วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一六年歲次丁酉五月二十三日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐       สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอเมตตา
  อย่าอยู่อย่างอยากจนยึดติด            อย่าอยู่อย่างผิดศีลขาดธรรม
จงอยู่อย่างทำให้ดีไม่สร้างกรรม          เมื่อรู้ธรรมทำแล้ววางรับความจริง                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานจินจง  เเฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                            ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
  ชีวิตคนไม่ใช่รูปก็คือนาม              มีแต่ความจริงให้แด่ตนหนา
จิตใจยึดติดทำให้ขาดปัญญา           สามเวลามาฝึกจิตยังน้อยไป
มีสุขทุกข์เป็นใจไม่เป็นปกติ             ขาดขาดเกินเกินสติอยู่ที่ไหน
ใจหนักหนักบรรทุกจิตมีกิเลสไว้        ธรรมค้ำจุนรับน้ำใจไว้บำเพ็ญ
เวลาท้อไม่ไหวดั่งโลกพังพาบ           ทำใจแล้วไม่หาบความคิดเห็น
น้ำเต็มแก้วล้นที่ใดใจลำเค็ญ            ไม่จำเป็นยังเทใส่ใจจึงทุกข์
คนทำได้ละลดเดินมองทาง             ตาสว่างเห็นทางอย่าหลงพันผูก
ไม่ติดความมั่นยึดวันเวลาสุข            ไม่ผูกถูกผิดติดอัตตาจะโล่ง
สมัยใหม่ซึ่งมานำใจใครโยชน์           ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง
กินเต็มชามความดีกลับลดลง           คนไม่หลงปลงสายใจสายสัมพันธ์
เพิ่มลดได้เป็นทางกลางมืดสว่าง        ปล่อยวางลงวางกระด้างเป็นนักปราชญ์
วางลงก็เป็นสุขไม่อึดอัด    จงสัมผัสธรรมด้วยใจใฝ่ลงแรง
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
วันนี้มาฟังธรรมเพื่อธรรมหรือมาฟังธรรมเพื่อเอาบุญ เอาวาสนา
เอาโชค เอาลาภ  บุญวาสนาโชคลาภอยู่ที่การให้ทาน โชคดีโชคร้ายอยู่ที่กรรมใช่หรือไม่ ฉะนั้นฟังธรรมแล้วจะเอาบุญเอาวาสนาพ้นกรรมมีโชคมีลาภเป็นไปได้ไหม บอกมาตามตรงเราก็ไม่ว่า

มีทั้งเต็มใจแล้วก็มีทั้งโดนขัดใจและจำใจมาฟังใช่หรือไม่ ตั้งใจไหม (ตั้งใจ)  ตั้งใจนะ เพราะว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว ถ้าคนตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน  แต่ถ้าคนไม่ตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปช้า  แล้วใจตอบว่าช้าหรือเร็ว  ถ้าวันนี้ท่านมาฟังธรรมเพื่อธรรมจริงๆ ไม่ได้มาฟังเพื่อเอาโชคเอาลาภ เอาบุญวาสนา เราก็คงคุยกันต่อได้ ถ้าทำแล้วยังหวังยึดถือ หวังวอนบันดาลดลนั่นก็เรียกว่า คนปฏิบัติธรรมแบบลุ่มหลง เพราะหลักการปฏิบัติธรรมคือทำเพื่อละวางการยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  หากถือมั่นอยู่ก็ยังเรียกว่า ทำบุญแต่ก็ยังหลง มีกิเลส หลงบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะถามว่า เรามาฟังธรรมเกือบวันหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยเห็นธรรม ยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมเท่าไหร่ เห็นแต่ความเป็นจีน แบบจีน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านนะ โดยส่วนใหญ่เวลาเรามองธรรม หรือเราอยากเห็นธรรม ธรรมที่ในใจเราคิด คือ  ธรรมที่เรามองแล้วสงบ ธรรมที่ปฏิบัติแล้วเราเย็น  ธรรมที่เราปฏิบัติแล้วเราโปร่ง โล่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามาศึกษาธรรมแล้วยังไปยึด ต้องมีโชค มีลาภ อย่างนี้เรียกว่ามองเห็นธรรมถูกไหม (ไม่ถูก) ไปถึงธรรมไหม (ไม่ถึง)   ฉะนั้นไม่ใช่เรียกว่าธรรม เพราะในใจของทุกคนคิดว่าธรรมคือความ สงบ เย็น โล่ง โปร่ง สบาย ใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วเรายังหวังขอพร หวังโชค หวังลาภ นั่นเป็นไปเพื่อความสงบเย็น หรือความยึดมั่นถือมั่น (ยึดมั่น)
เป็นความปล่อยวางหรือความยึดติด (ยึดติด)  และการคิดแบบนั้นเรียกว่าการปฏิบัติธรรมถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เวลาทุกข์ เวลาท้อ เวลาวุ่น เวลาสับสน จิตใจล้า เสียใจมากๆ อยากเข้าหาธรรม ธรรมในความคิดของทุกคนคือความสงบ ความเย็น ความสบาย ถ้าใจคนทำให้เราวุ่น ไม่สงบ ไม่เย็น ไม่โปร่ง ไม่โล่ง อย่างนั้นทำไมไม่ลองฝึกใจธรรม มีใจเป็นธรรมบ้าง เรามัวแต่หาธรรมข้างนอกแต่ลืมใจเราที่เป็นธรรม เพราะถ้าใจเราเป็นธรรม เราอยู่ที่ไหนก็สงบ เย็น โปร่ง โล่ง เบา แต่ถ้าเราเป็นใจคน อยู่ที่ไหนเราก็วุ่น ก็ยึดติด ก็เรียกร้อง ฉะนั้นตอนนี้อยากหาใจคนหรืออยากหาใจธรรม (ใจธรรม)  อย่างนั้นตอนนี้ท่านเป็นใจคนหรือใจธรรม (ใจธรรม)
มนุษย์ปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรม  หรือปรารถนาที่จะมีธรรมเพื่อนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นให้กับชีวิต  เพราะรู้สึกว่าชีวิตความเป็นคน  หรือใจความเป็นคนนั้นวุ่นวาย  เต็มไปด้วยความทุกข์  เต็มไปด้วยความท้อ  และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  บางทีการหันหน้าเข้าสู่ธรรมอาจจะทำให้เราพบทางสงบ  พบทางร่มเย็นใช่หรือไม่  แต่ว่าถ้าเราหันหน้าเข้าสู่ธรรมแต่ใจเรายังมีความเป็นคนอยู่  เราก็จะไม่มีวันเห็น
ถ้าเราอยากเข้าสู่ธรรม เราต้องฝึกใจเราให้เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะมองว่าการฝึกใจธรรม คือ ฝึกให้ใจมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วคำว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมบางครั้งอาจจะดูเหมือนเราลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากฝึกใจธรรม เราจะฝึกแบบไหนที่จะทำให้เรามองเห็นและฝึกได้ง่าย พระพุทธะกล่าวไว้ว่า อยากฝึกใจธรรมก็ให้เลียนแบบดิน เลียนแบบฟ้า ใจที่สงบ ใจที่สว่าง ใจที่สะอาด ใจที่กว้างใหญ่ เปรียบเทียบได้กับใจธรรมเรียกว่าใจฟ้า จริงไหม (จริง)  กว้างไหม ยิ่งใหญ่ไหม และเปรียบเทียบได้กับใจดิน ใจดินหนักแน่น และรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง ดินรังเกียจเดียดฉันท์ไหม (ไม่)  ดังนั้นการที่เราจะฝึกใจฟ้าใจดินได้เราต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ใจฟ้าใจดินหรือเรียกว่าใจธรรมนั้น แตกต่างจากใจคนตรงที่ใจฟ้าใจดินไม่มีตัวตน แต่ใจคนมีตัวตน ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงใจธรรมต้องวางซึ่งตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เป็นใจธรรมเป็นอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ ถ้ามนุษย์ใจกว้างสุดประมาณจะไม่มีใครที่ทำให้เราต้องอดทน อดกลั้น ถ้ามนุษย์ใจหนักแน่นในความดีงามอย่างถึงที่สุดจะไม่มีใครที่ร้ายจนย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้ เราเทียบง่ายๆ ใจธรรมเหมือนใจฟ้ากับใจดิน ฉะนั้นคนที่มีใจฟ้าแปลว่ากว้างสุดประมาณ เมื่อกว้างสุดประมาณจะมีใครไหมที่ทำให้เราต้องพยายามอดทนอดกลั้น ฉะนั้นใจฟ้าจะไม่มีคำว่าตัวตน
อะไรๆ ก็ว่าง ก็โล่ง ก็โปร่ง ก็สงบ ก็เย็นใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรเราฝึกใจธรรมแต่เรายังบอกคนนี้ยังใช้ไม่ได้ คนนี้ยังไม่ดี แปลว่าใจเรายังไม่กว้างเท่าฟ้า ฉะนั้นถ้าเราฝึกใจธรรมแบบดิน คือ หนักแน่นในความถูกต้องอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และรู้จักผันแปรสิ่งที่เรียกว่าเลวร้าย ให้ก่อเกิดเป็นคุณประโยชน์ นำมาซึ่งความสร้างสรรค์และดีงาม ถ้าเรามีใจดินที่เรียกว่าเป็นใจธรรม จะมีใครย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วหรือไม่ จะมีใครที่ย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่อยากดีอีกต่อไปหรือไม่ ฉะนั้นคนที่ฝึกใจธรรมและเลียนแบบใจฟ้าใจดินจะเป็นคนที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความอดทน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า คนทำดีแล้วต้องพยายามทำให้ดี ถ้าฝึกใจดินจะไม่ท้อจะไม่เหนื่อย จะไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าฝึกใจธรรมเลียนแบบใจฟ้าดิน ก็ไม่มีใครทำให้เราต้องรู้สึกอดทนอดกลั้นหรือทำให้เราไม่อยากดีอีกต่อไป คนใจฟ้าแปลว่ากว้างจนถึงที่สุด แต่ความเป็นใจคนมีอัตตา มีรูปแบบ มีการติดยึด ฉะนั้น พอเจอเรื่องอะไรมากระทบยอมได้ไหม เมื่อยอมไม่ได้ก็เลยต้องอดทนอดกลั้น เมื่อยังต้องอดทนอดกลั้นแปลว่าไม่ว่าง ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นคนฝึกใจฟ้าเมื่อว่างแล้วก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าเย็นแล้ว ถ้าสงบแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เกินเลยจนทำให้เราต้องโมโหและรับไม่ได้ ฉะนั้นตอนนี้เราเคยมีใจฟ้าบ้างไหม  หรือที่ฝึกมายังคงเป็นใจคนอยู่จริงไหม ยังไปไม่ถึงใจธรรมเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่เข้าถึงใจธรรม ถามท่านง่ายๆ ใจธรรมคือใจที่สงบ เย็น โล่ง บริสุทธิ์ แต่ถ้าฝึกใจธรรมแล้วยังต้องอดทนอดกลั้น แปลว่ายังไม่เย็นนะ แปลว่ายังไม่มีธรรม จริงหรือไม่ (จริง) 
พูดถึงตรงนี้แล้ว  แล้วใจแห่งธรรมเป็นอย่างไร ใจแห่งคนเป็นอย่างไร แตกต่างกันตรงไหน เคยมองบ้างไหม ไม่เคยเลยใช่หรือเปล่า ถ้ามีใจธรรมเราจะสงบเย็น โล่งโปร่งเบา  แต่ถ้ามีใจแห่งความเป็นคน เราจะมีแต่ความยึดติด สุขทุกข์และรำคาญใจ แล้วใจธรรมต่างจากใจคนอย่างไร  เคยสังเกตไหม ทุกวันนี้มัวแต่หาเงินใช่ไหม พอหาเงินจนทุกข์แล้วค่อยมาหาธรรมใช่ไหม แล้วตอนนั้นมีแรงจะหาธรรมไหวไหม หาเงินจนเงินทำให้เจ็บช้ำ ความรักทำให้เจ็บช้ำ มีทุกข์จนเจ็บช้ำแล้วตอนนั้นมาหาธรรมจะหาทันไหม เยียวยาใจทันไหม ใจธรรมต่างจากใจคนตรงไหน
ถ้าเอาใจฟ้าและใจดินเป็นใจธรรม ฟ้าและดินหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง และประกอบกิจอย่างไม่ทวงบุญคุณ ฟ้าดินให้สรรพสิ่งมีชีวิต ให้เราเกิด ให้เรามีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ แต่ไม่เคยทวงสิทธิ์เราคืนถูกไหม  เจือจุนเกื้อหนุนแต่ไม่บังคับบีบคั้นใจเรา สร้างสรรค์ให้สรรพสิ่งเกิดและดำรงอยู่โดยไม่ถือครอบครอง และเมื่อทำถึงที่สุด ทำแล้วก็แล้วไป ไม่ยึดติดหวังผล นี่แหละเรียกว่าหัวใจแห่งธรรม  หัวใจแห่งธรรมคือ ให้สรรพสิ่งกำเนิดขึ้นมาโดยไม่ถือสิทธิ์ ประกอบกิจก็ไม่ทวงบุญคุณ เมื่อเจือจุลเกื้อหนุนสรรพสิ่งแล้วก็ไม่บีบคั้น และสร้างสรรค์สรรพสิ่งให้โดยที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นครอบครอง พอทำถึงที่สุดแล้วก็ไม่จดจำ นี่คือใจธรรม แต่ใจแห่งความเป็นคน ต่างกันไหม (ต่าง)  เวลาทำอะไรหวังผล ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทำสิ่งหนึ่งหวังผล แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นทำให้เราไม่ว่าง เมื่อไม่ว่าง ก็ไม่สงบ ก็ไม่อาจยิ่งใหญ่ และกว้างใหญ่ได้ จริงไหม (จริง)  เวลาเราทำดีแล้วหวังผลตอบแทน การหวังผลตอบแทนทำให้สิ่งที่เราทำนั้นกลายเป็นไม่ว่าง แต่กลายเป็นความมีและยึดติดและไม่ยิ่งใหญ่ ใจคนมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชอบทำอะไรแล้วต้องให้เป็นดั่งใจ เมื่อต้องหวังให้เป็นดั่งใจแปลว่า ในใจเรามันไม่สงบ ในใจเรามีความมั่นหมาย ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่สามารถเข้าถึงใจธรรมได้ เพราะว่าทุกครั้งที่ทำ ยังยึดมั่น ยังหวังผล ใจจึงไม่สงบ ฉะนั้นถ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังวอนผลบันดาลดล ใจจึงไม่ว่าง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังให้เป็นดั่งใจตนเอง ใจนั้นจึงไม่สงบ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจ้าคิดเจ้าแค้น จดจำไม่ลืมเลือน ใจจึงไม่มีวันเย็นได้เลย ฉะนั้นใจคน ต่างจากใจฟ้าก็ตรงนี้ เพราะใจฟ้าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้สรรพสิ่ง ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยอ้างสิทธิ์ ไม่เคยจดจำ ไม่เคยยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ใจฟ้าหรือใจธรรม จึงสงบเย็น ยิ่งใหญ่และว่าง แต่ใจคนไม่ใช่แบบนั้น ยึดมั่น ตามใจ จดจำ เคียดแค้น รักไม่ลืม ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่มีวันสงบ เย็นและว่างได้เลย
เวลาที่เราใช้ชีวิต ชีวิตวุ่นมากๆ หาเงินมากๆ พอเวลาว่างเราจึงอยากไปนั่งดูธรรมชาติ เหนื่อยมากๆ ทำไมอยากนั่งนิ่งๆ เฉยๆ และปล่อยใจมองฟ้ามองดิน ฟังเสียงนก ฟังเสียงลม
เพราะเมื่อมีความอยากมากถึงที่สุด เราก็อยากกลับมาคืนสู่ใจที่เย็นบ้าง สงบบ้าง วางบ้าง จริงหรือไม่ (จริง)  หามาแทบแย่แต่ถึงเวลากลับไม่สงบเลยคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  หามาแทบตายแต่ไม่มีความเย็นใจเลย ฉะนั้นทำไมใจเราจึงบอกว่าอยากสงบบ้าง อยากเย็นบ้าง อยากโล่งๆ บ้าง เพราะจริงๆ แล้วเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรม แต่ความเป็นใจคนมาบดบังใจธรรม แต่ธรรมจะคอยย้ำเตือนท่านเสมอว่า เมื่อไรจะว่างสักที เมื่อไรจะเย็นได้บ้าง เมื่อไรฉันจะอิสระจริงๆ สักที ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตอยากอิสระ แต่ทำไมหาคู่ ชีวิตอยากสงบเย็น แต่ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้น ชีวิตอยากเป็นสุข แต่ทำไมชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะใจคนบังใจธรรมอยู่ ถ้าวางใจคนได้ท่านจะกลับพบใจธรรมที่อยู่ในตัวเราว่าจริงๆ มันสงบ มันเย็น มันว่างอยู่ แต่เพราะความยึดติดในความเป็นใจคน เราเลยไม่เคยว่างสักทีใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เข้าออกมาทางจิตใจแล้วทำให้จิตใจติดนิ่งอยู่กับอารมณ์ นั่นเรียกว่า กิเลส นั่นเรียกว่าใจคน แต่สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เรารู้เท่าทันความคิดแล้วไม่ติดนิ่งในอารมณ์ ในความคิด ในกิเลส ทำให้เราโปร่ง โล่ง เบา นั่นคือใจธรรม หรือเรียกว่าโพธิจิต ทำให้เราวางจากความคิด วางจากกิเลส ว่างจากอารมณ์ ปลดเปลื้องเราจากความยึดมั่นถือมั่น ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติด้วยเมตตา ด้วยมโนธรรมสำนึก ด้วยจริยะอันดีงามจึงเรียกว่าคุณธรรมแห่งความเป็นโพธิ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออกระหว่างธรรมกับคุณธรรม พอเข้าใจไหม
ถึงท่านจะพยายามปฏิบัติคุณธรรม แต่ลืมเลือนใจธรรมก็ยังถือว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ดังที่มนุษย์คิดว่า แม้ฉันยังมีใจคนอยู่ ฉันยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันก็ไปปฏิบัติดีก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเมตตา ไปทำบุญ ไปให้ทาน ฉันมีจิตสำนึกดีงามนะ ถ้าทำแล้วยังมีจิตแห่งความเป็นคน ยึดมั่นถือมั่นติดแน่นในอารมณ์และตัวตน ผลพวงก็ยังเป็นกิเลสไม่ใช่ธรรมใช่ไหม ฉะนั้นถึงทำดีก็ยังต้องเหนื่อยและยังต้องอดทน แต่ถ้าในขณะใจธรรมเราก็ถึง ประกอบกิจก็มีคุณธรรม อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้ว ดังที่คำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ขอเพียงมนุษย์มีศีล มีธรรม ปฏิบัติทุกขณะด้วยสติปัญญา มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน และมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงแห่งโลกอันเกิดดับที่เรียกว่าอมตะธรรม คนนั้นแม้มีชีวิตอยู่แค่วันเดียวก็ประเสริฐกว่าคนที่ผิดศีล ขาดธรรม และมองไม่เห็นธรรมสักหนึ่งขณะเลย
แล้วทำไมเกิดเป็นคนต้องมีธรรม คนที่มีมโนธรรมสำนึกดี รู้ผิดชอบชั่วดี กับคนๆ หนึ่งไม่มีมโนธรรมสำนึก ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ท่านเลือกคบคนไหน คนที่รู้จักยับยั้งควบคุมอารมณ์ตน กับคนที่แม้จะเป็นคนดีแต่ไม่เคยควบคุมอารมณ์ตน ท่านเลือกคนไหน (คนที่ควบคุมอารมณ์ตน) ฉันใดก็ฉันนั้นทำไมคนเราต้องมีธรรม เพราะคนที่มีธรรมล้วนเป็นที่ปรารถนาของทุกคน และเป็นที่ปรารถนาของใจเรา แต่ถึงเวลาเราทำไหม เราเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตนเองลืมควบคุมใจตนเอง เอาแต่ว่าคนอื่นไม่ดี แต่ตนเองควบคุมความไม่ดีของตนเองได้หรือยัง ฉะนั้นถึงดีแค่ไหนแต่ยังควบคุมใจแห่งความชั่วร้ายไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีได้
มือถือสากปากถือศีลจงอย่าได้เป็น เป็นคนดีแต่ยังยับยั้งชั่วไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริง เป็นคนดีแต่ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดีจริงหรือ ผู้ที่สามารถควบคุมความไม่ดีให้ได้ ถึงจะเรียกว่าคนดีจริง
ใจธรรมเป็นอย่างไร การจะฝึกใจธรรมแล้วทำให้เราเป็นใจธรรมได้ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเราอยากฝึกใจธรรมก็ให้มองใจธรรมมากๆ อย่ามองคนแบบคน เพราะถ้ามองคนแบบคน จะมีแต่ความเป็นคนแล้วคน ใช่ไหม (ใช่)  จงมองคนแบบธรรมแล้วเราจะพบธรรม
คนบางคนเหมือนผลไม้หรือ คนบางคนเหมือนดอกไม้ไหม
(ไม่เหมือน)  ท่านกำลังคิดว่า “คนไม่เหมือนดอกไม้ ดอกไม้ก็ดอกไม้ คนก็คนสิ” ถ้าเช่นนี้ก็คือมองเห็นคนแต่มองไม่เห็นธรรมนะ คนก็เหมือนกับผลไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ ทำไมจึงบอกอย่างนั้น ถ้าบอกว่ามีคนๆ หนึ่ง เหมือนต้นกล้วย แปลว่าคนคนนั้นมีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายนอกจรดภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนบางคนเหมือนต้นหญ้า ดูเหมือนไร้ราคา แต่ก็มีคุณค่าที่ปกพื้นดินไม่ให้ดินถูกกัดเซาะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากฝึกใจธรรม จงมองให้เห็นความเป็นธรรมในผู้คน เหมือนกับดอกไม้มีหลากแบบ บางแบบสวยแต่กลิ่นไม่หอม บางแบบทั้งหอมทั้งสวย แต่บางแบบแค่หอมแต่ไม่สวย แต่บางแบบไม่หอมแล้วก็ไม่สวย แต่ก็ยังเป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้เป็นฉันใดคนก็ฉันนั้น ดูสวยแต่ไม่หอม  ดูหอมแต่ไม่สวย ดูไม่หอมแล้วก็ไม่สวย  แต่ก็เป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกสวย ข้างในอร่อย แต่ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกขรุขระแต่ข้างในกลับยิ่งอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนมนุษย์ฝ่ายชาย นิสัยไม่ค่อยดี เวลาดีก็ดีใจหายเลย เวลาเอาเรื่องก็ไม่ยอมใครเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเทียบผู้ชายกับผลไม้ก็คงเหมือนทุเรียนก็แล้วกัน จับไม่ดีก็เจ็บมือ ถ้าจับให้ดีก็มีค่าและหอมหวาน  แต่กว่าจะถึงความหอมหวาน ต้องจับให้เป็นไม่อย่างนั้นเจ็บมือใช่หรือไม่  แล้วท่านเป็นทุเรียนไหม หรือเป็นคล้ายกับเงาะ ดูข้างนอกไม่สวยเลยแต่ใจดีที่หนึ่ง หรือเป็นเหมือนมะม่วงข้างนอกก็สวยข้างในก็อร่อย  เรามองทุกสิ่งทุกอย่าง มองคนอย่ามองอย่างคนแต่มองอย่างธรรม แล้วเราจะได้เห็นธรรมในผู้คน จำไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดมาแล้วไร้ค่าไร้ราคา ขอเพียงไม่ดูเบาตนเอง คนทุกคนล้วนมีค่ามีความหมาย และสรรพสิ่งไม่ว่าจะร้ายอย่างไร แท้ที่จริงแล้วก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเข้าใจสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร (ธรรม)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราก็จะรู้ว่าในความเป็นจริงแห่งธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าไฟและน้ำ

ฉะนั้นถ้ารู้จักช่วงใช้ให้เป็น ไฟก็มีประโยชน์ น้ำก็มีประโยชน์ ในโลกนี้บางครั้งคนอยู่ได้สูง แต่บางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ต่ำ  และบางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ที่ธรรมดาสามัญ แปลว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้ สูงขนาดไหน จะต่ำขนาดไหน หรือจะธรรมดาขนาดไหน ล้วนก็คือธรรม เป็นไปได้ไหมมีสูงไม่มีต่ำ เป็นไปได้ไหมมีร้อนไม่มีเย็น ฉะนั้นถ้าควบคุมให้ดี เราก็เรียกว่าส่วนหนึ่งแห่งธรรมหรือเรียกว่าความสมดุล แต่หากผู้ชายมีความแข็งแกร่งจนถึงที่สุดและไม่มีความอ่อนยืดหยุ่น ก็จะกลายเป็นกระด้างเกินไป หรือผู้หญิงถ้าอ่อนนุ่มจนหาความแข็งไม่มี ก็จะกลายเป็นไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ทำอะไรก็ยอมแพ้พังพาบได้ง่ายๆ ฉะนั้นธรรมชาติจึงสอนไว้ว่า สิ่งที่ร้อน สิ่งที่เย็น สิ่งที่ร้าย สิ่งที่ดี ถ้ารู้จักใช้ให้สมดุลก็เรียกว่าธรรม  ถ้าใช้ไม่เป็นก็กลายเป็นกิเลสและก่อเกิดเป็นความทุกข์ ฉะนั้นการจะเข้าให้ถึงธรรมจึงต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติ อย่าเอาแต่ฟัง ปฏิบัติเช่นไรล่ะ ก็ปฏิบัติง่ายๆ ด้วยการฝึกจิตให้คุ้นชินกับความเป็นจริง
ฝึกจิตให้เข้าใจหลักแห่งธรรม หรือฝึกจิตให้เข้าใจความเป็นธรรมดาอันเรียกว่าปกติแห่งธรรม คนมีร้อนมีเย็น เรื่องราวมีสูงมีต่ำ มีดีมีร้าย ล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรม ถ้าเมื่อไรเราฝึกจิตจนคุ้นชินความเป็นจริงแห่งธรรม และเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมด้วยใจที่เปิดกว้างยอมรับและรักษาใจแห่งความเป็นกลางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรทุกข์จนเราย่ำแย่หรือสุขจนหลงเลิศลอย เราบอกท่านจนจบแล้วนะ วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมคือรักษาใจเป็นกลาง ถ้าเรายังยึดติดนั้นไม่ใช่ใจธรรมแต่เป็นใจคน ใจธรรมก็คืออะไรๆ ก็คือธรรม
สิ่งที่เรามาพูดในวันนี้ล้วนเป็นหลักแห่งธรรมในการดำเนินชีวิตเพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนต้องการคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็อาจไปไม่ถึงธรรม แต่ไปถึงคำว่ากรรม อยากรู้ไหมว่าทำไมไปไม่ถึงธรรมแต่กลายเป็นไปแล้วเป็นเวรเป็นกรรม ก็เพราะยึดติดในตัวตน ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยใจว่าง เป็นกลาง ไม่ยึดติด ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล ทุกสิ่งทุกอย่างคือความสงบเย็นและปล่อยวาง นั่นก็คือกลับสู่ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ดีก็ยึด ร้ายก็ยึด สิ่งที่ยึดจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ธรรมคือความเป็นกลาง กลางที่เรียกว่า อกรรม คือ พ้นแล้วซึ่งเวรกรรม แล้วทำไมจึงอยากยึดติดความเป็นคนเพื่อหมุนเวียนวัฏฏะแห่งกรรม ทำไมไม่เข้าหาธรรมเพื่อกลับคืนสู่ความสงบเย็น
ฉะนั้นหัวใจแห่งธรรมคือบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง เจือจุนสรรพสิ่งโดยไม่ทวงบุญคุณ สร้างสรรค์สรรพสิ่งโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตน ให้แล้วให้เลยไม่จดจำ ถ้าทำได้ถึงหลักแห่งใจธรรมท่านก็กลับคืนสู่ความสงบเย็น ไม่ต้องพรุ่งนี้แต่เดี๋ยวนี้และตอนนี้ทันที

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เรื่องธรรมะคิดได้ไม่ค่อยคิด             เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ไปกันใหญ่
เรื่องธรรมดาทำมาน้อยอกน้อยใจ        เรื่องของใครเอามาเป็นสาระสำคัญ
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า
        สะสมบุญมากกว่ากรรมแล้วหรือไม่ มีจิตใจที่ดีมากพอหรือยัง คนที่บำเพ็ญแล้วยังมิแคล้วต้องฟัง ที่กำลังก้าวต่อไปคืออะไร
        คุณธรรมทำให้คนทรงคุณค่า คำปรึกษาต้องเจือหลักธรรมปลอบใจ
คนที่ธรรมดาเพราะไม่รู้ว่าทำได้ บำเพ็ญละไมคืนสุขให้ชีวิตตน

        * สมาธิขอให้พร้อมยิ่งกว่าพร้อม บางเรื่องยอมถึงยอมคือทุกข์ไม่
หมองหม่น รับเรื่องราวด้วยใจว่าง ปล่อยวางอย่าไปกังวล จะมีจะจนยังต้องบำเพ็ญเข้าไว้

             พึ่งพาศีลเป็นเครื่องช่วยถอนกิเลส หว่านเมล็ดตื่นรู้ให้ถึงข้างใน ผลบุญยังไม่มา เพียรคือความหวังใหม่ น้ำหลายสายหลั่งไปหลอมรวมร่วมกัน  (ซ้ำ *)
                                             ชื่อเพลง : รักษาศีลบำเพ็ญบุญ
                                              ทำนองเพลง : ขอเดินด้วยคน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อยากฟังเขาต่อไหม ถ้าบอกอยากฟังเดี๋ยวอาจารย์กลับก็ได้นะ เขาพูดดีนะ ทุกคนที่มาพูดในชั้นล้วนพูดดีใช่หรือไม่ แต่เราเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเราฟังไม่ค่อยดี เขาให้มานั่งฟังธรรมหรือนั่งหลับ (ฟังธรรม)  ธรรมะสอนให้เรารู้จักลดละอัตตาตัวตน ปล่อยวางความโลภโกรธหลงใช่หรือไม่ ลดความยึดมั่นถือมั่น ถ้าฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ แปลว่าไม่ได้มาฟังธรรมแต่มาทำอะไรตามใจเฉยๆ แปลว่าที่ฟังมาไม่เข้าหูเลย
 ถ้าสมมติว่าศิษย์มีลูก  แล้วลูกของศิษย์เกาะศิษย์แจ ไม่คิดที่จะพึ่งตัวเอง คิดจะพึ่งแต่พ่อแม่ อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเลี้ยงลูก ถูกหรือผิด (ผิด)  ถ้าอาจารย์มีลูกศิษย์  แล้วลูกศิษย์ติดอาจารย์แจไม่คิดจะพึ่งตนเอง อะไรก็รอแต่อาจารย์เตือน รอแต่อาจารย์บอก คิดเองไม่ได้ อย่างนี้ถูกหรือผิด (ผิด)  พอรู้ว่าผิดไม่กล้าเจอหน้าอาจารย์ หลบไปอยู่ข้างล่างไม่กล้าขึ้นมาข้างบนใช่หรือไม่คนที่อยู่ข้างล่าง 
 เรื่องธรรมะคิดได้กลับไม่ค่อยคิด เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ยิ่งแต่คิดไปกันใหญ่ เราเป็นอย่างนี้ไหม คิดว่าทำไมเขาไม่เป็นแบบนั้น ทำไมเขาไม่เป็นแบบนี้  ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่  ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน  ยิ่งคิดยิ่งยอมรับความจริงไม่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนิดๆ หน่อยๆ แต่เราก็เอามาเป็นเรื่องเอามาเป็นสาระสำคัญ แล้วก็น้อยใจคนนั้นน้อยใจคนนี้ 
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เพื่อเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ ศิษย์เคยสังเกตไหม ฟังธรรมมาก็เยอะ รู้ธรรมมาก็มาก แต่น่าแปลกใจ ทำไมกิเลสอารมณ์ยังมีเหมือนเดิม จริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเป็นแบบนี้นะ ฟังมาก็เยอะ รู้มาก็มาก แต่ถึงเวลากิเลสอารมณ์น่าจะน้อยลงแต่กลับเหมือนเดิม หรือบางครั้งยังมากกว่าเดิมอีกใช่ไหม อาจารย์แค่ลองคุยให้ฟัง ว่ามันตรงกับใจใคร แต่อาจารย์ว่าคงตรงกับใจทุกคน จริงไหม แปลว่าเราไม่เคยเอาสิ่งที่รู้มาหักห้ามกิเลส ถากถางกิเลสออกจากใจตัวเองได้เลย ใช่หรือไม่ แปลว่าเราแค่รู้ใช่หรือไม่ แต่ยังไม่ลงมือทำใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนบางคนดีหน่อย ตรงที่พอเวลามีเรื่องอะไรที่เป็นธรรมะ ชอบฟัง ใช่หรือไม่ ชอบฟังไหม (ชอบ)  เพราะการฟังธรรมก็เป็นบุญชนิดหนึ่ง แต่ถ้าฟังแล้วไม่นำเอามาปฏิบัติ ธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถทำให้จิตใจนั้นสงบเย็น และธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถที่จะป้องกันกิเลสเข้ามาครอบงำใจได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นอย่าเอาแต่ฟัง แต่รู้จักเอาธรรมไปปฏิบัติ เพื่อทำให้จิตนั้นสงบเย็นและป้องกันกิเลสไม่ให้มาคุกคามใจ ใช่หรือเปล่า 
 ศิษย์เอยถ้าเราอยากอยู่ในโลกให้มีความสุข เราอย่ามัวแต่ห่วงตนเอง เพราะถ้าศิษย์คิดว่า “เรื่องของคนอื่น” ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าเมื่อไรคนอื่นทุกข์ เขาก็จะพลอยทำให้คนรอบข้างทุกข์ด้วย จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ดีก็พอแล้ว คนอื่นช่างหัวมัน แต่ศิษย์อย่าลืมนะ คนอื่นที่ทุกข์และเราไม่สนใจเขานั้นเขาอาจจะกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะดี ทำไมไม่ทำให้ตัวเองดี และทำให้คนอื่นดีด้วยล่ะ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยากจะสุข ทำไมไม่ทำให้ตัวเองสุขแล้วคนอื่นก็สุขด้วย ทำไมห่วงแต่สุขตัวเองแล้วทอดทิ้งทุกข์ของคนอื่น ปัญหาที่เกิดคือทุกข์ของคนอื่นที่เราทอดทิ้งนี่แหละ จะวกกลับมาทำร้ายเรา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกแล้วตัวใครตัวมัน 
ขึ้นชื่อว่าคนยังเกี่ยวสัมพันธ์กัน ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “คนคดหนึ่งคนสามารถทำร้อยคนที่ตรง ให้คดได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่ดีหนึ่งคนทำร้ายคนดีให้หมดเรี่ยวแรงหมดกำลังใจได้ ฉะนั้นเราดีอย่างเดียวแล้วไม่ต้องสนใจคนไม่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น ให้คนอื่นสุขแล้วตัวเองทุกข์ ให้คนอื่นสบายแล้วตัวเองลำบาก เชื่อไหมว่าคนเช่นนี้ที่จะแปรเปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นความสว่าง และความสว่างเป็นความสว่างยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า อย่าเกิดเป็นคนรักแต่สบาย อย่าเกิดเป็นคนเอาแต่สุขฝ่ายเดียว ทำไมไม่ลองทุกข์เพื่อผู้อื่นบ้าง ทำไมไม่ลองลำบากเพื่อผู้อื่นบ้าง เผื่อว่าความมืดในใจเขาจะกลายเป็นความสว่าง และเผื่อว่าความมืดที่เขามองเห็นจะไม่ใช่ความมืด แต่กลับจะรู้สึกว่าความลำบากของเขาช่างเป็นแสงสว่างที่นำใจเรา ให้รู้สึกว่าฉันจะต้องเป็นอย่างเขาให้ได้ ศิษย์เคยเจอคนประเภทนี้ไหม แล้วศิษย์ไม่คิดจะเป็นแบบนี้บ้างหรือ ทำไมเอาแต่ตัวเองรอด ตัวเองดี ตัวเองสบาย ตัวเองสุข แล้วคนอื่นไม่สนใจ ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงน่าจะเป็นคนที่ลำบากได้ ทุกข์ได้ แต่ทำให้คนอื่นยิ้มได้สุขได้ อย่างนั้นไม่ประเสริฐกว่าหรือวันนี้ที่มาฟังธรรมเราคิดว่าเพื่อจะนำธรรมะนี้ไปใช้ในชีวิต แต่เราต้องมีความคิดที่ตรงกันก่อน หนึ่งอาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังพูดหลักธรรมที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ธรรมที่เป็นกลาง ถ้าเราจะนำธรรมไปใช้ในชีวิต ตอนนี้ศิษย์ทำเพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อใจ,เพื่อกาย)  กายมากกว่าหรือใจมากกว่า (กายมากกว่า)  ที่แต่งตัวทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ ที่ทำอะไรทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อกาย)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ทำเพื่อกายและเพื่อใจ ฉะนั้นถ้ามีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ใจต้องรับได้ ใจต้องรู้ทัน ถ้าเราหาเงินมาแล้วเงินนั้นหายไป ถ้ามีแฟนแล้วแฟนไม่รัก หาเงินแล้วคิดว่าจะรวยขึ้นแต่กลับเป็นหนี้ กายก็ต้องรับได้ ใจก็ต้องรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ศิษย์ทำทุกอย่างล้วนเพื่อกายแต่ลืมบำรุงเลี้ยงดูแลใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อให้กายรอด กายต้องมีกิน กายต้องสวย กายต้องดูดีก่อน แต่เราลืมดูแลใจ ถามคนที่อายุมากนะว่า ภรรยามีไหม เงินมีไหม เงินก็ยังพอมี ลูกก็มี รถก็มี ใช่ไหม (ใช่)  สมัยเด็กๆ ศิษย์บอกว่า ถ้าศิษย์มีสิ่งเหล่านี้แล้วจะทำให้เรามีความสุขกายและสุขใจ ถูกไหม ตอนนี้มีครบทุกอย่าง ทำไมกายยังรู้สึกโหวงๆ ใจยังรู้สึกเหวงๆ รถก็มี บ้านก็มี เงินก็มี ลูกก็มี แต่ทำไมใจรู้สึกเหมือนไม่มี (รถอยู่กับเราทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์)  ไม่ใช่แค่ทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์ บางทีโฉนดที่ดินก็อยู่กับธนาคาร ใช่หรือเปล่า ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อหวังให้กายมีสุข เพื่อต่อไปในภายภาคหน้าใจจะมีสุข แต่ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นสิ่งที่ศิษย์หวังว่าจะมีสุข กลับกลายไม่มีสุขแต่กลายเป็นเหมือนพันธะผูกพันที่ทำให้เราต้องวิ่งวนไม่จบสิ้น จริงไหม นั่นแปลว่า เรามัวบำรุงกายจนลืมยั้งใจตัวเองไหม (ใช่)  ที่เป็นหนี้ทุกวันนี้เพราะว่าเงินมีน้อยเพียงแค่นี้ แต่ใจอยากได้มากกว่านี้ ฉะนั้นศิษย์มัวบำรุงกายจนลืมดูแลใจ ที่โลภอยากได้มากกว่าที่เราหาหรือไม่ จริงไหม ฉะนั้นทุกวันนี้เรากำลังบำรุงบำเรอกาย แต่ลืมกลับมาดูแลบำรุงใจตัวเอง ใช่ไหม ฉะนั้นคนที่บำรุงใจตัวเองเป็น การดูแลใจตัวเองเป็น คือคนที่รู้จักมีแล้วห้ามใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าศิษย์มีเงินไหม (มี)  แต่ใจที่บอกว่ามีเงินนั้นกลับไม่เคยมี ฉะนั้นหามาได้สิบล้าน ร้อยล้าน ใจก็ยังบอกว่า (ไม่มี)  จริงไหมเล่า ฉะนั้นเรามัวแต่ดูแลกายจนลืมดูแลใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงสอนให้เรารู้จักฝึกจิตใจเพื่อคุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิต ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมคือการฝึกจิตใจให้คุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิตและเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรมหรือความเป็นจริงแห่งธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ว่าถ้าเราปล่อยตัวเองไปตามความอยาก ยิ่งถมยิ่งไม่เต็ม แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้จักหยุดอยากได้ เงินที่มีเพียงแค่นี้ จะกลายเป็นเยอะขึ้นมาทันที จริงหรือไม่ สมมติมีเงินสิบบาท ศิษย์ว่าน้อยไหม (น้อย)  แต่ตอนเด็กเจอสิบบาทเหมือนเจออะไร แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พัน ใช่ไหม ก็ตอนเด็กเราไม่มีความ (อยาก)  ใช่หรือไม่ แต่เมื่อโตขึ้นทำไมสิบบาทที่เคยมีความสุขตอนเด็กตอนนี้กลับไม่สุขแล้วล่ะ อะไรเปลี่ยนไป (ใจ)  ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นอย่ามัวแต่บำรุงกายจนลืมดูแลรักษาใจ ไม่เช่นนั้นมีเงิน มีบ้าน มีลูก มีสามี มีภรรยา แต่ใจเหงา ใจวุ่น มีทุกอย่างที่ควรมี แต่พอมีแล้วทำไมถึงไม่มีความสุข เพราะเราลืมดูใจตนเองหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเอาอะไรมาช่วยบำรุงดูแลใจเรา ตอบอาจารย์ได้ไหม
ศิษย์เอ๋ยถ้าทางโลกยังทำได้ไม่ดี ศิษย์จะหวังได้ดีทางธรรมเป็นไปได้ยาก คนเราต้องปฏิบัติทางโลกให้ถูก ดี พร้อมสมบูรณ์ การจะไปปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทางโลกศิษย์ยังเอาแต่หนีแล้วคิดจะไปปฏิบัติธรรมนั่นไม่ใช่การแก้ที่ถูกวิธี
( มีแต่ใจไม่มีกายก็ไม่มีความสุข มีกายแต่ไม่มีหัวใจก็อยู่ไม่ได้)
อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์สนใจแต่ใจแล้วไม่สนใจกาย ไม่ใช่ใช้ความดีมาบำรุงเลี้ยงจิตใจ พยายามทำดีแต่ก็ยังลดละโลภไม่ได้ ยังหยุดอยากไม่ได้ ฉะนั้นความดีช่วยได้หรือไม่ (ใช้ธรรมะบำรุงเลี้ยงใจ) ธรรมะข้อไหนที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจ ที่จะสอนให้เรารู้จักหักห้ามใจไม่ปล่อยให้เราโลภโกรธหลงจนกลายเป็นทุกข์ (การปล่อยวางไม่ยึดติดกับกิเลสของเรา) แต่ศิษย์ก็ยังทำไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะบำรุงเลี้ยงหัวใจของเราคือ (รู้จักพอเพียง) รู้จักพอเพียงใช่ไหม ศิษย์ก็ตอบได้ดีนะ เกิดเป็นคนต้องหาเลี้ยง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ห้ามศิษย์หาเลี้ยงแต่หาเลี้ยงอย่างไรที่จะไม่ทำร้ายใจตนเอง เพราะมนุษย์เวลาหาเลี้ยงแล้วเหมือนคนที่ก้าวแล้ว เดินแล้ว หยุดไม่เป็น แล้วถอยไม่ได้ ถ้าศิษย์อยากใช้ธรรมบำรุงเลี้ยงใจ ธรรมก็จะสอนเรา ก่อนจะไปทำอะไร รู้จักพอก่อน รู้จักมีสุขให้เป็นก่อน แต่มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น เวลาจะไปทำอะไรแค่ตรงนี้ก็ไม่พอ แค่ตรงนี้ก็ไม่สุข เมื่อต้องก้าวออกไปทำอะไรแล้วพอกลับมายืนที่เดิมมันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจนั่นคือ เรารู้จักมีสุขในความเป็นธรรมดาสามัญที่เราพึงมีพึงได้หรือยัง ถ้าเรารู้จักพึงมีพึงได้ในสิ่งที่ธรรมดาสามัญเราจะทุกข์หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร ทุกข์คืออะไร อาจารย์สรุปง่ายๆ ธรรมะคือความจริง แต่ทุกข์คือการไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นความจริงนั่นคือธรรมะ แต่สิ่งใดที่ศิษย์บอกไม่เอาจะเอาแบบนี้แบบนั้น นั่นแหละคือทุกข์ ถ้าศิษย์อยากบำรุงเลี้ยงใจเริ่มต้นก่อนว่าแค่นี้เท่านี้สุขไหม ดีไหม พอไหม ถ้าอาจารย์บอกว่าพอแต่ศิษย์ไม่พอ ถ้าอยู่ในบ้านก็ไม่มีสุข อยู่กับตัวเองก็ไม่เคยพอใจในหน้าตา จมูกตนเอง รูปร่างตนเอง ศิษย์อยู่ไปแล้วศิษย์ทุกข์ไหม ฉะนั้นศิษย์จะมีสุขได้ต้องเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนบ้านใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าอยากสุขเริ่มต้นรู้จักพอให้เป็นก่อนดีไหม พอได้จึงดีเพราะไม่พอจึงไม่มีวันดีสักทีจริงหรือไม่ หน้าแบบนี้ก็ดีแล้ว เตี้ยแบบนี้ก็ดีแล้ว มีแค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดไปหาเงินมาแล้วไม่เหลือก็ดี เหลือเท่าเดิมก็ดี ถ้าศิษย์ไม่พอใจหน้าตา เงิน สามี ลูก  ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีแต่ความไม่พอใจและทุกข์ใจใช่หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่จะฝึกใจได้ ศิษย์จะต้องเปลี่ยนสามีกี่คน เปลี่ยนลูกกี่คนถึงจะพอใจ
ฉะนั้นการฝึกจิตแรกเริ่มที่สุดก็คือ “อะไรๆ ก็พอ” แต่เราทำได้หรือไม่ เรามาดูกันว่าต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเราไม่ยอมรับความจริงแห่งธรรม ธรรมคือความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เจอธรรม แต่ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราหนีไม่พ้นความทุกข์
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ ทุกข์ทุกอย่าง แม้นั่งก็ทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวไหม แก่ เจ็บ และตายเป็นทุกข์ไหม 
แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  ทุกข์ ถ้าศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ ศิษย์ก็ยังเป็นคนที่ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปรับชะตากรรมที่ตัวเองก่อ อย่าคิดว่าจบแล้วจบกันนะศิษย์ จริงหรือไม่ (จริง)  คิดให้ดีๆ นะ โดยส่วนใหญ่บอกว่า แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเกิดทุกข์หรือไม่ (ทุกข์, ไม่ทุกข์)  เกิดไม่ทุกข์หรือ เพราะมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เพราะมีเกิดแห่งตัวตนจึงแก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า มนุษย์เราหนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วการหนีไม่พ้นสัจธรรมนี้ทำให้ศิษย์ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราพยายามไปยึดมันไว้ ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แต่ถ้าเราไม่ยึด เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นคือเรื่องหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์เกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ใครๆ ตายกันหมดแล้ว เหลือแต่ศิษย์ยังไม่ตาย ศิษย์จะทุกข์หรือไม่ คนอื่นเขาเจ็บแล้วแต่เราแข็งแรง เราไม่มีวันเจ็บเลย เราไม่เจ็บสักที และก็ไม่ตายสักที เราควรจะทุกข์กับความเป็นจริงที่เรียกว่า หมุนเวียนเปลี่ยนผันหรือไม่ศิษย์ จริงๆ แล้วเราไม่ควรทุกข์ใช่หรือไม่ แต่ที่เราทุกข์เพราะเรายึดไม่ให้มันหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าชีวิตเราอย่าได้ แก่, เจ็บ, ตาย คนที่คิดแบบนี้คือคนบ้า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่ชีวิตจะเจอแต่คน คนเดียวตลอด แล้วทำไมชีวิตมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับคนเพียงคนใดคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เปรียบเทียบ เมื่อคนนี้เขาว่าเรา แต่อีกคนเขาไม่ว่า ทำไมศิษย์มีชีวิตจมอยู่กับคนที่ว่า ทั้งที่ชีวิตมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ศิษย์ไปทำงานปรากฏว่า ศิษย์กลับกลายเป็นติดหนี้ โดนเจ้านายด่า ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) แล้วชีวิตศิษย์ยังต้องเดินต่อไปหรือไม่ (เดิน) มันก็ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร มนุษย์ทุกข์เพราะอยากยึด แต่ไม่ยอมมองความเป็นจริงจนถึงที่สุด คนทุกข์คือคนที่ไม่มองความจริง จมอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดและรับไม่ได้ทั้งที่สิ่งนั้นคือความจริงของชีวิต เหมือนกับที่อาจารย์เดินย้ายที่ไปย้ายที่มา แล้วอะไรคือสิ่งที่อาจารย์ต้องทุกข์ เพราะชีวิตยังต้อง (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  ฉะนั้นถ้าเรายังจมอยู่กับความทุกข์แปลว่าเราจมกับสิ่งที่ตายไปแล้ว เรื่องมันจบไปแล้วแต่เรายังไม่ยอมจบ  ใครที่จมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปลว่าอยากจะนอนตายแล้วก็จมอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าเรายังรักชีวิตทำไมเราจะต้องจมอยู่กับสิ่งที่ตายไปแล้ว ทำไมไม่อยู่กับสิ่งที่เป็นความจริง ฉะนั้นถ้าทุกวันศิษย์มัวจมอยู่กับความตายก็แปลว่าศิษย์อยากจะตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่ตัวศิษย์เองไม่ยอมรับความจริง ถ้ายังมีชีวิต มีกำลัง มีปัญญา ทำไมไม่ก้าวต่อไปและหาทางออกให้ดีที่สุด ถ้าโดนว่า “ไอ้โง่ ไอ้แก่” จะยอมตายตรงนี้หรือจะยอมมองให้เห็นชัดในความเป็นจริงแห่งธรรม ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ทุกข์มีให้รู้ ไม่ใช่มีไว้ให้เป็น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีหน้าที่รู้ทุกข์ เท่าทันทุกข์ แต่ไม่ยอมตกเป็นทาสของทุกข์
อาจารย์ถามว่า ความเจ็บนั้นเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นทุกข์แค่เพียงของสังขาร แต่ไม่ใช่ทุกข์ของใจ
ความเจ็บนั้นดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ความเจ็บสอนให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นผิดปกติ เราต้องแก้ให้ดีขึ้น แก้ให้เข้มแข็งขึ้น แก้ให้มั่นคงขึ้นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นความเจ็บไม่ใช่ความทุกข์ และความตายก็ไม่ใช่ความทุกข์ ถ้าคนนั้นรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ถ้าเจ็บแล้วได้สติ เจ็บแล้วได้ยั้งคิด เจ็บแล้วได้รู้เท่าทันว่า ใจเราที่บอกว่าเข้มแข็งนั้นไม่เข้มแข็งเลย ร่างกายที่เราบอกว่าดี จริงๆ ไม่ดีเลย ฉะนั้นต้องขอบคุณความจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตนั้นหนีไม่พ้นความ (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  จะเป็นไปได้หรือที่เราจะแข็งแรงแล้วไม่อ่อนแอ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะอ่อนแอแล้วกลับมาแข็งแรงไม่ได้ ศิษย์ต้องทำให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ ความเจ็บนั้น จะทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็น ถูกไหม
ฉะนั้นชีวิตสอนให้เรายิ่งเข้าใจชีวิต คุ้นชินกับชีวิต และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา และความเป็นธรรมดานี้ ยิ่งเข้าใจยิ่งคุ้นชินมากเท่าไหร่ยิ่งกลับทำให้เราพบธรรม ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้านั่งแล้วไม่เมื่อยไม่ทุกข์ ศิษย์จะรู้จักว่าต้องยืนขึ้นไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักยืนไหม (ไม่รู้)  อย่างนั้นศิษย์ก็คงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ถ้ารู้เท่าทันความเป็นจริง ความทุกข์คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม (จริง) ยากไหม (ไม่ยาก)  
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เพราะลูก) 
แล้วทุกข์เพราะอะไร อาจารย์พูดไปเรื่องหนึ่งแล้ว (ทุกข์เพราะเราไม่รู้จักพอ) แล้วตอนนี้เราพอบ้างหรือยัง (พอแล้วค่ะ)  สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์กันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มักจะทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่ค่อยได้ดีเท่าไร (ทุกข์เพราะเกิดแก่เจ็บตาย) จริงๆ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทุกชีวิตล้วนต้องเป็นไป แต่ถ้าไม่เป็นไปน่ากลัวกว่า ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความเกิดทำให้มนุษย์ต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามนุษย์หยุดยั้งการเกิดได้ การเวียนว่ายตายเกิดก็จะเป็นแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายของชีวิต
ฉะนั้นเราจะหยุดสิ่งที่น่ากลัว คือทำอย่างไรเราถึงจะหยุดเกิดให้ได้มากกว่ากลัวการแก่เจ็บตายเสียอีก แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่แค่คิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะทำให้เราหยุดเกิดได้นั่นคือการหักห้ามใจตนเองใช่หรือไม่ ถ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่ศิษย์บอกว่า มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับกรรม และกรรมมีกรรมดีกับกรรมชั่ว ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากต้องกลับมาเกิดอีก อยากให้การเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต เราจะต้องหยุดกรรมชั่ว คนเราที่ได้เกิดมาเป็นคนได้เพราะ กรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว อย่างนั้นแปลว่าถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์อยากหยุดกรรมชั่วเพื่อจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิด แปลว่ามีกรรมดีไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่) ถ้าศิษย์พยายามทำกรรมดีแล้วยังยึดติดในตัวตน ศิษย์ก็ยังต้องกลับมาเกิดเป็นคนเพื่อสนองรับผลบุญกรรมที่สร้าง
ฉะนั้นอย่าคิดว่าทำกรรมดีแล้วไม่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด กรรมดีก็ยังทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  กรรมชั่วก็ยังทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่แล้วสิ้นกรรม การมีชีวิตคือเราเกิดมาพร้อมกับกรรม ทำดีเรียกว่ากรรมดี ทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว แปลว่าเมื่อไหร่ที่ยังมีตัวตนไปสนองการกระทำที่ดีก็เรียกว่ากรรมดี ถ้ายังยึดตัวตนไปสนองการกระทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วถ้าว่างจากตัวตนแล้วไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว พ้นจากความดี พ้นจากความชั่วเรียกว่าอะไร ศิษย์ลืมไปหรือเปล่า พระพุทธะสอนไว้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา การเดินทางสายกลางคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาทำอะไร เจอแบบนี้ชอบ แบบนี้เกลียด แบบนี้ดี แบบนี้ร้าย ก็เลยหนีไม่พ้น กรรมดีกรรมชั่ว ทำดีทำชั่ว  แต่ถ้า ไม่ว่าศิษย์จะเจออะไร ศิษย์ก็วางใจเป็นกลาง ไม่รู้สึกดี ไม่รู้สึกร้าย ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกชัง เมื่อนั้นใจศิษย์ก็ว่างเท่ากับอากาศชั้นฟ้า เมื่อนั้นใจของศิษย์ก็จะบริสุทธิ์แท้จริง 
คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดเรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์ก็แปลว่าไม่มีเวรมีกรรม ตอนนี้คิดดี คิดชั่ว หรือไม่คิด (คิดดี)  ถ้าพยายามคิดก็ยังติดตัวตน พยายามคิดบวกเข้าไว้ พยายามคิดดีเข้าไว้ก็คือยังมีตัวตนต้องไปรับผล แค่วางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่โกรธ ไม่เกลียด เรียกว่า ความคิดผิดทำให้ติดกิเลสฉันใด ความคิดถูกทำให้พ้นกิเลสฉันนั้น แต่เมื่อไรพ้นจากความคิดทั้งสองนั่นเรียกว่าบริสุทธิ์โดยแท้จริง เมื่อบริสุทธิ์แล้วจึงพ้นจากสามอย่างที่เรียกว่า กิเลส กรรม และการเวียนว่ายตายเกิด 
ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบเราจะจบหรือไม่จบ ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้ายังยึดก็แปลว่าทุกข์และก่อเกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเราไม่ยึด ปล่อยให้หมุนเวียนเปลี่ยนผัน และรักษาใจอันเป็นปกติเป็นเช่นนั้นเองจึงเรียกว่าธรรม ที่ทำให้เราสิ้นเวรกรรม แต่มนุษย์โดนกระทบแล้วสิ้นกรรมไหม หรือจองเวรจองกรรม ฉะนั้นตื่นรู้ไม่ใช่ตื่นรู้ที่ข้างนอก แต่ตื่นรู้ที่ใจตัวเอง ถ้าเราโดนกระทบแล้วเราก็เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกข์ไม่มีหรอก ที่มีเพราะเรายึด
ฉะนั้นถ้าเราโดนกระทบ เราจะคิดดี คิดชั่ว หรือพ้นความคิด จำไว้นะศิษย์ ถ้าคิดดียังเรียกว่ากรรมดี เมื่อมีกรรมดีก็ยังต้องไปรับผลของกรรมดีนั้น แต่ถ้าพ้นจากความคิดทั้งสองและมองเป็นเช่นนั้นเอง ว่างจากตัวตน ว่างจากกระแสกรรม ก็สามารถตัดกิเลสตัดการเวียนว่ายทันที
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาททำนองเพลง “ขอเดินด้วยคน”  ชื่อเพลง “รักษาศีลบำเพ็ญบุญ”)
 อยากได้แอบเปิลอาจารย์ไหม แอบเปิลของอาจารย์ยิ่งกิน ยิ่งเจ็บ ยิ่งตายเอาไหม (เอา) เพราะยังไงก็ต้องเจ็บต้องตายอยู่แล้ว กินแอปเปิลไปหน่อยก็ยังเจ็บยังตายอยู่เหมือนเดิมเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ กินแอบเปิลอาจารย์แล้วทุกข์เอาไหม (เอา) 
โดนแอปเปิลปาหัวล่ะเอาหรือไม่ (ไม่เอา) ถึงจะโดนปาหัว แต่เรารู้จักรับ รู้จักรุกให้เป็น ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ ในโลกนี้ยังมีทุกข์อีกมากมายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์พูดค้างไว้คือ ทำดีแล้วทำไมยังทุกข์ แล้วศิษย์ตอบอาจารย์หน่อยสิว่า ศิษย์ไปทำดีอะไรมาแล้วมันทุกข์ ทำความดีอะไรถึงทุกข์ใจ (ไปช่วยงานในหมู่บ้านแล้วมีคนพูดไม่ดีกลับมาก็ทุกข์ใจ) อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ไปทำดี ไปช่วยที่วัด แล้วไปเก็บความไม่ดีของคนที่ไปวัดมาไว้ที่ใจ ฉะนั้นเราไปทำดีความประสงค์ของเราคือไปทำดี ไปช่วยงานวัด ไปประกอบกิจอันเป็นบุญ แล้วเราไปเอาคำติ ความไม่ดีของคนอื่นมาเป็นบาปแก่ใจทำไม จุดประสงค์เราดี แต่ผลกลับไม่ดี เพราะเราไปยึดคำไม่ดีมาเก็บไว้ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากทำดีให้ถึงที่สุดก็มองแต่สิ่งที่ดี อย่าไปมองสิ่งที่ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ไปช่วยเหลือคนแล้วโดนต่อว่า) เวลาเราไปช่วยคนเคยโดนต่อว่าหรือไม่ (เคย) แล้วท้อหรือไม่ (ไม่ท้อ) แล้วยังทำต่อหรือไม่ (ต้องทำต่อ) ต้องทำต่อ แต่จำใจทำไป ยังคิดว่าเขาด่าฉัน ทำอย่างนี้มีสุขหรือไม่ (ไม่มี) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าบางอย่างเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ สู้เราเอาความทุกข์นั้นเป็นบันไดก้าวให้เรายกจิตให้สูงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์จงจำไว้ว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว เพื่อใจจะได้ไม่ไหลลงต่ำ เพื่อตัวเราเองจะได้ไม่ประพฤติผิดคิดชั่ว เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้ใครชมหรือใครด่า ฉะนั้นถ้าเรายืนหยัดในสิ่งที่ดีที่เราทำ ใครจะพูดอะไรก็ไม่มีผลต่อใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาเงินให้เขายืม)  แล้วเป็นอย่างไร เขาไม่คืน ก็รู้สึกว่าท้อใจใช่ไหม เป็นกันเยอะ ลูกศิษย์เป็นคนเมตตา ใครยืมเงินก็ให้ยืม แต่เวลาเราไปทวงเหมือนเราเป็นหนี้เขาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น จำไว้นะศิษย์ การมีจิตใจที่ดีอยากช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าช่วยเขาแล้วทำให้เราต้องเดือดร้อนภายหลัง ดังนั้นเวลาจะช่วย ให้ช่วยแบบที่คิดเผื่อไว้ว่า ให้เขายืมเงินไปแล้วเขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วการทำดีนั้นจะไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าให้ยืมแล้วเขาไม่คืน อย่าให้เขาอีก เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์กำลังจะเพาะเลี้ยงคนให้เดินทางผิด 
(สิ่งที่เราทำไป บางทีเขาก็มองไม่เห็นในสิ่งที่เราทำ แต่ว่าเวลาเราทำไปแล้ว ความจริงก็เป็นความจริง เราก็ไม่ท้อกับสิ่งที่เขาต่อว่ามา สักวันหนึ่งความจริงถูกเปิดเผย เขาก็หันมาชื่นชมเราเอง)  เหมือนจะถูกนะ แต่จบตอนท้ายหวังให้เขาชื่นชมเรา ศิษย์เอย อาจารย์ถามหน่อย เวลาเราทำอะไร เป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับเรา (ไม่ใช่ค่ะ)  ความหมายของการทำดีคือ ทำเพื่อละ ไม่ใช่ทำเพื่อยึด เข้าใจไหม (เข้าใจค่ะ)  ถ้าศิษย์เหมือนเป็นคนที่เข้าใจ แต่ถึงที่สุดยังคิดว่า “สักวันเดี๋ยวเขาก็ชื่นชมเอง” แปลว่าศิษย์ยังทำดีไม่ถึงที่สุดนะ สักวันแม้เขาไม่ชื่นชม หรือเขาจะต่อว่า เราก็รู้แก่ใจว่าเราทำถูก ก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร ฉะนั้น เขาไม่ชื่นชมก็ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้นะ 
 (การที่เราทำเพื่อลูก แต่ทำไมลูกดื้อ) ทำดีทุกอย่างเลยแต่ลูกกลับดื้อ ศิษย์เคยสอนเขาด้วยการปฏิบัติไหม อย่างเช่นแม่เป็นคนสะอาด แม่เป็นคนมีน้ำใจ แม่เป็นคนรู้จักไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่าใคร แม่เป็นคนมีน้ำใจกับผู้อื่น สอนแค่พูดหรือสอนโดยการทำให้ลูกดู ศิษย์เคยได้ยินไหมลูกปูเดินตามแม่ปู ลูกปูเป็นอย่างไรแม่ปูเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าลูกไม่ดีไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด ส่วนหนึ่งคือตัวเรา เราสอนเขาด้วยเงิน หรือสอนเขาด้วยคุณงามความดี เรานำเขาด้วยความถูกต้อง หรือตามใจตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีหรือลูกปูจะไม่เดินตามแม่ปู ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า สิ่งที่จะทำให้เขาดีได้คืออะไรรู้ไหม ไม่ว่าเขาจะร้ายหรือดี ให้พูดอยู่อย่างเดียว “ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็รักลูก ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูก” ให้กำลังใจเขาสักวันหนึ่งเขาจะแปรเปลี่ยนได้ แต่เราต้องใจเย็นห้ามด่าทอ เอาแต่ความดีงามแปรเปลี่ยนใจเขาดีไหม (ดี)  มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม
(เวลาเราทำดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่เห็นความดีของเรา)  อาจารย์จะบอกให้ พ่อแม่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ ลูกใกล้ตัวรำคาญ ลูกอยู่ไกลตัวกลับคิดถึงมาก นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเราอยู่แล้วเราขัดใจเขา แต่ลูกที่นานๆ มาทีตามใจเขา เขาเลยรัก แต่ถ้าเราอยากทำความดีเอาชนะ เราก็ต้องใจเย็นไม่โกรธได้ไหม เราทำดีเพื่อตัวเราเองและเราทำดีเพื่อพ่อแม่ ฉะนั้นยิ่งทำดีกับพ่อแม่ยิ่งไม่ควรท้อใจนะ เข้มแข็งนะ มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม หมดแรงแล้วใช่ไหม
(ผมเคยอ่านในหนังสือเขาบอกว่า แก่นแท้ของความดี คือความเห็นแก่ตัว)  แปลว่าหนังสือเขียนอะไรศิษย์ต้องเชื่อตามหนังสือหมดเลยหรือ แก่นแท้ของความดีคือความเห็นแก่ตัว ก็ต่อเมื่อถ้าทำดีแล้วหวังผลนี่แหละ เรียกว่าความเห็นแก่ตัว แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ศิษย์ไม่ต้องถามอาจารย์ถามใจตนเอง ถ้าเราทำเพราะหวังผล ทำเพราะยึดติดดีนั่นก็คือความเห็นแก่ตัว อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมะไม่ว่าบุญ ความดีงาม ความถูกต้อง ล้วนสอนเพื่อละวางตัวตน แต่มนุษย์มักจะปฏิบัติผิด โดยจะทำดี ทำบุญก็ยังหวังผล ถ้าทำดีแล้วยังหวังผล ทำดีแล้วเห็นแก่ตัว นั่นไม่ใช่เรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์แท้จริง อาจารย์ถึงบอกว่าทำดีอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นทุกข์และไม่ทุกข์นั่นก็คือ เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว ทำไมเราจึงทำดี เพราะว่าการทำดีทำให้เราไม่คิดชั่ว ไม่ไหลลงต่ำแล้วไปทำชั่ว เหมือนมีโอกาสระหว่างให้กับได้ เราอยากให้หรืออยากได้ ใจโดยส่วนใหญ่อยากได้มากกว่าให้ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราทำดี การทำดีคือการสอนให้เรายั้งความชั่ว ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนชมว่าดี จุดประสงค์หลักคือเราทำดีเพื่อละชั่ว เพื่อยั้งใจไม่ให้ไหลลงต่ำแล้วไปประพฤติชั่ว แต่เดี๋ยวนี้คนทำดีเพราะอยากให้คนชมว่าฉันดี ทำดีเพราะฉันจะได้มีบุญบารมี ทำบุญเพราะฉันจะได้ไปขอบุญต่อ เช่นนั้นเป็นการสนองกิเลส สนองความเห็นแก่ตัว ถ้าศิษย์เพียงเชื่อว่าเขาพูดถูกศิษย์ก็เป็นตามเขา แต่ถ้าศิษย์อ่านแล้วรู้จักคิดให้เป็น คิดต่อยอดให้ได้ เราก็จะไม่เป็นตามนั้น อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะเป็นคือ เวลาทำดีแล้วเรียกร้องว่าทำไมคนอื่นไม่ทำ นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวของคนที่พยายามทำดี คนดีที่แท้จริงคือคนที่ไม่ว่าเขาจะดีหรือไม่ดี เราก็ยังต้องทำดี ไม่ใช่ว่าเราจะทำดีก็ต่อเมื่อเขาต้องทำดีด้วย
ธรรมะสอนให้ละวางตัวตน ละวางการยึดติด เพราะถ้ายังยึดติดศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นมนุษย์จึงวนเวียนหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมที่ตัวเองสร้าง เรียกว่ากิเลสตัวตนและการรับสนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไรเจออะไรวางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่เกลียด ธรรมดาคงใจเช่นนั้น เรียกว่าพ้นกรรม
(พระอาจารย์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
การฝึกฝนบำเพ็ญ ศิษย์เรียนรู้เท่าทันใจตัวเอง ยับยั้งกิเลสในใจตัวเองให้ได้ เพราะถ้ายังยับยั้งกิเลสในใจตัวเองไม่ได้ เราก็หนีไม่พ้นวัฏฏะที่เรียกว่า ความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนล้วนมีทุกข์ แต่อย่าเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองด้วยการสร้างกิเลส ปล่อยใจตัวเองตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ 
อาจารย์ถามว่าศิษย์อยู่ในโลกศิษย์อยากมีเวรไหม (ไม่อยาก)  อยากมีความโศกเศร้า วิตกกังวล (ไม่อยาก)  พระพุทธองค์สอนไว้ว่าอะไรรู้ไหม
โศกมาจากตัณหา ภัยมาจากตัณหา ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากวิตกกังวล ก็จงละตัณหา เคยได้ยินไหม โศกมาจากการยินดี โศกมาจากความรัก โศกมาจาก สิ่งที่เรารักและยินดี ฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีความวิตกกังวล จงอย่ายินดี รักและหลงในสิ่งใดในโลกนี้ ทำได้หรือไม่ พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อไรมนุษย์ยังเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีว่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ มองเป็นว่าสุข คนนั้นคือคนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความประมาท หรือเรียกว่ากำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า อยู่ในโลกนี้ รักมากก็ทุกข์มาก เกลียดมากก็เจ็บมาก แล้วเราควรหรือที่จะรักและเกลียด ที่จะอยากและหลง หรือเราควรจะมีสติ ลูก สามี ภรรยา แม้จะรักมากแค่ไหน ยินดีมากแค่ไหน ถึงเวลาเขาไปกับเราหรือไม่ ถึงเวลาเขาช่วยอะไรเราได้หรือไม่ (ช่วยไม่ได้)  ฉะนั้นเราควรวางใจอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นจากความทุกข์และไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนมีโศก มีความทุกข์ มีภัย มีความวิตกกังวล นั่นก็คือ ละวางจากความยินดี ยินร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข วางใจเป็นกลาง อะไรมาก็ วางใจเป็นกลาง ดีหรือไม่ ศิษย์ไปร้อนกับเขา ก็ไม่ช่วยทำให้เขาดีขึ้น ศิษย์ไปด่าเขา กลายเป็นเวรกรรมผูกกันไม่จบสิ้น ศิษย์ไปหลงยึดเขา ก็กลายเป็นทุกข์ทำให้เจ็บปวด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ วางใจเป็นกลาง แต่ที่ยังไม่กลางเพราะยังทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ “แม่ไม่โกรธ พ่อจะไปทำแบบนี้แม่ก็ไม่โกรธ” ดีหรือไม่ เพราะวางใจได้จบ ที่เหลือก็แค่ใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเรายังยึดติดชอบ ยึดติดชัง เราก็หนีเวร กรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น อย่างนั้นศิษย์อยากเกิดมาเพื่อมีกรรมไม่จบ หรือจบเวรจบกรรมเล่า
ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ “อืม” ดีไหม ศิษย์รู้ไหมทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า ถ้ายัง “อืม” ไม่ได้ ท่านให้ใช้คุณธรรม คุณธรรมอะไรที่จะช่วยให้เรายั้งใจ ไม่เกี่ยวกรรมด่าเขา ไม่โกรธลูกเขา นั่นก็คือความเมตตา เมตตาทำให้เราไม่พยาบาท กรุณาทำให้เราไม่เบียดเบียน อุเบกขาคือยินดีเมื่อเขามีสุขและไม่เกลียดชังเมื่อเขามีทุกข์หรือทำผิดพลาด และวางใจเป็นกลางเพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวตนและปล่อยวางสรรพสิ่งว่าเป็นอย่างนั้น แค่นั้น แต่เมื่อเราเอาตัวเราไปเกี่ยว เราจะบอกว่า ไม่ได้ๆ มันทุกข์ใช่ไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ “อืม” เมตตาเข้าไว้ “อืม” กรุณาเข้าไว้ “อืม” ยินดีเข้าไว้ แล้วก็เป็นกลางเข้าไว้ดีไหม ฉะนั้นถ้าอะไรมันเกินเลยไปบ้างไม่ใช่ความผิดเขาแต่เป็นความผิดของใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง ศึกษาธรรมแล้วต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วมีแต่เวรกรรมจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นรีบชะล้างกรรมเก่าให้หมด อย่าสร้างกรรมใหม่ ทำอะไรรู้จักคิดรู้จักทำดีไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) เขาถามว่าอย่างนี้ดีไหมเราก็ (อืม) เชื่อไหมศิษย์พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าสิ่งที่ศิษย์พูดจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่เชื่อเราก็ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม) พูดน้อยๆ คิดน้อยๆ หวังน้อยๆ ทุกข์หรือกรรมก็จะน้อยตามไปด้วยจริงไหม ฉะนั้นทำให้ได้นะไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) การอืมก็คือ อาจารย์อยากให้ศิษย์นิ่ง เพราะความนิ่งจะช่วยสยบความวุ่นวาย อย่าไปคิดเปลี่ยนแปลงใครเลย อย่าไปคิดจัดการใครเลย เปลี่ยนแปลงและจัดการใจเราให้ดีที่สุดก็พอ ใจเราสุขเราก็ทำให้คนรอบข้างสุข ใจเราสันติเราก็ทำให้คนรอบข้างสันติ ใจเราเย็นเราก็ทำให้คนรอบข้างเย็นใช่ไหม ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม)
แต่การวางเฉยกับการดูดายก็ไม่ดีนะ ไม่ใช่คนอื่นเขาทำกันงกๆ เราก็ “อืม” ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเราไม่พูดอะไร เรารีบไปช่วยทันทีไม่ใช่เอาแต่ “อืม” อาจารย์เพิ่งสอนมา เธอก็ทำไปฉันจะ “อืม” ไม่ได้นะน้ำใจยังไงก็ต้องมี เห็นใจคนยังไงก็ยังต้องมี
ไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องลงมือทำเลย อะไรจะเกิดก็ดี เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าโลกนี้ห้าม ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้พลัดพราก ไม่ให้สูญเสียไม่ได้ นั่นคือความผันแปรที่ต้องเป็นไปที่เรียกว่าชีวิต ถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นหรือไม่ แต่ถ้าเราพยายามยึดไม่ให้เปลี่ยนนั่นแหละเรากำลังสร้างทุกข์ ขอเพียงศิษย์รู้จักมองอย่างคนที่มีธรรม ธรรมที่สอนให้เราเป็นกลาง ไม่ดี ไม่ร้าย ที่จะก่อให้เกิดกรรมไม่จบสิ้น ไม่ว่าเจออะไร เจ็บแค่กาย อย่าเจ็บใจ เรามีกรรมเพียงสังขารแต่เราไม่มีกรรมที่จิตใจ กรรมของสังขารคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การสูญเสีย ใจเราพ้นทุกข์ได้ ใจเราอิสระอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะวางตัวตนลงได้หรือยัง วางได้เราก็พบธรรม ถ้าวางไม่ได้เราก็พบทุกข์แค่นั้นเอง
( พระอาจารย์กลับมาเมตตาที่ห้องนักเรียน ซึ่งกำลังฝึกร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ร้องเพราะหรือไม่ สิ่งที่ดูธรรมดาถ้าเรารู้จักมีจังหวะให้กับชีวิตก็กลายเป็นบทเพลงที่น่ารื่นรมย์ได้ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ถ้ารู้จักท่วงทำนองเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ความสุขก็ไม่ได้อยู่ไกล อยู่แค่ตรงนี้เอง ทำใจได้ก็เป็นสุข ทำใจไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือศิษย์ต้องไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ด้วยการตกเป็นทาสของอบายมุข ผิดศีลขาดธรรม
ควรเริ่มต้นพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคนศีลยังไม่ครบ คุณธรรมยังไม่มี ถึงจะทำดีแค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย อาจารย์ถามหน่อย มีใครในโลกบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แปลว่าทุกคนพร้อมตกเป็นทาสของความทุกข์ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ถึงแม้ศิษย์จะไหว้พระ แต่ศิษย์ยังโลภ โกรธ หลงอยู่ ศิษย์ก็หนีทุกข์ไม่พ้น ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเรายับยั้งโลภโกรธหลงได้คือ (มาไหว้พระบ่อยๆ)  ถ้ามาไหว้พระแล้วเก็บแต่เรื่องไม่ดีกลับบ้าน ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการไหว้พระคือการที่ศิษย์ได้สำนึกขอขมากรรมในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมา ได้ชะล้างกรรม ชะล้างใจบ่อยๆ ฉะนั้นคนที่รู้จักมาไหว้พระบ่อยๆ คือคนที่หมั่นพยายามชะล้างกรรมตัวเองบ่อยๆ แต่ขออย่างหนึ่งล้างแล้วอย่ากลับไปทำใหม่ จะเปล่าประโยชน์ ฉะนั้นล้างแล้ว สำนึกแล้ว “สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยผิดพลาดมา ไม่ว่าจะตั้งใจ ไม่ตั้งใจ ขอกราบขอขมาหนึ่งร้อยกราบ” นั่นคือการชำระใจตัวเองให้สะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสะอาดแล้วก็ต้องสะอาดจริง ไม่กลับไปเหมือนเดิมแล้วกลับมากราบใหม่ไม่มีประโยชน์นะ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะละโลภ โกรธ หลงได้ (ต้องบำเพ็ญธรรม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญอย่างไร เราไม่โลภ โกรธ หลง เราก็ต้องปล่อยวาง ทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือไม่ศิษย์ (คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติ และเชื่อว่าทุกคนคิดอย่างนั้นอยู่)  ว่าเราอยากจะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (เป็นคำตอบจริงๆในใจ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสเราอาจจะค่อยสร้างบารมีก็คือฝึกบำเพ็ญ)
แล้วอย่างไรเรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญ  การฝึกฝนบำเพ็ญเริ่มแรกคือ เข้มงวดตนเองผ่อนปรนผู้อื่น เรียกร้องตนเองไม่เรียกร้องผู้อื่น การฝึกฝนบำเพ็ญทำอย่างไร (ทำใจให้ว่างเหมือนกระดาษ)  ถ้าเป็นกระดาษก็ยังไม่ว่างนะศิษย์ ถ้าว่างจริงๆ คือไม่มีอะไรที่เรียกว่าตัวตนเลย มันถึงจะพ้นกรรมถูกไหม ถ้ายังเป็นกระดาษก็ยังรอคนมาแต่งแต้มอีกใช่หรือไม่ ฉะนั้นว่างที่แท้จริงคือ หมดสิ้นยึดติดในอารมณ์ชอบชัง
(ปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ เพื่อเกิดปัญญา) รักษาศีล ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งแล้ววางไม่เกิดความโกรธไม่เกิดความหลงความชอบ รู้แจ้งเห็นจริงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร ทำอย่างไรที่จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง อาจารย์สมมติว่าแอบเปิลลูกนี้มีความทุกข์ มีความเจ็บช้ำ มีความเปลี่ยนแปลศีง มีความไม่มั่นคงเลย มีความสูญเสีย มีความพลัดพราก ศิษย์ยังอยากได้แอบเปิลนี้หรือไม่
เมื่อมีความอยากแล้วจะกลายเป็นความโลภ มีอะไรบ้างที่เราอยากแล้วไม่สูญเสีย อยากแล้วไม่เจ็บปวด อยากแล้วไม่ทุกข์ อยากแล้วไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่มี)  ไม่เคยทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แล้วทำไมศิษย์เอาแต่หา เอาแต่โลภ เงิน ความรัก เกียรติยศ ชื่อเสียง อัตตา ตัวตน ฉะนั้น ศิษย์โลภไปทำไม เกลียดไปทำไม หลงไปทำไม ในเมื่อถึงที่สุด ยิ่งยึดแล้วเจ็บหรือไม่ (เจ็บ)  มีแล้วสูญเสียหรือไม่ (สูญเสีย)  แล้วทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ยิ่งกว่าทุกข์อีก แล้วยังอยากอีกหรือไม่ (ไม่อยาก)  ตอนนี้พูดกับอาจารย์ว่าไม่อยาก แล้วถึงเวลามีเงินอยู่ตรงหน้าเอาหรือไม่ เอาไว้ก่อนใช่ไหม ถ้าศิษย์ไปเบียดเบียนเขามาเต็มที่ ไปโลภมาเต็มที่ ไปผิดศีลมาเต็มที่ ไปขาดความเป็นคนมาเต็มที่ แล้วบอกไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นไม่โลภก่อนจะโลภ ใจเย็นก่อนจะเกลียด  เปิดตาให้สว่างก่อนจะหลงดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าสิ่งที่หลงนักหนาก็ทำให้เราเจ็บไม่แพ้กับสิ่งที่เราเกลียดเลย เราเห็นชัดแล้ว  แล้วเรายังจะรักไหม
ฉะนั้นเมื่อเราไม่อยากจะทุกข์จงมองให้ชัด มองให้รอบ มองให้สุด แล้วจะรู้ว่า อารมณ์แค่ชั่วขณะที่ศิษย์อยากได้ มันไม่เคยช่วยทำให้เราสุข แต่อีกเดี๋ยวก็ทำให้เรากลับมาทุกข์ได้ใหม่ อาจารย์เทียบง่ายๆ นะ สมมติศิษย์อยากได้แอปเปิลลูกหนึ่ง แล้วทำให้ศิษย์ต้องผิดศีล ขาดความเป็นคนเพราะอยากได้แอปเปิลลูกนี้ แต่ไม่อยากเสียเงินและไม่อยากขอ เพราะมีศักดิ์ศรี มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ก็หยิบไปเลย ถ้าอยากแล้วทำแบบนี้ คิดแบบนี้ ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายังหยุดความคิดไม่ได้ ถ้ายังห้ามใจไม่ได้ อาจารย์แนะวิธีให้ ให้ใช้วิธีเดินไปดูสักสามวัน ถ้าสามวันยังคิดไม่ได้ ศิษย์ก็สุดที่จะสอนแล้ว จริงหรือไม่ เหมือนผู้หญิงเวลาอยากได้เสื้อตัวหนึ่ง ถ้าฉันใส่แล้วฉันจะสวย ไปมองให้ครบสามวันแล้วดูว่ายังอยากจะสวยอยู่ไหม
เชื่อไหมว่ามันจะค่อยๆ จางไป ไม่เอาก็ได้ เอาไปทำไม ใส่ไปก็เหมือนเดิม จะไปทำหน้าอย่างไรก็เหมือนเดิมเพราะนิสัยไม่เปลี่ยน เช่นกันถ้าศิษย์รวยขึ้นมาแล้วจะทำให้ศิษย์ดีขึ้นไหม ถ้าผิดศีลขาดธรรม มันอายเขานะ ก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายฟ้า มองคนก็ละอายใจ ความคิดก็วนเวียน เราเคยทำผิด ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกของความถูกต้องอย่าลืมอย่ามองข้าม มองให้ชัดๆ ว่า ถ้าอยากแล้วกลายเป็นโลภ ผิดศีล เมื่อได้สิ่งที่อยากแล้วทำให้เจ็บ แล้วควรจะอยากไหม ควรจะเกี่ยวกรรมอีกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นอยากหยุดทุกข์เราพอหรือยัง ถ้าทำให้ถึงที่สุดก็น่าจะพอแล้วนะ ฉะนั้นอะไรๆ ก็ดีแล้วใช่ไหม ฉะนั้นพอบ้างหรือยังศิษย์ ชีวิตนี้โลภมากี่ครั้งแล้ว เกลียดมากี่ครั้งแล้ว โกรธมากี่ครั้งแล้ว หยุดบ้างไม่ได้หรือ กินข้าวยังรู้จักอิ่ม โลภมันไม่อิ่มเลยหรือ หลงมันไม่อิ่มเลยหรือ เกลียดคนไม่เบื่อเลยหรือ แล้วอยากตกเป็นทาสของกิเลสต่อไปไม่จบสิ้นใช่ไหม เพื่ออะไร
ดังนั้นความทุกข์คือการที่ไม่ยอมรับความจริง การปฏิบัติคือสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าอะไร เห็นความจริงแบบที่พระองค์หนึ่งสอนว่า “เห็นจนแบบ ฉันไม่เอาอะไรแล้วโลกนี้” อาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์อย่างนี้เหมือนกัน ถ้าศิษย์เห็นความจริงชัด ศิษย์จะบอกว่า “อะไรฉันก็ไม่เอาแล้ว” เพราะไม่มีอะไรที่มีแล้วจะไม่ทุกข์  คุ้มหรือไม่ที่เกิดมาทุกข์ หรือเกิดมาเพื่อหยุดกรรมแล้วพ้นทุกข์ คิดให้ดีๆ ถ้าคิดไม่ดีก็ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่านะ
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราพ้นจากความคิดทั้งสองคือว่าง ว่างเฉกเช่นอากาศ แต่ถ้าเรายังยึดติดดี ยึดติดไม่ดี ยึดติดฉันเป็นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ก่อเองและต้องรับเอง อาจารย์ช่วยไม่ได้นะ แม้ศิษย์ไหว้พระก็ล้างบาปในใจศิษย์ไม่ได้ แม้ศิษย์เอาน้ำมนต์เก้าวัดก็ล้างให้ศิษย์บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักตั้งตนให้ถูกต้องจริงหรือไม่ ฉะนั้นคิดให้ดี ปฏิบัติตนเองให้ดีได้หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางลงก็เป็นสุข”)
ถ้ายังวางไม่ได้ยังยึดอยู่ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบสุขที่แท้จริงหรอก ถูกหรือไม่ เรื่องราวบางเรื่องในโลกใบนี้เมื่อห่วงไปถึงที่สุดก็ต้องวาง กลุ้มไปถึงที่สุดก็ต้องวาง คิดไปจนถึงที่สุดก็ต้องวาง ความเป็นจริงของชีวิตสอนให้วาง ฉะนั้นจง “วางก่อนวาง” หรือเรียกว่าจง “ตายก่อนตาย” ให้เป็น มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าแค่ฟัง แต่จงนำกลับไปปฏิบัติจนลดละกิเลสในใจได้ จนมองเห็นความเป็นจริงและไม่ก่อการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอีกต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นรักษาจิตใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาครอบงำและทำให้เราก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ต่อไปนี้เราจะบำเพ็ญธรรมเพื่อความเป็นกลาง ให้ใจเราว่างเหมือนอากาศ กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริงที่ศิษย์เคยจากมา ได้หรือไม่ (ได้)  มนุษย์มีจิตใจที่ประเสริฐแต่ถูกบดบังไปเพราะความหลงผิดที่เรียกว่าอัตตาตัวตน เมื่อไรที่ทลายอัตตาตัวตนได้ศิษย์จะพบพุทธะจิตเดิมแท้ที่สว่างว่าง ไม่ต้องการตัวตนที่ยึดถือ ไม่ต้องการเจ้าข้าวเจ้าของ แต่คือการกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่มีแต่ธรรม หวังว่าศิษย์จะเข้าถึงธรรมบ้างไม่มากก็น้อย คนไหนที่ต้องทุกข์เจ็บปวดเพราะโรคภัยไข้เจ็บอาจารย์ฝากไปให้กำลังใจเขา กายเจ็บใจอย่าเจ็บ กายป่วยได้แต่ใจต้องเข้มแข็ง ส่วนคนไหนที่หายไป ก็ฝากศิษย์ช่วยตามกลับมา บอกอาจารย์ไม่ลืมเขา เขาลืมอาจารย์แล้วหรือ ส่วนศิษย์ที่อยู่ที่นี่ก็ขอรักษาใจให้มั่นคงบำเพ็ญธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดติดตัวตนนะศิษย์
ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ หนทางที่ดีและประเสริฐอยู่ที่จิตเลือกเดินทางนะ คิดให้ดีๆ ทำให้ได้นะ  รู้จักมีศีลมีธรรม ปฏิบัติด้วยการรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ไม่จบสิ้น ต้องรู้จักรักษาศีลให้ได้ เป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญนะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดใช่ไหม ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญรู้จักลดละกิเลสอารมณ์ตัวเองให้ได้ ควบคุมใจตัวเองให้ได้ อย่าเอาแต่ใจตัวเองนะ มีโอกาสศิษย์จะกลับมาเจออาจารย์อีกหรือไม่ ไม่ต้องเศร้านะ รู้จักศึกษาบำเพ็ญให้ดี ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง
(ถามว่าจะสำเร็จไหม) ศิษย์เอยถามอาจารย์ทุกวัน ถามตัวเองดีกว่าว่าตั้งใจบำเพ็ญรักษาจิตมั่นคงหรือยัง ตั้งใจให้ดีรักษาความดีไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้ไหม สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือ อารมณ์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมีตัวตน เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ ฉะนั้นรู้จักมีศีลมีธรรม ดูแลเขาให้ดีนะ แค่นี้ก็ประเสริฐแล้ว ไม่ทอดทิ้ง ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าปล่อยให้ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้ทุกข์นะ
จับมือไว้นะมีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุด แม้จะเหนื่อย แม้จะล้า แม้จะท้อ แม้จะเจ็บ ก็ขออย่าได้หยุดยั้งก้าวเดินในการบำเพ็ญนะ ไปให้ถึงธรรมไปให้ถึงความสิ้นทุกข์ให้ได้นะศิษย์ 
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางลงก็เป็นสุข”
     ความยึดติดทำให้จิตใจเป็นทุกข์              จิตบรรทุกหนักเกินจนรับไม่ไหว
ดั่งน้ำที่ล้นแก้วแล้วยังเทใส่                         ลดละได้ใจจึงมองเห็นทาง
อย่ายึดมั่นความถูกผิดติดอัตตา                    วันเวลาจะนำมาซึ่งความว่าง
โลภโกรธหลงปลงได้เป็นทางสายกลาง           ลดกระด้างวางลงก็เป็นสุข
แก้พระโอวาท พระอาจารย์จี้กงเมตตา ชั้นประชุมธรรม
สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา วันที่ ๑๐ – ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ 
หน้าที่ ๑๔ บทเพลงพระโอวาท
          เดิม      “แพ้เป็นพระใครบ้างเอ่ย
          แก้เป็น  “แพ้เป็นพระใครบ้างเคย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-10 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

西元二〇一七年嵗次丁酉五月十六日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐               สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ใช้ชีวิตไหลไปตามกระแส               สุดแล้วแต่สังคมสิ่งแวดล้อม
สูญเสียตัวเองไปในโลกอันจอมปลอม    คนถูกย้อมในสิ่งที่ตนรู้ดี
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกแฝงกายน้อมกราบอัญชุลี
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ       
      แผนที่ใดล้วนมีไว้พิชิตแดน              แต่ชีวิตคนดำเนินแผนที่วุ่นวาย
ชอบเร่งไวไปบีบให้คนตาย               แข่งรีบใจถูกผิดเป็นปากประตู
ประสงค์ทางหมดทุกข์ต้องไม่เสแสร้ง     จงใช้หัวใจแห่งความจริงตื่นรู้
หยุดวิ่งหนีกรรมจี้ถูกสำนึกดู             ใช้ปัญญาคู่ความดีแม้ไม่ชาญ
สติไม่ให้เผลอพูดดั่งก้นรั่ว                 คิดทำชั่วอย่ามีไม่ไถหว่าน
กายใจสงบเป็นเย็นได้เบิกบาน           สงบเป็นว่างทุกข์นั้นในทุกที่
กลัวจะลืมก่อนดีชั่วคืออะไร              ทุกวันนี้สุขไหมบ่ายหน้าหนี
อาจไม่ใช่โกรธเช้าสายเพียงเท่านี้         ธรรมหายไปแต่ไม่มีรู้สึกตัว
เพียรเช้าค่ำให้กับคำคนตำหนิ            กินอยู่ปกติใจธรรมล้อมเป็นรั้ว
ตามืดบอดไม่เท่าใจมืดมัว                   คนน่ากลัวที่ความคิดกว่าอะไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
รู้จักกันก่อนจึงจะสนทนากันดีไหม (ดี)  มีหลายท่านคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นหรือคลางแคลงใจเป็นแน่แท้ใช่ไหม (ไม่)  เป็นธรรมดาอยู่ในโลกโดยส่วนใหญ่ไม่ถูกเขาหลอก  เราก็หลอกเขา สลับกันไปสลับกันมา ใช่ไหม (ใช่)  ยอมรับว่าเคยหลอกเขาด้วยใช่ไหม (ใช่) สักครู่ท่านบอกเองว่าไม่ถูกเขาหลอกก็หลอกเขา อย่างนั้นก็แปลว่าเราก็เคยไปหลอกเขามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับอีกนะ ถือว่าเราพูดคุยสนทนากันในเรื่องของธรรมะดีไหม (ดี)  อย่าพึ่งตั้งป้อมรังเกียจเราเลย เพราะนั่งฟังมาเกือบวันหนึ่งแล้วได้รู้ธรรมบ้างไหม (รู้) หรือว่าได้แค่นอนหลับ (ได้รู้ธรรม)  ได้รู้ธรรมหรือ เรานึกว่าได้นอนหลับ ต้องถามว่าได้ฟังธรรมเต็มอิ่มหรือว่าได้นอนหลับเต็มอิ่ม เป็นเช่นไร (ฟังธรรมเต็มอิ่ม)  เรานึกว่านอนหลับเต็มอิ่ม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แปลกนะอยู่บ้านไม่ค่อยจะหลับไม่ค่อยจะนอนวันๆ เอาแต่เที่ยว แต่พอมาห้องพระไม่รู้ทำไมมันอยากหลับมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าที่นี่น้ำธรรมของคนดีนะพูดปุ๊บหลับปั๊บเลย อย่าพึ่งตกใจเสียงเราดังเราก็เหมือนคนใต้เสียงแข็งแต่ใจไม่มีอะไรใช่ไหม (ใช่)  คนใต้เสียงห้วนไหม (ห้วน)  แต่ใจมีอะไรไหม (ไม่มีอะไร)  ใจดีแต่ปาก (ร้าย)
ถ้าทำอะไรด้วยใจชอบ สองชั่วโมง สามชั่วโมง หรือหนึ่งวัน สองวันเราก็สู้ไหว แต่ถ้าทำอะไรแล้วใจไม่ชอบ แม้เพียงผ่านไปหนึ่งนาที เราก็สู้ไม่ไหวแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครอยู่ฟังจนจบครบสองวัน แปลว่ามีใจที่ชอบธรรม แต่ใครอยู่ไม่ครบสองวัน แปลว่าใจนั้นไม่เคยชอบธรรมเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่พูดว่า ถ้าชอบยังไงก็สู้ ยังไงก็ไหว เหมือนฝ่ายชายให้ยืนเฉยๆ หนึ่งชั่วโมง ไหวไหม (ไหว)  แต่ให้ดูแข่งฟุตบอล แข่งวัว แข่งนกสองชั่วโมง สามชั่วโมงไหวไหม (ไหว)  ต่างกันตรงที่ใจเราชอบกับไม่ชอบ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจเราทำด้วยความรู้สึกที่ชอบ อะไรก็ไหว แต่ถ้าใจเราไม่ชอบ เชื่อไหมว่านิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นแบบนี้เราใคร่ขอถามท่านหน่อยนะว่า โลกใบนี้ดีหรือร้ายอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรือคนกำหนด (คนกำหนด)  ดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (ฟ้า)  จำเรื่องเมื่อสักครู่ได้ไหม เวลาชอบอะไรฟังแล้วรู้สึกดีจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าไม่ชอบแล้ว แม้ฟังคนพูดดีก็ยังรู้สึกแย่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เราถามหน่อยนะดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)  จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคร้าย แต่เราหาทางออกที่ดีที่สุดได้ เราคิดดีไว้เราก็จะเจอดี จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคดี แต่ถ้าเราคิดร้ายดีหรือร้าย (ร้าย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)
ถ้าอย่างนั้นสุขหรือทุกข์อยู่ที่คนกำหนดหรือใจเรากำหนด (ใจเรากำหนด)  สุขหรือทุกข์อยู่ที่คนภายนอก หรือหัวใจเรา (หัวใจเรา)  ทำไมตอบได้ชัดเจนเลย แต่เวลามีทุกข์ทำไมกลับโทษเขาลืมโทษใจ เวลารู้สึกแย่ทำไมว่าเขา ไม่ว่าใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนชายในชั้น)  ใจมันไม่เคยมีเหล้าเดินผ่านร้านเหล้า รู้สึกอะไรไหม (ไม่รู้สึก)  แต่ถ้าใจมันเคยกินเหล้า แม้ไม่เดินผ่านร้านเหล้ามันทำไมรู้สึกเปรี้ยวปาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจมันไม่มีอะไร สิ่งภายนอกมี มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าใจท่านรักเดียวใจเดียว ผู้หญิงจะสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน ท่านจะหวั่นไหวไหม (ไม่)  เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ผู้หญิงถ้ารักเดียวใจเดียวในสามีตัวเอง ผู้ชายจะดูดีขนาดไหนปากหวานขนาดไหน เราจะหวั่นไหวไหม (ไม่)
ฉะนั้นดีร้ายทุกข์สุขอยู่ที่ภายนอก หรืออยู่ที่ใจ (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจเขาไม่ดี หรือใจเราแอบมีสิ่งไม่ดีแล้วหวั่นไหวไปกับการไม่ดีอันนั้น (ใจเราแอบไม่ดี)  คิดได้เช่นนั้นตลอดไหมนะ พอมีปัญหาก็โทษเขา ไม่โทษตัวเอง ฉะนั้นพอเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยหน่อยสิ เอาน้ำมนต์มา ๙ วัด เผื่อจะปัดเคราะห์ ปัดร้าย ปัดปัญหา ปัดทุกข์ได้ ใช่ไหม( ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราไปหวั่นไหวกับเขา เราไปมีปัญหากับเขาแล้วถึงเวลาฝ่ายหญิงก็เลยบอกสงสัยต้องไปเอาน้ำมนต์ ๙ วัด มาปัดสามีตัวเองให้เลิกหลงใหลผู้หญิง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงน้ำมนต์สัก ๙ วัดศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ล้างคนให้ดีไม่ได้ ก็ถ้าจะล้างได้ดีที่สุดคือตัวเขาเองต้องไม่หวั่นไหว
ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์จะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ผู้อื่น คนเราจะบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง ก็ดูที่ว่าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีศีลธรรมหรือไม่ อยากล้างใจให้บริสุทธิ์ อยากให้ชีวิตมีสิ่งมงคลมาเกิดขึ้นกับตัว มันต้องดูที่การกระทำใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านไปทำชั่ว ท่านไปคิดผิด ท่านไปทำบาปแล้วเอาน้ำมนต์ ๙ วัดมาล้างๆ หมดไหม (ไม่หมด)  จะล้างได้ก็ต้องหยุดที่ใจของตัวเอง ทำดีละชั่วหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อยู่ในโลกอยากเป็นที่รักของทุกคนไหม อยากเป็นที่รักของผู้อื่นไหม อยากให้เขารักแต่ด่าเขาทุกวัน จับผิดเขาทุกวัน เขาจะรักไหม (ไม่รัก)  ฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จัก (รักตัวเอง, รักผู้อื่น)  ก็เพราะคิดว่ารักตัวเองฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จักอยู่แล้วอยากให้เขาเข้าใจ เราต้องรู้จักเคารพให้เกียรติกัน เชื่อถือ ซื่อตรง ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีใครเขารักท่านหรอก เขารักแค่เพียงรูปพอถึงเวลาจูบแล้วไม่หอมเขาก็เลิกราไปใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากให้คนอื่นรักจงรู้จักเคารพให้เกียรติ ซื่อตรง จริงใจ มีชีวิตอยู่อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย (อยู่อย่างสงบ)  ถ้าอยากอยู่อย่างสงบก็อย่าเอาสายตาไปเบียดเบียนใคร อย่าเอาสายตาไปฆ่าใคร อย่าเอามือไปทำร้ายเบียดเบียนใคร อย่าเอามือไปตบตีเข่นฆ่าใคร อย่าเอาความคิดไปเบียดบังทำร้ายใคร และอย่าใช้ความคิดไปฆ่าใคร อยู่ที่ไหนมีหรือจะไม่สงบสุข จริงไหม ทำไหม (ทำ)  มองทีก็จับผิดมากกว่าจับถูก เห็นคนก็เห็นแย่มากกว่าเห็นดี มองปุ๊บก็ดูถูกมากกว่าให้เกียรติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่มีสุข ไม่มีใครรัก ไม่ต้องไปไหว้พระ ถามตัวเองว่าทำตัวให้น่าเคารพกราบไหว้ไหม
ดังที่มนุษย์มักจะกล่าวไว้ว่า ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ก่อนที่จะโทษผู้อื่น หรือก่อนว่าฟ้าดิน ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นเหตุของความทุกข์และปัญหาทั้งมวลหรือไม่ หรือที่ตามคำธรรมะสอนว่า หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเหมือนผืนนา ปลูกบุญก็ได้บุญวาสนา ปลูกบาปก็ได้เภทภัย ทุกข์ภัยพาล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญ บาป มงคล อัปมงคล ล้วนเราเป็นผู้สร้าง และเราเป็นผู้เก็บผลนั้นทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากมีสุข ไม่ใช่เอาแต่ไหว้พระอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่รู้จักแก้ไขที่ตัวเองก็ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราถามท่าน เราอยากอยู่อย่างมีเภทภัย มีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่อยาก)  เราอยากอยู่อย่างคนที่สงบสันติสุขไหม ก็อยากทั้งนั้น มนุษย์ทุกคนอยากมีสุข ไม่อยากมีเภทภัย ไม่อยากมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพอรู้ไหมว่า เภทภัยเวรกรรมมาจากไหน (มาจากตัวเรา)  ตัวเราทำอย่างไรหรือจึงมีเภทภัย จึงมีเวรมีกรรม ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้ารู้ก็คงไม่มานั่งฟังตรงนี้หรอกใช่ไหม (ใช่)  คำว่าเวร เภทภัย มาจากไหน พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีเวร ก็ไม่มีภัย แล้วเวรคืออะไร
เวรกรรมคืออะไร คือสิ่งที่ไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะก่อเวร ก่อภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ชอบประพฤติผิดมีเวรมีภัยไหม (มี)  คนที่ชอบโกหกมุสา ชอบผิดศีลผิดธรรม และชอบอบายมุขมีเวรมีภัยไหม (มี)  แปลว่าถ้าเราผิดศีล โกหก ติดอบายมุข เราล้วนสร้างเวรภัยด้วยตัวเองใช่ไหม (ใช่)  มีเวรแล้วท่านชอบเวรไหม (ไม่ชอบ)  เพราะมีเวรก็ต้องรับภัยพิบัตินั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้ามีเวรแล้วเราอยากให้เวรยืดเยื้อไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  รู้ไหมว่าเวรยืดเยื้อเกิดจากเช่นใด เราล้วนมีชีวิตสร้างเวรหรือสร้างสันติสุข (สร้างสันติสุข)  ไม่เคยโกหก ไม่เคยผิดศีล ไม่เคยติดอบายมุข ไม่ถือสาหาความ ไม่ไปโกรธใครใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นไหว้พระแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำดีแล้วไม่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ แต่ต้องถามก่อนว่าทำดีแล้ว ไม่หยุดทำชั่วท่านจะหยุดเวรภัย หยุดทุกข์ภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้อยู่เต็มอก ถ้าอยากหยุดทุกข์ อยากหยุดเวรหยุดภัย เราก็ต้องพยายามเป็นคนมีศีลไม่ประพฤติผิด ไม่ติดอบายมุข ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนฆ่าใคร หรือทำร้ายใคร ทั้งกาย วาจา ใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่แล้วมาทำไหม (ทำ)  ทำไมทำเวรทำภัย เวรภัยมันถึงไม่จบรู้ไหม (ไม่รู้)  ผู้ที่คิดอยู่เสมอว่า เขาด่าฉัน เขาว่าฉัน เขาโกงฉัน เขาชิงชังฉัน เขาทำร้ายฉัน นี่เรียกว่าผู้ผูกเวรให้ยืดเยื้อในใจเรามีแต่สิ่งนี้ ทำแล้วยังจดจำฝังใจใช่ไหม (ใช่)  ไหนบอกว่าไม่ชอบเวรยืดเยื้อ อยากจบเวรจบกรรม กันแต่ถึงเวลาถามใจลึกๆ ท่าน ความดีของตัวเองจำ ได้แต่ความดีผู้อื่นไม่เคยจำใช่ไหม (ใช่)  ความชั่วของตัวเองจำไม่ได้ แต่ความชั่วของผู้อื่นจำได้แม่นยำ ใช่ไหม นั่นแหละเรียกว่าผู้ผูกเวรจองเวรให้ยืดเยื้อ ฉะนั้นอยากหยุดกรรม อยากหยุดเวร พระพุทธจึงสอนไว้ว่า ผู้ที่มีสุข ผู้ที่เกษม ผู้ที่สันติ คือผู้อะไร คือผู้มีจิตใจปลอดโปร่งไม่ยึดมั่นถือมั่น ยอมรับความเป็นจริง และมีปัญญาเห็นแจ้ง คนด่าเราก็คือคนรักเราหัวเราะ แปลว่าไม่ยอมรับใช่ไหม ถามท่านจริงๆนะ ถ้าคนที่ท่านเกลียดจนสุดใจ ท่านจะด่าเขาให้เมื่อยปากไหม (ไม่ด่า)  บ่นไหม (ไม่บ่น)  เพราะอะไรไม่อยาก ที่ยังด่าที่ยังบ่น แปลว่ายังรักเขาอยู่จริงไหม (จริง)  มิฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา เราเข้าใจว่าเขารัก เราเราจะโกรธจะชิงชังเขาไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้ เราจะผูกเวรเกี่ยวกรรมกับใครไหม (ไม่)  ถ้าไม่อยากจะผูกเวรผูกกรรม ทำอย่างไรดี ที่จะให้เกิดเป็นคนแล้วไม่ผิดศีล ไม่โกหก ไม่ติดอบายมุข ไม่เกลียดด่าคนอื่น ทำอย่างไรดี (เลิกความชั่วทำความดี)  เลิกความชั่วมาทำความดี แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักมือหนึ่งถือศีลมือหนึ่งถือสาก ยอมรับเต็มปากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ในที่นี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ท่านว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  เราขอดูหน้าคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีหน่อยนะ รู้ไหมคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังระงับยับยั้งชั่งใจเรื่องความชั่วไม่ได้ คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริง จริงไหม (จริง)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีแต่ขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ศีลยังรักษาไม่ครบ คุณธรรมในความเป็นคนยังประพฤติปฏิบัติได้ไม่มั่นคง ก็ยังไม่อาจเรียกว่าคนดีใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ยังพูดว่าตัวเองดีไหม(ไม่ดี, ดีบ้างไม่ดีบ้าง)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่ทำผิด คิดร้าย ก็คือคนที่มักพูดว่าตัวเองดี แต่คุมใจไม่ได้ต่างหากใช่ไหม (ใช่)  ผู้ร้ายในสังคมปัจจุบันนี้ เขาก็คือคนดีคนหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไหร่ที่เขาหยุดความโกรธไม่ได้ หยุดความเห็นแก่ตัวไม่ได้ หยุดใจที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ได้ เขาก็สามารถเป็นคนที่ร้ายและน่ากลัวได้จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องมองใคร ตัวเราเองนั่นแหละใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะยับยั้งความชั่วได้ สิ่งที่ดีที่สุดนั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติดี แต่ถามหน่อยนะว่า คนในที่นี้เคยทำดีจนสุดจิตสุดใจหรือยัง (ยัง) ยังเป็นพวกสามวันดีสี่วันไข้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่า ทำไมถึงต้องทำดี บางคนทำดีแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  บางคนถามว่าทำดีไปเพื่ออะไรใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นเราจะบอกให้การศึกษาธรรมเพื่อรักษาใจให้ปกติ และดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม ถ้าทำได้ ท่านก็จะยากประพฤติผิดประพฤติชั่ว ถูกไหม (ถูก)  แต่เราทำดีเพื่ออะไรหรือ เพราะว่ารากฐานแห่งความสงบและความเจริญของชีวิตคน จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีหัวใจที่เมตตาและปรารถนาดีต่อกัน ท่านว่าจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอยู่กันอย่างคนจับผิดคิดร้าย มองในแง่ไม่ดี ล้วนเป็นรากฐานให้เราสร้างบาปกันจริงไหม (จริง)  เวลาเราอยู่อยากมีความสงบ อยากมีความเจริญในชีวิต มองเขาดีหรือมองเขาร้าย (มองเขาดี)  มองเขาด้วยหัวใจเมตตาหรือมองเขาด้วยการจับผิด (มองเขาด้วยหัวใจเมตตา)  เช่นนั้นหรือ แล้วรู้ไหมว่าทำดีมีค่าตรงไหน ทำดีมีค่าตรงที่คนที่มุ่งมั่นปฏิบัติดีจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว คนมุ่งมั่นปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม จะไม่มีผลเป็นทุกข์ ไม่มีผลเป็นเภทภัยต่อกัน  ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรหรือที่เราจะล้มเลิกไม่ทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ควรที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติดีจริงไหม (จริง)  แล้วอะไรล่ะเป็นเหตุแห่งความไม่ดี นอกจากการผิดศีล นอกจากการติดอบายมุข ใครพอตอบเราได้บ้าง (อารมณ์ต่างๆ)  อารมณ์ต่างๆ เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งกรรมเวรใช่ไหม (ใช่)  แต่หยุดอารมณ์ได้ไหม (ได้)  จริงๆ แล้วต้นเหตุแห่งความผิดพลาดต้นเหตุแห่งเภทภัยต่างๆ มีสาเหตุง่ายๆ ไม่กี่เรื่อง มีสามเรื่องอะไรบ้าง  (ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่ไหม (ใช่)  มีใครหักห้ามความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้เราก็หนีไม่พ้นเหตุแห่งเภทภัยใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะบอกให้ง่ายๆ ก่อนจะได้โลภ โกรธ หลง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในจิตใจมนุษย์มีไม่กี่อย่างหรอก มนุษย์ทุกคนรักสบาย เมื่อรักสบายแล้วเอาเปรียบไหม (เอาเปรียบ)  นั่นแหละสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ก่อเวรก่อทุกข์ภัยให้กับผู้อื่น ก็คือชอบรักสบาย พอคิดรักสบายก็เลยเอาเปรียบผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบางทีพอเอาเปรียบแล้วดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เราจะบอกท่านนะ ในโลกนี้ไม่มีใครชนะแท้จริงแล้วได้แท้จริง วันนี้ท่านเอาชนะเขาได้ เอาเปรียบเขาได้ แต่พอถึงวันที่ผลกรรมมันตามสนอง ตอนนั้นท่านถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครได้มากกว่าใคร เอาเขามากเท่าไร ท่านก็จะได้รับผลคืนมากเป็นเท่าทวีคูณ จริงไหม (จริง)  ลองคิดง่ายๆ นะสามีลองเอาเปรียบภรรยาดูสิ ภรรยาลองเอาเปรียบสามีดูสิ เป็นอย่างไร บ่นจำไม่ลืมเลย ลองเอาเปรียบเพื่อนดู เป็นอย่างไร เขาไม่รักเราเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความดีหนึ่งที่เคยทำเพียงแค่ท่านเผลอเอาเปรียบเขาสักนิดหนึ่ง เขาก็ลืมความดีท่านจนหมดสิ้นได้เช่นกัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าเผลอแค่เพียงคิดกินแรงเอาเปรียบ ท่านก็สร้างทุกข์ภัยให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นเวรพ้นภัยได้นั่นคืออะไรรู้ไหม ภัยต่างๆ กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ เล็กๆ กลายเป็นบานปลายมโหฬาร เพราะเพียงคำว่าอดทนไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเพียงไม่อดทนเรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยนะ ท่านเป็นคนอดทนไหม (ไม่ค่อยจะอดทน)  อดทนไม่ได้ปัญหาจะเกิด อดทนไม่ได้เรื่องนิดๆ ก็มีเรื่องมีราวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาที่เกิดอย่าเพิ่งไปถึงเรื่อง โลภ โกรธ หลงเลย แค่เรื่องง่ายๆ คือชอบเอาเปรียบ อดทนไม่เป็น ปัญหาเกิดไหม แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถ้าอย่างนั้นกราบไหว้พระก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายังไม่รู้จักอดทนอดกลั้น แล้วชอบกินแรงเอาเปรียบผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งคือแพ้ไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  เถียงกันฉันต้อง (ชนะ)  ท่านต้องเป็นผู้ (ชนะ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาทั้งมวลล้วนเกิดจากที่ เราแพ้ไม่เป็น เสียไม่ได้ ยอมไม่มี อดทนไม่เหลือใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทะเลาะกันแล้วถึงที่สุดใครถูกใครผิด ว่าอย่างไร (ผิดทั้งคู่) แต่ถึงเวลาเถียงไหม (เถียง) ทะเลาะไหม (ทะเลาะ)  ทะเลาะแล้วผลที่สุดชนะแล้วเราสะใจไหม (สะใจ)  มิตรเมื่อทะเลาะกันความเป็นมิตรก็จืดจาง สามีภรรยาเมื่อทะเลาะกันไม่ยอมกันความรักก็จางหายใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทะเลาะกันจิตใจเราก็รู้สึกย่ำแย่ เข้าหน้ากันไม่ติด แล้วใครล่ะที่ทำให้ตัวเองทุกข์ ยังไม่ถึง โลภ โกรธ หลง แต่ใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก ชอบเอาชนะคนอื่นเป็นที่ตั้ง ถูกหรือไม่
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์คืออะไรรู้ไหม ก็คือ ถือดีใช่ไหม (ใช่)  ต้นเหตุปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงก็คือถือดี ถือดีว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เมื่อเวลาเราถือดีแล้วอวดดีด้วยแล้วความดีก็หดหาย ถูกต้องหรือไม่ (ถูก)  แล้วสิ่งที่น่ากลัวก็คือเวลาที่ถือดีแล้วก็มัวแต่ไปเรียกร้องผู้อื่นให้ต้องปฏิบัติดี โดยลืมเรียกร้องตัวเอง และชอบอ้างว่าฉันหวังดีเลยเข้มงวดเธอ ฉันหวังดีจึงบ่นด่าเธอ
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าการปฏิบัติดีเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าเอาสิ่งที่ดีไปเรียกร้องผู้อื่นจนกลายเป็นเขารำคาญและรังเกียจ สู้ทำตัวเองให้ดีแล้วสอนเขาด้วยการกระทำดีกว่าสอนเขาด้วยคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนที่ถือดีอีกอย่างหนึ่งก็คือบังคับให้ทุกคนต้องทำดีต่อเราจนเราลืมทำดีกับเขาหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  ถึงท่านจะเป็นคนดีทำดีแล้วทำไมบอกว่ายังไม่ได้ดี ถามตัวเองก่อนนะเวลาตัวเองทำดีแล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เอาธรรมะไปเรียกร้องบังคับให้คนอื่นทำ แล้วไปประณามคนอื่นที่ไม่ดีว่าคนชั่วร้าย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีมุ่งแต่บำเพ็ญตัวเองแก้ไขตัวเอง แต่คนที่ยังไม่เข้าใจความดีคือพยายามเรียกให้คนอื่นทำดีต่อตัวเองแต่ตัวเองยังไม่ทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นจำไว้นะ อย่าบอกว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ดีกับเรา ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องสำหรับการประพฤติปฏิบัติธรรม คือเราทำดีกับผู้คนแล้วหรือยัง คนอื่นดีไม่ดีไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าเรามีเมตตาจิต เรามีหัวใจที่รู้จักปรารถนาดีกับผู้อื่น แม้เราทำดีถึงที่สุด เขามองไม่เห็นดี เราก็พอใจแล้วใช่ไหม เพราะเราทำดีไม่ได้หวังคนชม แต่เราทำดีเพื่อหลีกหนีเภทภัยที่เรียกว่า ความทุกข์และเวรกรรมต่างหากใช่หรือไม่(ใช่)
เราคงต้องกลับแล้ว ถ้าอยู่กับเราแล้วเพื่อความดี แต่ท่านกำลังตัดพ้อบ่นว่าเรา เราก็ขอกลับดีกว่าใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่มนุษย์แปลกนะ ชอบเอาตัวเองไปบังคับคนอื่น เราจึงทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าทุกคนยอมรับธรรมชาติของแต่ละคน จากทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาตัวเองไปวัดคนอื่น ชอบเอาความคิดตัวเองไปใส่แล้วกล่าวโทษคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกอย่างหมดทุกข์ หมดเวร หมดภัย จงเลือกที่จะทำสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมแห่งความเป็นคนให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)  ศีลธรรมแห่งความเป็นคน คือ ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนชีวิตเขาเพื่อชีวิตเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าท่านไม่โกหก พูดคำไหนเป็นคำนั้น เขาเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม (จริง)  พูดได้ทำได้ ทำได้พูดได้ศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์)  ท่านอยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยากได้)  ถ้าอยากได้ครอบครัวร่มเย็น รู้จักเคารพให้เกียรติ สุภาพอ่อนน้อม มีหรือครอบครัวไม่ร่มเย็น ซื่อตรงจริงใจ มีหรือเพื่อนฝูงไม่รักใคร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมงคลและความดีทั้งมวล ล้วนต้องเริ่มที่ตัวเรา มีศีล มีธรรมหรือยังถ้ายังขาดศีล ขาดธรรม ก็ยากจะมีสุขจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่จะนำพาให้มนุษย์พบทางที่ดีงาม พบทางที่สงบสุข และพบทางที่บรรเจิด ไม่ใช่เรื่องการเอาแต่ใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำแล้วถูกต้องในทำนองคลองธรรม เอาแต่ใจง่ายที่จะหลงผิด เอาแต่ความคิดง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรม ความถูกต้องดีงาม มีหรือชีวิตนี้จะไม่พบความสุขความสงบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคงพูดกับท่านเตือนท่านได้แค่นี้ ทำหรือไม่ทำ (ทำ)  ทำอย่างคนมีธรรมหรือทำอย่างคนเอาแต่อารมณ์ (อย่างคนมีธรรม)  เอาแต่ใจ (ไม่ทำ)  ก่อนทำอะไร ไม่ว่าคิด พูด ถามตัวเองก่อนว่าตามอารมณ์ หรือตามศีลธรรม (ศีลธรรม)  พูดง่ายทำไม่ง่ายนะ ฉะนั้นจงรู้จักทำให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม คุณธรรมความดี เพื่อยับยั้งชั่งใจ  เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไร ฉะนั้นวันนี้ต้องคิดดีพูดดีมีศีลธรรม เพื่อหยุดยั้งกรรมชั่วที่เราเคยได้ก่อมา ไม่ว่าจะเป็นเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต กาย วาจา ใจ ถ้าวันหนึ่งกรรมมันตกผล แม้ท่านจะมีน้ำตานองหน้า มืออุ้มองค์พระ พระก็คุ้มครองล้างท่านให้พ้นกรรมไม่ได้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวเท่ากับแรงกรรมที่มนุษย์ก่อ  ฉะนั้นหยุดก่อนที่กรรมจะตกผลไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  วันนี้คงมีโอกาสผูกบุญกับท่านแค่นี้มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐           สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  พาชีวิตตนอยู่กับเรื่องใดที่ใด            ไม่ฝึกฝนอะไรพาไกลยาก
คนอยู่กับความเคยชินเป็นส่วนมาก      จึงลำบากกว่าบำเพ็ญในสักวัน
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม  
จิตหนึ่งใจเดียว หนนี้บำเพ็ญแท้จริง เรื่องคำติติง อยู่ในโลกใครพ้นไป  แต่ศิษย์ยอมทุกข์  ชีวิตมีเพียงเศร้าใจ  คิดได้สายไป  ศิษย์รักอาจารย์เสียดาย  ศิษย์อยากบำเพ็ญ  ทบทวนหัวใจเจ้าก่อน  ข้ายังคอยสอน  แต่คนรับฟังหายไป   ขาดศิษย์คนนี้   ธรรมะช่วยคนอย่างไร  เจ้าเหลือน้ำใจ     แด่ฟ้าอาจารย์ไหมเอย
คนไหน คนไหน เป็นเหมือนกัน  แค่คำเย้ยหยัน  ศิษย์ยอมแพ้โดยเปิดเผย  จิตดินใจฟ้า  แพ้เป็นพระใครบ้างเคยเอ่ย  เจ้าเฉยเจ้าทน  อย่างคนคิดเป็นคงดี
    รอศิษย์กลมเกลียว  เหมือนเกลียวกับคลื่นชิดใกล้  เรื่องอยู่ในใจ  อย่าเปรยเลยเป็นเรื่องดี  ศิษย์เอยศิษย์รัก  จากนี้เดินไปอีกที  ให้ถึงสักที  กลับคืนฟ้าที่จากมา
ทำนองเพลง:คำสัญญาที่หาดใหญ่
ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สองวันนี้ใครนั่งฟังธรรมะแล้วมีความสุขมาก ยกมือขึ้น สุขไหม (สุข)   ร้อนจนสุกเลยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์รู้ว่านั่งฟังในชั้นนี้ร้อนจนสุกเลย ใช่ไหม(ใช่)  อาจารย์อยากบอกให้นะศิษย์ ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้เราอิ่มใจ สบายใจ บริสุทธิ์ใจ นั่งไปเราก็ได้บุญ แต่ถ้านั่งฟังแล้วมีแต่ความทุกข์ใจ หม่นหมองใจตัดพ้อต่อว่าคน นั่งฟังไปมันก็บาปใจเปล่าๆ อาจารย์พูดเสมอเกือบทุกๆ ที่  ฉะนั้นวันนี้ศิษย์นั่งได้บุญหรือศิษย์นั่งได้บาป (บุญ)  นั่งได้ธรรมะหรือนั่งได้กิเลสว่าเขา (ธรรมะ) 
ด่าคนที่ชวนมาครั้งหนึ่ง ว่าคนพูดบรรยายครั้งหนึ่ง กลับมาว่าตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่ามาเลย อย่างนั้นหรือเปล่า “บุญ” นั้นอาจารย์บอกได้เลยว่าทำได้ทุกที่ทำได้ทุกคน ถ้าทำแล้วสบายใจ บริสุทธิ์ใจ ก็เกิดบุญ ถ้าทำแล้วเราให้คุณธรรมด้วยก็เป็นการสร้างบุญที่เรียกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน เขาพูดมาเรามีท่าทีอ่อนน้อมกลับ นั่นก็คือการสร้างบุญ เขาพูดดีมาเราอนุโมทนานั่นก็คือการสร้างบุญ ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถสร้างบุญได้ อย่าจำกัดว่าบุญต้องทำที่วัด บุญทำได้กับทุกคน และบุญก็สามารถสร้างได้ทุกที่ แต่อยู่ที่ว่าเราคิดจะให้บุญ หรือให้เวรให้กรรม เวรก็คือการคิดร้าย คิดไม่ดี คิดไม่เป็นมงคล คิดบาป คิดอกุศล เหมือนกับที่ศิษย์รู้ๆ กัน คิดดีก็ได้ (ดี)  คิดชั่วก็ได้ (ชั่ว)  แล้ววันนี้คิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ดีตลอดเลยใช่ไหม ไม่มีเจือปนเลยใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์มีวิธีบอกสุขง่ายๆ สมมติว่าศิษย์ไปอยู่ที่ไหน ศิษย์อยากมีสุขง่ายๆ ให้คิดง่ายๆ คิดเสมอๆ แค่นี้ขอบคุณแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว สุขไหม  ฉะนั้นจะสุขได้ทุกๆ ก้าวทุกก้าวที่เดินก็มีสุขได้ทุกก้าว แต่มนุษย์เราสุขไหม ยังไม่พอ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ยังไม่สุข ทุกข์มันทุกก้าวเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่าต่อไปนี้ ดีแล้ว พอแล้ว สุขแล้ว แล้วตอนนี้สุขง่ายหรือสุขยาก (ง่าย)  ใครๆ มักจะพูดว่า ยังไม่ค่อยสุข ตอนนี้มันทุกข์เหลือเกิน  ฉะนั้นศิษย์มาฟังธรรมแล้วต้องให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วทำให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ เราอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุขหรือมีทุกข์ (สุข)  แล้วทุกวันก้าวมาอย่างสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สามีอยู่กันนานๆ เบื่อไหม (เบื่อ)  ลูกอยู่นานๆ รำคาญไหม (รำคาญ)  อาจารย์ถามหน่อย สามีตอนนี้ภรรยาเป็นอย่างไร น่ารักไหม ไม่มีสัญญาณตอบจากหมายเลขที่ท่านเรียก อาจารย์อยากบอกศิษย์ แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ก็พอแล้ว จะทำให้สุขได้ทุกที่ และสุขได้ทุกคน ถ้าบอกว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ต้องมากกว่านี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ คนที่คิดคือคนที่ทุกข์ คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือคนที่สุขยาก แล้วศิษย์อยากมีสุขหรือมีทุกข์ ถึงเวลาคิดอย่างคนมีสุขหรือคนมีทุกข์ ฉะนั้นบางทีแค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เมื่อศิษย์คิดได้อย่างนี้จะมองโลกได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกว่า อันนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ดี เลวร้าย อันโน้นก็มีแต่เรื่องราวไม่ดี มันอยู่ก็มีแต่หัวใจหดหู่หม่นหมองจริงไหม
เมื่อมองโลกแย่ใจเราก็ (แย่)  เมื่อมองโลกไม่ดีใจเราก็ (ไม่ดี)  เมื่อมองโลกทุกข์ใจเราก็ (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนทีจะแปรโลกแปรใจเราก่อนดีไหม (ดี)  ก่อนที่จะไปเปลี่ยนใครเปลี่ยนใจเราก่อนดีไหม (ดี) 
เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตก็ต้องมีขยับเขยื้อนนิดหน่อยใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าชีวิต ถ้ายึดแล้วไม่ขยับ แปลว่ามันตายหรือเรียกว่าเป็นโรคอัมพฤตอัมพาตใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ขยับเขยื้อนก็ถือว่าเป็นการรู้จักอะไร ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้ชีวิตรู้จักยืดหยุ่นเป็นดีหรือไม่ (ดี)  สมมติว่าอาจารย์โบกพัดขึ้นแปลว่ายืน อาจารย์โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)  แต่อย่างนี้ง่ายไปไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอย่าลุกก็โอยนั่งก็โอย ต้องคิดว่าได้ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตมันยืดแล้วมันไม่หยุ่นขึ้นมานั่นเรียกว่า ใกล้ตายแล้วนะ แต่ว่ามันมีเรื่องอยู่อย่างหนึ่งว่า เราดำเนินชีวิตการมองแต่คนข้างหน้า บางทีมันก็ไม่ใช่จะถูก บางทีเราก็ต้องมองข้างซ้าย ข้างขวาด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าแถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง แถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง สลับกันอย่างนี้ได้ไหม (ได้)  ถ้าแถวไหนผิดแถวนั้นต้องเต้นเป็ดทั้งแถว ตกลงไหม (ตกลง)  เราพร้อมใจกันนะ มีข้อตกลงเหมือนกัน แถวนี้หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ทำตามอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แถวสองต้องแย้งกับอาจารย์ พออาจารย์โบกพัดขึ้น ศิษย์ต้องนั่งลงพออาจารย์โบกพัดลง ศิษย์ต้องยืนขึ้น อาจารย์ย้ำแล้ว ฉะนั้นผิดไม่ได้นะ ฉะนั้นถ้าอาจารย์เอาพัดตั้งแปลว่า (นั่ง)  ถ้าอาจารย์เอาพัดลงอย่างนี้แปลว่า (ยืน)  อาจารย์อธิบายให้แต่ละแถวแล้วโบกพัดขึ้นแปลว่า (ยืน)  โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)
ถ้าผิด ๑ คน โดนทั้งแถวพร้อมไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)  แถวไหนจะตอบยกมือขึ้น เอามือลง จำไว้ ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าตัวเองไม่ผิด คนอื่นก็ไม่เดือดร้อน ตัวเองก็ไม่เดือดร้อนด้วย ธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์ดูแลตัวเองไม่ดี ศิษย์เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง นักเรียนในชั้นเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง)
เรียนเชิญอาจารย์นั่ง อาจารย์จะแย้งหรือตามดี ศิษย์จำไว้ อยู่ในโลกนี้ เรื่องราวบางเรื่องก็ควรตาม เรื่องราวบางเรื่องคิดให้ดีควรตามหรือควรแย้ง การเป็นตัวของตัวเองก็ดี แต่ถ้าเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปแล้วทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ยอมลดความเป็นตัวของตัวเองแล้วตามผู้อื่นบ้างก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นควรตามหรือควรแย้ง เกิดเป็นคนต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ไหลลื่นไปตามผู้อื่นจนขาดจุดยืนของตัวเองก็ไม่ดี
(พระอาจารย์เมตตาเล่นเกมกับนักเรียนในชั้น)
เริ่มจากฝ่ายหญิงก่อนฝ่ายชายนั่งลง ฝ่ายชายเขาเงียบ ฝ่ายหญิงมีนิสัยที่แก้ไม่ได้คือชอบจับผิด ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นกลุ่มหนึ่งก่อน แล้วจะเป็นกลุ่มสองฝ่ายหญิงเขาขี้อาย เขาผิดก็ให้อภัยเขา แต่ถ้าฝ่ายชายผิด ไม่ต้องให้อภัย จับเต้นเป็ดเลยจริงไหม ดีไหม (ดี)  เป็นผู้ชายมันต้องมีความกล้าหาญ ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด เป็ดก็ต้องเป็นเป็ด
อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าอาจารย์บอกว่า การเต้นเป็ดมันก็เหมือนความทุกข์อันหนึ่ง ที่ศิษย์กลัว ศิษย์ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น แต่อาจารย์ถามหน่อย ถ้าลองเป็นเป็ดสักครั้งหนึ่ง ความทุกข์มันจะดูน่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วมันยากเกินจะรับไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด
เข้ามาสู่เรื่องธรรมะกันบ้างดีกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์เข้าใจธรรมะ เพราะการเข้าใจธรรมะมันจะทำให้เรามีหลักในการดำเนินชีวิต และการเข้าใจธรรมะช่วยเยียวยาใจเวลาเจอเรื่องที่เกินยากจะรับไหว ศิษย์เคยไหมอยู่ในชีวิตมันมีทั้งเรื่องที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วเรื่องที่คิดไม่ถึงเกิดขึ้นมันก็มีใช่ไหม แล้วเมื่อมันมี ใจเราตั้งรับทันไหม (ไม่ทัน)  ใจเรามันสู้ไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยเยียวยาใจ และการเข้าใจธรรมนั่นแหละ ไม่ประมาทและพร้อมจะเผชิญทุกข์ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แต่เวลาเราจะเข้าใจธรรมะ บางทีมันเป็นเรื่องยาก ฟังมาสองวันแล้วปลดทุกข์ได้หรือยัง (ยัง)  เข้าใจแล้วปลดทุกข์ได้ไหม (ได้) อาจารย์เข้าห้องน้ำปลดปุ๊บหมดปั๊บทันที ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามันปลดทุกข์ง่ายอย่างนั้นมันก็ดี แต่ชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะปลดทุกข์ได้ มีศิษย์คนหนึ่ง เป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ และบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะมีสุขได้ก็ต่อเมื่อต้องได้ ต้องดี ต้องมีถึงจะสุข ถ้าไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่คนๆ นี้ไม่ใช่แค่นี้ยังบอกอาจารย์อีกว่า อาจารย์ไม่ใช่ต้องได้ ต้องดี ต้องมี และต้องสุข ไม่พอ ศิษย์ยังต้องเป็นคนที่ว่าถ้าจะตาย ก็ต้องขอให้ตายไม่ลำบาก ให้นอนแล้วก็ตายเลย ศิษย์จะโชคดีที่สุดแล้ว
ถ้าเกิดศิษย์จะเจ็บขอให้เจ็บปุ๊บแล้วหายไปเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มักจะชอบกำหนดแบบนี้ กำหนดทั้งความตายของตัวเอง กำหนดทั้งการเจ็บของตัวเอง และกำหนดทั้งการมีชีวิตของตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์คนนี้ยังบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อถ้าศิษย์มีสามี ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข เท่านี้ไหมสุขของศิษย์ ยังไม่พอศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อภรรยาของศิษย์ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข สามีต้องรับผิดชอบ ซื่อตรง ขยัน เอาใจดูแลเราเป็น ปากหวาน ไม่เจ้าชู้ ไม่กะล่อน รับผิดชอบหน้าที่ ศิษย์ถึงจะสุข แต่ศิษย์เชื่อไหมผู้ชายขอผู้หญิงอย่างเดียวอะไรรู้ไหม เลิกบ่น สุขเลยใช่ไหม (ใช่)  เลิกบ่น เลิกใช้เงินเก่ง  ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์คนนี้ กว่าจะสุขได้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วเขาต้องการแค่นี้ไหม (ไม่)  เขายังกำหนดไปว่าถ้าศิษย์เรียนจบขอให้ศิษย์แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก มีครอบครัวที่ร่มเย็น ศิษย์ถึงจะสุข ศิษย์กำหนดสามี หน้าที่การงาน ลูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นเด็กดี ต้องประสบผลสำเร็จ ต้องเจริญก้าวหน้า ต้องเป็นที่พึ่งพา มีเพื่อนกำหนดเพื่อน เพื่อนฉันต้องจริงใจ มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่กินแรง มีเงิน หน้าที่ตำแหน่ง เสื้อผ้าต้องกำหนด
ฉะนั้นความสุขของศิษย์คนหนึ่งถูกตีกรอบไว้แบบนี้เรียบร้อย ฉะนั้นถ้าสามีไม่อยู่ในกรอบ ลูกไม่เป็นดังกรอบที่ศิษย์คิดทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพื่อนไม่เป็นดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เงินไม่ได้ดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตำแหน่งไม่มีดังใจศิษย์หวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีครอบครัวแล้วไม่ร่มเย็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร อาจารย์ถามจริงๆ อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร ตายก่อนหรือศิษย์ ยังตายไม่ได้เพราะไม่ใช่ตายแบบนี้
จะตายก็เมื่อดับแล้วตายเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์จะหลุดพ้นได้อย่างไร เห็นมองทีไร มีความคาดหวังทุกที ยึดติดทุกที ฉะนั้นถ้าเราอยากหลุดพ้นทำอย่างไร ปล่อยวางหรือ อาจารย์จะเล่าให้ฟัง เมื่อศิษย์ยึดมั่นกับความคิดว่าอย่างนี้เรียกว่าสุข ศิษย์ก็ปักใจยึดมั่นว่าอันนี้เรียกว่าสุขจริง สุขแท้ และสุขตัวเดียวเท่านั้นที่ศิษย์จะเจอในชีวิต ถ้าไม่มีแบบนี้ ศิษย์จะไม่มีวันสุขเลย ใช่ไหม มนุษย์ชอบกำหนดตายตัวว่า ความสุขเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วบอกว่าสิ่งที่เรากำหนดนั้น เป็นของจริงสมบูรณ์แบบที่สุด พอไม่เป็นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เรายังหวังให้มันเป็นไปได้ใช่ไหม (ใช่)  ห้ามคนด่า ห้ามเสียเงิน ห้ามผิดหวัง ห้ามล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อห้ามไม่ได้แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ทุกความยากลำบากของชีวิตไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่ตั้งไว้ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ภัยอันตรายภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่คิดผิด และเรื่องราวในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับเรารู้สึกต่อเรื่องราวเช่นไร
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ วิธีอาจารย์ง่ายๆ สนใจไหม (สนใจ)  แค่ทำใจว่างๆ อะไรจะเกิดก็ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว  ฉะนั้นไม่ว่าสามีจะอยู่หรือจะไปก็ (ดีแล้ว)
ถ้าไล่เขา เขาไม่ไป อย่างนั้นก็อยู่ก็ดีแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะโลกใบนี้นะศิษย์ ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยมา อาจารย์ถามหน่อยเงาะป่ามีตั้งหลายตัว ตัวไม่ดำ แต่ทำไมเรามองเห็นตัวดำนั้นน่ารักที่สุดล่ะ (เพราะมันมีดอกไม้สีแดง)  คนมีตั้งมากมาย ทำไมเราไม่ไปรัก คนมีตั้งมากมายทำไมเขาไม่ด่า ทำไมเขามาด่าเรา มารักเรา มาเกลียดเรา มาชอบเรา ใช่ไม่ใช่เพราะบุญกรรมทำร่วมกันมา ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเมื่อเวลาบุญกรรมมันสร้างร่วมกันมา เราจะใช้บุญใช้กรรมนั้นให้หมด หรือเราจะสร้างบุญต่อ แล้วไม่ยึดติดบุญนั้นดี (สร้างบุญต่อ)  สร้างบุญต่อ ส่วนใหญ่คิดอยากสร้างบุญต่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าสร้างบุญต่อแล้วยังหวังผลแปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเจอเขาอีก ใช่ไหม (ใช่)  ถูกไหม (ถูก)  ก็จริงนะ ถ้าศิษย์เอ๋ย ขอว่าให้ฉันร่มเย็น ทำให้สวยวันสวยคืน แปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับบุญอีก แต่จริงๆ แล้ว ความหมายของการศึกษาธรรมคือทำบุญเพื่อละวางความยึดถือในตัวตน เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าอาจารย์มีตัวตน อาจารย์ตีตรงไหน อาจารย์ก็เจ็บถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์ว่างจากตัวตนที่ยึดถือ เชื่อไหมศิษย์ จะตีตรงไหนมันก็ไม่เจ็บ จะมาสุขหรือมาทุกข์ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)  เหมือนเทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์กำหนดว่ามือซ้ายนี่คือสุข มือขวานี่คือทุกข์ วันใดที่อาจารย์เหลือแต่มือซ้าย ไม่มีมือขวาอาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  อะไรนะ มือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ วันหนึ่งอาจารย์มีแต่มือสุข แต่ไม่มีมือนี้สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ถ้าอาจารย์บอกว่ามือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตัดมือขวาไปทิ้ง แล้วเหลือแต่มือซ้าย อาจารย์ถามจริงๆ ว่าศิษย์มีสุขหรือมีทุกข์ (ทุกข์)  ทำไมล่ะ ก็รู้นะว่ามีมือข้างเดียว เหมือนกันศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เรียกว่าสุข ศิษย์ลองเสวยสุขมันทุกวันๆ สิ ทำไมกลายเป็นทุกข์ วันนี้เขาก็ชม พรุ่งนี้เขาก็ชม มะรืนเขาก็ชม มะเรื่องเขาก็ชม ทั้งปีเขาก็ชม ชมอยู่อย่างเดียว  สวยๆๆๆ  ชมอย่างนี้ทุกวันจากที่สุข  เราก็จะรู้สึกว่ามันบ้า หรือเปล่านะใช่ไหม
ถ้าศิษย์เข้าใจ ก็อยากให้ศิษย์เข้าใจในหลักธรรม เพราะหลักธรรมคือความจริงของโลกที่ไม่สอนให้ศิษย์แยกตัวเองออกจากธรรม แต่สอนให้ศิษย์อยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง ความจริงสอนให้เรารู้ว่า เราอย่าแยกตัวเอง และเราอย่าพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เรียกว่าธรรม แต่จงอยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง แล้วจะมีสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบแยก ฉันอยากได้หน้าไม่อยากได้หลัง ฉะนั้นเวลาเจอศิษย์ อาจารย์ต้องให้ศิษย์เห็นแต่ด้านหน้า ห้ามให้ศิษย์เห็นด้านหลังเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ชอบความสว่างไม่ชอบความมืดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นธรรมชาติยังสอนเลยว่า ฟ้ามีมืดมีสว่าง คนอยู่กลางระหว่างฟ้าและดิน มืดกับสว่างอย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราจึงเรียกว่าชีวิต ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราอยากศึกษาธรรม ชีวิตมีสุขและมีทุกข์ ธรรมะไม่ได้สอนให้เรารักสุข เกลียดทุกข์ รักดีด่าชั่ว ธรรมสอนให้เราตั้งตนอยู่ตรงกลาง แล้วยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าสุขหรือทุกข์ด้วยหัวใจปกติ จึงเรียกว่ามีธรรม แต่มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นไหม เราชอบแยกธรรมะ ฉันต้องเอาแบบนี้ ฉันไม่เอาแบบนั้น แล้วกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วใช่ธรรมะไหม มีไหมพระพุทธองค์ มีไหมพระองค์ไหนที่ศิษย์กราบไหว้บอกว่า ให้ด่าคนชั่ว ให้แช่งคนไม่ดีมีไหม (ไม่มี)  แล้วศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม เป็นศิษย์ของพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ไหม ฉะนั้นเจอคนชั่ว ด่าหรือไม่ด่า (ไม่ด่า)  ฉะนั้นอาจารย์อยากสอนว่า ถ้าศิษย์แปรเปลี่ยนจากความโกรธเกลียดเป็นใจที่ปกติเรียกว่าศีล เรียกว่าธรรม แต่ถ้าใจมันเอียงซ้าย เรียกว่าบุญ เอียงขวาเรียกว่าบาป แต่ถ้าปกติ เรียกว่าธรรม ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ด่าก็ได้ ทุกข์ก็ได้ โกรธก็ได้ เสียก็ได้ ใจยังคงปกติ นั้นแปลว่าศิษย์เข้าถึงธรรม แต่ถ้าศิษย์ยังเอียงว่า ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เรียกว่าการก่อกรรม ไปด้านดีเรียกกรรมดี ไปด้านชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว ถ้ามากไปด้านดีเรียกว่ากรรมดี และศิษย์ยังหวังผลแปลว่า ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับกรรมดี ใช่ไหม (ใช่)
แต่ถ้าศิษย์ไปด้านชั่ว ศิษย์เกลียดเขา ด่าเขา ชิงชังเขา โกรธแค้นเขา นั่นคือศิษย์กำลังสร้างกรรมชั่ว ที่เรียกว่า วิบากกรรมหรือเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวรกรรมหนีไม่พ้นคือนรก อบายภูมิ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนอะไรกระทบ ยังเอียงดี ยังเอียงชั่ว ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาปที่เรียกว่า สนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เจอเรื่องอะไรมากระทบ ศิษย์รักษาใจปกติ เห็นชัดไม่โกรธ เห็นชัดไม่ด่า เห็นชัดไม่ลุ่มหลง รักษาใจปกติได้ นั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม เราศึกษามาตั้งนาน เราเคยเข้าถึงธรรมบ้างไหม เราวิ่งไปแต่ด้านกรรมเดี๋ยวก็ไปทำกรรมดีเดี๋ยวก็ไปทำกรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็วิ่งวนรับสนองผลกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมะไม่ได้สอนให้เราแตกแยกไม่ได้สอนให้เราขัดแย้งแต่สอนให้เรากลมกลืนสอดคล้องฉะนั้นอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมมีคนดีตลอดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมมีคนเลวตลอด (ไม่ได้)  เมื่อเราห้ามไม่ได้ห้ามเขาไม่ได้เปลี่ยนเขาไม่ได้รักษาใจตัวเองดีกว่าไหม ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้เปลี่ยนแปลงใคร แต่ธรรมะสอนให้ดูแลใจให้เข้าถึงธรรมแค่นั้นเอง เมื่อเรายอมรับความปกติได้ มันก็สงบ มันก็เย็น มันก็วาง มันก็สุข แม้โดนด่าเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  โดนคนเอาเงินไปไม่คืนเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  สามีไปไม่กลับเป็นเรื่องปกติภรรยาด่าไม่จบเป็นเรื่องปกติ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้บนโลกนี้มันมีวันหมดอายุจริงไหมล่ะ (จริง)  ด่าสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  รำคาญไปสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  ใจของมนุษย์เรา ใจเราเองเรารู้ดีโกรธมากๆ มันเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  โกรธมากๆ เหนื่อย เหนื่อยสักพักเดี๋ยวขอหยุดโกรธก่อน สักพักค่อยมาโกรธใหม่ใช่ไหม (ใช่)  มีแบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์นึกว่าโกรธแล้วจบแล้วจบกัน มีค่อยมาโกรธมาด่ามันใหม่ แบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์ตกใจมนุษย์มีโกรธภาคสองภาคสามต่อด้วยเพิ่งรู้นะ
อยากอยู่กับคนอื่นอย่างสันติสุขลองทำหัวใจให้ว่าง ไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต ไม่มีตัวตน ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่กับคนก็บังคับให้คนต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบนั้น พอเขาไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่ยึดติด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลก แล้วไม่ทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกทั้งมวล ลองทำหัวใจให้ว่าง อยู่กับเขาแบบไม่ยึดมั่นไม่คาดหวังไม่ผูกติดได้ไหม ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แม้ลูกจะเกเรก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้วันนี้จะเป็นทุกข์ไม่ใช่สุขก็ได้ แล้วศิษย์จะเข้าใจความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา ไม่ร้ายไม่ดี จะร้ายจะดีอย่างไรเราก็หนีไม่พ้นบนโลกนี้ใช่ไหม อาจารย์ขอถามหน่อย ในโลกนี้มีอะไรไม่มีคู่ มีไหม (ไม่มี)  มีค่ะอาจารย์หนูอยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้ คำว่าคู่ของอาจารย์หมายความว่า ในโลกนี้มันมีภาวะคู่เสมอ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีชมก็ต้องมีติ มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย ถูกไหม (ถูก)  มีคนหนุ่มมันก็ต้องมี (คนสาว)  ฉะนั้นคนหนุ่มสาวเกลียดคนแก่ดีไหม (ไม่ดี)  คนแก่เกลียดคนหนุ่มสาวได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า ถ้าเราเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนเกี่ยวพันกันเราจะอยู่กันอย่างกลมกลืนสอดคล้องได้ใช่ไหม ถ้าเรายึดติดว่าฉันชอบแต่คนแก่ ไม่ชอบคนสาวเราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)
เราชอบคนชมไม่ชอบคนด่าถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความเป็นจริงอะไรๆ มันก็ปกติธรรมดา การเรียนรู้ธรรมคือ หันกลับมามองว่าต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่เขา มันไม่ได้อยู่ที่ใคร หรือมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวอะไร แต่มันเกิดจากใจของเราที่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มองความจริง และไม่ยอมรับความจริง เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขก็จงยอมรับว่าแก่ก็ (ทุกข์)  ศิษย์เอยจะแก่จะเด็กก็ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าคิดไม่เป็น จริงไหม (จริง)  ถ้าแก่แล้วยังไปทำให้ตัวเองทุกข์นั้นก็คือคนโง่ น่าจะดีใจว่าชีวิตผ่านมาร้อนหนาวมาหลายปีแล้ว ยังรอดมาได้ถือว่าโชคดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  และยังโชคดีที่ได้แก่ปานนี้ แต่เด็กๆ สิน่ากลัว ไม่รู้ว่าชีวิตจะได้แก่หรือไม่ ก็ไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกคุณค่าคนแก่ เพราะมีคนแก่เราถึงได้มีชีวิตยาว ฉะนั้นถ้ารักแต่วัยหนุ่มสาวคึกคะนอง ท่านได้ตายก่อนแก่แน่ จริงไหม (จริง)  อาจารย์ถึงบอกว่าการเรียนรู้เข้าใจธรรม คือการยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนดี อย่าไปกำหนด ขอให้ตายได้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ  ถ้าเกิดมาไม่ตายทรมานนะ เกิดมาไม่เจ็บลำบากนะ จริงไหม (จริง)  อาจารย์บอกให้ถ้าเกิดมาแล้วตายเลยไม่เจ็บ ดีไหมล่ะ (ดี)  ศิษย์ลองไปถามคนที่เรียนๆ อยู่แล้วตายเลย แล้วเขาจะบอกว่าขอเจ็บก่อนเถอะ อาจารย์จะบอกให้เจ็บก่อนดีตรงไหน ความเจ็บมันเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าศิษย์กำลังผิดปกติแล้ว ศิษย์ต้องดูแลความผิดปกตินั้นให้ดี เพราะถ้าดูแลไม่ดีศิษย์จะตายโดยไม่ต้องเจ็บจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเข้าใจชีวิตมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ไหนบอกอาจารย์มา ไม่มี โดนด่ายังดีเลย โดนคนเอาเงินไปแล้วไม่คืนก็ดี ดีตรงไหนล่ะอาจารย์ ดีแล้วขอให้หมดเวรหมดกรรมกัน ชาตินี้จบพอแล้วไม่ติดหนี้กันอีกแล้ว ใช่ไหม
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าเรายอมรับความเป็นปกติของชีวิต ที่มันดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุขได้ ศิษย์จึงบังเกิดธรรม แล้วเชื่อไหมว่า กรรมจะไม่มี มันจะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างอีกแล้ว บาปไม่มีอีกแล้ว แล้วไม่ต้องพยายามทำบุญเพื่อเสวยบุญอีกต่อไป เพราะขอเท่านี้ก็พอแล้ว ดีไหม (ดี)  ทำตรงนี้ เดี๋ยวนี้ตรงนี้ได้เลย แค่ยอมรับอะไรๆ ก็ดี ดีที่ได้เรียนรู้เข้าใจ และไม่เกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป หรืออยากจะเกี่ยวกรรมอีก  (ไม่อยาก)  แต่ศิษย์มักจะบอกว่าอาจารย์บางทีคนเรายังต้องมีอารมณ์รู้สึกบ้าง จะให้รักษาใจปกติ ไม่รู้สึกมันทำใจยากนะอาจารย์ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายออกมา)  อาจารย์การจะรักษาใจให้ปกติ ไม่ให้รู้สึกอะไร มันยากนะ ถ้าอาจารย์ถามว่า จะทำอะไรก็ทำไป รู้สึกอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ก็ทำไป ก็ปล่อยอารมณ์มันออกมาเลยใช่ไหม ถ้าสมมติอาจารย์หมั่นไส้คนนี้แล้ว ตีแบบนี้ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่เป็นไรศิษย์เดี๋ยวอาจารย์ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำอะไรก็ช่างมัน ไม่รู้สึกรู้สา จิตไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้ บางทีเราเกลียดมัน เบื่อ รำคาญ ด่ามันไปเลย ทำร้ายมันไปเลยดีไหม (ไม่ดี)  เดี๋ยวค่อยมา ขอโทษนะเธอ ถ้าทำแบบนั้นมันแก้อะไรกันได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ของอาจารย์ปล่อยให้รู้สึกรู้สา สร้างเวรกรรมเต็มที่แล้วค่อยไปทำบุญที่วัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา ลบล้างใจเขาได้ไหม (ไม่ได้)   “ขอโทษนะเมื่อสักครู่ไม่ได้ตั้งใจ แค่มือพลั้งไป” หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นหยุดก่อนสร้างกรรม หรือสร้างกรรมแล้วค่อยหยุด (หยุดก่อนสร้างกรรม)  ไม่เอาอาจารย์ มันต้องรู้สึกรู้สาก่อนสิ ด่ามันให้สะใจก่อน เดี๋ยวค่อยไปสร้างบุญใช่ไหม ถูกไหม หยุดก่อน พลั้งมือ ทำร้าย เกี่ยวกรรมสร้างเวรกรรม  หรือไปสร้างเวรกรรมแล้วสร้างบุญชดเชยอะไรประเสริฐกว่ากัน ศิษย์โกรธเต็มที่ไปรักมาเต็มที่ ไปเกลียดมาเต็มที่ ไปด่ามาเต็มที่ แล้วทำบุญชดเชยทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นสู้หยุดแล้วมองอย่างเข้าใจ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่า ไม่หลง ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์มา ท่านจึงบอกว่า อย่าพยายามไปกดมัน อย่าไปพยายามบังคับมัน อย่าไปพยายามคิดถึงมัน เพราะความคิดการกด ไม่ช่วยให้เราดีขึ้น วิธีที่จะดีที่สุดคือ เปิดใจกว้าง ยอมรับความจริง ด้วยสติยั้งคิด เขาก็คือส่วนหนึ่งของธรรม เขาร้ายมากเท่าไร เราไม่ต้องทำอะไร เราก็ดีขึ้นดีขึ้น โดยไม่ต้องมีคำชม จริงไหม
สมมติว่าอาจารย์ด่าศิษย์คนนี้ว่า เลว ชั่ว อ้วน ศีรษะล้าน ใครเลว อาจารย์เลวใช่ไหม แต่ถ้าเขายืนเฉยๆ ไม่พูดอะไร แถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นอย่างไร มันสุดยอดนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น เรานิ่งได้ เราสงบได้ เราเย็นได้ เราคือผู้ที่เข้าถึงธรรม แต่คนที่กำลังโกรธ เกลียด เขากำลังตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในนรก  ฉะนั้นถ้าเราเย็นได้ ว่ามันก็แล้ว เกลียดมันก็แล้ว มันยังยิ้มอยู่อีก ศิษย์ลองปล่อยให้เขา
ด่าสัก ๑๐ วัน แล้วศิษย์ไม่โกรธเลย เชื่อไหม เราจะแปรเปลี่ยนคนที่ตกนรกให้ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยหัวใจที่ปกติ เขาก็จะหันมาถาม แกมีดีอะไรนะ ทำไมแกไม่โกรธฉันเลย ฉะนั้นจึงถามศิษย์อย่างไรล่ะ จะเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น หรือจะหยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง (หยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง)  ถ้าศิษย์หยุดได้ ศิษย์ยังแปรเปลี่ยนคนที่กำลังจะสร้างกรรมกับเราให้เขาพ้นทุกข์ได้ด้วยความเข้าใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นควรจะรู้สึก หรือไม่รู้สึกดี อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่รู้สึก แต่เข้าใจใจที่มันปกติ รู้สึกไปมันก็เจ็บ ด่าไปมันก็ทุกข์ รักมากไปมันก็เต็มไปด้วยน้ำตาจริงไหม (จริง)  หลงมากไปมันก็ตามืดบอด แล้วเราควรหรือที่จะมองเห็นแค่นี้ ถ้าเขาเป็นทุเรียน อาจารย์จะกินแต่เปลือก หรืออาจารย์จะกินเนื้อ (เนื้อ)  อย่างนั้นถ้าศิษย์เป็นคนๆ หนึ่งที่มันทำให้เราได้เห็นเนื้อ ได้เห็นแก่นแท้ เราจะมัวแต่ติดเปลือก หรือเราจะเอาให้ถึงเนื้อ เอาให้ถึงเนื้อในนั่นแหละที่แท้มันคือธรรม ที่ทำให้เราเข้าใจสัจธรรม เนื้อแท้แห่งความเป็นคนของเขาที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้ มีแต่ทุกข์ แล้วก็ว่างจากตัวตน เมื่อเราไม่ยึดมั่นได้ เมื่อนั้นแหละเราจะพบธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จำไว้นะศิษย์อะไรก็ดี ไม่นั่งก็ดี ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม ทำนองเพลง :คำสัญญาที่หาดใหญ่ ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน)
ร้องได้ไหม (ได้)  เพลงนี้เศร้านิดหนึ่งนะ เป็นเพลงที่กลั่นออกมาจากใจ ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์คนหนึ่ง เขาได้รับรู้ เพียงแค่โดนว่า เพียงแค่โดนด่า ศิษย์ก็ไม่เอาอะไรแล้วหรือ ศิษย์ก็ไม่อยากดีแล้วหรือ มันน่าเสียดายนะศิษย์นะ ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าแค่โดนว่านิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว เสียดายนะศิษย์จริงไหม
อาจารย์เอากลอนของท่านแปดเซียนมาแยกเป็นคำๆ และอาจารย์จะวงคำข้างใน ให้มีความหมายอีกความหมายหนึ่งเพื่อฝากไว้เป็นสิ่งเตือนใจศิษย์ ได้หรือไม่ (ได้)  ช่วงที่บางคนยังไม่ได้วง ตอบคำถามได้อาจารย์มีรางวัลให้เอาไหม (เอา)  แต่ถ้าเกิดรางวัลที่อาจารย์ให้ไป กินแล้วมันต้องทุกข์เอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องเจ็บเอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องตายเอาไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงนะ (ไม่เอา)  พูดจริงหรือ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเอาไม่เอา (ไม่เอา)  นักเรียนเอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามจริง ศิษย์ไม่เอาสักวันศิษย์ก็ต้องเอา ถูกไหมล่ะ (ถูก)  ศิษย์ไม่กลืนกินมันให้ได้สักวันมันก็จะกลืนกินศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้ตั้งมือยอมรับกับมันดีกว่าว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บ ความปวดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และความตายก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทุกข์ทน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะถามว่า ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ทุกข์ ตอบได้อาจารย์ให้รางวัล รางวัลที่ได้ไปแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างเป็นคนที่ไม่ทุกข์ ดีไหม (ดี)  รับมันให้ได้ มันคือใจและคือความเป็นจริงของทุกชีวิตที่ต้องเจอ ทุกชีวิตที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ดี ความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันทำให้เรามีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จริงไหม (จริง)
มีใครตอบอาจารย์ได้บ้างมีไหม (ทำใจว่างๆ)  อย่างนั้นเอาแอปเปิลว่างๆ ไปไหม (เอา)  มีใครอยากตอบอีก ถ้ารับแอปเปิลอาจารย์ไปแล้วแอปเปิลอาจารย์มันว่าง แต่แอปเปิลมันกินแล้วต้องกล้าทุกข์ กล้าเจ็บ กล้าป่วยนะ ได้ไหม ทำใจว่างๆ นะ ฉะนั้นเอาแอปเปิลนี้ไปก็จะไปแบบว่างๆ นะ (คิดแต่สิ่งดีๆ)  ถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ ศิษย์ก็มองเป็นด้านดี ใช่ไหม ก็ศิษย์บอกอาจารย์เองให้คิดด้านดี ฉะนั้นถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ก็จะไม่โกรธมองในด้านดี ใช่ไหม (ใช่)  คิดในด้านดีไว้นะศิษย์ แต่บางทีในด้านดีแม้จะมีร้ายเราก็ต้องมองให้เห็นว่ามันมีดี แล้วเราก็จะได้ไม่จมอยู่กับความแย่ใช่ไหม (มองโลกให้กว้างๆ)  มองโลกให้กว้างๆ ไม่ว่าจะบวกจะลบก็ทำใจให้ได้นะ
(ทำใจจิตว่างให้อยู่กับธรรมะ)  การจะทำจิตใจให้ว่างคือต้องมองว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ทำจิตใจให้ว่าง ถึงเวลามันว่างได้จริงๆ ไหม มัวแต่เลอะเลือนมันก็ไม่ว่างหรอกนะ ใช่ไหม (ให้อภัย)  รู้จักการให้อภัย แล้วก็ให้ธรรมแก่เขา ให้ความปราณี ให้ความเมตตา เมื่อให้ความเมตตาจะลดพยาบาท เมื่อให้ความกรุณาจะลดการเบียดเบียน
(รู้จักปล่อยวาง)  อย่างนั้นแปลว่าจะไม่รับแอปเปิลใช่ไหม รู้จักละวางทำให้ถึงที่สุดจำไว้นะศิษย์ ก่อนจะปล่อยวางศิษย์ต้องทำให้ถึงที่สุด ทำให้ถูกต้องในศีลธรรม แล้วถึงเวลาใครจะว่าใครจะชมเราต้องปล่อยวาง นี่ถึงจะเรียกว่าปล่อยวาง และละวางอย่างถูกต้อง ทำให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าไม่ทำยังปล่อยไม่ได้ จริงไหม รับผิดชอบหน้าที่ให้ดี ทำตัวเองให้มีศีลธรรม (ปลง)  ให้มันปลงได้จริงๆ เถอะถึงเวลาคิดได้ ปลงไม่ตกก็มีใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดไม่ได้ มันก็ปลงไม่ตก แต่เรื่องของอารมณ์ต้องใช้สติ อย่าใช้ความคิด กับคนบางคนต้องคิดให้ได้ปลงให้ตก แต่กับเรื่องของหัวใจต้องใช้สติยั้งคิด ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์
(รู้จักให้อภัย)  ก่อนจะให้อภัย แปลว่าต้องโกรธเขาแล้วถึงจะพยายามให้อภัยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์ยังรู้สึกว่ายังต้องให้อภัยแปลว่าลึกๆ ในใจศิษย์ยังโกรธอยู่ แต่ถ้าศิษย์ใช้ความเมตตา ใช้ความเข้าใจ ไม่ต้องอภัย ใช้ความเข้าใจใช้ความเมตตา จะดีกว่านะ (สามารถค้นหาและทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะทำ อันนี้คือเปิดเผยมาก แต่ความสุขเหล่านั้นของเรามันเป็นความสุขที่ห้ามไปเบียดเบียน หรือไปทำร้ายคนรอบข้างเราหรือคนอื่น ก็คือเรามีความสุขได้ ก็คือทำอะไรก็ได้โดยที่แบบไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องมีอะไรมากีดกัน)  ความหมายของศิษย์ก็คือทำในสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าความสุข แต่ความสุขนั้น ต้องไม่ตั้งอยู่บนการเบียดเบียน คดโกงหรือทำร้ายใคร ใช่หรือ ไม่ ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ตอบได้ดีนะ ตอบได้ดี มีใครตอบอีกไหม (เข้าใจค่ะ เข้าใจในที่นี้ก็คือ เราต้องเข้าใจก็คือ เริ่มจากเข้าใจตัวเราเองก่อน เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจธรรมชาติของทุกอย่าง เข้าใจคนอื่นมีความเข้าใจค่ะ)  เพราะใจของคนเหมือนกันทุกคน รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนพูดดีไม่ชอบคนพูดร้าย ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนเคารพให้เกียรติ ฉะนั้นถ้าเราเอาใจของเราตรงนี้ ไปปฏิบัติกับผู้อื่น เราก็จะเข้าใจคน และเราก็จะไม่เอาสิ่งนั้นไปทำร้ายคน ใช่ไหม หน้าตาเหมือนไม่ยอมรับเลยนะ
(มีสติแล้วก็อดทนกับสิ่งที่มากระทบ)  แต่ระวังนะ บางทีความอดทนมันก็มีจำกัดนะ อาจารย์อยากบอกศิษย์ เปิดใจให้กว้างแล้วกล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และยอมรับความเป็นจริง ไม่ต้องใช้คำว่า “อดทน” แต่ใช้คำว่า “พยายามเข้าใจ” เพราะอดทนมันมีขีดจำกัดจริงไหม (จริง)  (อยู่กับความจริง)  ทำให้ได้อย่างนั้นนะ อยู่กับความจริง ห้ามอยู่กับสิ่งที่คาดหวังในใจ เขาไม่รักก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่รัก เขาได้แค่นี้ก็ต้องยอมรับว่าแค่นี้ (มองโลกในแง่ดี)  แต่ศิษย์จำไว้นะ บางทีแม้โลกมันจะมีดีมีร้าย แต่จงจำไว้ว่า “ลองหาดีในร้ายให้เจอ” แล้วเราจะไม่ได้ทุกข์กับมัน และในดีเราลองมองให้ดีว่ามันก็มีร้าย เราจะได้ไม่หลงกับมันเกินไป
(ที่เป็นทุกข์ก็เพราะว่าไม่เข้าใจตัวเอง)  ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง แล้วอยากให้อาจารย์ปลดทุกข์ให้ใช่ไหม แล้วเราเคยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายบ้างไหม เราเคยยอมคนได้ไหม ถ้าอยากเข้าใจ อยากปลดทุกข์ ถามตัวเองก่อนยอมคนเป็นไหม ให้เขาโดยไม่หวังผลได้ไหม ถ้าทำได้แบบนี้ศิษย์ก็ไม่ทุกข์หรอก มนุษย์ทำอะไรชอบหวังผล ทำอะไรชอบเอาชนะ ทำอะไรชอบถือทิฐิอัตตาตัวตนมันเลยทุกข์ใช่ไหม (รักษาใจให้ปกติ)  รักษาใจให้ปกติดีนะ
(ต้องตั้งสติ ทำดี มองในแง่ดี)  ตั้งสติ คิดดี ทำดี แล้วก็ต้องละชั่วให้ได้ด้วย ใช่ไหม ละกิเลสอารมณ์ที่เป็นต้นเหตุที่มาทำให้เราทำผิดคิดร้ายให้ได้ด้วยนะศิษย์ คิดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่วก็เปล่าประโยชน์นะ (ต่างคนต่างอยู่ไม่จองเวรจองกรรม)  ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายเราล่ะ (เย็นไว้)  แล้วถ้าเขายังทำอีกล่ะ (นับหนึ่งถึงสิบ)  ถ้าเกิดเขายังทำอีกล่ะ ก็คิดเสียว่าเราจะได้จบเวรจบกรรมกันนะ ให้อภัยเขาก็ได้สันติใช่ไหม (แผ่เมตตา)  รักษาจิตจำไว้ศิษย์ ใครจะทำอะไรไม่ต้องไปสนใจ รักษาจิตของเราให้ปกติยกใจให้สูงให้ได้ อย่าทำให้เขาทำร้ายเราทั้งกายและใจ ให้เรามีกรรมแค่สังขาร แต่ไม่มีกรรมทางใจให้เขาทำร้ายเราได้แค่กายแต่ไม่ทำร้ายใจทำให้ได้นะ
(ต้องมีความอดทนอดกลั้นควบคุมอารมณ์ของเราเองให้ได้)  ถ้ารู้จักพอ เราก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าไม่พอก็ต้องอดทนอดกลั้นไปตลอดนะใช่ไหม (ยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามีอะไรมากระทบ)  ให้ได้อย่างนั้นนะ (คิดดีพูดดีไม่พูดให้คนอื่นเสียใจ)  คิดดีพูดดีไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ แต่อย่าเผลอพลั้งอารมณ์ เพราะถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์นั่นแหละ จะทำให้เราคนดีกลายเป็นคนร้ายได้เสมอ จริงไหม (ตัดกิเลสจากใจเราให้ได้ก่อน)  แต่ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ้นทุกข์ได้ก็สิ้นกิเลสได้ แต่สิ้นกิเลสได้อาจจะไม่สิ้นทุกข์ก็ได้ ลองพิจารณาคำของอาจารย์ให้ดีนะจริงไหม
(ผิดก็ยอมรับผิด) ตอบได้ดีนะ จิตสำนึกที่ดีงามเป็นโอกาสที่จะทำให้เราแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งมวลได้ แค่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช้ความเมตตาปราณี)  เมื่อเมตตาจะไม่พยาบาท เมื่อกรุณาจะไม่เบียดเบียน เมื่อยินดีในเขาเป็นสุขจะไม่ริษยา เมื่อวางใจเป็นกลางจะไม่ยึดติดถือดี มีความอดทนอดกลั้น ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่าพรหมวิหารสี่ (เป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ)  ตอบได้ดีทำให้ได้อย่างนั้นนะ และจงจำไว้ว่าสิ่งที่เราทำให้ ไม่ใช่ต้องการให้คนชม แต่เราทำเพราะเราอยากหนีห่างจากความชั่ว และขอเป็นคนทำดีแบบปิดทองหลังพระ มีธรรมะไว้ในจิตใจ กราบพระจงอย่าเห็นแต่ความสวย แต่จงเอาธรรมะกล่อมเกลาใจนะ
(ต้องทำใจให้เย็น)  ต้องทำใจให้เย็น ไม่ว่าน้ำจะกลายเป็นน้ำเดือดก็ตาม ก็ต้องกลับมาเย็นให้ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไร ถ้ามันเดือดร้อน วู่วาม นิ่งก่อน นิ่งจะทำให้เกิดสติ แต่ถ้าร้ายมา ร้ายกลับมันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย และเป็นอารมณ์ ฉะนั้นจงหยุดให้เป็น จงเย็นให้ได้ ใช่ไหม เพราะถ้าชีวิตคนหยุดไม่เป็นก็ไม่มีวันเย็นได้
(ตั้งใจทำความดี)  แต่ทำความดีต้องลดละการเบียดเบียนชีวิตนะ (ต้องมีเมตตา มีสติ ขอบคุณทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
(อยู่อย่างพอเพียงและเพียงพอ)  แล้วเมื่อไรจะพอเพียงและเพียงพอจะได้ไม่ทำร้ายร่างกาย ทำให้ได้นะ
(ตั้งสติ ปล่อยวาง ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย)  ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด มีศีลมีธรรม ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว รักษาจิตของตัวเองให้ดีนะ
(ยอมรับความจริงเปิดใจให้กว้าง)  ถ้าเกิดคนนั้นเป็นลูกเรา คนนี้เป็นเพื่อนบ้านเรา เข้าข้างใครมากกว่ากัน
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ทำให้ได้อย่างนั้นเถอะนะ กลัวถึงเวลาทำไม่ได้ อยู่อย่างไม่เบียดเบียนคือไม่ฆ่าเขาเพื่อชีวิตเรา ใช่ไหม
(สอนลูกและสามีให้เดินในทางที่ดี) ขอให้ยิ้มให้เก่งก็พอนะ เพราะบางทีสอนไปมากๆ เขาก็ไม่ฟังนะศิษย์เอ๋ย สู้การทำให้ดูดีกว่า
(ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น) แค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในข้างหน้านี้ให้ดี แล้ว ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ต้องขยันรู้ไหม
(รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน)  ถ้อยทีถ้อยอาศัย เคารพให้เกียรตินะ  (อยู่อย่างมีเหตุผล)  บางครั้งเหตุผลของเราก็ถูก แต่เหตุผลของคนมักง่ายที่จะเข้าข้างตัวเอง เพราะคนทุกคนต่างมีเหตุผล ใช่ไหม เปิดใจให้กว้างยอมรับแค่นี้ให้ได้ แม้เขาจะเป็นได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม
(เป็นคนที่สงสารเพื่อน สงสารและก็เอ็นดูด้วย ทำให้มีความสุขใจไม่เกิดทุกข์)  รู้จักมีจิตที่สงสาร จิตที่สงสารจะทำให้เราไม่เบียดเบียนใครนะจำคำของอาจารย์ไว้ จิตที่รู้จักสงสาร จิตที่รู้จักมีเมตตา จะมีแต่ให้และไม่เบียดเบียนใคร รักษาใจนี้ไว้นะ (การให้ที่สำคัญคือการให้อภัย แล้วก็มีสติ อย่าใช้อารมณ์ก่อนพูดเสมอ) ทำให้ได้นะ (ถือศีลห้าอยู่ที่บ้าน ทำจิตให้ว่างอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด)  ศีลห้าครบจริงๆ หรือไม่โกหกจริงๆ หรือ ยุงไม่ตบจริงๆ หรือ (ยอมรับความจริงของตัวเอง แล้วยอมรับความจริงของคนอื่น ไม่คาดหวังและตีกรอบคนอื่น)  ทำให้ได้นะไม่เสียทีที่ฟังอาจารย์
(อย่าไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นทุกข์)  ใช่ถ้ายอมรับมัน บางทีความทุกข์มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต และบางทีความทุกข์นั่นแหละ ทำให้เรามีชีวิตจริงไหม (จริง)  ถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักชีวิตหรือ จริงไหมศิษย์ (จริง)  เพราะรู้สึกจึงทุกข์ แต่ถ้าเราไม่รู้สึก เราไม่ทุกข์ นั่นแหละแปลว่าชีวิตเราไม่มีแล้ว จริงไหม (จริง)  (ทำใจให้เป็นปกติ เพราะว่าทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นเรื่องปกติทั้งนั้นเลย)  ใช่ ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงไม่หวั่นไหว ความเห็นแจ้งในสรรพสิ่งคือปัญญาที่ตื่นรู้ ถ้าทำได้ในทุกข์ขณะจิต เราก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในตัวเรานั่นเอง (อดทนอย่างมีสติ)  รุ่นนี้ยังต้องอดทนอีกหรือ น่าจะเข้าใจโลกได้มากขึ้นนะ ใช่ไหม เด็กๆ เขาใช้ความอดทนไม่เท่าไร  แต่ถ้ารุ่นนี้ยังต้องอดทนนี้ต้องคิดหนักแล้วนะ (การเรียนรู้ทุกข์ได้สุขเป็นกำไร)  ปล่อยวางเรียนรู้ได้สุขเป็นกำไร ตอบเป็นกลอนเลยนะ แต่ก่อนจะปล่อยวาง ทำให้ดีที่สุด อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นี่แหละเรียกว่าหนทางของการปล่อยวางที่แท้จริง เข้าใจไหม (เปิดใจให้กว้าง ทำจิตใจให้ปกติ เพื่อเข้าถึงหลักธรรม)  จริงๆ ใจมนุษย์ปกติอยู่แล้วจริงไหม แต่พอโดนกระทบทางตา ทางหู มันเลยไม่ปกติ แล้วใจมันยึดติดมั่นหมาย มันก็เลยมองอะไรไม่ปกติ ใช่ไหม (นักเรียนชายคนหนึ่งยืนขึ้นและหัวเราะ)  ขอให้หัวเราะอย่างนี้ตลอดนะ เพราะตั้งแต่อาจารย์มา คนนี้ก็หัวเราะไม่หยุดเลย ฉะนั้นโดนด่าก็ (หัวเราะ)  เจ็บป่วยก็ (หัวเราะ)  ภรรยาหนีไปก็ (หัวเราะ)  หัวเราะไม่ได้ ต้องมีสติ (ทำจิตให้ว่างแล้วหยุดที่ใจเรา) 
แต่จิตของมนุษย์ไม่เคยว่าง ใช่หรือไม่ ชอบมีความเป็นตัวตนเข้ามาอยู่ แต่อาจารย์จะบอกโดยแท้จริงว่า จิตเดิมแท้นั้นว่าง แต่ใจแห่งความเป็นตัวตนมาบดบังจิตเดิมแท้ จึงทำให้เรามองไม่เห็นความจริง แต่ถ้าเมื่อไรเราวางอัตตาตัวตน เมื่อนั้นล่ะมนุษย์ว่างโดยแท้จริง และกำลังเดินกลับไปสู่ความว่างจริงไหม
(ไม่ยึดติดจากการเห็นหรือได้ยิน)  หยุดตั้งแต่ผัสสะ ผัสสะแปลว่ารู้สึก เห็นแล้วไม่ก่อเกิดเป็นความรู้สึก มันหยุดแค่นั้น เหมือนที่เรียกว่า รูปก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฉะนั้นถ้าเห็นเป็นแค่รูปแล้วไม่เกิดสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ มันก็ไม่กลายเป็นเวทนา สังขาร วิญญาณ ภพชาติ ชรา มรณา มันหยุดการเกิดได้อาจารย์พูดยากเข้าใจไหม
(ปล่อยวางทุกอย่าง)  ศิษย์คนสุดท้ายตอบอาจารย์น่ารักปล่อยวางทุกอย่าง แปลว่าแอปเปิลเขาก็ไม่เอาใช่ไหม บอกปล่อยวางทุกอย่างแต่ตามองแอปเปิลไม่ห่างเลย
(เลิกจากการกระทำความชั่ว ทำแต่ความดีทำ จิตใจให้บริสุทธิ์)  แล้วการจะเลิกชั่วได้คืออะไร (ไม่ผิดศีลธรรม)  ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ธรรมนั้นไม่ได้เกิดจากการที่อาจารย์ยัดเยียดให้ศิษย์ แต่ศิษย์ต้องบังเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตัวเอง แล้วออกมาจากตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(อยู่แบบเป็นกลาง)  รักษาใจให้เป็นกลาง หรือเรียกว่าหนทางแห่งทางสายกลาง ใช่ไหม จริงๆ มนุษย์มีทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจของเรามักชอบเอียงเอน มองแค่นี้แต่ไม่มองให้กว้างๆ เหมือนวันนี้อาจารย์ถามง่ายๆ
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างหัวหน้าชั้นกับนักเรียนในชั้นยืนเรียงกันสามคน)
มนุษย์เรามีความเป็นกลางอยู่เสมอ แต่เรามักจะชอบเห็นแค่นี้เหมือนเรามองอย่างนี้ เรามองแค่นี้ ใช่ไหมแต่จริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางอยู่ทุกขณะ มีคนที่สูงกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่แย่กว่า มีคนที่ร้ายกว่า ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรามองอยู่ทุกขณะเราจะไม่จมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เราจะเปิดใจกว้าง แต่มนุษย์ไม่ใช่พอเจอเรื่องนี้มาปุ๊บก็จมอยู่แค่เรื่องนี้แล้วก็ตายเพราะเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงๆ มันยังมีอีกหลายเรื่องแต่เราเคยเปิดกว้างดูไหม
(พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน)
อาจารย์ขอเอาพระโอวาทซ้อนครั้งที่แล้วมาต่อกันนะ ต่อกันจะได้คำว่า “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้” ถ้าจิตใจสงบ เราจะควบคุมและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มาแวดล้อมได้ แต่ถ้าจิตไม่สงบ เราจะถูกสิ่งที่แวดล้อมเปลี่ยนแปลงใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นลองเอากลอนที่อาจารย์ให้ ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรมดีไหม (ดี) ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วใช่ไหม พระโอวาทซ้อนนี้มีกลอนอยู่ข้างใน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลาศิษย์แล้วนะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนมองไม่เห็นความจริง อย่ายึดมั่นกับสิ่งที่คาดหวัง จนลืมมองสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนคือสิ่งที่เป็นจริง ยอมรับได้ก็หมดทุกข์ได้ ถ้าไม่ยอมรับเราก็ทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใดที่เข้าใจในความธรรมดานั้นจนบังเกิดธรรม จนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นตัวตนได้ คนนั้นก็สามารถกลับคืนสู่สภาวธรรมแห่งความว่างได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่น่าเสียดายที่หลายคนๆ ฟังอาจารย์ไปแล้วก็เบื่อ ไม่ได้อะไรนะ ใช่ไหม คนเราเกิดมาล้วนต่างมีบุญที่ดีใช่หรือไม่ แล้วทำไมจึงไม่รักษาบุญโอกาสที่ดีอันนั้น อย่าปล่อยชีวิตจมอยู่กับความประมาท และปล่อยชีวิตจมอยู่กับการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ จนลืมความดีงามแห่งหัวใจ มนุษย์ดีงามได้เพราะ ซื่อตรง เที่ยงตรง โดยเฉพาะถ้าทำงานขาดความซื่อตรง ขาดความเที่ยงตรง คนๆ  นั้นก็ยากมีชีวิตที่ยั่งยืนยาวได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานราชการเป็นทหาร เขาว่ากันว่ามีเทพคุ้มครอง แต่เทพจะคุ้มครองคนที่ทำงานราชการด้วยหัวใจที่ซื่อตรง แต่ถ้าไม่ซื่อตรงเทพก็ไม่คุ้มครอง พญามาร ผี ก็จะมาจองเวรจองกรรมจริงไหม ต้องถามตัวศิษย์เองว่าซื่อตรงหรือยัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ฝากเพลงนี้ไปให้ใครคนหนึ่งที่เขาทิ้งอาจารย์ หรือว่าใครสักคนหนึ่งที่วันนี้อยู่กับอาจารย์ แต่วันหน้าไม่กลับมาแล้วดีไหม ใครที่คิดว่ามาสองวันนี้แล้วไม่เจออาจารย์แล้วก็ลองเอาไปพิจารณาดู เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญ ต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่หวาดกลัวใช่ไหม มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง และรู้จักทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ใช่ไหม ไปแล้วนะ สามัคคีกันหรือยัง เข้มแข็งนะ อาจารย์อยากเห็นคนที่หาดใหญ่สามัคคีกันได้ไหม ทำงานฟ้าไม่กลัวลำบาก ทำงานฟ้าไม่กลัวทุกข์ หัวใจอะไรเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เป็นแบบนี้ ทำงานฟ้าจงแบกหัวใจที่ยิ่งใหญ่ กล้ายอมรับ รู้จักเคารพให้เกียรติผู้คน และก็จงทำงานอยู่กับผู้คนด้วยหัวใจที่เสียสละยากไหม
ศิษย์เอ๋ย จิตสำนึกจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่เราเคยทำกับคนอื่นเขามา ฉะนั้นศิษย์ต้องกล้าชดใช้กรรม ยอมรับผลกรรมเราที่ก่อ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักสำนึก กรรมเวรนั้นมันก็ไม่มีวันหายไปได้ ฉะนั้นรับแล้วก็ต้องสำนึกร่วมผิดด้วยว่าตัวเองไปทำอะไรเขามา เราถึงเป็นแบบนี้ จริงไหม ถ้าไม่เบียดเบียนทำร้ายเขา เขาจะมาเบียดเบียนทำร้ายเราไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติที่จะเข้าใจ ความเป็นจริงของชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เข้มแข็งให้ได้ ความอ่อนแอมีได้ แต่เราก็ต้องกลับมาเข้มแข็งให้ได้นะ เพราะคนเราเกิดมา มาคนเดียวเราก็ต้องกลับคนเดียว มาตัวเปล่าเราก็ต้องกลับตัวเปล่า ไม่มีใครไปกับเราได้ นอกจากหัวใจที่ตื่นรู้แห่งความจริงเท่านั้น ใช่ไหม แต่เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์นะ ทำให้ได้นะ รู้จักศึกษาธรรม ธรรมที่แท้จริงและเป็นความรักอยู่ในใจเรา รักษาใจแห่งรักให้ได้นะ ทำให้ได้นะ ศิษย์เอ๋ย รักษาจิตใจที่ดีงามด้วยการปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิด อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายชีวิตนะ เข้าใจไหม รู้เรื่องไหม
มีโอกาสมาฟังให้ครบดีไหม จะได้เข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจอาจารย์ แต่เข้าใจว่าชีวิตที่เกิดมาเป็นธรรม เพราะชีวิตหนีไม่พ้นธรรม ธรรมแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต้องเข้าใจในทุกข์ สุข แต่เราจะอยู่ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ สุข ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่วิ่งวุ่น แต่ลืมค้นหาใจที่แท้จริงของตัวเอง ถ้าเราหวังแต่จะให้คนอื่นมาเติมเต็ม แต่ตัวเองไม่เคยเติมเต็มใจตัวเองได้เลย ความทุกข์ก็เกิดจากใจเราจริงไหม สามัคคีให้อาจารย์ได้ไหม ตั้งใจบำเพ็ญ หนทางบำเพ็ญที่แท้จริง คืออุทิศ เสียสละ เวลาตัวเองเพื่อผู้อื่น ชีวิตของศิษย์ หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มั่นคงในการช่วยเหลือโปรดผู้คน ต้องมีอยู่ในศิษย์เสมอ ไม่หาย ไม่จาง ไม่คลาย ด้วยความมั่นคง ศิษย์ทำดีหรือยัง ความคิดศิษย์ยังชอบฟุ้งซ่าน ฉะนั้นมีเวลาว่างสวดมนต์ให้เยอะๆ กราบพระขอขมาให้เยอะๆ เลิกฟุ้งซ่าน ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเป็นทุกข์ และตัวเองก็เป็นทุกข์ใช่ไหม
สมัครสมาน ดูแลจิตใจของศิษย์ให้ดีงาม ให้ถูกต้อง ด้วยหัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คน แม้ตัวเองจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร ได้ไหม ศิษย์คือลูกศิษย์อาจารย์จี้กง หัวใจของอาจารย์จี้กงคืออนุเคราะห์ปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรม เอาหัวใจนี้ไปนะ หัวใจที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรมจนลืมความเป็นตัวตนเหลือแต่ธรรม ที่จะเอาไปให้เขา ทำได้เช่นนี้ศิษย์ก็คือคนที่มีหัวใจแห่งพระพุทธะ ทำให้ได้นะ ได้ไหมหัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มองเห็นความเป็นจริงในโลกนี้ว่า โลกนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ภัยภายนอกยังไม่น่ากลัวและโหดร้ายเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักคิดอยู่ในศีลในธรรม จริงหรือไม่ มงคลใดจะดีงาม ก็ไม่สู้จิตที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้แข็งแรงหรือ หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้โชคดีไม่ซวยหรือ แต่ถ้าศิษย์ยังคิดไม่เป็น เอาแต่เที่ยวไม่รู้จักรับผิดชอบ ไม่รู้จักทำมาหากิน มันก็ไม่มีมงคลหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักรับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รู้จักมีศีลมีธรรม มงคลนั้นประเสริฐยิ่งกว่าอาจารย์ตีหัวอีก ฉะนั้นจงรู้จักทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ไม่ใช่แค่อาจารย์ตบแล้วมันจะดี แต่ถ้าตบวันนี้ดีแต่ใจมันคิดร้าย ตบไปมันก็เจ็บเปล่าๆ
คนในโลกน่ากลัวเพราะอะไร น่ากลัวเพราะไม่รู้จักยับยั้งความคิด อารมณ์ตัวเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ ทุกชีวิตหนีไม่พ้นต้องกลับคืนสู่ความตาย และความตายนั้นคือความว่าง แต่เราจงว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะแห่งทุกข์อีกต่อไป ว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เข้าใจปริศนาธรรมที่อาจารย์พูดไหม
อยู่อย่างคน ทำให้ดีที่สุด ยืมใช้ถึงเวลาก็ปล่อยวาง อย่าอยู่อย่างคนที่มีแต่ความอยาก อย่าอยู่อย่างคนที่ถมอยากไม่เต็ม มันมีแต่ทุกข์จริงไหม เราสุขได้ด้วยตัวเองถ้าพอ แค่นี้ ขอบคุณ ดีแล้ว จริงไหม มันอิ่มโดยที่ไม่ต้องรออะไรมาเติม มันสุขได้โดยที่แม้ไม่มีใคร เราก็สุขได้ เพราะถึงที่สุดทุกคนต้องกลับคนเดียวทุกคนก็กลับไปสู่ความไม่มี แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม แล้วจะยึดความโกรธ ความเกลียดเป็นอบายภูมิให้เราเวียนว่ายต่อไปทำไม ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ไม่ใช่ต้องการให้ศิษย์มาเคารพอาจารย์ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักเคารพธรรมในตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่เป็นพุทธะ เป็นคนดีได้ ไม่ต้องไหว้อาจารย์ ทำดีจนตัวเอง หรือคนอื่นกล้ายกมือไหว้ศิษย์จากใจนั่นแหละ ศิษย์เข้าถึงธรรมได้ระดับหนึ่งแล้วจริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้”
     หยุดเขาหรือหยุดใจตน                         หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                                        ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                                       ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                               สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                   ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                            ความมีคือหลงวุ่นวาย
     ชีวิตคนดำเนินไปไวเร่งรีบ                     ใจถูกบีบให้เป็นทุกข์หมดทางหนี
ใช้หัวใจแห่งปัญญาคู่ความดี                       แม้ถูกจี้ให้ทำชั่วอย่าเผลอใจ
สงบเป็นเย็นได้ไม่มีทุกข์                            วางเป็นสุขก่อนลืมจะดีไหม
ไม่ใช้โกรธเช้าสายบ่ายค่ำหายไป                  แต่ให้ใจปกติอยู่กับธรรม
หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา