วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-05 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二〇一八年歲次戊戌三月二十日                       仙佛慈悲訓
  วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เมื่อยามทุกข์ท้อแท้และสิ้นหวัง         พึงมีธรรมเป็นพลังให้สู้ใหม่
ยามใจร้อนวู่วามโกรธเคืองไป            พึงมีธรรมยั้งใจเรียกสติมา
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนรู้จักอาจารย์หรือเปล่า

  หวั่นน้ำกลิ้งใบบอนซ่อนปัญหา         ก่อศิลามาเหมือนทุกข์ใจสมัคร
ปราชัยทั้งสี่ทิศชีวิตติดกับดัก             หนีไม่พ้นรู้ชะงักคิดทบทวน
คนมีหนี้ประจักษ์ด้วยรอยกังวล          จันทร์ใครจะแจ่มพ้นเมฆรบกวน
เผยชัดตนประพฤติธรรมตามสมควร     บุรุษไม่ประมาทธรรมล้วนสำเร็จธรรม
ผู้ประเสริฐไกลเกิดดับหาไม่               เหลือล้นเสบียงขึ้นพุทธาลัยบริสุทธิ์ล้ำ
ดีชั่วเสื่อมสลายกุศลดั่งทองคำ            บำเพ็ญไม่นั้นแลกรรมตามปะทุ
บำเพ็ญไม่มีทุกข์เรียกบำเพ็ญไม่          อายุไม่มีแก่อย่างไรเรียกอายุ
ก่อนเกิดไม่ต้องการไม่สิ้นบรรลุ           ไฟได้คุอาศัยทุกข์ไปนิพพาน
เมื่อการเกิดเป็นทางแห่งวัฏฏะ           ไม่ตัดอนุสัยตัณหาจะกลายวัฏสงสาร
หากสิ้นไร้รากแห่งอวิชชานั้น             การเกิดให้ทรมานจะจบวน
ชินติดจากที่เป็นอยู่ประจำ               ไปมาธรรมยังติดให้สับสน
ธรรมคืนสู่ธรรมตนสู่ตน                  บุญกรรมหลงสร้างวนลืมขัดเกลา
รู้ไม่มีรู้แล้วไม่ศึกษา                       ให้ทางนำคุณธรรมตามบำเพ็ญเศร้า
จิตสว่างทางแท้ไม่มีเก่า                   จริงกระจ่างในจริงเย้ายั่วปัญญา

                                                                        ฮา ฮา หยุด


   พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้มาฟังธรรมเพื่อความสงบใจ ยิ่งยึดติดความคิดตัวเองก็ไม่มีวันสงบได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   มาฟังธรรมเพื่อความสบายใจแต่ถ้ายิ่งเห็นแก่ตัวเองยิ่งยึดติดความคิดของตัวเอง นั่งอย่างไรก็ไม่สบายใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นแต่ถ้ายิ่งฟังแล้วยิ่งยึดก็ไม่สบายไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ สมมติว่าถ้าอาจารย์มีเสื้อหนึ่งชุดเวลาใส่จะเอาตะเข็บไว้ข้างในหรือเอาตะเข็บไว้ข้างนอก (ไว้ใน) 
อาจารย์ถามแปลกๆ ก็ต้องเอาตะเข็บไว้ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในชีวิตคนเราอยากสัมผัสสิ่งที่ดี อยากรับรู้แต่สิ่งที่ดี ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่มีปัญหาหรือขรุขระ ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่เป็นรอยแตกแยกแล้วต้องมาเย็บต่อ อย่างนั้นทำไมเวลาใส่เสื้อผ้าคนจึงยอมเอาตะเข็บไว้ข้างในแล้วยอมเอาเรียบๆ ไว้ข้างนอก นั่นแปลว่าการใส่เสื้อก็เป็นการบ่งบอกให้เรารู้ว่าบางครั้งสิ่งใดที่ทำให้แตกแยก สิ่งใดที่ทำให้เกิดรอยร้าว สิ่งใดที่มองแล้วทำให้ขัดหูขัดตา เราควรเก็บไว้ และข้างนอกควรแสดงความเรียบง่าย ราบรื่น แต่ในความเป็นจริงมนุษย์เราใส่เสื้อเอาตะเข็บไว้ข้างนอกหรือเอาตะเข็บไว้ข้างใน (ไว้ข้างใน)  แม้แต่การใส่เสื้อ ศิษย์ยังรู้ว่าต้องเอาสิ่งที่ไม่สวยเก็บไว้ข้างในแล้วโชว์สิ่งที่สวยออกมา ให้ดูแล้วสบายหูสบายตา ฉะนั้นจิตใจของคนเราเมื่ออยากอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำไมชอบปล่อยอารมณ์ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ทำไมชอบปล่อยนิสัยทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำไมไม่ยอมเรียบๆ ง่ายๆ อะลุ้มอล่วยกัน ศิษย์เอยใส่เสื้อยังรู้จักเก็บตะเข็บ เก็บรอยร้าว เก็บความไม่ดีไว้ข้างใน แล้วชีวิตบางครั้งทำไมไม่รู้จักเก็บคำพูดไม่ดีไว้ข้างในบ้าง เพราะพูดไปมันก็ทะเลาะกัน มีเรื่องกัน บางครั้งสิ่งใดที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาไม่ถูกใจ อยู่ร่วมกันแล้วทำให้ชีวิตไม่ราบรื่น อยู่ร่วมกันแล้วทำให้เกิดรอยแตกร้าว เก็บไว้ข้างในดีกว่านะ ถึงจะพูดจริงแต่พูดแล้วทำให้เจ็บปวดบางครั้งไม่พูดดีกว่า
ฉะนั้นเวลาศิษย์นั่งนานๆ แล้วมีความสุขหรือมีความทุกข์ ศิษย์เก็บความรู้สึกไว้หมดเลยใช่ไหม ศิษย์มักจะบอกว่า “อาจารย์ แต่ถ้าบางครั้งเวลาที่เก็บไว้มากๆ ก็เกิดการเน่าในนะอาจารย์” ใช่ไหม ใส่แล้วมันก็อารมณ์เสีย    ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า พึงเอาธรรมมาล้างใจให้บริสุทธิ์ พึงรักษาใจบริสุทธิ์ด้วยธรรม” ฉะนั้นวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ธรรมล้างใจให้ศิษย์สะอาดบ้างไหม ฟังมาค่อนวันแล้ว ธรรมสามารถชำระล้างใจให้เราสว่าง สงบบ้างไหม ถ้าฟังแล้วยังเหมือนเดิมแปลว่าเสียเวลาเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในโลกนี้สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่ค่อยเป็นสุขนั่นก็คือความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่สองก็คือความหวาดกลัว อย่างที่สามก็คือปัญหา เราพยายามที่จะอยู่ร่วมกับสามสิ่งนี้ให้ได้แต่บางครั้งก็ใช่ว่าจะหนีพ้น จนถึงที่สุดจนแล้วจนรอดอย่างไรก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ปัญหา และความหวาดกลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ลึกๆ ในใจของศิษย์ทุกคนกลัวเหงาไหม (กลัว, ไม่กลัว)  บางคนก็กลัว กลัวโดดเดี่ยวไหม ใครไม่มีคู่คงกลัวโดดเดี่ยวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่มีคู่แน่ใจหรือว่าไม่กลัวโดดเดี่ยวถูกไหม (ถูก)  แล้วกลัวปัญหาไหม (กลัว)   มีใครหนีปัญหาพ้นไหม (ไม่พ้น)  ทุกคนล้วนมี (ปัญหา)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า เมื่อใจว่างทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน เมื่อใจยังยึดติดถือมั่นยึดมั่นไม่ยอมอะไรง่ายๆ ทุกสิ่งก็ง่ายที่จะก่อเกิดเป็นปัญหา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนนี้ไม่คิดมากถ้าคนนั้นเราไม่ยึดติดเราจะทุกข์กับใครไหม ถ้าเราทำเต็มที่ทำดีที่สุดแล้วพยายามเต็มกำลังแล้วได้หรือไม่ได้เราไม่ยึดเราจะทุกข์ไหม จะเป็นปัญหาไหม แปลว่าใจของศิษย์ทุกคนมันไม่เคยว่างใช่ไหม ใจศิษย์ทุกคนยึดหมดเลยใช่ไหม (ใช่)  เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อหาความสงบให้กับชีวิต แต่ถ้าเราเอาแต่ยึดติดถือมั่นแล้วเราจะพบความสงบไหม เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาใช่หรือไม่
สมมติถ้าใจเราไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความเกลียด ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความขี้บ่นขี้น้อยใจ ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความหลง อะไรมันเกิดขึ้น เราจะน้อยใจไหม ใจก็น้อยใจไม่เป็นเพราะไม่เคยน้อยใจมาก่อน โมโหไม่เป็นเพราะไม่รู้ว่าโมโหเป็นอย่างไร บ่นคนอื่นไม่เป็นเพราะไม่เคยบ่นใคร ว่าใครไม่ดีไม่เป็นเพราะใจไม่เคยคิดว่าใคร ฉะนั้นใครไม่ดีมองไม่เป็นเพราะในใจไม่เคยมีสิ่งไม่ดีในใจ นั่นแปลว่าถ้าเราด่าใครว่าเป็นอย่างไร แสดงว่าในใจเรามีสิ่งนั้นทั้งหมดใช่หรือไม่ ถ้าเราเห็นข้างนอกไม่ดีอย่างไร แสดงว่าในใจเรามีสิ่งนั้น มิเช่นนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าใจว่างทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน แต่ถ้าใจยังยึดมั่นถือมั่น ยังมีตะกอน ยังมีกิเลสอยู่ เห็นอะไรก็เป็นปัญหา เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จริงไหม (จริง)
ฟังธรรมมาตั้งนานเราเคยเอาธรรมมาล้างใจบ้างไหม ถ้าเห็นอาจารย์หลอกลวงก็แปลว่าใจศิษย์เคยหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นว่าอาจารย์เก๊ศิษย์ก็มีความเก๊อยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะเอาแต่ไปโทษเขาว่าเขาเป็นตัวปัญหา โทษเขาว่าเขาเป็นตัวสร้างความไม่ดีให้เรา ดั่งเช่นที่อาจารย์บอก รอยตะเข็บเสื้อเรายังรู้จักเก็บไว้ข้างใน คำพูดและการกระทำที่ไม่ดี ถ้าทำแล้วมันก่อเกิดการแตกแยก ทำแล้วมันก่อความทุกข์ให้กับผู้อื่น เก็บไว้ไม่พูดดีกว่าไหม (ดี)  เพราะศิษย์รู้ไหมว่าด่าเขาไปแล้ว ว่าเขาไปแล้วภายหลังมา “ขอโทษแล้วขอคืนดี” มันหายหรือ (ไม่หาย)  ถ้าเขาด่าศิษย์แล้วบอกว่า “อย่าโกรธกันนะ” เราจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้ว่า ถ้าเกิดใจเราสะอาด ใจเราบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนมันก็สะอาด อยู่ที่ไหนมันก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าใจเรามันสกปรก ใจเรามันยึดติด ใจมันเอาแต่ติฉินนินทา อยู่ที่ไหนมันก็ติฉินนินทาสกปรกและไม่บริสุทธิ์ จริงไหม (จริง) 
ศิษย์มักจะพูดว่า “อาจารย์ ศิษย์เหงาจัง ศิษย์เบื่อจัง ศิษย์เหนื่อยจัง ทำไมการเป็นคนดีมันเหนื่อยขนาดนี้” ใช่ไหม (ใช่)  อยู่คนเดียวถ้ารู้จักสู้ชีวิต เข้าใจชีวิต และรู้คุณค่าชีวิตแล้ว ไม่มีเวลาเหงานะ ต้องทำชีวิตของตัวเองให้มีค่าที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พวกที่นั่งเหงาหงอยนั้นไม่รู้จักคุณค่าตัวเอง เอาแต่เหงาหงอย ไม่มีความสุขเลย คิดว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ ศิษย์เบื่อ เป็นไหม (เป็น)  ศิษย์เอ๋ย คนเราเกิดมามีร่างกายก็ยากแล้วใช่ไหม (ใช่)  สมประกอบก็ยิ่งยากใหญ่ แล้วอายุปูนนี้อีกก็ยิ่งยากแล้วใช่ไหม ฉะนั้นยังมีเวลาเหงาหงอยอีกหรือ น่าจะดีใจว่า อายุขนาดนี้ฉันยังรอดอยู่ได้เป็นเรื่องดี ฉะนั้นต้องกระปรี้กระเปร่า สดชื่น เข้มแข็ง อยากมีความสุขอย่ามัวแต่รอพึ่งลำแข้งคนอื่น แข้งตัวเองก็มีทั้งสองข้าง ถูกไหม (ถูก)  รอแข้งคนอื่นนั้นเหนื่อย พึ่งตัวเองดีกว่าไม่เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ใครไม่ยิ้ม เรายิ้ม ใครไม่สุข เรามีสุข  และก็ทำให้คนรอบข้างมีสุข ใช่ไหม (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งศิษย์ต้องจำไว้ ถ้าเราประพฤติถูกต้อง มีศีลธรรม ไม่ต้องกลัวเหงาหงอย ไม่ต้องกลัวตายเลย จริงไหม (จริง)  เป็นคนดีมีศีลธรรมไหม (เป็น) ฉะนั้นพรุ่งนี้ตายกลัวไหม (ไม่กลัว)  ที่ยังกลัวนั้นแสดงว่ายังไม่มีศีลธรรมใช่ไหม  
ศิษย์จำไว้นะ คนไหนที่กลัวตายแปลว่าคนนั้นยังดีไม่พอ คนไหนที่มีชีวิตแล้วสร้างคุณค่าของชีวิตให้ถูกต้องในศีลธรรม แม้วันนี้จะตายหรือขณะนี้จะตายก็ไม่กลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าทำตัวถูกต้องแล้ว หลักการต่อไปที่อาจารย์อยากจะถาม ศิษย์ก็อยากมีสุขนะ แต่ศิษย์เคยไหมที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่ทำไมเหมือนอยู่ ตัวคนเดียวเป็นไหม วันนี้นั่งฟังธรรมอยู่กับคนมากมาย แต่เหมือนมานั่งฟังคนเดียวเลยใช่ไหม หันไปคนนี้ก็ไม่รู้จัก คนนั้นก็ไม่รู้จัก รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่คนเต็มห้องเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอยถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุขอย่ารอให้ใครต้องดีกับเรา อย่ารอให้ใครต้องพูดกับเรา อย่ารอให้ใครต้องช่วยเราเพราะการเอาแต่รอเท่ากับลดคุณค่าตัวเอง แล้วยิ่งรอว่าหวังจะพบคนดีๆ หวังจะพบเพื่อนดีๆ หวังจะพบคู่รักดีๆ ยิ่งหวังจะพบก็ยิ่งไม่เจอเพราะยิ่งหวังก็คาดหวังว่าต้องดีกว่านี้ใช่ไหม (ใช่)  แทนที่เราจะได้เพื่อนดีหรือมิตรแท้ แต่มีใจจะคอยจับผิดอยู่ตลอดเวลาเพราะหวังจะพบสิ่งที่ดีสุดท้ายศิษย์ก็ไม่มีวันพบเจอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในทางกลับกันถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วอยากมีสุขง่ายๆ คือเป็นคนที่ดีมากกว่ารอคนอื่นดีกับเรา  ดีให้สุด เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนดีที่สุด เป็นสามีภรรยากันก็เป็นสามีภรรยาที่ดีที่สุด เมื่อเราพยายามเป็นให้ดีที่สุดแปลว่าเราจะไม่มีเวลาจับผิดเพื่อน จับผิดใคร ตำหนิว่าใคร เพราะจะถามตัวเองว่าดีหรือยัง
เราไม่มัวหวังวอนขอใคร เพราะจะพยายาม “ให้” ให้มากที่สุด ทำให้ดีที่สุด และเมื่อเป็นอย่างนี้ทุกวันทำดีที่สุด ทุกวันให้ดีที่สุด มันจะมีเวลาเหงาไหม จะมีเวลาเศร้าไหม (ไม่)  แต่ทุกวันจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ปัจจุบันนี้ศิษย์อยู่บนโลกเอาแต่เฝ้าถามว่า “ใครที่เป็นมิตรแท้ ใครที่รักเราจริง” แต่ไม่เคยถามว่าตัวเองเคยดีกับใครหรือยัง ตัวเองเคยรักใครจริงหรือยัง เพราะมัวหวังว่า “โน่นต้องดี นี้ต้องดี” แล้วกลายเป็นจับผิดคิดร้าย แต่ถ้าเมื่อไรเรากลับกันว่า ฉันต้องดี จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด จะเป็นคนทำงานที่ซื่อตรงสุจริตที่สุด จะเป็นสามีภรรยาที่ดีที่สุด แล้วจะมีเวลาจ้องจับผิดใครไหม แล้วจะมีเวลาไปตำหนิด่าใครหรือไม่ ถ้าเราทำดีที่สุดไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรัก ไปอยู่ที่ไหนก็มีคนต้องการจริงไหม ไปอยู่ที่ไหนเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด เราทำเต็มที่ที่สุด เราตั้งใจที่สุดจะมีใครรังเกียจเราไหม จะมีใครรำคาญเราไหม (ไม่มี)  และถ้ามีคนถามเราว่า “เธอจะดีไปถึงไหน” ให้ดีใจไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งตอบไปเลยว่า “ก็จะดีจนกว่าเธอจะดีนั่นแหละ” ใช่ไหม (ใช่)
การมีชีวิตอยู่ในโลกนั้นยากไหม ศิษย์ดีเกินหน้าเขามันก็ผิด ฉะนั้นเวลาที่เราได้ดีศิษย์ต้องรู้จักแบ่งปัน เวลาเรามีผลสำเร็จเราต้องยกย่องผู้คนที่อยู่เคียงข้างและช่วยเหลือเรา ฉะนั้นเมื่อไรที่เราได้ผลสำเร็จของความดี เราต้องบอกว่า “ขอบคุณทุกคนนะ ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะมีพวกเธอทุกคน” แล้วใครจะอยากกดเราให้แย่ เราบอกว่า “เพราะเธอทุกคนจึงมีผลสำเร็จของความดีนี้” ทุกอย่างนั้นมีทางขึ้นอยู่กับว่าศิษย์จะใช้ธรรมเป็นทางหรือเอาอารมณ์ความเคยชิน เป็นทางในการดำเนินชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  
เราเรียนรู้ธรรมไม่ใช่แค่เพียงเพื่อการเป็นคนดี ไม่ใช่แค่มีสมาธิเก่ง ไม่ใช่แค่ทำบุญเก่ง แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่าทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจทุกข์ ดับทุกข์ได้ และค้นพบธรรม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าเรามาเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจชีวิตที่เรียกว่าทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาแล้วแก่ ทุกข์ไหม (ทุกข์) แก่แล้วเจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยังไม่ทันแก่แล้วเจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นแปลว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดาถูกไหม (ถูก)  มีลาภก็ (เสื่อมลาภ)  มียศก็ (เสื่อมยศ)  มีสุขก็ (มีทุกข์) มีได้ก็ (มีเสีย)  เป็นธรรมดาของโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าโลกธรรมแปด ที่หนีไม่พ้นทุกข์ทั้งแปด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีทุกข์สองอย่างแล้วนะ  ธรรมดาโลกคือเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอย่างหนึ่งคือ มีโลกธรรมแปด นั่นก็คือทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีทุกข์อื่นๆ อีกคือไม่มีเหาใส่หัวก็ชอบเอาเหามาใส่หัว นั่นคือชอบเอากิเลส ตัณหา ความอยากมาครอบงำจิตใจจนก่อให้เกิดทุกข์ แล้วทุกข์นั้นยังก่อให้เกิดบาปกรรมและการเวียนว่ายใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์ฟังธรรมก็ต้องเข้าใจว่าทุกข์มาจากไหน ทุกข์คือความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ที่เรียกว่าธรรมดาโลกคือ แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ (ไม่ชอบ)  หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  แล้วยังทุกข์ที่เรียกว่า   มีได้ มีเสีย มีสุข มีทุกข์ มีสมหวัง มีผิดหวัง เป็นโลกธรรมแปดที่หนีพ้นไหม  (ไม่พ้น)  แล้วยังมีทุกข์อีกอย่างคือ มองในสิ่งที่ไม่อยากมอง อยากได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ ผิดศีลก็ยังทำทั้งโกหกคนและด่าคน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสร้างทุกข์แบบนี้ใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นต้นเหตุ (ตนเอง)  แล้วขอฟ้าให้ล้างกรรมให้ได้ไหม ไปบนบานฟ้าบอกว่าถ้าพ้นกรรมแล้วจะถวายไก่เจ็ดตัว หมูห้าตัว อย่างนี้ยิ่งสร้างกรรมเพิ่มไหม (เพิ่ม) 
กิเลสคือรากเหง้าแห่งทุกข์และบาปทั้งมวล ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส ศิษย์ก็หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวร กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยพอกับทุกข์ที่เรามีไหม แล้วเคยคิดที่จะแก้ไขทุกข์ไหม (เคย)  เคยด้วยการไปแผ่เมตตาแล้วก็ไปฆ่าใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าคนดีจริงหรือกลับกลอกหลอกลวง  (กลับกลอกหลอกลวง)  ฉะนั้นเราควรขอฟ้าให้แก้ทุกข์หรือขอตัวเองให้หยุดตกเป็นทาสของกิเลส (ขอตัวเอง)
ใจของมนุษย์เป็นสิ่งละเอียดจับต้องได้ยาก แต่หวั่นไหวได้ง่ายและง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ที่รักใคร่และปรารถนา ถ้าเมื่อใดมนุษย์สามารถที่จะควบคุมใจได้และระงับกิเลสตัณหาได้ ศิษย์จงเอาใจนั้นเป็นผู้นำที่จะนำพาให้ศิษย์พบความสงบ แต่ที่ใจละเอียดยังง่ายหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่รักใคร่ ยังง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่ถูกกระทบ แต่ไม่สามารถควบคุมและยับยั้งกิเลสได้ ใจนั้นแหละที่จะพาให้ศิษย์วุ่นวายและไม่จบสิ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่า “ศิษย์เป็นใจแบบไหน” เคยยั้งกิเลสทันไหม เคยรู้เท่าทันกิเลสก่อนมันตกผลหรือไม่ ไม่เคยเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์นับถือศาสนาพุทธ ใช่ไหม  อย่างนั้นอาจารย์ขอถามตั้งแต่รากเหง้าของศาสนาพุทธเลยว่า “เพราะมีอวิชชาจึงก่อเกิดตัณหาและอุปาทาน” เพราะไม่รู้จึงเกิดการอยากและยึด แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้ เราก็จะไม่อยากไม่ยึด แล้วรู้ที่จะสามารถระงับยับยั้งชั่งใจ ไม่ตกเป็นทาสกิเลสแล้วอาศัยใจเป็นผู้นำพาความสงบให้กับชีวิต” อาจารย์ขอยกคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เราฟังธรรมมามาก แต่ทำไมเราไม่เคยมีธรรมเกิดขึ้นในใจและธรรมก็ไม่เคยยั้งใจตัวเองได้สักที” 
พระพุทธะจึงกล่าวไว้จำไว้เลยนะศิษย์ เมื่อไรที่ใจว่างจงหมั่นพิจารณาธรรมแล้วธรรมจะปรากฏขึ้นในใจ เมื่อธรรมปรากฏขึ้นในใจ  ศิษย์จะพบความจริงแท้แห่งชีวิตที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ เมื่อไรที่ใจว่างแล้วลองเอาธรรมมาพิจารณา ธรรมจะบังเกิดขึ้นภายในใจ แล้วเมื่อบังเกิดแล้วธรรมนั่นแหละที่จะสามารถทำให้เราเข้าใจชีวิตและปลดทุกข์ได้ เราเคยใจว่างไหม แล้วเราเคยคิดเรื่องธรรมะไหม ศิษย์เอยในชีวิตนี้ศิษย์เคยคิดอะไรแบบธรรมะๆ บ้างไหม (เคย)  ถ้าเคย ธรรมต้องอยู่กับตัวต้องไม่หายไปไหน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เคยมันเหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี เหมือนจะมาแต่ก็ไม่มา เหมือนจะอยู่แต่ก็ไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์คือคนหนึ่งที่อยากมีธรรม ตอนที่ว่างๆ ลองคิดเรื่องธรรมะบ้างสิ เอาง่ายๆ ธรรมอะไรที่ทำให้เราคิดแล้วปลดปลงปล่อยวางได้แล้วดับทุกข์ได้ ตอบว่า (ปล่อยวาง) 
ศิษย์บอกว่า เอาคำว่าปล่อยวางมาพิจารณาให้เกิดธรรมเพื่อดับทุกข์ บอกว่าปล่อยวางแต่มันไม่ปล่อยถ้าไม่รู้กระจ่างแจ้ง  บอกว่าพยายามไม่ยึดมั่น ถือมั่น แต่มันก็ไม่ยึดไม่ได้ ยังรู้สึกว่า “ทำไมปล่อยไม่ได้ หนูอยากปล่อยแต่ปล่อยไม่ได้” นั่นแปลว่ายังไม่ถูก
(โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ทั้งๆ ที่รู้แต่ยังทำไม่ได้) ศิษย์ยังใช้คำว่าอภัยไหม ถ้ายังอภัยแปลว่ายังโกรธอยู่ ถ้าไม่โกรธแล้ว ก็ไม่ต้องอภัย ศิษย์ยังต้องอดทนอยู่ไหม ถ้ายังไม่พอใจยังต้องอดทนแสดงว่ายังแอบไม่พอใจอยู่ ถ้าคนที่ไม่มีโกรธใครแล้ว ไม่โลภ ก็ไม่ต้องอดทนไม่ต้องอภัย
มีศิษย์ท่านนี้ตอบอาจารย์ว่า “เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม”  ศิษย์เอ๋ยเราจะรู้ธรรม แล้วคนโดยส่วนใหญ่จะปฏิบัติธรรมโดยการใช้คุณธรรรมถูกไหม เวลาเจอสิ่งไม่ดีเราก็พยายามใช้ความเมตตา กรุณา ซื่อตรง มโนธรรมสำนึก ซื่อสัตย์ แต่การใช้คุณธรรมเหล่านี้อย่างมากสุดถ้าทำได้ดี จะเรียกได้ว่าแค่เป็นผู้ประเสริฐ แต่ยังหาพ้นทุกข์ได้ไม่
ศิษย์หลายต่อหลายคนมักจะพยายามเอาความเมตตา มาใช้เพื่อดับทุกข์ เอาความซื่อตรงมาใช้เพื่อขจัดทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกว่าคุณธรรมที่เรียกว่าความเมตตา มโนธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม สุจริตธรรม ความซื่อตรงจริงใจ เอามาใช้ได้ในการอยู่ร่วมกับผู้คนเพื่อไม่ก่อเกิดกิเลส แต่ยังไม่สามารถทำให้มนุษย์สิ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้มนุษย์สิ้นทุกข์ได้ และสามารถเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง คือ พิจารณาความเป็นจริงจนบังเกิดปัญญา แล้วเอาธรรมอะไรล่ะมาพิจารณา เมื่อสักครู่ ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ดี ความไม่เที่ยง” จริงไหม (จริง)  ใครด่าเรา เราคิดแค่เพียง “ไม่เที่ยง” ต้องพยายามปล่อยวางไหม เราจะพยายามยึดติดไหม เพราะมัน (ไม่เที่ยง)  ใครชมเรา เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เราจะยึดไหม เราจะโกรธไหม เราจะหลงไหมทำไมล่ะ (ไม่เที่ยง)  แล้วถึงเวลาศิษย์หลงไหม  เพราะฉะนั้น ศิษย์เอ๋ย เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาเนื่องๆ จะเข้าใจความไม่สมบูรณ์ เมื่อเราเข้าใจความไม่เที่ยง พิจารณาความไม่สมบูรณ์ ศิษยก็จะไม่ยึดติดและตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่ตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วมองเห็นชัดว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ สมบูรณ์ที่สุดก็ยัง (ไม่เที่ยง)  ในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดอาจจะมีความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ ศิษย์จงดีใจอย่างหนึ่งว่าในความสมบูรณ์ที่สุดก็มีความเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถึงแม้เราจะแก่ถึงแม้เราจะดำ ถึงแม้เราจะอ้วน ถึงแม้เราจะเหี่ยว แต่เราสมบูรณ์ในความแก่ดำเหี่ยวอ้วนถูกไหม (ถูก)  ไม่มีใครเหมือนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความสมบูรณ์ของแก่ดำเหี่ยวอ้วนนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ทุกชีวิตไม่แน่เราจะกล้าว่าเขาอ้วนไหม ถ้าวันหนึ่งเขาผอมกว่าเรา ตอนนั้นเรานั่นแหละอ้วนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราว่าเขาดำแต่ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งเราดำกว่าเขา เราก็ (ดำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาเนื่องๆ ศิษย์จะเห็นความไม่สมบูรณ์พร้อมของทุกชีวิตแล้วศิษย์ก็จะไม่ตัดสินและรังเกียจว่านี่ไม่ดีและก็ไม่ตัดสินว่าตัวเองดี เพราะตัวเองเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ฉะนั้นเมื่อมีความไม่เที่ยงอยู่หาความสมบูรณ์ไม่ได้ หาความแน่นอนไม่ได้จะโกรธ  เกลียด จะรักไหม (ไม่)  ไม่รักเพราะมันก็ไม่ (เกลียด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเข้ามันจะยึดไหม (ไม่ยึด)  ต้องพยายามปล่อยไหม (ไม่)  ไม่ต้องปล่อยเพราะไม่อยากได้ตั้งแต่แรก เพราะไม่มีอะไรแน่นอน  เราจึงอยู่ร่วมกับเขาอย่างไม่ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือเราก็ไม่ต้องพยายามปล่อยวางเพราะเราพิจารณาธรรมจนเห็นแจ้งค้นพบความสงบ ไม่ตัดสินใครว่าดีเกินไปและไม่วิพากษ์วิจารณ์ว่าใครแย่เกินไป เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมนี้จะทำให้เราเข้าใจและค้นพบความสงบและไม่ตัดสินผู้คนว่าเธออ้วนหรือเธอผอมใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่ปักใจจะยึดมั่นไหม (ไม่) เมื่อไม่ยึดมั่นจะปล่อยวางไหม (ไม่) แล้วต้องพยายามจบไหม (ไม่) มันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย จริงไหม (จริง) ก็คือมันหยุดตั้งแต่อยากได้เลย
อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าจะเอาอะไรไหม เงินเอาไหม (เอา)  จึงมีคำกล่าวของคนโบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์ปรารถนาความสมบูรณ์จึงหนี ไม่พ้นการชิงดีแก่งแย่ง มนุษย์ปรารถนาความอยากได้อยากมีจึงหนีไม่พ้นการทะเลาะเบาะแว้งและภัยพิบัติ ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความโลภ ไม่มีความผิดพลาดใดในชีวิตน่ากลัวและเลวร้ายเท่ากับความอยากที่ไม่รู้พอ
ฉะนั้นคนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า ยอมต่ำจึงได้ ใช่หรือไม่ เพื่อพยายามยกตัวให้สูง คนจึงพยายามกดให้เราต่ำ ยอมเก่าคนจึงอยากให้เราใหม่ ยอมอ่อนจึงคงอยู่ ถ้าแข็งจะแตกหักและมีอันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ฟังธรรมมาตั้งเยอะ เคยน้อมเอาธรรมสู่ใจบ้างไหมใช่ไหม (ใช่) ชีวิตมันทุกข์แล้วนะ ใช่ไหม(ใช่)
แก่นของเงินคือการสร้างคุณค่า แก่นของการมีชีวิตคือกลับคืนสู่ธรรมใช่ไหม (ใช่)   ชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ธรรมจริงไหม (จริง)  สูงแค่ไหนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วสิ่งที่เรียกว่าของเรานั้นมันใช่ของเราโดยแท้จริงไหม  (ไม่ใช่)  มันมาจากธรรมชาติ แล้วเราก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ แต่ตอนนี้เรากำลังหลงตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ส่วนธรรมทำให้เราเห็นแจ้งจริง ธรรมทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง ธรรมทำให้เรากลับคืนสู่ธรรมและพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  
ชีวิตยึดได้ไหม ความเข้มแข็งยึดได้ไหม ยังมีวันอ่อนแอ ยังมีวันแปรเปลี่ยนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริงจึงอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ อาจารย์ก็หวังว่าวันนี้จะทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมบ้างไม่มากก็น้อย วันนี้เรามาฟังเพื่อสั่งสมเหตุปัจจัยในการดับทุกข์ รู้ทุกข์ด้วยสติปัญญาและตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมะไม่สอนแค่เพียงให้เป็นคนดีคนประเสริฐ คนทำบุญเก่ง แต่ธรรมะยังก้าวต่อไปอีกคือ ให้เป็นคนที่เข้าใจความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์จนมองเห็นและกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่มันอยู่ภายใน
เมื่อไรที่ศิษย์เอาธรรมมาหยั่งใจ ธรรมอะไรที่ศิษย์จะเอามาพิจารณาประจำ คนเราจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ฉะนั้นใครด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  ถ้าอยู่กับปัจจุบันจะสนใจไหม ตอนนี้เราเคยเป็นเด็กเคยแข็งแรงมาก่อน เราจะเศร้าไหม ศิษย์จงอยู่กับปัจจุบัน ถ้ามัวอาลัยกับความเข้มแข็งเราก็จะอ่อนแอไม่จบสิ้น ก็แค่ยอมรับความจริง ป่วยก็ได้ ป่วยแล้วก็กลับมาเข้มแข็งได้ กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย กายเหี่ยวแต่ใจไม่เหี่ยว กายแก่แต่ใจไม่แก่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรมศิษย์จะเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนในโลก ศิษย์จะไม่รักใครมาก ไม่เกลียดใคร แต่จะอยู่กับเขาอย่างผู้ร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เราก็มีทุกข์ ด่าเขา เราก็มีทุกข์เขาก็ทุกข์ จะด่าทำไม เพราะไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อเข้าใจความไม่แน่นอน เมื่อเห็นชัดเราก็พบความสงบโดยที่ไม่ต้องไปไหน อยู่กับใครเราก็สงบ ศิษย์เอาธรรมไปพิจารณา แล้วธรรมจะบังเกิดขึ้นในใจตัวเองและสามารถดับทุกข์ได้ ขอแค่เพียงกล้ายอมรับความจริง แก่ได้ เจ็บได้ ตายได้ แต่แก่ เจ็บ ตายอย่างคนเห็นธรรม ไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสเป็นทางแห่งบาปและกรรมเวรทั้งมวล เมื่อไรที่ยังตกเป็นทาสกิเลส ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาป เวรกรรมที่ศิษย์ก่อ  ไปไหว้พระเก้าวัดล้างซวยก็ล้างไม่ได้นะ ถ้าศิษย์ไม่เลิกซวยด้วยตัวเอง
ฉะนั้นถ้าอยากคุยกับอาจารย์โปรดติดตามตอนต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ วันนี้ถือว่าเป็นน้ำจิ้มดีไหม เดี๋ยวดูต่อว่าอีกสองสามวันที่เหลือ ศิษย์จะยังมีบุญกับอาจารย์หรือไม่ ฉะนั้นรู้จักสร้างบุญ อย่าสร้างกรรม เข้าใจไหมศิษย์ รู้จักวางตัวเองให้ดำรงอยู่กับความเป็นจริง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย เราเรียนรู้ความจริงเพื่อเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์อย่างคนที่ตื่นรู้ในธรรม ไม่ใช่อยู่กับทุกข์แล้วจมกับความทุกข์ ฝึกจิตให้เบิกบาน เย็นเข้าไว้ เย็นให้มากๆ เพราะคนที่เผาตัวเองก็คือตัวเรา คนที่โกรธ เกลียดและเจ็บปวดก็คือใจของเรา เอาธรรมนำชีวิต อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ และว่างๆ จงเอาธรรมมาพิจารณาจนบังเกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเจออะไร ธรรมนั้นจะช่วยดูแลรักษาใจให้ศิษย์พ้นภัยทั้งมวล
ขอเพียงซื่อตรงในศีลธรรมให้ได้ก่อนนะใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นคนศีลธรรมมีไม่ครบคบไม่ได้นะใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรักษาจิตรักษาใจให้สะอาดนะ ดูแลหัวใจและร่างกายของตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ว่าเจอสิ่งใดอย่ากลัวที่จะเรียนรู้และยอมรับ เพราะบางครั้งความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ทุกข์จริงไหม (จริง)  ทุกข์ไม่น่ากลัว ความเจ็บไม่น่ากลัว ความตายก็ไม่น่ากลัว อาจารย์บอกได้ความตายไม่น่ากลัวถ้าศิษย์ประจักษ์เนื้อแท้ในธรรมของตน ความตายคือการปลดปลงสังขารเพื่อคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง แต่การยึดมั่นและหลงผิดนั้นน่ากลัวกว่านะ ลองพิจารณาให้ดีว่า วันนี้สิ่งที่อาจารย์พูดเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกยังไม่ต้องเศร้านะใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะเราก็สู้ต่อไป ทำสิ่งใดจงอยู่บนพื้นฐานความดีงาม ถูกต้อง เป็นจริง อย่ามีเรื่องนะเก็บตะเข็บไว้ข้างในเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วถ้าเก็บแล้วมองให้เห็นจริงแล้ววางเสียล้างใจเสียให้สะอาดจะได้ไม่เน่าในนะ


วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ชีวิตโลกกว้างทางไกล                  เข้าใจก็ไม่เป็นทุกข์
ทุกครั้งที่ต้องล้มลุก                       ปัญหามาปลุกจิตใจ
ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม                   ไม่พร้อมสู้ไฟไม่ไหว
ทนได้ไม่สู้รู้ไฟ                             แจ้งใจไฟไม่ร้อนเลย
    เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา   ลงสู่พุทธสถานผู่ถีอีกครา แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว       ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม

บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก   ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย   รู้ชาติเดียวดังที่เป็น  ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว  เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญแหละหนาก็คือทุกอย่าง   ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน  พร้อมจะทำก็ไม่ยาก  หากรอมีใครจะพร้อม  ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้
ใช้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตบำเพ็ญจริงจัง  คนสร้างโชคด้วยมือมิใช่บีบคั้น  ใช้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตมีคุณอนันต์ ข้าเชื่อใจศิษย์นั้นว่าทำได้ดี รู้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตบำเพ็ญจริงจัง  ข้าเชื่อใจศิษย์นั้นว่าทำได้ดี

ทำนองเพลง : ทั้งชีวิต
ชื่อเพลง : เรียนทั้งชีวิต
หมายเหตุ:
     เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทในงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์  วันที่  ๑๙ - ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้ามีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งเรียกว่าสุข อีกทางหนึ่งเรียกว่าทุกข์ ศิษย์จะเอาสุขหรือเอาทุกข์  ผู้ปฏิบัติธรรมตอบด้วยนะว่าอย่างไร (ทุกข์)  มั่นใจนะ เอาทุกข์นะ เอาทุกข์หรือเอาสุข (เอาสุข)
ถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตที่เรียกว่าความทุกข์ ศิษย์ต้องเดินทางทุกข์แล้วศิษย์จะพบสุข แต่ถ้าศิษย์เดินทางสุขศิษย์กลับจะได้พบคำว่าทุกข์ จริงไหม (จริง)  พยายามหาสุขเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น แต่ยิ่งพยายามค้นหาความทุกข์เท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใจและพ้นทุกข์มากเท่านั้น แล้วยิ่งศิษย์เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม คนที่จะปฏิบัติงานธรรมแล้ว ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์ศิษย์ยิ่งต้องเดินเข้าไป เพราะยิ่งทุกข์เราจะยิ่งค้นพบทางพ้นทุกข์ และเราจะยิ่งช่วยให้เขาพ้นทุกข์ คนที่จะปฏิบัติธรรมทางที่ศิษย์เลือกเดินง่ายไหม (ไม่ง่าย)  สุขไหม  คนที่จะปฏิบัติธรรมคือคนที่ต้องกล้าจะเผชิญความทุกข์ และพระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านเลือกทุกข์หรือเลือกสุข (ทุกข์)  ท่านเลือกมีเงินหรือท่านเลือกทิ้งเงิน (ทิ้งเงิน)  แล้วศิษย์ล่ะ เอาเงิน เอาสุข แต่ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาเงิน เอาทุกข์ แต่ถึงสุดท้ายท่านพ้นทุกข์ และยังนำพาเวไนยให้รู้ตื่นและก็พ้นทุกข์ แต่เราเลือกทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  ถ้าเราเข้าใจทุกข์จนเต็มที่แล้วศิษย์จะต้องวิ่งไปหาความสุขไหม ทุกข์ก็กลายเป็นสุข แล้วชีวิตนี้ต้องกลัวอะไรไหม ตั้งแต่เราเกิดมาสุขมากกว่าหรือทุกข์มากกว่า (ทุกข์มากกว่า)  แล้วทำไมเราไม่ลองเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ ทุกข์น่ากลัวไหม ร้ายไหม ตายไหม แล้วทำไมเรากลัวทุกข์ ทำไมถึงหนีทุกข์ อาจารย์อยากบอกว่าทุกข์มันน่ารัก ถ้าไม่มีทุกข์ศิษย์ก็ไม่เข้าใจชีวิต
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไม่ยืนจนเป็นทุกข์ ศิษย์จะหาเก้าอี้นั่งไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักทุกข์ ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ต้องพยายามทนแปลว่าศิษย์กำลังทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่ทนแต่ศิษย์เข้าใจ ศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แล้วทุกข์ดีตรงไหนทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าน่ารัก เวลาเจ็บป่วยทุกข์ทำให้เราเจ็บป่วย เมื่อเราเจ็บป่วยเราจึงรู้ว่าร่างกายเราผิดปกติ เมื่อร่างกายผิดปกติเราจะพยายามทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น อย่างนั้นควรดีใจไหมที่มีทุกข์ 
เมื่อความแก่มา ตาก็เริ่มมองไม่เห็น ฟันก็เริ่มไม่ดี หูก็ไม่ค่อยได้ยิน แต่เรายังทนทายาทอยู่แก่จนหง่อมไม่ตายสักที ดีไหม (ไม่ดี)
ในความเป็นจริงทุกข์นั้นน่ากลัวหรือศิษย์ ถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราบังเกิดจิตเมตตา แล้วถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราได้อุทิศเสียสละ แล้วถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราค้นพบทางพ้นทุกข์ด้วยการช่วยเหลือผู้คน ไยจึงหวาดกลัวที่จะเดินบนทางทุกข์นี้ ไยไม่กล้าหาญที่จะสู้กับทุกข์นี้ จริงไหม (จริง)  คนที่หวังแต่จะสุข อาจารย์ว่าเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่รักชีวิตและไม่เคยคิดที่จะเข้าใจชีวิตต่างหาก
สรุปว่าทุกข์กับสุขจะเดินทางไหน (ทุกข์)  ต้องให้พูดสรรพคุณความทุกข์มากมาย ทำไมไม่คิดได้ด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  ศิษย์ทุกคนมีปัญญา ถ้ามัวรออาจารย์ชี้นำ แล้วเมื่อไรศิษย์จะพึ่งตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามนะ มีพระพุทธะองค์ไหน มีอาจารย์คนไหนที่เขาหวังให้ศิษย์ต้องมาพึ่งเขาตลอดชีวิต ถ้าใครเป็นอาจารย์แบบนั้นก็เรียกว่าเป็นอาจารย์ที่ดีไม่ได้ อาจารย์ที่ดีต้องได้ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  ต้องทำให้ศิษย์นั้นรอดพ้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าอาจารย์ที่ดี แต่ถ้ามีอาจารย์แล้วศิษย์ยังเกาะติดอาจารย์ปล่อยไม่ได้ อย่างนี้อาจารย์ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  หลงติดแต่อาจารย์ ไม่คิดพึ่งตัวเอง รออาจารย์มาปลอบใจ รออาจารย์มาช่วยคลายทุกข์ใจ อย่างนี้เรียกว่าอาจารย์ไม่ดีถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์อยากได้อาจารย์แบบนี้ไหม
ฉะนั้นชีวิตอย่าได้กลัวความทุกข์ ยิ่งเราค้นพบหนทางออกแห่งทุกข์เมื่อไร ศิษย์ก็จะสามารถนำพาชีวิตให้พบธรรมได้เมื่อนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทุกข์เหมือนไฟแผดเผา แต่จริงๆ แล้วถ้าใจเราพร้อม ใจเรามีความกระจ่างในทุกข์ ใจเรามีความแจ้งในทุกข์ เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วไฟแห่งทุกข์นั้นไม่ร้อนเลย แต่ใจที่ไม่ยอมรับความทุกข์ต่างหากที่ทำให้ทุกข์มันร้อน  ในใจของศิษย์นั้นมีทุกข์มากมายอยู่ในใจใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งอยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ อยากจะวางก็วางไม่ลงถูกไหม (ถูก)  ในชีวิตของเรามีเรื่องมากมาย ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายพัดผ่านเข้ามาตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์เทียบง่ายๆ ชีวิตคนเหมือนกับสายน้ำไหม (เหมือน )  ไหลไปไม่มีวัน (ไหลกลับ)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นบางคนมีชีวิตเหมือนสายน้ำที่อุทิศเพื่อประชาแต่บางคนมีชีวิตเหมือนสายน้ำที่เก็บกักไว้แค่ตัวเองกินคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามใจตัวเราเองนะ ศิษย์มีชีวิตที่เป็นเหมือนสายน้ำที่อุทิศเพื่อประชาหรือเป็นน้ำที่เก็บไว้ให้ตัวเองกินคนเดียวไม่เคยแบ่งปันผู้ใด ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างนั้นเรามาคุยต่อ ประเด็นที่อาจารย์จะคุยต่อก็คือว่าถ้าเกิดชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมา เราจะมานั่งทอดถอนหายใจ แล้วก็มัวจมอยู่กับอดีตไหม (ไม่)  เป็นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์จำไว้นะ คนที่มัวแต่นั่งทอดถอนหายใจแล้วก็ปล่อยชีวิตไปวันๆ แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่อย่างนั้นคือคนที่ปล่อยให้ชีวิตตายทั้งเป็น  (ใช่)  ชีวิตผ่านไปแล้วการจำอดีตเยอะๆ มันดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ก็คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ปล่อยให้ชีวิตตายทั้งเป็น แต่คนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันคือคนที่รู้คุณค่าชีวิต ใช่หรือไม่เห็นชอบพูดแล้วพูดอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเมื่อชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วมันเรียกกลับไม่ได้ การเอาแต่ทอดถอนใจก็ไม่มีประโยชน์ การเอาแต่คิดกังวลว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ มันดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ คนที่มัวจมอยู่กับอดีตคือคนที่อยากให้ชีวิตตายทั้งเป็น ส่วนคนที่พยายามทำปัจจุบันให้มีคุณค่าและคุ้มค่าที่สุด นั่นคือคนที่เข้าใจชีวิตและเห็นคุณค่าชีวิต จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์การจมอยู่กับอดีตบางครั้งมันก็ดีนะ บางครั้งก็มีสุข” มันก็ดีนะ แต่อาจารย์ถามหน่อยว่า ดีแล้วมันเรียกกลับคืนมาได้ไหม (ไม่ได้)  ดีแล้วยั้งหยุดให้มันอยู่กับเราตลอดได้ไหม แล้วที่ไม่ดีที่ทำเราเจ็บปวดมันยังอยู่กับเราไหม (อยู่)  อยู่แต่จางไปเยอะแล้ว แทบจะพูดได้ว่าจำไม่ได้แล้วว่ามันน่าเกลียดยังไงแต่รู้ว่าเกลียดมัน มันทำเราเจ็บ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าเรายอมรับว่า ไม่ว่าดีหรือร้าย ถึงเวลามันก็จะจางลงและเบาบางลงใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์จะเอาสิ่งนั้นมาจองจำความเป็นตัวตนและก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่เรายึดถือ กับการเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาจนเกิดการเข้าใจธรรมและปล่อยวางได้ อะไรมันดีกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ยิ่งคิดก็ยิ่งจำ ยิ่งจำก็ยิ่งยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อยิ่งยึดมันก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องไปรับ แล้วเราก็จำได้ว่าเราเคยดีกับใคร ใครเคยว่าเรา ใครเคยด่าเรา ฉะนั้นการจำแบบนั้นแล้วมันจะเกิดเป็นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปแบกรับ สู้เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาจนเกิดความเห็นแจ้งปลดปลงและปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ (ดีกว่า)  เมื่อถึงเวลาเราเคยพิจารณาแล้วปล่อยวางได้ไหม
ศิษย์จำไว้นะ  ใจนั้นเป็นเนื้อนาบุญ ศิษย์ฝังอะไรไว้มันก็ต้องไปรับสิ่งที่ศิษย์ฝังอันนั้น เหมือนศิษย์ปลูกต้นอะไรไว้ในจิตใจ ต้นนั้นศิษย์ก็ยังยึดถือแล้วก็แบกไว้ตลอดชีวิต แต่ถ้าเกิดสิ่งที่ศิษย์ฝังลงไปนั้นมันสามารถคลายจาง แล้วปลดปลงปล่อยวางจนเห็นธรรมได้ ทำไมไม่เอาสิ่งนั้นมาทำให้เกิดธรรม  คนที่ด่าเรา เขาด่าจบไปนานแล้วใช่ไหม ความเจ็บเราจางไปหรือยัง ถือไปก็หนักเปล่าๆ  ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถยอมรับความจริงแล้วค่อยๆ พิจารณาว่าไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอด มันผ่านไปแล้ว เมื่อมันผ่านไปแล้ว ศิษย์จะเอาเก็บมาไว้ในใจไหม เมื่อมันผ่านไปก็ปล่อยมันผ่านไป มันก็จะปลดปลงได้ทันที แต่มนุษย์เราไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไป ใช่ไหม (ใช่)  มันจึงก่อเกิดกลายเป็นทุกข์ที่เรายึดถือแล้วก็จำได้ว่า “คนนี้ด่าฉัน คนนั้นด่าฉัน คนนั้นชมฉัน คนนั้นโกงฉัน คนนี้ให้ฉัน” แล้วเราก็หนีไม่พ้นความเป็น  “ฉัน”  ใครชมฉัน ฉันก็จะยิ้ม ใครด่าฉัน ฉันก็จะด่า ใครดีกับฉัน ฉันก็จะดี ใครไม่ดีกับฉัน ฉันก็จะไม่ดี มันเกิดจากใจที่ศิษย์จดจำและยึดถือใส่เข้าไปในตัวเองทุกวัน แล้วก็แสดงผลของการจดจำมาเป็นวิบากกรรมที่กระทำต่อคนนั้นคนนี้ที่ใจจำ แต่ถ้าทุกวันศิษย์เอาใจมาล้าง เหตุการณ์เมื่อวานนี้จำไม่ได้แล้ว ทุกคนที่ศิษย์เจอเขา เขาจะกลายเป็นคนใหม่ สะอาด เพราะใจเราสะอาด ใจนั้นล้างได้ทุกวันแต่เราเคยนำใจนั้นมาล้างไหม  เราไม่เคยเอามาล้าง แต่เอามาเป็นกรรม เอามาเป็นตัวตน เอามายึดติดแล้วก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมว่า คนนี้โกรธ คนนี้ดี คนนี้ด่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็สะสมทุกวันๆ ก่อเกิดเป็นคำว่าตัวตนขึ้นมา  ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าศิษย์เข้าใจธรรม   ทุกชีวิตเกิดมาแล้วก็สูญสลายไป ถูกไหม (ถูก) 
ถ้าสมมติว่าอาจารย์ปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ปลูกแล้วอาจารย์ทุกข์เหลือเกิน พอต้นไม้โตแล้ว และก็ตายไปแล้ว อาจารย์ก็ไม่คิดจะปลูกอีก ต้นไม้จะขึ้นไหม (ไม่)  เหมือนกัน ชีวิตเกิดมาแล้ว ถึงที่สุดทุกชีวิตก็ต้องดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะหยุดและตัดภพ ตัดชาติ ตัดกรรมได้อย่างไรถ้าใจเรายังยึดติด เก็บไว้ และลืมไม่ลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็ยังมีความอยากที่จะคิดว่า “อ้อ คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี”  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้น ถ้าทุกขณะศิษย์เอาสิ่งที่ศิษย์ใส่เข้าไปในใจมาล้าง มามองว่ายึดไม่ได้ ยึดแล้วไม่มีประโยชน์  ใจจะถูกล้างทุกวันด้วยธรรม ถ้าเข้าใจความเป็นจริง ไม่มีอะไรยึดได้เลย คนที่ชมเราวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะด่าเรา คนที่ด่าเราวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะชมเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่วันนี้เราได้ดี พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมองเห็นความเป็นจริง แล้วเราจะเอาอะไรมาใส่ไว้ในใจ แล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เราต้องกลับมาเกิดอีกไหม (ไม่มี) 
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม เมื่อไรที่หัวใจซื่อตรงต่อสัจธรรมความเป็นจริง ดีร้ายจะไม่เกิด บาปกรรมจะไม่มี  แล้วมนุษย์ทุกวันนี้ที่เรียกว่าชีวิต เราเกิดมาพร้อมกับกรรม ถูกไหม (ถูก)  เรามีกรรมเป็นผู้ติดตาม เรามีกรรมเป็นตัวอาศัย และเราเป็นผลของกรรมที่เราสร้าง แล้วศิษย์อยากจะเสวยผลกรรมนี้ไปเรื่อยๆ หรือศิษย์อยากจะหยุดกรรม (หยุดกรรม)  อยากจะมีกรรมอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นควรจะจำหรือควรจะลืม (ลืม)
ทำไมคนที่แก่แล้ว ตาฟางมองไม่ชัด หูตึงฟังไม่ค่อยได้ยิน ฟันเคี้ยวได้ยากขึ้น แล้วสมองก็ลืมง่าย เพราะมันต้องกลับไปสู่ธรรมใช่ไหม (ใช่)  จำมากก็ทุกข์มาก เห็นชัดก็เจ็บมาก ได้ยินเยอะรู้เยอะก็ทุกข์เยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดชัดก็สร้างปัญหาเยอะ
ฉะนั้นธรรมสอนอะไร ธรรมสอนให้เข้าใจความเป็นจริงและรักษาความเป็นกลางจนไม่ก่อเกิดกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอจำก็บอกว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่เรียกว่าดีก็เรียกว่ากรรมดี สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เรียกว่ากรรม (ชั่ว)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทั้งชีวิตเราสนองกรรมใช่ไหม (ใช่)  หรือสนองกิเลส  ถ้าเรากล้าเผชิญความทุกข์ เราก็พบความสุข แต่ถ้าเราเลือกที่จะสุขแล้วรังเกียจทุกข์ เราก็จะเจอทุกข์มากกว่าที่เราคาดคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ง่ายๆ แค่นี้เอง (นักเรียนตอบคำถามโดยยกตัวอย่างของการทำธุรกิจ ต้องทุกข์เรื่องคน เรื่องเงินและปัญหาต่างๆ ต้องใช้ความกล้าและอดทนจนประสบความสำเร็จถึงจะพบความสุขได้)  ตอบได้ดีไหม บางทีเราคิดว่าข้างหน้านี่คือความสุขและมันคงทำให้เราประสบผลสำเร็จ แล้วจะได้พบความสุขถูกไหม  แต่อาจารย์ถามหน่อย พอสำเร็จหนึ่งอย่าง  ศิษย์เริ่มทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ล่ะ (อยากได้)  ใช่ พอเราคิดว่าข้างหน้านี้คือสุขสำเร็จแล้วคือสุข แต่พอไปหาสำเร็จแล้ว เริ่มจะทุกข์แล้ว ต่อไปจะขยายกิจการอย่างไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินนี้จะแบ่งอย่างไรดีให้เติบโตและงอกเงย ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนศิษย์คิดว่าถูกลอตเตอรี่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ศิษย์คิดว่าถูกลอตเตอรี่แล้วคือสุขถูกไหม (ถูก)  ถูกสองตัวสุขไหม สุข แต่พอไปเจอเพื่อนบ้านเขาถูกสองตัวเหมือนกัน ทุกข์ทันทีเลย “ทำไมเราไม่ซื้อสักสองใบ”  ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
ศิษย์เอยสุขหรือทุกข์ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่รู้จักดำรงชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อจะพบสุขก็ดันคิดไปหาทุกข์ เมื่อเวลามีทุกข์ก็พยายามคิดที่จะพบสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจธรรม ต้องกล้าเผชิญความจริง เมื่อเรากล้ายอมรับก็สามารถที่จะทำให้เรามองออกชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่า “ไม่เอา ทุกข์หนูไม่เอา โดนด่าไม่ได้ ล้มเหลวไม่ได้”  ยังไม่ทันล้มเหลว ยังไม่ทันโดนด่า เราก็ทุกข์แล้ว ถูกหรือไม่  แต่ถ้าในชีวิตเราไม่จำกัดตัวเอง อะไรก็ได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) 
ถ้าอย่างนั้นเกิดมาชีวิตมีแต่ให้ดีไหม (ดี)  ไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์ถามจริงๆ มีใครคนไหนบ้างที่สอนให้ศิษย์นั้นให้จนหมดตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต้องให้จนบังเกิดธรรม ให้แล้วมันสละความเป็นตัวตนได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าให้แล้วเรียกเป็นทาน แต่ถ้าให้อีกทีก็กลายเป็นบุญ แต่ถ้าให้อีกทีจะกลายเป็นกุศล อาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากให้ระดับไหน (กุศล) 
การกระทำใดๆ ในโลกนี้มันมีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา  ถ้าเขาทำเราไม่ดีแล้วเราปฏิบัติต่อเขาไม่ดีมันก็กลายเป็นผูกเวรกรรมถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้ามีคนทำไม่ดีกับศิษย์ แล้วศิษย์มาถามอาจารย์ว่า ทำไมเขาต้องทำไม่ดีกับศิษย์ ศิษย์ลองคิดดูว่าในโลกใบนี้ คนมีตั้งร้อยล้านคนทำไมเขาไม่หลอกคนอื่น ทำไมเขาต้องมาหลอกศิษย์ถูกไหม (ถูก)  คนมีตั้งเยอะแยะทำไมเขาไม่มาทำร้าย แต่ทำไมเขาทำร้ายศิษย์ แปลว่าเราต้องมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมันต้องมีกรรมกันมา ถึงมาเจอกันใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายศิษย์แล้วศิษย์อยากจองกรรมต่อหรืออยากจบกรรม (จบกรรม)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์จะแค่ทำบุญทำทาน คิดว่า “อยากเอาไปก็เอาไปถือว่าให้ทาน”  กับอีกอัน ศิษย์คิดว่าดีแล้ว เขาทำร้ายเรา ฉันจะเมตตาเขากลับ เขาทำร้ายเรา ฉันจะเอาสิ่งที่เขามาทำร้ายฉัน มาล้างใจฉันให้บริสุทธิ์ ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่แค้น นี่เรียกว่าทำบุญ แต่อีกอัน เขาทำร้ายศิษย์ ศิษย์จะเข้าใจ มันไม่มีคำว่าโกรธ ไม่มีคำว่าเกลียด ไม่มีคำว่าต้องใช้กรรมกับมัน แต่เป็นความเข้าใจ “ไม่เป็นไร คนเรามันเกิดมาก็เจอดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ฉันเข้าใจ”  นี่แหละเรียกว่า สามารถกระชากตัวตน แล้วสามารถวางตัวตน ไม่ยึดตัวตน แล้วการที่เขามาทำร้ายเรา มันก่อเกิดเป็นกุศล กุศลคือสิ่งที่สามารถทำลายล้างตัวตนแล้วไม่มีตัวตนให้ยึดถือ  เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกขณะที่เราทำ ถ้าเราคิด “เขาด่าฉัน ว่าฉัน โกงฉัน ฉันจะจำไว้”  แล้วก็เอาไปด่า คนนั้นด่าฉัน ว่าฉัน แล้วก็ฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่จบสิ้น มันก็คือการผูกกรรมเกี่ยวกรรมกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้ศิษย์เป็นอย่างนี้ถูกไหม แล้วก็พูดในใจ “ถือว่าทำบุญทำทานให้เขา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าในขณะที่ศิษย์โดนเขาด่า โดนเขาโกง โดนเขาทำร้าย สามารถก่อเกิดเป็นทาน เป็นบุญ กลายเป็นกุศลที่สิ้นการยึดถือในตัวตน มันจะเป็นชั่วขณะชีวิตที่ศิษย์ได้มีอยู่จบลง  เป็นชีวิตที่มีอยู่แต่กรรมหมดลง ศิษย์ไม่เอาแบบนั้นหรือ แต่ศิษย์ตรงกันข้าม มีอยู่และยึดมั่น 
อาจารย์ถามศิษย์ว่าเอาแบบไหน ยังอยากเกิดมามีกรรมไหม (ไม่อยาก)  ยังอยากเกิดมาเจอคนที่ด่าไหม อยากเจอคนที่โกงไหม ถ้าอยากเจอจำไว้เลย ผูกใจเจ็บไว้เลย เดี๋ยวได้กลับมาจองเวรจองกรรมกันแน่ แต่ถ้าอยากสิ้นบาปกรรม เมื่อไรที่จิตตรงต่อสัจธรรมความเป็นจริง ไม่มีคำว่าดี ไม่มีคำว่าร้าย เมื่อนั้นจบสิ้นบาปกรรมทันที และได้เรียนรู้ชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ไม่ก่อเกิดเป็นตัวตนให้ยึดถือว่า “ทำไมเขาต้องทำหนู ทำไมเขาต้องด่าว่าหนู ทำไมเขาต้องตีหนู หนูเจ็บ”  ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์สามารถฝึกฝนบำเพ็ญแล้วลดละหนี้บาปเวรกรรมได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เหมือนเวลาที่ทำงาน ศิษย์ทำงานงกๆ แต่บางคนไม่ทำ แล้วพูดว่า “ทำไมว่างจังเลย แล้วเธอยุ่งอะไรนักหนา” ถึงเวลาแบบนี้แล้วเรายังอยากทำไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเราทำแทบตายแล้วอีกคนมานั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ไม่รับผิดชอบอะไรเลย เรายังอยากทำไหม (ไม่ทำ)  อันโน้นเราก็ทำ อันนี้เราก็ทำ แต่อีกคนหนึ่งกลับบอกว่า  เธอยุ่งอะไรนักหนา เฉยๆบ้างไม่เป็นหรือ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างไม่ได้หรือ เรายังทำไหมศิษย์ ศิษย์เอ๋ย อาจารย์บอกแล้วโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ถ้าเราเห็นแบบนี้แล้วเราก้มหน้าทำไป แล้วด่าไป ไอ้ทุเรศ ไอ้น่าเกลียด ไอ้เอาเปรียบ การทำของศิษย์ก็คือการสร้างกรรม แต่ถ้าเกิดว่าเราทำไป “อืม ไม่เป็นไร ฉันทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ฉันซื่อตรงต่อหน้าที่ ฉันรับผิดชอบต่อหน้าที่ คนอื่นจะไม่ทำไม่เป็นไร” ศิษย์จะผูกใจเจ็บไหม (ไม่)  ศิษย์จะยึดติดอะไรไหม (ไม่)   แต่ชีวิตเราเป็นอย่างไร แม่ทำเหนื่อยแทบตาย ลูกทำอะไรบ้าง พ่อทำอะไรบ้าง ใช่ไหม พ่อก็กลับกัน พ่อก็เหนื่อยเหมือนกัน แม่ก็บ่นอยู่นั่นแหละ แล้วมันสุขไหม (ไม่สุข)  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์จงเอาธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันทุกขณะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้องที่สุด และทุกขณะใครจะเป็นอย่างไร ศิษย์คิดแค่เพียง ศิษย์อยากให้ทานเขา  ถ้าคิดแค่เพียงว่าทำเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมันก็เป็นทาน แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วมันสามารถชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ทานนั้น มันก็กลายเป็นบุญ แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดไม่ยึดถือบุญนั้นมันก็กลายเป็น (กุศล)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าทำได้ศิษย์จะไม่มีความคิดว่า “ทำไมฉันต้องทำอะไรอย่างนี้ด้วย ทำไมฉันต้องเป็นอะไรอย่างนี้ด้วย” จะไม่มีความคิดนี้ในทุกขณะที่เราทำ แล้วศิษย์เป็นแบบนี้ไหม
เมื่อไรที่เห็นใจตัวเองมากเท่าไร จิตก็จะแบ่งแยกยึดติดและรังเกียจผู้อื่นมากเท่านั้น  เมื่อไรที่เห็นใจหรือชื่นชมตัวเองมากเท่าไรก็จะก่อเกิดการเปรียบเทียบและรังเกียจเดียจฉันท์มากเท่านั้น  แต่ถ้าเมื่อไรทำอะไรแล้วไม่มีคำว่าตัวเองทำ เมื่อนั้นก็จะไม่มีการแบ่งแยกว่า ผู้อื่นไม่ทำจริงไหม (จริง) 
ศิษย์มักจะคิดว่าการบำเพ็ญธรรมต้องอยู่ที่วัดและทำให้เฉพาะพระ แต่อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์เอย ศิษย์บำเพ็ญธรรม ศิษย์ทำแค่ที่วัด ทำแค่ที่พระ แต่อยู่กับคนศิษย์ไปสร้างบาปกรรม ใช่ไหม (ใช่) 
ปัจจุบันนี้ศิษย์สร้างกรรมหรือสร้างบุญมากกว่า (สร้างกรรม)  ถามว่าให้ไปเข้าวัดทำบุญ ศิษย์บอกว่า “เดี๋ยวค่อยไป พรุ่งนี้ค่อยทำ” แต่ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกว่าถ้าศิษย์รู้ว่าชีวิตนั้นไม่แน่นอน ศิษย์แน่ใจหรือว่ามีพรุ่งนี้ ในเมื่อศิษย์ไม่มั่นใจ สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทำแล้วมีค่าสูงสุดมีคุณสูงสุดทำไมศิษย์ไม่ทำ ทำไมเวลาดำเนินชีวิตจึงตกเป็นทาสของกิเลสและหลงเวียนว่ายสร้างกรรม ทำไมไม่อยู่เพื่อสร้างคุณธรรม เรามีชีวิตเพื่อรับหรือมีชีวิตเพื่อให้ (ให้)  ทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้วให้มากกว่ารับ ขยันไหม เอาเปรียบไหม ถ้าศิษย์อยากจะให้เขา เริ่มแรกง่ายๆ ขยัน ไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่กินแรง แค่นี้ถือว่าทำได้ดีแล้ว ถูกไหม (ถูก)  เมื่อขยันแล้วไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่กินแรงแล้ว ยังไม่เหน็บแนมด่าใครให้เจ็บปวดอีก ก้มหน้าก้มตาทำไปอย่างนี้จะเรียกว่าทำร้ายใครไหม 
ฉะนั้นการเริ่มต้นแรกๆ ในการดำเนินชีวิตแล้วสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะก็คือ หนึ่งรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่อู้ ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ ทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรงและดีงามที่สุด นี่เรียกว่าให้ไหม (ให้)  แล้วถึงเวลามีโอกาสถ้ามีส่วนแบ่งมาหรือมีตำแหน่งใหญ่โตมา เอาหรือไม่เอา (เอา)  เอาแล้วแบ่งไหม (แบ่ง)  แบ่งมากหรือแบ่งน้อย ศิษย์เอ๋ยถ้าถึงเวลามีโอกาสได้ ควรเอาน้อยแต่ให้ให้มาก หรือยอมเอาทีหลังแต่ให้ก่อน เชื่ออาจารย์แล้วทุกข์จะน้อย แต่ถ้าศิษย์เอามากแต่ให้น้อย ทุกข์มันจะมาก นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่คนในโลกไม่ใช่ เอามากให้น้อย เอาก่อนไม่ให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมศิษย์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติแค่ที่วัดแต่ศิษย์สามารถปฏิบัติทุกขณะที่ศิษย์ทำได้ และสามารถลดละเวรกรรมได้ และสามารถลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ แต่ศิษย์จะทำหรือไม่ทำ ฉะนั้นถ้าตอนนี้อาจารย์มีแอปเปิล ศิษย์จะเอาหรือไม่เอา (เอา)  นี่คือเรื่องยากของชีวิต บางครั้งเราอยู่อย่างไม่เอาบ้างไม่ได้หรือศิษย์ บางครั้งเอาแล้วทุกข์ แต่ไม่เอาแล้วมันสุขกว่า อาจารย์ให้คนอื่นบ้าง หนูไม่เอาแล้ว อาจารย์ถามหน่อย ปัจจุบันนี้ที่เราทุกข์ ทุกข์เพราะเอาหรือทุกข์เพราะไม่เอา (ทุกข์เพราะเอา)  แล้วตอนนี้เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  เห็นไหมว่ามันอยู่ทุกขณะจิตที่คิด
ฉะนั้นศิษย์อย่าตีกรอบการบำเพ็ญ ว่ามีแค่การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ให้ทาน และทำบุญแค่ที่วัดเท่านั้น  แต่การศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมนั้นทำได้ทุกที่ และทำได้ทุกขณะ  เพราะมนุษย์ล้วนสร้างกรรมเมื่อตอนอยู่กับคน และสร้างบุญเมื่อตอนอยู่กับพระแค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องสร้างบุญกับทุกคน และไม่สร้างกรรมกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่างตอนนี้ อาจารย์มีแอปเปิล ศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ก็วัดใจศิษย์ได้แล้วว่า ศิษย์ขอเอาก่อน ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่เอา ก็คือการให้ คือการสร้างบุญ คือการไม่ยึดติด และเป็นกุศล เพราะเราไม่เอาตั้งแต่แรก  เมื่อไม่เอา เราจะแก่งแย่งใคร เมื่อไม่เอา เราจะมีกิเลสครอบงำไหม เมื่อไม่เอา เราจะสร้างกรรมและสร้างบาปไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกคนบอกว่าเราขอเอาก่อน แล้วให้ทีหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ศิษย์อยากทุกข์แล้วค่อยมารักษาทุกข์ หรือไม่ทุกข์เลย (ไม่ทุกข์เลย)  แล้วตอนนี้ทุกข์เพราะอะไร เพราะไปเอาของเขามาทั้งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  สามีเอาไหม เอา  เงินเอาไหม เอา  ทรัพย์สมบัติเอาไหม เอา  อาจารย์ถามจริงๆ ว่าพอถึงเวลาเราเอาไปได้ไหม สามีไปกับเราไหม (ไม่ไป)  ลูกไปกับเราไหม (ไม่ไป)  สิ่งใดที่ไปกับเรา บุญกุศล คุณงามความดีและหนี้บาปเวรกรรม  อย่างนั้นตอนนี้ศิษย์ควรจะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาอะไร (สามี)  อาจารย์หมายถึงว่า ถ้ายังไม่มีก็อย่าไปเอา  แต่ถ้าใครมีแล้วก็รู้จักดูแลกันให้ดี ก่อให้เกิดธรรม ไม่ใช่พออยู่กันไปอยู่กันมาก็คิดว่า “กรรมอะไรหนอ ฉันถึงได้มาพบเธอ”  ตอนแรกๆ ก็บอกว่า บุญพาวาสนาส่งจึงได้มาพบกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงอยู่ร่วมกันอย่างบุญหนุนนำ
การศึกษาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญที่วัด ไม่ใช่แค่ให้ทานเป็น ไม่ใช่แค่สงสาร ศิษย์ต้องสามารถทำและปฏิบัติได้ทุกที่ ปฏิบัติกับทุกคนได้ เหมือนเขาด่าเรามาตอนนี้ศิษย์อยากให้แค่คุณธรรมความเป็นคน  ให้คุณธรรมเป็น   ผู้ประเสริฐ หรือศิษย์จะสามารถบังเกิดกุศลว่าเราคงมีกรรมร่วมกันมา ดีแล้ว จบแล้ว แค่นี้ ไม่โกรธ ไม่เกลียด
ศิษย์รู้ไหมว่ารากเหง้าแห่งความทุกข์นั้นมาจากไหน มาจากใจที่ยึดติดที่เรียกว่ารักและเรียกว่าเกลียด  ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ไม่มีสิ่งที่รัก ไม่มีสิ่งที่เกลียด ทุกสิ่งเท่ากันหมด อะไรจะเรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว อาจารย์ถามว่า “ใครดีที่สุด ใครเลวที่สุด ตัวเองดีที่สุดไหม ตัวเองเลวที่สุดไหม” เมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจสัจจะความเป็นจริงและค้นพบความเป็นกลาง ศิษย์จะไม่ก่อกรรม ศิษย์จะมองทุกสิ่งเท่ากันไม่มีใครดีไม่มีใครร้าย เมื่อทุกสิ่งเสมอกัน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข แล้วคนไหนที่ศิษย์จะโกรธ คนไหนที่ศิษย์จะรัก คนไหนที่ศิษย์จะหลง เพราะถึงที่สุดแล้วเขาด่าแล้วเดี๋ยวเขาก็ชม เขาชมเดี๋ยวเขาก็ด่า ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงและมองเห็นความเป็นกลางศิษย์จะตัดคำว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ได้เลย เพราะไม่มีใครที่ศิษย์จะโกรธ เพราะสิ่งที่ศิษย์ได้มานั้นมันก็คือการเสียไป แล้วกว่าจะได้มาศิษย์เสียไปเท่าไร แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้มีค่าที่สุด ไม่ต้องรอว่าพรุ่งนี้ค่อยปฏิบัติธรรม ทำตอนนี้เลยสิ ให้มันเห็นชัดตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย พอใครทำดี ขอบคุณ พอใครด่าเรา ขอบคุณ จริงไหม พอใครด่าเราก็ขอบคุณ รักเขาจังเลย ใช่ไหม ถ้าเราทำได้ เราสามารถให้ทานได้ ให้บุญที่งดงามได้ ให้กุศลที่ยิ่งใหญ่ได้ ทำไมไม่ทำล่ะศิษย์ ทำไมต้องรอไปเข้าวัด ทำไมต้องรอคนดีๆแล้วศิษย์ค่อยทำ คนไม่ดีนี่แหละทดสอบใจเราดีที่สุดและสามารถชดใช้กรรมได้ดีที่สุด ฉะนั้นเมื่อพบคนไม่ดี ขอบคุณ จะได้หมดกรรมแล้ว ดีไหม (ดี)  กลับบ้านไปถูกคนหลอกหมดตัวเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาก็ต้องเอา ถ้าชีวิตมันต้องเผชิญ อาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า อย่าเลือกสุข จงกล้าที่จะเผชิญทุกข์ ขอเพียงใจศิษย์สู้ไม่ถอย ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  ความจนก็ไม่น่ากลัว แต่ใจที่อับจนปัญญาน่ากลัวยิ่งกว่าและทำให้เรายิ่งจน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงบัดนี้ ศิษย์พอเข้าใจหนทางการบำเพ็ญบ้างไหม (เข้าใจ)  ศิษย์เอ๋ยการศึกษาธรรมไม่ใช่สอนให้เราเป็นคนดีแล้วยึดติดดี แล้วเกลียดคนชั่ว  ศิษย์ต้องเข้าใจ ความเป็นจริงแห่งชีวิตสอนให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วทุกคนก็เท่าเทียมกัน ถ้าศิษย์รักดีเกลียดชั่วก็เท่ากับศิษย์กำลังสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์มองทุกสิ่งเสมอกันนั่นก็คือศิษย์พบธรรม แต่มนุษย์มักจะอดไม่ได้ที่จะยึดติดว่าคนนี้ดีคนนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเกิดคนดีก็ต้องเกิดคนชั่ว เมื่อเกิดคนที่เราชอบ เราก็สร้างคนที่เราชัง ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากตัวเราเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ถ้าศิษย์ไม่เห็นชั่ว     ไม่เห็นชัง เห็นแต่ธรรมแล้วก็ธรรม เราก็คือคนที่พบธรรม แต่ถึงเวลาจริงๆ เห็นบ้างไหม
ทำอย่างไรดีให้ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ยึดติดดีร้ายได้เสีย ใครตอบอาจารย์ได้มีรางวัลเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ยอมให้ศิษย์เอาแล้วไปให้ต่อ ไม่ใช่เอาแล้วเก็บไว้อย่างเห็นแก่ตัว แต่เอาแล้วไปให้ต่อ เอาบุญมาฝาก เอาบุญมาให้ ดีไหม เอาไหม (เอา) 
(เราต้องคิดอยู่เสมอว่ามนุษย์ทุกคนทำอย่างไรมนุษย์ทุกคนต้องเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรให้จิตใจของเรามีความเมตตากรุณาไม่โกรธไม่โมโหแล้วเราก็จะมีความสุข สิ่งต่างๆ เราต้องคิดอยู่เสมอว่าพ่อแม่เขาทำมาอย่างนั้นเขาก็ต้องเป็นคนอย่างนั้น จะได้ระงับสติอารมณ์ของเราได้ ให้เราไม่โกรธ เราก็จะมีความสุขค่ะ)  ศิษย์เอยเห็นไปถึงพ่อแม่เขาเลยหรือ  อาจารย์จะบอกศิษย์ง่ายๆ เลยนะไม่ต้องคิดอะไรเลย (ไม่คิดก็อดไม่ได้ก็ต้องคิดก่อน)
ศิษย์เอยมนุษย์ตกเป็นทาสของความคิดแล้วเวลาเราตกเป็นทาสของความคิดเราก็หนีไม่พ้นกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสคือสิ่งที่เกิดจากความคิดคำนึงแห่งตัวตน  (แต่เราจะดับกิเลสได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ไม่ยากเลย สมมติว่าเรากำลังทำแต่อีกคนหนึ่งไม่ทำ เรากำลังขยันแต่อีกคนหนึ่งขี้เกียจ ศิษย์เคยมองเห็นเขาเป็นว่างไหม  อย่าไปเห็นถึงพ่อแม่ต้นตระกูลเลยมันแรงไป ศิษย์เอาแค่ว่าง มันว่างจากความคิด เพราะเมื่อไรที่เราว่างจากความคิด ก็พ้นการยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรยังจมอยู่กับความคิด แปลว่ายังยึดติดในความมีตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นเขาแล้วไม่ยึดติดในความเห็นแก่ตัวของเขา ก็พ้นการยึดติดแห่งตัวตน  ถ้าใจของเราโล่ง ใจของเราว่าง ทุกคนก็ว่าง แต่ใจเราคอยยึด โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ชอบ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองให้ดีจริงๆแล้วที่เราไม่ชอบ ที่ไม่ใช่ ถึงที่สุดมันมีตัวตนไหม (ไม่มี) แล้วเขายืนอยู่ตรงนั้นนานไหม แล้วถึงเวลาอีกประมาณสิบนาที เขาจะหายไปไหม (หายจากจิตใจที่เราคิด)  มันก็หายไปแล้วเราจะไปลากเขามาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ศิษย์เอ๋ยจำไว้ว่า เห็นดั่งไม่เห็นจึงว่าง รู้ดั่งไม่รู้จึงกลาง 
มีใครจะตอบอีกไหม (ปล่อยวางแล้วไม่เอามาคิด)  แล้วถึงเวลาเราปล่อยวางได้ไหม แค่รู้แต่ไม่คิด แค่เห็นแต่ไม่ตัดสิน ถ้าทำได้แล้วมันจะปล่อยได้ แต่เราต้องมีสติรู้เท่าทัน ถามตัวเองก่อนว่าทำได้ดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้ดีที่สุด ใครจะเป็นอย่างไม่ต้องไปสนใจ เรามีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ดูแลจิต ดูแลใจตัวเองก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเห็นแล้วเกิดกิเลสอย่าเห็นเลย เหมือนไม่เห็นดีกว่า จริงไหม (จริง)  เห็นเหมือนไม่เห็นดังเช่นเวลาอิ่มแล้ว เห็นก็เหมือนไม่เห็น เวลาพอแล้ว เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวลาไม่เอาอะไรแล้ว เห็นมันก็เหมือนไม่เห็น
(มองโลกในแง่ดี)  ศิษย์รู้ไหมเมื่อไรที่พยายามมองโลกในแง่ดี ก็จะมีใจเห็นโลกในแง่ร้าย แต่ถ้ามองโลกในแง่แห่งความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นเป็นกลางเสมอแต่พยายามยึดดีก็ยังมีร้ายให้เห็น เพราะความเป็นจริงไม่มีอะไรดีและไม่มีอะไรร้าย
(คิดดี ทำดี เริ่มที่ตัวเรา คิดเป็นกลาง อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบัน)  แต่อาจารย์มักจะพูดเสมอว่า คิดดี ทำดี อย่าลืมพูดดี คิดดีทำดีพูดดีแต่อย่าลืมละชั่ว เพราะศิษย์ทุกคน พูดดี คิดดี ทำดี แต่ความชั่วไม่เคยละ กิเลสไม่เคยเบาบาง ดีไหม  
(มองให้เห็นความเป็นจริงว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมชาติ ธรรมะไม่มีได้ไม่มีเสีย)  ศิษย์เอยถ้าอยากพบธรรม มองแล้วสงบ มันจะจบและพบธรรม แต่ถ้ามองแล้วไม่สงบมันจะไม่มีวันจบและมันจะไม่พบธรรม ใช่ไหม ฉะนั้นถ้ามองแล้วสงบก็มอง แต่ถ้ามองแล้วไม่สงบก็จงจบที่ใจ บำเพ็ญธรรมไม่ต้องจัดการใจคนอื่น บำเพ็ญธรรมมาจัดการใจตัวเองก่อน ถ้าเห็นแล้ววุ่นวายใจ ถ้าเห็นแล้วอดด่าไม่ได้จัดการใจตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยไปคุยกับคนอื่น 
ธรรมแปลว่าสงบและจบและอีกอย่างหนึ่งคืออิสระ ใช่ไหม ถ้าทำแล้วมันทำให้เราอิสระเป็นไท สงบ จบ นั่นคือธรรม  ศิษย์หลักการดี อะไรก็ดีหมดเหลืออย่างเดียว เมื่อไรจะทำ หลักการดี รู้ดีหมด แต่ถึงเวลาไม่เคยอุทิศเสียสละไปช่วยใครเลยมันก็เปล่าประโยชน์  ถ้าทำดี เขาไม่เอารางวัลกัน     นะศิษย์ เราจะไม่รับ เราจะให้ทุกคน ใช่หรือไม่ รับก็แปลว่ายังยึดอยู่
(กลับไปจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นแม่ที่ดีที่สุดของลูก)  ทำให้ได้นะ ถ้าทำดีที่สุดแล้ว แม้ผลนั้นจะดีหรือไม่ดี ก็จงกล้าหาญที่จะยอมรับ  หรือแม้แต่ถูกเข้าใจผิดก็จงกล้าหาญยืนหยัด ทำให้ได้นะ
ปฏิบัติธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  บอกอาจารย์หน่อยว่า หลังจากนี้ไปจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ตามที่ศิษย์เข้าใจที่ฟังอาจารย์มา อาจารย์อยากร่วมบุญและอยากแบ่งบุญ เผื่อศิษย์จะได้ส่งบุญต่อ หลังจากนี้ไม่ใช่มีชีวิตเพียงเพื่อตัวเอง แต่รู้จักมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือคน ดีไหม ถ้าศิษย์ทุกคนอยู่บนโลกนี้มีแต่ให้ ไม่คิดจะเอา เอาเท่าที่ตัวเองพอมีพอใช้ แล้วการเอาไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร โลกนี้จะไม่สันติหรือ  แล้วยุคพระศรีอาริย์จะไม่เกิดหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้ เอาไม่เคยพอ อยากได้ไม่เคยจบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาของเขามาแล้วค่อยทำบุญ ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วศิษย์เป็นแบบนั้นไหม ใช่หรือเปล่า
(จะเลิกเหล้าเลิกบุหรี่)  แน่ใจนะ อาจารย์จะให้น้ำดื่มแล้วทำให้ศิษย์มีร่างกายที่แข็งแรง แล้วทำสิ่งที่ดีต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าแข็งแรงแล้วไม่ตายนะ ยังไงมันก็ต้องตาย จำไว้นะกินน้ำอาจารย์แล้วไม่ใช่ไม่ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วย แค่ช่วยยืดเวลา แน่ใจนะ ถ้าดื่มน้ำอาจารย์แล้วทำไม่ได้จะตายไวขึ้น แต่ถ้าดื่มแล้วทำได้มันจะยืดอายุให้มากขึ้น (แน่ใจ)  มีคนในบ้านมาด้วยไหม (ไม่มี)  ต่อไปก็ไปทำให้ดี ได้หรือไม่ เดี๋ยวจบแล้วเอาน้ำให้เขาดื่มนะ
(จะเป็นลูกที่ดีของแม่ จะเป็นคนดีในครอบครัว ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเด็กดีในบ้าน จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เพราะที่ผ่านมาไม่ตั้งใจเรียน ชอบโดดเรียน ก็อยากให้แม่สบายใจ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อแม่เพื่อพ่อ)  แม่อยู่ด้วยไหม ถ้าพบแม่เข้าไปกอดเลย
(ใช้สติในการดำเนินชีวิต)  สั้นๆ ได้ใจความดี จะทำอะไรด้วยสติใช่ไหม ไม่ประมาทต้องมีสติด้วยและนิ่งให้เป็นก่อนที่จะทำอะไร อย่าใจร้อนนิ่งก่อน สติมาแล้วค่อยไตร่ตรอง ก่อนมันจะเกิดปัญญาต้องนิ่งให้ได้ก่อนใช่ไหม กลัวมันจะสติเตลิดปัญญาไม่มีนะ
(ทำอาชีพครูจะเป็นครูที่ดีจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี จะดูแลลูก เลี้ยงลูกให้ดีครองตน ครองงาน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด)  ก็ตอบได้ดีแต่ศิษย์เอยเราสามารถขยายความดีของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น อย่ารักแค่บุตรของตนแต่จงเอาความเมตตานั้นรักบุตรทุกคน แล้วศิษย์ก็จะไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คน      รักศิษย์เพราะศิษย์รักเขาเหมือนลูก เขาก็จะเคารพศิษย์เหมือนพ่อ มีลูกคนเดียวไม่สู้มีลูกทั่วโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนดีแค่กับลูกคนเดียวไม่สู้เป็นคนดีกับคนทั่วโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ได้นะ เป็นอาจารย์ในอุดมคติของศิษย์ที่รักศิษย์จริงๆ แล้วเขาจะสัมผัสได้ ถามศิษย์ตอนเด็กๆ อาจารย์คนไหนที่สอนเราด้วยความตั้งใจแล้วเอ็นดูเรา ด่าเราเจ็บขนาดไหนแต่เรารู้ว่าอาจารย์เขาด่าเพราะเขารัก เชื่อไหมว่าเรียนจนจบไปแล้วอาจารย์จำศิษย์คนนั้นไม่ได้แต่ศิษย์ยังจำ (ได้)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมก็เหมือนกัน  จงเอากิเลส จงเอาเหตุการณ์ทุกอย่างมาเป็นแพเพื่อข้ามฝั่งให้ค้นพบธรรม ยืมใช้ไม่จำเป็นต้องครอบครอง ช่วงใช้แต่ไม่จำเป็นต้องยึดติดใช่หรือไม่
ศิษย์เอย ถ้าใจศิษย์ไม่มีสุขศิษย์จะมอบสุขให้ใครได้ ถ้าใจศิษย์ไม่สันติ ศิษย์จะหาความสงบให้กับใครได้ ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ใจตัวเองก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าชีวิตเราค้นพบความสุขที่แท้จริง มีหรือเราจะมอบสุขให้คนอื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยสิ่งแรกก็คือ มีศีลครองใจ มีธรรมครองกายถ้าเรามีศีลครองใจ ศีลจะช่วยยับยั้งไม่ให้เราตกเป็นทาสของกิเลส ถ้ามีธรรมครองกายจะสามารถทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยคุณธรรม แต่มีศีลครองใจ  มีธรรมครองกายก็ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ถ้าเรายังไม่เข้าถึงความเป็นจริงแห่งหลักสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่) 
ศีลช่วยทำให้เราไม่ประพฤติผิดและไม่สร้างบาป ส่วนธรรมทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติ ไม่ว่าจะเป็นเมตตา มโนธรรม สัตยธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรม ฉะนั้นเมื่อใจและกายดำรงถูกต้อง ที่เหลือก็คือการเข้าถึงความเป็นจริงจนสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ศิษย์จะมีศีลและธรรม ถ้ามีแค่ศีลธรรมเท่านี้ ศิษย์ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้จริงไหม จนกว่าศิษย์จะสามารถเอาธรรมมาพิจารณาจนพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนที่อาจารย์บอกว่าเป็นคนดียังไม่พ้นทุกข์ เป็นคนมีธรรม อย่างมากที่สุดได้แค่เป็นคนประเสริฐหรือเรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐในแดนโลก เช่น คนที่เมตตาเป็นหลัก คนที่มีจิตใจเสียสละเป็นหลัก คนที่รู้จักมีความซื่อตรงเป็นหลัก นี่เรียกว่าคนประเสริฐหรือมนุษย์ประเสริฐ แต่ศิษย์จำไว้นะสองแบบนี้ยังไม่สามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ เพราะยังหนีไม่พ้นการยึดติดแห่งความมีตัวมีตน
พร้อมจะฟังเรื่องยากไหม (พร้อม) แล้วพูดแค่นี้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตที่อาจารย์บอกว่าศิษย์บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับใครทุกขณะจิตศิษย์ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทุกขณะคือการสละตัวออก กระชากตัวเองออก เมื่อนั้นตัวตนจะไม่มีจึงสามารถพ้นทุกข์ได้ แต่มนุษย์ยิ่งมีศีลและธรรมมากขึ้นเท่าไรก็ยึดติดว่าตัวเองดี และบางทีพอตัวเองดีไม่ได้ก็เลยชั่วเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว  ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีแล้วก็ยังอดมีความอยากไม่ได้ใช่ไหม อยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นเวลาทำบุญขอไหม (ไม่ขอ)  หวังไหม (ไม่หวัง)
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ทำดีแล้วยังขอ แสดงว่าศิษย์ยังอยากยึดติดในบุญและยังอยากกลับมาใช้กรรมดี แต่ถ้าเมื่อศิษย์ทำกรรมดีแล้วศิษย์ยังไม่ละกรรมชั่ว ศิษย์ก็เลยต้องมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์ทำดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่เอา ตัวตนก็ไม่มี นั่นเรียกว่าพ้นทุกข์พบธรรม แต่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงและพบธรรมได้ เพราะยังคิดว่ายังมีทั้งที่ความจริงแล้วไม่มี “เห็นเหมือนไม่เห็น” ได้ไหม “มีเหมือนไม่มี” ได้ไหม อาจารย์อยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันเห็นว่าร่างกายนี้อยู่กับเรา แต่ถึงเวลาร่างกายนี้อยู่กับศิษย์ไหม เหมือนจะเป็นของเรา แต่จริงๆ แล้วใช่ของเราไหม ทุกสิ่งมาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ก็เลยต้องก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย
ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์สามารถละวางความคิดยึดติดตัวตนได้จิตจะสามารถกลับคืนสู่ธรรม แต่ศิษย์ปล่อยวางตัวตนไม่ได้แม้สักหนึ่งนาที ทำอะไรก็คิดว่า “อยากได้ ชอบแบบนี้ ชอบเป็นแบบนี้” แต่ถ้าต่อไปไม่อยาก อะไรก็ได้ อะไรก็ดี อะไรก็ไม่เอา ทำแค่หน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เมื่อไม่มีการสั่งสมแห่งตัวตนจะมีการยึดติดไหม ทุกวันคือการสลายตัวตน หมดสิ้นตัวตน แต่ทุกวันนี้เรามีตัวตน แต่ความเป็นจริงแห่งธรรมบอกเราเสมอว่าเรากำลังตาย เรากำลังดับ เรากำลังสิ้น แต่มนุษย์กลับคิดตลอดว่า “ฉันกำลังมี ฉันกำลังได้ ฉันกำลังเป็นคนแบบนี้” แต่ธรรมคอยสอนตลอดว่า “เธอกำลังตาย เธอกำลังสิ้น เธอกำลังวาง” แต่เรากลับมองไม่เห็น เรามองเห็นแต่ว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากยึด แล้วก็หนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์หันกลับไปมองความจริงที่ตัวเองมี ถึงเวลามีจริงๆ ไหม
ฉะนั้นทุกขณะถ้าศิษย์ศึกษาแล้วเป็นผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อค้นพบธรรมจริงๆ มันจะไม่ยึดตัวตน เป็นอะไรก็ได้ หรือไม่เป็นเลยก็ได้ หรือพร้อมจะเป็นทุกสิ่งก็ได้ แต่เป็นแล้วก็วางได้ อาจารย์พูดเรื่องยากไปไหม แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงตรงนั้นจริงๆ เมื่อไปถึงตรงนั้น มันจะไม่เอาอะไรเลย เมื่อเข้าถึงตรงนี้ แก่ เจ็บ ตาย มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่มันทำให้เรารู้ว่าเราต้องปลดปลงและปล่อยวาง และกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริงที่เรียกว่า สงบ วาง เบา อิสระและเป็นไท ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายและรับกรรมอีกต่อไป
ศิษย์เอ๋ยรอให้ตัวเองจะตายแล้วค่อยปลดปลงหรือ รอให้ตัวเองทุกข์แล้วทุกข์อีกถึงจะอยากสิ้นทุกข์หรือ รอให้ตัวเองมีกรรมแล้วค่อยใช้กรรมแล้วก็ถามว่าทำไมศิษย์ต้องเจอแบบนี้ ทำไมศิษย์ต้องเจอกับคนแบบนี้ ทำไมชีวิตศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าอาจารย์ตอบได้อาจารย์จะตอบว่าศิษย์เป็นคนขีดเส้นชีวิตตัวเอง ไม่มีใครขีดเส้นชีวิตนอกจากตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ได้รู้หนึ่งจุดคือจิตญาณเดิมแท้ที่เป็นสภาวธรรมที่ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ แต่มนุษย์อดไม่ได้ ขอมีตัวตนหน่อย ขอมีตัวหน่อยไม่ยอมว่าง ไม่ยอมปล่อย ถ้าเข้าถึงความว่างอะไรก็ไม่สนแล้ว ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ขอ ขอให้ศิษย์ทำบุญ อย่าทำบาปเลย อย่าสร้างบาปเลย เพราะถ้ากรรมมันตกผล อาจารย์จี้กงก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นกรรมของศิษย์เอง ฉะนั้นอย่าทำบาปเลยนะ  เชื่อพุทธะในตัวตน ดีกว่าเชื่อกิเลสครองกายครองใจตน แล้วก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม ตอนนี้ให้ศิษย์เลือก ไม่ต้องเชื่ออาจารย์ เชื่อในพุทธะความดีงามในใจตน เลิกเป็นทาสกิเลสตัณหาได้แล้ว ชีวิตมันปูนนี้แล้วนะ ยังไม่พออีกหรือ จริงไหม (จริง)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันจุกไปหมดแล้ว รออย่างเดียวว่าเมื่อไรศิษย์จะทำ ใช่ไหม (ใช่)  ลองไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดให้ดีๆ นะ อาจารย์ห่วง ห่วงจริงๆ แต่คงไม่มีใครเข้าใจ ศิษย์ห่วงแต่ตัวเองไม่มีกิน แต่อาจารย์มองต่าง จริงๆ ถ้ามีปัญญา มันจะอับจน ไม่มีกินหรือ ใช่ไหม (ใช่)  พบธรรมจึงเกิดปัญญา ปัญญาสอนให้เราฉลาด ธรรมสอนให้เราฉลาด  ไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เอาแต่กิเลสแต่ไม่เอาปัญญามันน่าเสียดายนะ จริงไหม (จริง) 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “มีธรรมเป็นมิตร” ดีกว่ามีกิเลส และมีความยึดมั่นถือมั่นตัวตนเป็นมิตรนะ ลองอ่านดูแล้วศิษย์จะเข้าใจ
เหมือนศิลากลิ้งมาทั้งสี่ทิศ       ทุกชีวิตไม่มีใครจะหนีพ้น
ศิลา อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่สูงเสียดฟ้า ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ฉะนั้นผู้ตระหนักรู้แล้วไม่ดำเนินชีวิตประมาท จึงพยายามประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อประจักษ์แจ้ง และหลุดพ้นการเวียนว่าย ตาย เกิด ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะไม่รู้ว่าชาติหน้าศิษย์จะได้เป็นคนแบบนี้ไหม ศิษย์มั่นใจหรือว่าศิษย์ดีพอจะได้กลับมาเกิดอีก จริงไหม (จริง) ไม่มีใครจะหนีพ้น
“รู้ประจักษ์แจ่มชัดไม่ประมาทตน  ประพฤติธรรมประเสริฐล้นเสบียงไกล”
ถึงแม้จะไม่พ้นแต่ก็ขอมีเสบียงคือปัญญาในการตื่นรู้ความเป็นจริงที่จะติดตามศิษย์ไป ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ให้ศิษย์ใฝ่ในดี ใฝ่ในธรรม ถ้าอยากทำบุญแล้วขอ อาจารย์อยากให้ศิษย์ขอว่า “ขอให้มีปัญญาใฝ่ดีใฝ่สิ่งที่ถูกต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายใครและขอให้บุญที่ศิษย์สร้างนั้นจงเป็นบุญที่สามารถทำให้ศิษย์กลับมาหนุนนำธรรมและมุ่งปฏิบัติธรรมจนพ้นทุกข์” ขอแบบนี้ดีกว่านะ จริงไหม (จริง) ประเสริฐกว่านะ ดีกว่าขอให้รวยใช่ไหม (ใช่) 
เกิดขึ้นแล้วไม่เสื่อมนั้นไม่มี ลองเอาไปคิดพิจารณานะ ที่อาจารย์กลั่นมาให้ศิษย์ ถ้าศิษย์พิจารณาศิษย์จะเกิดธรรมได้ทุกครั้งทุกขณะที่ศิษย์อ่าน อ่านร้อยครั้งก็จะแจ้งร้อยครั้ง แต่ถ้าไม่คิดอ่านเลย พอแจกหนังสือไม่ต้องเอาไปนะ เอาไปก็ไปรกบ้านเปล่าๆใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าคิดว่าอยากจะเอาไปอ่านเอาไปนะ หรือไม่ถ้าไม่อ่านก็เอาไปแจกให้คนอื่นต่อดีไหม (ดี) 
“มาจากธรรมคืนสู่ธรรม     ถ้ายังยึดตนก็มีกรรมหลงสร้าง
รู้ธรรมนำทางสว่าง          กระจ่างในทางแท้จริง”
อาจารย์ให้ไปพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงแห่งสัจจะ ที่ถ้ามุ่งมั่นทำจริงๆ เราเราจะพบธรรมได้ นั่นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า เมื่อใครด่าลองพิจารณามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ควรหรือที่เราจะต้องทนอยู่กับทุกข์แล้วถึงที่สุดเราก็ว่าง เขาก็ว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จากกันตอนเป็นก็จากกันตอนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดมีค่าที่สุดจริงหรือเปล่า (จริง)  ลองเอาไปพินิจพิจารณาแล้วศิษย์จะพบว่า ความไม่เที่ยงสามารถตัดความโลภ ความเป็นทุกข์  ความโกรธ และความว่างเปล่าสามารถตัดความหลงได้ทันทีเลย มันไม่เที่ยงจะโลภอะไร มันมีแต่ทุกข์จะโกรธไปทำไม โกรธแล้วก็มีแต่ทุกข์ใช่ไหม แล้วถึงที่สุดว่างเปล่า เมื่อว่างเปล่าแล้วจะหลงอะไร มีแต่หลงในความคิดของตัวเองว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แค่ฟังยังไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่ศิษย์ต้องเอาไปทำจริงๆ เริ่มต้นที่ตัวเองนะ ได้ไหม (ได้)   มีศีลมีธรรมแล้วเอาธรรมมาพิจารณาจนเกิดความปลดปลงและปล่อยวางเข้าถึงหนทางพ้นทุกข์ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ลองมาอุทิศเสียสละตนช่วยคนดีไหม (ดี)  เพราะทุกขณะที่ช่วยคนเราก็พบหนทางที่จะยึดหรือจะปล่อย หลงหรือจะไม่หลง ใช่ไหม
ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์ ถ้าชีวิตต้องเจอเรื่องราวอะไรที่หนักบ้าง แรงบ้าง จงดีใจที่ได้ชดใช้  จะทำอะไรตัดสินให้ดีว่าเรากำลังสร้างบุญ หรือกำลังสร้างบาป เรากำลังให้บุญ ให้ทาน ให้กุศลเขา หรือเรากำลังให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวดเขา  ขอให้ความสงบเย็นจงมีอยู่ในใจศิษย์ ขอให้ความร่มเย็นจงมีอยู่ในใจศิษย์ ขอให้ทางพ้นทุกข์จงคงอยู่ในใจศิษย์ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสเลย
มีโอกาสลองเอาไปปฏิบัติดูนะ อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวล้อเล่นมากนะ ดูแลตัวเองให้ดี ชีวิตมันยาก ใช่ไหม  ฉะนั้นจงรักษาความถูกต้องและดีงามนะ ลองเอาไปปฏิบัติดู
อาจารย์จะรอว่าเมื่อไรศิษย์จะตัดสินใจมุ่งมั่นช่วยเหลือคน  มีโอกาสลองเอาธรรมที่รู้ไปช่วยคน  ศิษย์มีจิตใจที่ดีงาม ศิษย์มีการประพฤติที่ถูกต้องแต่บางครั้งก็ไม่สามารถชนะอารมณ์ตัวเองได้ ฉะนั้นต้องเอาชนะให้ได้ มีจิตใจที่ละวางตัวตน คิดให้ถูกต้อง เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องนะ แม้มันจะเป็นทางทุกข์แต่เราก็พร้อมจะก้าวเดิน แม้การช่วยคนจะเป็นเรื่องยากแต่ขอให้ศิษย์ใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวที่จะทุกข์เพราะถ้าทุกข์นั้นทำให้เราช่วยคนได้นั่นคือหัวใจที่ประเสริฐ อย่ากลัวที่จะลำบากเพราะความลำบากนั้นกลับทำให้เราปลดปลงความยึดติดตัวตน
อาจารย์เชื่อมั่นในตัวศิษย์ เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นและความดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องทำให้ได้ หัวใจที่เสียสละนั้นเอาออกมาและนำพาผู้คนให้ถูก ต้องคิดดู ทำให้ได้นะ จิตแห่งโพธิ จิตแห่งพุทธะมีอยู่ในใจศิษย์ทุกคน ขอเพียงเอาชนะตัวตนให้ได้ ถึงแม้จะพูดถูก พูดดีแต่ก็ต้องระวังนะศิษย์ ดูแลตัวเองกันให้ดีนะ ดั่งปณิธานที่ตัวเองมุ่งมั่นไว้ ไม่ลืมคำ ไม่ลืมเลือนนะ 
สังขารไม่น่ากลัว สังขารเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นธรรมชาติของสังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ฉะนั้นอย่าลากจิตให้มีกรรม จงมีกรรมแค่สังขารเท่านั้น จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์มานานแล้ว ลองพิจารณาสิ่งที่อาจารย์พูดให้ดีนะ
ศิษย์เอ๋ยนรกมันน่ากลัวนะ อย่าล้อเล่น เชื่ออาจารย์เถิด เอาความดีที่ศิษย์มี ทำดีกว่า ทำแบบไม่ยึดติด ศิษย์เคยเห็นนายพรานที่รอกระต่ายวิ่งมาชนตอไหม จะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกไหม ไม่มี ฉะนั้นมองไปข้างหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด แค่นี้ก็โชคดีแล้วใช่หรือเปล่า เข้มแข็งนะ กรรมเรามีไว้ชดใช้ แต่เมื่อหมดกรรมเราก็พ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจที่เสียสละนะ
ศิษย์เป็นคนดีแต่มักจะหวั่นไหว ฉะนั้นรักษาความมั่นคงแห่งความซื่อตรงดีงามนั้นไว้ให้เป็นคุณธรรมคู่ใจ อย่าหลงผิด ระมัดระวังอารมณ์ให้มาก รักษาบุญนะเข้าใจไหม มีโอกาสสร้างบุญได้มาก อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำแค่นั้นเอง ดูแลตัวเองนะ เข้มแข็ง อย่าหลงติดกับดัก เป็นทาสของอบายมุขเลย มุ่งมั่นต่อไป ไม่ต้องกังวล ทำให้ดีที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมี มีหนี้กรรมก็ชดใช้ไป เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ชีวิตนี้เสียสละอุทิศ ถ้าทำได้ก็ประเสริฐ ใช่หรือเปล่า แต่ถ้าเสียสละ อุทิศไม่ได้ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองต้องรับ  ปณิธานมีแล้วจงเดินต่อไปให้ถึงที่สุด ปณิธานตั้งแล้วต้องทำให้ได้ ต้องดีที่สุด เป็นศิษย์ของอาจารย์ เรารู้หนทางแล้ว แต่แค่จะทำได้มากหรือน้อยอยู่ที่ตัวเรา รักษาความมุ่งมั่นตั้งใจให้ได้ตลอดไป ทำสิ่งที่ดีงามอย่ายอมแพ้
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว  ลองเอาสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณาดูนะ อาจารย์อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่อยู่อย่างคนมีกรรม แต่อยู่อย่างคนที่เข้าใจธรรมและนำพาศิษย์ให้พ้นทุกข์นะ คิดอะไรไตร่ตรองให้ดีอย่าตกเป็นทาสของกิเลสเลย อย่ายึดติดตัวตนเลย ตัวตนมันไม่เที่ยง ไม่มีอะไรให้ต้องยึดถือ ไม่มีอะไรที่จะต้องเจ็บปวด ให้กลับคืนสู่ธรรม ถ้าศิษย์ยังยึดติด ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วก็ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ลองไตร่ตรองดูนะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อช่วยศิษย์จริงๆ ไหม ลองพิจารณาดู มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึง มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุดอย่ายอมแพ้นะ ทุกข์อย่างไรก็   อย่ากลัว สักวันศิษย์จะพบทางสว่างด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและสู้ไม่ถอย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีธรรมเป็นมิตร”

เหมือนศิลากลิ้งมาทั้งสี่ทิศ           ทุกชีวิตไม่มีใครจะหนีพ้น
รู้ประจักษ์แจ่มชัดไม่ประมาทตน              ประพฤติธรรมประเสริฐล้นเสบียงไกล
เกิดขึ้นแลไม่เสื่อมนั้นไม่มี                      ทุกข์ไม่มีแก่การไม่เกิดได้
การเกิดเป็นทางแห่งทุกข์ไม่สิ้นไป             ตัณหานุสัยตัดให้สิ้นไร้รากยัง
          มาจากธรรมคืนสู่ธรรม               ยึดตนมีกรรมหลงสร้าง
รู้ธรรมนำทางสว่าง                            กระจ่างในทางแท้จริง


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

2561-04-07 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี

西元二〇一八年嵗次戊戌二月二十二日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๑                             สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  คนรู้ยอมอดทนได้สงบเย็น              ดับรากแห่งปัญหาเป็นให้ลงได้
เป็นเหตุสร้างทานศีลธรรมทั้งหลาย      แม้นเวรภัยยังจางได้ถ้าเย็นพอ
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                                                 ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ชีวิตคนอย่าฟุ้งเฟ้อเป็นภาระ           สมถะจางจืดจึงเรียกรสแท้
บุรุษรู้สามัญแล้วยอดนักแล              ถึงรสแท้เป็นคนพ้นโลกีย์
คนยิ่งเก่งยิ่งต้องรู้จักยอม                 อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอเป็นราศี
พูดทำส่งสูงสง่าเพราะอารี                ดำรงตนทั่วไปมีธรรมประกาย
จันทร์ฉายเด่นกลางฟ้าเวลาค่ำ           ผ่านประกายงำเก็บน้ำเด่นฉาย
หมั่นลดน้ำเต็มแก้วอย่าเสียดาย          ตะแคงคว่ำเอียงย่อมไม่เคยปรานี
กริ่งไม้ใบง่ายปลิวสะบัดขั้ว               หล่นร่วงเพาะหน่อตัวเป็นวิถี
ตั้งใจใหม่ชีวิตซ่อนหลุดพ้นนี้              อย่าร้างโรยในดีนั้นทาบทา
มีคุณธรรมความประพฤติที่ไม่สอง        บำเพ็ญปั้นเสกสรรต้องเหนื่อยหน่อยหนา
อย่าให้หรูหราความจริงยิ่งปัญญา        อย่าปรุงแต่งพึงรักษาชีวิตธรรม
ถึงเรียบง่ายจริยาไม่มองข้าม             รู้งดงามในจึงประเสริฐล้ำ
ที่สุดสูงว่างไร้ไม่กระทำ                   ทางคืนสู่สามัญย้ำจิตบำเพ็ญ
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
“คนรู้ยอมอดทนได้สงบเย็น           ดับรากแห่งปัญหาเป็นให้ลงได้
เป็นเหตุสร้างทานศีลธรรมทั้งหลาย   แม้นเวรภัยยังจางได้ถ้าเย็นพอ”
คนที่รู้ยอมรู้อดทนได้ อยู่ที่ไหนก็จะสงบเย็นสามารถตัดรากแห่งปัญหาทั้งมวลได้ สามารถมีศีล มีธรรม สามารถให้อภัยเป็นทานได้ สามารถสร้างสรรค์คุณธรรมต่างๆ ออกจากใจได้ แต่ถ้าชีวิตนี้ยอมไม่ได้ อดทนไม่ได้ ธรรมใดจะบังเกิดคงไม่มี มีแต่โมโห โกรธเกรี้ยว ถือสา หาเรื่องราวใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่อดทนได้รู้ยอมได้ แม้เวรภัยอยู่ตรงหน้าก็ยังสิ้นได้ถ้าคนนั้นรู้ยอมรู้อดทนจริงไหม (จริง)  เขามาหาเรื่องเราอยู่ตรงหน้ายอมได้ไหม ถ้ายอมได้เวรภัยก็จบลงตรงนี้ แต่ถ้าไม่ยอม ถือสาหาความเอาเรื่องเอาราว เวรภัยก็ติดตัวเราไปเรื่อยๆ เวรภัยจะมีหรือไม่มี ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเรา เกิดเป็นคนควรมีคำว่าอดทนเเละรู้ยอม
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “จิตที่รู้จักอดทนอดกลั้นสามารถตัดรากเหง้าของปัญหาทั้งมวลในโลกได้ จิตที่รู้จักอดทนรู้ยอมสามารถตัดปัญหาการทะเลาะวิวาทหรือคำตำหนิติเตียนได้ เเละจิตที่รู้จักใจเย็นรู้ยอมยังสามารถบังเกิดการสร้างสรรค์คุณธรรมให้เกิดขึ้นในชีวิตเเละจิตใจได้ จิตที่รู้เย็นรู้ยอมยังสามารถดับเวรเภทภัยตรงหน้าให้มลายหายสิ้นได้” ชีวิตนี้ที่ต้องเจอเวรภัยเป็นเพราะการไม่ยอม ชีวิตนี้มีปัญหา ไม่มีความสุขเพราะรับไม่ได้ ใจไม่เเข็งพอ ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววันนี้อดทนได้ไหม รู้ยอมได้ไหม ยอมได้ก็เป็นสุข อดทนได้ก็สงบจริงหรือไม่ (จริง)
มีใครสงสัยไม่เป็นไร เราจะเป็นอะไรไม่สำคัญ เพราะเดี๋ยวเราก็ไม่อยู่ สิ่งสำคัญคือท่านกำลังเป็นอะไร เพราะคนที่ต้องแบกรับผลของการกระทำคือตัวท่านเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นเราเป็นความสุขท่านก็ได้กำไร คือมีความสุขเพิ่ม แต่ถ้าเห็นเราเป็นความทุกข์ท่านก็ขาดทุนที่ต้องอยู่กับเราเพราะต้องจมทุกข์ ถ้าเห็นทุกคนเป็นความสุขอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข แต่ถ้าเห็นเขาเป็นความทุกข์อยู่ที่ไหนท่านก็ (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งสิ่งสำคัญหรือเหตุของปัญหาจริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่อยู่ที่ผู้อื่น แต่ท้ายที่สุดคืออยู่ที่ใจเราเอง
คนยิ่งเก่งยิ่งต้องรู้จักยอม         อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอเป็นราศี
พูดทำส่งสูงสง่าเพราะอารี         ดำรงตนทั่วไปมีธรรมประกาย
คนที่อยู่ในโลกดูแล้วน่ารัก ดูแล้วอยากใกล้ชิด น่าจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าใกล้แล้วรู้สึกมีเมตตา ยิ่งอยู่แล้วยิ่งสงบเย็น ใช่หรือไม่ เราหาสิ่งนั้นแล้วเราเคยทำสิ่งนั้นบ้างไหม ถ้าคนหนึ่งมุ่งมั่นดำเนินชีวิตเพื่อค้นหาความหมายที่เเท้จริงของชีวิตว่าเกิดมาเพื่ออะไร แล้วคุณค่าชีวิตที่ สูญหายไปทุกวันทำไปเพื่ออะไร เขาคงต้องพยายามค้นหาให้เจอว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร แล้วถึงที่สุดทุกวันเราหายใจทิ้งไปนั้นได้อะไรคืนกลับมา ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสิ่งที่ได้คืนคือความสุข ความสงบไหม ทำไมเหมือนมีความสุขเเต่ความสุขนั้นกลับให้ทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเหมือนดูสงบเเต่ลึกๆ กลับไม่เคยสงบเเละสบายใจ อย่างนั้นเเปลว่าชีวิตที่แท้จริง สิ่งที่มีค่าที่สุดกว่าชีวิตคือลาภยศไหม คือเงินทองไหม (ไม่ใช่)  เราอยากหาความสุขเเต่อะไรคือสุขเเท้ในโลก อะไรคือสงบแท้จริงๆ ไม่เป็นสุขที่กลับไปทุกข์ ไม่เป็นสงบที่ลึกๆ กลับวุ่นวายใจ ตลอดชีวิตที่เราทิ้งไปสิ่งที่เราได้มา สุขแท้ไหม แล้วค้นพบความสงบที่จริงหรือยัง (ยัง)  น่าจะมีอะไรที่ทำให้เราสุขแล้วสุขจริงๆ สงบแล้วไม่กลับมาวิตกกังวลอีก น่าจะเป็นธรรมะถูกไหม แต่ทำไมปฏิบัติธรรมแล้ว ทำดีแล้วกลับไม่สงบใจ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่กลับไม่สบายใจ เป็นเพราะอะไร ถ้าคนๆ หนึ่งสามารถมีธรรม แล้วธรรมนั้นทำให้เขาสงบจนมั่นคง คนนั้นน่าจะเรียกว่าปฏิบัติได้ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  แล้วถ้าเกิดคนๆ หนึ่งมีธรรม แต่ไม่สามารถสงบและมั่นคงในธรรมได้ แปลว่าเขาต้องมีอะไรปฏิบัติผิด
ผู้มั่นคงในความดีงามย่อมเข้าถึงความสงบ แม้สภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายก็ไม่สามารถพรากความสงบไปจากใจผู้ที่มั่นคงในความถูกต้องดีงามได้ แต่ผู้ที่ไร้ความสงบใจ ไปอยู่ที่ใดๆ ก็ไม่สุข เหมือนสภาวะแวดล้อมแกล้งเรา ทำให้เราทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ในความเป็นจริงผู้ที่มั่นคงในความถูกต้องดีงาม แม้สภาวะจะมีผลขนาดไหน แต่สภาวะนั้นก็ไม่สามารถดึงหรือพรากใจที่มุ่งมั่นในความถูกต้องดีงามให้ไหลลงต่ำได้ เหมือนคนที่อิ่มในสุข อิ่มในความดีงาม อิ่มในบุญ อิ่มในความถูกต้อง แม้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ก็ลากใจให้เขาทุกข์ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนคนอิ่มใจแล้ว ใครมาพูดอะไรตอนนี้มันอิ่มใจแล้ว มันสงบแล้ว มันสุขแล้ว ใครจะลากใจให้เขาเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่ผู้ที่ไม่มั่นคงในความดีเท่านั้น อยู่ตรงไหนก็หวั่นไหว อยู่ที่ใดก็เปลี่ยนแปลง
ฉะนั้นที่พูดว่าทำดี ที่พูดว่าเป็นคนดี ดีมั่นคงหรือยัง ดีจนพบความสงบสุขที่แท้จริงหรือไม่ เพราะถ้าคนดีมั่นคงในความดี มั่นคงในความสุข และมั่นคงในความสงบ อะไรก็พรากใจดีๆ ไปจากใจเขาไม่ได้ อะไรก็พรากให้ใจเขาหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงแล้วเปลี่ยนเป็นคนชั่วไม่ได้ อย่างนั้นที่ท่านทำดีแล้วไม่สุข ทำดีแล้วไม่สงบ เพราะยังไม่ใช่คนดีจริง ยังไม่ใช่คนที่รักดีจริง ถูกไหม (ถูก)  ถ้ารักดีจนตัวตายจะกลับกลายเปลี่ยนใจไหม ถ้าซื่อตรงจนถึงที่สุดจะเปลี่ยนแปลงไหม (ไม่)  ถ้าเป็นคนดีที่แท้จริงจะกลัวคนติฉินนินทาไหม (ไม่กลัว)  ฉะนั้นก่อนจะว่าคนอื่นว่าเขาทำให้เราวุ่นวายใจ ก่อนจะว่าคนอื่นที่เขาทำให้เราเจ็บปวดใจไม่สบายใจ ถามใจท่านก่อน มั่นคงในความถูกต้อง ซื่อตรงในความดีงาม ไยต้องหวั่นไหวกับคำพูดคน ดังที่มนุษย์กล่าวไว้ว่า “คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” ความหมายจริงแปลว่าคนดีแม้จะถูกไฟนินทา ไฟถากถาง ไฟหล่อหลอม ความดีก็ไม่เคยไหม้หรือสูญหาย ไปจากใจ คนดีแม้จะเจอชะตากรรมที่พลิกผันต้องตกต่ำ ความดีก็ไม่ไหลลงต่ำไปฉันนั้น แปลว่าความดีไฟก็ไหม้ไม่ได้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงใจคนดีไม่ได้เช่นนั้นแล เราเหมือนยังไม่ดีจริงเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)  อยากมุ่งมั่นดีหรือมุ่งมั่นไม่ดี (ดี)  เชื่อไหมว่าดีกับไม่ดีแค่อยู่ที่พลิกใจ พลิกใจเป็นก็กลายเป็นดี เป็นคุณธรรมเป็นมหากุศล แต่ถ้าพลิกใจไม่เป็นก็กลายเป็น  โลภโมโทสัน โกรธเกรี้ยวสร้างวิบากเวรกรรม
(อยากให้เป็นคนดี)  ให้เป็นคนที่ดีที่หวั่นไหวง่ายหรือเป็นคนดีที่มุ่งมั่นจริง (เป็นคนดีที่มุ่งมั่นจริง)  แม้แต่ตัวท่านเอง เจอใครก็อยากเจอคนจริงๆ ทำจริงๆ แล้วตัวเราทำจริงดีจริงหรือยัง เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าตอนนี้มุ่งมั่นอยากทำดีจริงๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เลือกดอกไม้สองดอก มีดอกไม้สีขาวและสีแดง)
ชอบดอกไหนมากกว่ากัน (สีขาว,สีแดง)  แต่ถ้ามีคนให้คงอยากได้ดอกสีแดงใช่ไหม แล้วถ้าดอกหนึ่งเป็นดอกแห่งความดี อีกดอกหนึ่งเป็นดอกแห่งความไม่ดี เลือกสิ่งใด ดีหรือไม่ดี เชื่อไหมว่าเราไม่ได้มองแค่นั้น ทำอะไรอย่าย่ำอยู่กับที่ ถ้าท่านเลือกดีเเล้วไม่ดีให้ใคร ไม่ดีใครรับ อย่าเป็นคนที่พยายามมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีเเล้วหวังเลือกแต่สิ่งที่ดี เมื่อเจอเรื่องไม่ดีก็รับไม่ได้ และอย่าเป็นคนที่เลือกเจอแต่สิ่งดีเมื่อเจอสิ่งไม่ดีก็รังเกียจเดียดฉันท์ และอย่าเป็นคนเก็บแต่ดี เพราะทุกวันนี้เก็บ (ไม่ดี)  มากกว่า (ดี)  เหมือนเวลาที่เราอยู่กับคนส่วนมากหรืออยู่กับคนหมู่ใหญ่ ดีๆ เราเก็บไว้ ไม่ดีโยนให้เขาไปถูกไหม (ไม่ถูก)  บางครั้งต้องคิดว่าการยอมไม่ดีบ้างก็อาจจะกลายเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ ถ้าท่านมั่นคงในความถูกต้อง ไยต้องหวั่นไหวเพราะเเค่คำพูดว่าไม่ดี ในอีกทางหนึ่งถ้าตอนนี้มีแต่ไม่ดี เอาหรือไม่เอา (เอา)  จงตามใจตัวเองให้ทัน คนในโลกนี้เห็นอะไรก็ไม่ดีไปหมด เมื่อเห็นไม่ดีแล้วมีความสุขไหม อย่างนั้นเอาหรือไม่เอาดี แล้วทุกวันนี้ที่มองเห็นแต่ไม่ดี พูดว่าไม่เอา แต่ต้องอยู่กับตรงนี้ให้ได้ ฉะนั้นแม้ไม่ดีคนดีก็ไม่หวั่นไหว ถ้ารู้จัก พลิกแพลงให้เป็น ท่านก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นไม่ดี เราควรจะไม่เอาแล้วอยู่กับการไม่เอาอย่างไรให้เป็นสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่ใช่ไม่เอาแล้วเอาแต่รังเกียจ แล้วเอาแต่ด่าทอเอาแต่กร่นว่า อย่างนี้ก็ไม่สุข มหาโจรพลิกใจได้ยังกลายเป็นพุทธะ คนหลงเมื่อรู้ตื่นจึงมีธรรมในใจตน ฉะนั้นภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับพลิกใจเป็น พลิกใจเป็นก็สร้างมหากุศล พลิกใจไม่เป็นก็ก่อเกิดเป็นเวรกรรมและการจองเวรเวียนว่าย แล้วถ้ามีแต่ดีเอาหรือไม่ มีปัญญาพลิกใจเป็นก็จะตอบเราว่า ไม่เอา ขอเป็นคนดีที่ตายแล้วทิ้งดีไว้ให้โลกยังเห็น ถ้าเก็บดีมาหมดใครจะเห็นความดีในใจท่าน สู้ทำแล้วทิ้งความดีไว้ดีกว่านะ แต่คนปัจจุบันเก็บดีทิ้งร้ายไว้บนโลก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตอยู่ที่เราพลิกใจ โกรธแล้ว โลภแล้ว หลงแล้ว ใครทุกข์ ยิ่งโกรธเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งด่าเราก็ยิ่งปวดใจ ยิ่งโมโหก็เหมือนไฟเผาฟืน แล้วเราจะเผาต่อไหม คนมักโกรธจะไม่มีจิตสำนึกคุณใคร คนมักโกรธจะไม่สามารถมีศีลธรรมในใจได้ แล้วคนที่มักโลภจะไม่เคยเป็นคนที่มีใจกว้าง แต่จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าพลิกใจไม่โกรธจะกลายเป็นคนรู้จักคุณคน รู้จักศีลรู้จักธรรม อย่าโกรธเลยเราก็ฝึกเมตตาใจ ไม่โกรธเลยเราก็มีศีลธรรมขึ้นมา เห็นโลภแล้วให้เขาไปเถอะ กินน้อยหน่อยกินมากหน่อย เดี๋ยวก็ตายเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  สมบัติผลัดกันชม วันนี้เราชมพอแล้ว ให้เขาชมบ้างเป็นไร ไม่โลภดีกว่า พอไม่โลภใจแคบเป็นใจกว้าง พอไม่โลภเห็นแก่ตัวกลายเป็นเมตตาจิตพอไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงกลายเป็นจิตใจมองเห็นโลกแจ่มชัดไม่ถูกบดบังไม่ถูกหลอกลวง แล้วคนพลิกไม่เป็นเล่า ฉะนั้นเจออะไรพลิกใจทางไหน พลิกถูกก็สร้างมหากุศล พลิกผิดก็ตกนรกอเวจี แล้วใครที่สร้างสวรรค์บนดิน แล้วใครที่ก่อกองไฟจุดเผาตัวเอง ฉะนั้นดีหรือไม่ดี อะไรก็ได้ถ้ารู้ใจตัวเอง มั่นคงพอ เข้มเเข็งมีความถูกต้องพอ ดีจริงพอ อยากเจอคนจริง อยากเจอคนดีจริง อยากได้คนดีจริง ทำไมไม่ทำให้ตัวเราเป็นคนจริง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะจริงๆ แล้วผู้ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญ ถ้าเข้าถึงความเป็นจริงแห่งหลัก  สัจธรรม ก็ไม่ได้ทำตัวแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเดินดินจริงไหม (จริง)  ถ้าทำตัวยกตัวเองสูงเด่น ใครหรือจะเข้าใกล้แต่ควรจะทำตัวเรียบง่าย กลมกลืนและสอดคล้อง และทุกขณะในการดำเนินชีวิต ควรมีธรรมย้ำเตือนใจ เป็นคนธรรมดาเข้ากับใครก็ได้ อยู่กับใครก็เป็นสุข และไปอยู่ที่ไหน ก็นำความผาสุกสงบเย็นมาให้ คนเช่นนี้ถึงจะเรียกว่าผู้มุ่งมั่นปฏิบัติจริง แต่ไม่ใช่ไปอยู่ที่ไหนใครก็ส่ายหัวเบือนหน้าหนี เช่นนั้นเราต้องหันมาตรวจสอบตน จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบไหน เราเดินเข้าบ้าน เขาต้อนรับหรือเขาเมินหน้าหนี (ต้อนรับ)  ผู้ปฏิบัติธรรม เห็นไปตามญาติธรรมโดนเมินหน้าหนีท้อใจเลย ใช่ไหม (ใช่)  มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องอย่าหวาดหวั่นแม้เจอเรื่องไม่ดี เพราะคนที่สงบในความดีจะไม่หวั่นไหวจะไม่เปลี่ยนแปลง จริงไหม (จริง)  เราถามนะ ถ้าเจอดอกไม้ มีทั้งดีและไม่ดีเก็บหรือไม่เก็บ (ไม่,เก็บ)  ดูตามวาระโอกาส จริงไหม (จริง)  ถ้าเก็บแล้วสร้างสรรค์สิ่งที่ดีก็เก็บ แต่ถ้าเก็บแล้วทำคนทุกข์ใจบางครั้งก็ไม่ควรเก็บ นั่นแหละยากในการดำเนินชีวิต
ตอนไหนที่เรียกว่าดีแท้จริง ถ้าทำแล้วไม่ผิดต่อฟ้าไม่อายต่อดิน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน เก็บหรือไม่เก็บไม่ใช่เรื่องสำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)แต่ถ้าเก็บแล้วขาดคุณธรรมความเป็นคนเงยหน้าก็อายฟ้าก้มหน้าก็อายดิน อย่างนั้นอย่าเก็บดีกว่า แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ฉะนั้นมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมขออย่าลืมคุณธรรมแห่งความเป็นคน นั่นคือจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม โลกนี้จะสันติได้เพราะคนยังสำนึกในความถูกต้องดีงาม จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นขอให้รู้จักระมัดระวังควบคุมใจตัวเองให้ดี แค่ชั่วขณะเดียว พลิกใจตามอารมณ์ก็ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและความทุกข์ทน แต่ถ้าพลิกใจตั้งตรง ก็ก่อเกิดเป็นคุณธรรมมหากุศล ธรรมภายนอกไม่เท่าธรรมภายใน กราบไหว้พระภายนอก ไม่สู้มีพระสงบเย็นอยู่ภายใน หาคุณธรรมภายนอก ไม่สู้ปฏิบัติธรรมได้ภายใน อย่ามัวแต่กราบพระภายนอก พอถึงเวลาเจอเรื่องราวกลับลืมพระภายใน อย่ามัวแต่มีธรรมภายนอก แต่ถึงเวลาขาดคุณธรรมประจำใจ ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ถ้าพรุ่งนี้ยังมีบุญก็คงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญโอกาสนะ คุณธรรมความดีสั่งสมมากย่อมก่อเกิดเป็นบุญกุศล กิเลสอารมณ์สั่งสมมากย่อมตามไปด้วยวิบากกรรมและวัฏฏะการเวียนว่าย ถามใจท่านดูจะเลือกธรรมหรือเลือกกิเลส

วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนกลัวทุกข์มากกว่าทุกข์จริงจริง      จิตไม่นิ่งทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
ยิ่งสู้ก็ยิ่งแพ้เพื่ออะไร                      ทำใจได้จึงนับว่าเป็นโชคดี
ทุกข์ของจริงไม่เท่าทุกข์ในจิต            ใส่ความคิดใส่อารมณ์ใส่ศักดิ์ศรี
ใส่ความมีผลประโยชน์ใส่ท่าที            ใส่ข้อดีเข้าไปยิ่งยากทำใจ
ทำเรื่องดีด้วยใจพลีอย่าแก่งแย่ง          เรื่องถูกผิดถือรุนแรงเป็นศึกใหญ่
ทำเรื่องถูกทำเรื่องดีเพื่อสบายใจ         หากทำแล้วไม่สบายใจคือผิดทาง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก   แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

    มองเจ้าเอย ยอมแพ้เสียง่าย ยามนี้ยังมีใจ มิเป็นประสา ใจเจ้าเอยตามจิตธรรมดา รู้ไปไม่ยอมรู้มา เผลอแค่ครา ต้องเร่งเท่าตัว
    คนหนอคน ตั้งใจดิบดีกลับล้าไป วันสองวันท่าดีขยับกลับลับตา คำของคนยามที่เปลี่ยนไปไม่เหลือค่า เพียงลับตาห่างกันเนิ่นนาน
    ไยทุกวันสบายสบายกลับทุกข์ใจ บางเรื่องราวเจ้ายืมบำเพ็ญได้หลายเท่า ดวงชะตาหรือจะสู้ฟ้าคอยลุ้นเจ้า เพียรของเรา ทุกวันนะทำได้เลย

ทำนองเพลง: ออเจ้าเอย
ชื่อเพลง : ใจเจ้าเอย


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทานข้าวอิ่มไหม อิ่มแปลว่า กินไม่ลงแล้ว ตอนเย็นไม่กินแล้วใช่ไหม (กิน)  นึกว่าตอนเย็นไม่กินแล้ว ใจมนุษย์นี่ถมไม่เต็ม พุงมนุษย์นี่ถมไม่เต็มเป็นเหมือนชูชก กินไม่มีวันอิ่ม ยอมเป็นชูชกหรือ ถือว่าวันนี้เรามาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันดีหรือเปล่า “ชีวิตคือการเรียนรู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง” ไม่ลองดูสักตั้งจะรู้ง่ายๆ ได้อย่างไรว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เราจะแพ้หรือชนะ แพ้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ล้มแล้วก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ ชนะแล้วดีใจไหม (ดี) ก็ระวังวิตกกังวลอีกว่าต่อไปเราจะชนะอีกไหม
อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ อะไรในโลกที่ศิษย์ไม่จำเป็นต้องครอบครองแต่ก็มีสุขได้ ไม่ต้องเป็นเจ้าของแต่ก็ทำให้เราสุขได้
(ทรัพย์สมบัติ, นามธรรม)  ทรัพย์สมบัติต้องครอบครองก่อนถึงจะมีสุข ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีทรัพย์สมบัติมีสุขไหม (มี)  คนบนโลกส่วนใหญ่จะมีความสุขได้ต้องครอบครอง ต้องเป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
รถคันนี้เป็นของสาธารณะ เรามีสุขไหม เราใช้กันแบบไม่ใช่ของฉัน เราไม่ค่อยมีสุข แต่ถ้าบอกว่าเป็นรถของฉัน เรารู้สึกมีความสุข เงินนี้เป็นเงินสาธารณะเรามีสุขไหม (ไม่มี)  แต่พอเป็นเงินฉัน ยิ้มทันที ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์แสวงหาในโลกทุกวันนี้ ศิษย์พยายามหาให้เป็นของเรา แล้วเราเรียกว่าความสุข แต่ศิษย์รู้ไหมว่าในโลกยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่แม้จะไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ เราก็สามารถมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องครอบครองอย่างแท้จริง เคยหาความสุขประเภทนี้ไหม
(ธรรมะ) ธรรมะแบบไหนหรือ (ทุกอย่างที่เราทำดี)  ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วก็จะมีความสุข แต่โดยส่วนใหญ่เวลาเราทำดีเรายึดไหม (ยึด)  ฉันดีนะ อย่ามาว่าฉัน ฉันดี ใช่ไหม (ใช่)  ใครว่าเราไม่ดีไม่ได้ ฉันดีมาว่าฉันทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อิสรภาพ, อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ, ความคิดชอบ, ความเห็นชอบ, ปล่อยวาง)  ตอบกว้างอีกแล้วขอคำตอบที่แคบๆ แล้วศิษย์ตอบแล้วทุกคนพอทำได้อย่างนั้นก็มีสุขทันทีเลย คิดออกไหม ลองคิดสิ
(การให้อภัย, ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอย, การได้เฝ้าดูจิตของเราเอง)การได้เฝ้าดูจิตของตัวเอง สามารถทำให้เราเป็นสุขได้ แต่บางครั้งการเห็นจิต จิตมันชอบคิดร้ายนะ มันก็เลยจะทุกข์มากกว่าสุข
(การให้)  การให้ทำให้เราสามารถเป็นสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ก็ตอบได้ดีนะ แต่ให้อะไร
(ให้ทุกคนมีศีล สมาธิ ปัญญา)  จะทำให้เรามีสุขได้โดยที่เราไม่ต้องยึดถือครอบครอง ก็เหมือนจะได้ดีนะ แต่บางครั้งคนเราเวลาถือศีลมากๆ ถือสมาธิมากๆ ก็มักจะหลงความยึดติด หลงว่าตัวเองมีศีลสูง มีภูมิธรรมสูงนะ ต้องระวัง
(ความรัก)  มีรักไหนไม่ครอบครองบ้าง
(หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา)  เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนามาใช้จะได้มีสุขใจ
(การเสียสละ, กตัญญูรู้คุณ)  อย่ากตัญญูแค่ปาก ต้องรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ขยันหมั่นเพียร
(เมตตา)  เมตตาทุกสรรพสัตว์ สัตว์เล็กก็ต้องเมตตา
(ความทุกข์)  อาจารย์ขอทันสมัยหน่อยนะ กดหนึ่งไลค์ เข้าใจตอบดีนะ
ศิษย์เอย สุขที่ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องครอบครองแต่ก็มีสุขได้คือ “ใจที่รู้จักชื่นชม” แค่ใครทำอะไรพูดอะไร ก็ชื่นชมว่าดี แค่เห็นพระจันทร์ ก็ว่าสวย แต่เราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเรารู้จักชื่นชมเราก็มีความสุข ทุกวันนี้ศิษย์เคยชื่นชมใคร ตื่นเช้ามาก็ด่าติว่าบ่นคอมเม้นต์ แล้วเรามีสุขไหม เพราะอะไรๆ ก็ไม่ชอบ แต่ถ้าเราเห็นอย่างนั้นก็ดี อย่างนี้ก็ดี แค่นี้ก็ดี ทุกวันเรามีสุข ทุกขณะที่เราทำเรามีสุข เรารู้จักชื่นชมยินดี ใครที่เราจะเกลียด ใครที่จะไปสร้างให้ทุกข์ แล้วศิษย์ก็ไม่ต้องรอว่า ต้องมีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ถึงจะสุข ถ้าทุกก้าวของศิษย์รู้จักชื่นชม ความสุขจะหายากไหม ความสุขไม่ต้องนิยามไกลโพ้น แล้วชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร อันนี้ก็ไม่ชอบ อันนี้ก็เบื่อ คนนี้ก็ไม่ได้เรื่อง คนนี้ก็อย่างนั้น คนนี้ก็อย่างนี้ สุดท้ายเป็นโรคซึมเศร้า ฉะนั้นศิษย์เอย ถ้าเรารู้จักชื่นชมยินดี เมื่อเราเห็นคุณค่า ทุกคนก็มีค่า เมื่อเราไม่เห็นคุณค่า ทุกคนก็ไร้ค่าให้ชื่นชม ใครบ้างไม่ดี ขนาดคนที่ด่าเรา อาจารย์ว่าก็ยังดีเพราะทำให้เราเห็นว่า เราเป็นคนที่ไม่ดีแบบที่เขาด่าหรือไม่ เขาโกงเรา ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว เราโดนเขาโกงแล้ว เรายังอยากจะดีหรือไม่ดี เราโดนเขาทำลายแล้ว เราโดนเขาทำให้เราสูญเสียแล้ว เราจะมีชีวิตที่เสียสูญไหม ฉะนั้นถ้าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ศิษย์ชื่นชม ศิษย์รู้จักขอบคุณ ศิษย์สำนึกคุณ ศิษย์เห็นคุณค่าของเขา มีอะไรบ้างในโลกที่เราจะเกลียด มีอะไรบ้างในโลกที่เราจะผูกใจเจ็บ และมีอะไรบ้างในโลกที่จะทำให้เราต้องชิงชัง จองเวรจองกรรม หรือเคียดแค้นก่นด่า แล้ววันนี้ศิษย์เคยชื่นชมยินดีอะไรบ้างหรือยัง
ถ้าชีวิตมีสุขทุกวัน แม้วันข้างหน้าจะล้มเหลว แม้วันข้างหน้าจะผิดหวัง แต่อย่างน้อยเรามีความสุขเป็นขวัญกำลังใจ แต่ถ้าวันนี้ อะไรศิษย์ก็ไม่พอใจ อะไรศิษย์ก็ไม่สุข วันหน้าศิษย์เจออะไร ศิษย์จะเอาแรงใจที่ไหนไปสู้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วตอนนี้เราชื่นชมอะไรบ้าง เราขอบคุณอะไรบ้าง กลับบ้านภรรยาไปขอบคุณสามี สามีไปขอบคุณภรรยา บางทีชีวิตอย่าไปยุ่งยากมากเลยเอาง่ายๆ ตรงๆ แม่อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวพ่อเกลียดนะ แม่ก็ต้องระวังแล้วใช่ไหม (ใช่)  ไปอ้อมคำพูดเยอะแยะมากมาย เปล่าประโยชน์ บ่นไปก็เหนื่อยใจเปล่าๆ จริงหรือไม่ (จริง)
จำไว้นะศิษย์เอ๋ย ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดถูกไปทั้งหมด และไม่มีสิ่งใดผิดที่แท้จริง ถ้ายึดถูกยึดผิดเกินไป คนที่ยึดก็เป็นทุกข์ ว่ากันไปที่สุดใครที่ถูกจริง ว่ากันไปที่สุดใครที่ผิดจริง อย่างนั้นเราถูกหรือผิด (ผิด,ถูก)
เหมือนใบหน้าเรา มันจะเหี่ยวก็เหี่ยวแบบนี้ก็สวยหนอ ใครไม่ชอบฉันชมตัวเองว่าสวยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้กำลังใจตัวเองแต่อย่าถึงกับเป็นการหลงตัวเอง ใครว่าไม่ได้ก็ไม่ถูกต้อง
วันนี้มาฟังธรรมะเข้าถึงธรรมบ้างไหม (เข้าถึง)    ถ้าถึงแล้วใจต้องเบิกบาน ใจต้องปิติต้องอิ่มสุข แต่ทำไมหน้ามุ่ย ยิ้มไม่ออก ถ้าศิษย์อยากเข้าถึงธรรมต้องรู้จักมองภายใน ถ้าศิษย์อยากเห็นแจ้งในธรรม ศิษย์ต้องรู้จักเห็นแจ้งความเป็นจริงภายใน เพราะภายในคือแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง และภายในที่เรียกว่าแก่นหรือหลักนั้นมีธรรมที่หนีไม่พ้นและเป็นธรรมอันเป็นสัจจะ ถ้าเมื่อไรที่เราสามารถเข้าใจหลักแห่งสัจจะภายใน และเอาความเห็นแจ้งในหลักสัจจะภายในพิจารณาทุกสิ่งอยู่เนืองๆ ก็จะก่อเกิดความเป็นอิสระเบิกบานใจ ไม่ถูกบีบคั้นหรือถูกทิ่มแทงใจได้ง่าย แต่อะไรที่เป็นสัจจะความจริงแท้ภายใน เพราะถ้าเราหมั่นเห็นอยู่เนืองๆ พิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่เกิดความอยากได้ใคร่ดีอะไรในโลก แต่เราจะรู้จักช่วงใช้แล้วรู้จักวางมันลงได้โดยที่ไม่ต้องปล่อยมันเลย ตอบได้ไหม (สัจธรรม)  สัจธรรมอะไรที่เราอยากเข้าถึงธรรม อยากเห็นแจ้งในธรรม ศิษย์ก็ต้องหาว่าอะไรที่ทำให้เราเห็นแจ้งและเข้าถึงธรรม นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม ชีวิตก็คือธรรม สรรพสิ่งก็คือธรรม ทั้งรูปทั้งนามก็คือธรรม เราเห็นธรรมทุกวันแต่เราไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เพราะเราเห็นตามความคิด เราเห็นแล้วตัดสินตามอารมณ์ความรู้สึก ฉะนั้นจะเห็นแจ้งเข้าถึงธรรมได้ เราต้องมองภายใน ซึ่งภายในมีแก่นเหมือนกันในทุกสรรพสิ่งไม่ว่ารูปหรือนาม และในแก่นอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักธรรม แล้วธรรมอะไรที่เราหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ที่จะสามารถทำให้เราเข้าถึงธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้ ตอบได้ไหม
ผลไม้ผลนี้กินแล้วมีแต่ทุกข์ กินไหม เอาไหม (เอา, ไม่เอา, ไม่กินแต่เอา)
ถ้ามีคนๆ นี้แล้วมีแต่ความโลเล ไม่แน่นอน เอาไหม (ไม่เอา)  ผลไม้นี้กินแล้วมีแต่ทุกข์เอาไหม เงินนี้มีแล้วเหมือนไม่มี เอาไหม (เอา)  เงินนี้หากี่ครั้งๆ มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ได้มาแล้วมีแต่ความว่างเปล่า แล้วเรายังอยากจะได้มันอีกไหม ลึกๆ ก็อยากได้ แล้วศิษย์เหนื่อยกับความว่างเปล่าที่ศิษย์หาไหม ทุกข์ไหม อาจารย์กำลังจะบอกว่า ทุกสิ่งที่ศิษย์พยายามแสวงหา หนีไม่พ้นความว่างเปล่า หนีไม่พ้นความทุกข์ และหนีไม่พ้นความไม่แน่นอน
ในโลกมีอะไรบ้างไหมที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เปลี่ยนแปลง มีแล้วถึงที่สุดไม่ว่างเปล่า (ไม่มี)  อยากจะรักใครสักคนมีทุกข์ใช่หรือไม่ แล้วหาความมั่นคงได้ไหม (ไม่ได้)  หาตัวตนแท้จริงเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนจะเป็นของเรา จดทะเบียนแล้ว แต่จริงๆ แล้วเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  พ้นประตูบ้านไปแล้วไม่รู้ของใคร แม้อยู่ในบ้าน ใจก็ไม่รู้ไปอยู่กับใคร ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นหลักทุกสรรพสิ่ง มันจะทำให้ศิษย์อยากน้อยลง แล้วเวลาจะทุกข์ ศิษย์ก็จะรู้เลยว่า ก็เราอยากได้มาเอง อาจารย์ก็บอกแล้วว่า มีอะไรในโลกบ้างศิษย์ไม่ทุกข์ มีอะไรในโลกบ้างแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง และมีอะไรในโลกบ้างที่ได้แล้วเหมือนไม่ได้ มันทุกสิ่งเลย จริงไหม
เหมือนว่าเราได้ร่างกายนี้ แต่ร่างกายนี้ฟังเราไหม (ไม่)  เหมือนเราได้เงินนี้ แต่เงินอยู่กับเราไหม (ไม่อยู่)  เหมือนว่าเราได้ผลไม้นี้ แต่มันเป็นของเราจริงๆ ไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าถึงแก่นหลักธรรมความเป็นจริงที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะทุกข์กับอะไร อาจารย์จี้กงบอกแล้ว เราโง่เอง เรายังอยากมี อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่ามันไม่เที่ยง อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่ามันจะทุกข์ แต่เราคิดว่ามันสุข อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่าว่างเปล่า นึกว่ามันจะมีแต่มันไม่เคยมี ใช่ไหม (ใช่)  หาแบงค์ร้อยมากี่ร้อยใบ แล้วรู้สึกมีในใจหรือยัง ร้อยหนึ่งยังไม่พอ เอาอีกสักร้อยสิบร้อยก็ยังไม่พอใช่ไหม (ใช่)
ถ้าทุกขณะศิษย์ไม่จมอยู่กับกิเลส ไม่จมอยู่กับความอยาก ไม่จมอยู่กับความคิด ไม่จมอยู่กับโลก แต่เข้าถึงธรรมเนืองๆ พิจารณาธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ใจที่พิจารณาอย่างนี้ เห็นอะไรก็ชัดถึงข้างใน แล้วยังอยากอีกหรือ ยังจะเอาอีกหรือ ถ้าทุกขณะศิษย์พิจารณาธรรมอยู่ตลอดเวลา ศิษย์จะไม่มีวันถึงธรรมบ้างหรือ ศิษย์จะไม่มีวันเห็นแจ้งธรรมบ้างหรือ แต่ทุกวันนี้ศิษย์ไม่เคยเข้าถึงธรรม ไม่เคยมองธรรม มองแต่เพียงเราอยากอะไร เราชอบอะไร ผมอยากทำอะไร ผมอยากกินอะไร อยากไปไหน ใช่ไหม (ใช่)  เราใช้กิเลสหรือเราใช้ปัญญา (กิเลส)  ศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์อยู่อย่างคนใช้ความคิดหรือใช้ปัญญา มองตามความอยากหรือมองตามความจริงจนทะลุปรุโปร่ง เดี๋ยวเรามาดูกันว่า การตามความอยากกับการตามปัญญา มันต่างกันอย่างไร การปล่อยตัวเองไปตามความคิด อารมณ์กิเลส กับการดึงตัวเองให้รู้จักมีปัญญา มันต่างกันตรงไหน ฟังไหม (ฟัง)
ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลล้วนมาจากการหลงไปตามกิเลสอารมณ์และตัณหาของใจ เมื่อไรเราสามารถรู้แจ้งเห็นความเป็นจริงอันเป็นหัวใจหลักของทุกสรรพสิ่ง เราก็จะสามารถหาทางพ้นทุกข์ได้ ส่วนใหญ่มนุษย์มักทำอะไรตามกิเลสตามอารมณ์ง่ายกว่าที่จะใช้ปัญญา ทำอะไรตามใจตัวเองมากกว่าใช้สติปัญญา
ปัญญามีสองแบบ ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรม เรามาดูก่อนว่า กิเลสเป็นเรื่องธรรมดาปกติหรือ พอศิษย์เกิดมา ศิษย์ก็อยากตลอดชีวิตเลยหรือ เกิดมาก็ด่าเขาตลอดชีวิตเลยหรือ มันไม่ใช่เรื่องปกตินะ เรื่องปกติของชีวิตคือความเป็นธรรมดาไม่มีอะไร จิตที่มีศีลคือจิตที่ปกติ แต่จิตที่ไร้ศีลคือจิตที่ผิดปกติ คนเราอยากผิดศีลเป็นประจำไหม (ไม่)  แล้วเวลาที่เราทำอะไรผิดศีลนั้นใจเราจะสั่นมือไม้ก็จะสั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีศีลคือ (คนปกติ)  คนที่ผิดศีลคือ (คนไม่ปกติ)  แล้วศิษย์ปกติหรือไม่ปกติ (ปกติ) อย่างนั้นแปลว่าศิษย์มีศีลครบใช่ไหม (ไม่ครบ)  แต่วันนี้อย่างน้อยก็ครบ ที่แล้วมาไม่เคยครบ แต่วันนี้ยังไม่ฆ่าสัตว์ เพราะว่ากินเจ วันนี้ยังไม่ได้โกหกสามี เพราะว่ามาฟังธรรมะ ศิษย์เอ๋ย กิเลสทำไมถึงอยากมีกันจังเลย นรกไม่มีทางให้เดิน มนุษย์ก็เพียรพยายามหาทางเดินจนได้ ศิษย์รู้ไหมว่ากิเลสเป็นต้นตอเป็นรากเหง้าแห่งบาปทั้งมวล แล้วผู้ใดมีกิเลสก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมและการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่ศิษย์มีกิเลส หนีพ้นทุกข์ หนีพ้นบาปกรรมไหม (ไม่)  มีใครบ้างโกรธแล้วไม่ด่า มีใครบ้างด่าแล้วไม่แช่งชัก มีใครบ้างแช่งชักแล้วไม่จองเวรจองกรรม ถ้าโกรธแล้วสร้างกรรม อย่าโกรธ ถ้าโลภ โกรธ หลง มันทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ บาปกรรมและการจองเวรจองกรรม ศิษย์ควรจะมีไหม (ไม่)
โลภ โกรธ หลงนี้ มันมีรากเหง้ามาจากความนึกคิดแห่งตัวตนที่เราแบ่งแยกว่าเวลาเราเห็นอะไรแล้วเรารู้สึกชอบ มันก็เริ่มกลายเป็น รัก โลภ หลง แล้วเกลียดก็มาจาก เมื่อมีชอบก็มี (ไม่ชอบ)  เมื่อไม่ชอบก็เกลียด ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นสองอย่าง เรียกว่ากรรมดี กับกรรมชั่ว แล้วทำอย่างไรที่จะให้กรรมดีกลายเป็นพ้นกรรมแล้วไม่ต้องกลับมาเวียนรับกรรม ก็คือจงทำกรรมนั้นให้เป็นกุศลกรรม คือทำดีแล้วมันสามารถชะล้างความเป็นตัวตน ละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ นั่นเรียกว่า การประกอบกุศลกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าใครด่าศิษย์ให้ขอบคุณได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์จำไว้ว่าชั่วขณะนั้นจะเป็นตัวกำหนดกรรมของศิษย์ ถ้าด่าเขากลับนั่นเรียกว่ากรรมชั่ว ด่าแล้วยังจำไปเล่าให้คนอื่นฟัง เป็นการเริ่มคิดกรรมชั่วแล้วยังจองเวรจองกรรม จำไว้ในใจไม่ลืม เเค่เห็นเขาก็เกลียดเขา นั่นคือการสร้างวิบากกรรมให้ตัวเองต้องไปทำ เเต่ถ้าชั่วขณะที่เขาด่าเเล้วคิดว่าช่างเขา นั่นเรียกว่าสร้างกรรมดี แต่กรรมดี ใจยังยึดติดยังลืมไม่ลง เเต่ถ้าตอนที่เขาด่าเราเเล้วเรารู้สึกขอบใจ นั่นเรียกว่ากุศลกรรม คือกดตัวเองออกไปได้ว่าฉันไม่ดี สามารถกระชากตัวตนเราได้เเล้วเราไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รู้สึกอะไร เราขอบคุณ
ชีวิตเกิดมาพร้อมกับกรรม เเล้วอยากนำกรรมไปต่อหรืออยากจบกรรม (จบกรรม)  ถ้าเขานำของรักของหวงศิษย์ไปศิษย์จะตอบว่า (ขอบคุณ)  จึงบอกว่าชั่วขณะเเม้จะบอกว่าให้อภัย ทำใจ ก็ยังเป็นกรรมดีที่ยังยึดติด เเต่ถ้ารู้สึกขอบคุณ ถ้ายังมีบุญกรรมกันอยู่ก็เจอกัน แต่ถ้าหมดบุญกันแล้วก็ไม่เป็นไร ชั่วขณะหนึ่งของชีวิตเราเป็นผู้ลิขิตกรรมตัวเอง เเต่หนทางธรรมไม่ได้มีแค่กรรมดีกรรมชั่ว เเต่ยังมีอีกทางหนึ่งเรียกว่าทางสายกลาง ทางพ้นเวรพ้นกรรม มนุษย์เกิดมาพร้อมกับการใช้กรรมเก่า เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท แล้ววันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับวันนี้ใช่หรือไม่
ถ้าวันนี้เราไม่สร้างกรรมใหม่ ที่เหลือเราก็แค่ใช้กรรมเก่า ศิษย์เป็นตัวกำหนดกรรมตัวเราเองนะ ชั่วขณะที่เขาตีเรา ด่าเรา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าพ้นจากความคิด นั่นคือทางสายกลาง ใช่ไหม (ใช่)  เราคิดดีเราก็ได้ดี แต่ถ้าเราพ้นจากความคิด มันก็แปลว่าเราพ้นจากหนทางแห่งกรรมทั้งสอง อย่างนั้นเราต้องมาแก้ตั้งแต่ความคิด ถูกไหม (ถูก)  ตอนนี้อาจารย์บอกวิธีจะเอาชนะกิเลสได้แล้วนะ อยู่ที่ศิษย์จะรู้จักยั้งใจตัวเองได้หรือไม่ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความคิดของมนุษย์ มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด เขาด่าเรา เราทุกข์เพราะเขาด่าหรือเราทุกข์เพราะว่าเราคิดยอมไม่ได้ (เราคิด)  เขาด่าเราเขาทำให้เราทุกข์หรือเราทุกข์เพราะว่าเรารับไม่ได้ที่เขาด่าเรา (รับไม่ได้) ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์ขอปรับความคิดศิษย์หน่อย ศิษย์โดนด่าได้ไหม (ได้)  ศิษย์เสียได้ไหม (ได้)  แพ้ได้ไหม (ได้)พูดกับอาจารย์อะไรก็ได้ แต่กับคนอื่นไม่เคยยอมแบบนี้เลย จริงไหม (จริง)  แก่ได้ไหม (ได้)  เจ็บได้ไหม (ได้)  ตายได้ไหม (ได้)
ศิษย์เอ๋ย ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาของทุกชีวิต เกิดมาไม่ตายทรมานนะ เกิดมาไม่เจ็บแล้วตายเลยก็แย่นะ เกิดมาแล้วเจ็บแล้วตายเลย ไม่แก่ ก็แย่นะ เพราะหมายความว่าอายุสั้น ถูกไหม (ถูก)ฉะนั้นเกิดแล้วได้แก่ ได้เจ็บ ดีแล้วขอบคุณ ได้ตาย ดีแล้วได้ปลดปลง เพราะความเจ็บเป็นตัวเตือนให้รู้ว่า ชีวิตเราเริ่มจะไม่สมบูรณ์แล้ว เราจะต้องรีบดูแลรักษา แต่ถ้าดูแลรักษาก็จงจำไว้ว่า เรามีกรรมแค่สังขาร แต่ใจเดิมแท้เราไม่มีกรรม ฉะนั้นเจ็บที่กายอย่าเจ็บที่ใจ ทุกข์มันไม่เที่ยง มันว่างเปล่า มันไม่ใช่ของเรา สิ่งที่มีอยู่แล้วคือธรรม แล้วเราต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ที่กลับไม่ได้เพราะไม่ยึดธรรม แต่ไปยึดกรรม จริงไหม (จริง)  ยึดว่ากรรมดี เราเคยทำดีอย่างนี้ เราต้องได้ดีอย่างนี้สิ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจให้ถูก ร่างกายนี้แค่ยืมใช้แล้วสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดจรรยาบรรณไม่ผิดคุณธรรมความเป็นคน แค่นี้ก็คุ้มแล้วที่เกิดมา จะสุขจะทุกข์บ้างก็ไม่เป็นไร มันเป็นธรรมดา มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สุขทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก
ศิษย์เอ๋ย ทุกข์นี้น่ารักที่สุดเลยนะ มองมุมใหม่ ถ้าไม่มีทุกข์ จากที่เราเด็กจะโตไหม ทุกข์แปลว่าสภาพที่ทนได้ยาก ถ้าเราทนได้ง่าย ทนได้แบบยืดยาว เราจะนั่งแล้วยืนไม่เป็น เราจะยืนแล้วนั่งไม่ได้ แต่เพราะมีทุกข์ทำให้เรารู้ว่า มันทุกข์แล้วนะ เราต้องนั่ง นั่งจนทุกข์แล้วนะฉันต้องยืน มองเขามากๆ แล้วนะ มันเจ็บนะ ฉันต้องวาง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าชีวิตไม่มีทุกข์แปลว่าศิษย์เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนะ อะไรก็ไม่รู้สึกรู้สาแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้น ทุกข์ดีไหม (ดี)  น่ารักไหม (น่ารัก)  มันอยู่ที่เรารับมือ ถ้ารับมือเป็น ทุกข์ก็ไม่น่ากลัว ถ้ารับมือไม่เป็นยอมแพ้ยกธงขาว ศิษย์ก็ยังไม่ทันสู้อะไรเลย ถูกไหม เพราะมีทุกข์ ศิษย์จึงรู้จักคำว่าสำเร็จ จึงรู้ว่าใครคือมิตรแท้ ศิษย์จึงรู้ว่าอะไรคือนิพพานและสุขแท้จริง จริงไหม เพราะมีทุกข์ ศิษย์จึงรู้จักคุณค่าของชีวิต ศิษย์จึงเข้าใจชีวิต เพราะมีทุกข์ ศิษย์จึงแจ่มแจ้งเห็นจริงและเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แก่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เจ็บน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)
โดยส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไร เรามักจะตกเป็นทาสของอารมณ์ และหนีไม่พ้นทุกข์ เราก็มักจะไหลไปตามความคิด มากกว่าปัญญา มากกว่ามีสติยั้งคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ว่าปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)
ปัญญาทางโลกเรียนเพื่อรู้ภายนอกเเล้วให้มั่งมี ปัญญาทางธรรมเพื่อรู้เเจ้งเห็นจริงภายใน เรียนเพื่อให้รู้ว่าจริงๆ เเล้วเรารู้หรือไม่รู้ ทางโลกสอนให้เรารู้เพื่อเก่งเพื่อฉลาด แต่ทางธรรมสอนให้เรารู้เหมือนไม่รู้ ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้จักเขา เเต่ศิษย์รู้จักเขาจริงๆ ไหม ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้จักตัวเอง เเล้วรู้จักตัวเองจริงๆ ไหม ศิษย์บอกว่ารู้จักทั้งโลกเเต่รู้จริงๆ ไหม พอถึงเวลาเปลี่ยนไหม เราบอกว่าเรารู้สูตรคณิตศาสตร์คำนวณได้หมด เเต่ถึงเวลาสูตรมีวันเปลี่ยนไป ความจริงมีวันพลิกผันไหม โลกสอนให้รู้ เเต่ธรรมสอนให้รู้เหมือนไม่รู้ ทางโลกสอนให้เก่ง เเต่ทางธรรมสอนให้ไม่เก่ง เก่งอย่างไรก็คือไม่เก่ง รู้อย่างไรก็คือไม่รู้
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์คือ ชอบขี้ตู่ ไม่ใช่ของตัวเองแต่บอกว่าของตัวเอง ศิษย์เป็นทุกคน ศิษย์บอกว่าสมบัตินั่นคือของศิษย์เเต่จริงๆ เเล้วไม่มีสิ่งใดเป็นของศิษย์ ถึงเวลาเมื่อศิษย์ตายไปก็ต้องคืนธรรมชาติ
ทางโลกสอนว่าเราต้องมี เราต้องได้ เราต้องเป็น แต่ทางธรรม สอนให้เราไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้นตอบคำถาม)
ศิษย์เคยเป็นเด็ก ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ แล้วต่อไปเป็นผู้แก่ แล้วต่อไปเป็นอะไร (ตาย)  ต่อไปจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเทียบกับคนที่มีเงิน เราก็ไม่มี แต่ถ้าเทียบกับคนที่จนกว่า เราก็ว่าเรามี ก่อนนี้เราเป็นเด็ก ตอนนี้เราเป็นคนโต ต่อไปเราเป็นผู้ใหญ่ ต่อไปเราเป็นอะไร จะได้แก่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถูกไหม
โลกสอนให้เรามี เราเป็น แล้วย้ำว่าเราต้องมี เราต้องเป็น แต่ธรรมะสอนว่า ศิษย์ไม่เคยมี ศิษย์ไม่เคยเป็น และไม่รู้ว่าจะมี เป็นอะไรที่แท้จริง และเรากำลังสูญเสียหรือทุกข์กับอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วเราไม่เคยเป็นอะไร และเราก็ไม่เคยมีอะไร แต่เราคิดไปเองว่าเรามี จริงไหม (จริง)
ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลก ศิษย์อยากข้องเกี่ยวกับโลกโดยที่ไม่ทุกข์ จงอย่าเอาแต่ใช้กิเลส ความคิด แต่จงใช้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม ทางโลกยังสอนว่า ทำอะไรมันต้องมีเหตุผล ใช่ไหม (ใช่)  แต่โลกของความเป็นจริง เหตุผลใช่ที่สุดของคำตอบไหม (ไม่ใช่)  เหตุผลของทางโลก ปัญญาของทางโลกมักจะบอกว่า ทำอะไรต้องมีเหตุมีผล แต่อาจารย์ถามหน่อย เหตุผลนี้ชนะ เหตุผลนี้แพ้ แล้วที่ชนะนี้มันชนะจริงไหม (ไม่จริง)  แล้วที่เขาแพ้เขาแพ้จริงไหม (ไม่จริง)  มันแค่ชั่วขณะหนึ่งถูกไหม (ถูก)  วันนี้เขาดี พรุ่งนี้เขาไม่ดี เราไม่สามารถตัดสินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ศิษย์บอกว่าศิษย์ทุกข์ แต่พรุ่งนี้ศิษย์ทุกข์ไหม (ไม่)  แล้วความทุกข์นี้คือใช่ที่สุดของศิษย์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นโลกแห่งธรรมจึงสอนว่า เหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง ที่สุดของความจริงล้วนพลิกแพลงเปลี่ยนผัน
เรามาแลกเปลี่ยนถามตอบกันดีไหม (ดี)  ถ้าตอบได้อาจารย์ก็ให้ผลไม้เป็นรางวัล รางวัลอันนี้อย่าเก็บไว้กินคนเดียว อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักแบ่งปันแล้วสร้างบุญต่อ ปัญญาทางโลกสอนให้เรารับ แต่ปัญญาทางธรรมสอนให้เราให้ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ให้อะไรที่ประเสริฐ ให้อะไรที่เรียกว่าดีและให้ได้ทุกวัน
(ให้ทาน)  ศิษย์สามารถให้ทานได้ทุกวัน ไม่โกรธใคร มีเมตตาก็ให้ทาน ถึงเวลาเราจะได้ เรายอมได้น้อยหน่อย ให้คนอื่นได้มากหน่อย เราก็ให้ทาน ฉะนั้น ทานไม่ใช่ทำแค่ที่วัด ไม่ใช่ให้คนที่ยากจน แต่เราให้ทุกคนได้ แต่เราจะให้อะไรเป็นทาน เมตตาเป็นทาน จริงใจเป็นทาน ซื่อสัตย์เป็นทาน ให้เกียรติเคารพเขาเป็นทาน ปัญญาเป็นทาน ถ้าเรารู้จักทำทานทุกที่ ทุกที่เราก็สามารถสร้างบุญอันงดงามได้จริงไหม (จริง)  แต่ปกติเราให้อะไร ให้แต่เงิน แต่เราไม่เคยให้เมตตา (ให้ความสุขแก่ทุกคน ให้ศีลให้พรเขา)  ถ้าศิษย์รู้จักเมตตาคนเยอะๆ ให้ความใส่ใจคนเยอะๆ เห็นใจคนเยอะๆ นั่นดีกว่าให้ศีลให้พร ปากให้ศีลให้พรแต่ใจยังแอบว่าเขาอย่างนี้ก็ไม่ดี
(ให้ความรักความสุข)  ให้ความเมตตา ให้ความเอ็นดูรักใคร่ ให้ความเกื้อหนุน ให้ความเอาใจใส่ ให้ความซื่อตรงจริงใจ อย่าลืมทำด้วยนะ
(ธรรมะให้ทำความดี, อยู่อย่างเพียงพอ)  ถ้าเราไม่รู้จักพอเพียงก่อน ถ้าเราไม่รู้จักมีธรรมก่อน ไปเรียกร้องคนอื่นก็เหนื่อยเปล่า เราต้องทำให้เขาเห็นก่อน อายุปูนนี้แล้วนะ ยังไม่พออีกหรือ (พอแล้ว)
(ให้อภัย)  ถ้าศิษย์ยังรู้สึกว่ายังต้องให้อภัยแปลว่าศิษย์ยังรู้สึกขัดเคืองใจ ถ้าจะให้ธรรมที่ประเสริฐก็คือ ให้ความเข้าใจ ให้ความเห็นใจ ให้ความเมตตา เพราะอภัยแล้วลึกๆ มันยังไม่พอใจอยู่ ให้อภัยแล้วมันยังติดค้างใจอยู่ มันก็ยังเป็นกรรมอยู่ อาจารย์บอกให้อภัยก็ได้ แต่จริงๆ ยอมไหม (ไม่ยอม)  ลึกๆ ยอมไหม (ไม่ยอม)  ใช่หรือไม่ 
(ให้น้ำใจ)  เห็นใครเดือดร้อน เรารู้จักเอาใจใส่ช่วยเหลือ ไม่นิ่งดูดาย ไม่เอาเปรียบ มีใจกระตือรือร้นเห็นใครเดือดร้อนเราช่วยเหลือ นี่ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง เห็นใครอยากได้เราก็มีน้ำใจแบ่งให้ อาจารย์บอกแล้ว ถ้าการกระทำอะไรที่มันกระชากใจเรา แล้วไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ กรรมนั้นจะกลายเป็นกุศลกรรมที่ดี แต่ศิษย์มักอยากจะได้แค่บุญ สบายใจ อิ่มใจ ทำบุญ มันก็ยังมีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าทำแล้วมันกระชากใจเราออกไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ไม่มีที่ให้ทุกข์อยู่ นั่นแหละ กุศลนักแล ถ้าเราให้เฉพาะคนที่เรารักแสดงว่าเรายังมีใจที่ยึดถืออยู่ จริงไหม (ให้คนที่เรารักก่อน)  คนที่เราไม่รักก็ให้ได้ ให้แล้วกระชากใจกว่า จริงไหม (จริง)  ถ้ายังให้เฉพาะคนที่รักก็ยังแปลว่ายังยึดติดกรรมดีอยู่ แต่ถ้าให้แบบกระชากใจให้คนที่ไม่รัก จะเห็นชัดเลยว่าได้สร้างกุศลกรรมเลยนะศิษย์เอ๋ย
ศิษย์จะเกิดมาเอาแค่บุญพอ บุญมันก็หนีไม่พ้นกรรม แต่อาจารย์อยากให้กุศลกรรมเลย (การได้มาที่นี่ในสองวัน สิ่งที่ได้รับคือ คุณค่าทางจิตใจที่มีมาก)  ทำให้จิตใจเข้มแข็ง ทำให้จิตใจดี ใช่ไหม เเต่ควรค้นหาภายในอย่ามัวแต่มองออก มองออกแล้วต้องหาภายใน
(ให้คำแนะนำให้คำปลอบใจให้คำพูดดีๆ)  สิ่งที่ดีจะออกจากใจเราได้ เราต้องมีใจที่ดีงามมั่นคง เหมือนศิษย์จะส่งความสุขให้คนอื่นได้อย่างไร เมื่อศิษย์ยังไม่มีความสุข ยังไม่มีธรรมพอ ใช่ไหม (ใช่)
(ให้กำลังใจ)  บางครั้งกำลังใจไม่ต้องพูดอะไร เวลาเขาเสียใจเเค่ (ปลอบใจ)  เวลาเขาผิดก็ไม่เป็นไรเราผิดด้วยกัน เวลาที่ศิษย์ท้อพ่ายแพ้ ศิษย์อยากมีเพื่อนที่เข้าใจ เเต่คนสมัยนี้ชอบซ้ำเติมคนผิด ชอบพูดเรื่องของคนผิดเลยมีแต่เรื่องผิดๆ ทำไมไม่พูดถึงสิ่งที่ถูกที่ดีบ้าง
(ให้ความเป็นธรรม)  ถ้าเราจะให้ความเป็นธรรมกับผู้อื่นได้ เราต้องเที่ยงธรรมก่อน จะตัดสินใจว่าถูกผิดต้องถามใจตัวเองก่อน ใจศิษย์เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานหรือเอาความจริงเป็นบรรทัดฐาน ถ้าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานศิษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าใครผิดใครถูก ไม่สามารถเอาความคิดเห็นของศิษย์ใส่ไปได้ เพราะความคิดเห็นของศิษย์ยังอยู่บนความเข้าใจของตัวเองไม่ได้อยู่บนความจริง ฉะนั้นอย่าคิดตัดสินใครเลยดีที่สุด
(ให้โอกาสและเวลา)  ถึงเวลาก็ให้โอกาสตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะ
(ให้ความรักและความเมตตา)  ให้ความรักมันง่ายที่จะลำเอียง แต่ให้ความเมตตาจะบริสุทธิ์ยุติธรรมกว่านะ
(ให้ใจที่ซื่อสัตย์และเมตตา)  ทำอะไรให้ใจไปเลย ทำได้อย่างนี้ก็ดีนะ 
(ให้ความจริงใจ, ให้กุศล)  กุศลต้องออกจากใจ แปลว่าจะพยายามทำอะไรก็ได้ที่สามารถละวางตัวตนได้ เริ่มต้นที่ทำดีให้ถูกต้องและมั่นคงก่อนนะ
(ให้ความเอื้ออาทรต่อกัน)  ถึงเวลาอย่าเอื้ออาทรแบ่งพรรคแบ่งพวกนะ
(ให้ธรรมศึกษา การรักษาศีล สมาธิ)  แค่ทำตัวให้ปกติก็มีศีล มั่นคงในความปกติก็มีสมาธิ รู้แจ้งเห็นจริงก็เกิดปัญญา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าความเป็นคนยังทำไม่ดีก็พูดถึงพ้นทุกข์ไม่ได้ ซื่อตรงหรือยัง ซื่อสัตย์หรือเปล่า รับผิดชอบหน้าที่ไหม เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมไม่ได้ ธรรมก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลย 
(อุเบกขา)  อุเบกขาคือวางใจเป็นกลาง ใจที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าทำได้ศิษย์จะสามารถตัดโลภ โกรธ หลง ได้ และกลับสู่ทางสายกลางอันแท้จริงที่เรียกว่าพ้นกรรม แค่เห็นอะไรอย่าตัดสิน อย่าคิดว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อย่าผูกขาด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนได้ วันนี้เราเห็นเขาดี แต่พรุ่งนี้จะดีไหม ก็ไม่แน่
(ให้ความช่วยเหลือ)  แม้แต่ตอนเราทำงาน เราก็ช่วยเหลือเขาได้ ให้ใจเขาไป เขาก็จะให้ใจเรากลับ จริงใจกับเขาแค่ไหน เขาก็จะจริงใจกลับ แต่ขออย่างเดียวทำแล้วไม่ยึดติด 
(ให้ชีวิตไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากทุกข์เพราะโดนเบียดเบียนชีวิต เราก็อย่าเบียดเบียนชีวิตใคร เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล เราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะรับผลไหม ถ้าศิษย์ไม่เอาชีวิตเขามา แล้วเขาจะมาเอาชีวิตศิษย์ไหม คิดให้ดีนะ เพราะเราแอบเอาชีวิตเขามาบ่อยๆ ใช่ไหม
(การให้ความเห็นจริง)  อยู่ในโลกถ้าอยากมีความสุขที่สุดก็พูดให้น้อย คิดเห็นให้น้อยเเล้วเราก็จะผิดน้อย เเต่มนุษย์ชอบคิดว่าตัวเองรู้จริง รู้เเน่ แต่จริงๆ เเล้วเราไม่เคยรู้อะไรเลย
(ให้ชีวิต)  ไม่ดูถูกทั้งคำพูดเเละการกระทำนั่นคือการให้ชีวิตเขาแล้ว เขาได้ดีเราก็ยินดี ไม่เบียดเบียนชีวิตเขามาใส่ท้องเราก็คือ การให้ชีวิตเขา
(ให้โอกาสเขา)  ไม่ซ้ำเติมเขา เพราะทุกคนผิดได้ เราก็เคยผิด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เรียบง่ายเป็นสุข”)
ถ้าชีวิตรู้จักโลภโมโทสันให้น้อยลง พอใจในความอ่อนจางบางจืด ใจก็จะมีฟ้าที่กว้าง ไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง เเต่มนุษย์ล้วนปรารถนาความอยากได้ใคร่มี อยากมั่งมีศรีสุข ผลสุดท้ายก็หาความเรียบง่ายเเละสงบสุขในชีวิตไม่เจอ เเต่ถ้าเรารู้จักพอใจในความธรรมดา เรียบง่าย ไม่ต้องฟุ้งเฟ้อ เราก็มีสุขได้ ยิ่งยกตัวเองสูงเด่นคนก็ยิ่งกดขี่ข่มเหง เเต่ทำตัวเองให้เรียบง่ายก็ยิ่งเป็นที่รักของทุกผู้คน
เราอยู่ในโลกเวลาเรามีอะไรดี มีใครบ้างไม่อวด เเต่ยิ่งอวดคนก็ยิ่งมองไม่ดี ฉะนั้นไม่อวดทำตัวธรรมดาสามัญถึงเรียกว่าดี เก็บงำประกาย ไม่อวดตัวเองโดดเด่น เพราะว่าคนเรายิ่งเต็มยิ่งล้น ก็ง่ายที่จะถูกคนอยากจะล้ม มีเก่งก็มีเก่งกว่า มีดีก็มีดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำเต็มแก้วมันเอียงคว่ำง่าย แต่เมื่อไรที่ถูกคนอื่นคว่ำ จำไว้ว่า ใบไม้ร่วงสามารถแตกเพาะหน่อใหม่ แม้จะมีคนเก่งกว่าก็อย่าเสียใจ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่จะทำให้เราก้าวสู่ความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สูญเสียได้ แต่ว่าการสูญเสียก็ก่อเกิดความเข้าใจ
ความเป็นจริงของชีวิตมีความเกิดก็มีความตายอยู่ทุกขณะ ทุกขณะที่ศิษย์บอกว่าศิษย์หายใจมีชีวิตอยู่ แต่พุทธะเรียกว่า ศิษย์กำลังหายใจเพื่อหมดชีวิต จริงไหม (จริง)  กำลังหมดชีวิตไปทุกวันๆ และชีวิตเราหมดไปเพื่ออะไร กิเลส ตัณหา หรือหมดไปเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม หมดไปเพื่อสร้างวิบากกรรม หรือสิ้นเคราะห์กรรมแจ้งในธรรม ถามใจศิษย์นะ ความดีงามไม่ต้องเสกสรร แค่ออกมาจากใจ กลั่นมาจากใจ ทำด้วยใจ จริงใจ เมตตา ให้เกียรติ ซื่อตรง การเป็นคนไม่ยาก แต่ยากตรงที่เป็นคนให้ประเสริฐ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นแก่ตัวมาก ศิษย์ก็ไม่มีทางสร้างคุณธรรมใดๆ ในโลกได้ แต่ถ้าศิษย์เห็นแก่ตัวให้น้อย คุณธรรมใดๆ ก็บังเกิดได้ด้วยใจของศิษย์เอง
สังขารนี้มันหนีความเจ็บไม่ได้ เมื่อใดที่มีความเจ็บ จำไว้นะ หมั่นท่องปลงสังขารว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เดี๋ยวต้องคืนดินคืนฟ้า มีอย่างเดียวคือจิต ขอกลับคืนสู่ธรรม สังขารไม่ใช่ของเรา เจ็บได้ป่วยได้ แต่จิตเราไม่ใช่สังขาร จิตเราคือสภาวธรรมที่พ้นทุกข์มานานแล้ว แต่เราไม่เคยเข้าถึงสภาวะจิตอันนั้น จิตที่ทำให้เราพ้นโลก พ้นเวียนว่าย พ้นกระแสวิบากกรรม จิตที่ตื่นรู้แจ้งกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เรียกว่า “ไม่มี” ไม่มีอะไรต้องเอา ไม่มีอะไรต้องยึด เพราะถ้ายังอยากเอาอยากมี มันก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าวันหนึ่งกายมันต้องเจ็บ แล้วมันต้องไป หมั่นปลงมันเรื่อยๆ มันไม่ใช่ของฉัน มันจะกลับคืนสู่ธรรม ฉันขออย่างเดียว จิตกลับคืนสู่ธรรม กายชดใช้กรรมเป็นธรรมดา
หมั่นพิจารณาธรรมเนื่องๆ แล้วความสว่างแท้จริงจะปรากฏขึ้นในใจของศิษย์ และความพ้นทุกข์ที่แท้จริง จะเกิดขึ้นด้วยตัวเราเอง ค้นหาธรรมในใจ ได้ไหมศิษย์เอ๋ย (ได้)  ชีวิตมันทุกข์พอแล้ว เหนื่อยมากแล้ว หาความสงบหาความสบายบ้างไม่ได้หรือ ทำไมยังชอบหากิเลสตัณหาให้ทุกข์อีก
เมื่อถึงเวลาต้องพัก พักแล้ววางแท้จริง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ ก็ขอกลับอย่างจริงแท้ กลับอย่างคนที่เข้าใจในธรรม ความเจ็บป่วยมันหนีไม่พ้น มันเป็นกรรมของสังขาร แต่ขออย่างเดียวอย่าสร้างกรรมเพิ่ม ปล่อยนะ ต้องปล่อยได้แล้ว เข้มแข็งยิ่งกว่าเข้มแข็ง เมตตายิ่งกว่าเมตตา เสียสละยิ่งกว่าเสียสละ จนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ใช่ไหม
ดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจกันให้ดี อย่าได้เจ็บอย่าได้ทุกข์อย่าได้ไข้เลยนะ เข้มแข็ง มั่นคง เด็กดื้อ อย่าหลงโลกมาก มีสติ ใช้ธรรมยั้งคิด ระวังอารมณ์ ดูแลกายดูแลใจให้ดี ต้องหยุดสร้างบาปได้แล้ว หมั่นขอขมากรรม เข้าใจนะ ชีวิตมันไม่เที่ยงแท้ รักษาความดีงามให้มั่นคง อย่ากลัวความเจ็บป่วย ขอเพียงมีจิตที่มุ่งมั่น ตรงสู่ความเห็นแจ้งในธรรม ความเจ็บป่วยก็ทำอะไรจิตใจดวงนี้ไม่ได้หรอก ตั้งใจบำเพ็ญนะ รักษาความดีให้ดี อย่าฟุ้งซ่าน มั่นคงเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง ศิษย์เอ๋ย มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อย่าปล่อยให้อาจารย์โดดเดี่ยว
ศิษย์เอย ถ้าอยากเอาชนะกรรมเวรก็ต้องลดละการสร้างกรรม ลดละการเบียดเบียน มือหนึ่งทำบุญอีกมือหนึ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มือหนึ่งบอกว่ามีศีลธรรมเเต่อีกใจหนึ่งก็ก่อบาปเวรกรรม แล้วแบบนี้จะพ้นได้อย่างไร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกรรมเวรที่ศิษย์สร้าง มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดรักษาดวงจิตให้ดี มีทางออกแล้วนะศิษย์ เข้มเเข็ง ไม่มีใครเราก็อยู่ได้ ไม่มีใครทำเราก็ทำได้ คนเดียวก็มีความสุขเข้มแข็งได้ อย่าอ่อนแอ รักษาดวงจิตให้ดี ให้จิตนี้ยังคงบริสุทธิ์งดงามในหนทางที่ถูกต้อง ในหนทางเเห่งธรรม
(มีทุกข์)  ทำใจให้ได้ยอมรับความจริงเเล้วลุกขึ้นสู้ ต้องเข้มแข็งให้ได้ เกิดมาตัวเปล่าก็ต้องไปตัวเปล่า ไม่มีใครไปกับเรา เข้มเเข็งสู้ให้ได้
เด็กดื้อทั้งหลายระวังควบคุมอารมณ์ให้ดี อย่าให้อารมณ์สร้างพิษภัยเเก่ตนเอง รู้จักมีศีลธรรมให้ได้ รู้จักให้ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ระมัดระวังตัวเอง รักษาคุณธรรมความดีของตน อย่าปล่อยให้อารมณ์มาทำร้ายชีวิต มีความคิดที่ดี รู้เท่าทันจิตใจไม่เท่ากับรู้ควบคุมความคิด เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความคิดของคน ถ้าเรามีความคิดที่ถูกต้อง ก็ต้องเอาสติคอยยั้ง มีธรรมคอยเตือนใจ
รักษาให้ได้นะ ความซื่อตรง ทำให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญ ระมัดระวังความคิดอารมณ์ตัวเอง ดูแลกายใจตัวเองให้ดี อย่าใจร้อน ใจเย็น รู้จักคิดรู้จักทำ ไม่มีอะไรยากถ้าพยายาม (จะทำตัวให้ดี)  ละความโกรธได้หรือยัง ละความหลงได้หรือยัง รักษาต่อไปนะ มุ่งมั่นต่อไปนะ จะได้เข้มแข็งขึ้น ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ อย่าหลงผิด ความคิดต้องระวัง บางทีมันฟุ้งเกินไป บำเพ็ญได้หรือยัง ลดละได้หรือยัง ทำได้หรือยัง สิ่งที่ยากคือการควบคุมใจตน สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ อารมณ์และกิเลสของตน ถ้ายังทำไม่ได้ก็ยังผ่านไม่ได้ แต่ถ้ารู้จักควบคุมได้ชะตาชีวิตก็อยู่ในมือเรา แต่ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ชะตาชีวิตของศิษย์ก็อยู่ในมือยมบาล คุมให้ได้ ดูแลใจให้ดี ไม่มีใครก็เข้มแข็งได้ ไม่มีใครก็อยู่ได้
ได้บำเพ็ญหรือยัง (กำลังบำเพ็ญ)  อยากเปลี่ยนชะตาชีวิตให้ชีวิตอยู่ในมือเรา เราก็ต้องควบคุมกิเลสอารมณ์ให้ได้ รู้หมดแต่เมื่อไรจะทำให้ได้ มุ่งมั่นสิ่งที่ดีต่อไปนะ เข้มแข็งแล้วใช่ไหม เมื่อไรจะมั่นคง เมื่อไรจะเด็ดเดี่ยว
หนทางธรรมยาวไกลแค่ไหน ขอเพียงมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมั่นคงสำคัญที่สุด ไม่อ่อนแอ ไม่หวั่นไหว มุ่งเดินตรงนั่นคือหัวใจที่เข้มเเข็งที่สุด ถ้าเรามุ่งมั่นในความถูกต้องดีงาม มุ่งมั่นในหัวใจที่อุทิศเสียสละ ทำดีเพื่อเสียสละ ทำดีเพื่ออุทิศ ทำดีเพื่อฉุดโปรดผู้คน ทำให้เรามีสุข เเละสุขนั้นทำให้เราเข้มแข็ง เมื่อเข้มแข็งเเล้วไยจึงอ่อนแอ ต้องอิ่มในสุขที่เราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องเเละดีงาม ไยจึงทุกข์ ไยจึงเศร้า ในเมื่อเรามองเห็นความถูกต้องดีงามที่แจ่มชัดแล้ว มีทางที่ถูกต้องแล้ว กำลังกลับคืนสู่ธรรมแล้ว จะทุกข์อะไรอีก ต้องเบิกบาน ต้องสว่างภายใน เเละความสว่างนั้นต้องให้ผู้อื่นได้เย็นสงบเป็นสุขกับเราด้วย อย่าแค่สุขกับตัวเอง เเต่สุขอะไรที่ทำให้คนอื่นเย็นสว่าง สุขอะไรที่ทำให้คนอื่นอยู่กับเราแล้วสงบเป็นสุข มีจิตใจที่ซื่อตรงในธรรม มีจิตใจที่เมตตากรุณาปรานีในธรรม  ธรรมคือทางพ้นทุกข์ ธรรมคือทางประเสริฐ แต่กิเลส อัตตา ตัวตน ทิฐิ อารมณ์ คือทางแห่งความทุกข์ ทางแห่งบาปทั้งมวล ไม่รีบหยุดยั้งรอจนสายเกินไป ใครก็ช่วยศิษย์ไม่ได้ ไม่รีบมุ่งมั่นทำเสียตั้งแต่วันนี้ ใครก็เปลี่ยนแปลงใจศิษย์ไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์มาหวังพึ่ง แต่อาจารย์ อยากให้ศิษย์เรียนรู้เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด แล้วพึ่งตัวเองให้ได้และนำพาผู้อื่นให้ได้ เป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้ต่ออีก นี่คือสิ่งที่อาจารย์มุ่งหวัง อาจารย์ต้องการศิษย์เป็นจี้กงที่จะอนุเคราะห์ช่วยคน ไม่เคารพอาจารย์ไม่เป็นไร แต่ขอให้เคารพและเชื่อมั่นในความดีของตัวเอง ดีจริง ดีแท้ แล้วดีให้ถึงที่สุด เพราะถึงที่สุดทุกชีวิตต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดติดก็กลับไปสู่กรรม ไม่ใช่ธรรม ดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจกันให้ดีนะ เรามีกรรมเพียงสังขาร จิตเดิมแท้ไม่เคยมีกรรม จิตเดิมแท้คือธรรมอยู่ในนี้ ธรรมที่ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการเจ้าของ แต่ต้องการเพียงความว่าง ลองไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดว่าอาจารย์พูดจริงหรือไม่ คิดให้ดี

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เรียบง่ายเป็นสุข”
    จางจืดจึงรู้รสแท้                               สามัญแลเป็นยอดคน
ยิ่งเก่งยิ่งน้อมถ่อมตน                             สูงส่งทำตนทั่วไป
เก็บงำประกายฉายเด่น                           น้ำเต็มย่อมเอียงคว่ำง่าย
ใบไม้ร่วงเพาะหน่อใหม่                           ชีวิตซ่อนในโรยรา

     คุณธรรมความประพฤติที่ดีนั้น             ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่งให้หรูหรา
ความเรียบง่ายงดงามในจริยา                   จึงรู้ว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา