโลกียสุขจนเกินไป  นั่นก็คือรู้ในความสุขแห่งสิ่งที่ตนมีอยู่ รู้พึงพอใจในสิ่งที่ตนได้รับ ทำได้หรือเปล่า (ได้) แล้วเราก็ไม่เหนื่อยกับการอยากจนเกินไป  การดิ้นรนวุ่นวายจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่แต่จริงๆ ก็อดไม่ได้  เพราะตายังต้องมอง หูยังต้องฟัง มือยังต้องสัมผัส ใจยังต้องรู้สึก แล้วจะเอาอะไรมาควบคุม     ตนเอง ไม่ทำให้ตนเองต้องหลงเตลิดเปิดเปิงไปเพราะความอยาก เพราะอารมณ์ (ต้องพยายามตัดกิเลส ควบคุมตนเอง
 มนุษย์มีทุกข์ก็ตรงที่ว่าทุกมื้อจะต้องหาอะไรใส่ท้อง การสนองความอยากตรงนี้ก็ไม่ผิด สมมติว่าเรามีเงินสิบบาท เราสนองความอยากโดยการซื้อข้าวและกับข้าวเพียงอย่างเดียว เราก็อิ่มได้  แต่ถ้าเรามีความอยากมากกว่านั้น คือกินข้าวใส่จานธรรมดารู้สึกไม่ดีพอ กินข้าวอยู่ที่บ้านไม่มีความสุขพอ ต้องไปนั่งที่ร้านหรู ๆ  ต้องเป็นจานเคลือบทอง ช้อนทอง อาหารต้องเป็นกุ๊กทำ  ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คืออยากมากเกิน   อยากที่ไม่รู้จักพอ
แม้ชีวิตเราจะต้องหาอะไรใส่ท้อง แต่ถ้าเรารู้อยากอย่างพอเหมาะพอควรตามที่กำลังของตนเองสามารถสรรหาได้ เราก็จะไม่ถูกพันธนาการแห่งความอยากนั้นผูกเข้าไปอีก   ไม่เช่นนั้น นอกจากโซ่ที่ห้อยคอ ห้อยข้อมือข้อเท้าแล้ว  เรายังมีโซ่ที่ห้อยไปที่ท้องที่ปากอีกด้วย ใช่หรือไม่   บางคนยอมขับรถไปไกล ๆ ยอมเดินไปไกล ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองอยากทาน  อิ่มเหมือนกันแต่ต้องยอมไปไกล ๆ เช่นนั้น คุ้มหรือเปล่า (ไม่คุ้ม)   แต่บ่อยครั้งต้องถูกโซ่พันธนาการแห่งความอยากดึงตนเองไปถึงให้จงได้  แล้วก็บอกว่าเหนื่อยไม่เห็นคุ้มเลย    พอถึงบ้านก็เหมือนไม่ได้กินอะไร  แถมถ้าโลภมากกินมากก็อยากเอาออกเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
            บุญสิ้นสุดได้แต่ทนเวทนา          วาสนาหมดได้อย่าไปโศกกำสรวล
หมดไปเสียก่อนเวลาอันสมควร    ต้องทบทวนอดทนชะตามาเป็นทุน
ในช่วงเวลานี้เราจะสังเกตเห็นได้ว่าถ้าใครยังมีบุญมีชะตาที่ดีอยู่  ฐานะเขาก็ยังคงไม่สั่นคลอน แต่ถ้าโชคไม่ดีก็เหมือนบุญหรือวาสนาที่เขาสร้างสมมาหมดไปแล้ว ทำให้สูญเสียยิ่งกว่าสูญเสีย  ทำให้ที่เคยมีกลายเป็นไม่มี ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราจะทำอย่างไรเมื่อชะตาของเราถูกกำหนดมาเช่นนี้ บุญของเราได้หมดไปแล้ว  บางครั้งเราพยายามดิ้นรน พยายามค้าขายใหม่  พยายามเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่  แต่นับเท่าไรก็ไม่เคยเป็นสองเป็นสามสักที เราคงเหยียบย่ำอยู่ที่หนึ่งอยู่ร่ำไป  สิ่งที่เราควรทำก็คือ เราต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงก่อน  ปรับใจตนเองว่าตนเองไม่ใช่สภาพเดิมแล้ว  เมื่อปรับใจได้ ยอมรับได้ ยอมมองให้เห็นว่าสภาพเช่นนี้เป็นเช่นไร  เมื่อมองเห็นแล้วเราต้องตีให้ออกว่าเราควรจะดำเนินอย่างไรต่อไป   ใช่ไหม (ใช่)      เมื่อบุญหมด   เราก็ต้องรู้จักสร้างบุญ   สร้างพละกำลังของตนเอง
 และสร้างอาชีพของตนเองให้ขึ้นมาใหม่ด้วย  
ชีวิตของคนเราต่างยังมีลมหายใจ  เรายังมีโอกาสสร้างบุญ  แม้บุญกุศลที่สร้างวันนี้หมดไปแล้ว แต่เราก็สามารถสร้างต่อไปได้ หากเรายอมรับสภาพเป็นจริง ต่อไปอาจจะพลิกผันเปลี่ยนแปลงจากร้ายมาเป็นดีก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อย่าปล่อยให้ตนเองอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร เอาแต่รอคอยอย่างนี้ชะตาหรือบุญของเราจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ  (ไม่ได้) อย่างที่เราเคยรู้มา เมื่อหมดบุญแล้วเราก็ต้องเร่งรีบสร้างบุญถ้าหากเรายังมีลมหายใจอยู่  แต่ถ้าหากเราเกิดหมดบุญพร้อมกับหมดลมหายใจ เราต้องลำบากแน่   เพราะเราก็ไม่อาจแก้อะไรได้
เมื่อไรที่บุญหมด  ชีวิตเราหมด  สิ่งที่เราเคยทำมาจะมาแก้ไขตอนนี้ก็แก้ไม่ได้แล้ว  สิ่งที่เรารู้สึกสำนึกผิด  จะมาขอขมาก็ไม่ทันแล้ว  จึงมีสำนวนว่า  อย่าให้ตนเองยืนอยู่บนขอบเหวนรกจึงนึกถึงสวรรค์หรือการกระทำความดี”  สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับคนที่หมั่นทำความดี  ถึงแม้ตนเองจะทำความดีแต่ถ้ายังยึดติดในบุญกุศล บุญกุศลนั้นก็ยากจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน เวลาทำอะไรก็อดหวังผลไม่ได้  เมื่อมีการหวังผล  การกระทำของเราจึงออกไปไม่เต็มที่ เหมือนเวลาเราให้สิ่งของคน ๆหนึ่ง แม้ตอนนั้นเรามีใจอยากให้จริง ๆ  แต่เรามีความรู้สึกแฝงในใจว่าอยากได้รับกลับ จึงทำให้สีหน้า คำพูด    การกระทำที่ออกไปมีความหมายแฝง เหมือนคำพูดคนเรา เราอยากจะพูดให้เขา รู้ว่าเรารู้สึกกับเขาเช่นไร   เราก็จะต้องพยายามขัดเกลาประโยคนั้นให้ดี ให้ไพเราะ ให้เขาไม่สามารถรู้ได้โดยเฉพาะถ้าเราต้องการจะว่าเขา  เพื่อไม่ให้เขาเสียหน้าเราก็ต้องเกลาประโยคให้สละสลวยโดยที่ไม่ให้เขารู้ตัวแต่ให้เขาเอาไปคิด  การแสดงหรือการกระทำที่มีความคิดแฝงเมื่อกระทำออกไปจึงไม่สมบูรณ์  ผลที่ได้รับก็ย่อมกลับมาไม่สมบูรณ์เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้เป็นบัณฑิตเมื่อรู้จักฝึกฝนขัดเกลาตนให้มีคุณธรรม  จริยธรรมแล้ว     จะทำให้เขาเป็นคนที่รักและเมตตาต่อคนอื่นด้วยใจจริงไร้สิ่งเคลือบแฝง              หากประชาชนหมั่นฝึกฝนขัดเกลาตนในด้านคุณธรรม  จริยธรรมหรือศีลธรรมแล้ว  จะทำให้เขาเป็นคนไม่หยาบกระด้าง มีความสุภาพ  และความจริงใจต่อกัน    คุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมจึงมีส่วนขัดเกลาจิตใจของคนให้กระทำสิ่งใดแล้วอย่ามีสิ่งเคลือบแฝง  และไม่หวังผลตอบแทน  ผลนั้นจึงจะกลับมายิ่งใหญ่  สมกับสิ่งที่ตนเองได้ลงแรงไป และเป็นนิจนิรันดร์
ธรรมะดีเช่นนี้ แต่มีน้อยคนนักที่ศึกษาธรรมะตั้งแต่ต้นจนถึงปลายอย่างไม่มีวันขาดสาย  ส่วนใหญ่พอรู้แค่ งู ๆ  ปลา ๆ  ก็เอาไปใช้  ผลออกมาจึงเป็นแบบปลา ๆ และ งู  ๆ
คนไม่กล้าตะวันร้อนกำบังตัว
คนไม่กล้าเพราะว่าตะวันร้อน  ถ้ากล้าแล้วแม้ตะวันจะร้อนก็ไม่ต้องหลบไปกำบังตัว   นั่นก็คือ   หากเราไม่มีความกล้าที่จะกระทำสิ่งใด  ไม่กล้าที่จะเผชิญความยากลำบาก  วัน ๆ เอาแต่หลบตัวซ่อนอยู่แต่ในความเย็น  ก็ยากจะเผชิญความเป็นจริงแห่งชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาเรียกว่าเป็นคนที่กลัวความลำบาก  เมื่อกลัวแล้ว  การที่จะมีใจไปช่วยเหลือคนอื่นย่อมจะยากกว่าอะไรทั้งสิ้น  ถ้าต่างคนต่างกลัวความลำบาก  กลัวความเดือดร้อน ก็จะเป็นคนเห็นแก่ตน   ถ้าทุกคนเห็นแก่ตน   อย่างเช่นลูกเห็นแก่ตนไม่ช่วยเหลือพ่อแม่  พ่อแม่เห็นแก่ตนไม่เลี้ยงลูก   เราเห็นแก่บ้านเราเองและเห็นแก่ตนเองไม่ช่วยคนอื่น    ผู้นำประเทศหรือคนที่ปกครองสังคมเห็นแก่ตนไม่คิดถึงผองชน  ความน่ากลัวที่นึกไม่ถึงและคาดไม่ถึงก็ย่อมบังเกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากฟ้าเห็นแก่ฟ้า ไม่เห็นแก่ผองชน โดยไม่ให้แสงแดดสักหนึ่งวัน  เราคงต้องเดือดร้อน  วุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
             ดังที่เรากล่าวไว้ตั้งแต่ต้น  เราจะรอรับฝ่ายเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้  บางครั้งเราต้องรู้จักให้  รู้จักเมตตา   แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนก็ตาม  อย่าได้กลัวความร้อน อย่าได้กลัวความลำบาก  ถ้าร้อนและลำบาก แล้วสามารถช่วยผองชนให้พ้นทุกข์ได้  ทำให้คนทุกข์กลายเป็นที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้  เช่นนี้ไม่มีความสุขหรอกหรือ  
            คนพันพัวใจอาจย่ามซ่อนหมกมุ่น
            พันพัวในที่นี้ก็เหมือนการติดพัน  หรือการผูกพันสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   เช่นทุกคืนเราผูกพันกับการดูละคร เป็นต้น  ถ้าเรายึดมั่นในตัวตนเอง ทะนงตนว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องแล้ว เราก็จะต้องหมกมุ่นและพันพัวกับสิ่งนั้น  ไม่จบไม่สิ้น  แล้วก็ไม่ยอมเลิกง่ายๆ  ใช่หรือเปล่า      
             อารมณ์รุมให้เผาใจเป็นจุณ
            อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ถ้ารุนแรงหรือโหมประดังขึ้นมาก็ย่อมสามารถเผาใจเราได้   เมื่อเผาแล้วเราต้องทุกข์ร้อน  เมื่อไม่ได้ดังที่ต้องการ เราก็ทนไม่ได้  เราจึงต้องไปทำในสิ่งที่ใจเราต้องการ  ฉะนั้นเวลามีอารมณ์หรือมีอะไรเกิดขึ้นภายในใจของเรา  เราจะต้องใช้สติให้ดี    อย่าปล่อยให้อารมณ์มาเผาจนจิตใจเราย่ำแย่ไปเสียก่อน แล้วค่อยคิดที่จะตัดทิ้ง  อย่างนั้นก็สายเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
            ตื่นภายในอบอุ่นเป็นคนใหม่
ความมั่นใจในตนเองนั้นบางครั้งก็ต้องประคองให้ดี  ถ้ามั่นใจแล้ว      หยิ่งผยอง  ยึดมั่นในตัวตนจนเกินไป  ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครก็ย่อม
เป็นอันตราย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
            คนเราบางครั้งดูหน้าก็รู้ถึงใจ   เห็นทั้งวันนี้และวันต่อไปว่าตัวท่านจะเป็นเช่นไร  จะมีใครบ้างที่รู้ความรู้สึกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ที่มองหนึ่งแต่สามารถเห็นได้  ถึงสิบ มองข้างหน้าแต่สามารถทะลุถึงข้างหลัง  มองเห็นท่านอยู่ตรงนี้ แต่สามารถรู้ชะตาชีวิตว่าต่อไปท่านจะเป็นเช่นไร ถ้าหากท่านยืนอยู่ตรงที่เรายืนท่านก็คง      ไม่อยากให้ใครร่วงหล่นไปจากการศึกษาธรรม ไม่อยากให้ต้องเดินผิดไปแม้เราจะ  ไม่ใช่พี่น้องของท่าน  ไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของท่าน  แต่ถ้าท่านมีจิตใจที่เมตตา  มีพื้นฐานแห่งความดีอยู่  หากเห็นคน ๆ หนึ่ง มีร่างกายสมประกอบ  มีจิตใจที่ดี  แล้ววันหนึ่งเขาต้องเดินไปผิดทาง ท่านรู้ว่าทางที่เขาเดินไปนั้นเป็นทาง   นำไปสู่ความเสื่อม  ความหายนะ  ท่านก็คงทนไม่ได้ ใช่หรือไม่  (ใช่)   เหมือนเราเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังจะตกลงไปในบ่อน้ำ เราทนนิ่งเฉยได้ไหม (ไม่ได้) ในจิตใจแห่งผู้มีเมตตา  จิตใจแห่งพุทธะทั้งหลาย ก็คงทนไม่ได้  จิตใจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์  หรือจิตใจแห่งผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เขาต้องการช่วยเหลือให้ท่านเข้าใจในหลักธรรม  ให้หันมาบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน  อย่าได้คิดว่าเขาหลอกลวง
          “เริ่มฝึกหัดแก้กระทั่งจิตราเพ็ญ
วันนี้ฟังธรรมะไป รู้สึกมีประโยชน์กับชีวิตอย่างไร (ควบคุมจิตตนเองเวลาโมโห) บ่อยครั้งเราจะเห็นตัวอย่างที่ดี  เวลาเราเห็นใครโมโห เราก็นึกในใจว่าเราจะไม่เป็นคนขี้โมโห  แต่เราก็พลาดอยู่เสมอ  คิดแล้วทำไม่ได้อย่างที่คิด   เพราะว่าเราไม่ได้ควบคุมชีวิตของเราเสียแต่เนิ่นๆ เราเพิ่งมารู้จักและใช้ธรรมะ  เราดำเนินชีวิตโดยติดกับความเคยชินมาหลายปี การจะควบคุมให้เป็นได้ดังใจ ให้มีธรรมะก็ย่อมยาก ฉะนั้น สิ่งแรกที่เราจะประพฤติตนไม่ให้ตนเองทำผิดพลาด ไม่ให้ตนเองตกไปในความผิดพลาดหรือสิ่งเลวร้าย เราต้องหมั่นเลือกที่ที่เราควรจะไป ควรจะมอง หรือควรจะฟังเสียก่อน  เมื่อใดที่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เราก็อย่าฟัง    เมื่อใดที่เห็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็อย่ามอง เลิกมองเสีย เมื่อเราฝึกหัด ไม่มอง ไม่ฟัง ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีจนเคยชิน  ต่อไปแม้จะเห็นสิ่งที่ไม่ดี  เราก็สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่เริ่มแรกในการบำเพ็ญตนก็คือ อะไรที่ไม่ดี เลิกมอง เลิกฟัง เลิกทำ  คงไม่ยากเกินไป  อะไรที่ตนเองรู้ว่าทำไปแล้วจะเกิดโทษก็เลิกทำ ดีหรือไม่ (ดีอย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบคลุมแล้วเพิ่งนึกได้เพิ่งคิดได้ก็สายไป 
ทั่งมาเป็นเข็มสมบูรณ์ต้องฟันฝ่า
การจะฝนทั่งให้เป็นเข็มได้นั้น เราต้องฝ่าความลำบาก  ฝ่าอารมณ์และ จิตใจของเรา ถ้าเราฝ่าพ้นความลำบากได้จนกระทั่งไปถึงความสำเร็จ          ความสำเร็จของเราย่อมสามารถเอื้อประโยชน์  ทั้งตัวเราเองและบุคคลรอบข้างได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนกับความสำเร็จของพุทธอริยะ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถเอื้อประโยชน์ต่อท่านเองคนเดียวหรือไม่ (ไม่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการจะบำเพ็ญตน ฝึกฝนให้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมลำบาก   แต่ที่ท่านฝ่าความลำบากจนมาถึงความสำเร็จนั้น ไม่ใช่เอื้อประโยชน์แต่ท่านเพียงผู้เดียว  แต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อผองชน ไม่ว่ารุ่นนี้หรือรุ่นต่อๆ ไป  ไม่ว่ากาลนี้หรือกาลต่อๆ ไป ใช่หรือไม่ (ใช่) หากคิดว่าความลำบากของเราเมื่อไปถึงความสำเร็จจะมีประโยชน์เช่นนี้แล้วเราจะยังกลัวหรือเปล่า (ไม่กลัว) เราจะพูดว่า ไม่กล้าและกลัวความร้อนอีกไหม   เราจะยังยึดมั่นในสิ่งที่เราเป็นว่าฉันเป็นคนเคยชินอย่างนี้  เป็นคนไม่ดีอย่างนี้เลยไม่ยอมฝ่าความยากลำบากจนไปให้ถึงที่  ยังยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองถือผิด ๆ อีก       หรือเปล่า (ไม่เมื่อพูดแล้วต้องนึกถึงการกระทำแล้วเราจะไม่เป็นคนผิดสัจวาจา  ต้องจำคำนี้ไว้ด้วย
ประคองใจสุขุมนิ่งตรองเสียสาม
(นักเรียน :เราพยายามควบคุมสติของเราให้สุขุมและนิ่ง คิดเสียก่อน
เราจะเป็นผู้ที่เสียน้อยที่สุด)
ถ้าเกิดเราเป็นคนที่สุขุม  เราก็ยากที่จะเสียอะไรไปได้ง่ายๆ  เพราะว่าจะเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ไปก่อนความคิด  คำว่าเสียสามก็คือ  ตรองให้ถึงสามครั้งสามคราด้วยกัน อย่ามากหรือน้อยกว่านี้  หากทุกขณะเราจะทำอะไรให้ตรองถึงสามครั้งสามครา ความผิดพลาดก็ยากจะเกิดขึ้นได้
มีพยายามความสำเร็จไปไหนได้ 
 (นักเรียน: ถ้าเราคิดที่จะทำอะไร สิ่งไหน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นเมื่อรู้จักทำแล้วต้องรู้จักคิด แล้วต้องรู้จักเพียรพยายามอดทนอย่างไม่ย่อท้อ ความสำเร็จก็ย่อมอยู่ในมือเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่
ถูกรบเร้าลามเลียภัยไม่เว้นใคร
(นักเรียน: มีคนรบเร้าให้เราทำใจให้สบายไม่ต้องกังวลอะไรมาก  ต้องทำใจให้สุขุมเยือกเย็น) แม้จะถูกรบเร้าด้วยภัยอันตรายหรือมีเภทภัยต่าง ๆ เราต้องมีความสุขุม  ไม่ใจร้อน ไม่วุ่นวายไปกับภัยที่เกิดขึ้น   แต่ปกติชีวิตของมนุษย์  ไม่มีใครที่จะหลีกหนีภัยได้ แต่อยู่ที่ว่าจะผ่านภัยนี้ไปได้อย่างไร  บางคนผ่านไปด้วย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม บางคนผ่านไปด้วยคราบน้ำตา  แต่ว่ารอยยิ้มกับคราบน้ำตา อาจจะไม่มีผลอะไรเลยถ้าคนนั้นไม่รู้จักสู้ ไม่พยายามไปให้ถึงและนำพาตนไปให้ถูก ถ้าผ่านไปด้วยรอยยิ้มแต่ทำผิดทำนองคลองธรรมก็ไม่ถูก แม้จะเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแต่ทำไปด้วยความถูกต้องและเหมาะสมตามทำนอง    คลองธรรม ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่าใช่ไหม (ใช่)

 บ่อยครั้งที่ท่านมานั่งศึกษาแล้วรู้สึกว่าธรรมะนี้ดีและเชื่อมั่นว่าเป็นธรรมะที่ไม่หลอกลวงไม่โกหก เริ่มที่จะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแต่มักจะรักษาความมั่นใจได้ไม่ตลอด มีแค่เพียงต้นแต่พอถึงปลายก็ล้มหายไป หากเราเชื่อมั่นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี นำพาชีวิตไปสู่ความสว่างโดยการบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน แม้เจออุปสรรคความยากลำบากก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยทิ้งธรรมะ ยังมีใจที่มั่นในธรรมะและนำธรรมะไปถึงปลายฝั่งแห่งชีวิต
หยิบใช้ได้ยังประโยชน์แด่ประชา
ถ้าเรากระทำสิ่งใดที่มีคุณค่าจนสำเร็จ จะไม่เพียงเอื้อประโยชน์แก่เราผู้เดียวยังเอื้อประโยชน์ให้แก่ผองชนและคนรอบข้างได้อีก คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนำความสำเร็จในชีวิตนี้เป็นบทเรียนให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ชื่อเขาย่อมไม่ลบหาย ยังคงอยู่นิจนิรันดร์ ไม่ว่ายุคสมัยใด  เราสามารถเป็นคนที่เกิดมาชาติหนึ่งมีคุณค่าไม่เสียเปล่าได้ไหม อย่ามองดูว่ายาก อย่าดูถูกดูเบาตนเอง ลองฝ่าความยากลำบากดู เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถกลับคืนเบื้องบนแล้วมีชื่อจารึกอยู่บนโลกนี้ก็เป็นได้
ผายความกล้าสู่นิรันดร์เมธีมี
            แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ ไม่หอมหวนเท่า แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ดีงามให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ใช่หรือเปล่า
คนที่จะตัดสินใจทำสิ่งนั้นได้ต้องมีความเด็ดเดี่ยว หากเขาคิดจะทำแต่เขาไม่กล้าหาญ ไม่เด็ดเดี่ยวพอ ความพยายามเขาก็ย่อมถอยหลังเหมือนไม่ได้นับอะไรเลย
            ผู้ชอบให้สาธารณะจะศรัทธาคุณธรรม
การบำเพ็ญนั้นเราไม่ใช่หวังเพียงเพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เราหวังเพื่อช่วยผองชนด้วย การดำรงชีวิตของเราไม่ใช่มีคุณค่าเพื่อชีวิตของเราเอง แต่ยังสามารถอุทิศเผื่อแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นได้ หากเราทำได้เช่นนี้ คนผู้นั้นก็จะสามารถสานต่อความดีงามให้ยังคงอยู่บนโลกนี้ได้ เปิดจิตใจที่เคยคับแคบให้กว้างใหญ่ได้ สามารถนำพาบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยากขึ้นฟากฝั่งกลับคืนสู่แดนนิพพานได้ ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่ายินดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การที่จะตัดสินใจก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่งย่อมเป็นการยาก
            สามัคคีมือจูงมือหมั่นอภัยจิต    พิสูจน์ก่อนประสานจิตหวั่นเลิกหนึ่ง
เมื่อคน ๆ หนึ่งตัดสินใจที่จะฝ่าฟัน บำเพ็ญตนให้เป็นคนดีของสังคมและของบุคคลรอบข้างแล้ว หากเขาคิดจะกระทำคนเดียวย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้  ต้องเกิดจากการร่วมมือของคนหลาย ๆ คน  ผลจึงจะยิ่งใหญ่ตามขึ้นมาได้   การอยู่ร่วมกันต้องรู้จักสามัคคี  ปรองดองกัน  รู้จักให้อภัยกัน  แม้เขาจะทำผิด  แม้เขาจะล่วงละเมิดสิ่งที่เราไม่ถูกใจบ้างก็ตาม  เราต้องอดทนและยอมรับได้ เพราะว่าคน ๆ  เดียว  จะทำงานยิ่งใหญ่ให้สำเร็จย่อมยาก  ไม่เหมือนกับผองชนทำงานร่วมกัน  การทำงานร่วมกันก็เป็นการฝึกจิตใจให้รู้จักสามัคคี  ให้รู้จักให้อภัยกัน  หากทำได้เราก็จะสามารถกลับคืนเบื้องฟ้าไปพร้อม ๆ กัน  มือจูงมือกัน  และให้มีอีกมือหนึ่งที่สามารถส่งต่อแล้วฉุดช่วยคนขึ้นฟากฝั่งกลับคืนเบื้องฟ้าได้
            “พิสูจน์ก่อน หมายถึง ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นล้วนพิสูจน์จิตใจของเราว่า เราทนได้ไหม  ความลำบากสอนให้เรารู้จักเข้มแข็ง  อดทน  และวัดจิตใจว่าเป็นคนที่มั่นคงในสิ่งที่กระทำเพียงใด 
            เคยสำคัญนานสิ่งกลายค่าไร้      เสมือนวันมีใจกลายอดีตนั่น
            วันนี้เราเห็นว่าธรรมะมีความสำคัญ  มีค่ากับชีวิต  แต่ถ้าเราไม่รักษาให้ดี  แม้วันนี้จะมีค่า แต่ต่อ ๆ  ไปก็อาจจะไร้ค่า  แม้วันนี้มีใจแต่ต่อ ๆ ไปอาจจะไร้ใจ ต่อธรรมก็เป็นได้

ปัญญาอวิชชาประดุจมีดเล่มเดียวกัน
  จิตใจและปัญญาของเรา  จึงเปรียบเหมือนอวิชชาได้เหมือนกัน  เพราะว่าบางครั้งเราก็นำพาตนเองให้เป็นคนรู้  และบางครั้งก็นำพาตนเองให้เป็นคนไม่รู้ มืดบอด ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าปิดหู ปิดตา  ปิดใจตนเอง  ฉะนั้น จิตใจของเราพร้อมที่จะเป็นพุทธะ  และพร้อมที่จะเป็นพญามารได้   อยู่ที่ว่าเราดำรงเช่นไร 
            วันนี้เรามาเป็นเพียงผู้ที่ชี้แนะแนวทางให้ท่านได้รู้การเดินทางแห่งชีวิตที่ถูกต้องแล้วมีจุดหมาย  เรือธรรมลำนี้พร้อมที่จะรอรับและต้อนรับ  แม้จะมีคนบางคนทำอะไรไม่ถูกใจบ้างก็อภัยให้เขา  ฝึกจิตใจให้อภัยดีหรือไม่ (ดีและก็ฝึกจิตใจให้อดทนนั่งอยู่ได้ในสามวันนี้   เพราะหลายคนเริ่มจะหงุดหงิดแล้ว
 ต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับตัวท่านแล้ว  วันนี้มีหนทางอีกหนทางหนึ่งที่สามารถนำพาท่านกลับคืนเบื้องฟ้า จะเดินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน จะปฏิบัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านเช่นเดียวกัน  หนทางมีให้เดินแต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกทางเดินใดให้กับชีวิตแล้วพาชีวิตไปในทางใด อยากเป็นพุทธะหรืออยากเป็นเวไนยชนก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านอีกเช่นกัน   วันนี้แม้เราจะมาพูดมากมาย  มันอาจจะไม่มีประโยชน์หรือไม่มีคุณค่าอะไรเลยก็ได้  ถ้าท่านฟังแล้วผ่านหูไป ไม่ได้นำไปคิดหรือไม่ได้นำไปปฏิบัติ  เงินนั้นแม้จะมีมากแต่สักวันก็หมด  ไม่เหมือนอุดมไปด้วยธรรม  แม้จะมีมากเท่าไร  ก็ไม่มีวันหมดไปจากใจเราได้  เมื่อไรที่เรารู้จักหมั่นสร้างคุณธรรมสร้างความดี  จิตใจเต็มไปด้วยคุณธรรมความดี  ค่าของชีวิตก็จะหอมหวนยิ่งกว่าค่าแห่งชีวิตที่อุดมไปด้วยทรัพย์  เกียรติยศ  และชื่อเสียงอีก



    
      วันอาทิตย์ที่ ๓๑  สิงหาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๑
      พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
           
                            ศิษย์เอ๋ยศิษย์รู้ชีวิตมีแต่ทุกข์         ไยไม่ลุกใช้ชีวิตเป็นพุทธะ
ทั้งอดทนทั้งอ่อนน้อมยอมสละ          แม้ภาระเต็มไหล่บ่าปัญญาคม
           เราคือ
       จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                  ถามศิษย์รักทุกคนมีความทุกข์กันมากเท่าไหร่
   
      เมื่อพิษภัยหลายหลากเพิ่มทุกข์ศิษย์ ขอให้คิดอย่ากลัวอย่ารอดคนเดียว
ขอให้อยู่ด้วยสติอันปราดเปรียว        ให้เด็ดเดี่ยวหนักแน่นดังผาตระหง่าน
ศิษย์อาจารย์ฉลาดนักไม่หนักใจ       กลางวุ่นวายศิษย์ยังสู้ผันจนผ่าน
รู้ซึ้งการเกิดดับมากทรมาน               ข้าบริบาลศิษย์ผู้มั่นในศรัทธา
อย่าครึ่งหลับครึ่งตื่นผะอืดผะอม        หวานเป็นลมขมเป็นยาทางข้างหน้า
วิบากกรรมตนกำหนดแต่นานมา      มิฟันฝ่าชาตินี้ฤๅบรรลุคืน
ทางชันยากทางลาดง่ายตรองใส่จิต    ใครจะผิดใครจะถูกประดุจคลื่น
ศิษย์เอ๋ยศิษย์ประคองตนอย่าถูกกลืน       ขอให้หมื่นปัญญาชนเดินตามเรา
สะพานดีทอดยาวยุคขาวรุ่ง              ธรรมพวยพุ่งศิษย์ค้ำจุนเป็นเอกเสา
ความเมตตาค้ำจุนใจกายของเรา      มิเสียเปล่าชีพลาลับอย่างไร้ค่า
ในวิญญามีศิษย์ข้าอยู่ทุกเมื่อ           ศิษย์อย่าเบื่อการบำเพ็ญต้องรักษา
อาจารย์นี้จะคอยศิษย์ชั่วดินฟ้า         ศิษย์เอ๋ยอย่าแชเชือนคำของข้าเลย
                                                           
                                                                                                                                                   ฮา   ฮา   หยุด
เมื่อความทุกข์ร้อนลามไปทุกถิ่น  ถูกบีบคั้นอย่าเผลอใจ   หากผ่านภัย ยุคนี้ได้   แดนดินร่มดังสุทธา
ภัยคือฝีมือคนคิดหา  ตื่นมาวันนี้แพ้ไม่ได้  ครุ่นคิดฝันความรุ่งเรือง  สู้ด้วยหลงยากรอดกลับ  จักพอนับว่าโชคดี 
ใจดังเหมือนมีความทุกข์หลอน   หากมองย้อนคงเห็นตน   ความเมตตาห่างเท่าใด   โต้แรงกรรมไหลเวียนว่าย   ยุคสามนำจิตบำเพ็ญ
ประโยชน์มากมายท้ายยิ่งติดกิเลส   หลายคนมักเอาแต่ใจ  ฝึกบำเพ็ญ ใจเย็นรู้ให้   มั่นคงแสนไกลหนทางมิสูญ
                                                     
                                                                                                          เพลง : ถูกบีบคั้นอย่าเผลอใจ
                                            ทำนองเพลง  : ลมหายใจแห่งความคิดถึง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
จิตใจอาจารย์เป็นอย่างไร (มีความเมตตา,ใจดี,บริสุทธิ์ใจ,มีความรักศิษย์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย,พระอาจารย์คือผู้อนุเคราะห์ชาวโลกตอนนี้ศิษย์ทั้งหลายก็เป็นศิษย์ของอาจารย์  เป็นคนรู้ว่าใจอาจารย์เป็นอย่างไร  เราเป็นศิษย์อาจารย์กันก็ควรจะมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน  สิ่งที่ศิษย์ตอบออกมาก็คือสิ่งที่ศิษย์ที่ควรจะทำ  มิฉะนั้นก็ไม่เหมาะที่จะเป็นศิษย์อาจารย์กัน  เพราะฉะนั้นเป็นคนรู้ใจก็คือดูออกว่าอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไร  ในบัดนี้ศิษย์ที่เป็นคนใหม่เพิ่งเริ่มรู้ใจอาจารย์ ก็กลับไปทำในสิ่งที่ตนเองพูดมา ดีหรือเปล่า (ดีส่วนศิษย์ที่เป็นคนเก่าก็ควรที่จะโอบอุ้มจิตใจประคองรักษาจิตใจอันนี้ให้ดีงามให้สมกับที่เป็นศิษย์อาจารย์ ดีไหม (ดี) อาจารย์ไม่สามารถอยู่ข้างๆ เราได้ตลอดเวลา ไม่สามารถจะตักเตือนทุกคนเป็นรายบุคคลได้เสมอไป แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นตัวแทนของอาจารย์ เมื่อคนเขามองเห็นศิษย์ให้เหมือนมองเห็นอาจารย์  เมื่อมองเห็นอาจารย์ก็ให้เขารู้สึกขอบคุณศิษย์ที่คอยเตือนเขาอย่างสม่ำเสมอ ดีไหม (ดี) ทำได้ไหม (ได้)
ชีวิตนี้มีความทุกข์หรือความสุขมากกว่า (มีความทุกข์มากกว่า) คนที่เคยลำบากมาสมัยตอนเด็กๆ ในตอนนี้ก็พอจะมีความสุขบ้าง  แต่คนที่เคยสบาย     ถ้าภายหลังได้รับความทุกข์ก็จะทนไม่ไหว  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ควรดำเนินให้    เหมาะสม  ในคราวที่เราสบายมากๆ ก็อย่าได้หลงลืมตัว  ในคราวที่เราทุกข์มาก ๆ ก็ขอให้เราทำจิตใจปล่อยวางให้สบายๆ ดีหรือไม่ (ดี
ปัญญาของเราคมไหม  เราต้องไปพิจารณาย้อนดูเอง  บางคนคม บางคนทื่อ คนที่มีปัญญาคม บางครั้งกลับรู้สึกว่าตัวเองโง่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะโง่เอาเลย เคยเป็นไหม (เคยเป็นเพราะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้  ชนะใครก็ชนะได้  แต่ชนะตัวเราเองไม่ได้  เพราะตัวเรามีอะไร (มีกิเลส) มีกิเลสมากหรือน้อย (มาก) เพราะเรารู้ว่ามาก เราจึงต้องขจัดทิ้ง  ถ้าเรามีมากแต่เราก็ไม่สามารถขจัดทิ้งไปได้  เพราะหลงเข้าใจผิด  สำคัญตนผิดว่าเรามีน้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่เราเข้าใจว่าผู้อื่นมีมากกว่าเรา  เรานั้นมีน้อย  แต่จริงๆ แล้วเราก็มีมากเท่า ๆ กับเขา ศิษย์ทุกคนเป็นปุถุชนอยู่ในสังคมแห่งปุถุชน  และเวียนว่ายตายเกิดแบบปุถุชน  ทุกๆ คนเหมือนๆ กัน 
เรามีอะไรอีกที่ทำให้เราเอาชนะตนเองไม่ได้ (มีทิฐิมากเกินไปเราต้องสมมุติว่าเรามีกิเลสมากไว้ก่อน เราจะได้ลับปัญญาให้คมและตัดทีเดียวให้ขาดหมดทุกเรื่อง  เพราะชีวิตนี้ไม่ได้มีปัญหาแค่อย่างเดียว  มีทั้งปัญหาที่เกิดจากตัวเราก่อ  ผู้อื่นก่อ  ร่วมกันก่อ การที่ลับปัญญาก็ควรลับให้คม 
เรามีอะไรอีกที่ทำให้เราชนะตัวเองไม่ได้  (ตัณหาคำว่า ตัณหาหมายถึงสิ่งที่มากกว่ากิเลส  กิเลสคือความอยาก    มีมากกว่ากิเลสคือตัณหาอันเป็นสิ่งเฉพาะ  ดังเช่นผู้ชายหลงสุรา นารี  ผู้หญิงหลงความสวยงาม  หลงวัตถุนอกกาย  ส่วนใหญ่อาจารย์จะพูดว่าศิษย์ทุกคนมีกิเลส  แต่ตัณหานั้นต่างคนต่างมีคนละอย่างมากน้อยแตกต่างกัน  เพราะฉะนั้นเมื่อขจัดกิเลสได้ ตัณหาก็จะขจัดได้    เช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่
เรามีอะไรที่ทำให้เราชนะตนเองไม่ได้ (ความโลภความโลภเป็นอย่างไร (อยากได้ไม่รู้จักพอ) เมื่อมีความโลภอยากได้  เราก็ทำสิ่งที่ถูกให้กลายเป็นผิด  ทำให้สิ่งผิดกลายเป็นถูก  มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะกลับผิดเป็นถูก  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด  ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง  แต่ว่าเรายังทำเพราะเรามีโลภ หลง รัก  มีอารมณ์  เราจึงเอาสิ่งที่ผิดเหล่านี้กลับมาเป็นสิ่งถูกแล้วกระทำลงไป 
ธรรมดาของมนุษย์ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ผิดใจเกิดความรู้สึกละอายที่จะกระทำ  แต่ทำไมคนที่ทำความชั่วมาก ๆ ถึงทำสิ่งที่ผิดได้โดยไม่รู้จักละอาย  เพราะว่าเขาเปลี่ยนเอาจิตใจของตนเองจากสีขาวให้เป็นสีดำก่อน  แล้วจึงเอาสีดำแสดงออกมาจากจิตใจโดยไม่รู้สึกละอายอีกต่อไป  การที่เราเอาจิตใจของเรากลับผิดเป็นถูก  จึงเรียกว่ามนุษย์  มนุษย์คนนั้นทำชั่วได้  เราก็เป็นมนุษย์เราจึงทำชั่วบ้าง  ในที่สุดคนอื่นก็บอกว่าเราชั่วด้วย  ศิษย์กลายเป็นคนชั่ว  คนชั่วเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้ฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธองค์สอนมานาน  ศิษย์รู้มานานแต่ไม่อาจเจริญรอยตามได้แล้ว  เพราะเราไม่รู้จักพิจารณา  ไตร่ตรอง  ไม่รู้จักใช้ปัญญาของเรา 
อาจารย์มาวันนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ศิษย์ทำสิ่งใด  แต่เรียกร้องให้ศิษย์ทำในสิ่งที่พุทธะทำ  พุทธะรู้ พุทธะปฏิบัติ  และอาจารย์เชื่อมั่นว่าแม้ว่าศิษย์มีปัญญา  และภูมิธรรมมากน้อยต่างกัน  ศิษย์ล้วนเป็นคนที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว  มีบุญอย่างน้อยสามชาติ  ดังนั้นแม้จะมีปัญญามีภูมิธรรมมากหรือน้อยขอให้มาเพิ่มเอา   ชาตินี้ดีไหม  (ดี)
ความทุกข์ต่างๆ  มีเพิ่มขึ้นทุกวันดังนั้นให้ภูมิธรรมเพิ่มขึ้นทุกวัน  ปัญญาเฉียบคมมากขึ้นทุกวัน ดีหรือเปล่า (ดีปัญญาจะเฉียบคมได้ต้องบำเพ็ญ  หากว่าเราไม่บำเพ็ญ  ไม่ฝึกฝนตนเองก็ไม่สามารถขึ้นชื่อว่าเป็นพุทธะ
คนแก่เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน  เราจะเป็นพุทธะก็เหมือนกับแก่ทางธรรม  ยิ่งรู้มาก  ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งดี  เพราะเราผ่านน้ำร้อนอันนี้ไปก่อน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเราไม่เอาน้ำร้อนมาราดมือเราจะรู้ไหมว่าร้อน  (ไม่รู้) ถ้าหากว่ายิ่งเจอความทุกข์มากจะยิ่งประสบความสำเร็จได้สูง ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะว่าเราเป็นคนที่มีความระมัดระวังรอบคอบ  ไม่ไขว้เขว  มีความมั่นคงก้าวทุกก้าวด้วยความรู้และเข้าใจในหลักสัจธรรม
  การฟังต้องฟังอย่างมีสติ  เราฟังสิ่งไหนต้องเป็นสิ่งนั้น ฟังสีขาวเข้าไป  จะออกมาเป็นสีเทาไม่ได้  ฟังเป็นสีดำเข้าไปก็ต้องออกมาเป็นสีดำ  ไม่ใช่ฟังสีดำเข้าไปฟอกอยู่ในใจแต่กลายเป็นสีขาวออกมา  สีดำตกค้างอยู่ในใจเรา 
การฟังธรรมะต้องฟังด้วยความตั้งใจอย่าให้จิตใจเลื่อนลอย ไม่สามารถควบคุมอยู่แต่ละคนมีความทุกข์มากเป็นความทุกข์ตัวเราเองจัดหาเราจัดหามามาก เราก็มีทุกข์มาก  เราจัดหามาน้อย เราก็มีทุกข์น้อย เหมือนกับการเก็บหอมรอมริบเงินทองถ้ามีมากก็กลัวขโมย  ถ้ามีน้อยก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะจิตใจของเราผูกพันอยู่กับเรื่องเงินทองในยามนี้ที่เงินทองไม่คล่องมือเราก็เลยเป็นทุกข์หนักเพราะว่าเราจับจ่ายใช้สอยอย่างเพลิดเพลินมานาน เวลาจะไม่ได้เพลินกับเงินทอง  ก็เลยรู้สึกทุกข์ใจ ใช่ไหม (ใช่เพราะฉะนั้นทำอย่างไรดี
มีสองคำง่ายๆ คำแรกเรียกว่า ปล่อยคำที่สองเรียกว่า วางเคยรู้จักคำนี้ไหม (เคย) อาจารย์มีแอปเปิ้ลอยู่ในมือ ลูกแรกจะปล่อยอาจารย์ก็ปล่อย ไม่ต้องกลัวว่าแอปเปิ้ลจะเจ็บ ลูกที่สองทำอาจารย์ก็วางลงไป แล้วในมือก็ว่างเปล่า ใจที่ปล่อยลงไปพร้อมกับแอปเปิ้ลลูกแรก  ก็เอาความรู้สึกว่าตนเองจะต้องเป็นคนร่ำรวยปล่อยไปจากตัว  ลูกที่สองวางลงไปแล้ว  ก็เอาหน้าตา ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทองวางลงไปด้วย  จากนั้น ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเราก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรมโดยจิตของตนอยู่กับจิตของตนเอง ว่าจิตของตนเองดีขึ้นเท่าไร  มื้อนี้มีกินหรือเปล่าไม่นำพามาใส่ใจ รู้แต่ว่าจิตใจของเราไม่ชั่วร้าย  ความรู้สึกว่าความจน อดอยาก ปากแห้งเป็นอย่างไร มีความสำคัญไหม (ไม่มีศิษย์ปล่อยแอปเปิ้ลลูกแรกออกมาหรือยัง  วางแอปเปิ้ลลูกที่สองหรือยัง  ถ้าเย็นนี้กลับไป มีเงินติดตัวอยู่บาทเดียวทำอย่างไรดี  เคยมีเงินติดกระเป๋าวันละร้อย วันละพัน วันละหมื่น กลายเป็นมีเงินติดกระเป๋าวันละบาทเดียว  ศิษย์จะนำพาไหม (ไม่นำพาอย่าโกหกตนเอง  จริงๆ แล้วเรานำพา ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าเรามีลูก มีภรรยา มีแฟน และมีพ่อมีแม่อีก ใช่ไหม (ใช่การที่เรายากจนไม่เป็นไร  ของที่เราจะไปซื้อใช้ฟุ่มเฟือย ก็เก็บมาซื้อข้าว  ผักก็ปลูกเอง  มีข้าวกินผ่านไปหนึ่งมื้อ นานๆ ก็มีอาหารบำรุงครั้งหนึ่งพอไหม (พอแล้วเรายังมีเหลือเก็บอีก  เวลาป่วยไข้ก็เอามารักษาตัว ดีไหม (ดี)
เราจะบำเพ็ญอย่างไรดี  สมมติว่าเราอยู่ใกล้สถานธรรมก็เดินมาไหว้พระ ต้องเสียเงินไหม (ไม่เสียห้องพระสกปรกก็ช่วยกวาดเป็นกุศลหรือเปล่า (เป็นชีวิตนี้สมบูรณ์ไหม (สมบูรณ์ในยุคที่วิกฤติอย่างนี้ คนรวยพนมมือไหว้คนจน เพราะฉะนั้นศิษย์อยากจะรวยหรือจน (นักเรียนตอบว่ารวยสี่คน จนสองคน) คนที่ตอบว่าจนสองคน  เวลาที่ฟ้าดินคัดเลือก หกคนนี้เลยเหลืออยู่แค่สองคน ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่จะทำได้หรือไม่  ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเราอีกทีหนึ่ง
เพราะฉะนั้นในสองคนนี้อาจจะเหลือแค่คนเดียวหรืออาจจะไม่เหลือเลย อาจารย์ไม่ได้บอกว่าฟ้าดินอยากได้คนจนไปเป็นพุทธะ  แต่อาจารย์อยากได้คนที่มีคำพูดและการกระทำที่เป็นพุทธะเพื่อไปสู่ดินแดนแห่งพุทธะ  และเสวยวิมุติสุขเป็นพุทธะแล้วมีเงินหรือเปล่า  อาจารย์ไม่มีสักบาทใช่หรือไม่ (ใช่อาจารย์อยากได้คนที่ ไม่ติดเรื่องเงิน  ไม่ติดเรื่องรูปลักษณ์อัตตากิเลสต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการ  ดูหนังฟังเพลง  ถามว่า เบื้องบนสิ่งเหล่านี้มีไหม  เบื้องบนก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้  พอถึงเวลาแล้วสัญญาในจิตผูกแน่นเข้า  เวลาเราจะเดินขึ้นไปก็จะสะดุดขาตัวเอง 
เดิมทีผู้อื่นใช้วาจาทดสอบเรานั้นร้ายแรงมาก  แต่การทดสอบตนเองร้ายแรงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าคนอื่นพูดจามาเข้าหูเราบอกว่าเรางมงาย  เราก็ต้องไปห้องพระน้อยลง  ต้องพูดธรรมะให้น้อยลง ใช่ไหม   เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นสมภาร เป็นแม่ชี  เพราะฉะนั้นต้องพูดธรรมะน้อยลงหน่อย  สิ่งที่เราพูดออกไปก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูด นินทาคนอื่น พูดในสิ่งที่ไม่มีสาระ หาสัจธรรมไม่ได้ หาหลักธรรมไม่ได้  ก็เลยไม่เหมือนผู้บำเพ็ญ ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้น     พอเขาพูดมาเข้าหูเรา เราก็เปลี่ยนแปลงตนเองตามเขา เราเลยไม่เหมือนผู้บำเพ็ญสักครั้งหนึ่ง  แล้วเราจะบำเพ็ญธรรมอย่างไร  ที่สำคัญที่สุดของการจะเป็นพุทธะคือความศรัทธาเชื่อมั่น  ถ้าไม่มีความเชื่อมั่น เท้าจะก้าวได้มั่นคง หรือหลักธรรมที่ได้ฟังจะเข้าไปในใจ  หรือไม่มีความเชื่อมั่นและจะเจริญธรรมได้ตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร  อาจารย์พูดตรงนี้หมายความว่า เมื่อผู้อื่นพูดสิ่งใดลอยลมมาไม่ทันตั้งใจ แต่ตัวเราตั้งใจมากที่จะทำตนให้เหมือนปุถุชนธรรมดา ไม่เหมือนพุทธะ  เมื่อคนทั้งสังคมเป็นปุถุชนแล้วเราเป็นพุทธะอยู่ผู้เดียว  ดูแล้วย่อมแปลกประหลาดเป็นธรรมดา  แต่อย่าแปลกประหลาดที่ความคิด ความรู้สึก  บางคนบำเพ็ญธรรมไปแต่ขี้น้อยใจ  คนเขาว่าเรานิดหน่อยไม่ได้  เขาบอกว่าให้เราบำเพ็ญตนเป็นคนดี  เราก็บอกว่าเขามองเห็นเราเป็นคนไม่ดี อย่างนี้เป็นใจของคน  เขาบอกให้เราบำเพ็ญดี ๆ  หมายความว่าเขาเห็นเราดีแล้ว  จึงอยากให้เราดียิ่งขึ้น  แต่เรากลับมองเห็นว่า  เขามองเราเป็นคนไม่ดี 
อาจารย์จะบอกว่า ธรรมะบำเพ็ญได้ในชีวิตประจำวันของศิษย์ อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์ลาออกจากงาน เลิกทำตัวเป็นคนมีเงินมีทอง  แต่หมายความว่า มีเงินทองแล้วต้องไม่ยึดติด  ถึงเวลาควรจะสละให้ผู้อื่นก็สละ  ถึงเวลาที่ควรจะเก็บก็เก็บ  ธรรมะคือธรรมชาติ  ถึงเวลาควรจะพูดก็พูด  ถึงเวลาควรจะเงียบก็เงียบ  ถึงเวลาควรที่จะบอกก็บอก  ไม่ควรบอกก็อย่าบอก  เราต้องมีสติ  หมายความว่า ศิษย์ของอาจารย์ควรจะมีจิตใจพลิกแพลงเท่าทันใจของเราเอง   เวลาเห็นผู้อื่นใส่เสื้อสีเหลืองสวย  เราก็จำไว้แล้ว  เราก็จะไปซื้อเสื้อสีเหลืองตามเขา  พอเห็นเขาใส่เสื้อสีอิฐสวยๆ เราก็อยากจะมีสิ่งนี้บ้าง  แต่การทำความดี  คนสักคนช่วยเหลือผู้อื่น เห็นคนจมน้ำรีบลงไปช่วยเห็นคนตกต้นไม้รีบโดดออกไปคว้า  คว้าเสร็จเขาก็บาดเจ็บด้วย  ว่าเราอยากทำตามเขาไหม (ไม่อยากเพราะว่าเรากลัวร่างกายของเราบาดเจ็บหรือเปล่า (ใช่
กิเลสนั้นเปรียบเสมือนทางลาดลงต่ำ  เวลาลงเขาสบายไหม (สบายเวลาปีนเขายากไหม (ยาก) อยากปีนเขาหรืออยากลงเขา ภูเขาสูงเป็นที่ที่ผู้บำเพ็ญอาศัย  เพราะว่าเย็นสบาย  มีความเงียบมีความสงัด เหมาะสำหรับจะทำการปฏิบัติธรรม  ที่ลาดล่างสุดนั้น  ถ้าหากว่ามองเบื้องบนคือสวรรค์เบื้องล่างก็คือนรก  ถ้ามองว่าภูเขานั้นผู้บำเพ็ญอาศัย  ทางลาดล่างจึงเป็นปุถุชนอาศัย  เพราะว่าเรานั้นชอบอาศัยที่ราบ ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าที่ชันเดินยาก แต่ทิวทัศน์สวยงาม  ที่ลาดล่างหมู่คนเยอะแยะแต่คนเหล่านี้คือคนที่เป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นที่สูงชันเดินยากเหมือนกับการทำความดี  เหมือนกับที่ศิษย์นั้นกลัวเจ็บตัว  แต่ที่ลาดลงต่ำนั้นพาให้เท้าเราวิ่งเร็วขึ้น  เราจึงจมดิ่งอยู่ในกิเลสอย่าง  รวดเร็ว ใช่หรือไม่ (ใช่จิตใจของเราทุกวันนี้จมดิ่งลงในความไม่ดีนั้นอย่างรวดเร็วหรือเปล่า (เร็วจะเรียนรู้เป็นพุทธะจึงเรียนยาก  จะเรียนรู้เป็นปุถุชนเป็นคนไม่ดีนั้นเรียนรู้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อวางมีดไว้บนโต๊ะ บอกเด็กบอกว่าอย่าเล่น      เขาเชื่อไหม (ไม่เชื่อจนกระทั่งตนเองบาดเจ็บแล้วกล้าแตะมีดไหม (ไม่กล้าอาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนดี อย่าได้รอให้ตนเองเจ็บตัวก่อน  จึงจะไม่กล้าที่จะจับของมีคมสิ่งนี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์มีความคม คือคมที่ปัญญา  ไม่ใช่คมคือคมที่กิเลส ดีหรือไม่ (ดี
วันนี้ฟังธรรมะเป็นวันที่สามแล้ว  วันแรกเข้ามารู้สึกมึน ๆ งง ๆ  วันที่สองเข้ามารู้สึกสบายขึ้น  แม้จะนั่งเก้าอี้เป็นวันที่สามก็รู้ว่าพอที่จะทนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์อย่านั่งโดยที่ไม่ได้อะไรเลย  ธรรมะต่างๆ ที่คนพูดให้ฟังล้วนต้องการให้เราเก็บกลับไปปฏิบัติ และอาจารย์ไม่ได้ต้องการเลือกปฏิบัติ วันไหนโดยเฉพาะ  แต่ต้องการให้ปฏิบัติทุกๆ วัน  วันละหลายๆ ครั้ง  กินข้าว     วันละสามครั้ง  ปฏิบัติธรรมก็ควรปฏิบัติอย่างน้อยวันละสามครั้งขึ้นไป  ข้าวสามมื้อช่วยให้ร่างกายอิ่ม การปฏิบัติธรรมสามครั้งก็ช่วยให้จิตญาณสงบแจ่มใสขึ้น  ใช่หรือไม่ (ใช่ทุกๆ วันนี้เราลองหลับตามองเข้าไปในตัวของเรา  เราลองดูซิว่าตัวเราสะอาดหรือสกปรก ตัวของเรามีสีดำไหม  ในใจมีสีดำๆ อยู่หรือเปล่า พอลืมตาขึ้น มองไปทางข้างหน้า     ทางข้างหน้าที่ศิษย์เห็นคือทางที่นำพาไปสู่พุทธะ ไม่กลับไปแปดเปื้อนสกปรกเหมือนที่เคยมา   ถามว่าทางนั้นเราต้องเดินไหม (เดินแล้วศิษย์จะเดินอยู่กี่วัน   ถึงจะไปสุดทางนี้ได้  หลายคนนึกว่าบำเพ็ญธรรมปฏิบัติอยู่ 3 ปี  แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่  ทางข้างหน้านี้เหมือนมีกำแพงกั้นแต่สุดทางที่ไหน ตลอดชีวิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่เรามองไปอาจเหมือนมีกำแพงกั้น แต่จริง ๆ   ยืดยาว  เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ศิษย์รู้ว่าศิษย์จะต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเท่าชีวิตของเรามี  เพราะว่ากิเลสไม่ได้เกิดแค่สามวัน  ไม่ได้เกิดแค่สามปี ไม่ใช่ขจัดสามปีแล้วเราจะบรรลุเป็นพุทธะ กลายเป็นพุทธะเดินดิน  กิเลสเกิดขึ้นทุกวัน  เกิดขึ้นทุกวินาที  อาจารย์จึงต้องปฏิบัติธรรมทุก ๆ  วินาที
ชีวิตคนเรา  ชีวิตคืออะไร  (คือจิตญาณ ,ชีวิตเหนือคำบรรยาย )  
ถ้าหากว่าเราทำความดีเหมือนกับที่คนอื่นทำ  เขาล้างชามเราก็ล้างชาม เขากวาดบ้านเราก็กวาดบ้าน  เราทำความดีทั่ว ๆ ไปเหมือนกับที่คนอื่นทำ  ผลที่ได้รับเราก็ได้รับแบบธรรมดา ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ถ้าศิษย์ทำความดีที่ประเสริฐ  ย่อมจะได้รับมรรคผลที่ประเสริฐ เช่นเดียวกัน 
ภัยคือฝีมือคนคิดหา 
ทำไมถึงบอกว่า ภัยคือฝีมือคนคิดหา  ตอนนี้น้ำท่วมเพราะป่าหมด  ไฟไหม้เพราะคนวาง  ภัยอีกอย่างคือลมมรสุมต่าง ๆ  สิ่งเหล่านี้เป็นเภทภัยที่เกิดขึ้นทุกวัน ๆ  ศิษย์ของอาจารย์ยากที่จะหลบไหม  น้ำท่วม พายุลง  ไฟไหม้ น่ากลัวทั้งนั้น  แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นผู้ทำลายสิ่งที่โลกให้  ทำลายสิ่งที่คู่กันให้ขาดคู่  จึงไม่สามารถยืนหยัดได้  เหมือนกับไปตัดขาคนข้างหนึ่งแล้วให้เขายืนข้างเดียว ศิษย์จึงต้องรับเคราะห์กรรมเหล่านี้  ศิษย์ของอาจารย์จะช่วยได้อย่างไร    เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ก็ทำในสิ่งที่เล็กหน่อย  ไม้หมดป่าเพราะคนตัดทีละต้น  หากว่าศิษย์เป็นไม้ต้นหนึ่งในป่านี้ก็จงรักษาตนเองไว้ให้รอดดีหรือไม่ (ดีในวงสังคมยิ่งมีคนพาลคนชั่วมากเท่าไร เราจะเป็นคนดีได้หรือเปล่า  (ได้เราจะเป็นไม้อายุร้อยปีที่อยู่ต้นเดียวได้ไหม (ได้ถึงแม้ว่าเรายืนหยัดทำความดีอยู่คนเดียว  แต่ความดีนี้หาใช่เกิดจากเราไม่  ต้นไม้ได้ชีวิตจากผืนดิน  ได้การเจริญเติบโตจากน้ำ  และยังชีพยืนต้นขึ้นหยัดสูงท่ามกลางฟ้า  เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าเราทำดีเพียงผู้เดียว  เราทำดีได้ อยู่ด้วยฟ้าและดิน  ทุกๆ ขณะจิตจึงต้องมีการสำนึกคุณ  อย่าคิดว่าเรานั้นมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเองและอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเราเอง  จึงทำผิดศีลธรรมไปมากมายโดยไม่รู้ตัว  แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราทำอยู่ทุก ๆ วันคือทำตามทำนองคลองธรรม ทำตามที่ฟ้าและดินเป็น ศิษย์จึงมีชีวิตอยู่รอด  ใบหน้าจึงงดงามดังมนุษย์ผู้มีธรรม  ร่างกายจึงจะสามารถยืนหยัดโดยไร้โรคภัย   หากขาดสิ่งเหล่านี้แล้วร่างกายเสียสมดุลตามสภาพที่เราสร้าง  คนบางคนใบหน้าจึงชั่วร้าย  คนบางคนร่างกายจึงพิกลพิการ ศิษย์มักจะมองว่าเกิดจากกรรมเก่า  แต่จริง ๆ แล้วกรรมเก่าเกิดจากที่เราทำลายสภาพสมดุลตามฟ้าดิน ไม่ดำเนินตามทำนองคลองธรรมแห่งฟ้าดิน  จึงไม่สามารถยืนหยัดได้  และนี่เป็นความยิ่งใหญ่ของ    ฟ้าดินที่ศิษย์ไม่เคยมอง ใช่หรือไม่ (ใช่ผืนดินเหยียบอยู่ทุกวัน  แผ่นฟ้าเงยหน้าขึ้นเมื่อไรก็เห็น  แต่เรามักเงยหน้าขึ้นมองฟ้า  เมื่อเรากำลังเศร้าโศกใจ  ยามที่เราคิดถึงสิ่งไหนสักสิ่งหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นสักครั้งหนึ่ง   นาน ๆ ทีจะก้มหน้าลงมองหญ้าที่งอกอยู่บนพื้น  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรที่เป็นหลักธรรมขึ้นมาเลย
ตื่นมาวันนี้แพ้ไม่ได้     
มีหลายคนบอกว่าตื่นมาวันนี้เราจะไม่พ่ายแพ้ ทำการค้าก็บอกว่าต้อง   ร่ำรวย  ตื่นมาวันนี้เจอคนที่เราไม่ชอบหน้าเราก็ต้องทำอย่างไร  (ยิ้มให้เขาเวลาเจอหน้าคนไม่ชอบ  ก็ปั้นหน้าเป็นชามคว่ำ  เวลาเจอคนที่ชอบชามก็หงายขึ้น  โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ  แต่เป็นสิ่งที่มีจิตใจแบ่งแยก   แยกระหว่างตัวเราเองและผู้อื่นออกจากกัน  ไม่เคยมองผู้อื่นเป็นพี่น้องร่วมโลก 
หากมองย้อนคงเห็นตน
เราหลับตาแล้ว  เราก็เห็นตัวเราเอง  ถ้าเราลืมตาก็มองเห็นคนอื่น  แท้จริงแล้วศิษย์ เห็นตนเองวันละหลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะคนที่รักสวยชอบส่องกระจก คนในกระจกนั้นเป็นมารหรือพุทธะ  ใครๆ  ก็ว่าตัวเราไม่ได้  แต่เราว่าตัวเราเองได้ใช่หรือเปล่า  แล้วเราจะยอมว่าตัวเราหรือเปล่า (ยอม ) ถ้าอีกสองวันคนนี้ว่าเรา แล้วเราก็ว่ากลับ  ตอนว่าเขากลับเรามีอารมณ์หรือเปล่า (มีถ้ามีอารมณ์ก็ยังเป็นมาร  พุทธะมีอารมณ์ที่เยือกเย็น  โปรดไปทางไหนก็เย็นใจผู้นั้น  อารมณ์ที่หวังจะให้เขาได้ดี  เมื่อเห็นเขาได้ดีเราก็ต้องยินดี  สมมุติว่าในที่นี้มีคนสอบสิบคน  ต้องมีหนึ่งคนได้ที่หนึ่ง  เราอยากได้ที่หนึ่งมากเลย แต่คนข้าง ๆ ของเราได้ที่หนึ่ง   เรายินดีไหมที่เขาได้ที่หนึ่ง (ยินดีเราต้องยินดี  และเวลาผู้อื่นไม่ได้ดี  เวลาผู้อื่นโศกเศร้าเสียใจด้วย  แต่เราเสียใจด้วยแค่ที่ปากเท่านั้น  เราไม่ได้เสียใจออกมาจากใจจริง ๆ  หมายความว่าเราเสียใจด้วยเราต้องเสียใจออกมาจากใจ  เมื่อศิษย์นั้นเอาตัวของเราเข้าไปยืนในจุดเดียวกับเขา เราจะเห็นทางออกสำหรับเขา        ใช่หรือไม่ (ใช่
อาจารย์เป็นพุทธะ  แต่วันนี้อาจารย์ต้องลงมาในโลก  เพื่อมายืนจุดยืนเดียวกับศิษย์ และบอกศิษย์ว่าจะออกไปจากความเป็นปุถุชนอย่างไร  ถ้าพุทธะ ไม่ลงมาช่วย  อาจารย์ไม่ลงมายังโลกตอนนี้  แล้วคอยตะโกนอยู่บนฟ้าบอกว่าศิษย์เอ๋ยไปอย่างนี้ ๆ  ไปทางนั้นไปทางนี้  ถามว่าศิษย์รู้ไหม (ไม่รู้และเมื่อศิษย์รู้แล้วศิษย์จะทำตามที่อาจารย์บอกไหม  (ทำถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำแม้อาจารย์จะเสียใจด้วยอย่างสุดซึ้ง  ยอมที่จะเวียนว่ายตายเกิดแทนแต่ก็สามารถเวียนว่ายตายเกิดเป็นเพื่อนด้วยเท่านั้น 
อาจารย์มีคำพูดอยู่คำหนึ่ง ถ้าหากว่าศิษย์เป็นเหมือนภูผา  มีความหนักแน่นประหนึ่งภูเขา  แม้อาจารย์ไม่ต้องรั้งศิษย์ก็จะอยู่ด้วย แม้อาจารย์ต้องการให้ภูเขาอยู่ตรงนี้ ต้องการให้ศิษย์อยู่ตรงนี้  แต่ศิษย์ไม่ใช่ภูเขา รั้งอย่างไรก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นภูเขาอันนี้เกิดได้ที่ไหน  ภูเขาอันนี้เกิดที่จิตใจอันหนักแน่นของเรา หนักแน่นจากน้ำฝน หนักแน่นจากน้ำท่วม หนักแน่นจากไฟไหม้ 
ถ้าศิษย์ฟังธรรมะแล้วง่วงนอน ให้เอาธรรมะมาเช็ดหน้า ธรรมะที่เราฟังอยู่  ถ้าเราตั้งใจฟัง  ธรรมะก็เหมือนกับผ้าเย็น ๆ  สักผืนหนึ่ง  ที่ยิ่งฟังจะยิ่งตื่น  ตื่นที่ใจ  แต่ว่าหลายๆ คนมักจะเป็นแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น  ขอให้เอาความเบิกบานแห่งธรรมะเข้าสู่ใจเรา  ฟังธรรมะให้ฟังเหมือนเสียงดนตรี  ความสามัคคีที่เราริเริ่มและร่วมบรรเลงร่วมกันนั้น  เปรียบไปแล้วเป็นบทเพลงสวรรค์  ในคัมภีร์ ซือจิง”  ได้กล่าวไว้ว่า  การที่เราบรรเลงเพลงร่วมกัน  จะไม่มีการถกเถียงว่ากล่าว  หรือแม้แต่กระแอมไอ  จนกว่าเพลงนั้นจะบรรเลงจบ  ไม่พูดให้เสียงเล็ดรอดออกมาจนกว่าดนตรีจะจบลง  ไม่เช่นนั้นจะเป็นบทเพลงที่ไม่ไพเราะ ใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาที่เราทำงานร่วมกัน  ถ้าหากว่ามีความผิดพลาด  ไม่ว่าสิ่งใดก็แล้วแต่  จะต้องให้เลิกจากงานเสียก่อนจึงจะสามารถตักเตือนบอกกล่าว  ชี้แนะและติติงได้   เพราะว่าเราเอาแต่อารมณ์เอาแต่ใจตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ถูกบีบคั้นอย่าเผลอใจ”)
หลายๆ คนเวลาถูกเหตุการณ์ทุกอย่างบีบคั้น  เผลอใจไปตัดพ้อต่อว่าฟ้าดิน  ต่อว่าผู้อื่น  เผลอใจไปท้อถอย  ร้องไห้  เผลอใจที่จะไม่อดทน  เอาสติของเราเลื่อนลอยไปตามกระแสของความทุกข์ยาก  เมื่อเราไม่ประสงค์ให้ตัวเราเจ็บก็จงอย่าให้ผู้อื่นเจ็บไม่ว่าจะเป็นน้ำคำหรือการกระทำ  เมื่อเราเคยทุกข์ยากลำบากก็อย่าส่งความลำบากนี้ต่อไปให้ใคร ขอให้จบที่เรา
ฟังชั้นนี้จบแล้วจะเป็นพุทธะหรือจะเป็นคนในชาติต่อไป  (แล้วแต่วาสนา

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงครอบพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ศรัทธาอาจารย์ไม่ได้หวังให้ศิษย์มีความศรัทธามากแต่ขอให้เสมอต้นเสมอปลาย  จนกระทั่งถึงดินแดนพุทธะ 
เชื่อ  ความเชื่อที่สำคัญที่สุดคือเชื่อมั่นในตนเอง  เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองบำเพ็ญอยู่  นอกจากเชื่อมั่นในหลักสัจธรรมแล้ว  ถ้าเอาหลักสัจธรรมไปใช้  ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ถูกคนพูดทีก็ไปที  เพราะฉะนั้นเชื่ออันนี้คือเชื่อมั่นในตนเอง  เชื่อมั่นในหลักสัจธรรมแล้วเอาสองอย่างนี้มารวมกันให้ได้ ดีไหม (ดี)
มั่น มั่นอันนี้คือมั่นคง  คือไม่มีจิตใจเคลือบแฝงใด ๆ  ทั้งสิ้น  และมั่นนี้ก็คือมั่นคงในความดี  ต้องทำให้ได้สองอย่างนี้  ก็สามารถจะสำเร็จเป็นพุทธะได้เช่นเดียวกัน 
ต่อ”  ต่อนี้คืออะไร  การที่เรามีชีวิตอยู่ในสังคม เรามีการคบหาสมาคม  มีทั้งลูกมีทั้งภรรยา มีทั้งครอบครัว  มีทั้งต่อผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)    และต่อนี้ก็คือต่อใจของเราให้เป็นต่อ เรายอมเขาก่อนเพื่อให้เขาสามารถที่จะเดินเข้ามาทางพุทธะได้  ไม่ว่าต่อใคร ๆ  เราก็มีจิตใจที่ราบเรียบเสมอกัน   เช่นนั้นแล้วศิษย์จึงสามารถออกไปนำผู้อื่นเข้ามาสู่ทางธรรมะได้เช่นเดียวกัน  ไม่ใช่ว่าจิตใจของเราที่จะบำเพ็ญธรรมจะมีแต่ธรรมะ  แต่ในที่สุดแล้วธรรมะคืออะไรก็ไม่รู้  เพราะฉะนั้น ต่อนี้คือต่อทุกคน   ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น  ต่อทุกสรรพสิ่ง    ที่จะแนะนำเขาให้เขาเข้ามาทางเดียวกับเรา 
(พระอาจารย์เมตตาชี้แนะผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่ง
อาจารย์มักจะพูดเสมอ ๆ ว่า คนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ จะต้องเจอความลำบาก ยิ่งลำบากมาก  เท่าไรยิ่งจะเห็นพุทธะที่แท้จริง  เพราะฉะนั้น  ทุก ๆ วันนี้ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ลำบากคือเจอเคราะห์กรรม  ไม่ใช่ว่าเราไม่บำเพ็ญธรรมะแล้วเคราะห์กรรมไม่มี   ทุก ๆ คนต้องเจอไม่ว่าจะบำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ เพียงแต่ของศิษย์มาเร็วหน่อย  มาแรงหน่อย แล้วไปเร็วหน่อย  ถ้าเป็นคนปกติเขาใช้กันสามชาติ  ศิษย์ชดใช้ชาติเดียวหลุดพ้น  เพราะฉะนั้นอดทนให้ไหว  ในทุก ๆ วันนี้ภาวะแวดล้อมนี้คือความทุกข์  ศิษย์จะยอมอยู่ก็ไม่ได้  จะกลัวก็ไม่ได้  เพราะถ้ากลัวแล้วก็สู้ไม่ได้  แต่จะรอดอยู่คนเดียวก็ไม่ได้  เพราะฉะนั้นอะไรก็ไม่ได้หมด  การที่เราบำเพ็ญธรรมะจึงหนีบตัวให้เหลือเล็กเข้าไว้  อย่าได้เอาสองแขนนี้กางออกไป  ยิ่งกางออกไปเท่าไรยิ่งมีกิเลสตัณหา  เป็นการหาทุกข์ใส่ตัวเท่านั้น  จงดูภาวะการณ์ให้ดี  อยู่ไม่ได้ กลัวไม่ได้ รอดคนเดียวไม่ได้  เพราะฉะนั้นจงรอบคอบในการดำเนินชีวิตของตนเองให้ดี  เรารอบคอบผู้อื่นจึงสามารถมองเราเป็นแบบอย่าง  จึงสามารถเจริญรอยตามได้ 
ตั้งแต่โบราณกาลมา  พระอริยะ พุทธะทุกองค์มีความทุกข์  แต่ความทุกข์อันนี้ ท่านทำให้เห็นแล้วว่าท่านรอดไปพร้อมกับผู้อื่น  ถ้าหากศิษย์ทำได้  ศิษย์ย่อมสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่นได้    เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่ารับเคราะห์ไว้  เพื่อที่จะเป็นแบบอย่างให้ทุก ๆ  คนที่ตกอยู่ในภาวะตกยากอย่างนี้ 
หลาย ๆ  คนเคยคิดว่าเภทภัย ความทุกข์ยากมาด้วยเหตุใด  ตอนนี้รู้แล้วว่ามาอย่างไร  แค่เก็บเงินออกจากกระเป๋าทุก ๆ คน เท่านั้นเอง ก็ทุกข์กันไปหมด ไม่ต้องเอาภัยอย่างสมัยก่อนลงมา  อาจารย์เคยพูดไว้ว่าภัยพิบัติใกล้จะเผาขนคิ้วอยู่แล้ว  ทำไมศิษย์ของอาจารย์หลาย ๆ  คนยังไม่รู้สำนึกอีกว่าที่เจออยู่ทุกวันนี้เรียกว่าภัยพิบัติแล้ว  ลมมาแล้ว ไฟมาแล้ว น้ำมาแล้ว  ตอนนี้อยู่ในวงล้อมของ ภัยพิบัติแล้วศิษย์เอ๋ย  ภัยพิบัติไม่ได้หมายถึงความอดอยากปากแห้ง  ไม่ได้หมายถึงภัยสงครามอย่างเดียว  ในตอนนี้คนที่เป็นพุทธะก็ย่อมจะเปล่งประกายของพุทธะในยามนี้  ฟ้าดินยืมโอกาสนี้ในการคัดเลือก หากศิษย์มัวแต่เอาตัวรอดย่อมจะไม่ได้เป็นพุทธะ  ยิ่งคลื่นสูงเท่าใดคนที่สามารถยืนอยู่บนคลื่นยิ่งจะเด่นชัด    ยิ่งดูสูงส่งเท่านั้น  สูงส่งนี้ไม่ใช่ตัวสูง   แต่คือสูงส่งด้วยคุณธรรม   เหนือคลื่นแห่งความทุกข์นี้  แม้จะโดนซัดไปใต้น้ำ  ก็จะกระเสือกกระสนขึ้นมาเหนือน้ำอีก  เพื่อที่จะขึ้นมามองดูผู้อื่นได้ชัดยิ่งขึ้น  และยื่นมือไปช่วยผู้อื่นได้ชัดยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)    
ตอนนี้ทุกคนก็ลำบากหน่อย  ขอให้ศิษย์อดทนไว้ อย่ามัวคิดถึงแต่ตัวเราครอบครัวเราเอง คนในบ้านเราเองเท่านั้น  แล้วจะไปได้เรื่องอะไรจริงไหม (จริงดังนั้น ไม่ว่าตัวเราจะเจ็บป่วย  จะหิวโซ  ตัวเรานั้นจะนั่งร้องไห้  จะมีความทุกข์ยากที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้  ก็ขอให้ตัวเรานั้นเป็นคนที่ฟ้าดินได้คัดเลือกแล้ว  จบชาตินี้ก็กลับไปเป็นพุทธะ  แต่อาจารย์กลัวอย่างเดียวว่า  จากหกคนเหลือสองคน  หรืออาจไม่เหลือเลย   เหตุการณ์ที่เกิดบนโลกปัจจุบัน  ทำไมศิษย์อาจารย์จึงมองไปไกลนักกับภัยพิบัติที่จะอยู่เบื้องหน้า  ที่อาจารย์พูดมาเมื่อคราวก่อนนั้นต้องการที่จะปลอบศิษย์ให้มีใจที่นิ่ง  นิ่งเสียจนเหมือนกับแผ่นดินที่นิ่งแล้ว เพื่อให้ศิษย์นั้นสามารถรับภาวะการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ได้  เพราะฉะนั้นศิษย์หลาย ๆ  คนที่มีความฟุ้งซ่านต่างบอกว่าอาจารย์ทำไมพูดอย่างนี้  พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เกิด  แค่ศิษย์มองไปข้างหน้า  เห็นมดที่โดนคนเขาเหยียบตายนั่นก็คือตัวศิษย์  แต่เราจะตายอย่างไรให้มีคุณค่า  ตายเหมือนกับทุก ๆ คนที่ตายไปแล้วก็จบกัน  ตายแล้วก็ไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่หรือจะขอจบชีวิตนี้อย่างมีคุณค่าดี
อันว่าชื่อเสียงเงินทอง  ไม่มีความจีรังยั่งยืนที่จะให้ศิษย์สามารถใช้สอยไปจนตลอดชีวิตหรือใช้ในโลกหน้า  ความผูกพันต่าง  ๆ  เหมือนกับสายลมที่พริ้วแผ่ว  เมื่อเราอยู่กลางสายลม  ก็รู้สึกเย็นสบายดี  ลมผ่านไปความผูกพันต่างๆ ทุกอย่างผ่านแล้วหมดไป  ไม่สามารถจีรังยั่งยืนได้  เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ดำรงตนด้วยคุณธรรมที่สูงส่ง  แม้วันนี้จะเพิ่งหัดคุณธรรมเล็กๆ  แต่อาจารย์คิดว่าไม่นานศิษย์จะได้เข้าถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่  เข้าสู่ภาวะของฟ้าดินอันใหญ่ยิ่ง  วันนี้อาจารย์พูดมากไปสักนิดหนึ่ง   ถ้าเทียบกับนักเรียนที่ใหม่ ๆ  เหล่านี้  แต่อาจารย์ก็หวังว่า คำพูดของอาจารย์นี้  คงจะไม่ทำให้ศิษย์เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วก็จบกันเหมือนสายลม 
 “ไว้ไว้นี้คือไว้ใจผู้อื่น ทุกๆ ผองชนที่อยู่รอบข้างเรา หากว่า  ไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ ทำให้เรารู้สึกขุ่นข้องหมองใจ  เราจงไว้ใจคนอื่นเขา แต่หากมีใครก็แล้วแต่เฝ้าใส่ไคล้คนอื่น ทำให้เราเกิดอคติต่อคนนั้น เราจงใช้ปัญญาอันเฉียบคมมาตัดเส้นที่จะทำให้อารมณ์ของเราระเบิด  ระเบิดมีสองเส้น  เส้นหนึ่งถ้าตัดแล้วจะไม่ระเบิด  แต่มีอีกเส้นหนึ่งที่ตัดแล้วจะระเบิดเลย  เพราะฉะนั้นจงตัดให้ถูกเส้น เข้าใจไหม
ใจ”  ใจหมายถึงหัวใจ  ครอบครัวมีหัวหน้าครอบครัวเป็นหัวใจ  วงการธรรมะมีศิษย์ผู้มั่นคงในศรัทธา ผู้จริงใจเดินหน้านำผู้อื่น  เสียสละอ่อนน้อมเป็นหัวใจ เพราะฉะนั้น ศิษย์จะให้เป็นหัวใจของพวกเขาได้หรือเปล่า หัวใจที่แท้จริงเปรียบไปแล้วเหมือนกับน้ำในมหาสมุทรที่อยู่ใต้ล่าง รอให้น้ำจากแม่น้ำไหลลงมา  มหาสมุทรแม้จะต่ำเตี้ยที่สุดแต่กว้างใหญ่ที่สุด ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นหัวใจของคนที่อ่อนน้อม ให้ผู้อื่นนั้นไหลลงมารวมกับเราได้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ 
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสุด ใช่หรือเปล่า (ใช่เปรียบประหนึ่งการลงแรง ถ้าศิษย์จะใช้มีดแห่งปัญญาของศิษย์  ตัดลงไปก็ควรจะตัดทีเดียวให้ขาด  เราจะตัดสองทีสามทีได้ไหม (ไม่ได้แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การกระทำของศิษย์ไม่ดีอยู่เสมอก็คือการขาดประสบการณ์  เหมือนกับการร้องเพลง ต้องยิ่งร้องจึงยิ่งมีความชำนาญขึ้น เราไม่สามารถจะทำสิ่งใดแล้วชำนาญขึ้นมาได้ในครั้งเดียว  แต่อย่าได้กล่าวโทษตนเอง  การบำเพ็ญธรรมการปฏิบัติตน ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกสถานธรรมนั้น จำเป็นจะต้องคงเส้นคงวา จำเป็นจะต้องเหมือนกัน  คนในสถานธรรมเราก็ยิ้มให้เขา คนที่เขายังไม่ได้รับธรรมะไม่ได้เป็นพี่น้องกับเรา เราก็ต้องยิ้มให้เขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่จึงเป็นการกระทำที่คงเส้นคงวา  อย่าได้ดูถูกใคร เรานั้นอย่าได้เหยียดหยามใคร และอย่าได้ดูเบาตนเอง จึงนับว่าเราเป็นผู้ที่บำเพ็ญด้วยการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างแท้จริง อันว่าความชำนาญนั้นยิ่งลงแรงยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิด 
ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน  ฟังธรรมะมาตั้งสามวัน  เรายังไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ค่อยเข้าใจ   แต่ถ้าหากว่าหลังจากสามวันนี้ไป ศิษย์ยังเจียดเวลามาก็จะเกิดความเข้าใจ  เกิดความชำนาญยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่อย่าได้มานั่งที่นี่เพราะว่าคนอื่นเขาบีบบังคับให้มา อย่าได้มานั่งที่นี่เพราะว่าจำเป็นจะต้องมา  แต่ขอให้มาด้วยใจ ถ้าหากในวันนี้ยังมาด้วยเหตุสองเหตุที่อาจารย์พูด แต่ตั้งแต่บ่ายนี้เป็นต้นไป ขอให้อยู่ด้วยใจดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะถ้าหากศิษย์อยู่ด้วยใจก็จะเข้าใจธรรมะอีกมากมาย  ใช่หรือไม่ (ใช่
แม้ว่าเหลืออีกครึ่งวันก็จะจบแล้ว  แต่อาจารย์บอกว่ายังไม่สายสำหรับศิษย์ที่จะเริ่มบำเพ็ญ ถ้าล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่  ถ้าหากว่าเดินแล้วสะดุดก็ทำแผลแล้วเดินต่อ  ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับคนที่จะทำความดี  มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่ทำความผิดไปแล้ว จึงบอกว่าสายไปแล้วที่จะกลับตัว  ต้องโดนตำรวจจับ ต้องโดนกรรมตามทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากศิษย์เป็นผู้ตั้งใจจะทำความดี จะกลัวกับคำว่าสายเกินไปหรือ
อาจารย์หวังว่า ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะอยู่ที่ไหน  ไม่ว่าจะมีความสามารถมากน้อยแต่ก็พร้อมที่จะพัฒนาความสามารถตนเองให้มีมากขึ้น  แต่ผู้ที่ไม่รู้จักพัฒนาตนเองมีกิเลสเท่านี้ก็เท่านี้  ไม่รู้จักตัดไม่รู้จักลด ความสามารถมีเท่านี้ ก็ไม่หาความสามารถใส่ตัวก็มีแต่ถอยหลังลงคลอง ทะเลทุกข์ยังไม่อยากเจอ  เพราะฉะนั้น ดังนั้นก็อย่าถอยหลังลงคลอง
ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
ทั่งอันใหญ่ เข็มอันเล็ก เราจะทำทั่งให้เป็นเข็มเราต้องฝน ใช่ไหม (ใช่ในยุคนี้ใครขี้เกียจบำเพ็ญ ขี้เกียจขัดเกลาตนเองก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้  ใครขี้เกียจเดินหน้ารุดหน้าก็เดินไม่ทันคนอื่น  ตอนนี้ฟ้าดินให้ศิษย์เดินหน้า เปรียบประหนึ่งให้วิ่งแข่งกัน แต่แข่งนี้คือแข่งคุณงามความดี ใครวิ่งไปถึงก่อนก็บรรลุก่อน ศิษย์อย่ามัวแต่คิดว่าขึ้นไปก็ต้องมีส่วนของเราอยู่แล้ว อันนั้นเป็นความคิดที่ไม่ค่อยถูก เพราะไม่ใช่ว่าจะมีมรรคผลอยู่ข้างบนเสียทุกคน  บางคนมี บางคนไม่มี  คนไม่มีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์  แต่จะสมควรอย่างยิ่งต้องพัฒนาตนเอง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า  ศิษย์ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครมีใครไม่มี  ฉะนั้น จงขยันไว้  เพราะฉะนั้น เมื่อฝนทั่งของตัวเราก็คือจิตใจของเราที่มืดมัวสลัวดำอยู่นี้ให้เป็นเข็ม  เข็มที่คมที่สุด เงาที่สุด ดีที่สุดด้วย เข็มนี้ห้ามเอาไปทิ่มแทงใคร เข็มอันนี้มีไว้ปะชุนใจของคนให้สนิทแนบแน่นเป็นผ้าผืนเดียว ใช่หรือเปล่า (ใช่ศิษย์เคยออกไปซื้อเข็มเย็บผ้าไหม (เคยเข็มบางเล่มยาว บางเล่มสั้น บางเล่มหนา บางเล่มเงาประกาย ใช่หรือไม่ (ใช่เข็มก็ยังแตกต่างกัน เกิดเป็นคนก็ยังแตกต่างกัน มีอย่างเดียวคือความเป็นคนที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นพุทธะ เชื่อหรือไม่ว่าตนเองสามารถเป็นพุทธะได้ (เชื่อ) อย่าตอบแต่เพียงตรงนี้ ต้องตอบออกมาจากปาก  จากใจของตัวเราเอง  เพราะถึงแม้ศิษย์จะพูดออกมาว่าเชื่อ แต่ถ้าใจของศิษย์ไม่เชื่อ  ก็ไม่สามารถจะบำเพ็ญเป็นพุทธะได้ 
มีสิ่งเดียวที่เคียงข้างกับเราตลอดของการเดินทางคือเท้า ใช่หรือเปล่า (ใช่เท้าเมื่อยเป็น ปวดเป็น แต่ว่าถ้าหากขาดเท้าย่อมไม่สามารถจะไปถึงได้ ถูกไหม (ถูกเท้าเปรียบเสมือนอะไร (ผู้นำ,การเริ่มต้นก้าวเดิน,พาหนะที่นำไปสู่ความสำเร็จหลายคนคิดดีแต่ไม่พูด เตรียมการกระทำไว้ดีแล้วแต่ไม่ยอมทำ  คุณงามความดีก็จะไม่บังเกิด ก็เป็นอย่างไร แล้วก็กลืนหายไปกับกาลเวลา ร่างกายแก่ชราแล้วไม่ได้บำเพ็ญ เมื่อชีวิตดับวูบลงเหมือนแสงเทียนก็จบกัน ไม่มีทางที่เราจะได้บรรลุเป็นพุทธะ การที่อาจารย์ให้ศิษย์กล้าพูด ก็เพื่อให้ศิษย์กล้าไปพูดธรรมะกับผู้อื่นได้
เท้านั้นเปรียบไปแล้วก็คือความมั่นคงทางธรรม เท้าข้างหนึ่งก้าวอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เท้าอีกข้างหนึ่งคือความเชื่อมั่น เมื่อเราเจอความยากลำบากก็ไม่ขาพับขาอ่อนล้มไปเสียก่อน เพราะฉะนั้นกำลังไม่ได้อยู่ที่ขา กำลังอยู่ที่ใจ  เพราะฉะนั้นเราเป็นพี่เป็นน้องกันจึงควรให้กำลังใจซึ่งกันและกันไว้เสมอ ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่คำพูดใดทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจ  ทำให้ผิดใจกันก็พูดน้อยๆ
คำพูดใดส่งเสริมให้เขาไปไกลยิ่งกว่าเดิมไว้ พูดให้มากไว้  ความผิดอันใดของผู้อื่นขอให้เรารู้จักเก็บไว้ อันใดเป็นความชอบของเขาให้เรารู้จักพูดออกไป เมื่อเราทำเช่นนี้ ผู้อื่นก็จะทำเช่นนี้กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่อีกทั้งบำเพ็ญธรรม อย่าเป็นคนหูเบาเชื่อง่าย หลงง่าย  ทุกคนนั้นไม่ใช่บำเพ็ญได้ในระดับที่ดี  เพราะฉะนั้น จึงฟังแล้วต้องคิดด้วย  อาจารย์เห็นพระโอวาทของท่านแปดเซียนท่านบอกว่า ตรองเสียสามครั้ง หมายความว่า ไม่ว่าจะฟังสิ่งใดมา ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดไป     ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องหนักเรื่องเบา เรื่องนิดเรื่องหน่อย ก็ต้องตรองถึงสามครั้งเป็นอย่างน้อย   บางคนพอคิดก็พูดทันที สิ่งที่ไม่ดีก็ออกไปด้วย สู้เราคิดสามครั้งเป็นอย่างน้อย ทำสิ่งใดไปก็จะผิดพลาดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่ก็คือสิ่งที่ดีก็ควรจะทำไว้ สิ่งไม่ดีนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงให้มาก 
หวานเป็นลมขมเป็นยาทางข้างหน้า
ทางข้างหน้านี้ที่จะเดินนับจากนี้ไป  เมื่อเจอความหวานจิตใจจงประหวั่นไว้ ประวิงไว้
ถ้าหากว่าเรายิ่งลำบากเท่าไร ความขมอันนี้จะเป็นยาขนานเอก ยานี้รักษาชื่อเสียงเงินทองไม่ได้  แต่รักษาจิตใจของเราที่เป็นพุทธะเอาไว้ได้  จงตรองอันนี้นะ
ใครจะผิดใครจะถูกประดุจคลื่น
เค้าผิดหรือถูกก็เหมือนคลื่นนี้ที่กลืนหายไปกับเวลา  ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน เอาอารมณ์ไปใส่ เอาใจเราไปกองเสร็จแล้วก็ไม่คุ้มเลย
ขอให้หมื่นปัญญาชนเดินตามเรา
จะให้หมื่นคนที่มีปัญญามาเดินตามเราแสดงว่าเราต้องมีปัญญาเหนือคนทั้งหมื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แท้จริงดูเหมือนเหนือแต่แท้เที่ยงยิ่ง กว่าคนอ่อนน้อมยอมให้ผู้อื่นนั้นได้เหยียบใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ให้ปัญญาชนยืนเหยียบได้ คือถนนหรือ สะพานใช่หรือไม่(ใช่) เราจะมีปัญญาอะไรไปเหนือกว่าคนหมื่นคนนอกเสียจากว่า เรารู้จักที่จะเสียสละตนเองเท่านั้น เราจึงจะมีปัญญาเหนือยิ่งกว่าคนหมื่นคน  เพราะว่าทางแก้เราให้ทางเขา  อย่าคิดว่าเรานั้นดีพอ เก่งพอที่จะให้ผู้อื่นได้ ให้เรายิ่งเก็บปากเก็บคำ เก็บจิตเก็บใจของเรามากเท่าไหร่เรายิ่งจะเป็นสะพานที่ดี สะพานอันนี้สร้างให้มั่นคงเท่าไรก็จะทำให้ผู้อื่นเดินได้อย่างราบรื่นเท่านั้นใช่หรือไม่(ใช่) ถ้าหากเราสร้างสะพานของตัวเราเป็นสะพานไม้สะพานแขวน เขาเดินไปก็โยกไป  ในที่สุดเราก็พาคน ๆ หนึ่งหล่นลงไป   กุศลมากมายทดแทนคน ๆ เดียวที่ตกลงไปไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราต้องระวังมาก ๆ  รับธรรมแล้วสิ่งที่ส้ำค่าที่สุดอยู่สิ่งที่อาจารย์มอบให้ก็คือไตรรัตน์  จำไม่ได้ จำไม่ดีจะมาร้องเรียกอาจารย์หลังจากที่ไม่มีร่างกายนี้ก็ไร้ค่า การไหว้พระสร้างกุศล ถ้าไม่มีร่างกายนี้ก็ไม่มีให้สร้าง ไม่ใช่ศิษย์สร้างไม่ได้ เพราะฉะนั้น จงสำคัญให้ดี รู้สิ่งใดหนักรู้สิ่งใดเบา รู้สิ่งไดสำคัญ สิ่งไดไม่สำคัญ เหมือนกับการแบ่งแยกเวลามาบำเพ็ญธรรม หากวุ่นวายมากไม่อยากมาก็ไม่เป็นไรแต่อย่าได้พักนาน ถ้าหากว่าหยุดพักโดยที่ไม่รู้จักแบ่งเวลาให้กับตนเอง     ก็จะไม่มีเวลามาบำเพ็ญเลย เหมือนกับสามวันก่อนหน้านี้ เขาไปตามเรา เรายังบอกว่าไม่ว่างใช่ไหม 
แม่ครัวเหนื่อยยากกันทุกคน คนที่นี่ก็เป็นคนจิตใจดี พวกศิษย์ก็จิตใจดี เพราะฉะนั้นอยู่กันอย่างพี่ อย่างน้อง มีอะไรก็พึ่งพาอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ปริญญา ฝนทั่งให้เป็นเข็มไม่ทราบว่าศิษย์คนไหนจะเอากลับไปทำบ้าง  อาจารย์อยากจะให้กลอนไว้อีกหนึ่งบททิ้งท้ายไว้ก่อนที่เราจะจากกัน เพราะว่า การจากกันนั้น ย่อมไม่รู้ว่าศิษย์คนไหนจะเดินจนสุดทางบ้าง
ในวิญญามีศิษย์ข้าอยู่ทุกเมื่อ       ศิษย์อย่าเบื่อการบำเพ็ญต้องรักษา
อาจารย์นี้จะคอยศิษย์ชั่วดินฟ้า     ศิษย์เอ๋ยอย่าแชเชือนคำของข้าเลย
 (พระอาจารย์เมตตาคุยกับนักเรียนในชั้นที่มาแค่สองวันศิษย์มาแค่สองวัน  แต่จิตใจเราต้องกว้างกว่าสองวัน  อย่าปิดใจจนสนิท จนไม่สามารถสื่อสัมผัสถึงตัวของอาจารย์ได้   แม้ว่ามีความสงสัยมากมาย  แต่อย่าให้ความสงสัยอันนั้นล้างใจของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ ไม่หลอกไม่ลวงไม่โกหก ศิษย์ทำได้ก็เป็นผลดีต่อศิษย์นะ  
ร่างกายที่อาจารย์ใช้ไม่ใช่ของอาจารย์ ร่างกายที่ศิษย์ใช้อยู่ก็ไม่ใช่ของศิษย์ สักวันหนึ่งพอแก่แล้ว ตายแล้ว  เราก็จากกันห่วงอะไรกับความสวยงามของเรา ห่วงอะไรกับลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง  ห่วงอะไรกับอารมณ์อันหาแก่นสาร   ไม่ได้ ขอให้ศิษย์พิจารณาตรึกตรองด้วยปัญญาด้วยสติ  ผู้หญิงแต่งหน้าตอนเช้า พอเย็นเครื่องสำอางจางแล้ว ก็ไม่สวย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ผู้ชายร่างกายกำยำ    แข็งแรงพอแก่แล้วก็ดูงก ๆ เงิ่น ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ชีวิตนี้ได้สิ่งใดมาสิ่งนั้นก็จะจากเราไป นี่คือความไม่เที่ยงไม่แน่นอน อาจารย์อยากให้ศิษย์หาสิ่งที่แน่นอนที่สุด จีรังที่สุด นั่นคือการบำเพ็ญธรรมเพื่อการหลุดพ้น ดีหรือไม่ (ดีมนุษย์ก้าวออกไปด้วยจุดหมาย  อาจารย์หวังว่าศิษย์ในชั้นนี้จะมีจุดหมายอันเดียวกัน       นั่นก็คือการบรรลุ
อาจารย์อยากจะให้มือของอาจารย์ที่ยื่นไปสัมผัสศิษย์ได้ชั่วครู่นี้ วิ่งเข้าไปถึงใจศิษย์ เอาความมุ่งมั่นของอาจารย์วิ่งเข้าไปในใจของศิษย์ สถิตอยู่ในใจของศิษย์ แล้วให้ศิษย์เอาความมุ่งมั่นเหล่านี้ไปใช้บ้าง อย่าเห็นอาจารย์เป็นเจ้า เป็นเทพที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยอะไรก็ได้ อาจารย์อยากจะช่วยอยู่สิ่งเดียวอันเป็นปณิธานอันเป็นความตั้งใจของอาจารย์ คือช่วยศิษย์ทุกคนให้หลุดพ้น  ให้เจริญธรรมไปตลอดรอดฝั่ง ให้มีขวากหนามให้น้อยที่สุด
เป็นเวลานานในโลกมนุษย์ ที่อาจารย์ได้ตั้งใจมาช่วยคน เวลาชั่วชีวิตของศิษย์ยังสั้นกว่าเวลาที่อาจารย์เสียสละลงมา  อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุก ๆ คนจะบำเพ็ญตนให้ดี ๆ และดีๆ 
ศิษย์ทั้งสองคนนี้แท้จริงเป็นผู้มีปัญญามาก  แต่อาจารย์บอกแล้วว่าคนมีปัญญามักจะโง่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  ศิษย์หัวหน้าชั้นก็อย่านำคนเดินลงทางลาด  อย่าเห็นว่าสบายแล้วไปก่อน แล้วไปลำบากทีหลังไม่ได้  ต้องลำบากตั้งแต่ตอนนี้เริ่มบำเพ็ญตั้งแต่ตอนนี้
            เงาะมีขนอันเหมือนขวากหนาม  เดินยากเดินลำบาก แต่ข้างในเป็นสิ่งที่ดี อาจารย์ก็หวังว่าขวากหนามอันนี้ จะเป็นเครื่องที่ทำให้เรานั้นยิ่งต่อสู้ เข้าใจไหม กลับบ้านเราให้ได้นะ สักวันหนึ่ง ๆ ศิษย์กลับบ้านเรานะ

มีโอกาสวันหน้า เจอศิษย์ที่น่ารักว่าง่าย บำเพ็ญกาย บำเพ็ญใจสมบูรณ์กว่านี้ อย่าลืมนะ




พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม”



ความลำบากย่อมมีวันสิ้นสุดได้ แต่อย่าได้หมดอดทนไปเสียก่อน

ตะวันกล้าไม่อาจเผาให้รุมร้อน ยามใจซ่อนนิ่งสุขุมไว้ภายใน

พยายามความสำเร็จไปไหนเสีย ภัยลามเลียเราแก้เหตุปัญญาใส

ฝนทั่งมาเป็นเข็มยังได้ใช้ ความชอบให้สาธารณะจะนิรันดร์

มีศรัทธาเชื่อมั่นต่อกันไว้ ใจกว้างใหญ่มือจูงมือจิตประสาน

ก่อนสุดทางไม่ไหวหวั่นเลิกกลางคัน สิ่งสำคัญถึงนานวันมีใจเดียว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา