วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-03 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二○一七年 歲次丁酉五月初九日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๖๐       ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น
หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ
หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามศิษย์น้องทุกคนพอจะต้อนรับศิษย์พี่บ้างไหม
  ทุกข์เพราะเขาหรือเราคิดให้ดี          อยากหยุดเขาคนที่เปลี่ยนไม่ได้
ยอมรับหรือหนีความจริงต่อไป           หรือหยุดใจตนหวังดีกับตน
โลกธรรมเตือนคนยึดแบบไม่จบ          คลื่นแม้สงบพึ่งไม่ได้ฟองสับสน
กิเลสไม่ตั้งใจข่มจะขวางทางตน          เจนจบได้ใช่หลุดวนพ้นรำคาญ
ยากยากพบเหนื่อยใจทำใจบ้าง          วิถีทางคลี่คลายแค่เพียงปรับฐาน
รู้การให้ก็จะเกิดบุญสัมพันธ์              อัตตาว่างทุกอย่างพลันดีขึ้นเอง
ความคิดหยุดกวัดแกว่งหยุดคุมได้        สมองว่างทันใดเมื่อใจไม่เคว้ง
เริ่มสงบได้ลงภายในใจตัวเอง             คว้าที่ทันจับแต่เก่งเกษมฤๅ
ใครก็รู้ก็คนดีด้วยสติ                      เมื่อไม่ทำใจปกติเป็นสุขหรือ
ใจที่ทั้งว่างสงบวุ่นปลายมือ               เพราะจิตผูกใจคือธรรมแบบธรรม
ภาวะว่างเดิมทีความว่างไม่มี             ภาวะมีความมีกว่าเดิมมีซ้ำ
สับสนหลงวุ่นวายธรรมไม่ใช่ธรรม        โลกนี้คือสายน้ำคืนฝั่งไป
                                            ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

ท่านเคยได้ยินไหม “เรื่องราวในโลกนี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าท่านไม่คิด” เหมือนตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าท่านไม่คิดจะใส่ใจ ไม่คิดจะดู ไม่คิดจะแล ที่มีก็เหมือนไม่มี จริงไหม เพราะท่านไม่คิดสนใจ ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่เกิดขึ้นได้ อยู่ที่ท่านคิดหรือไม่คิด ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ จริงไหม และเรื่องบางเรื่องบางครั้งมันไม่มีเลยนะ แต่ถ้าเราคิดมันก็มีขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง)  เคยเห็นผีไหม (ไม่เคย)  ถ้าคิดว่าตัวเองเห็นผีจะเห็นผีขึ้นมาทันที ไม่มีมันก็เหมือนมีขึ้นมา ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จะมีหรือไม่มีอยู่ที่ท่านคิด ไม่คิด สนใจ ใส่ใจ หรือไม่ใส่ใจ ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่เราเห็นแล้ว ไม่อยากมีผลกับใจเรา ก็อย่าคิด เขาจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน เพราะเราไม่เคยคิด ฉันใดก็ฉันนั้น บางทีสิ่งที่ไม่มีตัวตนเลย ถ้าเราเผลอคิดขึ้นมามันก็กลายเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามท่านว่า ธรรมเคยมีในใจไหม (มี)  มีเพราะว่าได้คิดหรือว่ามีเพราะไม่เคยคิด เวลาเราเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง พอเห็นแล้วเราใส่ใจ ใส่ใจแล้วเราถือสา ที่เห็นมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มี แล้วทำให้เราวุ่นวายใจ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเมื่อเราเห็น เราไม่คิด เราไม่ใส่ใจ เราไม่ถือสาก็จะกลายเป็น มันไม่มี มันว่าง และมันโล่งทันทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ใจเราเจ็บปวดนั่นเป็นเพราะเราเอาเขามาคิด ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาทำเราเจ็บปวดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เวลาใครเขาด่าเรา ถ้าเราไม่เอามาคิด คำด่ามันจะทำให้เราเจ็บปวดไหม (ไม่)  ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกเกิดขึ้นได้ถ้าตัวท่านไม่คิดใส่ใจถือสา มันจะว่าง โล่ง จบ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอเราเห็นอะไรเราก็เก็บเอามา คิด ใส่ใจ ถือสา เอาจริงเอาจัง เข้มงวด จับผิด จุกจิกจู้จี้ แล้วคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ (คิด)  แล้วคนที่วุ่นวายหาความสงบไม่ได้ก็คือคนที่ (คิด)  คนที่คิดแล้วหยุดความคิดไม่ได้ก็จะต้องทนอยู่กับความทุกข์ของความ (คิด)  ฉะนั้นหยุดก่อนคิดดีไหม (ดี)  แล้วทำอย่างไรเราจะสามารถหยุดก่อนคิดได้ รู้ทันความคิดได้ (ไม่ใส่ใจ)  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ใส่ใจ ท่านลืมไปหรือเปล่า สติสอนให้เราได้ระลึกรู้ ฉะนั้นถึงแม้ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ดูแล แต่ถ้าเราขาดสติ บางทีมันก็คิดไปถึงไหนแล้ว
มนุษย์ได้เจอกัน รู้จักกัน เพราะมีบุญสัมพันธ์กัน มีคำกล่าวไว้ว่า “ถ้ามีบุญแม้อยู่ไกลพันลี้ ก็ได้พานพบ แต่ถ้าเกิดไร้บุญ แค่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้จักกัน” ทุกสิ่งทุกอย่างวนมาทำให้เราเจอกัน รู้จักกัน อยู่ร่วมกัน ล้วนเกิดจากบุญ ใช่ไหม อย่างสมมติเพื่อนเรา ที่เราอยู่ๆ เราสนิทกับเขา คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่สนิทเราสนิทกับคนนี้ ก็เพราะเรามีบุญ (สัมพันธ์)  คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่รัก เรารักกับคนนี้ แล้วคนนี้ทำให้เรามีลูกเป็นคนนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  มีคนตั้งเยอะแยะเราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่เรากลับทำงานกับคนกลุ่มนี้ก็เพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเกิดทุกสิ่งทุกอย่างมาเพราะบุญสัมพันธ์ แปลว่าเราจะถนอมบุญสัมพันธ์ รักษาบุญสัมพันธ์ไว้ไหม (รักษาไว้)  ถ้าบุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ถ้าเราจะถนอมบุญกับคนในครอบครัว ถนอมบุญกับเพื่อน ถนอมบุญกับคนรัก เราก็จะต้องกระทำสิ่งที่เป็นบุญที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แปลว่า เรายิ่งอยู่กับเขาใจเราต้องยิ่งสะอาด ใจเรายิ่งต้องบริสุทธิ์ ใช่ไหม เมื่อเป็นบุญที่ทำให้เรามาเจอกัน แต่ทำไมยิ่งอยู่เรายิ่งจับผิดกัน คิดร้ายต่อกัน จมอยู่กับความไม่ดีของเขา นั่นเรียกว่า เรากำลังผลาญบุญ หรือว่าเรากำลังถนอมบุญ (ผลาญบุญ)
เราอยู่กับพ่อแม่นานๆ แล้วเราบริสุทธิ์ใจไหม เราไม่เคยนินทา ไม่เคยว่าพ่อแม่ไหม เราอยู่กับเพื่อนเราจริงใจไหม เราอยู่กับคนรัก เราอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เราไม่เคยนินทา ไม่เคยจ้องจับผิด ไม่จมอยู่กับความคิดร้ายใช่ไหม เรากำลังผลาญบุญ ถนอมบุญ หรือว่าเรากำลังทำร้ายบุญในการอยู่ร่วมกัน บุญทำให้เราเจอกัน บุญทำให้เราได้มีสัมพันธ์กัน แล้วเราได้สร้างบุญด้วยกันหรือเราสร้างบาปด้วยกัน บุญทำให้เราใจฟู บุญทำให้ใจเราอิ่มเอม แต่ทำไมยิ่งอยู่มันยิ่งกลัดหนอง เจ็บปวด กลุ้มกังวลใจ อย่างนั้นแปลว่าเราไม่ได้อยู่กันด้วยบุญ แต่เรากำลังอยู่กันด้วยกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้เราอยู่กับคนในโลกอย่างคนร่วมบุญสัมพันธ์หรือร่วมเวรกรรมต่อกัน (ร่วมเวรกรรมต่อกัน)  การที่เราเจอแฟนของเรา บุญอะไรทำให้ได้มาเจอกัน ใช่ไหม แล้วเราอยากอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกันหรืออยากอยู่อย่างคนมีกรรมร่วมกัน (มีบุญ) แล้วทุกวันนี้เอาแต่คิดจับผิด มองเขาในแง่ร้าย จมอยู่กับความไม่ดีของเขานั้น เช่นนี้เรียกว่า เราอยู่อย่างคนร่วมบุญหรืออยู่อย่างคนร่วมสร้างกรรม (ร่วมสร้างกรรม)
วันนี้ท่านมาฟังธรรมได้เจอเรา (พระนาจา)  แล้วศิษย์น้องคิดดีเราก็ได้ร่วมบุญกัน ถ้าอยู่กับเราแล้วคิดร้ายคิดไม่ดีก็ได้ร่วมกรรม เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าวันนี้ท่านจะมาร่วมบุญหรือร่วมกรรม (ร่วมบุญ)  ถ้ายิ่งอยู่แล้วใจเรายิ่งบริสุทธิ์ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งอิ่มเอมใจ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งสบายใจนั่นคือการอยู่ร่วมสร้างบุญ ทุกขณะอย่าคิดว่าบุญทำได้แต่ที่วัด แต่บุญทำได้ทุกที่และบุญที่ทำโดยไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ จริงไหม ที่เรียกว่าสังฆทาน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านทำบุญกับทุกคนแล้วทุกขณะไม่ว่าทำอะไรเราก็ทำกับเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ สบายใจ ไม่มีอคติ ไม่มีคิดร้าย ไม่มีจ้องจับผิด ไม่มีคดในข้องอในกระดูก มีแต่ความเมตตา เคารพกัน นั่นไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างร่วมบุญทุกขณะหรือ จริงไหม (จริง)  ตอนนี้กำลังร่วมบุญหรือกำลังร่วมบาป (ร่วมบุญ)  บุญทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  แล้วทุกวันที่มีบุญสัมพันธ์กับสามี มีบุญสัมพันธ์กับลูก ทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)
มีบุญดี ได้งานดี ได้เพื่อนรอบข้างที่ดี เราทำดีเพื่อละหรือทำดีเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  จุดมุ่งหมายหลักของบุญคือเพื่อละวาง ไม่ให้ยึดถือจนบังเกิดทุกข์ ถ้าท่านเข้าใจว่าเรามีบุญสัมพันธ์ด้วยกัน ทำไมยิ่งทำเรายิ่งยึด ยิ่งสร้างเรายิ่งหลง ยิ่งสร้างบุญเรากลับยิ่งทุกข์ใจ บุญยิ่งทำเราต้องยิ่งไม่ยึด ยิ่งทำต้องยิ่งสบายใจ ไม่ลุ่มหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมอยู่กับเพื่อน เรายิ่งยึดจนหลง ยิ่งมีจนทุกข์
คนในโลกปากอย่างใจอย่าง ปากบอกว่ารักคนในบ้านแต่กลับพูดไม่ดีต่อกันทุกวัน แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่สร้างบุญเพิ่ม เคยคิดไหม ส่วนใหญ่พอหมดบุญแล้วก็คิดว่า “หมดเวรหมดกรรมกันไป” เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เป็นการทำบุญเพิ่มได้ทุกวัน เคยคิดบ้างไหม คิดแต่เพียงทำบุญค่อยไปทำที่วัด อยู่ตรงนี้ขอบาปก่อน ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรที่จะเป็นการอยู่ร่วมกันแล้วได้สร้างบุญเพิ่ม (อยู่โดยใช้ปัญญา)  แต่ปัญญามักชอบฉลาดเอาแต่ได้นะ “แม่ต้องแพ้ พ่อต้องชนะ” เวลาอยู่กับเพื่อน ก็แอบคิดว่า “ฉันต้องได้มากกว่า เธอควรได้น้อยกว่า” ใช่หรือเปล่า
ปัญญาเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญญานั้นต้องทำอย่างไรให้เราสร้างบุญได้ทุกขณะ “หนึ่งในการสร้างบุญคือการให้และการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมะเป็นทาน” ถ้าเราอยู่กับพ่อแม่ เรากตัญญูรู้คุณท่านก็เท่ากับเรากำลังสร้างบุญ ถ้าเราอยู่กับเพื่อน เราซื่อตรงจริงใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เราก็กำลังสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยู่กับใครก็ตาม เราเคารพให้เกียรติและมีเมตตาธรรม เราก็กำลังทำบุญ ใช่ไหม (ใช่) เพราะการให้คือส่วนหนึ่งของบุญ เคยได้ยินไหมเมื่อเดินเข้ามาแล้ว เรายกมือไหว้ กล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างบุญ แม้ไม่มีบุญได้อยู่ร่วมกัน แต่การรู้จักให้ธรรม แสดงความอ่อนน้อม เป็นคนที่ซื่อตรง จะทำให้เราสร้างบุญสัมพันธ์ต่อคนที่ไม่เคยมีบุญต่อกัน มาที่สถานธรรมเราใช้ห้องน้ำที่มีคนทำความสะอาดให้เรา มีคนยกอาหารมาให้เรา เราก็สามารถสร้างบุญสัมพันธ์กับเขาโดยพูด “ขอบคุณนะ เหนื่อยไหม” แค่นี้เราก็ได้สร้างบุญสัมพันธ์กับเขา เราจะอยู่อย่างคนที่มีบุญร่วมกันหรือว่ามีบาปร่วมกันดีล่ะ (มีบุญร่วมกัน)
สมมติว่าตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้ว เราอยากอยู่กับคนอย่างมีบุญสัมพันธ์ร่วมกัน แต่ถ้าบังเอิญคนที่มาหาเราอยากหาเวรกรรมกับเรา เราจะทำอย่างไร เคยเจอไหมคนบางคนเพียงแค่เห็นหน้า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมไม่ถูกชะตาเราก็ไม่รู้ แค่เราพูดนิดหน่อย เขาก็ไม่ชอบหน้าเราแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหม “สิ่งที่มืดที่สุด ถ้าเราสามารถแปรเป็นแสงสว่าง นอกจากจะส่องใจเราได้ ยังสามารถส่องใจเขาได้ด้วย” เราเปรียบเทียบง่ายๆ สมมติว่า วันนี้เราเจอคนที่ร้ายมากๆ ด่าคนอื่นไฟแลบ กินแรงคนอื่นที่หนึ่ง แต่เวลามีเรื่องเอาหน้า มาก่อนคนแรกเลย เราจะจัดการกับคนแบบนี้อย่างไร โดยส่วนใหญ่นินทากลับแล้วเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง ใช่ไหม หรือระบายลงเฟซบุ๊กเลย พอมีคนมาคอมเม้นต์เห็นด้วยและด่ากับเราด้วยเราก็ดีใจ กดถูกใจเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราถามท่านนะ เวลาที่เราเจอคนไม่ดี เรายิ่งประณามยิ่งด่าเขา มันทำให้เขารู้สึกดี แล้วอยากเป็นคนดีขึ้นมาไหม (ไม่อยาก)  แล้วทำให้คนไม่ดีอยากกลับตัวเป็นคนดีไหม (ไม่อยาก)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ใช่)  ในเมื่อท่านก็ไม่อยากให้เวรมันยืดเยื้อ ในเมื่อไม่อยากให้ใครร้ายมาแล้วร้ายตอบ ทำไมเราจึงไม่แปรบาปให้เป็นบุญ ทำไมไม่แปรร้ายให้เป็นดีล่ะ วิธีทำอย่างไร อดทนเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์พี่จะบอกว่า ทำไมไม่แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เหมือนถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนเลย มันจะโล่งจะโปร่งจะเบา แต่ถ้าอดทนมันหนัก มันอึดอัด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ใช่ ลองเปลี่ยนเป็นเข้าใจ แล้วจะเข้าใจอย่างไรล่ะ เข้าใจแบบไหน คิดออกไหม ตอนนี้มีข่าวที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนฆ่าคน แล้วก็หั่นด้วย ตัดเป็นชิ้น ผู้ทำก็ไม่ใช่ผู้ชายด้วย แต่เป็น (ผู้หญิง) ศิษย์ว่าเขาร้ายไหม (ร้าย)  ถ้าเรามองให้ชัดๆ ลองเป็นเขาดู ศิษย์น้องว่าอะไรที่ทำให้เขาร้าย ตอบได้ไหม
(ความโกรธ, ความไม่มีสติยั้งคิด, ความโลภ)  ศิษย์พี่จะบอกว่าถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนต่อเขา ไม่ด่าทอเขา ไม่เกลียดเขา และจะไม่แช่งชักหักกระดูกเขา ศิษย์น้องลองมองให้ดีๆ นะ เพราะเขามีความโกรธจึงทำอย่างนี้ แปลว่าตัวเราถ้ายังมีความโกรธ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเรามีความโลภแล้วไม่รู้จักควบคุมความโลภ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเราไม่รู้จักยั้งคิด เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวในผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ตัวเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคืออะไร (จิตใจไม่มีธรรมะ)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจเขาแล้วเราจะไม่โกรธเขา เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เขาร้ายก็คือ เมื่อเขามีอารมณ์โลภ โกรธ หลงครอบงำใจ เขาไม่เคยคิดที่จะควบคุม ยับยั้งให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวศิษย์น้องมีโลภ โกรธ หลง แล้วไม่เคยคิดจะควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม ศิษย์น้องก็อาจจะเป็นเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจเขา เราจะด่าเขาไหม ถ้าเราเข้าใจ เราจะเกลียดเขาไหม เพราะเราก็อาจจะเป็น (เหมือนเขา)  ถ้าเราไม่ควบคุม (อารมณ์)  แล้วเราเคยคิดควบคุมอารมณ์ตัวเองไหม (คิด)  คิดแต่ไม่เคยทำ ถ้าเอาแต่ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติก็เปล่าประโยชน์ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ศึกษาก็ไร้ค่า จริงไหม (จริง)
คนถึงจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง แล้วยังควบคุมไม่ได้ คนนั้นก็อาจจะเป็นรายต่อไปที่เวลาโมโหแล้วฆ่าหั่นศพก็ได้ และอาจจะไม่ใช่ใคร อาจจะเป็นศิษย์น้องก็ได้ ใช่ไหม เพราะเรามีความอยาก อยากกินปลาหนึ่งตัว ฆ่าไหม หั่นไหม แค่ความอยากสิ่งเดียว ศิษย์น้องก็ฆ่าหนึ่งชีวิตโดยไม่สนใจความเมตตาปรานี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อศิษย์น้องอยากได้ตำแหน่งใหญ่ ก็สามารถพูดแล้วทำให้คนหนึ่งจมหายไป แล้วตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง) อยากค้าขายดี ศิษย์น้องก็สามารถโป้ปดมดเท็จทำให้ของตัวเองดูดีมีราคาขึ้นมา แล้วก็ฆ่าร้านข้างๆ ว่า “อย่าไปซื้อเลย ร้านนั้นของปลอม ของไม่ดี” เช่นนี้ศิษย์น้องจะไม่เป็นหนึ่งในฆ่าหั่นศพหรอกหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเข้าใจไยต้องเกลียดชัง เมื่อเข้าใจเราจึงสามารถมีธรรมเตือนสติ แล้วไม่เกลียดใครจนเกินไปและไม่รักใครจนเกินไป เมื่อไม่รัก ไม่เกลียด ไม่มีใจชอบชังอคติ นั่นไม่ใช่การอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจและสร้างบุญต่อกันหรอกหรือ จริงไหม (จริง) 
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เล่นเกมฝึกสติ โดยให้นักเรียนตอบคำตรงกันข้ามกับคำที่บอก เช่น บอกว่า “ใช่” ให้ตอบว่า “ไม่ใช่”)
บางครั้งการฝืนใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะมีความโกรธมาจำเป็นต้องโกรธตอบไหม (ไม่)  เพราะถ้าโกรธแล้วจะสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบาป)  แล้วถึงเวลานั้นเราสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบุญ) 
เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราก็อยากสร้างบุญมากกว่าสร้างบาป เราอยากมีความเข้าใจคนมากกว่าที่จะอยู่กับเขาอย่างอดทนอดกลั้น จริงไหม (จริง) แต่ถ้าศิษย์น้องเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก เชื่อมั่นในเรื่องเหตุผล เวลาทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ต้องมีอะไรทำให้เข้าใจ เมื่อเราพูดถึงเหตุผล เหตุผลใช่ที่สิ้นสุดแห่งความจริงไหม (ไม่ใช่)  แปลว่าถ้ายึดแต่เหตุผลก็อาจจะไม่เจอความจริง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อพูดถึงเหตุผลไปจนถึงที่สุด เหตุผลก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้ เหมือนถามว่าตอนนี้ในห้องนี้มีอากาศไหม (มี)  แล้วอะไรตรวจสอบได้ ใช้ตาวัดได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องใช้เครื่องมือ แล้วกว่าเราจะหาเครื่องมือเจอ เราต้องทุกข์ก่อน ใช่ไหม เหตุผลไม่สามารถวัดความจริงได้อย่างแท้จริง แล้วเหตุผลบางครั้งก็ง่ายที่จะลำเอียงมากกว่าซื่อตรง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์ชอบเลือกรับเหตุผลด้วยความเข้าใจของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ถูกไหม (ถูก)
วันนี้มาฟังธรรมะอะไร ศิษย์น้องคิดว่าเหมือนไม่ใช่พุทธศาสนานะ แบบนี้เราใช้เหตุผลอะไรมาวัด แล้วเราจะเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างไรถ้าเลือกแต่ยึดเหตุผล หลักธรรมจึงสอนว่าถ้าอยากเข้าใจโลกใบนี้ อยากเข้าใจสรรพสิ่งและผู้คนบนโลกใบนี้ จงพยายามคำนึงหรือมองให้เห็นธรรม ศิษย์พี่จะบอกศิษย์น้องว่า คนแบบนั้นก็ธรรม คนแบบนี้ก็ธรรม เสื้อผ้า ผม ทุกสิ่งล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรมและในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นก็คือธรรม มีใจเหมือน กันอยู่อย่างหนึ่งคือมีใจธรรมเหมือนกัน ถึงแม้จะแตกต่างกันเป็นชาย เป็นหญิง เป็นคน เป็นสรรพสิ่ง ก็คือธรรม ใช่ไหม
แล้วในธรรมนั้นถ้าเรามองตามธรรมชาติ ธรรมสอนว่าแม้สรรพสิ่งจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ถ้ารู้จักใช้อย่างกลมกลืนสอดคล้องก็เรียกว่าธรรม แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยก ยึดติดจนก่อเกิดทุกข์จนมองไม่เห็นธรรม ธรรมชาติสอนให้รู้จักอยู่อย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราคือส่วนหนึ่งของธรรมที่อยู่ระหว่างฟ้ากับดิน แปลว่าเราอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่สูงที่สุดและต่ำที่สุด ถ้าเราดำเนินอย่างถูกต้อง เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและในธรรมนั้นก็มีดีร้าย ได้เสีย คำชมคำด่า มีความสำเร็จ ความล้มเหลว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดแบ่งแยก เราเรียนรู้อย่างเข้าใจอย่างกลมกลืนสอดคล้องก็แปลว่าเราเข้าใจธรรม
แต่มนุษย์ชอบดีไม่ชอบร้าย อย่างนั้นถามศิษย์น้องว่า ใครดีที่สุด ใครร้ายที่สุด ใครสวยที่สุด (ไม่มี)  ถ้าเราพิจารณาให้ดี ศิษย์น้องก็จะมองเห็นว่าไม่มีใครร้ายสุด ไม่มีใครดีสุดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม เมื่อธรรมทำให้เรานิ่งเป็นกลาง ไม่โกรธ ไม่เกลียด เราก็คือคนที่กำลังกลับคืนสู่ธรรม แต่มนุษย์เมื่อเจอดีก็ชอบ เมื่อเจอร้ายกลับต่อว่า ก็เลยก่อเกิดเป็นบุญเป็นบาปกรรม ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนว่า “จงรักษาความเป็นกลางด้วยหัวใจอันสงบและปัญญารู้แจ่มแจ้งในความจริง” ซึ่งความจริงนั้นก็คือธรรม เมื่อไรที่ความมืดกลายเป็นความสว่าง ความสว่างนั้นจะส่องใจเราและสามารถสะเทือนส่องใจผู้คนได้ ถ้าเมื่อไรมนุษย์พบธรรมในใจตน ก็จะสามารถนำพาธรรมในใจผู้คนได้ แต่ศิษย์น้องมักจะตามกิเลสมากกว่าตามธรรมอันเป็นจริง ตามใจอยากชอบชังมากกว่าจะตามความจริงอันเป็นธรรม ทุกวันจึงเจอแต่กิเลส อารมณ์ เวรกรรม แล้วก็สร้างบุญบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะเจอแต่ธรรม แล้วเราจะต้องกลับไปเป็น “ตัวตน” เพื่ออะไรอีกเล่า จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์หมดซึ่งความอยาก ชอบ ชังแล้ววัฏฏะแห่งการเวียนว่ายก็ถูกตัดขาดได้ทันทีเพราะกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง เพราะทุกคนคือส่วนหนึ่งของธรรมและมีใจธรรมอยู่ในตัวเอง ธรรมอยู่ในตัวเรา อยู่ที่ท่านเคยหันกลับมามองไหม ดั่งที่ว่า “ถ้าเข้าใจธรรมในตนก็เข้าใจธรรมในผู้คน” ซึ่งใจนี้ในผู้คนมีหนึ่งเดียวแค่นั้น ที่เรียกว่าสัจธรรมหรือกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่เที่ยง ว่างเปล่า เป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราของเรา แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าเมื่อชีวิตผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ เป็นความผิดหวัง คำต่อว่า ความล้มเหลว ศิษย์น้องจะบอกว่า “ขอบคุณที่ทำให้ฉันเรียนรู้เข้าใจธรรม” จะไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียดเพราะความเข้าใจธรรม ไม่ต้องพยายามข่มโกรธเลย ไม่ต้องหลงแล้วพยายามใช้ปัญญาเลย เพราะเห็นแจ้งในทันที
จำไว้นะศิษย์น้อง สิ่งที่ศิษย์น้องเห็นมักไม่เคยเป็นจริงอย่างที่คิดและเข้าใจ อย่าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเห็น ศิษย์น้องเข้าใจ เห็นจริง บางทีถึงที่สุด คนที่รักที่สุด คนที่เราเห็นมากที่สุด เราอาจจะไม่เคยเข้าใจและเห็นเขาแบบจริงๆ เลย เมื่อไม่เห็นจริงจะรักลงหรือ เมื่อไม่เห็นเขาจริง เขาน่าเกลียดหรือ แล้วในเมื่อไม่เห็นเขาจริงจะหลงใหลได้ปลื้มอะไรเขาหรือ เห็นไหมว่าเมื่อโลภ โกรธ หลงหายไป จากบุญจะกลายเป็นกุศล กุศลจะกลายเป็นปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมทันที แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าการกลับคืนสู่ธรรมดีกว่าการกลับคืนสู่สวรรค์ของศิษย์น้องอีก เพราะธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวตนให้ต้องไปแบกรับยึดถือ เกี่ยวบุญ เกี่ยวบาป เกี่ยวกรรมอีกต่อไป แล้วจะเกิดมาเพียงแค่รับบุญเพื่อกลับสวรรค์แค่นั้นหรือ ลองศึกษาเรื่องบุญแล้วกลับคืนสู่ธรรมอันเป็นรากเดิมแท้ของเราดีกว่า ธรรมที่ไม่มีแบ่งแยกศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ธรรมที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันและธรรมที่ทำให้ทุกคนสันติสุขด้วยการไม่ต้องข่มใจ แต่เกิดจากความเข้าใจอันปิติอิ่มในธรรมนั้น
หวังว่าผู้มีธรรมทั้งหลายจะกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริง มีแต่ธรรมเท่านั้นที่มองเห็น ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือตัวบุคคลเป็นที่พึ่งเพราะบุคคลยังมีวันแปรเปลี่ยน ยังมีวันล่มสลายแต่ธรรมแห่งความเป็นจริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและล่มสลาย มีแต่ยิ่งเข้าใจ ยิ่งละวาง ยิ่งกลับคืนสู่ความสงบอันแท้จริง ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์นะ



วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หัวใจแห่งผู้มีจิตสำนึกดี                 ศิษย์นี้มีหัวใจทองคำ
อยู่ให้คนเลื่อมใสการกระทำ              จากให้คนจดจำนิรันดร
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
*ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา ใจหมดพันธสัญญา
**ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา กรงที่เคยขัง เปิดออกมา
***หยุดใจไว้ตรงนี้ ไม่ต้องคิดเท่านี้ สิ้นสุดตรงนั้น หยุดความคิดตอนนี้ อย่าไปคิดเรื่องไม่ดี หยุดที่ใจฉัน สะดุดไปหลายครั้งอย่าหยุด หยุดโดยดีไม่มีเดียดฉันท์ (ซ้ำ *,**,***,*,**)
ทำนองเพลง: เก็บใจ

หมายเหตุ: เนื้อเพลงย่อหน้าแรกเป็นกลอนนำของศิษย์พี่นาจา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ช่วยอาจารย์เลือกรองเท้าหน่อย (คู่สีแดง)  อาจารย์ขอสมมติว่า ถ้ารองเท้าคู่นี้คือความทุกข์ มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ มีความไม่สบายใจ มีความเจ็บ มีความพลัดพราก มีความสูญเสียและมีความน้อยอกน้อยใจ ถ้ารองเท้านี้คือความทุกข์ คือสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราต้องแปดเปื้อนใจ เราจะแบก เราจะถือ เราจะเก็บไว้หรือเราจะเหยียบแล้วก้าวไปต่อ (เหยียบแล้วก้าวไปต่อ)  มนุษย์หนีความทุกข์ไม่ได้ หนีความเจ็บปวดไม่ได้ หนีความพลัดพรากไม่ได้ หนีความสูญเสียไม่ได้ แต่จงจำเอาไว้ว่ารองเท้านั้นก็เหมือนกับสิ่งที่เหม็น เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วทำไมเรายังแบกไว้ที่หัว แบกไว้ที่บ่า เก็บไว้ที่ใจ ทำไมไม่เอามาเหยียบแล้วก้าวไปต่อ
(พระอาจารย์เมตตาขออาสาสมัครนักเรียนในชั้นหนึ่งคน)
ในโลกนี้มีความทุกข์ แล้วก็มีเรื่องราวมากมายในชีวิตที่บางทีเราก็หาทางออกไม่เจอ สมมติว่าอาจารย์เปรียบเทียบความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าความทุกข์เหมือนรองเท้า ศิษย์จะถอดรองเท้าทิ้งไหม อาจารย์ว่าไม่ใช่ หลายต่อหลายคนรู้ว่าเรื่องบางเรื่องยิ่งคิดแล้วยิ่งทุกข์ เรื่องบางเรื่องยิ่งทำแล้วทำร้ายชีวิต แต่เราก็ยังอยากที่จะแบกมันไว้ แล้วก็ยึดมันไว้ แล้วก็ถือไว้ แล้วเราเคยรู้ไหมว่าเป็นทุกข์ ทุกข์ทำให้เราเจ็บก็รู้ แต่เราก็ยังแบกไว้ มีแล้วมันเหม็นเราก็ยัง (แบกไว้)  แล้วเราเคยแบกแค่ทุกข์อย่างเดียวไหม (ไม่)  จริงๆ เราไม่ใช่แค่แบก แต่เรายังเอามาเก็บในใจด้วยจริงไหม (จริง)  ศิษย์รู้ไหม ในสิ่งที่แย่ที่สุด ในสิ่งที่ทุกข์ที่สุด ถ้าเราสามารถยิ้มกับทุกข์ได้ รับกับทุกข์ไหว เรื่องใดๆ ในโลกก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกินรับมือหรอก สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ต่ำที่สุดศิษย์ยังผ่านมาได้ ฉะนั้นถ้าเกิดรับได้ อะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อะไรคือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด เราจะเลือกแบกทุกข์ เลือกจมอยู่กับความคิดที่เราทุกข์ เมื่อไรจะได้ดั่งใจ เมื่อไรจะเป็นแบบนี้สักที เมื่อไรจะดี ศิษย์จะแบกไปถึงเมื่อไร แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าในเมื่อแบกแล้วทุกข์ ทำไมไม่โยนทุกข์ลงแล้วเอามาเหยียบ แล้วก็ก้าวเดินออกไปด้วยหัวใจที่เข้าใจในทุกข์ ด้วยหัวใจที่ฉันเคยทุกข์มาแล้ว เคยเจ็บมาแล้ว ฉันจะไม่ทุกข์และแบกอีกแล้ว อยู่ในโลกนี้ทำอย่างไรที่เราจะรับมือกับทุกเรื่องราวได้ เราจะสู้กับทุกปัญหาได้ ถามตัวศิษย์เองนะว่าเราทำดีที่สุด รับผิดชอบต่อหน้าที่เต็มกำลัง เป็นคนมีศีลมีธรรมถึงที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้แบบนี้ ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ารับ นั่นคือหัวใจแห่งผู้ที่เข้าถึงธรรม อะไรจะเกิดก็ขอให้เข้มแข็ง รับให้ได้
มีใครในโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่เคยแบกทุกข์และไม่เคยช้ำกับทุกข์ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์จะเลือกแบกทุกข์หรือเลือกมาเป็นพลังให้เราก้าวเดินต่อไป (ก้าวเดินต่อไป)  หรือว่าศิษย์จะยอมจมอยู่กับความคิดเช่นนั้นหรือ พระพุทธะบอกว่า “ขออะไรไม่ประเสริฐเท่ากับขอหัวใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องจนลมหายใจสุดท้าย”
คนที่สู้แม้ลำบากเขาก็ต้องกลับมาสบายให้ได้ เข้มแข็งให้ได้ แม้คนที่ล้มเขาก็ต้องกลับมา (ยืน)  แม้คนที่เคยพ่าย เขาก็ต้องกลับมา (ชนะ)  ศิษย์จะแบกความเกลียด ความทุกข์ต่อไป หรือเอาความทุกข์มาตีแผ่แล้วทำความเข้าใจ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับมันอีก วันนี้อาจารย์มาไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์กระจ่างในธรรม ซึ่งไม่ได้อยู่แค่ในคัมภีร์ ในหนังสือ ในวัด แต่มันอยู่ในใจเรา เราตื่นรู้ได้ด้วยธรรมของตัวเรา เราเห็นแจ้งได้ด้วยธรรมของใจเรา แต่เราเคยหันกลับมามองแล้วเชื่อมั่นในตัวเองบ้างไหม เอาแต่ร้องขอให้คนอื่นช่วย ทำไมตัวศิษย์เองไม่ช่วยตัวเองก่อน เอาแต่ขอร้องคนอื่นทำให้เรามีสุข ทำไมตัวศิษย์เองไม่มีสุขด้วยตัวเองก่อน พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่ง (ตัวเอง)  ขอร้องผู้อื่นไม่สู้ขอร้อง (ตัวเอง)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่ขอร้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านศักดิ์สิทธิ์เพราะการประพฤติ ปฏิบัติ เข้าใจธรรม อย่ามัวแต่หลงรูปอันสวยงาม หลงรูป หลงวัด วัดนี้สวย วัดนั้นสวย ไหว้แล้วกลับบ้าน แบบนี้ไม่ได้อะไร ไปแล้วต้องเอาธรรมกลับมาให้ได้ องค์พระที่กราบไหว้องค์นี้ท่านปฏิบัติธรรมอะไรนะ คนถึงศรัทธา เอาธรรมนั้นมาปฏิบัติ ไม่ใช่ไปไหว้เสร็จแล้วกลับบ้าน แล้วพอให้ฟังธรรม ปิดหู ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นนำรองเท้ากลับไป)
เอาอันนี้ไปด้วยไหม ลองใส่สิ ใส่ได้ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ เมื่อก้าวเดินแล้ว ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวางแล้วทำใจ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
เจอหน้าอาจารย์ถึงกับยิ้มไม่ออกแปลว่ามีความทุกข์อยู่หรือ แปลว่าชีวิตหวานอมขมกลืนเลยยิ้มไม่ออก ถ้ายิ้มออกแปลว่าชีวิตไม่ค่อยทุกข์แล้ว คิดได้ก็พ้นทุกข์ คิดไม่ได้ก็จมห้วงแห่งความคิดจนตัวเองต้องเจ็บปวดใจ
วันนี้อาจารย์ไม่ได้มาเอาอะไรจากศิษย์ ไม่ต้องกลัวว่าอาจารย์จะมาหลอกเงิน เพราะอาจารย์ไม่เอา และอาจารย์ก็ไม่ได้มาทำให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมในศาสนายิ่งขึ้น เราตกลงเหมือนกันและปรับความคิดเข้าใจกันแล้วนะ สิ่งที่สำคัญในวันนี้ที่อาจารย์อยากจะมาคุยกับศิษย์คือ ทำความกระจ่างในธรรม อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่า ความกระจ่างในธรรมเกี่ยวอะไรกับชีวิต ศิษย์หลายคนมาฟังธรรม บ่นว่าฟังธรรมทำไม มันเกี่ยวอะไรกับชีวิต เกี่ยวไหม (เกี่ยว)  ถ้ากระจ่างในธรรมแล้วเราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น
(ฟังแล้วมีปัญญา, ทำให้อ่อนน้อมลง)  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในชีวิตได้โดยไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ทุกชีวิตล้วนคือธรรมและทุกชีวิตล้วนมีธรรมเป็นหัวใจ ศิษย์ก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เสื้อผ้า ใบหน้า ผม กิเลส อารมณ์ ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ไม่ว่าเขาหรือเราก็ล้วนคือธรรมชาติ ไม่ว่าจะยืนหรือได้นั่งก็คือธรรม ถ้าเราเข้าใจในหัวใจแห่งธรรม เราก็จะไม่ทุกข์และธรรมจะช่วยเยียวยาใจ ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ แต่อาจารย์ขอถามว่า ศิษย์ฟังธรรมะมากันก็มาก ศิษย์ยังทุกข์กันอยู่อีกไหม (ทุกข์)  ทำดีก็ยัง (ทุกข์) ทำชั่วก็ยัง (ทุกข์)  อย่างนั้นทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูกต้อง)  อะไรเรียกว่าการเข้าใจธรรม เหมือนเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์อยากนั่งหรือยืน (อยากนั่ง)  อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์กำหนดว่าอยากนั่ง แปลว่าถ้าไม่ได้นั่งศิษย์จะทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะชีวิตเราได้ยึดมั่นหมาย กำหนดกฎเกณฑ์เราเลยเป็นคนที่ทุกข์ง่าย แต่ถ้าชีวิตของเราเมื่อเจอเรื่องอะไรแล้วไม่ยึดมั่นหมาย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แล้วเราจะทุกข์อะไร ได้นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ วิชาของอาจารย์ง่ายๆ คือ ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ดี ถ้าศิษย์เลือกแต่ตั้งป้อมรังเกียจ เกลียดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วเมื่อไรศิษย์จะเข้าใจ เพราะในห้วงของความทุกข์ถ้าเราเข้าใจก็จะมีความสุขได้ ด้วยใจตัวเองที่กล้าสู้ ฉะนั้นตอนนี้นั่งหรือไม่นั่ง (นั่งก็ได้ ไม่นั่งก็ดี)  ถ้าคิดได้อย่างนี้อะไรมันก็ดี สูญเสียมันก็มีแต่ได้ เจ็บกายก็จะไม่เจ็บใจ เหมือนเวลาแผลโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัวไหม (ไม่)  บางทีแค่แขนโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัว ทำงานไม่ได้ อวัยวะมีปัญหาหนึ่งส่วน ทั้งหมดในร่างกายทำให้ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ คนที่คิดแบบนี้คือคนที่โง่นะ เพราะร่างกายยังเหลือส่วนดีตั้งเยอะ ยอมให้ส่วนดีทั้งชีวิตตายเพราะมีหนึ่งส่วนตาย ฉลาดหรือโง่ ศิษย์ป่วยเป็นมะเร็ง ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วที่เหลือที่ดีไม่สนใจเลยหรือศิษย์ แล้วต้องตายเพราะว่าเป็นมะเร็ง ใช่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม อกหักขอตาย อยู่ไม่ได้ อาจารย์ว่าชีวิตยังมีอะไรให้สัมผัสอีกตั้งเยอะ ในร่างกายยังมีอะไรดีๆ อยู่เยอะ อย่าแค่ส่วนหนึ่งเจ็บแล้วทำให้เจ็บทั้งตัว อย่าให้ส่วนหนึ่งตายแล้วตายทั้งชีวิต อย่างนี้เรียกว่าคนดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วเราเป็นไหม เหมือนแค่ปวดขาแค่นี้ ถึงกับก่อบาปก่อกรรม คิดในใจอาจารย์เมื่อไรจะได้นั่ง แค่เมื่อยขาแค่นี้ แอบด่าอาจารย์ในใจ ถูกไหม (ไม่ถูก)  เชิญศิษย์รักนั่งลงได้ ก่อนที่ศิษย์รักจะสร้างเวรสร้างกรรมกับอาจารย์ ถ้าศิษย์คิดว่าอนิจจังมันทำให้ทุกข์มา อนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ไป แล้วเราจะยึดมั่นถือมั่นไว้ทำไม ถึงเวลามันก็จบเองโดยเวลาที่มันเป็นไป ความไม่เที่ยงทำให้เกิดทุกข์ ความไม่เที่ยงก็ทำให้ดับทุกข์ได้ แต่มนุษย์ชอบยื้อยุดไม่ยอมหยุด จริงหรือไม่ (จริง)  
อาจารย์มีผลไม้สองอย่าง อย่างหนึ่งกินแล้วไม่อยากกินอีกเลย กับอีกอย่างหนึ่งกินแล้วก็อยากกินอีก ศิษย์คิดว่าสิ่งใดทำให้เกิดทุกข์ สิ่งใดทำให้เกิดสุข (กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดสุข กินแล้วไม่อยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบผลไม้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบทุกข์หรือสุข)
ผลไม้นี้กินแล้วไม่อยากกินอีก สุขหรือทุกข์ (ทุกข์, สุข)  กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ แล้วชีวิตอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  แล้วศิษย์เป็นประเภทกินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ คิดแล้วคิดอีกก็ทำให้เกิดทุกข์ มีแล้วมีอีกทำให้ทุกข์ แล้วที่กินแล้วไม่อยากกินอีก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะอาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดเจนว่า ทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่อยากกินแล้วอยากกินอีกหรือกินแล้วไม่อยากกินอีก แต่ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจเรายึดหรือไม่ยึด ถ้าไม่ยึดก็จบ แต่ถ้าเผลอยึดกลับมาเมื่อไรก็ทุกข์ ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งใดในโลกที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก สิ่งใดที่มนุษย์คิดอยากจะมี แล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มี” และในพระคัมภีร์กล่าวไว้อีกว่า “จิตที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่มีวันพบความสงบได้เลย” ถ้าอยากบำเพ็ญจงอย่ายึดมั่นหมายในสิ่งใด เพราะถ้ายึดแล้ว สิ่งนั้นมันเกิดเปลี่ยนแปลง สูญเสีย แหลกสลาย ใจเราจะได้ไม่เจ็บปวด ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือถ้าอยากแก้ทุกข์ในโลก จงทำเหมือนคนปิดทองหลังพระ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน ดีแค่ไหนขอดีหลังพระ ไม่ต้องมีตัวตนทำแบบคนดีหลังพระ ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ
อาจารย์จะบอกให้ว่าเราทำดีเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังบุญ ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนเขาบอกว่าเราดีหรือชื่นชม ความหมายของการทำดีที่แท้จริงแปลว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่วอันเป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจความดีนี้ศิษย์จะไม่ท้อในการทำดี เพราะเราทำดีเพื่อใจเราจะได้ไม่ไหลลงต่ำ คิดชั่วคิดร้าย แต่คนทำดีสมัยนี้คิดแค่เพียงว่าทำดีแล้วฉันจะได้บุญ ทำดีแล้วฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ยังหวังจะมีตัวตนเพื่อไปรับผลแห่งการกระทำและเวียนทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ความหมายที่แท้จริง พระพุทธะต้องการให้มนุษย์ตื่นรู้ คือเราทำดีเพื่อใจจะได้ไม่หลงไปเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ความคิดชั่วร้าย เพราะสิ่งที่เรียกว่ากิเลสอารมณ์ ล้วนเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ต้องทุกข์ มีเวรกรรมและเวียนว่ายในวัฏฏะไม่จบสิ้น ศิษย์คิดว่าทุกข์แห่งการตายนั้นเจ็บปวดแล้ว แต่ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วทำให้เราต้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีกน่ากลัวกว่าการตายหนึ่งครั้งนะ ศิษย์จำไว้นะ อย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากไหลไปกับความชั่ว ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากสร้างมูลเหตุให้เราต้องก่อกรรมชั่ว ที่เราพยายามประพฤติเป็นคนดีเพราะไม่ต้องการให้คนมาชมว่าฉันดี แต่ที่ฉันทำดีเพราะ “ฉันไม่อยากคิดร้ายกับเธอ” และที่ฉันทำดีเพราะ “ความดีทำให้ฉันสบายใจ” ไม่ทุกข์ใจ เพราะถ้าฉันคิดร้ายกับเธอ คิดแย่กับเธอ ฉันมีแต่เจ็บปวดใจ สู้ฉันทำตัวเองให้ดีที่สุดถึงเวลาเธอจะชอบหรือไม่ชอบ ฉันก็ละวางอย่างเข้าใจแล้ว เพราะหนึ่งการทำความดีจะหวังทุกคนมาชื่นชมคงเป็นไปไม่ได้ และในโลกนี้จะมีแต่คำชม ไม่มีคำต่อว่าก็ยิ่งไม่ใช่ แล้วโลกนี้มีแต่คนสำเร็จ มีแต่คนสวยไม่มีคนอัปลักษณ์ก็ไม่มีจริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจในแก่นแท้ของธรรมเราจะทุกข์หรือ แล้วอะไรหรือคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ (ปล่อยวาง)  ทำให้ดีที่สุดแล้วละวางด้วยความเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่ไหม)
อาจารย์ขอเปลี่ยน ไม่เอาคำว่า “ปล่อยวาง” เปลี่ยนเป็น “ละวาง” ดีไหม (ดี)  เพราะคำว่าปล่อยทำให้เหมือนว่าเราทิ้งไม่รับผิดชอบอะไร แล้วอะไรคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ ใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง
(ทำใจให้เข้มแข็ง)  ใจที่เข้มแข็ง ไม่คิดเลยใช่ไหม ก็ต้องคิดอยู่ดี บางอย่างก็ยังต้องคิด แต่คิดให้ถึงที่สุด ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้างตัวเอง คิดอย่างคนที่มองตามความจริง ไม่ใช่คิดอย่างคนที่มองตามใจ
(เข้าใจทุกข์แล้วเราก็จะเห็นมัน แล้วปล่อยวาง)  เข้าใจทุกข์พอเข้าใจเราจะปล่อยวางได้ทันที ได้ไหม (เราต้องมีสติทัน พอเรารู้ว่ามีความทุกข์เข้ามา)  อาจารย์จะบอกให้ว่า ทำอย่างไรถึงจะสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ทัน ศิษย์เคยมองเห็นความคิดของตัวเอง แล้วหยุดความคิดได้ไหม (ถ้าเรามองเห็น เราจะหยุดได้)  เคยเห็นไหม (เคยเห็น เคยฝึก)  แล้วเวลามีความทุกข์เราเห็นมันไหม (ตอนที่มีทุกข์เราไม่เห็น แต่พอเรามีสติมา เราจะเห็น พอเห็นแล้วความทุกข์มันจะหายไป)  แล้วเราเห็นตอนที่เสร็จแล้วหรือตอนที่กำลังเกิดทุกข์ (เห็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)  ควรจะเห็นก่อนนะศิษย์ ไม่ใช่จบไปแล้วค่อยเห็นว่ามันคือความทุกข์ (ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจความทุกข์)  เราต้องเห็นตั้งแต่ตอนที่มันกระทบ เห็นกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือน เข้าไปในใจ มันแค่กระทบหรือพุทธศาสนาเรียกว่า เห็นแค่อยู่ตรงแค่ผัสสะ แล้วไม่ก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ก่อเป็นรูปเป็นนามเป็นตัวตนความยึดมั่น เหมือนที่ตอนนี้เห็นแค่มันกระทบ  
(ละวางอย่างเข้าใจ)  ถ้าจะทำให้เราละวางได้เราต้องกล้ายอมรับว่า ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง เอาธรรมชาติเราไปวัดธรรมชาติเขาไม่ได้ (เอาตัวเราเป็นตัววัดไม่ได้)  ถึงเวลาทำให้เข้าใจแบบนี้ให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
(การรู้ทันเหตุแห่งทุกข์และดับให้ทันก่อนที่จะทุกข์)  เหมือนเขาด่ามา “ไอ้บ้า” หยุดทันไหม (ไม่ทันค่ะ)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าเขาด่าว่า “ไอ้บ้า” เราหยุดคนด่าได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราควรหยุดและจัดการคือ (ใจของเรา)  เขาด่าเรา “ไอ้บ้า” แต่เราอย่าด่าตัวเองว่า “ไอ้บ้า” ซ้ำแล้วซ้ำอีก หน้าที่ของเราเมื่อเวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ ไม่ได้จัดการเขา ไม่ได้ไปเปลี่ยนเขา ธรรมะสอนให้เราทำดี แต่การเป็นคนดีไม่ใช่การไปบังคับให้ทุกคนต้องดี แต่คนดีคือคนที่ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดี
(ความทุกข์เกิดจากความคิด ถ้าคิดว่ามันทุกข์เราก็เปลี่ยนความคิด) เราทุกข์เพราะใจที่เรายึดถือว่าแบบนี้ฉันชอบ แบบนี้ฉันชัง พอมีแบบนี้ฉันเลยสุข พอมีแบบนี้ฉันเลยทุกข์ จริงๆ แล้วแบบนี้สุขจริงไหม แบบนี้ทุกข์จริงไหม ไม่ใช่ทุกข์เพราะความคิดอย่างเดียว แต่ทุกข์เพราะใจเรายึดมั่นหมายในสิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่เป็นแบบนั้น
(เข้าใจในความทุกข์ และยอมรับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น)  ความทุกข์แปลว่า ตายแน่ๆ เจ็บแน่ๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ความทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ฉะนั้นเมื่อไรที่เรานั่งแล้วเราไม่ทุกข์ เราก็คงกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นต้องดีใจที่มีทุกข์ เพราะทุกข์มันสอนให้เราเข้าใจชีวิตและรู้ว่าชีวิตยังต้องรู้สุข ต้องมองและแยกให้ออกว่าทุกข์นั้น แปลว่าทุกข์ที่ทำให้เจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต จริงไหม (จริง)
ถ้าเราไม่อยากทุกข์ในโลก ลองทำใจว่างๆ พอใจว่างๆ ไม่มีขอบเขต ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความมั่นหมาย อะไรมากระทบเราก็ไม่เจ็บปวด เพราะมันว่าง แต่หัวใจของมนุษย์ มีความยึดมั่น มีความมั่นหมาย มีความคาดหวัง พอโดนกระทบก็เจ็บ
ถ้าเราปล่อยให้ใจว่าง ก็ไม่มีอะไรทำให้เราเจ็บได้ ที่สุดของความทุกข์คือการกลับคืนสู่ความว่าง ยึดว่าฉันเป็นแบบนั้น ยึดว่าฉันเป็นแบบนี้ ยิ่งยึดก็ยิ่ง (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนไปสู่ความว่าง ล้วนกลับคืนไปสู่ความไม่มี ลองถามใจลึกๆ ดูนะศิษย์ ศิษย์บอกว่าใจของศิษย์เป็นอย่างนั้น ใจของศิษย์เป็นอย่างนี้ ศิษย์ลองค้นเข้าไปถึงที่สุดแห่งใจว่ามีตัวตนไหม มีรูปแบบที่ชัดเจนไหม (ไม่มี)  ใจเกิดเพราะอารมณ์มากระทบ พอไม่มีอารมณ์มากระทบ ใจก็ว่างไม่มีอะไร ตัวตนเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เรียกว่ากิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมากระทบตัวตนที่เรียกว่าใจ จะมีไหม (ไม่มี)  เวลาที่ศิษย์อยากกินอย่างนั้น อยากกินอย่างนี้ ก็คือสัญญาจำได้หมายรู้ที่อยู่ข้างในอันเก่า ศิษย์อาจจะคิดว่า ถ้าคนเราเกิดมาตายไปแล้วก็จบ อย่างนั้นเราก็ไปทำความเลว ทำร้ายคนอื่นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คิดแบบนั้นไม่ได้ อาจารย์จะบอกให้นะ เพราะใจมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ อย่าได้เผลอเพาะอะไรลงไปในใจ เพราะเมื่อได้เพาะอะไรลงไปในใจแล้ว ใจนั้นจะมีสัญญาคอยเตือนว่า จำไว้นะครั้งหนึ่งเราเคยขโมยเงินคน จำไว้นะเราเคยนินทาคน จำไว้นะเราเคยแอบคดโกงคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองสังเกตดูนะ จิตสำนึกดีจะคอยบอกว่าเราเคยทำผิด เราเคยไม่ดีและเวลาที่เรานึกถึงความไม่ดีขึ้นมานั้น จะเป็นตัวที่ทำให้เราหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรและรับผลของกรรมนั้น พระพุทธะจึงบอกว่า “ใจเหมือนเนื้อนาบุญที่จะปลูก จะฝังอะไร จงเลือกปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงามและถูกต้อง” หลายคนมักจะพูดกับอาจารย์ว่า ศิษย์ทำดีแล้วแต่ทำไมยังเจอเรื่องร้ายอยู่อีก มาศึกษาธรรมแล้วต้องไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่จน ไม่ตาย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ทำบุญแล้วต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตาย ดวงดีถูกลอตเตอรี่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเวลามาไหว้พระถึงต้องคิดแบบนี้กันเสมอล่ะ คิดแบบนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ถ้ามาไหว้พระประสบอุบัติเหตุแล้วตาย ดีไหม ศิษย์เอย ถ้าชั่วขณะจิตนั้นเป็นกุศลและกำลังน้อมนำสู่ความสงบ ตายไปก็ไปสู่สุคติ จริงหรือไม่ (จริง)  ดีไม่ดีไม่ได้อยู่ที่อุบัติเหตุ แต่อยู่ที่ชั่วขณะจิตดับแล้วศิษย์ฝังจิตตรงนั้นไปสู่อะไร ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าเราทำดีไม่ใช่เพื่อจะเป็นคนดี แต่เราทำดีเพื่อไม่ให้จิตนั้นปลูกฝังความชั่วร้าย แล้วเป็นเหตุให้เราต้องไปเวียนว่ายวน อย่างนั้นถ้าเราทำดีแล้วเรายังต้องเจ็บได้ไหม (ได้)  ตายได้ไหม ประสบอุบัติเหตุได้ไหม โดนด่าได้ไหม โชคร้ายได้ไหม (ได้)  ถ้าเราศึกษาธรรมแล้ว อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวอุบัติเหตุ อย่ากลัวชะตากรรมที่พลิกผัน เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่า “กรรม” ถ้าแม้จะร้ายมา มันมีกรรมมา เราก็ได้ชดใช้ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้ามีคนมาทำให้เราต้องเจ็บ ทำให้เราต้องสูญเสีย เราก็ถือว่าเราได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  ถ้ามีคนด่ามา มีคนมาเอาเงินเราแล้วไม่คืน เราจะจองเวรจองกรรมเขาหรือไม่ (ไม่)  ทวงเขาไหม (ทวง)  อาจารย์จะบอกให้ว่าถ้าไม่อยากมีเวรมีกรรมกับใคร เวลาจะให้ใครยืมเงิน แม้เขาไม่คิดจะคืนเราก็ไม่ต้องคิดจะทวงด้วย เพราะมันจะได้ไม่เกี่ยวกรรมกัน ดีไหม (ดี)  ตอนเราให้เขายืม เราเป็นเจ้านาย แต่พอเขายืมไปแล้วเราเหมือนขี้ข้าเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอยากให้ใครยืมจงคิดว่า ยืมแล้วเขาไม่คืน เราก็ไม่เป็นไร เราจะได้ไม่ต้องติดหนี้ติดกรรมกัน ดีไหม
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราทำอะไรไปแล้ว เขาจะเห็นคุณค่าหรือไม่เห็นคุณค่า นั่นก็คือที่สุดของเราได้ให้ไปแล้ว เราก็จะไม่ต้องมาเกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป อาจารย์ยังไม่ได้บอกที่สุดแห่งความทุกข์ให้ศิษย์ฟังเลย อยากฟังตอนนี้เลยไหม (ฟัง)
ศิษย์เคยได้ยินนิทานของพระพุทธองค์ ที่เราได้ฟังถ่ายทอดกันมาไหม อาจารย์ขอเอาบทนั้นมาให้ศิษย์ได้พิจารณา เพื่อบังเกิดธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำว่า “พาหิยะ” เป็นหนึ่งในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรด เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อไม่มีตัวเธอเกิดในโลกนี้หรือโลกหน้า เมื่อนั้นแหละคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ แต่เราอยู่ในโลกนี้ เราเคยเห็นสักแต่ว่าเห็นไหม ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินไหม (ไม่เคย)  เมื่อเราเห็นเราต้องมีตัวตนไปตัดสิน ชอบไม่ชอบ ดีร้าย ได้เสีย ฟังก็มีดีใจ ไม่ดีใจ เสียงดีเสียงไม่ดี แต่พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากกลับคืนสู่ที่สุดแห่งทุกข์ เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสดมกลิ่นสัมผัส ไม่มีตัวเธอเกิด เมื่อโลกนี้ไม่มีตัวเธอ ก็ไม่มีตัวเธอในโลกหน้า เมื่อไรที่ไม่มีตัวเธอในการดำเนินชีวิตอยู่ ก็คือไม่มีตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ เมื่อนั้นเรียกกว่า “ที่สุดแห่งความทุกข์” ฉะนั้นที่สุดแห่งความทุกข์ ไม่ใช่อยู่ในศีล เป็นอานิสงส์ ไม่ได้อยู่ที่สมาธิเป็นอานิสงส์ แต่อยู่ที่ใจไม่กระเพื่อมแห่งความเป็นตัวตน จึงเป็นแก่นแท้แห่งความสิ้นทุกข์ เหมือนโดนอะไรกระทบ ก็ไม่มีความอยากแล้ว ทำแค่นี้ก็ได้แค่นี้ ทำตามหน้าที่ที่ทำให้เกิดธรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำตามความอยากที่เรียกว่ากิเลส กินก็ต้องอยากก่อนถึงจะกิน ใส่ก็ต้องอยากก่อนถึงจะใส่ ออกไปข้างนอกก็ต้องอยากก่อนถึงจะไป ซึ่งการอยากนี่แหล่ะ มันเป็นตัวเพาะพันธุ์ที่ทำให้เรามีตัวตนไม่จบสิ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนถึงที่สุดก็ไม่มี เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
สังขารนี้ หนีพ้นความแก่ เจ็บ ตายไหม (ไม่พ้น)  เรามีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็น (ธรรมดา)  เราท่องอยู่ทุกวัน ธรรมดาทำให้ใจปกติ เมื่อปกติแล้วใจจึงสงบ เมื่อใจสงบแล้วจึงกระจ่างชัดในความจริง แต่เราไม่เคยเห็นความธรรมดาแล้วใจปกติ เพราะแก่แล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  เจ็บแล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็น (ธรรมดา) 
ถ้าธรรมดาทำให้ใจปกติได้ นั่นเรียกว่าสงบ แต่ถ้าธรรมดาแล้วยังทำใจให้ปกติไม่ได้ ก็ไม่มีวันสงบ และก็ไม่มีวันเห็นแจ้งจริงได้ ถ้าโดนด่าแล้วยังปกติ แล้วยังสงบได้ แล้วยังเห็นแจ้งจริงได้ นั่นคือการกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม เหมือนชีวิตเราทุกคน มีใครไม่แก่ ฉะนั้นโดนว่า ไอ้แก่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไอ้เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  
ศิษย์เอ๋ย อย่าโกรธเลย เวลาโดนว่า ไอ้แก่ ใครๆ ก็แก่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความแก่ เจ็บ ตาย จะมีมาช้าไว มันอยู่ที่ผลของการกระทำของศิษย์ มันจะหนักจะเบาก็อยู่ที่เหตุปัจจัยที่ศิษย์สร้าง ทำไมเพื่อนอยู่กับเราตั้งเยอะ เราแก่วันแก่คืน เพื่อนทำไมไม่แก่เลยนะ บางทีเราอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ ทำไมเพื่อนไม่เคยเจ็บเลย บางทีเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ เราตายไปแล้ว เพื่อนที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ กลับบอกว่าทำไมไม่ตายสักทีนะ ตกลงใครดีที่สุด (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะทุกข์กับอะไร ศิษย์กำลังทุกข์กับสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่เป็นหัวใจแห่งทุกข์ ชีวิตที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์กำลังโกรธกับคนที่ด่า ที่ไม่เคยเที่ยง ที่อยู่แค่ขณะนี้ ถ้าศิษย์มองให้กว้างๆ คนนี้ด่า เดี๋ยวก็มีคนชม ถ้าเปิดใจให้กว้าง มันก็แค่ขณะหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  
แล้วชีวิตเราจะจมอยู่กับขณะนี้ และหน้านี้ คนๆนี้ แล้วก็ทุกข์จนเขาตายเพราะเขาคนนี้ที่ด่าเราหรือ (ไม่ใช่)  เรายังมีอีกตั้งหลายขณะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเลือกคนๆ นี้ที่เขาด่าเรา เกี่ยวกรรมกับเรา จองเวรจองกรรมกับเขาไม่จบสิ้น เอาเขามาด่าแล้วด่าอีก เพื่อทำให้ใจเราเจ็บปวดหรือ (ไม่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (เป็น)  ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดถ้าศิษย์เข้าใจกระจ่างในธรรม ศิษย์จะบอกอาจารย์ว่าขอบคุณนะที่ทำให้ฉันทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวว่า “หาความมั่นคง ถึงที่สุดมันก็เหมือนไม่มั่นคง” เราไม่อยากโดดเดี่ยว เราไม่อยากอ้างว้าง แต่ถึงที่สุดมีสามีดีก็แล้ว มีลูกดีก็แล้ว แต่ทำไมเรายังเหงาจังเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงที่สุดเราก็ต้องโดดเดี่ยว ธรรมสอนให้เรารู้ว่าถึงที่สุดเราก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง กลับสู่ความไม่มี และสิ่งที่เหมือนมีก็คือไม่มี เหมือนที่ศิษย์หาแทบตาย หาเพื่อให้เกิดมั่นคง หาให้สมบูรณ์แบบ หาให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายอะไรดีที่สุด อะไรสมบูรณ์แบบ อะไรมั่นคง (ไม่มี)
ฉะนั้นความกระจ่างในธรรมจะเยียวยาใจให้เรามองเห็นโลกนี้อย่างแจ่มชัด และไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลงอะไรในโลก เพราะในโลกนี้หาความแท้จริงไม่ได้ ไม่ต้องไปพยายามข่มความอยากเลย มันอยากไม่ออกแล้ว เพราะอยากไปเดี๋ยวก็ทุกข์ เกลียดเขาไปเดี๋ยวก็กลายเป็นเวรกรรมเราไม่เอา ถ้าอยากเจอกับเขาอีกจองเวรจองกรรมเลย แต่ถ้าไม่อยากเจอกับเขาอีกขอบคุณที่ทำให้ฉันได้ชดใช้กรรมกับเธอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจธรรมเราจะเบิกบาน เราจะมีชีวิตอยู่แค่วันนี้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่รู้ รู้วันนี้ รู้ตอนนี้ ฉะนั้นใครจะว่าฉันเหี่ยว ใครจะว่าฉันแก่ ใครจะว่าฉันเตี้ย ใครจะว่าฉันไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นไรเพราะฉันเข้าใจว่าชีวิตยังมีต่อไป ได้เรื่องไม่ได้เรื่องฉันรู้ตัวฉันดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราสงบและเข้าใจกระจ่างชัดในตัว เราจะสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ แต่ถ้าเราไม่สงบไม่กระจ่างชัดในตัว เราจะถูกสิ่งแวดล้อมชักนำให้ตกเป็นทาสอยู่ร่ำไป เข้าใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง: เก็บใจ)
กายกับใจวุ่นกับความไม่ว่าง เพราะหลีกหนีความว่างไปให้ไกล เมื่อใจไม่ว่างก็เลยง่ายต่อการถูกการกระทบ เมื่อถูกกระทบก็หนีไม่พ้นเรียกว่าร้าย เรียกว่าดี เรียกว่าชอบ เรียกว่าชัง แล้วร้ายดีก็เรียกอีกอย่างว่าบุญหรือบาป ซึ่งมนุษย์ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกรงที่เรายึดถือไว้ด้วยโซ่ตรวน จริงไหม
มนุษย์กลัวความว่าง พยายามหาทุกอย่าง ต้องมีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดหามาเต็มที่ มีก็เหมือนไม่มี เพราะใจไม่เคยพอ แล้วพอมีก็ก่อเกิดว่าชอบ ไม่ชอบ แล้วก็เกิดทำอะไรร้ายๆ บุญก็สร้าง แล้วก็เผลอสร้างบาป วนเวียนอยู่ในความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วหลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองเข้าใจ กายกับใจของมนุษย์พยายามวุ่นกับความไม่ว่าง เพื่อหนีความว่างไปให้ไกลๆ การเรียนรู้ธรรมคือกลับสู่ความว่าง ความสงบ แต่ถามจริงๆ ว่ามนุษย์ทุกคนลึกๆ ใจอยากว่างไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เรามีก็คือไม่มี แล้วเราก็ไม่สามารถครอบครองอะไรได้เลย เมื่อมนุษย์วิ่งไปหาความไม่ว่าง พอวุ่นมากๆ ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเราชอบและชัง แล้วก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าดีและร้าย เรียกว่าบุญเรียกว่าบาป ที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้ว่านี่คือตัวฉันที่กำลังวุ่นอยู่ เพื่อหนีความว่าง แล้วก็บอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองไม่ได้ยึด จนเหมือนกรงทองที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้เป็นโซ่ตรวนที่อยู่ในกรงนั้น จริงไหม (จริง)
อาจารย์พูดง่ายๆ นะ มนุษย์เมื่อขยับเขยื้อนทำอะไรก็ตาม ถ้าดีก็เรียกว่าบุญ ถ้าไม่ดีก็เรียกว่าบาป แล้วที่เรียกว่าบุญบาปนั้น เพราะมีตัวตนที่ชอบชัง บุญบาปจะหมดได้ก็ต่อเมื่อถ้าเราไม่ชอบ เราไม่มี เราไม่ชัง บุญบาปจะสลายไปแล้วกลายเป็นความว่าง ฉะนั้นใครจะต่อว่ามาหรือเราจะสูญเสียอะไรไป ก็ว่าง จริงไหม ศิษย์อาจจะบอกว่ายาก แต่อาจารย์อยากบอกว่า ทุกขณะชีวิตของเรากลับไปสู่ความว่าง ถ้าศิษย์ไม่พยายามฝึกใจตอนนี้ เมื่อถึงเวลาศิษย์ที่ต้องทิ้งไปสู่ความว่าง ศิษย์จะทุกข์ที่สุด เหมือนที่อาจารย์บอก “ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ” แค่โดนด่าคำเดียว เอาคำนั้นมาขังตัวเอง ว่าเขาด่าเรา เขาทำเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าคิดว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเวลาเจอทุกข์เราจะได้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัว เหมือนอาจารย์ถามว่าใครในโลกนี้ไม่สูญเสีย ใครในโลกนี้ไม่เจ็บปวด ใครในโลกไม่ต้องตาย เป็นเรื่องธรรมดาของทุกชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มี และเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่สังขารแต่คือจิตที่ตื่นรู้ในธรรม กลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก สิ่งนี้ที่ประเสริฐที่สุด ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์กระจ่างแจ้ง เพราะถ้าเมื่อไรเรานำพาตัวเองได้ เราทำให้ตัวเองร่มเย็นได้ เราก็นำพาครอบครัว สังคมให้ร่มเย็นได้
สิ่งที่อาจารย์หวังอยากได้จากศิษย์ก็คือ ขอให้ศิษย์สงบร่มเย็นในใจได้ ไม่หวาดหวั่น ไม่กลัวทุกข์ มีหัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับความจริงและนำความเข้าใจนี้ไปนำพาคนในโลกให้เขาเข้าใจและตื่นรู้และไม่ทุกข์ แล้วแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นสันติสุข ไม่ทำร้ายกันด้วยความโลภ ความอยาก ความเกลียด ความโกรธอีกเลย แต่ให้กันด้วยธรรม ให้กันด้วยความสงบและดีงาม ดีไหม (ดี)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”)
ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มนุษย์ปรารถนาความสงบใจ ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายใจ อาจารย์ยกตัวอย่าง เหมือนถ้าเราเข้าไปในป่า เราจะไม่ได้ยินเสียงนก ไม่ได้ยินเสียงน้ำ ไม่ได้ยินเสียงลมพัด เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะคือธรรมชาติ เพราะถ้าเข้าไปในป่า ต้องมีเสียงนก เสียงน้ำ เสียงลมพัด นี่คือธรรมชาติ เช่นเดียวกันเราอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมที่เราจะหยุดผู้คนไม่ให้พูด ไม่มีมีเสียง เราจะหยุดให้ทุกคนเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเจอเรื่องที่ทำให้เราไม่สงบ ศิษย์จะเอาแต่หนี ข่มใจ หนีเขาไปให้ไกลๆ แล้วไปหาที่สงบ เวลาที่ศิษย์เบื่อ มีความทุกข์มากๆ ศิษย์ก็ไปไหว้พระเก้าวัด เผื่อว่าจะได้หายทุกข์ แล้วหายไหม (ไม่หาย)  กลับมาเจอหน้าเขาก็เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นข่มใจ ขันติไว้หรือยุบหนอพองหนอ อาจารย์ถามจริงๆ นะ แบบนี้ใช่วิธีแก้จริงๆ หรือ การเอาแต่หนี การคอยแต่จะเปลี่ยนคนอื่น การเอาแต่ข่มใจ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง หนทางที่ถูกต้องคือทำใจให้ว่าง ทุกอย่างก็จะว่างโดยทันที ไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ แค่ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง เมื่อยอมรับได้ความสงบก็เกิดขึ้นทันที ไม่เรียกร้อง ไม่หวังวอน ยอมรับความเป็นจริงของทุกสิ่งว่าล้วนมีธรรมชาติและนิสัยที่แตกต่างกัน เมื่อไม่เรียกร้อง ไม่ยึดมั่น ใจก็จะโล่ง ใจก็จะว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่ทำให้เราเจ็บปวด เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้ สงบแล้วก็จบทันที จริงหรือไม่ (จริง)
แต่มนุษย์ไม่กล้าทำใจว่าง ทั้งๆ ที่ใจว่างมาตั้งแต่เดิมที ความว่างคือธรรมที่เรามีมาแต่เดิม แต่เรายิ่งพยายามจะมีก็คือความ (โลภ โกรง หลง) อาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ให้มีนะ แต่มีอย่างคนไม่หลงได้ไหม ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลสแล้วทำบาปผิดศีล ได้ไหม (ได้)  ศิษย์รู้ไหม เมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันได้กลับมาเจออาจารย์อีกต่อไปนะ ถ้าศิษย์ยินดีจะตกเป็นทาสของความโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันเจอหนทางสว่างอีกต่อไป อาจารย์พูดได้แค่นี้ ฉะนั้นทำสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างคนที่มีศีลมีธรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายอีก เพราะหนทางที่ศิษย์บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ตายก็ตาย ทุกข์ก็ทุกข์ เวียนว่ายก็เวียนว่าย ไม่ง่ายอย่างที่ศิษย์คิดนะ ศิษย์เคยเห็นบางคนไหมเกิดมาน่าสงสาร ทำบุญอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น เป็นเพราะเขากำลังใช้กรรมเก่า เขาเคยมีโอกาสทำดีแต่เขาก็ไม่ทำ คิดแต่ว่าทำไมต้องทำ แล้วศิษย์อยากเป็นคนนั้นไหม (ไม่อยากเป็น)  แล้วศิษย์ยังจะทำอย่างนี้อีกหรือ อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าที่ดีงามในตน อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าธรรมในหัวใจตน ใดใดในโลกมันไม่เที่ยง มันทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่ศิษย์จะยึดมั่นว่านี่คือตัวศิษย์ นี่คือของศิษย์ ยึดจนกลายเป็นโลภ โกรธ หลง แล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือศิษย์ควรจะยืมใช้แล้วเข้าใจ และละวาง คิดดูนะศิษย์ แม้อาจารย์จะพูดปากฉีกถึงรูหูก็เปล่าประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่เอาน่าเสียดายนะ อาจารย์มีความจริงใจเต็มร้อย วันนี้อาจารย์ให้เกินร้อย ศิษย์จะเอาหรือไม่เอาก็ขึ้นอยู่กับศิษย์นะ เอาไปปฏิบัติเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังเมินเฉย อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมจากพม่า)
มีคนมาจากแดนไกล ตั้งใจมาฟังธรรมะนี้ แล้วคนข้างหน้าเขาก็หวังว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นแรงผลักดันให้รุ่นต่อไปเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยเพียงใด ทุกคนต่างมีบุญอันดีงาม แต่เราจะรักษาบุญนี้ให้สืบต่อเนื่อง และนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่พึ่งแต่อาจารย์ แต่ต้องเกิดจากการตื่นรู้เข้าใจในธรรมของตัวศิษย์เอง เพราะศิษย์ทุกคนล้วนมีสภาวธรรมอยู่ในตัว ลองใช้ใจสู่ใจ ใช้จิตสู่จิต ใช้ความดีงามสู่ความดีงาม ใช้หนทางที่ถูกต้องนำพาชีวิต และใช้หัวใจอันบริสุทธิ์นำพาผู้คนได้ไหม อาจารย์ให้ผลไม้เป็นกำลังใจแล้วกันนะ ทำอะไรต้องรู้จักคิดรู้จักทำนะ อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบนำพาให้ศิษย์หลงผิด อุตส่าห์เสียสละไปอยู่ที่นั่น ใช่ไหม
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม อาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์จะอยากจับมืออาจารย์ไหม มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะศิษย์ อย่ายอมแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ เข้มแข็ง อดทน รู้จักฟันฝ่าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็งอย่ายอมแพ้ ตั้งใจอย่าอ่อนแอ  เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับนะ พรอันประเสริฐอาจารย์ให้ศิษย์ไปหมดแล้ว รักษาพรให้ดีและประเสริฐด้วยสติ แล้วรู้จักยั้งคิด ความดีงามรักษาไว้ ทำให้ได้นะ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วนะ ตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมให้ดี อย่าหลงตกเป็นทาสของอารมณ์และกิเลสเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ศิษย์กับอาจารย์ไม่มีวันกลับมาเจอกันอีก จงมุ่งมั่นรักษาศีลธรรมที่ดีงามมีคุณธรรมความเป็นคนให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ ทิฐิ ความดื้อรั้น มาทำให้เราต้องผิดศีลผิดธรรมเลย ใช่ไหมผู้มีปัญญา
ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องและดีที่สุดนะ เพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ อย่าให้มีทุกข์แล้วค่อยทำ แล้วค่อยมาคิดได้ ไม่ทันนะ คิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดเพื่อตัวศิษย์ แต่ไม่ใช่เพื่ออาจารย์เลย แต่ศิษย์กลับทำเฉยชาเหมือนอาจารย์โกหก เหมือนอาจารย์หลอกลวง อาจารย์ไม่เคยคิดจะหลอกลวงศิษย์ สัญญาได้ไหมจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ทำให้ได้นะ อย่าเผลอทำผิดคิดร้าย ทำได้หรือยัง ศิษย์ทุกคนเข้มแข็งนะ ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด รักษาแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ในจิตใจตัวเองนะ ทำให้ถูกต้อง ทำให้ดีงามเท่าที่ชีวิตหนึ่งจะทำได้ กิเลสเพียงนิดก็อย่าได้ให้กล้ำกลายจิต จนเป็นเหตุให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลย


หมายเหตุ เชิงอรรถหน้า ๒๖ อยู่บรรทัดที่สองนับจากบรรทัดสุดท้าย
พาหิย
ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ เป็นเอตทัคคมหาสาวก ผู้ตรัสรู้เร็ว พระพาหิยทารุจีริยะเถระ ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว ท่านได้บรรลุพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถี โดยแสดงธรรมโดยย่อว่า ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ในกาลใดเมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในโลกนี้ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสองนี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากพระพุทธองค์เทศนาจบ พาหิยะก็สำเร็จอรหันต์ ในขณะเป็นคฤหัสถ์ และในระหว่างที่กำลังหาเครื่องสำหรับบรรพชาเป็นพระภิกษุ ท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต
(พระอาจารย์ได้มาเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกครั้ง)
อาจารย์อยากจะมาชาร์จแบตให้ศิษย์ทุกคน ให้มีจิตเหมือนอาจารย์ คือมีจิตที่อนุเคราะห์ มีจิตที่เสียสละ เข้าใจจิตนี้ไหม สืบทอดความมุ่งมั่น สืบทอดปณิธาน สืบทอดจิตใจเสียสละ ร่วมมือกันนะศิษย์นะ เหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนเพื่อนที่ให้เกียรติ ที่เคารพ ที่รักกันด้วยความจริงใจ ที่มีความมุ่งมั่นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะนำพาตัวเราเอง และผู้คนไปให้พ้นทุกข์ ด้วยหัวใจอนุเคราะห์เสียสละ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย ได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้กำลังใจ มาๆ ทุกคน มาจับมือกับอาจารย์ เข้มแข็งนะ มือที่จับร่วมกันแล้วคือปณิธานเดียวกัน มีหัวใจเดียวกัน มีความมุ่งมั่นเดียวกัน ที่เราจะอุทิศ อนุเคราะห์ช่วยเหลือเวไนยด้วยหัวใจที่เสียสละเต็มที่ ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย เคารพให้เกียรติกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ได้ไหมศิษย์ (ได้)  เอาหัวใจอาจารย์ไปนะ หัวใจที่สืบต่อปณิธานที่อยากฉุดโปรดเวไนย  ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมแพ้ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังศิษย์นะ พลังแห่งความมุ่งมั่น พลังแห่งหัวใจที่สู้ไม่ท้อ ได้ไหม (ได้)  หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่เข้มแข็ง ไม่ท้อถอย หัวใจที่รักผู้อื่นเยี่ยงเดียวกับรักตัวเอง ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดใคร มีแต่ใจที่อยากช่วยเหลือและนำพาเขานะ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังใจตรงนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจตรงนี้ ใจที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใจที่มุ่งมั่น รักเขาจริงๆ อย่างใจ ช่วยเขาจริงๆ อย่างที่ไม่เหลือใจตัวเองไว้ยึดถือ ได้ไหม (ได้)  รักเขาให้เหมือนที่อาจารย์รักนะ
เราบำเพ็ญเพื่อปลุกหัวใจแห่งพุทธะ ที่รักเขาจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ที่เสียสละมุ่งมั่น เพี่อให้เขาได้ถึงฝั่งที่ถูกต้องและดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้มแข็ง ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นตัวแทนสืบทอดหัวใจอันนี้ของอาจารย์  ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ได้สมานเป็นหนึ่งเดียวกัน สืบทอดหัวใจจี้กงน้อยๆ สืบทอดหัวใจที่งดงาม สืบทอดหัวใจที่ตั้งใจเสียสละมุ่งมั่น สืบทอดหัวใจที่เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในชีวิต สืบทอดหัวใจที่ซื่อตรงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง  เข้าใจไหมศิษย์
เราร่วมมือกันนะ เราต้องรักกัน เราต้องดูแลกัน เราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อาจารย์ให้กำลังใจนะ ทำให้ดีให้สมกับที่เป็นศิษย์ที่มุ่งมั่นไม่ท้อถอยนะ เราจับมือกันต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงามเพื่อส่งต่ออนุเคราะห์นำพาเวไนย  ต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงาม สร้างหัวใจที่บริสุทธิ์ สร้างหัวใจที่เข้มแข็งนะ ทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง ต้องให้อาจารย์พูดอะไรอีกหรือ อยู่ใกล้อาจารย์แล้ว ไม่ต้องกลัวอาจารย์ทิ้งนะ รักษาหัวใจที่ดีงามนี้ไว้นะ  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่ลืมนะ ว่าทุกหยาดเหงื่อ ทุกหยาดน้ำตาที่ศิษย์เสียสละเพื่อช่วยเวไนย อาจารย์เห็นหมด ต่อไปนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะ ต่อไปนี้ไม่น้อยใจแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ท้อใจแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรามีปณิธานเดียวกัน คือช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นหัวใจที่ช่วยเขาให้พ้นทุกข์ คือเป็นหัวใจที่เข้มแข็งนะ ได้ไหม (ได้)  แล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะอาจารย์มั่นใจในศิษย์แล้ว ไม่ต้องห่วงหน้า ไม่ต้องพะวงหลังอีกต่อไป ใช่ไหม (ใช่) 

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”
    หยุดเขาหรือหยุดใจตน                      หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                               ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                               ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                             สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                  ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                           ความมีคือหลงวุ่นวาย

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
วันที่ ๖–๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๓  ย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๒
เดิม     หนทางไม่มีสายกลาง      แก้เป็น   หนทางไม่มีเส้นกลาง
แก้ไขชื่อเพลงพระโอวาท
เดิม     บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ    แก้เป็น บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนนำหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ        หน้า ๑ วรรคที่ ๒ 
เดิม     ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง 
แก้เป็น ศึกษาธรรมมีสติรู้ธรรมตามจริง
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บทแรก
เดิม     รีบรีบขอต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้เป็น          รีบรีบเข้าต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ขอใจชีวิตตัวเอง  แก้ไข  เข้าใจชีวิตตัวเอง  

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2560-05-13 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一七年歲次丁酉四月十八日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐         สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  อย่ายึดดีจนกลายรังเกียจทุกข์         อย่ายึดสุขจนกลายกลัวทุกข์ยิ่ง
ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง             มัวปรุงแต่งกิเลสอารมณ์ยิ่งทุกข์ไม่วาย
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  พูดเร่งเร่งไม่น่าฟังไม่ไพเราะ            รีบรีบขอต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
ละเลยใจชีวิตตัวเองตามกันไป            เจ้าของทางบ่นเก่งไม่บังเกิดคุณ
ชวนโลกหมุนไปตามจิตบำเพ็ญแล้ว      ขัดเกลาตนเพริศแพร้วใต้แสงอุ่น
บำเพ็ญจิตความคิดก็กลายเป็นทุน       ไม่พึ่งโชคดวงต้องลุ้นเหมือนประจำ
ประลองใจฝึกฝนฝึกแข่งกับตัว           เก่งไม่กลัวกลัวไม่มีคุณธรรม
ปัญหาออมหม่นหมองให้ตนสร้างกรรม  ทำผิดให้ตนย้ำไม่นำพา
รู้ตนดีทำตัวไม่น่าช่วย                    พูดคิดด้วยสติเป็นสิ่งมีค่า
อย่าร้อนตัวต่อสติใครพูดมา              เสวนาพูดก็พูดด้วยติเพื่อก่อ
ยอมให้เขาติคำที่ขัดหู                     กระทบดูจิตเราสติทันไหมหนอ
โกรธดันผลักแรงเป็นเกมส์ตัวต่อ         หรือว่าพอจะยกมาพัฒนาใจ
                                            ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

“อย่ายึดดีจนกลายรังเกียจทุกข์  อย่ายึดสุขจนกลายกลัวทุกข์ยิ่ง
ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง     มัวปรุงแต่งกิเลสอารมณ์ยิ่งทุกข์ไม่วาย”
เป็นอย่างนี้ไหม ยึดดีจนกลายเป็นรังเกียจทุกข์ ยึดสุขจนกลายเป็นยิ่งกลัวทุกข์ไปใหญ่ เป็นอย่างนี้ไหม ทุกวันนี้ ถ้าเรายึดดีเราก็เกลียดทุกข์
ยึดสุขเราก็ยิ่งกลายเป็นกลัวทุกข์ใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ความทุกข์จริงๆ แล้วน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่เวลามีความทุกข์ทำไมต้องหนี
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบสุข แต่ผลสุดท้ายเราก็วิ่งวุ่นไปหาความอยากที่ไม่รู้จักพอ ถึงที่สุดเราก็กลายเป็นวุ่นวาย แต่ใจลึกๆ อยากมีความสงบ แล้วรู้ไหมว่าต้นเหตุของความไม่สงบสุขก็คือ ความอยากที่ไม่รู้จักพอ จึงทำให้เราวุ่นวาย ลึกๆ แล้วเราปรารถนาความสันติสุข แต่ในใจของเราก็คิดตรงกันข้าม เราปรารถนาที่จะอยู่กับคนอย่างสันติ อย่างมีมิตรภาพ แต่ในใจลึกๆ เรามักมองคนอย่างคิดร้ายมากกว่าคิดดี จ้องจับผิดมากกว่าจะมองเห็นว่าเขาถูก แล้วใจอยากหาความสันติไหม (อยาก) แต่ทำไมใจลึกๆ ถึงชอบจับผิดมากกว่า มนุษย์ทุกคนอยากมีมิตรมากกว่าอยากมีศัตรู อยากมีสันติสุขมากกว่าอยากมีเรื่องวุ่นวาย แล้วทำไมในเมื่อใจอยากอย่างหนึ่ง แต่การปฏิบัติกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับเรารักที่จะมีเพื่อน ไม่อยากมีศัตรู แต่ทำไมกับเพื่อนเราเอง เราจึงคิดร้ายมากกว่าคิดดี จากคนที่อยู่กันดีๆ แต่เรากลับชอบที่จะจับผิดมากกว่าที่จะมองเขาในแง่ดี ฉะนั้นใช่หรือที่เขาหาความวุ่นวาย ใช่หรือที่เขาหาเรื่อง หรือใจเราเองต่างหากที่อยากอย่างหนึ่ง แต่กลับทำอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเราชอบความดี ชอบคนดี แต่พอมีเรื่องของใครไม่ดี เราเหยียบย่ำซ้ำเติมไหม (ไม่)  ให้โอกาสเขาไหม (ให้)  มนุษย์ปรารถนาความดี แต่พอมีใครทำผิด คนดีทำผิดเราให้โอกาสเขาแก้ตัวไหม (ให้)  ถ้าต่อว่าจนสะใจแล้ว อย่างนั้นจะเรียกว่าให้โอกาสไหม (ไม่ให้)
ฉะนั้นถามว่ามนุษย์ก็รู้อยู่เต็มอกว่าทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากใจของเรา และในทุกข์หรือสุขนี้ บางทีก็เปลี่ยนแปลงวัดค่าไม่ได้ แล้วทำไมเราจึงชอบถามตัวเองว่า ทำไมคนนั้นไม่ดี ถ้าคนนั้นดีฉันถึงจะดี คนนั้นดีฉันถึงจะสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไหนบอกว่า ไม่ว่าทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากใจ ตกลงว่าอยู่ที่ใจเราหรืออยู่ที่เขา (ใจเรา)  ถ้าใจเราไม่กำหนดว่าเมื่อไรเขายิ้มเราก็ยิ้ม ถ้าเราไม่กำหนดว่าเมื่อไรเขาบึ้งเราก็ยิ้ม ตกลงว่าเขากำหนดหรือเรากำหนด (เรากำหนด)  อย่างนั้นทำไมเวลามีปัญหาจึงโทษเขาไม่โทษเรา ฉะนั้นปรารถนาความสงบ แต่ใจทุกๆ วันกลับหาแต่ความวุ่นวาย ปรารถนาสันติและมิตรภาพที่ดีงาม แต่ทำไมใจเราเอาแต่จ้องจับผิดและคิดร้าย ปรารถนาความสุข แต่ใจทำไมจึงเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่ก้าวผิดพลั้งพลาดให้เจ็บปวดทุรนทุราย แล้วถึงที่สุด ทุกข์หรือสุขอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  แล้วทำไมจึงเพียรเอาแต่โทษเขาไม่มองใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ไม่กำหนดว่ารอยยิ้มเขาคือความสุขเรา เขายิ้มเราจะทุกข์หรือสุขไหม ถ้าเราไม่กำหนดว่าหน้าตาบึ้งตึงของเขาคือความทุกข์ของเรา เขาบึ้งตึงแล้วเราไม่ใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นความทุกข์ ความสุข ใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเราเอง)  ท่านรู้แต่ก็ทำตรงกันข้ามทุกที ต้องการค้นหาความสุข ต้องเริ่มถามใจตัวเราเองก่อนว่า กล้ายอมรับความจริงของโลกใบนี้ไหม ถ้ากล้ายอมรับความจริง
ไม่ต้องกำหนดอะไรก็สุข แล้วความสุขจะเกิดขึ้นง่าย แต่ถ้าเรากำหนดความสุขจะเกิดขึ้นยาก ตอนนี้ยังกำหนดความสุขกันไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ากลับบ้านไปเจอภรรยาหรือสามีทำหน้าบึ้ง ท่านสุขหรือทุกข์ (สุข)  สุขหรือ คิดว่าน่าจะสุกๆ ดิบๆ นะ โลกพลิกได้ตามความต้องการของใจ คิดให้ดีก็มีสุข คิดให้ร้ายก็อมทุกข์ เหมือนวันนี้จะนั่งอย่างดีมีสุขหรือนั่งอย่างอมทุกข์ (นั่งอย่างดีมีสุข)
โดยส่วนใหญ่เรามองดีหรือมองร้ายมากกว่า เวลาเรามองสิ่งใด เมื่อมองแล้วในใจคิดดีมากกว่า หรือคิดร้ายมากกว่า (คิดร้าย)  ส่วนใหญ่เราชอบมองกันในแง่ร้าย แล้วชอบที่จะจ้องจับผิดกันมากกว่าที่จะมองเห็นเขาถูก เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์คิดอย่างนี้ แต่การคิดอย่างนี้ท่านว่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเลิกคิดไหม ไม่เคยเลิกคิด เหมือนมองไปทางไหนเจอแต่คนไม่ดี เจอแต่เรื่องราวไม่ดี เราถามท่านนะ เวลาเราเจอคนไม่ดี หรือถ้าเราเจอเรื่องราวไม่ดี ใจเรารู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ (รู้สึกแย่)  เวลาที่รู้สึกแย่ เราอดที่จะเกลียด อดที่จะด่าได้ไหม (ไม่ได้)  เราก็อยากที่จะด่า อยากวิพากษ์วิจารณ์ แล้วพอเราเห็นไม่ดีมากๆ ใจเราขึ้นหรือลง (ลง)  เมื่อใจเราลง ก็ง่ายที่จะไหลลง เพราะเจอแต่คนไม่ดี ถูกหรือไม่ แล้วเมื่อเราเจอคนไม่ดีมากมาย ถามหน่อยคนดีจะมีกำลังใจทำความดีไหม (ไม่มี)  พอเห็นคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี เราก็อดว่าไม่ได้หนึ่ง ใจแย่อีกเป็นสอง อันที่สามหมดศรัทธาต่อความดีเลย
ใช่ไหม (ใช่)  อันที่สี่กลับคิดไปอีกว่า จะทำความดีไปเพื่อใคร เพราะมองไปที่ไหนก็ไม่มีคนดี การคิดแบบนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วก็พาลนิสัยเสีย คิดว่าทำไมเธอไม่ดี ฉะนั้นฉันก็ไม่อยากดีหรอก ในเมื่อใครๆ ในโลกก็ไม่ดี แล้วฉันจะดีไปทำไม เพราะตัวเองคิดไม่ดีแล้วยังหาแพะรับบาปให้อีก แล้วยังไปโทษคนอื่นอีกว่า เพราะเขาเราเลยไม่ดี อย่างนั้นอยู่ในโลกเราควรมองคนไม่ดีตลอดไปดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนั้นเราควรคิดอย่างไรถึงจะดี (คิดดี, ทำดี)  คิดดี ทำดี แต่พูดไม่ดี เขาเรียกว่า “พวกปากร้ายใจดี” พูดดี ทำดี แต่คิดร้ายเขาเรียกว่า “ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ” ตกลงท่านพูดดี คิดดี และทำดี บริสุทธิ์พร้อมทั้งสามหรือไม่
เราถามท่านนะ คนที่ท่านมองว่าเขาร้าย มองว่าเขาไม่ดี เราเคยเป็นอย่างเขาไหม (เคย)  เขาโกรธจนทำร้ายคน เราเคยโกรธจนตบตีสามีไหม (ไม่เคย)  เราเคยโกรธจนทำร้ายภรรยาและลูกไหม ฉะนั้นวิธีที่จะแก้เมื่อเรามองเจอแต่คนไม่ดี ให้ถามตัวเองก่อน ที่เรากล้าว่าคนอื่นไม่ดี เพราะในใจลึกๆ เราคิดว่าฉันดีกว่าคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ ถ้าคิดย้อนกลับไปแล้ว เราก็ไม่ได้ต่างจากเขา ถ้าเวลาเราเจอคนไม่ดี พุทธะจึงสอนไว้เสมอว่า “เรากับเขาไม่ต่างกัน เรากับเขาล้วนเคยผิดพลาดเหมือนกัน เรากับเขาล้วนก็เคย
ไม่ดีได้เหมือนกัน” คิดแบบนี้จากที่เกลียดจะกลายเป็นให้อภัย จากด่าทอตำหนิใส่ไคร้ ก็จะกลายเป็นเห็นอกเห็นใจ แล้วจากคนที่จะหมดศรัทธาในความดี เรากลับยิ่งศรัทธาในความดี เรายิ่งต้องดีให้ได้ เพราะเราเคยเป็นแบบเขามาก่อน และมีแต่คนประณามดูถูกเหยียดหยาม เราก็เคยเป็น แต่เราจะไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร จะทำตัวให้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า เมื่อไรที่เจอคนไม่ดี ให้หันกลับมาเห็นใจ หันกลับมาบอกว่าเรากับเขาไม่เคยต่างกันเลย และความคิดแบบนี้จะแปรเปลี่ยนบาปให้กลายเป็นบุญ แปรเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี แล้วเชื่อไหมว่าจะสามารถแปรเปลี่ยนความมืดมนให้กลายเป็นแสงสว่างที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และนำพาให้คนที่กำลังทุกข์พ้นทุกข์ได้ ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ เหมือนวันนี้เราเห็นเขาผิดมีแต่คนว่า แต่เราเข้าใจ วันหนึ่งเราจะตั้งใจไว้ว่า “ถ้ามีโอกาสฉันจะพูดให้เขากลับคืนให้ยืนขึ้นมาใหม่ เพราะฉันเคยผ่านภาวะนั้นมาแล้ว”
เมื่อไรที่เราพบความมืด เราสามารถสะท้อนความมืดในใจ แล้วเปลี่ยนความมืดนั้นเป็นแสงสว่าง เราจะสามารถยังความสว่างให้กับตน และสามารถยังความสว่างให้กับผู้คนที่หลงผิดได้ เหมือนที่พระพุทธะ
กล่าวไว้ว่า “เมื่อเจอคนผิดเอาปากถากถางให้เขาเจ็บปวด หรือเปลี่ยนจากเอาปากถากถางเป็นวาจาที่นำแสงสว่างให้เขาพ้นทุกข์” (เอาปากเป็นวาจานำแสงสว่างให้เขาพ้นทุกข์)  ต่อไปเมื่อเจอใครผิดคงไม่เกลียดเขาแล้วนะ เราเคยไหมที่โมโหแล้วทำร้ายคน เราเคยไหมด่าคนจนลืมยั้งคิด เราเคยไหมเอาเปรียบจนไม่มีเมตตาธรรม เราเคยไหมแอบโกงแล้วขาดความซื่อตรง ฉะนั้นเปลี่ยนจากความคิดร้าย เป็นความคิดเข้าใจ แล้วแปรแสงมืดมน เป็นแสงสว่างนำชัยให้กับตัวเอง และนำทางสว่างให้กับผู้อื่นไม่ดีกว่าหรือ
ท่านรู้ไหมพระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า “คนที่ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง จะไม่มีวันเห็นใครผิด คนที่ดำเนินชีวิตถูกต้อง จะไม่มีวันเห็นใครผิด ใครร้าย เพราะเมื่อไรที่เห็นใครผิด เท่ากับใจท่านก็ผิด เพราะเมื่อไรที่เห็นเขาร้าย
ใจท่านก็ร้าย” เหมือนที่มนุษย์บอกว่า “ผีเห็นผี” เราเห็นเขาแย่ เราก็แย่ เราเห็นเขาเลว เราก็เลว ในความเป็นจริง เมื่อไรที่มนุษย์สามารถสลัดการ
จ้องจับผิดคิดร้ายผู้อื่นได้ มนุษย์จะสามารถตัดทางมาแห่งกิเลสและบาป
ทั้งมวลได้ เรากล่าวว่า “เมื่อใดมนุษย์สามารถสลัดความคิดจับผิดมองผู้อื่นในแง่ร้ายได้ มนุษย์จะสามารถตัดทางบาปและกิเลสทั้งมวลได้”
ท่านอาจจะบอกว่าจริงหรือ เมื่อเห็นเขาร้าย ใจก็คิดแยก เมื่อใจ
คิดแยกก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลส ความโกรธ ความโลภและหนีไม่พ้นหนทางแห่งบาปเวรกรรมและทุกข์ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราอยู่ในโลก เราสามารถสลัดทิ้งซึ่งทางมาแห่งการคิดแยก คิดร้ายได้ เราก็สามารถตัดทางมาแห่งกิเลสและบาปทั้งมวลให้สิ้นได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “เมื่อใดชอบชังไม่กล้ำกลายใจ อยู่ที่ใดก็เป็นสุข เมื่อใดชอบชังไม่มีผล
กล้ำกลายใจ อยู่ที่ไหนเราก็ไม่ทำบาป” จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไร
มีชอบก็จะมีชัง มีชอบก็หนีไม่พ้นความโลภ มีชังก็หนีไม่พ้นตกเป็นทาสของโทสะ โมหะ ความหลง ฉะนั้นถ้าเกิดเราสามารถประคองจิต ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่คอยจับผิด คิดร้าย บาปจะเกิดได้ที่ใด (ไม่เกิด)  แล้วเราควบคุมได้ไหม (ได้)
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะเห็นคนไม่ดีมากกว่าดี แต่ถึงเวลาก็หลงใหล
ได้ปลื้มคนที่ไม่ดีนั่นแหละ แล้วก็ตกเป็นทุกข์กับคนที่ตัวเองคิดว่าดี ถามว่าถ้าในร้อยมีดีแค่หนึ่ง กับในร้อยมีเสียแค่หนึ่ง อะไรดีกว่ากัน ในร้อยมีดีแค่หนึ่งหรือในหนึ่งมีเสียเป็นร้อยก็ล้วนดี ล้วนอยู่ที่ใจท่านว่าจะมองอย่างไร เหมือนถามในใจท่าน เมื่อก่อนเวลาท่านจะเลือกอะไร ต้องเลือกให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้สามีเราในร้อยมีดีอยู่แค่หนึ่ง เราก็ยังต้องทนให้ได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร เราก็ทำใจได้ เราก็เข้าใจ เราจะไม่ทุกข์ เราจะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียดจริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนที่ธรรมะสอนให้เรารู้ว่า จงมีสติรู้เท่าทันใจ ไม่ใช่มีสติไปรู้ใครต่อใคร เหมือนที่ท่านพูดบอกว่า รู้คนอื่นตั้งมากมาย แต่ไม่รู้ใจตัวเองจะมีประโยชน์อะไร ห้ามคนอื่นได้เก่งมากมาย แต่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร ใช่ไหม (ใช่)  ก็รู้หมดแต่ก็อดใจไม่ได้
เหมือนที่เราพูดไว้ว่า “ถ้าเมื่อไรโดนคนเขาพูดว่า เธอนี่ปากร้ายใจดีนั่นแปลว่า ความคิดเราดี การกระทำเราดี แต่คำพูดเรายังไม่ดี แต่ถ้าเมื่อไรโดนว่า “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ” แปลว่า ปากดี แต่เรายังคิดไม่ดี แล้วก็ยังทำไม่ค่อยดี ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลก สิ่งที่สำคัญคือการประพฤติปฏิบัติตน ผลของผู้คนที่สะท้อนให้เรา ล้วนบ่งบอกว่าเราทำเช่นไรกับเขา ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วอย่างนั้นเมื่อฟังขนาดนี้แล้ว อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม ธรรมะสอนให้ละ หรือสอนให้ยึด (สอนให้ละ)  แล้วความดี
ให้ละหรือยึด (ให้ละ)  การปฏิบัติธรรมคือเน้นให้เราละวางมากกว่ายึดถือ เพราะการยึดถือเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเราทำความดีเรียบร้อยแล้ว เราควรจะละวางหรือยึดมั่นถือมั่น (เราควรละวาง)  แต่เดี๋ยวนี้เราทำความดีแล้วเรายึดถือ การปฏิบัติธรรม ท่านต้องไม่หลงทาง ธรรมะสอนให้เราละวาง ไม่ยึดถือ เพราะการยึดถือเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล เราไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ ละวางทุกอย่างไหม (ไม่ใช่)  ก็ท่านบอกว่า ทำดีปฏิบัติดี ให้ละวาง ไม่ยึด เราจะบอกให้ว่า การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลากล้าละวาง ยอมรับความจริงด้วยสติระลึกรู้ตัวตลอดเวลา แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ เพราะเมื่อทำอะไรไปก็ยึด แล้วพอยิ่งยึดก็ชอบยึดให้เป็นดั่งใจ พอเป็นดั่งใจก็ตกเป็นทาสของกิเลส เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสก็บดบังปัญญา พอบดบังปัญญาเป็นทาสของกิเลสแล้ว ก็กลายเป็นคนขี้หวาดกลัว ไม่กล้ายอมรับความจริง ที่แล้วมาเราปฏิบัติต่อธรรมถูกไหม (ไม่ถูก)
การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงเวลาละวางและกล้ายอมรับความจริง แม้ผลที่ทำนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เราถามท่านนะ พระพุทธองค์ทำดี ท่านยังเคยโดนต่อว่าไหม (เคย)  มีคนใส่ร้ายไหม (มี)  มีคนรังเกียจไหม (มี)  แล้วท่านเลิกทำดีไหม(ไม่เลิก)  แล้วตัวท่านเป็นศิษย์พระพุทธองค์ไหม (เป็น)  แล้วทำไมจึงเลิกทำดี เพียงเพราะโดนต่อว่า โดนเข้าใจผิด โดนดูถูกเหยียดหยาม
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติให้ถูก ถึงที่สุดแล้วต้องละวาง ไม่ใช่เพื่อยึดถือ เพราะถ้ายังยึดถือก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เราต้องเข้าใจหนทางนี้ให้ดี การจะปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้องด้วย แต่หลายท่านก็มักจะพูดว่า “ทำไมเราต้องเป็นคนดี” เป็นคนดีเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ท้อไหม (ไม่ท้อ)  เบื่อการเป็นคนดีไหม (ไม่เบื่อ)  แน่ใจหรือ เห็นนั่งเหมือนคนหมดสภาพแล้ว ถ้าเขาบอกว่าการมาฟังธรรมะเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำไมถึงหมดแรงกันแล้ว บางทีอาจจะอดถามไม่ได้ว่า “เป็นคนดีไปเพื่ออะไร” เพราะเวลาทำดีแล้วจะรู้สึกเหนื่อยท้อ ถ้าทำแล้วละวาง จะไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันท้อ แต่ถ้าทำแล้วยึดมั่นถือมั่น ความดีก็มีวันท้อมีวันเหนื่อย เราจะบอกให้ว่าทำไมเราถึงต้องเป็นคนดี เพราะการทำดีช่วยสกัดกั้นใจ ทำให้เราไม่ไหลลงที่ต่ำ มนุษย์โดยส่วนใหญ่เกิดมาไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากมีบาปติดตัว ไม่อยากมีเวรกรรมติดตัว แล้ว
รู้ไหมว่าทำไมต้องทำดี เพราะทำดีช่วยให้ท่านไม่ต้องทุกข์ ไม่มีบาป ไม่มีกรรมติดตัว ถ้าทำแล้วรู้จักละวาง พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องเป็นคนดี แต่หลายๆ คนอาจจะพูดว่า พอทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำดีแล้วก็เหนื่อยเหมือนเดิม นี่คือทำอย่างคนที่ยังยึดติดอยู่  ถ้าอย่างนั้นทำดีอย่างไร จึงจะบอกว่าทำดีแล้วได้ดีจริงๆ คนทำดี ทำบุญเก่งไหม สวดมนต์เก่งไหม (เก่ง)  บวชชีพราหมณ์เป็นไหม (เป็น)  อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีทำได้ทั้งหมด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคนดีไม่ละชั่ว แล้วจะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่)  ถ้าคนดียังทำบุญ สวดมนต์เก่ง แต่ปากยังนินทาเก่ง แล้วอย่างนี้ยังเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าคนทำบุญเก่ง ทำทานเก่ง แต่นิสัย
ยังแอบชอบคดโกงคนอื่น แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้เราก็เป็นประเภทความดีก็ทำ แต่ความชั่วก็ไม่ละ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีได้เช่นไร เหมือนอย่างเช่น เราเป็นคนชอบดอกไม้ พบใครปลูกดอกไม้ เราก็แอบเด็ด แต่เราไม่ได้ให้ตัวเอง เราเอาไปให้คนอื่น อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ไปว่าเขาให้เจ็บปวดแล้วค่อยไปทำบุญ ไปเบียดเบียนเขามาเต็มที่ แล้วค่อยไปทำทาน ทำดีในวัด แต่อยู่นอกวัดทำชั่วตลอด อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)
การที่เราเป็นคนดี เราคือคนที่คอยคิดอยู่เสมอว่า เราเป็นคนดีแล้ว เราทำดีแล้ว ดังนั้นทุกคนต้องมีหน้าที่ดีกับเราทุกคน อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมคนดีมักจะคิดว่า ทุกคนต้องดีกับฉัน ไม่ควรคิดอย่างนั้น เพราะ
สิ่งที่เขาทำกับเรา เราบอกไม่ดี แต่เขาอาจจะบอกว่าดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการเป็นคนดี ไม่ใช่การเอาความดีไปให้คนอื่น แล้วไปบังคับคนอื่นว่า เธอต้องดีกับฉัน อย่างนี้ไม่ใช่ แต่เราดีเพื่อยับยั้งกิเลส เพื่อหยุดทุกข์ เพื่อไม่สร้างบาปกรรมติดตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างนี้ จะทำดีได้ตลอดอย่างไร พบคนทำหน้าบึ้ง คนโกง คนเอาเปรียบ คนเลื่อยขา บางทีเราก็อดไม่ได้ จริงไหม (จริง)
พระพุทธะสอนให้ละบาปบำเพ็ญบุญ หากเขาทำไม่ดีกับเรา เราจะสร้างบาปละบุญ หรือจะละบาปบำเพ็ญบุญ (ละบาปบำเพ็ญบุญ)  อย่างนั้นถ้าเขาไม่ดี เราต้องละบาปบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเขาร้ายมา เราก็ร้ายกลับ การกระทำของเราจึงกลายเป็นตรงกันข้ามกับที่ปฏิบัติธรรมคือ ละบุญสร้างบาป ถ้าท่านคือผู้ที่เข้าใจหลักธรรม การละบาปบำเพ็ญบุญ ไม่ใช่เกิดจากเรากระทำต่อเขาอย่างเดียว แต่เรายังสามารถแปรเปลี่ยนสิ่งที่เขากระทำกับเรา ให้กลายเป็นชำระหนี้บาปในตัวเรา และเราได้สร้างบุญโดยที่เขาต่อว่า โดยที่เขาเบียดเบียนและคดโกง แต่เราจะทำให้กลายเป็นละบาปบำเพ็ญบุญ แต่ถ้าเมื่อไรที่เขาด่ามา แล้วเราโกรธตอบ ความโกรธคือมูลเหตุแห่งความชั่ว คือต้นทางแห่งบาปและกรรมทั้งมวล เขาโกงมาเราจะเกลียดและร้ายตอบก็ได้ แต่ท่านจะละบาปบำเพ็ญบุญ หรือละบุญสร้างบาป (ละบาปบำเพ็ญบุญ)  ถ้าร้ายมาร้ายตอบดีไหม (ไม่ดี)  ตอนนี้เราบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม เราควรละบาปบำเพ็ญบุญ ใช่ไหม (ใช่)
แล้วบุญกับบาปต่างกันอย่างไร สิ่งใดก็ตามที่สามารถทำแล้วชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ นั่นเรียกว่า “บุญ” สิ่งใดที่ทำแล้ว ทำให้หม่นหมองเป็นทุกข์ และเวียนไม่จบในความทุกข์และวิบากแห่งกรรม นั่นเรียกว่า “บาป” และกระแสแห่งการเวียนว่ายวัฏสงสาร เหมือนตอนนี้สิ่งที่อยู่ในใจของเราเป็นบุญหรือบาป ความไม่ดีของคนอื่นสิ่งนั้นหรือเรียกว่าบุญ (ไม่ใช่)
ถ้าเป็นบุญ ก็มีแต่สิ่งที่ให้เราโล่งปลอดโปร่งโล่งใจ สบายใจ ไม่มีตัวตน แต่ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในใจ มีแต่หนักใจ เกลียด เบื่อและรำคาญเขา ฉะนั้นใจเรามีบุญหรือมีบาป (บาป)  เมื่อสักครู่กับตอนนี้ทำไมต่างกัน ฟังธรรมจากเรา
ไม่ยากใช่ไหม (ใช่)
การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ทุกที่ สามารถประพฤติปฏิบัติสร้างบุญกุศลได้กับทุกคน เหมือนแค่เราเดินผ่านคน ถ้าเราเด็กกว่า ใจเราอ่อนน้อมและก็เดินโค้งตัวผ่าน ลดอัตตาตัวตนได้ ทำด้วยใจที่เคารพนบนอบ นั่นก็คือบุญ แต่ถ้าเราเดินเชิดหน้า อย่างนี้บุญหรือบาป
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องทำแค่ที่วัด เราทำได้ทุกที่ มนุษย์มักพูดเสมอว่า “ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทุกขณะที่เราดำเนินชีวิต ทุกขณะที่เราทำงาน เราสามารถให้ธรรมะเขาได้ ให้ความอ่อนน้อม ให้ความเมตตา ให้จิตที่ดีงาม เราไม่ใช่กำลังทั้งทำบุญและให้ทานหรือ แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)  ให้แต่กิเลสความเกลียด และวิ่งไปตามใจตัวเอง
ฉะนั้นการเรียนรู้ฝึกฝนปฏิบัติธรรม ท่านจึงสอนให้เรารู้เท่าทันใจตน รู้เท่าทันยับยั้งกิเลสของตน เพื่อไม่ก่อให้เกิดเป็นทุกข์ให้กับตัวเอง มนุษย์ทุกคนล้วนมีความอยาก แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมความอยากได้แล้ว ความอยากนั้นจะทำให้เราทุกข์ และเจ็บปวดไม่สิ้นสุด  ทุกคนมีความดี แต่ถ้าความดีนั้น เราไม่รู้จักควบคุมกิเลสอารมณ์ตน คนดีๆ ก็พร้อมที่จะเป็นคนที่ร้ายและน่ากลัวที่สุดได้
วันนี้เรามาผูกบุญกับท่าน เพียงสั้นๆ แค่นี้ ก็คงจะได้อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าไม่มีสติยั้งคิด จริงหรือเปล่า (จริง)  จำไว้นะ การปฏิบัติธรรมคือละบาปบำเพ็ญบุญ สิ่งใดที่ทำให้หม่นหมอง สิ่งใดที่คิดแล้วทำให้เราทุกข์และเจ็บปวด นั่นถือว่าเป็นบาปแต่ถ้าสิ่งใดที่ทำแล้ว ทำให้สบายใจ ทำให้ไม่ยึดติดในความเป็นตัวตน นั่นเรียกว่า บุญ เรียกว่า กุศล
วันนี้นั่งแล้วบังเกิดบุญหรือบังเกิดบาป (บังเกิดบุญ)  ใจโล่งสบายหรือใจขุ่นมัว (โล่งสบาย)  นั่นก็คงเป็นบุญ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าลืมละบาปบำเพ็ญบุญ อย่าเผลอละบุญสร้างบาป เพียงเพราะพูดไม่คิด หรือทำโดยไม่ไตร่ตรอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่อย่างมีสุขก็จงอย่าสร้างบาป เพียงแค่คิดร้ายก็เกิดเป็นบาปแล้ว ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐      สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น          พาลโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
แบบที่ศิษย์รับแย่มาโลกอาเพศ           ผู้รู้มีแต่ย่ำกิเลสปราบกมล
ช่างอดสูย้อนดูเรื่องในหัว                 เราเองตัวคิดความชอบประโยชน์ผล
รู้จักโลกดีคิดแต่ไม่ค้น                     ไร้หลักรองรักตนดลเคราะห์ภัย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

  เพียงแค่หัดยอมรับความเป็นจริง       ชีวิตนั้นจะยิ่งมีความสุข
ปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์       ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
อย่าเอาแต่คิดว่าทำไม่ได้                 พอทำได้อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
ธรรมะนั้นไม่มีถูกไม่มีผิด                  เพียงฝึกจิตว่างให้ธรรมไหลสู่ใจ
โลกคือธรรมที่ยังคงหมุนเปลี่ยนผัน       แต่คนนั้นสร้างกรรมยึดถือไว้
หลงไม่รู้ตามกิเลสอารมณ์ไป              กลายเป็นทุกข์บาปกรรมไซร้ติดตรึงตา
                                            ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจที่จะได้กลับบ้านใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นดีใจเรื่องอะไร (ดีใจที่ได้พบอาจารย์)  จริงหรือ
ชีวิตนี้ถ้าเรื่องราวบางเรื่องเป็นแบบนี้ก็ดีนะ แต่บางทีก็มักจะมีอะไรค้างคาจิตใจอยู่เสมอ อาจารย์แค่กำลังจะบอกว่า ถ้าในชีวิตของความเป็นคน เรื่องราวบางเรื่องแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็คงจะดีใช่ไหม (ใช่)  แต่บางทีไม่ใช่แบบนั้น เมื่อผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กลับคาอยู่ในใจ บางทีเรื่องบางเรื่องจบไปแล้ว แต่อะไรมันคาอยู่ในใจ ความไม่ชอบ ความคิดที่รับไม่ได้ ฉะนั้นทำให้ทุกเรื่องราวที่บางทีมันควรจะผ่านไปแล้ว มันเลยยังไม่จบ และกลับกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย กลายเป็นความทุกข์ที่ยังไม่ยอมจบ เหมือน
บางเรื่องผ่านไปแล้วก็ผ่านมาอีก เพราะอะไร เพราะใจเรายังติดค้างยังชอบอยู่ ฉะนั้นถ้าเรื่องราวในโลกนี้มันผ่านไปแล้ว และจบไปก็คงไม่วุ่นวาย แต่ที่ยังวุ่นวาย เพราะบางเรื่องยังคาใจเราอยู่ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
ฉะนั้นถ้าเราทำใจว่างๆ ชีวิตจะวุ่นวายไหม (ไม่วุ่นวาย)  แต่เราก็มักจะค้างคาใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วในใจของเรามีอะไรค้างคาอยู่หรือมนุษย์มักพูดว่า “จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอยู่หรือไม่” ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้ทำดีแล้ว ทำถูกต้อง ถูกทำนองคลองธรรมไม่ผิดศีลธรรมแล้ว แม้วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไยเราต้องกังวล แต่ถ้าวันนี้ยังทำไม่ดี ศิษย์ก็ต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นคนที่ดีหรือยัง (ยัง)  คนที่รู้ตัวว่ายังไม่ดี ยังพอเรียกว่ามีดีบ้าง จริงไหม (จริง)  แต่คนที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว นั่นแปลว่า ใครก็ว่าไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้อาจารย์จะพูดอะไรผิดหูไม่ได้เลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เรามารู้จักกันก่อนดีไหม (ดี)  รู้จักกันแล้วค่อยคุยกันต่อ แต่ก่อนจะคุยกันต่อเราต้องมีความคิดเห็นที่ไปทางเดียวกันก่อน อย่างแรกที่สุดที่ต้องรับรู้ไว้อย่างหนึ่งคือวันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา เรายังมีธรรมอันเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมทำให้เป็นกลาง แต่ถ้าเรายึดติดธรรมอย่างคนแบ่งแยก นั่นแปลว่าเรายังไม่เข้าใจธรรม  ธรรมสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงและยอมรับทุกสิ่งด้วยหัวใจที่เป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศิษย์มีธรรมแล้วแบ่งแยก นั่นก็แปลว่าศิษย์ยังไม่เข้าถึงธรรม เหมือนศิษย์แบ่งแยกอาจารย์ก็อาจารย์ ศิษย์ก็ศิษย์ อย่างนี้เรียกว่าแบ่งแยก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์แบ่งแยกไหม (ไม่) ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นพวกเดียวกัน มีอะไรก็จับเข่าคุยกันได้ มีอะไรก็พูดคุยกันตรงๆ ได้สินะ
อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าเราอยู่ในโลก ถ้าเราเป็นคนดีมากๆ ใครๆ ก็บอกว่า เกิดเป็นคนอยู่ในโลกให้รู้จักให้มากกว่ารับ เรียกว่าคนดีใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสให้เราให้มากกว่ารับ แต่พอทำจริงๆ เราไม่เอาเลย เรามีแต่ให้คนอื่นเลยว่าเราบ้า ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์มีแต่ให้ไม่ค่อยจะเอา บ้าแบบนี้เอาไหม (เอา)  ดีกว่าไปเอาของเขามา กลับจะมีแต่คนรังเกียจ คนก็จะว่าเราเห็นแก่ตัว อย่างนั้นสู้ให้มากหน่อยเอาน้อยหน่อยดีไหม (ดี) อาจารย์พูดตามหลักเหตุผล ถามว่าทำอย่างไรเป็นคนดี ก็ให้มากหน่อยแล้วเอาน้อยหน่อยก็จะเรียกว่าคนดี แต่พอเราทำจริงๆ ก็มาว่าแกบ้าหรือเปล่าไม่เอาเลยหรือ  ให้เขาหมดเลยหรือ แค่นี้ก็สบายใจแล้วจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าจะเป็นศิษย์อาจารย์ ศิษย์พร้อมจะบ้าที่มีแต่ให้ไม่หวังผลได้ไหม เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องบ้าในโลกนี้ให้ได้ และบ้าให้ดีด้วย จะได้มีสุข คนในโลกชอบโกหกพกลม คดในข้องอในกระดูก
ฉะนั้นถ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องซื่อตรง ไม่โกงเขา ไม่เอาเปรียบเขา เขาสวยไหม เขาหล่อไหม เรากล้าพูดตรงๆ ไหม (ไม่กล้า)  ฉะนั้นการพูดตรงๆ การรักษาความจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่พอรักษาความจริงมากเขาก็ว่าเรา “ไอ้บ้า” แล้วเราจะยอมเป็น ”ไอ้บ้า” ไหม (ยอม)  ถ้าเพื่อนถามเราว่าเขาหล่อไหม ถ้าพูดตรงๆ แล้วจะเป็นการทำร้ายน้ำใจก็บอกว่า “เอาหลังไมค์ได้ไหม ถ้าหน้าไมค์เดี๋ยวแกไม่มีหน้านะ” ฉะนั้นจำเป็นไหมที่จะต้องโกหก (ไม่จำเป็น)  ถ้าบางเรื่องจำเป็นจะต้องโกหก อาจารย์ว่าไม่ควรจะพูดเลยดีกว่า แต่จะพูดอย่างไรให้อ้อมแล้วเขาเข้าใจเองก็ได้ มนุษย์เกิดมามีสิ่งหนึ่งที่ประเสริฐนั่นเรียกว่า สติปัญญาและความดีงามในหัวใจ ที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแล้วรู้จักคิด รู้จักพูด เรารักความถูกต้อง เรารักความดี แต่เราก็อย่าลืมว่าการมีเมตตา การถนอมน้ำใจก็เป็นสิ่งที่เราต้องควรมีไว้ด้วยจริงไหม (จริง)
อะไรๆ ถ้ารับไหวมันก็สบาย แต่ถ้าอะไรอะไรรับไม่ไหวมันก็ทุกข์  อยู่กับอาจารย์ อาจารย์อยากช่วยให้ศิษย์ไม่ทุกข์ ศิษย์อยากได้อะไร อาจารย์ก็ต้องตามใจ ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แปลว่าการตามใจ บางทีก็ทำให้เราทุกข์ได้เหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นแปลว่า ถ้าอาจารย์ไม่ตามใจ ศิษย์ก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่)  ตกลงเอาอย่างไร การตามใจบางทีก็ทำให้เราสุข แต่บางทีการตามใจมากเกินไปก็ทำให้เราทุกข์ ฉะนั้นอาจารย์ทั้งตามใจและไม่ตามใจแบบนี้ดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์บอกให้นั่งก็นั่ง บอกให้ยืนก็ยืน ตกลงไหม (ตกลง)  ศิษย์บางคนบอกว่า เกิดเป็นคน การศึกษาปฏิบัติธรรมบางทีก็ไม่จำเป็น ศิษย์ก็มีชีวิตรอดไปวันๆ ก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็เป็นเรื่องปกตินะอาจารย์ แล้วจะศึกษาปฏิบัติธรรมไปทำไม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
วันนี้เรามาศึกษาธรรม เพื่อนำไปปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติ เราก็ยังมีชีวิตรอดได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องไปแคร์ใคร ใช่ไหม (ไม่)  ทำไมหรือ ก็เห็นคนส่วนใหญ่ก็เป็นกันเช่นนี้ทั้งนั้น ไม่เห็นต้องศึกษาธรรม ก็ยังอยู่รอดได้ ทุกข์เป็นปกติแล้วเดี๋ยวก็สุขเอง ฉะนั้นจึงทำตามใจตนเอง ไม่ต้องสนใจเรื่องธรรมะ จริงไหม (ไม่จริง)  มีใครคิดเช่นนี้บ้าง (ไม่มี)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ว่าไม่จริงหรอก มีคนแอบคิดอยู่แต่ไม่กล้าพูดออกมา
สมมติว่าอาจารย์ไม่ค่อยสนใจธรรมะ อาจารย์อยากจะทำอะไรอาจารย์ก็ทำ อย่างเช่นพอใจเสียอย่าง จะทำไม ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ตั้งแต่เกิดมามีชีวิตอยู่ เราก็ตามใจตัวเอง อยากทำอะไรเราก็ทำ จะสนใจทำไมใช่ไหม (ไม่ใช่) ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมไม่ได้ ก็ในเมื่อจะทำ อาจารย์ขอถามหน่อย ลึกๆ ในใจศิษย์ถ้ามีคนมาทำกับศิษย์อย่างนี้ แล้วบอกว่าหยวนๆ นะ เรายอมไหม (ไม่ยอม)  ทำไมล่ะ ในเมื่อเราก็เป็นคนแบบนี้ อยากทำอะไรก็จะทำ ฉันไม่สนใจใคร ทำไมฉันต้องสนใจ ทำไมฉันต้องมีธรรมะ ทำไมฉันต้องห่วงความดีความชั่ว ในเมื่อคนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นนี่แหล่ะที่อาจารย์จะบอกว่าทำไมคนเราต้องมีธรรมะ เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ไม่ชอบคนดูถูก ลึกๆ ในใจศิษย์ไม่ชอบคนเอาเปรียบเห็นแก่ตัว และลึกๆ ในใจศิษย์ไม่ชอบให้คนชั่วคนไม่ดีมาอยู่ใกล้  ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์นะว่า เกิดเป็นคนทำไมต้องมีธรรมะ ศิษย์ลองคิดง่ายๆ ถ้าศิษย์มีธรรมะไปอยู่ในบ้าน ในหมู่คน ในสังคม ทุกคนต่างปฏิบัติต่อกันอย่างไม่ตามใจตัวเอง แต่ปฏิบัติต่อกันอย่างคนมีธรรม ศิษย์ว่าสังคมจะวุ่นวายไหม (ไม่)  คนจะทำร้ายกันไหม (ไม่)  คนจะเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้จนไม่นึกถึงผู้อื่นไหม (ไม่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรม การศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อเอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติต่อตัวเอง และเอาไปใช้กับผู้อื่น โดยถามว่ารากฐานลึกๆ เรามีธรรมอะไรที่เราพร้อมปฏิบัติกับผู้คนได้ และทำให้คนมีความสุข ไม่เกลียดเรา ไม่ด่าเรา และไม่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นก็คือความเมตตา ในโลกนี้ไม่ต้องการคนเห็นแก่ตัว แต่ต้องการคนมีเมตตา ถามจริงๆ ถ้าศิษย์มีเมตตาในหัวใจ ศิษย์จะด่า เบียดเบียน ดูถูก หรือจะโกงใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นที่ไปโกง ไปด่า ไปดูถูก ไปเบียดเบียน นี่คือลืมเมตตาในใจไหม
ก่อนศิษย์จะถามอาจารย์ ศิษย์ถามใจตัวเองก่อน ทำไมคนเราจึงต้องประพฤติปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม เพราะคุณธรรมทำให้อยู่ร่วมกันแล้วอบอุ่น เพราะคุณธรรมเมื่อปฏิบัติต่อกัน เมื่ออยู่ร่วมกันจะรู้สึกร่มเย็นและสบายใจ แต่ศิษย์ลองปฏิบัติแบบเอาแต่ใจตัวเอง คือ มองอย่างนี้จะเอาอย่างไร มองดีๆ ไม่ได้หรือ จะคอยคิดเข้าข้างตัวเองและคิดไหลลงต่ำว่าคนนี้หาเรื่องหรือเปล่า คนนี้มาดีกับเราเพื่อหวังผลประโยชน์ไหม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ศิษย์จะทำร้ายใครไหม เหมือนพระพุทธะท่านสอนไว้อย่างหนึ่งว่า “เมื่อเราอยู่ร่วมกัน คุณธรรมง่ายๆ ที่ดียิ่งๆ ขึ้น และดีสุดจิตสุดใจ ดีจนกลายเป็นพุทธะเดินดิน นั่นคือเมตตาธรรม” อะไรที่เรียกว่าดี  ก็ให้ถามตัวเองก่อนว่า เมตตาหรือยัง คิดถึงหัวอกคนอื่นหรือเปล่า ก่อนที่จะพูดอะไร มนุษย์รู้แต่เพียงว่า พูดดี ทำดี คิดดี ก็เลยจมอยู่แค่สามอย่างนี้ แต่ถ้าเมตตาในความคิด เมตตาในคำพูด เมตตาในการกระทำ ดียิ่งกว่าดี
ดีมากกว่าดี ดีมากถึงที่สุดจนไม่เห็นแก่ตนเลย ดีไหม (ดี)  ลองทำดูไหม (ลอง)  ไม่ใช่ลองกับอาจารย์นะ แต่ให้เอากลับไปลองใช้ที่บ้าน อาจารย์จึงบอกว่า การศึกษาเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่แค่ปฏิบัติอยู่แค่ที่วัด แต่ต้องปฏิบัติได้ในทุกๆ ที่ เราสามารถทำบุญได้กับทุกๆ คน แล้วเราก็สามารถให้ทานได้กับทุกๆ คน สมมติอาจารย์บอกว่า แค่เมตตาธรรมอย่างเดียว ทำให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุขไหม (สันติสุข)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น)
อาจารย์มีเมตตาในเพื่อนและบอกเพื่อนว่า ฉันเห็นแอปเปิลสวยๆ จะเอาสักลูกไหม (ไม่เอา)  ทำไมไม่เอา ฉันยังกินไม่อิ่มเลย เธอไม่เห็นใจฉันเลย คิดถึงแต่ตัวเองได้อย่างไร ไปหยิบมาให้หน่อย ไม่มีใครเห็นหรอก เธอไม่เอา แต่ฉันเอานะ หยิบให้หน่อย ไม่หยิบให้ เธอไม่เห็นใจฉันเลย ฉันหิวนะ อาจารย์มีวิธีที่จะไปเอาแอปเปิล มีคนเห็นไหม (เห็น)  ถึงแม้ว่าเรามีเมตตาในจิตใจ แต่เราทำโดยไม่ซื่อตรง ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอาจารย์โดนจับได้แล้วบอกว่า ผมไม่ผิด คนนี้เป็นคนยุผม มีเพื่อนแบบนี้เอาไหม
ฉะนั้นเมื่อมีเมตตาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องมีก็คือ ความซื่อตรงจริงใจ รักเขาเหมือนรักตัวเอง ห่วงเขาก็เหมือนห่วงตัวเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติได้ จะไปอยู่ที่ไหนเราก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขจริงไหม (จริง)
คนเราต้องรู้จักบุญคุณคน มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม นอกจากมีเมตตา ความซื่อตรง และที่ต้องมีอีกอย่างหนึ่งคือ ความเคารพจริงใจให้เกียรติกัน ถ้าเราอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุขและเป็นคนดีในหัวใจของทุกๆ คน ถามใจของศิษย์ว่า ศิษย์กอปรด้วยธรรมะไหม ถ้าทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต แล้วกอปรด้วยคุณธรรมความดีในหัวใจ มีหรือที่จะไม่เป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเมตตาในใจ ซื่อตรงจริงใจ เคารพให้เกียรติ ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ไม่ยากใช่หรือเปล่า เพราะถ้าทำได้ ศิษย์ก็จะไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม และไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเรารู้จักพอบ้างใช่ไหม (ใช่)  พอเรามุ่งมั่นกระทำในสิ่งที่ดี แต่บางทีก็มีเรื่องยากๆ ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราท้อ เหมือนที่ศิษย์ถามอาจารย์ตั้งแต่ต้นว่า ทำไมจึงต้องศึกษาธรรม แต่พอเราเข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว ศิษย์ก็อดจะถามต่อไม่ได้ว่า ศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว ทำไมจึงต้องพยายามเข้าใจธรรมด้วย ศึกษาธรรมก็มีแล้ว พยายามมีเมตตา มีความซื่อตรง มีความจริงใจ มีความเคารพให้เกียรติ เราก็ทำหมดแล้ว แล้วทำไมยังต้องพยายามที่จะมาศึกษาธรรมให้เข้าใจเพิ่มอีก มันเยอะไปหน่อยไหม (ไม่เยอะ)  ให้มาฟังธรรมบ่อยๆ เอาไหม (เอา)  จริงหรือ ตอนจะมาเห็นเกี่ยงแล้วเกี่ยงอีก อาจารย์จะบอกศิษย์ให้รู้ว่า การเข้าใจธรรมนั้นดีตรงไหน มนุษย์มีสิ่งประเสริฐอยู่ในตัวเรานั่นก็คือ “ปัญญา” ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจโลกใบนี้ บางครั้งที่เราเรียนรู้โลกภายนอก แต่บางทีเราก็ไม่เข้าใจชีวิต ฉะนั้นการเข้าใจธรรมจะช่วยเยียวยาใจเราได้ การที่เราศึกษาธรรมะจนสามารถเข้าใจแล้ว ธรรมะก็จะช่วยเยียวยาใจเราได้
อาจารย์ถามหน่อยนะ อยู่ในโลกศิษย์เคยรู้สึกชอบใครบางคนไหม (เคย)  คนในโลกมีตั้งมากมาย แต่ก็แปลกทำไมบางคนเรากลับถูกชะตา บางคนเราชอบ บางคนเราไม่ชอบ บางคนเราเห็นแล้วรำคาญใจ บางทีเราก็หาคำตอบไม่ได้ ถ้าอาจารย์จะบอกว่า ความเข้าใจธรรมจะช่วยให้เราเยียวยาใจเราได้อย่างไร
ศิษย์เชื่อไหมว่า การเข้าใจธรรม ธรรมจะช่วยเยียวยาใจอย่างหนึ่งคือ คนเราเกิดมาล้วนมีกรรมต่อกันมาก่อน กับคนมากมายไม่โดน แต่มามีกรรมกับคนๆ นี้ ตอนแรกชอบๆ ก็บอกเป็นคู่บุญวาสนา บุญอะไรชักให้มาเจอกัน แต่พออยู่กันไปสักสิบปี ยี่สิบปี คู่บุญทำไมกลายเป็นคู่เวรคู่กรรม ตอนนี้ศิษย์กำลังจะบอกว่า อาจารย์หนูทุกข์เหลือเกิน ทำไมเขาถึงทำกับหนูแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยทำกับหนูแบบนี้ ตอนนี้ทำไมจึงเป็นแบบนี้หรืออาจารย์ ฉะนั้นความเข้าใจในธรรม จะช่วยเยียวยาใจของเราได้อย่างไร ศิษย์จำไว้นะ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าไม่มีกรรมและบุญร่วมกันมา ไม่มีทางมาเจอกันได้ ถ้าไม่มีบุญต่อกันมา ก็จะไม่มารักกันหรอก ธรรมก็สอนไว้ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ อยากมีรักก็อย่าเกลียดทุกข์ ที่ไหนมีบุญที่นั่นก็มีกรรม ถ้าเราเข้าใจธรรม ธรรมจะช่วยเยียวยาใจว่า อย่างน้อยใช้บุญมาหมดแล้ว ตอนนี้ก็ใช้กรรม
อาจารย์ขอถามต่อ ถ้าเราเจอกับคนที่ตอนแรกเราคิดว่าดี แต่ตอนนี้หน้ามือกลับเป็นหลังมือ ศิษย์อยากจะจองเวรจองกรรม หรือศิษย์อยากจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)  ถ้าทุกวันเขาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เราจะด่าเขา โกรธเขา เกลียดเขา เมื่อวานเพิ่งได้รู้จากท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนไม่ใช่หรือ คำว่า “ละบาปบำเพ็ญบุญ”  ฉะนั้นอยากมีบุญต่อไหม ก็สร้างบุญต่อกัน
ดีไหม (ดี)  เพื่อบุญนั้นจะได้มาเจอกันอีก ต้องคิดให้ดีๆ นะศิษย์ อยากจบกันแค่นี้ หรืออยากจะเกี่ยวกรรมกันต่อไป ด่ากันแล้วไม่เผาผีกันเลย เอาไหม (ไม่เอา)  แค่ยอมรับแล้วอยู่อย่างมีความสุขให้ได้ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รักอีกต่อไป แต่ก็ไม่โทษกันอีกแล้ว ให้คิดว่าเราจบกันแค่นี้นะ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักพ่อแล้ว แม่ไม่อยากผูกบุญกับพ่อแล้วนะ ความเข้าใจธรรมจะช่วยเยียวยาใจ จำไว้นะศิษย์ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญที่ต้องมาเจอกัน ดีออกที่เราได้ใช้กรรม
ที่ต้องเกลียดกัน ก็คิดว่าดีออกที่ฉันได้ใช้กรรมแล้ว พ่อเกลียดแม่ไม่เป็นไร แต่แม่ไม่เคยเกลียดพ่อ แม่เข้าใจพ่อ ฉะนั้นความเข้าใจธรรม ทำให้เราวางเฉยและละวางด้วยหัวใจที่เป็นสุข ไม่ต้องรัก ไม่ต้องเกลียด แต่ขอแค่นี้พอ อยากมีบุญต่อ ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไรบุญหมด กรรมก็มาเมื่อนั้นนะศิษย์จำไว้ เราอยากเกิดมาเพื่อเกี่ยวกรรม หรือจบเวรจบกรรม หรือไม่ต้องมีกรรม
ต่อกัน ใครร้ายมาเราร้ายตอบดีไหม ใครด่ามา เราด่าตอบเอาไหม (ไม่เอา)  ใครขโมยมา เราขโมยตอบเลยไหม (ไม่ใช่)  เขาแย่งสามีเรามา เราไปแย่งสามีเขาต่อเอาไหม (ไม่เอา)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ ความเข้าใจธรรมสอนให้เรารู้ว่า โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรม เราเป็นหน่อเนื้อแห่งกรรมและเราจะไม่สร้างกรรมต่ออีกแล้ว เราขอชดใช้กรรมในอดีต แต่กรรมในอนาคตเราขอไม่สร้างอีกแล้ว ฉะนั้นการศึกษาธรรมทำให้เราเข้าใจธรรม และธรรมนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ธรรมนั้นมันก็คือชีวิต ชีวิตล้วนคือธรรม ฉะนั้นเรียนรู้ศึกษาธรรมทำให้เราเข้าใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์ก็ต้องจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า
การเข้าใจธรรมจะฟังแค่อย่างเดียวแล้วจะทะลุทะลวงทุกเรื่องแล้วทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจธรรมทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ เพราะใจลึกๆ ของศิษย์ยังมีความอยากอยู่
โดยส่วนใหญ่เวลาที่ศิษย์เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์เจอพระ ศิษย์ปรารถนาอยากได้อะไร อยากได้สุขใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดานดำ)
สิ่งที่ศิษย์อยากได้คือ อยากได้สุข, อยากได้ครอบครัวร่มเย็น, อยากได้สุขภาพแข็งแรง, อยากได้ ไม่อยากเสีย, การงานมั่นคง
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียน)
เอาไหมสองตัว ถ้าไม่อยากมีชีวิตที่วุ่นวายอาจารย์จะให้สองตัว เมื่อเอาแล้วไปทำให้ได้นะ “พอดี” ถ้าไม่พอมันก็จะไม่ดี พอเมื่อไรก็จะดีเมื่อนั้น
มนุษย์อยู่ในโลกพยายามหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมั่นคง เมื่อมั่งคงแล้วจะอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน และสิ่งที่เราอยากหาและทำให้เรามั่นคงก็มีความสุข ครอบครัวร่มเย็น สุขภาพแข็งแรง การงานมั่นคง แต่อาจารย์ถามหน่อยว่าบนโลกใบนี้มีไหม ขอแค่เพียงวันฟ้าสว่าง ไม่เอาวัน
ฟ้ามืดได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาใครมาหาศิษย์ต้องพบแต่ด้านหน้า ห้ามเอาด้านหลังมาให้ดูได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่หน้ามือไม่มีหลังมือได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่มือไม่มีเท้าได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่เท้าไม่มีหัวได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเป็นสิ่งคู่กันใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าอยากได้สิ่งนี้ แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ได้มาแล้วไม่เสีย (ไม่ได้)  มีความสุขแล้วจะไม่ทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แข็งแรงแล้วจะไม่อ่อนแอได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าอยากได้อย่างนี้แต่ไม่เอาอย่างนั้น บ้าหรือไม่ (บ้า)  แล้วก็พยายามขอทุกวัน สาธุขอให้มีแต่ด้านหน้า ขอให้มีแต่สุขๆ ได้ๆ อย่าเสียเลย อย่างนี้บ้าหรือไม่บ้า (บ้า)  โง่หรือไม่โง่ (โง่)  แล้วขอหรือไม่ขอ (ขอ)
โลกนี้เป็นโลกแห่งความเป็นจริง มีใครไหมที่จะมีเฉพาะด้านหน้า (ไม่มี)  แล้วมีใครในโลกนี้ ที่มีแต่ความสุขแล้วไม่มีความทุกข์เลย (ไม่มี)  มีใครบ้างที่แข็งแรงแล้วไม่อ่อนแอ (ไม่มี)  แล้วจะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากจะขอ ก็ขอให้เข้มแข็ง รับทั้งหน้าและหลังให้ได้ อย่างนี้ดีไหม (ดี)  แล้ววันหนึ่งแม้จะอ่อนแอก็จะกลับมาเข้มแข็ง  แล้ววันหนึ่งแม้จะเข้มแข็งก็พร้อมจะอ่อนแอแต่ไม่ปวกเปียก ได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง แล้วเราจะโกหกตัวเองไหมว่า สาธุขอให้มีแต่ความสุข อย่างนี้ขอไหม (ไม่ขอ)  แต่ควรจะขอตัวเอง สาธุขอให้มีสติ จะสุขหรือจะทุกข์ก็ขอให้เข้มแข็ง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ในโลกใบนี้ดูเหมือนว่าจะมีความมั่นคง ดูเหมือนว่าจะมีความแข็งแรง ดูเหมือนว่าจะสู้ไหว แต่จริงๆ ในความมั่นคง ในความแข็งแรง ล้วนมีความดับอยู่ตลอดเวลา มีความอ่อนแออยู่ทุกขณะ และพร้อมจะเจ็บป่วยและสูญสลายได้ตลอดเวลา อาจารย์ถามศิษย์ว่า แล้วเราจะยึดไว้ หรือเราแค่รู้เห็นแล้วทำใจตนเอง (รู้เห็นแล้วทำใจ)  ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ยึดดีกว่า สู้ทำใจและยอมรับ เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับสติปัญญาที่มีค่าและยิ่งใหญ่มากกว่าการยึดติดในสังขารว่า เราต้องแข็งแรง ต้องได้ ต้องสุข อย่างนี้คือความโง่
ถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาของตนเอง คนเราหากถือปัญญาเป็นหลัก
แม้อ่อนแอก็สามารถเข้มแข็งขึ้นมาได้ แต่ต้องไม่ดูเบาคุณค่าและปัญญาในสติปัญญาของตนเอง ฉะนั้นอะไรก็เสียได้ แต่อย่างเสียปัญญาที่ถูกต้องและดีงาม มีสติระลึกพร้อมเสมอ เพราะแม้เราจะสูญเสีย ปัญญาก็ทำให้เรากลับมาเข้มแข็งแล้วยืนขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถามหน่อยนะ แล้วถ้าเป็นศิษย์ การเข้าใจธรรมขนาดนี้จะทำให้เยียวยาใจ และทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม แล้วศิษย์จะทุกข์กับเรื่องโง่ๆ อีกไหม ฉะนั้นถ้าเกิดต่อไปต้องโดนด่าอีกศิษย์จะทุกข์อีกไหม (ไม่)  ถ้าวันหนึ่งศิษย์สูญเสีย อกหัก โดนโกง ศิษย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  อาจารย์ถามหน่อยในโลกนี้มีใครบ้างไม่สูญเสีย มีใครบ้างไม่โดนด่า มีใครบ้างที่ได้รับแต่คำชม
(ไม่มี)  มันเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เราจะทุกข์กับมันไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ดูเบาปัญญาตัวเองใช่ไหม (ใช่)
สมมติอาจารย์มีลูกศิษย์อยู่สองคนในโลกแห่งความเป็นจริง ใครบ้างจะไม่รักไม่ลำเอียง ใครบ้างจะยุติธรรมบริสุทธิ์ และอาจารย์ก็ชมลูกศิษย์  คนนี้ว่าดีและก็รัก แต่อีกคนอาจารย์ชอบตำหนิว่าไม่ดี ไม่ชอบ ถ้าศิษย์เป็นคนที่อาจารย์ไม่ชอบ ศิษย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถามใจศิษย์รักคนในโลกเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ฉะนั้นถ้าเราโดนแบบนี้บ้าง ว่าเขาไม่ได้เพราะว่าเรายังไม่ยุติธรรมเลย และเราหวังให้ทุกคนในโลกนี้เป็นคนที่ยุติธรรมจะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์จะบอกว่าในโลกของความเป็นจริงไม่มีใครสมบรูณ์แบบ และไม่มีเรื่องอะไรในโลกของความเป็นจริง ดีพร้อมจนไม่มีข้อบกพร่อง ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าศิษย์เรียนรู้ศึกษาธรรมจงจำไว้ว่าไม่มีสิ่งใดสมบรูณ์พร้อม ไม่มีสิ่งใดไม่มีข้อบกพร่อง และไม่มีใครดีจนหาที่ติไม่ได้ ถ้าอาจารย์เป็นแบบนี้โกรธไหม (ไม่โกรธ)  นับประสาอะไรกับเรา  เรายังมีคนรักมากเกลียดมากเลยจริงไหม แต่จำไว้อย่างหนึ่ง เขาทำกับเราได้ แต่เราอย่าเผลอไปทำกับคนอื่น เพราะศิษย์บอกอาจารย์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า “จะเกิดมาเพื่อจบกรรม ไม่อยากจองเวรจองกรรมอีก” ฉะนั้นถ้าเจออะไรมาจะจบที่เรา หรือจะไปลงกับคนอื่น (จบที่เรา)
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ทำไมเมื่อเรามีโอกาสใช้งานคน เราใช้งานคนที่อ่อนด้อยกว่า หรือใช้งานคนที่เก่งกว่า (ใช้คนที่ด้อยกว่า)  เวลาเราจะบ่นเราบ่นคนที่อ่อนด้อยกว่า หรือบ่นคนที่เก่งกว่า (บ่นคนที่อ่อนด้อยกว่า)  ฉะนั้นอย่าบอกนะว่าคนดีถูกรังแก เพราะตัวศิษย์เองก็ยังชอบรังแกคนที่อ่อนด้อยกว่าเลย คนเก่งกว่าดีกว่ารังแกเขาไหม (ไม่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ อย่าเอาแต่มองและเพ่งโทษคนอื่น จนลืมมองเพ่งโทษตัวเอง เพราะถึงเวลามีเวลากดได้ มีเวลาเอาเปรียบได้ เราก็เอาเปรียบคนที่เราเอาเปรียบได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าว่าคนอื่นถ้าตัวเองยังเป็นอยู่ การศึกษาธรรมทำให้เรารู้ว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม ไม่มีอะไรดีที่สุด บางทีศิษย์ว่าศิษย์หาสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงที่สุดมันก็ยังมีข้อตำหนิอยู่ดี ฉะนั้นบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด แน่ใจหรือว่ามันดีที่สุด ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดอาจจะกลายเป็นสิ่งที่พร่องที่สุด และสิ่งที่พร่องที่สุดมันอาจจะดีที่สุดก็ได้ ถ้าเราเข้าใจ ฉะนั้นอย่าโกรธเกลียดความเป็นจริง แต่ยิ่งเรียนรู้ปฏิบัติธรรมยิ่งกล้าสู้ความจริง ด้วยสติปัญญาที่ไม่ยอมแพ้  ความเป็นจริงสอนให้เรารู้ว่า ในโลกที่มีทวิภาวะ มีดีมีร้าย มีได้มีเสีย จงรักษาความเป็นกลางไว้ แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ไม่เจ็บปวด เหมือนที่พระพุทธองค์สอนไว้ว่า “ทำอะไรจงรักษาทางสายกลาง” แต่มนุษย์เราอดไม่ได้ที่จะรักลำเอียง ถ้าไม่อยากให้ลำเอียงก็จงรู้จักที่จะย้ำเตือนเสมอว่า  สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีดีกว่า ศิษย์ว่าศิษย์สวยที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่สวยกว่า ศิษย์ว่าศิษย์แย่ที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่ (แย่กว่า)  ศิษย์ว่าตัวเองเก่งที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่ (เก่งกว่า)  เราควรหรือที่จะหลงตัวเอง เราควรหรือที่จะไม่หลงใคร เพราะสิ่งที่ดีที่สุดบางทีก็ยังมีสิ่งที่ (ดีกว่า)  เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้ศิษย์เจอเรื่องราวที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เจอเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกแย่ แต่ถ้าศิษย์เปิดใจให้กว้าง ศิษย์จะรู้ว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ วันนี้ที่ว่าแย่ วันหน้าอาจจะ
ไม่แย่ วันนี้ที่ว่าสูญเสีย วันหน้าเราอาจจะไม่สูญเสีย หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ที่เข้าใจหลักสัจธรรม เราเกิดมาพร้อมกับคำว่า “ว่างเปล่า” ถึงที่สุดเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เราจะยึดมั่นเพื่อเกี่ยวกรรม
จองเวรจองกรรม หรือเราจะไม่เกี่ยวกรรม (ไม่เกี่ยวกรรม)  ทำได้ไหม ยากนะ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ทำอย่างไรที่จะไม่ยึดถือความเป็นตัวตน (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางได้จริงๆ หรือ พอเจอของที่ชอบกิน ความเป็นตัวตน
ก็ออกมาแล้ว พอเจอคนดูถูกหน่อย ความเป็นตัวตนก็ออกมาแล้ว พอเจอลูก
เจอสามี ความเป็นตัวตน เป็นเจ้าของก็ออกมาแล้ว เราจะปล่อยวางอย่างไร
(ลดละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ลดได้หรือ (ค่อยๆ ลดไป)  แปลว่าจะลดละความโลภ ความอยาก ความโกรธ ความหลง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่า ถ้าอาจารย์ให้แอปเปิล ศิษย์จะไม่รับ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นโลภ อยากและหลง ใช่ไหม หรือว่าตอนนี้อย่าพึ่งลด รับไปก่อน อย่างนั้นรับไปแล้วรู้จักให้ต่อ อย่างนี้ก็ไม่กลายเป็นความอยากที่กลายเป็นโลภและหลง ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่ยึดติดสิ่งต่างๆ มาเป็นของตนเอง)  ยากไหม มองกระจกแล้วชื่นชมตนเองว่าสวยไหม
(เข้ามาสถานธรรม แล้วฟังธรรมะ)  มาให้ได้จริงนะ  (มีความเมตตาและให้อภัยซึ่งกันและกัน)  อย่างนี้แปลว่าไปเกลียดเขาเต็มที่แล้วค่อยให้อภัยเขาใช่ไหม (มีเมตตา)  ทำให้ได้จริงๆ นะ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เมตตาเฉพาะคนในบ้าน แต่ต้องเมตตาทุกๆ คน ใช่ไหม (ใช้สติ มีความคิด และมีปัญญา) แล้วรู้ไหมว่าความหลงตน ความไม่ยอมคน เป็นสิ่งที่บดบังปัญญาอย่างหนึ่ง (รู้เห็นตามความเป็นจริง)  ตอบได้ดี แค่รู้แค่เห็นแค่นั้น แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ แค่เห็นก็ปรุงแต่ง แล้วก็อยาก แล้วก็เกิดเป็นชอบชัง แล้วก็กลายเป็นบุญบาป จึงกลายเป็นกรงขังตนเอง ฉะนั้นแค่เห็น แค่รู้ แค่นั้น
(ละเลิกหลง รู้จักใช้สติปัญญา)  แล้วถ้าอาจารย์บอกว่า กินแอปเปิลนี้แล้วจะหายโรคหายภัย ศิษย์จะกินไหม (กิน)  ไหนศิษย์บอกว่าละเลิกหลง ใช้สติปัญญา (กินเป็นยา)  กินเป็นยาหายตอนนี้ แต่ถ้าศิษย์ไปหาเรื่องกินอะไรที่ไม่ระมัดระวัง ศิษย์ก็จะกลับมาเป็นโรคอีกนะ ใช่ไหม (ใช่)
(มีสติ และคิดพิจารณาทบทวน) แล้วก็มองให้เห็นความจริง (เมตตาธรรม พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ปล่อยวาง, รู้เท่าทันจิตของตนเอง)  ตอบได้ดี หลักของธรรมะ ไม่ได้สอนให้เรารู้เพียงภายนอก แต่สอนให้เรารู้ทันจิต
รู้ทันใจ ใช่ไหม (ใช่) (พระอาจารย์ใช้พัดตีหัวนักเรียนชายในชั้น) เจ็บไหม
(ไม่เจ็บ)  ศิษย์เอย จิตเป็นสิ่งที่กระทบได้ กระเพื่อมได้ สงบได้ ถ้าไร้ตัวตน แต่ถ้าเรานำตัวตนไปครอบงำจิตใจ กระทบแล้วเราไม่สงบ เราไม่ยอมจบ
เราจะวุ่นวายแล้วตามด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง แล้วตามด้วยอาฆาต
จองเวรจองกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ทันจิตเกิดที่ไหนก็จบที่นั่นไม่ต้องไปทำอะไร แต่ถ้าใจเราไม่ยอมมันเกิดที่ไหนมันก็จะไม่จบที่นั่น
(สะกดจิตสะกดใจตัวเองให้ปล่อยวาง)  ศิษย์รู้จักยับยั้งชั่งใจดีกว่าสะกดจิตตัวเองนะ (มองให้เป็นเรื่องปกติ)  สิ่งที่คนอื่นทำผิดเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น แต่เราจะไม่ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น (ปล่อยว่างให้มีธรรมอยู่ในใจ)  แต่ตามันยังมองอยู่แล้วจะทำอย่างไรดี หูมันยังฟังอยู่ทำอย่างไรดี ให้เปลี่ยนจากความปล่อยวางเป็นเข้าใจ คนมีดีได้ มีร้ายได้ มีชมได้ มีด่าได้ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงเราก็จะไม่โกรธคน เหมือนตัวเราเราก็ร้ายได้ใช่ไหม (ใช่)  (เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม)  ธรรมอยู่ในตัวเรา ค้นหาความเป็นจริงในตัวเรา สัจธรรมมีอยู่ในตัวเราแต่เราเคยมีเวลาว่างมองตัวเราไหม เอาแต่หนีตัวเราแล้วไปหาพระข้างนอก พึ่งตัวเองดีกว่านะ ดีกว่าไปพึ่งคนอื่นตลอดเวลา
(มีสติยอมรับและเข้าใจ)  ศิษย์เคยได้ยินไหม เข้าใจความเป็นคนของตัวเอง แล้วจะเข้าใจความเป็นคนของผู้อื่น เห็นความเป็นคนในตัวเองชัด ก็จะเห็นความเป็นคนในผู้อื่นชัด เราทุกคนต่างก็รักความสุข เกลียดความทุกข์ เราทุกคนต่างก็รักคนที่พูดจาดี ไม่ชอบคนที่พูดร้าย ถ้าคิดได้อย่างนี้ เราจะทำร้ายใครไหม (ไม่ทำ)  ถึงเวลาเราทำไหม ถ้าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ เราก็เผลอที่จะทำผิด สิ่งที่ดีที่สุดเราก็ต้องควบคุมใจตัวเองให้ได้ อย่ารักที่จะตามใจ แต่จงรักที่จะตามธรรมบ้าง ดีไหม (ดี)  (มีสติยึดมั่นในความดี)  ทำดีแล้วต้องละวางอย่ายึดมั่น ถ้ายึดมั่นเราจะหวังผล (อดีตแก้ไม่ได้ ให้อยู่กับปัจจุบันด้วยสติปัญญา)   อาจารย์อยากจะบอกว่า ปัจจุบันก็ไม่มี มีแต่ตอนนี้ขณะนี้เท่านั้น ถ้าตอนนี้โมโหเอาแต่ใจ ปัจจุบันก็อาจจะไม่มี ชีวิตมีแค่ตอนนี้ ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด ตัดสินใจให้ถูก อย่าเอาแต่อารมณ์ (ตั้งสติแล้วปล่อยวางกับปัญหาที่เจอ)  อาจารย์จะบอกให้ คนเวลาที่มีทุกข์เหมือนกับตอนที่ไฟดับ หน้ามืด เราขยับตัวทันที ก็เหมือนจะเป็นลมแล้วล้มฟาดได้ ฉะนั้นตอนที่เราเจอทุกข์ก็เหมือนตอนไฟดับ หลับตาสักนิดหนึ่ง นิ่งก่อนแล้วค่อยหันกลับไปมองใหม่ แล้วเราก็จะเจอความสว่างได้ในความมืด ก่อนที่จะมุ่งไปทำอะไร นิ่งสักนิด คิดสักหน่อย โกรธแล้วได้อะไร ด่าแล้วมีประโยชน์ไหม ชิงชังหักล้างกันไป มีแต่จะเจ็บปวดกัน หลับตาสักนิดก่อนแล้วศิษย์จะมองเห็นความสว่าง (ใครว่าอะไรไม่ต้องเก็บมาคิด)  ตอบได้ดี ใครด่าอะไรไม่คิดจะจำ แต่พอถึงเวลา เขาด่าเรานี่ ปล่อยก็ปล่อยให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ปล่อยแต่บอกว่า เขาด่าเรานี่ ไม่ได้นะ
(คิดดีทำดีมีใจในธรรมะ)  ถ้าคิดดีทำดีแต่ไม่ละชั่วก็ยังไม่ดี อบายมุขถ้ายังไม่เลิกก็ยังใช้ไม่ได้ (ทำใจ)  เจอเรื่องอะไรก็ฝึกทำใจ การทำใจที่ดีที่สุดคือเปิดใจให้กว้าง เพราะถ้าเรามองแคบๆ เราก็เห็นแคบๆ ศิษย์เคยได้ยินไหม สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งเห็นดาวพร่างพราย แต่อีกคนเห็นโคลนตม ฉะนั้นเราจะมองให้กว้าง หรือมองแค่เท่านี้ (หัดยอมรับความเป็นจริง)  ทำให้ได้นะ พูดง่ายแต่ถึงเวลาทำจริงมันยาก เพราะเวลาเราเจอคน คนมีหลากหลายรูปแบบ วันนี้อาจารย์พูดแค่ทำให้ศิษย์ได้ตื่น ไม่ได้ตั้งใจจะว่าให้เจ็บปวด ฉะนั้นถ้าเราไม่คิดมากเราก็ไม่เจ็บ (มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน)  แต่ถ้าพูดแล้วไม่เข้าใจกันเลย เราทนได้ไหม (ได้)  ทนให้ได้นะ เพราะความอดทนเป็นคุณสมบัติของความเป็นคนดี ถ้าเกิดเป็นคนแล้วอดทนไม่ได้ เรื่องราวภัยพิบัติจะเข้ามาสู่ศิษย์ จำคำอาจารย์ให้ดีนะ ถ้าอดทนไม่ได้กรรมจะมาหาศิษย์ แต่ถ้าศิษย์อดทนได้ยอมได้กรรมหนักจะเป็นเบา อย่ากลัวขอให้มีสติ
ฉะนั้นไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไว้เลยนะศิษย์ เปิดใจ ยอมรับ ยิ้มรับ สิ่งที่เกิดขึ้น  ทำได้อย่างนี้มีความสุขนะศิษย์ ทำให้ดีที่สุดถึงเวลาก็ปล่อยวางไม่ตอบโต้เมื่อเวลาเขาด่าทอมา ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันเป็นไปได้หรือที่จะมีแต่คนชมไม่มีคนเกลียด มันไม่มี ฉะนั้นถ้าเรายอมรับด้วยหัวใจอันเป็นธรรม คิดเสียว่ามันเป็นธรรมดา เป็นเรื่องปกติ เราจะไม่โกรธเราจะไม่อยากตอบโต้ เราจะไม่จองเวรจองกรรมอีก อาจารย์จะบอกศิษย์โลกใบนี้สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ แต่การที่พยายามจะต้องปล่อยแปลว่าเรายึดมันอยู่ แต่ถ้าเรายอมรับว่าโลกใบนี้มีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปทุกขณะ เราไม่ยึดมั่นถือมั่นเดี๋ยวมันก็ดับไปเอง เราไม่ใส่ใจ สนใจ เดี๋ยวมันก็หายไป แต่ถ้าเราใส่ใจ สนใจมันตลอด เราเลยต้องพยายามดับมัน มีคนตอบถูกใจอาจารย์อยู่เรื่องหนึ่งคือ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราทุกเรื่อง บอกให้มันอยู่มันจะไป บอกให้มันรักเรา  มันดันเกลียดเรา ไม่ใช่กับคน แม้แต่สังขาร บอกให้สังขารอยู่ แต่สังขารก็เสื่อมถอย บอกให้ไม่ตาย แต่สังขารก็กำลังเดินไปสู่ความตาย ไม่ใช่แค่คนที่ไม่ได้ดั่งใจ สังขารก็ไม่ได้ดั่งใจ แม้แต่ใจ บอกให้สุข ก็ยังเพียรไปทุกข์ บอกให้ใจเย็น ก็เพียรใจร้อน บอกว่าอย่าด่า ก็เพียรที่จะด่า ถ้าเรารู้เท่าทันใจ อาจารย์จะสอนวิธีรู้เท่าทันใจให้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้รู้ ไม่ใช่รู้แต่ข้างนอก แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้รู้เท่าทันใจตน และยั้งตนด้วยสติปัญญา เมื่อมาแค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่ต้องใส่ใจ เดี๋ยวก็จบไปเอง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เหมือนกับคน สนใจ เกลียดและด่าหน่อยสิ แต่ศิษย์บอกว่าไม่เอาๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็หายไปตามกาลเวลา แต่ถ้าศิษย์บอกว่า เดี๋ยวฉันจะเกลียด จะด่า จะโมโห โดยเราปรุงแต่ง และมีอารมณ์ร่วม เราก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์ทันที รู้คนอื่นไม่เท่ารู้เท่าทันตัวเอง พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า ทุกอย่างสำคัญแค่หนึ่ง รักษาหนึ่งใจให้ได้ตลอด โดยใจไม่แตกเป็นสอง สาม สี่ นั่นแหละเรียกว่า พุทธะ เรียกว่า สงบ แต่เราไม่ใช่ พอโดนกระทบ ก็ด่าทันที ใจแบ่งเป็นสองทันที ใช่ไหม แต่ถ้าเรามองว่า เขากับเราไม่ต่างกัน จะด่ากันไหม (ไม่ด่า)  เขาก็เคยโมโห เราก็เคยโมโห รักษาความเป็นหนึ่งได้ทุกขณะ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร เพราะทุกคนล้วนเหมือนกัน เขาโมโหเป็น เราก็โมโหเป็น พอเขาโวยวาย เราจะโวยวายไปทำไม เราเกิดมาเพื่อมาจองเวรจองกรรม หรือเราจะจบเวรจบกรรม รักษาหนึ่ง
ให้ได้ (ทำอะไรขอให้รู้จักใช้สติแก้ปัญหา)  อย่ามัวเอาแต่คิด แล้วไม่ใช้สติ
อาจารย์จะพูดเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าศิษย์ทำได้จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในตัวเรานั้น เราไม่เคยมองเห็นตัวเราชัดเจนเลยใช่ไหม เห็นแต่เปลือกนอก ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขาร” เรารู้ว่าสังขารมาจากไหน สังขารเกิดมาจากพ่อแม่ แต่เวลาตายไปจะกลับคืนสู่ธรรม แล้วในชีวิตของเราที่เรียกว่า “อัตตาตัวตน” สังขารใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  แล้วอะไรเป็นของเรา
(จิตญาณ)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะพูดว่า ในตัวเราที่ขยับเขยื้อนได้
มีความรู้สึกมีอารมณ์ได้ เพราะมีจิตอยู่ข้างใน แต่ทำไมพระพุทธะบอกว่า “จิตนั้นประภัสสรอยู่ตลอดเวลา แต่หมองมัวไปเพราะกิเลสจรมา” ทำไมตัวเราถึงไม่เคยประภัสสร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า จิตของเราอยู่ดีๆ แต่ความคิดมันคิดร้าย จิตก็เลยร้าย จิตของเราอยู่ดีๆ แต่ความคิดมันคิดแย่ จิตเราเลยรู้สึกย่ำแย่ ฉะนั้นอยู่ที่จิตหรืออยู่ที่ความคิด ศิษย์ฟังใหม่นะ
ในกายเรามีสังขาร ในสังขารมีความไม่เที่ยงคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความตาย และทุกชีวิตในความตายนั้นมีความไม่เที่ยง และเป็นทุกข์อยู่ทุกขณะ เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งและกำลังมีทุกข์ และกำลังเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งและกำลังกลับไปสู่ความว่างเปล่า ฉะนั้นตัวตนนี้เรายึดไม่ได้เลย ถ้าเผลอยึดแปลว่าเราอยากมีทุกข์ ถ้าเราไม่ยึดเราก็จะไม่ทุกข์กับตัวตน พอไม่ยึดกับตัวตนก็มีปัญหาต่อมาอีกว่า ในตัวเรามีจิตหรือบางคนเรียกว่าใจ ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “จิตแต่เดิมนั้นประภัสสร แปลว่า สว่างไสว แต่หม่นหมองไปเพราะกิเลสจรมา” แปลว่าถ้าหมดกิเลสจิตเราก็สว่างไสว
อาจารย์ถามนะ จิตนั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดนั้นคิดแต่สิ่งร้าย จึงกระทำในสิ่งร้ายใช่ไหม (ใช่)  จิตนั้นอยู่ของจิตดีๆ แต่เมื่อเรามีความคิดแย่ จิตจึงย่ำแย่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ความคิดหรืออยู่ที่จิต (ความคิด)  ฉะนั้นตัวตนที่แท้จริงของศิษย์นั้นไม่มี แต่มีเพราะเหตุปัจจัยแห่งกิเลสอารมณ์ เมื่อมีกิเลสอารมณ์ เจ้ากิเลสตัวนั้นจึงเป็นนายสั่งจิตและบังคับกายให้เคลื่อนไปตามความอยาก ความโลภ ความหลง แต่จิตก็ยังอยู่อย่างเดิม จิตเดิมแท้จริงๆ ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการที่อยู่ เป็นสิ่งไม่มี เป็นสิ่ง
ว่างเปล่า แต่มนุษย์มักอยู่ไม่ได้ ถ้าจิตไม่มีอะไรเราก็พยายามหาแล้วทำให้จิตต้องมี แต่เมื่อพยายามมีมากไปเท่าไร ก็ลืมความจริงไม่ได้ว่า ต้องกลับไปสู่ความไม่มี เหมือนศิษย์หาเท่าไรก็ไม่มี เพราะจิตอยากจะบอกว่า สิ่งนั้นไม่มี แต่ศิษย์พยายามที่จะมี ฉะนั้นเมื่อจิตพยายามจะมี จิตก็จะก่อเกิดเป็นบุญ บาป ดี ชั่ว กรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็หนีไม่พ้นกรงขังแห่งตัวตน ที่ตนขังตนแล้วก็ลืมจิตเดิมแท้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เข้าใจแล้วว่า จริงๆ แล้วเป็นสิ่งไม่มี แล้วเรากำลังทุกข์อยู่กับอะไร ที่เราทุกข์เพราะพยายามยึดว่าต้องมี แล้วเมื่อมี ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ว่างเปล่า รับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม
ถ้าเราพยายาม พบอะไรที่มากระทบ จำไว้ว่า ถ้าสิ่งนั้นกลายเป็นกรรมดี ก็เรียกว่า บุญ ถ้าเรายังยึดติดก็จะกลายเป็นกรรมชั่วที่เรียกว่า บาป แล้วก็เป็นวัฏฏะวิบากกรรมที่เรียกว่า วัฏสงสาร แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์กระทำอะไรแล้วจบเพียงเท่านี้ หมดแค่นี้ สิ้นแค่นี้ ดีที่สุด กรรมจะไม่มี จงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความไม่ยึดมั่น ทำด้วยความปล่อยวาง ทำด้วยความสละวางซึ่งตัวตน สิ่งนี้จะเป็นบุญ เป็นกุศล แล้วเมื่อเราเข้าใจธรรมมากจนถึงที่สุด ใดๆ ในโลกเราก็ไม่เอากับสิ่งนั้นๆ แล้ว ศิษย์จะเข้าใจว่า จะให้อะไรเราก็ไม่เอาอีกแล้ว เพราะยิ่งมีก็ยิ่งทุกข์  เพราะสิ่งใดมีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่มี เปลี่ยนแล้วมันก็ไม่ทุกข์ก็ไม่มี ยึดแล้วมันไม่เจ็บก็ไม่มี ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมคือ กลับคืนสู่ความ
เป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรียกว่า จิตคือสัจธรรม สัจธรรมคือจิต ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่าศึกษาบำเพ็ญธรรมไม่ได้กลับนิพพาน ไม่ได้กลับฟ้า แต่กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ไม่ต้องมีตัวมีตนอีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า
“โลกหมุนตามจิต”)
มีคำกล่าวว่าจิต หรือคำว่าตัวตน เกิดจากความปรุงแต่ง ตัวตนที่แท้จริงไม่มี แต่มีเพราะความคิดปรุงแต่ง พอปรุงแต่งมันก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึก รู้สึกกลายเป็นนิสัย นิสัยกลายเป็นสันดาน สันดานกลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นตัวตนเกิดจากความคิดไปเอง ทั้งที่จริงแล้วตัวตนมันไม่มี ฉะนั้นศิษย์จะพยายามมีตัวตนเพื่อเจ็บปวด เพื่อทุกข์หรือว่ายอมรับตัวตนเพื่อจะได้ไม่เจ็บปวดไม่ทุกข์
ฉะนั้นความคิดสร้างตัวเราขึ้นมาทับซ้อนจิตอันเดิมแท้ ทำให้เรามองไม่เห็นสัจธรรมความจริง ที่มนุษย์บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเข้าใจ คำว่า “ใจ” นั้นแหล่ะที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันคือสัจธรรม ทุกคนมีใจแห่งสัจธรรมอยู่ และใจแห่งสัจธรรมนี้ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ทุกข์กับมัน มันเปลี่ยนตลอดเวลา เราจะโลภไหม เราจะเกลียดไหม เราจะหลงไหม นั้นแหล่ะที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจ ใจที่เป็นสัจธรรม
ลองเอาไปอ่านแล้วศึกษาข้างใน ชีวิตต้องเข้มแข็ง ยังไม่หายคิดถึงกัน แต่เวลาอาจารย์มาก็ยังแอบหลับกันนะ รู้จักมีสติปัญญา ทำอะไรด้วยศีลด้วยธรรมที่พร้อมสมบูรณ์ ระมัดระวังอารมณ์และนิสัย คิดอะไรและไตร่ตรองให้ดี เพราะชีวิตเรา เราไม่รู้ว่าวันใดจะจบ ก่อนที่จบจงรู้จักยั้งคิด หมั่นมีธรรมเสมอ ธรรมจะทำให้ศิษย์กับอาจารย์อยู่ใกล้กัน แม้ไม่เห็นอาจารย์ แต่จงรักษาธรรมในใจไว้ ศิษย์ก็จะอยู่ในใจอาจารย์ตลอดเวลา ดูแลใจและกายตัวเองให้ดี ด้วยสติปัญญาที่เข้มแข็ง ไม่ใช่เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์นะเด็กดื้อ มีโอกาสต้องขาวทั้งข้างนอกข้างใน ไม่ใช่ขาวแต่ข้างนอก ข้างในไม่ขาวนะ รับปากอาจารย์แล้ว ต้องเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้ ขอให้ธรรมรักษาจิต บุญความดีงามจะนำพาจิตไปสู่หนทางที่ดี
ชีวิตไม่แน่นอนนะ มีพบก็ต้องมีพราก มีเจอก็ต้องมีจาก มีโอกาสขอให้กลับมาอีก ทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายตัวเอง ไปล่ะนะ จับมือแปลว่าจะกลับมาเจออาจารย์อีกนะ รักษาตัวเองด้วยความถูกต้องและดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง รักษาตัวรักษาใจให้ดี มีปัญญามีสติยั้งคิดนำพาชีวิตให้ถูกทาง จำคำที่อาจารย์พูดไว้ให้ดี
จงรู้จักอดทนอดกลั้น เข้มแข็ง ให้ธรรมะนำทางสว่างให้กับชีวิต ศิษย์เคยมีปณิธานที่ดีที่จะช่วยอาจารย์ อย่าลืมนะ รักษาโอกาสนำพาชีวิตตัวเองให้ ถูกทางนะศิษย์ หลงโลกมากแค่ไหน แต่ก็กลับคืนได้ด้วยหัวใจที่มีมโนธรรมสำนึก  หัวหน้าทำได้ดีพยายามทำต่อไปนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ ก้าวหน้าให้ถึงที่สุด โดนอะไรก็ต้องรักษาใจให้สงบ ไม่หวั่นไหว จิตที่สามารถรักษาความปกติได้คือจิตที่มีธรรม จิตที่สามารถเข้มแข็งและมองเห็นความจริงได้ คือจิตที่เข้าใจธรรม เข้มแข็งนะศิษย์ บำเพ็ญให้ถึงที่สุด ตราบลมหายใจสุดท้าย และเราจะได้กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “โลกหมุนตามจิต”
    โลกหมุนไปตามความคิด                เป็นโลกที่ศิษย์รับรู้
มีแต่ย่ำแย่อดสู                              ย้อนดูความคิดตัวเอง
คิดดีโลกจักน่ารัก                           รองหลักไม่ต้องรีบเร่ง
ขอใจชีวิตตัวเอง                            เลยเก่งบนทางของตน
โลกหมุนไปตามดวงจิต                     ความคิดก็ต้องฝึกฝน
ฝึกใจไม่ให้หมองหม่น                       ออมตัวทำตนให้ดี
คิดด้วยสติเป็นต่อ                           พูดก็พูดด้วยสติ
ใครติเราให้เขาติ    คำติเป็นแรงผลักดัน



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรม
สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี  วันที่ ๖ - ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐

หน้า ๑ บรรทัดที่ ๒ จากด้านล่าง
เดิม       หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางรับไม่ไหว
แก้เป็น    หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางนับไม่ไหว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา