วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-08 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

   西元二〇一九年嵗次己亥五月初六日                仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
 พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
  อย่าได้ขาดจิตสำนึกความดีงาม        อย่าได้ขาดความซื่อตรงในหน้าที่
อย่าได้ขาดความกล้าหาญในความดี     เมื่อทำดีก็จงทำให้สุดใจ              
     เราคือ
  เสียวเสี่ยวฝอถง                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว   ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                      
  เมื่อพบจิตฉับพลันลุล่วงพุทธะ        ทรัพย์อริยะแห่งจิตอยู่ตรงนั้น
ธรรมจักรสมบัติในมนุษย์สุดสามัญ     ครอบจักรวาลที่แฝงเร้นในตัว
ระวังใจตามองเพียงหนึ่งหน            วิสัยคนกระสับกระส่ายเห็นจักรเป็นบัว
เห็นใครมีไม่ได้อิจฉาทั่ว                 เลิกสนตากลับตัวจิตแยบยล
หาสมบัติที่ซ่อนอยู่ข้างใน               เป็นโชคในข้างแรมแซมฝน
ไม่ใช่ลาภลอยมาบันดาลดล             โลกมีคนกับปัญหาระหว่างเรา
บำเพ็ญบุญดุลพินิจรับไปแยกแยะ      ต้องการแค่สงบสว่างมากกว่าเก่า
ใดสัจจะที่เรื่องทุกเรื่องราว             ประพฤติเล่าไขความจริงเป็นอะไร
ธรรมเป็นแนวปรัชญาด้วยกฎเกณฑ์    บำเพ็ญเป็นปัญญาด้วยพลิกแพลงได้
เหนือความงามว่าด้วยปรัชญาใจ       รู้ตื่นในตัวเองเที่ยงนิรันดร์
แม้ชาติหน้าไม่พอขวนขวายไป         เดินใช่ไกลมาทำตัวเกียจคร้าน
ยังไม่เป็นมาทำเป็นชำนาญ             คนเก่งฟ้าข้อสำคัญพินิจตัว
                                                                          ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ตามนุษย์นี่แปลกนะ อยากเห็นอะไรก็ได้เห็น ไม่อยากเห็นอะไรก็ไม่ (ต้องเห็น)  ถ้าอย่างนั้นตาเราสัมพันธ์กับอะไร (ใจ)  ตาสัมพันธ์กับใจ ถ้าใจมันเห็น ใจอยากมองสิ่งที่ดี มันก็จะเห็น (สิ่งดี) แต่ถ้าใจมันกำลังเบื่อ สิ่งที่เห็นก็คือ (สิ่งที่ไม่ดี) ฉะนั้นจะไปโทษเขาว่าทำดีหรือไม่ดีไม่ได้ แต่ต้องถามใจเราก่อนว่าใจเราดีหรือไม่ดีจริงไหม (จริง) เขาพูดไม่ดีหรือใจเรามันเบื่อเลยมองเห็นเขาไม่ดี ถ้าเรารู้สึกว่าดี ตาเราก็จะเห็นดี จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจเรารู้สึกเบื่อ ตาเราก็จะทำให้เรามองเห็นแล้วรู้สึก (เบื่อ)  ใจเป็นอย่างไร ตาก็มองเห็น (อย่างนั้น)
ใจของเรามีพลังนะ ถ้าใจเรามีความสุข ตามันก็ประกายแวววาวจริงไหม แต่ถ้าใจเรามันทุกข์ ตาเรามันก็จะหม่นหมองหดหู่ไม่เคยได้ยินหรือ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มนุษย์พูดไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ตาท่านไม่มีประกายแวววาวเลย มีแต่ความหม่นหมองและความหดหู่ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข ก็ต้องเริ่มต้นที่ใจของเรา จริงไหม ถ้าใจเราสุขอยู่ที่ไหนมันก็ (สุข)  ถ้าใจมันทุกข์อยู่ที่ไหนมันก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นตอนนี้ใจขมหรือใจสุข วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่าน อย่าคิดว่ามาสอนได้ไหม เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่ใช่เรียกว่านินทาว่าร้าย แต่เป็นเรื่องที่เราต้องเจอกันทุกวัน แล้วทำอย่างไรถึงเจอแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าใจเรามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ อยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์จริงไหม ถ้าใจมันเต็มไปด้วยความร่มเย็นสบายใจ อยู่ที่ไหนก็ (ร่มเย็นสบายใจ)  จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามหน่อย คนภาคใต้เป็นคนที่อ่อนแอไม่สู้คนใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)เป็นคนรับอะไรไม่ได้ง่ายๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคนใต้เป็นคนเด็ดเดี่ยว ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อู้ง่ายๆ ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้เกียจ ถ้าอย่างนั้นแปลว่า นั่งฟังแล้วยิ่ง กระปรี้กระเปร่า ยิ่งมีพลัง ยิ่งสดชื่น จริงไหม (จริง) ตอนนี้เป็นอย่างนั้นจริง แต่ตั้งแต่เช้ามาไม่เป็นอย่างนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งความสุขหาไม่ยากหรอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับมันและยิ้มกับมันได้ด้วยหัวใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวหรือไม่ จริงไหม (จริง)  ท่านไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ แต่ท่านเชื่อใจตัวเองได้ ถ้าท่านเชื่อใจตัวเองว่าสู้ไหว เอาไหว เอาอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครพูดอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์เพราะใจฉันจะสู้ จะเอาให้ได้ เอาให้อยู่ ใช่หรือไม่ ถ้าตอนนี้เขาจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าใจท่านบอก ไม่สู้ ไม่เอา ไม่ไหว ใครพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าดูถูกพลังใจของตัวเอง ถ้าคิดจะสู้ก็สู้ ถ้าคิดจะเอาก็เอาอยู่
แต่บางครั้งเราล้มพลาดไป เราทุกข์ท้อไป เพราะเราลืมใจตัวเอง เอาแต่เชื่อใจคนอื่น จนลืมเชื่อศรัทธาในความเข้มแข็งดีงามและรับไหวกับใจตัวเองไหม ที่แพ้พังราบไปเพราะอะไร เพราะเอาแต่เชื่อใจคนอื่นหรือเชื่อใจตัวเอง (คนอื่น)  เพราะเอาชีวิตไปผูกไว้กับคนอื่นจึงลืมสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตเรา เราต้องดูแลตัวเราเองเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ใจเราสามารถหยั่งได้เท่าที่เราอยากให้เป็น และบางครั้งใจเราก็เล็ก จนเราไม่คิดจะสู้อะไร จริงไหม (จริง)  แล้วใจจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่ที่น้ำคำคน ขึ้นอยู่กับคนรัก ขึ้นอยู่กับคนด่าคนชัง หรือต้องขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง (ขึ้นกับใจเราเอง)  แล้วที่ผ่านมาอยู่ที่เราเอง หรืออยู่ที่ปากคนอื่น (คนอื่น)
เกิดเป็นคนอย่าขาดซึ่งจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ถ้าคนใดคนหนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ก็ยากที่จะอยู่บนโลกได้อย่างสันติสุข และง่ายที่จะเป็นคนที่นำพาให้ผู้อื่นมีทุกข์ และตัวเองก็ต้องพบทุกข์  เหมือนเขาให้เราทำให้ดี แต่เราทำแบบลวกๆ  ผลที่ออกมาเราก็เสีย คนอื่นที่ได้รับก็ไม่ดี  แต่ถ้าเราทำด้วยความซื่อตรงทำด้วยความรับผิดชอบ ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ผลที่ได้ออกมา เราก็ภูมิใจ คนที่ได้รับรู้สึกสุขใจที่ได้มา  ถ้ามนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ในสังคมก็คงไม่มีการทำร้ายกันหรอก
อยู่ในโลกนี้โลกสอนให้เราเข้มแข็ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราเก่ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราต้องขวนขวายหาความรู้จนประสบผลสำเร็จ ใช่ไหม โลกสอนเราทุกอย่าง ใช่ไหม สอนให้เรารู้จักรักเป็นอย่างไร ใช่ไหม
โลกสอนให้เราเข้มแข็ง  สอนให้เราอยู่บนโลกนี้ให้ได้ สอนให้เราต้องมีความอดทน สอนให้เราสู้ให้เป็น สอนให้เราขวนขวาย ขยันทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง โลกสอนเราทุกอย่าง แต่ในเวลาที่อ่อนแอ โลกสอนเราไหม ว่าเราต้องทำอย่างไร เวลาที่เราทุกข์ใจ โลกสอนเราไหม (สอน)  โลกสอนให้เรารู้จักสุข แล้วก็สอนให้เรารู้จักทุกข์ โลกสอนให้เราเข้มแข็งได้ แต่โลกก็สอนให้เรา (อ่อนแอได้)  โลกสอนให้เราสำเร็จได้  และสอนให้เรา (ล้มเหลวได้)  โลกสอนให้เราโชคดี  และสอนให้เรา (โชคร้ายได้) โลกสอนให้เรารู้ว่าคนดีเป็นอย่างไร และสอนให้รู้ว่าคนร้ายเป็นอย่างไร
วันที่เราต้องอ่อนแอ ต้องทุกข์  รู้สึกแย่ วันที่เราล้มเหลว  โลกสอนให้เรากลับมาเข้มแข็งอย่างไร  (ต่อสู้กับความยากลำบาก)  เมื่อวันหนึ่งโลกสอนด้านหนึ่ง อีกวันก็สอนอีกด้านหนึ่ง  เรารู้ได้ว่าทำอย่างไรให้กายเข้มแข็ง เรารู้ว่าทำอย่างไรให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ  แต่ถ้าวันหนึ่งโลกสอนให้เราล้มเหลว สอนให้เราอ่อนแอ อะไรให้เราเยียวยาใจ  ในเมื่อโลกสอนแต่กาย แต่ลืมสอนใจ  แล้วเราดูแลแต่กายเป็น แต่ลืมดูแลใจตัวเองให้เป็นจริงไหม (จริง)  โลกสอนให้เราเข้มแข็งกล้าหาญต้องประสบผลสำเร็จ ต้องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อวันหนึ่งโลกสอนให้เราอ่อนแอ ล้มเหลว ต้องเป็นทุกข์  กายเราพอรักษาได้ แต่วันหนึ่งวันที่ใจเราอ่อนแอ เจ็บปวด ท้อแท้  เราเอาอะไรมาเยียวยาใจ  หรือเราสอนกายเป็น แต่เราสอนใจไม่เป็น
กายรอดได้ แต่เราดูแลใจตัวเองไม่รอด จริงไหม เวลาเราเจอทุกข์แค่ครั้งหนึ่งบางคนอยากตายเลยใช่ไหม เวลาเราล้มเหลวครั้งหนึ่งเราไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย อย่างนั้นแปลว่าเราบำรุงเลี้ยงกายเราได้แต่เราลืมบำรุงเลี้ยงใจ เราดูแลกายเราได้ แต่เราลืมดูแลใจเรา โลกสอนเราด้านหนึ่งแล้วอีกด้านหนึ่งโลกไม่ได้สอน
ให้เรารู้จักทำกายตัวเองให้เข้มแข็งประสบผลสำเร็จได้ แต่ใจเราไม่เคยสอนใจเราเลย ถูกไหม เรามีวิชาทำให้ร่างกายเราอยู่รอด ทำให้ร่างกายเราเข้มแข็ง ทำให้ร่างกายเราสำเร็จ แต่วิชาอะไรล่ะที่ช่วยสอนใจเราเมื่อยามอ่อนแอให้กลับมาเข้มแข็ง วิชาอะไรล่ะที่เมื่อยามทุกข์แล้วสอนให้เราพ้นทุกข์และพบความสุข จากจิตใจของเราเอง นั่นคือวิชาใจเราเอง ดูแลใจเราเอง ใช่ไหม ในวันที่ใจเราท้อ ในวันที่ใจเราผิดหวัง ในวันที่ใจเราเจ็บปวด กายแม้จะตั้งตรงแต่ใจไม่อยากตรงแล้วใช่ไหม แล้วสิ่งที่จะช่วยเยียวยาใจของเราคืออะไรหนอ ธรรมะใช่ไหม ธรรมะช่วยเยียวยาใจใช่ไหม อย่างนั้นเวลาที่ใจเราอ่อนแอ ใจเราทุกข์ เราต้องเอาธรรมะมาสอนใจ ถูกไหม ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่ความคิด แต่ชีวิตคือความจริง ฉะนั้นสิ่งที่จะเยียวยาชีวิตเราได้ เยียวยาใจเราได้คือความจริงและความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเรียกว่าธรรมะใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่รู้จักเอาธรรมะมาเยียวยาใจ เอาธรรมะมาสอนใจก็จะยอมรับความจริงที่วันหนึ่งเข้มแข็ง อีกวันหนึ่งอาจจะอ่อนแอ วันหนึ่งมีสุข อีกวันหนึ่งอาจจะ (มีทุกข์)
บำรุงเลี้ยงดูแลใจเราด้วยธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์นิยามชีวิตของตัวเองว่าความฝัน และความคิด จึงมักจะปล่อยตัวเองให้คิดฝันว่าชีวิตต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ มองตามความฝัน มองตามความคิด จนลืมมองความจริง ทั้งที่ความจริงเป็นธรรมะที่ช่วยเยียวยาใจได้ดีที่สุด แล้วเราสนธรรมะไหม เราไม่สนธรรมะ เราสนแต่เราคิดอะไรอยากได้อะไร เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดที่อยากได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราเอาธรรมะมาเตือนใจเสมอ เอาธรรมะมาสอนใจเราเสมอว่าฝันขนาดไหนคิดขนาดไหน ก็อย่าลืมความจริง อยากได้ขนาดไหน อยากมีขนาดไหน ก็ไม่ควรลืมความจริง เพราะในโลกของความจริงมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีสำเร็จก็มีไม่สำเร็จ ฉะนั้นถ้าทุกขณะชีวิตเราไม่ลืมว่าชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปอย่างที่คิด แต่ชีวิตคือความจริง เราก็คงไม่หนีห่างจากธรรมะ เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
แล้วธรรมะแห่งความเป็นจริงข้อไหน ที่จะช่วยทำให้เราสามารถเยียวยาใจได้ เมื่อเวลาที่เราต้องเจอความจริงในอีกด้านหนึ่งที่เราไม่คาดคิด
และยอมรับที่จะอยู่กับสิ่งๆ นั้นให้ได้   อย่างแรกที่จะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงและช่วยเยียวยาใจ คือ เราต้องไม่มีอคติ  ภัยพิบัติที่เกิดจากการไม่สุภาพสำรวมยังแก้ไขได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นในความคิด แก้ยาก (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ยกตัวอย่าง โดยให้พิธีกรหน้าชั้น เป็นตัวละครสมมติ ว่า  ด้านขวาคือความดี ความสุข ความสำเร็จ  ด้านซ้ายคือความเลว ความแย่ ความล้มเหลว)  ท่านชอบได้ด้านไหนมากกว่ากัน  (ด้านขวาที่ดี)  ถ้าอยากเรียนรู้ความจริงเราต้องไม่อคติกับด้านซ้าย และไม่ยึดติดกับด้านขวา  แต่ถ้าเราเอาแต่ชอบด้านที่ดี  สำเร็จ สมบูรณ์ ไม่ล้มเหลว ไม่พ่ายแพ้ ชีวิตจะต้อง ไม่มีคนเกลียด  มีแต่คนรัก ไม่มีคนเลิกรักฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ชีวิตของเราคือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความคิด  ถ้าฉะนั้นด้านดีก็ดี  ด้านไม่ดีก็ดี ถ้าอยากเรียนรู้เยียวยาใจให้เป็น และใจไม่ต้องอ่อนแอไปกับเรื่องที่ไม่อยากเจอ ไม่ว่าด้านดี หรือไม่ดี เราก็ต้องรับให้ได้ ดูให้เป็น เมื่อสักครู่ ท่านก็บอกเอง ใจเป็นของเราเอง จะเล็กก็อยู่ที่เรา จะใหญ่ก็อยู่ที่เรา จะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่เรา ถ้าเจอเรื่องร้ายเราก็รับได้  เจอคนด่าก็ (ทนได้)  เจอคนหักอกเราก็ (ทนได้)  คนยืมเงินไม่คืน เราก็ (รับได้)  เจอสามี หรือ ภรรยา ไปไม่กลับ เราก็ (รับได้)  จำไว้ เราบอกท่านตั้งแต่แรกว่า ตาเป็นอย่างที่ใจคิด  ถ้าใจไม่รับ อย่างไร ก็ไม่รับ แล้วก็ไม่เห็น ถ้าใจไม่เอา ที่เห็นก็ไม่เห็น  แต่ถ้าใจเอาและรัก ที่ไม่เห็นเราก็จะเห็นยิ่งกว่าเห็น  จริงไหม (จริง)
แต่ถ้าเราบอกว่า ในเมื่อเราบอกว่าใจมันเป็นของเราเอง ท่านศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง ถ้าอย่างนั้นดีร้ายมันอยู่ที่ตัวเขาหรือตัวเรา (ตัวเรา)  ดีร้ายมันอยู่ที่ชะตากรรมหรือเปล่า (เปล่า) ถ้าใครว่าเราร้ายแต่เรารู้ใจเราเองว่าเราร้ายหรือเราดี ใครทำเราทุกข์เรารู้ใจเราเองว่าทุกข์หรือสุข ใช่ไหม  (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถ้าใจเรารับไหว อะไรมันก็ไหว จริงไหม เหมือนตอนนี้ถ้าใจท่านไม่อยากฟัง  ถูกไหม เราพูดอะไรท่านก็ไม่เข้าหู ก็ใจมันไม่ชอบ ถ้าใจมันชอบจะเห็นมากกว่าเห็น และจะทำให้เรารู้ยิ่งกว่ารู้ ฉะนั้นอย่าดูถูกใจตัวเองและลดคุณค่าของใจตัวเองเพียงเพราะว่า ไม่เอา ไม่ชอบ เพราะในโลกของความเป็นจริง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องรับมือให้ได้ ถ้าเราศรัทธาเชื่อมั่นในใจของตัวเอง แม้สิ่งที่ร้ายที่สุดเราก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีความสุขและมีคุณค่าได้ด้วยใจของตัวเอง เพราะโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราไม่รังเกียจ เราไม่อคติอะไร อะไรเราก็รับไหวและอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราสู้ได้เมื่อวันที่เราท้อแท้ก็คือในดีมันมีดี และในแย่กว่ามันมีแย่ลงไปอีกจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นในโลกของความเป็นจริงบางครั้งเรารู้สึกว่าเราต้องเจอเรื่องผิดหวัง เราต้องเจอเรื่องแย่ เราต้องเจอเรื่องทุกข์ แต่บางทีถ้ายังไม่หมดลมหายใจ จำไว้นะวันนี้สิ่งที่ท่านทุกข์อาจจะไม่ใช่ทุกข์ที่สุด อาจจะมีทุกข์กว่า และก็ทุกข์กว่า จริงไหม ฉะนั้นอย่าเสียน้ำตากับทุกข์แรกเลยเพราะชีวิตยังมี (ทุกข์กว่า)  และยังมี (ทุกข์กว่า)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องดีใจ ก็จงอย่าดีใจ เพราะบางทียังมีสิ่งที่ (ดีใจกว่า)  และก็ (ดีใจกว่าอีก)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรยึดติดกับคนนี้ดีไหม คนนี้ทำฉันผิดหวัง อกหัก หลอกลวงฉัน ฉันอยากตายแล้ว คนที่คิดแบบนี้คือคนที่ลืมไปว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ (ทุกข์กว่าอีก)  และก็ (ทุกข์กว่าอีก)  ฉะนั้นเราอยากจะจมกับคนนี้ไหม เราอยากโง่กับคนนี้ไหม เราอยากแย่กับคนนี้ไหม อย่างนั้นเราอย่าลืมว่าในโลกนี้มีดีก็มีดีกว่า มีดีกว่าก็ยังมีดีกว่า ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องแย่ๆ ก็จงจำไว้ว่าอาจจะมีสิ่งที่ (ดีกว่า)  ในสิ่งที่ดีอาจจะมีสิ่งที่แย่กว่า และในสิ่งที่แย่ ถ้าเราเปิดใจให้กว้างไม่อคติ ไม่ยึดติด และไม่เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เปิดใจให้กว้างๆ ไว้ เราจะเห็นว่าในร้ายอาจจะมีดี ในดีอาจจะมีร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่เยียวยาใจและทำให้เราเตือนใจอยู่และไม่ทุกข์กับโลกใบนี้คือ ความจริงที่เป็นธรรมดาของโลก และความจริงที่เป็นธรรมดาของโลกก็สอนว่า มีดีก็มีดีกว่า มีแย่ก็มีแย่กว่า มีทุกข์แล้วก็อาจจะมี (ทุกข์กว่า)  ฉะนั้นเราควรจมอยู่กับสิ่งที่เราคิดเเละเห็น หรือเราควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วมองความจริง แล้วถึงเวลาเราเปิดใจกว้างหรือเห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น (เปิดใจให้กว้าง)
เวลามีความรักโลกนี้มีเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  โลกนี้เราจะตายเพราะเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ชีวิตเรามีเวลานี้เวลาเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงเวลาเรายังมีลมหายใจอยู่เรายังมีคนอื่นไหม (มี)  ธรรมะสอนให้รักเดียวใจเดียว แต่ถ้าเราอยากจะเยียวยาใจเราก็ต้องรู้จักเอาธรรมะมาสอนใจว่ามีดีก็มีไม่ดี มีแย่ก็มีแย่กว่า ฉะนั้นอย่าทุกข์ใจ อย่าร้องไห้ไปเลย ดีไหม เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่าความสงบ สุขหรือทุกข์ยังแกว่งไปด้านดีด้านร้าย แต่ธรรมะสอนให้เราพบความสงบอันแท้จริง ผู้ที่รู้จักพึงมีธรรมจึงสามารถรักษาความสงบท่ามกลางความวุ่นวายในโลกได้ และรู้จักประคองจิตเยียวยาใจของตัวเองให้เป็น สำคัญที่สุดในชีวิตสุขได้ก็ต้องทุกข์ได้ สุขและทุกข์มามากพอแล้วก็ต้องรู้จักวางให้ลงบ้าง ฉะนั้นนั่งแล้วก็ต้องยืนเป็นบ้าง นั่งมานานแล้วก็หัดยืนให้เป็น ดีไหม (ดี)  ยืนเป็นยืนเข้มแข็งจะนั่งก็ไม่กลัว ดีกว่าเอาแต่นั่งแล้วไม่คิดจะยืน ฉะนั้นนั่งได้ก็ยืนได้ สุขได้ก็ทุกข์ได้ เมื่อสุขได้ทุกข์ได้ก็ต้องปล่อยวางได้ ลองมาแล้วทั้งชีวิต สุขมาก็หลายครั้งแล้ว ทุกข์มาก็หลายครั้งแล้ว ตอนนี้จะเจออะไรก็ลองดูสักตั้งหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขอแค่เพียงใจ (สู้)  และยอมรับความจริง
ท่านเคยไหม สุขมาก็มาก ทุกข์มาก็มาก พอถึงเวลาไม่ว่าเขาจะร้ายมาอีกขนาดไหน ใจมันกลับชิน และก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ติดอะไรแล้ว เพราะเจ็บมาเยอะแล้ว ยิ้มมาเยอะแล้ว วันนี้ยิ้มกับเขาที่เขามีความสุขให้เรา แต่พรุ่งนี้จะทำให้ฉันทุกข์อีกไหมหนอ วันนี้เขาทำให้ฉันทุกข์ ในใจเราก็คิด พรุ่งนี้จะหายทุกข์ไหมหนอ ถ้าเรามองความจริง เราจะไม่ยิ้ม หรือไม่สุข ไม่ทุกข์  จะอยู่กับความสงบความเข้าใจ อะไรจะเกิด เราก็รับได้ เพราะเราเข้มแข็งพอใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ความจริง ก็อย่าลืมว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นแหละดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว อย่าไปเปรียบเทียบและยึดอนาคต เพราะชีวิตของเราวันนี้ ก็เป็นเพราะเมื่อวานโน้น เมื่อก่อนโน้นเราทำมา ใช่หรือไม่  อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำตัวเช่นไร  อะไรเกิดจงเรียนรู้ไว้ว่าดีแล้ว เพราะไม่แน่สิ่งที่เราบอกว่าไม่ดี อีกสิบวัน ยี่สิบวัน อาจจะดี จริงไหม (จริง)  เราอยากหาคนที่ดีที่สุด รักเราที่สุด เข้าใจเราที่สุด แต่ถึงเวลาใครดีที่สุด (เรา)  เข้าข้างตัวเอง  ตัวเราก็ยังไม่ดี ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด ชีวิตที่งดงามที่สุด แต่เราถามท่านลึกๆ  นั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตใครสมบูรณ์แบบที่สุด
มีใครดีที่สุด (ไม่มี)  มีใครแย่ที่สุด (ไม่มี)  มีใครน่าเกลียดที่สุด (ไม่มี)  มีใครจนที่สุด (ไม่มี)  คนจนกว่าเราก็มี ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแม้วันนี้เราจะไม่ถูกลอตเตอรี่ ถูกหวยกิน เราจะเศร้าไหม เราคิดว่าเราถูกหวยถูกลอตเตอรี่เราเป็นคนได้ นึกว่าจะได้ แต่จริงๆเราได้หรือว่าเราเสีย เสียมากกว่าได้ใช่ไหม  ถูกสามตัว เสียไปไม่รู้กี่ตัว ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น ในชีวิตที่เราพูดว่าเราเสียเปรียบคนอื่น คนอื่นทำร้ายเราคนอื่นเอาเปรียบเรา แท้จริงแล้วใครเอาเปรียบ ใครคือคนที่ดีที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ความเป็นจริงจะสอนให้เรารู้ว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมจะพร่องที่สุด จริงไหม เหมือนสามีที่เราได้มาเราว่าหาดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ภรรยาคิดว่าดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ถ้าเราอยู่ในโลกความเป็นจริง สมบูรณ์มากเท่าไหร่ก็บกพร่องมากเท่านั้น ดูบกพร่องมากเท่าไหร่แต่จริงๆ แล้วก็สมบูรณ์ที่สุดในใจเราแล้ว และในโลกของความเป็นจริงแล้ว
1. อย่าอคติ
2. จงกล้าที่จะรับความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
3. เพราะโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วทุกข์น้อยลง
อย่างนั้นเราถามคำถามข้อหนึ่งว่า เราอยู่ในโลกเราแสวงหาทรัพย์ เราแสวงหาเกียรติยศ เราแสวงหาเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งทรัพย์ เกียรติยศ เงินทอง หามาแล้วมักจะได้อะไรกลับมาเสมอ หามาแล้วก็มักจะโดนคนเอาไป หามาแล้วมักจะทำให้เราอยู่ไม่ค่อยเป็นสุข จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราถามหน่อยว่ามีทรัพย์อะไรในโลกที่หาแล้วไม่หายไปจากใจ แม้หาได้เพียงนิดหน่อยก็ยังอยู่กับเรา ไม่หนีหายไปไหนใครก็แย่งชิงทรัพย์นั้นไปไม่ได้ แล้วยิ่งมีก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวใจด้วย คิดนะ เพราะเวลาที่เราอยู่ในโลกหาความสุข แต่ลึกๆ เราก็กลัวความสุขนั้นกลายเป็นความทุกข์ ใช่หรือไม่ หาความสำเร็จลึกๆ เราก็กลัวจะกลายเป็นความล้มเหลว หาความเข้มแข็งแต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าใจเราอ่อนแอ สิ่งที่หามาทุกอย่างล้วนทำให้เราไม่เคยมั่นคงได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเราจะหา หาอะไรดีหนอที่ทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหวไม่โดดเดี่ยว ยิ่งหายิ่งมีความสุข
สิ่งนั้นคืออะไร ความดีใช่ไหม กุศลผลบุญใช่ไหม ธรรมะอย่างเดียวใช่ไหม ถ้าใจเรามีธรรมะแล้วก็จะดีใช่ไหม เคยไหมหาความรักแต่ลึกๆ ก็ยังโดดเดี่ยว หาความสำเร็จแต่ลึกๆ ก็ยังกลัวล้มเหลว หาความสุขลึกๆ ก็ยังพบกับทุกข์ เราพยายามหาทุกอย่างเพื่อเติมเต็มให้ใจเราดี ใจเรามีความสุข ให้ชีวิตเรามั่นคง แต่ทำไมทุกสิ่งที่เราหามันไม่เคยมีอะไรมั่นคง ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกสุขอย่างแท้จริง มันมักจะกลับกลายเป็นทุกข์ และมันมักจะกลับกลายเป็นความอ่อนแอจริงไหม อยู่กับลูกนึกว่าจะสบายใจ แต่ลูกก็ทำให้เราทุกข์ใจ อยู่กับเพื่อนดูเฮฮาปาร์ตี้ดี แต่ไม่รู้ถ้าเวลาเมาแล้วพูดไม่ดีไหม ไม่รู้วันไหนเขาจะตีหัวเราไหม ในโลกเราแสวงหาทุกอย่างเพื่อความสมบูรณ์ในชีวิต เพื่อความสุขในชีวิต แต่ทำไมยิ่งหาเรากลับยิ่งอ่อนแอ ยิ่งหาเรายิ่งกลัว ยิ่งหาเรากลับเหมือนยิ่งทุกข์ ยิ่งกังวล จริงไหม แต่มันมีสิ่งหนึ่งนะ ยิ่งหายิ่งร่มเย็น ยิ่งหายิ่งอิ่มใจอุ่นใจแม้อยู่คนเดียวก็สุขได้ และยิ่งหาใครก็เอาไปไม่ได้ ไม่ต้องกลัวใครจะมาแย่งชิง ไม่ต้องกลัวใครจะมาวิ่งราวไป ทรัพย์ทางโลกยิ่ง หายิ่งมีภัย แต่สิ่งนี้ยิ่งหายิ่งปลอดภัยทรัพย์นั้นคืออะไรล่ะ (ธรรมทานแห่งบุญ, การปล่อยวาง)  ตอบว่าการปล่อยวางใช่ไหม เกือบจะใช่นะแต่ยังไม่ใช่ เขาบอกว่าเราหาทรัพย์ในโลกเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหม มีทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่สามารถบำรุงเลี้ยงทั้งชาตินี้และชาติไหน และสามารถนำพาให้เราไปปรโลกก็ไม่กลัวตาย
คำตอบคือ “อริยทรัพย์[1]” เป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่เอาไว้ครองใจเยียวยาใจและดูแลใจไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน และเป็นเสบียงที่ดีที่สุดแม้เราตายไป เราก็ไม่กลัวปรโลก ไม่กลัวตกนรกเพราะเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม นอกจากธรรมทำให้เราเข้าถึงความเป็นจริง ท่านรู้ไหมว่าธรรมยังสามารถทำให้เราพ้นการเวียนว่ายในโลกได้และธรรมทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่เราไม่เคยทำเพราะเราดูถูกตัวเองว่าเราทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ และอริยทรัพย์ที่เราสามารถพกไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งทำแล้วยิ่งมีความสุข เริ่มต้นด้วยการมีเจ็ดอย่าง อันแรกคือศรัทธา(๑) ถ้าไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ศรัทธาในการประพฤติตนให้ดีงาม ไม่ศรัทธาในบุญกรรม ไม่เชื่อในกรรม ไม่เชื่อในบุญ ท่านก็ทำดีไม่ได้ จริงไหม ฉะนั้นอย่างแรกคือศรัทธา อย่างที่สองคือศีล(๒) อย่างที่สามคือ คนที่ไปอยู่ปรโลกก็ไม่กลัว คนที่ตายก็ไม่กลัว นั่นก็คือคนที่มีหิริ(๓)โอตัปปะ(๔) ความละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักสะดุ้งกลัวในบาป เพราะบาปให้ผลเป็นกรรมชั่ว และการทำบาปก็เป็นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ หนีไม่พ้นบาป หนีไม่พ้นทุกข์ และเมื่อบาปมาให้ผลแล้ว หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน เราก็ไม่มีวันหนีบาปที่เราสร้างได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะแล้วยังมีอีกคือการฟังรู้ไหมการมานั่งฟัง(๕) แบบนี้ ก็ให้อริยทรัพย์ที่ประเสริฐ เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริงแห่งธรรม ถ้ามีติดตัวไปแล้ว จะมีติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  ถ้าเมื่อเราเจอทุกข์ เราก็แก้ปัญหาทุกข์ได้ นั่นคือจิตที่ใฝ่รู้  เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริง  ฉะนั้นวันนี้มาฟังก็ได้อริยทรัพย์อย่างหนึ่ง เพิ่มความรู้ กับเพิ่มปัญญา(๗) ถ้าได้แล้วเรารู้จักให้(๖) ก็เป็นอริยทรัพย์ อีกอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป็นทรัพย์ที่ปฏิบัติแล้วไม่โดดเดี่ยว ปฏิบัติแล้วไม่เคยรู้สึกว่าไม่ว่างเปล่าในชีวิต เป็นทรัพย์เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถนำพาซึ่งความสุข แม้ทำดีเพียงนิดเดียว ใครก็เอาไปไม่ได้จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำดีหรือทำชั่ว ดีมากกว่า หรือชั่วมากกว่า (ดีมากกว่า) แค่ให้ทำดีละชั่ว ให้ละชั่วก็เรียกว่าทำดี แล้วมีหลายคนที่ทำดี แต่ไม่เคยละชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชั่วแค่ไหนก็พยายามทำดีกลับแค่นั้นใช่ไหม
อย่ามองธรรมะเป็นเรื่องไกลตัว สิ่งที่เราพูดกับท่านในวันนี้เป็นเรื่องธรรมะเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต  เพราะถ้าเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต เรื่องบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ให้มีความสุข อะไรก็ดี ถ้าบอกว่าอันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ นั่นแหละชีวิตวุ่นวาย ฉะนั้นอะไรเกิดก็ดี สิ่งที่เยียวยาจิตก็คือ อย่าอคติ อะไรเกิดมันก็ดีที่สุดแล้ว และเปิดใจให้กว้าง เพราะสิ่งในโลกนี้สมบูรณ์ที่สุด มันพร้อมจะพร่องที่สุด  ถ้าจำในสิ่งที่เราพูดได้ ท่านก็จะอยู่ในโลกนี้ไม่มีทุกข์หรอก จะสงบใจเป็นและเรียนรู้ที่จะรับมือกับเรื่องราวในโลกนี้อย่างเข้าใจ จริงไหม (จริง)  เราถามท่าน จริงๆ  แล้วเราอยู่ในโลก เราต้องการคนที่ดีที่สุด หรือเราต้องการคนที่เข้าใจเรามากที่สุด (เข้าใจ)  ต้องการคนที่อยู่กับเราได้แม้ในวันที่เราไม่มีอะไร เราต้องการคนที่รับเราได้แม้เราจะผิดขนาดไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะเข้าใจเรา เราต้องการคนที่เห็นใจและเข้าใจเรา แม้เราจะผิดพลาดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ชีวิต จริงๆ  แล้วไม่ใช่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดหรอก แต่ต้องการคนที่เข้าใจ และอยู่กับเราได้ในวันที่เราไม่มีอะไร หรือไม่เหลืออะไร ก็อยู่กับเราได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราอยากได้คนที่ดีที่สุดคือคนที่เข้าใจที่สุดล่ะ  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ต่อไปใครจะน่าเกลียดที่สุด ไม่มี เพราะคนที่น่าเกลียด เดี๋ยวมีคนที่น่าเกลียดกว่า อย่าเพิ่งไปเกลียดเขาเลยดีไหม ฉะนั้นคนที่น่ารัก บางทีก็อย่าเพิ่งไปหลงรักเลย บางทีเขาอาจจะมีสิ่งที่น่าเกลียดอยู่ก็ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมจึงคอยเยียวยา และคอยกระตุ้นเตือนใจให้เราไม่ก้าวผิดพลาด และมองเห็นความเป็นจริง ในสิ่งที่เราควรเห็นให้มากกว่าที่เห็น หรือเห็นจนกลายเป็นธรรมดาของโลก เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเรา ใจมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นสิ่งที่ละเอียด และใจก็มักที่จะชอบฝักใฝ่ที่จะไปอยู่กับอารมณ์ที่เราใคร่ปรารถนา ใช่หรือไม่ ฉะนั้นผู้มีปัญญา จึงพยายามฝึกจิตใจ เพราะจิตใจที่ฝึกดีแล้วย่อมนำมาซึ่งความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์เข้าใจธรรม ก็จะฝึกใจ ฝึกใจด้วยการทำอย่างไรล่ะ ใจเรามันชอบฝักใฝ่แต่อารมณ์โน้น อารมณ์นี้ เดี๋ยววิ่งไปเอาอันโน้น อารมณ์นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต่อไปนี้เราไม่รับอารมณ์อะไรแล้ว เมื่อไหร่ที่เราสามารถฝึกใจให้รู้เห็นใจได้ทุกขณะจิต และไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเป็นตัวจิตของเรา เมื่อนั้นแหละเราก็พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทันใจตัวเอง เห็นแล้วไม่เกลียด เห็นแล้วไม่รัก เห็นแล้วเข้าใจ นั่นคือธรรม เกลียดเป็นอารมณ์ใช่ไหม รักเป็นอารมณ์ใช่ไหม และอารมณ์ให้ผลเป็นบาปและทุกข์ใช่ไหม แต่ต่อไปเห็นอะไรแล้วไม่เกลียด เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ เมื่อนั้นใจเราก็เป็นธรรมไม่มีกิเลส เมื่อนั้นเราเป็นธรรมเราก็พ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าทุกขณะที่ท่านเห็นแต่ไม่ยึดติดเป็นอารมณ์ เห็นแต่เข้าใจและมองจนสุดถึงความเป็นจริง ท่านจะพ้นทุกข์และไม่ถูกกรรมใดๆ ผูกมัดต่อไป ลองดูนะ เห็นแล้วไม่ชอบ เห็นแล้วไม่รัก เห็นแค่เห็น เมื่อนั้นเราก็พ้นกิเลส พ้นกรรม จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราศรัทธาในใจตัวเอง ใจที่ถูกต้อง และใจที่มีธรรม ศรัทธานั้นจะทำให้เราค้นพบอริยทรัพย์ที่อยู่ในตน เพราะถึงที่สุดของการเป็นคนคือความเป็นพุทธะ ถึงที่สุดของการแสวงหาคือธรรมที่ทำให้เราพ้นทุกข์ และถึงที่สุดของการมีชีวิตคือสามารถควบคุมชีวิตจนเป็นอิสระไม่มีกิเลสอีกต่อไป จริงไหม ลองพิจารณาสิ่งที่เราพูดนะ และลองตั้งสติตั้งใจให้ดี เพราะว่าวันนี้ท่านไม่ได้มาเอาสนุก แต่ท่านมาเอาความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกที่ถ้าเข้าใจ จะพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ คนทุกคนอย่ามีชีวิตแบบประมาท เพราะเมื่อไรประมาทเราก็ทุกข์จนตาย จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและอย่ายึดติดกับอดีต เพราะคนที่เอาแต่อดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่มีชีวิตคือคนที่อยู่กับปัจจุบัน และชีวิตคือความจริง ชีวิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่ชีวิต แต่ชีวิตคือความจริง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะ ลองศึกษาให้ดีๆ วันนี้อย่ามาล้อเล่นกับตัวเอง อย่ามาดูถูกคุณค่าธรรมในตัวเอง ถ้าท่านศรัทธาและเชื่อในใจตัวเอง เราก็พร้อมจะบอกว่าใจของท่านคือคนที่สามารถเป็นพุทธะเดินดินได้ ใจของท่านคือคนที่สามารถมีทรัพย์ที่ประเสริฐได้ และใจของท่านสามารถที่จะทำสิ่งใดๆ ก็ตามในโลกได้ขอแค่เพียงเชื่อมั่นในตัวเอง โลกใบใหญ่เรายังรู้ได้ด้วยใจเรา แล้วชีวิตแค่หนึ่งชีวิตเรานำพาให้พ้นทุกข์ไม่ได้หรือมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าดูถูกคุณค่าและความสามารถพุทธะในตนเอง



[1] อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ
                                (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ และ (๗)ปัญญา




วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒  สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


  ต่างสามัคคีเพราะต่างคนละอคติ      สามัคคีไม่ลืมตัวไม่แบ่งขั้ว
เวลาพิสูจน์เจ้าเองการทำตัว            หอบกระโตงกระเตงชีวิตชั่วดีตามกรรม
ผู้รู้ต้องธรรมกถาด้วยจริยา             ธรรมอยู่เหนือเวลาไม่สูงต่ำ
ทำผิดเองรับผลเองประจำ              การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า   น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

     สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง
    เจ้าเห็นธรรมเห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง
    ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง
    ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง
    อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง
                                                            ฮา ฮา  หยุด

สมบัติแห่งอริยะ  จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน  โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่ง ไปมา เรื่องที่จะไข เป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญา เป็นความตื่นในตัวเอง  ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิต กระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เอง อยู่เหนือเวลา
*สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าเห็นธรรม เห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง เออ ดูเอา เถอะ นะ เจ้ามาปลูกฟัก ทำไม ได้แฟง       (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง:  อริยทรัพย์ในตน
ทำนองเพลง: ตังเก


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


สองวันนี้ใครตั้งใจทำดีเต็มที่ เจก็ไม่แตก บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ไม่กิน และไม่แอบเล่นหวยสองตัว ผู้ชายไม่ยกแปลว่าแตกเจหมดเลยใช่หรือเปล่า ที่ยกมือแปลว่าแตกเจหมดเลยหรือไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นง่ายๆ นะ อาจารย์ดูหน้าผมก่อนเถอะ ดียังไม่รอด อย่าพูดว่าจะบำเพ็ญไหวหรือเปล่า อย่างนี้หรือจะบำเพ็ญยังอีกไกล ใช่หรือเปล่า อาจารย์เคยแต่ได้ยินว่าเกิดเป็นคนต้องยกตัวเองให้สูง อย่ากดตัวเองให้ต่ำ ดึงตัวเองให้ดีอย่าลากตัวเองให้ชั่วร้าย นี่แหละเรียกว่าคนประเสริฐ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีเป็นมนุษย์ที่ใครๆ ก็เรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ เราควรจะดึงตัวเองให้โง่ดักดานหรือว่าดึงตัวเองให้สูงยิ่งขึ้น
ฝ่ายหญิงอาจารย์ไม่ค่อยห่วง เสียอย่างเดียวคือปาก ฝ่ายชายเสียหลายอย่าง และหลายอย่างที่เสียก็มักจะพลาดเพราะอบายมุข และเสียก็เพราะผู้หญิง ฉะนั้น ถ้าถามว่าถ้ามีโอกาส ที่เราได้เกิดเป็นคนทำไมไม่ดึงตัวเองให้สูง ทำไมต้องดึงตัวเองให้ต่ำ  หน้าตาอย่างเราดีไม่ขึ้นหรือ ดีขึ้นไหม (ขึ้น)  อาจารย์ขอดูหน้าหน่อยนะ หน้าที่บอกว่าไม่รอด อย่าก้มหน้า  กล้าทำก็ต้องกล้ารับ แต่อาจารย์มองหน้าแต่ละคน ก็ดีๆ  ทั้งนั้นนะ ถึงเวลาเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องไหม
วันนี้ให้มาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แตกแถวไหม สวรรค์ในอกนรกในใจ  ผู้หญิงชอบเสียเรื่องปาก  ผู้หญิงจะดีจะร้าย ไม่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าปากพูดไม่หยุดก็ดูไม่ได้นะ  คนโบราณพูดว่า คนที่พูดเรื่องชั่วๆ  พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่น คนนี้เกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก ชอบถากถาง ชอบฟันคนให้เจ็บปวด หรือบางทีคนพวกนี้เกิดมามีมีดในปาก ชอบทิ่มแทง บุคคลใดที่ควรสรรเสริญแต่เราตำหนิ แต่บุคคลใดที่ควรตำหนิ เรากลับสรรเสริญ คนเหล่านี้เรียกว่า มีปากเอาไว้อมความชั่ว ฉะนั้นเราเป็นประเภทนี้ไหมศิษย์ ไม่เคยนินทาใครเลย ไม่เคยด่าใครเลย  อาจารย์ชักหนาวๆ  ร้อนๆ  แล้ว ที่เงียบแสดงว่ามีขวาน ทุกคนเลย ที่ไม่พูดแสดงว่ามีมีดทุกคนเลยใช่ไหม  ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่ตอบให้ชื่นใจหน่อย  เคยนินทาไหม (เคย)  แสดงว่าในปากมีขวานทุกคนเลยใช่ไหม อย่าให้ปากเราเสีย อย่าให้ปากพาจน เพราะโรคภัยไข้เจ็บไม่น่ากลัวเท่าปากเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะภัยร้ายขนาดไหนไม่เท่ากับปากเราพาจน ผู้ชายก็เหมือนกันอย่าไปว่าเขาเลย เห็นอย่างนี้ไม่พูด ถ้าพูดแล้ว โอย ออกมาได้อย่างไรเจ็บนะ วันนี้อาจารย์ขอมาพูดเรื่องง่ายๆ ดีไหม ในตัวมนุษย์เรามีสิ่งที่ดีงาม แต่ก็มีอีกสิ่งที่เรียกว่าผลาญความงามในตัวเรา เคยได้ยินไหม นักเรียนชั้นนี้ คิดว่าเราดีไหม (ดี)  แต่เวลาจะชั่วก็ชั่ว
อาจารย์ถามหน่อย ดีก็มี ชั่วก็มี แล้วแบบนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์ แต่ถ้าดีก็มี ชั่วก็เก็บไว้ อาจารย์เรียกว่าชั่ว ไม่เรียกว่าดีนะ หรือที่เรียกว่าก้ำกึ่งๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันเรื่องนี้ มนุษย์เราทุกคนก็อยากเป็นคนดี แต่สาเหตุหนึ่งที่เราดีไม่ขึ้นเพราะว่าเรามีตัวผลาญความดี มีตัวทำลายความดีอยู่ในตัวเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหรือสาเหตุมาจากไหน แล้ววันนี้เรามารู้จักตัวที่ผลาญความดีในใจของเรา เรามารู้จักตัวที่ทำร้ายความดีในตัวเราดีไหม ถ้ากำจัดตัวร้ายได้เราก็คือคนดี ไม่ต้องทำอะไรก็ดีแล้วจริงไหม เหมือนเกิดเป็นคน เราอยู่ในโลก ถ้าเราไม่ทำอะไรใครก็มองเราดี แต่ถ้าเมื่อไรที่เราอ้าปากพูดอะไรผิด ความดีก็ค่อยๆ ลดไปเลยใช่ไหม ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงขอแค่เพียงละชั่วได้นั่นก็ดีแล้ว แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ ดีแค่ไหนก็ชั่วแค่นั้น ก็เลยไม่เรียกว่า (ดี)  ใช่ไหม ดีขนาดไหนแต่ถ้าชั่วไม่ละนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า (ดี)  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนั้นไหม
การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน อยู่ในโลกนี้พูดน้อยๆ หน่อยก็ผิดน้อยหน่อย บาปก็น้อย ปัญหาก็น้อย เพราะโดยส่วนใหญ่ปัญหาของมนุษย์เราก็มาจากการที่เรามอง การที่เราฟัง การที่เราพูด โดยที่ไม่ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดี ใช่หรือเปล่า
ต้อนรับอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาอะไรต้อนรับดี (เอาใจ)  เอาใจหรือ อาจารย์ว่าแค่เอาสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดจะดีกว่านะ ใช่ไหม  ขอเพียงมีสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดนั้นก็เป็นการที่ต้อนรับอาจารย์มากแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นตอนนี้อาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงตามนี้ใช่ไหม (ใช่)  พูดอะไรไม่คิดเดี๋ยวต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดนะ ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ให้โอกาสแล้ว ฉะนั้นถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (นั่ง)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงเอาอย่างไร (นั่ง)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกนี้ถ้ามีคนเอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่สนใจคนอื่นจะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เห็นแก่ตัวเองเป็นหลักไม่สนใจคนอื่นจะรอดไหม (ไม่รอด)  แปลว่าถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ศิษย์เอยไปไหนอยากให้เขารัก อยากให้เขาเป็นห่วง อยากให้เขาดูแล ถ้าเขายืนศิษย์ก็ยืน ถ้าเขานั่งศิษย์ก็ยืน ถามจริงๆ จะไม่มีคนเป็นห่วงและรักศิษย์หรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปไหนก็เป็นคนที่รักของคนอื่น ใครๆ ก็อยากให้อยู่ด้วย เพราะว่าเป็นคนที่รู้จักลำบากก่อนคนอื่นสบายไม่เป็นไร แต่ศิษย์สบายก่อนคนอื่น ลำบากก็ไม่สนใจใคร แบบนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รอด จริงไหม (จริง)  ถ้าเริ่มต้นไม่ถูกก็ผิดไปตลอดจริงไหม (จริง)  ทำอะไรอย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง เพราะถ้ามัวแต่ห่วงตัวเองศิษย์จะไม่มีใครรัก โลกนี้คนเห็นแก่ตัวเยอะแล้ว เราอยากได้คนที่รู้จักเผื่อแผ่ รู้จักคิดถึงหัวอกคนอื่น รู้จักเสียสละให้คนอื่น ศิษย์ไม่อยากได้คนแบบนี้หรือ อยากได้ไหม (อยาก)  ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจศิษย์นั้นก็คือการการคิดเอาแต่ได้เอาแต่ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเช่นนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันทำดีขึ้น จริงไหม (จริง)  คิดถึงแต่ตัวเอง คนอื่นช่างหัวมัน ตัวเองสบาย คนอื่นช่างหัวมันใช่ไหม (ใช่)  คนแบบนี้ถ้ามีอยู่ในใจนะ เป็นเรื่องที่ทำดีไม่ขึ้น ล้างผลาญความดีในใจหมด เหมือนถามว่าอยู่ในโลกนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยให้เขา ศิษย์เป็นประเภทเอาก่อนหรือให้ก่อน (ให้ก่อน)  จริงหรือ (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่จะล้างผลาญความดีคือคนที่คิดเอาแต่ได้แล้วไม่รู้จักให้ แต่คนในโลกเอาก่อนแล้วค่อยให้จริงไหม (จริง)  ศิษย์ไปตบหัวเขา ไปทำเขามาแล้ว แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญอย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นเมื่อไหร่คิดเอาก่อนให้ คนนั้นไม่มีวันดีขึ้นได้จริงไหม (จริง)  เราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่เป็นใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนมาเป็นใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามง่ายๆ อาจารย์ตบหัวคนกลุ่มนี้ แล้วอาจารย์ค่อยไปทำดีกับกลุ่มนี้ล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์บอกว่า อาจารย์ไม่ได้หรอก โลกใบนี้ต้องหาให้เต็มที่ก่อน ไปเอามาให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยทำบุญใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือ มนุษย์มีความดีแต่ก็มีสิ่งที่น่ากลัว คือสิ่งที่คอยล้างผลาญความดีของเรา อย่างแรกก็คือเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม เอาตัวเองเป็นหลัก ผู้อื่นเป็นรอง คนที่คิดแบบนี้อยู่ที่ไหนก็จะทำความดีไม่ขึ้น อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าสมมติมีโอกาสได้ขนมหนึ่งถุง แต่มีคนสองคน เอาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา (เอาก่อน, ให้ก่อน) ให้ก่อนแล้วก็บอกว่าแกแบ่งฉันบ้างสิอย่างนั้นเหรอ แปลว่าให้แล้วหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะให้ต้องไม่หวังผล จะได้ไม่ล้างผลาญความดีถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ แต่เราเอาน้อยหน่อย ดีกว่าไหม (ดี)
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีอีกอันหนึ่งที่มีอยู่ในใจมนุษย์ก็คือไม่ชอบเสีย ชอบได้ ไม่ชอบยอม  ฝ่ายชาย ยอมไหม (ยอม)  แล้วถ้าโดนเขาเตะมา ยอมไหม บางครั้งอยากอยู่ในโลกให้เป็นที่รักและใครๆ ก็คิดถึงนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดไปเป็นตัวผลาญความดีในตัวเราจริงไหม ไม่ค่อยยอมให้ก่อนชอบได้ก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ใจที่ไม่รู้จักยอม เป็นใจที่ทำให้เราดีขึ้นยาก ใจที่คิดถึงตัวเองมากๆ มากกว่าการคิดถึงคนอื่นก็ทำให้ตัวเองดีขึ้นยาก และอีกอย่างคือใจที่คิดร้ายมากว่าคิดดี  เวลาเจอใครเรามักคิดดีมากกว่าหรือคิดร้ายมากกว่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสองท่านออกมาหน้าชั้นเรียน) เวลาเจอคนแบบนี้ศิษย์คิดดีหรือศิษย์คิดร้าย ขนาดศิษย์เองยังหัวเราะเลย อาจารย์ถามจริงๆ เวลามีคนมาทำดีกับศิษย์แล้วหน้าตาเขาแบบนี้ ยืนแบบจิ๊กโก๋ๆ หน่อยศิษย์ เราคิดดีขึ้นไหม คิดดีหรือคิดร้าย ในความเป็นจริงศิษย์เอยยอมรับที่เราทำดีไม่ขึ้นเพราะเวลาเรามองใครส่วนใหญ่เรามองลบมากกว่ามองบวก เรามองร้ายมากกว่ามองดี แล้วจริงๆ เราลบหรือเราบวก พยายามบวกอยู่ ใช่หรือไม่ ทั้งที่จริงๆ ลบมาตลอด ใช่ไหมศิษย์ ถ้าอย่างนั้นลองทำหน้าให้ดูบวกหน่อย
อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นคนนี้ พระอาจารย์ถามศิษย์ พอเป็นคนนี้คิดดีหรือคิดร้าย (ดี)  หน้าตาดูน่าจะดีใช่ไหม พระอาจารย์เปรียบเทียบให้ดูว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของมนุษย์ก็คือ เวลามันเห็นชัดเจน บางทีเราก็อยากทำดีกับคนอื่น แต่บางทีหน้าตาดูไม่น่าจะดี ศิษย์เอ๋ยหน้าตาศิษย์จะน่ารักทันทีถ้าศิษย์ยิ้มเยอะๆ แต่คนนี้ไม่ยิ้มก็รู้สึกว่ารอดปลอดภัย ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินในชีวิตของเราก็คือ บางครั้งเราอยากเป็นคนดี เราอยากทำสิ่งที่ดี แต่ใจของเราคอยที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เพราะคนในโลกนี้ไม่หวังสิ่งนี้ก็หวังสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ ถึงเราอยากจะทำดีแค่ไหนแต่หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาเรามองอะไรเรามักจะชอบมองลบมากกว่ามองบวก มองในแง่ร้ายมากกว่าในแง่ดี
ตัวที่ล้างผลาญความดีทำให้คนเราไม่สามารถดีขึ้นได้ นั่นก็คือ เวลามีโอกาสจะทำดีเราไม่ค่อยทำ เราชอบผิดศีลขาดธรรม ฉะนั้นคนที่ดีไม่ขึ้นก็คือคนที่ไม่เคยมีศีลมีธรรม ทำอะไรไม่เคยคำนึงถึงศีลธรรม ฉะนั้นถ้ามีชีวิตอยู่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงศีลธรรม โอกาสที่จะดีขึ้นดียากไหม (ยาก)  ยกตัวอย่าง วันนี้เขาชวนมาฟังธรรมะ แต่เราว่าไปดื่มเหล้าสักเป๊กสองเป๊กดีไหม แล้วค่อยไปฟังธรรมะ พอเหล้าเข้าปาก เป๊กเดียวไม่พอจริงไหม สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้คือ หนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งศีลธรรม  สอง ทำอะไรชอบเอาแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ค่อยมีสติ เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอย กลุ่มโน้นแอบนินทาศิษย์ ว่าไม่ได้เรื่อง แก่ก็แก่ เหี่ยวก็เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไม่โกรธหรือ โกรธไม่ไหวเพราะหน้าตาดุ  อีกสิ่งหนึ่งคือ เราชอบทำอะไรขาดสติ เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เขาด่ามา ด่าตอบ อย่างนี้แหละดีไม่ขึ้น เขาเตะมา เตะไป นั่นแหละดีไม่ขึ้น และอีกอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัด สรุปสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้เป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ไม่สามารถครองในศีลในธรรมได้
ข้อสอง ไม่สามารถมีสติในการดำรงชีวิตได้ ถืออารมณ์เป็นใหญ่
ข้อสาม มองไม่เห็นความเป็นจริงของโลก จึงถูกภาวะของโลกลวงหลอกและทำความดีไม่ขึ้น
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดี ภายนอกและภายในอยู่ที่ตัวศิษย์เอง ธรรมะจึงสอนไว้ว่า จงฉลาดในการใช้จิตของตัวเองให้เป็น จงฉลาดในการดำเนินชีวิต แล้วรู้จักควบคุมจิตของตัวเองให้ได้ เพราะโลกนี้ แม้จะจริงสักแค่ไหน ถ้าเราเห็นได้ชัด เข้าใจได้ถูกต้อง มันก็ลวงหลอกเราไม่ได้  ส่วนใหญ่คนทำอะไรจะใช้อารมณ์และขาดสติ ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ สติเตลิดปัญญาก็ไม่มี
ฉะนั้นสติจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง และไม่เอาอะไรเข้าข้างตัวเอง เมื่อพูดถึงสิ่งที่ล้างผลาญความดีแล้ว อาจารย์ถามหน่อยว่า เกิดเป็นคนเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วเราดีจนสุดลมหายใจได้ไหม (ได้)  เราดีจนถึงที่สุดได้ไหม   แต่ศิษย์หลายคนบอก อาจารย์แต่ดีแล้วมันเหนื่อยบางครั้งดีแล้วมันท้อนะ ถ้าทำดีแล้วเหนื่อยแปลว่ายังยึดติด ถ้าทำดีแล้วท้อแปลว่ายังคาดหวัง แต่ถ้าทำดีที่แท้จริงจะไม่เหนื่อยจะไม่ท้อ เพราะว่าการทำดีทำเพื่ออะไรรู้ไหม เราทำดีเพื่อขอสองตัวใช่ไหม เราทำดีเพื่อขอพรให้ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราทำดีเพื่ออะไรหรือ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี หลายคนบอกว่าดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้อาจารย์ วันนี้ดีพรุ่งนี้ไม่ดีก็ได้ใช่ไหม ศิษย์คิดออกไหมว่าทำไมต้องทำดี ตอบไม่ได้เลยหรือ (ทำให้มีความสุข)  เพราะทำดีทำให้มีความสุข ทำชั่วทำให้เราทุกข์ใจ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์แปลว่าเราทำชั่วมาใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตสุขมากกว่าทุกข์ไหม หรือทุกข์มากกว่าสุข (ทุกข์มากกว่า)  อย่างนั้นแปลว่าศิษย์แอบทำชั่วมากกว่าทำดี ถูกไหม
อาจารย์จะบอกให้ว่าเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดี เพราะเราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตเราคิดชั่ว เราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตไหลลงต่ำ เราทำดีเพื่อควบคุมจิตเราไม่ให้เลวร้าย ฉะนั้นที่เราทำดีไม่ใช่ต้องการผล แต่ที่เราทำดีเพราะป้องกันตัว ใครทำดีแล้วหวังผลความดีนั้นไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  เพราะเหตุผลของการทำดีคือป้องกันจิตให้ไม่ไหลลงต่ำ ไม่ให้ผลาญความดี เหมือนทำไมเราเลือกที่จะทำดีไม่ทำชั่ว เพราะว่าถ้าทำชั่วแล้วผลก็คือความทุกข์ แต่ทำดีผลคือความสุขความร่มเย็น แล้วเราเลือกทำดีหรือทำชั่ว (ทำดี)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์จะบอกว่า  ก็อยากทำความดี แต่ดีบ้างชั่วบ้างไม่เป็นไร อาจารย์จะบอกศิษย์นะ ศิษย์เอยถ้าผิดไปแล้วจึงค่อยมาทำดีลบล้างมันสายไป ถ้าทุกข์แล้วจึงค่อยมาฝึกจิตมันช้าไป ฉะนั้นฝึกทำตัวเองดีๆ ไว้ดีไหม (ดี)  แล้วจะทำดีอย่างไรง่ายๆ กับพ่อแม่เราต้องรู้จัก (กตัญญู)  กับหน้าที่เราต้องรู้จัก (รับผิดชอบ)  รับผิดชอบแล้วก็ซื่อตรงด้วย
เอาเปรียบคนอื่นแล้วเอาตำแหน่งใหญ่ๆ เอาเงินเยอะๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ กับเพื่อนฝูงเราต้อง (จริงใจ)  จริงใจ มีน้ำใจ เคารพให้เกียรติ อย่างนี้แปลว่ารู้จักมีธรรม มีศีลแล้วยังมีธรรม สมมติค้าขายอย่างไรไม่ให้ผิดศีล มีชีวิตอย่างไรไม่ให้ผิดศีล คนเราโดยส่วนใหญ่ ตัวศิษย์เองโดยส่วนใหญ่สุขภาพแข็งแรงดีไหม (ไม่ดี)  เจ็บออดๆ แอดๆ ไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าการมีศีลป้องกันความชั่วอย่างเดียวไม่พอ การมีศีลยังป้องกันให้เราไม่ต้องเจอเคราะห์ร้ายด้วย เพราะคนที่ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนทางตา กาย วาจา ใจ จะเป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แต่คนที่ชอบเบียดเบียนคนอื่น ด่าเขาทางตา ปากก็ว่า ใจก็ตำหนิคิดร้าย คนอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการมีศีลก็คือการฝึกให้เรามีเมตตาจิต ไม่เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง แล้วเราเบียดเบียนไหม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใช่ไหม        ยืมมือคนอื่นฆ่าใช่ไหม ถูกหรือไม่ ฉะนั้นการที่เราประพฤติดีก็เพื่อป้องกันให้เราไม่ประพฤติชั่ว การบำเพ็ญธรรมมีสามระดับ ระดับแรกเรียกว่าระดับศีลคือละชั่ว ระดับที่สองคือระดับคุณธรรมเพื่อบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศีลสิบได้ครบ ศิษย์จะปัญญาดีไหมฝ่ายชาย เรียนหนังสือดีไหม สมองฉับไหวไหม ถ้าสูบบุหรี่เก่ง กินเหล้าเก่ง สมองจะไม่ดี จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดโกหกเก่ง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อถือ ใช่ไหม ถ้าชอบมีกิ๊ก ใครก็ไม่มีวันซื่อตรงกับเราเพราะตัวเราไม่เคยซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักเคารพให้เกียรติ ไปอยู่ที่ไหนครอบครัวก็ร่มเย็นจริงไหม (จริง)  ถ้าปฏิบัติศีลได้ดี มีหรือชีวิตจะไม่มีความสุข มีใครกล้ายกมือแล้วบอกอาจารย์ดังๆ ว่าศีลห้าเราถือครบ
การบำเพ็ญธรรม อาจารย์ขอแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ มีศีลป้องกันความชั่ว มีธรรมได้บำเพ็ญบุญ ธรรมระดับคุณธรรมจะช่วยให้เราได้สร้างบุญ อาจารย์ถามจริงๆ มีครอบครัวร่มเย็นไหม ไปอยู่ที่ไหนอยากสงบสุขไหม แต่ถ้าศิษย์มีแต่ศีล ศิษย์ไม่มีคุณธรรมความเป็นคนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ร่มเย็นจริงไหม ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์อยาก อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น อยู่กับใครก็มีสุข ไม่มีทุกข์ทางใจ ศิษย์ก็ต้องมีทั้งศีลและธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีศีลธรรมครองใจ มีศีลธรรมครองชีวิต อยู่ในโลกก็ไม่ค่อยน่ากลัวแล้วใช่ไหม บาปเราก็ไม่สร้างแล้ว อันแรกคือธรรมระดับศีล อันที่สองคือธรรมระดับคุณธรรม ธรรมระดับคุณธรรมช่วยสร้างบุญ นี่ล่ะละชั่วบำเพ็ญบุญ ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์เสมอว่าเป็นคนดีแล้วชั่วก็ไม่ทำแล้วแต่ทำไมเรายังหนีไม่พ้น (ทุกข์)
เพราะอันนี้ไม่ทำให้ศิษย์ไหลลงต่ำ ไม่ถูกความชั่วผลาญให้กลายเป็นคนดีไม่ขึ้น  คุณธรรมอะไรที่ช่วยสร้างบุญ ใครนึกออกบ้าง ปฏิบัติร่วมกันแล้วทำให้เกิดบุญ ใครตอบได้บ้าง (ซื่อสัตย์, สุจริต)  ตอบได้ดีปรบมือหน่อย  เอาขนมไปหนึ่งอัน  มีอะไรอีก (ซื่อสัตย์) ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีคุณธรรมอะไรนะ (จิตอาสา, ช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า, รู้จักแบ่งเวลาช่วยเหลือคน)  อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งที่พูดคำหนึ่ง แล้วสามารถรวมได้ทุกอย่างคุณธรรมอะไร รู้ไหม  กล้าพูด ก็ต้องกล้าทำ ลุกขึ้นมาตอบ (พ่อแม่ยังอยู่ดูแลพ่อแม่, เคารพให้เกียรติ)
(เมตตา)  ถามในใจลึกๆ จิตเมตตาที่รู้จักสงสารคนอื่นมีในใจเราไหม (มี)  หากเราแผ่ความเมตตานี้ให้กว้างๆ เราจะมีน้ำใจไหม เราจะด่าคนอื่นไหม เราจะเบียดเบียนคนอื่นไหม เราจะคดโกงคนอื่นไหม เราจะชิงชังคนอื่นไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ามีเมตตาหยั่งลึกลงในจิตใจ ความชั่วจะไม่เกิดเลยจริงไหม (จริง)  แล้วเรามีเมตตาไหม เมตตาแต่ตัวเองกับคนอื่นไม่เมตตาใช่ไหม (รู้จักปล่อยวาง)  รู้จักปล่อยวางหรือ ยังไม่ทันได้ทำก็ปล่อยแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ถ้ายังไม่ทำแล้วปล่อยเขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำให้ถูกต้องทำให้ดีที่สุดก่อน เมื่อทำจนถึงที่สุดดีที่สุดเราควรปล่อยวาง ผลจะเป็นอย่างไรต้องกล้ายอมรับ นี้ล่ะถึงจะเรียกว่าถูกต้อง
ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ นะ ศิษย์เอยการบำเพ็ญธรรมระดับคุณธรรมก็คือ
1. ต้องเมตตา
2. ต้องซื่อตรง
3. ต้องมีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม
เกิดเป็นคนถ้าขาดซึ่งมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม เราก็พร้อมที่จะทำชั่วได้ จริงไหม (จริง)  อาจารย์จะบอกอีกนะ ศิษย์บำเพ็ญถึงสองระดับนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้
ฉะนั้นระดับที่สามคือ บำเพ็ญระดับสัจธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมะ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อาจารย์ถามว่าในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ทุกคนล้วนมีทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่เกิดจน (ตาย)  สมมติอาจารย์มีแอปเปิ้ลผลหนึ่ง กินแล้วมีสุข กินแล้วมีบุญ กินแล้วโชคดี เอาไหม (เอา)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะแอปเปิ้ลของอาจารย์โชคดีแค่ไหนก็โชคร้ายแค่นั้น เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  มีบุญแค่ไหนก็อาจจะมีบาปแค่นั้น เอาไหม (เอา)
 แอปเปิ้ลอาจารย์กินแล้วมีบุญ เอาไหม แต่บุญมากเท่าไหร่ก็บาปมากเท่านั้น โชคดีขนาดไหนก็โชคร้ายขนาดนั้น กินแอปเปิ้ลอาจารย์แล้วถูกลอตเตอรี่ 3 ตัว แต่ที่เหลือถูกกินหมดทุกงวด แอปเปิ้ลของอาจารย์ได้แล้วสมหวัง แต่สมหวังขนาดไหนก็ต้องผิดหวังมาก เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามศิษย์หน่อย เราอยู่ในโลกมีอะไรเราก็ทุกข์ มีแฟนก็ทุกข์เพราะ (แฟน)  มีลูกก็ทุกข์เพราะ (ลูก)  มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน (เงิน)  มีเสื้อผ้าก็ทุกข์เพราะ (เสื้อผ้า)  มีเพื่อนก็ทุกข์เพราะ (เพื่อน)  แฟน เงิน เสื้อผ้า ลูก สามี ภรรยา เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แฟนของศิษย์ให้ศิษย์มีสุขขนาดไหนก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น เงินให้ศิษย์สุขขนาดไหน มันก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น ใช่ไม่ใช่ แอปเปิ้ลยังไม่เอาแล้วแฟนเอาไหม (เอา)  แล้วเงินเอาไหม (เอา)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้ว่ามีแล้วไม่รอด รู้ว่ามีแล้วมันเจ็บ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  แต่ถึงเวลาเราเห็นชัดขนาดนั้นไหม (ไม่เห็น)
(พระอาจารย์เมตตาเชิญนักเรียนรองหัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนตอนแรกได้แฟนมาใหม่ๆ อาจารย์ชอบได้ฟังบ่อยๆ บุญอะไรมาหนุนนำกันหนอ ฟ้าสร้างบุญให้เรามาเกิดคู่กัน ใช่ไหม แต่พอนานไป กรรมอะไรของฉัน ถูกไหม แล้วมันต่างอะไรกับแอปเปิ้ลอาจารย์ ตอนแรกกินแล้วบุญแต่ตอนนี้กรรม ถูกไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นความจริงในโลกจนแจ่มชัด ถ้าเราเห็นจนแจ่มชัดจะไม่ลวงให้เราหลง ไม่ลวงให้เราทุกข์ได้  ถ้าเรารู้ว่า มีความรัก สุขขนาดไหน ก็ทุกข์ขนาดนั้นจริงไหม  มีคนที่น่ารักดีกับเราขนาดไหน เขาก็ร้ายขนาดนั้น เอาไหม (เอา)  ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าอยากรู้ทุกข์และหนทางพ้นทุกข์ ต้องมองให้ชัดอย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกจิตตัวเอง มีอะไรบ้าง ที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างได้แล้วมีแต่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ฉะนั้นสิ่งที่เราครอบครอง ควรครอบครองให้น้อยที่สุดหรือครอบครองให้มากที่สุด  อยากให้มากที่สุดแล้วทุกข์มากที่สุด หรืออยากให้น้อยแล้วทุกข์น้อยลง  ในเมื่อเราเห็นชัดว่า มีอะไรก็ทุกข์ จะเอาอีกไหม  ถ้าอย่างนี้ ศิษย์จะทำอย่างไร เมื่ออยู่แล้วมันทุกข์  ตอนแรกมันก็สุขนะ และตอนนี้ถ้าทุกข์ละ  ศิษย์บอกอาจารย์มันทุกข์ไม่ไหวแล้ว ทำไมทำกับผมอย่างนี้ ทำไมหน้าซื่อใจคด ทำไมหน้าหวานแต่ใจขมเหลือเกิน รับไม่ได้แล้ว อาจารย์จะบอกให้ว่า ปัญหาบางอย่างที่ทำให้ศิษย์ทุกข์แล้วใจรับไม่ไหว ศิษย์เคยได้ยินไหม ขยายใจให้กว้าง กว้างจนปัญหามันเหลือนิดเดียว ที่รับไม่ไหวเพราะใจเราแคบ ใจเรายึดติด ใจเรามีกรอบ ทุกข์มาก็เจ็บง่าย แต่ถ้าต่อไปนี้ทุกข์มาเปิดใจให้กว้าง วางใจให้ใหญ่
เรื่องที่แย่ขนาดไหน ถึงแม้ว่ามันจะหนักขนาดไหน มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เล็ก (นิดเดียว)  เหมือนอย่างฉันทุกข์กับเธอเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน ในเมื่อมองหน้าแล้วทุกข์ หันไปมองคนอื่นเผื่อจะหาย หันไปหาคนใหม่ดีไหม เผื่อจะหาย ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนที่คิดอย่างนี้ เรียกว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก แล้วเราก็ชอบเป็นแบบนี้ อันนี้ไม่ดีไปหาควายใหม่เลย ธรรมะคนโบราณก็สอนแล้ว ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีก ศิษย์เอยเมื่อเราอยู่กับเขาแล้วทุกข์  เคยได้ยินไหม ว่าต้องมองให้กว้าง ใครบ้างไม่ผิดหวัง  ไม่อกหัก ไม่ล้มแล้ว ไม่เคยเจ็บป่วย พอคิดอย่างนี้ ฉันก็ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ไม่ต่างกัน เราเลยมองว่าเราทุกข์น้อยลง แล้วเรากับเขาก็ทุกข์ไม่ต่างกันจริงไหม พอคิดอย่างนี้ เราก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ จะวางความทุกข์ได้ เพราะยังมีคนอีกมาก ที่ทุกข์มากกว่าเรา และเคยได้ยินไหม เวลาเราทุกข์ เราจะจมอยู่กับความทุกข์ เราจะหนีทุกข์ หรือเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ (เอาทุกข์มาให้พ้นทุกข์)
ถ้าอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนกรรมให้สิ้นกรรม แล้วเปลี่ยนกรรมเป็นการสร้างบุญสร้างทาน ดีไหม (ดี)  ศิษย์ชอบทำบุญ ทำทานไหม (ชอบ) อะไรที่ทำให้เราทุกข์แล้วเราแปรเป็นบุญ แปรเป็นทาน แปรเป็นหนทางพ้นทุกข์ เราทำได้ไหม (ใช่)  บุญคือเครื่องชำระล้างกิเลส ให้หมดสิ้นไปจากใจ แล้วใจบริสุทธิ์ บุญคือทำให้เราสงบใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเกิดเขาทำเราทุกข์ แต่เราจะแปรทุกข์ให้เป็นบุญ เขาทำเราทุกข์ เขาทำให้เรามีกรรม เราจะทำให้เราสิ้นกรรม ฉะนั้นเขาทำเราทุกข์มากขนาดไหน เราก็จะบอก ดีแล้วได้ละกรรมออกไปจากใจ ฉันได้ละความเกลียดออกจากใจ ฉันจะได้รักเธอมากๆ  ฉันจะต้องซื่อตรงกับเธอ เธอจะคดโกงฉันอย่างไร ฉันก็จะซื่อตรง  ฉันก็จะเอาธรรมะให้เธอ  ฉันก็จะเมตตาเธอ เธอจะใจร้ายขนาดไหน ฉันจะแปรเปลี่ยนเธอ แปรความร้ายให้เป็นความดี  แปรบาปให้เป็นบุญ แปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม เอาไหมละ (เอา)
ถ้าศิษย์สามารถทำทานกับคนได้ ศิษย์ก็แปรคนร้ายให้กลายเป็นพระ แปรบ้านให้กลายเป็นวัด ฉะนั้นถ้าเขาด่าศิษย์แล้วศิษย์ไม่ด่ากลับ แต่ศิษย์บอกว่าศิษย์จะเปลี่ยนแปรกรรมให้เป็นบุญ ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรามา เราจะสละความโกรธ เราจะเมตตา เราจะเอาธรรมให้เขา เราจะซื่อตรงกับเขา อย่างนี้แปลว่าใครด่าเรามา เราก็ได้สร้างบุญ ถูกไหม ใครด่าเรามา เราให้ธรรมะเป็นทานและธรรมะของเราให้แบบไม่เจาะจงด้วย เราได้ทำสังฆทานด้วย จริงไหม (จริง)  ประเสริฐกว่าไหม (ประเสริฐกว่า)  เราไม่จำเป็นต้องทำบุญที่วัดใช่ไหม ถ้าทำแล้วสละกิเลส สละความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ก่อเกิดเป็นคุณธรรม ทำให้กิเลสหายไปจากตัว แล้วก่อเกิดเป็นความอบอุ่นร่มเย็น สงบสุข นั่นก็แปลว่าเราจะอยู่กับใคร เราก็สามารถสร้างบุญสร้างทานได้ ใช่ไหม ฉะนั้นเราแปรทุกข์ให้เป็นความพ้นทุกข์ได้ไหมล่ะ (ได้)  เขาอยากจะมีกิ๊ก ก็ช่างเขา เราไม่กิ๊กกับใคร เราซื่อตรงกับเขา เพราะเราไม่รู้ว่าชาติก่อนเราทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่ชาตินี้เราจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ขอเพียงแค่ศิษย์ปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อตรง ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา ถึงเขาจะไม่ซื่อตรง ไม่เมตตาก็ช่างเขา เราปฏิบัติของเราไป อยากทำทานทุกที่ไหม (อยาก)  อยากทำบุญทุกที่ไหม (อยาก)  ทำไมเราไม่ทำกับคนในบ้านเราล่ะ ถ้าทำแล้วละความโลภได้ ทำแล้วละความโกรธได้ ทำแล้วทำให้ใจเราสงบสุข ใจร่มเย็นได้ ทำดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาท ชื่อเพลง : อริยทรัพย์ในตน ทำนองเพลง : ตังเก)
ดูเอาเถอะนะเจ้ามาปลูกฟักทำไมได้แฟง ฟักลูกใหญ่กว่าแฟงแต่คล้ายๆ กัน แฟงลูกเล็กกว่าใช่ไหม เราอยู่ไม่ใช่มาเพื่อทุกข์แต่เราอยู่เพื่อพ้นทุกข์และเข้าใจในทุกข์และนำพาให้ตนพบธรรม แต่ปรากฏว่าเราอยู่เราก็ทุกข์ แล้วก็ทุกข์ แล้วก็ตายในความทุกข์ ช่างน่าเสียดาย
พระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรม เต๋อเหยริน มีทั้งคุณธรรม มีทั้งความดีงามนำพาผู้คน
ห้องพระมีหลายที่นะศิษย์เอย เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อนำพาให้ตัวเองเข้าใจในธรรม อยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นสุข และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศิษย์เอยทุกข์ไหม หน่ายไหม ท้อไหม (ท้อ)  ไม่ท้อนะยังมีลมหายใจก็สู้กันต่อไป แต่จะสู้อย่างคนที่จมปลักอยู่กับความทุกข์ หรือจะสู้อย่างคนที่รู้จักเอาทุกข์มาแปลบุญเป็นกุศล เป็นทางพ้นทุกข์เป็นการสิ้นกรรม จริงไหม (จริง)  คนเราอยู่ร่วมกันเพราะบุญกรรมกันมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยเวลามีเรื่องอะไรกันมาเราอยากอยู่เพื่อจบกรรม หรืออยู่เพื่อเกี่ยวกรรม (จบกรรม)  อยากอยู่เพื่อมีบุญร่วมกรรมหรือมีบาปร่วมกัน (บุญร่วมกัน)  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ร่วมกันอย่างคนมีบุญร่วมกันไม่มีบาปไม่มีกรรม แล้วคนที่มีบุญร่วมกันก็ควรปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรมไม่ใช่อารมณ์   
ควรปฏิบัติด้วยความถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ควรปฏิบัติต่อกันด้วยความดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกวันนี้ศิษย์ปฏิบัติต่อคนด้วยอารมณ์ล้วนๆ เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอารมณ์นำมาซึ่งความทุกข์ อารมณ์นำมาซึ่งกิเลส และอารมณ์นำมาซึ่งวิบากกรรม และวัฏฏะการเวียนว่าย
ศิษย์อยู่ในโลกมีทุกข์มามากพอแล้ว ทุกข์แห่งความเกิด ทุกข์แห่งความแก่ ทุกข์แห่งความเจ็บ และทุกข์แห่งความตาย หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ศิษย์ของอาจารย์ไม่กลัวตายแล้วใช่ไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวเจ็บแล้วใช่ไหม แปลว่าถ้าเกิดเจ็บแล้วจะเจ็บแค่กายไม่เจ็บที่ใจ ตายแค่สังขารแต่ใจไม่ตายใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมว่าการเข้าใจธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมอยู่ในโลกหาเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี เรามีเงินเป็นร้อย เรามีเงินเป็นสิบ แต่ทำไมมีก็เหมือนไม่มี เรื่องราวในโลกเรารู้มากมายแต่ทำไมถึงที่สุดรู้ก็เหมือนไม่รู้ แล้วเมื่อเราเรียนรู้ไปจนถึงที่สุด เราก็จะรู้ว่าในโลกนี้มีก็เหมือนไม่มี แบบนี้เรายังอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้ก็ดีนะ แต่ถึงเวลาเราก็อยากอีก อาจารย์จะให้คาถาให้ศิษย์เอาไว้เวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ในโลกใบนี้เห็นก็เหมือนไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี รู้ก็เหมือนไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ทำตัวรู้ไปหมดทุกอย่าง ที่เราว่ารู้ จริงๆ เรารู้ไหม (ไม่รู้)  ที่เราว่ามีเขา จริงๆ เรามีเขาไหม (ไม่มี)  ที่เราว่าได้ เราเคยได้อะไรไหม เมื่อไรที่เราทุกข์เพราะการมีใจ ถ้าเราทุกข์เพราะเรามีจิต อาจารย์ถามหน่อยในเมื่อใจของเรามันขยายใหญ่ได้ เมื่อใหญ่มากก็เจ็บมาก หรือใหญ่มากแล้วจะเจ็บน้อยลง ใจแคบใจเล็กยิ่งทำให้เราอึดอัด ใช่ไหม (ใช่)  แต่หากใจกว้างจนหาที่สุดไม่ได้เราจะทุกข์เราจะเจ็บน้อยลง จริงไหม (จริง)  เรามาดูนิสัยของใจ กับนิสัยของกิเลสหน่อยเอาไหม สมมติว่าตอนนี้ใจเรามีความทุกข์เข้ามาในใจ ความทุกข์มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  โลภ โกรธ หลง มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีก็แปลว่ามันพร้อมที่จะหายไปได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสนใจมันจากไม่มีจะกลายเป็น (มี)  จากไม่เหลือจะกลายเป็น (เหลือ)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราเห็นหน้าเขาแล้วเราทุกข์ เราจะทำอย่างไรดี
เราทุกข์เพราะเราใส่ใจ เราเจ็บเพราะเราใส่ใจ ภาษาไทยมันบอกชัดเจนเลยเอามันมาใส่ใจ เราผิดหวังเพราะเรา (เอามันมาใส่ใจ)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ในใจ เราจะทำอย่างไรให้มันลดไปจากใจ ทำอย่างไรให้มันออกไปจากใจ คิดออกไหม ทำอย่างไรดีจะได้ไม่ต้องทุกข์กับมัน มองเป็นอื่นดีกว่า เราเห็นเหมือนไม่เห็น เพราะถ้าเห็นแล้วมันทุกข์ มองแล้วมันเจ็บปวด แล้วเราทำเห็นเหมือนไม่เห็น ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาความทุกข์มา ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่ง อย่าเล่นกับความทุกข์ อย่าจริงจังกับความทุกข์ มันเข้ามาเราไม่ใส่ใจ เราไม่ปรุงแต่ง เราไม่เพิ่มความทุกข์เข้าไป เดี๋ยวความทุกข์มันจะหายไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่เจ็บ ทำไมเขาทำอย่างนี้ ทำไมเขาไม่รู้จักตั้งใจฟัง อุตส่าห์สอนแล้วสอนอีก สอนแล้วก็เปล่าประโยชน์ นี่เขาเรียกว่าเอามันมาใส่ใจ แล้วเรายังปรุงแต่ง ยังใส่อารมณ์เข้าไป แล้วคนที่เจ็บเขาเจ็บกับเราไหม เขาทุกข์กับเราไหม เขาแค่นั่งหลับเฉยๆ  คนที่มีอารมณ์ คนที่โมโหก็เราทั้งนั้นเลย แล้วเราจะเหนื่อยไปทำไม ในเมื่อเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ถูกไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ เราทุกข์เพราะเราเอาเขามาใส่ใจแล้วยิ่งทุกข์ เราก็ไม่สนใจเขาสิ ในใจเรายังมีเรื่องให้คิด มีเรื่องอื่นให้น่าสนใจมากกว่าไม่ต้องไปดูดำดูดีเขาเลย  ถ้าเอามาคิดแล้วมันทุกข์ ถ้าใส่ใจแล้วมันทุกข์ก็เลิกคิดดีไหม
คำว่าปล่อยวางแปลว่าไม่กลับมาคิดอีก ศิษย์จำคำให้ดีๆ นะ มนุษย์รู้จักคำว่าปล่อยวางแต่ไม่เข้าใจคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงคืออะไรใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงแปลว่า ถ้าคิดแล้วมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางก็คือไม่เอากลับมาคิดซ้ำคิดซากให้ทุกข์อีก นั่นแหละเรียกว่าปล่อยวาง
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อริยทรัพย์ในตน”
เมื่อวานบอกไว้ใช่ไหมว่ามีเจ็ดอย่าง เพราะอริยทรัพย์อีกอันหนึ่งที่ประเสริฐก็คือการรู้จักเรียนรู้เข้าถึงความจริงจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่ถูกโลกใบนี้ลวงหลอกอีกต่อไป
ขอให้เดินทางกลับโดยปลอดภัย ขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ วงเล็บเฉพาะคนที่รู้จักทำความดีโดยไม่ย่อท้อ ส่วนที่ดีบ้างเสียบ้าง อาจารย์ไม่รู้ เพราะความชั่ว มันก็ย่อมตามคนชั่วไป ฉะนั้นมีโอกาสทำดีแต่เลือกทำชั่ว ก็ช่วยไม่ได้  อาจารย์บอกไปแล้วนะ ชีวิตเรา เราเป็นคนขีดเส้นเอง อนาคตจะเป็นเช่นไรไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่ใครเป็นคนกำหนด แต่เราต้องกำหนดด้วยตัวเราเอง ถ้าศิษย์ศรัทธาเชื่อมั่นในความดีงาม ความดีงามนั่นแหละจะคุ้มครองศิษย์เอง ไม่ว่าภพภูมิไหนความดีมันก็จะนำพาให้ศิษย์พบแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าศิษย์เลือกประพฤติชั่ว ทำชั่ว ศิษย์เอ๋ยไม่ต้องชาติไหนหรอก   ชาตินี้ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์สร้าง ทำไมคนเราต้องมีธรรมะ เพราะธรรมะจะนำพามาซึ่งความสงบร่มเย็นในชีวิต ถึงที่สุดศิษย์จะหาอะไรก็ตามแต่ท้ายที่สุดศิษย์ไม่อยากได้ความร่มเย็นในชีวิตหรือ ศิษย์ไม่อยากได้ความสันติสุขในชีวิตหรือ แล้วสันติสุขร่มเย็นในชีวิตมันมาจากไหน มันก็มาจากความประพฤติที่ถูกต้องและดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครทำร้ายเราหรอกนอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครฆ่าศิษย์ให้ตายทั้งเป็นได้นอกจากความคิดของศิษย์เองที่ไม่ปล่อยวาง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกนี้อะไรจะเกิด ขอเพียงเราเชื่อมั่นในความถูกต้องดีงามว่าเราเกิดมาศีลเราไม่ขาด ธรรมเราไม่พร่อง หนทางดับทุกข์ย่อมไม่ไกลในชีวิตและชาตินี้หรอก ถ้าศิษย์ไม่ดูถูกตัวเอง ศิษย์ก็เป็นคนดีที่บำเพ็ญธรรมและช่วยเหลือคนได้ ถ้าตัวเองรอดมีหรือจะช่วยคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองยังฝึกไม่ได้ ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำให้คนอื่นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ชอบอยู่อย่างหนึ่ง มีคนหนึ่งที่เจอเรื่องทุกข์ แต่เขาสามารถอดทนและไม่ทุกข์ได้ เพราะคิดอย่างเดียวว่าถ้าเขาทุกข์แล้วคนที่รักจะทุกข์ยิ่งกว่าเขา เขาเลยไม่ทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นทุกข์ เขาขอไม่พูด เขาขอทุกข์คนเดียว ศิษย์เคยมีใจแบบนี้ไหม ถ้าทำได้เช่นนี้ถือว่าประเสริฐแล้วล่ะ ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนที่รักมันเจ็บ ฉันจะไม่ทุกข์ ฉันจะเข้มแข็ง ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนไม่ได้ดีขึ้นเลย ฉันจะขอทุกข์คนเดียว พูดไปก็ทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันขอทุกข์คนเดียวก็ได้ แล้วฉันจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นบุญและสิ้นกรรมและยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา อาจารย์หวังเล็กๆว่าศิษย์จะเป็นเช่นนั้น เมื่อไหร่ทุกข์ลองถามตัวเองว่าถ้าทุกข์แล้วทำให้คนอื่นเขาต้องทุกข์ด้วย คุ้มหรือ ที่จะทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้เขาทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็ยอมกลืนความทุกข์แล้วไม่พูดดีไหม (ดี)
ดีที่รู้จักบำเพ็ญและไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ อาจารย์คงต้องไปแล้วมีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ศิษย์เอ๋ยอย่าดูถูกคุณค่าของความดีงามในใจตนเพราะถึงที่สุดศิษย์สามารถพ้นทุกข์และเป็นพุทธะบนแดนดินในโลกได้ อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ และทำเพื่อธรรมหรือทำเพียงเพื่อตัวตน ถ้าเพื่อธรรมมันก็จะพ้นทุกข์แต่ถ้าเพื่อตนมันก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตน



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อริยทรัพย์ในตน”

            สมบัติแห่งอริยะ จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน  สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่งไปมา เรื่องที่จะไขเป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญาเป็นความตื่นในตัวเอง      ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิตกระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เองอยู่เหนือเวลา

อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ

                    (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ (๗)ปัญญา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-01 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一九年歲次己亥四月廿八日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป        คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน       สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา
                              เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

  การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด     กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง              หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
สังเกตุใจแอบกระถด[๑]ออกทีละหน่อย    สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ           เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน
คบไฟหยัดยืนส่องทางสามแพร่ง          มองลอดแสงหัดพุทธบุตรกลับสวรรค์
จิตชนะพุทธะเป็นผู้ข้องใดกัน              ฟื้นใจตะวันให้ได้ขัดเกลาใจ
พอหรือไม่วินิจฉัยตนอยู่เนืองเนือง       แจ้งว่าเรื่องใดเป็นทุกข์ต้องขยาย
คุมความคิดตัวเองความโลภทั้งหลาย    การอ่อนให้ทำให้ตกเป็นทาส
    หมายแก้ทางนั้นไม่มีวันสำเร็จ             เข็ดกิเลสปลดแอกใช่ด้วยความสามารถ
ไม่ต้องเก่งบางทีพิจารณาข้อจำกัด        คนจักรู้ที่เคร่งครัดโดยปริยาย
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์     ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม           แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ
                                                                             ฮิ ฮิ หยุด

 พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
รอความศักดิ์สิทธิ์ข้างนอก ไม่สู้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในตัวเรา รอแต่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่ลืมทำตัวเองให้น่าเคารพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ใครก็ปรารถนา รักและอยากใกล้ชิด เพราะนำความร่มเย็น ทำไมเรามัวแต่รอความร่มเย็นจากภายนอก ทำไมเราไม่รู้จักทำความร่มเย็นจากภายใน ฉะนั้นมัวแต่หาภายนอกก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับพยายามทำภายในให้ศักดิ์สิทธิ์ ร่มเย็นและน่าเคารพ ไม่เช่นนั้นกราบไหว้พระพุทธะไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไหว้ไปแล้ว แต่ตัวเองยังทำตัวไม่น่าเคารพ ไหว้ไปแล้ว ขอไปแล้ว ยังทำตัวเองไม่ร่มเย็น อย่างนี้อยากเอาพระกลับมาบ้านด้วยไหม แม้เอากลับมาบ้านแล้วก็ยังไม่ร่มเย็น เอามาแขวนกับตัวก็ยังไม่ร่มเย็น เพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือตัวเราเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองต้องเจอเคราะห์ร้ายไม่ใช่พระแต่เป็นตัวเราเอง พูดไม่ถูกต้อง พูดไม่เหมาะสม ถ้าทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม ไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่เหมาะ ทำไม่ถูก ทำผิดศีลธรรม ขาดธรรม แม้มีพระคุ้มครอง พระก็ไม่คุ้มครอง จริงหรือไม่ (จริง)  พระก็ไม่อยากอยู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกราบไหว้พระ อย่าลืมนำความเป็นพระมาใส่ไว้ที่ใจ อยากได้ความสงบร่มเย็น อย่าลืมนำความสงบร่มเย็นมาอยู่ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนี้ คุยกันได้ไหม ยอมให้เรามาคุยด้วยได้ไหม (ได้)  ถ้าท่านยอม เราก็อยู่ แต่ถ้าท่านไม่ยอม เราก็ (อยู่)  เราเพิ่งเคยได้ยิน ยอมก็อยู่ไม่ยอมก็อยู่ โดยส่วนใหญ่ ถ้าไม่ยอมให้อยู่ก็ต้องกลับใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าจะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านแล้วนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนทำตัวน่ารัก คนทำตัวร่มเย็น คนทำตัวน่าเคารพ มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยู่ใกล้แล้วไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ อยู่ด้วยแล้วร้อนเป็นไฟ อย่างนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย แม้แต่ตัวเราเองยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย แล้วเราทำตัวเองไหม (ไม่ทำ)  จึงมีคำพูดง่ายๆ ว่า ถ้าความดี ความถูกต้อง การมีศีล มีธรรม เปรียบเหมือนน้ำ ความชั่ว ความโลภ ความผิดศีลขาดธรรม การมีโลภ โกรธ หลง เปรียบเหมือนไฟ เกิดเป็นคนตายเพราะน้ำ ดีกว่ามีชีวิตอยู่แล้วถูกไฟเผาตายทั้งเป็น จริงไหม (จริง)  เคยไหมถูกความโกรธเผาจนอยู่ไม่เป็นสุข อยู่ที่ไหนก็ร้อน (เคย)  แต่เลือกไหมที่จะนำน้ำแห่งความดีมาปฎิบัติ ก็ไม่เลือก จริงไหม (จริง)  โลภแล้วก็ทำให้อิจฉาริษยา ทำให้แก่งแย่ง ทำให้ผิดศีล ทำให้ขาดธรรม ทำให้ใจร้อนรุ่ม อย่างนี้อยากจะโลภอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แต่ก็ยังโลภอยู่
ฉะนั้นตายเพราะความดี กับตายเพราะกิเลส ชีวิตไหนจะมีค่ากว่ากัน (ความดี)  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้ว เรายอมอดทนจนถึงซึ่งความดีไหม ก็ตบะแตกก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกความทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง และการผิดศีลขาดธรรม เผารนจิตใจอยู่ และเหมือนไม่เคยมีความสุข
เพราะเราไม่เคยดีแท้ ๆ แต่เรามักเป็นดีที่มีโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่
  “คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป    คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน    สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา”
เคยไหม คนชักแม่น้ำทั้งห้า อันนี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ฟังแล้วดูดี แต่ในความดีนั้นก็ยังดูไม่จริงไปเสียทั้งหมด ใช่หรือไม่ และบางครั้งถึงเขาจะพูดจริงขนาดไหน แต่มันก็ยังเหมือนจะดี แต่ยังดีไม่ตลอด ดีเกิน ตรงเกิน ก็เหมือนขวานผ่าซาก ใช่หรือไม่ จริงเกินไปก็เจ็บปวดใช่หรือเปล่า ฉะนั้นหากพูดแล้วคิดว่ากำลังจะโกหกก็ยิ้ม ๆ แทนได้ไหม หรือบอกว่าเดี๋ยวไปทำธุระก่อน ใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงเราพูดอย่างไร เหมือนเขา ถามว่าเขาดีไหม ถ้าเราตอบชัดเจนว่าไม่ดี แล้วเขาอยากดีขึ้นไหม (ไม่อยาก)  หากเขากำลังอยากทำดี เลยไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นแบบนี้บ่อยไหม ฉะนั้นพูดจริงเกินไปก็ใช่ว่าจะ(ดี)  พูดสวยแต่หาความจริงไม่ได้ก็ใช่ว่าจะ (ดี)  ฉะนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  แต่เราอยากบอกว่าดี ลองอยู่ในโลกพูดให้น้อยทำให้เยอะ น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่ในโลกนี้พูดมากทำน้อยไม่น่ารักเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นประเภทแรกหรือประเภทหลัง เงียบเลย อย่างนั้นแปลว่าเป็นแบบหลังใช่ไหม พูดมากแต่ไม่ค่อยทำ
การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด  กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
  กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง      หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
ถ้าวันนี้ใครนั่งฟังแล้วก็หลับ แปลว่าไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเองในการฟังธรรมใช่หรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  รู้ไหมว่าการฟังทำให้เกิดปัญญาอันสว่างไสว จิตมักมืดมนไปเพราะกิเลส การมาฟังธรรมคือทำให้จิตสว่างโดยไม่ถูกกิเลสมาทำให้มืดมน เหมือนคนโบราณชอบเข้าวัดเข้าวาเพราะทำให้จิตผ่องใส กลับมาแล้วเบิกบานใจแต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา จะเข้าก็เพราะไปเอาสามตัวสองตัว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ไปเพื่อผ่องใสหรือเพื่อมืดมน สามตัวได้มานั่งลุ้นวันที่สิบหก ถูกหรือไม่ถูก แล้วก็กลับมามืดมนใหม่ เพราะถูกกิน
“สังเกตใจแอบกระถดออกทีละหน่อย สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ     เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน”
เกิดเป็นคนมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือยังไม่ทำอะไรก็ยอมแพ้ กับอีกประเภทหนึ่งคือสู้ยิบตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนักเรียนในห้องนี้เป็นประเภทไหน (สู้ยิบตา)  สู้ยิบตาจริงๆ หรือ สู้ยิบตาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง หรือสู้ยิบตาเพื่อให้ได้ตามใจของตัวเอง ความหมายไม่เหมือนกันนะ
เราขอเริ่มต้นง่ายๆ ก่อน โดยส่วนใหญ่เมื่อมานั่งฟัง ทุกคนก็มักจะคิดว่า ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะบำเพ็ญรอดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  แค่ชีวิตตอนนี้ทำมาหากินก็จะแย่อยู่แล้ว แล้วจะให้มาบำเพ็ญอีก ก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกคนก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวก่อน ดีขนาดไหน ก็บอกเดี๋ยวก่อน เพราะตัวเองยังไม่รอดเลย อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะคิดว่า ถ้าตัวเองยังไม่รอด อย่ามาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ อย่ามาพูดถึงเรื่องการเป็นคนดี ขอให้ชีวิตของตัวเองรอดไปก่อน เมื่อรอดแล้ว อยู่ตัวแล้ว แล้วค่อยมาว่าเรื่องการบำเพ็ญ การเป็นคนดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราถามนะ ถ้าคนๆ หนึ่ง มีจุดหมายว่า ตัวเองต้องรอดก่อน แล้วช่วงที่จะรอด จะต้องฆ่าคนอื่นให้ตายหมดก่อน แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าคนนี้บ้าง เหลือคนนี้บ้าง ฆ่าคนโน้นบ้าง แล้วทำดีกับคนนี้บ้าง แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นก็แปลว่า ถ้าเราจะไปรอด คนนั้นก็ต้องอยู่ด้วย คนนี้ก็ต้องอยู่ด้วย คนนั้นเราก็ต้องดี คนนี้เราก็ต้องดี ศีลเราก็ไม่ขาด ธรรมเราก็ไม่บกพร่อง แล้วเราก็รอดด้วยใช่ไหม (ใช่)  เราว่าที่เราเห็นไม่ใช่แบบนี้นะ คนไหนศีลห้า ไม่บกพร่องเลยยกมือขึ้น
ทุกคนมีเป้าหมาย คือ ต้องมีเงิน ต้องสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่สิ่งผิดที่ทุกคนมีเป้าหมายในการมีความอยากบ้าง อยากทำโน่น อยากทำนี่ แต่ความอยากนั้นต้องไม่ทำให้เราขาดไปซึ่งคุณธรรมความเป็นคน ความอยากนั้น ต้องไม่ทำให้เราเป็นคนที่ผิดศีลขาดธรรม เพราะคุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ แต่คุณค่าของคน คือ ทุกขณะที่ก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ เราสามารถกอดเพื่อน รักเพื่อน แล้วเดินไปพร้อมกับเพื่อน ไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในชีวิตจริง เราเป็นเช่นนี้ไหมหนอ ไม่เคยทิ้งเพื่อน ไม่เคยเตะเพื่อน ไม่เคยโกหกเพื่อน ไม่เคยเบียดเบียนใคร เพื่อความสำเร็จและเพื่อการได้เงินมา ไม่เคยผิดศีลขาดธรรมเลย ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าคุณค่าของความหมายของชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ได้มาแล้วต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว ความสำเร็จที่ได้มาแล้วไม่เหลือซึ่งใครที่เป็นมิตรแท้ หรือไม่เหลือซึ่งความเป็นคน การหามาเช่นนี้ก็หาใช่จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริงไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าทำเพื่อความสำเร็จ แต่ฆ่าคนทุกคน แล้วตัวเองอยู่รอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม ตัวเองรอดก่อนคนอื่นทีหลัง กับอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่ารอดแล้วยังไม่พอยังขอมีอีกนิดหนึ่ง มีอีกเยอะๆ หน่อยใช่หรือไม่ แล้วก็คิดว่าเยอะๆ แล้วจะได้มีความสุข สมมติมีคนชมว่าเราเก่ง ไม่เคยชมเลยแล้วชมว่าเราเก่ง เรารู้สึกว่าดีใช่หรือไม่ แต่ถ้าทุกวันชมเราว่าเก่ง เยอะไปมันก็ไม่ดี บางอย่างอะไรที่เราชอบกินบ่อยๆ มันก็ไม่ค่อยอร่อย เงินหาบ่อยๆ หาเยอะๆ ดีไหม สุขไหม บางอย่างเราหาเยอะๆ ก็ดี แต่ในทางกลับกันเยอะแล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไรเพิ่มเติม คุณค่ามันก็แค่นั้น เท่านั้น สิบกับหนึ่งบางทีก็ไม่ต่างกันเลย บางทีหามากเกินก็กลายเป็นไม่สมดุล มัวแต่หาเงินจนลืมดูแลครอบครัว ลืมความสัมพันธ์ที่ดีที่ควรจะมีต่อกัน มัวแต่ห่วงเรื่องเงินจึงทำลายมิตรภาพ เคยเห็นไหมเงินเพียงสิบบาททะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นเงินมันสำคัญกว่ามิตรภาพหรือ บางอย่างเราคิดว่าหาเยอะๆ แล้วเราจะได้ แต่โลกน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าของนั้นเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา แต่หาแทบตายมันกลับไม่ใช่ของเรา แล้วเรายังหาไหม
ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญคือ ธรรมะ เราขาดไม่ได้ เพราะธรรมะจะสอนให้เราพบความจริง และอยู่บนโลกแห่งความจริงโดยไม่ทุกข์ และธรรมะอะไรล่ะที่จะสอนให้เราพบความจริงและไม่ทุกข์ ศิษย์พี่ถามง่ายๆ นะ ในเมื่อหามากๆ ก็ไม่ค่อยดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นหาแต่สิ่งที่ดี ดีไหม ชีวิตเราเกิดมาแล้วก็อยากมีสิ่งดีๆ ในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่า ศิษย์พี่อยากเลี้ยงเป็ดหนึ่งตัว เพราะคิดว่าถ้ามีเป็ดหนึ่งตัวแล้วจะมีความสุข เป็ดตัวนี้ก็ดีนะ สมบูรณ์อ้วนท้วนกำลังดี แล้วศิษย์พี่ก็คิดอีกทีว่า โอ้ย ชีวิตมันต้องดี เป็ดตัวหนึ่งพอไหม (ไม่พอ)  เพิ่มอีกตัวดีไหม (ดี)  หาแล้วหาอีกก็ได้เป็ดอีกหนึ่งตัว แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา ตัวนี้อ้วนกว่า ตัวนี้ผอม ก็เลยตีตัวอ้วนแล้วก็บอกว่า แกต้องแบ่งให้ตัวผอมบ้าง แล้วก็เอาแต่รังแกเป็ดตัวอ้วน เพราะทำให้เป็ดอีกตัวผอม ใช่หรือไม่ เป็นความผิดของเป็ดตัวอ้วนใช่ไหม (ไม่ใช่)  เห็นชีวิตของศิษย์น้องก็เป็นอย่างนี้ ไม่โทษตัวเอง โทษเป็ด ไม่โทษตัวเองทำผิด แต่โทษเพื่อนร่วมงาน ไม่โทษว่าตัวเองคิดผิดแต่โทษว่าคนอื่นคิดไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพิ่มเป็ดตัวที่สามอีกดีไหม ชีวิตต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ ตัวนี้ก็ได้แล้ว ตัวนั้นก็ได้แล้ว พอใจไหม (ไม่พอ)  แล้วก็หวังว่าเป็ดอีกตัวจะทำให้อีกสองตัวดีขึ้น ใช่หรือไม่ คราวนี้เป็นอย่างไร พอไหม เอาอีกไหม
ฉะนั้นบางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดี ให้มาก ๆ และคิดว่าตัวนี้ดีแล้ว แต่ถึงเวลา ที่นึกว่าจะได้ดีกว่าเดิมแล้ว ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วหาอีกตัวดีไหม (ไม่ดี)  ชีวิตมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือศิษย์น้อง อันนี้ก็ไม่เคยพอ แล้วสุดท้ายเป็ดสามตัวทะเลาะกันไหม ทะเลาะกันตั้งแต่เป็ดสองตัวแล้วใช่ไหม แล้วคิดว่าจะหยุดเป็ดไหม หรือหยุดความคิดตัวเอง แล้วเวลาเราแก้ปัญหาเราแก้ที่เป็ดหรือแก้ที่ความคิด
แล้วในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้วอะไรที่เราต้องพบ บางทีก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีต้องพบ อย่างนั้นที่ไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดีพอ หรือว่าเป็ดไม่เคยพอดี เมื่อถึงเวลาเรามักโทษเป็ด เป็ดไม่ดีพอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราต่างหากที่ไม่พอดี หรือดีไม่พอ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีอีกไหม บางทีหวังอยากให้เป็ดเป็นหงส์ ทำไมเป็ดไม่เป็นหงส์ นี่คือความผิดของเป็ดที่ไม่ยอมเป็นหงส์ ผิดไหมที่เป็ดไม่เป็นหงส์ (ไม่ผิด)  มนุษย์ก็แปลกนะ ได้อย่างหนึ่ง แต่ก็อยากได้อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นแค่นี้ แต่อยากให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วเป็ดไม่เป็นหงส์ ผิดที่เป็ดไหม (ไม่)  เมื่อก่อนเป็ดน่ารักกว่านี้ ผอม และดูดีกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เป็ดดูอ้วนเกินไป เราเป็นไหม เมื่อก่อนภรรยาน่ารักกว่านี้ เมื่อก่อนสามี และลูก ก็น่ารักกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปนะ อย่างนี้โทษเป็ดไหม
เข้าใจที่ศิษย์พี่เปรียบเปรยไหม เมื่อเราอยู่ในโลกธรรมะสอนให้รู้ว่าจริงๆ แล้วแท้จริงแล้วความไม่เที่ยงความไม่ทนความไม่แท้นั่นแหละคือความพอดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเรานั่นเองที่มันดีไม่พอ จึงมองเห็นทุกอย่างไม่พอดี เป็ดมันเกินไปหรือใจเราต่างหากที่ยึดติด เป็ดจริงๆ มันแย่ไหม หรือใจเราต่างหากที่แบ่งแยกเปรียบเทียบ คาดหวัง
การเรียนรู้หลักธรรม ปฏิบัติธรรม จึงมีสามแบบ
แบบที่หนึ่ง คือการปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส เรียกว่า ระดับศีล
แบบที่สอง เพื่ออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสงบร่มเย็น เรียกว่าระดับคุณธรรม
แบบที่สาม ปฏิบัติแล้วทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วพ้นทุกข์ เรียกว่าสัจจะความเป็นจริง
ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมเพื่อลดละกิเลส เราก็ต้องมีศีล ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมแล้วอยู่กับคนอื่นได้อย่างสันติสงบสุขร่มเย็น เราก็อย่าขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เกิดเป็นคนต้องมีเมตตา ต้องมีสัจจะวาจา เราทำได้ไหม ถ้าทำได้อยู่กับใครก็ร่มเย็น
อีกอันหนึ่งคือระดับพ้นทุกข์ เอาแค่ศีลและคุณธรรมยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าจะศึกษาระดับธรรมที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าถึงสัจจะความจริง ที่เรียกว่า โลกอันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ในโลกนี้มีสิ่งใดเที่ยง แท้ ทน ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ แต่ความยึดติดของคนต่างหากจึงเรียกโลกว่าดีว่าร้าย เรียกว่าทุกข์สุข
ถ้าเอาศีลมาดับทุกข์จะยาก เอาคุณธรรมมาดับทุกข์จะยาก เหมือนคนที่พยายามเมตตากับคน แต่อย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ที่ไม่เข้าใจเพราะว่าเราหวังให้เป็ดเป็นหงส์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราก็ไม่เคยพอใจในเป็ดที่เป็นเป็ด มักคิดว่าเป็ดต้องดีกว่าเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือถ้าไม่ดีกว่าเดิมก็ต้องไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าเราเอาหลักธรรมความเป็นจริงมาพิจารณาว่า โลกนี้ในตัวเราทุกคนทุกสรรพสิ่งในรูปในนามไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เหมือนถามว่าเรามีชีวิตเรารักชีวิตไหม (รัก)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตเกิดแล้วต้อง (แก่)
การพิจารณาหลักธรรมจนเข้าถึงหนทางที่จะสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ อย่างเมื่อสักครู่ที่เราพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีดีไม่มีร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ สุขและทุกข์ ดีและร้าย นั้นเกิดมาจากความยึดติดในความคิด เรามักใช้ความคิดเป็นตัวตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วมีดีหรือร้ายจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  ระหว่างเราเป็นผู้ให้ กับผู้รับ เราชอบแบบไหนมากกว่ากัน (ได้)  เสียกับได้ เราชอบแบบไหน (ได้)  ศิษย์พี่ถามนะว่า ในโลกนี้มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีเสียบ้าง (ไม่มี)  ศิษย์น้องก็รู้อยู่แล้ว ถ้าหลับตาข้างเดียว ก็บอกว่าตัวเองได้ แต่จริงๆ เสียไปแล้วเท่าไรก็ไม่รู้ ถูกหวยสามตัว ดีใจมากเลย แต่ตอนเสียไป ไม่เคยนับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งเจ็บใจมากยิ่งขึ้น เวลาได้ดันซื้อน้อย แต่เวลาเสียดันซื้อมาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้ชัดๆ มองแบบจริงจังอย่างคนที่จิตใจสงบ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ถ้าจิตเราสงบ เราจะเป็นนายเหนือสถานการณ์ แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่าน สถานการณ์จะครอบงำเราให้ตกเป็นทาส ฉะนั้นถ้าเราจิตสงบในทุกเรื่องราว เราก็สามารถควบคุมสถานการณ์และฉลาดในการมีชีวิตได้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ที่แล้วมาเราทุกข์ คือเราโง่กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริง เหมือนคำว่า “ชีวิต”
“ชีวิต” มีได้แล้วเสียไหม (เสีย)  มีเกิดแล้วมีตายไหม (มี)  แล้วในเกิดตายมีเจ็บไหม มีแก่ไหม (มี)  ถ้าเราอยากมีชีวิตให้มีแต่เกิดแล้วไม่ตายได้ไหม แล้วเราบอกว่าเกิดดีตายไม่ดีได้ไหม ถ้าโลกนี้เกิดดี มีแต่คนเกิดไม่มีคนตายดีไหม (ไม่ดี)  แล้วอยากเกิดไหม คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว แต่อยากเกิดอีกไหม บางคนบอกว่าทำบุญชาตินี้เดี๋ยวชาติหน้าจะได้สบาย ชาตินี้มันไม่สบาย ชาติหน้ามันจะสบายหรือ ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต ใจเราจะไม่กระเพื่อมไหวและไม่ยึดติดว่าอะไรดีอะไรร้าย เพราะจริงๆ แล้วในร้ายมันก็มีดี ในทุกข์มันก็มีสุข แต่เราขาดปัญญาเห็นจริงเท่านั้นเอง ในความเกิดของเราแท้จริงมีความตายอยู่ทุกขณะ เรามองให้ดีๆ แล้วจะไม่ถูกโลกพลิกให้ตัวเองเจ็บปวด แต่เราจะรู้จักพลิกแล้วให้ตัวเองฉลาดมีปัญญาขึ้น เพราะธรรมสอนให้เราเข้าถึงปัญญา ธรรมไม่ได้สอนแค่ศีล สมาธิ แต่ถึงที่สุดคือระดับปัญญาที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ความหมายของชีวิตจึงไม่ใช่คำว่าเกิด แต่ความหมายของชีวิตคือเกิดแล้วตายอยู่ด้วยกันเสมอ สุขและทุกข์ไม่เคยอยู่คนละมุม แต่มันอยู่ด้วยกันเสมอ ร้ายและดีมันก็ไม่ได้อยู่คนละด้าน แต่มันอยู่เกี่ยวเนื่องหนุนนำกันเสมอ แต่ใจเราเองต่างหากที่มันมืดบอดยึดติดความคิด จึงเห็นเหมือนคนละด้านคนละมุม ทั้งที่จริงๆ แล้วอย่างเดียวกัน เพราะมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่ทนและไม่แท้ ฉะนั้นควรหรือที่เราจะถอยห่างสัจธรรม แต่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้สัจธรรมเพื่อจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและเห็นชัดผู้อื่น
ฟังแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  สิ่งที่ศิษย์น้องควรกลัวไม่ใช่ความตายไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นใจที่มองไม่เห็นความจริง และทำให้เราอับจนสู้ไม่ได้ต่างหากจริงไหม เจ็บป่วยใครๆ ก็เป็นถูกไหม ลองมีชีวิตไม่เจ็บแล้วตายทันทีเอาไหม เห็นไหม ไม่มีใครเอาสักคนเลย แต่ทำไมลึกๆ ขอให้มีชีวิตอยู่แล้วตายเลย จริงๆ แน่ใจหรือว่าอยากได้อย่างนั้นใช่ไหม เจ็บหน่อยเพื่อเตรียมตัวยังดีกว่าไม่เจ็บเลยแล้วตายทันทีใช่หรือไม่ แล้วบางทีความตายดูอาจจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วความตายก็เป็นแค่การหมุนเวียนเปลี่ยนผันจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งที่เราเป็นผู้กำหนดใช่ไหม เอาง่ายๆ เบาใสขึ้นฟ้า หนักมึดดำขุ่นมัวลงดิน ตอนนี้เบาใสหรือหนักดำ (เบาใส)  นักเรียนชั้นนี้น่ารักจริงๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  ทั้งเบาทั้งใสเลยนะ
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์ ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม       แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ”
เวลาทุกข์มากๆ นะบางทีร้องเพลงอ้าปากดังๆ เลยอยู่ในห้องน้ำ ถึงจะทุกข์แค่ไหนก็มีความสุข ก็มันเครียดทำอะไรก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยอมรับความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นบางทีการร้องเพลงก็อาจจะช่วยให้เรา (โล่งใจ)  แล้วก็บอกมีคนขว้างปามาโบ้งเบ้ง เราก็ร้องอ๊าก ฉะนั้นบางครั้งในโลกนี้ที่เราทุกข์ที่เราเจ็บปวด เพราะเราไม่รับความจริง ชอบให้เป็ดเป็นหงส์และชอบให้เป็ดต้องดีกว่าเดิม ถ้าศิษย์น้องยอมรับความจริงว่า ไม่แน่เขาอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เราไม่ยึดติดความคิด เราไม่ยึดติดความคาดหวัง เรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เป็น เราสุขเขาก็สุข เพราะใจของมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบไหลลงทุกข์มากกว่าจะดึงตัวเองให้พบความสุข เหมือนนั่งตรงนี้ให้ยิ้ม ยิ้มไหม ก็ยิ้มไม่ออก จะให้ทำยังไงและผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์คือคนที่ยิ้มไม่ออก  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเรียนรู้ยอมรับความจริงและรู้จักพิจารณาความจริงจนบังเกิดทางพ้นทุกข์ นั่นแหละเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ลองเปิดใจแล้วศึกษาธรรมดูนะ เพราะธรรมจะทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ศิษย์พี่เอาตามพระอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแต่ขอเป็นคนไม่ประพฤติชั่วก็ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าเป็นคนดีที่ยุงก็ไม่ตบ มดก็ไม่บี้ แมลงสาปก็ไม่ขยี้ แต่พอคนรู้จักทำอะไรผิดเราด่าเขาเลย อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  ก็ฉันเป็นคนดี
เราเป็นอย่างนั้นไหมหนอ มดก็ไม่ขยี้ ยุงก็ไม่ตบ แมลงสาปก็ไม่เคยฆ่า แต่ถ้าใครไม่ดีก็ด่าเลย อย่าเป็นอย่างนั้นนะ เพราะผู้บำเพ็ญที่แท้จริง คือ ชั่วไม่ทำ เรียกว่าดี ดีกว่าดีก็ทำ ชั่วก็ทำ อย่างนั้นหาดีไม่ ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เฝ้าหวงแหนดินน้ำทรัพย์สินสมมุติ ปล่อยแดนวิสุทธิ์อยู่ไกลกว่าเดิมหนอ
ยึดตายตัวไหนเลยจะรู้พอ              วิมุติก็ไม่ได้ไปหากไม่ปลง
จะลงเอยแค่บำเพ็ญใจให้ดี              จิตไม่ว่างปล่อยชีวีให้ลุ่มหลง
สิ่งใดใดในโลกล้วนไม่ยืนยง            เดินทางตรงพ้นเวียนว่ายคืนนิรันดร์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อย่าเดินหนี  ชีวิตเหนื่อยอ่อนล้า มีปัญหาความรู้ไม่เคยจะช่วยใคร เรื่องใจสับสนเกิน  คำพูดคนอยู่รอบกาย ศิษย์รักทำใจ ศิษย์รักก็รู้เอง
อยู่เยี่ยงไหนได้พบสุขจริง ศิษย์แย่งชิงสู้เขาไม่รู้ทำไปทำไม ไม่ทำแบบเดิมเดิม  ฝึกเพิ่มเติมที่หัวใจ แก้ไขทุกการกระทำจากใจนี้
บำเพ็ญค่อนชีวิต  รับภาระกันขึ้นอีกนิด  หลายครั้งทำตัวไร้ความคิด ชอบเดินหนี อดเจอตัวเองคนสำคัญ ศตวรรษเพลิดเพลิน  ก้าวเดินบรรลุผ่าน พาดไปบนฟ้าไกล  แต่นี้ทุกลมหายใจไว้บำเพ็ญ

ทำนองเพลง : มากกว่ารัก
ชื่อเพลง : ลมหายใจไว้บำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    (พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ลุกขึ้นๆ ต้องให้อาจารย์เมตตาอีกหรือ ไม่ต้องแล้วนะ ต้องเข้มแข็งรู้จักนำพาตัวเองได้แล้วนะ จิตที่เต็มไปด้วยความสุข จิตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ จะทำให้เราอยู่กับใครก็นำพาซึ่งความสุข อยู่กับใครก็จะไม่โกรธ เพราะเรามีสุขและเข้าใจ อยู่กับใครอยากมีสุขไหม ศิษย์ก็อยาก เขาก็อยาก ศิษย์เข้าใจเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจก็ไม่มีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่แท้จริงคืออยู่กับใครก็กลมกลืนสอดคล้อง เรียกว่าหัวใจแห่งธรรม แต่ถ้าอยู่แล้วขัดแย้ง อยู่แล้วเจ็บปวดแปลว่าไม่ใช่ธรรมะจริงไหม (จริง)  สุขได้แล้ว คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย พูดอะไรนึกถึงคนข้างๆ บ้าง เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ในตัวมนุษย์นั้นมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านไม่ดี แล้วเราส่วนใหญ่ใช้ด้านไหนมากกว่ากัน (ด้านดี)  ถ้าเราใช้ด้านดี ก็แปลว่า
ในด้านดี คนดีมักเป็นคน (ดี)  ถ้าใช้ด้านดีบ่อยๆ ก็แปลว่า สามารถปฏิบัติอะไรออกมาเป็นคนดีได้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าใช้ความดีได้บ่อยๆ เราจะทำดียากหรือทำดีง่าย (ง่าย)  ถ้าบอกว่าทำดียาก ก็แปลว่าไม่ค่อยได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำดี ต้องทำอย่างไร (ไม่เสียดสีคนอื่น)  ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดเท็จ แปลว่า ไม่เคยโกหกคนเลยใช่ไหม (ใช่)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ไม่เคยโกหกแน่ใจหรือ ร้อยทั้งร้อยเห็นมาพูดอย่างนี้ ก็โกหกมาแล้วทั้งนั้น จริงไหม (จริง)  ยังจะจริงอีกนะ

ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนดี ทำดีบ่อยๆ อย่างนั้นคนดีเขาจะทำผิดศีลผิดธรรมไหม (ไม่)  ผิดไหม (ไม่)  แล้วคนดี เขาทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนดี (คิดดี พูดดี ทำดี)  แปลกนะคิดได้เพียง คิดดี พูดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่ว อย่างนี้ก็ยังไม่เรียกว่าดี จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์รู้ว่า ในตัวของเรามีสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่าด้านดี และอีกด้านหนึ่งเรียกว่าด้านไม่ดี ถ้าเรารู้จักใช้ด้านดีบ่อยๆ การจะแสดงออก หรือการจะปฏิบัติซึ่งธรรม ซึ่งความดีงาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อถึงเวลาต้องทำจริงๆ แล้ว การแสดงออกซึ่งการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติดี บางคนกลับทำได้ยาก แล้วไม่รู้จักที่จะทำด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนมองเฉยๆ ปล่อยคนอื่นดีไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนที่เลือกด้านดีหรือเปล่า
คนที่เลือกทำในด้านที่ดี เขาต้องคำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรม ใช่หรือไม่ อย่างที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกในจิตใจไหม ถ้ารู้จักคิดตรงนี้ตลอด เราจะไม่มีวันทำผิดศีลขาดธรรมได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มโนธรรมสำนึก เอาแต่ทำอะไรตามใจตนเอง จะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นคนที่มีธรรม ควรปฏิบัติตามธรรมหรือปฏิบัติตามใจตนเอง (ตามธรรม)  เมื่อตามใจตนเองก็ไม่เรียกว่าธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่า เราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตัว แล้วปกติเราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  ถ้าเราเห็นแก่ธรรมเป็นหลัก ทุกอย่างต้องมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก ทุกอย่างต้องมีรู้จักละอายใจเกรงกลัวต่อบาปกรรม เราจะผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ส่วนใหญ่เรามักทำตามใจตนเอง มากกว่าตามธรรม ฉะนั้นอยากรู้ว่าตนเองมีธรรมหรือไม่มีธรรม ก็ดูว่าตามใจตนหรือไม่ตามใจตน ใช่หรือไม่ แล้วเราส่วนใหญ่เห็นแก่ธรรมหรือเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  เมื่อเห็นแก่ตนก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม กรรมดีกรรมชั่ว และความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  และเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  และยังอยากทำแบบเดิมไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเช่นนั้นเรามาศึกษาธรรมกันหน่อยดีไหม อย่างไรเรียกว่า เห็นแก่ธรรมมากกว่าเห็นแก่ตน ยากไหม (ไม่ยาก)  แปลกนะ ไม่ยากแต่ไม่มีใครอยากทำ
(ละเว้นความชั่วปฏิบัติธรรม)  ใช่ไหม อย่างเช่นเวลาขายของ สินค้านี้ดีหรือไม่ดี เราพูดเพื่อเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ธรรม เห็นแก่ตัวอยากเอากำไรเยอะหน่อย เราก็จะบิดเบือนธรรม แต่ถ้าเราเห็นแก่ธรรม เราก็จะพูดตามความจริงว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี แต่เมื่อแม่ค้าอยากขายได้กำไรก็เอาดีกับไม่ดีมาผสมกันแล้วบอกว่าดี เหมือนกันเวลาโดนเขาว่า เราจะเห็นแก่ธรรมหรือเราจะเห็นแก่ตัวเอง ถ้าเห็นแก่ธรรมเราจะทำอย่างไร คำว่าความดีนั้น หรือคนที่ทำอะไรนึกถึงธรรมมากว่านึกถึงตนก็จะคิดให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ศีลทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรมเราก็จะเป็นคนดีและสันติสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เราต้องเริ่มต้นจากการทำดีให้ได้ก่อน ถ้าบาปยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการบำเพ็ญบุญ ถ้าความชั่วยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการเป็นคนดี หลักของการเป็นคนดีส่วนใหญ่ที่เรารู้และเข้าใจก็คือ เพื่อละชั่ว
เหมือนเราทำบุญเพื่อ
(ทำดีชำระกิเลส , สะสมบุญ , ทำใจให้สงบ)  เพื่อความสงบแห่งจิตใจ ทำแล้วสงบบ้างไหม (ไม่นิ่ง, ไม่สงบ)  เพราะเรายังวอนขออยู่ ก็ไม่สงบ เขาตอบได้ถูก ตอบได้ดี จุดหลักของการมีศีลมีธรรมคือความสงบ คือความเย็นใจ คือความสบายใจไม่มีอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อนอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำบุญแล้วยังขอจะสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล สงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล เย็นไหม (ไม่เย็น)  ถ้าอย่างนั้นเรากำลังทำบุญถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วทำไหม (ทำ)  ฉะนั้นอย่างแรกที่เราต้องเข้าใจให้เหมือนๆ กัน ปรับความคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะคุยกันยาวๆ เรื่องยากๆ เราต้องเริ่มที่เรื่องง่ายๆ และเป็นพื้นฐานก่อน คือเรื่องการทำความดีงามใช่ไหม ละบาปไม่ได้ก็จะบำเพ็ญบุญไม่ได้ ละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญดีไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะละบาปได้ ถ้าไม่เข้าใจจุดหลักของการละบาปเราก็บำเพ็ญไม่ได้ บำเพ็ญไม่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  โดยพื้นฐานของการเข้าใจในการทำบุญทำทาน เราทำเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความโลภโกรธหลง ทำบุญเพื่อความสบายใจเย็นใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ถามนะ เราสามารถทำบุญได้เฉพาะที่วัดใช่ไหม (ไม่ใช่)  แสดงว่าถ้าอาจารย์อยู่กับใครแล้วละกิเลสได้และทำให้สงบเย็นได้ และสามารถปฏิบัติกับเขาจนมีธรรมได้เท่ากับอาจารย์กำลังทำบุญทำทานและให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าเราจับหลักของคำว่าบุญกับทานได้ถูกศิษย์จะอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำบุญกับเขาได้ เพราะอยู่กับเขาแล้วเราสงบ อยู่กับเขาเราได้ละกิเลส อยู่กับเขาแล้วเราได้เย็นใจ แต่อยู่กับใครกิเลสก็ไม่ละ เป็นบุญหรือเป็นบาป (บาป)  แล้วมันมีศีลมีธรรม หรือผิดศีลผิดธรรม (ผิดศีลผิดธรรม)  ตกลงเรามีบุญมีศีลมีธรรมเฉพาะวัด ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากเทียบว่า ถ้าสมมติว่าใครด่าเรามา เราอยากทำบุญกับเขา หรืออยากเกี่ยวกรรมกับเขา ถ้าเราอยากทำบุญกับเขา ถ้าเขาด่ามาแล้วเราละความโกรธได้ เราสงบได้ เราให้ธรรมะเป็นทานได้ เท่ากับว่า เขาด่ามา เราได้ทำบุญ เขาด่ามา เราได้ให้ธรรมะที่ประเสริฐที่สุดที่เรียกว่า ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามา เรายังสามารถเข้าถึงศีลได้ด้วย เพราะว่าไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกหกใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดสำนึกในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเขาด่ามา เราสามารถสร้างทาน สร้างบุญ สร้างศีล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกที่เราสามารถทำบุญ ทำทาน มีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำอย่างนี้ไหม (ไม่ทำ, ทำ)
ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามีใครก็ตาม ทำอะไรให้เราเจ็บ แต่เราสามารถกระชาก กิเลสออกจากตัวได้ แล้วเราสามารถสงบเย็นได้ เราสามารถให้ธรรมะเป็นทานได้ แปลว่าทุกที่เรากำลังทำให้เขาเป็นพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังทำทุกที่ให้เป็นวัด เรากำลังทำทุกที่ให้สงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปรากฏว่าเราอยู่ในโลก เรามักจะคิดว่านี่ก็มาร นี่ก็ปีศาจ นี่ก็ชั่วร้าย ใช่ไหม โลกนี้ก็เลยเต็มไปด้วย มารและปีศาจ ใช่ไหม ฉะนั้นปรับความคิดพื้นฐานให้ถูกได้หรือยัง
อย่างนั้นการปฏิบัติให้ได้ทำบุญ ทำทาน ให้ได้มีศีลมีธรรม เราสามารถทำได้ที่ไหน (ทุกที่) แล้วสามารถทำได้ทุกตอน แม้จะถูกคนด่า เราก็ทำได้ ถ้าเขาเอาเงินไป แล้วไม่คืน เราจะยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาเอาสามีของเราไป แล้วไม่คืน ยอมไหม (ไม่ยอม/ยอม)
เมื่อวานพระนาจาก็บอกแล้วว่า ของอะไรที่เป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา ถ้าของที่ไม่ใช่ของเรา อย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา แล้วนั่นใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ไม่มีใครเป็นของเราจริงหรอก ถ้าศิษย์เข้าใจ จริงไหม (จริง) 
หลักสำคัญของการทำทาน ทำบุญ หรือมีศีลมีธรรม ก็คือ เพื่อความสงบเย็น ใช่หรือไม่(ใช่)  หลักสำคัญของการให้ทาน ก็คือ เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละแล้วซึ่งกิเลสโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละกิเลส โลภ โกรธ หลง เราก็ได้ทำบุญ ทำทาน ถ้าหากเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละซึ่งโลภ โกรธ หลง แล้วยังสามารถนำพาซึ่งความสงบร่มเย็น นั่นก็คือ เราได้ทำบุญ ทำทาน และได้ปฏิบัติธรรมแต่หากว่าปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความโลภ เกิดความหลงขึ้น เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  เช่นนี้เรียกว่าตกเป็นทาสของ (กิเลส)  แล้วเมื่อตกเป็นทาสของกิเลส หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  มีใครบ้างมีทุกข์แค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโลภแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโกรธแค่ครั้งเดียว แล้วมีใครบ้างที่โกรธแล้ว เข็ดแล้ว ไม่โกรธอีก (ไม่มี)
มนุษย์เรามีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เรามีทุกข์โดยพื้นฐาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากเพิ่มทุกข์ให้ตนเองไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเช่นนั้นการตกเป็นทาสของกิเลส ได้ความทุกข์หรือความสุข (ความทุกข์)  และพอไหม ฉะนั้นการตกเป็นทาสของกิเลสก็คือ การเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง อยากหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง อยากสองก็ (ทุกข์สอง)  อยากสามก็ (ทุกข์สาม)  และเราเคยพอทุกข์ไหม (ไม่พอ)  และเป็นความทุกข์ที่ตามมาด้วยกรรมชั่วและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์บอกว่า มนุษย์กลัวเคราะห์กรรม มนุษย์กลัวโชคร้าย
เคราะห์กรรมแห่งการโชคร้ายมาจากคนปฏิบัติดีมีศีลธรรมหรือมาจากคนที่ปฏิบัติชั่วตกเป็นทาสของกิเลสและอบายมุข ถ้าเราไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีกรรมชั่ว ไม่อยากมีวิบากกรรม ไม่อยากมีกรรมเลวร้าย เราก็ควรไม่ปฏิบัติชั่ว แล้วเราปฏิบัติดีไหม ถ้าเรารู้ว่าการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของความทิฐิยึดติดในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นซึ่งความทุกข์ วิบากและความชั่ว เราจะเพิ่มกรรมให้ตนเองไหม เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าชั่วกับดีต่างกันอย่างไร ถึงเวลาเราอยากเลือกชั่วหรืออยากเลือกดี จำไว้ว่าชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เลือกที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังหรืออยู่กับที่ เลือกที่จะก้าวให้ดีขึ้นหรือทำตัวให้แย่ลง หรือทำตัวให้ปล่อยวางและเข้าใจในความจริง เรามีสิทธิ์เลือกใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าเราหยุดทุกข์ไม่ได้ เรารับมือกับทุกข์ไม่เป็น มันไม่ใช่ แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อเวลาทุกข์มันมาเจอกับตัว ศิษย์แก้ไขอย่างไร
วันนี้หลักใหญ่ๆ ที่อาจารย์จะมาพูดคือเรื่องความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ทุกข์ได้
มีใครบ้างที่ทุกข์แล้วไม่ทุกข์อีก ศิษย์เคยทุกข์แล้วไปพบคนอื่นที่ทุกข์ เรารู้สึกว่า เราเฉยๆ เลย ศิษย์เคยรู้สึกอย่างนี้ไหม (เคย)  เช่น ตอนนี้เราทุกข์เหลือเกิน แต่เมื่อศิษย์พบคนที่เขาทุกข์ไม่ต่างจากเรา แล้วดูน่าจะหนักกว่าเราด้วย ความทุกข์ของเราก็เหมือนจะน้อยลง เล็กลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้ว บทของความทุกข์นั้นมีสอนใจเราอยู่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะน้อมนำความทุกข์นั้นมาสอนใจเรา และนำมาลงมือปฏิบัติแก้ไขหรือไม่ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเทียบกับคนอี่นแล้ว จะรู้ว่าเรานั้นโชคดีกว่าเขามาก ใช่ไหม (ใช่)  แขนขาก็ครบ เงินก็มี บ้านก็มี รถก็มี แต่ไม่มีอย่างเดียวคือ ความพอดี ถูกไหม (ถูก)  กับอีกแบบหนึ่ง ความทุกข์ที่อาจารย์เห็นเป็นประจำแล้วอาจารย์คิดว่าน่ารักดี คือ ตัวเองก็ทุกข์ คนที่รักก็ทุกข์ แต่ยอมพูดว่า ไม่ทุกข์ เพราะว่าถ้าพูดว่าตัวเองทุกข์ จะทำให้คนที่ตัวเองรักยิ่งทุกข์ อย่างนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  เพราะถ้าเราพูดไป เขาก็ทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเขาเลยไม่ (ทุกข์)  เพราะเมื่อไรที่เราทุกข์ และมีคนที่ต้องทุกข์มากกว่า เราจะสามารถอดทนและความทุกข์นั้นจะเยียวยาใจเราได้ให้ทุกข์ที่เราพบนั้นเหมือนไม่เจ็บ เพราะถ้าเราเจ็บ จะมีคนที่เจ็บกว่าเรา แล้วคนที่เจ็บกว่าเรานั้นเป็นคนที่เรารักมากที่สุด ยกตัวอย่าง แม่ลูกคู่หนึ่ง แม่ก็จูงลูกไป ปรากฏแม่สะดุดล้มคว่ำ ลูกก็ล้มคว่ำ ทั้งแม่ทั้งลูกก็แขนถลอกหมดเลย แม่ถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกตอบว่าไม่เจ็บ ทั้งที่ลูกเลือดไหลมากแต่ลูกไม่กล้าเจ็บ เพราะเดี๋ยวแม่จะเจ็บกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีคนที่รักมากกว่าตัวเอง ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เพราะความทุกข์นั้นจะทำให้คนที่รักศิษย์หรือห่วงศิษย์เขาจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้แล้วยังทุกข์แล้วไม่รู้จักรักษาเยียวยาความทุกข์ ก็แปลว่า ศิษย์ไม่เคยรักใครมากกว่าตัวเอง
ใช่เลย จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่ศิษย์มีคนที่ศิษย์เห็นค่าและรักศิษย์มากกว่า ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เหมือนบางทีศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์คิดว่าศิษย์ทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็นทุกข์เลย เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากบอกว่าเขาเหล่านั้นก็ทุกข์ แต่บางทีเขาไม่แสดงออกซึ่งความทุกข์ เพราะแสดงออกไปแล้วทุกข์ก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเอง และคนรอบข้างดีขึ้นเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่มีทุกข์แล้วไม่เคยแสดงออก แปลว่าเป็นคนที่รู้จักเห็นใจคนอื่น แต่ถ้าเราทุกข์แล้วเราชอบแสดงออกแปลว่าเราเป็นคนที่ (เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นเหมือนกันเวลาศิษย์ทุกข์ ถ้าศิษย์เห็นอะไรมีค่ามากกว่าตัวเอง ศิษย์จะสามารถยอมอดทนในทุกข์ได้ และทิ้งทุกข์ได้เพื่อสิ่งนั้น เพราะมีค่ามากกว่า เราไม่ยอมทุกข์เพราะอะไร เพราะเราอยากกตัญญูกับพ่อแม่ เราไม่ยอมเจ็บปวดเพราะอะไร เพราะเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข จิตมันใหญ่กว่าเดิมไหม เห็นไหมว่าเราสามารถทำบุญได้ แม้ในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนนี้ยิ้มจังเลย หัวเราะจังเลย เขาไม่เคยทุกข์บ้างเลยหรือ ไม่ใช่เขาไม่เคยทุกข์ แต่เขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกทุกข์ไปเพื่ออะไร เพราะความทุกข์มันมีค่าน้อยกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราเป็นแบบนั้นไหม
ฉะนั้นอาจารย์แค่พูดง่ายๆ เริ่มต้นของความเป็นคนธรรมดา แต่มันกลับทำให้เวลายืนด้วยกันแล้วทำไมเขาดูสูงจัง ถ้าคนด้วยกันปฏิบัติเข้าถึงธรรมแล้ว อยู่กับคนนี้แล้วเย็นใจจัง อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่าง ใช่ เพราะเขาปฏิบัติถึงซึ่งคุณธรรมความเป็นคน มากกว่าเห็นแก่ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแค่คน หรืออยากเป็นมากกว่าคน (มากกว่า)
ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเจอทุกข์ สมมติว่าความทุกข์เหมือนลูกสับปะรด จับแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  จับสับปะรดแล้วน่าจะทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  จับดีๆ ก็ไม่ทุกข์นะ จับไม่ดีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่จับเลยก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าสมมติว่าสับปะรดคือความทุกข์ แล้วความทุกข์ไปอยู่กับศิษย์ วิธีที่ศิษย์เจอความทุกข์ศิษย์จะเอาชนะความทุกข์อย่างไร (ปล่อยวาง)  ถ้าสมมติว่าความทุกข์เป็นสับปะรด ส่วนใหญ่บอกว่า ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  และการปล่อยวางที่ดีที่สุดคืออะไร (ปลอกแล้วเอามากิน)  ปล่อยวางแล้วปลอกแล้วเอามากิน ถ้าเป็นความทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไร โดยส่วนใหญ่เวลาเจอทุกข์มีไม่กี่ทางเลือกอย่างแรกคือจ่อมจมกับมันเลย ให้ตายไปเลย ไม่เขาตายก็เราตายไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยๆ กลับมาทุกข์ใหม่ แล้วคิดแล้วทุกข์ไหม แล้วคิดไหม คิดต่อ พอเหนื่อยเสร็จก็กลับมาคิดต่อ คิดต่ออีกหรือไม่ (คิด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีเจอทุกข์ เมื่อเราเจอทุกข์คนบางคนเลือกที่จะจ่อมจมกับมัน กับอีกวิธีหนึ่ง หนีไปให้ไกลๆ แล้วหลอกตัวเองหาความสุขอย่างอื่นแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหายไหม (ไม่หาย)  พอหันกลับไปมอง หันกลับไปเจอเดิมๆ (ทุกข์อีก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีแก้วิธีรับมือของศิษย์มีอยู่สองอย่าง ไม่ทุกข์กับมันให้ตายไปเลยข้างหนึ่งก็เดินหนีไปสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาเจอมันใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  แม้ว่าไปเอาพลังคนอื่นมาเต็มปอด ได้กำลังใจมาแล้ว ว่าไหวแล้ว พอเจออีกทีก็ลมจับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยอมรับให้ได้ว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น เพราะมันเป็นอยู่แล้ว)  อย่างแรกคือ ต้องยอมรับให้ได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร เพราะเรายึดกับความคิดเราจนไม่ยอมมองความจริง เรายึดกับใจที่เราอยาก จนเราไม่ยอมมองความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องปล่อยวางสิ่งที่เรายึด อยาก และรับความจริงให้ได้ เมื่อรับความจริงได้ ก็คือเอาความทุกข์มาทำให้เกิดสติตื่นรู้ จนมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริง นำพาให้เราพ้นทุกข์ ท่านนั้นตอบได้น่ารักนะ ถ้ามันเป็นทุกข์เอามาทุ่มศีรษะก็โง่เกินไป ฉะนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทำไมศิษย์ไม่ลองมองมันให้ชัด ทำให้เกิดความเข้าใจ และพ้นทุกข์ล่ะ ไม่ต้องเป็นความสุขแต่เป็นความเข้าใจ เหมือนทำใจเรื่องสามี สุดท้ายก็ได้เท่านี้ หวังมากกว่านี้ เขาก็ได้เท่านี้ เหมือนสามีที่ทำอะไรกับภรรยาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะบ่นมากแค่ไหน เดี๋ยวเขาก็หยุดบ่นเองถ้าเขาเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกเราหวังขนาดไหน ทุ่มเทขนาดไหน หากเขาทำได้แค่นี้ เราก็ต้องแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปหวังมากกว่านี้ก็ทรมาน
ศิษย์รู้ไหมว่า ชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบัน แต่คนที่จมอยู่กับอดีต คือคนที่ปล่อยให้ตนเองตายแล้ว และเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับความคิดในอดีต แล้วคนที่มีชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบันหรือคนที่จมอยู่กับอดีต (คนที่อยู่กับปัจจุบัน)  ศิษย์จำไว้นะ มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้น จึงอยู่กับอดีต เพราะเขาแก้อะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่มีชีวิต เขาจะไม่ฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็นและจมอยู่กับอดีต แต่จะพยายามมองไปข้างหน้า และอยู่กับปัจจุบันให้มี (ความสุข)  เราทำบุญกับสามีดีไหม ทำบุญกับลูกดีไหม (ดี)  ไปทำบุญเก้าวัดไกลๆ ได้ ทำไมไม่ทำบุญใกล้ๆ บ้าง
ถ้าทำกับเขาแล้วมันได้ลดกิเลส ได้ลดความเป็นอัตตาตัวตน แล้วเราได้แสดงศักยภาพของคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ออกมา เราไม่ได้ทำบุญทำทานกับแฟนเราหรือ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราจ่อมจม แต่จงเอาทุกข์มาทำให้เราเกิดสติปัญญา และนำพาให้เราพ้นทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสุขก็ได้ แต่เป็นความเข้าใจและยอมรับความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะมันได้แค่นี้ ถ้าเขาได้แค่นี้เราก็ต้องแค่นี้ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงให้เป็น บางคนเราอยู่ด้วย เขาทำงานกับเราพูดกี่ครั้งเขาก็ได้แค่นี้ เมื่อเรามีทุกข์เราจะไม่กลัวแล้วใช่ไหม เมื่อเราไม่กลัวทุกข์เราก็จะรับมือกับทุกข์ได้ ถ้าเราอยากจะแก้ทุกข์เราก็ต้องมองให้ออกว่า แล้วทุกข์มันมีสาเหตุมาจากอะไร (ทุกข์เกิดจากใจ)  ใจที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงแต่ยึดติดแต่ความคิดเห็นของตนเอง แล้วก็บอกผู้อื่นว่า ฉันปรารถนาดีนะ ปรารถนาดีกับลูกแต่ลูกทำได้แค่นี้เราก็ต้องยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำงานเต็มที่ เราไม่ได้เลื่อนขั้นแต่คนอื่นได้เลื่อนขั้นเราก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าเรายังฝืนยืนยันว่าทำไมๆ เราถึงไม่ได้ เราก็มีแต่ทุกข์และก็มีบาปติดตัว เกลียดคนนั้นเพราะคนนั้นแน่เลยฉันถึงไม่ได้เลื่อนขั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานสับปะรดให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
เอาสับปะรดไปช่วยอาจารย์แบกเลย
(การกระทำ)  การกระทำอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นั่นคือการกระทำที่เรายึดติด การกระทำที่ประกอบไปด้วยความอยาก การกระทำที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยึดเหตุผล)  ทุกข์เพราะยึดในความคิดว่าเรามีเหตุผลที่ถูกต้อง เคยไหมว่า ฉันมีเหตุผล ฉันถูก คนอื่นเหตุผลไม่ดีไม่ถูก เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วเป็นบ่อยไหม คนทุกคนมีเหตุผล เหตุผลมาจากความรู้ความเข้าใจที่ตัวเองสรุปเอาเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  และโดยส่วนใหญ่เหตุผลที่เราสรุปเองว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี มักจะลำเอียงหรือเที่ยงตรง (ลำเอียง)  เข้าข้างตัวเองมากกว่าตรงกลาง แล้วเหตุผลเราถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์บอกว่าเราทุกข์เพราะเรายึดในเหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของผู้อื่น นั่นก็เป็นปัญหาได้ เพราะเรามองแต่เหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของคนอื่น เหตุผลที่ถูกต้องคือมีศีลธรรมไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เหตุผลช่วยไม่ได้ เพราะเหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง
มีเหตุผลว่าเราดี แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่าดีก็ได้
(แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์)  ความเป็นธรรมดาของสังขาร แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อันเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเป็นธรรมดาแล้วเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่)  ฉะนั้นแก่ก็ไม่ทุกข์ ตายก็ไม่ทุกข์
ดังนั้นการพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ไม่ทุกข์ การถูกว่าก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมดา จำให้ได้อย่างนี้เสมอๆ นะ
(ทุกข์เพราะตนเองเป็นผู้กระทำเอง)  ศิษย์เอ๋ย ทำดีที่สุดก็ยังถูกว่า ทำไม่ดีก็ถูกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน ถูกว่านิดถูกว่าหน่อยก็ไม่เห็นต้องเป็นอะไรเลย เพราะว่าสิ่งนั้นคือความธรรมดา ใช่หรือไม่ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูถูกกล่าวหา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม เพราะเพชรจริงไม่กลัวการเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวก็แต่ว่า เรายังดีไม่พอ แล้วก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มีใครจะตอบพระอาจารย์อีกไหม เราทุกข์เพราะอะไรหรือ
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ละไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกข์โดยไม่ทุกข์ได้ เราจะเลือกแค่เห็นทุกข์หรือเราเป็นทุกข์ เขาพูดให้เจ็บเราจะแค่เห็นหรือเก็บเอามาใส่ใจแล้วเป็นทุกข์ ถ้าแค่เห็นแล้วไม่คิดก็จบ เพราะหลักแห่งธรรมคือความสงบ แต่เราไม่เคยสงบ เพราะเราไม่ยอมจบ เราก็เลยเอามาคิดและก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเราจับแก่นหลักธรรมตั้งแต่แรกเลยเราสงบไหม เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์เราควรเอามาคิดไหม ถ้าเราเห็น แต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น ไม่เห็นแต่เราคิดมันไม่มีก็เหมือนมี ถ้าเราเห็นแต่เราทำเหมือนไม่เห็น จะมีอะไรกับใจเราไหม จะมีอะไรมากวนใจเราไหม ที่เรียกว่าไม่ใส่ใจ ถ้ามันทุกข์แล้วจะทำให้เราเจ็บปวด เราไม่เอามาใส่ใจจะทำเราทุกข์ไหม เหตุหลักของความทุกข์คือการยึดมั่น พระพุทธะจึงกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์ไม่ยึดมั่น ความตายความเจ็บก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่ที่เรายังเจ็บ ปวดและทุกข์ เพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเรายึดสิ่งใดได้ไหม สามียึดได้ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจแก่นของสัจธรรม เพราะแก่นของสัจธรรมล้วนบอกให้เรารู้ว่า เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เอาไว้เป็นคาถาเด็ดปลดทุกข์เลยศิษย์ เห็นเขาอยู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ และบางทีคิดว่าเขาทำให้เราทุกข์ บางครั้งเราทุกข์เพราะเขา แต่บางครั้งเขาก็ทุกข์เพราะเรา ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เพราะเขาคนเดียว แต่เขาก็อาจกำลังทุกข์เพราะเราก็ได้ เราอยู่ในโลกเห็นเหมือนไม่เห็น บางทีมันอาจจะทำให้เราทุกข์น้อยลง
บางทีปากเขาว่าเราแต่ใจเขาอาจจะห่วงเรา เราเคยโมโหลูกแล้วว่าเจ็บๆ แสบๆ ไหม (เคย)  แต่ลึกๆ เรารักลูกไหม (รัก)  แล้วว่าลูกไหม (ว่า)  อย่างนั้นคนที่ว่าเราเจ็บแสบ ลึกๆ เขาอาจจะรักเรา เพราะถ้าไม่รัก เขาจะว่าให้เมื่อยปากไหม แล้วจะว่าให้เปลืองน้ำลายไหม ก็ไม่นะ ที่เราว่าเขาเจ็บแสบเพราะเรารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอกเขาอกเรา เวลาถูกเขาว่าเจ็บแสบก็คิดเสียว่าเขารักเรา เพราะบางทีเราเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น สิ่งที่เรามองไม่เห็นเราลืมไป เหมือนที่บอกว่าดูในร้ายแต่ก็มีดี ดูในดีแต่ก็มีร้าย เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มีก็เหมือนไม่มี ถามว่าเงินมีร้อยบาท เคยรู้สึกว่ามีร้อยบาทไหม มีหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน เคยรู้สึกว่ามันเป็นของเราบ้างไหม (ไม่เคย)  มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  สามีมีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ นะศิษย์ พ้นจากตาเราใช่ของเราไหม อยู่กับเรา ใจเขาเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเอาแก่นของความเป็นจริงแห่งสัจธรรมมาย้ำเตือนใจจนสามารถพ้นทุกข์ ทะลุทะลวงความทุกข์ แล้วใดๆ ในโลกก็ไม่อยากและไม่ยึดอีกต่อไป ที่เรียกว่าแก่นของหลักธรรมคืออะไรในโลกก็ไม่เอากับมันแล้ว อาจารย์ถามหน่อยศิษย์ มีพัดก็ทุกข์เพราะพัด มีแอปเปิล ก็ทุกข์เพราะแอปเปิล มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีอะไรบ้างในโลกที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  แล้วเราอยากมีอีกไหม รู้แล้วยังจะอยากอีก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อสนองกิเลสความอยาก ความหมายเลยไม่เหมือนกัน เมื่อไรที่เราเข้าถึงหลักแห่งความเป็นจริง คนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม แต่ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตัวแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม
ฉะนั้นวัฏฏะสงสารเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความอยาก เมื่อไรที่มนุษย์สิ้นกิเลสความอยากแห่งการเป็นตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตัวตนเป็นมายา ถ้ายังหลงยึดติดในตัวตนแห่งมายา และทำทุกอย่างเพื่อตัวตน มนุษย์ก็จะหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์สามารถสิ้นกิเลสสิ้นตัณหาในใจ เมื่อนั้นมนุษย์ก็พ้นวิบากกรรมได้จริงไหม (จริง)
เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ฉะนั้นเราอยู่เพื่อสร้างกรรมต่อ หรือเราอยู่เพื่อจบกรรม (จบกรรม)  ตอบอาจารย์ว่าจบกรรม แต่ทุกอย่างที่ทำมานั้นเป็น การก่อกรรมทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เป็นธรรม ถ้าศิษย์อยากจบกรรมกับเขา อย่างนั้นหากเขาว่ามา ศิษย์จะต้องไม่ว่าเขากลับ เขาโกงมาศิษย์จะต้องไม่โกงตอบ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์จะไม่ได้อยู่เพื่อสนองความอยากแห่งกิเลส แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ทำตามหน้าที่ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ทำถึงที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับในสิ่งที่เป็น นั่นจึงเรียกว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อสิ้นกรรม
แต่เรากลับตรงกันข้าม เรามักปฏิบัติเพื่อสนองความอยากว่า วันนี้อยากได้อะไร วันนี้เกิดโลภอะไร ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย ก็มาจากกิเลส เมื่อไรที่เชื้อแห่งกิเลสยังไม่หมดไปจากใจ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหนีพ้นจากวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ดังที่เรียกว่า ถ้าจะดับ ก็ต้องดับจนไม่เหลือแม้สักเล็กน้อยที่เรียกว่าเชื้อแห่งความอยาก ดังที่เรียกว่า ตายก่อนตาย
อย่าบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จชาติหน้า แต่ “ต้องบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จตอนนี้ และไม่มีชาติหน้า” เพราะเราไม่รู้ว่า ชาติหน้า เราจะทำได้สมกับที่เราได้เกิดเป็นคนเหมือนในชาตินี้หรือเปล่า แล้วอย่างนี้ทำไมเราจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อเราก็มีร่างกายครบสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ช่วยอาจารย์แต่งชื่อเพลงหน่อยดีไหม ปกติอาจารย์จะให้ทำนองเพลงและชื่อเพลงเลย แต่ในชั้นนี้อาจารย์อยากให้นักเรียนในชั้นนี้ร่วมกันตั้งชื่อให้เพลงนี้ อาจารย์มีชื่ออยู่ในใจแล้วถ้าอาจารย์บอกศิษย์ต้องเอาชื่อเพลงที่อาจารย์ตั้งแน่เลย เพลงเพราะไหม (เพราะ)  เพลงเพราะหรือคนร้องเพราะ (เพลงเพราะ)
(ชื่อเพลง สุขจริง, อย่าทำอะไรแบบเดิมเดิม, มีธรรมะในหัวใจ, นี่คือชีวิต)
ตั้งชื่อว่า (บำเพ็ญบุญต่อไป)  ศิษย์รู้ไหมว่า ชื่อที่ศิษย์ตั้งเหมาะกับให้ศิษย์ไว้ใช้กับตนเอง และเตือนใจตนเองว่ารู้จักบำเพ็ญบุญต่อ อย่าทำบาป อย่าหลงอบายมุขนะ เพราะว่าชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ไม่ฟื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคำที่ศิษย์เขียน เหมาะกับตัวของศิษย์เองทั้งนั้นเลย จริงไหม (จริง)  อาจารย์ว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครอยากได้แอปเปิลของอาจารย์บ้างไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่เราคุยกันค้างไว้ว่า มีอะไรก็เป็นทุกข์ แล้วศิษย์ยังอยากได้อยู่ไหม อยากหรือ มีแอปเปิลก็ทุกข์นะ อร่อยก็ทุกข์ ไม่อร่อยก็ (ทุกข์)  แต่ก็ยังอยากได้ทุกข์
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า ความทุกข์เกิดจากความยึดและความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราต้องการเอาชนะความทุกข์ได้ หรือเข้าใจความทุกข์ได้ เราก็ต้องไม่ (อยาก)  แล้วก็ (ไม่ยึด)  เพราะว่าในโลกใบนี้มีอะไรบ้างที่เราสามารถครอบครองได้ (ไม่มี)  แสวงหาได้แต่ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ร่างกายนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้ว่าไม่ได้ แต่เราก็ยังอยาก แล้วก็ (ยึด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรที่จะเป็นการเรียกว่าการปฏิบัติและบำเพ็ญ แล้วทำให้เราทุกข์น้อยลง
ตอบได้ไหม แปลว่าที่พูดไปไม่มีใครจำได้เลยใช่ไหม (ความอยากได้เป็นทุกข์ ทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่อยากได้เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้ามาเป็นของเราเราก็รับไว้ แต่รู้ว่านั่นมันเป็นของเราแล้ว ซึ่งตรงนี้จริงๆ แล้วมันยากที่คนเราจะทำได้ เราก็ต้องฝึกใจเรา ฝึกปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ตลอดทุกเวลานาที คิดอยู่ตลอดว่าอันนั้นไม่ใช่ของเรานะ แต่ถ้ามันเป็นของเราเราก็ยอมรับมัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็ยอมรับมัน)  หมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเป็นของเราก็เป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่แค่ทำให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติง่ายๆ เลยนะศิษย์ ทำหน้าที่ของตัวเองปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ผิดต่อฟ้า ไม่ผิดต่อดิน ไม่ผิดต่อความเป็นคน แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ ถ้ามันจะได้มันก็ได้ อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ ในโลกนี้ถึงศิษย์จะบอกว่าศิษย์หามาเท่าไหร่แล้วทำไมศิษย์ต้องเสีย ทำไมศิษย์ต้องยอมให้เขา ทำไมเขาต้องเอาของศิษย์ไป อาจารย์อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ มีอะไรเป็นของเรา เราเหมือนเราได้ เราเหมือนเรามี จริงไหม แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยมีอะไรเลย ไม่เคยได้อะไรจริงๆ เลย ถามใจลึกๆ ศิษย์มีจริงๆ ไหม จริงๆ เราไม่เคยมี และจริงๆ เราก็ไม่เคยได้ แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี คิดว่าเราได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ของเรา เราแค่บังเอิญได้เจอมันชั่วขณะหนึ่ง แต่บังเอิญมันอาจไม่ใช่ของเราอีกขณะหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่าเราเสีย เราไม่ได้เสีย เราได้ก็ไม่ได้ได้ แท้จริงเราไม่ได้และไม่ได้เสีย เพราะเรามาจากความว่างเปล่า แล้วเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า แล้วเราจะยึดติดกับความอยากว่า เขาเอาของฉันไป เขาเอาของฉันไป เพื่อสร้างเหตุปัจจัยให้กลับมาเวียนเจอกันอีกใช่ไหม เพื่อสร้างภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการยึดติด เราก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายังทุกข์กับอะไรอีกหรือ
ถ้าให้ตอบแบบสุ่มตอบ แล้วไม่มีใครตอบ อาจารย์บังคับให้ตอบดีไหม ด้วยการส่งสับปะรด หากสับปะรดไปอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ก็คือ เราไม่เคยรู้เท่าทันใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยมองเห็นทันความทุกข์ที่มา เมื่อความทุกข์มาเราจึงยึดความทุกข์ทันที ฉะนั้น เราต้องฝึกสติ สติจะทำให้เรารู้จักคิด รู้จักทำ และกลับมาสู่ความเป็นกลาง อาจารย์จึงให้ศิษย์ส่งสับปะรด เพื่อฝึกสติ
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกม และส่งสับปะรด)
เมื่อร้องเพลงที่อาจารย์ให้ หากอาจารย์บอกให้หยุด แล้วสับปะรดอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ว่า ตัวเราแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุด ตัวเราที่ช่างคิด ตัวเราที่ช่างโกรธ หรือตัวเราที่ช่างน้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้สับปะรดจะกลายเป็นแอปเปิล
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยไข้เจ็บ เป็นเพราะสิ่งที่เราทาน ไม่รู้จักระมัดระวังในการทาน
จริงๆ โรคภัยไม่น่ากลัว โรคภัยเป็นทุกข์แค่สังขารแต่ไม่ใช่ทุกข์ที่จิตใจ เรามีกรรมแค่ที่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ เหมือนที่เขาเรียกว่ากายเจ็บได้อย่าให้ใจเจ็บ กายทุกข์ได้อย่าให้ใจทุกข์ เพราะจะล้มพังไม่เหลืออะไรเลย
(คนรอบข้างทำไม่ถูกใจ)  เหมือนเรื่องเมื่อวานเลย อยากให้เป็ดเป็นหงส์ใช่ไหมแล้วเป็ดก็ไม่ยอมเป็นหงส์สักที บางทีอาจเป็นไก่ไม่ยอมเป็นเป็ด จงยอมรับในธรรมชาติของทุกสิ่งแล้วเราจะไม่ทุกข์
(ใจเราไม่นิ่ง เมื่อใจเรานิ่งทุกข์มากๆ จะน้อยลง)  แค่เห็นทุกข์อย่าไปเป็นทุกข์แค่นั้นเอง เห็นแต่ไม่เป็น ถ้าเราไปเป็นทุกอย่างก็ทุกข์ตาย เราแค่เห็นทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะการดับ เราเห็นโรคแต่เราไม่เป็นโรค เห็นโรคในร่างกายแต่ใจเราไม่เป็นโรค เรามีกรรมแค่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ ใจเราพ้นกรรมมานานแล้วแต่มนุษย์ชอบเอาตัวตนมาบังคับใจของเรา จึงทำให้เราไม่เห็นจิตเดิมแท้
มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์ แล้วจริงๆ เราเคยมีหรือเคยไม่มี (ไม่มี)  แล้วสุดท้ายเราต้องมีหรือไม่มี (ยังอยาก)  ยังอยากอีกหรือศิษย์ปูนนี้แล้วควรจะปล่อยๆ บ้างนะศิษย์ ที่ควรจะมีก็มีเกือบหมดแล้ว ที่ไม่เคยรู้ก็รู้หมดแล้ว ที่ไม่เคยได้ก็ได้เกือบหมดแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากอีกหรือ เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ จะมีเวลาเพื่อสนองกิเลสอีกหรือ (ความอยากเป็นของธรรมชาติ)  ความอยากเป็นของธรรมชาติไหม ความอยากไม่ใช่ธรรมชาติแท้จริง ถามใจจริงลึก ๆ ความอยากคือธรรมชาติแท้จริงที่เราแสวงหาอย่างนั้นหรือ ความอยากเพื่ออะไร จริงแล้วเราอยากเพื่อแค่บำรุงเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอด แค่อยากเพื่อปัจจัยสี่ แล้วพออยากไปถึงที่สุดลึกๆ ในความอยากมีความว่างอยู่ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี แล้วอะไรถึงเป็นแบบนั้น เพราะธรรมะต้องการสอนว่าอยากไปเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี (บางคนมีมากก็ไม่อยากมี)  แล้วเราจะเกิดมาเพื่อวนเวียนวัฏฏะแห่งความอยากอย่างนั้นหรือ (ภายในครอบครัว, สุขภาพตัวเองไม่แข็งแรง)
จริงๆ อาจารย์อยากได้ชื่อเพลงว่า “ลมหายใจเพื่อบำเพ็ญ” เหมือนที่ศิษย์พูดว่า คนเรามีความอยากเป็นธรรมดา ใช่ไม่ผิด แต่ถ้าความอยากนั้น เป็นอยากที่ทำให้ศิษย์เดินเข้าไปในวัฏฏะของการเวียนว่ายแห่งความทุกข์ไม่จบสิ้น กับอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องอยากมาก แต่อยากเท่าที่พอทำได้ คือ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองความอยาก แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ความเป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรามา ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลส
อาจารย์ถามง่ายๆ นะ ระหว่างกิเลส กับธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นเดิมแท้ของใจศิษย์ (ธรรม)  อาจารย์ก็ว่า น่าจะเป็นธรรม ธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ในใจของเรา จริงไหม (จริง)  อารมณ์นั้นมาทีหลัง ถูกไหม (ถูก)  แล้วชีวิตของเราจะกลับคืนสู่ธรรม หรือสนองกิเลส แล้วเวียนว่ายกรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ถ้าอาจารย์ก้าว แล้วก้าวหนึ่งขึ้นฟ้า กับอีกก้าวแค่เล็กน้อยแล้วได้แค่บุญบาป อาจารย์อยากให้ศิษย์ก้าวแล้วถึงฟ้าเลยดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะผลักดันศิษย์ อาจารย์ก็ควรจะผลักดันให้ศิษย์กลับคืนสู่ที่เดิมที่ศิษย์มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เพียงแค่ผลักดันให้ศิษย์กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใครอยากตาย ก็ไม่มีใครอยากตาย จริงไหม (จริง)  เราอยากแก่อีกไหม เราก็ไม่อยากแก่ อยากเจ็บอีกไหม ศิษย์ก็ไม่อยากเจ็บ เพราะในโลกนี้แก่ครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นถ้าศิษย์ไปสนองความอยากแล้วศิษย์ต้องแก่ต้องเจ็บ แล้วต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างนี้ศิษย์ยังจะอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)
มันแค่อยู่ที่ก้าวว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ถ้าเลือกทางนี้สนองความอยาก แต่ถ้าลดความอยากนิดหนึ่งแล้วมันทำให้เราเข้าถึงธรรม ลดละความอยากความโลภ ลดละการยึดถืออัตตาตัวตนแล้วพ้นทุกข์ ทำไมเราไม่ลองก้าวทางนี้ดู ตอนนี้เราเดินมาเจอทางสามแพร่ง ทางหนึ่งอาจารย์ชี้บอกว่ามากกว่าขึ้นสวรรค์คือพ้นทุกข์นิรันดร์ และอีกทางหนึ่งคือกลับไปเหมือนเดิมคือเวียนว่ายในความทุกข์ อีกทางหนึ่งคือยึดติดในความดี ทำดีแล้วสนองความดีนั้น พอหมดกรรมดีก็กลับมาเวียนว่ายกรรมดีกรรมชั่วอีก ศิษย์ว่าอาจารย์ควรชี้ทางไหนดี แล้วทางแรกวิธีที่จะแก้ แล้วทำให้ถึงที่สุดคือ เมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถเอาหลัก
สัจธรรมมาสอนตัวเอง มาทำให้ศิษย์ตั้งตรงอยู่ในสัจจะความเป็นจริง ไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว เข้าสู่ความเป็นกลางเมื่อนั้นศิษย์จะพ้นบาปกรรมและการยึดติดในตัวตนนั้นชาตินี้ ตอนนี้เลย แต่ไม่เลย เราเห็นอะไรเราก็อยาก ชอบ ไม่ชอบ ชอบก็เรียกว่ากรรมดี ไม่ชอบก็เรียกว่ากรรมชั่ว แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องวิเคราะห์ดี ไม่ต้องยึดติดดี ไม่ต้องยึดติดร้าย เพราะถึงที่สุดมันไม่มีอะไรดีจริง ร้ายจริง เพราะทุกสิ่งมันเป็นกลาง เมื่อเห็นเป็นกลางมันก็เลยไม่มีกรรม แต่มันเป็นธรรม

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น แล้วให้พับแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนนักเลง)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ลักษณะแบบนี้เรียกว่านักเลง
ทันทีเลย การยึดติดในความคิด อารมณ์ ความรู้สึก แล้วชอบวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินคน ทำให้เราเข้าไม่ถึงธรรมและมองไม่เห็นความจริงแต่กลับเหวี่ยงไปเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ดี ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วอันนี้ที่ศิษย์ตัดสินว่าเด็กเป็นจิ๊กโก๋แค่เสื้อผ้า เพราะเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นตั้งแต่เขาเดินมา เขาก็ไม่ได้เป็นจิ๊กโก๋นี่ แค่อาจารย์บอกให้เขาทำเหมือนจิ๊กโก๋ แล้วจริงๆ เขาเป็นจิ๊กโก๋ไหม (ไม่)  
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงแก่นของหลักธรรม เราจะไม่ตัดสินอะไรดีอะไรชั่ว แล้วเราจะไม่อยากยึดเขา หรือไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขา เราจะแค่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความถูกต้องเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติและเคารพให้เกียรติต่อเขา เราก็มีจริยธรรม มีเมตตาธรรม ซื่อตรงต่อเขา แม้เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ตัวเองว่าเราดีพอ ปฏิบัติกับเขาถูกพอ และเราก็ไม่ผิดต่อการเกี่ยวกรรมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ตัดสินมันไม่เป็น “ธรรม” แต่มันกลายเป็น “กรรม” ทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเจออะไรอย่าตัดสิน เพราะเขาอาจจะดีหรือไม่ดี ไม่อาจวัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดเขาจะร้าย ทุกข์หรือสุข เราก็ไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีสติทุกขณะ เราจะมีศีลมีธรรมและบำเพ็ญธรรมสิ้นกรรมพ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าอยู่กับเขาหรืออยู่กับใคร สมมติว่าเรารับประทานอาหารแล้วเจอรสเปรี้ยวโกรธไหม (ไม่โกรธ)  กินแกงจืดแล้วรสเป็นต้มยำโกรธไหม (โกรธ)  ซื้อส้มบางมดแล้วคนขายบอกว่าหอมหวาน แต่พอกินแล้วเปรี้ยว โกรธไหม (โกรธ)  เห็นไหมกลายเป็นกรรมเลยไหม ฉะนั้นเขามีสิทธิ์จะพูดเป็นเรื่องของเขา แต่สำหรับศิษย์คือ “การควบคุมใจตัวเอง” ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ต้องรอ ปฏิบัติทุกขณะที่เราโดนกระทบ แล้วเราเลือกได้ว่าจะเป็นผู้มีศีลธรรม หรือเราจะถูกกระทบแล้วเราสร้างกรรม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ที่เราจะแปลสิ่งที่รู้ให้รู้จนถึงที่สุด เชื่อไหมศิษย์ อาจารย์อยากได้คนแบบนี้ “ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ทำ”
เพราะถ้ายึดดีก็ต้องไปเสวยกรรมดี และถ้าหากทำชั่วแล้วละชั่วไม่ได้ก็หนีไม่พ้นที่ต้องไปรับผลของกรรมชั่ว แต่หากว่าดี ทำถึงที่สุดแล้วเราไม่ยึดดี ชั่วเราก็ไม่คิดทำ แต่เราก็สามารถคงไว้ซึ่งคุณธรรมความถูกต้อง นั่นคือ ทางพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาชื่อเพลงลมหายใจไว้บำเพ็ญ)
ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เหลือของศิษย์นั้นอยู่ที่ ศิษย์จะมีลมหายใจเพื่อสนองกิเลสกรรม หรือมีลมหายใจเพื่อบำเพ็ญศีลทานคุณธรรมและนำพาให้ตนพ้นทุกข์ อยู่ที่ศิษย์เลือกเดินแล้วนะ ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทางสว่าง ถ้าศิษย์จะสว่างก็ต้องสว่างให้ถึงที่สุด อย่าเอาสว่างแค่วับ ๆ แวม ๆ ในโลกไม่มีอะไรร้าย ถ้าคุมใจตนเองได้ เราก็สามารถควบคุมคนในโลกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราคุมใจตนเองไม่ได้คนในโลกก็สามารถบีบคั้นจิตใจเราได้ ศิษย์รักตนเองไหม (รัก)  แต่ทำไมเพียงแค่ถูกคนว่า ศิษย์ก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น แปลว่าคน ๆ นั้นไม่เคารพตนเอง ไม่ให้คุณค่ากับตนเอง ปล่อยชีวิตของตนไปอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน เช่นนั้นเมื่อใดที่ถูกคนว่าเราก็หน้าเสีย เขายิ้มเราก็หน้ายิ้ม แสดงว่าเราไม่มีความสุขด้วยตนเองเลย ต้องอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน จริงไหม เรื่องที่ง่าย ๆ ที่สุด เพียงแค่เราถูกคนว่า หากเขาว่าเราแล้ว เราจะปฏิบัติให้ได้ศีล ธรรม ทาน คุณธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง” ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องทุกข์ เจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด ก็จงทำจิตใจให้เข้มแข็ง ได้ไหม (ได้)  แต่อย่าแข็งโป๊กๆ จนกลายเป็นคนดื้อรั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ศิษย์กลับไปพิจารณาอีกที ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ มีพบก็มีจาก เมื่อยามมีชีวิตอยู่ จงทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากไป เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะทำจนถึงที่สุดแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
อาจารย์ไม่ต้องปลอบใจอะไรแล้ว ทำไมยังไม่เข้มแข็งอีกนะ ต้องเข้มแข็ง มั่นคง นำพาคนให้ได้ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ดีใจจังเลย มีความทุกข์อะไรอยากให้อาจารย์ช่วยเหลือไหม มีเวลาน้อยจะได้รักษาเวลานี้ให้มากที่สุด หรืออยากให้อาจารย์พูดปลอบใจอะไร อายุน้อยนะ นักเรียนชั้นนี้อายุน้อย แข็งแรง สดใส แล้วก็ยิ้มหวานทั้งนั้นเลย ฉะนั้นในสิ่งที่ไม่มี เราจะมีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสิ่งที่ขาดแคลนเราจะสมบูรณ์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราผ่านมาทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสมบูรณ์ที่สุด เราก็จะส่งมอบต่อให้คนอื่นได้มากที่สุด จริงไหม (จริง)  มีแต่คนที่มีความสุข ถึงจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่นได้ มีแต่คนที่มีใจกว้าง ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอายุเท่านี้แล้วไม่หงอยแล้วนะ ยิ้มเข้าไว้ ภูมิใจเข้าไว้ว่าเราใช้ชีวิตมาเต็มที่แล้ว
ฉะนั้นหลังจากนี้เราจะเหลือคุณค่าและทรงคุณค่าที่ดีที่สุด ด้วยการเข้าใจชีวิตว่าเราไม่เกิดมาเพื่อรับกรรม ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจความจริง
ที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่ทำแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดถือ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ใส สว่าง สะอาด ในใจ อะไรที่ทำให้ใจของเราสกปรก ก็อย่าไปคิด อะไรที่ทำให้ใจของเราร้าย ก็อย่าไปเอามา เพราะใจของฉันจะกลับฟ้า ฉันจะนำใจเดิมกลับฟ้า ใจฉันต้องสะอาด ต้องใส ต้องดีที่สุด ดีจนไม่มีใครเคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ฉันจะดีได้ถึงขนาดนี้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การประคองใจของตัวเองให้ถูกต้อง ให้ดีงาม ให้มีธรรม ธรรมที่เรียกว่า ทำให้เราประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ ร่มเย็นยิ่งกว่าร่มเย็น ดีงามยิ่งกว่าดีงาม
อาจารย์เชื่อในศิษย์ว่า ขอแค่เพียงศิษย์มั่นใจว่าทำได้ เราก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  ศรัทธาเชื่อในความดี ศรัทธาเชื่อใจธรรมที่เรามี แล้วเราจะได้กลับไปสู่สิ่งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นดูแลจิตใจของตัวเองนะ เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ใจเดิมแท้ของเรานั้นไม่มีกรรม เรามีทุกข์เพียงแค่ร่างกาย แต่ใจเดิมแท้ของเราไม่เคยทุกข์นะ
ศิษย์รู้ไหม การช่วยคนก็คือการช่วยตัวเอง ยิ่งเราพยายามช่วยคนมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเองมากเท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญจึงไม่ดูถูกคุณค่าของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นศิษย์ที่อาจารย์รัก ที่สมแล้วกับการเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง มีหนทางเดินที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติจริงที่งดงาม มีการกระทำที่ดีและถูกต้อง โลภ โกรธ หลง ความอยากในโลกนี้ไม่เคยช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์เท่ากับธรรมะ ธรรมะแห่งความเมตตา ธรรมะที่รู้จักอุทิศเสียสละ
ให้ให้ถึงที่สุด ให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
(ใจไม่ปล่อยวาง)  ก็มัวแต่หมกมุ่นกับความคิด ถ้าเมื่อไรที่คิดฟุ้งซ่าน ลองเอาเพลงธรรมะมาร้อง จะทำให้เราวางลงได้บ้าง เพราะคิดไปก็ไม่ช่วยอะไร จริงไหม ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งก้าวต่อไป กายทิ้งไว้ที่โลกนี้ เอาจิตเดิมแท้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์ เข้มแข็งแล้วรู้จักหาทางออกให้ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้ว
ทุกข์ก็อย่าแบกมันไว้ เข้มแข็งและยอมรับความจริงนะ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยคุณธรรมความเป็นคน ดูแลตัวเองด้วย ทำให้ได้ ตั้งใจนะ มีโอกาสศึกษาบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและเลิกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของศิษย์เองศิษย์ต้องเลือกเอง แต่เมื่อเลือกแล้วจงเลือกสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เพราะชีวิตมันเดินหน้าแล้วมันย้อนกลับไม่ได้ อย่าคิดว่าอายุมากแล้ว ฟังธรรมไม่ค่อยรู้เรื่อง
ยิ่งยากเท่าไร ยิ่งต้องฟังให้ได้ ยิ่งต้องฟังให้รู้ ปัญญามีอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวศิษย์เองทุกคนจะนำปัญญานั้นมาเข้าถึงธรรมไหม อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ธรรม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ทุกข์ แต่ต้องพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำตัวให้ถูกต้องนะศิษย์เอย เป็นอะไรอาจารย์ไม่ว่า ขอแค่ทำให้ถูกต้อง ได้ไหม แล้วสักวันศิษย์จะเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พยายามให้ศิษย์รู้ แค่อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ได้อยากให้ศิษย์ทุกข์ในโลกเลยนะ คิดให้ดีๆ


วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าเรารู้อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องรีบแก้ เราต้องยอมรับอย่าฝืน ถ้าฝืนไปแล้วมันไม่ใช่ แม้บางครั้งผิดก็ต้องผิด อย่ากลัวที่จะผิด เพราะความผิดทำให้เราก้าวหน้า ความผิดทำให้เรารู้จักยอมตัวเองยิ่งขึ้น
จริงๆ อาจารย์อยากคุยกับฐันจู่ ฐันจู่จินโจวเป็นอย่างไรบ้าง
ขอบใจนะศิษย์เอ๋ย อุทิศเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น ยอมอยู่ข้างหลังบ้าง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วนะ  หมดแรงหรือยัง ผลักดันกันไปให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจกันบ้าง ก็ขอให้อะลุ่มอล่วยไปให้ถึงที่สุด อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว บางทีการสร้างห้องพระก็เหมือนการฝึกใจเราที่สุด ฝึกใจให้กว้างยิ่งกว่ากว้าง ยอมยิ่งกว่ายอม ให้ยิ่งกว่าให้
อาจารย์แจกผลไม้เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจ ให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เป็นลูกศิษย์อาจารย์ทั้งทีต้องเข้มแข็ง อย่างน้อยต้องให้สมกับที่ต้องตั้งใจบำเพ็ญ เหนื่อยหน่อยนะ มาเยอะเลย อย่างนี้ผลไม้อาจารย์ไม่พอแน่เลย แต่อย่าลืมนะ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้อย่าไปกลัวใช่หรือไม่ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อะลุ่มอล่วย นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้อภัยกัน
อย่าถือสาเอาเรื่องเอาราว เรามาบำเพ็ญเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เรามาบำเพ็ญเพื่อละความเป็นตัวตน ถ้าบำเพ็ญแล้ว นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ยอมแปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่จริงไหม ฉะนั้นอะไรที่ควรยอมได้ก็ควรยอม อะไรที่ควรให้ได้ก็ควรให้
ฉะนั้นเราได้โอกาสที่ดี เราก็ควรรู้จักแปลงโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ได้ฝึกฝนจิต ไม่ใช่โอกาสที่ตามใจตัวเราเอง อยู่ที่ใจของเราถ้านิดๆ หน่อยๆ เรายอมแพ้ โรคที่มีอยู่นิดๆ ก็จะมีเยอะ แต่ถ้านิดๆ หน่อยๆ ฉันไหวฉันสู้ ฉันได้ฉันผ่าน ที่นิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นไม่มี อาจารย์เคยบอกไว้ตั้งหลายรอบแล้ว กรรมเป็นแค่ที่สังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ถ้าจิตอ่อนแอไปตามกายตามสังขาร เราก็เจ็บทั้งกายและใจ แต่ถ้าเรามีกรรมไว้แค่ที่สังขาร กรรมนั้นก็ทำอะไรที่ใจเราไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็จะทำให้เราเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ เพราะถึงที่สุดกายของเราก็ต้องทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ มีแต่จิตเท่านั้นที่จะต้องไป
ศิษย์เอ๋ย ทำจิตใจให้เข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง ผ่านทุกเรื่องราวด้วยหัวใจที่ดีงาม อะไรที่เก็บไว้แล้วมันเหม็น มันไม่ถูกไม่ดีก็อย่าเก็บ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คนที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ  แล้วเราจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ของใครหรือเปล่า  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสก็ตั้งใจให้เต็มที่นะศิษย์เอ๋ย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง”
            ทำจิตใจให้เข้มแข็ง                          เรื่ยวแรงไม่มีถดถอย
    แม้เป็นแสงเทียนเล่มน้อย                          หิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ
    หยัดยืนหัดเป็นพุทธะ                               ชนะใจตนให้ได้
    ขัดข้องไม่ว่าเรื่องใด                                 วินิจฉัยความคิดตัวเอง
    ความทุกข์ทำให้อ่อนแอ                            ทางแก้ไม่ใช่ต้องเก่ง
    บางทีรู้จักร้องเพลง                                  คร่ำเคร่งไม่สู้ทำใจ
    ปล่อยวางไม่ท้วงหวงแหน                          ดินแดนวิสุทธิ์อยู่ไหน
    ตัวตายก็ไม่ได้ไป                                     หากใจปล่อยวางไม่ลง


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมผูถี เมื่อวันที่
๑๑-๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒   

จากเดิม เพียงผิดหวังไปบ้าง แก้เป็น เพียงผิดหวังไม่ตาย
จากเดิม สุขใจก็มีทุกข์ได้ แก้เป็น สุขใจก็มีความทุกข์ได้

ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน  ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา  สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า  ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย  ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ  ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา  อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำ พิจารณา  ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป  ซึมเศร้ากันไปไหน  คนดีต้องมีละอายเพียงผิดหวังไม่ตาย  ธรรมไมไปไม่มา
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง  จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย  สุขใจก็มีความทุกข์ได้  สุขเพราะปลงความทุกข์ไป  คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาว์
ทำนองเพลง : ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง : กำไรจากความทุกข์



[๑]กระถด : ถดถอย, กระเถิบ, ขยับ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา