วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-12 สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์

西元二〇一八年嵗次戊戌三月二十七日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๑                 สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  อย่าขาดความซื่อตรงในจิตใจ          รักสบายเอาเปรียบใครไม่ดีหนา
สำนึกดีต้องทำดีทำจริงนา                หากเฉยชาก็ยากยิ่งบำเพ็ญอะไร
                                เราคือ
  ศิษย์พี่พระนาจา                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                                         ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับกันไหม
  คนทำเพื่อปากท้องกองทรัพย์สิน       บ่อยทำชินเคยคุ้นประโยชน์ผล
ปล่อยให้เคยตัวจริงลำบากลำบน        เรื่องของคนแปลกใหม่เป็นประจำ
ถ้ากลัวเปลี่ยนแปลงบำเพ็ญให้ดี          ไม่ละเลิกไปมีแต่ถลำ
เมื่อน้ำลดอย่าผุดตอระกำ                อย่าสำคัญอัตตาให้ช้ำไม่เข็ด
ความรู้สึกรู้สาชวนยากทำใจ             หัวใจไร้อารมณ์จึงใจพ้นเทวษ[1]
จิตอำนาจเมื่อดึงวางจากกิเลส           ยืนเหนือใจสำเร็จตื่นความจริง
อัตตาแห่งตัวเธอฉันสังคมโลก            พูดทำคิดวิปโยคมีทุกข์ยิ่ง
จักรวาลเคลื่อนธรรมขยับแต่คนนิ่ง       มองตามจริงธรรมนั้นเพื่อนิรันดร์
เพียรทำไปย่อมประจักษ์จิตประมุข      ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านกายสังขาร
ประกาศธรรมไว้เสร็จสรรพธรรมกาล    หนึ่งเดียวธรรมตะวันล้วนส่องโลกา
                                                                                                       ฮิ ฮิ หยุด



[1] เทวษ  การครํ่าครวญ, ความลําบาก.

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

สิ่งสำคัญในการเป็นคนคือความซื่อตรงจริงใจ อยากได้คนซื่อตรงจริงใจ เราก็ต้องซื่อตรงจริงใจก่อน ถ้าเริ่มต้นด้วยการโกหก เราก็ต้องโกหกไปตลอดชีวิต ถ้าเริ่มต้นซื่อตรงจริงใจจะกลัวอะไร จะมีความซื่อตรงจริงใจได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องและดีงาม ทำอะไรก็ทำด้วยจิตสำนึกที่ดีงามและถูกต้อง ถ้าใจไม่บอกให้ซื่อตรงเราจะเป็นคนซื่อตรงไหม ถ้าจิตเราไม่สำนึกในความถูกต้องดีงามเราจะปฏิบัติดีไหม ถ้าเราไม่เชื่อในความดีงาม เราไม่เชื่อการปฏิบัติดีแล้ว เราจะทำดีไหม แต่ทุกอย่างที่เราทำเพราะเราเชื่อในความดีงาม เชื่อในคุณค่าของความถูกต้อง เพราะคุณค่าของความถูกต้องและคุณค่าของการประพฤติสิ่งที่ดีงามนั้นมีความสบายใจ มีความสุขใจเป็นผล เราก็ประจักษ์เองได้ คนหนึ่งคนใดจะดีไม่ดี อยู่ที่ตัวเขามีจิตสำนึกหรือไม่สำนึกดี สำนึกดีก็ทำดี แต่ถ้าขาดสำนึกดีก็พร้อมจะทำไม่ดี
เราขอถามอะไรง่ายๆ นะ อะไรเอ่ยยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ(ความสุข, เวลา)  เวลาเหลือน้อย ไม่ควรจะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ทำดีทำเท่าไรก็ไม่เคยพอสักที เวลายิ่งนานไปก็ยิ่งพร่องยิ่งหมด ถ้าเรารู้ว่าเวลาทุกวันคือเวลาที่ต้องหมดไปเราจะพยายามรักษาเวลาให้ดีที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก)  เเต่มนุษย์ไม่เคยคิดว่าเวลากำลังหมดไป เเต่คิดว่ามีเวลามากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกเวลาคือทุกขณะของความดับสิ้น มนุษย์บอกว่าเกิดมาสิบห้าปีแล้ว เเต่พุทธะบอกว่าท่านกำลังดับมาสิบห้าปี
อะไรที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ความรัก เงินทองเกียรติยศ ความต้องการในจิตใจ ได้เท่าไรก็ไม่พอ เเล้วคิดว่าถ้าทำสำเร็จฉันจะพอแล้วหยุดแล้ว ไม่เห็นมีใครพอสักคนจริงไหม (จริง)  ถ้าฉันได้เธอคนเดียวฉันก็พอใจแล้ว ถ้าได้เงินก้อนนี้ผมจะพอใจแล้ว ถ้าถูกล๊อตเตอรี่ผมจะหยุด หยุดไหม (ไม่หยุด)  ใจของมนุษย์ ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งคิดว่าจะเติมให้ใจตัวเองเต็ม ก็กลับไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอสักที อย่างนั้นปัญหาอยู่ที่สิ่งที่ท่านกำลังหาหรือปัญหามันอยู่ที่ใจ (ที่ใจ)  ใจเป็นเหมือนสิ่งที่ยิ่งหาก็ยิ่งพร่องไหม ยิ่งหาตัวเองเท่าไร ฉันเป็นคนแบบไหน แต่ถึงเวลามันไม่ใช่ ฉันน่าจะพอใจแบบนี้นะ แต่พอถึงเวลาก็ไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วิชาที่สามารถเรียนแล้วทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองเห็นตัวเราได้ดีที่สุดคือ วิชาธรรมะ สนใจจะคุยวิชาธรรมะกันไหม
ในโลกนี้มีสิ่งที่มนุษย์อยากมากมาย บางครั้งยิ่งอยากก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่เคยพอ แต่เราก็ไม่หยุด หาจนเหนื่อย หาจนทำร้ายชีวิตและจิตใจ และก็หาจนทำให้ตัวเองทุกข์จนตายทั้งเป็น อย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งที่หานั้นจะเป็นคำว่าได้หรือเสีย เป็นคำว่าสุขหรือทุกข์ ก็ล้วนมีพิษภัยไม่แตกต่างกันเลย ถึงจะทำให้เรามีสุขแต่ใจก็เร่าร้อน และเมื่อยามมีทุกข์ใจก็เร่าร้อนไม่ต่างกันเลย ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์แสวงหาไม่ว่าจะเป็นความรักความอบอุ่นความจริงใจ ถ้าเราไม่เคยจริงใจกับใครก่อนไม่เคยเต็มที่กับใครก่อน ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะจริงใจและเต็มที่กับเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านดีที่สุดกับคนอื่นหรือยัง ถ้าท่านยังไม่ดีที่สุดอย่าหวังคนอื่นจะเต็มที่กับเรา ถ้าท่านยังไม่จริงใจก็อย่าหวังว่าใครจะจริงใจกับเรา
เมื่อมั่งมีแล้วมีใครไม่หลงฟุ้งเฟ้อ เมื่อได้แล้วมีใครไม่เหิมเกริม เมื่อผิดหวังแล้วมีใครบ้างไม่สูญเสียคุณธรรมความเป็นคน เมื่อชนะก็หลงตัวเอง เมื่อแพ้ก็ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น เมื่อยามมั่งมีก็อวดตัวเอง เมื่อยามยากจนก็สูญเสียความเป็นคนในจิตใจ โบราณจึงกล่าวไว้ว่า รวยแล้วรู้จักให้จึงเรียกว่าประเสริฐ ยากจนแล้วยังรู้จักรักษาคุณธรรมความเป็นคนไม่สูญเสียจึงเรียกว่าคนดี แต่มนุษย์เอาแต่อยากจนทำร้ายตัวเอง เอาแต่อยากจนสูญเสียความเป็นคน เอาแต่อยากจนขาดคุณธรรมแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ
ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนจิตใจดี ซื่อตรง ใจเย็นและมีน้ำใจ อย่างนั้นตอนนี้มีไหม ทำไมคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนที่เคยใจเย็นจึงกลายเป็นคนใจร้อน คนที่เคยซื่อตรงจึงกลายเป็นคนคดโกง คนดีบ้างไม่ดีบ้างไม่เรียกว่าคนดีจริง คนดีจริงต้องดีตลอดตั้งแต่ต้นจนตาย แล้วเพราะอะไรคนใจดีจึงกลายเป็นคนใจร้าย คนซื่อตรงจึงเป็นคนคดโกง โป้ปด คนน่ารักจึงกลายเป็นคนน่าเกลียด หาคำตอบได้ไหม (ความโลภ)  ความโลภกับความดีในจิตใจ อะไรมีค่ามากกว่ากัน (ความดี)  แล้วทำไมถึงทิ้งความดีในจิตใจเพื่อความโลภ ถ้าเกิดว่าคนใจดีเสียไปเพราะความโลภ คนใจดีเสียไปเพราะความโกรธ คนใจดีเสียไปเพราะความอยาก อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มันมีค่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วรู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางมาแห่งบาปและอกุศลทั้งมวล ทำให้เราต้องทุกข์และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปรับ ถ้ารู้อย่างนี้ยังอยากมี โลภ โกรธ หลง ไหม (ไม่อยาก)
ภัยพิบัติทางธรรมชาติมนุษย์ยังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากกิเลส การกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่างนั้นเราควรตกเป็นทาสของกิเลสไหม (ไม่ควร)  ถ้ามีทุกข์แล้วค่อยพยายามเอาธรรมะข่มทุกข์ ดับทุกข์ กับพยายามมีธรรมเพื่อไม่ให้มีทุกข์ อะไรดีกว่ากัน (มีธรรมดีกว่า)  เวลามีทุกข์แล้วพยายามใช้ ขันติ เมตตา ใจเย็น ใจกว้าง มันทรมานไหม แต่มีขันติ ใจเย็น มีเมตตาตั้งแต่แรกแล้วไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ มันสบายกว่าไหม (สบายกว่า)
จิตปกติมันไม่เคยมีอารมณ์ แต่จิตไม่ปกติจึงมีอารมณ์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าเป็นปกติที่เกิดมาเป็นคนต้องมีโลภ มีโกรธ มีหลง จริงๆ แล้วจิตปกติของคนไม่เคยมี โลภ มีโกรธ มีหลง แต่เมื่อไรตากระทบของที่อยากได้ หูได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน ก่อเกิดการกระทบจึงก่อเกิดเป็นอารมณ์ และกลายเป็นความอยาก ซึ่งทำให้เราผิดปกติ เราไม่ถูกกระทบเราก็ไม่อยาก
การมีศีลธรรมคือการทำคนให้เป็นคนปกติ แต่คนที่ดำเนินชีวิตขาดศีลธรรม จึงเรียกว่าคนผิดปกติ ถูกไหม (ถูก)
การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจหลักธรรมความเป็นจริงเเละสามารถอยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์ อยู่กับทุกข์อย่างคนที่เข้าใจทุกข์เเละสามารถพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเราเอง อย่ามองว่าเป็นเรื่องยาก อย่ามองว่าตัวเราเองทำไม่ได้ ไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ก้าวเข้ามาดูหรือจะเข้าใจความเป็นจริง เกิดเป็นคนไม่ลองสู้ ยังไม่สู้ก็ยกธงขาวแบบนี้น่าเสียดาย แล้วเราเคยสู้กับทุกข์หรือยัง (เคย)  สู้อย่างคนใช้ธรรมหรือสู้อย่างคนใช้กิเลสเวรกรรม เมื่อเจอทุกข์ทีไรก็คิดว่าเวรกรรมอะไรถึงต้องมาเจอ แต่ถ้าสู้อย่างคนที่ใช้ธรรมเราจะสามารถหมดเวรหมดกรรมสิ้นภพสิ้นชาติได้
แล้วระหว่างคนใจดีกับคนใจร้ายแบบไหนดีกว่ากัน (คนใจดี)  ส่วนใหญ่เรานิสัยเสียเพราะคนใจดีหรือคนใจร้าย (ใจดี)  ทั้งคนใจร้ายและคนใจดีไม่น่ากลัวเท่ากับตัวเราเอง ถูกไหม คนอื่นจะร้ายหรือดีไม่สำคัญอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเอง เขาร้ายแล้วเราจะดีไหม ถ้าเขาร้ายแล้วเราไม่ดีโทษเขาไม่ได้ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ อยู่ที่เขาชี้หรืออยู่ที่เรากำหนด ฉะนั้นใครจะร้ายหรือดีไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือตัวศิษย์น้องรู้ใจตัวเองว่าดีหรือยัง เพราะคนดีจริงเหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ยังคงรักษาความดี และความชั่วของคนอื่นกลับยิ่งเสริมให้เขายิ่งดี ผู้เข้าถึงความเป็นจริงจะรักษาความเป็นกลางเเละมองเห็นทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรก็ตามไม่มีอะไรดีเกินไปเเละไม่มีอะไรแย่เกินไป ธรรมจึงสอนว่าอย่าหลงกับความดีจนเกินไป เเละอย่ารังเกียจกับสิ่งที่ไม่ดีจนเกินไป เพราะคนที่หมั่นปฏิบัติธรรมจะไม่หลงว่าตัวเองดี เพราะมีดีก็ต้องมีดียิ่งขึ้นไป เพราะในดีก็มีร้าย ในร้ายก็มีดี การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจึงไม่ใช่ชอบดีเเต่รังเกียจร้าย ยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีเเล้วดูถูกผู้อื่นเป็นคนไม่ดี แบบนี้ไม่ใช่หนทางการปฏิบัติธรรม เเละไม่ควรพึงพอใจว่าตัวเองดีเเล้วว่าคนอื่นไม่ดีอยู่ร่ำไป แบบนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมดีเเล้วยิ่งต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นถึงจะเรียกว่าคนดี ผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่รังเกียจคนไม่ดี เพราะในความไม่ดีเขาก็มีดี จริงไหม (จริง)
ธรรมะคือการเรียนรู้ความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์ โดยไม่ปล่อยให้ทุกข์นั้นก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ แต่รู้จักใช้สติปัญญาควบคุมตน คนที่ปฏิบัติธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าเพราะเราไม่ดีจึงปฏิบัติธรรม ฉะนั้นถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วโดนเขาต่อว่า ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นดีเลย ก็ตอบไปว่า เพราะยังไม่ดีถึงต้องปฏิบัติ
(ศิษย์พี่เมตตาหยิบมะม่วงขึ้นมาหนึ่งผล)  สมมติมีผลไม้ลูกหนึ่ง ถ้าจับแล้วรู้ชัดว่าร้อนเวลาจับเราจะระมัดระวัง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าจับแล้วรู้ว่าเย็นเมื่อเราจับก็จะไม่ร้อนมือ แต่ถ้ามีผลไม้ลูกหนึ่งเดาไม่ได้เลยว่าจะร้อนหรือเย็น จะดีหรือร้าย ท่านจะจับไหม
อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยมาใช้ธรรมข่มใจ การปฏิบัติธรรมก็เพื่อป้องกันคนที่ไม่สามารถรู้ใจตัวเองว่าเดี๋ยวจะร้ายหรือจะดี แต่พยายามรักษาดีจึงพยายามปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทุกวันนี้ถามว่าให้ปฏิบัติธรรมแล้วปฏิบัติไหม ตอนนี้ตัวเองดีหรือร้าย ไม่แน่นอน รู้ไหมว่าคนที่ไม่แน่นอนคือคนที่ร้ายที่สุด ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่พอถึงเวลาร้ายก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้ท่านรู้จักยับยั้งความร้ายและคงรักษาซึ่งความดีไว้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของการปฏิบัติธรรม พื้นฐานเริ่มต้นง่ายสุดคือ อย่าประมาท จงทำอะไรอย่างผู้มีสติ ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนไม่ประมาทเราจะผิดพลาดไหม ถ้าทุกขณะทำอะไรอย่างคนมีสติ เราจะเผลอหลงเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ไหม เริ่มต้นเราก็ปฏิบัติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรเรียกว่าดำเนินชีวิตอย่างคนไม่ประมาท (มีสติ)  ไม่ประมาทก็คือไม่ขาดสติ นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นทำอะไรมีจิตระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ก็เรียกว่าไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราไม่รู้ชีวิตพรุ่งนี้จะตายไม่ตาย เรื่องดีเราจะไม่พลาด เรื่องเสียเราจะไม่ทำ เพราะคนไม่ประมาทคือไม่พลาดทำดีและไม่ถลำทำสิ่งที่ไม่ดี คนไม่ประมาทเขาจะ
๑.ไม่ขาดสติ
๒.ไม่เผลอทำผิด
๓.ไม่ละเลยทำสิ่งที่ดีงามที่สุดในชีวิตที่จะทำได้
สติคือสิ่งทำให้เราดึงความคิดกลับมาเป็นกลางและยืนอยู่กับปัจจุบัน คนมีสติคืออยู่กับปัจจุบันขณะเป็นสำคัญ ถ้าทำได้สองอย่างนี้ท่านจะปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท ไม่ขาดสติ จริงไหม (จริง)  เราอยู่ตอนนี้แต่เรามักคิดถึงตอนนั้น เราอยู่ตรงนี้เรามักคิดถึงตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าอยากแล้วค่อยคิดดับทุกข์ แต่จงมีธรรมก่อนที่จะบังเกิดทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราเคยใช้ธรรมยั้งใจไว้ไหม กิเลสสนองใจอย่างไรก็ไม่เคยเต็ม ได้มาเท่าไรก็ไม่เคยพอ ถ้าการให้ ทำให้เราเสียสละการยึดตัวตน การยอมไม่เอา ทำให้เราได้ชะล้างจิตใจให้สะอาด ไม่เห็นแก่ตน รู้ไหมว่าการให้นั้นจะกลายเป็นบุญทานเเละกุศลในทันที แต่การเอานั้นกลับกลายเป็นการสนองกิเลสเเละหนีไม่พ้นวิบากเวรกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ได้ผลไม้มาแล้วเกิดหวานติดใจแล้วจะอยากได้อีกไหม (อยาก)  ถ้าได้มาแล้วเปรี้ยวจับใจจะด่าไหม อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม แต่ในโลกมีใครคิดได้ก่อนเช่นนี้เห็นแจ้งได้ก่อนเช่นนี้ ถ้าศิษย์น้องสามารถทำได้เราจะสิ้นบาปสิ้นเวรกรรม อดด่าไม่ได้ก็กลายเป็นสนองกิเลส หยุดได้ก็กลายเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรม ฉะนั้นจิตไม่ประมาทไม่ขาดสติ กรรมจะกลายเป็นธรรม บาปจะกลายเป็นบุญ และสุขที่ประเสริฐสุด บุญจะกลายเป็นกุศลเเละพ้นทุกข์ได้ เเต่มนุษย์ไม่เคยลองทำสักที อยากไว้ก่อนแล้วมาข่มใจทีหลังทุกที ทำไมไม่ข่มใจตั้งแต่ต้น เพราะทุกสิ่งที่ศิษย์น้องปรารถนาในโลกนี้ ในทุกลักษณะล้วนมีลักษณะซ่อนอยู่ ในสิ่งที่มนุษย์หลงใหลได้ปลื้มแท้จริงยังมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ ที่เรียกว่าแก่นของความจริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความทุกข์
ในโลกใบนี้มีความเป็นคู่ มีร้ายก็มีดี มีสุขก็มีทุกข์ แต่ว่าในโลกนี้ต้องมีของที่แก้กันได้ ฉะนั้นถ้ามีโกรธก็ต้องมีหายโกรธ ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีสิ้นทุกข์ เราลองมองให้ดีๆ แล้วเราจะพบความจริง แต่ตอนนี้มีความอยากแล้วจะเกิดปัญญาไหม ไม่มีทางเกิด ศิษย์น้องต้องหยุดความอยากก่อน ปัญญาถึงจะแจ่มชัด ถ้ายังหยุดความอยากไม่ได้ ปัญญาไม่มีวันเห็นกระจ่างแจ่มชัด ในทุกข์ต้องมีสิ้นทุกข์ ในความเกิดแห่งกิเลสต้องมีวันสิ้นกิเลส
ในการเรียนรู้ธรรม รู้ว่าทุกสิ่งสรรพแท้จริงในโลกใบนี้มีแก่นเดียวกัน มีหลักเดียวกันคือความทุกข์ แล้วเราจะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ยังอยากหาความสุขในความไม่เที่ยง ถ้าเราสามารถค้นพบเเก่นเเห่งความเป็นจริงได้ มนุษย์จะตื่นรู้ พบทุกข์เเละพบธรรมได้ จริงไหม (จริง) แต่หยุดอยากหรือยัง (ยัง)  ถ้ายังหยุดอยากไม่ได้จะทำอย่างไรที่เห็นแล้วไม่อยากอีกเลย
สมมติว่าผลไม้ลูกนี้ ถ้ากินแล้วทุกข์กินไหม (ไม่กิน)  ถ้าสิ่งนี้มีแล้วเจ็บปวดใจ มีแล้วเจ็บช้ำใจ เอาไหม ในโลกนี้มีอะไรมีแล้วไม่ทุกข์ ได้แล้วไม่เจ็บช้ำใจ ลูก สามี ภรรยา หน้าที่ ศิษย์พี่ไม่ได้ให้ทิ้ง แต่อยู่ให้ชัดอยู่อย่างคนเข้าใจเห็นจริง และทำอย่างไรที่จะไม่ให้สิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์ใจ ง่ายๆ นะศิษย์น้อง แค่อยู่กับใครแล้วไม่คาดหวังว่าเขาดีหรือไม่ดี ดับทุกข์ได้ทันที แต่มนุษย์ไม่ใช่ คาดหวังเขาจะต้องดี เห็นใครคนนั้นอย่าร้าย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ เห็นใครดีก็ได้ ร้ายก็ไม่โกรธ แต่ต้องอยู่อย่างเข้าใจ ยากไหม (ยาก)  สิ่งที่ยากคือใจศิษย์น้องที่ชอบยึดติดคาดหวังว่าต้องดีอย่าร้าย แต่ชีวิตนี้มีไหมที่ร้ายแล้วไม่ดี ดีแล้วไม่ร้าย เข้าใจแก่นแห่งธรรมได้ก็ไม่ทุกข์ หากไม่เข้าใจอยู่บนโลกก็ทุกข์ทุกวัน ถ้าเราไปให้ถึงที่สุดว่าเปรี้ยวก็มีประโยชน์ หวานก็มีประโยชน์ ในโลกนี้คุณอนันต์ก็โทษมหันต์ ควรหรือที่เรายังอยากโลภ โกรธ อยากยึดว่าต้องดี การปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่ใจเรา เข้าใจความเป็นคนในตัวตน มีหรือจะไม่เข้าใจความเป็นคนในสังคมบนโลกนี้
แก่นมีอันเดียวกันไม่มีอะไรแน่แท้ ดีสุดก็อาจจะร้ายสุด ร้ายสุดก็อาจจะดีก็ได้  ในความเจ็บมันก็มีคุณ ในความตายมันก็มีคุณ แล้วถึงที่สุดไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะพลัดพราก ไม่ว่าจะสูญเสีย ล้วนต้องให้ศิษย์น้องทุกคน หันกลับมามองธรรมที่เรียกว่า “เช่นนั้นเอง” ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด และในทุกข์ก็พ้นทุกข์ได้ด้วยใจตน เห็นแล้วสงบมันก็จบเรื่องราว แต่ถ้าเห็นแล้วมันวุ่นวาย มันก็ไม่มีวันจบ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  รักษาบุญรักษาโอกาส อย่าประมาท อย่าคิดว่าเรายังเหลือเวลา ถ้าศิษย์พี่แอบกระซิบได้ ก็จะบอกว่า เวลาไม่เหลือแล้วนะ ทำไมไม่รักษาโอกาสทำวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับไปสู่ความดับ แล้วเราจะเกิดความอยากไปอีกเท่าไร เราต้องจบ เราต้องวาง แล้วศิษย์น้องจะถือไปอีกแค่ไหน แล้วทำไมเราไม่จบ ไม่ดับ ไม่วาง ด้วยหัวใจที่เข้าถึงธรรม อย่าแค่ปากพูด แต่ไม่ปฏิบัติ พ้นทุกข์ได้คนข้างๆ ก็พ้นทุกข์ เข้าใจธรรมได้คนข้างๆ ก็ตื่นรู้ในธรรม
ถ้าคนหนึ่งเกลียดเรามาก ด่าเราทุกวัน เจอเราทีไรก็ระเบิดความโกรธใส่ แต่ถ้าวันหนึ่งเราพ้นทุกข์แล้ว เราก็ช่วยคนเกลียดให้เขาไม่ต้องมีกรรมกับเราจริงไหม (จริง)  เราช่วยเขาได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วอย่างนี้ไม่ประเสริฐกว่าหรือ ดีกว่าอยู่กันไปแล้วก็ด่ากันไปด่ากันมา ว่ากันไปว่ากันมา จองเวรกันไปมา มันไม่จบ ชีวิตของศิษย์น้องมีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทอง กลับคืนสู่ธรรม  ธรรมที่ว่าง เบา อิสระ เป็นสุข เพราะไปสวรรค์ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ทำดีถ้ายึดติดก็ยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม มันพ้นแล้ว มันไม่เอาอะไรแล้ว แม้กระทั่งตัวตนก็ไม่ยึดถือ ลองไตร่ตรองดู ชีวิตมีทางเลือกขึ้นสูง ทำไมไม่ให้สูงที่สุด แล้วที่สุดนั้นคือความไม่มี ไม่มีอะไรให้ยึดถือ กิเลสก็เกาะเราไม่ได้ ทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้ายังยึดถือตัวตน กิเลสก็ยังมีที่เกาะ กรรมก็ยังมีที่ตาม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑             สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ไม่เริ่มก็จบลงในทันที                   แม้ขณะหนึ่งไม่มีซึ่งตัวฉัน
ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ก็จบกัน               มีแต่ธรรมและธรรมนั้นที่เคลื่อนไป
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

    การบำเพ็ญทุกวัน เป็นดังการก้าวข้างใน การบำเพ็ญทุกวัน การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ หากคนดีไม่มีความต่างกับคนพาล ให้ตามองหยุดที่ใด
    หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
    การบำเพ็ญทุกวัน เป็นการทำเรื่องยิ่งใหญ่ ยอมบำเพ็ญทุกวัน มีใครกันไม่ยิ่งใหญ่ จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย

ทำนองเพลง : คงจะมีสักวัน
ชื่อเพลง : การบำเพ็ญทุกวันคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เราเป็นคนสุขง่ายหรือทุกข์ง่าย คนอื่นทำให้เรามีสุขหรือว่าเราสุขได้ด้วยตัวเอง ถ้าศิษย์อยู่ในโลกมีสุขมากกว่ามีทุกข์ แม้จะมีเสียทั้งร้อยแต่มีดีแค่หนึ่งก็ดีแล้ว ดีกว่ามีดีทั้งร้อยแต่เสียแค่หนึ่งก็ทุกข์ จริงไหมศิษย์ ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงพยายามบอกตัวเองว่าอะไรๆ ก็ดีแล้ว ภรรยาทำอะไรก็ดีหมด ทำกับข้าวเอาใจ เเต่เสียอย่างเดียวบ่นไม่เคยจบ อะไรก็พอทนได้แต่เมื่อบ่นแล้วทนได้ไหม ถ้าทนได้ครอบครัวก็สุขชีวิตก็ร่มเย็น เเต่ถ้าทนหนึ่งเรื่องไม่ได้ครอบครัวก็ทุกข์เเตกแยก แล้วใจเราสุขไหม (ไม่สุข)
มนุษย์มีสุขมากมายเเต่ทนไม่ได้เมื่อเจอทุกข์หนึ่งเรื่อง ตัวศิษย์เองอยากสุขหรืออยากทุกข์ (อยากสุข)  แล้วทำไมไม่คิดให้เป็นสุข ทำไมชอบคิดให้เป็นทุกข์ ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์พร้อมไม่มีที่ติ (ไม่มี)  ถ้าอยากพ้นทุกข์ทำไมจึงคิดอย่างคนที่มีสุขไม่ได้ ทำไมต้องลากตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์ในเมื่อทั้งหลายทั้งมวลมีดีอยู่มาก เเต่ยังพ่ายเเพ้เพียงทุกข์เรื่องเดียวเเล้วทำใจไม่ได้ ถ้าทำใจได้พลิกใจได้จะสุขไหม (สุข)
ใครไม่ตาย ใครไม่เจ็บ ใครไม่พลัดพราก ใครไม่สูญเสีย ใครไม่โดนด่า ใครไม่โดนโกง (ไม่มี)  ถ้าเราคิดอย่างคนที่เข้าใจก็ไม่ทุกข์ เเต่ถ้าคิดแบบคนที่คิดไม่เป็น วางใจไม่เป็นก็ทุกข์ได้ทุกเรื่อง ผมหงอกยังทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาหันมามองแต่ไม่ยิ้มให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไหนศิษย์บอกว่ามองก็ยังดี เเต่เมื่อมองแล้วไม่ยิ้มให้กลับทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ ถามใจตัวเองใครทำให้เราทุกข์ ไม่มีใครทำให้ทุกข์ ใจตัวเองต่างหากที่คิดให้ตัวเองสุขไม่เป็น แต่ชอบเพียรจะลงไปสู่ความทุกข์ แล้วเมื่อจมอยู่กับความทุกข์ก็ดึงตัวเองไม่ขึ้น ชีวิตเราหนีไม่พ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้อาจารย์อยากจะมาคุยแล้วช่วยกันแก้ไขและช่วยกันปัดเป่าให้แก่ศิษย์ ดีหรือไม่ (ดี)  อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังสอนเรื่องธรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ และอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้ศึกษาธรรมเพื่อมีภูมิป้องกันความทุกข์ ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ เราก็มีภูมิที่เข้มแข็ง มีหัวใจที่แข็งแกร่งเมื่อเจอทุกข์ อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ศึกษาเพราะธรรมยิ่งศึกษายิ่งทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจทุกข์ แต่อย่าลืมว่า ทุกข์เกิดเพราะเราปฏิบัติชั่วมากกว่าปฏิบัติดี เพราะคนดีมักจะไม่เจอเรื่องชั่ว แต่คนทำชั่วมักต้องเจอเรื่องชั่วๆ ชัดไหม (ชัด)
รู้ไหมว่าความชั่วมีรากเหง้ามาจากโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นทิฐิในตัวตน ชัดเจนไหม (ชัดเจน)  ฉะนั้นก่อนจะถามว่าทำไมเราจึงเจอแบบนี้ ถามศิษย์ก่อนว่า ศิษย์ไปทำอย่างนั้นกับเขาไหม ถ้าศิษย์อยากมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข ถามตัวเอง เบียดเบียนเขาด้วยกาย วาจา ใจไหม ถ้าศิษย์อยากร่มเย็นเป็นสุข อย่าเพียงแค่กราบขอพระ ถามตัวเองก่อนว่ามีชีวิตอยู่บนชีวิตคนอื่นหรือไม่ คนที่มีเมตตาในใจ เขาจะฆ่าใครไหม เขาจะเบียดเบียนใครไหม เขาจะด่าคนด้วยสายตาไหม เขาจะนินทาใครไหม เขาจะแช่งชักหักกระดูกด่าใครไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ประพฤติชั่วเราจะได้ชั่วไหม ถ้าเราไม่ประพฤติเลวร้ายเราจะได้สิ่งเลวร้ายไหม (ไม่)  ฉะนั้นขอพระคุ้มครองไม่สู้ขอใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว
ศิษย์เคยคิดอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก)  แต่ทุกวันเอาแต่ด่าเอาแต่บ่น แล้วจะร่มเย็นไหม (ไม่)  ทุกวันเอาแต่จับผิดต่อว่า แล้วจะดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเคยพูดดีๆ ไหม อยากได้ครอบครัวร่มเย็น อยากให้ทรัพย์สินไม่สูญหาย ถามตัวเองก่อนว่าตัวเองทำสิ่งที่ร่มเย็นให้กับชีวิต ครอบครัวและตัวเองหรือไม่
ฉะนั้นไม่ต้องขอพระ ขอที่ใจตัวเอง ไม่อยากได้สิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าเราซื่อตรงจริงใจ มีความเมตตา มีความรับผิดชอบ ทำดีที่สุด บุคคลใดที่สามารถธำรงรักษาความดีงามตราบจนลมหายใจสุดท้ายก็ไม่แปรเปลี่ยนความดีงามนั้น เขาคือโคมไฟที่ส่องยามมืดมิดให้โลกนี้ได้อบอุ่นและน่าอยู่ การทำดีช่วยป้องกันให้จิตไม่ไหลลงต่ำและคิดชั่ว ช่วยฉุดรั้งใจเราให้สูงไม่ตกเป็นทาสของกิเลสและทุกข์ ในโลกนี้มีคนรักกันอยู่ก็เพราะว่ามีจิตที่รู้คุณคน ทำอะไรแล้วมีคนรู้สำนึกขอบคุณ คนทำดีก็ดีใจ คนขอบคุณก็มีสุขที่เห็นเขายินดี แล้วทำไมศิษย์ของอาจารย์ถึงไม่รักการทำความดี ทำไมถึงรักการทำความชั่ว
คนเราเกิดมาพร้อมกรรม และถ้าทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต เริ่มแล้วจบทันที เริ่มแล้วหมดทันที เริ่มแล้วสิ้นทันที จะมีกรรมต้องให้ไปรับไหม (ไม่มี)  แต่มนุษย์เริ่มแล้วจบไหม (ไม่จบ)  การยึดมั่น การมีตัวตน การยึดถือ การจำไม่ลืม ทำให้การเริ่มไม่เคยจบ เริ่มแล้วยืดเยื้อ เริ่มแล้วมีกรรม แต่ถ้าทุกขณะศิษย์เริ่มแล้วจบทันที แล้วเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (ไม่)  แล้วเรามีอะไรที่จะต้องไปชำระชะล้างไหม แล้วมีอะไรที่เราค้างคาไหม แล้วมีอะไรที่ต้องจดจำแล้วยึดถือต้องไปรับผลต่อไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำดีก็ยึดถือ ทำชั่วก็จดจำ จึงหนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่ต้องกลับมาเกิดไม่จบสิ้น แต่ถ้าเริ่มแล้วจบ เต็มที่แล้ว สมบูรณ์แล้ว ไม่ค้างคาใคร ไม่ติดใคร จบในทุกๆ วัน เราก็คือคนที่เกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ศิษย์บอกว่าทำอะไรยังไม่เสร็จหลายๆ เรื่องยังค้างคา ยังจำเรื่องนี้อยู่ ยังด่าเขาไม่เสร็จ ศิษย์ทำบุญเยอะศิษย์ต้องได้บุญบ้างอย่างน้อยขึ้นสวรรค์ก็ยังดี เมื่อคิดแบบนี้เลยต้องมีตัวตนกลับไปรองรับยึดถือเเละเวียนว่ายใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเขาด่า จบ สงบ สิ้นทุกข์ไหม (สิ้น)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อเขาด่าก็อดทนไว้เมตตาไว้ อภัยไว้ ขันติไว้ เเต่เมื่อทนไม่ได้ก็บอกว่าเขาด่าฉัน แบบนี้คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ ทำกรรมให้ไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  ถามใจศิษย์ดูว่าเกิดมาแล้วยังอยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)
มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมานานนับไม่ถ้วน ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สิ้นกิเลสสิ้นทุกข์ มนุษย์ก็ไม่สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ และมนุษย์ก็ยังมองว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา การสิ้นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์มีวิธีที่จะทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ โดยที่ศิษย์ยังมีชีวิตอยู่ในโลก อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์ทิ้งหน้าที่ แล้วมาบำเพ็ญ แต่ศิษย์ยังคงมีหน้าที่ และบำเพ็ญธรรมได้ เพราะตัวเราเป็นรากฐานของครอบครัว และครอบครัวที่ดีก็เป็นรากฐานของสังคมที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตจึงสำคัญ ถ้าจิตเราตั้งถูกต้อง ความคิดการดำเนินชีวิตก็ถูกต้อง ครอบครัวก็ถูกต้อง ถ้าจิตมีสุข ชีวิตเราก็มีสุข ครอบครัวก็มีสุข สังคมก็มีสุข
การเกิดในโลกนี้เป็นทุกข์ไหม เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาธรรมทำให้เรารู้ทางพ้นทุกข์ และสามารถสิ้นสุดแห่งความทุกข์ได้ แต่เราต้องหาก่อนว่า เหตุแห่งทุกข์มาจากไหน พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์สามารถสิ้นความคิดแห่งตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นทุกข์ได้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลมาจากการคิดยึดติดในตัวตน เหมือนข้างในเราไม่มีความโกรธ หากมีคนโกรธเรามา เราจะรู้ไหมว่าเขาโกรธเรา ถ้าข้างในเราไม่มีความรังเกียจ ใครทำอะไรน่ารังเกียจมาเราจะรังเกียจไหม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้เรายึดติด ถ้ามีทุกข์มาเราไม่คิด เราไม่ถือสา เราไม่ยึดติด ทุกข์ไหม เจ็บไหม แต่ที่เราเจ็บปวดเพราะว่าเราคิด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าขาเราเจ็บแล้วลืมเรื่องขาเจ็บไปจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  เหมือนเวลาที่ศิษย์ไปช้อปปิ้งเดินได้เป็นชั่วโมงลืมเมื่อย เวลาที่ศิษย์ลุ้นกีฬาฟุตบอลก็ลืมเมื่อย แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ว่าฉันยืนไปสองชั่วโมงก็บอกว่าปวดขา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อความทุกข์เข้ามาก็ลืมดีไหม (ดี)  เมื่อยขาก็ให้ลืมไป เวลาเขาด่าเราก็ลืม เพราะกรรมคือการเกี่ยวเนื่องเเละจองเวรจองกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสทำให้เราโง่เเต่ธรรมทำให้เรามีปัญญา ถ้ารู้ว่าเมื่อยแล้วคิดไปก็ทุกข์ ด่ากันไปด่ากันมาก็ไม่จบ
สมมุติว่าเราเป็นคนใจร้อน ทุกข์เพราะความใจร้อน ทุกข์เพราะความไม่ยอมคน แล้วเราจะแก้ทุกข์อย่างนี้ได้อย่างไรดี (ใช้ขันติเเละโสรัจจะ, ขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความสงบสติ)  เมื่อโดนด่ามาก็สงบเพื่อจะได้จบ ไม่คิดร้ายไม่คิดดีก็จะจบเรื่องราว คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก เเต่ถ้าพ้นความคิดนั่นคือทางสายกลางที่เรียกว่าพบธรรมพ้นทุกข์ เเต่มนุษย์เคยมาสายกลางนี้ไหม มีแต่ให้ตัวเองคิดดีเข้าไว้ ขันติเข้าไว้ ใจเย็นเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่)  ฝ่ายชายน่าจะเจอบ่อย ส่วนใหญ่เป็นคนใจร้อน วู่วาม ร้ายมาร้ายกลับไม่ยอมคนเลย วิธีจะเเก้ไขให้ดีที่สุดคือ (คิดในทางที่ดี)  จะได้เป็นสุขใช่หรือไม่ ถึงเเม้เขาจะโกงเราเอาเปรียบเราก็คิดในทางที่ดีคือ เขาไม่มีเลยมาทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จำไว้ว่าถ้ายังจมอยู่กับความคิดก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ยังยึดติดในตัวตน เเต่ถ้าว่างจากความคิดก็ไม่มีใครต้องมาชดใช้กรรมหรือสร้างกรรม คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดคือความสงบเย็นเเละทางสายกลาง
ทำอย่างไรเมื่อเจอคนแบบนี้ (ทำเป็นไม่ได้ยิน)  ตอบได้ดีนะ ทำหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก็ดีเหมือนกันนะศิษย์ ถึงเวลาให้ทำได้อย่างนั้นนะ (เขาด่ามา ไม่ด่าตอบ)  ตอบได้ดี
(คิดหาเหตุผลสิ่งที่เขาว่ามาถูกต้องไหม สมควรไหม)  เอาสิ่งที่เขาว่ามาไตร่ตรองตรวจสอบตัวเอง ผิดก็แก้ไข ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องระวังอย่างหนึ่งนะศิษย์ ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่ายึดบริสุทธิ์ยุติธรรม และความคิดง่ายเหมือนเอาน้ำมันไปสาดอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งความคิดได้นั่นคือสติ สติช่วยดึงเราให้เป็นกลาง และถ้ามีสติรู้เท่าทันทุกขณะที่คิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์และนำพาไปสู่อบายภูมิได้ ขอให้มีความคิดที่รู้เท่าทันด้วยสติ อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ
(เวลาโดนว่าให้ยิ้ม)  เวลาเขาด่าก็ยิ้ม ยิ้มให้ออกนะ อย่าแสยะยิ้ม ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งด่ากลับ ถ้ายิ้มไม่ออกก็ให้ทำสิ่งที่ดีที่สุดคือขอโทษ เขาด่ามาก็ให้ขอโทษ เราลืมคำนี้ไปแล้วหรือ ผิดไม่ผิดไม่รู้ ถ้าเราเป็นต้นเหตุให้เขาทุกข์ เราก็เต็มใจขอโทษ ดีกว่ายิ้มอีก เพราะยิ้มไปแล้วเขาจะคิดว่าเราเย้ย จริงไหม (จริง)  ถ้าโดนเขาด่ามาเราหนี แล้วเขาก็เดินตามด่าๆ ตลอด บางทีเขาไปฝากคนนู้นด่า ฝากคนนี้ด่าอีก เคยเจอไหม ศิษย์เอ๋ย อย่าหนีเลย เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์ เราเรียนรู้ธรรมเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง ยอมรับจะได้จบตรงนี้ หนีไปเดี๋ยวเขาเจอ เขาก็อดด่าเราไม่ได้อีก อย่าหนี ยอมรับความจริง ขอโทษจากใจจริง ถูกผิดไม่รู้ ขอโทษไว้ก่อน
(ไม่ยึดติด ปล่อยวาง จิตเราก็ว่าง)  เขาด่าเราก็วางไว้ตรงนั้น ไม่ลากเอากลับมาบ้าน แล้วส่วนใหญ่เราลากกลับมาบ้านไหม เอากลับมาเล่าให้เพื่อนฟังไหม อาจารย์จะบอกให้ศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เขาว่าแล้วเขาเรียกว่าขี้ปาก ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเก็บของเขาเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง แปลว่า เราเก็บขี้ มาเล่นขี้ แล้วส่งขี้ต่อ ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเราควรเก็บไหม ขี้ (ไม่)  ควรจำไหม (ไม่)  ปล่อยมันไปจากใจแล้วยอมรับความจริงว่าเราหวังให้ทุกคนชมเราไม่ได้ และเราหวังให้ทุกคนยิ้มให้เราก็เป็นไปไม่ได้ เปลี่ยนเขาไม่ได้ก็เปลี่ยนใจเราให้เข้มแข็งแล้วรับความจริงให้ได้ ด่าอย่างไรก็ไม่สะเทือน เพราะเราตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว
อาจารย์จะบอกให้ว่า วิธีแก้ก็คือ ฝึกมีสติอยู่ทุกขณะ และรู้เท่าทันความคิดต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย สติที่สามารถรู้เท่าทันความคิด จะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นภัย และพ้นการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ที่นำไปสู่อบายภูมิ หรือไหลลงต่ำได้
กิเลสชอบเกาะคำว่าตัวตน กิเลสไม่มีตัวตนแต่ชอบมาอยู่กับเรา ศิษย์ต้องรู้จักนิสัยของกิเลส ถ้าศิษย์จับจุดของกิเลสได้ กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้ สมมติว่ากิเลสมาหาเราแล้วบอกให้เราโกรธ เราบอกว่า ฉันเห็นแล้วความโกรธ มาทำให้ฉันโกรธ ฉันจะไม่โกรธ ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ ไม่สนใจ ไม่ไยดี ความโกรธจะอยู่กับเราไหม ถ้าเรารู้ตัวตามทันความโกรธ ความโกรธนั้นจะหายไปเลย ลองคุยกับตัวเองว่า “จะโลภไปถึงไหน อายุขนาดนี้แล้ว จะโมโหไปทำไม ใจเย็นไว้” ถ้าศิษย์สามารถรู้เท่าทันใจตัวได้ รู้ทันความคิดตัวเองและสามารถหยุดยั้งกิเลสได้ ศิษย์จะพ้นภัย พ้นเวรและจะพ้นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำพาให้ศิษย์ไหลลงต่ำและหนีไม่พ้นอบายภูมิ โกรธมากๆ เรียกว่าไฟนรก โลภมากๆ เรียกว่าเปรต หลงมากๆ เรียกว่าภพภูมิของเดรัจฉาน แล้วศิษย์อยากไปภพภูมินั้นไหม ศิษย์จะทำอย่างไรกับใจที่ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่เนืองๆ อย่างนั้นมาดูก่อนว่าใจศิษย์นั้นมี โลภ โกรธ หลง อยู่ในใจไหม (มี)  แบบนี้ก็หนีไม่พ้นเปรตอสูรกายแน่ ลองหันกลับมาดูใจว่าใจแบบไหนที่เรียกว่าโลภโกรธหลง อยากรู้ไหม (อยาก)  เรามาดูใจก่อน ถ้าใจมีตะกอนขุ่น เมื่อมีอะไรมากระทบ ก็ง่ายที่จะโลภโกรธหลง ถ้าเราสามารถล้างใจได้ ใครมาทำอะไรก็ไม่โกรธไม่เกลียดไม่หลง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขียนกระดาน)
ทุกข์

สุข
ร้าย

ดี
เสีย

ได้
ด่า

ชม
แพ้

ชนะ
ล้มเหลว

สำเร็จ
สองสิ่งที่ตรงข้ามกันนี้มีอยู่ในใจศิษย์ไหม (มี) สิ่งไหนที่ศิษย์ชอบ (สุข) สิ่งไหนที่เกลียด (ทุกข์)  แล้วหนีสองสิ่งนี้พ้นไหม (ไม่พ้น)  ชีวิตหลงวนอยู่กับสองสิ่งนี้ สิ่งที่เราอยากมีมากที่สุดคือฝั่งสุข สิ่งที่เราไม่อยากมีคือฝั่งทุกข์ สิ่งที่มีแล้วเราอยากมีอีกไหม (อยาก)  มีสุขเเล้วอยากสุขอีกไหม (อยาก)  มีดีแล้วอยากมีดีอีกไหม (อยาก)  ได้แล้วอยากได้อีกไหม (อยาก)  มีทุกข์แล้วอยากทุกข์อีกไหม (ไม่)  โลภหลงมาจากการที่มีสุขแล้วก็อยากมีสุขอีกเรื่อยๆ นั่นเรียกว่าโลภ
ใครก็ตามที่ศิษย์อยากยึด เอาเขามากอดไว้ผูกมัดไว้เป็นของตัวเอง อย่างนั้นเรียกว่าโลภ ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นชมหรือเป็นชนะ อาจารย์ถามหน่อย มีใครได้พวกนี้แล้วครั้งหนึ่ง แล้วไม่เอาอีกเลย (ไม่มี)  ถ้าได้ครั้งหนึ่งแล้วยังเอาอีก อย่างนั้นเรียกว่าศิษย์มีความโลภ แล้วถ้าได้แล้วไม่เอาอีก เกลียด ชิงชัง อยากไปให้พ้น อย่างนั้นเรียกว่าโกรธ แล้วถ้าชีวิตนี้ไม่เคยพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ได้สักที เรียกว่าวัฏฏะแห่งความหลงวนเวียนว่าย ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ มันเป็นทางแห่งความ หลงวน เป็นทางที่เรียกว่าหนีไม่พ้นทุกข์และเป็นทางที่ไม่มีวันพบความสงบ เป็นทางแห่งการเวียนว่าย อาจารย์ถามว่า มีสุขแล้วเราสงบไหม มีทุกข์แล้วเราสงบไหม (ไม่)
แล้วทางที่แท้จริงคืออะไร ทางแห่งธรรมแปลว่าสงบ สงบไม่ใช่เรียกว่าสุขหรือทุกข์ สุข ทุกข์ไม่ใช่ทางแท้จริง ทางแท้จริงคือความคงไว้ไม่หวั่นไหว เรียกว่าสงบ แต่ถ้ายังวนอยู่กับสุขทุกข์ดีร้าย เรียกว่าทางแห่งความหลง ทางแห่งการตกเป็นทาสของหลงโลภโกรธไม่จบสิ้น ธรรมแท้คือความจริงอันสงบ คงไว้ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง เห็น จบ วาง สงบ นั่นคือทางสายกลาง เห็นแล้วไม่จบจองเวรจองกรรมนั่นคือทุกข์ เห็นแล้วอภัยขันติอดทนนั่นคือพยายามทำดีที่เรียกว่า ทำดียังยึดติดเรียกว่าสวรรค์
ศิษย์อยากพ้นสวรรค์ พ้นนรก เข้าสู่ความสงบ ศึกษาธรรมที่แท้จริง ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่รับ อย่างนี้เรียกว่าธรรมอันประเสริฐคือสงบ จบ ไม่หวั่นไหว ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเห็นอะไรแล้วเราตัดสินไปตามความคิดนั่นคือการยึดติด แต่ถ้าเห็นอะไรไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด เห็นเหมือนไม่เห็น นั่นคือเกิดมาเพื่อจบ ได้ ไม่ได้ ดี ไม่ดี จบแล้วเพราะทำหน้าที่ตัวเองดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ต่อหน้าผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคนอันประเสริฐ ตายไปไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว มนุษย์เราเกิดมาใช้กรรมและบางทีก็เป็นกรรมที่คิดว่าเราไม่เคยทำทำไมต้องมาเจอ แล้วเราอยากเจอกรรมแบบนั้นอีกไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายหญิงหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น)
อะไรในโลกที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสีย (ไม่มี)  อะไรที่ศิษย์บอกว่าสุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  อะไรที่ศิษย์บอกว่าสำเร็จแล้วไม่เคยล้มเหลว (ไม่มี)  อะไรที่ศิษย์บอกว่าสดแล้วไม่เหี่ยว ขายังเหี่ยวแต่เราอาจจะมีชีวิตไม่ทันอยู่ถึงแก่ก็ได้ ทำไมไม่ตั้งสติมองให้ดีว่าสิ่งที่ศิษย์เห็นมีความจริงซ่อนอยู่เเละเป็นแก่นของหลักธรรมที่ไม่มีอะไรสวยที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือได้ ถึงเวลาเมื่อเขาตายเราก็ไม่ได้ตายไปกับเขาด้วย หามาแทบตาย โลภมาแทบตาย ไปโกงคนอื่นมาแทบตาย ถึงเวลาเอาเงินไปได้สักบาทไหม (ไม่)  สิ่งที่เอาไปได้คือความดีความชั่วที่ศิษย์ทำ แล้วความดีความชั่วชะล้างกันได้ไหม ศีลก็ถือไม่ครบ มีแต่ความซื่อสัตย์อย่างเดียวชาติหน้าจะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะขอให้เกิดมาสบายก็เกิดมาเป็นสุนัข ศีลธรรมไม่มีมีแต่ความซื่อตรง
“เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย” ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเกิดที่ใด ขอให้เรื่องจบลงที่ตรงนั้น ไม่ลากเกี่ยวมาเป็นกรรมเวรไม่จบสิ้น กับใครศิษย์ก็จบลงได้ กับใครศิษย์ก็วางลงได้ กรรมเวรก็จะจบทันที
แต่เราเคยทำอะไรให้จบไหม เรายังคอยเกี่ยวกรรมตลอด แล้วต่อไปนี้ ทำได้ไหม จบที่เขาหรือจบที่เรา (จบที่เรา)  ในโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเรา เราก็ทำเขา ฉะนั้นอย่าทำอะไรที่ทำให้ต้องมีเวรกรรมยืดเยื้อ เพราะคำว่าขอโทษไม่สามารถทำให้ทุกคนจบได้ สู้ไม่ทำเลยแล้วไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครดีกว่า จริงไหม (จริง)  แปลว่าจะจบกรรมจริงๆ นะ จะไม่เวียนว่ายตายเกิดแล้วนะ อย่างนั้นก็ขอให้มีธรรมคุ้มครอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทำอะไรดี (ทำดี)  แค่ทำดีไม่พอ ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ถือความซื่อตรงเเละเมตตาเป็นหลัก ถ้าทำเช่นนี้ก็บริสุทธิ์แล้ว ถ้ามีเมตตาศิษย์จะฆ่าใครไหม (ไม่)  มีความซื่อตรงศิษย์จะเอาเปรียบใครไหม (ไม่)  แต่นิสัยคนชอบกดขี่ข่มเหงคน
“จุดไฟเย็นขึ้นมาคอยส่อง ผ่านธรรมมองย่อมมีความสุขง่ายดาย” จุดไฟเย็นคือ คนที่กล้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม กอปรไปด้วยศีลธรรมอย่างไม่หวั่นไหว เป็นไฟเย็นที่ไปอยู่ที่ใดคนก็อบอุ่นเเละคลายความมืดมน
ไฟเย็นอะไรในใจเราที่สามารถช่วยนำพาคนให้มีความสุขเเละร่มเย็นได้ (มีสติ)  อย่างนั้นสิ่งที่ทำให้ไฟร้อนคืออะไร (โมโห,โกรธ)  เเละความยึดมั่นผูกพัน ดังนั้นไฟเย็นคือ การคิดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่โกรธเเต่ใจเย็น ไม่เห็นแก่ตัวเเต่รู้จักมองถึงหัวอกคนอื่นเเละคนส่วนรวม
(มีสติ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์)  ทำอะไรอย่างคนมีสติยั้งคิด อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)  แต่มีแล้วต้องมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นคนดีจริงทำจริงตราบจนลมหายใจสุดท้าย (ทำจิตใจให้ดี ใจเย็นให้สงบทางสายกลาง การไม่ยินดียินร้ายสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี)  มนุษย์ทุกคนมองผ่านความคิด ทำให้เรามองไม่เห็นความจริงเพราะความคิดทำให้เรายึดติดเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้ามองผ่านธรรม ธรรมสอนให้เรามองความจริงเพื่อไปสู่หนทางสงบ
อย่าจุดความคิด จุดความยึดติด จุดอารมณ์แห่งตนไปมองผู้คน เพราะเราจะรู้สึกว่าไม่มีใครได้ดั่งใจ แต่ถ้าเราจุดไฟเย็นมาคอยส่องด้วยธรรม จะมีแต่สงบ จบ ใจเย็น เมตตา ความว่าง ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราจะเข้าใจธรรมนั้นได้อย่างไร ถ้าศิษย์ไม่ดึงหลักหรือแก่นของความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวกัน ถ้าเข้าใจหลัก ยึดกุมได้ชีวิตก็ไม่ทุกข์และไม่หลงไปกับดีร้ายได้เสีย ผู้พิจารณาเข้าถึงแก่นจะค้นพบปัญญาและนำพาพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกข์เพราะการเกิด ความโมโหเกิดเพราะความคิด เราไม่พอใจก็เพราะความยึดติด เราเป็นทุกข์ก็เพราะวางไม่ลง กายของเราเกิดจากการปฏิสนธิที่เรียกว่าเป็นตัวตนนี่คือเกิดครั้งที่หนึ่ง แต่ในการเกิดหนึ่งครั้ง เรายังเกิดอีกนับไม่ถ้วนที่เรียกว่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เช่น เกิดอยากดี เกิดอยากเด่น เกิดอยากดัง เกิดอยากรวย เกิดอยากสวย เกิดอยากได้ ใช่หรือไม่ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ขจัดอัตตา”)
มนุษย์คิดว่าเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว และเเม้ว่าสังขารจะตายไปแล้วการยึดติดตัวตนก็ก่อเกิดการเวียนภพเวียนชาติ ถ้าตัดไม่ได้ก็ทำให้ศิษย์เวียนไม่จบสิ้น เมื่อไรที่มนุษย์ตัดขาดซึ่งความเป็นตัวตนยึดถือ เราก็จะเหลือแต่ความเกิดแก่เจ็บตายของสังขาร เเต่มนุษย์มีตัวมีใจมีสังขาร เมื่อมนุษย์ยังยึดติดตัวตนก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์สามารถขจัดตัดอัตตาได้ ก็จะเหลือแต่กรรมของสังขาร ไม่มีกรรมของจิตญาณที่แท้จริง เราจะใช้กรรมเเค่สังขารเเต่จิตเดิมแท้ไม่ได้มีกรรม
อยากค้นพบธรรม ลองสงบใจแล้วเอาธรรมมาพิจารณา ศิษย์จะเห็นแจ้งความเป็นจริงในใจตนเอง ธรรมแท้ไม่ได้อยู่ภายนอก ตื่นรู้ได้ด้วยใจ แต่แค่สงบแล้วพบธรรมไหม ศิษย์ไม่เคยสงบ ศิษย์เลยไปแต่ความคิด ที่เป็นทาสของกิเลสอารมณ์ สิ่งที่ศิษย์ได้ก็เลยกลายเป็นกรรม กิเลส อารมณ์ แต่ถ้าเมื่อไร ศิษย์ค้นพบธรรมในใจตน ศิษย์จะสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ และหมดความยึดถือในตัวตน เพราะตัวตนยึดไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ทำไมไม่ลองก้าว แล้วก้าวให้ถึงที่สุด ไปแล้วไปให้สูงที่สุด ในเมื่อชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมทำให้เต็มที่ไม่ได้หรือศิษย์ อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ ฝนตกศิษย์ยังรู้จักกางร่ม แล้วยามที่ใจทุกข์ทำไมไม่เอาธรรมมาปกแผ่ให้สงบร่มเย็น อย่าประมาทนะศิษย์เอ๋ย เราก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งเราจะเจออะไร ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีและคุ้มค่าที่สุด เพราะทุกชีวิตเกิดมาเพื่อจบลง เกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาอะไร
ชีวิตนี้ไม่ว่ารูปหรือนามมีวันเปลี่ยนแปลงไหม มีวันทุกข์ไหม มีวันจบสิ้นไหมและมีอะไรยึดถือได้ไหม ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงบนโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแก่นอันเดียวคือความไม่เที่ยง แก่นแท้ของทุกชีวิตที่เรียกว่านามรูปเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ภาวะความเป็นจริงอันหลีกไม่พ้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไตรลักษณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎเดียวกัน จะรวยจะจนก็หนีไม่พ้นกฎนี้ และกฎนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน ก่อนเราจะตายจะต้องเปลี่ยนก่อน และในความเปลี่ยนนั้นมีทุกข์อยู่ ถึงที่สุดแล้วเรายึดไปก็ต้องไปสู่ความว่างเปล่า
สมมติศิษย์มีเพื่อนคนหนึ่ง ชีวิตเขาเกิดมาลำบากมากกว่าจะมีเงินสักบาท กว่าจะมีเงินสักร้อย แล้ววันหนึ่งเพื่อนเอาเงินไปแล้วไม่คืน ศิษย์เห็นใจเขาว่าทุกข์มากๆ ศิษย์จะโกรธเขาไหม จะทวงเขาไหม จะด่าเขาไหม เพราะศิษย์เห็นแล้วว่ากว่าเขาจะหาเงินมาได้นั้นเขาลำบากมากๆ ส่วนเรานั้นทำได้ไม่นานเราก็ได้มาอย่างง่ายดายแล้ว ถ้าศิษย์เห็นทุกคนล้วนมีทุกข์ ศิษย์จะเกลียดเขาไหม ศิษย์จะด่าเขาไหม ถ้าศิษย์รู้ว่าพื้นเพชีวิตเขาทุกข์ขนาดไหน เพราะเราเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์มองเข้าไปลึกๆ ศิษย์จะไม่โกรธใคร ศิษย์จะมองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ทุกคนมีทุกข์ เขามีทุกข์เขาจึงด่าเรา ถ้าเขาทุกข์แล้วด่าเรา เราก็ให้เขาด่า ถ้าคิดแบบคนใจกว้าง คิดแบบคนมีธรรม คิดแบบคนที่ถือธรรมเป็นหลัก วันนี้เขาด่าเรา พรุ่งนี้เขาชมเรา เราก็เพียงคิดว่าเขาจะด่าเราได้อีกสักกี่น้ำเดี๋ยวเขาก็เหนื่อย จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์ประจักษ์แจ้งในแก่นของหลักธรรม ศิษย์จะไม่รักใครเเละจะไม่เกลียดใครเเละศิษย์จะไม่หลงอะไรอีก เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้ทุกขณะ ปากบอกว่ารักเราแต่เมื่อถึงเวลาเขาไปรักใครอีกคน เขาก็บอกรักคนอื่น ถ้าศิษย์ยึดแก่นความเป็นจริงว่าโลกนี้ไม่มีใครเที่ยงแล้วศิษย์จะต้องรักใคร เเล้วเมื่อไม่รักศิษย์จะโลภไหม รู้ว่าโลภแล้วมีแต่ความทุกข์จะหาเหาใส่หัวอีกไหม จะมีสามีเพิ่มอีกไหม (ไม่) ภรรยาเข็ดแล้วแต่สามียังไม่เข็ด ถ้าเข้าใจเเก่นแท้เเห่งธรรมความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความว่างเปล่าจะสามารถทำให้ศิษย์ปลดปลงคำว่าโลภโกรธหลงได้ในทันที ไม่ต้องพยายามทำหน้าให้สวยเพื่อให้สามีอยู่กับเรา ไม่ต้องทำตัวให้หล่อเพื่อให้ผู้หญิงหลงรัก เเต่เราก็จะยอมรับความเป็นจริงว่าหล่ออย่างไรก็ต้องแก่ สวยอย่างไรก็ต้องเหี่ยว ดีขนาดไหนก็ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เงินทองชื่อเสียงความรัก ล้วนเป็นทาสเเห่งอบายมุขทั้งหมด เเต่ทำไมไม่เอาความดี ความพ้นทุกข์ ความเมตตาธรรม การเข้าใจแก่นของหลักสัจธรรม เรียนรู้หลักธรรม เพื่อเข้าใจชีวิตและนำพาชีวิตพ้นทุกข์เถอะนะศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์เดินไปถึงที่สุดแล้ว อาจารย์ไม่กลับมาช่วยศิษย์ อาจารย์เอาตัวเองรอดคนเดียวดีไหม (ไม่ดี)  เหมือนกันยุคนี้เป็นการปรกโปรดที่ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อเอาแค่ตัวเองรอด แต่เธอรอดแล้วคนอื่นต้องรอดด้วย เธอดีแล้วเธอต้องดีกับคนอื่นให้ได้ด้วย ถึงจะเรียกว่าดีของจริง เธอพ้นแล้วเธอต้องช่วยคนอื่นให้พ้นด้วย นี่ถึงจะเรียกว่าจิตพุทธะจริง ฉะนั้นขอเพียงอย่างเดียวนะศิษย์ แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วมันยาก แม้ว่ารู้ว่าบำเพ็ญแล้วลำบาก ผู้บำเพ็ญมีใจเดียวคือ ไม่ท้อเพื่อช่วยคน ขอใจนี้ไม่ท้อ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว มุ่งต่อไป นั่นคือรู้ทางธรรม เจออะไรก็ไม่หวั่นไหว มีจิตหนึ่งใจเดียว พ้นทุกข์ให้ได้ ฉะนั้นจงไตร่ตรองให้จงหนัก
วันนี้ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ชีวิตนี้เป็นธรรมดา มีพบก็มีพราก แต่ขอให้เป็นการจบลงที่จบจริงๆ ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีทุกข์ต่อกัน สิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นภัย นั่นคือทางที่แท้จริง ที่เรียกว่า “ทางสายกลาง ธรรมแท้มีหนึ่งเดียว” แล้วทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันนี้ แต่ถ้าเมื่อไรหลงยึดติดตัวตน วางตัวตนไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบธรรมแท้ พบแต่กิเลส อัตตาและกรรมที่ศิษย์สร้าง ลองพิจารณา สิ่งที่อาจารย์พูดให้จงหนัก
ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รักตัวเองไหม (รัก)  แต่ถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักนำพาชีวิตให้ได้ดีที่สุด อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก มีโอกาสรักษาบุญ รักษาวาสนาด้วยการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าธรรม อย่าทำผิด อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ชั้นนี้หลายคนมีบุญและมีภูมิธรรม ตั้งแต่ที่อาจารย์เจอศิษย์หลายๆ ชั้นมา ชั้นนี้ถือว่ามีภูมิธรรมที่เยอะที่สุดและอาจารย์ก็เชื่อมั่นว่าภูมิธรรมนี้จะนำพาให้ศิษย์เข้าใจในธรรม นำพาธรรมนั้นไปช่วยคน ดูแลตัวเองให้ดี ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์มานำเหนือชีวิต จงรู้จักมีคุณธรรมนำชีวิต ห้อยพระไม่สู้มีใจเป็นพระ เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง รักษาความดีงามนี้ไว้ให้ได้ ตั้งใจให้ดีตลอดไป
อย่ายอมเเพ้ความมุ่งมั่นในใจตัวเอง บุญบารมีอยู่ที่เราสร้าง ตั้งใจบำเพ็ญเสียสละอุทิศดั่งจิตโพธิสัตว์ อย่ายอมแพ้จิตใจที่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อย่าหวั่นไหวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นเพียงกายสังขาร ศิษย์ของอาจารย์เข้มเเข็งสู้ไม่ถอย รักษาความดีงามบุญวาสนาที่ตัวเองสร้างโดยไม่ยึดถือ ทำเเล้วปล่อยวาง ความสุขในชีวิตคือการได้ปลดปลงเเละปล่อยวาง รักษาความดีสมกับที่ศิษย์เคยมีจิตใจที่ดี คนเราจะเจริญหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าทำโดยไม่หวังผลยิ่งเจริญ เเต่ถ้าทำเเล้วยึดมั่นในผลจะไม่ดี ศิษย์รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เเต่บางครั้งก็ห้ามใจไม่ได้ ตั้งใจให้สมกับที่ศิษย์ตั้งใจ
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนในชั้นที่ไม่สบาย)
ขอให้ผ่านพ้นเคราะห์ร้าย ตอนนี้พยายามลดละเนื้อสัตว์จะได้พ้นจากเคราะห์กรรม จงเข้มเเข็งเเละเเข็งเเรง
เพิ่มพูนปัญญา ศึกษาธรรม จะได้มานำคนได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง นำพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง ประกอบความดีงามอย่างไม่ย่อท้อ มีขวัญและกำลังใจด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น อย่าอ่อนแอ อย่ายอมแพ้ รักษาความดีงามความถูกต้องไว้ให้อยู่คู่กับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ซื่อตรง เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย
อย่ามีชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แล้วมองเห็นธรรมให้ได้ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไปเลย ตั้งสติคิดให้ดีๆ มองอย่างคนที่เห็นธรรม เข้าใจธรรม แล้วศิษย์จะได้ค้นพบอาจารย์จี้กงน้อยๆ ในใจศิษย์ที่ไม่เคยจากไปไหนอยู่คุ้มครองศิษย์ที่รักษาธรรม ศิษย์ที่คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวความลำบาก



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   


    เคยชินทำให้เคยตัว                           คนกลัวเปลี่ยนแปลงแปลกใหม่
บำเพ็ญลดละเลิกไป                               อย่าให้อัตตาสำคัญ
     เมื่ออารมณ์ไร้อำนาจเหนือใจตน            วางใจพ้นจากความคิดแห่งตัวฉัน
มีแต่ธรรมเคลื่อนไปตามจริงนั้น                 ประจักษ์ผ่านทุกสิ่งสรรพล้วนธรรมเดียว



อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-05 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二〇一八年歲次戊戌三月二十日                       仙佛慈悲訓
  วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เมื่อยามทุกข์ท้อแท้และสิ้นหวัง         พึงมีธรรมเป็นพลังให้สู้ใหม่
ยามใจร้อนวู่วามโกรธเคืองไป            พึงมีธรรมยั้งใจเรียกสติมา
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนรู้จักอาจารย์หรือเปล่า

  หวั่นน้ำกลิ้งใบบอนซ่อนปัญหา         ก่อศิลามาเหมือนทุกข์ใจสมัคร
ปราชัยทั้งสี่ทิศชีวิตติดกับดัก             หนีไม่พ้นรู้ชะงักคิดทบทวน
คนมีหนี้ประจักษ์ด้วยรอยกังวล          จันทร์ใครจะแจ่มพ้นเมฆรบกวน
เผยชัดตนประพฤติธรรมตามสมควร     บุรุษไม่ประมาทธรรมล้วนสำเร็จธรรม
ผู้ประเสริฐไกลเกิดดับหาไม่               เหลือล้นเสบียงขึ้นพุทธาลัยบริสุทธิ์ล้ำ
ดีชั่วเสื่อมสลายกุศลดั่งทองคำ            บำเพ็ญไม่นั้นแลกรรมตามปะทุ
บำเพ็ญไม่มีทุกข์เรียกบำเพ็ญไม่          อายุไม่มีแก่อย่างไรเรียกอายุ
ก่อนเกิดไม่ต้องการไม่สิ้นบรรลุ           ไฟได้คุอาศัยทุกข์ไปนิพพาน
เมื่อการเกิดเป็นทางแห่งวัฏฏะ           ไม่ตัดอนุสัยตัณหาจะกลายวัฏสงสาร
หากสิ้นไร้รากแห่งอวิชชานั้น             การเกิดให้ทรมานจะจบวน
ชินติดจากที่เป็นอยู่ประจำ               ไปมาธรรมยังติดให้สับสน
ธรรมคืนสู่ธรรมตนสู่ตน                  บุญกรรมหลงสร้างวนลืมขัดเกลา
รู้ไม่มีรู้แล้วไม่ศึกษา                       ให้ทางนำคุณธรรมตามบำเพ็ญเศร้า
จิตสว่างทางแท้ไม่มีเก่า                   จริงกระจ่างในจริงเย้ายั่วปัญญา

                                                                        ฮา ฮา หยุด


   พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้มาฟังธรรมเพื่อความสงบใจ ยิ่งยึดติดความคิดตัวเองก็ไม่มีวันสงบได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   มาฟังธรรมเพื่อความสบายใจแต่ถ้ายิ่งเห็นแก่ตัวเองยิ่งยึดติดความคิดของตัวเอง นั่งอย่างไรก็ไม่สบายใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นแต่ถ้ายิ่งฟังแล้วยิ่งยึดก็ไม่สบายไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ สมมติว่าถ้าอาจารย์มีเสื้อหนึ่งชุดเวลาใส่จะเอาตะเข็บไว้ข้างในหรือเอาตะเข็บไว้ข้างนอก (ไว้ใน) 
อาจารย์ถามแปลกๆ ก็ต้องเอาตะเข็บไว้ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในชีวิตคนเราอยากสัมผัสสิ่งที่ดี อยากรับรู้แต่สิ่งที่ดี ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่มีปัญหาหรือขรุขระ ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่เป็นรอยแตกแยกแล้วต้องมาเย็บต่อ อย่างนั้นทำไมเวลาใส่เสื้อผ้าคนจึงยอมเอาตะเข็บไว้ข้างในแล้วยอมเอาเรียบๆ ไว้ข้างนอก นั่นแปลว่าการใส่เสื้อก็เป็นการบ่งบอกให้เรารู้ว่าบางครั้งสิ่งใดที่ทำให้แตกแยก สิ่งใดที่ทำให้เกิดรอยร้าว สิ่งใดที่มองแล้วทำให้ขัดหูขัดตา เราควรเก็บไว้ และข้างนอกควรแสดงความเรียบง่าย ราบรื่น แต่ในความเป็นจริงมนุษย์เราใส่เสื้อเอาตะเข็บไว้ข้างนอกหรือเอาตะเข็บไว้ข้างใน (ไว้ข้างใน)  แม้แต่การใส่เสื้อ ศิษย์ยังรู้ว่าต้องเอาสิ่งที่ไม่สวยเก็บไว้ข้างในแล้วโชว์สิ่งที่สวยออกมา ให้ดูแล้วสบายหูสบายตา ฉะนั้นจิตใจของคนเราเมื่ออยากอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำไมชอบปล่อยอารมณ์ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ทำไมชอบปล่อยนิสัยทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำไมไม่ยอมเรียบๆ ง่ายๆ อะลุ้มอล่วยกัน ศิษย์เอยใส่เสื้อยังรู้จักเก็บตะเข็บ เก็บรอยร้าว เก็บความไม่ดีไว้ข้างใน แล้วชีวิตบางครั้งทำไมไม่รู้จักเก็บคำพูดไม่ดีไว้ข้างในบ้าง เพราะพูดไปมันก็ทะเลาะกัน มีเรื่องกัน บางครั้งสิ่งใดที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาไม่ถูกใจ อยู่ร่วมกันแล้วทำให้ชีวิตไม่ราบรื่น อยู่ร่วมกันแล้วทำให้เกิดรอยแตกร้าว เก็บไว้ข้างในดีกว่านะ ถึงจะพูดจริงแต่พูดแล้วทำให้เจ็บปวดบางครั้งไม่พูดดีกว่า
ฉะนั้นเวลาศิษย์นั่งนานๆ แล้วมีความสุขหรือมีความทุกข์ ศิษย์เก็บความรู้สึกไว้หมดเลยใช่ไหม ศิษย์มักจะบอกว่า “อาจารย์ แต่ถ้าบางครั้งเวลาที่เก็บไว้มากๆ ก็เกิดการเน่าในนะอาจารย์” ใช่ไหม ใส่แล้วมันก็อารมณ์เสีย    ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า พึงเอาธรรมมาล้างใจให้บริสุทธิ์ พึงรักษาใจบริสุทธิ์ด้วยธรรม” ฉะนั้นวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ธรรมล้างใจให้ศิษย์สะอาดบ้างไหม ฟังมาค่อนวันแล้ว ธรรมสามารถชำระล้างใจให้เราสว่าง สงบบ้างไหม ถ้าฟังแล้วยังเหมือนเดิมแปลว่าเสียเวลาเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในโลกนี้สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่ค่อยเป็นสุขนั่นก็คือความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่สองก็คือความหวาดกลัว อย่างที่สามก็คือปัญหา เราพยายามที่จะอยู่ร่วมกับสามสิ่งนี้ให้ได้แต่บางครั้งก็ใช่ว่าจะหนีพ้น จนถึงที่สุดจนแล้วจนรอดอย่างไรก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ปัญหา และความหวาดกลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ลึกๆ ในใจของศิษย์ทุกคนกลัวเหงาไหม (กลัว, ไม่กลัว)  บางคนก็กลัว กลัวโดดเดี่ยวไหม ใครไม่มีคู่คงกลัวโดดเดี่ยวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่มีคู่แน่ใจหรือว่าไม่กลัวโดดเดี่ยวถูกไหม (ถูก)  แล้วกลัวปัญหาไหม (กลัว)   มีใครหนีปัญหาพ้นไหม (ไม่พ้น)  ทุกคนล้วนมี (ปัญหา)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า เมื่อใจว่างทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน เมื่อใจยังยึดติดถือมั่นยึดมั่นไม่ยอมอะไรง่ายๆ ทุกสิ่งก็ง่ายที่จะก่อเกิดเป็นปัญหา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนนี้ไม่คิดมากถ้าคนนั้นเราไม่ยึดติดเราจะทุกข์กับใครไหม ถ้าเราทำเต็มที่ทำดีที่สุดแล้วพยายามเต็มกำลังแล้วได้หรือไม่ได้เราไม่ยึดเราจะทุกข์ไหม จะเป็นปัญหาไหม แปลว่าใจของศิษย์ทุกคนมันไม่เคยว่างใช่ไหม ใจศิษย์ทุกคนยึดหมดเลยใช่ไหม (ใช่)  เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อหาความสงบให้กับชีวิต แต่ถ้าเราเอาแต่ยึดติดถือมั่นแล้วเราจะพบความสงบไหม เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาใช่หรือไม่
สมมติถ้าใจเราไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความเกลียด ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความขี้บ่นขี้น้อยใจ ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความหลง อะไรมันเกิดขึ้น เราจะน้อยใจไหม ใจก็น้อยใจไม่เป็นเพราะไม่เคยน้อยใจมาก่อน โมโหไม่เป็นเพราะไม่รู้ว่าโมโหเป็นอย่างไร บ่นคนอื่นไม่เป็นเพราะไม่เคยบ่นใคร ว่าใครไม่ดีไม่เป็นเพราะใจไม่เคยคิดว่าใคร ฉะนั้นใครไม่ดีมองไม่เป็นเพราะในใจไม่เคยมีสิ่งไม่ดีในใจ นั่นแปลว่าถ้าเราด่าใครว่าเป็นอย่างไร แสดงว่าในใจเรามีสิ่งนั้นทั้งหมดใช่หรือไม่ ถ้าเราเห็นข้างนอกไม่ดีอย่างไร แสดงว่าในใจเรามีสิ่งนั้น มิเช่นนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าใจว่างทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน แต่ถ้าใจยังยึดมั่นถือมั่น ยังมีตะกอน ยังมีกิเลสอยู่ เห็นอะไรก็เป็นปัญหา เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จริงไหม (จริง)
ฟังธรรมมาตั้งนานเราเคยเอาธรรมมาล้างใจบ้างไหม ถ้าเห็นอาจารย์หลอกลวงก็แปลว่าใจศิษย์เคยหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นว่าอาจารย์เก๊ศิษย์ก็มีความเก๊อยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะเอาแต่ไปโทษเขาว่าเขาเป็นตัวปัญหา โทษเขาว่าเขาเป็นตัวสร้างความไม่ดีให้เรา ดั่งเช่นที่อาจารย์บอก รอยตะเข็บเสื้อเรายังรู้จักเก็บไว้ข้างใน คำพูดและการกระทำที่ไม่ดี ถ้าทำแล้วมันก่อเกิดการแตกแยก ทำแล้วมันก่อความทุกข์ให้กับผู้อื่น เก็บไว้ไม่พูดดีกว่าไหม (ดี)  เพราะศิษย์รู้ไหมว่าด่าเขาไปแล้ว ว่าเขาไปแล้วภายหลังมา “ขอโทษแล้วขอคืนดี” มันหายหรือ (ไม่หาย)  ถ้าเขาด่าศิษย์แล้วบอกว่า “อย่าโกรธกันนะ” เราจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้ว่า ถ้าเกิดใจเราสะอาด ใจเราบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนมันก็สะอาด อยู่ที่ไหนมันก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าใจเรามันสกปรก ใจเรามันยึดติด ใจมันเอาแต่ติฉินนินทา อยู่ที่ไหนมันก็ติฉินนินทาสกปรกและไม่บริสุทธิ์ จริงไหม (จริง) 
ศิษย์มักจะพูดว่า “อาจารย์ ศิษย์เหงาจัง ศิษย์เบื่อจัง ศิษย์เหนื่อยจัง ทำไมการเป็นคนดีมันเหนื่อยขนาดนี้” ใช่ไหม (ใช่)  อยู่คนเดียวถ้ารู้จักสู้ชีวิต เข้าใจชีวิต และรู้คุณค่าชีวิตแล้ว ไม่มีเวลาเหงานะ ต้องทำชีวิตของตัวเองให้มีค่าที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พวกที่นั่งเหงาหงอยนั้นไม่รู้จักคุณค่าตัวเอง เอาแต่เหงาหงอย ไม่มีความสุขเลย คิดว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ ศิษย์เบื่อ เป็นไหม (เป็น)  ศิษย์เอ๋ย คนเราเกิดมามีร่างกายก็ยากแล้วใช่ไหม (ใช่)  สมประกอบก็ยิ่งยากใหญ่ แล้วอายุปูนนี้อีกก็ยิ่งยากแล้วใช่ไหม ฉะนั้นยังมีเวลาเหงาหงอยอีกหรือ น่าจะดีใจว่า อายุขนาดนี้ฉันยังรอดอยู่ได้เป็นเรื่องดี ฉะนั้นต้องกระปรี้กระเปร่า สดชื่น เข้มแข็ง อยากมีความสุขอย่ามัวแต่รอพึ่งลำแข้งคนอื่น แข้งตัวเองก็มีทั้งสองข้าง ถูกไหม (ถูก)  รอแข้งคนอื่นนั้นเหนื่อย พึ่งตัวเองดีกว่าไม่เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ใครไม่ยิ้ม เรายิ้ม ใครไม่สุข เรามีสุข  และก็ทำให้คนรอบข้างมีสุข ใช่ไหม (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งศิษย์ต้องจำไว้ ถ้าเราประพฤติถูกต้อง มีศีลธรรม ไม่ต้องกลัวเหงาหงอย ไม่ต้องกลัวตายเลย จริงไหม (จริง)  เป็นคนดีมีศีลธรรมไหม (เป็น) ฉะนั้นพรุ่งนี้ตายกลัวไหม (ไม่กลัว)  ที่ยังกลัวนั้นแสดงว่ายังไม่มีศีลธรรมใช่ไหม  
ศิษย์จำไว้นะ คนไหนที่กลัวตายแปลว่าคนนั้นยังดีไม่พอ คนไหนที่มีชีวิตแล้วสร้างคุณค่าของชีวิตให้ถูกต้องในศีลธรรม แม้วันนี้จะตายหรือขณะนี้จะตายก็ไม่กลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าทำตัวถูกต้องแล้ว หลักการต่อไปที่อาจารย์อยากจะถาม ศิษย์ก็อยากมีสุขนะ แต่ศิษย์เคยไหมที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่ทำไมเหมือนอยู่ ตัวคนเดียวเป็นไหม วันนี้นั่งฟังธรรมอยู่กับคนมากมาย แต่เหมือนมานั่งฟังคนเดียวเลยใช่ไหม หันไปคนนี้ก็ไม่รู้จัก คนนั้นก็ไม่รู้จัก รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่คนเต็มห้องเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอยถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุขอย่ารอให้ใครต้องดีกับเรา อย่ารอให้ใครต้องพูดกับเรา อย่ารอให้ใครต้องช่วยเราเพราะการเอาแต่รอเท่ากับลดคุณค่าตัวเอง แล้วยิ่งรอว่าหวังจะพบคนดีๆ หวังจะพบเพื่อนดีๆ หวังจะพบคู่รักดีๆ ยิ่งหวังจะพบก็ยิ่งไม่เจอเพราะยิ่งหวังก็คาดหวังว่าต้องดีกว่านี้ใช่ไหม (ใช่)  แทนที่เราจะได้เพื่อนดีหรือมิตรแท้ แต่มีใจจะคอยจับผิดอยู่ตลอดเวลาเพราะหวังจะพบสิ่งที่ดีสุดท้ายศิษย์ก็ไม่มีวันพบเจอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในทางกลับกันถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วอยากมีสุขง่ายๆ คือเป็นคนที่ดีมากกว่ารอคนอื่นดีกับเรา  ดีให้สุด เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนดีที่สุด เป็นสามีภรรยากันก็เป็นสามีภรรยาที่ดีที่สุด เมื่อเราพยายามเป็นให้ดีที่สุดแปลว่าเราจะไม่มีเวลาจับผิดเพื่อน จับผิดใคร ตำหนิว่าใคร เพราะจะถามตัวเองว่าดีหรือยัง
เราไม่มัวหวังวอนขอใคร เพราะจะพยายาม “ให้” ให้มากที่สุด ทำให้ดีที่สุด และเมื่อเป็นอย่างนี้ทุกวันทำดีที่สุด ทุกวันให้ดีที่สุด มันจะมีเวลาเหงาไหม จะมีเวลาเศร้าไหม (ไม่)  แต่ทุกวันจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ปัจจุบันนี้ศิษย์อยู่บนโลกเอาแต่เฝ้าถามว่า “ใครที่เป็นมิตรแท้ ใครที่รักเราจริง” แต่ไม่เคยถามว่าตัวเองเคยดีกับใครหรือยัง ตัวเองเคยรักใครจริงหรือยัง เพราะมัวหวังว่า “โน่นต้องดี นี้ต้องดี” แล้วกลายเป็นจับผิดคิดร้าย แต่ถ้าเมื่อไรเรากลับกันว่า ฉันต้องดี จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด จะเป็นคนทำงานที่ซื่อตรงสุจริตที่สุด จะเป็นสามีภรรยาที่ดีที่สุด แล้วจะมีเวลาจ้องจับผิดใครไหม แล้วจะมีเวลาไปตำหนิด่าใครหรือไม่ ถ้าเราทำดีที่สุดไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรัก ไปอยู่ที่ไหนก็มีคนต้องการจริงไหม ไปอยู่ที่ไหนเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด เราทำเต็มที่ที่สุด เราตั้งใจที่สุดจะมีใครรังเกียจเราไหม จะมีใครรำคาญเราไหม (ไม่มี)  และถ้ามีคนถามเราว่า “เธอจะดีไปถึงไหน” ให้ดีใจไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งตอบไปเลยว่า “ก็จะดีจนกว่าเธอจะดีนั่นแหละ” ใช่ไหม (ใช่)
การมีชีวิตอยู่ในโลกนั้นยากไหม ศิษย์ดีเกินหน้าเขามันก็ผิด ฉะนั้นเวลาที่เราได้ดีศิษย์ต้องรู้จักแบ่งปัน เวลาเรามีผลสำเร็จเราต้องยกย่องผู้คนที่อยู่เคียงข้างและช่วยเหลือเรา ฉะนั้นเมื่อไรที่เราได้ผลสำเร็จของความดี เราต้องบอกว่า “ขอบคุณทุกคนนะ ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะมีพวกเธอทุกคน” แล้วใครจะอยากกดเราให้แย่ เราบอกว่า “เพราะเธอทุกคนจึงมีผลสำเร็จของความดีนี้” ทุกอย่างนั้นมีทางขึ้นอยู่กับว่าศิษย์จะใช้ธรรมเป็นทางหรือเอาอารมณ์ความเคยชิน เป็นทางในการดำเนินชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  
เราเรียนรู้ธรรมไม่ใช่แค่เพียงเพื่อการเป็นคนดี ไม่ใช่แค่มีสมาธิเก่ง ไม่ใช่แค่ทำบุญเก่ง แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่าทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจทุกข์ ดับทุกข์ได้ และค้นพบธรรม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าเรามาเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจชีวิตที่เรียกว่าทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาแล้วแก่ ทุกข์ไหม (ทุกข์) แก่แล้วเจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยังไม่ทันแก่แล้วเจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นแปลว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดาถูกไหม (ถูก)  มีลาภก็ (เสื่อมลาภ)  มียศก็ (เสื่อมยศ)  มีสุขก็ (มีทุกข์) มีได้ก็ (มีเสีย)  เป็นธรรมดาของโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าโลกธรรมแปด ที่หนีไม่พ้นทุกข์ทั้งแปด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีทุกข์สองอย่างแล้วนะ  ธรรมดาโลกคือเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอย่างหนึ่งคือ มีโลกธรรมแปด นั่นก็คือทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีทุกข์อื่นๆ อีกคือไม่มีเหาใส่หัวก็ชอบเอาเหามาใส่หัว นั่นคือชอบเอากิเลส ตัณหา ความอยากมาครอบงำจิตใจจนก่อให้เกิดทุกข์ แล้วทุกข์นั้นยังก่อให้เกิดบาปกรรมและการเวียนว่ายใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์ฟังธรรมก็ต้องเข้าใจว่าทุกข์มาจากไหน ทุกข์คือความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ที่เรียกว่าธรรมดาโลกคือ แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ (ไม่ชอบ)  หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  แล้วยังทุกข์ที่เรียกว่า   มีได้ มีเสีย มีสุข มีทุกข์ มีสมหวัง มีผิดหวัง เป็นโลกธรรมแปดที่หนีพ้นไหม  (ไม่พ้น)  แล้วยังมีทุกข์อีกอย่างคือ มองในสิ่งที่ไม่อยากมอง อยากได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ ผิดศีลก็ยังทำทั้งโกหกคนและด่าคน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสร้างทุกข์แบบนี้ใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นต้นเหตุ (ตนเอง)  แล้วขอฟ้าให้ล้างกรรมให้ได้ไหม ไปบนบานฟ้าบอกว่าถ้าพ้นกรรมแล้วจะถวายไก่เจ็ดตัว หมูห้าตัว อย่างนี้ยิ่งสร้างกรรมเพิ่มไหม (เพิ่ม) 
กิเลสคือรากเหง้าแห่งทุกข์และบาปทั้งมวล ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส ศิษย์ก็หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวร กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยพอกับทุกข์ที่เรามีไหม แล้วเคยคิดที่จะแก้ไขทุกข์ไหม (เคย)  เคยด้วยการไปแผ่เมตตาแล้วก็ไปฆ่าใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าคนดีจริงหรือกลับกลอกหลอกลวง  (กลับกลอกหลอกลวง)  ฉะนั้นเราควรขอฟ้าให้แก้ทุกข์หรือขอตัวเองให้หยุดตกเป็นทาสของกิเลส (ขอตัวเอง)
ใจของมนุษย์เป็นสิ่งละเอียดจับต้องได้ยาก แต่หวั่นไหวได้ง่ายและง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ที่รักใคร่และปรารถนา ถ้าเมื่อใดมนุษย์สามารถที่จะควบคุมใจได้และระงับกิเลสตัณหาได้ ศิษย์จงเอาใจนั้นเป็นผู้นำที่จะนำพาให้ศิษย์พบความสงบ แต่ที่ใจละเอียดยังง่ายหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่รักใคร่ ยังง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่ถูกกระทบ แต่ไม่สามารถควบคุมและยับยั้งกิเลสได้ ใจนั้นแหละที่จะพาให้ศิษย์วุ่นวายและไม่จบสิ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่า “ศิษย์เป็นใจแบบไหน” เคยยั้งกิเลสทันไหม เคยรู้เท่าทันกิเลสก่อนมันตกผลหรือไม่ ไม่เคยเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์นับถือศาสนาพุทธ ใช่ไหม  อย่างนั้นอาจารย์ขอถามตั้งแต่รากเหง้าของศาสนาพุทธเลยว่า “เพราะมีอวิชชาจึงก่อเกิดตัณหาและอุปาทาน” เพราะไม่รู้จึงเกิดการอยากและยึด แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้ เราก็จะไม่อยากไม่ยึด แล้วรู้ที่จะสามารถระงับยับยั้งชั่งใจ ไม่ตกเป็นทาสกิเลสแล้วอาศัยใจเป็นผู้นำพาความสงบให้กับชีวิต” อาจารย์ขอยกคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เราฟังธรรมมามาก แต่ทำไมเราไม่เคยมีธรรมเกิดขึ้นในใจและธรรมก็ไม่เคยยั้งใจตัวเองได้สักที” 
พระพุทธะจึงกล่าวไว้จำไว้เลยนะศิษย์ เมื่อไรที่ใจว่างจงหมั่นพิจารณาธรรมแล้วธรรมจะปรากฏขึ้นในใจ เมื่อธรรมปรากฏขึ้นในใจ  ศิษย์จะพบความจริงแท้แห่งชีวิตที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ เมื่อไรที่ใจว่างแล้วลองเอาธรรมมาพิจารณา ธรรมจะบังเกิดขึ้นภายในใจ แล้วเมื่อบังเกิดแล้วธรรมนั่นแหละที่จะสามารถทำให้เราเข้าใจชีวิตและปลดทุกข์ได้ เราเคยใจว่างไหม แล้วเราเคยคิดเรื่องธรรมะไหม ศิษย์เอยในชีวิตนี้ศิษย์เคยคิดอะไรแบบธรรมะๆ บ้างไหม (เคย)  ถ้าเคย ธรรมต้องอยู่กับตัวต้องไม่หายไปไหน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เคยมันเหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี เหมือนจะมาแต่ก็ไม่มา เหมือนจะอยู่แต่ก็ไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์คือคนหนึ่งที่อยากมีธรรม ตอนที่ว่างๆ ลองคิดเรื่องธรรมะบ้างสิ เอาง่ายๆ ธรรมอะไรที่ทำให้เราคิดแล้วปลดปลงปล่อยวางได้แล้วดับทุกข์ได้ ตอบว่า (ปล่อยวาง) 
ศิษย์บอกว่า เอาคำว่าปล่อยวางมาพิจารณาให้เกิดธรรมเพื่อดับทุกข์ บอกว่าปล่อยวางแต่มันไม่ปล่อยถ้าไม่รู้กระจ่างแจ้ง  บอกว่าพยายามไม่ยึดมั่น ถือมั่น แต่มันก็ไม่ยึดไม่ได้ ยังรู้สึกว่า “ทำไมปล่อยไม่ได้ หนูอยากปล่อยแต่ปล่อยไม่ได้” นั่นแปลว่ายังไม่ถูก
(โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ทั้งๆ ที่รู้แต่ยังทำไม่ได้) ศิษย์ยังใช้คำว่าอภัยไหม ถ้ายังอภัยแปลว่ายังโกรธอยู่ ถ้าไม่โกรธแล้ว ก็ไม่ต้องอภัย ศิษย์ยังต้องอดทนอยู่ไหม ถ้ายังไม่พอใจยังต้องอดทนแสดงว่ายังแอบไม่พอใจอยู่ ถ้าคนที่ไม่มีโกรธใครแล้ว ไม่โลภ ก็ไม่ต้องอดทนไม่ต้องอภัย
มีศิษย์ท่านนี้ตอบอาจารย์ว่า “เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม”  ศิษย์เอ๋ยเราจะรู้ธรรม แล้วคนโดยส่วนใหญ่จะปฏิบัติธรรมโดยการใช้คุณธรรรมถูกไหม เวลาเจอสิ่งไม่ดีเราก็พยายามใช้ความเมตตา กรุณา ซื่อตรง มโนธรรมสำนึก ซื่อสัตย์ แต่การใช้คุณธรรมเหล่านี้อย่างมากสุดถ้าทำได้ดี จะเรียกได้ว่าแค่เป็นผู้ประเสริฐ แต่ยังหาพ้นทุกข์ได้ไม่
ศิษย์หลายต่อหลายคนมักจะพยายามเอาความเมตตา มาใช้เพื่อดับทุกข์ เอาความซื่อตรงมาใช้เพื่อขจัดทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกว่าคุณธรรมที่เรียกว่าความเมตตา มโนธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม สุจริตธรรม ความซื่อตรงจริงใจ เอามาใช้ได้ในการอยู่ร่วมกับผู้คนเพื่อไม่ก่อเกิดกิเลส แต่ยังไม่สามารถทำให้มนุษย์สิ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้มนุษย์สิ้นทุกข์ได้ และสามารถเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง คือ พิจารณาความเป็นจริงจนบังเกิดปัญญา แล้วเอาธรรมอะไรล่ะมาพิจารณา เมื่อสักครู่ ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ดี ความไม่เที่ยง” จริงไหม (จริง)  ใครด่าเรา เราคิดแค่เพียง “ไม่เที่ยง” ต้องพยายามปล่อยวางไหม เราจะพยายามยึดติดไหม เพราะมัน (ไม่เที่ยง)  ใครชมเรา เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เราจะยึดไหม เราจะโกรธไหม เราจะหลงไหมทำไมล่ะ (ไม่เที่ยง)  แล้วถึงเวลาศิษย์หลงไหม  เพราะฉะนั้น ศิษย์เอ๋ย เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาเนื่องๆ จะเข้าใจความไม่สมบูรณ์ เมื่อเราเข้าใจความไม่เที่ยง พิจารณาความไม่สมบูรณ์ ศิษยก็จะไม่ยึดติดและตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่ตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วมองเห็นชัดว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ สมบูรณ์ที่สุดก็ยัง (ไม่เที่ยง)  ในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดอาจจะมีความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ ศิษย์จงดีใจอย่างหนึ่งว่าในความสมบูรณ์ที่สุดก็มีความเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถึงแม้เราจะแก่ถึงแม้เราจะดำ ถึงแม้เราจะอ้วน ถึงแม้เราจะเหี่ยว แต่เราสมบูรณ์ในความแก่ดำเหี่ยวอ้วนถูกไหม (ถูก)  ไม่มีใครเหมือนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความสมบูรณ์ของแก่ดำเหี่ยวอ้วนนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ทุกชีวิตไม่แน่เราจะกล้าว่าเขาอ้วนไหม ถ้าวันหนึ่งเขาผอมกว่าเรา ตอนนั้นเรานั่นแหละอ้วนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราว่าเขาดำแต่ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งเราดำกว่าเขา เราก็ (ดำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาเนื่องๆ ศิษย์จะเห็นความไม่สมบูรณ์พร้อมของทุกชีวิตแล้วศิษย์ก็จะไม่ตัดสินและรังเกียจว่านี่ไม่ดีและก็ไม่ตัดสินว่าตัวเองดี เพราะตัวเองเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ฉะนั้นเมื่อมีความไม่เที่ยงอยู่หาความสมบูรณ์ไม่ได้ หาความแน่นอนไม่ได้จะโกรธ  เกลียด จะรักไหม (ไม่)  ไม่รักเพราะมันก็ไม่ (เกลียด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเข้ามันจะยึดไหม (ไม่ยึด)  ต้องพยายามปล่อยไหม (ไม่)  ไม่ต้องปล่อยเพราะไม่อยากได้ตั้งแต่แรก เพราะไม่มีอะไรแน่นอน  เราจึงอยู่ร่วมกับเขาอย่างไม่ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือเราก็ไม่ต้องพยายามปล่อยวางเพราะเราพิจารณาธรรมจนเห็นแจ้งค้นพบความสงบ ไม่ตัดสินใครว่าดีเกินไปและไม่วิพากษ์วิจารณ์ว่าใครแย่เกินไป เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมนี้จะทำให้เราเข้าใจและค้นพบความสงบและไม่ตัดสินผู้คนว่าเธออ้วนหรือเธอผอมใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่ปักใจจะยึดมั่นไหม (ไม่) เมื่อไม่ยึดมั่นจะปล่อยวางไหม (ไม่) แล้วต้องพยายามจบไหม (ไม่) มันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย จริงไหม (จริง) ก็คือมันหยุดตั้งแต่อยากได้เลย
อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าจะเอาอะไรไหม เงินเอาไหม (เอา)  จึงมีคำกล่าวของคนโบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์ปรารถนาความสมบูรณ์จึงหนี ไม่พ้นการชิงดีแก่งแย่ง มนุษย์ปรารถนาความอยากได้อยากมีจึงหนีไม่พ้นการทะเลาะเบาะแว้งและภัยพิบัติ ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความโลภ ไม่มีความผิดพลาดใดในชีวิตน่ากลัวและเลวร้ายเท่ากับความอยากที่ไม่รู้พอ
ฉะนั้นคนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า ยอมต่ำจึงได้ ใช่หรือไม่ เพื่อพยายามยกตัวให้สูง คนจึงพยายามกดให้เราต่ำ ยอมเก่าคนจึงอยากให้เราใหม่ ยอมอ่อนจึงคงอยู่ ถ้าแข็งจะแตกหักและมีอันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ฟังธรรมมาตั้งเยอะ เคยน้อมเอาธรรมสู่ใจบ้างไหมใช่ไหม (ใช่) ชีวิตมันทุกข์แล้วนะ ใช่ไหม(ใช่)
แก่นของเงินคือการสร้างคุณค่า แก่นของการมีชีวิตคือกลับคืนสู่ธรรมใช่ไหม (ใช่)   ชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ธรรมจริงไหม (จริง)  สูงแค่ไหนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วสิ่งที่เรียกว่าของเรานั้นมันใช่ของเราโดยแท้จริงไหม  (ไม่ใช่)  มันมาจากธรรมชาติ แล้วเราก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ แต่ตอนนี้เรากำลังหลงตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ส่วนธรรมทำให้เราเห็นแจ้งจริง ธรรมทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง ธรรมทำให้เรากลับคืนสู่ธรรมและพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  
ชีวิตยึดได้ไหม ความเข้มแข็งยึดได้ไหม ยังมีวันอ่อนแอ ยังมีวันแปรเปลี่ยนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริงจึงอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ อาจารย์ก็หวังว่าวันนี้จะทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมบ้างไม่มากก็น้อย วันนี้เรามาฟังเพื่อสั่งสมเหตุปัจจัยในการดับทุกข์ รู้ทุกข์ด้วยสติปัญญาและตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมะไม่สอนแค่เพียงให้เป็นคนดีคนประเสริฐ คนทำบุญเก่ง แต่ธรรมะยังก้าวต่อไปอีกคือ ให้เป็นคนที่เข้าใจความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์จนมองเห็นและกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่มันอยู่ภายใน
เมื่อไรที่ศิษย์เอาธรรมมาหยั่งใจ ธรรมอะไรที่ศิษย์จะเอามาพิจารณาประจำ คนเราจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ฉะนั้นใครด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  ถ้าอยู่กับปัจจุบันจะสนใจไหม ตอนนี้เราเคยเป็นเด็กเคยแข็งแรงมาก่อน เราจะเศร้าไหม ศิษย์จงอยู่กับปัจจุบัน ถ้ามัวอาลัยกับความเข้มแข็งเราก็จะอ่อนแอไม่จบสิ้น ก็แค่ยอมรับความจริง ป่วยก็ได้ ป่วยแล้วก็กลับมาเข้มแข็งได้ กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย กายเหี่ยวแต่ใจไม่เหี่ยว กายแก่แต่ใจไม่แก่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรมศิษย์จะเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนในโลก ศิษย์จะไม่รักใครมาก ไม่เกลียดใคร แต่จะอยู่กับเขาอย่างผู้ร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เราก็มีทุกข์ ด่าเขา เราก็มีทุกข์เขาก็ทุกข์ จะด่าทำไม เพราะไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อเข้าใจความไม่แน่นอน เมื่อเห็นชัดเราก็พบความสงบโดยที่ไม่ต้องไปไหน อยู่กับใครเราก็สงบ ศิษย์เอาธรรมไปพิจารณา แล้วธรรมจะบังเกิดขึ้นในใจตัวเองและสามารถดับทุกข์ได้ ขอแค่เพียงกล้ายอมรับความจริง แก่ได้ เจ็บได้ ตายได้ แต่แก่ เจ็บ ตายอย่างคนเห็นธรรม ไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสเป็นทางแห่งบาปและกรรมเวรทั้งมวล เมื่อไรที่ยังตกเป็นทาสกิเลส ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาป เวรกรรมที่ศิษย์ก่อ  ไปไหว้พระเก้าวัดล้างซวยก็ล้างไม่ได้นะ ถ้าศิษย์ไม่เลิกซวยด้วยตัวเอง
ฉะนั้นถ้าอยากคุยกับอาจารย์โปรดติดตามตอนต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ วันนี้ถือว่าเป็นน้ำจิ้มดีไหม เดี๋ยวดูต่อว่าอีกสองสามวันที่เหลือ ศิษย์จะยังมีบุญกับอาจารย์หรือไม่ ฉะนั้นรู้จักสร้างบุญ อย่าสร้างกรรม เข้าใจไหมศิษย์ รู้จักวางตัวเองให้ดำรงอยู่กับความเป็นจริง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย เราเรียนรู้ความจริงเพื่อเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์อย่างคนที่ตื่นรู้ในธรรม ไม่ใช่อยู่กับทุกข์แล้วจมกับความทุกข์ ฝึกจิตให้เบิกบาน เย็นเข้าไว้ เย็นให้มากๆ เพราะคนที่เผาตัวเองก็คือตัวเรา คนที่โกรธ เกลียดและเจ็บปวดก็คือใจของเรา เอาธรรมนำชีวิต อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ และว่างๆ จงเอาธรรมมาพิจารณาจนบังเกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเจออะไร ธรรมนั้นจะช่วยดูแลรักษาใจให้ศิษย์พ้นภัยทั้งมวล
ขอเพียงซื่อตรงในศีลธรรมให้ได้ก่อนนะใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นคนศีลธรรมมีไม่ครบคบไม่ได้นะใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรักษาจิตรักษาใจให้สะอาดนะ ดูแลหัวใจและร่างกายของตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ว่าเจอสิ่งใดอย่ากลัวที่จะเรียนรู้และยอมรับ เพราะบางครั้งความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ทุกข์จริงไหม (จริง)  ทุกข์ไม่น่ากลัว ความเจ็บไม่น่ากลัว ความตายก็ไม่น่ากลัว อาจารย์บอกได้ความตายไม่น่ากลัวถ้าศิษย์ประจักษ์เนื้อแท้ในธรรมของตน ความตายคือการปลดปลงสังขารเพื่อคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง แต่การยึดมั่นและหลงผิดนั้นน่ากลัวกว่านะ ลองพิจารณาให้ดีว่า วันนี้สิ่งที่อาจารย์พูดเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกยังไม่ต้องเศร้านะใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะเราก็สู้ต่อไป ทำสิ่งใดจงอยู่บนพื้นฐานความดีงาม ถูกต้อง เป็นจริง อย่ามีเรื่องนะเก็บตะเข็บไว้ข้างในเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วถ้าเก็บแล้วมองให้เห็นจริงแล้ววางเสียล้างใจเสียให้สะอาดจะได้ไม่เน่าในนะ


วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ชีวิตโลกกว้างทางไกล                  เข้าใจก็ไม่เป็นทุกข์
ทุกครั้งที่ต้องล้มลุก                       ปัญหามาปลุกจิตใจ
ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม                   ไม่พร้อมสู้ไฟไม่ไหว
ทนได้ไม่สู้รู้ไฟ                             แจ้งใจไฟไม่ร้อนเลย
    เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา   ลงสู่พุทธสถานผู่ถีอีกครา แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว       ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม

บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก   ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย   รู้ชาติเดียวดังที่เป็น  ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว  เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญแหละหนาก็คือทุกอย่าง   ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน  พร้อมจะทำก็ไม่ยาก  หากรอมีใครจะพร้อม  ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้
ใช้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตบำเพ็ญจริงจัง  คนสร้างโชคด้วยมือมิใช่บีบคั้น  ใช้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตมีคุณอนันต์ ข้าเชื่อใจศิษย์นั้นว่าทำได้ดี รู้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตบำเพ็ญจริงจัง  ข้าเชื่อใจศิษย์นั้นว่าทำได้ดี

ทำนองเพลง : ทั้งชีวิต
ชื่อเพลง : เรียนทั้งชีวิต
หมายเหตุ:
     เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทในงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์  วันที่  ๑๙ - ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้ามีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งเรียกว่าสุข อีกทางหนึ่งเรียกว่าทุกข์ ศิษย์จะเอาสุขหรือเอาทุกข์  ผู้ปฏิบัติธรรมตอบด้วยนะว่าอย่างไร (ทุกข์)  มั่นใจนะ เอาทุกข์นะ เอาทุกข์หรือเอาสุข (เอาสุข)
ถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตที่เรียกว่าความทุกข์ ศิษย์ต้องเดินทางทุกข์แล้วศิษย์จะพบสุข แต่ถ้าศิษย์เดินทางสุขศิษย์กลับจะได้พบคำว่าทุกข์ จริงไหม (จริง)  พยายามหาสุขเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น แต่ยิ่งพยายามค้นหาความทุกข์เท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใจและพ้นทุกข์มากเท่านั้น แล้วยิ่งศิษย์เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม คนที่จะปฏิบัติงานธรรมแล้ว ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์ศิษย์ยิ่งต้องเดินเข้าไป เพราะยิ่งทุกข์เราจะยิ่งค้นพบทางพ้นทุกข์ และเราจะยิ่งช่วยให้เขาพ้นทุกข์ คนที่จะปฏิบัติธรรมทางที่ศิษย์เลือกเดินง่ายไหม (ไม่ง่าย)  สุขไหม  คนที่จะปฏิบัติธรรมคือคนที่ต้องกล้าจะเผชิญความทุกข์ และพระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านเลือกทุกข์หรือเลือกสุข (ทุกข์)  ท่านเลือกมีเงินหรือท่านเลือกทิ้งเงิน (ทิ้งเงิน)  แล้วศิษย์ล่ะ เอาเงิน เอาสุข แต่ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาเงิน เอาทุกข์ แต่ถึงสุดท้ายท่านพ้นทุกข์ และยังนำพาเวไนยให้รู้ตื่นและก็พ้นทุกข์ แต่เราเลือกทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  ถ้าเราเข้าใจทุกข์จนเต็มที่แล้วศิษย์จะต้องวิ่งไปหาความสุขไหม ทุกข์ก็กลายเป็นสุข แล้วชีวิตนี้ต้องกลัวอะไรไหม ตั้งแต่เราเกิดมาสุขมากกว่าหรือทุกข์มากกว่า (ทุกข์มากกว่า)  แล้วทำไมเราไม่ลองเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ ทุกข์น่ากลัวไหม ร้ายไหม ตายไหม แล้วทำไมเรากลัวทุกข์ ทำไมถึงหนีทุกข์ อาจารย์อยากบอกว่าทุกข์มันน่ารัก ถ้าไม่มีทุกข์ศิษย์ก็ไม่เข้าใจชีวิต
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไม่ยืนจนเป็นทุกข์ ศิษย์จะหาเก้าอี้นั่งไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักทุกข์ ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ต้องพยายามทนแปลว่าศิษย์กำลังทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่ทนแต่ศิษย์เข้าใจ ศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แล้วทุกข์ดีตรงไหนทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าน่ารัก เวลาเจ็บป่วยทุกข์ทำให้เราเจ็บป่วย เมื่อเราเจ็บป่วยเราจึงรู้ว่าร่างกายเราผิดปกติ เมื่อร่างกายผิดปกติเราจะพยายามทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น อย่างนั้นควรดีใจไหมที่มีทุกข์ 
เมื่อความแก่มา ตาก็เริ่มมองไม่เห็น ฟันก็เริ่มไม่ดี หูก็ไม่ค่อยได้ยิน แต่เรายังทนทายาทอยู่แก่จนหง่อมไม่ตายสักที ดีไหม (ไม่ดี)
ในความเป็นจริงทุกข์นั้นน่ากลัวหรือศิษย์ ถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราบังเกิดจิตเมตตา แล้วถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราได้อุทิศเสียสละ แล้วถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราค้นพบทางพ้นทุกข์ด้วยการช่วยเหลือผู้คน ไยจึงหวาดกลัวที่จะเดินบนทางทุกข์นี้ ไยไม่กล้าหาญที่จะสู้กับทุกข์นี้ จริงไหม (จริง)  คนที่หวังแต่จะสุข อาจารย์ว่าเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่รักชีวิตและไม่เคยคิดที่จะเข้าใจชีวิตต่างหาก
สรุปว่าทุกข์กับสุขจะเดินทางไหน (ทุกข์)  ต้องให้พูดสรรพคุณความทุกข์มากมาย ทำไมไม่คิดได้ด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  ศิษย์ทุกคนมีปัญญา ถ้ามัวรออาจารย์ชี้นำ แล้วเมื่อไรศิษย์จะพึ่งตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามนะ มีพระพุทธะองค์ไหน มีอาจารย์คนไหนที่เขาหวังให้ศิษย์ต้องมาพึ่งเขาตลอดชีวิต ถ้าใครเป็นอาจารย์แบบนั้นก็เรียกว่าเป็นอาจารย์ที่ดีไม่ได้ อาจารย์ที่ดีต้องได้ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  ต้องทำให้ศิษย์นั้นรอดพ้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าอาจารย์ที่ดี แต่ถ้ามีอาจารย์แล้วศิษย์ยังเกาะติดอาจารย์ปล่อยไม่ได้ อย่างนี้อาจารย์ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  หลงติดแต่อาจารย์ ไม่คิดพึ่งตัวเอง รออาจารย์มาปลอบใจ รออาจารย์มาช่วยคลายทุกข์ใจ อย่างนี้เรียกว่าอาจารย์ไม่ดีถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์อยากได้อาจารย์แบบนี้ไหม
ฉะนั้นชีวิตอย่าได้กลัวความทุกข์ ยิ่งเราค้นพบหนทางออกแห่งทุกข์เมื่อไร ศิษย์ก็จะสามารถนำพาชีวิตให้พบธรรมได้เมื่อนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทุกข์เหมือนไฟแผดเผา แต่จริงๆ แล้วถ้าใจเราพร้อม ใจเรามีความกระจ่างในทุกข์ ใจเรามีความแจ้งในทุกข์ เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วไฟแห่งทุกข์นั้นไม่ร้อนเลย แต่ใจที่ไม่ยอมรับความทุกข์ต่างหากที่ทำให้ทุกข์มันร้อน  ในใจของศิษย์นั้นมีทุกข์มากมายอยู่ในใจใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งอยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ อยากจะวางก็วางไม่ลงถูกไหม (ถูก)  ในชีวิตของเรามีเรื่องมากมาย ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายพัดผ่านเข้ามาตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์เทียบง่ายๆ ชีวิตคนเหมือนกับสายน้ำไหม (เหมือน )  ไหลไปไม่มีวัน (ไหลกลับ)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นบางคนมีชีวิตเหมือนสายน้ำที่อุทิศเพื่อประชาแต่บางคนมีชีวิตเหมือนสายน้ำที่เก็บกักไว้แค่ตัวเองกินคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามใจตัวเราเองนะ ศิษย์มีชีวิตที่เป็นเหมือนสายน้ำที่อุทิศเพื่อประชาหรือเป็นน้ำที่เก็บไว้ให้ตัวเองกินคนเดียวไม่เคยแบ่งปันผู้ใด ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างนั้นเรามาคุยต่อ ประเด็นที่อาจารย์จะคุยต่อก็คือว่าถ้าเกิดชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมา เราจะมานั่งทอดถอนหายใจ แล้วก็มัวจมอยู่กับอดีตไหม (ไม่)  เป็นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์จำไว้นะ คนที่มัวแต่นั่งทอดถอนหายใจแล้วก็ปล่อยชีวิตไปวันๆ แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่อย่างนั้นคือคนที่ปล่อยให้ชีวิตตายทั้งเป็น  (ใช่)  ชีวิตผ่านไปแล้วการจำอดีตเยอะๆ มันดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ก็คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ปล่อยให้ชีวิตตายทั้งเป็น แต่คนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันคือคนที่รู้คุณค่าชีวิต ใช่หรือไม่เห็นชอบพูดแล้วพูดอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเมื่อชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วมันเรียกกลับไม่ได้ การเอาแต่ทอดถอนใจก็ไม่มีประโยชน์ การเอาแต่คิดกังวลว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ มันดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ คนที่มัวจมอยู่กับอดีตคือคนที่อยากให้ชีวิตตายทั้งเป็น ส่วนคนที่พยายามทำปัจจุบันให้มีคุณค่าและคุ้มค่าที่สุด นั่นคือคนที่เข้าใจชีวิตและเห็นคุณค่าชีวิต จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์การจมอยู่กับอดีตบางครั้งมันก็ดีนะ บางครั้งก็มีสุข” มันก็ดีนะ แต่อาจารย์ถามหน่อยว่า ดีแล้วมันเรียกกลับคืนมาได้ไหม (ไม่ได้)  ดีแล้วยั้งหยุดให้มันอยู่กับเราตลอดได้ไหม แล้วที่ไม่ดีที่ทำเราเจ็บปวดมันยังอยู่กับเราไหม (อยู่)  อยู่แต่จางไปเยอะแล้ว แทบจะพูดได้ว่าจำไม่ได้แล้วว่ามันน่าเกลียดยังไงแต่รู้ว่าเกลียดมัน มันทำเราเจ็บ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าเรายอมรับว่า ไม่ว่าดีหรือร้าย ถึงเวลามันก็จะจางลงและเบาบางลงใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์จะเอาสิ่งนั้นมาจองจำความเป็นตัวตนและก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่เรายึดถือ กับการเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาจนเกิดการเข้าใจธรรมและปล่อยวางได้ อะไรมันดีกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ยิ่งคิดก็ยิ่งจำ ยิ่งจำก็ยิ่งยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อยิ่งยึดมันก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องไปรับ แล้วเราก็จำได้ว่าเราเคยดีกับใคร ใครเคยว่าเรา ใครเคยด่าเรา ฉะนั้นการจำแบบนั้นแล้วมันจะเกิดเป็นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปแบกรับ สู้เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาจนเกิดความเห็นแจ้งปลดปลงและปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ (ดีกว่า)  เมื่อถึงเวลาเราเคยพิจารณาแล้วปล่อยวางได้ไหม
ศิษย์จำไว้นะ  ใจนั้นเป็นเนื้อนาบุญ ศิษย์ฝังอะไรไว้มันก็ต้องไปรับสิ่งที่ศิษย์ฝังอันนั้น เหมือนศิษย์ปลูกต้นอะไรไว้ในจิตใจ ต้นนั้นศิษย์ก็ยังยึดถือแล้วก็แบกไว้ตลอดชีวิต แต่ถ้าเกิดสิ่งที่ศิษย์ฝังลงไปนั้นมันสามารถคลายจาง แล้วปลดปลงปล่อยวางจนเห็นธรรมได้ ทำไมไม่เอาสิ่งนั้นมาทำให้เกิดธรรม  คนที่ด่าเรา เขาด่าจบไปนานแล้วใช่ไหม ความเจ็บเราจางไปหรือยัง ถือไปก็หนักเปล่าๆ  ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถยอมรับความจริงแล้วค่อยๆ พิจารณาว่าไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอด มันผ่านไปแล้ว เมื่อมันผ่านไปแล้ว ศิษย์จะเอาเก็บมาไว้ในใจไหม เมื่อมันผ่านไปก็ปล่อยมันผ่านไป มันก็จะปลดปลงได้ทันที แต่มนุษย์เราไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไป ใช่ไหม (ใช่)  มันจึงก่อเกิดกลายเป็นทุกข์ที่เรายึดถือแล้วก็จำได้ว่า “คนนี้ด่าฉัน คนนั้นด่าฉัน คนนั้นชมฉัน คนนั้นโกงฉัน คนนี้ให้ฉัน” แล้วเราก็หนีไม่พ้นความเป็น  “ฉัน”  ใครชมฉัน ฉันก็จะยิ้ม ใครด่าฉัน ฉันก็จะด่า ใครดีกับฉัน ฉันก็จะดี ใครไม่ดีกับฉัน ฉันก็จะไม่ดี มันเกิดจากใจที่ศิษย์จดจำและยึดถือใส่เข้าไปในตัวเองทุกวัน แล้วก็แสดงผลของการจดจำมาเป็นวิบากกรรมที่กระทำต่อคนนั้นคนนี้ที่ใจจำ แต่ถ้าทุกวันศิษย์เอาใจมาล้าง เหตุการณ์เมื่อวานนี้จำไม่ได้แล้ว ทุกคนที่ศิษย์เจอเขา เขาจะกลายเป็นคนใหม่ สะอาด เพราะใจเราสะอาด ใจนั้นล้างได้ทุกวันแต่เราเคยนำใจนั้นมาล้างไหม  เราไม่เคยเอามาล้าง แต่เอามาเป็นกรรม เอามาเป็นตัวตน เอามายึดติดแล้วก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมว่า คนนี้โกรธ คนนี้ดี คนนี้ด่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็สะสมทุกวันๆ ก่อเกิดเป็นคำว่าตัวตนขึ้นมา  ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าศิษย์เข้าใจธรรม   ทุกชีวิตเกิดมาแล้วก็สูญสลายไป ถูกไหม (ถูก) 
ถ้าสมมติว่าอาจารย์ปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ปลูกแล้วอาจารย์ทุกข์เหลือเกิน พอต้นไม้โตแล้ว และก็ตายไปแล้ว อาจารย์ก็ไม่คิดจะปลูกอีก ต้นไม้จะขึ้นไหม (ไม่)  เหมือนกัน ชีวิตเกิดมาแล้ว ถึงที่สุดทุกชีวิตก็ต้องดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะหยุดและตัดภพ ตัดชาติ ตัดกรรมได้อย่างไรถ้าใจเรายังยึดติด เก็บไว้ และลืมไม่ลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็ยังมีความอยากที่จะคิดว่า “อ้อ คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี”  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้น ถ้าทุกขณะศิษย์เอาสิ่งที่ศิษย์ใส่เข้าไปในใจมาล้าง มามองว่ายึดไม่ได้ ยึดแล้วไม่มีประโยชน์  ใจจะถูกล้างทุกวันด้วยธรรม ถ้าเข้าใจความเป็นจริง ไม่มีอะไรยึดได้เลย คนที่ชมเราวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะด่าเรา คนที่ด่าเราวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะชมเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่วันนี้เราได้ดี พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมองเห็นความเป็นจริง แล้วเราจะเอาอะไรมาใส่ไว้ในใจ แล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เราต้องกลับมาเกิดอีกไหม (ไม่มี) 
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม เมื่อไรที่หัวใจซื่อตรงต่อสัจธรรมความเป็นจริง ดีร้ายจะไม่เกิด บาปกรรมจะไม่มี  แล้วมนุษย์ทุกวันนี้ที่เรียกว่าชีวิต เราเกิดมาพร้อมกับกรรม ถูกไหม (ถูก)  เรามีกรรมเป็นผู้ติดตาม เรามีกรรมเป็นตัวอาศัย และเราเป็นผลของกรรมที่เราสร้าง แล้วศิษย์อยากจะเสวยผลกรรมนี้ไปเรื่อยๆ หรือศิษย์อยากจะหยุดกรรม (หยุดกรรม)  อยากจะมีกรรมอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นควรจะจำหรือควรจะลืม (ลืม)
ทำไมคนที่แก่แล้ว ตาฟางมองไม่ชัด หูตึงฟังไม่ค่อยได้ยิน ฟันเคี้ยวได้ยากขึ้น แล้วสมองก็ลืมง่าย เพราะมันต้องกลับไปสู่ธรรมใช่ไหม (ใช่)  จำมากก็ทุกข์มาก เห็นชัดก็เจ็บมาก ได้ยินเยอะรู้เยอะก็ทุกข์เยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดชัดก็สร้างปัญหาเยอะ
ฉะนั้นธรรมสอนอะไร ธรรมสอนให้เข้าใจความเป็นจริงและรักษาความเป็นกลางจนไม่ก่อเกิดกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอจำก็บอกว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่เรียกว่าดีก็เรียกว่ากรรมดี สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เรียกว่ากรรม (ชั่ว)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทั้งชีวิตเราสนองกรรมใช่ไหม (ใช่)  หรือสนองกิเลส  ถ้าเรากล้าเผชิญความทุกข์ เราก็พบความสุข แต่ถ้าเราเลือกที่จะสุขแล้วรังเกียจทุกข์ เราก็จะเจอทุกข์มากกว่าที่เราคาดคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ง่ายๆ แค่นี้เอง (นักเรียนตอบคำถามโดยยกตัวอย่างของการทำธุรกิจ ต้องทุกข์เรื่องคน เรื่องเงินและปัญหาต่างๆ ต้องใช้ความกล้าและอดทนจนประสบความสำเร็จถึงจะพบความสุขได้)  ตอบได้ดีไหม บางทีเราคิดว่าข้างหน้านี่คือความสุขและมันคงทำให้เราประสบผลสำเร็จ แล้วจะได้พบความสุขถูกไหม  แต่อาจารย์ถามหน่อย พอสำเร็จหนึ่งอย่าง  ศิษย์เริ่มทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ล่ะ (อยากได้)  ใช่ พอเราคิดว่าข้างหน้านี้คือสุขสำเร็จแล้วคือสุข แต่พอไปหาสำเร็จแล้ว เริ่มจะทุกข์แล้ว ต่อไปจะขยายกิจการอย่างไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินนี้จะแบ่งอย่างไรดีให้เติบโตและงอกเงย ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนศิษย์คิดว่าถูกลอตเตอรี่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ศิษย์คิดว่าถูกลอตเตอรี่แล้วคือสุขถูกไหม (ถูก)  ถูกสองตัวสุขไหม สุข แต่พอไปเจอเพื่อนบ้านเขาถูกสองตัวเหมือนกัน ทุกข์ทันทีเลย “ทำไมเราไม่ซื้อสักสองใบ”  ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
ศิษย์เอยสุขหรือทุกข์ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่รู้จักดำรงชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อจะพบสุขก็ดันคิดไปหาทุกข์ เมื่อเวลามีทุกข์ก็พยายามคิดที่จะพบสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจธรรม ต้องกล้าเผชิญความจริง เมื่อเรากล้ายอมรับก็สามารถที่จะทำให้เรามองออกชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่า “ไม่เอา ทุกข์หนูไม่เอา โดนด่าไม่ได้ ล้มเหลวไม่ได้”  ยังไม่ทันล้มเหลว ยังไม่ทันโดนด่า เราก็ทุกข์แล้ว ถูกหรือไม่  แต่ถ้าในชีวิตเราไม่จำกัดตัวเอง อะไรก็ได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) 
ถ้าอย่างนั้นเกิดมาชีวิตมีแต่ให้ดีไหม (ดี)  ไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์ถามจริงๆ มีใครคนไหนบ้างที่สอนให้ศิษย์นั้นให้จนหมดตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต้องให้จนบังเกิดธรรม ให้แล้วมันสละความเป็นตัวตนได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าให้แล้วเรียกเป็นทาน แต่ถ้าให้อีกทีก็กลายเป็นบุญ แต่ถ้าให้อีกทีจะกลายเป็นกุศล อาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากให้ระดับไหน (กุศล) 
การกระทำใดๆ ในโลกนี้มันมีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา  ถ้าเขาทำเราไม่ดีแล้วเราปฏิบัติต่อเขาไม่ดีมันก็กลายเป็นผูกเวรกรรมถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้ามีคนทำไม่ดีกับศิษย์ แล้วศิษย์มาถามอาจารย์ว่า ทำไมเขาต้องทำไม่ดีกับศิษย์ ศิษย์ลองคิดดูว่าในโลกใบนี้ คนมีตั้งร้อยล้านคนทำไมเขาไม่หลอกคนอื่น ทำไมเขาต้องมาหลอกศิษย์ถูกไหม (ถูก)  คนมีตั้งเยอะแยะทำไมเขาไม่มาทำร้าย แต่ทำไมเขาทำร้ายศิษย์ แปลว่าเราต้องมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมันต้องมีกรรมกันมา ถึงมาเจอกันใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายศิษย์แล้วศิษย์อยากจองกรรมต่อหรืออยากจบกรรม (จบกรรม)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์จะแค่ทำบุญทำทาน คิดว่า “อยากเอาไปก็เอาไปถือว่าให้ทาน”  กับอีกอัน ศิษย์คิดว่าดีแล้ว เขาทำร้ายเรา ฉันจะเมตตาเขากลับ เขาทำร้ายเรา ฉันจะเอาสิ่งที่เขามาทำร้ายฉัน มาล้างใจฉันให้บริสุทธิ์ ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่แค้น นี่เรียกว่าทำบุญ แต่อีกอัน เขาทำร้ายศิษย์ ศิษย์จะเข้าใจ มันไม่มีคำว่าโกรธ ไม่มีคำว่าเกลียด ไม่มีคำว่าต้องใช้กรรมกับมัน แต่เป็นความเข้าใจ “ไม่เป็นไร คนเรามันเกิดมาก็เจอดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ฉันเข้าใจ”  นี่แหละเรียกว่า สามารถกระชากตัวตน แล้วสามารถวางตัวตน ไม่ยึดตัวตน แล้วการที่เขามาทำร้ายเรา มันก่อเกิดเป็นกุศล กุศลคือสิ่งที่สามารถทำลายล้างตัวตนแล้วไม่มีตัวตนให้ยึดถือ  เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกขณะที่เราทำ ถ้าเราคิด “เขาด่าฉัน ว่าฉัน โกงฉัน ฉันจะจำไว้”  แล้วก็เอาไปด่า คนนั้นด่าฉัน ว่าฉัน แล้วก็ฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่จบสิ้น มันก็คือการผูกกรรมเกี่ยวกรรมกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้ศิษย์เป็นอย่างนี้ถูกไหม แล้วก็พูดในใจ “ถือว่าทำบุญทำทานให้เขา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าในขณะที่ศิษย์โดนเขาด่า โดนเขาโกง โดนเขาทำร้าย สามารถก่อเกิดเป็นทาน เป็นบุญ กลายเป็นกุศลที่สิ้นการยึดถือในตัวตน มันจะเป็นชั่วขณะชีวิตที่ศิษย์ได้มีอยู่จบลง  เป็นชีวิตที่มีอยู่แต่กรรมหมดลง ศิษย์ไม่เอาแบบนั้นหรือ แต่ศิษย์ตรงกันข้าม มีอยู่และยึดมั่น 
อาจารย์ถามศิษย์ว่าเอาแบบไหน ยังอยากเกิดมามีกรรมไหม (ไม่อยาก)  ยังอยากเกิดมาเจอคนที่ด่าไหม อยากเจอคนที่โกงไหม ถ้าอยากเจอจำไว้เลย ผูกใจเจ็บไว้เลย เดี๋ยวได้กลับมาจองเวรจองกรรมกันแน่ แต่ถ้าอยากสิ้นบาปกรรม เมื่อไรที่จิตตรงต่อสัจธรรมความเป็นจริง ไม่มีคำว่าดี ไม่มีคำว่าร้าย เมื่อนั้นจบสิ้นบาปกรรมทันที และได้เรียนรู้ชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ไม่ก่อเกิดเป็นตัวตนให้ยึดถือว่า “ทำไมเขาต้องทำหนู ทำไมเขาต้องด่าว่าหนู ทำไมเขาต้องตีหนู หนูเจ็บ”  ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์สามารถฝึกฝนบำเพ็ญแล้วลดละหนี้บาปเวรกรรมได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เหมือนเวลาที่ทำงาน ศิษย์ทำงานงกๆ แต่บางคนไม่ทำ แล้วพูดว่า “ทำไมว่างจังเลย แล้วเธอยุ่งอะไรนักหนา” ถึงเวลาแบบนี้แล้วเรายังอยากทำไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเราทำแทบตายแล้วอีกคนมานั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ไม่รับผิดชอบอะไรเลย เรายังอยากทำไหม (ไม่ทำ)  อันโน้นเราก็ทำ อันนี้เราก็ทำ แต่อีกคนหนึ่งกลับบอกว่า  เธอยุ่งอะไรนักหนา เฉยๆบ้างไม่เป็นหรือ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างไม่ได้หรือ เรายังทำไหมศิษย์ ศิษย์เอ๋ย อาจารย์บอกแล้วโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ถ้าเราเห็นแบบนี้แล้วเราก้มหน้าทำไป แล้วด่าไป ไอ้ทุเรศ ไอ้น่าเกลียด ไอ้เอาเปรียบ การทำของศิษย์ก็คือการสร้างกรรม แต่ถ้าเกิดว่าเราทำไป “อืม ไม่เป็นไร ฉันทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ฉันซื่อตรงต่อหน้าที่ ฉันรับผิดชอบต่อหน้าที่ คนอื่นจะไม่ทำไม่เป็นไร” ศิษย์จะผูกใจเจ็บไหม (ไม่)  ศิษย์จะยึดติดอะไรไหม (ไม่)   แต่ชีวิตเราเป็นอย่างไร แม่ทำเหนื่อยแทบตาย ลูกทำอะไรบ้าง พ่อทำอะไรบ้าง ใช่ไหม พ่อก็กลับกัน พ่อก็เหนื่อยเหมือนกัน แม่ก็บ่นอยู่นั่นแหละ แล้วมันสุขไหม (ไม่สุข)  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์จงเอาธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันทุกขณะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้องที่สุด และทุกขณะใครจะเป็นอย่างไร ศิษย์คิดแค่เพียง ศิษย์อยากให้ทานเขา  ถ้าคิดแค่เพียงว่าทำเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมันก็เป็นทาน แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วมันสามารถชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ทานนั้น มันก็กลายเป็นบุญ แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดไม่ยึดถือบุญนั้นมันก็กลายเป็น (กุศล)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าทำได้ศิษย์จะไม่มีความคิดว่า “ทำไมฉันต้องทำอะไรอย่างนี้ด้วย ทำไมฉันต้องเป็นอะไรอย่างนี้ด้วย” จะไม่มีความคิดนี้ในทุกขณะที่เราทำ แล้วศิษย์เป็นแบบนี้ไหม
เมื่อไรที่เห็นใจตัวเองมากเท่าไร จิตก็จะแบ่งแยกยึดติดและรังเกียจผู้อื่นมากเท่านั้น  เมื่อไรที่เห็นใจหรือชื่นชมตัวเองมากเท่าไรก็จะก่อเกิดการเปรียบเทียบและรังเกียจเดียจฉันท์มากเท่านั้น  แต่ถ้าเมื่อไรทำอะไรแล้วไม่มีคำว่าตัวเองทำ เมื่อนั้นก็จะไม่มีการแบ่งแยกว่า ผู้อื่นไม่ทำจริงไหม (จริง) 
ศิษย์มักจะคิดว่าการบำเพ็ญธรรมต้องอยู่ที่วัดและทำให้เฉพาะพระ แต่อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์เอย ศิษย์บำเพ็ญธรรม ศิษย์ทำแค่ที่วัด ทำแค่ที่พระ แต่อยู่กับคนศิษย์ไปสร้างบาปกรรม ใช่ไหม (ใช่) 
ปัจจุบันนี้ศิษย์สร้างกรรมหรือสร้างบุญมากกว่า (สร้างกรรม)  ถามว่าให้ไปเข้าวัดทำบุญ ศิษย์บอกว่า “เดี๋ยวค่อยไป พรุ่งนี้ค่อยทำ” แต่ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกว่าถ้าศิษย์รู้ว่าชีวิตนั้นไม่แน่นอน ศิษย์แน่ใจหรือว่ามีพรุ่งนี้ ในเมื่อศิษย์ไม่มั่นใจ สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทำแล้วมีค่าสูงสุดมีคุณสูงสุดทำไมศิษย์ไม่ทำ ทำไมเวลาดำเนินชีวิตจึงตกเป็นทาสของกิเลสและหลงเวียนว่ายสร้างกรรม ทำไมไม่อยู่เพื่อสร้างคุณธรรม เรามีชีวิตเพื่อรับหรือมีชีวิตเพื่อให้ (ให้)  ทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้วให้มากกว่ารับ ขยันไหม เอาเปรียบไหม ถ้าศิษย์อยากจะให้เขา เริ่มแรกง่ายๆ ขยัน ไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่กินแรง แค่นี้ถือว่าทำได้ดีแล้ว ถูกไหม (ถูก)  เมื่อขยันแล้วไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่กินแรงแล้ว ยังไม่เหน็บแนมด่าใครให้เจ็บปวดอีก ก้มหน้าก้มตาทำไปอย่างนี้จะเรียกว่าทำร้ายใครไหม 
ฉะนั้นการเริ่มต้นแรกๆ ในการดำเนินชีวิตแล้วสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะก็คือ หนึ่งรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่อู้ ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ ทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรงและดีงามที่สุด นี่เรียกว่าให้ไหม (ให้)  แล้วถึงเวลามีโอกาสถ้ามีส่วนแบ่งมาหรือมีตำแหน่งใหญ่โตมา เอาหรือไม่เอา (เอา)  เอาแล้วแบ่งไหม (แบ่ง)  แบ่งมากหรือแบ่งน้อย ศิษย์เอ๋ยถ้าถึงเวลามีโอกาสได้ ควรเอาน้อยแต่ให้ให้มาก หรือยอมเอาทีหลังแต่ให้ก่อน เชื่ออาจารย์แล้วทุกข์จะน้อย แต่ถ้าศิษย์เอามากแต่ให้น้อย ทุกข์มันจะมาก นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่คนในโลกไม่ใช่ เอามากให้น้อย เอาก่อนไม่ให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมศิษย์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติแค่ที่วัดแต่ศิษย์สามารถปฏิบัติทุกขณะที่ศิษย์ทำได้ และสามารถลดละเวรกรรมได้ และสามารถลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ แต่ศิษย์จะทำหรือไม่ทำ ฉะนั้นถ้าตอนนี้อาจารย์มีแอปเปิล ศิษย์จะเอาหรือไม่เอา (เอา)  นี่คือเรื่องยากของชีวิต บางครั้งเราอยู่อย่างไม่เอาบ้างไม่ได้หรือศิษย์ บางครั้งเอาแล้วทุกข์ แต่ไม่เอาแล้วมันสุขกว่า อาจารย์ให้คนอื่นบ้าง หนูไม่เอาแล้ว อาจารย์ถามหน่อย ปัจจุบันนี้ที่เราทุกข์ ทุกข์เพราะเอาหรือทุกข์เพราะไม่เอา (ทุกข์เพราะเอา)  แล้วตอนนี้เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  เห็นไหมว่ามันอยู่ทุกขณะจิตที่คิด
ฉะนั้นศิษย์อย่าตีกรอบการบำเพ็ญ ว่ามีแค่การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ให้ทาน และทำบุญแค่ที่วัดเท่านั้น  แต่การศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมนั้นทำได้ทุกที่ และทำได้ทุกขณะ  เพราะมนุษย์ล้วนสร้างกรรมเมื่อตอนอยู่กับคน และสร้างบุญเมื่อตอนอยู่กับพระแค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องสร้างบุญกับทุกคน และไม่สร้างกรรมกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่างตอนนี้ อาจารย์มีแอปเปิล ศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ก็วัดใจศิษย์ได้แล้วว่า ศิษย์ขอเอาก่อน ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่เอา ก็คือการให้ คือการสร้างบุญ คือการไม่ยึดติด และเป็นกุศล เพราะเราไม่เอาตั้งแต่แรก  เมื่อไม่เอา เราจะแก่งแย่งใคร เมื่อไม่เอา เราจะมีกิเลสครอบงำไหม เมื่อไม่เอา เราจะสร้างกรรมและสร้างบาปไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกคนบอกว่าเราขอเอาก่อน แล้วให้ทีหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ศิษย์อยากทุกข์แล้วค่อยมารักษาทุกข์ หรือไม่ทุกข์เลย (ไม่ทุกข์เลย)  แล้วตอนนี้ทุกข์เพราะอะไร เพราะไปเอาของเขามาทั้งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  สามีเอาไหม เอา  เงินเอาไหม เอา  ทรัพย์สมบัติเอาไหม เอา  อาจารย์ถามจริงๆ ว่าพอถึงเวลาเราเอาไปได้ไหม สามีไปกับเราไหม (ไม่ไป)  ลูกไปกับเราไหม (ไม่ไป)  สิ่งใดที่ไปกับเรา บุญกุศล คุณงามความดีและหนี้บาปเวรกรรม  อย่างนั้นตอนนี้ศิษย์ควรจะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาอะไร (สามี)  อาจารย์หมายถึงว่า ถ้ายังไม่มีก็อย่าไปเอา  แต่ถ้าใครมีแล้วก็รู้จักดูแลกันให้ดี ก่อให้เกิดธรรม ไม่ใช่พออยู่กันไปอยู่กันมาก็คิดว่า “กรรมอะไรหนอ ฉันถึงได้มาพบเธอ”  ตอนแรกๆ ก็บอกว่า บุญพาวาสนาส่งจึงได้มาพบกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงอยู่ร่วมกันอย่างบุญหนุนนำ
การศึกษาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญที่วัด ไม่ใช่แค่ให้ทานเป็น ไม่ใช่แค่สงสาร ศิษย์ต้องสามารถทำและปฏิบัติได้ทุกที่ ปฏิบัติกับทุกคนได้ เหมือนเขาด่าเรามาตอนนี้ศิษย์อยากให้แค่คุณธรรมความเป็นคน  ให้คุณธรรมเป็น   ผู้ประเสริฐ หรือศิษย์จะสามารถบังเกิดกุศลว่าเราคงมีกรรมร่วมกันมา ดีแล้ว จบแล้ว แค่นี้ ไม่โกรธ ไม่เกลียด
ศิษย์รู้ไหมว่ารากเหง้าแห่งความทุกข์นั้นมาจากไหน มาจากใจที่ยึดติดที่เรียกว่ารักและเรียกว่าเกลียด  ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ไม่มีสิ่งที่รัก ไม่มีสิ่งที่เกลียด ทุกสิ่งเท่ากันหมด อะไรจะเรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว อาจารย์ถามว่า “ใครดีที่สุด ใครเลวที่สุด ตัวเองดีที่สุดไหม ตัวเองเลวที่สุดไหม” เมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจสัจจะความเป็นจริงและค้นพบความเป็นกลาง ศิษย์จะไม่ก่อกรรม ศิษย์จะมองทุกสิ่งเท่ากันไม่มีใครดีไม่มีใครร้าย เมื่อทุกสิ่งเสมอกัน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข แล้วคนไหนที่ศิษย์จะโกรธ คนไหนที่ศิษย์จะรัก คนไหนที่ศิษย์จะหลง เพราะถึงที่สุดแล้วเขาด่าแล้วเดี๋ยวเขาก็ชม เขาชมเดี๋ยวเขาก็ด่า ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงและมองเห็นความเป็นกลางศิษย์จะตัดคำว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ได้เลย เพราะไม่มีใครที่ศิษย์จะโกรธ เพราะสิ่งที่ศิษย์ได้มานั้นมันก็คือการเสียไป แล้วกว่าจะได้มาศิษย์เสียไปเท่าไร แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้มีค่าที่สุด ไม่ต้องรอว่าพรุ่งนี้ค่อยปฏิบัติธรรม ทำตอนนี้เลยสิ ให้มันเห็นชัดตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย พอใครทำดี ขอบคุณ พอใครด่าเรา ขอบคุณ จริงไหม พอใครด่าเราก็ขอบคุณ รักเขาจังเลย ใช่ไหม ถ้าเราทำได้ เราสามารถให้ทานได้ ให้บุญที่งดงามได้ ให้กุศลที่ยิ่งใหญ่ได้ ทำไมไม่ทำล่ะศิษย์ ทำไมต้องรอไปเข้าวัด ทำไมต้องรอคนดีๆแล้วศิษย์ค่อยทำ คนไม่ดีนี่แหละทดสอบใจเราดีที่สุดและสามารถชดใช้กรรมได้ดีที่สุด ฉะนั้นเมื่อพบคนไม่ดี ขอบคุณ จะได้หมดกรรมแล้ว ดีไหม (ดี)  กลับบ้านไปถูกคนหลอกหมดตัวเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาก็ต้องเอา ถ้าชีวิตมันต้องเผชิญ อาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า อย่าเลือกสุข จงกล้าที่จะเผชิญทุกข์ ขอเพียงใจศิษย์สู้ไม่ถอย ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  ความจนก็ไม่น่ากลัว แต่ใจที่อับจนปัญญาน่ากลัวยิ่งกว่าและทำให้เรายิ่งจน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงบัดนี้ ศิษย์พอเข้าใจหนทางการบำเพ็ญบ้างไหม (เข้าใจ)  ศิษย์เอ๋ยการศึกษาธรรมไม่ใช่สอนให้เราเป็นคนดีแล้วยึดติดดี แล้วเกลียดคนชั่ว  ศิษย์ต้องเข้าใจ ความเป็นจริงแห่งชีวิตสอนให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วทุกคนก็เท่าเทียมกัน ถ้าศิษย์รักดีเกลียดชั่วก็เท่ากับศิษย์กำลังสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์มองทุกสิ่งเสมอกันนั่นก็คือศิษย์พบธรรม แต่มนุษย์มักจะอดไม่ได้ที่จะยึดติดว่าคนนี้ดีคนนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเกิดคนดีก็ต้องเกิดคนชั่ว เมื่อเกิดคนที่เราชอบ เราก็สร้างคนที่เราชัง ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากตัวเราเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ถ้าศิษย์ไม่เห็นชั่ว     ไม่เห็นชัง เห็นแต่ธรรมแล้วก็ธรรม เราก็คือคนที่พบธรรม แต่ถึงเวลาจริงๆ เห็นบ้างไหม
ทำอย่างไรดีให้ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ยึดติดดีร้ายได้เสีย ใครตอบอาจารย์ได้มีรางวัลเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ยอมให้ศิษย์เอาแล้วไปให้ต่อ ไม่ใช่เอาแล้วเก็บไว้อย่างเห็นแก่ตัว แต่เอาแล้วไปให้ต่อ เอาบุญมาฝาก เอาบุญมาให้ ดีไหม เอาไหม (เอา) 
(เราต้องคิดอยู่เสมอว่ามนุษย์ทุกคนทำอย่างไรมนุษย์ทุกคนต้องเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรให้จิตใจของเรามีความเมตตากรุณาไม่โกรธไม่โมโหแล้วเราก็จะมีความสุข สิ่งต่างๆ เราต้องคิดอยู่เสมอว่าพ่อแม่เขาทำมาอย่างนั้นเขาก็ต้องเป็นคนอย่างนั้น จะได้ระงับสติอารมณ์ของเราได้ ให้เราไม่โกรธ เราก็จะมีความสุขค่ะ)  ศิษย์เอยเห็นไปถึงพ่อแม่เขาเลยหรือ  อาจารย์จะบอกศิษย์ง่ายๆ เลยนะไม่ต้องคิดอะไรเลย (ไม่คิดก็อดไม่ได้ก็ต้องคิดก่อน)
ศิษย์เอยมนุษย์ตกเป็นทาสของความคิดแล้วเวลาเราตกเป็นทาสของความคิดเราก็หนีไม่พ้นกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสคือสิ่งที่เกิดจากความคิดคำนึงแห่งตัวตน  (แต่เราจะดับกิเลสได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ไม่ยากเลย สมมติว่าเรากำลังทำแต่อีกคนหนึ่งไม่ทำ เรากำลังขยันแต่อีกคนหนึ่งขี้เกียจ ศิษย์เคยมองเห็นเขาเป็นว่างไหม  อย่าไปเห็นถึงพ่อแม่ต้นตระกูลเลยมันแรงไป ศิษย์เอาแค่ว่าง มันว่างจากความคิด เพราะเมื่อไรที่เราว่างจากความคิด ก็พ้นการยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรยังจมอยู่กับความคิด แปลว่ายังยึดติดในความมีตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นเขาแล้วไม่ยึดติดในความเห็นแก่ตัวของเขา ก็พ้นการยึดติดแห่งตัวตน  ถ้าใจของเราโล่ง ใจของเราว่าง ทุกคนก็ว่าง แต่ใจเราคอยยึด โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ชอบ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองให้ดีจริงๆแล้วที่เราไม่ชอบ ที่ไม่ใช่ ถึงที่สุดมันมีตัวตนไหม (ไม่มี) แล้วเขายืนอยู่ตรงนั้นนานไหม แล้วถึงเวลาอีกประมาณสิบนาที เขาจะหายไปไหม (หายจากจิตใจที่เราคิด)  มันก็หายไปแล้วเราจะไปลากเขามาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ศิษย์เอ๋ยจำไว้ว่า เห็นดั่งไม่เห็นจึงว่าง รู้ดั่งไม่รู้จึงกลาง 
มีใครจะตอบอีกไหม (ปล่อยวางแล้วไม่เอามาคิด)  แล้วถึงเวลาเราปล่อยวางได้ไหม แค่รู้แต่ไม่คิด แค่เห็นแต่ไม่ตัดสิน ถ้าทำได้แล้วมันจะปล่อยได้ แต่เราต้องมีสติรู้เท่าทัน ถามตัวเองก่อนว่าทำได้ดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้ดีที่สุด ใครจะเป็นอย่างไม่ต้องไปสนใจ เรามีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ดูแลจิต ดูแลใจตัวเองก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเห็นแล้วเกิดกิเลสอย่าเห็นเลย เหมือนไม่เห็นดีกว่า จริงไหม (จริง)  เห็นเหมือนไม่เห็นดังเช่นเวลาอิ่มแล้ว เห็นก็เหมือนไม่เห็น เวลาพอแล้ว เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวลาไม่เอาอะไรแล้ว เห็นมันก็เหมือนไม่เห็น
(มองโลกในแง่ดี)  ศิษย์รู้ไหมเมื่อไรที่พยายามมองโลกในแง่ดี ก็จะมีใจเห็นโลกในแง่ร้าย แต่ถ้ามองโลกในแง่แห่งความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นเป็นกลางเสมอแต่พยายามยึดดีก็ยังมีร้ายให้เห็น เพราะความเป็นจริงไม่มีอะไรดีและไม่มีอะไรร้าย
(คิดดี ทำดี เริ่มที่ตัวเรา คิดเป็นกลาง อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบัน)  แต่อาจารย์มักจะพูดเสมอว่า คิดดี ทำดี อย่าลืมพูดดี คิดดีทำดีพูดดีแต่อย่าลืมละชั่ว เพราะศิษย์ทุกคน พูดดี คิดดี ทำดี แต่ความชั่วไม่เคยละ กิเลสไม่เคยเบาบาง ดีไหม  
(มองให้เห็นความเป็นจริงว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมชาติ ธรรมะไม่มีได้ไม่มีเสีย)  ศิษย์เอยถ้าอยากพบธรรม มองแล้วสงบ มันจะจบและพบธรรม แต่ถ้ามองแล้วไม่สงบมันจะไม่มีวันจบและมันจะไม่พบธรรม ใช่ไหม ฉะนั้นถ้ามองแล้วสงบก็มอง แต่ถ้ามองแล้วไม่สงบก็จงจบที่ใจ บำเพ็ญธรรมไม่ต้องจัดการใจคนอื่น บำเพ็ญธรรมมาจัดการใจตัวเองก่อน ถ้าเห็นแล้ววุ่นวายใจ ถ้าเห็นแล้วอดด่าไม่ได้จัดการใจตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยไปคุยกับคนอื่น 
ธรรมแปลว่าสงบและจบและอีกอย่างหนึ่งคืออิสระ ใช่ไหม ถ้าทำแล้วมันทำให้เราอิสระเป็นไท สงบ จบ นั่นคือธรรม  ศิษย์หลักการดี อะไรก็ดีหมดเหลืออย่างเดียว เมื่อไรจะทำ หลักการดี รู้ดีหมด แต่ถึงเวลาไม่เคยอุทิศเสียสละไปช่วยใครเลยมันก็เปล่าประโยชน์  ถ้าทำดี เขาไม่เอารางวัลกัน     นะศิษย์ เราจะไม่รับ เราจะให้ทุกคน ใช่หรือไม่ รับก็แปลว่ายังยึดอยู่
(กลับไปจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นแม่ที่ดีที่สุดของลูก)  ทำให้ได้นะ ถ้าทำดีที่สุดแล้ว แม้ผลนั้นจะดีหรือไม่ดี ก็จงกล้าหาญที่จะยอมรับ  หรือแม้แต่ถูกเข้าใจผิดก็จงกล้าหาญยืนหยัด ทำให้ได้นะ
ปฏิบัติธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  บอกอาจารย์หน่อยว่า หลังจากนี้ไปจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ตามที่ศิษย์เข้าใจที่ฟังอาจารย์มา อาจารย์อยากร่วมบุญและอยากแบ่งบุญ เผื่อศิษย์จะได้ส่งบุญต่อ หลังจากนี้ไม่ใช่มีชีวิตเพียงเพื่อตัวเอง แต่รู้จักมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือคน ดีไหม ถ้าศิษย์ทุกคนอยู่บนโลกนี้มีแต่ให้ ไม่คิดจะเอา เอาเท่าที่ตัวเองพอมีพอใช้ แล้วการเอาไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร โลกนี้จะไม่สันติหรือ  แล้วยุคพระศรีอาริย์จะไม่เกิดหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้ เอาไม่เคยพอ อยากได้ไม่เคยจบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาของเขามาแล้วค่อยทำบุญ ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วศิษย์เป็นแบบนั้นไหม ใช่หรือเปล่า
(จะเลิกเหล้าเลิกบุหรี่)  แน่ใจนะ อาจารย์จะให้น้ำดื่มแล้วทำให้ศิษย์มีร่างกายที่แข็งแรง แล้วทำสิ่งที่ดีต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าแข็งแรงแล้วไม่ตายนะ ยังไงมันก็ต้องตาย จำไว้นะกินน้ำอาจารย์แล้วไม่ใช่ไม่ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วย แค่ช่วยยืดเวลา แน่ใจนะ ถ้าดื่มน้ำอาจารย์แล้วทำไม่ได้จะตายไวขึ้น แต่ถ้าดื่มแล้วทำได้มันจะยืดอายุให้มากขึ้น (แน่ใจ)  มีคนในบ้านมาด้วยไหม (ไม่มี)  ต่อไปก็ไปทำให้ดี ได้หรือไม่ เดี๋ยวจบแล้วเอาน้ำให้เขาดื่มนะ
(จะเป็นลูกที่ดีของแม่ จะเป็นคนดีในครอบครัว ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเด็กดีในบ้าน จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เพราะที่ผ่านมาไม่ตั้งใจเรียน ชอบโดดเรียน ก็อยากให้แม่สบายใจ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อแม่เพื่อพ่อ)  แม่อยู่ด้วยไหม ถ้าพบแม่เข้าไปกอดเลย
(ใช้สติในการดำเนินชีวิต)  สั้นๆ ได้ใจความดี จะทำอะไรด้วยสติใช่ไหม ไม่ประมาทต้องมีสติด้วยและนิ่งให้เป็นก่อนที่จะทำอะไร อย่าใจร้อนนิ่งก่อน สติมาแล้วค่อยไตร่ตรอง ก่อนมันจะเกิดปัญญาต้องนิ่งให้ได้ก่อนใช่ไหม กลัวมันจะสติเตลิดปัญญาไม่มีนะ
(ทำอาชีพครูจะเป็นครูที่ดีจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี จะดูแลลูก เลี้ยงลูกให้ดีครองตน ครองงาน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด)  ก็ตอบได้ดีแต่ศิษย์เอยเราสามารถขยายความดีของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น อย่ารักแค่บุตรของตนแต่จงเอาความเมตตานั้นรักบุตรทุกคน แล้วศิษย์ก็จะไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คน      รักศิษย์เพราะศิษย์รักเขาเหมือนลูก เขาก็จะเคารพศิษย์เหมือนพ่อ มีลูกคนเดียวไม่สู้มีลูกทั่วโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนดีแค่กับลูกคนเดียวไม่สู้เป็นคนดีกับคนทั่วโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ได้นะ เป็นอาจารย์ในอุดมคติของศิษย์ที่รักศิษย์จริงๆ แล้วเขาจะสัมผัสได้ ถามศิษย์ตอนเด็กๆ อาจารย์คนไหนที่สอนเราด้วยความตั้งใจแล้วเอ็นดูเรา ด่าเราเจ็บขนาดไหนแต่เรารู้ว่าอาจารย์เขาด่าเพราะเขารัก เชื่อไหมว่าเรียนจนจบไปแล้วอาจารย์จำศิษย์คนนั้นไม่ได้แต่ศิษย์ยังจำ (ได้)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมก็เหมือนกัน  จงเอากิเลส จงเอาเหตุการณ์ทุกอย่างมาเป็นแพเพื่อข้ามฝั่งให้ค้นพบธรรม ยืมใช้ไม่จำเป็นต้องครอบครอง ช่วงใช้แต่ไม่จำเป็นต้องยึดติดใช่หรือไม่
ศิษย์เอย ถ้าใจศิษย์ไม่มีสุขศิษย์จะมอบสุขให้ใครได้ ถ้าใจศิษย์ไม่สันติ ศิษย์จะหาความสงบให้กับใครได้ ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ใจตัวเองก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าชีวิตเราค้นพบความสุขที่แท้จริง มีหรือเราจะมอบสุขให้คนอื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยสิ่งแรกก็คือ มีศีลครองใจ มีธรรมครองกายถ้าเรามีศีลครองใจ ศีลจะช่วยยับยั้งไม่ให้เราตกเป็นทาสของกิเลส ถ้ามีธรรมครองกายจะสามารถทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยคุณธรรม แต่มีศีลครองใจ  มีธรรมครองกายก็ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ถ้าเรายังไม่เข้าถึงความเป็นจริงแห่งหลักสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่) 
ศีลช่วยทำให้เราไม่ประพฤติผิดและไม่สร้างบาป ส่วนธรรมทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติ ไม่ว่าจะเป็นเมตตา มโนธรรม สัตยธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรม ฉะนั้นเมื่อใจและกายดำรงถูกต้อง ที่เหลือก็คือการเข้าถึงความเป็นจริงจนสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ศิษย์จะมีศีลและธรรม ถ้ามีแค่ศีลธรรมเท่านี้ ศิษย์ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้จริงไหม จนกว่าศิษย์จะสามารถเอาธรรมมาพิจารณาจนพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนที่อาจารย์บอกว่าเป็นคนดียังไม่พ้นทุกข์ เป็นคนมีธรรม อย่างมากที่สุดได้แค่เป็นคนประเสริฐหรือเรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐในแดนโลก เช่น คนที่เมตตาเป็นหลัก คนที่มีจิตใจเสียสละเป็นหลัก คนที่รู้จักมีความซื่อตรงเป็นหลัก นี่เรียกว่าคนประเสริฐหรือมนุษย์ประเสริฐ แต่ศิษย์จำไว้นะสองแบบนี้ยังไม่สามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ เพราะยังหนีไม่พ้นการยึดติดแห่งความมีตัวมีตน
พร้อมจะฟังเรื่องยากไหม (พร้อม) แล้วพูดแค่นี้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตที่อาจารย์บอกว่าศิษย์บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับใครทุกขณะจิตศิษย์ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทุกขณะคือการสละตัวออก กระชากตัวเองออก เมื่อนั้นตัวตนจะไม่มีจึงสามารถพ้นทุกข์ได้ แต่มนุษย์ยิ่งมีศีลและธรรมมากขึ้นเท่าไรก็ยึดติดว่าตัวเองดี และบางทีพอตัวเองดีไม่ได้ก็เลยชั่วเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว  ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีแล้วก็ยังอดมีความอยากไม่ได้ใช่ไหม อยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นเวลาทำบุญขอไหม (ไม่ขอ)  หวังไหม (ไม่หวัง)
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ทำดีแล้วยังขอ แสดงว่าศิษย์ยังอยากยึดติดในบุญและยังอยากกลับมาใช้กรรมดี แต่ถ้าเมื่อศิษย์ทำกรรมดีแล้วศิษย์ยังไม่ละกรรมชั่ว ศิษย์ก็เลยต้องมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์ทำดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่เอา ตัวตนก็ไม่มี นั่นเรียกว่าพ้นทุกข์พบธรรม แต่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงและพบธรรมได้ เพราะยังคิดว่ายังมีทั้งที่ความจริงแล้วไม่มี “เห็นเหมือนไม่เห็น” ได้ไหม “มีเหมือนไม่มี” ได้ไหม อาจารย์อยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันเห็นว่าร่างกายนี้อยู่กับเรา แต่ถึงเวลาร่างกายนี้อยู่กับศิษย์ไหม เหมือนจะเป็นของเรา แต่จริงๆ แล้วใช่ของเราไหม ทุกสิ่งมาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ก็เลยต้องก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย
ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์สามารถละวางความคิดยึดติดตัวตนได้จิตจะสามารถกลับคืนสู่ธรรม แต่ศิษย์ปล่อยวางตัวตนไม่ได้แม้สักหนึ่งนาที ทำอะไรก็คิดว่า “อยากได้ ชอบแบบนี้ ชอบเป็นแบบนี้” แต่ถ้าต่อไปไม่อยาก อะไรก็ได้ อะไรก็ดี อะไรก็ไม่เอา ทำแค่หน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เมื่อไม่มีการสั่งสมแห่งตัวตนจะมีการยึดติดไหม ทุกวันคือการสลายตัวตน หมดสิ้นตัวตน แต่ทุกวันนี้เรามีตัวตน แต่ความเป็นจริงแห่งธรรมบอกเราเสมอว่าเรากำลังตาย เรากำลังดับ เรากำลังสิ้น แต่มนุษย์กลับคิดตลอดว่า “ฉันกำลังมี ฉันกำลังได้ ฉันกำลังเป็นคนแบบนี้” แต่ธรรมคอยสอนตลอดว่า “เธอกำลังตาย เธอกำลังสิ้น เธอกำลังวาง” แต่เรากลับมองไม่เห็น เรามองเห็นแต่ว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากยึด แล้วก็หนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์หันกลับไปมองความจริงที่ตัวเองมี ถึงเวลามีจริงๆ ไหม
ฉะนั้นทุกขณะถ้าศิษย์ศึกษาแล้วเป็นผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อค้นพบธรรมจริงๆ มันจะไม่ยึดตัวตน เป็นอะไรก็ได้ หรือไม่เป็นเลยก็ได้ หรือพร้อมจะเป็นทุกสิ่งก็ได้ แต่เป็นแล้วก็วางได้ อาจารย์พูดเรื่องยากไปไหม แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงตรงนั้นจริงๆ เมื่อไปถึงตรงนั้น มันจะไม่เอาอะไรเลย เมื่อเข้าถึงตรงนี้ แก่ เจ็บ ตาย มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่มันทำให้เรารู้ว่าเราต้องปลดปลงและปล่อยวาง และกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริงที่เรียกว่า สงบ วาง เบา อิสระและเป็นไท ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายและรับกรรมอีกต่อไป
ศิษย์เอ๋ยรอให้ตัวเองจะตายแล้วค่อยปลดปลงหรือ รอให้ตัวเองทุกข์แล้วทุกข์อีกถึงจะอยากสิ้นทุกข์หรือ รอให้ตัวเองมีกรรมแล้วค่อยใช้กรรมแล้วก็ถามว่าทำไมศิษย์ต้องเจอแบบนี้ ทำไมศิษย์ต้องเจอกับคนแบบนี้ ทำไมชีวิตศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าอาจารย์ตอบได้อาจารย์จะตอบว่าศิษย์เป็นคนขีดเส้นชีวิตตัวเอง ไม่มีใครขีดเส้นชีวิตนอกจากตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ได้รู้หนึ่งจุดคือจิตญาณเดิมแท้ที่เป็นสภาวธรรมที่ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ แต่มนุษย์อดไม่ได้ ขอมีตัวตนหน่อย ขอมีตัวหน่อยไม่ยอมว่าง ไม่ยอมปล่อย ถ้าเข้าถึงความว่างอะไรก็ไม่สนแล้ว ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ขอ ขอให้ศิษย์ทำบุญ อย่าทำบาปเลย อย่าสร้างบาปเลย เพราะถ้ากรรมมันตกผล อาจารย์จี้กงก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นกรรมของศิษย์เอง ฉะนั้นอย่าทำบาปเลยนะ  เชื่อพุทธะในตัวตน ดีกว่าเชื่อกิเลสครองกายครองใจตน แล้วก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม ตอนนี้ให้ศิษย์เลือก ไม่ต้องเชื่ออาจารย์ เชื่อในพุทธะความดีงามในใจตน เลิกเป็นทาสกิเลสตัณหาได้แล้ว ชีวิตมันปูนนี้แล้วนะ ยังไม่พออีกหรือ จริงไหม (จริง)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันจุกไปหมดแล้ว รออย่างเดียวว่าเมื่อไรศิษย์จะทำ ใช่ไหม (ใช่)  ลองไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดให้ดีๆ นะ อาจารย์ห่วง ห่วงจริงๆ แต่คงไม่มีใครเข้าใจ ศิษย์ห่วงแต่ตัวเองไม่มีกิน แต่อาจารย์มองต่าง จริงๆ ถ้ามีปัญญา มันจะอับจน ไม่มีกินหรือ ใช่ไหม (ใช่)  พบธรรมจึงเกิดปัญญา ปัญญาสอนให้เราฉลาด ธรรมสอนให้เราฉลาด  ไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เอาแต่กิเลสแต่ไม่เอาปัญญามันน่าเสียดายนะ จริงไหม (จริง) 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “มีธรรมเป็นมิตร” ดีกว่ามีกิเลส และมีความยึดมั่นถือมั่นตัวตนเป็นมิตรนะ ลองอ่านดูแล้วศิษย์จะเข้าใจ
เหมือนศิลากลิ้งมาทั้งสี่ทิศ       ทุกชีวิตไม่มีใครจะหนีพ้น
ศิลา อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่สูงเสียดฟ้า ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ฉะนั้นผู้ตระหนักรู้แล้วไม่ดำเนินชีวิตประมาท จึงพยายามประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อประจักษ์แจ้ง และหลุดพ้นการเวียนว่าย ตาย เกิด ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะไม่รู้ว่าชาติหน้าศิษย์จะได้เป็นคนแบบนี้ไหม ศิษย์มั่นใจหรือว่าศิษย์ดีพอจะได้กลับมาเกิดอีก จริงไหม (จริง) ไม่มีใครจะหนีพ้น
“รู้ประจักษ์แจ่มชัดไม่ประมาทตน  ประพฤติธรรมประเสริฐล้นเสบียงไกล”
ถึงแม้จะไม่พ้นแต่ก็ขอมีเสบียงคือปัญญาในการตื่นรู้ความเป็นจริงที่จะติดตามศิษย์ไป ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ให้ศิษย์ใฝ่ในดี ใฝ่ในธรรม ถ้าอยากทำบุญแล้วขอ อาจารย์อยากให้ศิษย์ขอว่า “ขอให้มีปัญญาใฝ่ดีใฝ่สิ่งที่ถูกต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายใครและขอให้บุญที่ศิษย์สร้างนั้นจงเป็นบุญที่สามารถทำให้ศิษย์กลับมาหนุนนำธรรมและมุ่งปฏิบัติธรรมจนพ้นทุกข์” ขอแบบนี้ดีกว่านะ จริงไหม (จริง) ประเสริฐกว่านะ ดีกว่าขอให้รวยใช่ไหม (ใช่) 
เกิดขึ้นแล้วไม่เสื่อมนั้นไม่มี ลองเอาไปคิดพิจารณานะ ที่อาจารย์กลั่นมาให้ศิษย์ ถ้าศิษย์พิจารณาศิษย์จะเกิดธรรมได้ทุกครั้งทุกขณะที่ศิษย์อ่าน อ่านร้อยครั้งก็จะแจ้งร้อยครั้ง แต่ถ้าไม่คิดอ่านเลย พอแจกหนังสือไม่ต้องเอาไปนะ เอาไปก็ไปรกบ้านเปล่าๆใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าคิดว่าอยากจะเอาไปอ่านเอาไปนะ หรือไม่ถ้าไม่อ่านก็เอาไปแจกให้คนอื่นต่อดีไหม (ดี) 
“มาจากธรรมคืนสู่ธรรม     ถ้ายังยึดตนก็มีกรรมหลงสร้าง
รู้ธรรมนำทางสว่าง          กระจ่างในทางแท้จริง”
อาจารย์ให้ไปพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงแห่งสัจจะ ที่ถ้ามุ่งมั่นทำจริงๆ เราเราจะพบธรรมได้ นั่นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า เมื่อใครด่าลองพิจารณามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ควรหรือที่เราจะต้องทนอยู่กับทุกข์แล้วถึงที่สุดเราก็ว่าง เขาก็ว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จากกันตอนเป็นก็จากกันตอนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดมีค่าที่สุดจริงหรือเปล่า (จริง)  ลองเอาไปพินิจพิจารณาแล้วศิษย์จะพบว่า ความไม่เที่ยงสามารถตัดความโลภ ความเป็นทุกข์  ความโกรธ และความว่างเปล่าสามารถตัดความหลงได้ทันทีเลย มันไม่เที่ยงจะโลภอะไร มันมีแต่ทุกข์จะโกรธไปทำไม โกรธแล้วก็มีแต่ทุกข์ใช่ไหม แล้วถึงที่สุดว่างเปล่า เมื่อว่างเปล่าแล้วจะหลงอะไร มีแต่หลงในความคิดของตัวเองว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แค่ฟังยังไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่ศิษย์ต้องเอาไปทำจริงๆ เริ่มต้นที่ตัวเองนะ ได้ไหม (ได้)   มีศีลมีธรรมแล้วเอาธรรมมาพิจารณาจนเกิดความปลดปลงและปล่อยวางเข้าถึงหนทางพ้นทุกข์ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ลองมาอุทิศเสียสละตนช่วยคนดีไหม (ดี)  เพราะทุกขณะที่ช่วยคนเราก็พบหนทางที่จะยึดหรือจะปล่อย หลงหรือจะไม่หลง ใช่ไหม
ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์ ถ้าชีวิตต้องเจอเรื่องราวอะไรที่หนักบ้าง แรงบ้าง จงดีใจที่ได้ชดใช้  จะทำอะไรตัดสินให้ดีว่าเรากำลังสร้างบุญ หรือกำลังสร้างบาป เรากำลังให้บุญ ให้ทาน ให้กุศลเขา หรือเรากำลังให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวดเขา  ขอให้ความสงบเย็นจงมีอยู่ในใจศิษย์ ขอให้ความร่มเย็นจงมีอยู่ในใจศิษย์ ขอให้ทางพ้นทุกข์จงคงอยู่ในใจศิษย์ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสเลย
มีโอกาสลองเอาไปปฏิบัติดูนะ อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวล้อเล่นมากนะ ดูแลตัวเองให้ดี ชีวิตมันยาก ใช่ไหม  ฉะนั้นจงรักษาความถูกต้องและดีงามนะ ลองเอาไปปฏิบัติดู
อาจารย์จะรอว่าเมื่อไรศิษย์จะตัดสินใจมุ่งมั่นช่วยเหลือคน  มีโอกาสลองเอาธรรมที่รู้ไปช่วยคน  ศิษย์มีจิตใจที่ดีงาม ศิษย์มีการประพฤติที่ถูกต้องแต่บางครั้งก็ไม่สามารถชนะอารมณ์ตัวเองได้ ฉะนั้นต้องเอาชนะให้ได้ มีจิตใจที่ละวางตัวตน คิดให้ถูกต้อง เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องนะ แม้มันจะเป็นทางทุกข์แต่เราก็พร้อมจะก้าวเดิน แม้การช่วยคนจะเป็นเรื่องยากแต่ขอให้ศิษย์ใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวที่จะทุกข์เพราะถ้าทุกข์นั้นทำให้เราช่วยคนได้นั่นคือหัวใจที่ประเสริฐ อย่ากลัวที่จะลำบากเพราะความลำบากนั้นกลับทำให้เราปลดปลงความยึดติดตัวตน
อาจารย์เชื่อมั่นในตัวศิษย์ เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นและความดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องทำให้ได้ หัวใจที่เสียสละนั้นเอาออกมาและนำพาผู้คนให้ถูก ต้องคิดดู ทำให้ได้นะ จิตแห่งโพธิ จิตแห่งพุทธะมีอยู่ในใจศิษย์ทุกคน ขอเพียงเอาชนะตัวตนให้ได้ ถึงแม้จะพูดถูก พูดดีแต่ก็ต้องระวังนะศิษย์ ดูแลตัวเองกันให้ดีนะ ดั่งปณิธานที่ตัวเองมุ่งมั่นไว้ ไม่ลืมคำ ไม่ลืมเลือนนะ 
สังขารไม่น่ากลัว สังขารเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นธรรมชาติของสังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ฉะนั้นอย่าลากจิตให้มีกรรม จงมีกรรมแค่สังขารเท่านั้น จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์มานานแล้ว ลองพิจารณาสิ่งที่อาจารย์พูดให้ดีนะ
ศิษย์เอ๋ยนรกมันน่ากลัวนะ อย่าล้อเล่น เชื่ออาจารย์เถิด เอาความดีที่ศิษย์มี ทำดีกว่า ทำแบบไม่ยึดติด ศิษย์เคยเห็นนายพรานที่รอกระต่ายวิ่งมาชนตอไหม จะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกไหม ไม่มี ฉะนั้นมองไปข้างหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด แค่นี้ก็โชคดีแล้วใช่หรือเปล่า เข้มแข็งนะ กรรมเรามีไว้ชดใช้ แต่เมื่อหมดกรรมเราก็พ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจที่เสียสละนะ
ศิษย์เป็นคนดีแต่มักจะหวั่นไหว ฉะนั้นรักษาความมั่นคงแห่งความซื่อตรงดีงามนั้นไว้ให้เป็นคุณธรรมคู่ใจ อย่าหลงผิด ระมัดระวังอารมณ์ให้มาก รักษาบุญนะเข้าใจไหม มีโอกาสสร้างบุญได้มาก อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำแค่นั้นเอง ดูแลตัวเองนะ เข้มแข็ง อย่าหลงติดกับดัก เป็นทาสของอบายมุขเลย มุ่งมั่นต่อไป ไม่ต้องกังวล ทำให้ดีที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมี มีหนี้กรรมก็ชดใช้ไป เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ชีวิตนี้เสียสละอุทิศ ถ้าทำได้ก็ประเสริฐ ใช่หรือเปล่า แต่ถ้าเสียสละ อุทิศไม่ได้ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองต้องรับ  ปณิธานมีแล้วจงเดินต่อไปให้ถึงที่สุด ปณิธานตั้งแล้วต้องทำให้ได้ ต้องดีที่สุด เป็นศิษย์ของอาจารย์ เรารู้หนทางแล้ว แต่แค่จะทำได้มากหรือน้อยอยู่ที่ตัวเรา รักษาความมุ่งมั่นตั้งใจให้ได้ตลอดไป ทำสิ่งที่ดีงามอย่ายอมแพ้
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว  ลองเอาสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณาดูนะ อาจารย์อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่อยู่อย่างคนมีกรรม แต่อยู่อย่างคนที่เข้าใจธรรมและนำพาศิษย์ให้พ้นทุกข์นะ คิดอะไรไตร่ตรองให้ดีอย่าตกเป็นทาสของกิเลสเลย อย่ายึดติดตัวตนเลย ตัวตนมันไม่เที่ยง ไม่มีอะไรให้ต้องยึดถือ ไม่มีอะไรที่จะต้องเจ็บปวด ให้กลับคืนสู่ธรรม ถ้าศิษย์ยังยึดติด ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วก็ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ลองไตร่ตรองดูนะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อช่วยศิษย์จริงๆ ไหม ลองพิจารณาดู มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึง มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุดอย่ายอมแพ้นะ ทุกข์อย่างไรก็   อย่ากลัว สักวันศิษย์จะพบทางสว่างด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและสู้ไม่ถอย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีธรรมเป็นมิตร”

เหมือนศิลากลิ้งมาทั้งสี่ทิศ           ทุกชีวิตไม่มีใครจะหนีพ้น
รู้ประจักษ์แจ่มชัดไม่ประมาทตน              ประพฤติธรรมประเสริฐล้นเสบียงไกล
เกิดขึ้นแลไม่เสื่อมนั้นไม่มี                      ทุกข์ไม่มีแก่การไม่เกิดได้
การเกิดเป็นทางแห่งทุกข์ไม่สิ้นไป             ตัณหานุสัยตัดให้สิ้นไร้รากยัง
          มาจากธรรมคืนสู่ธรรม               ยึดตนมีกรรมหลงสร้าง
รู้ธรรมนำทางสว่าง                            กระจ่างในทางแท้จริง


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา