西元二〇一八年嵗次戊戌三月二十七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๑ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
อย่าขาดความซื่อตรงในจิตใจ รักสบายเอาเปรียบใครไม่ดีหนา
สำนึกดีต้องทำดีทำจริงนา หากเฉยชาก็ยากยิ่งบำเพ็ญอะไร
เราคือ
ศิษย์พี่พระนาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับกันไหม
คนทำเพื่อปากท้องกองทรัพย์สิน บ่อยทำชินเคยคุ้นประโยชน์ผล
ปล่อยให้เคยตัวจริงลำบากลำบน เรื่องของคนแปลกใหม่เป็นประจำ
ถ้ากลัวเปลี่ยนแปลงบำเพ็ญให้ดี ไม่ละเลิกไปมีแต่ถลำ
เมื่อน้ำลดอย่าผุดตอระกำ อย่าสำคัญอัตตาให้ช้ำไม่เข็ด
ความรู้สึกรู้สาชวนยากทำใจ หัวใจไร้อารมณ์จึงใจพ้นเทวษ[1]
จิตอำนาจเมื่อดึงวางจากกิเลส ยืนเหนือใจสำเร็จตื่นความจริง
อัตตาแห่งตัวเธอฉันสังคมโลก พูดทำคิดวิปโยคมีทุกข์ยิ่ง
จักรวาลเคลื่อนธรรมขยับแต่คนนิ่ง มองตามจริงธรรมนั้นเพื่อนิรันดร์
เพียรทำไปย่อมประจักษ์จิตประมุข ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านกายสังขาร
ประกาศธรรมไว้เสร็จสรรพธรรมกาล หนึ่งเดียวธรรมตะวันล้วนส่องโลกา
ฮิ ฮิ หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๑ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
อย่าขาดความซื่อตรงในจิตใจ รักสบายเอาเปรียบใครไม่ดีหนา
สำนึกดีต้องทำดีทำจริงนา หากเฉยชาก็ยากยิ่งบำเพ็ญอะไร
เราคือ
ศิษย์พี่พระนาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับกันไหม
คนทำเพื่อปากท้องกองทรัพย์สิน บ่อยทำชินเคยคุ้นประโยชน์ผล
ปล่อยให้เคยตัวจริงลำบากลำบน เรื่องของคนแปลกใหม่เป็นประจำ
ถ้ากลัวเปลี่ยนแปลงบำเพ็ญให้ดี ไม่ละเลิกไปมีแต่ถลำ
เมื่อน้ำลดอย่าผุดตอระกำ อย่าสำคัญอัตตาให้ช้ำไม่เข็ด
ความรู้สึกรู้สาชวนยากทำใจ หัวใจไร้อารมณ์จึงใจพ้นเทวษ[1]
จิตอำนาจเมื่อดึงวางจากกิเลส ยืนเหนือใจสำเร็จตื่นความจริง
อัตตาแห่งตัวเธอฉันสังคมโลก พูดทำคิดวิปโยคมีทุกข์ยิ่ง
จักรวาลเคลื่อนธรรมขยับแต่คนนิ่ง มองตามจริงธรรมนั้นเพื่อนิรันดร์
เพียรทำไปย่อมประจักษ์จิตประมุข ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านกายสังขาร
ประกาศธรรมไว้เสร็จสรรพธรรมกาล หนึ่งเดียวธรรมตะวันล้วนส่องโลกา
ฮิ ฮิ หยุด
[1] เทวษ การครํ่าครวญ, ความลําบาก.
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
สิ่งสำคัญในการเป็นคนคือความซื่อตรงจริงใจ อยากได้คนซื่อตรงจริงใจ เราก็ต้องซื่อตรงจริงใจก่อน ถ้าเริ่มต้นด้วยการโกหก เราก็ต้องโกหกไปตลอดชีวิต ถ้าเริ่มต้นซื่อตรงจริงใจจะกลัวอะไร จะมีความซื่อตรงจริงใจได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องและดีงาม ทำอะไรก็ทำด้วยจิตสำนึกที่ดีงามและถูกต้อง ถ้าใจไม่บอกให้ซื่อตรงเราจะเป็นคนซื่อตรงไหม ถ้าจิตเราไม่สำนึกในความถูกต้องดีงามเราจะปฏิบัติดีไหม ถ้าเราไม่เชื่อในความดีงาม เราไม่เชื่อการปฏิบัติดีแล้ว เราจะทำดีไหม แต่ทุกอย่างที่เราทำเพราะเราเชื่อในความดีงาม เชื่อในคุณค่าของความถูกต้อง เพราะคุณค่าของความถูกต้องและคุณค่าของการประพฤติสิ่งที่ดีงามนั้นมีความสบายใจ มีความสุขใจเป็นผล เราก็ประจักษ์เองได้ คนหนึ่งคนใดจะดีไม่ดี อยู่ที่ตัวเขามีจิตสำนึกหรือไม่สำนึกดี สำนึกดีก็ทำดี แต่ถ้าขาดสำนึกดีก็พร้อมจะทำไม่ดี
เราขอถามอะไรง่ายๆ นะ อะไรเอ่ยยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ(ความสุข, เวลา) เวลาเหลือน้อย ไม่ควรจะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ทำดีทำเท่าไรก็ไม่เคยพอสักที เวลายิ่งนานไปก็ยิ่งพร่องยิ่งหมด ถ้าเรารู้ว่าเวลาทุกวันคือเวลาที่ต้องหมดไปเราจะพยายามรักษาเวลาให้ดีที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก) เเต่มนุษย์ไม่เคยคิดว่าเวลากำลังหมดไป เเต่คิดว่ามีเวลามากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกเวลาคือทุกขณะของความดับสิ้น มนุษย์บอกว่าเกิดมาสิบห้าปีแล้ว เเต่พุทธะบอกว่าท่านกำลังดับมาสิบห้าปี
อะไรที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ความรัก เงินทองเกียรติยศ ความต้องการในจิตใจ ได้เท่าไรก็ไม่พอ เเล้วคิดว่าถ้าทำสำเร็จฉันจะพอแล้วหยุดแล้ว ไม่เห็นมีใครพอสักคนจริงไหม (จริง) ถ้าฉันได้เธอคนเดียวฉันก็พอใจแล้ว ถ้าได้เงินก้อนนี้ผมจะพอใจแล้ว ถ้าถูกล๊อตเตอรี่ผมจะหยุด หยุดไหม (ไม่หยุด) ใจของมนุษย์ ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งคิดว่าจะเติมให้ใจตัวเองเต็ม ก็กลับไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอสักที อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่สิ่งที่ท่านกำลังหาหรือปัญหามันอยู่ที่ใจ (ที่ใจ) ใจเป็นเหมือนสิ่งที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่องไหม ยิ่งหาตัวเองเท่าไร ฉันเป็นคนแบบไหน แต่ถึงเวลามันไม่ใช่ ฉันน่าจะพอใจแบบนี้นะ แต่พอถึงเวลาก็ไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) วิชาที่สามารถเรียนแล้วทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองเห็นตัวเราได้ดีที่สุดคือ วิชาธรรมะ สนใจจะคุยวิชาธรรมะกันไหม
ในโลกนี้มีสิ่งที่มนุษย์อยากมากมาย บางครั้งยิ่งอยากก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่เคยพอ แต่เราก็ไม่หยุด หาจนเหนื่อย หาจนทำร้ายชีวิตและจิตใจ และก็หาจนทำให้ตัวเองทุกข์จนตายทั้งเป็น อย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งที่หานั้นจะเป็นคำว่าได้หรือเสีย เป็นคำว่าสุขหรือทุกข์ ก็ล้วนมีพิษภัยไม่แตกต่างกันเลย ถึงจะทำให้เรามีสุขแต่ใจก็เร่าร้อน และเมื่อยามมีทุกข์ใจก็เร่าร้อนไม่ต่างกันเลย ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์แสวงหาไม่ว่าจะเป็นความรักความอบอุ่นความจริงใจ ถ้าเราไม่เคยจริงใจกับใครก่อนไม่เคยเต็มที่กับใครก่อน ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะจริงใจและเต็มที่กับเรา จริงหรือไม่ (จริง) ท่านดีที่สุดกับคนอื่นหรือยัง ถ้าท่านยังไม่ดีที่สุดอย่าหวังคนอื่นจะเต็มที่กับเรา ถ้าท่านยังไม่จริงใจก็อย่าหวังว่าใครจะจริงใจกับเรา
เมื่อมั่งมีแล้วมีใครไม่หลงฟุ้งเฟ้อ เมื่อได้แล้วมีใครไม่เหิมเกริม เมื่อผิดหวังแล้วมีใครบ้างไม่สูญเสียคุณธรรมความเป็นคน เมื่อชนะก็หลงตัวเอง เมื่อแพ้ก็ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น เมื่อยามมั่งมีก็อวดตัวเอง เมื่อยามยากจนก็สูญเสียความเป็นคนในจิตใจ โบราณจึงกล่าวไว้ว่า รวยแล้วรู้จักให้จึงเรียกว่าประเสริฐ ยากจนแล้วยังรู้จักรักษาคุณธรรมความเป็นคนไม่สูญเสียจึงเรียกว่าคนดี แต่มนุษย์เอาแต่อยากจนทำร้ายตัวเอง เอาแต่อยากจนสูญเสียความเป็นคน เอาแต่อยากจนขาดคุณธรรมแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ
ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนจิตใจดี ซื่อตรง ใจเย็นและมีน้ำใจ อย่างนั้นตอนนี้มีไหม ทำไมคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนที่เคยใจเย็นจึงกลายเป็นคนใจร้อน คนที่เคยซื่อตรงจึงกลายเป็นคนคดโกง คนดีบ้างไม่ดีบ้างไม่เรียกว่าคนดีจริง คนดีจริงต้องดีตลอดตั้งแต่ต้นจนตาย แล้วเพราะอะไรคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนซื่อตรงจึงเป็นคนคดโกง โป้ปด คนน่ารักจึงกลายเป็นคนน่าเกลียด หาคำตอบได้ไหม (ความโลภ) ความโลภกับความดีในจิตใจ อะไรมีค่ามากกว่ากัน (ความดี) แล้วทำไมถึงทิ้งความดีในจิตใจเพื่อความโลภ ถ้าเกิดว่าคนใจดีเสียไปเพราะความโลภ คนใจดีเสียไปเพราะความโกรธ คนใจดีเสียไปเพราะความอยาก อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มันมีค่าดีไหม (ไม่ดี) แล้วรู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางมาแห่งบาปและอกุศลทั้งมวล ทำให้เราต้องทุกข์และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปรับ ถ้ารู้อย่างนี้ยังอยากมี โลภ โกรธ หลง ไหม (ไม่อยาก)
ภัยพิบัติทางธรรมชาติมนุษย์ยังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากกิเลส การกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่างนั้นเราควรตกเป็นทาสของกิเลสไหม (ไม่ควร) ถ้ามีทุกข์แล้วค่อยพยายามเอาธรรมะข่มทุกข์ ดับทุกข์ กับพยายามมีธรรมเพื่อไม่ให้มีทุกข์ อะไรดีกว่ากัน (มีธรรมดีกว่า) เวลามีทุกข์แล้วพยายามใช้ ขันติ เมตตา ใจเย็น ใจกว้าง มันทรมานไหม แต่มีขันติ ใจเย็น มีเมตตาตั้งแต่แรกแล้วไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ มันสบายกว่าไหม (สบายกว่า)
จิตปกติมันไม่เคยมีอารมณ์ แต่จิตไม่ปกติจึงมีอารมณ์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าเป็นปกติที่เกิดมาเป็นคนต้องมีโลภ มีโกรธ มีหลง จริงๆ แล้วจิตปกติของคนไม่เคยมี โลภ มีโกรธ มีหลง แต่เมื่อไรตากระทบของที่อยากได้ หูได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน ก่อเกิดการกระทบจึงก่อเกิดเป็นอารมณ์ และกลายเป็นความอยาก ซึ่งทำให้เราผิดปกติ เราไม่ถูกกระทบเราก็ไม่อยาก
การมีศีลธรรมคือการทำคนให้เป็นคนปกติ แต่คนที่ดำเนินชีวิตขาดศีลธรรม จึงเรียกว่าคนผิดปกติ ถูกไหม (ถูก)
การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจหลักธรรมความเป็นจริงเเละสามารถอยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์ อยู่กับทุกข์อย่างคนที่เข้าใจทุกข์เเละสามารถพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเราเอง อย่ามองว่าเป็นเรื่องยาก อย่ามองว่าตัวเราเองทำไม่ได้ ไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ก้าวเข้ามาดูหรือจะเข้าใจความเป็นจริง เกิดเป็นคนไม่ลองสู้ ยังไม่สู้ก็ยกธงขาวแบบนี้น่าเสียดาย แล้วเราเคยสู้กับทุกข์หรือยัง (เคย) สู้อย่างคนใช้ธรรมหรือสู้อย่างคนใช้กิเลสเวรกรรม เมื่อเจอทุกข์ทีไรก็คิดว่าเวรกรรมอะไรถึงต้องมาเจอ แต่ถ้าสู้อย่างคนที่ใช้ธรรมเราจะสามารถหมดเวรหมดกรรมสิ้นภพสิ้นชาติได้
แล้วระหว่างคนใจดีกับคนใจร้ายแบบไหนดีกว่ากัน (คนใจดี) ส่วนใหญ่เรานิสัยเสียเพราะคนใจดีหรือคนใจร้าย (ใจดี) ทั้งคนใจร้ายและคนใจดีไม่น่ากลัวเท่ากับตัวเราเอง ถูกไหม คนอื่นจะร้ายหรือดีไม่สำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเอง เขาร้ายแล้วเราจะดีไหม ถ้าเขาร้ายแล้วเราไม่ดีโทษเขาไม่ได้ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ อยู่ที่เขาชี้หรืออยู่ที่เรากำหนด ฉะนั้นใครจะร้ายหรือดีไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือตัวศิษย์น้องรู้ใจตัวเองว่าดีหรือยัง เพราะคนดีจริงเหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ยังคงรักษาความดี และความชั่วของคนอื่นกลับยิ่งเสริมให้เขายิ่งดี ผู้เข้าถึงความเป็นจริงจะรักษาความเป็นกลางเเละมองเห็นทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรก็ตามไม่มีอะไรดีเกินไปเเละไม่มีอะไรแย่เกินไป ธรรมจึงสอนว่าอย่าหลงกับความดีจนเกินไป เเละอย่ารังเกียจกับสิ่งที่ไม่ดีจนเกินไป เพราะคนที่หมั่นปฏิบัติธรรมจะไม่หลงว่าตัวเองดี เพราะมีดีก็ต้องมีดียิ่งขึ้นไป เพราะในดีก็มีร้าย ในร้ายก็มีดี การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจึงไม่ใช่ชอบดีเเต่รังเกียจร้าย ยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีเเล้วดูถูกผู้อื่นเป็นคนไม่ดี แบบนี้ไม่ใช่หนทางการปฏิบัติธรรม เเละไม่ควรพึงพอใจว่าตัวเองดีเเล้วว่าคนอื่นไม่ดีอยู่ร่ำไป แบบนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมดีเเล้วยิ่งต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นถึงจะเรียกว่าคนดี ผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่รังเกียจคนไม่ดี เพราะในความไม่ดีเขาก็มีดี จริงไหม (จริง)
ธรรมะคือการเรียนรู้ความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์ โดยไม่ปล่อยให้ทุกข์นั้นก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ แต่รู้จักใช้สติปัญญาควบคุมตน คนที่ปฏิบัติธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าเพราะเราไม่ดีจึงปฏิบัติธรรม ฉะนั้นถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วโดนเขาต่อว่า ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นดีเลย ก็ตอบไปว่า เพราะยังไม่ดีถึงต้องปฏิบัติ
(ศิษย์พี่เมตตาหยิบมะม่วงขึ้นมาหนึ่งผล) สมมติมีผลไม้ลูกหนึ่ง ถ้าจับแล้วรู้ชัดว่าร้อนเวลาจับเราจะระมัดระวัง ถูกไหม (ถูก) ถ้าจับแล้วรู้ว่าเย็นเมื่อเราจับก็จะไม่ร้อนมือ แต่ถ้ามีผลไม้ลูกหนึ่งเดาไม่ได้เลยว่าจะร้อนหรือเย็น จะดีหรือร้าย ท่านจะจับไหม
อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยมาใช้ธรรมข่มใจ การปฏิบัติธรรมก็เพื่อป้องกันคนที่ไม่สามารถรู้ใจตัวเองว่าเดี๋ยวจะร้ายหรือจะดี แต่พยายามรักษาดีจึงพยายามปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทุกวันนี้ถามว่าให้ปฏิบัติธรรมแล้วปฏิบัติไหม ตอนนี้ตัวเองดีหรือร้าย ไม่แน่นอน รู้ไหมว่าคนที่ไม่แน่นอนคือคนที่ร้ายที่สุด ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่พอถึงเวลาร้ายก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้ท่านรู้จักยับยั้งความร้ายและคงรักษาซึ่งความดีไว้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของการปฏิบัติธรรม พื้นฐานเริ่มต้นง่ายสุดคือ อย่าประมาท จงทำอะไรอย่างผู้มีสติ ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนไม่ประมาทเราจะผิดพลาดไหม ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนมีสติ เราจะเผลอหลงเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ไหม เริ่มต้นเราก็ปฏิบัติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรเรียกว่าดำเนินชีวิตอย่างคนไม่ประมาท (มีสติ) ไม่ประมาทก็คือไม่ขาดสติ นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นทำอะไรมีจิตระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ก็เรียกว่าไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราไม่รู้ชีวิตพรุ่งนี้จะตายไม่ตาย เรื่องดีเราจะไม่พลาด เรื่องเสียเราจะไม่ทำ เพราะคนไม่ประมาทคือไม่พลาดทำดีและไม่ถลำทำสิ่งที่ไม่ดี คนไม่ประมาทเขาจะ
๑.ไม่ขาดสติ
๒.ไม่เผลอทำผิด
๓.ไม่ละเลยทำสิ่งที่ดีงามที่สุดในชีวิตที่จะทำได้
สติคือสิ่งทำให้เราดึงความคิดกลับมาเป็นกลางและยืนอยู่กับปัจจุบัน คนมีสติคืออยู่กับปัจจุบันขณะเป็นสำคัญ ถ้าทำได้สองอย่างนี้ท่านจะปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท ไม่ขาดสติ จริงไหม (จริง) เราอยู่ตอนนี้แต่เรามักคิดถึงตอนนั้น เราอยู่ตรงนี้เรามักคิดถึงตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าอยากแล้วค่อยคิดดับทุกข์ แต่จงมีธรรมก่อนที่จะบังเกิดทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เราเคยใช้ธรรมยั้งใจไว้ไหม กิเลสสนองใจอย่างไรก็ไม่เคยเต็ม ได้มาเท่าไรก็ไม่เคยพอ ถ้าการให้ ทำให้เราเสียสละการยึดตัวตน การยอมไม่เอา ทำให้เราได้ชะล้างจิตใจให้สะอาด ไม่เห็นแก่ตน รู้ไหมว่าการให้นั้นจะกลายเป็นบุญทานเเละกุศลในทันที แต่การเอานั้นกลับกลายเป็นการสนองกิเลสเเละหนีไม่พ้นวิบากเวรกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ได้ผลไม้มาแล้วเกิดหวานติดใจแล้วจะอยากได้อีกไหม (อยาก) ถ้าได้มาแล้วเปรี้ยวจับใจจะด่าไหม อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม แต่ในโลกมีใครคิดได้ก่อนเช่นนี้เห็นแจ้งได้ก่อนเช่นนี้ ถ้าศิษย์น้องสามารถทำได้เราจะสิ้นบาปสิ้นเวรกรรม อดด่าไม่ได้ก็กลายเป็นสนองกิเลส หยุดได้ก็กลายเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรม ฉะนั้นจิตไม่ประมาทไม่ขาดสติ กรรมจะกลายเป็นธรรม บาปจะกลายเป็นบุญ และสุขที่ประเสริฐสุด บุญจะกลายเป็นกุศลเเละพ้นทุกข์ได้ เเต่มนุษย์ไม่เคยลองทำสักที อยากไว้ก่อนแล้วมาข่มใจทีหลังทุกที ทำไมไม่ข่มใจตั้งแต่ต้น เพราะทุกสิ่งที่ศิษย์น้องปรารถนาในโลกนี้ ในทุกลักษณะล้วนมีลักษณะซ่อนอยู่ ในสิ่งที่มนุษย์หลงใหลได้ปลื้มแท้จริงยังมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ ที่เรียกว่าแก่นของความจริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความทุกข์
ในโลกใบนี้มีความเป็นคู่ มีร้ายก็มีดี มีสุขก็มีทุกข์ แต่ว่าในโลกนี้ต้องมีของที่แก้กันได้ ฉะนั้นถ้ามีโกรธก็ต้องมีหายโกรธ ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีสิ้นทุกข์ เราลองมองให้ดีๆ แล้วเราจะพบความจริง แต่ตอนนี้มีความอยากแล้วจะเกิดปัญญาไหม ไม่มีทางเกิด ศิษย์น้องต้องหยุดความอยากก่อน ปัญญาถึงจะแจ่มชัด ถ้ายังหยุดความอยากไม่ได้ ปัญญาไม่มีวันเห็นกระจ่างแจ่มชัด ในทุกข์ต้องมีสิ้นทุกข์ ในความเกิดแห่งกิเลสต้องมีวันสิ้นกิเลส
ในการเรียนรู้ธรรม รู้ว่าทุกสิ่งสรรพแท้จริงในโลกใบนี้มีแก่นเดียวกัน มีหลักเดียวกันคือความทุกข์ แล้วเราจะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ยังอยากหาความสุขในความไม่เที่ยง ถ้าเราสามารถค้นพบเเก่นเเห่งความเป็นจริงได้ มนุษย์จะตื่นรู้ พบทุกข์เเละพบธรรมได้ จริงไหม (จริง) แต่หยุดอยากหรือยัง (ยัง) ถ้ายังหยุดอยากไม่ได้จะทำอย่างไรที่เห็นแล้วไม่อยากอีกเลย
สมมติว่าผลไม้ลูกนี้ ถ้ากินแล้วทุกข์กินไหม (ไม่กิน) ถ้าสิ่งนี้มีแล้วเจ็บปวดใจ มีแล้วเจ็บช้ำใจ เอาไหม ในโลกนี้มีอะไรมีแล้วไม่ทุกข์ ได้แล้วไม่เจ็บช้ำใจ ลูก สามี ภรรยา หน้าที่ ศิษย์พี่ไม่ได้ให้ทิ้ง แต่อยู่ให้ชัดอยู่อย่างคนเข้าใจเห็นจริง และทำอย่างไรที่จะไม่ให้สิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์ใจ ง่ายๆ นะศิษย์น้อง แค่อยู่กับใครแล้วไม่คาดหวังว่าเขาดีหรือไม่ดี ดับทุกข์ได้ทันที แต่มนุษย์ไม่ใช่ คาดหวังเขาจะต้องดี เห็นใครคนนั้นอย่าร้าย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) อยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ เห็นใครดีก็ได้ ร้ายก็ไม่โกรธ แต่ต้องอยู่อย่างเข้าใจ ยากไหม (ยาก) สิ่งที่ยากคือใจศิษย์น้องที่ชอบยึดติดคาดหวังว่าต้องดีอย่าร้าย แต่ชีวิตนี้มีไหมที่ร้ายแล้วไม่ดี ดีแล้วไม่ร้าย เข้าใจแก่นแห่งธรรมได้ก็ไม่ทุกข์ หากไม่เข้าใจอยู่บนโลกก็ทุกข์ทุกวัน ถ้าเราไปให้ถึงที่สุดว่าเปรี้ยวก็มีประโยชน์ หวานก็มีประโยชน์ ในโลกนี้คุณอนันต์ก็โทษมหันต์ ควรหรือที่เรายังอยากโลภ โกรธ อยากยึดว่าต้องดี การปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่ใจเรา เข้าใจความเป็นคนในตัวตน มีหรือจะไม่เข้าใจความเป็นคนในสังคมบนโลกนี้
แก่นมีอันเดียวกันไม่มีอะไรแน่แท้ ดีสุดก็อาจจะร้ายสุด ร้ายสุดก็อาจจะดีก็ได้ ในความเจ็บมันก็มีคุณ ในความตายมันก็มีคุณ แล้วถึงที่สุดไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะพลัดพราก ไม่ว่าจะสูญเสีย ล้วนต้องให้ศิษย์น้องทุกคน หันกลับมามองธรรมที่เรียกว่า “เช่นนั้นเอง” ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด และในทุกข์ก็พ้นทุกข์ได้ด้วยใจตน เห็นแล้วสงบมันก็จบเรื่องราว แต่ถ้าเห็นแล้วมันวุ่นวาย มันก็ไม่มีวันจบ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี) รักษาบุญรักษาโอกาส อย่าประมาท อย่าคิดว่าเรายังเหลือเวลา ถ้าศิษย์พี่แอบกระซิบได้ ก็จะบอกว่า เวลาไม่เหลือแล้วนะ ทำไมไม่รักษาโอกาสทำวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับไปสู่ความดับ แล้วเราจะเกิดความอยากไปอีกเท่าไร เราต้องจบ เราต้องวาง แล้วศิษย์น้องจะถือไปอีกแค่ไหน แล้วทำไมเราไม่จบ ไม่ดับ ไม่วาง ด้วยหัวใจที่เข้าถึงธรรม อย่าแค่ปากพูด แต่ไม่ปฏิบัติ พ้นทุกข์ได้คนข้างๆ ก็พ้นทุกข์ เข้าใจธรรมได้คนข้างๆ ก็ตื่นรู้ในธรรม
ถ้าคนหนึ่งเกลียดเรามาก ด่าเราทุกวัน เจอเราทีไรก็ระเบิดความโกรธใส่ แต่ถ้าวันหนึ่งเราพ้นทุกข์แล้ว เราก็ช่วยคนเกลียดให้เขาไม่ต้องมีกรรมกับเราจริงไหม (จริง) เราช่วยเขาได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วอย่างนี้ไม่ประเสริฐกว่าหรือ ดีกว่าอยู่กันไปแล้วก็ด่ากันไปด่ากันมา ว่ากันไปว่ากันมา จองเวรกันไปมา มันไม่จบ ชีวิตของศิษย์น้องมีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทอง กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ว่าง เบา อิสระ เป็นสุข เพราะไปสวรรค์ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ทำดีถ้ายึดติดก็ยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม มันพ้นแล้ว มันไม่เอาอะไรแล้ว แม้กระทั่งตัวตนก็ไม่ยึดถือ ลองไตร่ตรองดู ชีวิตมีทางเลือกขึ้นสูง ทำไมไม่ให้สูงที่สุด แล้วที่สุดนั้นคือความไม่มี ไม่มีอะไรให้ยึดถือ กิเลสก็เกาะเราไม่ได้ ทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้ายังยึดถือตัวตน กิเลสก็ยังมีที่เกาะ กรรมก็ยังมีที่ตาม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่เริ่มก็จบลงในทันที แม้ขณะหนึ่งไม่มีซึ่งตัวฉัน
ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ก็จบกัน มีแต่ธรรมและธรรมนั้นที่เคลื่อนไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
การบำเพ็ญทุกวัน เป็นดังการก้าวข้างใน การบำเพ็ญทุกวัน การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ หากคนดีไม่มีความต่างกับคนพาล ให้ตามองหยุดที่ใด
หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
การบำเพ็ญทุกวัน เป็นการทำเรื่องยิ่งใหญ่ ยอมบำเพ็ญทุกวัน มีใครกันไม่ยิ่งใหญ่ จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราเป็นคนสุขง่ายหรือทุกข์ง่าย คนอื่นทำให้เรามีสุขหรือว่าเราสุขได้ด้วยตัวเอง ถ้าศิษย์อยู่ในโลกมีสุขมากกว่ามีทุกข์ แม้จะมีเสียทั้งร้อยแต่มีดีแค่หนึ่งก็ดีแล้ว ดีกว่ามีดีทั้งร้อยแต่เสียแค่หนึ่งก็ทุกข์ จริงไหมศิษย์ ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงพยายามบอกตัวเองว่าอะไรๆ ก็ดีแล้ว ภรรยาทำอะไรก็ดีหมด ทำกับข้าวเอาใจ เเต่เสียอย่างเดียวบ่นไม่เคยจบ อะไรก็พอทนได้แต่เมื่อบ่นแล้วทนได้ไหม ถ้าทนได้ครอบครัวก็สุขชีวิตก็ร่มเย็น เเต่ถ้าทนหนึ่งเรื่องไม่ได้ครอบครัวก็ทุกข์เเตกแยก แล้วใจเราสุขไหม (ไม่สุข)
มนุษย์มีสุขมากมายเเต่ทนไม่ได้เมื่อเจอทุกข์หนึ่งเรื่อง ตัวศิษย์เองอยากสุขหรืออยากทุกข์ (อยากสุข) แล้วทำไมไม่คิดให้เป็นสุข ทำไมชอบคิดให้เป็นทุกข์ ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์พร้อมไม่มีที่ติ (ไม่มี) ถ้าอยากพ้นทุกข์ทำไมจึงคิดอย่างคนที่มีสุขไม่ได้ ทำไมต้องลากตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์ในเมื่อทั้งหลายทั้งมวลมีดีอยู่มาก เเต่ยังพ่ายเเพ้เพียงทุกข์เรื่องเดียวเเล้วทำใจไม่ได้ ถ้าทำใจได้พลิกใจได้จะสุขไหม (สุข)
ใครไม่ตาย ใครไม่เจ็บ ใครไม่พลัดพราก ใครไม่สูญเสีย ใครไม่โดนด่า ใครไม่โดนโกง (ไม่มี) ถ้าเราคิดอย่างคนที่เข้าใจก็ไม่ทุกข์ เเต่ถ้าคิดแบบคนที่คิดไม่เป็น วางใจไม่เป็นก็ทุกข์ได้ทุกเรื่อง ผมหงอกยังทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาหันมามองแต่ไม่ยิ้มให้ทุกข์ไหม (ทุกข์) ไหนศิษย์บอกว่ามองก็ยังดี เเต่เมื่อมองแล้วไม่ยิ้มให้กลับทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ ถามใจตัวเองใครทำให้เราทุกข์ ไม่มีใครทำให้ทุกข์ ใจตัวเองต่างหากที่คิดให้ตัวเองสุขไม่เป็น แต่ชอบเพียรจะลงไปสู่ความทุกข์ แล้วเมื่อจมอยู่กับความทุกข์ก็ดึงตัวเองไม่ขึ้น ชีวิตเราหนีไม่พ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้อาจารย์อยากจะมาคุยแล้วช่วยกันแก้ไขและช่วยกันปัดเป่าให้แก่ศิษย์ ดีหรือไม่ (ดี) อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังสอนเรื่องธรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ และอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้ศึกษาธรรมเพื่อมีภูมิป้องกันความทุกข์ ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ เราก็มีภูมิที่เข้มแข็ง มีหัวใจที่แข็งแกร่งเมื่อเจอทุกข์ อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ศึกษาเพราะธรรมยิ่งศึกษายิ่งทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจทุกข์ แต่อย่าลืมว่า ทุกข์เกิดเพราะเราปฏิบัติชั่วมากกว่าปฏิบัติดี เพราะคนดีมักจะไม่เจอเรื่องชั่ว แต่คนทำชั่วมักต้องเจอเรื่องชั่วๆ ชัดไหม (ชัด)
รู้ไหมว่าความชั่วมีรากเหง้ามาจากโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นทิฐิในตัวตน ชัดเจนไหม (ชัดเจน) ฉะนั้นก่อนจะถามว่าทำไมเราจึงเจอแบบนี้ ถามศิษย์ก่อนว่า ศิษย์ไปทำอย่างนั้นกับเขาไหม ถ้าศิษย์อยากมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข ถามตัวเอง เบียดเบียนเขาด้วยกาย วาจา ใจไหม ถ้าศิษย์อยากร่มเย็นเป็นสุข อย่าเพียงแค่กราบขอพระ ถามตัวเองก่อนว่ามีชีวิตอยู่บนชีวิตคนอื่นหรือไม่ คนที่มีเมตตาในใจ เขาจะฆ่าใครไหม เขาจะเบียดเบียนใครไหม เขาจะด่าคนด้วยสายตาไหม เขาจะนินทาใครไหม เขาจะแช่งชักหักกระดูกด่าใครไหม (ไม่) ถ้าเราไม่ประพฤติชั่วเราจะได้ชั่วไหม ถ้าเราไม่ประพฤติเลวร้ายเราจะได้สิ่งเลวร้ายไหม (ไม่) ฉะนั้นขอพระคุ้มครองไม่สู้ขอใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว
ศิษย์เคยคิดอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก) แต่ทุกวันเอาแต่ด่าเอาแต่บ่น แล้วจะร่มเย็นไหม (ไม่) ทุกวันเอาแต่จับผิดต่อว่า แล้วจะดีไหม (ไม่ดี) แล้วเราเคยพูดดีๆ ไหม อยากได้ครอบครัวร่มเย็น อยากให้ทรัพย์สินไม่สูญหาย ถามตัวเองก่อนว่าตัวเองทำสิ่งที่ร่มเย็นให้กับชีวิต ครอบครัวและตัวเองหรือไม่
ฉะนั้นไม่ต้องขอพระ ขอที่ใจตัวเอง ไม่อยากได้สิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าเราซื่อตรงจริงใจ มีความเมตตา มีความรับผิดชอบ ทำดีที่สุด บุคคลใดที่สามารถธำรงรักษาความดีงามตราบจนลมหายใจสุดท้ายก็ไม่แปรเปลี่ยนความดีงามนั้น เขาคือโคมไฟที่ส่องยามมืดมิดให้โลกนี้ได้อบอุ่นและน่าอยู่ การทำดีช่วยป้องกันให้จิตไม่ไหลลงต่ำและคิดชั่ว ช่วยฉุดรั้งใจเราให้สูงไม่ตกเป็นทาสของกิเลสและทุกข์ ในโลกนี้มีคนรักกันอยู่ก็เพราะว่ามีจิตที่รู้คุณคน ทำอะไรแล้วมีคนรู้สำนึกขอบคุณ คนทำดีก็ดีใจ คนขอบคุณก็มีสุขที่เห็นเขายินดี แล้วทำไมศิษย์ของอาจารย์ถึงไม่รักการทำความดี ทำไมถึงรักการทำความชั่ว
คนเราเกิดมาพร้อมกรรม และถ้าทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต เริ่มแล้วจบทันที เริ่มแล้วหมดทันที เริ่มแล้วสิ้นทันที จะมีกรรมต้องให้ไปรับไหม (ไม่มี) แต่มนุษย์เริ่มแล้วจบไหม (ไม่จบ) การยึดมั่น การมีตัวตน การยึดถือ การจำไม่ลืม ทำให้การเริ่มไม่เคยจบ เริ่มแล้วยืดเยื้อ เริ่มแล้วมีกรรม แต่ถ้าทุกขณะศิษย์เริ่มแล้วจบทันที แล้วเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (ไม่) แล้วเรามีอะไรที่จะต้องไปชำระชะล้างไหม แล้วมีอะไรที่เราค้างคาไหม แล้วมีอะไรที่ต้องจดจำแล้วยึดถือต้องไปรับผลต่อไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำดีก็ยึดถือ ทำชั่วก็จดจำ จึงหนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่ต้องกลับมาเกิดไม่จบสิ้น แต่ถ้าเริ่มแล้วจบ เต็มที่แล้ว สมบูรณ์แล้ว ไม่ค้างคาใคร ไม่ติดใคร จบในทุกๆ วัน เราก็คือคนที่เกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ศิษย์บอกว่าทำอะไรยังไม่เสร็จหลายๆ เรื่องยังค้างคา ยังจำเรื่องนี้อยู่ ยังด่าเขาไม่เสร็จ ศิษย์ทำบุญเยอะศิษย์ต้องได้บุญบ้างอย่างน้อยขึ้นสวรรค์ก็ยังดี เมื่อคิดแบบนี้เลยต้องมีตัวตนกลับไปรองรับยึดถือเเละเวียนว่ายใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเขาด่า จบ สงบ สิ้นทุกข์ไหม (สิ้น) แต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อเขาด่าก็อดทนไว้เมตตาไว้ อภัยไว้ ขันติไว้ เเต่เมื่อทนไม่ได้ก็บอกว่าเขาด่าฉัน แบบนี้คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ ทำกรรมให้ไม่จบ ใช่ไหม (ใช่) ถามใจศิษย์ดูว่าเกิดมาแล้วยังอยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)
มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมานานนับไม่ถ้วน ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สิ้นกิเลสสิ้นทุกข์ มนุษย์ก็ไม่สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ และมนุษย์ก็ยังมองว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา การสิ้นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์มีวิธีที่จะทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ โดยที่ศิษย์ยังมีชีวิตอยู่ในโลก อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์ทิ้งหน้าที่ แล้วมาบำเพ็ญ แต่ศิษย์ยังคงมีหน้าที่ และบำเพ็ญธรรมได้ เพราะตัวเราเป็นรากฐานของครอบครัว และครอบครัวที่ดีก็เป็นรากฐานของสังคมที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจิตจึงสำคัญ ถ้าจิตเราตั้งถูกต้อง ความคิดการดำเนินชีวิตก็ถูกต้อง ครอบครัวก็ถูกต้อง ถ้าจิตมีสุข ชีวิตเราก็มีสุข ครอบครัวก็มีสุข สังคมก็มีสุข
การเกิดในโลกนี้เป็นทุกข์ไหม เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาธรรมทำให้เรารู้ทางพ้นทุกข์ และสามารถสิ้นสุดแห่งความทุกข์ได้ แต่เราต้องหาก่อนว่า เหตุแห่งทุกข์มาจากไหน พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์สามารถสิ้นความคิดแห่งตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นทุกข์ได้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลมาจากการคิดยึดติดในตัวตน เหมือนข้างในเราไม่มีความโกรธ หากมีคนโกรธเรามา เราจะรู้ไหมว่าเขาโกรธเรา ถ้าข้างในเราไม่มีความรังเกียจ ใครทำอะไรน่ารังเกียจมาเราจะรังเกียจไหม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้เรายึดติด ถ้ามีทุกข์มาเราไม่คิด เราไม่ถือสา เราไม่ยึดติด ทุกข์ไหม เจ็บไหม แต่ที่เราเจ็บปวดเพราะว่าเราคิด ใช่ไหม (ใช่) ถ้าขาเราเจ็บแล้วลืมเรื่องขาเจ็บไปจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ) จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) จะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) เหมือนเวลาที่ศิษย์ไปช้อปปิ้งเดินได้เป็นชั่วโมงลืมเมื่อย เวลาที่ศิษย์ลุ้นกีฬาฟุตบอลก็ลืมเมื่อย แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ว่าฉันยืนไปสองชั่วโมงก็บอกว่าปวดขา จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเมื่อความทุกข์เข้ามาก็ลืมดีไหม (ดี) เมื่อยขาก็ให้ลืมไป เวลาเขาด่าเราก็ลืม เพราะกรรมคือการเกี่ยวเนื่องเเละจองเวรจองกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) กิเลสทำให้เราโง่เเต่ธรรมทำให้เรามีปัญญา ถ้ารู้ว่าเมื่อยแล้วคิดไปก็ทุกข์ ด่ากันไปด่ากันมาก็ไม่จบ
สมมุติว่าเราเป็นคนใจร้อน ทุกข์เพราะความใจร้อน ทุกข์เพราะความไม่ยอมคน แล้วเราจะแก้ทุกข์อย่างนี้ได้อย่างไรดี (ใช้ขันติเเละโสรัจจะ, ขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความสงบสติ) เมื่อโดนด่ามาก็สงบเพื่อจะได้จบ ไม่คิดร้ายไม่คิดดีก็จะจบเรื่องราว คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก เเต่ถ้าพ้นความคิดนั่นคือทางสายกลางที่เรียกว่าพบธรรมพ้นทุกข์ เเต่มนุษย์เคยมาสายกลางนี้ไหม มีแต่ให้ตัวเองคิดดีเข้าไว้ ขันติเข้าไว้ ใจเย็นเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่) ฝ่ายชายน่าจะเจอบ่อย ส่วนใหญ่เป็นคนใจร้อน วู่วาม ร้ายมาร้ายกลับไม่ยอมคนเลย วิธีจะเเก้ไขให้ดีที่สุดคือ (คิดในทางที่ดี) จะได้เป็นสุขใช่หรือไม่ ถึงเเม้เขาจะโกงเราเอาเปรียบเราก็คิดในทางที่ดีคือ เขาไม่มีเลยมาทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จำไว้ว่าถ้ายังจมอยู่กับความคิดก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ยังยึดติดในตัวตน เเต่ถ้าว่างจากความคิดก็ไม่มีใครต้องมาชดใช้กรรมหรือสร้างกรรม คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดคือความสงบเย็นเเละทางสายกลาง
ทำอย่างไรเมื่อเจอคนแบบนี้ (ทำเป็นไม่ได้ยิน) ตอบได้ดีนะ ทำหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ดีเหมือนกันนะศิษย์ ถึงเวลาให้ทำได้อย่างนั้นนะ (เขาด่ามา ไม่ด่าตอบ) ตอบได้ดี
(คิดหาเหตุผลสิ่งที่เขาว่ามาถูกต้องไหม สมควรไหม) เอาสิ่งที่เขาว่ามาไตร่ตรองตรวจสอบตัวเอง ผิดก็แก้ไข ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องระวังอย่างหนึ่งนะศิษย์ ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่ายึดบริสุทธิ์ยุติธรรม และความคิดง่ายเหมือนเอาน้ำมันไปสาดอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งความคิดได้นั่นคือสติ สติช่วยดึงเราให้เป็นกลาง และถ้ามีสติรู้เท่าทันทุกขณะที่คิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์และนำพาไปสู่อบายภูมิได้ ขอให้มีความคิดที่รู้เท่าทันด้วยสติ อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ
(เวลาโดนว่าให้ยิ้ม) เวลาเขาด่าก็ยิ้ม ยิ้มให้ออกนะ อย่าแสยะยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งด่ากลับ ถ้ายิ้มไม่ออกก็ให้ทำสิ่งที่ดีที่สุดคือขอโทษ เขาด่ามาก็ให้ขอโทษ เราลืมคำนี้ไปแล้วหรือ ผิดไม่ผิดไม่รู้ ถ้าเราเป็นต้นเหตุให้เขาทุกข์ เราก็เต็มใจขอโทษ ดีกว่ายิ้มอีก เพราะยิ้มไปแล้วเขาจะคิดว่าเราเย้ย จริงไหม (จริง) ถ้าโดนเขาด่ามาเราหนี แล้วเขาก็เดินตามด่าๆ ตลอด บางทีเขาไปฝากคนนู้นด่า ฝากคนนี้ด่าอีก เคยเจอไหม ศิษย์เอ๋ย อย่าหนีเลย เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์ เราเรียนรู้ธรรมเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง ยอมรับจะได้จบตรงนี้ หนีไปเดี๋ยวเขาเจอ เขาก็อดด่าเราไม่ได้อีก อย่าหนี ยอมรับความจริง ขอโทษจากใจจริง ถูกผิดไม่รู้ ขอโทษไว้ก่อน
(ไม่ยึดติด ปล่อยวาง จิตเราก็ว่าง) เขาด่าเราก็วางไว้ตรงนั้น ไม่ลากเอากลับมาบ้าน แล้วส่วนใหญ่เราลากกลับมาบ้านไหม เอากลับมาเล่าให้เพื่อนฟังไหม อาจารย์จะบอกให้ศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เขาว่าแล้วเขาเรียกว่าขี้ปาก ถูกไหม (ถูก) แล้วเราเก็บของเขาเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง แปลว่า เราเก็บขี้ มาเล่นขี้ แล้วส่งขี้ต่อ ถูกไหม (ถูก) อย่างนั้นเราควรเก็บไหม ขี้ (ไม่) ควรจำไหม (ไม่) ปล่อยมันไปจากใจแล้วยอมรับความจริงว่าเราหวังให้ทุกคนชมเราไม่ได้ และเราหวังให้ทุกคนยิ้มให้เราก็เป็นไปไม่ได้ เปลี่ยนเขาไม่ได้ก็เปลี่ยนใจเราให้เข้มแข็งแล้วรับความจริงให้ได้ ด่าอย่างไรก็ไม่สะเทือน เพราะเราตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว
อาจารย์จะบอกให้ว่า วิธีแก้ก็คือ ฝึกมีสติอยู่ทุกขณะ และรู้เท่าทันความคิดต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย สติที่สามารถรู้เท่าทันความคิด จะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย และพ้นการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ที่นำไปสู่อบายภูมิ หรือไหลลงต่ำได้
กิเลสชอบเกาะคำว่าตัวตน กิเลสไม่มีตัวตนแต่ชอบมาอยู่กับเรา ศิษย์ต้องรู้จักนิสัยของกิเลส ถ้าศิษย์จับจุดของกิเลสได้ กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้ สมมติว่ากิเลสมาหาเราแล้วบอกให้เราโกรธ เราบอกว่า ฉันเห็นแล้วความโกรธ มาทำให้ฉันโกรธ ฉันจะไม่โกรธ ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ ไม่สนใจ ไม่ไยดี ความโกรธจะอยู่กับเราไหม ถ้าเรารู้ตัวตามทันความโกรธ ความโกรธนั้นจะหายไปเลย ลองคุยกับตัวเองว่า “จะโลภไปถึงไหน อายุขนาดนี้แล้ว จะโมโหไปทำไม ใจเย็นไว้” ถ้าศิษย์สามารถรู้เท่าทันใจตัวได้ รู้ทันความคิดตัวเองและสามารถหยุดยั้งกิเลสได้ ศิษย์จะพ้นภัย พ้นเวรและจะพ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำพาให้ศิษย์ไหลลงต่ำและหนีไม่พ้นอบายภูมิ โกรธมากๆ เรียกว่าไฟนรก โลภมากๆ เรียกว่าเปรต หลงมากๆ เรียกว่าภพภูมิของเดรัจฉาน แล้วศิษย์อยากไปภพภูมินั้นไหม ศิษย์จะทำอย่างไรกับใจที่ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่เนืองๆ อย่างนั้นมาดูก่อนว่าใจศิษย์นั้นมี โลภ โกรธ หลง อยู่ในใจไหม (มี) แบบนี้ก็หนีไม่พ้นเปรตอสูรกายแน่ ลองหันกลับมาดูใจว่าใจแบบไหนที่เรียกว่าโลภโกรธหลง อยากรู้ไหม (อยาก) เรามาดูใจก่อน ถ้าใจมีตะกอนขุ่น เมื่อมีอะไรมากระทบ ก็ง่ายที่จะโลภโกรธหลง ถ้าเราสามารถล้างใจได้ ใครมาทำอะไรก็ไม่โกรธไม่เกลียดไม่หลง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขียนกระดาน)
สองสิ่งที่ตรงข้ามกันนี้มีอยู่ในใจศิษย์ไหม (มี) สิ่งไหนที่ศิษย์ชอบ (สุข) สิ่งไหนที่เกลียด (ทุกข์) แล้วหนีสองสิ่งนี้พ้นไหม (ไม่พ้น) ชีวิตหลงวนอยู่กับสองสิ่งนี้ สิ่งที่เราอยากมีมากที่สุดคือฝั่งสุข สิ่งที่เราไม่อยากมีคือฝั่งทุกข์ สิ่งที่มีแล้วเราอยากมีอีกไหม (อยาก) มีสุขเเล้วอยากสุขอีกไหม (อยาก) มีดีแล้วอยากมีดีอีกไหม (อยาก) ได้แล้วอยากได้อีกไหม (อยาก) มีทุกข์แล้วอยากทุกข์อีกไหม (ไม่) โลภหลงมาจากการที่มีสุขแล้วก็อยากมีสุขอีกเรื่อยๆ นั่นเรียกว่าโลภ
ใครก็ตามที่ศิษย์อยากยึด เอาเขามากอดไว้ผูกมัดไว้เป็นของตัวเอง อย่างนั้นเรียกว่าโลภ ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นชมหรือเป็นชนะ อาจารย์ถามหน่อย มีใครได้พวกนี้แล้วครั้งหนึ่ง แล้วไม่เอาอีกเลย (ไม่มี) ถ้าได้ครั้งหนึ่งแล้วยังเอาอีก อย่างนั้นเรียกว่าศิษย์มีความโลภ แล้วถ้าได้แล้วไม่เอาอีก เกลียด ชิงชัง อยากไปให้พ้น อย่างนั้นเรียกว่าโกรธ แล้วถ้าชีวิตนี้ไม่เคยพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ได้สักที เรียกว่าวัฏฏะแห่งความหลงวนเวียนว่าย ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ มันเป็นทางแห่งความ หลงวน เป็นทางที่เรียกว่าหนีไม่พ้นทุกข์และเป็นทางที่ไม่มีวันพบความสงบ เป็นทางแห่งการเวียนว่าย อาจารย์ถามว่า มีสุขแล้วเราสงบไหม มีทุกข์แล้วเราสงบไหม (ไม่)
แล้วทางที่แท้จริงคืออะไร ทางแห่งธรรมแปลว่าสงบ สงบไม่ใช่เรียกว่าสุขหรือทุกข์ สุข ทุกข์ไม่ใช่ทางแท้จริง ทางแท้จริงคือความคงไว้ไม่หวั่นไหว เรียกว่าสงบ แต่ถ้ายังวนอยู่กับสุขทุกข์ดีร้าย เรียกว่าทางแห่งความหลง ทางแห่งการตกเป็นทาสของหลงโลภโกรธไม่จบสิ้น ธรรมแท้คือความจริงอันสงบ คงไว้ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง เห็น จบ วาง สงบ นั่นคือทางสายกลาง เห็นแล้วไม่จบจองเวรจองกรรมนั่นคือทุกข์ เห็นแล้วอภัยขันติอดทนนั่นคือพยายามทำดีที่เรียกว่า ทำดียังยึดติดเรียกว่าสวรรค์
ศิษย์อยากพ้นสวรรค์ พ้นนรก เข้าสู่ความสงบ ศึกษาธรรมที่แท้จริง ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่รับ อย่างนี้เรียกว่าธรรมอันประเสริฐคือสงบ จบ ไม่หวั่นไหว ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเห็นอะไรแล้วเราตัดสินไปตามความคิดนั่นคือการยึดติด แต่ถ้าเห็นอะไรไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด เห็นเหมือนไม่เห็น นั่นคือเกิดมาเพื่อจบ ได้ ไม่ได้ ดี ไม่ดี จบแล้วเพราะทำหน้าที่ตัวเองดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ต่อหน้าผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคนอันประเสริฐ ตายไปไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว มนุษย์เราเกิดมาใช้กรรมและบางทีก็เป็นกรรมที่คิดว่าเราไม่เคยทำทำไมต้องมาเจอ แล้วเราอยากเจอกรรมแบบนั้นอีกไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายหญิงหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น)
อะไรในโลกที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสีย (ไม่มี) อะไรที่ศิษย์บอกว่าสุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) อะไรที่ศิษย์บอกว่าสำเร็จแล้วไม่เคยล้มเหลว (ไม่มี) อะไรที่ศิษย์บอกว่าสดแล้วไม่เหี่ยว ขายังเหี่ยวแต่เราอาจจะมีชีวิตไม่ทันอยู่ถึงแก่ก็ได้ ทำไมไม่ตั้งสติมองให้ดีว่าสิ่งที่ศิษย์เห็นมีความจริงซ่อนอยู่เเละเป็นแก่นของหลักธรรมที่ไม่มีอะไรสวยที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือได้ ถึงเวลาเมื่อเขาตายเราก็ไม่ได้ตายไปกับเขาด้วย หามาแทบตาย โลภมาแทบตาย ไปโกงคนอื่นมาแทบตาย ถึงเวลาเอาเงินไปได้สักบาทไหม (ไม่) สิ่งที่เอาไปได้คือความดีความชั่วที่ศิษย์ทำ แล้วความดีความชั่วชะล้างกันได้ไหม ศีลก็ถือไม่ครบ มีแต่ความซื่อสัตย์อย่างเดียวชาติหน้าจะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะขอให้เกิดมาสบายก็เกิดมาเป็นสุนัข ศีลธรรมไม่มีมีแต่ความซื่อตรง
“เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย” ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเกิดที่ใด ขอให้เรื่องจบลงที่ตรงนั้น ไม่ลากเกี่ยวมาเป็นกรรมเวรไม่จบสิ้น กับใครศิษย์ก็จบลงได้ กับใครศิษย์ก็วางลงได้ กรรมเวรก็จะจบทันที
แต่เราเคยทำอะไรให้จบไหม เรายังคอยเกี่ยวกรรมตลอด แล้วต่อไปนี้ ทำได้ไหม จบที่เขาหรือจบที่เรา (จบที่เรา) ในโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเรา เราก็ทำเขา ฉะนั้นอย่าทำอะไรที่ทำให้ต้องมีเวรกรรมยืดเยื้อ เพราะคำว่าขอโทษไม่สามารถทำให้ทุกคนจบได้ สู้ไม่ทำเลยแล้วไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครดีกว่า จริงไหม (จริง) แปลว่าจะจบกรรมจริงๆ นะ จะไม่เวียนว่ายตายเกิดแล้วนะ อย่างนั้นก็ขอให้มีธรรมคุ้มครอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทำอะไรดี (ทำดี) แค่ทำดีไม่พอ ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ถือความซื่อตรงเเละเมตตาเป็นหลัก ถ้าทำเช่นนี้ก็บริสุทธิ์แล้ว ถ้ามีเมตตาศิษย์จะฆ่าใครไหม (ไม่) มีความซื่อตรงศิษย์จะเอาเปรียบใครไหม (ไม่) แต่นิสัยคนชอบกดขี่ข่มเหงคน
“จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย” จุดไฟเย็นคือ คนที่กล้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม กอปรไปด้วยศีลธรรมอย่างไม่หวั่นไหว เป็นไฟเย็นที่ไปอยู่ที่ใดคนก็อบอุ่นเเละคลายความมืดมน
ไฟเย็นอะไรในใจเราที่สามารถช่วยนำพาคนให้มีความสุขเเละร่มเย็นได้ (มีสติ) อย่างนั้นสิ่งที่ทำให้ไฟร้อนคืออะไร (โมโห,โกรธ) เเละความยึดมั่นผูกพัน ดังนั้นไฟเย็นคือ การคิดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่โกรธเเต่ใจเย็น ไม่เห็นแก่ตัวเเต่รู้จักมองถึงหัวอกคนอื่นเเละคนส่วนรวม
(มีสติ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์) ทำอะไรอย่างคนมีสติยั้งคิด อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) แต่มีแล้วต้องมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นคนดีจริงทำจริงตราบจนลมหายใจสุดท้าย (ทำจิตใจให้ดี ใจเย็นให้สงบทางสายกลาง การไม่ยินดียินร้ายสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี) มนุษย์ทุกคนมองผ่านความคิด ทำให้เรามองไม่เห็นความจริงเพราะความคิดทำให้เรายึดติดเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้ามองผ่านธรรม ธรรมสอนให้เรามองความจริงเพื่อไปสู่หนทางสงบ
อย่าจุดความคิด จุดความยึดติด จุดอารมณ์แห่งตนไปมองผู้คน เพราะเราจะรู้สึกว่าไม่มีใครได้ดั่งใจ แต่ถ้าเราจุดไฟเย็นมาคอยส่องด้วยธรรม จะมีแต่สงบ จบ ใจเย็น เมตตา ความว่าง ถูกไหม (ถูก) แล้วเราจะเข้าใจธรรมนั้นได้อย่างไร ถ้าศิษย์ไม่ดึงหลักหรือแก่นของความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวกัน ถ้าเข้าใจหลัก ยึดกุมได้ชีวิตก็ไม่ทุกข์และไม่หลงไปกับดีร้ายได้เสีย ผู้พิจารณาเข้าถึงแก่นจะค้นพบปัญญาและนำพาพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกข์เพราะการเกิด ความโมโหเกิดเพราะความคิด เราไม่พอใจก็เพราะความยึดติด เราเป็นทุกข์ก็เพราะวางไม่ลง กายของเราเกิดจากการปฏิสนธิที่เรียกว่าเป็นตัวตนนี่คือเกิดครั้งที่หนึ่ง แต่ในการเกิดหนึ่งครั้ง เรายังเกิดอีกนับไม่ถ้วนที่เรียกว่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เช่น เกิดอยากดี เกิดอยากเด่น เกิดอยากดัง เกิดอยากรวย เกิดอยากสวย เกิดอยากได้ ใช่หรือไม่ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ขจัดอัตตา”)
มนุษย์คิดว่าเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว และเเม้ว่าสังขารจะตายไปแล้วการยึดติดตัวตนก็ก่อเกิดการเวียนภพเวียนชาติ ถ้าตัดไม่ได้ก็ทำให้ศิษย์เวียนไม่จบสิ้น เมื่อไรที่มนุษย์ตัดขาดซึ่งความเป็นตัวตนยึดถือ เราก็จะเหลือแต่ความเกิดแก่เจ็บตายของสังขาร เเต่มนุษย์มีตัวมีใจมีสังขาร เมื่อมนุษย์ยังยึดติดตัวตนก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์สามารถขจัดตัดอัตตาได้ ก็จะเหลือแต่กรรมของสังขาร ไม่มีกรรมของจิตญาณที่แท้จริง เราจะใช้กรรมเเค่สังขารเเต่จิตเดิมแท้ไม่ได้มีกรรม
อยากค้นพบธรรม ลองสงบใจแล้วเอาธรรมมาพิจารณา ศิษย์จะเห็นแจ้งความเป็นจริงในใจตนเอง ธรรมแท้ไม่ได้อยู่ภายนอก ตื่นรู้ได้ด้วยใจ แต่แค่สงบแล้วพบธรรมไหม ศิษย์ไม่เคยสงบ ศิษย์เลยไปแต่ความคิด ที่เป็นทาสของกิเลสอารมณ์ สิ่งที่ศิษย์ได้ก็เลยกลายเป็นกรรม กิเลส อารมณ์ แต่ถ้าเมื่อไร ศิษย์ค้นพบธรรมในใจตน ศิษย์จะสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ และหมดความยึดถือในตัวตน เพราะตัวตนยึดไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ทำไมไม่ลองก้าว แล้วก้าวให้ถึงที่สุด ไปแล้วไปให้สูงที่สุด ในเมื่อชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมทำให้เต็มที่ไม่ได้หรือศิษย์ อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ ฝนตกศิษย์ยังรู้จักกางร่ม แล้วยามที่ใจทุกข์ทำไมไม่เอาธรรมมาปกแผ่ให้สงบร่มเย็น อย่าประมาทนะศิษย์เอ๋ย เราก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งเราจะเจออะไร ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีและคุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตเกิดมาเพื่อจบลง เกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาอะไร
ชีวิตนี้ไม่ว่ารูปหรือนามมีวันเปลี่ยนแปลงไหม มีวันทุกข์ไหม มีวันจบสิ้นไหมและมีอะไรยึดถือได้ไหม ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงบนโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวคือความไม่เที่ยง แก่นแท้ของทุกชีวิตที่เรียกว่านามรูปเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ภาวะความเป็นจริงอันหลีกไม่พ้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไตรลักษณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎเดียวกัน จะรวยจะจนก็หนีไม่พ้นกฎนี้ และกฎนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนเราจะตายจะต้องเปลี่ยนก่อน และในความเปลี่ยนนั้นมีทุกข์อยู่ ถึงที่สุดแล้วเรายึดไปก็ต้องไปสู่ความว่างเปล่า
สมมติศิษย์มีเพื่อนคนหนึ่ง ชีวิตเขาเกิดมาลำบากมากกว่าจะมีเงินสักบาท กว่าจะมีเงินสักร้อย แล้ววันหนึ่งเพื่อนเอาเงินไปแล้วไม่คืน ศิษย์เห็นใจเขาว่าทุกข์มากๆ ศิษย์จะโกรธเขาไหม จะทวงเขาไหม จะด่าเขาไหม เพราะศิษย์เห็นแล้วว่ากว่าเขาจะหาเงินมาได้นั้นเขาลำบากมากๆ ส่วนเรานั้นทำได้ไม่นานเราก็ได้มาอย่างง่ายดายแล้ว ถ้าศิษย์เห็นทุกคนล้วนมีทุกข์ ศิษย์จะเกลียดเขาไหม ศิษย์จะด่าเขาไหม ถ้าศิษย์รู้ว่าพื้นเพชีวิตเขาทุกข์ขนาดไหน เพราะเราเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์มองเข้าไปลึกๆ ศิษย์จะไม่โกรธใคร ศิษย์จะมองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ทุกคนมีทุกข์ เขามีทุกข์เขาจึงด่าเรา ถ้าเขาทุกข์แล้วด่าเรา เราก็ให้เขาด่า ถ้าคิดแบบคนใจกว้าง คิดแบบคนมีธรรม คิดแบบคนที่ถือธรรมเป็นหลัก วันนี้เขาด่าเรา พรุ่งนี้เขาชมเรา เราก็เพียงคิดว่าเขาจะด่าเราได้อีกสักกี่น้ำเดี๋ยวเขาก็เหนื่อย จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์ประจักษ์แจ้งในแก่นของหลักธรรม ศิษย์จะไม่รักใครเเละจะไม่เกลียดใครเเละศิษย์จะไม่หลงอะไรอีก เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้ทุกขณะ ปากบอกว่ารักเราแต่เมื่อถึงเวลาเขาไปรักใครอีกคน เขาก็บอกรักคนอื่น ถ้าศิษย์ยึดแก่นความเป็นจริงว่าโลกนี้ไม่มีใครเที่ยงแล้วศิษย์จะต้องรักใคร เเล้วเมื่อไม่รักศิษย์จะโลภไหม รู้ว่าโลภแล้วมีแต่ความทุกข์จะหาเหาใส่หัวอีกไหม จะมีสามีเพิ่มอีกไหม (ไม่) ภรรยาเข็ดแล้วแต่สามียังไม่เข็ด ถ้าเข้าใจเเก่นแท้เเห่งธรรมความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความว่างเปล่าจะสามารถทำให้ศิษย์ปลดปลงคำว่าโลภโกรธหลงได้ในทันที ไม่ต้องพยายามทำหน้าให้สวยเพื่อให้สามีอยู่กับเรา ไม่ต้องทำตัวให้หล่อเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก เเต่เราก็จะยอมรับความเป็นจริงว่าหล่ออย่างไรก็ต้องแก่ สวยอย่างไรก็ต้องเหี่ยว ดีขนาดไหนก็ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เงินทองชื่อเสียงความรัก ล้วนเป็นทาสเเห่งอบายมุขทั้งหมด เเต่ทำไมไม่เอาความดี ความพ้นทุกข์ ความเมตตาธรรม การเข้าใจแก่นของหลักสัจธรรม เรียนรู้หลักธรรม เพื่อเข้าใจชีวิตและนำพาชีวิตพ้นทุกข์เถอะนะศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์เดินไปถึงที่สุดแล้ว อาจารย์ไม่กลับมาช่วยศิษย์ อาจารย์เอาตัวเองรอดคนเดียวดีไหม (ไม่ดี) เหมือนกันยุคนี้เป็นการปรกโปรดที่ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อเอาแค่ตัวเองรอด แต่เธอรอดแล้วคนอื่นต้องรอดด้วย เธอดีแล้วเธอต้องดีกับคนอื่นให้ได้ด้วย ถึงจะเรียกว่าดีของจริง เธอพ้นแล้วเธอต้องช่วยคนอื่นให้พ้นด้วย นี่ถึงจะเรียกว่าจิตพุทธะจริง ฉะนั้นขอเพียงอย่างเดียวนะศิษย์ แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วมันยาก แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วลำบาก ผู้บำเพ็ญมีใจเดียวคือ ไม่ท้อเพื่อช่วยคน ขอใจนี้ไม่ท้อ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว มุ่งต่อไป นั่นคือรู้ทางธรรม เจออะไรก็ไม่หวั่นไหว มีจิตหนึ่งใจเดียว พ้นทุกข์ให้ได้ ฉะนั้นจงไตร่ตรองให้จงหนัก
วันนี้ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ชีวิตนี้เป็นธรรมดา มีพบก็มีพราก แต่ขอให้เป็นการจบลงที่จบจริงๆ ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีทุกข์ต่อกัน สิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นภัย นั่นคือทางที่แท้จริง ที่เรียกว่า “ทางสายกลาง ธรรมแท้มีหนึ่งเดียว” แล้วทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันนี้ แต่ถ้าเมื่อไรหลงยึดติดตัวตน วางตัวตนไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบธรรมแท้ พบแต่กิเลส อัตตาและกรรมที่ศิษย์สร้าง ลองพิจารณา สิ่งที่อาจารย์พูดให้จงหนัก
ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รักตัวเองไหม (รัก) แต่ถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักนำพาชีวิตให้ได้ดีที่สุด อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก มีโอกาสรักษาบุญ รักษาวาสนาด้วยการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าธรรม อย่าทำผิด อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ชั้นนี้หลายคนมีบุญและมีภูมิธรรม ตั้งแต่ที่อาจารย์เจอศิษย์หลายๆ ชั้นมา ชั้นนี้ถือว่ามีภูมิธรรมที่เยอะที่สุดและอาจารย์ก็เชื่อมั่นว่าภูมิธรรมนี้จะนำพาให้ศิษย์เข้าใจในธรรม นำพาธรรมนั้นไปช่วยคน ดูแลตัวเองให้ดี ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์มานำเหนือชีวิต จงรู้จักมีคุณธรรมนำชีวิต ห้อยพระไม่สู้มีใจเป็นพระ เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง รักษาความดีงามนี้ไว้ให้ได้ ตั้งใจให้ดีตลอดไป
อย่ายอมเเพ้ความมุ่งมั่นในใจตัวเอง บุญบารมีอยู่ที่เราสร้าง ตั้งใจบำเพ็ญเสียสละอุทิศดั่งจิตโพธิสัตว์ อย่ายอมแพ้จิตใจที่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อย่าหวั่นไหวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นเพียงกายสังขาร ศิษย์ของอาจารย์เข้มเเข็งสู้ไม่ถอย รักษาความดีงามบุญวาสนาที่ตัวเองสร้างโดยไม่ยึดถือ ทำเเล้วปล่อยวาง ความสุขในชีวิตคือการได้ปลดปลงเเละปล่อยวาง รักษาความดีสมกับที่ศิษย์เคยมีจิตใจที่ดี คนเราจะเจริญหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าทำโดยไม่หวังผลยิ่งเจริญ เเต่ถ้าทำเเล้วยึดมั่นในผลจะไม่ดี ศิษย์รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เเต่บางครั้งก็ห้ามใจไม่ได้ ตั้งใจให้สมกับที่ศิษย์ตั้งใจ
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนในชั้นที่ไม่สบาย)
ขอให้ผ่านพ้นเคราะห์ร้าย ตอนนี้พยายามลดละเนื้อสัตว์จะได้พ้นจากเคราะห์กรรม จงเข้มเเข็งเเละเเข็งเเรง
เพิ่มพูนปัญญา ศึกษาธรรม จะได้มานำคนได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง นำพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง ประกอบความดีงามอย่างไม่ย่อท้อ มีขวัญและกำลังใจด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น อย่าอ่อนแอ อย่ายอมแพ้ รักษาความดีงามความถูกต้องไว้ให้อยู่คู่กับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ซื่อตรง เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย
อย่ามีชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แล้วมองเห็นธรรมให้ได้ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไปเลย ตั้งสติคิดให้ดีๆ มองอย่างคนที่เห็นธรรม เข้าใจธรรม แล้วศิษย์จะได้ค้นพบอาจารย์จี้กงน้อยๆ ในใจศิษย์ที่ไม่เคยจากไปไหนอยู่คุ้มครองศิษย์ที่รักษาธรรม ศิษย์ที่คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวความลำบาก
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
เคยชินทำให้เคยตัว คนกลัวเปลี่ยนแปลงแปลกใหม่
บำเพ็ญลดละเลิกไป อย่าให้อัตตาสำคัญ
เมื่ออารมณ์ไร้อำนาจเหนือใจตน วางใจพ้นจากความคิดแห่งตัวฉัน
มีแต่ธรรมเคลื่อนไปตามจริงนั้น ประจักษ์ผ่านทุกสิ่งสรรพล้วนธรรมเดียว
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
สิ่งสำคัญในการเป็นคนคือความซื่อตรงจริงใจ อยากได้คนซื่อตรงจริงใจ เราก็ต้องซื่อตรงจริงใจก่อน ถ้าเริ่มต้นด้วยการโกหก เราก็ต้องโกหกไปตลอดชีวิต ถ้าเริ่มต้นซื่อตรงจริงใจจะกลัวอะไร จะมีความซื่อตรงจริงใจได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องและดีงาม ทำอะไรก็ทำด้วยจิตสำนึกที่ดีงามและถูกต้อง ถ้าใจไม่บอกให้ซื่อตรงเราจะเป็นคนซื่อตรงไหม ถ้าจิตเราไม่สำนึกในความถูกต้องดีงามเราจะปฏิบัติดีไหม ถ้าเราไม่เชื่อในความดีงาม เราไม่เชื่อการปฏิบัติดีแล้ว เราจะทำดีไหม แต่ทุกอย่างที่เราทำเพราะเราเชื่อในความดีงาม เชื่อในคุณค่าของความถูกต้อง เพราะคุณค่าของความถูกต้องและคุณค่าของการประพฤติสิ่งที่ดีงามนั้นมีความสบายใจ มีความสุขใจเป็นผล เราก็ประจักษ์เองได้ คนหนึ่งคนใดจะดีไม่ดี อยู่ที่ตัวเขามีจิตสำนึกหรือไม่สำนึกดี สำนึกดีก็ทำดี แต่ถ้าขาดสำนึกดีก็พร้อมจะทำไม่ดี
เราขอถามอะไรง่ายๆ นะ อะไรเอ่ยยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ(ความสุข, เวลา) เวลาเหลือน้อย ไม่ควรจะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ทำดีทำเท่าไรก็ไม่เคยพอสักที เวลายิ่งนานไปก็ยิ่งพร่องยิ่งหมด ถ้าเรารู้ว่าเวลาทุกวันคือเวลาที่ต้องหมดไปเราจะพยายามรักษาเวลาให้ดีที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก) เเต่มนุษย์ไม่เคยคิดว่าเวลากำลังหมดไป เเต่คิดว่ามีเวลามากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกเวลาคือทุกขณะของความดับสิ้น มนุษย์บอกว่าเกิดมาสิบห้าปีแล้ว เเต่พุทธะบอกว่าท่านกำลังดับมาสิบห้าปี
อะไรที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ความรัก เงินทองเกียรติยศ ความต้องการในจิตใจ ได้เท่าไรก็ไม่พอ เเล้วคิดว่าถ้าทำสำเร็จฉันจะพอแล้วหยุดแล้ว ไม่เห็นมีใครพอสักคนจริงไหม (จริง) ถ้าฉันได้เธอคนเดียวฉันก็พอใจแล้ว ถ้าได้เงินก้อนนี้ผมจะพอใจแล้ว ถ้าถูกล๊อตเตอรี่ผมจะหยุด หยุดไหม (ไม่หยุด) ใจของมนุษย์ ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งคิดว่าจะเติมให้ใจตัวเองเต็ม ก็กลับไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอสักที อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่สิ่งที่ท่านกำลังหาหรือปัญหามันอยู่ที่ใจ (ที่ใจ) ใจเป็นเหมือนสิ่งที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่องไหม ยิ่งหาตัวเองเท่าไร ฉันเป็นคนแบบไหน แต่ถึงเวลามันไม่ใช่ ฉันน่าจะพอใจแบบนี้นะ แต่พอถึงเวลาก็ไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) วิชาที่สามารถเรียนแล้วทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองเห็นตัวเราได้ดีที่สุดคือ วิชาธรรมะ สนใจจะคุยวิชาธรรมะกันไหม
ในโลกนี้มีสิ่งที่มนุษย์อยากมากมาย บางครั้งยิ่งอยากก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่เคยพอ แต่เราก็ไม่หยุด หาจนเหนื่อย หาจนทำร้ายชีวิตและจิตใจ และก็หาจนทำให้ตัวเองทุกข์จนตายทั้งเป็น อย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งที่หานั้นจะเป็นคำว่าได้หรือเสีย เป็นคำว่าสุขหรือทุกข์ ก็ล้วนมีพิษภัยไม่แตกต่างกันเลย ถึงจะทำให้เรามีสุขแต่ใจก็เร่าร้อน และเมื่อยามมีทุกข์ใจก็เร่าร้อนไม่ต่างกันเลย ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์แสวงหาไม่ว่าจะเป็นความรักความอบอุ่นความจริงใจ ถ้าเราไม่เคยจริงใจกับใครก่อนไม่เคยเต็มที่กับใครก่อน ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะจริงใจและเต็มที่กับเรา จริงหรือไม่ (จริง) ท่านดีที่สุดกับคนอื่นหรือยัง ถ้าท่านยังไม่ดีที่สุดอย่าหวังคนอื่นจะเต็มที่กับเรา ถ้าท่านยังไม่จริงใจก็อย่าหวังว่าใครจะจริงใจกับเรา
เมื่อมั่งมีแล้วมีใครไม่หลงฟุ้งเฟ้อ เมื่อได้แล้วมีใครไม่เหิมเกริม เมื่อผิดหวังแล้วมีใครบ้างไม่สูญเสียคุณธรรมความเป็นคน เมื่อชนะก็หลงตัวเอง เมื่อแพ้ก็ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น เมื่อยามมั่งมีก็อวดตัวเอง เมื่อยามยากจนก็สูญเสียความเป็นคนในจิตใจ โบราณจึงกล่าวไว้ว่า รวยแล้วรู้จักให้จึงเรียกว่าประเสริฐ ยากจนแล้วยังรู้จักรักษาคุณธรรมความเป็นคนไม่สูญเสียจึงเรียกว่าคนดี แต่มนุษย์เอาแต่อยากจนทำร้ายตัวเอง เอาแต่อยากจนสูญเสียความเป็นคน เอาแต่อยากจนขาดคุณธรรมแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ
ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนจิตใจดี ซื่อตรง ใจเย็นและมีน้ำใจ อย่างนั้นตอนนี้มีไหม ทำไมคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนที่เคยใจเย็นจึงกลายเป็นคนใจร้อน คนที่เคยซื่อตรงจึงกลายเป็นคนคดโกง คนดีบ้างไม่ดีบ้างไม่เรียกว่าคนดีจริง คนดีจริงต้องดีตลอดตั้งแต่ต้นจนตาย แล้วเพราะอะไรคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนซื่อตรงจึงเป็นคนคดโกง โป้ปด คนน่ารักจึงกลายเป็นคนน่าเกลียด หาคำตอบได้ไหม (ความโลภ) ความโลภกับความดีในจิตใจ อะไรมีค่ามากกว่ากัน (ความดี) แล้วทำไมถึงทิ้งความดีในจิตใจเพื่อความโลภ ถ้าเกิดว่าคนใจดีเสียไปเพราะความโลภ คนใจดีเสียไปเพราะความโกรธ คนใจดีเสียไปเพราะความอยาก อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มันมีค่าดีไหม (ไม่ดี) แล้วรู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางมาแห่งบาปและอกุศลทั้งมวล ทำให้เราต้องทุกข์และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปรับ ถ้ารู้อย่างนี้ยังอยากมี โลภ โกรธ หลง ไหม (ไม่อยาก)
ภัยพิบัติทางธรรมชาติมนุษย์ยังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากกิเลส การกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่างนั้นเราควรตกเป็นทาสของกิเลสไหม (ไม่ควร) ถ้ามีทุกข์แล้วค่อยพยายามเอาธรรมะข่มทุกข์ ดับทุกข์ กับพยายามมีธรรมเพื่อไม่ให้มีทุกข์ อะไรดีกว่ากัน (มีธรรมดีกว่า) เวลามีทุกข์แล้วพยายามใช้ ขันติ เมตตา ใจเย็น ใจกว้าง มันทรมานไหม แต่มีขันติ ใจเย็น มีเมตตาตั้งแต่แรกแล้วไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ มันสบายกว่าไหม (สบายกว่า)
จิตปกติมันไม่เคยมีอารมณ์ แต่จิตไม่ปกติจึงมีอารมณ์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าเป็นปกติที่เกิดมาเป็นคนต้องมีโลภ มีโกรธ มีหลง จริงๆ แล้วจิตปกติของคนไม่เคยมี โลภ มีโกรธ มีหลง แต่เมื่อไรตากระทบของที่อยากได้ หูได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน ก่อเกิดการกระทบจึงก่อเกิดเป็นอารมณ์ และกลายเป็นความอยาก ซึ่งทำให้เราผิดปกติ เราไม่ถูกกระทบเราก็ไม่อยาก
การมีศีลธรรมคือการทำคนให้เป็นคนปกติ แต่คนที่ดำเนินชีวิตขาดศีลธรรม จึงเรียกว่าคนผิดปกติ ถูกไหม (ถูก)
การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจหลักธรรมความเป็นจริงเเละสามารถอยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์ อยู่กับทุกข์อย่างคนที่เข้าใจทุกข์เเละสามารถพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเราเอง อย่ามองว่าเป็นเรื่องยาก อย่ามองว่าตัวเราเองทำไม่ได้ ไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ก้าวเข้ามาดูหรือจะเข้าใจความเป็นจริง เกิดเป็นคนไม่ลองสู้ ยังไม่สู้ก็ยกธงขาวแบบนี้น่าเสียดาย แล้วเราเคยสู้กับทุกข์หรือยัง (เคย) สู้อย่างคนใช้ธรรมหรือสู้อย่างคนใช้กิเลสเวรกรรม เมื่อเจอทุกข์ทีไรก็คิดว่าเวรกรรมอะไรถึงต้องมาเจอ แต่ถ้าสู้อย่างคนที่ใช้ธรรมเราจะสามารถหมดเวรหมดกรรมสิ้นภพสิ้นชาติได้
แล้วระหว่างคนใจดีกับคนใจร้ายแบบไหนดีกว่ากัน (คนใจดี) ส่วนใหญ่เรานิสัยเสียเพราะคนใจดีหรือคนใจร้าย (ใจดี) ทั้งคนใจร้ายและคนใจดีไม่น่ากลัวเท่ากับตัวเราเอง ถูกไหม คนอื่นจะร้ายหรือดีไม่สำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเอง เขาร้ายแล้วเราจะดีไหม ถ้าเขาร้ายแล้วเราไม่ดีโทษเขาไม่ได้ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ อยู่ที่เขาชี้หรืออยู่ที่เรากำหนด ฉะนั้นใครจะร้ายหรือดีไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือตัวศิษย์น้องรู้ใจตัวเองว่าดีหรือยัง เพราะคนดีจริงเหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ยังคงรักษาความดี และความชั่วของคนอื่นกลับยิ่งเสริมให้เขายิ่งดี ผู้เข้าถึงความเป็นจริงจะรักษาความเป็นกลางเเละมองเห็นทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรก็ตามไม่มีอะไรดีเกินไปเเละไม่มีอะไรแย่เกินไป ธรรมจึงสอนว่าอย่าหลงกับความดีจนเกินไป เเละอย่ารังเกียจกับสิ่งที่ไม่ดีจนเกินไป เพราะคนที่หมั่นปฏิบัติธรรมจะไม่หลงว่าตัวเองดี เพราะมีดีก็ต้องมีดียิ่งขึ้นไป เพราะในดีก็มีร้าย ในร้ายก็มีดี การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจึงไม่ใช่ชอบดีเเต่รังเกียจร้าย ยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีเเล้วดูถูกผู้อื่นเป็นคนไม่ดี แบบนี้ไม่ใช่หนทางการปฏิบัติธรรม เเละไม่ควรพึงพอใจว่าตัวเองดีเเล้วว่าคนอื่นไม่ดีอยู่ร่ำไป แบบนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมดีเเล้วยิ่งต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นถึงจะเรียกว่าคนดี ผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่รังเกียจคนไม่ดี เพราะในความไม่ดีเขาก็มีดี จริงไหม (จริง)
ธรรมะคือการเรียนรู้ความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์ โดยไม่ปล่อยให้ทุกข์นั้นก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ แต่รู้จักใช้สติปัญญาควบคุมตน คนที่ปฏิบัติธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าเพราะเราไม่ดีจึงปฏิบัติธรรม ฉะนั้นถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วโดนเขาต่อว่า ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นดีเลย ก็ตอบไปว่า เพราะยังไม่ดีถึงต้องปฏิบัติ
(ศิษย์พี่เมตตาหยิบมะม่วงขึ้นมาหนึ่งผล) สมมติมีผลไม้ลูกหนึ่ง ถ้าจับแล้วรู้ชัดว่าร้อนเวลาจับเราจะระมัดระวัง ถูกไหม (ถูก) ถ้าจับแล้วรู้ว่าเย็นเมื่อเราจับก็จะไม่ร้อนมือ แต่ถ้ามีผลไม้ลูกหนึ่งเดาไม่ได้เลยว่าจะร้อนหรือเย็น จะดีหรือร้าย ท่านจะจับไหม
อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยมาใช้ธรรมข่มใจ การปฏิบัติธรรมก็เพื่อป้องกันคนที่ไม่สามารถรู้ใจตัวเองว่าเดี๋ยวจะร้ายหรือจะดี แต่พยายามรักษาดีจึงพยายามปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทุกวันนี้ถามว่าให้ปฏิบัติธรรมแล้วปฏิบัติไหม ตอนนี้ตัวเองดีหรือร้าย ไม่แน่นอน รู้ไหมว่าคนที่ไม่แน่นอนคือคนที่ร้ายที่สุด ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่พอถึงเวลาร้ายก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้ท่านรู้จักยับยั้งความร้ายและคงรักษาซึ่งความดีไว้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของการปฏิบัติธรรม พื้นฐานเริ่มต้นง่ายสุดคือ อย่าประมาท จงทำอะไรอย่างผู้มีสติ ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนไม่ประมาทเราจะผิดพลาดไหม ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนมีสติ เราจะเผลอหลงเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ไหม เริ่มต้นเราก็ปฏิบัติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรเรียกว่าดำเนินชีวิตอย่างคนไม่ประมาท (มีสติ) ไม่ประมาทก็คือไม่ขาดสติ นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นทำอะไรมีจิตระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ก็เรียกว่าไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราไม่รู้ชีวิตพรุ่งนี้จะตายไม่ตาย เรื่องดีเราจะไม่พลาด เรื่องเสียเราจะไม่ทำ เพราะคนไม่ประมาทคือไม่พลาดทำดีและไม่ถลำทำสิ่งที่ไม่ดี คนไม่ประมาทเขาจะ
๑.ไม่ขาดสติ
๒.ไม่เผลอทำผิด
๓.ไม่ละเลยทำสิ่งที่ดีงามที่สุดในชีวิตที่จะทำได้
สติคือสิ่งทำให้เราดึงความคิดกลับมาเป็นกลางและยืนอยู่กับปัจจุบัน คนมีสติคืออยู่กับปัจจุบันขณะเป็นสำคัญ ถ้าทำได้สองอย่างนี้ท่านจะปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท ไม่ขาดสติ จริงไหม (จริง) เราอยู่ตอนนี้แต่เรามักคิดถึงตอนนั้น เราอยู่ตรงนี้เรามักคิดถึงตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าอยากแล้วค่อยคิดดับทุกข์ แต่จงมีธรรมก่อนที่จะบังเกิดทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เราเคยใช้ธรรมยั้งใจไว้ไหม กิเลสสนองใจอย่างไรก็ไม่เคยเต็ม ได้มาเท่าไรก็ไม่เคยพอ ถ้าการให้ ทำให้เราเสียสละการยึดตัวตน การยอมไม่เอา ทำให้เราได้ชะล้างจิตใจให้สะอาด ไม่เห็นแก่ตน รู้ไหมว่าการให้นั้นจะกลายเป็นบุญทานเเละกุศลในทันที แต่การเอานั้นกลับกลายเป็นการสนองกิเลสเเละหนีไม่พ้นวิบากเวรกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ได้ผลไม้มาแล้วเกิดหวานติดใจแล้วจะอยากได้อีกไหม (อยาก) ถ้าได้มาแล้วเปรี้ยวจับใจจะด่าไหม อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม แต่ในโลกมีใครคิดได้ก่อนเช่นนี้เห็นแจ้งได้ก่อนเช่นนี้ ถ้าศิษย์น้องสามารถทำได้เราจะสิ้นบาปสิ้นเวรกรรม อดด่าไม่ได้ก็กลายเป็นสนองกิเลส หยุดได้ก็กลายเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรม ฉะนั้นจิตไม่ประมาทไม่ขาดสติ กรรมจะกลายเป็นธรรม บาปจะกลายเป็นบุญ และสุขที่ประเสริฐสุด บุญจะกลายเป็นกุศลเเละพ้นทุกข์ได้ เเต่มนุษย์ไม่เคยลองทำสักที อยากไว้ก่อนแล้วมาข่มใจทีหลังทุกที ทำไมไม่ข่มใจตั้งแต่ต้น เพราะทุกสิ่งที่ศิษย์น้องปรารถนาในโลกนี้ ในทุกลักษณะล้วนมีลักษณะซ่อนอยู่ ในสิ่งที่มนุษย์หลงใหลได้ปลื้มแท้จริงยังมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ ที่เรียกว่าแก่นของความจริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความทุกข์
ในโลกใบนี้มีความเป็นคู่ มีร้ายก็มีดี มีสุขก็มีทุกข์ แต่ว่าในโลกนี้ต้องมีของที่แก้กันได้ ฉะนั้นถ้ามีโกรธก็ต้องมีหายโกรธ ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีสิ้นทุกข์ เราลองมองให้ดีๆ แล้วเราจะพบความจริง แต่ตอนนี้มีความอยากแล้วจะเกิดปัญญาไหม ไม่มีทางเกิด ศิษย์น้องต้องหยุดความอยากก่อน ปัญญาถึงจะแจ่มชัด ถ้ายังหยุดความอยากไม่ได้ ปัญญาไม่มีวันเห็นกระจ่างแจ่มชัด ในทุกข์ต้องมีสิ้นทุกข์ ในความเกิดแห่งกิเลสต้องมีวันสิ้นกิเลส
ในการเรียนรู้ธรรม รู้ว่าทุกสิ่งสรรพแท้จริงในโลกใบนี้มีแก่นเดียวกัน มีหลักเดียวกันคือความทุกข์ แล้วเราจะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ยังอยากหาความสุขในความไม่เที่ยง ถ้าเราสามารถค้นพบเเก่นเเห่งความเป็นจริงได้ มนุษย์จะตื่นรู้ พบทุกข์เเละพบธรรมได้ จริงไหม (จริง) แต่หยุดอยากหรือยัง (ยัง) ถ้ายังหยุดอยากไม่ได้จะทำอย่างไรที่เห็นแล้วไม่อยากอีกเลย
สมมติว่าผลไม้ลูกนี้ ถ้ากินแล้วทุกข์กินไหม (ไม่กิน) ถ้าสิ่งนี้มีแล้วเจ็บปวดใจ มีแล้วเจ็บช้ำใจ เอาไหม ในโลกนี้มีอะไรมีแล้วไม่ทุกข์ ได้แล้วไม่เจ็บช้ำใจ ลูก สามี ภรรยา หน้าที่ ศิษย์พี่ไม่ได้ให้ทิ้ง แต่อยู่ให้ชัดอยู่อย่างคนเข้าใจเห็นจริง และทำอย่างไรที่จะไม่ให้สิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์ใจ ง่ายๆ นะศิษย์น้อง แค่อยู่กับใครแล้วไม่คาดหวังว่าเขาดีหรือไม่ดี ดับทุกข์ได้ทันที แต่มนุษย์ไม่ใช่ คาดหวังเขาจะต้องดี เห็นใครคนนั้นอย่าร้าย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) อยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ เห็นใครดีก็ได้ ร้ายก็ไม่โกรธ แต่ต้องอยู่อย่างเข้าใจ ยากไหม (ยาก) สิ่งที่ยากคือใจศิษย์น้องที่ชอบยึดติดคาดหวังว่าต้องดีอย่าร้าย แต่ชีวิตนี้มีไหมที่ร้ายแล้วไม่ดี ดีแล้วไม่ร้าย เข้าใจแก่นแห่งธรรมได้ก็ไม่ทุกข์ หากไม่เข้าใจอยู่บนโลกก็ทุกข์ทุกวัน ถ้าเราไปให้ถึงที่สุดว่าเปรี้ยวก็มีประโยชน์ หวานก็มีประโยชน์ ในโลกนี้คุณอนันต์ก็โทษมหันต์ ควรหรือที่เรายังอยากโลภ โกรธ อยากยึดว่าต้องดี การปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่ใจเรา เข้าใจความเป็นคนในตัวตน มีหรือจะไม่เข้าใจความเป็นคนในสังคมบนโลกนี้
แก่นมีอันเดียวกันไม่มีอะไรแน่แท้ ดีสุดก็อาจจะร้ายสุด ร้ายสุดก็อาจจะดีก็ได้ ในความเจ็บมันก็มีคุณ ในความตายมันก็มีคุณ แล้วถึงที่สุดไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะพลัดพราก ไม่ว่าจะสูญเสีย ล้วนต้องให้ศิษย์น้องทุกคน หันกลับมามองธรรมที่เรียกว่า “เช่นนั้นเอง” ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด และในทุกข์ก็พ้นทุกข์ได้ด้วยใจตน เห็นแล้วสงบมันก็จบเรื่องราว แต่ถ้าเห็นแล้วมันวุ่นวาย มันก็ไม่มีวันจบ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี) รักษาบุญรักษาโอกาส อย่าประมาท อย่าคิดว่าเรายังเหลือเวลา ถ้าศิษย์พี่แอบกระซิบได้ ก็จะบอกว่า เวลาไม่เหลือแล้วนะ ทำไมไม่รักษาโอกาสทำวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับไปสู่ความดับ แล้วเราจะเกิดความอยากไปอีกเท่าไร เราต้องจบ เราต้องวาง แล้วศิษย์น้องจะถือไปอีกแค่ไหน แล้วทำไมเราไม่จบ ไม่ดับ ไม่วาง ด้วยหัวใจที่เข้าถึงธรรม อย่าแค่ปากพูด แต่ไม่ปฏิบัติ พ้นทุกข์ได้คนข้างๆ ก็พ้นทุกข์ เข้าใจธรรมได้คนข้างๆ ก็ตื่นรู้ในธรรม
ถ้าคนหนึ่งเกลียดเรามาก ด่าเราทุกวัน เจอเราทีไรก็ระเบิดความโกรธใส่ แต่ถ้าวันหนึ่งเราพ้นทุกข์แล้ว เราก็ช่วยคนเกลียดให้เขาไม่ต้องมีกรรมกับเราจริงไหม (จริง) เราช่วยเขาได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วอย่างนี้ไม่ประเสริฐกว่าหรือ ดีกว่าอยู่กันไปแล้วก็ด่ากันไปด่ากันมา ว่ากันไปว่ากันมา จองเวรกันไปมา มันไม่จบ ชีวิตของศิษย์น้องมีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทอง กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ว่าง เบา อิสระ เป็นสุข เพราะไปสวรรค์ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ทำดีถ้ายึดติดก็ยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม มันพ้นแล้ว มันไม่เอาอะไรแล้ว แม้กระทั่งตัวตนก็ไม่ยึดถือ ลองไตร่ตรองดู ชีวิตมีทางเลือกขึ้นสูง ทำไมไม่ให้สูงที่สุด แล้วที่สุดนั้นคือความไม่มี ไม่มีอะไรให้ยึดถือ กิเลสก็เกาะเราไม่ได้ ทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้ายังยึดถือตัวตน กิเลสก็ยังมีที่เกาะ กรรมก็ยังมีที่ตาม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่เริ่มก็จบลงในทันที แม้ขณะหนึ่งไม่มีซึ่งตัวฉัน
ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ก็จบกัน มีแต่ธรรมและธรรมนั้นที่เคลื่อนไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
การบำเพ็ญทุกวัน เป็นดังการก้าวข้างใน การบำเพ็ญทุกวัน การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ หากคนดีไม่มีความต่างกับคนพาล ให้ตามองหยุดที่ใด
หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
การบำเพ็ญทุกวัน เป็นการทำเรื่องยิ่งใหญ่ ยอมบำเพ็ญทุกวัน มีใครกันไม่ยิ่งใหญ่ จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย
ทำนองเพลง : คงจะมีสักวัน
ชื่อเพลง : การบำเพ็ญทุกวันคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่
เราเป็นคนสุขง่ายหรือทุกข์ง่าย คนอื่นทำให้เรามีสุขหรือว่าเราสุขได้ด้วยตัวเอง ถ้าศิษย์อยู่ในโลกมีสุขมากกว่ามีทุกข์ แม้จะมีเสียทั้งร้อยแต่มีดีแค่หนึ่งก็ดีแล้ว ดีกว่ามีดีทั้งร้อยแต่เสียแค่หนึ่งก็ทุกข์ จริงไหมศิษย์ ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงพยายามบอกตัวเองว่าอะไรๆ ก็ดีแล้ว ภรรยาทำอะไรก็ดีหมด ทำกับข้าวเอาใจ เเต่เสียอย่างเดียวบ่นไม่เคยจบ อะไรก็พอทนได้แต่เมื่อบ่นแล้วทนได้ไหม ถ้าทนได้ครอบครัวก็สุขชีวิตก็ร่มเย็น เเต่ถ้าทนหนึ่งเรื่องไม่ได้ครอบครัวก็ทุกข์เเตกแยก แล้วใจเราสุขไหม (ไม่สุข)
มนุษย์มีสุขมากมายเเต่ทนไม่ได้เมื่อเจอทุกข์หนึ่งเรื่อง ตัวศิษย์เองอยากสุขหรืออยากทุกข์ (อยากสุข) แล้วทำไมไม่คิดให้เป็นสุข ทำไมชอบคิดให้เป็นทุกข์ ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์พร้อมไม่มีที่ติ (ไม่มี) ถ้าอยากพ้นทุกข์ทำไมจึงคิดอย่างคนที่มีสุขไม่ได้ ทำไมต้องลากตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์ในเมื่อทั้งหลายทั้งมวลมีดีอยู่มาก เเต่ยังพ่ายเเพ้เพียงทุกข์เรื่องเดียวเเล้วทำใจไม่ได้ ถ้าทำใจได้พลิกใจได้จะสุขไหม (สุข)
ใครไม่ตาย ใครไม่เจ็บ ใครไม่พลัดพราก ใครไม่สูญเสีย ใครไม่โดนด่า ใครไม่โดนโกง (ไม่มี) ถ้าเราคิดอย่างคนที่เข้าใจก็ไม่ทุกข์ เเต่ถ้าคิดแบบคนที่คิดไม่เป็น วางใจไม่เป็นก็ทุกข์ได้ทุกเรื่อง ผมหงอกยังทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาหันมามองแต่ไม่ยิ้มให้ทุกข์ไหม (ทุกข์) ไหนศิษย์บอกว่ามองก็ยังดี เเต่เมื่อมองแล้วไม่ยิ้มให้กลับทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ ถามใจตัวเองใครทำให้เราทุกข์ ไม่มีใครทำให้ทุกข์ ใจตัวเองต่างหากที่คิดให้ตัวเองสุขไม่เป็น แต่ชอบเพียรจะลงไปสู่ความทุกข์ แล้วเมื่อจมอยู่กับความทุกข์ก็ดึงตัวเองไม่ขึ้น ชีวิตเราหนีไม่พ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้อาจารย์อยากจะมาคุยแล้วช่วยกันแก้ไขและช่วยกันปัดเป่าให้แก่ศิษย์ ดีหรือไม่ (ดี) อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังสอนเรื่องธรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ และอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้ศึกษาธรรมเพื่อมีภูมิป้องกันความทุกข์ ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ เราก็มีภูมิที่เข้มแข็ง มีหัวใจที่แข็งแกร่งเมื่อเจอทุกข์ อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ศึกษาเพราะธรรมยิ่งศึกษายิ่งทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจทุกข์ แต่อย่าลืมว่า ทุกข์เกิดเพราะเราปฏิบัติชั่วมากกว่าปฏิบัติดี เพราะคนดีมักจะไม่เจอเรื่องชั่ว แต่คนทำชั่วมักต้องเจอเรื่องชั่วๆ ชัดไหม (ชัด)
รู้ไหมว่าความชั่วมีรากเหง้ามาจากโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นทิฐิในตัวตน ชัดเจนไหม (ชัดเจน) ฉะนั้นก่อนจะถามว่าทำไมเราจึงเจอแบบนี้ ถามศิษย์ก่อนว่า ศิษย์ไปทำอย่างนั้นกับเขาไหม ถ้าศิษย์อยากมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข ถามตัวเอง เบียดเบียนเขาด้วยกาย วาจา ใจไหม ถ้าศิษย์อยากร่มเย็นเป็นสุข อย่าเพียงแค่กราบขอพระ ถามตัวเองก่อนว่ามีชีวิตอยู่บนชีวิตคนอื่นหรือไม่ คนที่มีเมตตาในใจ เขาจะฆ่าใครไหม เขาจะเบียดเบียนใครไหม เขาจะด่าคนด้วยสายตาไหม เขาจะนินทาใครไหม เขาจะแช่งชักหักกระดูกด่าใครไหม (ไม่) ถ้าเราไม่ประพฤติชั่วเราจะได้ชั่วไหม ถ้าเราไม่ประพฤติเลวร้ายเราจะได้สิ่งเลวร้ายไหม (ไม่) ฉะนั้นขอพระคุ้มครองไม่สู้ขอใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว
ศิษย์เคยคิดอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก) แต่ทุกวันเอาแต่ด่าเอาแต่บ่น แล้วจะร่มเย็นไหม (ไม่) ทุกวันเอาแต่จับผิดต่อว่า แล้วจะดีไหม (ไม่ดี) แล้วเราเคยพูดดีๆ ไหม อยากได้ครอบครัวร่มเย็น อยากให้ทรัพย์สินไม่สูญหาย ถามตัวเองก่อนว่าตัวเองทำสิ่งที่ร่มเย็นให้กับชีวิต ครอบครัวและตัวเองหรือไม่
ฉะนั้นไม่ต้องขอพระ ขอที่ใจตัวเอง ไม่อยากได้สิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าเราซื่อตรงจริงใจ มีความเมตตา มีความรับผิดชอบ ทำดีที่สุด บุคคลใดที่สามารถธำรงรักษาความดีงามตราบจนลมหายใจสุดท้ายก็ไม่แปรเปลี่ยนความดีงามนั้น เขาคือโคมไฟที่ส่องยามมืดมิดให้โลกนี้ได้อบอุ่นและน่าอยู่ การทำดีช่วยป้องกันให้จิตไม่ไหลลงต่ำและคิดชั่ว ช่วยฉุดรั้งใจเราให้สูงไม่ตกเป็นทาสของกิเลสและทุกข์ ในโลกนี้มีคนรักกันอยู่ก็เพราะว่ามีจิตที่รู้คุณคน ทำอะไรแล้วมีคนรู้สำนึกขอบคุณ คนทำดีก็ดีใจ คนขอบคุณก็มีสุขที่เห็นเขายินดี แล้วทำไมศิษย์ของอาจารย์ถึงไม่รักการทำความดี ทำไมถึงรักการทำความชั่ว
คนเราเกิดมาพร้อมกรรม และถ้าทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต เริ่มแล้วจบทันที เริ่มแล้วหมดทันที เริ่มแล้วสิ้นทันที จะมีกรรมต้องให้ไปรับไหม (ไม่มี) แต่มนุษย์เริ่มแล้วจบไหม (ไม่จบ) การยึดมั่น การมีตัวตน การยึดถือ การจำไม่ลืม ทำให้การเริ่มไม่เคยจบ เริ่มแล้วยืดเยื้อ เริ่มแล้วมีกรรม แต่ถ้าทุกขณะศิษย์เริ่มแล้วจบทันที แล้วเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (ไม่) แล้วเรามีอะไรที่จะต้องไปชำระชะล้างไหม แล้วมีอะไรที่เราค้างคาไหม แล้วมีอะไรที่ต้องจดจำแล้วยึดถือต้องไปรับผลต่อไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำดีก็ยึดถือ ทำชั่วก็จดจำ จึงหนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่ต้องกลับมาเกิดไม่จบสิ้น แต่ถ้าเริ่มแล้วจบ เต็มที่แล้ว สมบูรณ์แล้ว ไม่ค้างคาใคร ไม่ติดใคร จบในทุกๆ วัน เราก็คือคนที่เกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ศิษย์บอกว่าทำอะไรยังไม่เสร็จหลายๆ เรื่องยังค้างคา ยังจำเรื่องนี้อยู่ ยังด่าเขาไม่เสร็จ ศิษย์ทำบุญเยอะศิษย์ต้องได้บุญบ้างอย่างน้อยขึ้นสวรรค์ก็ยังดี เมื่อคิดแบบนี้เลยต้องมีตัวตนกลับไปรองรับยึดถือเเละเวียนว่ายใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเขาด่า จบ สงบ สิ้นทุกข์ไหม (สิ้น) แต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อเขาด่าก็อดทนไว้เมตตาไว้ อภัยไว้ ขันติไว้ เเต่เมื่อทนไม่ได้ก็บอกว่าเขาด่าฉัน แบบนี้คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ ทำกรรมให้ไม่จบ ใช่ไหม (ใช่) ถามใจศิษย์ดูว่าเกิดมาแล้วยังอยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)
มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมานานนับไม่ถ้วน ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สิ้นกิเลสสิ้นทุกข์ มนุษย์ก็ไม่สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ และมนุษย์ก็ยังมองว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา การสิ้นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์มีวิธีที่จะทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ โดยที่ศิษย์ยังมีชีวิตอยู่ในโลก อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์ทิ้งหน้าที่ แล้วมาบำเพ็ญ แต่ศิษย์ยังคงมีหน้าที่ และบำเพ็ญธรรมได้ เพราะตัวเราเป็นรากฐานของครอบครัว และครอบครัวที่ดีก็เป็นรากฐานของสังคมที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจิตจึงสำคัญ ถ้าจิตเราตั้งถูกต้อง ความคิดการดำเนินชีวิตก็ถูกต้อง ครอบครัวก็ถูกต้อง ถ้าจิตมีสุข ชีวิตเราก็มีสุข ครอบครัวก็มีสุข สังคมก็มีสุข
การเกิดในโลกนี้เป็นทุกข์ไหม เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาธรรมทำให้เรารู้ทางพ้นทุกข์ และสามารถสิ้นสุดแห่งความทุกข์ได้ แต่เราต้องหาก่อนว่า เหตุแห่งทุกข์มาจากไหน พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์สามารถสิ้นความคิดแห่งตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นทุกข์ได้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลมาจากการคิดยึดติดในตัวตน เหมือนข้างในเราไม่มีความโกรธ หากมีคนโกรธเรามา เราจะรู้ไหมว่าเขาโกรธเรา ถ้าข้างในเราไม่มีความรังเกียจ ใครทำอะไรน่ารังเกียจมาเราจะรังเกียจไหม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้เรายึดติด ถ้ามีทุกข์มาเราไม่คิด เราไม่ถือสา เราไม่ยึดติด ทุกข์ไหม เจ็บไหม แต่ที่เราเจ็บปวดเพราะว่าเราคิด ใช่ไหม (ใช่) ถ้าขาเราเจ็บแล้วลืมเรื่องขาเจ็บไปจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ) จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) จะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) เหมือนเวลาที่ศิษย์ไปช้อปปิ้งเดินได้เป็นชั่วโมงลืมเมื่อย เวลาที่ศิษย์ลุ้นกีฬาฟุตบอลก็ลืมเมื่อย แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ว่าฉันยืนไปสองชั่วโมงก็บอกว่าปวดขา จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเมื่อความทุกข์เข้ามาก็ลืมดีไหม (ดี) เมื่อยขาก็ให้ลืมไป เวลาเขาด่าเราก็ลืม เพราะกรรมคือการเกี่ยวเนื่องเเละจองเวรจองกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) กิเลสทำให้เราโง่เเต่ธรรมทำให้เรามีปัญญา ถ้ารู้ว่าเมื่อยแล้วคิดไปก็ทุกข์ ด่ากันไปด่ากันมาก็ไม่จบ
สมมุติว่าเราเป็นคนใจร้อน ทุกข์เพราะความใจร้อน ทุกข์เพราะความไม่ยอมคน แล้วเราจะแก้ทุกข์อย่างนี้ได้อย่างไรดี (ใช้ขันติเเละโสรัจจะ, ขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความสงบสติ) เมื่อโดนด่ามาก็สงบเพื่อจะได้จบ ไม่คิดร้ายไม่คิดดีก็จะจบเรื่องราว คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก เเต่ถ้าพ้นความคิดนั่นคือทางสายกลางที่เรียกว่าพบธรรมพ้นทุกข์ เเต่มนุษย์เคยมาสายกลางนี้ไหม มีแต่ให้ตัวเองคิดดีเข้าไว้ ขันติเข้าไว้ ใจเย็นเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่) ฝ่ายชายน่าจะเจอบ่อย ส่วนใหญ่เป็นคนใจร้อน วู่วาม ร้ายมาร้ายกลับไม่ยอมคนเลย วิธีจะเเก้ไขให้ดีที่สุดคือ (คิดในทางที่ดี) จะได้เป็นสุขใช่หรือไม่ ถึงเเม้เขาจะโกงเราเอาเปรียบเราก็คิดในทางที่ดีคือ เขาไม่มีเลยมาทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จำไว้ว่าถ้ายังจมอยู่กับความคิดก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ยังยึดติดในตัวตน เเต่ถ้าว่างจากความคิดก็ไม่มีใครต้องมาชดใช้กรรมหรือสร้างกรรม คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดคือความสงบเย็นเเละทางสายกลาง
ทำอย่างไรเมื่อเจอคนแบบนี้ (ทำเป็นไม่ได้ยิน) ตอบได้ดีนะ ทำหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ดีเหมือนกันนะศิษย์ ถึงเวลาให้ทำได้อย่างนั้นนะ (เขาด่ามา ไม่ด่าตอบ) ตอบได้ดี
(คิดหาเหตุผลสิ่งที่เขาว่ามาถูกต้องไหม สมควรไหม) เอาสิ่งที่เขาว่ามาไตร่ตรองตรวจสอบตัวเอง ผิดก็แก้ไข ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องระวังอย่างหนึ่งนะศิษย์ ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่ายึดบริสุทธิ์ยุติธรรม และความคิดง่ายเหมือนเอาน้ำมันไปสาดอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งความคิดได้นั่นคือสติ สติช่วยดึงเราให้เป็นกลาง และถ้ามีสติรู้เท่าทันทุกขณะที่คิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์และนำพาไปสู่อบายภูมิได้ ขอให้มีความคิดที่รู้เท่าทันด้วยสติ อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ
(เวลาโดนว่าให้ยิ้ม) เวลาเขาด่าก็ยิ้ม ยิ้มให้ออกนะ อย่าแสยะยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งด่ากลับ ถ้ายิ้มไม่ออกก็ให้ทำสิ่งที่ดีที่สุดคือขอโทษ เขาด่ามาก็ให้ขอโทษ เราลืมคำนี้ไปแล้วหรือ ผิดไม่ผิดไม่รู้ ถ้าเราเป็นต้นเหตุให้เขาทุกข์ เราก็เต็มใจขอโทษ ดีกว่ายิ้มอีก เพราะยิ้มไปแล้วเขาจะคิดว่าเราเย้ย จริงไหม (จริง) ถ้าโดนเขาด่ามาเราหนี แล้วเขาก็เดินตามด่าๆ ตลอด บางทีเขาไปฝากคนนู้นด่า ฝากคนนี้ด่าอีก เคยเจอไหม ศิษย์เอ๋ย อย่าหนีเลย เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์ เราเรียนรู้ธรรมเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง ยอมรับจะได้จบตรงนี้ หนีไปเดี๋ยวเขาเจอ เขาก็อดด่าเราไม่ได้อีก อย่าหนี ยอมรับความจริง ขอโทษจากใจจริง ถูกผิดไม่รู้ ขอโทษไว้ก่อน
(ไม่ยึดติด ปล่อยวาง จิตเราก็ว่าง) เขาด่าเราก็วางไว้ตรงนั้น ไม่ลากเอากลับมาบ้าน แล้วส่วนใหญ่เราลากกลับมาบ้านไหม เอากลับมาเล่าให้เพื่อนฟังไหม อาจารย์จะบอกให้ศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เขาว่าแล้วเขาเรียกว่าขี้ปาก ถูกไหม (ถูก) แล้วเราเก็บของเขาเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง แปลว่า เราเก็บขี้ มาเล่นขี้ แล้วส่งขี้ต่อ ถูกไหม (ถูก) อย่างนั้นเราควรเก็บไหม ขี้ (ไม่) ควรจำไหม (ไม่) ปล่อยมันไปจากใจแล้วยอมรับความจริงว่าเราหวังให้ทุกคนชมเราไม่ได้ และเราหวังให้ทุกคนยิ้มให้เราก็เป็นไปไม่ได้ เปลี่ยนเขาไม่ได้ก็เปลี่ยนใจเราให้เข้มแข็งแล้วรับความจริงให้ได้ ด่าอย่างไรก็ไม่สะเทือน เพราะเราตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว
อาจารย์จะบอกให้ว่า วิธีแก้ก็คือ ฝึกมีสติอยู่ทุกขณะ และรู้เท่าทันความคิดต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย สติที่สามารถรู้เท่าทันความคิด จะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย และพ้นการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ที่นำไปสู่อบายภูมิ หรือไหลลงต่ำได้
กิเลสชอบเกาะคำว่าตัวตน กิเลสไม่มีตัวตนแต่ชอบมาอยู่กับเรา ศิษย์ต้องรู้จักนิสัยของกิเลส ถ้าศิษย์จับจุดของกิเลสได้ กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้ สมมติว่ากิเลสมาหาเราแล้วบอกให้เราโกรธ เราบอกว่า ฉันเห็นแล้วความโกรธ มาทำให้ฉันโกรธ ฉันจะไม่โกรธ ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ ไม่สนใจ ไม่ไยดี ความโกรธจะอยู่กับเราไหม ถ้าเรารู้ตัวตามทันความโกรธ ความโกรธนั้นจะหายไปเลย ลองคุยกับตัวเองว่า “จะโลภไปถึงไหน อายุขนาดนี้แล้ว จะโมโหไปทำไม ใจเย็นไว้” ถ้าศิษย์สามารถรู้เท่าทันใจตัวได้ รู้ทันความคิดตัวเองและสามารถหยุดยั้งกิเลสได้ ศิษย์จะพ้นภัย พ้นเวรและจะพ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำพาให้ศิษย์ไหลลงต่ำและหนีไม่พ้นอบายภูมิ โกรธมากๆ เรียกว่าไฟนรก โลภมากๆ เรียกว่าเปรต หลงมากๆ เรียกว่าภพภูมิของเดรัจฉาน แล้วศิษย์อยากไปภพภูมินั้นไหม ศิษย์จะทำอย่างไรกับใจที่ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่เนืองๆ อย่างนั้นมาดูก่อนว่าใจศิษย์นั้นมี โลภ โกรธ หลง อยู่ในใจไหม (มี) แบบนี้ก็หนีไม่พ้นเปรตอสูรกายแน่ ลองหันกลับมาดูใจว่าใจแบบไหนที่เรียกว่าโลภโกรธหลง อยากรู้ไหม (อยาก) เรามาดูใจก่อน ถ้าใจมีตะกอนขุ่น เมื่อมีอะไรมากระทบ ก็ง่ายที่จะโลภโกรธหลง ถ้าเราสามารถล้างใจได้ ใครมาทำอะไรก็ไม่โกรธไม่เกลียดไม่หลง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขียนกระดาน)
|
ทุกข์ |
|
สุข |
|
ร้าย |
|
ดี |
|
เสีย |
|
ได้ |
|
ด่า |
|
ชม |
|
แพ้ |
|
ชนะ |
|
ล้มเหลว |
|
สำเร็จ |
ใครก็ตามที่ศิษย์อยากยึด เอาเขามากอดไว้ผูกมัดไว้เป็นของตัวเอง อย่างนั้นเรียกว่าโลภ ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นชมหรือเป็นชนะ อาจารย์ถามหน่อย มีใครได้พวกนี้แล้วครั้งหนึ่ง แล้วไม่เอาอีกเลย (ไม่มี) ถ้าได้ครั้งหนึ่งแล้วยังเอาอีก อย่างนั้นเรียกว่าศิษย์มีความโลภ แล้วถ้าได้แล้วไม่เอาอีก เกลียด ชิงชัง อยากไปให้พ้น อย่างนั้นเรียกว่าโกรธ แล้วถ้าชีวิตนี้ไม่เคยพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ได้สักที เรียกว่าวัฏฏะแห่งความหลงวนเวียนว่าย ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ มันเป็นทางแห่งความ หลงวน เป็นทางที่เรียกว่าหนีไม่พ้นทุกข์และเป็นทางที่ไม่มีวันพบความสงบ เป็นทางแห่งการเวียนว่าย อาจารย์ถามว่า มีสุขแล้วเราสงบไหม มีทุกข์แล้วเราสงบไหม (ไม่)
แล้วทางที่แท้จริงคืออะไร ทางแห่งธรรมแปลว่าสงบ สงบไม่ใช่เรียกว่าสุขหรือทุกข์ สุข ทุกข์ไม่ใช่ทางแท้จริง ทางแท้จริงคือความคงไว้ไม่หวั่นไหว เรียกว่าสงบ แต่ถ้ายังวนอยู่กับสุขทุกข์ดีร้าย เรียกว่าทางแห่งความหลง ทางแห่งการตกเป็นทาสของหลงโลภโกรธไม่จบสิ้น ธรรมแท้คือความจริงอันสงบ คงไว้ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง เห็น จบ วาง สงบ นั่นคือทางสายกลาง เห็นแล้วไม่จบจองเวรจองกรรมนั่นคือทุกข์ เห็นแล้วอภัยขันติอดทนนั่นคือพยายามทำดีที่เรียกว่า ทำดียังยึดติดเรียกว่าสวรรค์
ศิษย์อยากพ้นสวรรค์ พ้นนรก เข้าสู่ความสงบ ศึกษาธรรมที่แท้จริง ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่รับ อย่างนี้เรียกว่าธรรมอันประเสริฐคือสงบ จบ ไม่หวั่นไหว ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเห็นอะไรแล้วเราตัดสินไปตามความคิดนั่นคือการยึดติด แต่ถ้าเห็นอะไรไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด เห็นเหมือนไม่เห็น นั่นคือเกิดมาเพื่อจบ ได้ ไม่ได้ ดี ไม่ดี จบแล้วเพราะทำหน้าที่ตัวเองดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ต่อหน้าผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคนอันประเสริฐ ตายไปไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว มนุษย์เราเกิดมาใช้กรรมและบางทีก็เป็นกรรมที่คิดว่าเราไม่เคยทำทำไมต้องมาเจอ แล้วเราอยากเจอกรรมแบบนั้นอีกไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายหญิงหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น)
อะไรในโลกที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสีย (ไม่มี) อะไรที่ศิษย์บอกว่าสุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) อะไรที่ศิษย์บอกว่าสำเร็จแล้วไม่เคยล้มเหลว (ไม่มี) อะไรที่ศิษย์บอกว่าสดแล้วไม่เหี่ยว ขายังเหี่ยวแต่เราอาจจะมีชีวิตไม่ทันอยู่ถึงแก่ก็ได้ ทำไมไม่ตั้งสติมองให้ดีว่าสิ่งที่ศิษย์เห็นมีความจริงซ่อนอยู่เเละเป็นแก่นของหลักธรรมที่ไม่มีอะไรสวยที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือได้ ถึงเวลาเมื่อเขาตายเราก็ไม่ได้ตายไปกับเขาด้วย หามาแทบตาย โลภมาแทบตาย ไปโกงคนอื่นมาแทบตาย ถึงเวลาเอาเงินไปได้สักบาทไหม (ไม่) สิ่งที่เอาไปได้คือความดีความชั่วที่ศิษย์ทำ แล้วความดีความชั่วชะล้างกันได้ไหม ศีลก็ถือไม่ครบ มีแต่ความซื่อสัตย์อย่างเดียวชาติหน้าจะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะขอให้เกิดมาสบายก็เกิดมาเป็นสุนัข ศีลธรรมไม่มีมีแต่ความซื่อตรง
“เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย” ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเกิดที่ใด ขอให้เรื่องจบลงที่ตรงนั้น ไม่ลากเกี่ยวมาเป็นกรรมเวรไม่จบสิ้น กับใครศิษย์ก็จบลงได้ กับใครศิษย์ก็วางลงได้ กรรมเวรก็จะจบทันที
แต่เราเคยทำอะไรให้จบไหม เรายังคอยเกี่ยวกรรมตลอด แล้วต่อไปนี้ ทำได้ไหม จบที่เขาหรือจบที่เรา (จบที่เรา) ในโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเรา เราก็ทำเขา ฉะนั้นอย่าทำอะไรที่ทำให้ต้องมีเวรกรรมยืดเยื้อ เพราะคำว่าขอโทษไม่สามารถทำให้ทุกคนจบได้ สู้ไม่ทำเลยแล้วไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครดีกว่า จริงไหม (จริง) แปลว่าจะจบกรรมจริงๆ นะ จะไม่เวียนว่ายตายเกิดแล้วนะ อย่างนั้นก็ขอให้มีธรรมคุ้มครอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทำอะไรดี (ทำดี) แค่ทำดีไม่พอ ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ถือความซื่อตรงเเละเมตตาเป็นหลัก ถ้าทำเช่นนี้ก็บริสุทธิ์แล้ว ถ้ามีเมตตาศิษย์จะฆ่าใครไหม (ไม่) มีความซื่อตรงศิษย์จะเอาเปรียบใครไหม (ไม่) แต่นิสัยคนชอบกดขี่ข่มเหงคน
“จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย” จุดไฟเย็นคือ คนที่กล้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม กอปรไปด้วยศีลธรรมอย่างไม่หวั่นไหว เป็นไฟเย็นที่ไปอยู่ที่ใดคนก็อบอุ่นเเละคลายความมืดมน
ไฟเย็นอะไรในใจเราที่สามารถช่วยนำพาคนให้มีความสุขเเละร่มเย็นได้ (มีสติ) อย่างนั้นสิ่งที่ทำให้ไฟร้อนคืออะไร (โมโห,โกรธ) เเละความยึดมั่นผูกพัน ดังนั้นไฟเย็นคือ การคิดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่โกรธเเต่ใจเย็น ไม่เห็นแก่ตัวเเต่รู้จักมองถึงหัวอกคนอื่นเเละคนส่วนรวม
(มีสติ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์) ทำอะไรอย่างคนมีสติยั้งคิด อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) แต่มีแล้วต้องมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นคนดีจริงทำจริงตราบจนลมหายใจสุดท้าย (ทำจิตใจให้ดี ใจเย็นให้สงบทางสายกลาง การไม่ยินดียินร้ายสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี) มนุษย์ทุกคนมองผ่านความคิด ทำให้เรามองไม่เห็นความจริงเพราะความคิดทำให้เรายึดติดเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้ามองผ่านธรรม ธรรมสอนให้เรามองความจริงเพื่อไปสู่หนทางสงบ
อย่าจุดความคิด จุดความยึดติด จุดอารมณ์แห่งตนไปมองผู้คน เพราะเราจะรู้สึกว่าไม่มีใครได้ดั่งใจ แต่ถ้าเราจุดไฟเย็นมาคอยส่องด้วยธรรม จะมีแต่สงบ จบ ใจเย็น เมตตา ความว่าง ถูกไหม (ถูก) แล้วเราจะเข้าใจธรรมนั้นได้อย่างไร ถ้าศิษย์ไม่ดึงหลักหรือแก่นของความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวกัน ถ้าเข้าใจหลัก ยึดกุมได้ชีวิตก็ไม่ทุกข์และไม่หลงไปกับดีร้ายได้เสีย ผู้พิจารณาเข้าถึงแก่นจะค้นพบปัญญาและนำพาพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกข์เพราะการเกิด ความโมโหเกิดเพราะความคิด เราไม่พอใจก็เพราะความยึดติด เราเป็นทุกข์ก็เพราะวางไม่ลง กายของเราเกิดจากการปฏิสนธิที่เรียกว่าเป็นตัวตนนี่คือเกิดครั้งที่หนึ่ง แต่ในการเกิดหนึ่งครั้ง เรายังเกิดอีกนับไม่ถ้วนที่เรียกว่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เช่น เกิดอยากดี เกิดอยากเด่น เกิดอยากดัง เกิดอยากรวย เกิดอยากสวย เกิดอยากได้ ใช่หรือไม่ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ขจัดอัตตา”)
มนุษย์คิดว่าเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว และเเม้ว่าสังขารจะตายไปแล้วการยึดติดตัวตนก็ก่อเกิดการเวียนภพเวียนชาติ ถ้าตัดไม่ได้ก็ทำให้ศิษย์เวียนไม่จบสิ้น เมื่อไรที่มนุษย์ตัดขาดซึ่งความเป็นตัวตนยึดถือ เราก็จะเหลือแต่ความเกิดแก่เจ็บตายของสังขาร เเต่มนุษย์มีตัวมีใจมีสังขาร เมื่อมนุษย์ยังยึดติดตัวตนก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์สามารถขจัดตัดอัตตาได้ ก็จะเหลือแต่กรรมของสังขาร ไม่มีกรรมของจิตญาณที่แท้จริง เราจะใช้กรรมเเค่สังขารเเต่จิตเดิมแท้ไม่ได้มีกรรม
อยากค้นพบธรรม ลองสงบใจแล้วเอาธรรมมาพิจารณา ศิษย์จะเห็นแจ้งความเป็นจริงในใจตนเอง ธรรมแท้ไม่ได้อยู่ภายนอก ตื่นรู้ได้ด้วยใจ แต่แค่สงบแล้วพบธรรมไหม ศิษย์ไม่เคยสงบ ศิษย์เลยไปแต่ความคิด ที่เป็นทาสของกิเลสอารมณ์ สิ่งที่ศิษย์ได้ก็เลยกลายเป็นกรรม กิเลส อารมณ์ แต่ถ้าเมื่อไร ศิษย์ค้นพบธรรมในใจตน ศิษย์จะสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ และหมดความยึดถือในตัวตน เพราะตัวตนยึดไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ทำไมไม่ลองก้าว แล้วก้าวให้ถึงที่สุด ไปแล้วไปให้สูงที่สุด ในเมื่อชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมทำให้เต็มที่ไม่ได้หรือศิษย์ อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ ฝนตกศิษย์ยังรู้จักกางร่ม แล้วยามที่ใจทุกข์ทำไมไม่เอาธรรมมาปกแผ่ให้สงบร่มเย็น อย่าประมาทนะศิษย์เอ๋ย เราก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งเราจะเจออะไร ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีและคุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตเกิดมาเพื่อจบลง เกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาอะไร
ชีวิตนี้ไม่ว่ารูปหรือนามมีวันเปลี่ยนแปลงไหม มีวันทุกข์ไหม มีวันจบสิ้นไหมและมีอะไรยึดถือได้ไหม ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงบนโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวคือความไม่เที่ยง แก่นแท้ของทุกชีวิตที่เรียกว่านามรูปเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ภาวะความเป็นจริงอันหลีกไม่พ้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไตรลักษณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎเดียวกัน จะรวยจะจนก็หนีไม่พ้นกฎนี้ และกฎนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนเราจะตายจะต้องเปลี่ยนก่อน และในความเปลี่ยนนั้นมีทุกข์อยู่ ถึงที่สุดแล้วเรายึดไปก็ต้องไปสู่ความว่างเปล่า
สมมติศิษย์มีเพื่อนคนหนึ่ง ชีวิตเขาเกิดมาลำบากมากกว่าจะมีเงินสักบาท กว่าจะมีเงินสักร้อย แล้ววันหนึ่งเพื่อนเอาเงินไปแล้วไม่คืน ศิษย์เห็นใจเขาว่าทุกข์มากๆ ศิษย์จะโกรธเขาไหม จะทวงเขาไหม จะด่าเขาไหม เพราะศิษย์เห็นแล้วว่ากว่าเขาจะหาเงินมาได้นั้นเขาลำบากมากๆ ส่วนเรานั้นทำได้ไม่นานเราก็ได้มาอย่างง่ายดายแล้ว ถ้าศิษย์เห็นทุกคนล้วนมีทุกข์ ศิษย์จะเกลียดเขาไหม ศิษย์จะด่าเขาไหม ถ้าศิษย์รู้ว่าพื้นเพชีวิตเขาทุกข์ขนาดไหน เพราะเราเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์มองเข้าไปลึกๆ ศิษย์จะไม่โกรธใคร ศิษย์จะมองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ทุกคนมีทุกข์ เขามีทุกข์เขาจึงด่าเรา ถ้าเขาทุกข์แล้วด่าเรา เราก็ให้เขาด่า ถ้าคิดแบบคนใจกว้าง คิดแบบคนมีธรรม คิดแบบคนที่ถือธรรมเป็นหลัก วันนี้เขาด่าเรา พรุ่งนี้เขาชมเรา เราก็เพียงคิดว่าเขาจะด่าเราได้อีกสักกี่น้ำเดี๋ยวเขาก็เหนื่อย จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์ประจักษ์แจ้งในแก่นของหลักธรรม ศิษย์จะไม่รักใครเเละจะไม่เกลียดใครเเละศิษย์จะไม่หลงอะไรอีก เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้ทุกขณะ ปากบอกว่ารักเราแต่เมื่อถึงเวลาเขาไปรักใครอีกคน เขาก็บอกรักคนอื่น ถ้าศิษย์ยึดแก่นความเป็นจริงว่าโลกนี้ไม่มีใครเที่ยงแล้วศิษย์จะต้องรักใคร เเล้วเมื่อไม่รักศิษย์จะโลภไหม รู้ว่าโลภแล้วมีแต่ความทุกข์จะหาเหาใส่หัวอีกไหม จะมีสามีเพิ่มอีกไหม (ไม่) ภรรยาเข็ดแล้วแต่สามียังไม่เข็ด ถ้าเข้าใจเเก่นแท้เเห่งธรรมความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความว่างเปล่าจะสามารถทำให้ศิษย์ปลดปลงคำว่าโลภโกรธหลงได้ในทันที ไม่ต้องพยายามทำหน้าให้สวยเพื่อให้สามีอยู่กับเรา ไม่ต้องทำตัวให้หล่อเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก เเต่เราก็จะยอมรับความเป็นจริงว่าหล่ออย่างไรก็ต้องแก่ สวยอย่างไรก็ต้องเหี่ยว ดีขนาดไหนก็ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เงินทองชื่อเสียงความรัก ล้วนเป็นทาสเเห่งอบายมุขทั้งหมด เเต่ทำไมไม่เอาความดี ความพ้นทุกข์ ความเมตตาธรรม การเข้าใจแก่นของหลักสัจธรรม เรียนรู้หลักธรรม เพื่อเข้าใจชีวิตและนำพาชีวิตพ้นทุกข์เถอะนะศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์เดินไปถึงที่สุดแล้ว อาจารย์ไม่กลับมาช่วยศิษย์ อาจารย์เอาตัวเองรอดคนเดียวดีไหม (ไม่ดี) เหมือนกันยุคนี้เป็นการปรกโปรดที่ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อเอาแค่ตัวเองรอด แต่เธอรอดแล้วคนอื่นต้องรอดด้วย เธอดีแล้วเธอต้องดีกับคนอื่นให้ได้ด้วย ถึงจะเรียกว่าดีของจริง เธอพ้นแล้วเธอต้องช่วยคนอื่นให้พ้นด้วย นี่ถึงจะเรียกว่าจิตพุทธะจริง ฉะนั้นขอเพียงอย่างเดียวนะศิษย์ แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วมันยาก แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วลำบาก ผู้บำเพ็ญมีใจเดียวคือ ไม่ท้อเพื่อช่วยคน ขอใจนี้ไม่ท้อ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว มุ่งต่อไป นั่นคือรู้ทางธรรม เจออะไรก็ไม่หวั่นไหว มีจิตหนึ่งใจเดียว พ้นทุกข์ให้ได้ ฉะนั้นจงไตร่ตรองให้จงหนัก
วันนี้ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ชีวิตนี้เป็นธรรมดา มีพบก็มีพราก แต่ขอให้เป็นการจบลงที่จบจริงๆ ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีทุกข์ต่อกัน สิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นภัย นั่นคือทางที่แท้จริง ที่เรียกว่า “ทางสายกลาง ธรรมแท้มีหนึ่งเดียว” แล้วทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันนี้ แต่ถ้าเมื่อไรหลงยึดติดตัวตน วางตัวตนไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบธรรมแท้ พบแต่กิเลส อัตตาและกรรมที่ศิษย์สร้าง ลองพิจารณา สิ่งที่อาจารย์พูดให้จงหนัก
ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รักตัวเองไหม (รัก) แต่ถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักนำพาชีวิตให้ได้ดีที่สุด อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก มีโอกาสรักษาบุญ รักษาวาสนาด้วยการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าธรรม อย่าทำผิด อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ชั้นนี้หลายคนมีบุญและมีภูมิธรรม ตั้งแต่ที่อาจารย์เจอศิษย์หลายๆ ชั้นมา ชั้นนี้ถือว่ามีภูมิธรรมที่เยอะที่สุดและอาจารย์ก็เชื่อมั่นว่าภูมิธรรมนี้จะนำพาให้ศิษย์เข้าใจในธรรม นำพาธรรมนั้นไปช่วยคน ดูแลตัวเองให้ดี ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์มานำเหนือชีวิต จงรู้จักมีคุณธรรมนำชีวิต ห้อยพระไม่สู้มีใจเป็นพระ เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง รักษาความดีงามนี้ไว้ให้ได้ ตั้งใจให้ดีตลอดไป
อย่ายอมเเพ้ความมุ่งมั่นในใจตัวเอง บุญบารมีอยู่ที่เราสร้าง ตั้งใจบำเพ็ญเสียสละอุทิศดั่งจิตโพธิสัตว์ อย่ายอมแพ้จิตใจที่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อย่าหวั่นไหวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นเพียงกายสังขาร ศิษย์ของอาจารย์เข้มเเข็งสู้ไม่ถอย รักษาความดีงามบุญวาสนาที่ตัวเองสร้างโดยไม่ยึดถือ ทำเเล้วปล่อยวาง ความสุขในชีวิตคือการได้ปลดปลงเเละปล่อยวาง รักษาความดีสมกับที่ศิษย์เคยมีจิตใจที่ดี คนเราจะเจริญหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าทำโดยไม่หวังผลยิ่งเจริญ เเต่ถ้าทำเเล้วยึดมั่นในผลจะไม่ดี ศิษย์รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เเต่บางครั้งก็ห้ามใจไม่ได้ ตั้งใจให้สมกับที่ศิษย์ตั้งใจ
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนในชั้นที่ไม่สบาย)
ขอให้ผ่านพ้นเคราะห์ร้าย ตอนนี้พยายามลดละเนื้อสัตว์จะได้พ้นจากเคราะห์กรรม จงเข้มเเข็งเเละเเข็งเเรง
เพิ่มพูนปัญญา ศึกษาธรรม จะได้มานำคนได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง นำพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง ประกอบความดีงามอย่างไม่ย่อท้อ มีขวัญและกำลังใจด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น อย่าอ่อนแอ อย่ายอมแพ้ รักษาความดีงามความถูกต้องไว้ให้อยู่คู่กับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ซื่อตรง เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย
อย่ามีชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แล้วมองเห็นธรรมให้ได้ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไปเลย ตั้งสติคิดให้ดีๆ มองอย่างคนที่เห็นธรรม เข้าใจธรรม แล้วศิษย์จะได้ค้นพบอาจารย์จี้กงน้อยๆ ในใจศิษย์ที่ไม่เคยจากไปไหนอยู่คุ้มครองศิษย์ที่รักษาธรรม ศิษย์ที่คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวความลำบาก
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท

เคยชินทำให้เคยตัว คนกลัวเปลี่ยนแปลงแปลกใหม่
บำเพ็ญลดละเลิกไป อย่าให้อัตตาสำคัญ
เมื่ออารมณ์ไร้อำนาจเหนือใจตน วางใจพ้นจากความคิดแห่งตัวฉัน
มีแต่ธรรมเคลื่อนไปตามจริงนั้น ประจักษ์ผ่านทุกสิ่งสรรพล้วนธรรมเดียว