西元二○一七年歲次丁酉四月十一日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ยามชีวิตสุขสบายอย่าลืมคิด ยามชีวิตพลาดล้มผิดรับไม่ไหว
ลืมความจริงอันไม่เที่ยงผันเปลี่ยนไป ลืมยั้งใจยามมีทุกข์ค่อยหาธรรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ดวงตะวันลาแล้วไม่เคยลาลับ โปรดอย่าท้อใจกับอย่าถอดใจ
เลิกฟูมฟายตามอย่างความสิ้นหวังไป อยู่อย่างไรชีวิตในทุกข์คิดดีดี
เป็นทองแท้ท้ออย่าไร้จิตสร้างสรรค์ พรสวรรค์อย่าลับหายในคำติ
พลิกสถานการณ์หมดหวังล้มจมความดี สุขในทุกข์ลุกเพื่อที่ชนะตน
เพียงเราดียิ่งขึ้นยืนบนฝั่ง ขุมของพลังแรงปลุกจากฝึกฝน
จะไม่เพียงยังศรัทธาไว้แค่ตน แต่ยังยลสู่ในใจชาวประชา
ออกแรงดึงตนคุณค่าจากทางตัน ธรรมเรียกขวัญเรียกสติใครสุขหนา
ที่จริงกำลังใจไม่มีสมบูรณ์นา คนสุขหนาทุกข์ได้ใจไม่ตาย
มีแล้วเสื่อมโลกธรรมย้ำตนเป็นเพื่อน เหตุการณ์เตือนโลกธรรมดาสัจธรรมดลให้
เมื่อรับรู้ตื่นจิตจากภายใน อย่ายึดมั่นในสิ่งใดให้ลำเค็ญ
หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางรับนับไม่ไหว จะอยู่อยู่ดับไปยากมองเห็น
อยากหลุดพ้นวนเวียนว่ายต้องบำเพ็ญ นิ่งภายในอยู่หมุนเกณฑ์ธรรมจักรวาล
ธรรมพิสุทธิ์สงบว่างความเป็นหนึ่งเดียว ชีวิตเทียวบรรจบสว่างกระจ่างธรรมเดี๋ยวนั้น
อย่าได้ให้โชคชะตามาปิดกั้น ลมพัดผ่านทุกข์มาดับทุกข์ไป
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ พระโอวาทวรรคที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
เมื่อยามมีสุขเราก็ไม่เคยคิดว่ายามมีทุกข์แล้วมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน จนกระทั่งพอมีทุกข์แล้ว ตอนนั้นเราถึงได้คิดว่า ธรรมะอยู่ที่ใด ช่วยเราที ใช่ไหม ยามเรามีสุข เราเคยคิดถึงธรรมะไหม น้อยคนที่จะคิดถึงธรรมะ คิดถึงธรรมะตอนมีสุขวันเกิด ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ แล้วทุกวันคือวันที่เราดับสิ้น เราฉลองวันเกิดหรือเราฉลองวันตาย (วันตาย) ฉะนั้นยามมีทุกข์เราค่อยคิดถึงธรรม หรือเราควรจะพิจารณาถึงธรรมอยู่เนืองๆ เพื่อทำให้เราเข้าใจในทุกข์ เพื่อจะได้รับมือกับความทุกข์ได้ (พิจารณาธรรมเนืองๆ) ฉะนั้นผู้ใดที่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ความทุกข์นั้นจะมากัดกร่อนกินใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ ในเรื่องของการจัดการใจเมื่อยามมีทุกข์หรือเมื่อยามที่เราทำอะไร เราควรใช้ความคิดหรือใช้สติ (สติ) แต่ส่วนใหญ่ใช้สติหรือใช้ความคิด (ความคิด) มีคำกล่าวว่า จงมีสติรู้ทันยั้งคิด ถ้าเรื่องของใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งสับสนวุ่นวาย การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งหลงตัวเอง หาทางออกไม่เจอ อย่างนั้นเเปลว่าไม่ต้องคิด ใช่หรือไม่ อย่างนั้นเราจะบอกความเเตกต่างให้ระหว่างการทำอะไรโดยใช้สติกับการทำอะไรโดยใช้แค่ความคิด ลองพิจารณาตามดูว่าสิ่งที่เราพูดเป็นจริงอย่างที่ใจท่านเป็นไหม เรื่องของใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้สติอย่าใช้ความคิด จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เเละจงอย่าคิดว่าตัวเองคิดเเล้วเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น เพราะเวลาเราใช้ความคิด ความคิดของเรามักจะง่ายในการไหลไปตามใจตัวเอง ตามความรู้ความเข้าใจของตัวเอง เรามักเอาความคิดเราไปเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น ซึ่งบางทีทำให้เรามองผิดพลาด ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยหัวใจอย่าเอาเเต่ใช้ความคิด เพราะความคิดจะง่ายที่ทำให้เราไหลเเละหลงเข้าข้างตัวเองเเละง่ายที่จะฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเเค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวาย เราจึงบอกว่าทำอะไรจงใช้สติ
สติต่างจากความคิดตรงไหน เรามักจะได้ยินว่า สติสอนให้เรารู้ทัน ยั้งคิด แปลว่าสติสอนให้เรารู้แต่ไม่หลงไปกับความคิด สติสอนให้เราเห็นความคิดในใจตน และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรใช้สติยั้งคิดหรือเอาแต่คิดแล้วไร้สติ (ใช้สติยั้งคิด) เรามีสติหรือเรามีแต่ความคิด หรือเอาแต่คิด ลืมสติ ถ้าเรามีสติรู้ทันยั้งคิด ก็ต้องหยุดความคิดได้ แต่ทำไมยิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ยิ่งคิดไม่จบ ทำอะไรด้วยสติจะทำให้เรารู้ทันยั้งคิดและยับยั้งอารมณ์ได้ แต่ถ้าทำอะไรเอาแต่วนกับความคิด เราจะไม่สามารถรู้ตัวเองและกำลังตกเป็นทาสอารมณ์ และกำลังคิดหลงตัวเองและเอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เอาไปวัดผู้คน ใช่หรือไม่ เหมือนนั่งตรงนี้เอาสิ่งที่จำได้หมายรู้วัดคนนั้นพูดดี คนนี้พูดไม่ดี ไม่ได้ใช้สติ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเรียนรู้ธรรม ธรรมสอนให้วางอัตตาตัวตน และธรรมที่แท้จริงไม่มีตัวตนให้ยึดถือ จะบอกว่าใจเราคือแก้วก็คงไม่ใช่ แต่ใจเราคือธรรม และธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าเมื่อไรยังแบ่งแยกยึดถือ นั่นแปลว่าเรายังหลงยึดติดตัวตนที่หนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)
โลกใบนี้จริงๆ แล้วมันทุกข์และวุ่นวาย ใช่ไหม (ใช่) ใช้สติยั้งคิด อย่าเอาความคิดไปวัดโลกวัดผู้คน โลกนี้วุ่นวาย โลกนี้มีแต่ทุกข์จริงไหม โลกนี้มีแต่สิ่งที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียจริงไหม โลกนี้มีทุกข์สุขจริงไหม โลกนี้วุ่นวายจริงไหม (จริง, ไม่จริง) เราจะบอกให้ ลองถอนความเป็นตัวเองออกจากโลก แล้วหันกลับไปมองโลกอย่างไม่มีตัวตน โลกนี้วุ่นวายจริงๆ หรือใจเรามันวุ่น (ใจเรามันวุ่น) ถ้าไม่มีเรา โลกยังหมุนไปไหม (หมุน) โลกยังวุ่นวายอย่างนี้ไหม (ไม่) เพราะมีตัวเราจึงทำให้มันวุ่นหรือเปล่า แล้วโลกนี้มีทุกข์จริงไหม มีดีร้ายจริงไหม มีได้เสียจริงไหม ลองถอนตัวเราออกแล้วหันกลับไปมอง แล้วจะรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีดีไม่มีร้าย ลองถามตัวเองสิใครดีที่สุดในโลก ใครร้ายที่สุดในโลก อะไรคือสุขที่แท้จริง อะไรคือทุกข์ที่เที่ยงแท้ มันไม่มี แต่เรามักจะยึดติดกับปรากฏการณ์ ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับความคาดหวัง ยึดติดกับรูปนามที่เรายึดถือ ว่ามีอย่างนี้เรียกว่า “มี” อย่างนี้เรียกว่า “ไร้” แต่ลองไปมองคนที่ต่ำกว่า สิ่งที่เราบอกว่าไร้ เขาบอกว่าเรามีสิ่งที่เรามี ไปเจอคนสูงกว่าเขาบอกเรา (ไม่มี) ตกลงเรามีหรือไม่มี เราหาแทบตายทำไมยิ่งหาเหมือนไม่มี (ไม่พอ) เราพยายามหาความสุขเเต่ทำไมยิ่งหากลับไม่สุข แปลว่าลึกๆ ในใจของเรามีอะไรที่กำลังบอกให้เราค้นให้เจอหาให้พบเเล้วเราลืมไป ความจริงเเห่งสัจธรรมที่ถึงที่สุด คือ มีก็เหมือน (ไม่มี) ได้ก็เหมือน (ไม่ได้) เหมือนสุขเเต่จริงๆ ก็มีทุกข์ เหมือนวุ่นวายเเต่จริงๆ ไม่ได้วุ่นวาย ถ้าใจเราเข้มเเข็งใจเรามั่นคง ใจเราเห็นแจ่มชัด อุปสรรคความทุกข์ การสูญเสียไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงใจของเราได้ เเต่มนุษย์มักใช้ใจคนไม่ใช้ใจธรรม เห็นเเต่ความเป็นใจคนเเต่ไม่เคยเห็นเเก่นแท้ของใจธรรมที่อยู่ในตัวเราทุกคน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในแปดเซียนทั้งหลาย เเต่ก็เป็นเพียงเเค่รูปลักษณ์ รูปลักษณ์หนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เเต่ใจที่เข้าถึงธรรมไม่หมุนเปลี่ยนเวียนผัน ถึงเเล้วก็ถึงเลย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เมื่อยังมีตัวตนให้ยึดถือก็แปลว่า ยังมีทุกข์ให้เจ็บปวดให้ยึดมั่น แต่เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถดับทุกข์และสิ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงก็คือ การที่ไม่เข้าใจว่าจริงแท้ตัวตนของเราคืออะไรกันแน่
มนุษย์ชอบกล่าวว่าตายไปแล้วก็กลับคืนฟ้า แต่เราอยากบอกท่านว่า ตายไปแล้วก็กลับคืนสู่ธรรม ถ้ายังหวังกลับคืนฟ้า คืนสวรรค์ คืนนิพพาน ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่ยึดถือ มีดีร้าย แต่ถ้ากลับคืนสู่ธรรม ธรรมคือสภาวะกลาง ที่ไม่มีดีไม่มีร้าย และไร้ตัวตนที่จะไปเวียนว่ายวนในวัฏสงสาร ฉะนั้นจะคืนสู่นิพพาน หรือคืนสู่ธรรม (ธรรม) นิพพานแปลว่าสงบเย็น เมื่อไรที่สงบเย็นก็มีนิพพานชั่วขณะ แต่ในความเป็นคนไม่เคยมีนิพพานตลอดเวลา เมื่อมีตัวตน ความอยากก็วิ่งวุ่นไม่จบสิ้น อยากเพื่ออะไร อยากให้ใคร เมื่อธรรมมีแต่ความว่างเปล่า และไร้ตัวตนที่ยึดถือ จริงไหม เมื่อใจเรายึดติดชอบจึงเกิดคำว่าสุข เมื่อใจเรายึดติดชังจึงเกิดคำว่าทุกข์ เเต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นกลางในทุกสรรพสิ่ง ชอบชังก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์สุขได้
จริงๆ แล้วมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่ ลองยืนเฉยๆ ถามว่ามีคนที่สูงกว่า มีคนที่เตี้ยกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่ร้ายกว่า มีคนที่สุขกว่า มีคนที่ทุกข์กว่าท่านไหม (มี) ถ้าตอนนั้นหัวใจท่านไม่ยึดติดแบ่งแยกก็ว่างทันที ใช่ไหม เเล้วใครดีใครร้าย เเล้วตัวเราแย่ไหม เมื่อตัวเราเเย่ เรามองดีกว่าหรือมองต่ำกว่า เรามองเเย่กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาเเต่จมกับความคิดที่มองกับเหตุการณ์ที่แย่กว่า แต่จริงๆ เเล้วความเป็นกลางในตัวท่านมีอยู่ตลอดเวลา เเต่อยู่ที่เราเปิดกว้างอย่างคนที่มองเห็นชัด หรือเอาเเต่คิดตามใจตน เราจะเปิดกว้างอย่างคนที่มองตามจริงหรือมองตามใจ เเล้วทุกข์คือสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่) เเต่สิ่งที่เราควรกลัวคือใคร (ตัวเราเอง) ใจเราที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง ใจที่เราไม่เปิดรับสิ่งที่เรียกว่าโลกเเห่งความเป็นจริง เอาเเต่ยึดติดในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังมุ่งหวังยึดถือ จริงหรือไม่
เมื่อกราบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์มักจะขอให้มีสุข ขอให้ร่มเย็น ขอให้โชคดี ใช่ไหม (ใช่) เจ็ดส่วนมนุษย์กำหนด สามส่วนฟ้ากำหนดให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนสร้างมา ฉะนั้นโชคดีโชคร้ายขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือขอใจตัวเอง (ขอใจตัวเอง) โชคดีแต่คิดร้ายจะได้ผลดีหรือร้าย ได้ดีแต่ปากร้าย ได้สิ่งที่ดีแต่ชอบมองต่ำ ร้ายหรือดีกันเล่า ฉะนั้นควรขอฟ้าหรือขอใจตน (ขอใจตน) ถ้าอยากกราบขอพระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จงขอให้จิตใจเข้มแข็งกล้ารับความจริง เพราะมนุษย์ทุกคนมีความกลัวลึกๆ อยู่ในใจ มีใครกลัวหมดตัวบ้าง กลัวหรือ เราว่านะไม่ต้องกลัวหมดตัว แต่กลัวใจขี้เกียจแล้วหมดใจมากกว่านะ จริงไหม (จริง) ของหมดเรายังหาใหม่ได้ ของสูญเสียขอเพียงอย่าไร้หัวใจที่สู้ ไร้หัวใจที่กล้ายอมรับความจริง ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ยังกลัวอดอีกไหม ใครกลัวโดดเดี่ยวบ้าง กลัวไหม (ไม่กลัว) ถ้าเราจะบอกว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ลึกๆ กลัวสูญเสีย กลัวโดดเดี่ยว และก็กลัวชีวิตไม่มั่นคง พยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามี มั่นคงและไม่เหงาโดดเดี่ยว ใช่ไหม ทุกครั้งที่หาได้มา ทำไมลึกๆ ในใจบอกว่าเหมือนไม่เคยมี ทุกครั้งที่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เเต่ทำไมลึกๆ เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยว เราพยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตมั่นคง เเต่ทำไมลึกๆ เรากลับรู้ในใจว่าไม่มีอะไรมั่นคง เราจะไขปริศนานี้ให้ท่านรู้ เพราะใจของทุกคนล้วนต้องกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่สอนว่ามาเดี่ยวก็ต้องกลับเดี่ยว มามือเปล่าก็ต้องกลับมือเปล่า เเละสิ่งที่คิดว่ามั่นคงที่สุดในชีวิตก็คือสิ่งที่ไม่มั่นคง ยึดอะไรไม่ได้ ธรรมสอนใจเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราไม่เคยฟังใจที่พยายามพร่ำบอกว่าถึงที่สุดเธอก็ไม่มี ถึงที่สุดเธอก็ต้องไปคนเดียว ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอมั่นคงนอกจากความว่างเปล่าเเละหัวใจที่กลับคืนสู่กระเเสเเห่งธรรม
ฉะนั้นจะยึดมั่นตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้นทำไม อย่ากลัวความไม่มี เพราะความไม่มีคือสภาวะเดิมเเท้เเห่งสัจธรรม อย่ากลัวความโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่จริงเเท้เเห่งธรรมที่สอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้ตายคนเดียวทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน เราไม่ได้กลับไปมือเปล่าคนเดียว ทุกคนก็กลับไปมือเปล่าเหมือนกัน แล้วเราจะยึดเเล้วจะพยายามปล่อย หรือเราจะพยายามเข้าใจก่อนที่จะไปยึดถือเเล้วต้องทุกข์ทรมานเพื่อพยายามปล่อย อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลง ความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่เป็นของเราเเม้กระทั่งความทุกข์ อย่ากลัวความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความพลัดพรากเเละความดับสิ้น เพราะความสูญเสียพลัดพรากดับสิ้นกลับทำให้เราได้ปลดปลงปล่อยวางกลับคืนสู่ธรรมที่เเท้จริง เเต่สิ่งที่ท่านควรกลัวคือความหลงยึดมั่นในตัวตนที่ยังยึดติดดีและร้ายและหนีไม่พ้นกระแสวิบากกรรมแห่งวัฏฏะเวียนว่ายทำดีก็ต้องไปดี ทำชั่วก็ต้องไปชดใช้ชั่ว
เราศึกษาธรรมเพื่อหลงหรือเพื่อละ (หลง, ละ) ไม่ต้องทุกข์แล้วนะ ควรยิ้มสู้ชีวิตที่มันเป็นไป และไม่ควรตัดพ้อโทษฟ้าโทษดิน แต่ควรถามใจตัวเองว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือกำลังหลงเดินผิดทาง เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวว่าอยู่แค่ยืมใช้ ร่างกายนี้เหมือนเรือนที่กำลังถูกไหม้ไฟ แล้วเราจะหนีออกจากเรือนที่กำลังจะถูกไหม้ไฟ และกำลังมีทุกข์อยู่ทุกขณะด้วยการทำอย่างไร ก็แค่หันกลับมาเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากบุญกรรม และเราอยากจะหยุดบุญกรรมเพื่อไปต่อหรือจบเวรจบกรรม
ฉะนั้นเรื่องที่อยู่ในใจแล้วยังไม่ลืมควรจะจบได้แล้วนะ เพราะว่าจิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ เป็นเหมือนผืนแปลง อย่าเผลอปลูกอะไรลงไปในจิต เพราะถ้ามันเติบโตขึ้นมาแล้ว เราจะรับไม่ไหวกับกรรมที่เราก่อ ฉะนั้นมนุษย์เมื่อทุกข์มากๆ จึงพยายามทำดี เผื่อว่าความดีนั้นจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมทำดีแล้วไม่ทำให้พ้นทุกข์เพราะอะไรหรือ (ตัวตัณหา) ตัวตัณหาทำให้ทุกข์ ถ้าทำบุญเเล้วยังมีตัณหาก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าทำดีเเล้วยังโลภหลงในบุญก็เรียกว่า “ตัณหา” ไม่ได้เรียกว่า “บุญ”
(ใจเราปรุงเเต่งในเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ต้องรู้จักปล่อยวาง ใช้สติหยุดความคิด) จริงๆ ถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะ เเต่เพราะมุนษย์มักไม่ค่อยยอม ใจที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวที่เราไม่ชอบจบไปแล้วหรือไม่ (จบแล้ว) เเต่ทำไมยังฝังอยู่ในใจ ทำไมยังฝังอยู่ในความคิด จิตยึดติดหรือจิตไม่ยอมรับที่จะชดใช้เขา ถ้าท่านยังจำไม่ลืมเเปลว่าท่านยังอยากผูกเวรเกี่ยวกรรม ถ้าเจอแล้วยังอดไม่ได้เเปลว่ายังอยากจองเวรจองกรรม คิดให้ดีๆ ว่าควรจบได้หรือยัง ควรจบเมื่อยังมีกายให้รู้จักมีสติปัญญา พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจะเอาทุกข์มาก่อให้เกิดปัญญาหรือจะเอาทุกข์มาเป็นกงเกวียนกำเกวียน (เกิดปัญญา) อย่างนั้นควรจะจำไหม (ไม่ควรจำ) เหมือนที่เราบอกแต่ต้น ที่เราเกลียดเขาว่าเขาไม่ชอบเขา เพราะเราเอาบรรทัดฐานเราไปวัดเขา เเต่เราไม่เคยมองเขาที่เป็นเขาจริงไหม (จริง) ถ้าเรามองเขาที่เป็นเขาจะไม่มีคำว่าดีเเย่ เเต่มีคำว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจเท่านั้น
ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี ถ้าการทำดีนั้นยังหลงยึดมั่นถือมั่นนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า “ธรรม” เพราะธรรมสอนให้เราละความหลง เเต่ถ้าทำดีเเล้วยังหลงยึดถือนั่นก็ไม่อาจเรียกว่าธรรม ธรรมสอนให้เรายอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจปกติ ไร้กิเลสอารมณ์ที่ยึดถือเกี่ยวพัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่ทำ จึงเรียกว่าหัวใจธรรม
วันนี้เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก) ไกลตัวไหม (ไม่ไกล) เป็นสิ่งใกล้ตัวที่ท่านมองไม่เคยเห็น ทั้งที่มันคือความจริง เหมือนที่เราบอก ถ้าเราเข้าถึงใจแห่งธรรม ใจแห่งธรรมไม่ใช่ใจที่เป็นแก้ว แต่ใจแห่งธรรมคือใจที่เป็นธรรม ถ้ายังเป็นแก้วแปลว่าเรายังต้องมียึดถือ มีรองรับ มีรังเกียจ มีเอา มีไม่เอา แต่ใจธรรมคือ เมื่ออะไรๆ ก็เป็นธรรมแล้วเราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด) ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่เสียอย่างเดียว เรายังไปไม่ถึงธรรม ค่อยๆ ฝึกนะมนุษย์ทุกคนล้วนมีสภาวะธรรมเดียวกัน ถึงจะรวยจะมีจะจนเเต่เราหนีไม่พ้นธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ถ้าเข้มเเข็งพอ เข้าใจธรรมจริง จะรู้ว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจธรรม จงเอาธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน ถ้าปฏิบัติได้ดีถูกต้องเรียกว่าผู้มีคุณธรรม ถ้าปฏิบัติเเล้วสามารถนำพาให้คนพ้นทุกข์เรียกว่าเข้าถึงธรรม
อย่ากลัวความไม่มี ถ้าหัวใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวความโดดเดี่ยวถ้ารู้จักประพฤติปฏิบัติดีเเละถูกต้อง อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลงเพราะความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ให้เข้าใจความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เเละอย่ากลัวความดับสิ้น เพราะความดับสิ้นเเละความเจ็บปวดสอนให้เราปลดปลงในสิ่งที่เรากำลังยึดมั่นจนเป็นทุกข์ เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือความหลง การตกเป็นทาสเเห่งตัวตน เเละกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราประพฤติผิดประพฤติชั่วร้ายเเละก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมที่เรียกว่าความทุกข์ทน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ไม่กลัวใคร ไม่ด่าใคร ไม่เกลียดใคร และไม่กล้ารักใคร ทำไมถึงบอกว่าไม่กล้ารัก ถ้าเข้าใจตัวเองจะรักคนเป็น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง รักใครก็ต้องทุกข์ ทุกข์เพราะเขาหรือเพราะเรากันแน่หนอ เพราะเรา ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ฉะนั้นเราถึงบอกท่าน อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความสูญสิ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงและความสูญสิ้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ทำให้เราเข้าใจสัจจะความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง) การรู้จักเข้าใจและปลดปลงปล่อยวางได้ก่อนที่จะทุกข์เป็นหนทางที่ประเสริฐที่สุด อย่าเอาแต่ทำดีแล้วไม่ละชั่ว แต่จงละชั่วประพฤติดีมีคุณธรรม คือหนทางแห่งการเข้าถึงธรรม ทำดีอย่าลืมละชั่ว เพราะถ้าเป็นคนดีแต่ความชั่วยังไม่ละก็ไม่อาจเรียกว่าคนดี รู้แล้วเข้าใจทุกอย่างแล้วละได้หรือยัง ยังละชั่วไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นวิบากกรรมแห่งความทุกข์ทน โลภมากๆ ก็เป็นเปรต โกรธมากๆ ก็หนีไม่พ้นไฟนรกแผดเผาใจ หลงมากๆ ก็เหมือนคนที่มีตาแต่ใช้ได้ข้างเดียว มีหูแต่ถูกปิดไปข้างหนึ่ง ฉะนั้นเราควรดำเนินชีวิตอย่างคนมีสติ แล้วมองให้เห็นธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ทำบุญเพื่อลดละโลภยึดถือ ทำดีคือยั้งใจไหลลงต่ำ
บำเพ็ญเพื่อย้อนมองตนหยุดสร้างกรรม ศึกษาธรรมเพื่อตื่นรู้ในความจริง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
*ตบเท้าเรียงหน้าทำดี สมชื่อนักธรรม บางครั้งขึ้นก้าวถอยก้าว เป็นด้วยเหตุอะไร หวังว่าข้อคิดเข็มทิศหนุนจิตใจฟ้า ฝึกหัดดั่งนักศึกษางัดข้อแก้ไข หลักธรรมเป็นมิตรคู่คิดชุบจิตใจฟ้า บำเพ็ญอย่างไร้ปัญญา มักสลดในใจ
บำเพ็ญคล้ายการทำดี ต่างที่ระวัง เป็นเพียงเส้นใยบางบาง ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มีสายเส้นกลาง ก็เลยวุ่นวาย
**บำเพ็ญธรรมจ้องมอง เจ้าไม่มองจ้องธรรม จึงช้ำคำคน บำเพ็ญต้องทนก็เลยทนเหลือเกิน ยังไม่รู้ใจ คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา เฝ้าทบทวนตน เรื่องในคน คน คน แล้วแต่ใครรู้ตัว ให้ธรรมสอนใจ (*,**)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังต้องการกำลังใจจากอาจารย์อีกหรือ จิตใจที่เข้มแข็งต้องมาจากหัวใจที่แข็งแกร่ง ใช่ไหม
ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์เป็นพุทธเอาแต่พุทธไม่เอาธรรม คนศึกษาธรรมต้องมองให้เป็นกลาง ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วมาศึกษาธรรมเขาก็บอกอีกว่า วันนี้เราต้องมาบำเพ็ญธรรม ใช่ไหม (ใช่) โดยส่วนใหญ่ศิษย์ก็จะบอกว่า เป็นคนดีก็ลำบากแล้ว แล้วมาให้บำเพ็ญธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่) คนในโลกนี้ใครถูกต่อว่าได้บ้าง (ไม่ได้,ได้) คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ว่าไม่ค่อยได้ แล้วสอนก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมต่างจากการทำความดีตรงที่ทำความดีทำไปเป็นสิ่งที่ดี แต่การบำเพ็ญธรรมคือ ทำดีแล้วรู้จักย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า เรารู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ทุกข์มาบีบบังคับแล้วเราค่อยคิดเปลี่ยนแปลง การศึกษาธรรมคือ ย้อนมองส่องตน แก้ไขตน ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร เพราะโลกทั้งใบเกิดขึ้นจากความคิดของเราเป็นหลัก และคนจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ความคิดเราเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมคือเป็นคนดีแล้วรู้จักย้อนมองแก้ไขตน คนดีแค่ไหนไม่เคยคิดแก้ไขตนก็ไม่อาจเรียกว่าดีแท้จริงได้ เป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ก็ยังไม่เรียกว่าคนที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาบำเพ็ญคือ ทำดีแล้วรู้จักละชั่วแล้วย้อนมองส่องตน ยากไหม (ไม่ยาก) ก่อนที่เราจะไปว่าเขาต้องเริ่มที่ตัวเรา ก่อนจะไปเปลี่ยนเขาต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ทำความคิดเห็นให้ตรงกันแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่เรียกให้ศิษย์เป็นคนดี แต่ศึกษาบำเพ็ญธรรมคือ คนดีพร้อมจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ชอบคนชี้หน้าด่า ไม่ชอบคนว่า ฉะนั้นจะรอให้เขาด่าแล้วค่อยสำนึกตัว หรือสำนึกตัวก่อนจะถูกด่า (สำนึกตัวก่อนจะถูกด่า) ฉะนั้นรีบแก้ไขเปลี่ยนแปลง ดีหรือไม่ (ดี) เกิดเป็นคนก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถ้าศิษย์มาฟังธรรมะก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง มาแค่แตะๆเสียเวลาเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่) สมมติว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ที่เราคิด เราก็สามารถดลบันดาลให้คนที่เราคิดเป็นนางฟ้า เป็นเทพ หรือเป็นพญามารปีศาจได้ ใช่ไหม (ใช่) และถ้าศิษย์โดนคนด่า ศิษย์จะทำอย่างไรหลักธรรมสามารถที่จะฉุดช่วยใจเราได้และสามารถฉุดช่วยใจผู้คนได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรายอมแปรเปลี่ยนใจคนให้เป็นใจธรรมได้หรือยัง
อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้มีคนเดินเข้ามาด่าศิษย์ว่าบ้า ด่าว่าโง่ ศิษย์จะทำอย่างไร (เคียดแค้น โกรธ) แล้วศิษย์จำที่อาจารย์บอกตอนแรกได้ไหม โลกนี้เป็นไปตามความคิด แล้วเราจะสร้างสรรค์โลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดิน (สวรรค์บนดิน) แต่พอถึงเวลาทำไมไม่เห็นเหมือนอย่างที่ตอบเลยนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามนะว่าถ้ามีคนมาด่าศิษย์ว่าบ้า ว่าโง่ ศิษย์จะมองเขาสวยหรูไหม (ไม่) ศิษย์อยากทำให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดินอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราอยากทำให้เป็นสวรรค์บนดิน เราควรมองเขาเป็น (เทวดา) ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าถ้ามาศึกษาธรรม ก้าวแล้วต้องก้าวให้ไกล ไปแล้วต้องไปให้ถึง เรามาศึกษาเพื่อเรียนรู้เข้าใจหลักธรรม นำธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมที่ทำให้เราได้เป็นพุทธะหรือทำให้เรากลับคืนความเป็นพุทธะ หรือธรรมที่ทำให้เรากลับคืนความเป็นธรรม ถ้าโดนเขาว่า ศิษย์จะเอาเวรกรรมหรือศิษย์จะเอาบุญกุศล (เอาบุญกุศล) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าโดนเขาว่าแล้ว สามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์นั่นเรียกว่าบุญ ถ้าโดนเขาด่าแล้วสามารถขัดเกลาความเป็นตัวตนให้ทิ้งลงได้นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้าโดนเขาด่าแล้วแค้น โกรธ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม แล้วศิษย์ก็เลยแก้ด้วยความพยายามที่จะอภัย ด้วยการด่าเขาไปก่อนแล้วค่อยอภัยเขาทีหลัง
เราอยู่ในโลก เราอยากมีทุกข์ไหม อยากมีกรรม อยากมีบาปติดตัวไหม (ไม่อยาก) ถ้าเขาด่ามา เราเคียดแค้น เราจองเวร เราผูกใจเจ็บ นั่นคือบาปหรือบุญ (บาป) ทุกข์หรือสุข (ทุกข์) แล้วอยู่ที่ฟ้ากำหนดหรือเรากำหนดชีวิต (เรา) เราจะรอไปทำบุญแค่ที่วัดหรือเราจะทำบุญได้ทุกๆ ที่ (ทุกๆ ที่) ฉะนั้นใครด่ามา (เงียบ) ก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง อย่ารอวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่มีกรรม พรุ่งนี้ก็ไม่มีกรรม แต่ถ้าวันนี้อยากมีกรรม พรุ่งนี้ก็ต้องเกี่ยวกรรมต่อไป จริงไหม (จริง) ถ้าเขาด่ามาให้ขอบคุณ เราได้ชำระล้างใจจะได้บริสุทธิ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แค่คิดว่าเขาด่าเรา ตัวตนก็เกิด เขาว่าเรา ก็คือยึดมั่นถือมั่นตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไร ที่ใดมีความเกิดที่นั่นมีความทุกข์ จริงไหม (จริง)
มนุษย์บอกว่า ร่างกายคือตัวตน ไม่ใช่ร่างกายนี้เรียกสังขาร ตัวตนเกิดเมื่อมีความยึด แล้วเป็นอารมณ์แล้วไหลไปตามโลภโกรธหลง และยึดติดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราคิดได้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่า ยึดตัวตน สร้างเหตุให้ทุกข์มีที่อยู่และกิเลสเกาะกินใจ จริงไหม (จริง) ถ้าโดนด่ามา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าเกิดเข้าสู่สภาวธรรมเป็นกลาง ไม่มีอะไรให้ยึดถือ จริงไหม (จริง) ความเป็นกลางมีอยู่ในตัว แต่เราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่ายสร้างกรรมหรือเราจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)
ตอนนี้อาจารย์ถามว่าจะนั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง) ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่า ยึดถือตัวตนมากๆ เลย เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) อาจารย์มักพูดกับศิษย์เสมอว่า นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ทำให้เราไม่ยึดติดความเป็นตัวตน ไม่ยึดติดความคาดหวังมุ่งหวังให้ทุกข์ทน ฉะนั้นนั่งก็ (ดี) ไม่นั่งก็ (ดี) ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี) ถ้าทำอะไรศิษย์บอกเดี๋ยวก่อนๆ ศิษย์ก็กำลังสร้างตัวเองให้อยู่ในกรงขังแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดีที่สุด กลัวอะไรกับอนาคต กลุ้มกังวลอะไรกับอดีต เพราะทุกวันคือวันที่ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ว่าในโลกนี้ สิ่งใดร้ายและน่ากลัวที่สุด (ความคิด) ในโลกนี้ใครร้ายที่สุด (ตัวเรา) ตัวเราและความคิดเราร้ายที่สุด แต่ความคิดก็มีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวเราตรงไหนที่มันทำให้เราร้าย (ใจ) ใจหรือ อยากจะแก้ที่สาเหตุต้องหาเหตุให้เจอ ใจตรงไหน จิตหรือ (จิตใฝ่ต่ำ มันห้ามยาก อยากเล่นไพ่) จิตมันง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ใช่ไหม (ใช่) แต่ใจมันไหลลงต่ำ ตกลงว่าใจมันใฝ่ดีหรือใจมันใฝ่ร้าย (ดีแล้วเดี๋ยวมันก็ร้าย) มันอยู่ทั้งสองอัน ตัวไหนที่ร้าย (ตัวที่เราห้ามไม่ได้ที่จะไปที่ต่ำ) ตัวไหนที่ร้าย (กิเลส) อาจารย์อยากรู้คำตอบของศิษย์แต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร แตกต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่จะบอกว่ามนุษย์คือตัวที่ร้ายที่สุด อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่า เวลาดี (ดีใจหาย) เวลาร้าย (ร้ายสุดๆ) รักแรงเกลียดก็แรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครดีมา (ดีตอบ) ใครร้ายมา (ร้ายตอบ) ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่สิ่งที่ทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายที่สุดนั่นก็คือ เราไม่เคยคิดควบคุมหรือยับยั้งสิ่งที่เรียกว่าร้ายในตัวเองเลย อารมณ์ดีก็ (ดี) อารมณ์ร้ายก็ (ร้าย) แล้วก็บอกว่า ก็หนูเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกับหนูนักหนา คิดแบบนี้ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์กำลังสร้างทุกข์มาทับซ้อนในสังขารที่หนีไม่พ้นสัจธรรม แล้วยังสร้างทุกข์มาซ้อนเพื่อให้ทุกข์ซ้ำเติมใจตัวเองอีก อย่างนั้นจะทำอย่างไรละ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์เราร้ายเพราะเราไม่เคยยั้งคิด ยั้งอารมณ์ ยั้งกิเลส เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าบอกว่าคนเราก็ต้องมีอารมณ์บ้าง นิดเดียวเอง แค่คิดว่านิดเดียวเองก็ยึดติดในกิเลส อารมณ์ที่ตัวเองมีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี) แต่ถ้าเมื่อไรเราเปิดใจรับกิเลสอารมณ์ก็ยึดเกาะใจเราทันที แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการ กิเลสจะสามารถมายึดเกาะใจเราได้ไหม (ไม่ได้) แต่ทุกครั้งเวลาโกรธ ศิษย์เป็นอย่างไร (เปิดรับ) สนองตามอารมณ์โกรธทันที ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด ถ้าเรารู้จักยั้งคิดเราก็จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ศิษย์รู้ไหมว่ามูลเหตุของความชั่วทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีรากฐานมาจากโลภ โกรธ หลง แล้วเมื่อโลภ โกรธ หลงให้ผลเป็นกรรม ศิษย์ก็หนีวิบากกรรมที่ศิษย์สร้างไม่มีวันพ้น ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีบาปติดตัว ไม่มีกรรมที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ศิษย์จะต้องรู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลง ให้ได้ เพราะถ้าควบคุมไม่ได้ สิ่งนั้นจะชักนำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น มีบาปติดตัวและมีกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย เหมือนที่มนุษย์บอกว่าเกิดมาใช้กรรม เราหยุดโลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ได้)
ถ้าอาจารย์บอกว่ามีมะม่วงหนึ่งผล ทานแล้วมีแต่สุขกับมะม่วงอีกผลทานแล้วมีแต่ทุกข์ ศิษย์จะรับมะม่วงผลไหน
(พระอาจารย์เมตตายื่นมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่สุขสลับไปมากับมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่ทุกข์ ให้นักเรียนในชั้นเลือก)
แล้วถ้าลูกนี้กินแล้วไม่สุข ไม่ทุกข์ รับไหม (รับ) ตกลงเอาสุขหรือเอาทุกข์ (ไม่เอา) มนุษย์มักมองไม่เห็นความจริง มัวแต่ติดรสชาติที่อร่อย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) ศิษย์รู้ไหมแค่ชั่วขณะจิตคิดอยากได้ คิดไม่อยากได้ มันทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นกลางและมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นอะไรก็เฉยๆ จริงหรือไม่ (จริง) เพราะถ้าไม่เอาก็ยังยึดติดคำว่าไม่ชอบ เอาก็ยังยึดติดคำว่าชอบ แล้วไม่ชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปกับคำว่าโกรธ เกลียด แค้น ส่วนชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปสู่ความ โลภ หลง และยึดติด แล้วก็รังเกียจและก็แค้นได้เช่นกัน ถ้าชั่วขณะจิตที่ศิษย์บอกว่าเอาหรือไม่เอา มันก็คือความหลงเหมือนกัน แต่ถ้าชั่วขณะจิตศิษย์บอกว่าเฉยๆ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้) มันยากนะอาจารย์ เห็นแล้วมันก็ยังอยาก ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ในลูกที่สุกมากๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่กินแล้วจะไม่มีทุกข์ (ไม่) เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นในลูกที่ทุกข์มากๆ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่มีสุข (ได้) ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของแต่อยู่ที่ใจเราจัดการกับสิ่งที่เราเห็นอย่างไร คิดให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบาป หรือคิดให้เป็นกุศล ชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์รู้ศิษย์จะคิดได้เลยว่า จะทุกข์หรือสุขมันไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวและระวังไม่ใช่อยู่ที่ตัวผลไม้ แต่อยู่ที่หัวใจเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร เมื่อเจอเรื่องราวที่มากระทบใจ
ในโลกนี้เมื่อคิดจะเอาก็ต้องยอมรับการยึดถือที่หนักหน่วง มีอะไรบ้างในโลกที่ยึด แบกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีเลยนะ แต่ถามว่ายังอยากไหม เราก็ยังอยากอยู่ดี ใช่ไหม (ใช่) รับผลไม้ไหม (รับ ผลไม้สามารถแก้ไขสันดานได้ไหม) อาจารย์บอกว่าไม่รับแก้ได้นะ แต่ถ้ารับบางทีแก้ไม่ได้ เพราะใดๆ ในโลกถ้าเรามั่นหมายยึดถือตลอดเวลา มันก็มีที่ให้ทุกข์อยู่เสมอๆ มีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วไม่ทุกข์ ฉะนั้นไม่รับเลยจะดีกว่า ก็หยุดทุกข์ไปได้หลายอย่าง จริงไหม (จริง)
อยู่ในโลกนี้ เป็นไปได้ไหม เวลาเราเลือกอะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วจะต้องมีดีไม่มีร้าย (เป็นไปไม่ได้) มีได้ไม่มีเสียได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้อะไรมาเราก็ต้องยอมรับว่าการได้มา ทำให้เราต้องรู้จัก (เสียไป) ฉะนั้นวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือทำอย่างไร ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อยากได้รางวัลจากอาจารย์ไหม (อยากได้) ก็ศิษย์บอกเอง ถ้าอยากไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ต้องปล่อยวาง เมื่อสละแล้วยังเอาอีกหรือ ก็ปล่อยวางเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สละ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะเป็นของเรา อย่างไรก็เป็นของเรา ถึงเวลามันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา ขอแค่เราไม่ทุกข์ และไม่ยึดมั่นจนเจ็บปวด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่ถึงจะเรียกว่า สละและละวางอย่างคนที่ทำถึงที่สุดแล้วเข้าใจ
(ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง ถ้าเรามีสติ เราน่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ดี เราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน) สติทำให้เรารู้จักยั้งคิดใช่ไหม (ใช่) ศิษย์รู้ไหมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นศาสนาของผู้รู้ไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้แล้วไปยึด แต่แค่รู้ สติสอนให้เราแค่รู้ แต่ไม่ไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น สติสอนให้เรารู้จักแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมชาติ และศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบตู่เอาธรรมชาติมาก่อเกิดเป็นกิเลส โลภ โกรธ หลง และยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ จริงไหม (จริง) ร่างกายเราก็คือธรรมชาติ เงิน ทรัพย์สิน บ้าน ชื่อเสียง ที่อยู่ ล้วนเป็นของ (ธรรมชาติ) แล้วเราคือนักตู่ตัวยงที่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครครอบครองธรรมชาติได้ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้ก็ต้องรู้จักสละ
เมื่อรู้จักมีก็ต้องรู้จักให้ พระพุทธะก็เลยสอนให้รู้จักการให้ ให้อย่างคนมีศีล ให้อย่างคนฉลาดมีปัญญา อย่าให้อย่างคนที่ตามใจคนจนเคยตัว แต่การที่จะทำให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันเป็นเรื่องยากนะ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์ถามหน่อยนะว่า เวลาเราอยากได้อะไรขึ้นมา มันเคยเติมเต็มในใจเราได้ไหม เคยไหมที่หามากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอและสมอยากสักที ยิ่งหายิ่งเป็นหนี้ ยิ่งหายิ่งไม่พอ
อาจารย์มีวิธีหาที่ทำให้ไม่โลภ หาแล้วทำให้เราไม่โกรธ ไม่หลง กลายเป็นยิ่งเพิ่ม
ศิษย์มีเงินเท่านี้ แต่ความอยากใช้เงินมีมากกว่า ฉะนั้นเงินกับความอยากมันเลยไม่เคยสมดุลกัน แต่ถ้าตอนนี้เงินมีเท่านี้แต่ความอยากเราไม่มี แล้วเราจะโลภไหม ยิ่งความอยากน้อยเท่าไหร่ เงินก็กลายเป็นมีมากขึ้น
เหมือนวันนี้เราไม่หยุดหาเงิน แล้วจะได้มานั่งฟังอาจารย์พูดไหม แล้วศิษย์จะรอหยุดตอนไหน ทำๆ สุดท้ายตายแล้วทันไหม ตอนนั้นเราก็ไปพร้อมกับกรรมที่เราสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักหยุดให้เป็นก่อนที่มันจะทำให้เราทุกข์ หยุดให้เป็นก่อนที่มันจะก่อบาปก่อกรรมและตามติดตัวไปไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)
แล้วศิษย์หวังจะมีแต่ดีไม่มีร้าย มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรจะยึดมันไหม (ไม่ยึด) แล้วเราเคยเห็นความจริงของสิ่งที่เราโลภหลงชัดสักครั้งไหม เรามองว่ามันดี มีเงินแล้วดี มีแฟนแล้วดี มีทรัพย์สินแล้วดี มีเกียรติยศแล้วดี แต่อาจารย์ถามว่า ในดีนั้นมีร้ายไหม (มี) แล้วเรายังอยากจะโลภอีกไหม ที่เราโลภเพราะเรามองเห็นอันนี้ แล้วลืมความจริงข้างหลังใช่ไหม ที่เราหลงเพราะเราเห็นแค่นี้ แต่ไม่เคยมองให้ถึงที่สุดใช่ไหม
ถามจริงๆ ว่า ในโลกที่ศิษย์อยาก ที่ศิษย์หลง ที่ศิษย์ยึด มีอะไรบ้างที่ไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ มีอะไรบ้างที่สวยสดไม่มีวันแห้งเหี่ยว รังเกียจสิ่งนี้แต่สิ่งนี้มันก็ต้องตามสิ่งนั้น รักสุข ทุกข์ก็ตามติด รักดี ร้ายก็ไม่ได้เลวร้าย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นอะไรที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือดวงตาที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่เห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น ไม่ได้เห็นเพราะเราโลภหลง แต่เห็นเพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้เราแค่เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่เห็นอย่างคนที่มีสติปัญญา เพราะธรรมสอนให้เราฉลาดไม่โง่ ธรรมสอนให้เรารักษาความเป็นปรกติ และรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงให้จงได้ด้วยหัวใจที่สงบแล้วบังเกิดปัญญา
ในตัวเรามีสิ่งที่อ่อนสิ่งที่แข็ง สิ่งที่สวยงาม และสิ่งที่เป็นเส้นเลือดหนังกำพร้าขี้ไคลขี้หูขี้ตา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์บอกว่ามันน่ารัก แสดงว่าศิษย์ยังมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมเพื่อให้เราตื่นรู้แล้วเห็นความจริงอย่างไม่ลุ่มหลง แต่เกิดปัญญาเห็นแจ้งชัดในความเป็นธรรม ถ้ายังหลง ยังโลภ หมายความว่ายังมองไม่เห็นความจริง อย่างที่อาจารย์บอกว่าศึกษาธรรมแล้วอะไรๆ ก็ดี เพราะเราไม่สามารถรู้ชะตาชีวิตได้ ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถควบคุมโลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ก็จะชักนำให้ศิษย์ต้องรับกรรมและหนีไม่พ้นบาปที่ติดตัวและนำพาให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ยังอยากโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่อยาก)
คนนี้เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรและเป็นแบบคนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร จริงไหม (จริง) ถ้าเลือกแบบนี้ ไม่เลือกแบบนั้น รับรองศิษย์อายุสั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงในโลก ความโลภ โกรธ หลงทำอะไรเราไม่ได้หรอก อะไรๆ ก็ทำให้เรามีสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนกระทบแล้วก่อเกิดเป็นความรู้สึกชอบ ชัง และไหลหลงไปตามอารมณ์ที่ตนยึดถือ ก็หนีไม่พ้นกรรมและบาป เหมือนที่เวลาเราโดนกระทบแล้วรู้สึกดี ก็เป็นกรรมดี กระทบแล้วรู้สึกชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว แต่ถ้ากระทบแล้วไม่รู้สึก วางเฉย แปลว่าเราอกรรมหรือสิ้นกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ โดนกระทบแล้ว คิดแค่ว่าตีฉันทำไม ก็แปลว่าเรายึดถือตัวตน แปลว่าเรามีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้สึกเฉยๆ เหมือนที่อาจารย์บอกไปตั้งแต่ต้นว่า กระทบแล้วจะจองเวรจองกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจบกรรม เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมไม่จบสิ้น หรือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้วไม่สร้างกรรมอีกต่อไป เพราะต้นเหตุของกรรมมาจากความโลภ หลง ที่ยึดถือในตัวตน แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มี แต่ที่มีตัวตนเพราะว่าเราชอบสิ่งนั้น เราชอบสิ่งนี้ เราเกลียดแบบนั้น เราเกลียดแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่เพียงเรารู้สึกชอบ มันก็ก่อเกิดเป็น โลภ โกรธ หลง ที่หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวรกรรม แต่ถ้าโดนกระทบแล้วจบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันหยุดที่ตรงนั้นเลย ศีลคือความปกติ สมาธิคือใจที่สงบไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือดวงตาเห็นแจ้งในความจริง
อยากเป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ หรือเป็นศีล สมาธิ ปัญญา และเกิดความเป็นพุทธะตื่นรู้ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ ทำนองเพลง : กินอะไรถึงสวย)
ถ้ามีใครชมศิษย์ว่าสวย ศิษย์ดีใจไหม (ดีใจ) นั่นแหละเรียกว่าหลงยึดถือ หนีไม่พ้นทุกข์ เพราะจริงๆ แล้วสวยไหม (ไม่สวย) ถ้ามีใครว่าศิษย์ขี้เหร่ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
อาจารย์ให้เพลง เพื่อนำเพลงนั้นมาย้ำเตือนสติ ไม่ใช่ให้เพลงแล้วหลงในความเพลิดเพลิน ฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้อะไร อย่างนั้นเปล่าประโยชน์นะ
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มีบางคนที่ต้องยืนและมีบางคนที่ต้องได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่) เราโกรธคนที่ยืนหรือเราเกลียดคนที่นั่ง (เฉยๆ) ให้เฉยๆ ไปแบบนี้ตลอดนะ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น โลภโกรธหลงหนีไม่พ้นทุกข์และหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ตามติดให้เราต้องทุกข์ทน ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง เวลาเจอเรื่องใดที่มากระทบจิตกระทบใจขอให้คิดให้ดีด้วยสติ ว่าควรจะวางเฉยหรือโกรธเกลียด หรือได้ชำระล้างบาป หรือได้สร้างกุศล หรืออยากจะยึดถือตัวตนเพื่อเป็นต้นเหตุให้ทุกข์ต่อไป คิดให้ดีนะ การเรียนรู้ศึกษาธรรมจริงไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น แต่การเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อละวางแล้วมองเห็นความจริงด้วยปัญญา ว่าสิ่งที่เราเห็นแท้จริงยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราบอกว่าสุขแท้จริงมันมีทุกข์ และสิ่งที่เราเห็นว่ามันทุกข์แท้จริงมันอาจจะไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดเรา ความคิดสร้างโลภและสร้างตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราเปลี่ยนจากความคิดเป็นสติแล้วมองด้วยปัญญาธรรม เราจะเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราควรยึดถือแล้วก่อให้เกิดบาปกรรมทุกข์ติดตัวเลย จริงไหม (จริง)
แล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งปฏิบัติแล้วละโลภโกรธหลงได้ดีที่สุด ใครตอบอาจารย์ได้
(ปล่อยวาง เดินสายกลาง) ปล่อยวางแปลว่า ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ประมาณกลาง มีก็ได้ ไม่มีก็ได้) ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นจะร้ายหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มองให้เข้าใจความเป็นธรรมชาติ) มองให้เข้าใจความเป็นจริง ไม่ยึดติดดีร้าย ได้เสีย (คิดดี ทำดี พูดดี) แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้คิดดี ทำดี พูดดี แต่ไม่ละชั่ว
(ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม พอประมาณกับตัวเรา ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป) อาจารย์จะแนะนำง่ายๆ นะ การปฏิบัติธรรมก็คือเมื่ออยู่กับผู้คนรู้จักมีคุณธรรม เมื่ออยู่กับตัวตนรู้จักมีศีลธรรมและดำเนินอยู่ในครรลองครองธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือเป็นกำลังใจให้กับนักเรียนท่านหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาฟังธรรม แต่ก็กล้าหาญลุกขึ้นตอบคำถามของพระอาจารย์)
อย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (นั่งฟังธรรม) ศิษย์รู้ไหม การทำความคิดให้กระจ่าง การฟังธรรมด้วยจิตน้อมนำเป็นกุศล เป็นบุญ เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วในการปฏิบัติธรรมถ้าจิตรู้สึกขอบคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลในทุกขณะ ขอบคุณที่เขาพูดธรรมะทำให้เราเข้าใจ ขอให้สิ่งดีนั้นแผ่ไปยังทุกคน นี่คือทุกขณะที่ฟังเราได้บุญ ได้กุศลและยังแผ่บุญ แผ่กุศล ใช่หรือไม่
แล้วคิดแบบนี้บ้างไหม เพิ่งคิดตอนที่อาจารย์พูดใช่ไหม ศิษย์เอ๋ย โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ นะ ทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ คิดด้วยสติ
(มีจิตใจเมตตาและกรุณา) ไม่ใช่เมตตาแค่ตัวเองแต่ลืมเมตตาต่อผู้อื่นนะ รักษาความถูกต้องในตน รักษาความเมตตากรุณาในผู้คน ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ดีนะ
(รู้เท่าทันความคิดของตัวเองและความคิดของผู้อื่น) เวลาใครเขาด่าเรา เขาทำไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เราจะต้องไปรู้ทันเขามาก เพราะรู้ทันมากเราก็เจ็บมาก รู้ทันคนแล้วทำให้อยู่กับคนไม่มีความสุข บางครั้งเราก็ต้องโง่บ้าง ปิดตาบ้าง ยอมบ้าง ก่อนจะไปจัดการใคร เราควรจัดการตัวเอง รักษาใจให้ปกติ ยอมได้ก็ยอม เพราะถ้ายอมแล้วทำให้เราได้ฝึกจิต สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่สร้างกรรม ก็ยอมไปเถอะ
(คิดดี ทำดี) โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่าเกิดเป็นคนจะต้องคิดดี ทำดี แต่นิสัยแย่ๆ ไม่เคยแก้ก็ไม่ดีนะ คิดดี ทำดีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะมีไว้ก็คือ อะไรที่ไม่ดี ลด ละ เลิก แก้ไขนะ ใช่ไหม (ใช่)
(นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ บริสุทธิ์) นั่งสมาธิหลับตาไม่รับรู้อะไร ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะว่า การปฏิบัติธรรมคือการสอนให้เรามีสติ รับรู้หรือรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะถ้ามัวแต่หลับตา มัวแต่หลีกหนี มัวแต่มองไม่เห็น แต่พอลืมตากลับมาเห็นแล้วรับไม่ได้อีกก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่
ศิษย์ต้องตีความหมายในพุทธศาสนาให้ดีว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือสงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งชัดจนไม่ตกเป็นธาตุของกิเลสอารมณ์
ถึงศิษย์จะทำตรงนี้ให้บริสุทธิ์แต่ถ้าศิษย์ลืมตาแล้วศิษย์ยังอดใจไม่ไหว มันก็ยังไม่ได้ แล้วอาจารย์ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติตอนที่เราเห็น เมื่อโดนกระทบแล้วเราสามารถวาง เข้าใจ อย่าไปรอด่าให้สะใจแล้วค่อยไปทำบุญชดเชย ล้างกันไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) สู้ทำบุญตั้งแต่ตอนนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนั้น ไม่ดีกว่าหรือ แค่จิตเราสงบ ปกติ ก็บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเมื่อไรที่โดนกระทบ เกลียดเขา ด่าเขา นั่นคือความสกปรกเป็นมลทิน แต่ถ้าโดนกระทบแล้วอย่างที่อาจารย์จี้กงบอกช่างมันเถอะ ใช่ไหม (ใช่) โลกเป็นดั่งใจศิษย์คิด อยากให้เป็นนรกหรือให้เป็นสวรรค์หรือให้เป็นอะไร มันอยู่ที่เราจัดการ จริงไหม (จริง)
(การทำดี) ทำดีมันยังไม่พ้นทุกข์ ถ้ายังไม่ละชั่ว ยังไม่ละโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ให้ทุกวันละชั่วนั่นคือคนดีนะศิษย์ (คือการมองโลกให้เห็นไปตามความเป็นจริงของชีวิต)
(ใช้หลักศีลห้าในการดำรงชีวิต) ศีลแปลว่าความปกติ นั่นคือถ้าศิษย์ต้องใช้หลักแห่งศีลแปลว่าโดยปกติศิษย์ผิดปกติมาตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) ปกติเราเบียดเบียนคนไหม ปกติเราอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเราเสมอไหม และปกติเราผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่มีกิเลสครอบงำ มนุษย์เรามีศีลอยู่แล้วแต่เพราะกิเลสมากระทบครอบงำเราเลยผิดศีล ผิดธรรมเพราะขาดการยั้งคิดและมีธรรมไว้ครองใจ ใช่ไหม
(ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน) ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เพราะเวลาไม่เหลือเยอะแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
(คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ) โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราต้องมีกรรมเวรมาเกี่ยวกันจึงเจอกัน จึงต้องชดใช้กัน ถ้าศิษย์ยอมก็จบในชาตินี้ แต่ถ้าศิษย์ไม่ยอม ผูกใจเจ็บศิษย์ก็ยังต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นยอมดีหรือไม่ยอมดี (ยอม) ยอมด้วยหัวใจที่เข้าใจ ยอมด้วยหัวใจที่ได้ชะล้างกลับคืนสู่บุญกุศล ไม่กลายเป็นกรรมวิบากกรรม ดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ดับทุกข์ที่ทุกข์”)
ทุกข์เกิดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราไม่ชอบแบบนี้ แสดงว่าศิษย์กำลังสร้างพื้นที่ให้ทุกข์อยู่ สร้างพื้นที่ให้กิเลสยึดเกาะ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่มีแบบนี้ ไม่มีแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับคืนสู่ธรรม แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้ามีทุกข์ก็คงเป็นทุกข์ของความเป็นจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราไม่เกิดทุกข์ที่ทำให้ทุกข์เวียนว่ายอีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างเราหรือเขา ทุกสิ่งล้วนต้องเกื้อหนุนกัน จริงหรือไม่ (จริง) สกปกรกที่สุดจึงเกิดความสะอาดที่สุด ทุกข์จึงรู้จักคำว่าพ้นทุกข์ ร้ายจึงรู้จักดี อะไรในโลกที่เราควรเกลียด อะไรในโลกที่เราควรยึดลุ่มหลง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและในเหตุก็มีความดับอยู่ในทุกสิ่ง แล้วเรากำลังจะพยายามดับอะไร สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ตอนนี้เรากำลังดับอะไร ถ้าเราต้องดับก็แปลว่าเรายังมีตัวตนให้ยึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เรามีชีวิตหมุนเวียนไปตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง ดีพร้อมสมบูรณ์ต่อผู้คน ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ต่อตัวตนไม่ขาดศีลธรรมบกพร่อง ทำให้ถึงที่สุด อะไรจะเกิดก็กล้ารับเพราะเป็นเพียงแค่ความหมุนเวียนแห่งสัจธรรม โลกยังมีความสว่างยังมีความมืด เรื่องราวในชีวิตมีร้ายมีดีเป็นปกติ ฉะนั้นเมื่อถูกชมก็ธรรมดา เมื่อถูกด่าก็ธรรมดา มีได้ก็ธรรมดาถึงเวลาเสียก็ธรรมดา เมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยก็ธรรมดา ความสูญเสียเป็นเรื่องกรรมของสังขาร แต่หาใช่กรรมของจิตเดิมแท้ไม่ ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจเรื่องจิตเดิมแท้จึงชดใช้กรรมเพียงสังขาร จิตไม่ได้ชดใช้กรรมแต่จิตมาเพื่อตื่นรู้ เห็นความเป็นจริงในโลกและกลับคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง
ธรรมะไม่ได้ตื่นรู้เพียงแค่การฟัง แต่ต้องลงมือปฏิบัติ วันนี้อาจารย์มาก็คงต้องกลับแล้ว ขอให้ศิษย์บำเพ็ญตนในหนทางที่ถูกต้อง ทำอะไรมีสติยั้งคิด ทำอะไรรู้จักดำรงอยู่ในศีลธรรมความถูกต้อง อย่ามีแต่นิสัยอารมณ์แล้วตกเป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะศิษย์ ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ถ้าไม่อยากมีบาปกรรมติดตัวก็อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำแล้วก็เป็นทุกข์ใจเลยศิษย์ตั้งใจทำสิ่งที่ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาจับมือกับนักเรียนในชั้น)
จับมือกับอาจารย์ไหม (จับ) กลับมาศึกษาอีกนะ มีโอกาสลองมาศึกษาและตั้งใจ เสียสละตัวเอง ช่วยผู้อื่นบ้างนะ เข้าใจบ้างไหม
เวลาแห่งชีวิตเหลือไม่มากแล้วนะ รู้จักไปเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องดีงามด้วยสติ อย่าให้อดีตที่เป็นบทเรียนแล้วกลับมาทำร้ายตัวเอง รู้จักคิด รู้จักทำ อย่าใช้แต่อารมณ์ เรื่องราวบางเรื่องผ่านไปแล้ว จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ธรรมะรู้เยอะแต่ถ้าเกิดปฏิบัติไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์ ยิ่งให้ยิ่งได้ธรรม
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง อย่าผิดพลาดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่ามัวแต่ทุกข์กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จงมองความเป็นจริง สังขารไม่เที่ยง ใช่ไหม อาจารย์ก็ดลใจช่วยอยู่นะ แต่ใจศิษย์นั้นต้องเข้มแข็งกว่าสังขารอีก อย่างนั้นไม่ต้องกลัวนะ
มีโอกาสกลับมาศึกษาร่วมกันอีก มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกับอาจารย์อีก เข้มแข็งนะ รักษาหัวใจแห่งนักสู้ด้วยจิตใจที่อุทิศเสียสละ รักษาจิตใจแห่งพุทธะด้วยการรู้คิด รู้ทำด้วยสตินะศิษย์
โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจที่ไม่รู้จักควบคุมให้ดี เรื่องเลวร้ายในโลกเพียงมาทดสอบให้เราได้ชดใช้กรรม จะกลัวอะไรถ้าเข้าใจความจริง จะกลัวอะไรกับความทุกข์เพราะความทุกข์บางครั้งก็ทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง กลับคืนสู่ที่เดิมที่เราเคยมา เข้มแข็งและมีปัญญาที่แท้จริง ธรรมสอนให้ศิษย์ฉลาด ธรรมสอนให้ศิษย์รู้จักคิด ไม่ใช่เอาแต่ใจ ความบริสุทธิ์และความดีงามมีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน แต่บางทีอารมณ์ชั่ววูบทำให้เราหลงผิด สังขารไม่น่าทุกข์เท่ากับใจที่ไม่สู้
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ถูกทาง เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เดินหน้าปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจ อย่ากลัวชะตากรรม เราเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ถ้าหัวใจอ่อนแออะไรก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าหัวใจรู้จักคิดไม่ยึดมั่นถือมั่น เปิดใจได้กว้าง อะไรๆ ก็คือธรรมที่ทำให้เราเห็นธรรม หัวใจแรกเริ่มหายไปไหน หลงทางหรือไม่ อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด รักษาความดีด้วยหัวใจที่รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าปล่อยให้เรื่องราวภายนอกทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่ออก แต่จงใช้สติปัญญาแห่งธรรม มองอย่างคนมีธรรม เข้าใจธรรม และเห็นธรรม
อาจารย์คงต้องจากศิษย์แล้วนะ เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในโลกด้วยหัวใจแห่งพุทธะด้วยหัวใจที่มีแต่ธรรมไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือ มีแต่ธรรมที่คงไว้ ธรรมที่เป็นกลาง อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่) อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงแล้วทำให้ตัวเองเวียนวนในวัฏสงสารเลยนะศิษย์
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดับทุกข์ที่ทุกข์”
อย่าท้อใจกับความทุกข์ในชีวิต อย่าสิ้นคิดอย่าท้อแท้อย่าหมดหวัง
ล้มเพื่อลุกทุกข์ยิ่งปลุกแรงพลัง ขอเพียงยังศรัทธาในคุณค่าตน
ดึงสติเรียกขวัญกำลังใจ ไม่มีใครสุขสมบูรณ์ได้ทุกหน
โลกธรรมธรรมดาโลกเตือนใจตน สัจธรรมดลจิตตื่นรู้ในทาง
เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวียนหมุนอยู่ในความว่าง
สงบบรรจบสว่าง กระจ่างธรรมเป็นหนึ่งเดียว
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมก่อนไปเมตตานักเรียน)
อาจารย์ฝากบอกไปอย่างหนึ่ง ช่วงนี้มีหลายคนที่เจ็บป่วย ไม่ว่าจะทางสายนี้หรือทางสายไหนก็ตาม อาจารย์มักพูดอยู่อย่างหนึ่งที่พูดซ้ำๆ บ่อยๆ อาจารย์ขอให้เอาสิ่งที่อาจารย์พูดซ้ำบ่อยๆ ไปเป็นกำลังใจเรียกให้เขามีสติ
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตญาณคือความเข้าใจแท้จริงแห่งสภาวธรรม
กรรมของสังขาร มีเพื่อสอนให้เรารู้จักปลดปลงแต่หน้าที่ของจิตญาณเดิมแท้คือตื่นรู้ในความเป็นจริงและกลับคืนสู่ธรรม
เรามีกรรมเพียงสังขาร อย่าให้มันลากจิตทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตคือตื่นรู้ กลับคืนสู่สภาวธรรมและปลดปลงในการยึดถือตัวตน
ฝากไปให้กำลังใจพร้อมกับคำความหมายที่เรียกสติเขากลับมา ว่าอย่าไปยึดในสังขาร เพราะสังขารมีทุกข์เป็นธรรมดาแต่จิตเดิมแท้เราไม่เคยมีตัวตนให้ทุกข์นะ แต่การยึดมั่นและหลงผิดก่อเกิดให้เรายึดถือและหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรม ฉะนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ฝากไปให้กำลังใจ อาจารย์ไม่ให้ผลไม้นะ อาจารย์ขอเป็นคำพูดเตือนสติเรียกกำลังใจกลับคืนมา ใจเราเข้มแข็งได้ก็อ่อนแอได้ แต่จริงๆ แล้วใจเดิมแท้เข้มแข็งและอ่อนแอมันก็คือใจแห่งธรรม ฉะนั้นตื่นรู้นะ อย่ารอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปลดปลงปล่อยวาง แต่เราต้องรู้ก่อน รู้และเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมชาติของสังขาร ไม่ใช่ธรรมชาติของจิตเดิมแท้ของเรา จริงไหม (จริง) ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสภาวธรรมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือยอมรับความจริง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมรอบ 2 หลังจากเสด็จกลับไปแล้ว )
( พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายเพลงธรรมที่เมตตาประทานให้ )
" ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มีสายกลาง ก็เลยวุ่นวาย"
ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างการทำดี กับการบำเพ็ญ ฉะนั้นเราบำเพ็ญหรือเราแค่ทำดี ตอบได้หรือยัง ถ้าแค่ทำดี เราก็ไม่ได้ขัดเกลาตัวเอง การบำเพ็ญคือการทำดีด้วยแล้วต้องขัดเกลาตัวเองด้วย อาจารย์ก็เลยถามว่า บำเพ็ญหรือเพียงแค่ทำดี บอกตัวเองได้หรือยัง ว่าสิ่งที่เราทำมันมีทางสายกลางไหม ถ้าไม่มีทางสายกลาง ไม่ได้แก้ไขตัวเอง ทำแต่สิ่งที่ดี มันไม่พ้นวุ่นวาย
เนื้อเพลง "บำเพ็ญต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน" ให้เว้นวรรค "บำเพ็ญ...ต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"
ถ้าศิษย์ใช้คำว่า ต้องทน แปลว่า ศิษย์ก็ยังไม่รู้ใจตัวเอง เพราะว่าเราฝึกฝนบำเพ็ญคือ เราขัดเกลาตัวตนจนไม่เหลือตัวตนให้นึกถึง มันเป็นการที่เราไม่ต้องใช้คำว่า ต้องทน ถ้าศิษย์บอกว่า “บำเพ็ญต้องทน” เขาจะเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรมต้องทน มันไม่ได้ ให้เว้นจังหวะเวลาร้อง
" คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา "
เข้าใจสิ่งที่อาจารย์บอกไหม เวลามีเรื่องอะไร บางทีเราชอบเสนอ เราชอบออกความคิดเห็น จนทำให้เราไม่มีโอกาสเปิดกว้างในการที่จะรับรู้เรื่องราว เหมือนเวลาเขามีเรื่องพูดอะไรขึ้นมา มีไหมที่เราจะอดใจรับฟังคนอื่นได้ ส่วนใหญ่เราจะพ้อว่า ทำไมเธอไม่ทำอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมไม่ทำแบบนั้น ฉะนั้นถ้าคนเราตั้งใจจริงๆ เราจะไม่ชิงพูดจา เราจะรู้จักนิ่งก่อน แล้วฟังเรื่องราวให้ชัดๆ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาตั้งใจ เวลามีอะไรขึ้นมา ฉันคิดอย่างนี้ ทำไมเธอไม่เป็นแบบนี้ นี่แหละความหมาย
แต่บางครั้งที่อาจารย์ไม่อยากอธิบายกลอนหรือเพลง เพราะว่า กลัวว่า ถ้าอาจารย์อธิบาย แล้วมันจะกลายเป็นการตีกรอบ แล้วศิษย์ก็จะมองได้แค่กรอบ ที่ศิษย์คิดว่าอาจารย์ตีให้ ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ลองไปคิด พิจารณาจนให้เข้าใจ มองตามเรื่องราวที่เวลาเราเป็นแบบนี้ เวลาเราตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ เราควรจะรับฟังเรื่องราวมากกว่าที่จะเอาแต่พูด เสนอความคิดเห็น ใช่ไหม
อย่างที่อาจารย์บอกนะ ฝากไปด้วย แล้วก็ฝากไปให้กับทุกๆ คนที่ป่วย แม้แต่ตัวเราเองนะ เวลาเจ็บป่วย เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่ได้ให้เรายึดเพื่อทุกข์ แต่เพื่อให้เราปลดปลงเข้าถึงความจริง ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่เราเกิดแก่เจ็บตายเหมือนที่อาจารย์บอก ก้าวมันต้องก้าวให้ถึง ไปแล้วไปให้ถึงที่สุด เราจะแค่ทุกข์ หรือว่าเราจะก้าวจนมองเห็นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม มองเห็นสภาวธรรมที่มันเกิดดับเกิดดับ แล้วมีแค่เราที่เป็นแค่ตัวรู้ แต่ไม่ใช่เราที่เป็นตัวตนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงย้ำแล้วย้ำอีกในการศึกษาธรรมว่า เราจะต้องลงแรงรู้ ยั้งคิด เหมือนเวลามีอะไรเกิดขึ้น เราควรหรือที่จะเกิดมาเพื่อเจ็บแล้วตายแค่นั้น หรือเราควรที่จะเกิดมาเพื่อเรียนรู้ความเจ็บตาย จนเข้าถึงสัจธรรม ศิษย์จะเอาอันไหน แล้วจริงๆ แล้ว ชีวิตเราเพื่อให้เข้าไปสู่อันไหน เพื่อแค่ทุกข์แล้วเวียนในทุกข์ หรือว่าเพื่อเราเห็นแจ้งในความจริง ใช่ไหม แล้วอาจารย์ควรให้ศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงความทุกข์ที่แท้ที่เรียกว่า ธรรม ที่มันไม่เคยมีอะไรจริงแท้
(ตอนนี้มันยังทำไม่ได้) นี่แหละที่คิดว่า "ตอนนี้ " ก็คือยึดติด ถ้ายังบอกว่าไม่ได้ นั่นก็คือยึดติด ยึดติดความเป็นตนทั้งนั้นเลย มันยากอาจารย์ พอพูดว่า "มันยาก " แปลว่า เรามีตัวตนแล้ว พอบอกว่า "ไม่ได้ อาจารย์ ไม่ได้" แปลว่า เรายึดติดตัวตนแล้ว แต่ธรรมไม่มีคำว่า "ได้ " หรือ "ไม่ได้ " แต่มันแค่รู้ แค่เห็น แล้วก็แค่นั้น คือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวเราเข้าไป “ได้” ไม่มีตัวเราเข้าไป “ใช่ หรือ ไม่ใช่” อาจารย์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เข้าใจไหม
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก วันที่ ๒๙ เมษายน – ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐
แก้ไขกลอนพระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๕
เดิม ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ แก้เป็น รักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๙
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้เป็น แรงทิฐิยามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว ห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๖ บรรทัดที่ ๒
เดิม ล้มไปแต่โทษธรรมะ แก้เป็น ล้มไปโทษแต่ธรรมะ
หน้า ๑๖ บรรทัดที่ ๕
เดิม อะไรเป็นอะไรดูดายกับความเฉย
แก้เป็น อะไรเป็นอะไรดูดายกับวางเฉย
แก้ไขกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท บรรทัดที่ ๔
เดิม อย่าเป็นคนหากมีจิตทุคติ แก้เป็น ยามเป็นคนอย่ามีจิตทุคติ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ แก้ไข “ละ” เป็น “รัก”
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว แก้ไข “อย่า” เป็น “ยาม”
เดิม พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล แก้ไข “พ่วง” เป็น “ห้วง”
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๑-๒ เมษายน ๒๕๖๐
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๖
เดิม วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้เป็น วัฏฏะไม่มีเลยที่จะยอมจบ
แก้ไขกลอนพระอาจารย์จี้กง หน้า ๑๓ กลอนวรรคสุดท้าย
เดิม ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้เป็น ฝืนสู้จะละหวั่นหรือดีให้ฝึกบำเพ็ญ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้ไข “ฝึก” แก้เป็น “ฝืน” และ “รีบ” แก้เป็น “ฝึก”
เดิม วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้ไข “ไม่” แก้เป็น “จะ”
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ยามชีวิตสุขสบายอย่าลืมคิด ยามชีวิตพลาดล้มผิดรับไม่ไหว
ลืมความจริงอันไม่เที่ยงผันเปลี่ยนไป ลืมยั้งใจยามมีทุกข์ค่อยหาธรรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ดวงตะวันลาแล้วไม่เคยลาลับ โปรดอย่าท้อใจกับอย่าถอดใจ
เลิกฟูมฟายตามอย่างความสิ้นหวังไป อยู่อย่างไรชีวิตในทุกข์คิดดีดี
เป็นทองแท้ท้ออย่าไร้จิตสร้างสรรค์ พรสวรรค์อย่าลับหายในคำติ
พลิกสถานการณ์หมดหวังล้มจมความดี สุขในทุกข์ลุกเพื่อที่ชนะตน
เพียงเราดียิ่งขึ้นยืนบนฝั่ง ขุมของพลังแรงปลุกจากฝึกฝน
จะไม่เพียงยังศรัทธาไว้แค่ตน แต่ยังยลสู่ในใจชาวประชา
ออกแรงดึงตนคุณค่าจากทางตัน ธรรมเรียกขวัญเรียกสติใครสุขหนา
ที่จริงกำลังใจไม่มีสมบูรณ์นา คนสุขหนาทุกข์ได้ใจไม่ตาย
มีแล้วเสื่อมโลกธรรมย้ำตนเป็นเพื่อน เหตุการณ์เตือนโลกธรรมดาสัจธรรมดลให้
เมื่อรับรู้ตื่นจิตจากภายใน อย่ายึดมั่นในสิ่งใดให้ลำเค็ญ
หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทาง
อยากหลุดพ้นวนเวียนว่ายต้องบำเพ็ญ นิ่งภายในอยู่หมุนเกณฑ์ธรรมจักรวาล
ธรรมพิสุทธิ์สงบว่างความเป็นหนึ่งเดียว ชีวิตเทียวบรรจบสว่างกระจ่างธรรมเดี๋ยวนั้น
อย่าได้ให้โชคชะตามาปิดกั้น ลมพัดผ่านทุกข์มาดับทุกข์ไป
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ พระโอวาทวรรคที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
เมื่อยามมีสุขเราก็ไม่เคยคิดว่ายามมีทุกข์แล้วมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน จนกระทั่งพอมีทุกข์แล้ว ตอนนั้นเราถึงได้คิดว่า ธรรมะอยู่ที่ใด ช่วยเราที ใช่ไหม ยามเรามีสุข เราเคยคิดถึงธรรมะไหม น้อยคนที่จะคิดถึงธรรมะ คิดถึงธรรมะตอนมีสุขวันเกิด ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ แล้วทุกวันคือวันที่เราดับสิ้น เราฉลองวันเกิดหรือเราฉลองวันตาย (วันตาย) ฉะนั้นยามมีทุกข์เราค่อยคิดถึงธรรม หรือเราควรจะพิจารณาถึงธรรมอยู่เนืองๆ เพื่อทำให้เราเข้าใจในทุกข์ เพื่อจะได้รับมือกับความทุกข์ได้ (พิจารณาธรรมเนืองๆ) ฉะนั้นผู้ใดที่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ความทุกข์นั้นจะมากัดกร่อนกินใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ ในเรื่องของการจัดการใจเมื่อยามมีทุกข์หรือเมื่อยามที่เราทำอะไร เราควรใช้ความคิดหรือใช้สติ (สติ) แต่ส่วนใหญ่ใช้สติหรือใช้ความคิด (ความคิด) มีคำกล่าวว่า จงมีสติรู้ทันยั้งคิด ถ้าเรื่องของใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งสับสนวุ่นวาย การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งหลงตัวเอง หาทางออกไม่เจอ อย่างนั้นเเปลว่าไม่ต้องคิด ใช่หรือไม่ อย่างนั้นเราจะบอกความเเตกต่างให้ระหว่างการทำอะไรโดยใช้สติกับการทำอะไรโดยใช้แค่ความคิด ลองพิจารณาตามดูว่าสิ่งที่เราพูดเป็นจริงอย่างที่ใจท่านเป็นไหม เรื่องของใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้สติอย่าใช้ความคิด จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เเละจงอย่าคิดว่าตัวเองคิดเเล้วเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น เพราะเวลาเราใช้ความคิด ความคิดของเรามักจะง่ายในการไหลไปตามใจตัวเอง ตามความรู้ความเข้าใจของตัวเอง เรามักเอาความคิดเราไปเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น ซึ่งบางทีทำให้เรามองผิดพลาด ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยหัวใจอย่าเอาเเต่ใช้ความคิด เพราะความคิดจะง่ายที่ทำให้เราไหลเเละหลงเข้าข้างตัวเองเเละง่ายที่จะฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเเค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวาย เราจึงบอกว่าทำอะไรจงใช้สติ
สติต่างจากความคิดตรงไหน เรามักจะได้ยินว่า สติสอนให้เรารู้ทัน ยั้งคิด แปลว่าสติสอนให้เรารู้แต่ไม่หลงไปกับความคิด สติสอนให้เราเห็นความคิดในใจตน และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรใช้สติยั้งคิดหรือเอาแต่คิดแล้วไร้สติ (ใช้สติยั้งคิด) เรามีสติหรือเรามีแต่ความคิด หรือเอาแต่คิด ลืมสติ ถ้าเรามีสติรู้ทันยั้งคิด ก็ต้องหยุดความคิดได้ แต่ทำไมยิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ยิ่งคิดไม่จบ ทำอะไรด้วยสติจะทำให้เรารู้ทันยั้งคิดและยับยั้งอารมณ์ได้ แต่ถ้าทำอะไรเอาแต่วนกับความคิด เราจะไม่สามารถรู้ตัวเองและกำลังตกเป็นทาสอารมณ์ และกำลังคิดหลงตัวเองและเอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เอาไปวัดผู้คน ใช่หรือไม่ เหมือนนั่งตรงนี้เอาสิ่งที่จำได้หมายรู้วัดคนนั้นพูดดี คนนี้พูดไม่ดี ไม่ได้ใช้สติ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเรียนรู้ธรรม ธรรมสอนให้วางอัตตาตัวตน และธรรมที่แท้จริงไม่มีตัวตนให้ยึดถือ จะบอกว่าใจเราคือแก้วก็คงไม่ใช่ แต่ใจเราคือธรรม และธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าเมื่อไรยังแบ่งแยกยึดถือ นั่นแปลว่าเรายังหลงยึดติดตัวตนที่หนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)
โลกใบนี้จริงๆ แล้วมันทุกข์และวุ่นวาย ใช่ไหม (ใช่) ใช้สติยั้งคิด อย่าเอาความคิดไปวัดโลกวัดผู้คน โลกนี้วุ่นวาย โลกนี้มีแต่ทุกข์จริงไหม โลกนี้มีแต่สิ่งที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียจริงไหม โลกนี้มีทุกข์สุขจริงไหม โลกนี้วุ่นวายจริงไหม (จริง, ไม่จริง) เราจะบอกให้ ลองถอนความเป็นตัวเองออกจากโลก แล้วหันกลับไปมองโลกอย่างไม่มีตัวตน โลกนี้วุ่นวายจริงๆ หรือใจเรามันวุ่น (ใจเรามันวุ่น) ถ้าไม่มีเรา โลกยังหมุนไปไหม (หมุน) โลกยังวุ่นวายอย่างนี้ไหม (ไม่) เพราะมีตัวเราจึงทำให้มันวุ่นหรือเปล่า แล้วโลกนี้มีทุกข์จริงไหม มีดีร้ายจริงไหม มีได้เสียจริงไหม ลองถอนตัวเราออกแล้วหันกลับไปมอง แล้วจะรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีดีไม่มีร้าย ลองถามตัวเองสิใครดีที่สุดในโลก ใครร้ายที่สุดในโลก อะไรคือสุขที่แท้จริง อะไรคือทุกข์ที่เที่ยงแท้ มันไม่มี แต่เรามักจะยึดติดกับปรากฏการณ์ ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับความคาดหวัง ยึดติดกับรูปนามที่เรายึดถือ ว่ามีอย่างนี้เรียกว่า “มี” อย่างนี้เรียกว่า “ไร้” แต่ลองไปมองคนที่ต่ำกว่า สิ่งที่เราบอกว่าไร้ เขาบอกว่าเรามีสิ่งที่เรามี ไปเจอคนสูงกว่าเขาบอกเรา (ไม่มี) ตกลงเรามีหรือไม่มี เราหาแทบตายทำไมยิ่งหาเหมือนไม่มี (ไม่พอ) เราพยายามหาความสุขเเต่ทำไมยิ่งหากลับไม่สุข แปลว่าลึกๆ ในใจของเรามีอะไรที่กำลังบอกให้เราค้นให้เจอหาให้พบเเล้วเราลืมไป ความจริงเเห่งสัจธรรมที่ถึงที่สุด คือ มีก็เหมือน (ไม่มี) ได้ก็เหมือน (ไม่ได้) เหมือนสุขเเต่จริงๆ ก็มีทุกข์ เหมือนวุ่นวายเเต่จริงๆ ไม่ได้วุ่นวาย ถ้าใจเราเข้มเเข็งใจเรามั่นคง ใจเราเห็นแจ่มชัด อุปสรรคความทุกข์ การสูญเสียไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงใจของเราได้ เเต่มนุษย์มักใช้ใจคนไม่ใช้ใจธรรม เห็นเเต่ความเป็นใจคนเเต่ไม่เคยเห็นเเก่นแท้ของใจธรรมที่อยู่ในตัวเราทุกคน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในแปดเซียนทั้งหลาย เเต่ก็เป็นเพียงเเค่รูปลักษณ์ รูปลักษณ์หนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เเต่ใจที่เข้าถึงธรรมไม่หมุนเปลี่ยนเวียนผัน ถึงเเล้วก็ถึงเลย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เมื่อยังมีตัวตนให้ยึดถือก็แปลว่า ยังมีทุกข์ให้เจ็บปวดให้ยึดมั่น แต่เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถดับทุกข์และสิ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงก็คือ การที่ไม่เข้าใจว่าจริงแท้ตัวตนของเราคืออะไรกันแน่
มนุษย์ชอบกล่าวว่าตายไปแล้วก็กลับคืนฟ้า แต่เราอยากบอกท่านว่า ตายไปแล้วก็กลับคืนสู่ธรรม ถ้ายังหวังกลับคืนฟ้า คืนสวรรค์ คืนนิพพาน ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่ยึดถือ มีดีร้าย แต่ถ้ากลับคืนสู่ธรรม ธรรมคือสภาวะกลาง ที่ไม่มีดีไม่มีร้าย และไร้ตัวตนที่จะไปเวียนว่ายวนในวัฏสงสาร ฉะนั้นจะคืนสู่นิพพาน หรือคืนสู่ธรรม (ธรรม) นิพพานแปลว่าสงบเย็น เมื่อไรที่สงบเย็นก็มีนิพพานชั่วขณะ แต่ในความเป็นคนไม่เคยมีนิพพานตลอดเวลา เมื่อมีตัวตน ความอยากก็วิ่งวุ่นไม่จบสิ้น อยากเพื่ออะไร อยากให้ใคร เมื่อธรรมมีแต่ความว่างเปล่า และไร้ตัวตนที่ยึดถือ จริงไหม เมื่อใจเรายึดติดชอบจึงเกิดคำว่าสุข เมื่อใจเรายึดติดชังจึงเกิดคำว่าทุกข์ เเต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นกลางในทุกสรรพสิ่ง ชอบชังก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์สุขได้
จริงๆ แล้วมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่ ลองยืนเฉยๆ ถามว่ามีคนที่สูงกว่า มีคนที่เตี้ยกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่ร้ายกว่า มีคนที่สุขกว่า มีคนที่ทุกข์กว่าท่านไหม (มี) ถ้าตอนนั้นหัวใจท่านไม่ยึดติดแบ่งแยกก็ว่างทันที ใช่ไหม เเล้วใครดีใครร้าย เเล้วตัวเราแย่ไหม เมื่อตัวเราเเย่ เรามองดีกว่าหรือมองต่ำกว่า เรามองเเย่กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาเเต่จมกับความคิดที่มองกับเหตุการณ์ที่แย่กว่า แต่จริงๆ เเล้วความเป็นกลางในตัวท่านมีอยู่ตลอดเวลา เเต่อยู่ที่เราเปิดกว้างอย่างคนที่มองเห็นชัด หรือเอาเเต่คิดตามใจตน เราจะเปิดกว้างอย่างคนที่มองตามจริงหรือมองตามใจ เเล้วทุกข์คือสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่) เเต่สิ่งที่เราควรกลัวคือใคร (ตัวเราเอง) ใจเราที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง ใจที่เราไม่เปิดรับสิ่งที่เรียกว่าโลกเเห่งความเป็นจริง เอาเเต่ยึดติดในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังมุ่งหวังยึดถือ จริงหรือไม่
เมื่อกราบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์มักจะขอให้มีสุข ขอให้ร่มเย็น ขอให้โชคดี ใช่ไหม (ใช่) เจ็ดส่วนมนุษย์กำหนด สามส่วนฟ้ากำหนดให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนสร้างมา ฉะนั้นโชคดีโชคร้ายขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือขอใจตัวเอง (ขอใจตัวเอง) โชคดีแต่คิดร้ายจะได้ผลดีหรือร้าย ได้ดีแต่ปากร้าย ได้สิ่งที่ดีแต่ชอบมองต่ำ ร้ายหรือดีกันเล่า ฉะนั้นควรขอฟ้าหรือขอใจตน (ขอใจตน) ถ้าอยากกราบขอพระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จงขอให้จิตใจเข้มแข็งกล้ารับความจริง เพราะมนุษย์ทุกคนมีความกลัวลึกๆ อยู่ในใจ มีใครกลัวหมดตัวบ้าง กลัวหรือ เราว่านะไม่ต้องกลัวหมดตัว แต่กลัวใจขี้เกียจแล้วหมดใจมากกว่านะ จริงไหม (จริง) ของหมดเรายังหาใหม่ได้ ของสูญเสียขอเพียงอย่าไร้หัวใจที่สู้ ไร้หัวใจที่กล้ายอมรับความจริง ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ยังกลัวอดอีกไหม ใครกลัวโดดเดี่ยวบ้าง กลัวไหม (ไม่กลัว) ถ้าเราจะบอกว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ลึกๆ กลัวสูญเสีย กลัวโดดเดี่ยว และก็กลัวชีวิตไม่มั่นคง พยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามี มั่นคงและไม่เหงาโดดเดี่ยว ใช่ไหม ทุกครั้งที่หาได้มา ทำไมลึกๆ ในใจบอกว่าเหมือนไม่เคยมี ทุกครั้งที่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เเต่ทำไมลึกๆ เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยว เราพยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตมั่นคง เเต่ทำไมลึกๆ เรากลับรู้ในใจว่าไม่มีอะไรมั่นคง เราจะไขปริศนานี้ให้ท่านรู้ เพราะใจของทุกคนล้วนต้องกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่สอนว่ามาเดี่ยวก็ต้องกลับเดี่ยว มามือเปล่าก็ต้องกลับมือเปล่า เเละสิ่งที่คิดว่ามั่นคงที่สุดในชีวิตก็คือสิ่งที่ไม่มั่นคง ยึดอะไรไม่ได้ ธรรมสอนใจเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราไม่เคยฟังใจที่พยายามพร่ำบอกว่าถึงที่สุดเธอก็ไม่มี ถึงที่สุดเธอก็ต้องไปคนเดียว ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอมั่นคงนอกจากความว่างเปล่าเเละหัวใจที่กลับคืนสู่กระเเสเเห่งธรรม
ฉะนั้นจะยึดมั่นตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้นทำไม อย่ากลัวความไม่มี เพราะความไม่มีคือสภาวะเดิมเเท้เเห่งสัจธรรม อย่ากลัวความโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่จริงเเท้เเห่งธรรมที่สอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้ตายคนเดียวทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน เราไม่ได้กลับไปมือเปล่าคนเดียว ทุกคนก็กลับไปมือเปล่าเหมือนกัน แล้วเราจะยึดเเล้วจะพยายามปล่อย หรือเราจะพยายามเข้าใจก่อนที่จะไปยึดถือเเล้วต้องทุกข์ทรมานเพื่อพยายามปล่อย อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลง ความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่เป็นของเราเเม้กระทั่งความทุกข์ อย่ากลัวความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความพลัดพรากเเละความดับสิ้น เพราะความสูญเสียพลัดพรากดับสิ้นกลับทำให้เราได้ปลดปลงปล่อยวางกลับคืนสู่ธรรมที่เเท้จริง เเต่สิ่งที่ท่านควรกลัวคือความหลงยึดมั่นในตัวตนที่ยังยึดติดดีและร้ายและหนีไม่พ้นกระแสวิบากกรรมแห่งวัฏฏะเวียนว่ายทำดีก็ต้องไปดี ทำชั่วก็ต้องไปชดใช้ชั่ว
เราศึกษาธรรมเพื่อหลงหรือเพื่อละ (หลง, ละ) ไม่ต้องทุกข์แล้วนะ ควรยิ้มสู้ชีวิตที่มันเป็นไป และไม่ควรตัดพ้อโทษฟ้าโทษดิน แต่ควรถามใจตัวเองว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือกำลังหลงเดินผิดทาง เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวว่าอยู่แค่ยืมใช้ ร่างกายนี้เหมือนเรือนที่กำลังถูกไหม้ไฟ แล้วเราจะหนีออกจากเรือนที่กำลังจะถูกไหม้ไฟ และกำลังมีทุกข์อยู่ทุกขณะด้วยการทำอย่างไร ก็แค่หันกลับมาเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากบุญกรรม และเราอยากจะหยุดบุญกรรมเพื่อไปต่อหรือจบเวรจบกรรม
ฉะนั้นเรื่องที่อยู่ในใจแล้วยังไม่ลืมควรจะจบได้แล้วนะ เพราะว่าจิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ เป็นเหมือนผืนแปลง อย่าเผลอปลูกอะไรลงไปในจิต เพราะถ้ามันเติบโตขึ้นมาแล้ว เราจะรับไม่ไหวกับกรรมที่เราก่อ ฉะนั้นมนุษย์เมื่อทุกข์มากๆ จึงพยายามทำดี เผื่อว่าความดีนั้นจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมทำดีแล้วไม่ทำให้พ้นทุกข์เพราะอะไรหรือ (ตัวตัณหา) ตัวตัณหาทำให้ทุกข์ ถ้าทำบุญเเล้วยังมีตัณหาก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าทำดีเเล้วยังโลภหลงในบุญก็เรียกว่า “ตัณหา” ไม่ได้เรียกว่า “บุญ”
(ใจเราปรุงเเต่งในเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ต้องรู้จักปล่อยวาง ใช้สติหยุดความคิด) จริงๆ ถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะ เเต่เพราะมุนษย์มักไม่ค่อยยอม ใจที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวที่เราไม่ชอบจบไปแล้วหรือไม่ (จบแล้ว) เเต่ทำไมยังฝังอยู่ในใจ ทำไมยังฝังอยู่ในความคิด จิตยึดติดหรือจิตไม่ยอมรับที่จะชดใช้เขา ถ้าท่านยังจำไม่ลืมเเปลว่าท่านยังอยากผูกเวรเกี่ยวกรรม ถ้าเจอแล้วยังอดไม่ได้เเปลว่ายังอยากจองเวรจองกรรม คิดให้ดีๆ ว่าควรจบได้หรือยัง ควรจบเมื่อยังมีกายให้รู้จักมีสติปัญญา พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจะเอาทุกข์มาก่อให้เกิดปัญญาหรือจะเอาทุกข์มาเป็นกงเกวียนกำเกวียน (เกิดปัญญา) อย่างนั้นควรจะจำไหม (ไม่ควรจำ) เหมือนที่เราบอกแต่ต้น ที่เราเกลียดเขาว่าเขาไม่ชอบเขา เพราะเราเอาบรรทัดฐานเราไปวัดเขา เเต่เราไม่เคยมองเขาที่เป็นเขาจริงไหม (จริง) ถ้าเรามองเขาที่เป็นเขาจะไม่มีคำว่าดีเเย่ เเต่มีคำว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจเท่านั้น
ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี ถ้าการทำดีนั้นยังหลงยึดมั่นถือมั่นนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า “ธรรม” เพราะธรรมสอนให้เราละความหลง เเต่ถ้าทำดีเเล้วยังหลงยึดถือนั่นก็ไม่อาจเรียกว่าธรรม ธรรมสอนให้เรายอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจปกติ ไร้กิเลสอารมณ์ที่ยึดถือเกี่ยวพัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่ทำ จึงเรียกว่าหัวใจธรรม
วันนี้เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก) ไกลตัวไหม (ไม่ไกล) เป็นสิ่งใกล้ตัวที่ท่านมองไม่เคยเห็น ทั้งที่มันคือความจริง เหมือนที่เราบอก ถ้าเราเข้าถึงใจแห่งธรรม ใจแห่งธรรมไม่ใช่ใจที่เป็นแก้ว แต่ใจแห่งธรรมคือใจที่เป็นธรรม ถ้ายังเป็นแก้วแปลว่าเรายังต้องมียึดถือ มีรองรับ มีรังเกียจ มีเอา มีไม่เอา แต่ใจธรรมคือ เมื่ออะไรๆ ก็เป็นธรรมแล้วเราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด) ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่เสียอย่างเดียว เรายังไปไม่ถึงธรรม ค่อยๆ ฝึกนะมนุษย์ทุกคนล้วนมีสภาวะธรรมเดียวกัน ถึงจะรวยจะมีจะจนเเต่เราหนีไม่พ้นธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ถ้าเข้มเเข็งพอ เข้าใจธรรมจริง จะรู้ว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจธรรม จงเอาธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน ถ้าปฏิบัติได้ดีถูกต้องเรียกว่าผู้มีคุณธรรม ถ้าปฏิบัติเเล้วสามารถนำพาให้คนพ้นทุกข์เรียกว่าเข้าถึงธรรม
อย่ากลัวความไม่มี ถ้าหัวใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวความโดดเดี่ยวถ้ารู้จักประพฤติปฏิบัติดีเเละถูกต้อง อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลงเพราะความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ให้เข้าใจความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เเละอย่ากลัวความดับสิ้น เพราะความดับสิ้นเเละความเจ็บปวดสอนให้เราปลดปลงในสิ่งที่เรากำลังยึดมั่นจนเป็นทุกข์ เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือความหลง การตกเป็นทาสเเห่งตัวตน เเละกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราประพฤติผิดประพฤติชั่วร้ายเเละก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมที่เรียกว่าความทุกข์ทน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ไม่กลัวใคร ไม่ด่าใคร ไม่เกลียดใคร และไม่กล้ารักใคร ทำไมถึงบอกว่าไม่กล้ารัก ถ้าเข้าใจตัวเองจะรักคนเป็น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง รักใครก็ต้องทุกข์ ทุกข์เพราะเขาหรือเพราะเรากันแน่หนอ เพราะเรา ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ฉะนั้นเราถึงบอกท่าน อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความสูญสิ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงและความสูญสิ้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ทำให้เราเข้าใจสัจจะความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง) การรู้จักเข้าใจและปลดปลงปล่อยวางได้ก่อนที่จะทุกข์เป็นหนทางที่ประเสริฐที่สุด อย่าเอาแต่ทำดีแล้วไม่ละชั่ว แต่จงละชั่วประพฤติดีมีคุณธรรม คือหนทางแห่งการเข้าถึงธรรม ทำดีอย่าลืมละชั่ว เพราะถ้าเป็นคนดีแต่ความชั่วยังไม่ละก็ไม่อาจเรียกว่าคนดี รู้แล้วเข้าใจทุกอย่างแล้วละได้หรือยัง ยังละชั่วไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นวิบากกรรมแห่งความทุกข์ทน โลภมากๆ ก็เป็นเปรต โกรธมากๆ ก็หนีไม่พ้นไฟนรกแผดเผาใจ หลงมากๆ ก็เหมือนคนที่มีตาแต่ใช้ได้ข้างเดียว มีหูแต่ถูกปิดไปข้างหนึ่ง ฉะนั้นเราควรดำเนินชีวิตอย่างคนมีสติ แล้วมองให้เห็นธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ทำบุญเพื่อลดละโลภยึดถือ ทำดีคือยั้งใจไหลลงต่ำ
บำเพ็ญเพื่อย้อนมองตนหยุดสร้างกรรม ศึกษาธรรมเพื่อตื่นรู้ในความจริง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
*ตบเท้าเรียงหน้าทำดี สมชื่อนักธรรม บางครั้งขึ้นก้าวถอยก้าว เป็นด้วยเหตุอะไร หวังว่าข้อคิดเข็มทิศหนุนจิตใจฟ้า ฝึกหัดดั่งนักศึกษางัดข้อแก้ไข หลักธรรมเป็นมิตรคู่คิดชุบจิตใจฟ้า บำเพ็ญอย่างไร้ปัญญา มักสลดในใจ
บำเพ็ญคล้ายการทำดี ต่างที่ระวัง เป็นเพียงเส้นใยบางบาง ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มี
**บำเพ็ญธรรมจ้องมอง เจ้าไม่มองจ้องธรรม จึงช้ำคำคน บำเพ็ญต้องทนก็เลยทนเหลือเกิน ยังไม่รู้ใจ คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา เฝ้าทบทวนตน เรื่องในคน คน คน แล้วแต่ใครรู้ตัว ให้ธรรมสอนใจ (*,**)
ทำนองเพลง: กินอะไรถึงสวย
ชื่อเพลง :บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ
ยังต้องการกำลังใจจากอาจารย์อีกหรือ จิตใจที่เข้มแข็งต้องมาจากหัวใจที่แข็งแกร่ง ใช่ไหม
ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์เป็นพุทธเอาแต่พุทธไม่เอาธรรม คนศึกษาธรรมต้องมองให้เป็นกลาง ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วมาศึกษาธรรมเขาก็บอกอีกว่า วันนี้เราต้องมาบำเพ็ญธรรม ใช่ไหม (ใช่) โดยส่วนใหญ่ศิษย์ก็จะบอกว่า เป็นคนดีก็ลำบากแล้ว แล้วมาให้บำเพ็ญธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่) คนในโลกนี้ใครถูกต่อว่าได้บ้าง (ไม่ได้,ได้) คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ว่าไม่ค่อยได้ แล้วสอนก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมต่างจากการทำความดีตรงที่ทำความดีทำไปเป็นสิ่งที่ดี แต่การบำเพ็ญธรรมคือ ทำดีแล้วรู้จักย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า เรารู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ทุกข์มาบีบบังคับแล้วเราค่อยคิดเปลี่ยนแปลง การศึกษาธรรมคือ ย้อนมองส่องตน แก้ไขตน ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร เพราะโลกทั้งใบเกิดขึ้นจากความคิดของเราเป็นหลัก และคนจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ความคิดเราเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมคือเป็นคนดีแล้วรู้จักย้อนมองแก้ไขตน คนดีแค่ไหนไม่เคยคิดแก้ไขตนก็ไม่อาจเรียกว่าดีแท้จริงได้ เป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ก็ยังไม่เรียกว่าคนที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาบำเพ็ญคือ ทำดีแล้วรู้จักละชั่วแล้วย้อนมองส่องตน ยากไหม (ไม่ยาก) ก่อนที่เราจะไปว่าเขาต้องเริ่มที่ตัวเรา ก่อนจะไปเปลี่ยนเขาต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ทำความคิดเห็นให้ตรงกันแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่เรียกให้ศิษย์เป็นคนดี แต่ศึกษาบำเพ็ญธรรมคือ คนดีพร้อมจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ชอบคนชี้หน้าด่า ไม่ชอบคนว่า ฉะนั้นจะรอให้เขาด่าแล้วค่อยสำนึกตัว หรือสำนึกตัวก่อนจะถูกด่า (สำนึกตัวก่อนจะถูกด่า) ฉะนั้นรีบแก้ไขเปลี่ยนแปลง ดีหรือไม่ (ดี) เกิดเป็นคนก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถ้าศิษย์มาฟังธรรมะก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง มาแค่แตะๆเสียเวลาเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่) สมมติว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ที่เราคิด เราก็สามารถดลบันดาลให้คนที่เราคิดเป็นนางฟ้า เป็นเทพ หรือเป็นพญามารปีศาจได้ ใช่ไหม (ใช่) และถ้าศิษย์โดนคนด่า ศิษย์จะทำอย่างไรหลักธรรมสามารถที่จะฉุดช่วยใจเราได้และสามารถฉุดช่วยใจผู้คนได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรายอมแปรเปลี่ยนใจคนให้เป็นใจธรรมได้หรือยัง
อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้มีคนเดินเข้ามาด่าศิษย์ว่าบ้า ด่าว่าโง่ ศิษย์จะทำอย่างไร (เคียดแค้น โกรธ) แล้วศิษย์จำที่อาจารย์บอกตอนแรกได้ไหม โลกนี้เป็นไปตามความคิด แล้วเราจะสร้างสรรค์โลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดิน (สวรรค์บนดิน) แต่พอถึงเวลาทำไมไม่เห็นเหมือนอย่างที่ตอบเลยนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามนะว่าถ้ามีคนมาด่าศิษย์ว่าบ้า ว่าโง่ ศิษย์จะมองเขาสวยหรูไหม (ไม่) ศิษย์อยากทำให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดินอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราอยากทำให้เป็นสวรรค์บนดิน เราควรมองเขาเป็น (เทวดา) ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าถ้ามาศึกษาธรรม ก้าวแล้วต้องก้าวให้ไกล ไปแล้วต้องไปให้ถึง เรามาศึกษาเพื่อเรียนรู้เข้าใจหลักธรรม นำธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมที่ทำให้เราได้เป็นพุทธะหรือทำให้เรากลับคืนความเป็นพุทธะ หรือธรรมที่ทำให้เรากลับคืนความเป็นธรรม ถ้าโดนเขาว่า ศิษย์จะเอาเวรกรรมหรือศิษย์จะเอาบุญกุศล (เอาบุญกุศล) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าโดนเขาว่าแล้ว สามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์นั่นเรียกว่าบุญ ถ้าโดนเขาด่าแล้วสามารถขัดเกลาความเป็นตัวตนให้ทิ้งลงได้นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้าโดนเขาด่าแล้วแค้น โกรธ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม แล้วศิษย์ก็เลยแก้ด้วยความพยายามที่จะอภัย ด้วยการด่าเขาไปก่อนแล้วค่อยอภัยเขาทีหลัง
เราอยู่ในโลก เราอยากมีทุกข์ไหม อยากมีกรรม อยากมีบาปติดตัวไหม (ไม่อยาก) ถ้าเขาด่ามา เราเคียดแค้น เราจองเวร เราผูกใจเจ็บ นั่นคือบาปหรือบุญ (บาป) ทุกข์หรือสุข (ทุกข์) แล้วอยู่ที่ฟ้ากำหนดหรือเรากำหนดชีวิต (เรา) เราจะรอไปทำบุญแค่ที่วัดหรือเราจะทำบุญได้ทุกๆ ที่ (ทุกๆ ที่) ฉะนั้นใครด่ามา (เงียบ) ก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง อย่ารอวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่มีกรรม พรุ่งนี้ก็ไม่มีกรรม แต่ถ้าวันนี้อยากมีกรรม พรุ่งนี้ก็ต้องเกี่ยวกรรมต่อไป จริงไหม (จริง) ถ้าเขาด่ามาให้ขอบคุณ เราได้ชำระล้างใจจะได้บริสุทธิ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แค่คิดว่าเขาด่าเรา ตัวตนก็เกิด เขาว่าเรา ก็คือยึดมั่นถือมั่นตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไร ที่ใดมีความเกิดที่นั่นมีความทุกข์ จริงไหม (จริง)
มนุษย์บอกว่า ร่างกายคือตัวตน ไม่ใช่ร่างกายนี้เรียกสังขาร ตัวตนเกิดเมื่อมีความยึด แล้วเป็นอารมณ์แล้วไหลไปตามโลภโกรธหลง และยึดติดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราคิดได้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่า ยึดตัวตน สร้างเหตุให้ทุกข์มีที่อยู่และกิเลสเกาะกินใจ จริงไหม (จริง) ถ้าโดนด่ามา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าเกิดเข้าสู่สภาวธรรมเป็นกลาง ไม่มีอะไรให้ยึดถือ จริงไหม (จริง) ความเป็นกลางมีอยู่ในตัว แต่เราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่ายสร้างกรรมหรือเราจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)
ตอนนี้อาจารย์ถามว่าจะนั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง) ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่า ยึดถือตัวตนมากๆ เลย เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) อาจารย์มักพูดกับศิษย์เสมอว่า นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ทำให้เราไม่ยึดติดความเป็นตัวตน ไม่ยึดติดความคาดหวังมุ่งหวังให้ทุกข์ทน ฉะนั้นนั่งก็ (ดี) ไม่นั่งก็ (ดี) ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี) ถ้าทำอะไรศิษย์บอกเดี๋ยวก่อนๆ ศิษย์ก็กำลังสร้างตัวเองให้อยู่ในกรงขังแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดีที่สุด กลัวอะไรกับอนาคต กลุ้มกังวลอะไรกับอดีต เพราะทุกวันคือวันที่ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ว่าในโลกนี้ สิ่งใดร้ายและน่ากลัวที่สุด (ความคิด) ในโลกนี้ใครร้ายที่สุด (ตัวเรา) ตัวเราและความคิดเราร้ายที่สุด แต่ความคิดก็มีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวเราตรงไหนที่มันทำให้เราร้าย (ใจ) ใจหรือ อยากจะแก้ที่สาเหตุต้องหาเหตุให้เจอ ใจตรงไหน จิตหรือ (จิตใฝ่ต่ำ มันห้ามยาก อยากเล่นไพ่) จิตมันง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ใช่ไหม (ใช่) แต่ใจมันไหลลงต่ำ ตกลงว่าใจมันใฝ่ดีหรือใจมันใฝ่ร้าย (ดีแล้วเดี๋ยวมันก็ร้าย) มันอยู่ทั้งสองอัน ตัวไหนที่ร้าย (ตัวที่เราห้ามไม่ได้ที่จะไปที่ต่ำ) ตัวไหนที่ร้าย (กิเลส) อาจารย์อยากรู้คำตอบของศิษย์แต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร แตกต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่จะบอกว่ามนุษย์คือตัวที่ร้ายที่สุด อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่า เวลาดี (ดีใจหาย) เวลาร้าย (ร้ายสุดๆ) รักแรงเกลียดก็แรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครดีมา (ดีตอบ) ใครร้ายมา (ร้ายตอบ) ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่สิ่งที่ทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายที่สุดนั่นก็คือ เราไม่เคยคิดควบคุมหรือยับยั้งสิ่งที่เรียกว่าร้ายในตัวเองเลย อารมณ์ดีก็ (ดี) อารมณ์ร้ายก็ (ร้าย) แล้วก็บอกว่า ก็หนูเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกับหนูนักหนา คิดแบบนี้ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์กำลังสร้างทุกข์มาทับซ้อนในสังขารที่หนีไม่พ้นสัจธรรม แล้วยังสร้างทุกข์มาซ้อนเพื่อให้ทุกข์ซ้ำเติมใจตัวเองอีก อย่างนั้นจะทำอย่างไรละ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์เราร้ายเพราะเราไม่เคยยั้งคิด ยั้งอารมณ์ ยั้งกิเลส เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าบอกว่าคนเราก็ต้องมีอารมณ์บ้าง นิดเดียวเอง แค่คิดว่านิดเดียวเองก็ยึดติดในกิเลส อารมณ์ที่ตัวเองมีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี) แต่ถ้าเมื่อไรเราเปิดใจรับกิเลสอารมณ์ก็ยึดเกาะใจเราทันที แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการ กิเลสจะสามารถมายึดเกาะใจเราได้ไหม (ไม่ได้) แต่ทุกครั้งเวลาโกรธ ศิษย์เป็นอย่างไร (เปิดรับ) สนองตามอารมณ์โกรธทันที ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด ถ้าเรารู้จักยั้งคิดเราก็จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ศิษย์รู้ไหมว่ามูลเหตุของความชั่วทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีรากฐานมาจากโลภ โกรธ หลง แล้วเมื่อโลภ โกรธ หลงให้ผลเป็นกรรม ศิษย์ก็หนีวิบากกรรมที่ศิษย์สร้างไม่มีวันพ้น ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีบาปติดตัว ไม่มีกรรมที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ศิษย์จะต้องรู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลง ให้ได้ เพราะถ้าควบคุมไม่ได้ สิ่งนั้นจะชักนำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น มีบาปติดตัวและมีกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย เหมือนที่มนุษย์บอกว่าเกิดมาใช้กรรม เราหยุดโลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ได้)
ถ้าอาจารย์บอกว่ามีมะม่วงหนึ่งผล ทานแล้วมีแต่สุขกับมะม่วงอีกผลทานแล้วมีแต่ทุกข์ ศิษย์จะรับมะม่วงผลไหน
(พระอาจารย์เมตตายื่นมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่สุขสลับไปมากับมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่ทุกข์ ให้นักเรียนในชั้นเลือก)
แล้วถ้าลูกนี้กินแล้วไม่สุข ไม่ทุกข์ รับไหม (รับ) ตกลงเอาสุขหรือเอาทุกข์ (ไม่เอา) มนุษย์มักมองไม่เห็นความจริง มัวแต่ติดรสชาติที่อร่อย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) ศิษย์รู้ไหมแค่ชั่วขณะจิตคิดอยากได้ คิดไม่อยากได้ มันทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นกลางและมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นอะไรก็เฉยๆ จริงหรือไม่ (จริง) เพราะถ้าไม่เอาก็ยังยึดติดคำว่าไม่ชอบ เอาก็ยังยึดติดคำว่าชอบ แล้วไม่ชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปกับคำว่าโกรธ เกลียด แค้น ส่วนชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปสู่ความ โลภ หลง และยึดติด แล้วก็รังเกียจและก็แค้นได้เช่นกัน ถ้าชั่วขณะจิตที่ศิษย์บอกว่าเอาหรือไม่เอา มันก็คือความหลงเหมือนกัน แต่ถ้าชั่วขณะจิตศิษย์บอกว่าเฉยๆ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้) มันยากนะอาจารย์ เห็นแล้วมันก็ยังอยาก ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ในลูกที่สุกมากๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่กินแล้วจะไม่มีทุกข์ (ไม่) เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นในลูกที่ทุกข์มากๆ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่มีสุข (ได้) ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของแต่อยู่ที่ใจเราจัดการกับสิ่งที่เราเห็นอย่างไร คิดให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบาป หรือคิดให้เป็นกุศล ชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์รู้ศิษย์จะคิดได้เลยว่า จะทุกข์หรือสุขมันไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวและระวังไม่ใช่อยู่ที่ตัวผลไม้ แต่อยู่ที่หัวใจเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร เมื่อเจอเรื่องราวที่มากระทบใจ
ในโลกนี้เมื่อคิดจะเอาก็ต้องยอมรับการยึดถือที่หนักหน่วง มีอะไรบ้างในโลกที่ยึด แบกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีเลยนะ แต่ถามว่ายังอยากไหม เราก็ยังอยากอยู่ดี ใช่ไหม (ใช่) รับผลไม้ไหม (รับ ผลไม้สามารถแก้ไขสันดานได้ไหม) อาจารย์บอกว่าไม่รับแก้ได้นะ แต่ถ้ารับบางทีแก้ไม่ได้ เพราะใดๆ ในโลกถ้าเรามั่นหมายยึดถือตลอดเวลา มันก็มีที่ให้ทุกข์อยู่เสมอๆ มีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วไม่ทุกข์ ฉะนั้นไม่รับเลยจะดีกว่า ก็หยุดทุกข์ไปได้หลายอย่าง จริงไหม (จริง)
อยู่ในโลกนี้ เป็นไปได้ไหม เวลาเราเลือกอะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วจะต้องมีดีไม่มีร้าย (เป็นไปไม่ได้) มีได้ไม่มีเสียได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้อะไรมาเราก็ต้องยอมรับว่าการได้มา ทำให้เราต้องรู้จัก (เสียไป) ฉะนั้นวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือทำอย่างไร ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อยากได้รางวัลจากอาจารย์ไหม (อยากได้) ก็ศิษย์บอกเอง ถ้าอยากไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ต้องปล่อยวาง เมื่อสละแล้วยังเอาอีกหรือ ก็ปล่อยวางเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สละ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะเป็นของเรา อย่างไรก็เป็นของเรา ถึงเวลามันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา ขอแค่เราไม่ทุกข์ และไม่ยึดมั่นจนเจ็บปวด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่ถึงจะเรียกว่า สละและละวางอย่างคนที่ทำถึงที่สุดแล้วเข้าใจ
(ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง ถ้าเรามีสติ เราน่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ดี เราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน) สติทำให้เรารู้จักยั้งคิดใช่ไหม (ใช่) ศิษย์รู้ไหมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นศาสนาของผู้รู้ไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้แล้วไปยึด แต่แค่รู้ สติสอนให้เราแค่รู้ แต่ไม่ไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น สติสอนให้เรารู้จักแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมชาติ และศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบตู่เอาธรรมชาติมาก่อเกิดเป็นกิเลส โลภ โกรธ หลง และยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ จริงไหม (จริง) ร่างกายเราก็คือธรรมชาติ เงิน ทรัพย์สิน บ้าน ชื่อเสียง ที่อยู่ ล้วนเป็นของ (ธรรมชาติ) แล้วเราคือนักตู่ตัวยงที่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครครอบครองธรรมชาติได้ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้ก็ต้องรู้จักสละ
เมื่อรู้จักมีก็ต้องรู้จักให้ พระพุทธะก็เลยสอนให้รู้จักการให้ ให้อย่างคนมีศีล ให้อย่างคนฉลาดมีปัญญา อย่าให้อย่างคนที่ตามใจคนจนเคยตัว แต่การที่จะทำให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันเป็นเรื่องยากนะ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์ถามหน่อยนะว่า เวลาเราอยากได้อะไรขึ้นมา มันเคยเติมเต็มในใจเราได้ไหม เคยไหมที่หามากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอและสมอยากสักที ยิ่งหายิ่งเป็นหนี้ ยิ่งหายิ่งไม่พอ
อาจารย์มีวิธีหาที่ทำให้ไม่โลภ หาแล้วทำให้เราไม่โกรธ ไม่หลง กลายเป็นยิ่งเพิ่ม
ศิษย์มีเงินเท่านี้ แต่ความอยากใช้เงินมีมากกว่า ฉะนั้นเงินกับความอยากมันเลยไม่เคยสมดุลกัน แต่ถ้าตอนนี้เงินมีเท่านี้แต่ความอยากเราไม่มี แล้วเราจะโลภไหม ยิ่งความอยากน้อยเท่าไหร่ เงินก็กลายเป็นมีมากขึ้น
เหมือนวันนี้เราไม่หยุดหาเงิน แล้วจะได้มานั่งฟังอาจารย์พูดไหม แล้วศิษย์จะรอหยุดตอนไหน ทำๆ สุดท้ายตายแล้วทันไหม ตอนนั้นเราก็ไปพร้อมกับกรรมที่เราสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักหยุดให้เป็นก่อนที่มันจะทำให้เราทุกข์ หยุดให้เป็นก่อนที่มันจะก่อบาปก่อกรรมและตามติดตัวไปไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)
แล้วศิษย์หวังจะมีแต่ดีไม่มีร้าย มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรจะยึดมันไหม (ไม่ยึด) แล้วเราเคยเห็นความจริงของสิ่งที่เราโลภหลงชัดสักครั้งไหม เรามองว่ามันดี มีเงินแล้วดี มีแฟนแล้วดี มีทรัพย์สินแล้วดี มีเกียรติยศแล้วดี แต่อาจารย์ถามว่า ในดีนั้นมีร้ายไหม (มี) แล้วเรายังอยากจะโลภอีกไหม ที่เราโลภเพราะเรามองเห็นอันนี้ แล้วลืมความจริงข้างหลังใช่ไหม ที่เราหลงเพราะเราเห็นแค่นี้ แต่ไม่เคยมองให้ถึงที่สุดใช่ไหม
ถามจริงๆ ว่า ในโลกที่ศิษย์อยาก ที่ศิษย์หลง ที่ศิษย์ยึด มีอะไรบ้างที่ไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ มีอะไรบ้างที่สวยสดไม่มีวันแห้งเหี่ยว รังเกียจสิ่งนี้แต่สิ่งนี้มันก็ต้องตามสิ่งนั้น รักสุข ทุกข์ก็ตามติด รักดี ร้ายก็ไม่ได้เลวร้าย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นอะไรที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือดวงตาที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่เห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น ไม่ได้เห็นเพราะเราโลภหลง แต่เห็นเพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้เราแค่เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่เห็นอย่างคนที่มีสติปัญญา เพราะธรรมสอนให้เราฉลาดไม่โง่ ธรรมสอนให้เรารักษาความเป็นปรกติ และรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงให้จงได้ด้วยหัวใจที่สงบแล้วบังเกิดปัญญา
ในตัวเรามีสิ่งที่อ่อนสิ่งที่แข็ง สิ่งที่สวยงาม และสิ่งที่เป็นเส้นเลือดหนังกำพร้าขี้ไคลขี้หูขี้ตา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์บอกว่ามันน่ารัก แสดงว่าศิษย์ยังมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมเพื่อให้เราตื่นรู้แล้วเห็นความจริงอย่างไม่ลุ่มหลง แต่เกิดปัญญาเห็นแจ้งชัดในความเป็นธรรม ถ้ายังหลง ยังโลภ หมายความว่ายังมองไม่เห็นความจริง อย่างที่อาจารย์บอกว่าศึกษาธรรมแล้วอะไรๆ ก็ดี เพราะเราไม่สามารถรู้ชะตาชีวิตได้ ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถควบคุมโลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ก็จะชักนำให้ศิษย์ต้องรับกรรมและหนีไม่พ้นบาปที่ติดตัวและนำพาให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ยังอยากโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่อยาก)
คนนี้เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรและเป็นแบบคนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร จริงไหม (จริง) ถ้าเลือกแบบนี้ ไม่เลือกแบบนั้น รับรองศิษย์อายุสั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงในโลก ความโลภ โกรธ หลงทำอะไรเราไม่ได้หรอก อะไรๆ ก็ทำให้เรามีสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนกระทบแล้วก่อเกิดเป็นความรู้สึกชอบ ชัง และไหลหลงไปตามอารมณ์ที่ตนยึดถือ ก็หนีไม่พ้นกรรมและบาป เหมือนที่เวลาเราโดนกระทบแล้วรู้สึกดี ก็เป็นกรรมดี กระทบแล้วรู้สึกชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว แต่ถ้ากระทบแล้วไม่รู้สึก วางเฉย แปลว่าเราอกรรมหรือสิ้นกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ โดนกระทบแล้ว คิดแค่ว่าตีฉันทำไม ก็แปลว่าเรายึดถือตัวตน แปลว่าเรามีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้สึกเฉยๆ เหมือนที่อาจารย์บอกไปตั้งแต่ต้นว่า กระทบแล้วจะจองเวรจองกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจบกรรม เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมไม่จบสิ้น หรือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้วไม่สร้างกรรมอีกต่อไป เพราะต้นเหตุของกรรมมาจากความโลภ หลง ที่ยึดถือในตัวตน แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มี แต่ที่มีตัวตนเพราะว่าเราชอบสิ่งนั้น เราชอบสิ่งนี้ เราเกลียดแบบนั้น เราเกลียดแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่เพียงเรารู้สึกชอบ มันก็ก่อเกิดเป็น โลภ โกรธ หลง ที่หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวรกรรม แต่ถ้าโดนกระทบแล้วจบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันหยุดที่ตรงนั้นเลย ศีลคือความปกติ สมาธิคือใจที่สงบไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือดวงตาเห็นแจ้งในความจริง
อยากเป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ หรือเป็นศีล สมาธิ ปัญญา และเกิดความเป็นพุทธะตื่นรู้ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ ทำนองเพลง : กินอะไรถึงสวย)
ถ้ามีใครชมศิษย์ว่าสวย ศิษย์ดีใจไหม (ดีใจ) นั่นแหละเรียกว่าหลงยึดถือ หนีไม่พ้นทุกข์ เพราะจริงๆ แล้วสวยไหม (ไม่สวย) ถ้ามีใครว่าศิษย์ขี้เหร่ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
อาจารย์ให้เพลง เพื่อนำเพลงนั้นมาย้ำเตือนสติ ไม่ใช่ให้เพลงแล้วหลงในความเพลิดเพลิน ฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้อะไร อย่างนั้นเปล่าประโยชน์นะ
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มีบางคนที่ต้องยืนและมีบางคนที่ต้องได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่) เราโกรธคนที่ยืนหรือเราเกลียดคนที่นั่ง (เฉยๆ) ให้เฉยๆ ไปแบบนี้ตลอดนะ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น โลภโกรธหลงหนีไม่พ้นทุกข์และหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ตามติดให้เราต้องทุกข์ทน ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง เวลาเจอเรื่องใดที่มากระทบจิตกระทบใจขอให้คิดให้ดีด้วยสติ ว่าควรจะวางเฉยหรือโกรธเกลียด หรือได้ชำระล้างบาป หรือได้สร้างกุศล หรืออยากจะยึดถือตัวตนเพื่อเป็นต้นเหตุให้ทุกข์ต่อไป คิดให้ดีนะ การเรียนรู้ศึกษาธรรมจริงไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น แต่การเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อละวางแล้วมองเห็นความจริงด้วยปัญญา ว่าสิ่งที่เราเห็นแท้จริงยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราบอกว่าสุขแท้จริงมันมีทุกข์ และสิ่งที่เราเห็นว่ามันทุกข์แท้จริงมันอาจจะไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดเรา ความคิดสร้างโลภและสร้างตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราเปลี่ยนจากความคิดเป็นสติแล้วมองด้วยปัญญาธรรม เราจะเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราควรยึดถือแล้วก่อให้เกิดบาปกรรมทุกข์ติดตัวเลย จริงไหม (จริง)
แล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งปฏิบัติแล้วละโลภโกรธหลงได้ดีที่สุด ใครตอบอาจารย์ได้
(ปล่อยวาง เดินสายกลาง) ปล่อยวางแปลว่า ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ประมาณกลาง มีก็ได้ ไม่มีก็ได้) ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นจะร้ายหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มองให้เข้าใจความเป็นธรรมชาติ) มองให้เข้าใจความเป็นจริง ไม่ยึดติดดีร้าย ได้เสีย (คิดดี ทำดี พูดดี) แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้คิดดี ทำดี พูดดี แต่ไม่ละชั่ว
(ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม พอประมาณกับตัวเรา ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป) อาจารย์จะแนะนำง่ายๆ นะ การปฏิบัติธรรมก็คือเมื่ออยู่กับผู้คนรู้จักมีคุณธรรม เมื่ออยู่กับตัวตนรู้จักมีศีลธรรมและดำเนินอยู่ในครรลองครองธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือเป็นกำลังใจให้กับนักเรียนท่านหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาฟังธรรม แต่ก็กล้าหาญลุกขึ้นตอบคำถามของพระอาจารย์)
อย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (นั่งฟังธรรม) ศิษย์รู้ไหม การทำความคิดให้กระจ่าง การฟังธรรมด้วยจิตน้อมนำเป็นกุศล เป็นบุญ เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วในการปฏิบัติธรรมถ้าจิตรู้สึกขอบคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลในทุกขณะ ขอบคุณที่เขาพูดธรรมะทำให้เราเข้าใจ ขอให้สิ่งดีนั้นแผ่ไปยังทุกคน นี่คือทุกขณะที่ฟังเราได้บุญ ได้กุศลและยังแผ่บุญ แผ่กุศล ใช่หรือไม่
แล้วคิดแบบนี้บ้างไหม เพิ่งคิดตอนที่อาจารย์พูดใช่ไหม ศิษย์เอ๋ย โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ นะ ทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ คิดด้วยสติ
(มีจิตใจเมตตาและกรุณา) ไม่ใช่เมตตาแค่ตัวเองแต่ลืมเมตตาต่อผู้อื่นนะ รักษาความถูกต้องในตน รักษาความเมตตากรุณาในผู้คน ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ดีนะ
(รู้เท่าทันความคิดของตัวเองและความคิดของผู้อื่น) เวลาใครเขาด่าเรา เขาทำไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เราจะต้องไปรู้ทันเขามาก เพราะรู้ทันมากเราก็เจ็บมาก รู้ทันคนแล้วทำให้อยู่กับคนไม่มีความสุข บางครั้งเราก็ต้องโง่บ้าง ปิดตาบ้าง ยอมบ้าง ก่อนจะไปจัดการใคร เราควรจัดการตัวเอง รักษาใจให้ปกติ ยอมได้ก็ยอม เพราะถ้ายอมแล้วทำให้เราได้ฝึกจิต สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่สร้างกรรม ก็ยอมไปเถอะ
(คิดดี ทำดี) โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่าเกิดเป็นคนจะต้องคิดดี ทำดี แต่นิสัยแย่ๆ ไม่เคยแก้ก็ไม่ดีนะ คิดดี ทำดีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะมีไว้ก็คือ อะไรที่ไม่ดี ลด ละ เลิก แก้ไขนะ ใช่ไหม (ใช่)
(นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ บริสุทธิ์) นั่งสมาธิหลับตาไม่รับรู้อะไร ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะว่า การปฏิบัติธรรมคือการสอนให้เรามีสติ รับรู้หรือรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะถ้ามัวแต่หลับตา มัวแต่หลีกหนี มัวแต่มองไม่เห็น แต่พอลืมตากลับมาเห็นแล้วรับไม่ได้อีกก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่
ศิษย์ต้องตีความหมายในพุทธศาสนาให้ดีว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือสงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งชัดจนไม่ตกเป็นธาตุของกิเลสอารมณ์
ถึงศิษย์จะทำตรงนี้ให้บริสุทธิ์แต่ถ้าศิษย์ลืมตาแล้วศิษย์ยังอดใจไม่ไหว มันก็ยังไม่ได้ แล้วอาจารย์ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติตอนที่เราเห็น เมื่อโดนกระทบแล้วเราสามารถวาง เข้าใจ อย่าไปรอด่าให้สะใจแล้วค่อยไปทำบุญชดเชย ล้างกันไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) สู้ทำบุญตั้งแต่ตอนนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนั้น ไม่ดีกว่าหรือ แค่จิตเราสงบ ปกติ ก็บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเมื่อไรที่โดนกระทบ เกลียดเขา ด่าเขา นั่นคือความสกปรกเป็นมลทิน แต่ถ้าโดนกระทบแล้วอย่างที่อาจารย์จี้กงบอกช่างมันเถอะ ใช่ไหม (ใช่) โลกเป็นดั่งใจศิษย์คิด อยากให้เป็นนรกหรือให้เป็นสวรรค์หรือให้เป็นอะไร มันอยู่ที่เราจัดการ จริงไหม (จริง)
(การทำดี) ทำดีมันยังไม่พ้นทุกข์ ถ้ายังไม่ละชั่ว ยังไม่ละโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ให้ทุกวันละชั่วนั่นคือคนดีนะศิษย์ (คือการมองโลกให้เห็นไปตามความเป็นจริงของชีวิต)
(ใช้หลักศีลห้าในการดำรงชีวิต) ศีลแปลว่าความปกติ นั่นคือถ้าศิษย์ต้องใช้หลักแห่งศีลแปลว่าโดยปกติศิษย์ผิดปกติมาตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) ปกติเราเบียดเบียนคนไหม ปกติเราอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเราเสมอไหม และปกติเราผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่มีกิเลสครอบงำ มนุษย์เรามีศีลอยู่แล้วแต่เพราะกิเลสมากระทบครอบงำเราเลยผิดศีล ผิดธรรมเพราะขาดการยั้งคิดและมีธรรมไว้ครองใจ ใช่ไหม
(ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน) ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เพราะเวลาไม่เหลือเยอะแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
(คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ) โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราต้องมีกรรมเวรมาเกี่ยวกันจึงเจอกัน จึงต้องชดใช้กัน ถ้าศิษย์ยอมก็จบในชาตินี้ แต่ถ้าศิษย์ไม่ยอม ผูกใจเจ็บศิษย์ก็ยังต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นยอมดีหรือไม่ยอมดี (ยอม) ยอมด้วยหัวใจที่เข้าใจ ยอมด้วยหัวใจที่ได้ชะล้างกลับคืนสู่บุญกุศล ไม่กลายเป็นกรรมวิบากกรรม ดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ดับทุกข์ที่ทุกข์”)
ทุกข์เกิดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราไม่ชอบแบบนี้ แสดงว่าศิษย์กำลังสร้างพื้นที่ให้ทุกข์อยู่ สร้างพื้นที่ให้กิเลสยึดเกาะ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่มีแบบนี้ ไม่มีแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับคืนสู่ธรรม แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้ามีทุกข์ก็คงเป็นทุกข์ของความเป็นจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราไม่เกิดทุกข์ที่ทำให้ทุกข์เวียนว่ายอีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างเราหรือเขา ทุกสิ่งล้วนต้องเกื้อหนุนกัน จริงหรือไม่ (จริง) สกปกรกที่สุดจึงเกิดความสะอาดที่สุด ทุกข์จึงรู้จักคำว่าพ้นทุกข์ ร้ายจึงรู้จักดี อะไรในโลกที่เราควรเกลียด อะไรในโลกที่เราควรยึดลุ่มหลง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและในเหตุก็มีความดับอยู่ในทุกสิ่ง แล้วเรากำลังจะพยายามดับอะไร สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ตอนนี้เรากำลังดับอะไร ถ้าเราต้องดับก็แปลว่าเรายังมีตัวตนให้ยึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เรามีชีวิตหมุนเวียนไปตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง ดีพร้อมสมบูรณ์ต่อผู้คน ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ต่อตัวตนไม่ขาดศีลธรรมบกพร่อง ทำให้ถึงที่สุด อะไรจะเกิดก็กล้ารับเพราะเป็นเพียงแค่ความหมุนเวียนแห่งสัจธรรม โลกยังมีความสว่างยังมีความมืด เรื่องราวในชีวิตมีร้ายมีดีเป็นปกติ ฉะนั้นเมื่อถูกชมก็ธรรมดา เมื่อถูกด่าก็ธรรมดา มีได้ก็ธรรมดาถึงเวลาเสียก็ธรรมดา เมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยก็ธรรมดา ความสูญเสียเป็นเรื่องกรรมของสังขาร แต่หาใช่กรรมของจิตเดิมแท้ไม่ ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจเรื่องจิตเดิมแท้จึงชดใช้กรรมเพียงสังขาร จิตไม่ได้ชดใช้กรรมแต่จิตมาเพื่อตื่นรู้ เห็นความเป็นจริงในโลกและกลับคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง
ธรรมะไม่ได้ตื่นรู้เพียงแค่การฟัง แต่ต้องลงมือปฏิบัติ วันนี้อาจารย์มาก็คงต้องกลับแล้ว ขอให้ศิษย์บำเพ็ญตนในหนทางที่ถูกต้อง ทำอะไรมีสติยั้งคิด ทำอะไรรู้จักดำรงอยู่ในศีลธรรมความถูกต้อง อย่ามีแต่นิสัยอารมณ์แล้วตกเป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะศิษย์ ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ถ้าไม่อยากมีบาปกรรมติดตัวก็อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำแล้วก็เป็นทุกข์ใจเลยศิษย์ตั้งใจทำสิ่งที่ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาจับมือกับนักเรียนในชั้น)
จับมือกับอาจารย์ไหม (จับ) กลับมาศึกษาอีกนะ มีโอกาสลองมาศึกษาและตั้งใจ เสียสละตัวเอง ช่วยผู้อื่นบ้างนะ เข้าใจบ้างไหม
เวลาแห่งชีวิตเหลือไม่มากแล้วนะ รู้จักไปเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องดีงามด้วยสติ อย่าให้อดีตที่เป็นบทเรียนแล้วกลับมาทำร้ายตัวเอง รู้จักคิด รู้จักทำ อย่าใช้แต่อารมณ์ เรื่องราวบางเรื่องผ่านไปแล้ว จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ธรรมะรู้เยอะแต่ถ้าเกิดปฏิบัติไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์ ยิ่งให้ยิ่งได้ธรรม
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง อย่าผิดพลาดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่ามัวแต่ทุกข์กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จงมองความเป็นจริง สังขารไม่เที่ยง ใช่ไหม อาจารย์ก็ดลใจช่วยอยู่นะ แต่ใจศิษย์นั้นต้องเข้มแข็งกว่าสังขารอีก อย่างนั้นไม่ต้องกลัวนะ
มีโอกาสกลับมาศึกษาร่วมกันอีก มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกับอาจารย์อีก เข้มแข็งนะ รักษาหัวใจแห่งนักสู้ด้วยจิตใจที่อุทิศเสียสละ รักษาจิตใจแห่งพุทธะด้วยการรู้คิด รู้ทำด้วยสตินะศิษย์
โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจที่ไม่รู้จักควบคุมให้ดี เรื่องเลวร้ายในโลกเพียงมาทดสอบให้เราได้ชดใช้กรรม จะกลัวอะไรถ้าเข้าใจความจริง จะกลัวอะไรกับความทุกข์เพราะความทุกข์บางครั้งก็ทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง กลับคืนสู่ที่เดิมที่เราเคยมา เข้มแข็งและมีปัญญาที่แท้จริง ธรรมสอนให้ศิษย์ฉลาด ธรรมสอนให้ศิษย์รู้จักคิด ไม่ใช่เอาแต่ใจ ความบริสุทธิ์และความดีงามมีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน แต่บางทีอารมณ์ชั่ววูบทำให้เราหลงผิด สังขารไม่น่าทุกข์เท่ากับใจที่ไม่สู้
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ถูกทาง เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เดินหน้าปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจ อย่ากลัวชะตากรรม เราเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ถ้าหัวใจอ่อนแออะไรก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าหัวใจรู้จักคิดไม่ยึดมั่นถือมั่น เปิดใจได้กว้าง อะไรๆ ก็คือธรรมที่ทำให้เราเห็นธรรม หัวใจแรกเริ่มหายไปไหน หลงทางหรือไม่ อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด รักษาความดีด้วยหัวใจที่รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าปล่อยให้เรื่องราวภายนอกทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่ออก แต่จงใช้สติปัญญาแห่งธรรม มองอย่างคนมีธรรม เข้าใจธรรม และเห็นธรรม
อาจารย์คงต้องจากศิษย์แล้วนะ เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในโลกด้วยหัวใจแห่งพุทธะด้วยหัวใจที่มีแต่ธรรมไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือ มีแต่ธรรมที่คงไว้ ธรรมที่เป็นกลาง อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่) อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงแล้วทำให้ตัวเองเวียนวนในวัฏสงสารเลยนะศิษย์
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดับทุกข์ที่ทุกข์”
อย่าท้อใจกับความทุกข์ในชีวิต อย่าสิ้นคิดอย่าท้อแท้อย่าหมดหวัง
ล้มเพื่อลุกทุกข์ยิ่งปลุกแรงพลัง ขอเพียงยังศรัทธาในคุณค่าตน
ดึงสติเรียกขวัญกำลังใจ ไม่มีใครสุขสมบูรณ์ได้ทุกหน
โลกธรรมธรรมดาโลกเตือนใจตน สัจธรรมดลจิตตื่นรู้ในทาง
เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวียนหมุนอยู่ในความว่าง
สงบบรรจบสว่าง กระจ่างธรรมเป็นหนึ่งเดียว
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมก่อนไปเมตตานักเรียน)
อาจารย์ฝากบอกไปอย่างหนึ่ง ช่วงนี้มีหลายคนที่เจ็บป่วย ไม่ว่าจะทางสายนี้หรือทางสายไหนก็ตาม อาจารย์มักพูดอยู่อย่างหนึ่งที่พูดซ้ำๆ บ่อยๆ อาจารย์ขอให้เอาสิ่งที่อาจารย์พูดซ้ำบ่อยๆ ไปเป็นกำลังใจเรียกให้เขามีสติ
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตญาณคือความเข้าใจแท้จริงแห่งสภาวธรรม
กรรมของสังขาร มีเพื่อสอนให้เรารู้จักปลดปลงแต่หน้าที่ของจิตญาณเดิมแท้คือตื่นรู้ในความเป็นจริงและกลับคืนสู่ธรรม
เรามีกรรมเพียงสังขาร อย่าให้มันลากจิตทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตคือตื่นรู้ กลับคืนสู่สภาวธรรมและปลดปลงในการยึดถือตัวตน
ฝากไปให้กำลังใจพร้อมกับคำความหมายที่เรียกสติเขากลับมา ว่าอย่าไปยึดในสังขาร เพราะสังขารมีทุกข์เป็นธรรมดาแต่จิตเดิมแท้เราไม่เคยมีตัวตนให้ทุกข์นะ แต่การยึดมั่นและหลงผิดก่อเกิดให้เรายึดถือและหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรม ฉะนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ฝากไปให้กำลังใจ อาจารย์ไม่ให้ผลไม้นะ อาจารย์ขอเป็นคำพูดเตือนสติเรียกกำลังใจกลับคืนมา ใจเราเข้มแข็งได้ก็อ่อนแอได้ แต่จริงๆ แล้วใจเดิมแท้เข้มแข็งและอ่อนแอมันก็คือใจแห่งธรรม ฉะนั้นตื่นรู้นะ อย่ารอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปลดปลงปล่อยวาง แต่เราต้องรู้ก่อน รู้และเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมชาติของสังขาร ไม่ใช่ธรรมชาติของจิตเดิมแท้ของเรา จริงไหม (จริง) ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสภาวธรรมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือยอมรับความจริง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมรอบ 2 หลังจากเสด็จกลับไปแล้ว )
( พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายเพลงธรรมที่เมตตาประทานให้ )
" ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มีสายกลาง ก็เลยวุ่นวาย"
ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างการทำดี กับการบำเพ็ญ ฉะนั้นเราบำเพ็ญหรือเราแค่ทำดี ตอบได้หรือยัง ถ้าแค่ทำดี เราก็ไม่ได้ขัดเกลาตัวเอง การบำเพ็ญคือการทำดีด้วยแล้วต้องขัดเกลาตัวเองด้วย อาจารย์ก็เลยถามว่า บำเพ็ญหรือเพียงแค่ทำดี บอกตัวเองได้หรือยัง ว่าสิ่งที่เราทำมันมีทางสายกลางไหม ถ้าไม่มีทางสายกลาง ไม่ได้แก้ไขตัวเอง ทำแต่สิ่งที่ดี มันไม่พ้นวุ่นวาย
เนื้อเพลง "บำเพ็ญต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน" ให้เว้นวรรค "บำเพ็ญ...ต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"
ถ้าศิษย์ใช้คำว่า ต้องทน แปลว่า ศิษย์ก็ยังไม่รู้ใจตัวเอง เพราะว่าเราฝึกฝนบำเพ็ญคือ เราขัดเกลาตัวตนจนไม่เหลือตัวตนให้นึกถึง มันเป็นการที่เราไม่ต้องใช้คำว่า ต้องทน ถ้าศิษย์บอกว่า “บำเพ็ญต้องทน” เขาจะเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรมต้องทน มันไม่ได้ ให้เว้นจังหวะเวลาร้อง
" คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา "
เข้าใจสิ่งที่อาจารย์บอกไหม เวลามีเรื่องอะไร บางทีเราชอบเสนอ เราชอบออกความคิดเห็น จนทำให้เราไม่มีโอกาสเปิดกว้างในการที่จะรับรู้เรื่องราว เหมือนเวลาเขามีเรื่องพูดอะไรขึ้นมา มีไหมที่เราจะอดใจรับฟังคนอื่นได้ ส่วนใหญ่เราจะพ้อว่า ทำไมเธอไม่ทำอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมไม่ทำแบบนั้น ฉะนั้นถ้าคนเราตั้งใจจริงๆ เราจะไม่ชิงพูดจา เราจะรู้จักนิ่งก่อน แล้วฟังเรื่องราวให้ชัดๆ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาตั้งใจ เวลามีอะไรขึ้นมา ฉันคิดอย่างนี้ ทำไมเธอไม่เป็นแบบนี้ นี่แหละความหมาย
แต่บางครั้งที่อาจารย์ไม่อยากอธิบายกลอนหรือเพลง เพราะว่า กลัวว่า ถ้าอาจารย์อธิบาย แล้วมันจะกลายเป็นการตีกรอบ แล้วศิษย์ก็จะมองได้แค่กรอบ ที่ศิษย์คิดว่าอาจารย์ตีให้ ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ลองไปคิด พิจารณาจนให้เข้าใจ มองตามเรื่องราวที่เวลาเราเป็นแบบนี้ เวลาเราตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ เราควรจะรับฟังเรื่องราวมากกว่าที่จะเอาแต่พูด เสนอความคิดเห็น ใช่ไหม
อย่างที่อาจารย์บอกนะ ฝากไปด้วย แล้วก็ฝากไปให้กับทุกๆ คนที่ป่วย แม้แต่ตัวเราเองนะ เวลาเจ็บป่วย เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่ได้ให้เรายึดเพื่อทุกข์ แต่เพื่อให้เราปลดปลงเข้าถึงความจริง ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่เราเกิดแก่เจ็บตายเหมือนที่อาจารย์บอก ก้าวมันต้องก้าวให้ถึง ไปแล้วไปให้ถึงที่สุด เราจะแค่ทุกข์ หรือว่าเราจะก้าวจนมองเห็นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม มองเห็นสภาวธรรมที่มันเกิดดับเกิดดับ แล้วมีแค่เราที่เป็นแค่ตัวรู้ แต่ไม่ใช่เราที่เป็นตัวตนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงย้ำแล้วย้ำอีกในการศึกษาธรรมว่า เราจะต้องลงแรงรู้ ยั้งคิด เหมือนเวลามีอะไรเกิดขึ้น เราควรหรือที่จะเกิดมาเพื่อเจ็บแล้วตายแค่นั้น หรือเราควรที่จะเกิดมาเพื่อเรียนรู้ความเจ็บตาย จนเข้าถึงสัจธรรม ศิษย์จะเอาอันไหน แล้วจริงๆ แล้ว ชีวิตเราเพื่อให้เข้าไปสู่อันไหน เพื่อแค่ทุกข์แล้วเวียนในทุกข์ หรือว่าเพื่อเราเห็นแจ้งในความจริง ใช่ไหม แล้วอาจารย์ควรให้ศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงความทุกข์ที่แท้ที่เรียกว่า ธรรม ที่มันไม่เคยมีอะไรจริงแท้
(ตอนนี้มันยังทำไม่ได้) นี่แหละที่คิดว่า "ตอนนี้ " ก็คือยึดติด ถ้ายังบอกว่าไม่ได้ นั่นก็คือยึดติด ยึดติดความเป็นตนทั้งนั้นเลย มันยากอาจารย์ พอพูดว่า "มันยาก " แปลว่า เรามีตัวตนแล้ว พอบอกว่า "ไม่ได้ อาจารย์ ไม่ได้" แปลว่า เรายึดติดตัวตนแล้ว แต่ธรรมไม่มีคำว่า "ได้ " หรือ "ไม่ได้ " แต่มันแค่รู้ แค่เห็น แล้วก็แค่นั้น คือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวเราเข้าไป “ได้” ไม่มีตัวเราเข้าไป “ใช่ หรือ ไม่ใช่” อาจารย์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เข้าใจไหม
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก วันที่ ๒๙ เมษายน – ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐
แก้ไขกลอนพระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๕
เดิม ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ แก้เป็น รักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๙
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้เป็น แรงทิฐิยามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว ห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๖ บรรทัดที่ ๒
เดิม ล้มไปแต่โทษธรรมะ แก้เป็น ล้มไปโทษแต่ธรรมะ
หน้า ๑๖ บรรทัดที่ ๕
เดิม อะไรเป็นอะไรดูดายกับความเฉย
แก้เป็น อะไรเป็นอะไรดูดายกับวางเฉย
แก้ไขกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท บรรทัดที่ ๔
เดิม อย่าเป็นคนหากมีจิตทุคติ แก้เป็น ยามเป็นคนอย่ามีจิตทุคติ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ แก้ไข “ละ” เป็น “รัก”
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว แก้ไข “อย่า” เป็น “ยาม”
เดิม พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล แก้ไข “พ่วง” เป็น “ห้วง”
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๑-๒ เมษายน ๒๕๖๐
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๖
เดิม วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้เป็น วัฏฏะไม่มีเลยที่จะยอมจบ
แก้ไขกลอนพระอาจารย์จี้กง หน้า ๑๓ กลอนวรรคสุดท้าย
เดิม ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้เป็น ฝืนสู้จะละหวั่นหรือดีให้ฝึกบำเพ็ญ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้ไข “ฝึก” แก้เป็น “ฝืน” และ “รีบ” แก้เป็น “ฝึก”
เดิม วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้ไข “ไม่” แก้เป็น “จะ”