วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

2561-04-07 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี

西元二〇一八年嵗次戊戌二月二十二日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๑                             สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  คนรู้ยอมอดทนได้สงบเย็น              ดับรากแห่งปัญหาเป็นให้ลงได้
เป็นเหตุสร้างทานศีลธรรมทั้งหลาย      แม้นเวรภัยยังจางได้ถ้าเย็นพอ
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                                                 ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ชีวิตคนอย่าฟุ้งเฟ้อเป็นภาระ           สมถะจางจืดจึงเรียกรสแท้
บุรุษรู้สามัญแล้วยอดนักแล              ถึงรสแท้เป็นคนพ้นโลกีย์
คนยิ่งเก่งยิ่งต้องรู้จักยอม                 อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอเป็นราศี
พูดทำส่งสูงสง่าเพราะอารี                ดำรงตนทั่วไปมีธรรมประกาย
จันทร์ฉายเด่นกลางฟ้าเวลาค่ำ           ผ่านประกายงำเก็บน้ำเด่นฉาย
หมั่นลดน้ำเต็มแก้วอย่าเสียดาย          ตะแคงคว่ำเอียงย่อมไม่เคยปรานี
กริ่งไม้ใบง่ายปลิวสะบัดขั้ว               หล่นร่วงเพาะหน่อตัวเป็นวิถี
ตั้งใจใหม่ชีวิตซ่อนหลุดพ้นนี้              อย่าร้างโรยในดีนั้นทาบทา
มีคุณธรรมความประพฤติที่ไม่สอง        บำเพ็ญปั้นเสกสรรต้องเหนื่อยหน่อยหนา
อย่าให้หรูหราความจริงยิ่งปัญญา        อย่าปรุงแต่งพึงรักษาชีวิตธรรม
ถึงเรียบง่ายจริยาไม่มองข้าม             รู้งดงามในจึงประเสริฐล้ำ
ที่สุดสูงว่างไร้ไม่กระทำ                   ทางคืนสู่สามัญย้ำจิตบำเพ็ญ
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
“คนรู้ยอมอดทนได้สงบเย็น           ดับรากแห่งปัญหาเป็นให้ลงได้
เป็นเหตุสร้างทานศีลธรรมทั้งหลาย   แม้นเวรภัยยังจางได้ถ้าเย็นพอ”
คนที่รู้ยอมรู้อดทนได้ อยู่ที่ไหนก็จะสงบเย็นสามารถตัดรากแห่งปัญหาทั้งมวลได้ สามารถมีศีล มีธรรม สามารถให้อภัยเป็นทานได้ สามารถสร้างสรรค์คุณธรรมต่างๆ ออกจากใจได้ แต่ถ้าชีวิตนี้ยอมไม่ได้ อดทนไม่ได้ ธรรมใดจะบังเกิดคงไม่มี มีแต่โมโห โกรธเกรี้ยว ถือสา หาเรื่องราวใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่อดทนได้รู้ยอมได้ แม้เวรภัยอยู่ตรงหน้าก็ยังสิ้นได้ถ้าคนนั้นรู้ยอมรู้อดทนจริงไหม (จริง)  เขามาหาเรื่องเราอยู่ตรงหน้ายอมได้ไหม ถ้ายอมได้เวรภัยก็จบลงตรงนี้ แต่ถ้าไม่ยอม ถือสาหาความเอาเรื่องเอาราว เวรภัยก็ติดตัวเราไปเรื่อยๆ เวรภัยจะมีหรือไม่มี ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเรา เกิดเป็นคนควรมีคำว่าอดทนเเละรู้ยอม
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “จิตที่รู้จักอดทนอดกลั้นสามารถตัดรากเหง้าของปัญหาทั้งมวลในโลกได้ จิตที่รู้จักอดทนรู้ยอมสามารถตัดปัญหาการทะเลาะวิวาทหรือคำตำหนิติเตียนได้ เเละจิตที่รู้จักใจเย็นรู้ยอมยังสามารถบังเกิดการสร้างสรรค์คุณธรรมให้เกิดขึ้นในชีวิตเเละจิตใจได้ จิตที่รู้เย็นรู้ยอมยังสามารถดับเวรเภทภัยตรงหน้าให้มลายหายสิ้นได้” ชีวิตนี้ที่ต้องเจอเวรภัยเป็นเพราะการไม่ยอม ชีวิตนี้มีปัญหา ไม่มีความสุขเพราะรับไม่ได้ ใจไม่เเข็งพอ ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววันนี้อดทนได้ไหม รู้ยอมได้ไหม ยอมได้ก็เป็นสุข อดทนได้ก็สงบจริงหรือไม่ (จริง)
มีใครสงสัยไม่เป็นไร เราจะเป็นอะไรไม่สำคัญ เพราะเดี๋ยวเราก็ไม่อยู่ สิ่งสำคัญคือท่านกำลังเป็นอะไร เพราะคนที่ต้องแบกรับผลของการกระทำคือตัวท่านเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นเราเป็นความสุขท่านก็ได้กำไร คือมีความสุขเพิ่ม แต่ถ้าเห็นเราเป็นความทุกข์ท่านก็ขาดทุนที่ต้องอยู่กับเราเพราะต้องจมทุกข์ ถ้าเห็นทุกคนเป็นความสุขอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข แต่ถ้าเห็นเขาเป็นความทุกข์อยู่ที่ไหนท่านก็ (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งสิ่งสำคัญหรือเหตุของปัญหาจริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่อยู่ที่ผู้อื่น แต่ท้ายที่สุดคืออยู่ที่ใจเราเอง
คนยิ่งเก่งยิ่งต้องรู้จักยอม         อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอเป็นราศี
พูดทำส่งสูงสง่าเพราะอารี         ดำรงตนทั่วไปมีธรรมประกาย
คนที่อยู่ในโลกดูแล้วน่ารัก ดูแล้วอยากใกล้ชิด น่าจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าใกล้แล้วรู้สึกมีเมตตา ยิ่งอยู่แล้วยิ่งสงบเย็น ใช่หรือไม่ เราหาสิ่งนั้นแล้วเราเคยทำสิ่งนั้นบ้างไหม ถ้าคนหนึ่งมุ่งมั่นดำเนินชีวิตเพื่อค้นหาความหมายที่เเท้จริงของชีวิตว่าเกิดมาเพื่ออะไร แล้วคุณค่าชีวิตที่ สูญหายไปทุกวันทำไปเพื่ออะไร เขาคงต้องพยายามค้นหาให้เจอว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร แล้วถึงที่สุดทุกวันเราหายใจทิ้งไปนั้นได้อะไรคืนกลับมา ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสิ่งที่ได้คืนคือความสุข ความสงบไหม ทำไมเหมือนมีความสุขเเต่ความสุขนั้นกลับให้ทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเหมือนดูสงบเเต่ลึกๆ กลับไม่เคยสงบเเละสบายใจ อย่างนั้นเเปลว่าชีวิตที่แท้จริง สิ่งที่มีค่าที่สุดกว่าชีวิตคือลาภยศไหม คือเงินทองไหม (ไม่ใช่)  เราอยากหาความสุขเเต่อะไรคือสุขเเท้ในโลก อะไรคือสงบแท้จริงๆ ไม่เป็นสุขที่กลับไปทุกข์ ไม่เป็นสงบที่ลึกๆ กลับวุ่นวายใจ ตลอดชีวิตที่เราทิ้งไปสิ่งที่เราได้มา สุขแท้ไหม แล้วค้นพบความสงบที่จริงหรือยัง (ยัง)  น่าจะมีอะไรที่ทำให้เราสุขแล้วสุขจริงๆ สงบแล้วไม่กลับมาวิตกกังวลอีก น่าจะเป็นธรรมะถูกไหม แต่ทำไมปฏิบัติธรรมแล้ว ทำดีแล้วกลับไม่สงบใจ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่กลับไม่สบายใจ เป็นเพราะอะไร ถ้าคนๆ หนึ่งสามารถมีธรรม แล้วธรรมนั้นทำให้เขาสงบจนมั่นคง คนนั้นน่าจะเรียกว่าปฏิบัติได้ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  แล้วถ้าเกิดคนๆ หนึ่งมีธรรม แต่ไม่สามารถสงบและมั่นคงในธรรมได้ แปลว่าเขาต้องมีอะไรปฏิบัติผิด
ผู้มั่นคงในความดีงามย่อมเข้าถึงความสงบ แม้สภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายก็ไม่สามารถพรากความสงบไปจากใจผู้ที่มั่นคงในความถูกต้องดีงามได้ แต่ผู้ที่ไร้ความสงบใจ ไปอยู่ที่ใดๆ ก็ไม่สุข เหมือนสภาวะแวดล้อมแกล้งเรา ทำให้เราทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ในความเป็นจริงผู้ที่มั่นคงในความถูกต้องดีงาม แม้สภาวะจะมีผลขนาดไหน แต่สภาวะนั้นก็ไม่สามารถดึงหรือพรากใจที่มุ่งมั่นในความถูกต้องดีงามให้ไหลลงต่ำได้ เหมือนคนที่อิ่มในสุข อิ่มในความดีงาม อิ่มในบุญ อิ่มในความถูกต้อง แม้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ก็ลากใจให้เขาทุกข์ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนคนอิ่มใจแล้ว ใครมาพูดอะไรตอนนี้มันอิ่มใจแล้ว มันสงบแล้ว มันสุขแล้ว ใครจะลากใจให้เขาเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่ผู้ที่ไม่มั่นคงในความดีเท่านั้น อยู่ตรงไหนก็หวั่นไหว อยู่ที่ใดก็เปลี่ยนแปลง
ฉะนั้นที่พูดว่าทำดี ที่พูดว่าเป็นคนดี ดีมั่นคงหรือยัง ดีจนพบความสงบสุขที่แท้จริงหรือไม่ เพราะถ้าคนดีมั่นคงในความดี มั่นคงในความสุข และมั่นคงในความสงบ อะไรก็พรากใจดีๆ ไปจากใจเขาไม่ได้ อะไรก็พรากให้ใจเขาหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงแล้วเปลี่ยนเป็นคนชั่วไม่ได้ อย่างนั้นที่ท่านทำดีแล้วไม่สุข ทำดีแล้วไม่สงบ เพราะยังไม่ใช่คนดีจริง ยังไม่ใช่คนที่รักดีจริง ถูกไหม (ถูก)  ถ้ารักดีจนตัวตายจะกลับกลายเปลี่ยนใจไหม ถ้าซื่อตรงจนถึงที่สุดจะเปลี่ยนแปลงไหม (ไม่)  ถ้าเป็นคนดีที่แท้จริงจะกลัวคนติฉินนินทาไหม (ไม่กลัว)  ฉะนั้นก่อนจะว่าคนอื่นว่าเขาทำให้เราวุ่นวายใจ ก่อนจะว่าคนอื่นที่เขาทำให้เราเจ็บปวดใจไม่สบายใจ ถามใจท่านก่อน มั่นคงในความถูกต้อง ซื่อตรงในความดีงาม ไยต้องหวั่นไหวกับคำพูดคน ดังที่มนุษย์กล่าวไว้ว่า “คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” ความหมายจริงแปลว่าคนดีแม้จะถูกไฟนินทา ไฟถากถาง ไฟหล่อหลอม ความดีก็ไม่เคยไหม้หรือสูญหาย ไปจากใจ คนดีแม้จะเจอชะตากรรมที่พลิกผันต้องตกต่ำ ความดีก็ไม่ไหลลงต่ำไปฉันนั้น แปลว่าความดีไฟก็ไหม้ไม่ได้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงใจคนดีไม่ได้เช่นนั้นแล เราเหมือนยังไม่ดีจริงเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)  อยากมุ่งมั่นดีหรือมุ่งมั่นไม่ดี (ดี)  เชื่อไหมว่าดีกับไม่ดีแค่อยู่ที่พลิกใจ พลิกใจเป็นก็กลายเป็นดี เป็นคุณธรรมเป็นมหากุศล แต่ถ้าพลิกใจไม่เป็นก็กลายเป็น  โลภโมโทสัน โกรธเกรี้ยวสร้างวิบากเวรกรรม
(อยากให้เป็นคนดี)  ให้เป็นคนที่ดีที่หวั่นไหวง่ายหรือเป็นคนดีที่มุ่งมั่นจริง (เป็นคนดีที่มุ่งมั่นจริง)  แม้แต่ตัวท่านเอง เจอใครก็อยากเจอคนจริงๆ ทำจริงๆ แล้วตัวเราทำจริงดีจริงหรือยัง เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าตอนนี้มุ่งมั่นอยากทำดีจริงๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เลือกดอกไม้สองดอก มีดอกไม้สีขาวและสีแดง)
ชอบดอกไหนมากกว่ากัน (สีขาว,สีแดง)  แต่ถ้ามีคนให้คงอยากได้ดอกสีแดงใช่ไหม แล้วถ้าดอกหนึ่งเป็นดอกแห่งความดี อีกดอกหนึ่งเป็นดอกแห่งความไม่ดี เลือกสิ่งใด ดีหรือไม่ดี เชื่อไหมว่าเราไม่ได้มองแค่นั้น ทำอะไรอย่าย่ำอยู่กับที่ ถ้าท่านเลือกดีเเล้วไม่ดีให้ใคร ไม่ดีใครรับ อย่าเป็นคนที่พยายามมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีเเล้วหวังเลือกแต่สิ่งที่ดี เมื่อเจอเรื่องไม่ดีก็รับไม่ได้ และอย่าเป็นคนที่เลือกเจอแต่สิ่งดีเมื่อเจอสิ่งไม่ดีก็รังเกียจเดียดฉันท์ และอย่าเป็นคนเก็บแต่ดี เพราะทุกวันนี้เก็บ (ไม่ดี)  มากกว่า (ดี)  เหมือนเวลาที่เราอยู่กับคนส่วนมากหรืออยู่กับคนหมู่ใหญ่ ดีๆ เราเก็บไว้ ไม่ดีโยนให้เขาไปถูกไหม (ไม่ถูก)  บางครั้งต้องคิดว่าการยอมไม่ดีบ้างก็อาจจะกลายเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ ถ้าท่านมั่นคงในความถูกต้อง ไยต้องหวั่นไหวเพราะเเค่คำพูดว่าไม่ดี ในอีกทางหนึ่งถ้าตอนนี้มีแต่ไม่ดี เอาหรือไม่เอา (เอา)  จงตามใจตัวเองให้ทัน คนในโลกนี้เห็นอะไรก็ไม่ดีไปหมด เมื่อเห็นไม่ดีแล้วมีความสุขไหม อย่างนั้นเอาหรือไม่เอาดี แล้วทุกวันนี้ที่มองเห็นแต่ไม่ดี พูดว่าไม่เอา แต่ต้องอยู่กับตรงนี้ให้ได้ ฉะนั้นแม้ไม่ดีคนดีก็ไม่หวั่นไหว ถ้ารู้จัก พลิกแพลงให้เป็น ท่านก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นไม่ดี เราควรจะไม่เอาแล้วอยู่กับการไม่เอาอย่างไรให้เป็นสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่ใช่ไม่เอาแล้วเอาแต่รังเกียจ แล้วเอาแต่ด่าทอเอาแต่กร่นว่า อย่างนี้ก็ไม่สุข มหาโจรพลิกใจได้ยังกลายเป็นพุทธะ คนหลงเมื่อรู้ตื่นจึงมีธรรมในใจตน ฉะนั้นภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับพลิกใจเป็น พลิกใจเป็นก็สร้างมหากุศล พลิกใจไม่เป็นก็ก่อเกิดเป็นเวรกรรมและการจองเวรเวียนว่าย แล้วถ้ามีแต่ดีเอาหรือไม่ มีปัญญาพลิกใจเป็นก็จะตอบเราว่า ไม่เอา ขอเป็นคนดีที่ตายแล้วทิ้งดีไว้ให้โลกยังเห็น ถ้าเก็บดีมาหมดใครจะเห็นความดีในใจท่าน สู้ทำแล้วทิ้งความดีไว้ดีกว่านะ แต่คนปัจจุบันเก็บดีทิ้งร้ายไว้บนโลก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตอยู่ที่เราพลิกใจ โกรธแล้ว โลภแล้ว หลงแล้ว ใครทุกข์ ยิ่งโกรธเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งด่าเราก็ยิ่งปวดใจ ยิ่งโมโหก็เหมือนไฟเผาฟืน แล้วเราจะเผาต่อไหม คนมักโกรธจะไม่มีจิตสำนึกคุณใคร คนมักโกรธจะไม่สามารถมีศีลธรรมในใจได้ แล้วคนที่มักโลภจะไม่เคยเป็นคนที่มีใจกว้าง แต่จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าพลิกใจไม่โกรธจะกลายเป็นคนรู้จักคุณคน รู้จักศีลรู้จักธรรม อย่าโกรธเลยเราก็ฝึกเมตตาใจ ไม่โกรธเลยเราก็มีศีลธรรมขึ้นมา เห็นโลภแล้วให้เขาไปเถอะ กินน้อยหน่อยกินมากหน่อย เดี๋ยวก็ตายเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  สมบัติผลัดกันชม วันนี้เราชมพอแล้ว ให้เขาชมบ้างเป็นไร ไม่โลภดีกว่า พอไม่โลภใจแคบเป็นใจกว้าง พอไม่โลภเห็นแก่ตัวกลายเป็นเมตตาจิตพอไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงกลายเป็นจิตใจมองเห็นโลกแจ่มชัดไม่ถูกบดบังไม่ถูกหลอกลวง แล้วคนพลิกไม่เป็นเล่า ฉะนั้นเจออะไรพลิกใจทางไหน พลิกถูกก็สร้างมหากุศล พลิกผิดก็ตกนรกอเวจี แล้วใครที่สร้างสวรรค์บนดิน แล้วใครที่ก่อกองไฟจุดเผาตัวเอง ฉะนั้นดีหรือไม่ดี อะไรก็ได้ถ้ารู้ใจตัวเอง มั่นคงพอ เข้มเเข็งมีความถูกต้องพอ ดีจริงพอ อยากเจอคนจริง อยากเจอคนดีจริง อยากได้คนดีจริง ทำไมไม่ทำให้ตัวเราเป็นคนจริง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะจริงๆ แล้วผู้ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญ ถ้าเข้าถึงความเป็นจริงแห่งหลัก  สัจธรรม ก็ไม่ได้ทำตัวแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเดินดินจริงไหม (จริง)  ถ้าทำตัวยกตัวเองสูงเด่น ใครหรือจะเข้าใกล้แต่ควรจะทำตัวเรียบง่าย กลมกลืนและสอดคล้อง และทุกขณะในการดำเนินชีวิต ควรมีธรรมย้ำเตือนใจ เป็นคนธรรมดาเข้ากับใครก็ได้ อยู่กับใครก็เป็นสุข และไปอยู่ที่ไหน ก็นำความผาสุกสงบเย็นมาให้ คนเช่นนี้ถึงจะเรียกว่าผู้มุ่งมั่นปฏิบัติจริง แต่ไม่ใช่ไปอยู่ที่ไหนใครก็ส่ายหัวเบือนหน้าหนี เช่นนั้นเราต้องหันมาตรวจสอบตน จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบไหน เราเดินเข้าบ้าน เขาต้อนรับหรือเขาเมินหน้าหนี (ต้อนรับ)  ผู้ปฏิบัติธรรม เห็นไปตามญาติธรรมโดนเมินหน้าหนีท้อใจเลย ใช่ไหม (ใช่)  มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องอย่าหวาดหวั่นแม้เจอเรื่องไม่ดี เพราะคนที่สงบในความดีจะไม่หวั่นไหวจะไม่เปลี่ยนแปลง จริงไหม (จริง)  เราถามนะ ถ้าเจอดอกไม้ มีทั้งดีและไม่ดีเก็บหรือไม่เก็บ (ไม่,เก็บ)  ดูตามวาระโอกาส จริงไหม (จริง)  ถ้าเก็บแล้วสร้างสรรค์สิ่งที่ดีก็เก็บ แต่ถ้าเก็บแล้วทำคนทุกข์ใจบางครั้งก็ไม่ควรเก็บ นั่นแหละยากในการดำเนินชีวิต
ตอนไหนที่เรียกว่าดีแท้จริง ถ้าทำแล้วไม่ผิดต่อฟ้าไม่อายต่อดิน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน เก็บหรือไม่เก็บไม่ใช่เรื่องสำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)แต่ถ้าเก็บแล้วขาดคุณธรรมความเป็นคนเงยหน้าก็อายฟ้าก้มหน้าก็อายดิน อย่างนั้นอย่าเก็บดีกว่า แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ฉะนั้นมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมขออย่าลืมคุณธรรมแห่งความเป็นคน นั่นคือจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม โลกนี้จะสันติได้เพราะคนยังสำนึกในความถูกต้องดีงาม จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นขอให้รู้จักระมัดระวังควบคุมใจตัวเองให้ดี แค่ชั่วขณะเดียว พลิกใจตามอารมณ์ก็ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและความทุกข์ทน แต่ถ้าพลิกใจตั้งตรง ก็ก่อเกิดเป็นคุณธรรมมหากุศล ธรรมภายนอกไม่เท่าธรรมภายใน กราบไหว้พระภายนอก ไม่สู้มีพระสงบเย็นอยู่ภายใน หาคุณธรรมภายนอก ไม่สู้ปฏิบัติธรรมได้ภายใน อย่ามัวแต่กราบพระภายนอก พอถึงเวลาเจอเรื่องราวกลับลืมพระภายใน อย่ามัวแต่มีธรรมภายนอก แต่ถึงเวลาขาดคุณธรรมประจำใจ ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ถ้าพรุ่งนี้ยังมีบุญก็คงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญโอกาสนะ คุณธรรมความดีสั่งสมมากย่อมก่อเกิดเป็นบุญกุศล กิเลสอารมณ์สั่งสมมากย่อมตามไปด้วยวิบากกรรมและวัฏฏะการเวียนว่าย ถามใจท่านดูจะเลือกธรรมหรือเลือกกิเลส

วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนกลัวทุกข์มากกว่าทุกข์จริงจริง      จิตไม่นิ่งทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
ยิ่งสู้ก็ยิ่งแพ้เพื่ออะไร                      ทำใจได้จึงนับว่าเป็นโชคดี
ทุกข์ของจริงไม่เท่าทุกข์ในจิต            ใส่ความคิดใส่อารมณ์ใส่ศักดิ์ศรี
ใส่ความมีผลประโยชน์ใส่ท่าที            ใส่ข้อดีเข้าไปยิ่งยากทำใจ
ทำเรื่องดีด้วยใจพลีอย่าแก่งแย่ง          เรื่องถูกผิดถือรุนแรงเป็นศึกใหญ่
ทำเรื่องถูกทำเรื่องดีเพื่อสบายใจ         หากทำแล้วไม่สบายใจคือผิดทาง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก   แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

    มองเจ้าเอย ยอมแพ้เสียง่าย ยามนี้ยังมีใจ มิเป็นประสา ใจเจ้าเอยตามจิตธรรมดา รู้ไปไม่ยอมรู้มา เผลอแค่ครา ต้องเร่งเท่าตัว
    คนหนอคน ตั้งใจดิบดีกลับล้าไป วันสองวันท่าดีขยับกลับลับตา คำของคนยามที่เปลี่ยนไปไม่เหลือค่า เพียงลับตาห่างกันเนิ่นนาน
    ไยทุกวันสบายสบายกลับทุกข์ใจ บางเรื่องราวเจ้ายืมบำเพ็ญได้หลายเท่า ดวงชะตาหรือจะสู้ฟ้าคอยลุ้นเจ้า เพียรของเรา ทุกวันนะทำได้เลย

ทำนองเพลง: ออเจ้าเอย
ชื่อเพลง : ใจเจ้าเอย


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทานข้าวอิ่มไหม อิ่มแปลว่า กินไม่ลงแล้ว ตอนเย็นไม่กินแล้วใช่ไหม (กิน)  นึกว่าตอนเย็นไม่กินแล้ว ใจมนุษย์นี่ถมไม่เต็ม พุงมนุษย์นี่ถมไม่เต็มเป็นเหมือนชูชก กินไม่มีวันอิ่ม ยอมเป็นชูชกหรือ ถือว่าวันนี้เรามาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันดีหรือเปล่า “ชีวิตคือการเรียนรู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง” ไม่ลองดูสักตั้งจะรู้ง่ายๆ ได้อย่างไรว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เราจะแพ้หรือชนะ แพ้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ล้มแล้วก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ ชนะแล้วดีใจไหม (ดี) ก็ระวังวิตกกังวลอีกว่าต่อไปเราจะชนะอีกไหม
อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ อะไรในโลกที่ศิษย์ไม่จำเป็นต้องครอบครองแต่ก็มีสุขได้ ไม่ต้องเป็นเจ้าของแต่ก็ทำให้เราสุขได้
(ทรัพย์สมบัติ, นามธรรม)  ทรัพย์สมบัติต้องครอบครองก่อนถึงจะมีสุข ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีทรัพย์สมบัติมีสุขไหม (มี)  คนบนโลกส่วนใหญ่จะมีความสุขได้ต้องครอบครอง ต้องเป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
รถคันนี้เป็นของสาธารณะ เรามีสุขไหม เราใช้กันแบบไม่ใช่ของฉัน เราไม่ค่อยมีสุข แต่ถ้าบอกว่าเป็นรถของฉัน เรารู้สึกมีความสุข เงินนี้เป็นเงินสาธารณะเรามีสุขไหม (ไม่มี)  แต่พอเป็นเงินฉัน ยิ้มทันที ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์แสวงหาในโลกทุกวันนี้ ศิษย์พยายามหาให้เป็นของเรา แล้วเราเรียกว่าความสุข แต่ศิษย์รู้ไหมว่าในโลกยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่แม้จะไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ เราก็สามารถมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องครอบครองอย่างแท้จริง เคยหาความสุขประเภทนี้ไหม
(ธรรมะ) ธรรมะแบบไหนหรือ (ทุกอย่างที่เราทำดี)  ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วก็จะมีความสุข แต่โดยส่วนใหญ่เวลาเราทำดีเรายึดไหม (ยึด)  ฉันดีนะ อย่ามาว่าฉัน ฉันดี ใช่ไหม (ใช่)  ใครว่าเราไม่ดีไม่ได้ ฉันดีมาว่าฉันทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อิสรภาพ, อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ, ความคิดชอบ, ความเห็นชอบ, ปล่อยวาง)  ตอบกว้างอีกแล้วขอคำตอบที่แคบๆ แล้วศิษย์ตอบแล้วทุกคนพอทำได้อย่างนั้นก็มีสุขทันทีเลย คิดออกไหม ลองคิดสิ
(การให้อภัย, ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอย, การได้เฝ้าดูจิตของเราเอง)การได้เฝ้าดูจิตของตัวเอง สามารถทำให้เราเป็นสุขได้ แต่บางครั้งการเห็นจิต จิตมันชอบคิดร้ายนะ มันก็เลยจะทุกข์มากกว่าสุข
(การให้)  การให้ทำให้เราสามารถเป็นสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ก็ตอบได้ดีนะ แต่ให้อะไร
(ให้ทุกคนมีศีล สมาธิ ปัญญา)  จะทำให้เรามีสุขได้โดยที่เราไม่ต้องยึดถือครอบครอง ก็เหมือนจะได้ดีนะ แต่บางครั้งคนเราเวลาถือศีลมากๆ ถือสมาธิมากๆ ก็มักจะหลงความยึดติด หลงว่าตัวเองมีศีลสูง มีภูมิธรรมสูงนะ ต้องระวัง
(ความรัก)  มีรักไหนไม่ครอบครองบ้าง
(หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา)  เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนามาใช้จะได้มีสุขใจ
(การเสียสละ, กตัญญูรู้คุณ)  อย่ากตัญญูแค่ปาก ต้องรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ขยันหมั่นเพียร
(เมตตา)  เมตตาทุกสรรพสัตว์ สัตว์เล็กก็ต้องเมตตา
(ความทุกข์)  อาจารย์ขอทันสมัยหน่อยนะ กดหนึ่งไลค์ เข้าใจตอบดีนะ
ศิษย์เอย สุขที่ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องครอบครองแต่ก็มีสุขได้คือ “ใจที่รู้จักชื่นชม” แค่ใครทำอะไรพูดอะไร ก็ชื่นชมว่าดี แค่เห็นพระจันทร์ ก็ว่าสวย แต่เราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเรารู้จักชื่นชมเราก็มีความสุข ทุกวันนี้ศิษย์เคยชื่นชมใคร ตื่นเช้ามาก็ด่าติว่าบ่นคอมเม้นต์ แล้วเรามีสุขไหม เพราะอะไรๆ ก็ไม่ชอบ แต่ถ้าเราเห็นอย่างนั้นก็ดี อย่างนี้ก็ดี แค่นี้ก็ดี ทุกวันเรามีสุข ทุกขณะที่เราทำเรามีสุข เรารู้จักชื่นชมยินดี ใครที่เราจะเกลียด ใครที่จะไปสร้างให้ทุกข์ แล้วศิษย์ก็ไม่ต้องรอว่า ต้องมีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ถึงจะสุข ถ้าทุกก้าวของศิษย์รู้จักชื่นชม ความสุขจะหายากไหม ความสุขไม่ต้องนิยามไกลโพ้น แล้วชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร อันนี้ก็ไม่ชอบ อันนี้ก็เบื่อ คนนี้ก็ไม่ได้เรื่อง คนนี้ก็อย่างนั้น คนนี้ก็อย่างนี้ สุดท้ายเป็นโรคซึมเศร้า ฉะนั้นศิษย์เอย ถ้าเรารู้จักชื่นชมยินดี เมื่อเราเห็นคุณค่า ทุกคนก็มีค่า เมื่อเราไม่เห็นคุณค่า ทุกคนก็ไร้ค่าให้ชื่นชม ใครบ้างไม่ดี ขนาดคนที่ด่าเรา อาจารย์ว่าก็ยังดีเพราะทำให้เราเห็นว่า เราเป็นคนที่ไม่ดีแบบที่เขาด่าหรือไม่ เขาโกงเรา ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว เราโดนเขาโกงแล้ว เรายังอยากจะดีหรือไม่ดี เราโดนเขาทำลายแล้ว เราโดนเขาทำให้เราสูญเสียแล้ว เราจะมีชีวิตที่เสียสูญไหม ฉะนั้นถ้าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ศิษย์ชื่นชม ศิษย์รู้จักขอบคุณ ศิษย์สำนึกคุณ ศิษย์เห็นคุณค่าของเขา มีอะไรบ้างในโลกที่เราจะเกลียด มีอะไรบ้างในโลกที่เราจะผูกใจเจ็บ และมีอะไรบ้างในโลกที่จะทำให้เราต้องชิงชัง จองเวรจองกรรม หรือเคียดแค้นก่นด่า แล้ววันนี้ศิษย์เคยชื่นชมยินดีอะไรบ้างหรือยัง
ถ้าชีวิตมีสุขทุกวัน แม้วันข้างหน้าจะล้มเหลว แม้วันข้างหน้าจะผิดหวัง แต่อย่างน้อยเรามีความสุขเป็นขวัญกำลังใจ แต่ถ้าวันนี้ อะไรศิษย์ก็ไม่พอใจ อะไรศิษย์ก็ไม่สุข วันหน้าศิษย์เจออะไร ศิษย์จะเอาแรงใจที่ไหนไปสู้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วตอนนี้เราชื่นชมอะไรบ้าง เราขอบคุณอะไรบ้าง กลับบ้านภรรยาไปขอบคุณสามี สามีไปขอบคุณภรรยา บางทีชีวิตอย่าไปยุ่งยากมากเลยเอาง่ายๆ ตรงๆ แม่อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวพ่อเกลียดนะ แม่ก็ต้องระวังแล้วใช่ไหม (ใช่)  ไปอ้อมคำพูดเยอะแยะมากมาย เปล่าประโยชน์ บ่นไปก็เหนื่อยใจเปล่าๆ จริงหรือไม่ (จริง)
จำไว้นะศิษย์เอ๋ย ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดถูกไปทั้งหมด และไม่มีสิ่งใดผิดที่แท้จริง ถ้ายึดถูกยึดผิดเกินไป คนที่ยึดก็เป็นทุกข์ ว่ากันไปที่สุดใครที่ถูกจริง ว่ากันไปที่สุดใครที่ผิดจริง อย่างนั้นเราถูกหรือผิด (ผิด,ถูก)
เหมือนใบหน้าเรา มันจะเหี่ยวก็เหี่ยวแบบนี้ก็สวยหนอ ใครไม่ชอบฉันชมตัวเองว่าสวยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้กำลังใจตัวเองแต่อย่าถึงกับเป็นการหลงตัวเอง ใครว่าไม่ได้ก็ไม่ถูกต้อง
วันนี้มาฟังธรรมะเข้าถึงธรรมบ้างไหม (เข้าถึง)    ถ้าถึงแล้วใจต้องเบิกบาน ใจต้องปิติต้องอิ่มสุข แต่ทำไมหน้ามุ่ย ยิ้มไม่ออก ถ้าศิษย์อยากเข้าถึงธรรมต้องรู้จักมองภายใน ถ้าศิษย์อยากเห็นแจ้งในธรรม ศิษย์ต้องรู้จักเห็นแจ้งความเป็นจริงภายใน เพราะภายในคือแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง และภายในที่เรียกว่าแก่นหรือหลักนั้นมีธรรมที่หนีไม่พ้นและเป็นธรรมอันเป็นสัจจะ ถ้าเมื่อไรที่เราสามารถเข้าใจหลักแห่งสัจจะภายใน และเอาความเห็นแจ้งในหลักสัจจะภายในพิจารณาทุกสิ่งอยู่เนืองๆ ก็จะก่อเกิดความเป็นอิสระเบิกบานใจ ไม่ถูกบีบคั้นหรือถูกทิ่มแทงใจได้ง่าย แต่อะไรที่เป็นสัจจะความจริงแท้ภายใน เพราะถ้าเราหมั่นเห็นอยู่เนืองๆ พิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่เกิดความอยากได้ใคร่ดีอะไรในโลก แต่เราจะรู้จักช่วงใช้แล้วรู้จักวางมันลงได้โดยที่ไม่ต้องปล่อยมันเลย ตอบได้ไหม (สัจธรรม)  สัจธรรมอะไรที่เราอยากเข้าถึงธรรม อยากเห็นแจ้งในธรรม ศิษย์ก็ต้องหาว่าอะไรที่ทำให้เราเห็นแจ้งและเข้าถึงธรรม นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม ชีวิตก็คือธรรม สรรพสิ่งก็คือธรรม ทั้งรูปทั้งนามก็คือธรรม เราเห็นธรรมทุกวันแต่เราไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เพราะเราเห็นตามความคิด เราเห็นแล้วตัดสินตามอารมณ์ความรู้สึก ฉะนั้นจะเห็นแจ้งเข้าถึงธรรมได้ เราต้องมองภายใน ซึ่งภายในมีแก่นเหมือนกันในทุกสรรพสิ่งไม่ว่ารูปหรือนาม และในแก่นอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักธรรม แล้วธรรมอะไรที่เราหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ที่จะสามารถทำให้เราเข้าถึงธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้ ตอบได้ไหม
ผลไม้ผลนี้กินแล้วมีแต่ทุกข์ กินไหม เอาไหม (เอา, ไม่เอา, ไม่กินแต่เอา)
ถ้ามีคนๆ นี้แล้วมีแต่ความโลเล ไม่แน่นอน เอาไหม (ไม่เอา)  ผลไม้นี้กินแล้วมีแต่ทุกข์เอาไหม เงินนี้มีแล้วเหมือนไม่มี เอาไหม (เอา)  เงินนี้หากี่ครั้งๆ มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ได้มาแล้วมีแต่ความว่างเปล่า แล้วเรายังอยากจะได้มันอีกไหม ลึกๆ ก็อยากได้ แล้วศิษย์เหนื่อยกับความว่างเปล่าที่ศิษย์หาไหม ทุกข์ไหม อาจารย์กำลังจะบอกว่า ทุกสิ่งที่ศิษย์พยายามแสวงหา หนีไม่พ้นความว่างเปล่า หนีไม่พ้นความทุกข์ และหนีไม่พ้นความไม่แน่นอน
ในโลกมีอะไรบ้างไหมที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เปลี่ยนแปลง มีแล้วถึงที่สุดไม่ว่างเปล่า (ไม่มี)  อยากจะรักใครสักคนมีทุกข์ใช่หรือไม่ แล้วหาความมั่นคงได้ไหม (ไม่ได้)  หาตัวตนแท้จริงเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนจะเป็นของเรา จดทะเบียนแล้ว แต่จริงๆ แล้วเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  พ้นประตูบ้านไปแล้วไม่รู้ของใคร แม้อยู่ในบ้าน ใจก็ไม่รู้ไปอยู่กับใคร ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นหลักทุกสรรพสิ่ง มันจะทำให้ศิษย์อยากน้อยลง แล้วเวลาจะทุกข์ ศิษย์ก็จะรู้เลยว่า ก็เราอยากได้มาเอง อาจารย์ก็บอกแล้วว่า มีอะไรในโลกบ้างศิษย์ไม่ทุกข์ มีอะไรในโลกบ้างแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง และมีอะไรในโลกบ้างที่ได้แล้วเหมือนไม่ได้ มันทุกสิ่งเลย จริงไหม
เหมือนว่าเราได้ร่างกายนี้ แต่ร่างกายนี้ฟังเราไหม (ไม่)  เหมือนเราได้เงินนี้ แต่เงินอยู่กับเราไหม (ไม่อยู่)  เหมือนว่าเราได้ผลไม้นี้ แต่มันเป็นของเราจริงๆ ไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าถึงแก่นหลักธรรมความเป็นจริงที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะทุกข์กับอะไร อาจารย์จี้กงบอกแล้ว เราโง่เอง เรายังอยากมี อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่ามันไม่เที่ยง อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่ามันจะทุกข์ แต่เราคิดว่ามันสุข อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่าว่างเปล่า นึกว่ามันจะมีแต่มันไม่เคยมี ใช่ไหม (ใช่)  หาแบงค์ร้อยมากี่ร้อยใบ แล้วรู้สึกมีในใจหรือยัง ร้อยหนึ่งยังไม่พอ เอาอีกสักร้อยสิบร้อยก็ยังไม่พอใช่ไหม (ใช่)
ถ้าทุกขณะศิษย์ไม่จมอยู่กับกิเลส ไม่จมอยู่กับความอยาก ไม่จมอยู่กับความคิด ไม่จมอยู่กับโลก แต่เข้าถึงธรรมเนืองๆ พิจารณาธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ใจที่พิจารณาอย่างนี้ เห็นอะไรก็ชัดถึงข้างใน แล้วยังอยากอีกหรือ ยังจะเอาอีกหรือ ถ้าทุกขณะศิษย์พิจารณาธรรมอยู่ตลอดเวลา ศิษย์จะไม่มีวันถึงธรรมบ้างหรือ ศิษย์จะไม่มีวันเห็นแจ้งธรรมบ้างหรือ แต่ทุกวันนี้ศิษย์ไม่เคยเข้าถึงธรรม ไม่เคยมองธรรม มองแต่เพียงเราอยากอะไร เราชอบอะไร ผมอยากทำอะไร ผมอยากกินอะไร อยากไปไหน ใช่ไหม (ใช่)  เราใช้กิเลสหรือเราใช้ปัญญา (กิเลส)  ศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์อยู่อย่างคนใช้ความคิดหรือใช้ปัญญา มองตามความอยากหรือมองตามความจริงจนทะลุปรุโปร่ง เดี๋ยวเรามาดูกันว่า การตามความอยากกับการตามปัญญา มันต่างกันอย่างไร การปล่อยตัวเองไปตามความคิด อารมณ์กิเลส กับการดึงตัวเองให้รู้จักมีปัญญา มันต่างกันตรงไหน ฟังไหม (ฟัง)
ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลล้วนมาจากการหลงไปตามกิเลสอารมณ์และตัณหาของใจ เมื่อไรเราสามารถรู้แจ้งเห็นความเป็นจริงอันเป็นหัวใจหลักของทุกสรรพสิ่ง เราก็จะสามารถหาทางพ้นทุกข์ได้ ส่วนใหญ่มนุษย์มักทำอะไรตามกิเลสตามอารมณ์ง่ายกว่าที่จะใช้ปัญญา ทำอะไรตามใจตัวเองมากกว่าใช้สติปัญญา
ปัญญามีสองแบบ ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรม เรามาดูก่อนว่า กิเลสเป็นเรื่องธรรมดาปกติหรือ พอศิษย์เกิดมา ศิษย์ก็อยากตลอดชีวิตเลยหรือ เกิดมาก็ด่าเขาตลอดชีวิตเลยหรือ มันไม่ใช่เรื่องปกตินะ เรื่องปกติของชีวิตคือความเป็นธรรมดาไม่มีอะไร จิตที่มีศีลคือจิตที่ปกติ แต่จิตที่ไร้ศีลคือจิตที่ผิดปกติ คนเราอยากผิดศีลเป็นประจำไหม (ไม่)  แล้วเวลาที่เราทำอะไรผิดศีลนั้นใจเราจะสั่นมือไม้ก็จะสั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีศีลคือ (คนปกติ)  คนที่ผิดศีลคือ (คนไม่ปกติ)  แล้วศิษย์ปกติหรือไม่ปกติ (ปกติ) อย่างนั้นแปลว่าศิษย์มีศีลครบใช่ไหม (ไม่ครบ)  แต่วันนี้อย่างน้อยก็ครบ ที่แล้วมาไม่เคยครบ แต่วันนี้ยังไม่ฆ่าสัตว์ เพราะว่ากินเจ วันนี้ยังไม่ได้โกหกสามี เพราะว่ามาฟังธรรมะ ศิษย์เอ๋ย กิเลสทำไมถึงอยากมีกันจังเลย นรกไม่มีทางให้เดิน มนุษย์ก็เพียรพยายามหาทางเดินจนได้ ศิษย์รู้ไหมว่ากิเลสเป็นต้นตอเป็นรากเหง้าแห่งบาปทั้งมวล แล้วผู้ใดมีกิเลสก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมและการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่ศิษย์มีกิเลส หนีพ้นทุกข์ หนีพ้นบาปกรรมไหม (ไม่)  มีใครบ้างโกรธแล้วไม่ด่า มีใครบ้างด่าแล้วไม่แช่งชัก มีใครบ้างแช่งชักแล้วไม่จองเวรจองกรรม ถ้าโกรธแล้วสร้างกรรม อย่าโกรธ ถ้าโลภ โกรธ หลง มันทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ บาปกรรมและการจองเวรจองกรรม ศิษย์ควรจะมีไหม (ไม่)
โลภ โกรธ หลงนี้ มันมีรากเหง้ามาจากความนึกคิดแห่งตัวตนที่เราแบ่งแยกว่าเวลาเราเห็นอะไรแล้วเรารู้สึกชอบ มันก็เริ่มกลายเป็น รัก โลภ หลง แล้วเกลียดก็มาจาก เมื่อมีชอบก็มี (ไม่ชอบ)  เมื่อไม่ชอบก็เกลียด ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นสองอย่าง เรียกว่ากรรมดี กับกรรมชั่ว แล้วทำอย่างไรที่จะให้กรรมดีกลายเป็นพ้นกรรมแล้วไม่ต้องกลับมาเวียนรับกรรม ก็คือจงทำกรรมนั้นให้เป็นกุศลกรรม คือทำดีแล้วมันสามารถชะล้างความเป็นตัวตน ละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ นั่นเรียกว่า การประกอบกุศลกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าใครด่าศิษย์ให้ขอบคุณได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์จำไว้ว่าชั่วขณะนั้นจะเป็นตัวกำหนดกรรมของศิษย์ ถ้าด่าเขากลับนั่นเรียกว่ากรรมชั่ว ด่าแล้วยังจำไปเล่าให้คนอื่นฟัง เป็นการเริ่มคิดกรรมชั่วแล้วยังจองเวรจองกรรม จำไว้ในใจไม่ลืม เเค่เห็นเขาก็เกลียดเขา นั่นคือการสร้างวิบากกรรมให้ตัวเองต้องไปทำ เเต่ถ้าชั่วขณะที่เขาด่าเเล้วคิดว่าช่างเขา นั่นเรียกว่าสร้างกรรมดี แต่กรรมดี ใจยังยึดติดยังลืมไม่ลง เเต่ถ้าตอนที่เขาด่าเราเเล้วเรารู้สึกขอบใจ นั่นเรียกว่ากุศลกรรม คือกดตัวเองออกไปได้ว่าฉันไม่ดี สามารถกระชากตัวตนเราได้เเล้วเราไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รู้สึกอะไร เราขอบคุณ
ชีวิตเกิดมาพร้อมกับกรรม เเล้วอยากนำกรรมไปต่อหรืออยากจบกรรม (จบกรรม)  ถ้าเขานำของรักของหวงศิษย์ไปศิษย์จะตอบว่า (ขอบคุณ)  จึงบอกว่าชั่วขณะเเม้จะบอกว่าให้อภัย ทำใจ ก็ยังเป็นกรรมดีที่ยังยึดติด เเต่ถ้ารู้สึกขอบคุณ ถ้ายังมีบุญกรรมกันอยู่ก็เจอกัน แต่ถ้าหมดบุญกันแล้วก็ไม่เป็นไร ชั่วขณะหนึ่งของชีวิตเราเป็นผู้ลิขิตกรรมตัวเอง เเต่หนทางธรรมไม่ได้มีแค่กรรมดีกรรมชั่ว เเต่ยังมีอีกทางหนึ่งเรียกว่าทางสายกลาง ทางพ้นเวรพ้นกรรม มนุษย์เกิดมาพร้อมกับการใช้กรรมเก่า เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท แล้ววันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับวันนี้ใช่หรือไม่
ถ้าวันนี้เราไม่สร้างกรรมใหม่ ที่เหลือเราก็แค่ใช้กรรมเก่า ศิษย์เป็นตัวกำหนดกรรมตัวเราเองนะ ชั่วขณะที่เขาตีเรา ด่าเรา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าพ้นจากความคิด นั่นคือทางสายกลาง ใช่ไหม (ใช่)  เราคิดดีเราก็ได้ดี แต่ถ้าเราพ้นจากความคิด มันก็แปลว่าเราพ้นจากหนทางแห่งกรรมทั้งสอง อย่างนั้นเราต้องมาแก้ตั้งแต่ความคิด ถูกไหม (ถูก)  ตอนนี้อาจารย์บอกวิธีจะเอาชนะกิเลสได้แล้วนะ อยู่ที่ศิษย์จะรู้จักยั้งใจตัวเองได้หรือไม่ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความคิดของมนุษย์ มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด เขาด่าเรา เราทุกข์เพราะเขาด่าหรือเราทุกข์เพราะว่าเราคิดยอมไม่ได้ (เราคิด)  เขาด่าเราเขาทำให้เราทุกข์หรือเราทุกข์เพราะว่าเรารับไม่ได้ที่เขาด่าเรา (รับไม่ได้) ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์ขอปรับความคิดศิษย์หน่อย ศิษย์โดนด่าได้ไหม (ได้)  ศิษย์เสียได้ไหม (ได้)  แพ้ได้ไหม (ได้)พูดกับอาจารย์อะไรก็ได้ แต่กับคนอื่นไม่เคยยอมแบบนี้เลย จริงไหม (จริง)  แก่ได้ไหม (ได้)  เจ็บได้ไหม (ได้)  ตายได้ไหม (ได้)
ศิษย์เอ๋ย ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาของทุกชีวิต เกิดมาไม่ตายทรมานนะ เกิดมาไม่เจ็บแล้วตายเลยก็แย่นะ เกิดมาแล้วเจ็บแล้วตายเลย ไม่แก่ ก็แย่นะ เพราะหมายความว่าอายุสั้น ถูกไหม (ถูก)ฉะนั้นเกิดแล้วได้แก่ ได้เจ็บ ดีแล้วขอบคุณ ได้ตาย ดีแล้วได้ปลดปลง เพราะความเจ็บเป็นตัวเตือนให้รู้ว่า ชีวิตเราเริ่มจะไม่สมบูรณ์แล้ว เราจะต้องรีบดูแลรักษา แต่ถ้าดูแลรักษาก็จงจำไว้ว่า เรามีกรรมแค่สังขาร แต่ใจเดิมแท้เราไม่มีกรรม ฉะนั้นเจ็บที่กายอย่าเจ็บที่ใจ ทุกข์มันไม่เที่ยง มันว่างเปล่า มันไม่ใช่ของเรา สิ่งที่มีอยู่แล้วคือธรรม แล้วเราต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ที่กลับไม่ได้เพราะไม่ยึดธรรม แต่ไปยึดกรรม จริงไหม (จริง)  ยึดว่ากรรมดี เราเคยทำดีอย่างนี้ เราต้องได้ดีอย่างนี้สิ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจให้ถูก ร่างกายนี้แค่ยืมใช้แล้วสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดจรรยาบรรณไม่ผิดคุณธรรมความเป็นคน แค่นี้ก็คุ้มแล้วที่เกิดมา จะสุขจะทุกข์บ้างก็ไม่เป็นไร มันเป็นธรรมดา มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สุขทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก
ศิษย์เอ๋ย ทุกข์นี้น่ารักที่สุดเลยนะ มองมุมใหม่ ถ้าไม่มีทุกข์ จากที่เราเด็กจะโตไหม ทุกข์แปลว่าสภาพที่ทนได้ยาก ถ้าเราทนได้ง่าย ทนได้แบบยืดยาว เราจะนั่งแล้วยืนไม่เป็น เราจะยืนแล้วนั่งไม่ได้ แต่เพราะมีทุกข์ทำให้เรารู้ว่า มันทุกข์แล้วนะ เราต้องนั่ง นั่งจนทุกข์แล้วนะฉันต้องยืน มองเขามากๆ แล้วนะ มันเจ็บนะ ฉันต้องวาง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าชีวิตไม่มีทุกข์แปลว่าศิษย์เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนะ อะไรก็ไม่รู้สึกรู้สาแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้น ทุกข์ดีไหม (ดี)  น่ารักไหม (น่ารัก)  มันอยู่ที่เรารับมือ ถ้ารับมือเป็น ทุกข์ก็ไม่น่ากลัว ถ้ารับมือไม่เป็นยอมแพ้ยกธงขาว ศิษย์ก็ยังไม่ทันสู้อะไรเลย ถูกไหม เพราะมีทุกข์ ศิษย์จึงรู้จักคำว่าสำเร็จ จึงรู้ว่าใครคือมิตรแท้ ศิษย์จึงรู้ว่าอะไรคือนิพพานและสุขแท้จริง จริงไหม เพราะมีทุกข์ ศิษย์จึงรู้จักคุณค่าของชีวิต ศิษย์จึงเข้าใจชีวิต เพราะมีทุกข์ ศิษย์จึงแจ่มแจ้งเห็นจริงและเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แก่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เจ็บน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)
โดยส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไร เรามักจะตกเป็นทาสของอารมณ์ และหนีไม่พ้นทุกข์ เราก็มักจะไหลไปตามความคิด มากกว่าปัญญา มากกว่ามีสติยั้งคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ว่าปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)
ปัญญาทางโลกเรียนเพื่อรู้ภายนอกเเล้วให้มั่งมี ปัญญาทางธรรมเพื่อรู้เเจ้งเห็นจริงภายใน เรียนเพื่อให้รู้ว่าจริงๆ เเล้วเรารู้หรือไม่รู้ ทางโลกสอนให้เรารู้เพื่อเก่งเพื่อฉลาด แต่ทางธรรมสอนให้เรารู้เหมือนไม่รู้ ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้จักเขา เเต่ศิษย์รู้จักเขาจริงๆ ไหม ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้จักตัวเอง เเล้วรู้จักตัวเองจริงๆ ไหม ศิษย์บอกว่ารู้จักทั้งโลกเเต่รู้จริงๆ ไหม พอถึงเวลาเปลี่ยนไหม เราบอกว่าเรารู้สูตรคณิตศาสตร์คำนวณได้หมด เเต่ถึงเวลาสูตรมีวันเปลี่ยนไป ความจริงมีวันพลิกผันไหม โลกสอนให้รู้ เเต่ธรรมสอนให้รู้เหมือนไม่รู้ ทางโลกสอนให้เก่ง เเต่ทางธรรมสอนให้ไม่เก่ง เก่งอย่างไรก็คือไม่เก่ง รู้อย่างไรก็คือไม่รู้
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์คือ ชอบขี้ตู่ ไม่ใช่ของตัวเองแต่บอกว่าของตัวเอง ศิษย์เป็นทุกคน ศิษย์บอกว่าสมบัตินั่นคือของศิษย์เเต่จริงๆ เเล้วไม่มีสิ่งใดเป็นของศิษย์ ถึงเวลาเมื่อศิษย์ตายไปก็ต้องคืนธรรมชาติ
ทางโลกสอนว่าเราต้องมี เราต้องได้ เราต้องเป็น แต่ทางธรรม สอนให้เราไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้นตอบคำถาม)
ศิษย์เคยเป็นเด็ก ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ แล้วต่อไปเป็นผู้แก่ แล้วต่อไปเป็นอะไร (ตาย)  ต่อไปจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเทียบกับคนที่มีเงิน เราก็ไม่มี แต่ถ้าเทียบกับคนที่จนกว่า เราก็ว่าเรามี ก่อนนี้เราเป็นเด็ก ตอนนี้เราเป็นคนโต ต่อไปเราเป็นผู้ใหญ่ ต่อไปเราเป็นอะไร จะได้แก่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถูกไหม
โลกสอนให้เรามี เราเป็น แล้วย้ำว่าเราต้องมี เราต้องเป็น แต่ธรรมะสอนว่า ศิษย์ไม่เคยมี ศิษย์ไม่เคยเป็น และไม่รู้ว่าจะมี เป็นอะไรที่แท้จริง และเรากำลังสูญเสียหรือทุกข์กับอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วเราไม่เคยเป็นอะไร และเราก็ไม่เคยมีอะไร แต่เราคิดไปเองว่าเรามี จริงไหม (จริง)
ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลก ศิษย์อยากข้องเกี่ยวกับโลกโดยที่ไม่ทุกข์ จงอย่าเอาแต่ใช้กิเลส ความคิด แต่จงใช้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม ทางโลกยังสอนว่า ทำอะไรมันต้องมีเหตุผล ใช่ไหม (ใช่)  แต่โลกของความเป็นจริง เหตุผลใช่ที่สุดของคำตอบไหม (ไม่ใช่)  เหตุผลของทางโลก ปัญญาของทางโลกมักจะบอกว่า ทำอะไรต้องมีเหตุมีผล แต่อาจารย์ถามหน่อย เหตุผลนี้ชนะ เหตุผลนี้แพ้ แล้วที่ชนะนี้มันชนะจริงไหม (ไม่จริง)  แล้วที่เขาแพ้เขาแพ้จริงไหม (ไม่จริง)  มันแค่ชั่วขณะหนึ่งถูกไหม (ถูก)  วันนี้เขาดี พรุ่งนี้เขาไม่ดี เราไม่สามารถตัดสินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ศิษย์บอกว่าศิษย์ทุกข์ แต่พรุ่งนี้ศิษย์ทุกข์ไหม (ไม่)  แล้วความทุกข์นี้คือใช่ที่สุดของศิษย์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นโลกแห่งธรรมจึงสอนว่า เหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง ที่สุดของความจริงล้วนพลิกแพลงเปลี่ยนผัน
เรามาแลกเปลี่ยนถามตอบกันดีไหม (ดี)  ถ้าตอบได้อาจารย์ก็ให้ผลไม้เป็นรางวัล รางวัลอันนี้อย่าเก็บไว้กินคนเดียว อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักแบ่งปันแล้วสร้างบุญต่อ ปัญญาทางโลกสอนให้เรารับ แต่ปัญญาทางธรรมสอนให้เราให้ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ให้อะไรที่ประเสริฐ ให้อะไรที่เรียกว่าดีและให้ได้ทุกวัน
(ให้ทาน)  ศิษย์สามารถให้ทานได้ทุกวัน ไม่โกรธใคร มีเมตตาก็ให้ทาน ถึงเวลาเราจะได้ เรายอมได้น้อยหน่อย ให้คนอื่นได้มากหน่อย เราก็ให้ทาน ฉะนั้น ทานไม่ใช่ทำแค่ที่วัด ไม่ใช่ให้คนที่ยากจน แต่เราให้ทุกคนได้ แต่เราจะให้อะไรเป็นทาน เมตตาเป็นทาน จริงใจเป็นทาน ซื่อสัตย์เป็นทาน ให้เกียรติเคารพเขาเป็นทาน ปัญญาเป็นทาน ถ้าเรารู้จักทำทานทุกที่ ทุกที่เราก็สามารถสร้างบุญอันงดงามได้จริงไหม (จริง)  แต่ปกติเราให้อะไร ให้แต่เงิน แต่เราไม่เคยให้เมตตา (ให้ความสุขแก่ทุกคน ให้ศีลให้พรเขา)  ถ้าศิษย์รู้จักเมตตาคนเยอะๆ ให้ความใส่ใจคนเยอะๆ เห็นใจคนเยอะๆ นั่นดีกว่าให้ศีลให้พร ปากให้ศีลให้พรแต่ใจยังแอบว่าเขาอย่างนี้ก็ไม่ดี
(ให้ความรักความสุข)  ให้ความเมตตา ให้ความเอ็นดูรักใคร่ ให้ความเกื้อหนุน ให้ความเอาใจใส่ ให้ความซื่อตรงจริงใจ อย่าลืมทำด้วยนะ
(ธรรมะให้ทำความดี, อยู่อย่างเพียงพอ)  ถ้าเราไม่รู้จักพอเพียงก่อน ถ้าเราไม่รู้จักมีธรรมก่อน ไปเรียกร้องคนอื่นก็เหนื่อยเปล่า เราต้องทำให้เขาเห็นก่อน อายุปูนนี้แล้วนะ ยังไม่พออีกหรือ (พอแล้ว)
(ให้อภัย)  ถ้าศิษย์ยังรู้สึกว่ายังต้องให้อภัยแปลว่าศิษย์ยังรู้สึกขัดเคืองใจ ถ้าจะให้ธรรมที่ประเสริฐก็คือ ให้ความเข้าใจ ให้ความเห็นใจ ให้ความเมตตา เพราะอภัยแล้วลึกๆ มันยังไม่พอใจอยู่ ให้อภัยแล้วมันยังติดค้างใจอยู่ มันก็ยังเป็นกรรมอยู่ อาจารย์บอกให้อภัยก็ได้ แต่จริงๆ ยอมไหม (ไม่ยอม)  ลึกๆ ยอมไหม (ไม่ยอม)  ใช่หรือไม่ 
(ให้น้ำใจ)  เห็นใครเดือดร้อน เรารู้จักเอาใจใส่ช่วยเหลือ ไม่นิ่งดูดาย ไม่เอาเปรียบ มีใจกระตือรือร้นเห็นใครเดือดร้อนเราช่วยเหลือ นี่ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง เห็นใครอยากได้เราก็มีน้ำใจแบ่งให้ อาจารย์บอกแล้ว ถ้าการกระทำอะไรที่มันกระชากใจเรา แล้วไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ กรรมนั้นจะกลายเป็นกุศลกรรมที่ดี แต่ศิษย์มักอยากจะได้แค่บุญ สบายใจ อิ่มใจ ทำบุญ มันก็ยังมีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าทำแล้วมันกระชากใจเราออกไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ไม่มีที่ให้ทุกข์อยู่ นั่นแหละ กุศลนักแล ถ้าเราให้เฉพาะคนที่เรารักแสดงว่าเรายังมีใจที่ยึดถืออยู่ จริงไหม (ให้คนที่เรารักก่อน)  คนที่เราไม่รักก็ให้ได้ ให้แล้วกระชากใจกว่า จริงไหม (จริง)  ถ้ายังให้เฉพาะคนที่รักก็ยังแปลว่ายังยึดติดกรรมดีอยู่ แต่ถ้าให้แบบกระชากใจให้คนที่ไม่รัก จะเห็นชัดเลยว่าได้สร้างกุศลกรรมเลยนะศิษย์เอ๋ย
ศิษย์จะเกิดมาเอาแค่บุญพอ บุญมันก็หนีไม่พ้นกรรม แต่อาจารย์อยากให้กุศลกรรมเลย (การได้มาที่นี่ในสองวัน สิ่งที่ได้รับคือ คุณค่าทางจิตใจที่มีมาก)  ทำให้จิตใจเข้มแข็ง ทำให้จิตใจดี ใช่ไหม เเต่ควรค้นหาภายในอย่ามัวแต่มองออก มองออกแล้วต้องหาภายใน
(ให้คำแนะนำให้คำปลอบใจให้คำพูดดีๆ)  สิ่งที่ดีจะออกจากใจเราได้ เราต้องมีใจที่ดีงามมั่นคง เหมือนศิษย์จะส่งความสุขให้คนอื่นได้อย่างไร เมื่อศิษย์ยังไม่มีความสุข ยังไม่มีธรรมพอ ใช่ไหม (ใช่)
(ให้กำลังใจ)  บางครั้งกำลังใจไม่ต้องพูดอะไร เวลาเขาเสียใจเเค่ (ปลอบใจ)  เวลาเขาผิดก็ไม่เป็นไรเราผิดด้วยกัน เวลาที่ศิษย์ท้อพ่ายแพ้ ศิษย์อยากมีเพื่อนที่เข้าใจ เเต่คนสมัยนี้ชอบซ้ำเติมคนผิด ชอบพูดเรื่องของคนผิดเลยมีแต่เรื่องผิดๆ ทำไมไม่พูดถึงสิ่งที่ถูกที่ดีบ้าง
(ให้ความเป็นธรรม)  ถ้าเราจะให้ความเป็นธรรมกับผู้อื่นได้ เราต้องเที่ยงธรรมก่อน จะตัดสินใจว่าถูกผิดต้องถามใจตัวเองก่อน ใจศิษย์เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานหรือเอาความจริงเป็นบรรทัดฐาน ถ้าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานศิษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าใครผิดใครถูก ไม่สามารถเอาความคิดเห็นของศิษย์ใส่ไปได้ เพราะความคิดเห็นของศิษย์ยังอยู่บนความเข้าใจของตัวเองไม่ได้อยู่บนความจริง ฉะนั้นอย่าคิดตัดสินใครเลยดีที่สุด
(ให้โอกาสและเวลา)  ถึงเวลาก็ให้โอกาสตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะ
(ให้ความรักและความเมตตา)  ให้ความรักมันง่ายที่จะลำเอียง แต่ให้ความเมตตาจะบริสุทธิ์ยุติธรรมกว่านะ
(ให้ใจที่ซื่อสัตย์และเมตตา)  ทำอะไรให้ใจไปเลย ทำได้อย่างนี้ก็ดีนะ 
(ให้ความจริงใจ, ให้กุศล)  กุศลต้องออกจากใจ แปลว่าจะพยายามทำอะไรก็ได้ที่สามารถละวางตัวตนได้ เริ่มต้นที่ทำดีให้ถูกต้องและมั่นคงก่อนนะ
(ให้ความเอื้ออาทรต่อกัน)  ถึงเวลาอย่าเอื้ออาทรแบ่งพรรคแบ่งพวกนะ
(ให้ธรรมศึกษา การรักษาศีล สมาธิ)  แค่ทำตัวให้ปกติก็มีศีล มั่นคงในความปกติก็มีสมาธิ รู้แจ้งเห็นจริงก็เกิดปัญญา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าความเป็นคนยังทำไม่ดีก็พูดถึงพ้นทุกข์ไม่ได้ ซื่อตรงหรือยัง ซื่อสัตย์หรือเปล่า รับผิดชอบหน้าที่ไหม เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมไม่ได้ ธรรมก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลย 
(อุเบกขา)  อุเบกขาคือวางใจเป็นกลาง ใจที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าทำได้ศิษย์จะสามารถตัดโลภ โกรธ หลง ได้ และกลับสู่ทางสายกลางอันแท้จริงที่เรียกว่าพ้นกรรม แค่เห็นอะไรอย่าตัดสิน อย่าคิดว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อย่าผูกขาด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนได้ วันนี้เราเห็นเขาดี แต่พรุ่งนี้จะดีไหม ก็ไม่แน่
(ให้ความช่วยเหลือ)  แม้แต่ตอนเราทำงาน เราก็ช่วยเหลือเขาได้ ให้ใจเขาไป เขาก็จะให้ใจเรากลับ จริงใจกับเขาแค่ไหน เขาก็จะจริงใจกลับ แต่ขออย่างเดียวทำแล้วไม่ยึดติด 
(ให้ชีวิตไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากทุกข์เพราะโดนเบียดเบียนชีวิต เราก็อย่าเบียดเบียนชีวิตใคร เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล เราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะรับผลไหม ถ้าศิษย์ไม่เอาชีวิตเขามา แล้วเขาจะมาเอาชีวิตศิษย์ไหม คิดให้ดีนะ เพราะเราแอบเอาชีวิตเขามาบ่อยๆ ใช่ไหม
(การให้ความเห็นจริง)  อยู่ในโลกถ้าอยากมีความสุขที่สุดก็พูดให้น้อย คิดเห็นให้น้อยเเล้วเราก็จะผิดน้อย เเต่มนุษย์ชอบคิดว่าตัวเองรู้จริง รู้เเน่ แต่จริงๆ เเล้วเราไม่เคยรู้อะไรเลย
(ให้ชีวิต)  ไม่ดูถูกทั้งคำพูดเเละการกระทำนั่นคือการให้ชีวิตเขาแล้ว เขาได้ดีเราก็ยินดี ไม่เบียดเบียนชีวิตเขามาใส่ท้องเราก็คือ การให้ชีวิตเขา
(ให้โอกาสเขา)  ไม่ซ้ำเติมเขา เพราะทุกคนผิดได้ เราก็เคยผิด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เรียบง่ายเป็นสุข”)
ถ้าชีวิตรู้จักโลภโมโทสันให้น้อยลง พอใจในความอ่อนจางบางจืด ใจก็จะมีฟ้าที่กว้าง ไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง เเต่มนุษย์ล้วนปรารถนาความอยากได้ใคร่มี อยากมั่งมีศรีสุข ผลสุดท้ายก็หาความเรียบง่ายเเละสงบสุขในชีวิตไม่เจอ เเต่ถ้าเรารู้จักพอใจในความธรรมดา เรียบง่าย ไม่ต้องฟุ้งเฟ้อ เราก็มีสุขได้ ยิ่งยกตัวเองสูงเด่นคนก็ยิ่งกดขี่ข่มเหง เเต่ทำตัวเองให้เรียบง่ายก็ยิ่งเป็นที่รักของทุกผู้คน
เราอยู่ในโลกเวลาเรามีอะไรดี มีใครบ้างไม่อวด เเต่ยิ่งอวดคนก็ยิ่งมองไม่ดี ฉะนั้นไม่อวดทำตัวธรรมดาสามัญถึงเรียกว่าดี เก็บงำประกาย ไม่อวดตัวเองโดดเด่น เพราะว่าคนเรายิ่งเต็มยิ่งล้น ก็ง่ายที่จะถูกคนอยากจะล้ม มีเก่งก็มีเก่งกว่า มีดีก็มีดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำเต็มแก้วมันเอียงคว่ำง่าย แต่เมื่อไรที่ถูกคนอื่นคว่ำ จำไว้ว่า ใบไม้ร่วงสามารถแตกเพาะหน่อใหม่ แม้จะมีคนเก่งกว่าก็อย่าเสียใจ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่จะทำให้เราก้าวสู่ความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สูญเสียได้ แต่ว่าการสูญเสียก็ก่อเกิดความเข้าใจ
ความเป็นจริงของชีวิตมีความเกิดก็มีความตายอยู่ทุกขณะ ทุกขณะที่ศิษย์บอกว่าศิษย์หายใจมีชีวิตอยู่ แต่พุทธะเรียกว่า ศิษย์กำลังหายใจเพื่อหมดชีวิต จริงไหม (จริง)  กำลังหมดชีวิตไปทุกวันๆ และชีวิตเราหมดไปเพื่ออะไร กิเลส ตัณหา หรือหมดไปเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม หมดไปเพื่อสร้างวิบากกรรม หรือสิ้นเคราะห์กรรมแจ้งในธรรม ถามใจศิษย์นะ ความดีงามไม่ต้องเสกสรร แค่ออกมาจากใจ กลั่นมาจากใจ ทำด้วยใจ จริงใจ เมตตา ให้เกียรติ ซื่อตรง การเป็นคนไม่ยาก แต่ยากตรงที่เป็นคนให้ประเสริฐ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นแก่ตัวมาก ศิษย์ก็ไม่มีทางสร้างคุณธรรมใดๆ ในโลกได้ แต่ถ้าศิษย์เห็นแก่ตัวให้น้อย คุณธรรมใดๆ ก็บังเกิดได้ด้วยใจของศิษย์เอง
สังขารนี้มันหนีความเจ็บไม่ได้ เมื่อใดที่มีความเจ็บ จำไว้นะ หมั่นท่องปลงสังขารว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เดี๋ยวต้องคืนดินคืนฟ้า มีอย่างเดียวคือจิต ขอกลับคืนสู่ธรรม สังขารไม่ใช่ของเรา เจ็บได้ป่วยได้ แต่จิตเราไม่ใช่สังขาร จิตเราคือสภาวธรรมที่พ้นทุกข์มานานแล้ว แต่เราไม่เคยเข้าถึงสภาวะจิตอันนั้น จิตที่ทำให้เราพ้นโลก พ้นเวียนว่าย พ้นกระแสวิบากกรรม จิตที่ตื่นรู้แจ้งกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เรียกว่า “ไม่มี” ไม่มีอะไรต้องเอา ไม่มีอะไรต้องยึด เพราะถ้ายังอยากเอาอยากมี มันก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าวันหนึ่งกายมันต้องเจ็บ แล้วมันต้องไป หมั่นปลงมันเรื่อยๆ มันไม่ใช่ของฉัน มันจะกลับคืนสู่ธรรม ฉันขออย่างเดียว จิตกลับคืนสู่ธรรม กายชดใช้กรรมเป็นธรรมดา
หมั่นพิจารณาธรรมเนื่องๆ แล้วความสว่างแท้จริงจะปรากฏขึ้นในใจของศิษย์ และความพ้นทุกข์ที่แท้จริง จะเกิดขึ้นด้วยตัวเราเอง ค้นหาธรรมในใจ ได้ไหมศิษย์เอ๋ย (ได้)  ชีวิตมันทุกข์พอแล้ว เหนื่อยมากแล้ว หาความสงบหาความสบายบ้างไม่ได้หรือ ทำไมยังชอบหากิเลสตัณหาให้ทุกข์อีก
เมื่อถึงเวลาต้องพัก พักแล้ววางแท้จริง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ ก็ขอกลับอย่างจริงแท้ กลับอย่างคนที่เข้าใจในธรรม ความเจ็บป่วยมันหนีไม่พ้น มันเป็นกรรมของสังขาร แต่ขออย่างเดียวอย่าสร้างกรรมเพิ่ม ปล่อยนะ ต้องปล่อยได้แล้ว เข้มแข็งยิ่งกว่าเข้มแข็ง เมตตายิ่งกว่าเมตตา เสียสละยิ่งกว่าเสียสละ จนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ใช่ไหม
ดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจกันให้ดี อย่าได้เจ็บอย่าได้ทุกข์อย่าได้ไข้เลยนะ เข้มแข็ง มั่นคง เด็กดื้อ อย่าหลงโลกมาก มีสติ ใช้ธรรมยั้งคิด ระวังอารมณ์ ดูแลกายดูแลใจให้ดี ต้องหยุดสร้างบาปได้แล้ว หมั่นขอขมากรรม เข้าใจนะ ชีวิตมันไม่เที่ยงแท้ รักษาความดีงามให้มั่นคง อย่ากลัวความเจ็บป่วย ขอเพียงมีจิตที่มุ่งมั่น ตรงสู่ความเห็นแจ้งในธรรม ความเจ็บป่วยก็ทำอะไรจิตใจดวงนี้ไม่ได้หรอก ตั้งใจบำเพ็ญนะ รักษาความดีให้ดี อย่าฟุ้งซ่าน มั่นคงเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง ศิษย์เอ๋ย มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อย่าปล่อยให้อาจารย์โดดเดี่ยว
ศิษย์เอย ถ้าอยากเอาชนะกรรมเวรก็ต้องลดละการสร้างกรรม ลดละการเบียดเบียน มือหนึ่งทำบุญอีกมือหนึ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มือหนึ่งบอกว่ามีศีลธรรมเเต่อีกใจหนึ่งก็ก่อบาปเวรกรรม แล้วแบบนี้จะพ้นได้อย่างไร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกรรมเวรที่ศิษย์สร้าง มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดรักษาดวงจิตให้ดี มีทางออกแล้วนะศิษย์ เข้มเเข็ง ไม่มีใครเราก็อยู่ได้ ไม่มีใครทำเราก็ทำได้ คนเดียวก็มีความสุขเข้มแข็งได้ อย่าอ่อนแอ รักษาดวงจิตให้ดี ให้จิตนี้ยังคงบริสุทธิ์งดงามในหนทางที่ถูกต้อง ในหนทางเเห่งธรรม
(มีทุกข์)  ทำใจให้ได้ยอมรับความจริงเเล้วลุกขึ้นสู้ ต้องเข้มแข็งให้ได้ เกิดมาตัวเปล่าก็ต้องไปตัวเปล่า ไม่มีใครไปกับเรา เข้มเเข็งสู้ให้ได้
เด็กดื้อทั้งหลายระวังควบคุมอารมณ์ให้ดี อย่าให้อารมณ์สร้างพิษภัยเเก่ตนเอง รู้จักมีศีลธรรมให้ได้ รู้จักให้ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ระมัดระวังตัวเอง รักษาคุณธรรมความดีของตน อย่าปล่อยให้อารมณ์มาทำร้ายชีวิต มีความคิดที่ดี รู้เท่าทันจิตใจไม่เท่ากับรู้ควบคุมความคิด เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความคิดของคน ถ้าเรามีความคิดที่ถูกต้อง ก็ต้องเอาสติคอยยั้ง มีธรรมคอยเตือนใจ
รักษาให้ได้นะ ความซื่อตรง ทำให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญ ระมัดระวังความคิดอารมณ์ตัวเอง ดูแลกายใจตัวเองให้ดี อย่าใจร้อน ใจเย็น รู้จักคิดรู้จักทำ ไม่มีอะไรยากถ้าพยายาม (จะทำตัวให้ดี)  ละความโกรธได้หรือยัง ละความหลงได้หรือยัง รักษาต่อไปนะ มุ่งมั่นต่อไปนะ จะได้เข้มแข็งขึ้น ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ อย่าหลงผิด ความคิดต้องระวัง บางทีมันฟุ้งเกินไป บำเพ็ญได้หรือยัง ลดละได้หรือยัง ทำได้หรือยัง สิ่งที่ยากคือการควบคุมใจตน สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ อารมณ์และกิเลสของตน ถ้ายังทำไม่ได้ก็ยังผ่านไม่ได้ แต่ถ้ารู้จักควบคุมได้ชะตาชีวิตก็อยู่ในมือเรา แต่ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ชะตาชีวิตของศิษย์ก็อยู่ในมือยมบาล คุมให้ได้ ดูแลใจให้ดี ไม่มีใครก็เข้มแข็งได้ ไม่มีใครก็อยู่ได้
ได้บำเพ็ญหรือยัง (กำลังบำเพ็ญ)  อยากเปลี่ยนชะตาชีวิตให้ชีวิตอยู่ในมือเรา เราก็ต้องควบคุมกิเลสอารมณ์ให้ได้ รู้หมดแต่เมื่อไรจะทำให้ได้ มุ่งมั่นสิ่งที่ดีต่อไปนะ เข้มแข็งแล้วใช่ไหม เมื่อไรจะมั่นคง เมื่อไรจะเด็ดเดี่ยว
หนทางธรรมยาวไกลแค่ไหน ขอเพียงมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมั่นคงสำคัญที่สุด ไม่อ่อนแอ ไม่หวั่นไหว มุ่งเดินตรงนั่นคือหัวใจที่เข้มเเข็งที่สุด ถ้าเรามุ่งมั่นในความถูกต้องดีงาม มุ่งมั่นในหัวใจที่อุทิศเสียสละ ทำดีเพื่อเสียสละ ทำดีเพื่ออุทิศ ทำดีเพื่อฉุดโปรดผู้คน ทำให้เรามีสุข เเละสุขนั้นทำให้เราเข้มแข็ง เมื่อเข้มแข็งเเล้วไยจึงอ่อนแอ ต้องอิ่มในสุขที่เราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องเเละดีงาม ไยจึงทุกข์ ไยจึงเศร้า ในเมื่อเรามองเห็นความถูกต้องดีงามที่แจ่มชัดแล้ว มีทางที่ถูกต้องแล้ว กำลังกลับคืนสู่ธรรมแล้ว จะทุกข์อะไรอีก ต้องเบิกบาน ต้องสว่างภายใน เเละความสว่างนั้นต้องให้ผู้อื่นได้เย็นสงบเป็นสุขกับเราด้วย อย่าแค่สุขกับตัวเอง เเต่สุขอะไรที่ทำให้คนอื่นเย็นสว่าง สุขอะไรที่ทำให้คนอื่นอยู่กับเราแล้วสงบเป็นสุข มีจิตใจที่ซื่อตรงในธรรม มีจิตใจที่เมตตากรุณาปรานีในธรรม  ธรรมคือทางพ้นทุกข์ ธรรมคือทางประเสริฐ แต่กิเลส อัตตา ตัวตน ทิฐิ อารมณ์ คือทางแห่งความทุกข์ ทางแห่งบาปทั้งมวล ไม่รีบหยุดยั้งรอจนสายเกินไป ใครก็ช่วยศิษย์ไม่ได้ ไม่รีบมุ่งมั่นทำเสียตั้งแต่วันนี้ ใครก็เปลี่ยนแปลงใจศิษย์ไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์มาหวังพึ่ง แต่อาจารย์ อยากให้ศิษย์เรียนรู้เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด แล้วพึ่งตัวเองให้ได้และนำพาผู้อื่นให้ได้ เป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้ต่ออีก นี่คือสิ่งที่อาจารย์มุ่งหวัง อาจารย์ต้องการศิษย์เป็นจี้กงที่จะอนุเคราะห์ช่วยคน ไม่เคารพอาจารย์ไม่เป็นไร แต่ขอให้เคารพและเชื่อมั่นในความดีของตัวเอง ดีจริง ดีแท้ แล้วดีให้ถึงที่สุด เพราะถึงที่สุดทุกชีวิตต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดติดก็กลับไปสู่กรรม ไม่ใช่ธรรม ดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจกันให้ดีนะ เรามีกรรมเพียงสังขาร จิตเดิมแท้ไม่เคยมีกรรม จิตเดิมแท้คือธรรมอยู่ในนี้ ธรรมที่ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการเจ้าของ แต่ต้องการเพียงความว่าง ลองไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดว่าอาจารย์พูดจริงหรือไม่ คิดให้ดี

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เรียบง่ายเป็นสุข”
    จางจืดจึงรู้รสแท้                               สามัญแลเป็นยอดคน
ยิ่งเก่งยิ่งน้อมถ่อมตน                             สูงส่งทำตนทั่วไป
เก็บงำประกายฉายเด่น                           น้ำเต็มย่อมเอียงคว่ำง่าย
ใบไม้ร่วงเพาะหน่อใหม่                           ชีวิตซ่อนในโรยรา

     คุณธรรมความประพฤติที่ดีนั้น             ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่งให้หรูหรา
ความเรียบง่ายงดงามในจริยา                   จึงรู้ว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-03-31 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二〇一八年嵗次戊戌二月十五日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑       สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
  เรือแล่นถึงฝั่งย่อมอยู่ที่คนพาย         ชีวิตมีเป้าหมายอยู่ที่ใจหนา
มีดไม่ตีไม่ลับก็เหล็กธรรมดา              ผู้ไม่หาญกล้าลำบากสู้ยากสำเร็จจริง
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  คนบำเพ็ญมีนิสัยเป็นตัวถ่วง            โอกาสล่วงเวลาวันวันผ่านหาย
สบายไปไม่ได้คิดทำอะไร                 ประมาทไปเลยผิดแต่เรื่องเดิม
รู้ว่าคิดก็ยังสนุกคิด                       คิดเป็นอะไรกว่าคิดที่ฮึกเหิม
อารักขาหาไม่จะสายกว่าเดิม             สติเริ่มตัวรู้เกินไม่ไกล
ชอบรับรับไปจนเป็นภาระ               ชอบให้จะอยากให้ไม่สงสัย
คนไม่มีประเสริฐก่อนฝึกนิสัย             สภาพเดิมเหมือนเป็นไทเมื่อบำเพ็ญ
รู้ไม่สู้ทำใจให้สว่าง                        ใจมีทางวันที่แสนลำเค็ญ
ทำดีให้พรุ่งนี้สุดน่าบำเพ็ญ               ชีวิตคนชีวิตน้ำเย็นเป็นธารา
ชีวิตแสนสั้นดุจหมอกลมฝน              ฝนลมหล่นใส่หน้าเคล้าน้ำตา
จำต้องเพียงค้างคาใจอนิจจา             หลงไปไม่แจ้งปัญญาจิตวุ่นวาย
เกือบถึงพื้นล่างแล้วเจ้าบุปผา            เกิดตั้งอยู่ไม่ช้าต้องสลาย
กายดั่งเรือนระวังกายระวังใจ            ใจที่ไหม้ไฟอะไรแผดเผาตน
                                                                      ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



อยู่ในโลกไม่มีเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากประสบความสำเร็จ
ก็ต้องมีความพากเพียรวิริยะ ฝ่าฟันความยากลำบาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้อยากฟังธรรมจนสำเร็จหรือฟังธรรมแค่ครึ่งๆ กลางๆ (ฟังจนสำเร็จ)  ฟังจนสำเร็จอย่างนั้นลำบากก็ต้อง (อดทน)  สู้ไม่ถอยใช่ไหม (ใช่)  เหนื่อยอย่างไรก็ต้อง (อดทน)  อดทนอย่างเดียวเลยใช่ไหม (ใช่)  เจอเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ไม่ยุติธรรมก็ใช้คำว่า “อดทน” ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)


มนุษย์อยู่ในโลกนี้จำง่ายกว่าลืม ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่)  บางคนบอกว่าลืมง่ายกว่าจำ ใช่ไหม (ใช่)  ความจำได้เป็นความฉลาด ความลืมได้เป็นปัญญา แต่ท่านว่าท่านจำแล้วลืม บางทีก็ไม่จำแล้วก็ไม่ลืมอะไรได้เลย อย่างนั้นความดีของผู้อื่นจำได้ง่ายกว่าหรือความไม่ดีของผู้อื่นจำได้ง่ายกว่า
ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่เราพูดตั้งแต่แรก ท่านจะรู้ว่าความจำได้เป็นความฉลาด แต่การลืมได้เป็นปัญญา แต่มนุษย์เราถ้าใจกว้างจะจำแต่สิ่งที่ดีของผู้อื่น
แต่เมื่อไรเราจุกจิกจู้จี้ ถือนั่นถือนี่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าใจแคบ เราจะจำความไม่ดีของผู้อื่นได้ง่ายกว่า


ฉะนั้นตอนนี้จำความดีหรือไม่ดีของผู้อื่นเยอะกว่ากัน ในใจลึกๆ ความดีของคนอื่นใครทำกับเราจำไม่ได้ แต่ใครทำไม่ดีกับเราจำได้ แล้วยังจำได้แม่นด้วยใช่ไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ผู้ที่รู้จักจำความดีของผู้อื่นได้ เรียกว่าผู้ใจกว้าง แต่ผู้ที่เอาแต่จำความไม่ดีของผู้อื่นได้มาก แปลว่าเป็นคนใจคับแคบ มักถือสาหาความ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม
เรามักไม่ยอมรับใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าความดีของคนอื่นจำไม่ได้ ความไม่ดีของคนอื่นจำได้ จึงมีคำกล่าวต่อว่า ความดีของคนอื่นถ้าจำไม่ได้ ก็ยากจะเป็นคนอยู่ในโลกแล้วมีจิตสำนึกคุณ ความไม่ดีของผู้อื่นไม่ควรจำแต่จำได้ก็ยากจะอยู่บนโลกได้อย่างสงบสุข  แล้วเราสงบสุขไหม แล้วเราใจกว้างไหม


ฉะนั้นอยากเป็นคนที่รู้จักมีสำนึกคุณ ต้องเรียนรู้ที่จะจำความดีของผู้อื่น ถ้าอยากรู้จักที่จะมีชีวิตสุขสบาย ไม่ถือสาหาความก็อย่าจำความไม่ดีของผู้อื่นเก็บไว้ แต่เราเป็นแบบนั้นไหม  ฉะนั้นเราจึงเกิดเป็นคนที่ลืมบุญคุณคน และยากจะมีความสุขจริงหรือไม่ เพราะแค่เห็นคนที่ไม่ดีอยู่ในสายตาก็หงุดหงิด เห็นใครทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ถูกใจก็รำคาญใจ แต่ถ้ามองเขามีดีเราก็จะเห็นแต่คนมีคุณค่า แต่ถ้าเราเอาแต่มองเขาไม่มีดี เราก็อยู่กับเขาอย่าง
ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)


แล้วคนในโลกมีดีหรือไม่มีดี แล้วทุกวันที่บ่นๆ โลกดีหรือโลกไม่ดี แล้วทุกวันที่บ่นๆ คนดีหรือคนไม่ดี แปลว่าถ้ามองคนไม่ดีโลกไม่ดีแปลว่าใจเราคับแคบ อยากรู้จักใจตนเองไม่จำเป็นต้องไปมองที่คนอื่น หันกลับไปมองที่ตัวเรา เลือกจำดีหรือเลือกจำไม่ดี ให้นึกถึงพ่อแม่ ก็นึกแต่นิสัยไม่ดีของพ่อแม่ ให้พูดถึงเพื่อนก็มองแต่เพื่อนไม่ดีอย่างไร ให้พูดถึงสามีก็นึกถึงแต่ข้อเสียของสามี ให้พูดถึงภรรยาก็นึกถึงแต่ข้อไม่ดีของภรรยาใช่ไหม ให้นึกถึง
ครูบาอาจารย์ เคยนึกถึงดีหรือนึกถึงไม่ดี (ดี/ไม่ดี)  แต่รู้สึกว่าไม่ดีจะมากกว่าดี แล้วที่นึกออกเห็นชัดก็คือไม่ดีชัดกว่าดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าสำนึกคุณ จะเกิดสิ่งที่ดีงามได้อย่างไร ในเมื่อเริ่มต้นใจของท่านก็เอาแต่จับผิดมากกว่าจับสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ถูกไหม


อย่างนั้นเราถามท่านนะ ในโลกนี้ถ้ามีเพื่อน มีสามี มีภรรยา ซื่อตรงรับผิดชอบต่อหน้าที่ จริงใจมีน้ำใจ ท่านว่าดีไหม (ดี)  แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเพื่อนของท่าน สามีของท่าน ภรรยาของท่าน ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่มีความเมตตาปรานีในจิตใจ ท่านชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วถ้าถามท่านว่าระหว่างคนสองประเภท
ท่านอยากได้คนประเภทใดเป็นมิตร เป็นคู่ครอง คนที่ซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)

แต่ท่านเคยได้ยินมนุษย์ชอบพูดคำหนึ่งไหม “ผีเห็นผี”  ว่าเขาเป็นอย่างไร เราก็ได้อย่างนั้น ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ สิ่งที่ได้เป็นอย่างไร นั้นใช่ไม่ใช่เพราะใจท่านเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ดึงดูดก็เป็นแบบนั้นเข้าชิดหา ถ้าเราเป็นพุทธะ มีหรือพุทธะไม่เข้าหา แต่กลัวว่าเราจะเป็นผี ผีก็เลยเข้าหา  ฉะนั้นว่าเขาไม่ดี ว่าเขาไม่ซื่อตรง ว่าเขาไม่จริงใจ เพื่อนเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เราชอบแบบใด เราก็เจอแบบนั้น ฉะนั้นก่อนจะว่าใคร ควรว่า (ตัวเอง)  ซื่อตรงหรือยัง รับผิดชอบต่อหน้าที่ไหม จริงใจหรือเปล่า ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไปว่าเขาไม่ได้ ถ้าผีตัวแรกไม่ปรากฏก่อน จะมีผีตัวที่สองตัวที่สามตามมาหรือไม่ (ไม่)

ฉะนั้นไม่อยากได้สิ่งใด จงถามใจตัวเองก่อนว่า เรามีสิ่งนั้นหรือไม่
ถูกหรือเปล่า (ถูก)  คนโดยส่วนใหญ่อยากได้ผีมาอยู่ใกล้หรืออยากได้คนดีมาอยู่ใกล้ (อยากได้คนดี)  อยากได้คนดีแต่ทำไมผีชอบวิ่งหาผี ในเมื่อท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาหรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ยังปรารถนาความซื่อตรง ความเมตตา การรับผิดชอบต่อหน้าที่ สิ่งต่างๆ ที่เราพูดมานี้ เรียกว่า คุณธรรมของความเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)


วันนี้ท่านนั่งฟังธรรมมาค่อนวันแล้ว คงอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า “ทำไมต้องปฏิบัติธรรม ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่เอาตัวให้รอดก็ยากแล้ว
จะปฏิบัติธรรมไปทำไม” เราต้องการจะบอกท่านว่า การปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนในการอยู่ร่วมกัน เราต้องการคนเมตตาไหม (ต้องการ)  เราต้องการคนดูถูกเหยียดหยามเราไหม (ไม่ต้องการ)
เราต้องการคนโกหกไหม (ไม่ต้องการ)  เราต้องการคนเจ้าเล่ห์เพทุบายไหม (ไม่ต้องการ)  แล้วคนที่ซื่อตรง มีเมตตา มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คือคนที่ปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไยมนุษย์จึงไม่คิดปฏิบัติธรรม (เข้าไม่ถึง)  การรับผิดชอบต่อหน้าที่ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มีเมตตาในจิตใจทำยากไหม (ไม่ยาก)  ซื่อตรงยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำไมต้องเข้าถึง ก็แค่ทำเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าเราทำหรือไม่ทำ


ท่านเคยได้ยินคนโบราณพูดไหมว่า “วาจาที่สุภาพ การกระทำที่เมตตาปรานีเปรียบเหมือนดนตรีที่สร้างสันติสุขให้กับผู้คน” ท่านชอบคนเอะอะมะเทิ่งไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนพูดหยาบกระด้างไหม (ไม่ชอบ)  ฉะนั้นการปฏิบัติหรือการพูดสิ่งที่ดีงามทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติ ถูกไหม (ถูก)  และวาจาสุภาพนุ่มนวลเปรียบเหมือนดนตรีอันไพเราะ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้ารู้จักกล่าววาจาสุภาพเรียบร้อย ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรี เคารพให้เกียรติ ย่อมจะนำพาให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็น

ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  และผู้ใดที่หาญกล้าปฏิบัติธรรมและหยัดยืนในสิ่งที่ถูกต้อง ย่อมสามารถยังความสว่างให้กับโลกอันมืดมิดได้ จริงไหม (จริง)  แต่หลายคนก็มักจะกล่าวว่า ทำไมเราต้องทำดี ทำไมฉันต้องดีก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือว่าคนอื่นขี้เกียจ ฉันก็ (ขี้เกียจ)  แล้วจะทำดีทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าชีวิตคนเหมือนตะเกียง จะเอาตะเกียงมานำทางสว่าง หรือเอาไฟของตะเกียงนั้นมาจุดแผดเผาใจตัวเองแล้วจุดแผดเผาใจผู้อื่น (มานำทางสว่าง)  แล้วการโกหก เอาเปรียบ ฉ้อฉล ไม่มีความเมตตา ไม่มีความรับผิดชอบ นั่นคือการเอาไฟของตะเกียงมาเผาตัวเองและเผาผู้คน หรือเอาไฟตะเกียงมานำพาให้ตัวเองสว่าง (เผาตัวเอง)  เมื่อเปรียบชีวิตเหมือนตะเกียงและถ้าเราเลือกปฏิบัติดี รับผิดชอบ ซื่อตรง มีคุณธรรม นอกจากเอาตะเกียงมานำพาให้ชีวิตสว่างแล้ว ยังสามารถนำพาให้ผู้อื่นสว่างและเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้เราเอาตะเกียงแห่งชีวิตมาเผาหรือนำพาความสว่างให้ตน (นำพาให้สว่าง)  ถ้าเช่นนั้นคงไม่ต้องถามเราว่าทำไมต้องเป็นคนดี
ชีวิตนี้ท่านอยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข)  ถ้าใครเขาร้อนมาเราร้อนกลับ ชีวิตจะพบแต่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  เมื่อเขาด่ามาเราก็ด่ากลับ ชีวิตจะเป็นสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  จริงๆ แล้วเราอยากได้สุขหรืออยากได้ทุกข์ (อยากได้สุข)  แต่การปฏิบัติของเราจะทำให้ชีวิตเรามีสุขหรือทุกข์ (มีสุข)  เราปฏิบัติต่อเขาเพื่อความสุขเพื่อความร่มเย็น หรือเพื่อทุกข์และเวรภัย

ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม (เข้าใจ)  แล้วการปฏิบัติธรรมยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  แต่ยากอย่างเดียวตรงที่ รู้แล้วไม่ยอม (ทำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจของมนุษย์สามารถเอาความดีมาชนะใจที่ต่ำได้ เอาความดีชนะใจที่คิดร้ายได้ เมื่อท่านเห็นเรา ท่านคิดดีหรือคิดร้าย
(คิดดี)  สิ่งที่น่ากลัวก็คือคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่สามารถเอาคุณธรรมมาชำระใจได้ ใจมนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เมื่อคิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น เมื่อเห็นอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เพราะกิเลสอารมณ์ล้วนมาจากความคิด ฉะนั้นจะยับยั้งได้อย่างไรถ้าไม่เคยปฏิบัติธรรม


แล้วเราจะเอาชนะได้อย่างไร ก็ต้องถามใจตัวเองว่าอยากมีชีวิตที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อยากมีชีวิตที่สันติหรือมีแต่หาเรื่องหาราว อยากมีชีวิตที่สร้างบุญหรือสร้างบาป อยากมีชีวิตเพื่อสันติสุขหรือภัยอันตราย อนาคตเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้ได้คือสิ่งที่เราทำออกมาจากปากและการกระทำของเรา
ถ้าวันนี้ทำไม่ดี ต่อไปก็จะพบเจอแต่สิ่งไม่ดีแน่ จริงหรือไม่ แต่ถ้าวันนี้ปฏิบัติได้ดี ในอนาคตจะดีไหมเล่า (ดี)  เช่นนั้นไยจึงไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในครรลองคลองธรรม ท่านไม่เคยได้ยินหรือ เจอเรื่องราวอะไรนิดๆ หน่อยๆ
ก็มุทะลุใจร้อนวู่วาม เช่นนี้ย่อมพบอันตราย ทำอะไรก็ยากสำเร็จ แต่เมื่อเจอเรื่องราวอะไรใจเย็น มีธรรมเตือนใจ เชื่อไหมว่าไปอยู่ที่ไหนโชคก็จะหนุนนำหนุนเนื่อง


แต่ในปัจจุบันเราใจร้อนหรือใจเย็น เป็นผู้ที่ยอมหรือไม่ยอม อารมณ์มีค่าและสำคัญกว่าคุณธรรมความเป็นคนใช่ไหม (ไม่ใช่)  อารมณ์มีค่าเท่าคุณธรรมความเป็นคนถูกไหม (ไม่ถูก)  การรู้จักยอมและเรามีเมตตา
การรู้จักยอมแล้วทำให้เราจบเรื่องจบราว การรู้จักยอมแล้วทำให้เราสันติทำไมเราจึงไม่ยอมถูกไหม (ถูก)  กลัวผู้อื่นได้เปรียบใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
กลัวเขาได้เปรียบกว่าตัวเอง กลัวเราโง่เขลาเบาปัญญาปล่อยให้เขาหลอกใช้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเราเป็นผู้แพ้แต่จริงๆ เราชนะ เหมือนเราอ่อนแต่จริงๆ เราเข้มแข็ง ชนะใครไม่รู้แต่เราชนะใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ดูเหมือนเราอ่อนให้กับผู้อื่นแต่เราเข้มแข็งในใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์ยอมได้หรือเปล่า ยอมได้ไหม


เหมือนเราถามท่านว่า วันนี้สิ่งที่เราพูดมาคือการประพฤติปฏิบัติดี ถูกไหม (ถูก)  ทำดีก็มีค่า แต่หลายคนทำดีมักเหมือนรู้สึกว่าไร้ค่า ทำดีไปคนไม่เห็น ทำทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามหน่อย ทำชั่วทำไม่ดี มีสุขไหม (ไม่มี)  กินแรง เอาเปรียบ คดโกง มีสุขไหม (ไม่)  ซื่อตรง ถูกต้อง รับผิดชอบต่อหน้าที่ มีสุขไหม (มีสุข)  อย่างนั้นเหตุใดจึงบอกว่าทำดีไม่มีค่า อย่างน้อยเราทำดี ใจเราสงบ  แต่ถ้าเมื่อไรเราประพฤติผิดประพฤติชั่ว ใจเรา (ไม่สุข)  อย่างนั้นทำดีมีค่าไหม (มีค่า)  ทำดีมีค่าตรงไหน คนพูดได้ทำได้ เรียกว่าคนศักดิ์สิทธิ์ พูดได้แล้วรักษาคำพูดได้ แล้วทำได้ดั่งที่พูดเรียกว่าวาจาศักดิ์สิทธิ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง มีหรือจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีหรือจะไม่มีค่า ฉันใดก็ฉันนั้น พูดได้แล้วรักษาคำพูดได้
คนนั้นก็มีคุณค่าในความเป็นคน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่พูดได้ ทำไม่ได้ไม่อาจเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์และมีค่า จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม พูดได้แต่ไม่ยอมทำ ไม่ใช่ทำไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถามว่าเขาเดือดร้อน
เราคิดจะเข้าไปช่วยไหม แค่คิดแต่ไม่ทำ พูดดีๆ ดีกว่าพูดไม่ดี พูดไหม (พูด)  ให้ทำดีทำไหม เดี๋ยวก่อน ฉะนั้นคุณค่าชีวิตจะมีได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างยังไม่คิดลงมือจริงๆ จังๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้มาฟังธรรม มาแค่ฟังใช่ไหม (ไม่ใช่)  เรานึกว่ามาแค่ฟังแต่ยังไม่ปฏิบัติ เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเป็นคน การมีเมตตาธรรมสักนิดหน่อยเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนั้นทำดียากไหม (ไม่ยาก)  ทำไหม (ทำ)  ระหว่างยิ้มให้กับทำหน้าบึ้งให้ อันไหนยากกว่ากัน ระหว่างพูดดีๆ กับด่าทอใส่ อะไรยากกว่ากัน ด่าทอ ยากกว่า ใช่หรือไม่ ระหว่างมีเมตตาต่อกันกับใจคอคับแคบอะไรยากกว่ากัน การปฏิบัติธรรมยากหรือไม่ยาก ทำหรือไม่ทำ ทำตอนไหน ใครบึ้งเรายิ้มใครด่าเรายิ้ม ยากไหม

แล้วถ้าเจอคนไม่ดีทำอย่างไร เราให้ท่านฝึกคุณธรรมง่ายๆ เป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวล และเป็นต้นของคุณธรรมทั้งมวลที่จะเกิดได้ ถ้าขาดคุณธรรมข้อนี้ท่านก็ไม่สามารถที่จะมีคุณธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นได้ในจิตใจ นั่นคือคำว่า อดทน อดทนได้ก็เมตตาได้ อดทนไม่ได้ก็ไร้เมตตา
พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่อยากฝึกความอดทน จะต้องฝึกใจ ๔ ชนิด อยากลองฝึกใจแบบนี้หรือไม่ ถ้าฝึกใจ ๔ ชนิดได้ ก็จะสามารถเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวลได้


๑. ใจที่เหมือนดิน โดนใครขุดโดนใครรื้อเรื่องไม่ดีขุดรากถอนโคน
เอามาว่าสาดเสียเทเสีย ใจก็ยังหนักแน่นไม่หวั่นไหว โดนเขาขุดว่าสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรก็ยังหนักแน่นไม่กล่าวประทุษร้ายกลับไป ยังมีใจอนุเคราะห์เมตตาอยู่เนืองๆ นี่แหละเรียกว่าอดทนได้ดั่งใจดิน ขุดพ่อแม่มาว่า ขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก อดทนอย่างดินได้ไหม ยังไม่ทันขุดมาว่าแค่อ้าปากก็เถียงกลับแล้วใช่ไหม เมื่อเมตตาไม่ได้ อดทนก็ไม่มีวันได้เหมือนกัน เมื่ออดทนไม่ได้ เมตตาก็หามีได้ฉันนั้น


๒. ใจที่เหมือนฟ้า คือ ใครจะว่าอย่างสาดเสียเทเสียอย่างไร ใจฟ้าก็ไม่อาจถูกย้อมให้เปลี่ยนแปลงได้ มีใครย้อมฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  มีใครเปลี่ยนสีฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  แม้เมฆจะมาบดบังให้มืดครึ้มแต่สักวันฟ้าก็กลับมา
(ใสสว่าง)  แม้ใจเราจะถูกคนกล่าวหา ถูกคนเข้าใจผิด ถูกคนนินทาให้เราไม่ดีแต่เราก็ยังเป็นใจฟ้าที่ยังมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ใจฟ้าคือใจที่กว้างใหญ่สุดประมาณ อยากอดทนได้ต้องใจกว้าง อยากอดทนได้ต้องใจ
หนักแน่น ถ้าไม่หนักแน่น ไม่ใจกว้าง ก็อดทนไม่ได้จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่เราอดทนได้นั่นคือรากฐานของคุณธรรมและสามารถก่อเกิดบุญบารมีสั่งสมให้กับชีวิตได้เช่นกัน ใครต่อใครหลายคนบอกว่าเกิดมาไม่มีบุญ ถ้าอย่างนั้นก็หมั่นสร้างบุญด้วยการประกอบคุณงามความดีจริงไหม (จริง)


๓. ใจที่เย็นเหมือนน้ำ หากอยากอดทนได้ ต้องมีใจที่เย็นแบบน้ำ
น้ำนั้นต่อให้ใครเอาไฟมาจุดก็ไม่มีวัน (ติด)  ติดไหม (ไม่ติด)  เราใจเย็นเช่นน้ำไหม ไม่มีใครทำได้เลยหรือ ทำได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นอยากอดทนได้ต้องหนักแน่นไหม (หนักแน่น)  ใจกว้างไหม (กว้าง)  ใจเย็นไหม (เย็น)


๔. ใจที่เหมือนถุงหนังที่ถูกฟอกจนนิ่ม ถ้าอยากอดทนให้ได้ ท่านพูดว่าร่างกายนี้เหมือนถุงหนัง ถ้าเราตีถุงหนังก็จะเสียงดังใช่ไหม (ใช่)  แต่ถุงหนังที่ฟอกจนนุ่มแล้ว ฟอกจนสะอาดนุ่มที่สุดแล้วตีอย่างไรก็จะไม่ดัง ไม่ใช่ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็อัมพฤกษ์อัมพาตแล้วนะ เจ็บได้แต่เราไม่เคืองโกรธ  มีคำพูดคำหนึ่งที่เราอยากจะบอกไว้ สังขารเป็นของโลก จิตเป็นของฟ้า
แต่ความคิดเป็นของคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเอาสังขารไปไม่ได้แต่เราเปลี่ยนความคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ประพฤติปฏิบัติให้ตัวเองมีใจที่อดทนเช่นธรรมชาติสี่อย่างนี้ได้ มีหรือที่เราจะเกิดเป็นคนดีที่มุ่งมั่นปฏิบัติไม่ได้ใช่ไหม


เราถามท่านว่ามนุษย์อยากมีทุกข์หรืออยากมีสุข (อยากสุข)  อยากมีเวรภัยหรือไร้เวรภัย (ไร้เวรภัย)  แล้วรู้ไหมว่าการปฏิบัติตัวเอง เอาแต่ใจตัว
เอาแต่กิเลสอารมณ์ จะหนีไม่พ้นเวรภัย แต่การปฏิบัติตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติมีคุณธรรมแห่งความเป็นคนจะทำให้ชำระล้างจิตให้ผ่องใสและเป็นสุข คนจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)  โชคลาภวาสนาอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตน ถ้าทุกวันเอาแต่ตามกิเลสตามอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นบาปเวรกรรมและเคราะห์ภัย แต่ถ้าทุกวันปฏิบัติต่อคุณธรรม เมตตาธรรม
สัตยธรรม รับผิดชอบ ซื่อตรง มีหรือจิตใจจะไม่ผ่องใสและเป็นสุข ใช่ไหม


ยังมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “แม้น้ำมนต์จากพระเก้าวัด ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้” อยากบริสุทธิ์ พ้นจากกรรมชั่วได้ ก็ต่อเมื่อประพฤติปฏิบัติดี อยู่ในศีลในธรรม ไม่เบียดเบียน ไม่โกหก ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิด มีศรัทธาต่อความดีงาม ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว คนเช่นนี้ดื่มน้ำอะไรน้ำนั้น
ก็ศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติได้เช่นนี้ทุกวันก็เป็นมงคล ไยต้องไปหาน้ำมนต์มาล้างใจ สู้ห้ามใจตัวเองดีกว่า จริงหรือไม่ (จริง)

(ผู้ดำเนินรายการพูดถึงการยอมให้ผู้อื่น “หากมีคนตบหน้าเราข้างหนึ่ง ให้ยื่นหน้าอีกข้างให้เขาตบด้วย”)

เราไม่ได้สอนให้ยื่นให้เขาไปตบอีกนะ เพราะทำอย่างนั้นกลายเป็นยิ่งยุยงให้เขาสร้างกรรมเพิ่มใช่ไหม (ใช่)  มิสู้นิ่งๆ แล้วยอมรับความจริง
ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่มนุษย์ได้เจอกันทุกคนล้วนมีบุญกรรมสัมพันธ์กัน  ฉะนั้นจะกรรมดีหรือว่าเป็นกรรมชั่วก็อยู่ที่เราสร้างมา มนุษย์ทุกคนไม่อยากได้กรรมแต่อยากได้บุญวาสนา ฉะนั้นอดีตเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีได้ อยู่ที่เราเลือกประพฤติปฏิบัติสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านเพียงสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดีหรือไม่ (ดี)  ยังเหลืออีกหนึ่งวัน หรือสองวัน ชีวิตนี้เหลือหนึ่งวันเองหรือ เราไม่อาจหยั่งรู้ได้  ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  กับคนที่เราเจอตรงหน้า ใครคือคนที่ประเสริฐที่สุด คนที่เจอตรงหน้า และเวลาใดคือเวลาที่ดีที่สุด เวลาตรงนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกวันทำตรงนี้ให้ดี และปฏิบัติต่อคนตรงหน้าให้ประเสริฐสุด ชีวิตนี้จะไม่เจอเรื่องดีๆ หรอกหรือ แล้ววันนี้ทำหรือยัง ปฏิบัติด้วยกันอย่างดีที่สุดหรือยัง หรือจำใจขอไปที ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าลืมนะผีเห็นผี ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราเป็นผีเราเลยเห็นผี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเป็นพุทธะเราก็เห็นใครเป็น (พุทธะ)  ถ้าเรามีสุขทุกคนก็ (มีสุข)  ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี คนที่อยู่รอบข้างสักวันก็ต้อง (ปฏิบัติดี)  ขอแค่เพียงเราอดทนให้ได้ เข้าใจคนให้กว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมตตาให้กว้างพอ ใจเย็นให้หนักแน่นพอ เสียสละให้เต็มที่พอ เชื่อเถอะ ความดีแม้ตกผลช้า แต่เมื่อให้ผล มันน่าปลื้มใจ ความชั่วเมื่อให้ผล มีแต่เรื่องเศร้าเสียใจ แล้วไยไม่ทำดีจริงไหม (จริง)

วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑     สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ยิ่งพูดก็ยิ่งจำไม่ยอมจบ                             ยิ่งคิดก็มีแต่ลบมองแง่ร้าย
ไม่ถือสายอมรับก็เบาสบาย                        เมื่อเข้าใจปลดปลงก็เช่นนั้นเอง
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า

แค่ทำ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ถึงได้ในที่สุด ไม่ผิดจากนี้ไป ไม่ทำ หลักธรรมจะเป็นอะไรชัดเจน ก็ไม่มีความหมายใด
สิ่งใดรู้แล้วไม่เดินหน้าไปต่อ แค่เห็นธรรมไม่เห็นทำ อยู่กับความคิด อยู่กับภาระ ไม่เป็นไปตามต้องการ ต้องเหนื่อยกับเรื่องนี้ ต้องเหนื่อยกับเรื่องนั้น อยู่ไปแค่วันวัน ขว้างงูไม่พ้นคอ
หลายคนไม่ขยันได้แค่รู้ เพราะว่าความขี้เกียจ พลาดอย่างน่าเสียดาย ทั้งวันไม่ทำอะไรเป็นการทบทวน โทษฟ้าโทษฝนทุกที

ทำนองเพลง: ไม่แข่งยิ่งแพ้
ชื่อเพลง: แค่ทำไยไม่ทำ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
รักษาจิตหนึ่งใจเดียวให้มั่นคง อันนี้เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าทำได้ในทุกขณะเราจะมุ่งมั่นบำเพ็ญได้ถึงเป้าหมาย แต่ถ้าจิตแตกเป็นสองแตกเป็นสาม เอาไม่เอา ไม่ชอบคนนั้น มีเรื่องคนนี้ เราก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย แต่เรารักษาจิตหนึ่งได้ตลอดเวลาหรือเปล่า เดี๋ยวคิดนั่นเดี๋ยวคิดนี่ อยากมีนั่นอยากมีนี่ เป้าหมายในการบำเพ็ญก็เลยสั่นคลอน ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
วันนี้มานั่งฟังธรรมหรือมานั่งหลับ (นั่งฟังธรรม)  ไม่เห็นคุยเลยว่าฟังธรรมแล้วดี คุยแต่ว่าหลับไปกี่นาที มาฟังธรรมเพื่อหลับหรือมาฟังธรรมเพื่อตื่น (เพื่อตื่น)  อยากคุยกับเราไหม ไม่ฝืนใจนะ บางครั้งต้องรู้จักฝืนใจตนเองบ้าง ตามใจตนเองมาทั้งชีวิตแล้ว แค่ฝืนบ้างจะเป็นอะไรไป บางเรื่องราวในโลก หากเราพบสิ่งใดที่ไม่ใช่อย่างที่เราคิด หรือไม่ใช่อย่างที่เราหวัง ถ้าเราคิดมากเกินไปก็มีแต่ทุกข์ใจ มัวแต่มุ่งจับผิด ก็มองเห็นแต่ด้านร้ายของเขา อยู่ร่วมกันก็ไม่เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดว่า ช่างเถอะอย่าถือเลย ช่างเถอะเขาก็เป็นอย่างนั้น เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง เรื่องก็จบ มองอะไรก็ราบรื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่เราถือสาไหม (ถือ)  แล้วหนักไหม (หนัก)  แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้ว่าถือแล้วก็หนัก แล้วก็ทุกข์แต่ก็ยังถือ ทำไมไม่เปลี่ยนการถือให้เป็นการวางบ้าง เหมือนที่เรารู้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมีความสุขมากกว่ามีความทุกข์ แต่โดยส่วนใหญ่ เราสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขจะน้อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็ขอเริ่มต้นคุยเรื่องง่ายๆ ก่อน ถามว่า รังเกียจความจนไหม (ไม่)  รังเกียจความไม่งามไหม (ไม่)  ศิษย์รู้ไหมว่า ศิษย์มีอาจารย์รูปไม่งาม และไม่รวย ดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงแล้วจะรวยแล้วจะงาม นั้นไม่ใช่นะ  แล้วถ้าเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงแล้วไม่รวย และไม่งาม ศิษย์เป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เกิดเป็นคนจน คนไม่สวยอายไหม (ไม่อาย)  จริงหรือ (จริง) เกิดเป็นคนหน้าตาไม่ดี ไม่สวยแล้วมีความสุขได้ไหม (ได้)  เกิดเป็นคนจนแล้วมีความสุขได้ไหม (ได้)
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า คนที่บอกว่าไม่ทุกข์กับความไม่สวย แล้วจะแต่งหน้าทำไม แล้วจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ทำไม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วไม่หล่อและไม่อาย แต่ทำไมมองกระจกทุกวันก่อนที่จะออกจากบ้าน เมื่อถูกว่า ว่าขี้เหร่ อย่างนี้รับได้ไหม (ได้)  ได้จริงหรือ ฉะนั้นอยากจะบอกกับศิษย์ว่า ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดน่าอาย แต่ถ้าต้องหนีความจน แล้วไปทำผิดศีลผิดธรรม ถ้าต้องหนีความไม่สวยไม่หล่อ แล้วต้องไปผิดศีลขาดธรรม อย่างนี้ก็น่าอายนะ
ถ้าโดนเขาว่า ว่าจนไม่มีเงิน ไม่หล่อแล้วต้องไปมีเรื่องมีราวกับใครเพราะรับไม่ได้ที่โดนว่าอย่างนี้น่าอาย  อาจารย์ก็จน อาจารย์ก็อัปลักษณ์ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่รู้ตัวว่าชีวิตเราเป็นคนที่ทำแล้วมีชีวิตถูกต้องมีศีลไม่ขาดธรรม อายอะไร ดีกว่าสวยแล้วผิดคุณธรรม ดีกว่าหล่อแล้วขาดธรรม ดีกว่าเพื่อความรวยแล้วกลายเป็นคนโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้อื่นอย่างนี้น่าอายกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำพูดคำหนึ่งที่มนุษย์ชอบพูดบอกว่า “ความจนไม่น่ากลัว แต่จนความขยัน จนปัญญาในการค้นคว้าหาตัวเองในการขยันเรียนรู้นี่สิน่ากลัวกว่า” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความจนไม่น่ากลัว ความไม่สวยก็ไม่ใช่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้กับความไม่สวย ใจที่ไม่ยอมรับกับความจนนี่สิ น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)
ทุกคนในโลกนี้มีปัญหาทุกคนไหม (มี)  มีใครไหมไม่มีปัญหา (ไม่มี)  ทุกคนมีปัญหาหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่แก้ปัญหาแต่ทำไมไม่คิดที่จะหยุดสร้างปัญหาบ้าง เหมือนถามว่าทุกคนกลัวทุกข์ไหม (ไม่กลัว)  อยากมีทุกข์ไหม ก็ไม่อยากมี แต่หยุดสร้างทุกข์ไหม ไม่หยุด แล้วจริงๆ กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  อย่างนั้นถ้าเวลาเราเจอปัญหา ศิษย์เคยได้ยินไหม คนที่เขาไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต เมื่อเวลาเขาเจอสิ่งที่แย่ที่สุด คนที่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต คนที่มีปัญญาจะพยายามเอาชนะให้ได้ เขาจะแปรสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดให้กลายเป็นสิ่งที่มีค่า และกลับมาสวยงามได้ ถูกไหม (ถูก)
สมมติว่าดอกไม้ ใบไม้ ต้นไม้ ถ้ารู้จักจัด มันก็สวย แต่ถ้าไม่จัดมันก็สวยไปอีกแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันถ้ามนุษย์ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต รู้จักขยัน รู้จักพากเพียร สิ่งที่ไม่ดีเราจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีได้ไหม (ได้)  มันอยู่ที่ใจ ถูกไหม (ถูก)  เราเปลี่ยนโลก เราเปลี่ยนชะตาชีวิตข้างหน้าไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้ศิษย์เปลี่ยนได้ คืออะไรรู้ไหม เราเปลี่ยนใจตัวเองได้ว่า เมื่อเราเจอปัญหา เราจะยอมแพ้กับปัญหา หรือสู้จนถึงที่สุด (สู้จนถึงที่สุด)  ถูกไหม (ถูก)  เมื่อเราเจอทุกข์ เราจะทุกข์มาก ทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  ทำไมตอนนี้ตอบอาจารย์ได้ ฉะนั้นปัญหาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจศิษย์สู้ไม่สู้เมื่อเจอปัญหา แล้วสู้แบบไหน สู้แบบคนจมกับทุกข์ หรือไม่มีวันจะทุกข์กับมันอีก
อายุปาเข้าไปค่อนชีวิตแล้วนะ ทำไมยังทุกข์กับเรื่องเดิมๆ ทำไมยังเจ็บกับเรื่องเดิมๆ ทำไมยังโง่และผิดกับเรื่องเดิมๆ ทำไมไม่เอาเรื่องเดิมมาทำให้ชีวิตฉลาดขึ้น ทำไมไม่เอาเรื่องเดิมมาทำให้พ้นทุกข์ ยังกลับไปเวียนทุกข์อีกถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทุกข์ไม่ได้น่ากลัว แล้วใจเราจะสู้ทุกข์หรือไม่สู้ทุกข์ (สู้ทุกข์ ไม่สู้ทุกข์)  จะทุกข์มากหรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  จะทุกข์เหมือนเดิมหรือพ้นทุกข์ต่อไป (พ้นทุกข์ต่อไป)  ตอบอาจารย์ได้แต่เมื่อถึงเวลา (ทำไม่ได้)
บางครั้งเราต้องรู้จักส่งบุญต่อ ดีกว่าเก็บไว้เพื่อตนเอง บางทีการพูดภาษาเดียวกันแต่บางคนคิดไม่เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าไปเคืองโกรธเลย ถ้าเราพูดอย่างหนึ่งแล้วเขาไปอีกอย่างหนึ่ง ในโลกใบนี้มันมีหลายเรื่องราวที่ทำให้เราทุกข์ และมีหลายปัญหาที่ทำให้เราไม่สบายใจ และบางครั้งปัญหานั้นหรือความทุกข์นั้นเกิดจากการสูญเสีย ศิษย์ทำใจได้ไหม มันทำใจยากนะใช่หรือไม่ เมื่อเจอปัญหาเจอเรื่องราวทุกข์มากหรือไม่ทุกข์ เรื่องราวมันทำให้เราทุกข์แล้ว และเราจะซ้ำเติมใจให้ทุกข์อีกไหม หามาแทบตายโดนเขาเอาไปหมดทุกข์ไหม ปลูกมาแทบแย่นึกว่าจะได้เก็บเกี่ยวผล มาถูกขโมยไปหมดทุกข์ไหม (ทุกข์)  อาจารย์จึงบอกศิษย์ตั้งแต่ต้น ความจนไม่น่ากลัว แต่ความจนใจจนปัญญาที่จะสู้ต่อน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  ยังมีแรงมีกำลังก็ลุกสู้ใหม่ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป
ศิษย์เอ๋ย ถามจริงๆ ของในโลกนี้เราหามาแล้วใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  สมมติว่าอาจารย์หาเงินก้อนนี้ได้ เป็นของอาจารย์ไหม อาจารย์หามาแทบตายเลยนี่คือเงินของอาจารย์ใช่ไหม มันเหมือนเป็นของอาจารย์แต่ถึงที่สุดใช่ของอาจารย์ไหม (ไม่ใช่)  เหมือนเวลาอาจารย์ได้พัดมาใบหนึ่ง ตอนนี้อาจารย์ครอบครองมันได้แต่ถึงที่สุดแล้วมันเป็นของอาจารย์จริงๆ ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมล่ะ ก็อาจารย์ซื้อมาก็ต้องของอาจารย์สิ ทำไมบอกไม่ใช่ของอาจารย์ล่ะ เสื้อผ้านี่ก็ของอาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมล่ะ (อาจารย์ไม่ได้เป็นคนทำ)  แต่มันอยู่บนตัวอาจารย์ก็ต้องเป็นของอาจารย์สิ อยู่ในมืออาจารย์ก็ของอาจารย์สิ
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ทำไมอาจารย์บอกว่าสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันเป็นของศิษย์ ศิษย์หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง จริงๆ แล้วมันใช่ของศิษย์ไหม ก่อนที่จะมาเป็นของศิษย์มันเป็นของใคร แล้วมันจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไหม (ไม่อยู่)  ถึงเวลามันก็ต้อง (ไป)  ไม่มันไปเราก็ไป ฉะนั้นเราไปก่อนหรือมันไปก่อนดี ให้มันไปก่อนเรา หรือเราไปก่อนมันดี (ให้มันไปก่อน)  ให้มันไปก่อนดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้น เวลาเขาเอาไปแล้วทำไมเราเสียใจล่ะ ดีแล้วมันไปก่อน ดีกว่าเราไปก่อนแล้วไม่ได้ใช้มัน จริงไหม (จริง)  ศิษย์เอ๋ย ในโลกนี้ความจนไม่น่ากลัว แต่จนปัญญาจนใจที่จะสู้ต่อนั่นแหละน่ากลัวกว่า การสูญเสียไม่ได้น่ากลัว แต่การรับไม่ได้ที่ชีวิตนี้ต้องสูญเสียน่ากลัวกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความน่าเกลียดความไม่สวยก็มิใช่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่สวยนั้นน่ากลัวกว่า ไม่สวยแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ฉันไม่สวยก็ดีออก เพราะฉันไม่สวยแกเลยสวยมาก ถูกไหม (ถูก)  ดำแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ดีกว่าขาว ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้
ฉะนั้นถ้าเรารู้คุณค่าในสิ่งที่ตัวเราเองเป็น จะได้มาจะเสียไปไม่ใช่ความทุกข์ ขอเพียงเราไม่จนใจจนปัญญา และลุกขึ้นสู้ใหม่ เราเกิดมาตัวเปล่า มาแบบมีสามี มีลูก มีทรัพย์สิน มีบ้าน มีที่ดิน มีรถไหม มันมาทีหลังใช่ไหม แล้วถึงเวลาตอนนี้เรากลับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิมดีไหมล่ะ มันต้องดี เพราะวันใดวันหนึ่งศิษย์ต้องเจอ เพราะตายไปแล้วศิษย์เอาไปได้ไหม แล้ววันนี้ขอบใจที่ทำให้ฉันรู้จักวาง ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้จักสู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วของบนโลกใบนี้มันเป็นของที่มาจากธรรมชาติแล้วทุกสิ่งก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ฉะนั้นเราคือคนที่ไปขโมยธรรมชาติมา ถ้าธรรมชาติจะเอาคืนเราโกรธไหม โมโหไหม เขาเอาของเราไปโกรธไหม เขาก็ธรรมชาติใช่หรือไม่ มนุษย์มักจะขี้ตู่ โลกนี้เป็นโลกของธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง สมบัติผลัดกันชม ทรัพย์สินเปลี่ยนมือเจ้าของไปกี่เจ้าแล้ว แล้วชีวิตเราไม่ผลัดเปลี่ยนหรือ เราเปลี่ยนมากี่ร่างแล้วรู้ไหม แล้วเราอยากจะจบแค่ร่างนี้ หรือเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น ถ้าเรารู้ว่าสมบัติผลัดกันชม ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไม่จบสิ้น เราควรจะไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเราหรือไม่ สังขารก็ของธรรมชาติ ทรัพย์สินก็ของธรรมชาติ แล้วอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แปลว่าเราคิดไปเอง ฉะนั้นมองให้ดี ถ้าศิษย์เข้าใจก็จะรู้ว่าโลกใบนี้จริงๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่สู้ และไม่ยอมรับความจริง
ถ้าอาจารย์ถามว่าการศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ เพื่อหาทางค้นพบความสงบให้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะมองว่า ธรรมะหรือการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนบวชชีบวชพระ หรือเป็นคนที่เคร่งครัดปฏิบัติ แต่เราลืมมองไปว่าจริงๆ แล้วถ้าพูดถึงธรรม ธรรมควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนก็ปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และทุกคนก็ควรจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราจะศึกษาธรรมแล้วธรรมที่เราศึกษานั้นเป็นธรรมที่ควรจะอยู่แต่ในหนังสือ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อยู่แต่ที่พระเป็นคนพูด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่ควรจะเป็นธรรมที่ในทุกๆ ที่ก็มีธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะค้นพบธรรมได้อย่างไร
(ใช้สติและปัญญา, ตัวของเรา, ด้วยจิตที่ศรัทธาเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงาม)
แปลว่าธรรมะไม่ได้ค้นที่ภายนอก แต่ธรรมะสามารถพบได้ที่ภายใน ฉะนั้นถ้าอยากพบธรรม ควรย้อนมองส่องตนแต่ส่วนใหญ่เราพบธรรมในตัวเองไหม (ไม่)  พอเราย้อนมองเข้ามาในตัวเอง เราเคยเห็นธรรมในตัวเองไหม (เคย)  เห็นธรรมหรือเห็นกิเลส เห็นอะไร เห็นกิเลสมากกว่าเห็นธรรม ถูกไหม (ถูก)  ตื่นขึ้นมาก็เห็นกิเลสแล้วว่าอยากกินอะไร อยากไปเที่ยวไหน อยากได้อะไร ฉะนั้นเราจึงไม่เห็นธรรมในตัวของเราเองเลย แต่รู้ไหมว่า นั่นก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งแต่เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นบาปเป็นทุกข์ และวิบากกรรม
ทุกชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมา คือ การวิ่งไปตามกิเลส วิ่งไปตามความอยาก แล้วเมื่อไรที่ยึดความอยาก ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องรองรับ เหมือนตอนนี้เราอยากกินข้าว ดูที่โต๊ะแล้วไม่มีข้าว อย่างนี้หงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)  แล้วเมื่อหงุดหงิดแล้ว เจอแม่บ่นไหม (บ่น)  เกิดกรรมดี หรือกรรมชั่ว (กรรมชั่ว)  แล้วถ้าแม่ไม่อยู่แอบด่าพ่อแม่ไหม ด่าภรรยาไหม (ด่า)
ฉะนั้นชีวิตของเรา ธรรมะมีสองทาง ทางหนึ่งคือ การเวียนว่ายแห่งกรรม เวียนเกิด เวียนทุกข์ เวียนสุข เวียนดี ไม่จบสิ้น แต่มีธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อทำแล้วพ้นทุกข์ พ้นเวียนว่าย พ้นกรรม ถ้าชีวิตเราเลือกได้ เราเลือกธรรมแบบไหน ระหว่างธรรมที่เวียนทุกข์เวียนสุข หรือธรรมที่พ้นทุกข์พ้นสุข (ธรรมที่พ้นทุกข์พ้นสุข)  แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้เราเสียสละชีวิตมา เพื่อสนองตัณหาสนองความอยาก แล้วเราพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แปลว่าชีวิตที่ศิษย์มีมาทั้งหมด ทั้งชีวิต ศิษย์ยอมสละเพื่อธรรมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม แปลว่ากิเลสตัณหาและสิ่งที่ศิษย์อยากได้มีค่ามากกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็ทั้งชีวิตมีมาเพื่อสนองกิเลสตัณหา กิเลสตัณหามาก็วิ่งไปตามความอยาก แล้วก็ดีบ้าง ร้ายบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตลอดชีวิตศิษย์สละชีวิตเพื่อสิ่งนี้มาตลอดถูกไหม (ถูก)  ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดังนั้น พิจารณาให้ดีว่าทุกวันที่เราทำอยู่นี้เพื่อสนองกิเลสจริงไหม (จริง)
พระพุทธะกล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือธรรม เมื่อไม่เคยพบธรรมเลยสิ่งที่เราได้คือกิเลส แล้วก็สุข ทุกข์ แล้วก็วนกลับมาที่กิเลส  แล้วก็สุข ทุกข์จริงไหม (จริง)  แปลว่าทั้งชีวิตศิษย์เสียสละชีวิตได้เพื่อกิเลสไม่ใช่เพื่อธรรมถูกไหม (ถูก)  แล้วคำว่าเพื่อธรรมเป็นอย่างไรละ
สิ่งใดที่ทำแล้วทำให้ศิษย์ต้องยึดแล้ววางไม่ได้ สุขไม่ได้ แล้วหนีไม่พ้นทุกข์ สิ่งนั้นเรียกว่ากรรม อะไรก็ตามที่ศิษย์ทำแล้วสามารถปล่อยได้ พ้นทุกข์ได้ วางได้ สิ่งนั้นเรียกว่าธรรม ถ้าอย่างนั้นตลอดชีวิตที่ศิษย์เดินมา เสียสละมา ยึดแล้ววางไม่ได้ แล้วทำให้เกิดทุกข์และสุขใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยากเกิดมาเพื่อเวียนว่ายใช้กรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)  อยากเมื่อไรก็ต้องสร้างเวรให้ต้องไปยึดถืออยู่ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากศึกษาปฏิบัติธรรม ธรรมจึงสอนไว้ว่า จงอยู่อย่างที่สามารถมีแล้วไม่ยึด มีแล้วสามารถปล่อยวาง มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วสามารถพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่า หนทางธรรม แต่ถ้าเมื่อไรมีแล้วต้องยึด มีแล้วต้องหนีไม่พ้นวิบากกรรม มีแล้วต้องหนีไม่พ้นทุกข์สุข นั่นก็เรียกว่ามีแล้วสร้างเวรกรรม เมื่อเกิดมาก็เสวยสุขให้เต็มที่ ถึงเวลาตายแล้วก็ช่างมัน ใช่ไหม  มันไม่ได้จบง่ายๆ อย่างนั้นสิ ถ้ามนุษย์เรายังยึดถือก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายและวิบากกรรมที่เราต้องไปรับ ถูกไหม (ถูก)
ขึ้นชื่อว่ากิเลส ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ ล้วนหนีไม่พ้นเป็นทางมาแห่งบาปและกรรมชั่ว แล้วร้ายที่สุดคือวัฏสงสารที่หนีไม่พ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนศิษย์ไปด่าเขา ไปตีเขา แล้วก็บอกว่า ช่างเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แต่ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่เราไปด่าไปตีนั้น ถ้าเขาอยากจะจองเวรจองกรรมศิษย์ล่ะ กี่ภพกี่ชาติจะต้องแก้แค้น เอาไหมล่ะ (ไม่เอา)  อย่างนั้นเราควรมีกิเลสอารมณ์ไหม กิเลสอารมณ์มันมาจากไหน ศิษย์รู้ไหมว่ากิเลสอารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน คิดว่าแบบนี้ฉันชอบ คิดว่าแบบนี้ฉันเกลียด คิดว่าแบบนี้ฉันไม่ด่า คิดว่าแบบนี้ฉันต้องด่า ฉะนั้นถ้าเราหยุดความคิดไม่ได้ เราก็หยุดกิเลสและอารมณ์ไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะยับยั้งกิเลสอารมณ์ไม่ก่อเกิดเป็นทุกข์ บาป และวิบากกรรม คืออะไรที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ความคิดนั้นเตลิดคือ (สติ)  ถูกต้อง ยิ่งคิดมันยิ่งไหลไปตามอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยดึงความคิดได้คือสติ สติทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริง เวลาเจออะไรอย่าเอาแต่คิดเพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามกิเลสและอารมณ์ แต่จงทำอะไรอย่างคนที่เข้าใจในธรรม หรือมองเข้าข้างในแล้วจะเห็นธรรม เมื่อไรที่เราสามารถมองเข้าข้างในเราจะเห็นธรรมอันลึกซึ้ง ธรรมอันเป็นความจริงที่พระพุทธะค้นหาและพบเจอ แต่เรามองเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น ถ้าเราอยากเห็นธรรมจงอย่าเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองคิด หรือสิ่งที่ตัวเองจำได้หมายรู้ แต่จงเห็นในสิ่งที่มากกว่าเห็น มากกว่ารู้ เพราะในโลกนี้ทุกเรื่องราวทุกลักษณะ มักมีลักษณะแท้ซ่อนอยู่ภายในเสมอ
ถ้าเราอยากจะเอาชนะกิเลส แล้วเห็นโลกแบบคนเห็นธรรมแล้วดับทุกข์ได้ จงเห็นมากกว่าสิ่งที่เห็นคือเห็นภายใน
สมมติว่าแอปเปิลนี้ไปอยู่ที่มือใคร คนนั้นจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเอาไหม (เอา) เห็นอะไรในแอปเปิล อยากเห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ สมมติใหม่ว่าถ้าใครได้แอปเปิลลูกนี้ไปนอกจากถูกลอตเตอรี่แล้วชีวิตจะสั้นลง เอาไหม (ไม่เอา)  ยังเห็นอะไรอีก เห็นแค่ตามที่อาจารย์ให้เห็นหรือเห็นมากกว่าที่ควรจะเห็น ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใครได้แอปเปิลนี้ไปจะสุขที่สุดไม่มีวันทุกข์ เอาหรือไม่ (เอา)  ศิษย์เอ๋ย ชีวิตอยู่ที่ตัวศิษย์กำหนดหรืออยู่ที่อาจารย์เป็นคนพูด (ตัวเรากำหนด)  ชีวิตอยู่ที่แอปเปิลหรืออยู่ที่ตัวเราเอง (ตัวเราเอง)  เชื่อไหมว่าแค่อาจารย์พูดถึงแอปเปิลสามสี่แบบ อาจารย์ก็เห็นใจของศิษย์ว่าขึ้นๆ ลงๆ หาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหมว่า ยิ่งศิษย์เป็นแบบนั้น อาจารย์จึงเห็นความจริงแท้ที่อยู่ภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างมีหลักแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อยึดกุมหลักแท้ได้ศิษย์จะค้นพบธรรม และนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์หยุดสร้างเวรสร้างกรรมและจบเวรจบกรรมได้
เห็นอะไรที่จะทำให้เราพบธรรมและพ้นทุกข์ และเห็นอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น
เห็นธรรมอะไรในลูกแอปเปิลอีก (เห็นความดี)  แล้วเราจะส่งความดีต่อ หรือจะเก็บความดีไว้กับตนเอง (ส่งต่อให้ญาติ)  ทำให้ได้นะ (เห็นความเป็นจริงในตัวเราเอง)  เห็นความจริงอะไรในตัวเอง (ความอยากได้อยากมี)  อาจารย์คิดว่าเห็นความเป็นจริงในตัวเองที่โลเลไม่แน่นอน ใช่ไหม (ใช่) 
(ความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ที่เรามองเห็น)  เห็นความไม่เที่ยงในแอปเปิล เห็นความไม่เที่ยงในใจตัวเอง และเห็นความไม่เที่ยงของอาจารย์ ซึ่งเป็นลักษณะแท้ที่ซ่อนอยู่ในทุกลักษณะของชีวิต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเรียกว่ารูปหรือนาม ผู้ใดที่ค้นพบลักษณะแท้นั้น นั่นเรียกว่าค้นพบแก่นหรือหลักของใจทั้งมวล แล้วเรียกแก่นและหลักอันนั้นว่า “หลักสัจธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป)  ที่เรียกว่าความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงในใจเราในทุกขณะ
(เห็นความว่างเปล่า)  ตอบได้ดีแต่ปฏิบัติได้ยากนะ แล้วก็ทำได้ยาก เพราะเห็นแล้วก็ยังเห็นอยู่ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์เห็น มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แค่ชั่วคราว ไม่มีอะไรถาวร จริงไหม (จริง)  เมื่อมีใครด่าว่าเรา ถึงเวลาเขาก็ไป ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามองเห็นว่าถึงเวลาไม่มีอะไรตั้งอยู่ถาวร คนที่ดีกว่าเรา คนที่สวยกว่าเรา คนที่เก่งกว่า เขาก็เป็นสิ่งนั้นแค่ชั่วคราวถึงเวลาก็มีคนเหนือกว่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองจนถึงที่สุดแล้วมันก็ว่างเปล่า แล้วเราจะเอาอะไรกับความว่างเปล่า แล้วจะยึดอะไรในความว่างนั้น
(ความเห็นแก่ตัวและความมีเมตตา)  ในใจเราหรือในใจเขา (ทั้งใจเราและใจเขา)  ถ้าเอาแอปเปิลแล้วเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เราก็ให้เขาดีกว่าใช่หรือไม่ ตอบได้ดีนะ ถ้าทุกขณะที่เราอยากสิ่งใดก็ตาม เห็นสิ่งใดก็ตามแต่เราไม่ได้เห็นแค่ความอยาก แต่เราสามารถเห็นแล้วทะลุทะลวง เห็นแล้วแจ่มแจ้งชัดทั้งใจตนและใจคน แล้วชั่งใจดูว่าเราจะไปตามกรรมหรือไปตามธรรม เราเห็นแล้วเราจะไปตามกิเลสหรือจะไปตามธรรม เห็นแล้วจะเห็นแก่ตัวหรือเมตตาให้เขาต่อ (ทั้งสองอย่าง) แปลว่าครึ่งหนึ่งจะเก็บไว้กินอีกครึ่งหนึ่งจะให้เขาใช่ไหม (การปล่อยวาง)  เห็นซึ่งการปล่อยวาง ยิ่งยึดมั่นถือมั่นก็มีแต่ทุกข์ใช่หรือไม่ ปล่อยก็แปลว่า (เบาสบาย)  ปล่อยแปลว่าไม่ถือ
ถ้าศิษย์สามารถเอาความไม่เที่ยงมาใช้กับทุกผู้ทุกคน เอาความไม่เที่ยงมาใช้กับทุกอย่าง ศิษย์จะเกิดความอยากไหม (ไม่อยาก)  ศิษย์จะหลงความสวยไหม (ไม่หลง)  ศิษย์จะเกลียดคนน่าเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ศิษย์จะมองเห็นทุกสิ่งเป็นอะไร เมื่อเราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่าไม่มีอะไรเที่ยงตอนนี้สวยไม่นานก็ไม่สวย วันนี้ดีเดี๋ยวมันก็ร้ายได้ ใช่ไหม (ใช่)   เมื่อเราเห็นความไม่เที่ยงไปเรื่อยๆ เราจะมองเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่อยาก เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่ยึด เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่ผูกพัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมคือการมองภายใน ถ้าอยากเข้าถึงธรรมจงมองภายในแล้วถือภายในพินิจพิจารณาเป็นหลัก เมื่อเห็นเป็นหลักความอยากจะไม่เกิด ความโลภจะไม่มี ความเกลียดจะไม่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็เป็นกลาง เมื่อเป็นกลางก็หมดกรรม เมื่อหมดกรรมก็ไม่มีกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสก็สิ้นทุกข์ แต่เราเคยเห็นบางสิ่งแล้วหมดกรรมหมดอยากไหม ยังเห็นแต่สวย หล่อ ไม่หล่อใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า (พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนในชั้นคนสูงวัยหนึ่งคน วัยหนุ่มหนึ่งคนยืนคู่กัน)  ถ้าเรามองเห็นสิ่งที่เรียกว่าแก่นแท้ของทุกชีวิตคือความไม่เที่ยง ความทุกข์ความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นแบบหนุ่มหรือแบบสูงอายุก็จะไม่เอา เพราะแม้ตอนนี้หนุ่มต่อไปก็ต้องแก่ลง
ถ้าชีวิตนี้จะมีแต่ความหนุ่ม ไม่ต้องการความแก่ เเสดงว่าศิษย์ก็ตายทั้งยังหนุ่ม มนุษย์เราพอเห็นความแก่ก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ชอบแต่ความหนุ่มสาวใช่ไหม นั่นเพราะว่าเรามองเห็นแค่ภายนอกแล้วไม่เห็นภายในใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจถึงภายในว่า มีแก่นแท้เดียวกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะเอาทั้งสองแบบไหม (ไม่)  แล้วเราจะยึดทั้งสองแบบไหม (ไม่ยึด)  เมื่อไม่ยึดแล้วจะมีอะไรที่เราอยากไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่ยึดแล้วจะมีอะไรที่เราเกลียดไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นธรรมดา เมื่อเป็นธรรมดาเราก็พบธรรม ไม่ใช่พบกรรม ไม่ใช่พบกิเลส
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท)
มีอะไรซ่อนอยู่ในกลอนนี้อีก เหมือนเวลาที่เรามองสิ่งใด อย่ามองเห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น อย่ามองเห็นแค่กิเลส แค่ความอยาก แต่มองให้เห็นมากกว่ากิเลสและความอยากนั่นคือธรรม สภาวธรรมซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง แต่มนุษย์นั้นอยู่เพื่อแสวงกิเลสหรืออยู่เพื่อค้นหาธรรม 
ในตัวเรานี้สิ่งใดที่เรียกว่าธรรมอันดีงาม และสิ่งใดที่เรียกว่ากิเลสอันน่ากลัวที่สุด ตอบได้ไหม
(จิตใจ ปัญญา ความคิด)  สิ่งที่ดีที่สุดคือคุณธรรมของความเป็นคนที่เราควรมี และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเรายอมทิ้งธรรมเพื่อความอยาก ใช่ไหม 

(จิตใจทั้งดีและไม่ดี)  ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะมายับยั้งจิตใจได้ดีที่สุด คือมโนธรรมสำนึกและสติ ถ้าทำอะไรไม่มีมโนธรรมสำนึก บาปเราก็ทำได้ แต่ถ้าทำอะไรมีมโนธรรมสำนึก มีสติ คุณธรรมก็ก่อเกิดได้ ฉะนั้น อย่าแค่
ตักบาตรเก่ง อย่าทำบุญเก่ง แต่ถึงเวลากลับปฏิบัติธรรมไม่เก่ง 

(จิตใจเรา ถ้าเราไม่มั่นคงเราก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ตลอด)  ถ้าเราไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม จิตเราก็พร้อมจะหวั่นไหวและเปลี่ยนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด ถูกไหม เชื่อมั่นในความดีตัวเองไหม เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีที่สุดได้ไหม (ได้)  ถ้าได้แล้วทำไมต้องกลัว กลัวแต่เพียงไม่เชื่อมั่น ใช่หรือไม่ ยังยึดติดทำดีต้องหวังผล ยังยึดติดทำดีต้องมีคนชม จำเป็นหรือ เรารู้ตัวเราเป็นอย่างไรก็พอแล้ว

สัจธรรมคือความเป็นจริงอันไม่เที่ยงแท้ ฉะนั้นความไม่เที่ยงแท้ที่เป็นสัจธรรมที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วความเป็นจริงนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วเมื่อสักครู่ ศิษย์ตอบว่า (ดีและไม่ดี ถ้าตัวเรานำไปปฏิบัติไม่ถูกต้อง) เช่น ถ้าเราเห็นว่าคนไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไป หลายใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นคนไม่ดี นั่นมิใช่เพราะว่าเขามีสัจธรรมที่ไม่ดี ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างความเป็นจริง กับนิสัยของคน เพราะมนุษย์มีความเป็นจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า และความเป็นจริงนี้ คือ ความเป็นจริงอันเป็นกลาง แต่สิ่งที่ทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นกลาง เพราะใจที่เรายึดติด เราชอบความมั่นคง แต่คนไม่มั่นคง เราชอบคนซื่อตรง แต่คนมัก
คดโกง แต่การยึดติดความเป็นจริงอันนั้น อาจารย์ถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะเลือกให้ทุกคนเป็นดั่งที่ใจของเรา (ไม่ได้)  แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะเป็นอย่างที่เราคิด (เป็นไปไม่ได้)  ฉะนั้นการยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า นั้นจะทำให้เราพบธรรมและไม่โกรธเกลียดคน ดังนั้นศิษย์ต้องแยกให้ออก ระหว่างนิสัยกับความจริง ระหว่างสิ่งที่ยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ถ้าศิษย์ยึดติดศิษย์จะไม่เห็นธรรม เพราะศิษย์จะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่ศิษย์คิด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองให้เห็นธรรมก็จงวางความคิดแล้วใช้สติ และมองให้เห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเอง ในโลกนี้มีใครเป็นดั่งใจเรา มีใครดีที่สุด ถ้ายอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นเองมันก็แค่นั้น แต่ถ้าไม่ยอมรับแล้วโกรธเกลียด ผูกใจเจ็บ มันก็ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ฉะนั้นเราควรจะยอมรับและวาง ทำตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนคนอื่นไม่ใช่หน้าที่เราที่ต้องแก้ไขเขา จริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ รักษาความซื่อตรง เป็นเกียรติเป็นคุณแก่ชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)

(ความคิดคือสิ่งที่ดีและไม่ดี)  คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดไม่ดีก็ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าพ้นจากความคิดก็คือความเป็นกลาง ศิษย์ก็พ้นทุกข์
ศิษย์เคยได้ยินไหม ธรรมะมีอีกสายหนึ่งเรียกว่า ทางสายกลาง ไม่ชั่วไม่ดีแต่เป็นกลาง และมีแต่สายกลางเท่านั้นที่จะพ้นทุกข์  ถ้าเรายังติดชั่วติดไม่ดีติดแบ่งแยก เราก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมร้ายจริงหรือไม่ (ความศรัทธา)  คือสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเรา (คือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ความศรัทธาที่ดีก็จะนำทางเราได้ แต่ถ้าเราศรัทธาสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้เราตกต่ำลง)  
ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นสิ่งที่ดีแต่บางครั้งเรามักศรัทธาในความคิดผิดของตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัว คิดว่าตัวเองได้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ ดีแค่นี้ นั่นเป็นศรัทธาที่น่ากลัว เป็นความเชื่อที่น่ากลัวใช่หรือไม่  แล้วมนุษย์ในโลกนี้ก็มักจะคิดแบบนี้ ว่าตัวเองทำดีได้แค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งจริงๆ แล้วมันถูกไหม (ไม่ถูก)  เรายังทำได้มากกว่านี้ ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราคือกิเลสตัณหาและความอยาก ความมีตัวตน และความคึกคะนอง ความดื้อดึง ความไม่ฟังใคร ความรักสนุกใช่ไหม (ใช่)  ไม่สนใจพ่อแม่ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ดีในตัวเราคือจิตใต้สำนึกและความเกรงกลัวต่อบาป) ศิษย์ตอบได้ดีนะ ถ้าศิษย์มีมโนธรรมสำนึกและเกรงกลัวต่อบาปกรรม กรรมชั่วทั้งหลายในโลกนี้ศิษย์จะไม่กระทำเลยแต่กลัวอย่างเดียวคือ ดื้อ ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้มีแค่หนึ่งนะไม่ได้มีเก้าชีวิตฉะนั้นอย่าประมาทนะศิษย์
ศิษย์เอย ศิษย์ที่มาฟังธรรมตามคำบอกของอาจารย์ ไม่รู้ว่าเขาให้มาฟังอะไร แต่อาจารย์บอกอย่างหนึ่งให้ศิษย์รู้ก็คือ เขาอยากให้ศิษย์อยู่ในโลกแล้วไม่มีทุกข์ อยู่ในโลกแล้วมีหลักในการดำเนินชีวิต เมื่อไรที่ศิษย์ต้องออกไปเจอความเป็นจริงของชีวิตที่ยากเกินรับ การรู้จักมีธรรมยับยั้งใจจะช่วยทำให้เรามีสติ เมื่อเจอเรื่องพลิกผัน แต่หลายต่อหลายคนที่มาแล้วก็ผ่านไปเพราะไม่เข้าใจ ไม่เห็นถึงจิตใจของเขาที่อยากช่วยศิษย์ เห็นแค่เพียงว่า “ถูกอาจารย์บังคับให้มา ไม่มาเดี๋ยวเกรดหนูไม่ขึ้น ไม่มาเดี๋ยวหนูไม่ได้คะแนนจิตพิสัยดี” อย่ามาเพราะอย่างนั้นเลยนะศิษย์ แต่มาเพราะเราเห็นความตั้งใจดีของผู้ที่ชวนมาเพราะเขาอยากให้เราเข้าใจธรรม และอยู่บนโลกนี้ไม่มีทุกข์ อาจารย์รู้ว่าช่วยคนมันเหนื่อย ช่วยคนมันยาก แต่ถ้าศิษย์ไม่หนักแน่ ศิษย์ไม่มั่นคง ศิษย์จะช่วยใครไม่ได้ ตัวเองก็ยังยืนไม่ไหว แม้แต่จะอ้าปากไปเรียกใครก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมันท้อ มันเหนื่อย มันล้า ช่วยกี่คนๆ ก็เหมือนเดิม ใช่ไหม แต่อาจารย์เข้าใจศิษย์นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “น้ำค้างต้องลม”)
ศิษย์เข้าใจความหมายของพระโอวาทไหม “น้ำค้างต้องลม” ชีวิตคนเหมือนน้ำค้าง น้ำค้างตามปกติเมื่อหล่นร่วงลงดินก็หายไป แต่น้ำค้างนี้เจอลม ไม่มีโอกาสได้สัมผัสดิน มันก็แตกสลายและแห้งเหือดไป ความหมายคือ ชีวิตของคน ถ้าวันหนึ่งต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่คาดฝัน เมื่อถึงวันนั้น ศิษย์จะเหลืออะไร เหลือแต่บาป กรรม กิเลส หรือเหลือธรรม ถามใจตัวเอง ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อสนองกิเลส หรือเกิดมาเพื่อค้นพบธรรม สละชีวิตเพื่อธรรม หรือสละชีวิตเพื่อสนองกิเลสเวรกรรม ถามใจตัวเองว่าเกิดมาแค่นี้ แล้วก็ได้แค่นี้จริงๆ หรือ เรามีค่ามากกว่านี้ไม่ได้หรือ ธรรมะเป็นเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจหรือไม่ (ไม่)  อยู่ที่ศิษย์จะให้โอกาสกับตัวเองหรือไม่ ลองนำสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไปศึกษาดูนะ หากมีโอกาสก็กลับมาบ้างนะ ได้ไหม (ได้)
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้ว อาจารย์มีความหวังสักเล็กน้อยก็ยังดี หวังให้ศิษย์เข้าถึงธรรม เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์เข้าถึงธรรม ศิษย์จะไม่ทุกข์อะไรกับโลกใบนี้ และศิษย์จะมองเห็นความจริงว่า แม้แต่สังขารก็ไม่เที่ยง ยึดอะไรไม่ได้ เอาเป็นหลักพึ่งพิงอะไรก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่จะทำได้ก็คือการประพฤติปฏิบัติดี นำพาให้เราพบความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วชีวิตนี้เราปฏิบัติดีแล้วหรือยัง เรามีศีลมีธรรมไหม เรารู้จักรับผิดชอบหน้าที่ไหม เราเป็นคนซื่อตรงจริงใจหรือไม่ เรามีเมตตาจิตไหม เรารู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัยรู้จักอภัยผู้อื่นหรือเปล่า ก่อนจะเรียกร้องคนอื่น ถามใจของศิษย์เองว่า เราทำได้ดีที่สุดแล้วหรือยัง โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่ยอมรับความจริง และไม่พยายามทำให้ดีที่สุด ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าดีที่สุดแล้ว จะต้องกลัวอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนดีไม่กลัวถูกไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวความยากลำบาก คนดีจริงไม่กลัวคำต่อว่า คนดีจริงต้องมุ่งมั่นปฏิบัติให้ถึงที่สุดแม้จะต้องสูญเสียบ้างก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  เพราะชีวิต ที่จริงแล้วเราไม่เคยได้อะไรมาแล้วเราจะกำลังสูญเสียอะไรไป (ไม่มี)  เราเพียงแค่เกิดมาเพื่อยืมใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนเขาไป เราไม่เคยครอบครองอะไรได้สักอย่างหรอกนะศิษย์เอย ถ้าบอกว่าครอบครองได้ แล้วสังขารเคยฟังศิษย์ไหม (ไม่เคย)  ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วลาภ ยศ เงิน ทอง เคยอยู่กับศิษย์ไหม (ไม่เคย)  แล้วเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อสร้างความดีเพื่อค้นพบทางแห่งความพ้นทุกข์ นำพาชีวิตสู่ความสงบสุข แล้วสุขที่แท้อยู่ที่ไหน คือใจที่เข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลาง ไม่มีโลภ ไม่มีหลง มีแต่ความเป็นอย่างนั้น ใจที่มองเป็นกลาง เพราะทุกสิ่งไม่ต่างกัน ต่างเพียงภายนอกแต่แก่นแท้เหมือนกันคือความไม่เที่ยง ฉะนั้นถ้ามองเห็นความเหมือนกันในความไม่เที่ยง อะไรจะทำให้เราโกรธ อะไรจะทำให้เราอยาก ก็ไม่มี แต่ศิษย์ต้องพิจารณาธรรมเนื่องๆ ถ้าปฏิบัติก็ยังไม่ปฏิบัติ มีธรรมก็ไม่เคยนำมาคิดไตร่ตรอง แล้วจะพบธรรมได้ที่ไหน แค่ฟังอย่างเดียวนั้นไม่ทำให้รู้หรอก ใช่หรือไม่ศิษย์
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ลองศึกษาดู ทางธรรมคือทางสายกลาง อย่าทำเหมือนเดิมเลยศิษย์ เปลี่ยนแปลงตนเอง มุ่งมั่นอย่างจริงจัง อุทิศเสียสละ อย่ารู้แล้วทำตัวเหมือนเดิม น่าเสียดายนะ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ ตั้งใจทำให้ดีนะ ขอให้เพลงที่อาจารย์ให้นี้เป็นเพลงที่ทำให้อาจารย์มองเห็นใจศิษย์ แต่ให้แล้วอาจารย์ก็ช้ำใจ เพราะเห็นศิษย์หลายคนแค่เห็นธรรม แต่ไม่เคยทำจริงๆ รู้แต่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่เคยลงแรงที่ใจ ถ้าศิษย์ลงแรงที่ใจเข้าถึงธรรม มันจะไม่มีใครที่เรียกว่ามาทดสอบใจศิษย์หรอก มันมีแต่ใจศิษย์เองที่ทดสอบตัวเองใช่หรือไม่ ไม่มีใครร้ายหรอก มีแต่ใจศิษย์เองที่ไม่ยอมรับความจริง และไม่มีเรื่องอะไรที่แย่หรอกมีแต่ใจที่ไม่ยอมสู้ต่างหากจริงหรือไม่ ในโลกนี้มีใครแย่ มองไปมองมาเรานี่แหละแย่ที่สุด ยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ถามจริงๆ ว่าใครที่นิสัยไม่ดี ถ้าว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เราดีจริงๆ หรือยัง เราดีไม่จริงเลย แล้วจะไปว่าคนอื่นทำไม การปฏิบัติธรรมคือการลงแรงที่ใจ อย่าปฏิบัติแต่ภายนอก แต่ใจศิษย์ไม่เคยมองเห็นตัวเอง ไม่แก้ไขตัวเอง เห็นธรรมแต่ไม่เคยทำ รู้ธรรม รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังเหมือนเดิม อาจารย์พูดย้ำแล้วย้ำอีก เมื่อไรศิษย์ลองลุกขึ้นมาแล้วมีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม ลดละกิเลสลง เสียสละเพื่อผู้คน ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน ยากนักหรือ
ไม่ยากนะใช่ไหม (ใช่)  แต่การสนองกิเลสตัณหาแล้วทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสารน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรในโลกจริงไหม (จริง)  แล้วทำไมไม่ยั้งใจตัวเอง แล้วทำไมไม่เอาธรรมมายั้งคิด แล้วทำไมไม่มีสติ ไม่มีมโนธรรมสำนึกในใจเลยหรือ ความดีจะชนะความชั่วได้ยังไงในเมื่อคนคนดียังไม่เคยดีจริงใช่ไหม (ใช่)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “น้ำค้างต้องลม”
    วันเวลาล่วงเลยไปไม่ได้คิด                  เรื่องผิดก็คิดว่าไม่เป็นไร
กว่าจะรู้ตัวเริ่มสายเกินไป                        อยากจะให้เป็นเหมือนเดิมไม่มีทาง
ไม่สู้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด                              ชีวิตคนแสนสั้นดุจน้ำค้าง
เพียงต้องลมหล่นไปไม่ถึงพื้นล่าง               จงระวังดั่งอยู่เรือนที่ไหม้ไฟ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา วันที่ 23-25 มีนาคม พ.ศ.2561
หน้า 14 เดิม “นำธรรมพบธรรม นำธรรมพบธรรม จิตหนึ่งเสมอ ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์”
แก้เป็น “ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง”


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา