西元二〇一九年歲次己亥四月初七日仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๑พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
งานธรรมะเฟื่องฟูเมืองสองแคว คนเก่าแก่และคนใหม่ไม่แตกต่าง
การบำเพ็ญเป็นหลักใหญ่เป็นแนวทาง งานแผ่กว้างใช้หลักธรรมเป็นหัวใจ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกคนสบายดีไหม
หมั่นเตือนตนชีวิตคนดั่งเทียนไข จงตั้งใจบำเพ็ญด้วยความบากบั่น
สร้างทุกบุญเป็นวันดีทุกวัน ชีพแสนสั้นใช้ชีวิตผิดเป็นครู
เปิดปัญญาประเดิมใจไปทั้งหมดฟ้า แรกพร้อมศรัทธาสิ่งที่เห็นที่รู้
ทำได้ดีตรงทางธรรมเป็นอยู่ เกียรตินั้นของหน้าที่ผู้ช่วยเบื้องบน
ธรรมคู่คิดหรือไม่มองตาพูด ธรรมไร้สูตรเอาธรรมไปฝึกฝน
เหล่าความคิดติดลบมักลวงตน ไม่ช่วยคนสุขแต่เห็นแก่ตัว
คนรักแต่สบายไม่อยู่ให้เข็ญ ชวนบำเพ็ญไม่บำเพ็ญทุกข์กับเรื่องตัว
ไม่อยากโดนใจทุกข์มาพันพัว บำเพ็ญทั่วหาไม่แล้วไม่แจ้งใจ
ไม่ว่าใครมีสบายไม่เพลินบ้าง ที่เพลินบ้างก็ด้วยปล่อยตามนิสัย
คนนั้นเกิดมาอยู่ในโลกทำไม พ้นเวียนว่ายพ้นทุกข์คนพ้นโลก
รู้จักพิจารณาช้ำแล้วไม่ช้ำอีก ภายใต้ปีกหลักธรรมแรงลมกรรโชก
ฐานบัวปรากฏฐานย่อมอยู่ในโลก ดูกระจกชัดแจ้งในตนทบทวน
ฮิฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ศาสนาเกิดจากความกลัวเรามีศาสนาเพราะเรากลัว เรายึดศาสนาเป็นที่พึ่งเพราะเรากลัวกลัวตาย กลัวทุกข์กลัวเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกศาสนาล้วนมีหลักอันเดียวกันคือสอนให้คนอยู่กับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยการที่เราไม่ต้องทุกข์ ฉะนั้นศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวแต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้ความจริงอันเป็นธรรมดาที่หลีกหนีไม่พ้นและเมื่อเราพบความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทุกข์แต่เราสามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเราต้องพบความจริงใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนั้นธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริงโดยไม่ทุกข์ การเรียนรู้ธรรมจึงต้องการให้เราเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาโลกโดยที่เราอยู่กับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลกแล้วเราไม่ทุกข์
ฉะนั้นถ้าใครมีศาสนาแล้วเข้าใจธรรม เมื่อถูกว่าก็จะไม่ (โกรธ) เจ็บปวดก็จะไม่ (ทุกข์) พบความตายก็จะไม่ (กลัว) ถ้าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม นี่ก็เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาได้นั่งก็ต้องได้ (ยืน) ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีโรคแล้ว หรือนั่งแล้วยืนไม่ได้ก็เรียกว่าเป็นอัมพาตฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตเราก็จะรู้ว่าเกิดเป็นคนไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นธรรมดาของโลกเราไม่ควรที่จะทุกข์แต่เราควรที่จะพบธรรมและพ้นทุกข์ถึงจะเรียกว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแต่เมื่อไรที่เราถูกว่า เจ็บป่วย สูญเสีย พลัดพราก เรายังทุกข์ พอแก้ไขอะไรไม่ได้เราก็ไปทำบุญเพื่อให้พ้นทุกข์ แต่เราพ้นทุกข์ไหม(ไม่พ้น) เพราะปัญหาอยู่ที่ความคิด ความรู้และความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่บุญต้นเหตุของความทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดและไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้องเป็นไปเราก็ต้องทุกข์แล้วหวังแต่อิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นแปลว่า เรากำลังบำเพ็ญธรรมผิดใช่หรือไม่ ถ้าคิดแล้วทุกข์ แต่ก็คิดซ้ำๆควรทำอย่างไร(ปล่อยวาง) ตอบได้ดี แล้วปล่อยวางอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์บางครั้งสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเราไม่เอามาคิดเห็นก็เหมือนไม่เห็นถูกไหม (ถูก) บางอย่างหากเราไม่คิดถึงสิ่งที่มีก็เหมือนไม่มีแต่ทีไม่มีถ้าเราคิดว่ามีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติเราเห็นอะไรแว๊บๆตอนกลางคืน ถ้าเราไม่คิดไม่สนใจก็ไม่มีผีแต่ถ้าเราคิดแม้ไม่มีผีจริงก็เหมือนกับ (มี) เช่นมีคนที่เราโกรธแต่เราไม่ใส่ใจ ไม่ให้คุณค่าเขา ไม่ให้ความสำคัญเขาจะมีผลต่อใจเราไหม (ไม่มี) ความทุกข์ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์น้องทุกข์แล้วศิษย์น้องไม่คิดทุกข์มีก็เหมือน (ไม่มี) ฉะนั้นแม้ว่าเวลาเราเจ็บแต่เราไม่คิดถึงเราพยายามทำตัวให้แข็งแรงๆมีก็เหมือน (ไม่มี) การปล่อยวางที่แท้จริงก็คือสิ่งนั้นมีแต่เราไม่คิดมนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าปล่อยวางชอบพูดคำว่าปล่อยวางใช่ไหม (ใช่) แล้วจะปล่อยอย่างไรในเมื่อเห็นทุกวันเกลียดทุกวันนั่นคือเห็นแล้วเราไม่คิดเห็นแล้วเราไม่ใส่ใจ หรือถ้าคิดแล้วมันทุกข์ หันไปทางไหนๆ ก็ทุกข์ทำไมเราไม่ลองพลิกใจแล้วหันไปทางอื่นบ้างในเมื่อโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าดูและเรียกว่าความสุขอีกมากเลยในเมื่อเห็นแล้วทุกข์เห็นแล้วเจ็บ คิดแล้วปวด แล้วทำไมไม่รู้จักพลิกใจบ้าง ใช่ไหม (ใช่) แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแค่รู้จักหยุดความคิดชีวิตก็ไม่มีความทุกข์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้แล้วเอาแต่คิดว่า “เมื่อย เมื่อไรจะจบ เบื่อแล้ว” นั่งไปก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง) แต่ถ้าคิดในทางที่ดี เช่น“มันก็ดีนะ มันก็สบายนะนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็มีคนทำนั่นทำนี่ให้กินก็ดีนะ สาธุด้วยนั่นได้บุญนะอนุโมทนาบุญด้วยนะ พูดดี ยินดีด้วยนะ” คิดแบบนี้ได้บุญไหม (ได้) แล้วทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ แปรทุกข์เป็นสุขธรรมสอนให้เราฉลาด มีปัญญาธรรมไม่เคยสอนให้คนโง่ ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วโง่แปลว่าไม่ใช่ธรรม แต่หากทำอะไรแล้วฉลาด เกิดการปล่อยวางเกิดการพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่าปัญญาธรรม
โดยส่วนใหญ่เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมกันมามาก แต่ถามว่า ธรรมคืออะไร บางทียังหาไม่ได้ ถ้าธรรมคือความสว่าง ความสงบ ความร่มเย็น ความว่าง ชีวิตเราเคยมีธรรมไหม ถ้าเราอยากมีธรรมเราก็แค่หยั่งรู้ในความสงบหยั่งรู้ในความว่าง มีสติอยู่กับความสงบ ความว่าง เราก็คือคนที่มีธรรมถ้าเมื่อไรเราคว้าความว่างความสงบก็แปลว่าเรากำลังคว้าธรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคว้าความมี ความยึดติดความอยาก ความโลภเราก็เป็นผู้ที่ไร้ธรรม ถ้าทุกชีวิตพยายามยึดความมีเราก็จะไม่มีวันพบความว่างถ้าพยายามยึดความมีความอยากได้ สิ่งที่เราได้ก็คือกิเลสตัณหา ทิฐิ อัตตาตัวตน แต่ถ้าทุกขณะที่เราคว้าความว่าง ความไม่มี เราก็พบความสงบและพบธรรมแล้วในชีวิตจริงเราไม่เคยพบธรรมเพราะเราพยายามคว้าความมี ความอยากความโลภ เราจึงหนีไม่พ้นความทุกข์และไร้ธรรม
ท่านอาจจะบอกว่าเกิดเป็นคนต้องมีนั่นมีนี่ ไม่มีก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) เราถามท่านว่ามีมากมายแล้วพ้นทุกข์หรือไม่มีจนถึงที่สุด สุดท้ายท่านก็อยากหาธรรม อยากว่างบ้างแล้วใครจะช่วยได้ในเมื่อตนเองยังอยากมีฉะนั้นอยากพบธรรมก็แค่หยุดความอยากมี อยากยึดเพราะถ้ายังยึดไม่จบก็ไม่มีวันพบธรรมจริงหรือไม่ (จริง) แต่หากรู้จักวาง รู้จักปลงทำให้ดีที่สุดแล้วสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเราก็แค่ยืมเขาใช้แล้วปล่อยวางไปแบบนี้จะทุกข์หรือไม่ แล้วจะวางใจอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วทำให้มีธรรม
ท่านว่าฟ้ากว้างหรือไม่ (กว้าง) ในความกว้างมีขอบเขตหรือไม่ (ไม่มี)ในความไม่มีขอบเขตมีรูปลักษณ์ที่แน่นอนหรือไม่ (ไม่) ไม่แน่นอนแล้วในความว่างของฟ้ามีก้อนเมฆมีลม มีมืด มีสว่าง หรือไม่ (มี) ในเมื่อมี แล้วทำไมฟ้าไม่ทุกข์ แต่ทำไมเราทุกข์ ฟ้าเหมือนเรา ในตัวเรามีความว่างในความว่างก็มีความมี ในความมีก็มีความว่าง ในความว่างก็มีความมืด มีความสว่าง ทำไมเราทุกข์แต่ฟ้ากลับไม่ทุกข์ ต่างกันตรงที่เพราะฟ้าไร้ตัวตนที่ยึดติด ฉะนั้นหากเราไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าวันหนึ่งจะมืดหรือจะสว่างก็เป็นธรรมดาของชีวิต วันหนึ่งตั้งขึ้นได้วันหนึ่งก็ล้มลงได้ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต หากเข้าใจหลักนี้เราจะไม่ทุกข์ฉะนั้นตัวตนคือความหลงที่ยึดติดและหนีไม่พ้นถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีทุกข์ แต่ถ้ายึดตัวตนเราก็ทุกข์กับทุกๆสิ่งที่เราพยายามเอาตัวตนไปเกี่ยวข้อง เช่นถ้าเราบอกว่าผ้าผืนนี้เป็นของฉันถ้าผ้านี้หายไป หรือสกปรกไปเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์) แต่ถ้าผ้านี้ไม่เป็นของใครแม้ว่ามันจะหายไปหรือสกปรกไปเราเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ฉะนั้นจำไว้ธรรมสอนให้เราเป็นแค่ผู้รู้ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นและยึดติดนี่เป็นหลักใหญ่รู้และรักษาความรู้ให้ปกติมั่นคงจนเกิดความเห็นแจ้งในปัญญาและความจริงของโลกทั้งปวง เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาทันที ศีลก็คือความปกติสมาธิคือความมั่นคงในความปกติปัญญาคือรู้แจ้งในความปกติจนไม่ยึดมั่นถือมั่นจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาในทุกขณะที่เรามีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงของโลกใบนี้อันเรียกว่าธรรมะ ยากไหม (ไม่ยาก)
เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก เห็นก็เหมือนไม่เห็นถ้าอยากเข้าถึงความว่างที่เรียกว่าธรรมะ ต้องไม่มีขอบเขต ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนั้นมาย้ำเตือนเราทุกครั้งที่เรามองสรรพสิ่งเราก็จะไม่ยึดติด และเราจะค้นพบธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเห็นใครในโลกแล้วเห็นอย่างแท้จริงบ้าง เราเห็นก็เหมือน (ไม่เห็น) เหมือนท่านเห็นความว่าง ท่านอยากเข้าถึงธรรมโลกนี้สอนเรื่องความว่างอยู่อย่างหนึ่งว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็นเพราะมีบางสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่ยากเดาจากคนๆ หนึ่งเช่นกัน ถ้าท่านอยากพบธรรมะ จำไว้ว่า เห็นเขาเหมือนมีแต่ก็เหมือน (ไม่มี) แฟนลูก เงิน เหมือนมีอยู่กับเราแต่จริงๆ แล้วก็ไม่อยู่กับเราเหมือนเห็นเขาอยู่ใกล้ๆ เรา แต่จริงๆ แล้วใจเขาไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนครอบครองและรู้จัก แต่จริงๆแล้วเราเหมือนคนที่ไม่รู้จักเขาเลย ใช่ไหม (ใช่) บางครั้งเขาก็ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับเราได้ ใช่ไหมฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้จักก็เหมือนไม่รู้จักเหมือนครอบครองได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้และเอาหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตกับทุกสรรพสิ่งแล้วเราจะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นของเราเพราะถึงที่สุดแล้วก็คือความว่างการพยายามยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์และวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย หรือเรียกอีกอย่างว่าวิบากกรรม
ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงความว่างของธรรมได้มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นการยึดติดความคิดแห่งตัวตนเมื่อยึดติดความคิดแห่งตัวตนก็จะมีสิ่งที่เรายึดเรียกว่าดีและไม่ดีชอบและไม่ชอบก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์เพราะหนีไม่พ้น กิเลส กรรม มนุษย์มักจะพูดบอกว่า “ถ้าเรารู้จักฟ้าเราจะไม่โทษฟ้า ถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่โทษใคร” เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ ถ้าเรารู้จักฟ้า เราจะไม่ตัดพ้อต่อว่าฟ้าลำเอียงฟ้าไม่ยุติธรรม และถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่บ่นด่าใคร ฉะนั้นแปลว่า“ฟ้า”เราก็ไม่รู้จัก “คน”เราก็ไม่รู้จัก เราจึงด่าทั้งฟ้าแล้วก็ด่าทั้งคนจริงหรือไม่ (จริง) อย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นเพราะฟ้ากำหนด คนจัดการหรือเราเป็นผู้จัดการและกำหนด
คนเราจะดีหรือร้ายโชคดีหรือโชคร้ายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ใครกำหนด (เรากำหนด)การกระทำของเรากำหนดเองใช่ไหม (ใช่) เรา ไม่ควรว่าเขาแต่ควรว่า (ตัวเอง) ไม่ควรบ่นฟ้าแต่ควรบ่น (ตัวเอง) ฉะนั้นถ้าท่านไม่ทำบาป ไม่ผิดศีลไม่ประพฤติผิดจะกลัวอะไรกับเคราะห์กรรมและโชคร้ายถ้าท่านเป็นคนดีที่สุดเป็นคนน่ารักที่สุดแล้วจะกลัวอะไรกับคำว่าดีหรือไม่ดีที่คนอื่นพูด ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นพิจารณาก่อนทำย่อมประสบสุข แต่ถ้าทำแล้วค่อยคิดย่อมประสบทุกข์หากอยู่ในโลกรู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธผู้อื่นไม่เคยแค้นเคืองใคร มีหรือจะไม่เป็นที่รักของใครดังนั้นไม่ว่ามีเรื่องอะไรถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วตำหนิต่อว่าตัวเองก่อน “ขอโทษนะฉันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้” คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนมีหรือใครจะไม่รัก แต่ถึงเวลาดำเนินชีวิตจริงๆ นอกจากเราไม่อภัยแล้วยังถือสาหาความแล้วว่าเขาอีกจริงไหม (จริง) จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์นั้นแปลกเดินไกลเป็นร้อยก้าวพันก้าวสามารถมองเห็นชัดแต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังตัวเองกลับมองไม่เห็น” ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกให้เป็นสุขก็ต้องรู้จักเข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่นเอาความรู้ระดับปราชญ์มาตรวจสอบตน เอาความรู้ระดับปุถุชนไปตรวจสอบผู้คนเรียกว่าเอาสิ่งที่เข้มงวดที่สุดมาตรวจสอบตัวเองนำสิ่งที่ผ่อนปรนไปใช้กับผู้อื่น แล้วเราจะไม่ถือโทษใคร
ถ้าในใจเรารู้สึกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นเต็มหัวใจเราจะไม่สามารถอยู่กับใครได้อย่างร่มเย็น ไม่สามารถเมตตาปรานีเขาได้และเราจะไม่สามารถอยู่กับใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ดังนั้นเราจึงไม่ควรช่างว่า ช่างตำหนิ และควรให้อภัยไม่ถือสาถ้าเราเห็นทุกคนไม่มีคุณค่าเราก็อยู่กับคนที่ไร้ค่าเต็มไปหมดแต่ถ้าเห็นทุกคนมีคุณค่ามีคุณประโยชน์เราก็อยู่กับคนที่เต็มไปด้วยความน่ารักถ้าเรายังเข้าถึงความว่างไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เพราะธรรมะสอนเราว่าคนเราเกิดมาเดินหน้าตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เงยหน้าธรรมะสอนให้เรามองอย่างเป็นกลาง แต่เราชอบมองแบบยึดติดว่ามันแย่ธรรมะสอนเราว่าแย่ก็ไม่ไปคิด ดีก็ไม่หลง ศาสนาพุทธสอนให้เราเป็นกลางแล้วตัวเราเป็นกลางหรือไม่ ตัวเป็นกลางแต่ใจมันลำเอียงธรรมไม่เคยสอนให้เรายึดติด มีสุขเราก็ติดสุข มีทุกข์เราก็ติดทุกข์แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง และเข้าใจว่ามันก็มีวันมืดและก็มีวันสว่างและเราเกิดมาเพื่ออยู่ตรงกลางอย่างสมดุล ถ้ายึดเมื่อไรก็หนีไม่พ้นทุกข์ฉะนั้นจะเอาหัวจมอยู่กับทุกข์หรือว่าจะยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฟ้าดินยังมีคนที่แย่กว่าเราและคนที่ดีกว่าเราถ้ารู้สึกแย่มันทุกข์เราก็หันไปมองคนที่เขาแย่กว่าเราก็จะทำให้เรารู้สึกดีถ้ามองดีมากแล้วทำให้หลงก็อย่าลืมว่ามันไม่เที่ยงเพราะถึงที่สุดแล้วชีวิตอยู่ที่เราเลือกเดิน ถ้าเข้าใจหลักของฟ้าจะไม่โทษฟ้าเข้าใจหลักของความเป็นคนจะไม่ด่าทอคนให้เกิดวิบากกรรมที่เรียกว่า เกลียดโกรธ หลง แค้น จองเวรจองกรรมอีกเลย การรู้แจ้งจะทำให้เราพ้นกิเลสพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องอดทน แต่จะเกิดความกระจ่างแจ้งว่า “ช่างเขา” ไม่คิดก็ไม่มี ยิ่งคิดก็ยิ่งมี จริงไหมฉะนั้นปล่อยความคิดและรักษาความเป็นกลางให้สมดุลวันนี้รักมากก็หัดมองให้ชัดเจนวันนี้เกลียดมากก็ลองมองดูว่าเขามีอะไรน่ารักไหม แท้ที่จริงแล้วคนที่เราเกลียดจนแช่งชักหักกระดูกเขาก็มีมุมที่น่ารักและคนที่เรารักมากจนทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเขาก็มีอะไรที่น่ารังเกียจเหมือนกันฉะนั้นเราควรโกรธให้สะใจ แล้วเป็นทุกข์ เป็นหนี้บาปกรรม เป็นวัฏฏะการเวียนว่ายหรือเราควรจะไม่โกรธดี (ไม่โกรธ) โดยไม่ต้องใช้คำว่าอดทนหรืออภัย แต่เป็นความเข้าใจ
แปลกนะ มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาต้นเหตุเพื่อดับทุกข์แต่พยายามหาสุขทั้งที่จริงๆแล้วถ้าดับทุกข์ได้ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขแต่มนุษย์หนีทุกข์และพยายามหาสุขถึงที่สุดแล้วความสุขที่พยายามหานั้นก็ให้ทุกข์ไม่ต่างกันเลย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้าเรารู้แจ้งเข้าถึงความจริงแห่งทุกข์เราก็จะพบสุขได้โดยที่ไม่ต้องแสวงหาสุขจากภายนอกเลยสภาวธรรมหรือสภาวะความว่าง จริงๆแล้วมีอยู่ในตัวเราทุกคนนะแต่อยู่ที่ว่าท่านเคยใช้สติ หยั่งลงมองให้เห็นความจริงในใจตนเองไหมถ้าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นก็มองไม่เห็นความว่างแต่ถ้ามองให้ดีแล้วในความมีมันมีความว่างอยู่
สรุปง่ายๆจิตที่ว่างไม่ใช่ไม่มีความคิดอะไรจิตที่ว่างยังมีความคิดเต็มไปหมดแต่รู้เท่าทันความคิดด้วยสติและก็สงบได้จิตที่สงบและบริสุทธิ์ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวหน้าที่อะไรยังมีเรื่องราวหน้าที่แต่สามารถรักษาความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายได้เวลาเราไปทะเล เราอยากหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่) เราขึ้นภูเขาเราก็อยากไปตากอากาศเย็นสบายและหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บนภูเขาเราหนีเสียงนกได้ไหม (ไม่ได้) ขึ้นบนเขาก็ยังมีเสียงนกเสียงน้ำตก เสียงลม และก็ยังมีเสียงจั๊กจั่น จิ้งหรีดแต่ทำไมเราว่ามันสงบนั่นเป็นเพราะเราชอบเช่นกันอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมถ้าจะไม่มีเสียงคนถ้าถือว่าเสียงคนเป็นเสียงนกกระจิบที่เราได้ยินบนภูเขาเราก็จะสงบได้ถ้าที่ไหนก็สงบก็คือที่ที่เราพักผ่อนแต่ถ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่สงบถึงจะขึ้นภูเขาเข้าป่า ไปว่ายน้ำไปเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่สงบ ก็เหมือนคนที่หลอกตัวเองเพราะลึกๆมันไม่สงบ ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงถึงที่สุดก็ไม่สามารถหนีความว่างได้แต่ถ้าศิษย์น้องยังอยากยึดความมีศิษย์น้องก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเข้าถึงความว่างศิษย์น้องจะพ้นจากกรรมดีกรรมชั่วและวัฏสงสาร คิดดูนะ ถ้าทำอะไรรู้จักพิจารณาก่อนทำเราก็จะไม่เดือดร้อนแต่ถ้าทำแล้วค่อยพิจารณาเราลำบากแน่เลย
ถ้ายังมีรากบุญดีอีกไม่นานก็จะกลับมาผูกบุญกันอีกแต่ถ้าไร้รากบุญแล้วแม้พบกันวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นวันสุดท้ายก็ได้จริงไหม (จริง) บุญหรือบาปบุญหรือเคราะห์กรรมไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่กำหนดแต่อยู่ที่ศิษย์น้องเป็นคนสรรค์สร้างเอง ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญและรักษาบุญด้วยการหมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามและช่วยชำระล้างจิตใจได้ไหม (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกอย่าดูถูกตัวเองเราสามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้และสามารถสร้างชะตาด้วยการปลูกบารมีให้ธรรมะเป็นทานได้ แล้วธรรมที่เป็นทานที่ยิ่งใหญ่คือธรรมที่ไม่ถือสาหาความ เห็นเหมือนไม่เห็นไม่ยึดติดความคิดตัวเองจนกลายเป็นวิบากกรรมให้ทุกข์ใช่ไหม (ใช่) กลับแล้วนะ
*** ประวัติศิษย์พี่พระนาจา
สมัยปลายราชวงศ์เซียง คาบเกี่ยวต้นราชวงศ์จิว ในรัชสมัยของจิวบุ้นอ้วงเป็นฮ่องเต้ ตำนานกล่าวถึงเทพนาจาเป็นบุตรคนที่ 3 ของแม่ทัพหลี่จิ้ง มีกำเนิดที่ไม่ปกติเพราะอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 3 ปี 6 เดือนกว่าจะคลอด และเมื่อคลอดออกมาก็มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหุ้มอยู่ จนบิดาต้องใช้กระบี่ฟันก้อนเนื้อจึงปรากฏทารกเพศชายมีผ้าสีแดง มีห่วงทองคำ สร้างความปีติแก่ครอบครัวอย่างมาก รุ่งเช้านักพรตไท้อิกจิงยิ้งได้มาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ทัพหลี่ และเห็นลักษณะนาจาว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูง จึงได้รับไว้เป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้ เมื่อนาจาอายุได้ 7 ขวบ ได้ออกไปท่องเที่ยวจนเกิดการวิวาทกับบุตรชายเจ้าสมุทร และพลั้งมือจนบุตรชายเจ้าสมุทรเสียชีวิต เจ้าสมุทรจึงมาแก้แค้นนาจา บิดาของนาจาโกรธเคืองบุตรของตนเป็นอย่างยิ่งนาจาต้องยอมผ่าท้องควักไส้ตนเองเพื่อชดใช้ความผิดด้วยชีวิต ต่อมาเทพไท้อิกจิงยิ้งได้ชุบชีวิตนาจาขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นนาจา บิดาหลี่จิ้งและพี่ชายทั้งสองได้ไปช่วยแม่ทัพเจียงไท่กงทำสงครามกับกองทัพราชวงศ์เซียง จนได้ชัยชนะ ล้มราชวงค์เซียงไป เกิดราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์จิว นาจา บิดา และพี่ชายทั้งสองได้กลับไปบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรม กลับคืนเบื้องบน
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ในระหว่างตั้งตัวกลัวไม่ตั้งใจ บอกกับใจว่าไม่เอาแต่หยวน
กำหนดบ้างไว้ทุกข์ในสัดในส่วน รักชีวิตคงไม่ด่วนให้ท้ายตน
แต่นี้ไปตายจากความเหลาะแหละ ดับอารมณ์เศร้าซึมและจิตสับสน
ถกเถียงกันไปไหนเรื่องเวียนวน คำติบ่นไม่ส่งเสริมกำลังใจ
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมโพธิ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา
ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน คนดีต้องมีละอาย เพียงผิดหวังไม่ตายไปบ้าง ธรรมไม่ไปไม่มา
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย สุขใจก็มีความทุกข์ได้
สุขเพราะปลงความทุกข์ไป คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาวน์
ทำนองเพลง: ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง: กำไรจากความทุกข์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่ในโลกคนที่น่ารักคือคนที่กล้ายอมรับความจริง คือคนที่ไม่เกียจคร้าน มีน้ำใจไม่ใช่รักแต่สบายไม่ใช่คนที่ชอบเอาแต่อู้งานมาตากแอร์ในห้องดีกว่าไม่ต้องทำอะไร ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) คนโดยส่วนใหญ่มักจะบ่นๆ ว่าเกิดเป็นคนดีก็ยากแล้วดีแล้วแล้วยังต้องพยายามบำเพ็ญอีกก็ยิ่งยากจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นบางคนก็ถามอาจารย์ว่าเป็นคนดีไปทำไมเป็นคนดีก็ยากแล้วยังให้บำเพ็ญอีก เป็นคนดียังไม่ค่อยรอดเลยแล้วให้บำเพ็ญจะรอดไหม อาจารย์ถามว่าคนที่ดีคนที่รู้จักบำเพ็ญน่าจะเป็นคนแข็งกระด้างหรือคนอ่อนน้อม (อ่อนน้อม) น่าจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้หรือดื้อแพ่งไม่ฟังใคร (รักการเรียนรู้) ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราเป็นประเภทไหน (รักการเรียนรู้) รู้หมดแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่) เรามาเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ ก่อน เริ่มจากการเป็นคนดีก่อนถ้ายังเป็นคนดีไม่พอจะยังบำเพ็ญไม่ได้ การเป็นคนดีอย่างน้อยคนดีต้องไม่ทำ (ความชั่ว)ขึ้นชื่อว่าคนดีต้องไม่ทำผิดบาป เพราะถ้าเราจะบำเพ็ญแต่ความชั่วความผิดบาปเรายังไม่ละเลิกอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญยังไม่ได้ เพราะเป็นคนดียังไม่รอดถ้าใจหนึ่งก็อยากทำดี แต่อีกใจหนึ่งก็ยังละบาปไม่ได้อย่างนี้เรียกว่าดีหรือไม่ (ไม่ดี) เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)คนดีอยู่ที่ไหนก็ต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะการบำเพ็ญต้องเริ่มต้นตั้งแต่ดีให้ได้ก่อนฉะนั้นคนดีที่แท้จริงคือคนที่ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) อบายมุข โลภโกรธ หลง สิ่งเสพติด สารมึนเมา ไฮโล การพนัน ติดชาย ติดหญิง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องละบาปให้ได้ก่อนเราถึงจะบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่พยายามเป็นคนดีแต่ไม่ละบาป หรือไม่ก็ทำบาปก่อนแล้วค่อยทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วทุกข์น้อยที่สุดก็คือ จะนั่งหรือยืนก็ได้อะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมเผชิญ ชีวิตก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ายืนแล้วไม่ให้นั่งก็โกรธอย่างนี้ก็ยึดติดเกินไป หาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางครั้งชีวิตไม่ใช่เรากำหนด มีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องด้วยฉะนั้นเราจะหวังให้เป็นดั่งใจทุกอย่างเป็นไปไม่ได้
เป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แค่พยายามไม่ประพฤติผิดเพราะคนในโลกพยายามเป็นคนดีเหลือเกิน แต่ไม่ละความผิดและยึดติดความดีจนเป็นความดีหลงผิดอย่างน้อยเริ่มต้นการเป็นคนดีก็คือไม่ประพฤติผิด หนทางของความดีคือต้องมีศีล มีธรรม ศีลยังนำมาซึ่งความสงบและปกติ ธรรมนำมาซึ่งความสุขและสงบเย็น ตอนนี้ชีวิตเราปกติดีไหม (ดี)ปกติแล้วสบายดี ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่ชีวิตเราผิดปกติ นั่นแปลว่าเราขาดศีลเมื่อไรที่ชีวิตเราไม่สงบสุข จงถามตัวเองว่าเราขาดธรรมหรือไม่คนที่ดี ไม่ใช่แค่ดีอย่างเดียวหนทางของการเป็นคนดีนั้นต้องมีศีลมีธรรมด้วย ศีลคือทำให้เราปกติธรรมคือทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุขศีลสอนให้เราไม่เบียดเบียนธรรมสอนให้เราประพฤติให้ถูกต้องและมีคุณงามความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเรามีศีลมีธรรมอยู่ทุกขณะกับผู้คน เราก็คือคนดีคนหนึ่งแต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่า “คนเราก็มีผิดพลาดได้ คนเราก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง”ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว เกิดศึกกลางเมือง” “ถ้าทิ้งก้นยาสูบไม่ถูกที่ก็เกิดไฟไหม้ป่าได้” ใช่หรือไม่ (ใช่) ความผิดเพียงเล็กน้อย เราอย่าคิดว่าเป็นเพียงแค่เล็กน้อยแต่เมื่อผลสะท้อนกลับมา เราก็ต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจกับสิ่งที่เราผิดพลาดถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นคนเราควรที่จะทำผิดไหม (ไม่ควร) เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าไม่สร้างเหตุที่ถูกแล้วเราจะได้ผลที่ถูกไหม (ไม่ได้) ถ้าเราสร้างเหตุที่ผิดเราก็ต้องรับผลที่ (ผิด) นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำไมเราต้องเป็นคนดีเพราะการเป็นคนดี และอยู่ในศีลในธรรม จะช่วยป้องกันให้ไม่ต้องมีทุกข์และไม่ต้องรับผลของการกระทำที่เรียกว่ากรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดมาแล้วมีทุกข์ เราอยากเกิดไหม (อยาก) อย่าหลอกอาจารย์ว่าไม่อยากยังอยากไม่จบ อยากได้โน่น อยากได้นี่จริงไหม (จริง) เราเกิดมามีทุกข์ หนีกรรมไม่พ้น แล้วยังอยากเกิดหรือไม่ (อยาก)อยากเพราะคิดว่าเผื่อจะมีกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วหากเราไม่อยากรับกรรมในภายหน้าเราต้องรักษาตัวเองให้อยู่ใน (ในศีลในธรรม)แล้วเราอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับอดีตที่ทำมาและปัจจุบันที่ทำไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทุกข์แต่ศิษย์รู้หรือไม่ว่าที่ศิษย์ทำดีมีศีลมีธรรมแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ศิษย์จำไว้นะว่าการทำระดับศีล ระดับบุญ ระดับการทำความดี ยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้เป็นเพียงการป้องกันเราไม่ให้ตกเป็นทาสของกรรมชั่วทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำมาซึ่งทุกข์ วิบากกรรมและความเจ็บช้ำน้ำใจที่เราจะต้องรับในสิ่งที่เราสร้าง เข้าใจหรือไม่ เหมือนกับที่ศิษย์บอกว่าบุญศิษย์ก็ทำมาก พระก็สร้าง วัดก็ช่วยทำบุญแต่ทำไมไม่เห็นพ้นทุกข์เลย อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์จะทำบุญมากแค่ไหนมีดีมากแค่ไหน แค่ระดับบุญ ศีล ทาน ธรรมยังไม่สามารถนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่เป็นเพียงป้องกันไม่ให้เรามีทุกข์เพิ่ม รู้หรือไม่ (ไม่รู้) ไม่รู้ คิดว่าทำบุญทำทานก็พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์ชอบทำบุญแต่วันหนึ่งอาจารย์เผลอไปตีหัวคนอาจารย์ถามว่าบุญจะล้างบาป จะชดเชยบาปที่เราทำได้หรือไม่บุญที่เราทำมาก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วน (บาป)หากเราไม่อยากมีบาปเราก็อย่า (ทำบาป) ฉะนั้นไม่อยากอายผีก็อย่าทำผิดบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ไม่เช่นนั้นผีและวิญญาณร้ายจะดูถูกและเหยียดหยามถ้าเราทำดีมากๆ เหมือนการเติมน้ำลงไปในน้ำเกลือ เพื่อทำให้น้ำเกลือเจือจางลงแต่อาจารย์จะบอกว่าเกลืออยู่ในน้ำอย่างไรมันก็เป็นเกลือ เช่นกันถ้าศิษย์ทำผิดไปแล้วยอมขอโทษ และอุทิศส่วนกุศลให้เขาศิษย์คิดว่าเขาจะหายโกรธหรือไม่ (ไม่หาย)อาจารย์ถามว่าเราเกิดมาแล้วถูกทำร้ายหนึ่งครั้ง เราอยากเอาคืนหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องตีกลับให้แรงๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากย้ำกับศิษย์มากที่สุดก็คือ อย่าทำผิดบาปเพราะเมื่อผิดบาปส่งผลเป็นกรรมเป็นเวรแล้วให้ผลเป็นทุกข์แล้วแม้ศิษย์จะน้ำตานองหน้า แม้ศิษย์จะกราบพระขอให้อภัยเขาก็ไม่ละเว้นอย่าประมาท อย่าดูเบาความผิดเล็กๆ น้อยๆเพราะเมื่อผลกรรมมันตกผล จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นและเขาไม่ได้จองเวรชาติเดียวนะ ถ้าเขาเอาได้เขาก็คงเอาทุกๆ ชาติที่เขาจำได้เหมือนพระเทวทัตกว่าที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต่อเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากการมีศีลมีธรรมแล้วสิ่งที่ศิษย์จะต้องรู้อีกอย่างคือการบำเพ็ญ แล้วทำอย่างไรจะเรียกว่าบำเพ็ญเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์เอาธรรมอะไรที่มาช่วยพิจารณาจนหยั่งถึงและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ตอบได้ไหม (บำเพ็ญเพียรภาวนา) เอาอะไรมาภาวนาแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ถ้ามนุษย์หมั่นพิจารณาเอาหลักความเป็นจริงซึ่งเป็นแก่นของทุกสรรพสิ่งและเป็นแก่นของรูปนามทั้งปวงมาใช้พิจารณาอยู่เนืองๆ มนุษย์จะสามารถพ้นทุกข์ได้หรือที่ศิษย์บอกว่าจะกลับคืนสู่นิพพานได้อย่างไรแต่ก็ยังเป็นแค่นิพพานชั่วขณะหนึ่งที่เราพิจารณา เราได้พิจารณาอย่างต่อเนื่องหรือไม่สิ่งที่เป็นหลักที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้นั่นก็คือการพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจารย์พูดเรื่องนี้บ่อยครั้ง แล้วเราพิจารณาจนพ้นทุกข์บ้างหรือไม่สิ่งที่เรารู้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มต้น คือศีลระดับทานและระดับต่อไปคือมั่นคงในความดีงามจนถูกต้องเพื่อเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมแล้วเราจะเข้าถึงปัญญาอันแจ่มแจ้งในธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งนี้มาหยั่งรู้ในใจและทำให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกฉะนั้นเมื่อไรที่เราพบความเจ็บ ความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสียพบอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจสิ่งนี้จะเตือนใจว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์และมันว่างเปล่าจากตัวตน ศิษย์เคยเห็นไหมเวลาที่มีเราโมโหคน เรากำลังมีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) และไม่มีใครเคยทุกข์ครั้งเดียวทุกคนล้วนทุกข์แล้วทุกข์อีกถูกไหม (ถูก) เวลาที่ศิษย์เคยพบคนที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เราทุกข์ศิษย์มักถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ทำไมศิษย์ต้องพบคนแบบนี้อาจารย์ศิษย์ไปทำกรรมอะไรมาศิษย์ต้องพบกับคนแบบนี้ทำไมเขาต้องทำกับศิษย์แบบนี้” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่พบในสิ่งที่มันไม่คาดคิดเอาอันนี้มาคิดมาพิจารณามันจะแตกยอดออกไปว่า “จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าแขวนตัวเองไว้กับความนึกคิดคาดหวังอย่าผูกใจตัวเองกับอดีตที่แล้วมาแล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและเป็นสุขในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงนี้” จริงหรือไม่ (จริง) แต่ก่อนเขาอาจเคยเป็นคนให้ศิษย์ แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่จะเอาจากศิษย์จนศิษย์หมดตัวหรือไม่ไหวจนศิษย์อยากหนีไปให้พ้นๆ ถ้าศิษย์พบคนแบบนี้ ศิษย์จะหนีหรือลุกขึ้นสู้ ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย อาจารย์จะบอกศิษย์อีกอย่างนะจำไว้ โลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนทุกคนล้วนต้องมีบุญ กรรมกันมาถึงต้องมาพบกันช่วงแรกศิษย์อาจบอกว่า บุญอะไรให้มาพบกันแต่พออยู่ไปสักพักหนึ่งศิษย์อาจจะบอกว่าเป็นกรรมอะไรนะศิษย์จำไว้ไม่ใช่มีแค่กรรมแต่มีทั้งกรรมและบุญมาพร้อมๆ กัน และถ้าบังเอิญเกิดขึ้นแล้วเขาทำร้ายเราให้เจ็บปวด เราอยากจบกรรมหรืออยากเกี่ยวกรรมกันต่อ (จบ) เมื่อจบแล้วยอมไหม (ยอม) ถ้าทั้งชีวิตเขาเอาไปหมดเลย แล้วเราต้องมานับหนึ่งใหม่ เรายอมไหม (ยอม, ไม่ยอม) อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าสู้ได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าระดับหนึ่งแล้วไปไม่รอด ให้กลับมาตั้งหลักใหม่แล้วอยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ดีกว่าหรือแล้วถ้าสู้ไปก็เจ็บ สู้ไปก็ทุกข์อย่างนั้นอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เราเกิดมาก็มาตัว (เปล่า)ไปก็ไปตัว (เปล่า) แล้วจะเหนื่อยทำไม ไปด่าเขาทำไม ไปแย่งเขาทำไมถ้าเขามีความสุข แล้วเราสละความยึดมั่นถือมั่นได้ ให้ไปเถอะไม่ตายหาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาตรงนี้เนื่องๆ ศิษย์จะเข้าใจและรู้ว่าทุกข์นั้นไม่มี ผลจากการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้รู้ว่า
อนิจจังความไม่เที่ยง ถ้าเข้าใจจะ เห็นเหมือนไม่เห็น
ทุกขังความไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิม ถ้าเข้าใจจะ รู้เหมือนดั่งไม่รู้
อนัตตาความไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจจะมีเหมือนดั่งไม่มี
อาจารย์ชอบบทนี้มากที่สุด เพราะบทนี้ช่วยปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ปลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้และทำให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้ด้วยทั้งหมดนี้ดียิ่งกว่าศีลทานอีก ศีลทานเป็นแค่ความดีเบื้องต้นถ้าศิษย์เข้าถึงบทนี้ได้ ศิษย์จะละชั่วได้เลย ศิษย์จะไม่สร้างบาปศิษย์จะไม่โลภ ศิษย์จะไม่หลง เพราะว่าสิ่งที่เห็นเหมือนไม่เห็นสิ่งที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ในโลกนี้มีอะไรที่อยู่กับเราบ้าง แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่ารู้ นั้นรู้ไหม (ไม่รู้) ใครจะทำอะไร ยังไม่ทันอ้าปาก เราก็รู้แล้ว แต่จริงๆเขาก็อาจทำอะไรที่เหนือความคาดหมายก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เห็นเราก็เหมือนไม่เห็น สิ่งที่รู้ เราก็เหมือนไม่รู้สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ดังนั้น ถ้ามีคนด่าเรา เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ถ้าเราเห็นคนน่ารัก เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะหลงไหม (ไม่หลง) จะทำให้ศิษย์ไม่ประพฤติชั่วได้เลย คือไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลง เพราะสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าสวยนั้นไม่สวยสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าดี ยังดีไม่แท้ ใช่หรือไม่ (ไม่) แล้วที่ศิษย์เห็นว่าคนนี้ร้ายอย่าเพิ่งโกรธเขา เพราะคนนี้อาจยังไม่เท่าไร แต่คนที่จะพบในอนาคตอาจจะเลวกว่าคนนี้ที่เราพบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้ แม้กระทั่งตัวตนศิษย์ก็ละวางได้และเกิดมาแค่ใช้ชีวิตให้ถูกต้องและเรียนรู้ตัวตน และกลับไปสู่ความว่างเปล่าร่างกายตัวนี้วันนี้เห็นเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเหมือนเดิมหรือไม่เอารูปเมื่อสิบปีที่แล้วมาดูก็ไม่เหมือนตอนนี้แล้วหากร่างกายเป็นของเราจริงก็ต้องเชื่อฟังเรา เราต้องบังคับได้จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราบังคับมันได้หรือไม่ (ไม่ได้) แล้วเราไปยึดมันไว้หรือไม่ ยึดเมื่อไรก็เป็นทุกขัง ทุกขังแปลว่าสภาพที่ทนได้ยากและต้องการให้เราพ้นจากทุกข์นั้น ทุกขังไม่ใช่ทุกข์แล้วจะตายเหมือนวันนี้เราเจ็บเราต้องหาทางเพื่อพ้นทุกข์ถ้าเราทุกข์เราควรจมกับความทุกข์หรือลุกขึ้นมาสู้กับความทุกข์ (สู้กับความทุกข์) แต่อาจารย์เห็นแต่ศิษย์ที่จมกับความทุกข์ เข้าใจบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)หากศิษย์เข้าใจสักนิดจะรู้ว่าการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วการบำเพ็ญคืออะไร จะบำเพ็ญตอนไหน ตอนที่เราถูกกระทบใจ สมมติว่าอาจารย์มีผลไม้ถาดหนึ่ง ประมาณยี่สิบลูกเป็นผลไม้ที่กินแล้วดี กินแล้วเป็นมงคลทุกคน อยากได้ไหม (อยากได้) แต่ผลไม้นี้มีแค่ยี่สิบลูก ถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ไม่อยากได้เพราะศิษย์อยากเอาไปให้คนอื่นแทนหรือเสียสละไปให้คนอื่นแทน” ดีไหม (ดี) แต่ส่วนใหญ่อยากได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นอยากแล้วค่อยให้ ไม่เรียกว่าบำเพ็ญแต่ยังไม่ทันอยากก็ให้แล้วนั่นเรียกว่าบำเพ็ญตั้งแต่เริ่มต้นเลย คือละบาปบำเพ็ญบุญ และมีปัญญาเห็นแจ้งจริง รู้จักไม่เอาและสละให้แต่ในโลกของความเป็นจริง เอามาก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ไปขโมยผลไม้มา เป็นผลไม้ที่สามารถรักษาคนให้หายเจ็บหายไข้ได้ อาจารย์ไปขโมยของคนที่เขากินแล้วเขาใกล้จะหาย เพื่อจะมาให้ศิษย์ ศิษย์จะรับไหม (ไม่รับ) นี่คือศิษย์กำลังบำเพ็ญและได้ละบาปแล้ว ถ้าศิษย์บอกว่า “ไม่เอาอาจารย์อาจารย์ไปขโมยเขามา อาจารย์เอาไปคืนเขาเถอะสงสารเขา” ศิษย์ได้มีศีลมีธรรมและยังช่วยเตือนอาจารย์ให้ไม่ผิดศีลผิดธรรม
ฉะนั้นการบำเพ็ญไม่ใช่ต้องไปวัดแต่เราสามารถทำได้ทุกขณะที่เราอยากถ้าอยากแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสไม่อยากดีไหม (ดี) ถ้าอยากแล้วมันผิดกลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมหยุดก่อนดีไหม (ดี) แล้วเมื่อเราไม่อยาก แล้วเราเข้าใจ แล้วเราเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าได้มาก็เหมือนไม่มีอะไร ไม่เอาดีกว่าเราก็มีปัญญาเห็นแจ้งเข้าไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่ทำแค่ภายนอกแต่ทำได้ทุกขณะทุกเวลายากไหม (ไม่ยาก) อย่างนั้นเราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์) แก่ก็ไม่ (ทุกข์) เจ็บก็ไม่ (ทุกข์) ตายก็ไม่ (ทุกข์)
เมื่อครู่ใครตอบอาจารย์ให้ยืนขึ้น อาจารย์อยากให้รางวัลเอาหรือไม่ เอาทั้งถาดเลยดีไหม (เอา) เขากล้าขออาจารย์ก็ให้นะจะเอาแค่หนึ่งหรือเอาทั้งถาด (แค่หนึ่ง) ศิษย์เอยชีวิตนี้มันก็เหมือนกับการอยากได้อยากมี มีหนึ่งก็ทุกข์แค่หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์อีกอย่างนั่นก็คือใจที่ไม่ยอมรับความจริงความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่ากลัวเท่าใจกับใจที่ไม่ยอมรับความจริงมีคำกล่าวคำหนึ่งบอกว่า “อย่าหนีปรากฏการณ์แต่จงหลบหลีกความคิดปรุงแต่งในใจตน” เราไม่สามารถหนีคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราเราเปลี่ยนแปลงคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราไม่ได้อย่างนั้นเราควรเปลี่ยนความยึดมั่นคาดหวังที่เราคิดว่าเขาน่าจะดีแต่ถ้าเขาไม่ดีก็ขอเรียนรู้และยอมรับความไม่ดีของเขา เปลี่ยนจากความคิดที่ว่าชีวิตควรจะสงบแต่ถ้าไม่สงบเราก็เปลี่ยนที่ใจตัวเรายอมรับความไม่สงบนั้นให้ได้
ศิษย์เอยในบรรดาทุกข์ทั้งหลายความผิดพลาด ความล้มเหลว ความตาย ความเจ็บปวดเงินทอง อะไรน่ากลัวที่สุดและทำให้เราทุกข์มากที่สุด (ความทุกข์) ถ้าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ศิษย์ก็ไม่รู้จักวิธีพ้นทุกข์ปัญญาเกิดเพราะมีทุกข์ ความหลุดพ้นได้ก็เพราะมีทุกข์คนเราแจ้งในทุกข์ได้ก็เพราะเห็นทุกข์ชัดฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คือ
(เงินทอง) เงินไม่น่ากลัวแต่คนที่โลภแล้วอยากได้เงินจนไม่รู้จักผิด รู้จักถูก น่ากลัวจริงไหม เงินอยู่เฉยๆแต่คนที่อยากได้เงินจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นน่ากลัว
(ความเจ็บปวดน่ากลัว) ความเจ็บปวดไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไร้ปัญญา ใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ใจที่ไม่ต่อสู้กับความเจ็บปวดแล้วกลับมาเข้มแข็งน่ากลัวกว่า ใช่ไหม
(ความตาย) ความตายไม่น่ากลัวเพราะคนที่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่พ้นทุกข์ แต่คนที่ไม่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จงกล้าตายเพราะทำถึงที่สุดแล้ว เราทำดีที่สุดแล้วอย่างไรเราก็หนีความตายไม่พ้นแต่จงตายอย่างมีสติ และมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดก่อนที่จะตายจะได้คุ้มค่าที่เกิดมาใครก็หนีความตายไม่พ้นฉะนั้นขอแค่เพียงมีศีล มีศีลก็มีธรรมและมีคุณธรรมความเป็นคนปฏิบัติต่อคนก็ไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คือการได้จบจากการเวียนว่ายตายเกิดการได้จบกรรมกลัวแต่มีชีวิตอยู่ชอบสร้างกรรมไม่จบสิ้นเป็นเช่นนี้ความตายถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ใช่ไหม
(ความคิด) ความคิดน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) จำไว้นะ“ตัวตน” ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดเราจะรู้จักตัวตนก็ให้มองความคิด เราคิดอย่างไร ตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์เราต้องเปลี่ยนความคิดถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ถ้าเราสามารถอยู่เหนือความคิดและมองเห็นความคิดได้อย่างแจ่มแจ้งก็แปลว่านอกจากเราจะพ้นทุกข์แล้ว เรายังพ้นจากการยึดติดกรรมเวรชีวิตเราก็จะเปลี่ยน
ความคิดคือตัวตน ตัวตนคือความคิดและความคิดจะพ้นจากตัวตนได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่แจ่มชัด ความคิดก็ยึดไม่ได้ตัวตนก็ยึดไม่ได้ เรามีหน้าที่แค่รู้แล้วก็วางทำให้ดีที่สุดแล้วก็ยอมวางลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
(การเกิด) การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวใช่ไหม( ไม่ใช่) จริงๆคนเราตายครั้งเดียวแต่ความเกิดมีหลายครั้ง เกิดอยากได้ก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากมีก็ทุกข์หนึ่งอย่างเกิดอยากเป็นก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากด่าก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่าง เกิดอยากชมก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้นดับความเกิดได้มากเท่าไรก็ดับทุกข์ได้มากเท่านั้น ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีความเกิด
(อวิชชา) สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดก็คือความไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่รู้เพราะอวิชชา จึงเกิดตัณหา จึงเกิดอุปาทานแต่ตอนนี้รู้ยิ่งกว่ารู้แต่เมื่อไรจะเอาสิ่งที่รู้ไปประพฤติปฏิบัติจนเห็นแจ้ง อย่าบอกว่าไม่รู้ สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้คือ การขาดสติ ถ้าขาดสติเมื่อไร สัมปชัญญะปัญญาก็ไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถึงรู้ขนาดไหนทำอะไรจงมีสติรู้เท่าทันคนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตัวเอง
เราทุกข์เพราะอะไรหรือ (ทุกข์เพราะกิเลส) จะบอกอะไรให้กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้ามีตัวตนก็มีกิเลส ถ้าไร้ตัวตนก็ไร้กิเลส เรารักแบบหนึ่งคนอื่นก็รักแบบหนึ่งเราเกลียดแบบหนึ่งคนอื่นก็เกลียดแบบหนึ่งความรักความเกลียดของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วแต่ความนึกคิดที่เรายึดติดฉะนั้นถ้าเราอยากจะละกิเลส เราก็ต้องรู้จักระวังความนึกคิดความยึดติดแห่งตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
(ตัณหา) ตัณหาแปลว่าความทะยานอยาก ตัณหาเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์ได้มาทำให้เกิดโลภ เกิดโกรธเกิดหลง สิ่งที่ศิษย์ได้มานั้น มีก็เหมือนไม่มีเห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วเรายังอยากอีกไหมอาจารย์ถามหน่อยชีวิตเราทุกข์ครั้งเดียวไม่พอหรือ ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก เจ็บแล้วเจ็บอีกแล้วคนเราเอาทุกข์มาให้เจ็บหรือควรเอาทุกข์มาเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่เจ็บฉะนั้นถ้าศิษย์มีความอยากขึ้นมาจงอยากตามหน้าที่แต่ไม่ได้อยากเพื่อสนองกิเลสตัณหาทำตามหน้าที่กับทำสนองกิเลสตัณหาคนละความหมายกันใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เขาเรียกว่าทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อสนองกิเลสอัตตาในใจตน
มนุษย์ทุกข์เพราะยึดติดสมติเขาด่าเราถามว่าเราทุกข์เพราะเขาด่าหรือทุกข์เพราะว่าไม่อยากให้เขาด่าเราห้ามปากให้คนไม่ด่าเราได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นสิ่งที่ห้ามได้คือใจเราเราเปลี่ยนปรากฏการณ์ไม่ได้แต่เราเปลี่ยนการยอมรับในใจเราได้มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นกับความคาดหวังในใจยึดติดกับความคิดที่เราผูกไว้ในใจ เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดาแต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บมากที่สุดก็คือใจที่เราไม่ได้อย่างที่คิด “ต้องชมอย่าด่า ต้องดี ต้องสวย” ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ศิษย์ต้องมองให้ออกว่าทุกข์ที่เขาหรือทุกข์ที่เราไม่ยอมรับความจริงและเราจะเอาความจริงนั้นมาสอนเราหรือเอาความจริงมาทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก
(ทุกข์เพราะไม่มีใครสนใจ) นั่นแหละเหตุที่เราทุกข์เพราะเรายึดติดและคาดหวัง อาจารย์ถามว่า “เราเดินไปและบอกให้คนอื่นยิ้ม” หวังให้ทุกคนยิ้มกับเรา หวังให้คนอื่นดีกับเรา ได้หรือไม่ ในเมื่อแก้คนอื่นไม่ได้ ก็แก้ที่เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นยอมรับความจริงดีกว่าไหมเพราะคนเราก็มีเข้มแข็งและอ่อนแอสิ่งที่เราต้องแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ได้คือความยึดมั่นในความคิดและสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์มากที่สุดคือเราไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร้ายไม่อยากผิด ไม่อยากเลว ไม่อยากแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราแย่ เราเลวการปฏิบัติที่ดีที่สุดเวลาเราอยู่ร่วมกันก็คือทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ไม่ผิดศีล ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคนถึงที่สุดได้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเพราะเราทำดีที่สุดแล้วและอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ
คนส่วนใหญ่ทำอะไรจะหวังว่าต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องได้ ต้องดีเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมมีสำเร็จก็มีล้มเหลว มีได้ก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรายังมีปัญญา ยังไหว วันนี้ล้มเหลวก็ลุกขึ้นใหม่ วันนี้ทุกข์วันพรุ่งนี้จะพยายามไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) สติเราก็มีอยากแค่เพียงพอบำรุงเลี้ยงชีวิต แต่ไม่อยากจนทำร้ายชีวิตและก่อวิบากกรรมถูกหรือไม่ (ถูก) ใครบ้างเกิดมาอยากมีกรรมชั่วศิษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมดี ฉะนั้นจงรักษากรรมดีนั้นไว้ อย่าเผลอหลงผิดและจงรู้จักต่อยอดกรรมดีนั้น ด้วยการให้ให้มากที่สุด
(ถ้าผมนอนอยู่แล้วร้อน แล้วถีบผ้าห่มออกถามว่าผมทราบไหมว่าผมถีบผ้าห่มออก) ศิษย์เอย ถ้าทุกขณะเราทำด้วยสติอาจารย์ก็เชื่อว่าความรู้สึกตัวนั่นแหละที่จะบอกว่าเราต้องถีบผ้าแล้วศิษย์ไม่มีสติรู้เลยหรือว่าต้องถีบ ฉะนั้นถ้าฝึกให้มีสติอยู่ทุกขณะแม้ขณะฝันศิษย์ก็สามารถควบคุมฝันได้ด้วย ถ้าเขามาทำร้ายศิษย์ยังรู้จักรับมือ แล้วหยุดการทำร้ายนั้นได้ หรือแม้แต่ศิษย์คิดจะทำร้ายศิษย์ยังสามารถควบคุมสติได้จนถึงขนาดว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา เพราะสิ่งที่อยู่ใต้สำนึกเกิดจากการสั่งสมของสัญญา ความรับรู้ความหมายรู้ในจิตของเรา ที่เราฝังลงไปในใจ ที่เรียกว่าจิตเนื้อนาบุญปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาปแต่โดยส่วนใหญ่สิ่งที่เราปลูกคือความคิดเห็นอันเป็นอัตตาตัวตนที่เรียกว่านิสัย อารมณ์ กิเลส แล้วก็จะฝังอยู่ในตัวเราแล้วออกมาทางความรู้สึก ความฝัน และการประพฤติในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราสามารถย้อนกลับไปมองที่ตัวต้นเหตุได้ด้วยการมีสติรู้และไม่ฝังอะไรลงไปในสัญญา เราก็จะสามารถควบคุมชีวิตได้เรียกว่า นอนแล้วไม่ฝัน หลับแล้วไม่ทุกข์
อาจารย์จะบอกให้ลึกลงไปอีกว่า ต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหนเราประกอบด้วยกาย ใจ จิต ใช่หรือไม่ (ใช่) จิต เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แต่ถูกบดบังไป เพราะใจที่มีอัตตาตัวตนจึงทำให้เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ ที่มนุษย์มักจะพูดว่าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ใส ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ จิตไม่ใช่ดวงวิญญาณกลมๆ จิตเดิมแท้เป็นภาวะแห่งความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีเมื่อมีก็เลยถูกกระทบ เมื่อกระทบก็หนีไม่พ้นยึดติดแบ่งแยกแบ่งแยกเป็นสิ่งที่เรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าดี เรียกว่าร้ายฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถกลับคืนไปสู่ความว่างได้นั่นก็คือกลับสู่จิตเดิมแท้ แต่เรากลับยึดติดว่า“ก็หนูเป็นแบบนี้อาจารย์จะเอาอะไรกับหนูนักหนาก็หนูทำได้แค่นี้อาจารย์ก็คิดมากไปช่างมันเถอะ ตายไปมันก็จบกัน”ในความจริงมันไม่จบ ใช่หรือไม่ เพราะว่า กายเกิดมาเพื่อรับกรรมฉะนั้นกรรมจึงเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จำไว้นะศิษย์กรรมเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จิตพ้นกรรมมานานแล้วแต่ที่มันไม่สามารถพ้นกรรมได้ก็เพราะว่าเราเอาใจไปผูกยึดกับกายและจิตจึงทำให้จิตนี้มีคำว่าตัวตนบังซ้อนอยู่เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางตัวตนที่บังซ้อนอยู่ได้ศิษย์จะสามารถกลับคืนสู่จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ได้ ด้วยคำว่าว่างแต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง ชอบความมี ทั้งที่จริงๆแล้วความว่างมันทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงที่สุดแล้วกายก็กลับสู่ความว่าง ใจที่อยากได้นั่นอยากได้นี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บำเพ็ญจึงไม่ใช่แค่การเป็นคนดีแต่ยังหยั่งรากลึกลงไปถึงการกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ด้วยซึ่งศิษย์จะต้องมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม เหมือนถามว่าตัวตนเกิดจากอะไรตัวตนเกิดจากความคิด ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจสั่งสมจนเกิดเป็นตัวตนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตัวตนคือสิ่งที่ปรุงแต่งจากความคิดแล้วความคิดมันมีตัวตนหรือไม่ (ไม่มี) เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ไหนครอบงำอารมณ์อยากครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความอยากอารมณ์ดีครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความดีอารมณ์โกรธครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความโกรธทั้งที่จริงๆแล้วตัวเราไม่ต้องการอะไร แต่เรามักไม่ชอบความว่างเราชอบฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องมีแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์อยากไปให้ลึกกว่านั้น เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางความคิดเห็นแล้วไม่คิดคือใจที่ว่าง แต่มนุษย์เห็นแล้วมักดึงให้ชอบเห็นแล้วมักผลักให้ชัง ก็เลยกลายเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ชอบ ชังแต่ถ้าทุกขณะเห็นแล้วไม่ดึงให้ชอบ ไม่ดึงให้ชัง มันก็ว่าง มันก็ไม่มีมันก็จบ เหมือนถูกเขาด่า เราไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดติด มันก็ว่างจะเป็นกรรมไหม (ไม่เป็น) มันก็กลายเป็นอกรรม ฉะนั้นสิ่งที่เขาว่ามาเราก็แค่ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่เมื่อเราสิ้นกรรมก็แปลว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อไม่สร้างกรรมเมื่อสิ้นกรรมตลอดและทุกอย่างทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) และยังจะมีวิบากกรรมให้ต้องไปรับอีกไหม (ไม่มี) ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงต้องกลับไปที่คำแรกว่า เกิดเป็นคนต้องมีศีลธรรมเพราะเราปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมไม่ได้ปฏิบัติกับเขาด้วยกิเลสตัณหาเราปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อสัตย์แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์ปฏิบัติต่อกันเพราะฉันอยากได้อะไรจากเธอ เธอจะให้อะไรกับฉัน ฉันจะดีกับเธอแค่ไหน เธอจะดีกับฉันแค่ไหน จึงเป็นกิเลสและกรรมไม่ใช่ธรรม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ความเมตตา ความซื่อตรง จริงใจเคารพให้เกียรติ และไม่ผิดศีล ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่กรรมที่เรียกว่าตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ใช่ให้ปล่อยวางแต่ให้ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วได้กรรมยกตัวอย่างเช่น ไปทำบุญแล้วขอให้ถูกหวย ขอให้ครอบครัวร่มเย็นการขออย่างนี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อละ แต่ปฏิบัติแล้วหลงยึด ปฏิบัติแล้วได้กรรมเพราะที่สุดของบุญคือชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) บาปก็คือยึดมั่นถือมั่นจนเกิดความลุ่มหลง ฉะนั้นถ้าทำบุญแล้ววอนขอจึงเป็นบุญที่มีบาป ทำบุญแล้วหวังยังเป็นบุญที่อาบด้วยกิเลส แล้วเราเป็นไหม (เป็น) ฉะนั้นเราก็ใช้กรรมต่อไป อาจารย์ถามว่าศิษย์สร้างกรรมดีมากกว่าหรือสร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมชั่วเล็กๆ ก็สามารถทำร้ายให้เราเจ็บปวดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะอยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อสร้างกรรม แล้วเราปฏิบัติเพื่อธรรมหรือเพื่อตน (เพื่อธรรม)ส่วนใหญ่จะไม่เพื่อธรรม แต่จะเพื่อตนเองตลอดเลยจริงหรือไม่ (จริง)
หนทางการปฏิบัติความหมายจึงต่างกัน อาจารย์ยกตัวอย่าง เวลาเราไปทำงาน ทำเพื่ออยากได้เงินเดือนหรือทำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด (ปฏิบัติหน้าที่)ถ้าทำเพื่อเงินไม่ใช่เรียกว่าธรรมแต่ถ้าเราทำเพราะอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด จริงใจที่สุด ดีที่สุด ให้สมกับคนที่มีคุณธรรมมากที่สุดนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อธรรม แต่ถ้าบอกว่าปฏิบัติแล้วจะได้เงินเดือนเพื่อจะได้ไปเที่ยว ซื้อของนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อกรรมและสนองกิเลสตัณหาแห่งตน ใช่ไหม (ใช่) ความหมายต่างกัน ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าบำเพ็ญต้องเริ่มตั้งแต่ตอนแรกคือเราปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง รับผิดชอบซื่อตรง และเพื่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน ฉะนั้นผิดก็ยอมรับผิดแล้วแก้ไข ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตน คุณค่าความหมายคือมีชีวิตอยู่เพื่อธรรมและกลับคืนสู่ธรรมแต่ถ้าทำเพื่อตนก็มีชีวิตหนีไม่พ้นเวรกรรมเพราะคำว่าตนมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คำว่าธรรมมีแค่คำว่าธรรม และธรรมฉะนั้นถามใจตัวเอง จะทำเพื่อตนหรือทำเพื่อธรรม (เพื่อธรรม) ที่แล้วมาทำเพื่อตนและสนองกิเลสแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้บอกว่าศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรไม่ต้องทำอะไร แต่เรายังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้วถึงที่สุดอะไรจะเกิดก็ไม่กลัวเพราะอะไรจะเกิด ก็มีปัญญาธรรมจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นถ้าถึงเวลาศิษย์ต้องพบทุกข์ แม้เรื่องที่ง่ายที่สุดที่เรียกว่าถูกด่าถูกว่า ไยจึงไม่เห็นธรรม ไยจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดแล้วก่อเวรกรรมทั้งที่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดต่อไปถ้ามีคนมาด่าเรา เราจะด่ากลับเหมือนเคยไหม (ไม่) อยากพบเขาอีกใช่ไหมถ้าอยากพบเขาอีกก็จองเวรจองกรรมไปเลย แต่ถ้าไม่อยากพบเจอก็จบกันแค่นี้ดีไหม (ดี) เขาด่าเราโกรธไหม (ไม่โกรธ) เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาปัญหาอยู่ที่เราใช่ไหม (ใช่) ถ้าคิดว่าเราถูกด่าไม่ได้ก็เป็นกรรมแล้วแต่ถ้าคิดว่าเราถูกด่าได้จากกรรมมันกลายเป็นธรรมสอนใจเลยจริงหรือไม่ (จริง) อาจารย์ก็พูดอยู่ทุกครั้งที่ว่าธรรมคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นคือความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกแล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลก มีได้ก็มีเสียมีสุขก็มีทุกข์ มีสมหวังก็มีผิดหวัง ศิษย์อย่าดูถูกใจตัวเองศิษย์อย่าดูเบาใจตัวเอง คนที่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับใบหน้าคนอื่น คือคนที่ดูถูกคุณค่าตัวเองแล้วพร้อมจะตกเป็นทาสอารมณ์ของคนอื่นถูกหรือไม่ (ถูก) ฉันจะสุขจะทุกข์ต้องอยู่ที่คนนี้จะยิ้มหรือไม่ยิ้มฉันจะสุขจะทุกข์ก็ต้องอยู่ที่คนนี้จะด่าหรือชม ต่อไปถ้าเขาด่าศิษย์ก็ยิ้มเขาชมศิษย์ก็ยิ้มจำไว้นะศิษย์ชีวิตเรา เราเลือกได้ ทุกข์มาเราเลือกได้ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือจะเลือกทำในสิ่งที่ผิดต่ออย่าดูถูกตัวเองก็พอใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นบอกอาจารย์หน่อยว่าจะรับมือกับโลภ โกรธ หลงในใจอย่างไร (ปล่อยวาง, ทำจนถึงที่สุด, ใช้ปัญญา, ปลง) ปลงบ้าง ได้มาก็สะสมของเต็มไปหมดอายุปูนนี้แล้วถ้ายังปลงไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ (ใช้สติ)เมื่อไร้สติก็เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้ามีสติรู้จักยั้งคิดโลภโกรธหลงก็จะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ คนมีอารมณ์เป็นเพราะขาดสติ (แค่รู้) เวลาความโกรธมาไม่ให้ค่าไม่สนใจ เดี๋ยวโกรธจะหายไปเองแต่ถ้าเมื่อไรเราสนใจเราให้ค่าเราปรุงแต่ง ความโกรธจะเผาใจเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)
(ใช้ขันติ) ใช้ขันติข่มใจ ถ้าปัญญายังหยั่งไม่ถึงความเข้าใจในธรรมนั้นก็ต้องรู้จักใช้ขันติข่มใจ
(ปล่อยจิตให้ปล่อยวางไม่คิดอยากได้ของใครมาเป็นของตน) เมื่อไรที่อยากเท่ากับศิษย์เพิ่มความทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ
(ปล่อยใจให้ว่าง) พอได้ก็ว่างได้ ไม่พอก็ไม่ว่าง
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“กำไรจากความทุกข์”)
เมื่อเราพบทุกข์จงแปรทุกข์ให้เป็นปัญญาเมื่อไรที่สามารถแปรทุกข์เป็นปัญญาความทุกข์จะทำให้เรามีกำไรในการเกิดมาและในการใช้ชีวิตเราทุกข์พอแล้วนะศิษย์ และเราก็เจ็บมาพอแล้ว และทำไมเราจึงอยากทุกข์อีกอย่าดูถูกปัญญาตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองอย่าดูถูกชีวิตตัวเองเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งในทุกข์อันเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้นและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญาเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสก็คงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์หวังน้อยๆ ว่าในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ จะช่วยทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตมากขึ้นและรู้จักบำเพ็ญให้ถูกทาง อย่าติดแค่บุญ อย่าติดแค่ความดีแต่จงรู้จักเอาบุญและความดีเป็นรากฐานในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงอันไม่เที่ยงในโลกใบนี้ ตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทำไมไม่สร้างคุณความดีและบำเพ็ญดีให้ถึงที่สุดเพื่อเราไม่ต้องกลับมารับทุกข์อีกต่อไปทุกข์ยังไม่พออีกหรือ ถ้าพอศิษย์จะรู้จักอยากอย่างมีสติอยากอย่างคนที่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะสิ่งที่น่ากลัวในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของเราเองใจที่ไม่สู้กับความจริงซึ่งแม้ความจริงนั้นเป็นทุกข์แต่ก็ใช่ว่าเรานั้นจะต้องทุกข์ทุกข์มาปัญญาเกิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นมีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ ชีวิตไม่ว่าพบเรื่องราวอะไร ขอให้เข้มแข็ง จริงๆอาจารย์ก็ไม่อยากให้เข้มแข็ง เพราะว่าพอเข้มแข็งแล้วก็กลับมาอ่อนแออีก ใช่หรือไม (ใช่) รักษาสมดุลของชีวิตให้ได้ วันใดพบเรื่องอ่อนแอจงรู้จักเข้มแข็งให้เป็น วันใดที่ตัวเองเข้มแข็งก็จงเข้าใจว่าชีวิตก็อ่อนแอได้ เหมือนวันใดที่มีสุขวันนั้นก็เข้าใจว่าแม้จะทุกข์มาก็ไม่เจ็บปวด สังขารคืนสู่ดินแต่จงเอาจิตกลับคืนสู่ฟ้าสังขารเกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์นานแล้วอย่าเอาความเป็นตัวตนไปทำให้จิตหม่นหมองและยึดติดในทุกข์นะ ใช่ไหม (ใช่) เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาตัวเองความเป็นจี้กงจะมีอยู่ในใจศิษย์ได้จี้กงคือหัวใจที่รู้จักอนุเคราะห์ฉุดช่วยชาวโลก ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
อะไรจะเกิดก็กล้ารับ เข้มแข็งนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ทุกข์แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์ที่มีปัญญาเข้าใจในความทุกข์ไม่ต้องพยายามหาว่าตัวเองเป็นอย่างไร เพราะถ้าหาว่าตัวเองเป็นอย่างไรก็กลายเป็นยึดติด สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่เคยเป็นอะไรและไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย อย่างนั้นจะดีกว่า คิดว่าตัวเองมีก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีบางทีอาจจะดีกว่าก็ได้ ลองคิดให้ดี
ขอให้บุญรักษาศิษย์ ขอให้ปัญญาในธรรมจงเกิดแก่ศิษย์ เห็นชัดในชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม
หายไข้ไม่มีประโยชน์ ขอแค่เข้าใจในความเจ็บป่วยดีกว่า จริงไหม
อย่าทำสิ่งที่ผิดเลย รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องน หนทางบุญเดินให้ถึงที่สุด
รักษาคุณงามความดีด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง รักษาหัวใจให้แกร่งดั่งเพชร
มีโอกาสช่วยงานฟ้านะศิษย์นะ ทำงานธรรมด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอยนะ บำเพ็ญอะไรหรือถ้ายังยึดติดอยู่ก็บำเพ็ญไม่ได้มีปณิธานแล้วจงลุในปณิธาณด้วยหัวใจที่เสียสละขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ให้เดินไปจนถึงที่สุดที่ศิษย์ตั้งใจนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ สู้ไหม ช่วยงานอาจารย์ทำไมถึงหวาดกลัวล่ะควรจะมีหัวใจที่เข้มแข็งสิ สู้ให้สมกับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สู้เพื่อคนอื่นตั้งใจบำเพ็ญนะ อุทิศเสียสละด้วยหัวใจอันดีงามด้วยใจอันประเสริฐ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ รู้จักปณิธาณของตัวเอง ซื่อตรงไปให้ถึงเป้าหมาย เข้าใจไหม มีความมุ่งมั่นและไปให้ถึงที่สุดอย่าหวั่นไหวเลือกทำสิ่งที่ดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอาจารย์อยากเห็นความมั่นคงในหัวใจศิษย์ทุกคนนะ
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่าอ่อนแอแต่จงเข้มแข็งและกล้าหยัดยืนทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีปณิธานมีความมุ่งมั่นก็อยู่ที่ว่าศิษย์จะตั้งใจทำได้มากแค่ไหนขอเพียงแค่อย่าให้อารมณ์ความคิดที่ผิดพลาดมาทำให้เราต้องทุกข์เลยรักษาความดีไว้นะ ถ้าศิษย์มีใจสักครึ่งหนึ่งอย่างอาจารย์ก็คุ้มแล้วที่อาจารย์มา อย่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งจิตให้ดีตั้งใจบำเพ็ญเอาหัวใจที่ดีงามเสียสละเป็นจุดมุ่งหมายเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไม่จำเป็นต้องถามว่าตัวเองเป็นอะไรแค่ถามว่าตัวเองจะทำอะไรให้ดีที่สุดกับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาแล้วถ้าชีวิตหนึ่งทำได้ดีที่สุดทำไมจะไม่ทำสักวันศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องเสียสละทำไมถึงต้องช่วยคน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งดูแลหัวจิตหัวใจตัวเองให้ดีนะ เอาความดีชนะใจสิ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงธรรม นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ อย่าจมกับความทุกข์ในโลกเลย อย่าจมกับการยึดติดในตัวเองเลยเพราะทำให้ศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรม เพราะถ้าวิบากกรรมมาสนองเมื่อไรตอนนั้นศิษย์จะเรียกอาจารย์ช่วย อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้เพราะกรรมใครคนนั้นก็ต้องรับ ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์แล้วอย่าทำผิดได้ไหม (ได้) ถ้าจะทำผิดยกความผิดนั้นมาให้อาจารย์ศิษย์จะได้ไม่ต้องทำอย่าเผลอทำเลยนะศิษย์เพราะถ้าทำแล้วศิษย์จะต้องรับผลของกรรมนั้นอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วตอนนั้นใครก็ช่วยไม่ได้ บุญก็ช่วยไม่ได้สิ่งที่ช่วยได้คือปัญญาที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ศึกษาธรรมเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดปัญญา นำพาให้มีสติพ้นทุกข์และอยู่กับความจริงให้ได้นะศิษย์เอย ความจริงในโลก ไม่น่าเจ็บช้ำไม่น่าทุกข์ แต่ที่เจ็บและทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่คิดว่าคนที่ทำกับเราคือคนที่รักเรามากที่สุด คือคนที่เรารักเขาสุดหัวใจและก็ไม่คิดว่าคนที่เรารักสุดหัวใจจะต้องมารับกรรมแทนเรา เพราะบางทีกรรมไม่ตกที่เรา แต่ตกที่ลูกหลาน เราจะรับไม่ไหว ฉะนั้นก็อย่าทำผิดเลย เชื่ออาจารย์นะ อย่าทำผิดเลยเพราะถ้าลูกศิษย์ยังดีไม่ได้อาจารย์จะเอาหน้าไปบอกเขาได้อย่างไรว่าศิษย์กำลังบำเพ็ญในเมื่อศิษย์ไม่เลือกทำสิ่งที่ดี อาจารย์ไปต่อรองเจ้ากรรมนายเวรอาจารย์ก็สงสารเขา ศิษย์ทำเขามา และเมื่อเขาจะแก้แค้นคืนอาจารย์ก็ต้องยุติธรรมก็ต้องให้ศิษย์รับกรรมไป ไม่ใช่อาจารย์ไม่อยากช่วยไม่คุ้มครอง แต่กรรมใครก็ต้องรับจริงไหม อาจารย์ขอย้ำแล้วย้ำอีก อย่าทำผิด
วันเสาร์ที่ ๑๑พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
งานธรรมะเฟื่องฟูเมืองสองแคว คนเก่าแก่และคนใหม่ไม่แตกต่าง
การบำเพ็ญเป็นหลักใหญ่เป็นแนวทาง งานแผ่กว้างใช้หลักธรรมเป็นหัวใจ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกคนสบายดีไหม
หมั่นเตือนตนชีวิตคนดั่งเทียนไข จงตั้งใจบำเพ็ญด้วยความบากบั่น
สร้างทุกบุญเป็นวันดีทุกวัน ชีพแสนสั้นใช้ชีวิตผิดเป็นครู
เปิดปัญญาประเดิมใจไปทั้งหมดฟ้า แรกพร้อมศรัทธาสิ่งที่เห็นที่รู้
ทำได้ดีตรงทางธรรมเป็นอยู่ เกียรตินั้นของหน้าที่ผู้ช่วยเบื้องบน
ธรรมคู่คิดหรือไม่มองตาพูด ธรรมไร้สูตรเอาธรรมไปฝึกฝน
เหล่าความคิดติดลบมักลวงตน ไม่ช่วยคนสุขแต่เห็นแก่ตัว
คนรักแต่สบายไม่อยู่ให้เข็ญ ชวนบำเพ็ญไม่บำเพ็ญทุกข์กับเรื่องตัว
ไม่อยากโดนใจทุกข์มาพันพัว บำเพ็ญทั่วหาไม่แล้วไม่แจ้งใจ
ไม่ว่าใครมีสบายไม่เพลินบ้าง ที่เพลินบ้างก็ด้วยปล่อยตามนิสัย
คนนั้นเกิดมาอยู่ในโลกทำไม พ้นเวียนว่ายพ้นทุกข์คนพ้นโลก
รู้จักพิจารณาช้ำแล้วไม่ช้ำอีก ภายใต้ปีกหลักธรรมแรงลมกรรโชก
ฐานบัวปรากฏฐานย่อมอยู่ในโลก ดูกระจกชัดแจ้งในตนทบทวน
ฮิฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ศาสนาเกิดจากความกลัวเรามีศาสนาเพราะเรากลัว เรายึดศาสนาเป็นที่พึ่งเพราะเรากลัวกลัวตาย กลัวทุกข์กลัวเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกศาสนาล้วนมีหลักอันเดียวกันคือสอนให้คนอยู่กับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยการที่เราไม่ต้องทุกข์ ฉะนั้นศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวแต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้ความจริงอันเป็นธรรมดาที่หลีกหนีไม่พ้นและเมื่อเราพบความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทุกข์แต่เราสามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเราต้องพบความจริงใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนั้นธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริงโดยไม่ทุกข์ การเรียนรู้ธรรมจึงต้องการให้เราเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาโลกโดยที่เราอยู่กับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลกแล้วเราไม่ทุกข์
ฉะนั้นถ้าใครมีศาสนาแล้วเข้าใจธรรม เมื่อถูกว่าก็จะไม่ (โกรธ) เจ็บปวดก็จะไม่ (ทุกข์) พบความตายก็จะไม่ (กลัว) ถ้าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม นี่ก็เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาได้นั่งก็ต้องได้ (ยืน) ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีโรคแล้ว หรือนั่งแล้วยืนไม่ได้ก็เรียกว่าเป็นอัมพาตฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตเราก็จะรู้ว่าเกิดเป็นคนไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นธรรมดาของโลกเราไม่ควรที่จะทุกข์แต่เราควรที่จะพบธรรมและพ้นทุกข์ถึงจะเรียกว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแต่เมื่อไรที่เราถูกว่า เจ็บป่วย สูญเสีย พลัดพราก เรายังทุกข์ พอแก้ไขอะไรไม่ได้เราก็ไปทำบุญเพื่อให้พ้นทุกข์ แต่เราพ้นทุกข์ไหม(ไม่พ้น) เพราะปัญหาอยู่ที่ความคิด ความรู้และความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่บุญต้นเหตุของความทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดและไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้องเป็นไปเราก็ต้องทุกข์แล้วหวังแต่อิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นแปลว่า เรากำลังบำเพ็ญธรรมผิดใช่หรือไม่ ถ้าคิดแล้วทุกข์ แต่ก็คิดซ้ำๆควรทำอย่างไร(ปล่อยวาง) ตอบได้ดี แล้วปล่อยวางอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์บางครั้งสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเราไม่เอามาคิดเห็นก็เหมือนไม่เห็นถูกไหม (ถูก) บางอย่างหากเราไม่คิดถึงสิ่งที่มีก็เหมือนไม่มีแต่ทีไม่มีถ้าเราคิดว่ามีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติเราเห็นอะไรแว๊บๆตอนกลางคืน ถ้าเราไม่คิดไม่สนใจก็ไม่มีผีแต่ถ้าเราคิดแม้ไม่มีผีจริงก็เหมือนกับ (มี) เช่นมีคนที่เราโกรธแต่เราไม่ใส่ใจ ไม่ให้คุณค่าเขา ไม่ให้ความสำคัญเขาจะมีผลต่อใจเราไหม (ไม่มี) ความทุกข์ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์น้องทุกข์แล้วศิษย์น้องไม่คิดทุกข์มีก็เหมือน (ไม่มี) ฉะนั้นแม้ว่าเวลาเราเจ็บแต่เราไม่คิดถึงเราพยายามทำตัวให้แข็งแรงๆมีก็เหมือน (ไม่มี) การปล่อยวางที่แท้จริงก็คือสิ่งนั้นมีแต่เราไม่คิดมนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าปล่อยวางชอบพูดคำว่าปล่อยวางใช่ไหม (ใช่) แล้วจะปล่อยอย่างไรในเมื่อเห็นทุกวันเกลียดทุกวันนั่นคือเห็นแล้วเราไม่คิดเห็นแล้วเราไม่ใส่ใจ หรือถ้าคิดแล้วมันทุกข์ หันไปทางไหนๆ ก็ทุกข์ทำไมเราไม่ลองพลิกใจแล้วหันไปทางอื่นบ้างในเมื่อโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าดูและเรียกว่าความสุขอีกมากเลยในเมื่อเห็นแล้วทุกข์เห็นแล้วเจ็บ คิดแล้วปวด แล้วทำไมไม่รู้จักพลิกใจบ้าง ใช่ไหม (ใช่) แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแค่รู้จักหยุดความคิดชีวิตก็ไม่มีความทุกข์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้แล้วเอาแต่คิดว่า “เมื่อย เมื่อไรจะจบ เบื่อแล้ว” นั่งไปก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง) แต่ถ้าคิดในทางที่ดี เช่น“มันก็ดีนะ มันก็สบายนะนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็มีคนทำนั่นทำนี่ให้กินก็ดีนะ สาธุด้วยนั่นได้บุญนะอนุโมทนาบุญด้วยนะ พูดดี ยินดีด้วยนะ” คิดแบบนี้ได้บุญไหม (ได้) แล้วทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ แปรทุกข์เป็นสุขธรรมสอนให้เราฉลาด มีปัญญาธรรมไม่เคยสอนให้คนโง่ ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วโง่แปลว่าไม่ใช่ธรรม แต่หากทำอะไรแล้วฉลาด เกิดการปล่อยวางเกิดการพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่าปัญญาธรรม
โดยส่วนใหญ่เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมกันมามาก แต่ถามว่า ธรรมคืออะไร บางทียังหาไม่ได้ ถ้าธรรมคือความสว่าง ความสงบ ความร่มเย็น ความว่าง ชีวิตเราเคยมีธรรมไหม ถ้าเราอยากมีธรรมเราก็แค่หยั่งรู้ในความสงบหยั่งรู้ในความว่าง มีสติอยู่กับความสงบ ความว่าง เราก็คือคนที่มีธรรมถ้าเมื่อไรเราคว้าความว่างความสงบก็แปลว่าเรากำลังคว้าธรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคว้าความมี ความยึดติดความอยาก ความโลภเราก็เป็นผู้ที่ไร้ธรรม ถ้าทุกชีวิตพยายามยึดความมีเราก็จะไม่มีวันพบความว่างถ้าพยายามยึดความมีความอยากได้ สิ่งที่เราได้ก็คือกิเลสตัณหา ทิฐิ อัตตาตัวตน แต่ถ้าทุกขณะที่เราคว้าความว่าง ความไม่มี เราก็พบความสงบและพบธรรมแล้วในชีวิตจริงเราไม่เคยพบธรรมเพราะเราพยายามคว้าความมี ความอยากความโลภ เราจึงหนีไม่พ้นความทุกข์และไร้ธรรม
ท่านอาจจะบอกว่าเกิดเป็นคนต้องมีนั่นมีนี่ ไม่มีก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) เราถามท่านว่ามีมากมายแล้วพ้นทุกข์หรือไม่มีจนถึงที่สุด สุดท้ายท่านก็อยากหาธรรม อยากว่างบ้างแล้วใครจะช่วยได้ในเมื่อตนเองยังอยากมีฉะนั้นอยากพบธรรมก็แค่หยุดความอยากมี อยากยึดเพราะถ้ายังยึดไม่จบก็ไม่มีวันพบธรรมจริงหรือไม่ (จริง) แต่หากรู้จักวาง รู้จักปลงทำให้ดีที่สุดแล้วสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเราก็แค่ยืมเขาใช้แล้วปล่อยวางไปแบบนี้จะทุกข์หรือไม่ แล้วจะวางใจอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วทำให้มีธรรม
ท่านว่าฟ้ากว้างหรือไม่ (กว้าง) ในความกว้างมีขอบเขตหรือไม่ (ไม่มี)ในความไม่มีขอบเขตมีรูปลักษณ์ที่แน่นอนหรือไม่ (ไม่) ไม่แน่นอนแล้วในความว่างของฟ้ามีก้อนเมฆมีลม มีมืด มีสว่าง หรือไม่ (มี) ในเมื่อมี แล้วทำไมฟ้าไม่ทุกข์ แต่ทำไมเราทุกข์ ฟ้าเหมือนเรา ในตัวเรามีความว่างในความว่างก็มีความมี ในความมีก็มีความว่าง ในความว่างก็มีความมืด มีความสว่าง ทำไมเราทุกข์แต่ฟ้ากลับไม่ทุกข์ ต่างกันตรงที่เพราะฟ้าไร้ตัวตนที่ยึดติด ฉะนั้นหากเราไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าวันหนึ่งจะมืดหรือจะสว่างก็เป็นธรรมดาของชีวิต วันหนึ่งตั้งขึ้นได้วันหนึ่งก็ล้มลงได้ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต หากเข้าใจหลักนี้เราจะไม่ทุกข์ฉะนั้นตัวตนคือความหลงที่ยึดติดและหนีไม่พ้นถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีทุกข์ แต่ถ้ายึดตัวตนเราก็ทุกข์กับทุกๆสิ่งที่เราพยายามเอาตัวตนไปเกี่ยวข้อง เช่นถ้าเราบอกว่าผ้าผืนนี้เป็นของฉันถ้าผ้านี้หายไป หรือสกปรกไปเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์) แต่ถ้าผ้านี้ไม่เป็นของใครแม้ว่ามันจะหายไปหรือสกปรกไปเราเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ฉะนั้นจำไว้ธรรมสอนให้เราเป็นแค่ผู้รู้ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นและยึดติดนี่เป็นหลักใหญ่รู้และรักษาความรู้ให้ปกติมั่นคงจนเกิดความเห็นแจ้งในปัญญาและความจริงของโลกทั้งปวง เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาทันที ศีลก็คือความปกติสมาธิคือความมั่นคงในความปกติปัญญาคือรู้แจ้งในความปกติจนไม่ยึดมั่นถือมั่นจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาในทุกขณะที่เรามีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงของโลกใบนี้อันเรียกว่าธรรมะ ยากไหม (ไม่ยาก)
เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก เห็นก็เหมือนไม่เห็นถ้าอยากเข้าถึงความว่างที่เรียกว่าธรรมะ ต้องไม่มีขอบเขต ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนั้นมาย้ำเตือนเราทุกครั้งที่เรามองสรรพสิ่งเราก็จะไม่ยึดติด และเราจะค้นพบธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเห็นใครในโลกแล้วเห็นอย่างแท้จริงบ้าง เราเห็นก็เหมือน (ไม่เห็น) เหมือนท่านเห็นความว่าง ท่านอยากเข้าถึงธรรมโลกนี้สอนเรื่องความว่างอยู่อย่างหนึ่งว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็นเพราะมีบางสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่ยากเดาจากคนๆ หนึ่งเช่นกัน ถ้าท่านอยากพบธรรมะ จำไว้ว่า เห็นเขาเหมือนมีแต่ก็เหมือน (ไม่มี) แฟนลูก เงิน เหมือนมีอยู่กับเราแต่จริงๆ แล้วก็ไม่อยู่กับเราเหมือนเห็นเขาอยู่ใกล้ๆ เรา แต่จริงๆ แล้วใจเขาไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนครอบครองและรู้จัก แต่จริงๆแล้วเราเหมือนคนที่ไม่รู้จักเขาเลย ใช่ไหม (ใช่) บางครั้งเขาก็ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับเราได้ ใช่ไหมฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้จักก็เหมือนไม่รู้จักเหมือนครอบครองได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้และเอาหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตกับทุกสรรพสิ่งแล้วเราจะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นของเราเพราะถึงที่สุดแล้วก็คือความว่างการพยายามยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์และวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย หรือเรียกอีกอย่างว่าวิบากกรรม
ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงความว่างของธรรมได้มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นการยึดติดความคิดแห่งตัวตนเมื่อยึดติดความคิดแห่งตัวตนก็จะมีสิ่งที่เรายึดเรียกว่าดีและไม่ดีชอบและไม่ชอบก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์เพราะหนีไม่พ้น กิเลส กรรม มนุษย์มักจะพูดบอกว่า “ถ้าเรารู้จักฟ้าเราจะไม่โทษฟ้า ถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่โทษใคร” เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ ถ้าเรารู้จักฟ้า เราจะไม่ตัดพ้อต่อว่าฟ้าลำเอียงฟ้าไม่ยุติธรรม และถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่บ่นด่าใคร ฉะนั้นแปลว่า“ฟ้า”เราก็ไม่รู้จัก “คน”เราก็ไม่รู้จัก เราจึงด่าทั้งฟ้าแล้วก็ด่าทั้งคนจริงหรือไม่ (จริง) อย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นเพราะฟ้ากำหนด คนจัดการหรือเราเป็นผู้จัดการและกำหนด
คนเราจะดีหรือร้ายโชคดีหรือโชคร้ายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ใครกำหนด (เรากำหนด)การกระทำของเรากำหนดเองใช่ไหม (ใช่) เรา ไม่ควรว่าเขาแต่ควรว่า (ตัวเอง) ไม่ควรบ่นฟ้าแต่ควรบ่น (ตัวเอง) ฉะนั้นถ้าท่านไม่ทำบาป ไม่ผิดศีลไม่ประพฤติผิดจะกลัวอะไรกับเคราะห์กรรมและโชคร้ายถ้าท่านเป็นคนดีที่สุดเป็นคนน่ารักที่สุดแล้วจะกลัวอะไรกับคำว่าดีหรือไม่ดีที่คนอื่นพูด ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นพิจารณาก่อนทำย่อมประสบสุข แต่ถ้าทำแล้วค่อยคิดย่อมประสบทุกข์หากอยู่ในโลกรู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธผู้อื่นไม่เคยแค้นเคืองใคร มีหรือจะไม่เป็นที่รักของใครดังนั้นไม่ว่ามีเรื่องอะไรถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วตำหนิต่อว่าตัวเองก่อน “ขอโทษนะฉันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้” คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนมีหรือใครจะไม่รัก แต่ถึงเวลาดำเนินชีวิตจริงๆ นอกจากเราไม่อภัยแล้วยังถือสาหาความแล้วว่าเขาอีกจริงไหม (จริง) จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์นั้นแปลกเดินไกลเป็นร้อยก้าวพันก้าวสามารถมองเห็นชัดแต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังตัวเองกลับมองไม่เห็น” ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกให้เป็นสุขก็ต้องรู้จักเข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่นเอาความรู้ระดับปราชญ์มาตรวจสอบตน เอาความรู้ระดับปุถุชนไปตรวจสอบผู้คนเรียกว่าเอาสิ่งที่เข้มงวดที่สุดมาตรวจสอบตัวเองนำสิ่งที่ผ่อนปรนไปใช้กับผู้อื่น แล้วเราจะไม่ถือโทษใคร
ถ้าในใจเรารู้สึกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นเต็มหัวใจเราจะไม่สามารถอยู่กับใครได้อย่างร่มเย็น ไม่สามารถเมตตาปรานีเขาได้และเราจะไม่สามารถอยู่กับใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ดังนั้นเราจึงไม่ควรช่างว่า ช่างตำหนิ และควรให้อภัยไม่ถือสาถ้าเราเห็นทุกคนไม่มีคุณค่าเราก็อยู่กับคนที่ไร้ค่าเต็มไปหมดแต่ถ้าเห็นทุกคนมีคุณค่ามีคุณประโยชน์เราก็อยู่กับคนที่เต็มไปด้วยความน่ารักถ้าเรายังเข้าถึงความว่างไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เพราะธรรมะสอนเราว่าคนเราเกิดมาเดินหน้าตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เงยหน้าธรรมะสอนให้เรามองอย่างเป็นกลาง แต่เราชอบมองแบบยึดติดว่ามันแย่ธรรมะสอนเราว่าแย่ก็ไม่ไปคิด ดีก็ไม่หลง ศาสนาพุทธสอนให้เราเป็นกลางแล้วตัวเราเป็นกลางหรือไม่ ตัวเป็นกลางแต่ใจมันลำเอียงธรรมไม่เคยสอนให้เรายึดติด มีสุขเราก็ติดสุข มีทุกข์เราก็ติดทุกข์แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง และเข้าใจว่ามันก็มีวันมืดและก็มีวันสว่างและเราเกิดมาเพื่ออยู่ตรงกลางอย่างสมดุล ถ้ายึดเมื่อไรก็หนีไม่พ้นทุกข์ฉะนั้นจะเอาหัวจมอยู่กับทุกข์หรือว่าจะยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฟ้าดินยังมีคนที่แย่กว่าเราและคนที่ดีกว่าเราถ้ารู้สึกแย่มันทุกข์เราก็หันไปมองคนที่เขาแย่กว่าเราก็จะทำให้เรารู้สึกดีถ้ามองดีมากแล้วทำให้หลงก็อย่าลืมว่ามันไม่เที่ยงเพราะถึงที่สุดแล้วชีวิตอยู่ที่เราเลือกเดิน ถ้าเข้าใจหลักของฟ้าจะไม่โทษฟ้าเข้าใจหลักของความเป็นคนจะไม่ด่าทอคนให้เกิดวิบากกรรมที่เรียกว่า เกลียดโกรธ หลง แค้น จองเวรจองกรรมอีกเลย การรู้แจ้งจะทำให้เราพ้นกิเลสพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องอดทน แต่จะเกิดความกระจ่างแจ้งว่า “ช่างเขา” ไม่คิดก็ไม่มี ยิ่งคิดก็ยิ่งมี จริงไหมฉะนั้นปล่อยความคิดและรักษาความเป็นกลางให้สมดุลวันนี้รักมากก็หัดมองให้ชัดเจนวันนี้เกลียดมากก็ลองมองดูว่าเขามีอะไรน่ารักไหม แท้ที่จริงแล้วคนที่เราเกลียดจนแช่งชักหักกระดูกเขาก็มีมุมที่น่ารักและคนที่เรารักมากจนทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเขาก็มีอะไรที่น่ารังเกียจเหมือนกันฉะนั้นเราควรโกรธให้สะใจ แล้วเป็นทุกข์ เป็นหนี้บาปกรรม เป็นวัฏฏะการเวียนว่ายหรือเราควรจะไม่โกรธดี (ไม่โกรธ) โดยไม่ต้องใช้คำว่าอดทนหรืออภัย แต่เป็นความเข้าใจ
แปลกนะ มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาต้นเหตุเพื่อดับทุกข์แต่พยายามหาสุขทั้งที่จริงๆแล้วถ้าดับทุกข์ได้ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขแต่มนุษย์หนีทุกข์และพยายามหาสุขถึงที่สุดแล้วความสุขที่พยายามหานั้นก็ให้ทุกข์ไม่ต่างกันเลย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้าเรารู้แจ้งเข้าถึงความจริงแห่งทุกข์เราก็จะพบสุขได้โดยที่ไม่ต้องแสวงหาสุขจากภายนอกเลยสภาวธรรมหรือสภาวะความว่าง จริงๆแล้วมีอยู่ในตัวเราทุกคนนะแต่อยู่ที่ว่าท่านเคยใช้สติ หยั่งลงมองให้เห็นความจริงในใจตนเองไหมถ้าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นก็มองไม่เห็นความว่างแต่ถ้ามองให้ดีแล้วในความมีมันมีความว่างอยู่
สรุปง่ายๆจิตที่ว่างไม่ใช่ไม่มีความคิดอะไรจิตที่ว่างยังมีความคิดเต็มไปหมดแต่รู้เท่าทันความคิดด้วยสติและก็สงบได้จิตที่สงบและบริสุทธิ์ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวหน้าที่อะไรยังมีเรื่องราวหน้าที่แต่สามารถรักษาความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายได้เวลาเราไปทะเล เราอยากหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่) เราขึ้นภูเขาเราก็อยากไปตากอากาศเย็นสบายและหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บนภูเขาเราหนีเสียงนกได้ไหม (ไม่ได้) ขึ้นบนเขาก็ยังมีเสียงนกเสียงน้ำตก เสียงลม และก็ยังมีเสียงจั๊กจั่น จิ้งหรีดแต่ทำไมเราว่ามันสงบนั่นเป็นเพราะเราชอบเช่นกันอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมถ้าจะไม่มีเสียงคนถ้าถือว่าเสียงคนเป็นเสียงนกกระจิบที่เราได้ยินบนภูเขาเราก็จะสงบได้ถ้าที่ไหนก็สงบก็คือที่ที่เราพักผ่อนแต่ถ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่สงบถึงจะขึ้นภูเขาเข้าป่า ไปว่ายน้ำไปเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่สงบ ก็เหมือนคนที่หลอกตัวเองเพราะลึกๆมันไม่สงบ ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงถึงที่สุดก็ไม่สามารถหนีความว่างได้แต่ถ้าศิษย์น้องยังอยากยึดความมีศิษย์น้องก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเข้าถึงความว่างศิษย์น้องจะพ้นจากกรรมดีกรรมชั่วและวัฏสงสาร คิดดูนะ ถ้าทำอะไรรู้จักพิจารณาก่อนทำเราก็จะไม่เดือดร้อนแต่ถ้าทำแล้วค่อยพิจารณาเราลำบากแน่เลย
ถ้ายังมีรากบุญดีอีกไม่นานก็จะกลับมาผูกบุญกันอีกแต่ถ้าไร้รากบุญแล้วแม้พบกันวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นวันสุดท้ายก็ได้จริงไหม (จริง) บุญหรือบาปบุญหรือเคราะห์กรรมไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่กำหนดแต่อยู่ที่ศิษย์น้องเป็นคนสรรค์สร้างเอง ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญและรักษาบุญด้วยการหมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามและช่วยชำระล้างจิตใจได้ไหม (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกอย่าดูถูกตัวเองเราสามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้และสามารถสร้างชะตาด้วยการปลูกบารมีให้ธรรมะเป็นทานได้ แล้วธรรมที่เป็นทานที่ยิ่งใหญ่คือธรรมที่ไม่ถือสาหาความ เห็นเหมือนไม่เห็นไม่ยึดติดความคิดตัวเองจนกลายเป็นวิบากกรรมให้ทุกข์ใช่ไหม (ใช่) กลับแล้วนะ
*** ประวัติศิษย์พี่พระนาจา
สมัยปลายราชวงศ์เซียง คาบเกี่ยวต้นราชวงศ์จิว ในรัชสมัยของจิวบุ้นอ้วงเป็นฮ่องเต้ ตำนานกล่าวถึงเทพนาจาเป็นบุตรคนที่ 3 ของแม่ทัพหลี่จิ้ง มีกำเนิดที่ไม่ปกติเพราะอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 3 ปี 6 เดือนกว่าจะคลอด และเมื่อคลอดออกมาก็มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหุ้มอยู่ จนบิดาต้องใช้กระบี่ฟันก้อนเนื้อจึงปรากฏทารกเพศชายมีผ้าสีแดง มีห่วงทองคำ สร้างความปีติแก่ครอบครัวอย่างมาก รุ่งเช้านักพรตไท้อิกจิงยิ้งได้มาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ทัพหลี่ และเห็นลักษณะนาจาว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูง จึงได้รับไว้เป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้ เมื่อนาจาอายุได้ 7 ขวบ ได้ออกไปท่องเที่ยวจนเกิดการวิวาทกับบุตรชายเจ้าสมุทร และพลั้งมือจนบุตรชายเจ้าสมุทรเสียชีวิต เจ้าสมุทรจึงมาแก้แค้นนาจา บิดาของนาจาโกรธเคืองบุตรของตนเป็นอย่างยิ่งนาจาต้องยอมผ่าท้องควักไส้ตนเองเพื่อชดใช้ความผิดด้วยชีวิต ต่อมาเทพไท้อิกจิงยิ้งได้ชุบชีวิตนาจาขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นนาจา บิดาหลี่จิ้งและพี่ชายทั้งสองได้ไปช่วยแม่ทัพเจียงไท่กงทำสงครามกับกองทัพราชวงศ์เซียง จนได้ชัยชนะ ล้มราชวงค์เซียงไป เกิดราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์จิว นาจา บิดา และพี่ชายทั้งสองได้กลับไปบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรม กลับคืนเบื้องบน
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ในระหว่างตั้งตัวกลัวไม่ตั้งใจ บอกกับใจว่าไม่เอาแต่หยวน
กำหนดบ้างไว้ทุกข์ในสัดในส่วน รักชีวิตคงไม่ด่วนให้ท้ายตน
แต่นี้ไปตายจากความเหลาะแหละ ดับอารมณ์เศร้าซึมและจิตสับสน
ถกเถียงกันไปไหนเรื่องเวียนวน คำติบ่นไม่ส่งเสริมกำลังใจ
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมโพธิ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา
ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน คนดีต้องมีละอาย เพียงผิดหวังไม่ตาย
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย สุขใจก็มีความทุกข์ได้
สุขเพราะปลงความทุกข์ไป คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาวน์
ทำนองเพลง: ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง: กำไรจากความทุกข์
หมายเหตุ ที่ขีดเส้นใต้คือพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่ในโลกคนที่น่ารักคือคนที่กล้ายอมรับความจริง คือคนที่ไม่เกียจคร้าน มีน้ำใจไม่ใช่รักแต่สบายไม่ใช่คนที่ชอบเอาแต่อู้งานมาตากแอร์ในห้องดีกว่าไม่ต้องทำอะไร ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) คนโดยส่วนใหญ่มักจะบ่นๆ ว่าเกิดเป็นคนดีก็ยากแล้วดีแล้วแล้วยังต้องพยายามบำเพ็ญอีกก็ยิ่งยากจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นบางคนก็ถามอาจารย์ว่าเป็นคนดีไปทำไมเป็นคนดีก็ยากแล้วยังให้บำเพ็ญอีก เป็นคนดียังไม่ค่อยรอดเลยแล้วให้บำเพ็ญจะรอดไหม อาจารย์ถามว่าคนที่ดีคนที่รู้จักบำเพ็ญน่าจะเป็นคนแข็งกระด้างหรือคนอ่อนน้อม (อ่อนน้อม) น่าจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้หรือดื้อแพ่งไม่ฟังใคร (รักการเรียนรู้) ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราเป็นประเภทไหน (รักการเรียนรู้) รู้หมดแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่) เรามาเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ ก่อน เริ่มจากการเป็นคนดีก่อนถ้ายังเป็นคนดีไม่พอจะยังบำเพ็ญไม่ได้ การเป็นคนดีอย่างน้อยคนดีต้องไม่ทำ (ความชั่ว)ขึ้นชื่อว่าคนดีต้องไม่ทำผิดบาป เพราะถ้าเราจะบำเพ็ญแต่ความชั่วความผิดบาปเรายังไม่ละเลิกอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญยังไม่ได้ เพราะเป็นคนดียังไม่รอดถ้าใจหนึ่งก็อยากทำดี แต่อีกใจหนึ่งก็ยังละบาปไม่ได้อย่างนี้เรียกว่าดีหรือไม่ (ไม่ดี) เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)คนดีอยู่ที่ไหนก็ต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะการบำเพ็ญต้องเริ่มต้นตั้งแต่ดีให้ได้ก่อนฉะนั้นคนดีที่แท้จริงคือคนที่ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) อบายมุข โลภโกรธ หลง สิ่งเสพติด สารมึนเมา ไฮโล การพนัน ติดชาย ติดหญิง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องละบาปให้ได้ก่อนเราถึงจะบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่พยายามเป็นคนดีแต่ไม่ละบาป หรือไม่ก็ทำบาปก่อนแล้วค่อยทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วทุกข์น้อยที่สุดก็คือ จะนั่งหรือยืนก็ได้อะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมเผชิญ ชีวิตก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ายืนแล้วไม่ให้นั่งก็โกรธอย่างนี้ก็ยึดติดเกินไป หาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางครั้งชีวิตไม่ใช่เรากำหนด มีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องด้วยฉะนั้นเราจะหวังให้เป็นดั่งใจทุกอย่างเป็นไปไม่ได้
เป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แค่พยายามไม่ประพฤติผิดเพราะคนในโลกพยายามเป็นคนดีเหลือเกิน แต่ไม่ละความผิดและยึดติดความดีจนเป็นความดีหลงผิดอย่างน้อยเริ่มต้นการเป็นคนดีก็คือไม่ประพฤติผิด หนทางของความดีคือต้องมีศีล มีธรรม ศีลยังนำมาซึ่งความสงบและปกติ ธรรมนำมาซึ่งความสุขและสงบเย็น ตอนนี้ชีวิตเราปกติดีไหม (ดี)ปกติแล้วสบายดี ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่ชีวิตเราผิดปกติ นั่นแปลว่าเราขาดศีลเมื่อไรที่ชีวิตเราไม่สงบสุข จงถามตัวเองว่าเราขาดธรรมหรือไม่คนที่ดี ไม่ใช่แค่ดีอย่างเดียวหนทางของการเป็นคนดีนั้นต้องมีศีลมีธรรมด้วย ศีลคือทำให้เราปกติธรรมคือทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุขศีลสอนให้เราไม่เบียดเบียนธรรมสอนให้เราประพฤติให้ถูกต้องและมีคุณงามความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเรามีศีลมีธรรมอยู่ทุกขณะกับผู้คน เราก็คือคนดีคนหนึ่งแต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่า “คนเราก็มีผิดพลาดได้ คนเราก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง”ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว เกิดศึกกลางเมือง” “ถ้าทิ้งก้นยาสูบไม่ถูกที่ก็เกิดไฟไหม้ป่าได้” ใช่หรือไม่ (ใช่) ความผิดเพียงเล็กน้อย เราอย่าคิดว่าเป็นเพียงแค่เล็กน้อยแต่เมื่อผลสะท้อนกลับมา เราก็ต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจกับสิ่งที่เราผิดพลาดถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นคนเราควรที่จะทำผิดไหม (ไม่ควร) เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าไม่สร้างเหตุที่ถูกแล้วเราจะได้ผลที่ถูกไหม (ไม่ได้) ถ้าเราสร้างเหตุที่ผิดเราก็ต้องรับผลที่ (ผิด) นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำไมเราต้องเป็นคนดีเพราะการเป็นคนดี และอยู่ในศีลในธรรม จะช่วยป้องกันให้ไม่ต้องมีทุกข์และไม่ต้องรับผลของการกระทำที่เรียกว่ากรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดมาแล้วมีทุกข์ เราอยากเกิดไหม (อยาก) อย่าหลอกอาจารย์ว่าไม่อยากยังอยากไม่จบ อยากได้โน่น อยากได้นี่จริงไหม (จริง) เราเกิดมามีทุกข์ หนีกรรมไม่พ้น แล้วยังอยากเกิดหรือไม่ (อยาก)อยากเพราะคิดว่าเผื่อจะมีกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วหากเราไม่อยากรับกรรมในภายหน้าเราต้องรักษาตัวเองให้อยู่ใน (ในศีลในธรรม)แล้วเราอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับอดีตที่ทำมาและปัจจุบันที่ทำไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทุกข์แต่ศิษย์รู้หรือไม่ว่าที่ศิษย์ทำดีมีศีลมีธรรมแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ศิษย์จำไว้นะว่าการทำระดับศีล ระดับบุญ ระดับการทำความดี ยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้เป็นเพียงการป้องกันเราไม่ให้ตกเป็นทาสของกรรมชั่วทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำมาซึ่งทุกข์ วิบากกรรมและความเจ็บช้ำน้ำใจที่เราจะต้องรับในสิ่งที่เราสร้าง เข้าใจหรือไม่ เหมือนกับที่ศิษย์บอกว่าบุญศิษย์ก็ทำมาก พระก็สร้าง วัดก็ช่วยทำบุญแต่ทำไมไม่เห็นพ้นทุกข์เลย อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์จะทำบุญมากแค่ไหนมีดีมากแค่ไหน แค่ระดับบุญ ศีล ทาน ธรรมยังไม่สามารถนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่เป็นเพียงป้องกันไม่ให้เรามีทุกข์เพิ่ม รู้หรือไม่ (ไม่รู้) ไม่รู้ คิดว่าทำบุญทำทานก็พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์ชอบทำบุญแต่วันหนึ่งอาจารย์เผลอไปตีหัวคนอาจารย์ถามว่าบุญจะล้างบาป จะชดเชยบาปที่เราทำได้หรือไม่บุญที่เราทำมาก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วน (บาป)หากเราไม่อยากมีบาปเราก็อย่า (ทำบาป) ฉะนั้นไม่อยากอายผีก็อย่าทำผิดบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ไม่เช่นนั้นผีและวิญญาณร้ายจะดูถูกและเหยียดหยามถ้าเราทำดีมากๆ เหมือนการเติมน้ำลงไปในน้ำเกลือ เพื่อทำให้น้ำเกลือเจือจางลงแต่อาจารย์จะบอกว่าเกลืออยู่ในน้ำอย่างไรมันก็เป็นเกลือ เช่นกันถ้าศิษย์ทำผิดไปแล้วยอมขอโทษ และอุทิศส่วนกุศลให้เขาศิษย์คิดว่าเขาจะหายโกรธหรือไม่ (ไม่หาย)อาจารย์ถามว่าเราเกิดมาแล้วถูกทำร้ายหนึ่งครั้ง เราอยากเอาคืนหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องตีกลับให้แรงๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากย้ำกับศิษย์มากที่สุดก็คือ อย่าทำผิดบาปเพราะเมื่อผิดบาปส่งผลเป็นกรรมเป็นเวรแล้วให้ผลเป็นทุกข์แล้วแม้ศิษย์จะน้ำตานองหน้า แม้ศิษย์จะกราบพระขอให้อภัยเขาก็ไม่ละเว้นอย่าประมาท อย่าดูเบาความผิดเล็กๆ น้อยๆเพราะเมื่อผลกรรมมันตกผล จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นและเขาไม่ได้จองเวรชาติเดียวนะ ถ้าเขาเอาได้เขาก็คงเอาทุกๆ ชาติที่เขาจำได้เหมือนพระเทวทัตกว่าที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต่อเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากการมีศีลมีธรรมแล้วสิ่งที่ศิษย์จะต้องรู้อีกอย่างคือการบำเพ็ญ แล้วทำอย่างไรจะเรียกว่าบำเพ็ญเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์เอาธรรมอะไรที่มาช่วยพิจารณาจนหยั่งถึงและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ตอบได้ไหม (บำเพ็ญเพียรภาวนา) เอาอะไรมาภาวนาแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ถ้ามนุษย์หมั่นพิจารณาเอาหลักความเป็นจริงซึ่งเป็นแก่นของทุกสรรพสิ่งและเป็นแก่นของรูปนามทั้งปวงมาใช้พิจารณาอยู่เนืองๆ มนุษย์จะสามารถพ้นทุกข์ได้หรือที่ศิษย์บอกว่าจะกลับคืนสู่นิพพานได้อย่างไรแต่ก็ยังเป็นแค่นิพพานชั่วขณะหนึ่งที่เราพิจารณา เราได้พิจารณาอย่างต่อเนื่องหรือไม่สิ่งที่เป็นหลักที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้นั่นก็คือการพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจารย์พูดเรื่องนี้บ่อยครั้ง แล้วเราพิจารณาจนพ้นทุกข์บ้างหรือไม่สิ่งที่เรารู้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มต้น คือศีลระดับทานและระดับต่อไปคือมั่นคงในความดีงามจนถูกต้องเพื่อเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมแล้วเราจะเข้าถึงปัญญาอันแจ่มแจ้งในธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งนี้มาหยั่งรู้ในใจและทำให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกฉะนั้นเมื่อไรที่เราพบความเจ็บ ความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสียพบอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจสิ่งนี้จะเตือนใจว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์และมันว่างเปล่าจากตัวตน ศิษย์เคยเห็นไหมเวลาที่มีเราโมโหคน เรากำลังมีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) และไม่มีใครเคยทุกข์ครั้งเดียวทุกคนล้วนทุกข์แล้วทุกข์อีกถูกไหม (ถูก) เวลาที่ศิษย์เคยพบคนที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เราทุกข์ศิษย์มักถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ทำไมศิษย์ต้องพบคนแบบนี้อาจารย์ศิษย์ไปทำกรรมอะไรมาศิษย์ต้องพบกับคนแบบนี้ทำไมเขาต้องทำกับศิษย์แบบนี้” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่พบในสิ่งที่มันไม่คาดคิดเอาอันนี้มาคิดมาพิจารณามันจะแตกยอดออกไปว่า “จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าแขวนตัวเองไว้กับความนึกคิดคาดหวังอย่าผูกใจตัวเองกับอดีตที่แล้วมาแล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและเป็นสุขในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงนี้” จริงหรือไม่ (จริง) แต่ก่อนเขาอาจเคยเป็นคนให้ศิษย์ แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่จะเอาจากศิษย์จนศิษย์หมดตัวหรือไม่ไหวจนศิษย์อยากหนีไปให้พ้นๆ ถ้าศิษย์พบคนแบบนี้ ศิษย์จะหนีหรือลุกขึ้นสู้ ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย อาจารย์จะบอกศิษย์อีกอย่างนะจำไว้ โลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนทุกคนล้วนต้องมีบุญ กรรมกันมาถึงต้องมาพบกันช่วงแรกศิษย์อาจบอกว่า บุญอะไรให้มาพบกันแต่พออยู่ไปสักพักหนึ่งศิษย์อาจจะบอกว่าเป็นกรรมอะไรนะศิษย์จำไว้ไม่ใช่มีแค่กรรมแต่มีทั้งกรรมและบุญมาพร้อมๆ กัน และถ้าบังเอิญเกิดขึ้นแล้วเขาทำร้ายเราให้เจ็บปวด เราอยากจบกรรมหรืออยากเกี่ยวกรรมกันต่อ (จบ) เมื่อจบแล้วยอมไหม (ยอม) ถ้าทั้งชีวิตเขาเอาไปหมดเลย แล้วเราต้องมานับหนึ่งใหม่ เรายอมไหม (ยอม, ไม่ยอม) อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าสู้ได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าระดับหนึ่งแล้วไปไม่รอด ให้กลับมาตั้งหลักใหม่แล้วอยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ดีกว่าหรือแล้วถ้าสู้ไปก็เจ็บ สู้ไปก็ทุกข์อย่างนั้นอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เราเกิดมาก็มาตัว (เปล่า)ไปก็ไปตัว (เปล่า) แล้วจะเหนื่อยทำไม ไปด่าเขาทำไม ไปแย่งเขาทำไมถ้าเขามีความสุข แล้วเราสละความยึดมั่นถือมั่นได้ ให้ไปเถอะไม่ตายหาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาตรงนี้เนื่องๆ ศิษย์จะเข้าใจและรู้ว่าทุกข์นั้นไม่มี ผลจากการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้รู้ว่า
อนิจจังความไม่เที่ยง ถ้าเข้าใจจะ เห็นเหมือนไม่เห็น
ทุกขังความไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิม ถ้าเข้าใจจะ รู้เหมือนดั่งไม่รู้
อนัตตาความไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจจะมีเหมือนดั่งไม่มี
อาจารย์ชอบบทนี้มากที่สุด เพราะบทนี้ช่วยปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ปลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้และทำให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้ด้วยทั้งหมดนี้ดียิ่งกว่าศีลทานอีก ศีลทานเป็นแค่ความดีเบื้องต้นถ้าศิษย์เข้าถึงบทนี้ได้ ศิษย์จะละชั่วได้เลย ศิษย์จะไม่สร้างบาปศิษย์จะไม่โลภ ศิษย์จะไม่หลง เพราะว่าสิ่งที่เห็นเหมือนไม่เห็นสิ่งที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ในโลกนี้มีอะไรที่อยู่กับเราบ้าง แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่ารู้ นั้นรู้ไหม (ไม่รู้) ใครจะทำอะไร ยังไม่ทันอ้าปาก เราก็รู้แล้ว แต่จริงๆเขาก็อาจทำอะไรที่เหนือความคาดหมายก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เห็นเราก็เหมือนไม่เห็น สิ่งที่รู้ เราก็เหมือนไม่รู้สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ดังนั้น ถ้ามีคนด่าเรา เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ถ้าเราเห็นคนน่ารัก เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะหลงไหม (ไม่หลง) จะทำให้ศิษย์ไม่ประพฤติชั่วได้เลย คือไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลง เพราะสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าสวยนั้นไม่สวยสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าดี ยังดีไม่แท้ ใช่หรือไม่ (ไม่) แล้วที่ศิษย์เห็นว่าคนนี้ร้ายอย่าเพิ่งโกรธเขา เพราะคนนี้อาจยังไม่เท่าไร แต่คนที่จะพบในอนาคตอาจจะเลวกว่าคนนี้ที่เราพบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้ แม้กระทั่งตัวตนศิษย์ก็ละวางได้และเกิดมาแค่ใช้ชีวิตให้ถูกต้องและเรียนรู้ตัวตน และกลับไปสู่ความว่างเปล่าร่างกายตัวนี้วันนี้เห็นเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเหมือนเดิมหรือไม่เอารูปเมื่อสิบปีที่แล้วมาดูก็ไม่เหมือนตอนนี้แล้วหากร่างกายเป็นของเราจริงก็ต้องเชื่อฟังเรา เราต้องบังคับได้จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราบังคับมันได้หรือไม่ (ไม่ได้) แล้วเราไปยึดมันไว้หรือไม่ ยึดเมื่อไรก็เป็นทุกขัง ทุกขังแปลว่าสภาพที่ทนได้ยากและต้องการให้เราพ้นจากทุกข์นั้น ทุกขังไม่ใช่ทุกข์แล้วจะตายเหมือนวันนี้เราเจ็บเราต้องหาทางเพื่อพ้นทุกข์ถ้าเราทุกข์เราควรจมกับความทุกข์หรือลุกขึ้นมาสู้กับความทุกข์ (สู้กับความทุกข์) แต่อาจารย์เห็นแต่ศิษย์ที่จมกับความทุกข์ เข้าใจบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)หากศิษย์เข้าใจสักนิดจะรู้ว่าการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วการบำเพ็ญคืออะไร จะบำเพ็ญตอนไหน ตอนที่เราถูกกระทบใจ สมมติว่าอาจารย์มีผลไม้ถาดหนึ่ง ประมาณยี่สิบลูกเป็นผลไม้ที่กินแล้วดี กินแล้วเป็นมงคลทุกคน อยากได้ไหม (อยากได้) แต่ผลไม้นี้มีแค่ยี่สิบลูก ถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ไม่อยากได้เพราะศิษย์อยากเอาไปให้คนอื่นแทนหรือเสียสละไปให้คนอื่นแทน” ดีไหม (ดี) แต่ส่วนใหญ่อยากได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นอยากแล้วค่อยให้ ไม่เรียกว่าบำเพ็ญแต่ยังไม่ทันอยากก็ให้แล้วนั่นเรียกว่าบำเพ็ญตั้งแต่เริ่มต้นเลย คือละบาปบำเพ็ญบุญ และมีปัญญาเห็นแจ้งจริง รู้จักไม่เอาและสละให้แต่ในโลกของความเป็นจริง เอามาก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ไปขโมยผลไม้มา เป็นผลไม้ที่สามารถรักษาคนให้หายเจ็บหายไข้ได้ อาจารย์ไปขโมยของคนที่เขากินแล้วเขาใกล้จะหาย เพื่อจะมาให้ศิษย์ ศิษย์จะรับไหม (ไม่รับ) นี่คือศิษย์กำลังบำเพ็ญและได้ละบาปแล้ว ถ้าศิษย์บอกว่า “ไม่เอาอาจารย์อาจารย์ไปขโมยเขามา อาจารย์เอาไปคืนเขาเถอะสงสารเขา” ศิษย์ได้มีศีลมีธรรมและยังช่วยเตือนอาจารย์ให้ไม่ผิดศีลผิดธรรม
ฉะนั้นการบำเพ็ญไม่ใช่ต้องไปวัดแต่เราสามารถทำได้ทุกขณะที่เราอยากถ้าอยากแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสไม่อยากดีไหม (ดี) ถ้าอยากแล้วมันผิดกลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมหยุดก่อนดีไหม (ดี) แล้วเมื่อเราไม่อยาก แล้วเราเข้าใจ แล้วเราเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าได้มาก็เหมือนไม่มีอะไร ไม่เอาดีกว่าเราก็มีปัญญาเห็นแจ้งเข้าไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่ทำแค่ภายนอกแต่ทำได้ทุกขณะทุกเวลายากไหม (ไม่ยาก) อย่างนั้นเราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์) แก่ก็ไม่ (ทุกข์) เจ็บก็ไม่ (ทุกข์) ตายก็ไม่ (ทุกข์)
เมื่อครู่ใครตอบอาจารย์ให้ยืนขึ้น อาจารย์อยากให้รางวัลเอาหรือไม่ เอาทั้งถาดเลยดีไหม (เอา) เขากล้าขออาจารย์ก็ให้นะจะเอาแค่หนึ่งหรือเอาทั้งถาด (แค่หนึ่ง) ศิษย์เอยชีวิตนี้มันก็เหมือนกับการอยากได้อยากมี มีหนึ่งก็ทุกข์แค่หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์อีกอย่างนั่นก็คือใจที่ไม่ยอมรับความจริงความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่ากลัวเท่าใจกับใจที่ไม่ยอมรับความจริงมีคำกล่าวคำหนึ่งบอกว่า “อย่าหนีปรากฏการณ์แต่จงหลบหลีกความคิดปรุงแต่งในใจตน” เราไม่สามารถหนีคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราเราเปลี่ยนแปลงคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราไม่ได้อย่างนั้นเราควรเปลี่ยนความยึดมั่นคาดหวังที่เราคิดว่าเขาน่าจะดีแต่ถ้าเขาไม่ดีก็ขอเรียนรู้และยอมรับความไม่ดีของเขา เปลี่ยนจากความคิดที่ว่าชีวิตควรจะสงบแต่ถ้าไม่สงบเราก็เปลี่ยนที่ใจตัวเรายอมรับความไม่สงบนั้นให้ได้
ศิษย์เอยในบรรดาทุกข์ทั้งหลายความผิดพลาด ความล้มเหลว ความตาย ความเจ็บปวดเงินทอง อะไรน่ากลัวที่สุดและทำให้เราทุกข์มากที่สุด (ความทุกข์) ถ้าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ศิษย์ก็ไม่รู้จักวิธีพ้นทุกข์ปัญญาเกิดเพราะมีทุกข์ ความหลุดพ้นได้ก็เพราะมีทุกข์คนเราแจ้งในทุกข์ได้ก็เพราะเห็นทุกข์ชัดฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คือ
(เงินทอง) เงินไม่น่ากลัวแต่คนที่โลภแล้วอยากได้เงินจนไม่รู้จักผิด รู้จักถูก น่ากลัวจริงไหม เงินอยู่เฉยๆแต่คนที่อยากได้เงินจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นน่ากลัว
(ความเจ็บปวดน่ากลัว) ความเจ็บปวดไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไร้ปัญญา ใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ใจที่ไม่ต่อสู้กับความเจ็บปวดแล้วกลับมาเข้มแข็งน่ากลัวกว่า ใช่ไหม
(ความตาย) ความตายไม่น่ากลัวเพราะคนที่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่พ้นทุกข์ แต่คนที่ไม่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จงกล้าตายเพราะทำถึงที่สุดแล้ว เราทำดีที่สุดแล้วอย่างไรเราก็หนีความตายไม่พ้นแต่จงตายอย่างมีสติ และมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดก่อนที่จะตายจะได้คุ้มค่าที่เกิดมาใครก็หนีความตายไม่พ้นฉะนั้นขอแค่เพียงมีศีล มีศีลก็มีธรรมและมีคุณธรรมความเป็นคนปฏิบัติต่อคนก็ไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คือการได้จบจากการเวียนว่ายตายเกิดการได้จบกรรมกลัวแต่มีชีวิตอยู่ชอบสร้างกรรมไม่จบสิ้นเป็นเช่นนี้ความตายถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ใช่ไหม
(ความคิด) ความคิดน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) จำไว้นะ“ตัวตน” ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดเราจะรู้จักตัวตนก็ให้มองความคิด เราคิดอย่างไร ตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์เราต้องเปลี่ยนความคิดถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ถ้าเราสามารถอยู่เหนือความคิดและมองเห็นความคิดได้อย่างแจ่มแจ้งก็แปลว่านอกจากเราจะพ้นทุกข์แล้ว เรายังพ้นจากการยึดติดกรรมเวรชีวิตเราก็จะเปลี่ยน
ความคิดคือตัวตน ตัวตนคือความคิดและความคิดจะพ้นจากตัวตนได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่แจ่มชัด ความคิดก็ยึดไม่ได้ตัวตนก็ยึดไม่ได้ เรามีหน้าที่แค่รู้แล้วก็วางทำให้ดีที่สุดแล้วก็ยอมวางลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
(การเกิด) การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวใช่ไหม( ไม่ใช่) จริงๆคนเราตายครั้งเดียวแต่ความเกิดมีหลายครั้ง เกิดอยากได้ก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากมีก็ทุกข์หนึ่งอย่างเกิดอยากเป็นก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากด่าก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่าง เกิดอยากชมก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้นดับความเกิดได้มากเท่าไรก็ดับทุกข์ได้มากเท่านั้น ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีความเกิด
(อวิชชา) สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดก็คือความไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่รู้เพราะอวิชชา จึงเกิดตัณหา จึงเกิดอุปาทานแต่ตอนนี้รู้ยิ่งกว่ารู้แต่เมื่อไรจะเอาสิ่งที่รู้ไปประพฤติปฏิบัติจนเห็นแจ้ง อย่าบอกว่าไม่รู้ สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้คือ การขาดสติ ถ้าขาดสติเมื่อไร สัมปชัญญะปัญญาก็ไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถึงรู้ขนาดไหนทำอะไรจงมีสติรู้เท่าทันคนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตัวเอง
เราทุกข์เพราะอะไรหรือ (ทุกข์เพราะกิเลส) จะบอกอะไรให้กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้ามีตัวตนก็มีกิเลส ถ้าไร้ตัวตนก็ไร้กิเลส เรารักแบบหนึ่งคนอื่นก็รักแบบหนึ่งเราเกลียดแบบหนึ่งคนอื่นก็เกลียดแบบหนึ่งความรักความเกลียดของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วแต่ความนึกคิดที่เรายึดติดฉะนั้นถ้าเราอยากจะละกิเลส เราก็ต้องรู้จักระวังความนึกคิดความยึดติดแห่งตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
(ตัณหา) ตัณหาแปลว่าความทะยานอยาก ตัณหาเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์ได้มาทำให้เกิดโลภ เกิดโกรธเกิดหลง สิ่งที่ศิษย์ได้มานั้น มีก็เหมือนไม่มีเห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วเรายังอยากอีกไหมอาจารย์ถามหน่อยชีวิตเราทุกข์ครั้งเดียวไม่พอหรือ ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก เจ็บแล้วเจ็บอีกแล้วคนเราเอาทุกข์มาให้เจ็บหรือควรเอาทุกข์มาเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่เจ็บฉะนั้นถ้าศิษย์มีความอยากขึ้นมาจงอยากตามหน้าที่แต่ไม่ได้อยากเพื่อสนองกิเลสตัณหาทำตามหน้าที่กับทำสนองกิเลสตัณหาคนละความหมายกันใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เขาเรียกว่าทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อสนองกิเลสอัตตาในใจตน
มนุษย์ทุกข์เพราะยึดติดสมติเขาด่าเราถามว่าเราทุกข์เพราะเขาด่าหรือทุกข์เพราะว่าไม่อยากให้เขาด่าเราห้ามปากให้คนไม่ด่าเราได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นสิ่งที่ห้ามได้คือใจเราเราเปลี่ยนปรากฏการณ์ไม่ได้แต่เราเปลี่ยนการยอมรับในใจเราได้มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นกับความคาดหวังในใจยึดติดกับความคิดที่เราผูกไว้ในใจ เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดาแต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บมากที่สุดก็คือใจที่เราไม่ได้อย่างที่คิด “ต้องชมอย่าด่า ต้องดี ต้องสวย” ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ศิษย์ต้องมองให้ออกว่าทุกข์ที่เขาหรือทุกข์ที่เราไม่ยอมรับความจริงและเราจะเอาความจริงนั้นมาสอนเราหรือเอาความจริงมาทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก
(ทุกข์เพราะไม่มีใครสนใจ) นั่นแหละเหตุที่เราทุกข์เพราะเรายึดติดและคาดหวัง อาจารย์ถามว่า “เราเดินไปและบอกให้คนอื่นยิ้ม” หวังให้ทุกคนยิ้มกับเรา หวังให้คนอื่นดีกับเรา ได้หรือไม่ ในเมื่อแก้คนอื่นไม่ได้ ก็แก้ที่เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นยอมรับความจริงดีกว่าไหมเพราะคนเราก็มีเข้มแข็งและอ่อนแอสิ่งที่เราต้องแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ได้คือความยึดมั่นในความคิดและสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์มากที่สุดคือเราไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร้ายไม่อยากผิด ไม่อยากเลว ไม่อยากแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราแย่ เราเลวการปฏิบัติที่ดีที่สุดเวลาเราอยู่ร่วมกันก็คือทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ไม่ผิดศีล ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคนถึงที่สุดได้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเพราะเราทำดีที่สุดแล้วและอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ
คนส่วนใหญ่ทำอะไรจะหวังว่าต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องได้ ต้องดีเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมมีสำเร็จก็มีล้มเหลว มีได้ก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรายังมีปัญญา ยังไหว วันนี้ล้มเหลวก็ลุกขึ้นใหม่ วันนี้ทุกข์วันพรุ่งนี้จะพยายามไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) สติเราก็มีอยากแค่เพียงพอบำรุงเลี้ยงชีวิต แต่ไม่อยากจนทำร้ายชีวิตและก่อวิบากกรรมถูกหรือไม่ (ถูก) ใครบ้างเกิดมาอยากมีกรรมชั่วศิษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมดี ฉะนั้นจงรักษากรรมดีนั้นไว้ อย่าเผลอหลงผิดและจงรู้จักต่อยอดกรรมดีนั้น ด้วยการให้ให้มากที่สุด
(ถ้าผมนอนอยู่แล้วร้อน แล้วถีบผ้าห่มออกถามว่าผมทราบไหมว่าผมถีบผ้าห่มออก) ศิษย์เอย ถ้าทุกขณะเราทำด้วยสติอาจารย์ก็เชื่อว่าความรู้สึกตัวนั่นแหละที่จะบอกว่าเราต้องถีบผ้าแล้วศิษย์ไม่มีสติรู้เลยหรือว่าต้องถีบ ฉะนั้นถ้าฝึกให้มีสติอยู่ทุกขณะแม้ขณะฝันศิษย์ก็สามารถควบคุมฝันได้ด้วย ถ้าเขามาทำร้ายศิษย์ยังรู้จักรับมือ แล้วหยุดการทำร้ายนั้นได้ หรือแม้แต่ศิษย์คิดจะทำร้ายศิษย์ยังสามารถควบคุมสติได้จนถึงขนาดว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา เพราะสิ่งที่อยู่ใต้สำนึกเกิดจากการสั่งสมของสัญญา ความรับรู้ความหมายรู้ในจิตของเรา ที่เราฝังลงไปในใจ ที่เรียกว่าจิตเนื้อนาบุญปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาปแต่โดยส่วนใหญ่สิ่งที่เราปลูกคือความคิดเห็นอันเป็นอัตตาตัวตนที่เรียกว่านิสัย อารมณ์ กิเลส แล้วก็จะฝังอยู่ในตัวเราแล้วออกมาทางความรู้สึก ความฝัน และการประพฤติในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราสามารถย้อนกลับไปมองที่ตัวต้นเหตุได้ด้วยการมีสติรู้และไม่ฝังอะไรลงไปในสัญญา เราก็จะสามารถควบคุมชีวิตได้เรียกว่า นอนแล้วไม่ฝัน หลับแล้วไม่ทุกข์
อาจารย์จะบอกให้ลึกลงไปอีกว่า ต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหนเราประกอบด้วยกาย ใจ จิต ใช่หรือไม่ (ใช่) จิต เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แต่ถูกบดบังไป เพราะใจที่มีอัตตาตัวตนจึงทำให้เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ ที่มนุษย์มักจะพูดว่าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ใส ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ จิตไม่ใช่ดวงวิญญาณกลมๆ จิตเดิมแท้เป็นภาวะแห่งความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีเมื่อมีก็เลยถูกกระทบ เมื่อกระทบก็หนีไม่พ้นยึดติดแบ่งแยกแบ่งแยกเป็นสิ่งที่เรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าดี เรียกว่าร้ายฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถกลับคืนไปสู่ความว่างได้นั่นก็คือกลับสู่จิตเดิมแท้ แต่เรากลับยึดติดว่า“ก็หนูเป็นแบบนี้อาจารย์จะเอาอะไรกับหนูนักหนาก็หนูทำได้แค่นี้อาจารย์ก็คิดมากไปช่างมันเถอะ ตายไปมันก็จบกัน”ในความจริงมันไม่จบ ใช่หรือไม่ เพราะว่า กายเกิดมาเพื่อรับกรรมฉะนั้นกรรมจึงเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จำไว้นะศิษย์กรรมเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จิตพ้นกรรมมานานแล้วแต่ที่มันไม่สามารถพ้นกรรมได้ก็เพราะว่าเราเอาใจไปผูกยึดกับกายและจิตจึงทำให้จิตนี้มีคำว่าตัวตนบังซ้อนอยู่เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางตัวตนที่บังซ้อนอยู่ได้ศิษย์จะสามารถกลับคืนสู่จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ได้ ด้วยคำว่าว่างแต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง ชอบความมี ทั้งที่จริงๆแล้วความว่างมันทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงที่สุดแล้วกายก็กลับสู่ความว่าง ใจที่อยากได้นั่นอยากได้นี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บำเพ็ญจึงไม่ใช่แค่การเป็นคนดีแต่ยังหยั่งรากลึกลงไปถึงการกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ด้วยซึ่งศิษย์จะต้องมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม เหมือนถามว่าตัวตนเกิดจากอะไรตัวตนเกิดจากความคิด ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจสั่งสมจนเกิดเป็นตัวตนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตัวตนคือสิ่งที่ปรุงแต่งจากความคิดแล้วความคิดมันมีตัวตนหรือไม่ (ไม่มี) เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ไหนครอบงำอารมณ์อยากครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความอยากอารมณ์ดีครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความดีอารมณ์โกรธครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความโกรธทั้งที่จริงๆแล้วตัวเราไม่ต้องการอะไร แต่เรามักไม่ชอบความว่างเราชอบฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องมีแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์อยากไปให้ลึกกว่านั้น เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางความคิดเห็นแล้วไม่คิดคือใจที่ว่าง แต่มนุษย์เห็นแล้วมักดึงให้ชอบเห็นแล้วมักผลักให้ชัง ก็เลยกลายเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ชอบ ชังแต่ถ้าทุกขณะเห็นแล้วไม่ดึงให้ชอบ ไม่ดึงให้ชัง มันก็ว่าง มันก็ไม่มีมันก็จบ เหมือนถูกเขาด่า เราไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดติด มันก็ว่างจะเป็นกรรมไหม (ไม่เป็น) มันก็กลายเป็นอกรรม ฉะนั้นสิ่งที่เขาว่ามาเราก็แค่ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่เมื่อเราสิ้นกรรมก็แปลว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อไม่สร้างกรรมเมื่อสิ้นกรรมตลอดและทุกอย่างทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) และยังจะมีวิบากกรรมให้ต้องไปรับอีกไหม (ไม่มี) ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงต้องกลับไปที่คำแรกว่า เกิดเป็นคนต้องมีศีลธรรมเพราะเราปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมไม่ได้ปฏิบัติกับเขาด้วยกิเลสตัณหาเราปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อสัตย์แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์ปฏิบัติต่อกันเพราะฉันอยากได้อะไรจากเธอ เธอจะให้อะไรกับฉัน ฉันจะดีกับเธอแค่ไหน เธอจะดีกับฉันแค่ไหน จึงเป็นกิเลสและกรรมไม่ใช่ธรรม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ความเมตตา ความซื่อตรง จริงใจเคารพให้เกียรติ และไม่ผิดศีล ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่กรรมที่เรียกว่าตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ใช่ให้ปล่อยวางแต่ให้ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วได้กรรมยกตัวอย่างเช่น ไปทำบุญแล้วขอให้ถูกหวย ขอให้ครอบครัวร่มเย็นการขออย่างนี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อละ แต่ปฏิบัติแล้วหลงยึด ปฏิบัติแล้วได้กรรมเพราะที่สุดของบุญคือชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) บาปก็คือยึดมั่นถือมั่นจนเกิดความลุ่มหลง ฉะนั้นถ้าทำบุญแล้ววอนขอจึงเป็นบุญที่มีบาป ทำบุญแล้วหวังยังเป็นบุญที่อาบด้วยกิเลส แล้วเราเป็นไหม (เป็น) ฉะนั้นเราก็ใช้กรรมต่อไป อาจารย์ถามว่าศิษย์สร้างกรรมดีมากกว่าหรือสร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมชั่วเล็กๆ ก็สามารถทำร้ายให้เราเจ็บปวดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะอยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อสร้างกรรม แล้วเราปฏิบัติเพื่อธรรมหรือเพื่อตน (เพื่อธรรม)ส่วนใหญ่จะไม่เพื่อธรรม แต่จะเพื่อตนเองตลอดเลยจริงหรือไม่ (จริง)
หนทางการปฏิบัติความหมายจึงต่างกัน อาจารย์ยกตัวอย่าง เวลาเราไปทำงาน ทำเพื่ออยากได้เงินเดือนหรือทำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด (ปฏิบัติหน้าที่)ถ้าทำเพื่อเงินไม่ใช่เรียกว่าธรรมแต่ถ้าเราทำเพราะอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด จริงใจที่สุด ดีที่สุด ให้สมกับคนที่มีคุณธรรมมากที่สุดนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อธรรม แต่ถ้าบอกว่าปฏิบัติแล้วจะได้เงินเดือนเพื่อจะได้ไปเที่ยว ซื้อของนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อกรรมและสนองกิเลสตัณหาแห่งตน ใช่ไหม (ใช่) ความหมายต่างกัน ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าบำเพ็ญต้องเริ่มตั้งแต่ตอนแรกคือเราปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง รับผิดชอบซื่อตรง และเพื่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน ฉะนั้นผิดก็ยอมรับผิดแล้วแก้ไข ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตน คุณค่าความหมายคือมีชีวิตอยู่เพื่อธรรมและกลับคืนสู่ธรรมแต่ถ้าทำเพื่อตนก็มีชีวิตหนีไม่พ้นเวรกรรมเพราะคำว่าตนมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คำว่าธรรมมีแค่คำว่าธรรม และธรรมฉะนั้นถามใจตัวเอง จะทำเพื่อตนหรือทำเพื่อธรรม (เพื่อธรรม) ที่แล้วมาทำเพื่อตนและสนองกิเลสแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้บอกว่าศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรไม่ต้องทำอะไร แต่เรายังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้วถึงที่สุดอะไรจะเกิดก็ไม่กลัวเพราะอะไรจะเกิด ก็มีปัญญาธรรมจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นถ้าถึงเวลาศิษย์ต้องพบทุกข์ แม้เรื่องที่ง่ายที่สุดที่เรียกว่าถูกด่าถูกว่า ไยจึงไม่เห็นธรรม ไยจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดแล้วก่อเวรกรรมทั้งที่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดต่อไปถ้ามีคนมาด่าเรา เราจะด่ากลับเหมือนเคยไหม (ไม่) อยากพบเขาอีกใช่ไหมถ้าอยากพบเขาอีกก็จองเวรจองกรรมไปเลย แต่ถ้าไม่อยากพบเจอก็จบกันแค่นี้ดีไหม (ดี) เขาด่าเราโกรธไหม (ไม่โกรธ) เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาปัญหาอยู่ที่เราใช่ไหม (ใช่) ถ้าคิดว่าเราถูกด่าไม่ได้ก็เป็นกรรมแล้วแต่ถ้าคิดว่าเราถูกด่าได้จากกรรมมันกลายเป็นธรรมสอนใจเลยจริงหรือไม่ (จริง) อาจารย์ก็พูดอยู่ทุกครั้งที่ว่าธรรมคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นคือความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกแล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลก มีได้ก็มีเสียมีสุขก็มีทุกข์ มีสมหวังก็มีผิดหวัง ศิษย์อย่าดูถูกใจตัวเองศิษย์อย่าดูเบาใจตัวเอง คนที่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับใบหน้าคนอื่น คือคนที่ดูถูกคุณค่าตัวเองแล้วพร้อมจะตกเป็นทาสอารมณ์ของคนอื่นถูกหรือไม่ (ถูก) ฉันจะสุขจะทุกข์ต้องอยู่ที่คนนี้จะยิ้มหรือไม่ยิ้มฉันจะสุขจะทุกข์ก็ต้องอยู่ที่คนนี้จะด่าหรือชม ต่อไปถ้าเขาด่าศิษย์ก็ยิ้มเขาชมศิษย์ก็ยิ้มจำไว้นะศิษย์ชีวิตเรา เราเลือกได้ ทุกข์มาเราเลือกได้ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือจะเลือกทำในสิ่งที่ผิดต่ออย่าดูถูกตัวเองก็พอใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นบอกอาจารย์หน่อยว่าจะรับมือกับโลภ โกรธ หลงในใจอย่างไร (ปล่อยวาง, ทำจนถึงที่สุด, ใช้ปัญญา, ปลง) ปลงบ้าง ได้มาก็สะสมของเต็มไปหมดอายุปูนนี้แล้วถ้ายังปลงไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ (ใช้สติ)เมื่อไร้สติก็เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้ามีสติรู้จักยั้งคิดโลภโกรธหลงก็จะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ คนมีอารมณ์เป็นเพราะขาดสติ (แค่รู้) เวลาความโกรธมาไม่ให้ค่าไม่สนใจ เดี๋ยวโกรธจะหายไปเองแต่ถ้าเมื่อไรเราสนใจเราให้ค่าเราปรุงแต่ง ความโกรธจะเผาใจเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)
(ใช้ขันติ) ใช้ขันติข่มใจ ถ้าปัญญายังหยั่งไม่ถึงความเข้าใจในธรรมนั้นก็ต้องรู้จักใช้ขันติข่มใจ
(ปล่อยจิตให้ปล่อยวางไม่คิดอยากได้ของใครมาเป็นของตน) เมื่อไรที่อยากเท่ากับศิษย์เพิ่มความทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ
(ปล่อยใจให้ว่าง) พอได้ก็ว่างได้ ไม่พอก็ไม่ว่าง
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“กำไรจากความทุกข์”)
เมื่อเราพบทุกข์จงแปรทุกข์ให้เป็นปัญญาเมื่อไรที่สามารถแปรทุกข์เป็นปัญญาความทุกข์จะทำให้เรามีกำไรในการเกิดมาและในการใช้ชีวิตเราทุกข์พอแล้วนะศิษย์ และเราก็เจ็บมาพอแล้ว และทำไมเราจึงอยากทุกข์อีกอย่าดูถูกปัญญาตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองอย่าดูถูกชีวิตตัวเองเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งในทุกข์อันเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้นและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญาเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสก็คงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์หวังน้อยๆ ว่าในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ จะช่วยทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตมากขึ้นและรู้จักบำเพ็ญให้ถูกทาง อย่าติดแค่บุญ อย่าติดแค่ความดีแต่จงรู้จักเอาบุญและความดีเป็นรากฐานในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงอันไม่เที่ยงในโลกใบนี้ ตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทำไมไม่สร้างคุณความดีและบำเพ็ญดีให้ถึงที่สุดเพื่อเราไม่ต้องกลับมารับทุกข์อีกต่อไปทุกข์ยังไม่พออีกหรือ ถ้าพอศิษย์จะรู้จักอยากอย่างมีสติอยากอย่างคนที่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะสิ่งที่น่ากลัวในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของเราเองใจที่ไม่สู้กับความจริงซึ่งแม้ความจริงนั้นเป็นทุกข์แต่ก็ใช่ว่าเรานั้นจะต้องทุกข์ทุกข์มาปัญญาเกิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นมีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ ชีวิตไม่ว่าพบเรื่องราวอะไร ขอให้เข้มแข็ง จริงๆอาจารย์ก็ไม่อยากให้เข้มแข็ง เพราะว่าพอเข้มแข็งแล้วก็กลับมาอ่อนแออีก ใช่หรือไม (ใช่) รักษาสมดุลของชีวิตให้ได้ วันใดพบเรื่องอ่อนแอจงรู้จักเข้มแข็งให้เป็น วันใดที่ตัวเองเข้มแข็งก็จงเข้าใจว่าชีวิตก็อ่อนแอได้ เหมือนวันใดที่มีสุขวันนั้นก็เข้าใจว่าแม้จะทุกข์มาก็ไม่เจ็บปวด สังขารคืนสู่ดินแต่จงเอาจิตกลับคืนสู่ฟ้าสังขารเกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์นานแล้วอย่าเอาความเป็นตัวตนไปทำให้จิตหม่นหมองและยึดติดในทุกข์นะ ใช่ไหม (ใช่) เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาตัวเองความเป็นจี้กงจะมีอยู่ในใจศิษย์ได้จี้กงคือหัวใจที่รู้จักอนุเคราะห์ฉุดช่วยชาวโลก ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
อะไรจะเกิดก็กล้ารับ เข้มแข็งนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ทุกข์แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์ที่มีปัญญาเข้าใจในความทุกข์ไม่ต้องพยายามหาว่าตัวเองเป็นอย่างไร เพราะถ้าหาว่าตัวเองเป็นอย่างไรก็กลายเป็นยึดติด สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่เคยเป็นอะไรและไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย อย่างนั้นจะดีกว่า คิดว่าตัวเองมีก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีบางทีอาจจะดีกว่าก็ได้ ลองคิดให้ดี
ขอให้บุญรักษาศิษย์ ขอให้ปัญญาในธรรมจงเกิดแก่ศิษย์ เห็นชัดในชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม
หายไข้ไม่มีประโยชน์ ขอแค่เข้าใจในความเจ็บป่วยดีกว่า จริงไหม
อย่าทำสิ่งที่ผิดเลย รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องน หนทางบุญเดินให้ถึงที่สุด
รักษาคุณงามความดีด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง รักษาหัวใจให้แกร่งดั่งเพชร
มีโอกาสช่วยงานฟ้านะศิษย์นะ ทำงานธรรมด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอยนะ บำเพ็ญอะไรหรือถ้ายังยึดติดอยู่ก็บำเพ็ญไม่ได้มีปณิธานแล้วจงลุในปณิธาณด้วยหัวใจที่เสียสละขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ให้เดินไปจนถึงที่สุดที่ศิษย์ตั้งใจนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ สู้ไหม ช่วยงานอาจารย์ทำไมถึงหวาดกลัวล่ะควรจะมีหัวใจที่เข้มแข็งสิ สู้ให้สมกับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สู้เพื่อคนอื่นตั้งใจบำเพ็ญนะ อุทิศเสียสละด้วยหัวใจอันดีงามด้วยใจอันประเสริฐ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ รู้จักปณิธาณของตัวเอง ซื่อตรงไปให้ถึงเป้าหมาย เข้าใจไหม มีความมุ่งมั่นและไปให้ถึงที่สุดอย่าหวั่นไหวเลือกทำสิ่งที่ดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอาจารย์อยากเห็นความมั่นคงในหัวใจศิษย์ทุกคนนะ
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่าอ่อนแอแต่จงเข้มแข็งและกล้าหยัดยืนทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีปณิธานมีความมุ่งมั่นก็อยู่ที่ว่าศิษย์จะตั้งใจทำได้มากแค่ไหนขอเพียงแค่อย่าให้อารมณ์ความคิดที่ผิดพลาดมาทำให้เราต้องทุกข์เลยรักษาความดีไว้นะ ถ้าศิษย์มีใจสักครึ่งหนึ่งอย่างอาจารย์ก็คุ้มแล้วที่อาจารย์มา อย่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งจิตให้ดีตั้งใจบำเพ็ญเอาหัวใจที่ดีงามเสียสละเป็นจุดมุ่งหมายเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไม่จำเป็นต้องถามว่าตัวเองเป็นอะไรแค่ถามว่าตัวเองจะทำอะไรให้ดีที่สุดกับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาแล้วถ้าชีวิตหนึ่งทำได้ดีที่สุดทำไมจะไม่ทำสักวันศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องเสียสละทำไมถึงต้องช่วยคน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งดูแลหัวจิตหัวใจตัวเองให้ดีนะ เอาความดีชนะใจสิ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงธรรม นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ อย่าจมกับความทุกข์ในโลกเลย อย่าจมกับการยึดติดในตัวเองเลยเพราะทำให้ศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรม เพราะถ้าวิบากกรรมมาสนองเมื่อไรตอนนั้นศิษย์จะเรียกอาจารย์ช่วย อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้เพราะกรรมใครคนนั้นก็ต้องรับ ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์แล้วอย่าทำผิดได้ไหม (ได้) ถ้าจะทำผิดยกความผิดนั้นมาให้อาจารย์ศิษย์จะได้ไม่ต้องทำอย่าเผลอทำเลยนะศิษย์เพราะถ้าทำแล้วศิษย์จะต้องรับผลของกรรมนั้นอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วตอนนั้นใครก็ช่วยไม่ได้ บุญก็ช่วยไม่ได้สิ่งที่ช่วยได้คือปัญญาที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ศึกษาธรรมเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดปัญญา นำพาให้มีสติพ้นทุกข์และอยู่กับความจริงให้ได้นะศิษย์เอย ความจริงในโลก ไม่น่าเจ็บช้ำไม่น่าทุกข์ แต่ที่เจ็บและทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่คิดว่าคนที่ทำกับเราคือคนที่รักเรามากที่สุด คือคนที่เรารักเขาสุดหัวใจและก็ไม่คิดว่าคนที่เรารักสุดหัวใจจะต้องมารับกรรมแทนเรา เพราะบางทีกรรมไม่ตกที่เรา แต่ตกที่ลูกหลาน เราจะรับไม่ไหว ฉะนั้นก็อย่าทำผิดเลย เชื่ออาจารย์นะ อย่าทำผิดเลยเพราะถ้าลูกศิษย์ยังดีไม่ได้อาจารย์จะเอาหน้าไปบอกเขาได้อย่างไรว่าศิษย์กำลังบำเพ็ญในเมื่อศิษย์ไม่เลือกทำสิ่งที่ดี อาจารย์ไปต่อรองเจ้ากรรมนายเวรอาจารย์ก็สงสารเขา ศิษย์ทำเขามา และเมื่อเขาจะแก้แค้นคืนอาจารย์ก็ต้องยุติธรรมก็ต้องให้ศิษย์รับกรรมไป ไม่ใช่อาจารย์ไม่อยากช่วยไม่คุ้มครอง แต่กรรมใครก็ต้องรับจริงไหม อาจารย์ขอย้ำแล้วย้ำอีก อย่าทำผิด
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”
ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน