วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2560-05-06 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี

西元二○一七年歲次丁酉四月十一日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                        สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
  ยามชีวิตสุขสบายอย่าลืมคิด              ยามชีวิตพลาดล้มผิดรับไม่ไหว
ลืมความจริงอันไม่เที่ยงผันเปลี่ยนไป     ลืมยั้งใจยามมีทุกข์ค่อยหาธรรม
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ดวงตะวันลาแล้วไม่เคยลาลับ          โปรดอย่าท้อใจกับอย่าถอดใจ
เลิกฟูมฟายตามอย่างความสิ้นหวังไป    อยู่อย่างไรชีวิตในทุกข์คิดดีดี
เป็นทองแท้ท้ออย่าไร้จิตสร้างสรรค์      พรสวรรค์อย่าลับหายในคำติ
พลิกสถานการณ์หมดหวังล้มจมความดี  สุขในทุกข์ลุกเพื่อที่ชนะตน
เพียงเราดียิ่งขึ้นยืนบนฝั่ง                 ขุมของพลังแรงปลุกจากฝึกฝน
จะไม่เพียงยังศรัทธาไว้แค่ตน             แต่ยังยลสู่ในใจชาวประชา
ออกแรงดึงตนคุณค่าจากทางตัน         ธรรมเรียกขวัญเรียกสติใครสุขหนา
ที่จริงกำลังใจไม่มีสมบูรณ์นา             คนสุขหนาทุกข์ได้ใจไม่ตาย
มีแล้วเสื่อมโลกธรรมย้ำตนเป็นเพื่อน     เหตุการณ์เตือนโลกธรรมดาสัจธรรมดลให้
เมื่อรับรู้ตื่นจิตจากภายใน                อย่ายึดมั่นในสิ่งใดให้ลำเค็ญ
หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางรับนับไม่ไหว              จะอยู่อยู่ดับไปยากมองเห็น
อยากหลุดพ้นวนเวียนว่ายต้องบำเพ็ญ   นิ่งภายในอยู่หมุนเกณฑ์ธรรมจักรวาล
ธรรมพิสุทธิ์สงบว่างความเป็นหนึ่งเดียว  ชีวิตเทียวบรรจบสว่างกระจ่างธรรมเดี๋ยวนั้น
อย่าได้ให้โชคชะตามาปิดกั้น                      ลมพัดผ่านทุกข์มาดับทุกข์ไป
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ  พระโอวาทวรรคที่ขีดเส้นใต้  พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้ 
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

เมื่อยามมีสุขเราก็ไม่เคยคิดว่ายามมีทุกข์แล้วมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน จนกระทั่งพอมีทุกข์แล้ว ตอนนั้นเราถึงได้คิดว่า ธรรมะอยู่ที่ใด ช่วยเราที ใช่ไหม ยามเรามีสุข เราเคยคิดถึงธรรมะไหม น้อยคนที่จะคิดถึงธรรมะ คิดถึงธรรมะตอนมีสุขวันเกิด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ แล้วทุกวันคือวันที่เราดับสิ้น เราฉลองวันเกิดหรือเราฉลองวันตาย (วันตาย)  ฉะนั้นยามมีทุกข์เราค่อยคิดถึงธรรม หรือเราควรจะพิจารณาถึงธรรมอยู่เนืองๆ เพื่อทำให้เราเข้าใจในทุกข์ เพื่อจะได้รับมือกับความทุกข์ได้ (พิจารณาธรรมเนืองๆ)  ฉะนั้นผู้ใดที่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ความทุกข์นั้นจะมากัดกร่อนกินใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ ในเรื่องของการจัดการใจเมื่อยามมีทุกข์หรือเมื่อยามที่เราทำอะไร เราควรใช้ความคิดหรือใช้สติ (สติ)  แต่ส่วนใหญ่ใช้สติหรือใช้ความคิด (ความคิด)  มีคำกล่าวว่า จงมีสติรู้ทันยั้งคิด ถ้าเรื่องของใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งสับสนวุ่นวาย การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งหลงตัวเอง หาทางออกไม่เจอ อย่างนั้นเเปลว่าไม่ต้องคิด ใช่หรือไม่  อย่างนั้นเราจะบอกความเเตกต่างให้ระหว่างการทำอะไรโดยใช้สติกับการทำอะไรโดยใช้แค่ความคิด ลองพิจารณาตามดูว่าสิ่งที่เราพูดเป็นจริงอย่างที่ใจท่านเป็นไหม เรื่องของใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้สติอย่าใช้ความคิด จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เเละจงอย่าคิดว่าตัวเองคิดเเล้วเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น เพราะเวลาเราใช้ความคิด ความคิดของเรามักจะง่ายในการไหลไปตามใจตัวเอง ตามความรู้ความเข้าใจของตัวเอง เรามักเอาความคิดเราไปเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น ซึ่งบางทีทำให้เรามองผิดพลาด ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยหัวใจอย่าเอาเเต่ใช้ความคิด เพราะความคิดจะง่ายที่ทำให้เราไหลเเละหลงเข้าข้างตัวเองเเละง่ายที่จะฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเเค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวาย เราจึงบอกว่าทำอะไรจงใช้สติ
สติต่างจากความคิดตรงไหน เรามักจะได้ยินว่า สติสอนให้เรารู้ทัน ยั้งคิด แปลว่าสติสอนให้เรารู้แต่ไม่หลงไปกับความคิด สติสอนให้เราเห็นความคิดในใจตน และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรใช้สติยั้งคิดหรือเอาแต่คิดแล้วไร้สติ (ใช้สติยั้งคิด)  เรามีสติหรือเรามีแต่ความคิด หรือเอาแต่คิด ลืมสติ ถ้าเรามีสติรู้ทันยั้งคิด ก็ต้องหยุดความคิดได้ แต่ทำไมยิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ยิ่งคิดไม่จบ ทำอะไรด้วยสติจะทำให้เรารู้ทันยั้งคิดและยับยั้งอารมณ์ได้ แต่ถ้าทำอะไรเอาแต่วนกับความคิด เราจะไม่สามารถรู้ตัวเองและกำลังตกเป็นทาสอารมณ์ และกำลังคิดหลงตัวเองและเอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เอาไปวัดผู้คน ใช่หรือไม่ เหมือนนั่งตรงนี้เอาสิ่งที่จำได้หมายรู้วัดคนนั้นพูดดี คนนี้พูดไม่ดี ไม่ได้ใช้สติ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเรียนรู้ธรรม ธรรมสอนให้วางอัตตาตัวตน และธรรมที่แท้จริงไม่มีตัวตนให้ยึดถือ จะบอกว่าใจเราคือแก้วก็คงไม่ใช่ แต่ใจเราคือธรรม และธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าเมื่อไรยังแบ่งแยกยึดถือ นั่นแปลว่าเรายังหลงยึดติดตัวตนที่หนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)
โลกใบนี้จริงๆ แล้วมันทุกข์และวุ่นวาย ใช่ไหม (ใช่)  ใช้สติยั้งคิด อย่าเอาความคิดไปวัดโลกวัดผู้คน โลกนี้วุ่นวาย โลกนี้มีแต่ทุกข์จริงไหม โลกนี้มีแต่สิ่งที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียจริงไหม โลกนี้มีทุกข์สุขจริงไหม โลกนี้วุ่นวายจริงไหม (จริง, ไม่จริง)  เราจะบอกให้ ลองถอนความเป็นตัวเองออกจากโลก แล้วหันกลับไปมองโลกอย่างไม่มีตัวตน โลกนี้วุ่นวายจริงๆ หรือใจเรามันวุ่น (ใจเรามันวุ่น)  ถ้าไม่มีเรา โลกยังหมุนไปไหม (หมุน)  โลกยังวุ่นวายอย่างนี้ไหม (ไม่)  เพราะมีตัวเราจึงทำให้มันวุ่นหรือเปล่า แล้วโลกนี้มีทุกข์จริงไหม มีดีร้ายจริงไหม มีได้เสียจริงไหม ลองถอนตัวเราออกแล้วหันกลับไปมอง แล้วจะรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีดีไม่มีร้าย ลองถามตัวเองสิใครดีที่สุดในโลก ใครร้ายที่สุดในโลก อะไรคือสุขที่แท้จริง อะไรคือทุกข์ที่เที่ยงแท้ มันไม่มี แต่เรามักจะยึดติดกับปรากฏการณ์ ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับความคาดหวัง ยึดติดกับรูปนามที่เรายึดถือ ว่ามีอย่างนี้เรียกว่า “มี” อย่างนี้เรียกว่า “ไร้” แต่ลองไปมองคนที่ต่ำกว่า สิ่งที่เราบอกว่าไร้ เขาบอกว่าเรามีสิ่งที่เรามี ไปเจอคนสูงกว่าเขาบอกเรา (ไม่มี)  ตกลงเรามีหรือไม่มี เราหาแทบตายทำไมยิ่งหาเหมือนไม่มี (ไม่พอ)  เราพยายามหาความสุขเเต่ทำไมยิ่งหากลับไม่สุข แปลว่าลึกๆ ในใจของเรามีอะไรที่กำลังบอกให้เราค้นให้เจอหาให้พบเเล้วเราลืมไป ความจริงเเห่งสัจธรรมที่ถึงที่สุด คือ มีก็เหมือน (ไม่มี)  ได้ก็เหมือน (ไม่ได้)  เหมือนสุขเเต่จริงๆ ก็มีทุกข์ เหมือนวุ่นวายเเต่จริงๆ ไม่ได้วุ่นวาย ถ้าใจเราเข้มเเข็งใจเรามั่นคง ใจเราเห็นแจ่มชัด อุปสรรคความทุกข์ การสูญเสียไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงใจของเราได้ เเต่มนุษย์มักใช้ใจคนไม่ใช้ใจธรรม เห็นเเต่ความเป็นใจคนเเต่ไม่เคยเห็นเเก่นแท้ของใจธรรมที่อยู่ในตัวเราทุกคน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในแปดเซียนทั้งหลาย เเต่ก็เป็นเพียงเเค่รูปลักษณ์ รูปลักษณ์หนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เเต่ใจที่เข้าถึงธรรมไม่หมุนเปลี่ยนเวียนผัน ถึงเเล้วก็ถึงเลย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เมื่อยังมีตัวตนให้ยึดถือก็แปลว่า ยังมีทุกข์ให้เจ็บปวดให้ยึดมั่น แต่เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถดับทุกข์และสิ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงก็คือ การที่ไม่เข้าใจว่าจริงแท้ตัวตนของเราคืออะไรกันแน่
มนุษย์ชอบกล่าวว่าตายไปแล้วก็กลับคืนฟ้า แต่เราอยากบอกท่านว่า ตายไปแล้วก็กลับคืนสู่ธรรม ถ้ายังหวังกลับคืนฟ้า คืนสวรรค์ คืนนิพพาน ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่ยึดถือ มีดีร้าย แต่ถ้ากลับคืนสู่ธรรม ธรรมคือสภาวะกลาง ที่ไม่มีดีไม่มีร้าย และไร้ตัวตนที่จะไปเวียนว่ายวนในวัฏสงสาร ฉะนั้นจะคืนสู่นิพพาน หรือคืนสู่ธรรม (ธรรม)  นิพพานแปลว่าสงบเย็น เมื่อไรที่สงบเย็นก็มีนิพพานชั่วขณะ แต่ในความเป็นคนไม่เคยมีนิพพานตลอดเวลา เมื่อมีตัวตน ความอยากก็วิ่งวุ่นไม่จบสิ้น อยากเพื่ออะไร อยากให้ใคร เมื่อธรรมมีแต่ความว่างเปล่า และไร้ตัวตนที่ยึดถือ จริงไหม เมื่อใจเรายึดติดชอบจึงเกิดคำว่าสุข เมื่อใจเรายึดติดชังจึงเกิดคำว่าทุกข์ เเต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นกลางในทุกสรรพสิ่ง ชอบชังก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์สุขได้
จริงๆ แล้วมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่ ลองยืนเฉยๆ ถามว่ามีคนที่สูงกว่า มีคนที่เตี้ยกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่ร้ายกว่า มีคนที่สุขกว่า มีคนที่ทุกข์กว่าท่านไหม (มี)  ถ้าตอนนั้นหัวใจท่านไม่ยึดติดแบ่งแยกก็ว่างทันที ใช่ไหม เเล้วใครดีใครร้าย เเล้วตัวเราแย่ไหม เมื่อตัวเราเเย่ เรามองดีกว่าหรือมองต่ำกว่า เรามองเเย่กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเอาเเต่จมกับความคิดที่มองกับเหตุการณ์ที่แย่กว่า แต่จริงๆ เเล้วความเป็นกลางในตัวท่านมีอยู่ตลอดเวลา เเต่อยู่ที่เราเปิดกว้างอย่างคนที่มองเห็นชัด หรือเอาเเต่คิดตามใจตน เราจะเปิดกว้างอย่างคนที่มองตามจริงหรือมองตามใจ เเล้วทุกข์คือสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  เเต่สิ่งที่เราควรกลัวคือใคร (ตัวเราเอง)  ใจเราที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง ใจที่เราไม่เปิดรับสิ่งที่เรียกว่าโลกเเห่งความเป็นจริง เอาเเต่ยึดติดในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังมุ่งหวังยึดถือ จริงหรือไม่
เมื่อกราบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์มักจะขอให้มีสุข ขอให้ร่มเย็น ขอให้โชคดี ใช่ไหม (ใช่)  เจ็ดส่วนมนุษย์กำหนด สามส่วนฟ้ากำหนดให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนสร้างมา ฉะนั้นโชคดีโชคร้ายขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือขอใจตัวเอง (ขอใจตัวเอง)  โชคดีแต่คิดร้ายจะได้ผลดีหรือร้าย ได้ดีแต่ปากร้าย ได้สิ่งที่ดีแต่ชอบมองต่ำ ร้ายหรือดีกันเล่า ฉะนั้นควรขอฟ้าหรือขอใจตน (ขอใจตน)  ถ้าอยากกราบขอพระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จงขอให้จิตใจเข้มแข็งกล้ารับความจริง เพราะมนุษย์ทุกคนมีความกลัวลึกๆ อยู่ในใจ มีใครกลัวหมดตัวบ้าง กลัวหรือ เราว่านะไม่ต้องกลัวหมดตัว แต่กลัวใจขี้เกียจแล้วหมดใจมากกว่านะ จริงไหม (จริง)  ของหมดเรายังหาใหม่ได้ ของสูญเสียขอเพียงอย่าไร้หัวใจที่สู้ ไร้หัวใจที่กล้ายอมรับความจริง ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง)  ยังกลัวอดอีกไหม ใครกลัวโดดเดี่ยวบ้าง กลัวไหม (ไม่กลัว)  ถ้าเราจะบอกว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ลึกๆ กลัวสูญเสีย กลัวโดดเดี่ยว และก็กลัวชีวิตไม่มั่นคง พยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามี มั่นคงและไม่เหงาโดดเดี่ยว ใช่ไหม ทุกครั้งที่หาได้มา ทำไมลึกๆ ในใจบอกว่าเหมือนไม่เคยมี ทุกครั้งที่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เเต่ทำไมลึกๆ เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยว เราพยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตมั่นคง เเต่ทำไมลึกๆ เรากลับรู้ในใจว่าไม่มีอะไรมั่นคง เราจะไขปริศนานี้ให้ท่านรู้ เพราะใจของทุกคนล้วนต้องกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่สอนว่ามาเดี่ยวก็ต้องกลับเดี่ยว มามือเปล่าก็ต้องกลับมือเปล่า เเละสิ่งที่คิดว่ามั่นคงที่สุดในชีวิตก็คือสิ่งที่ไม่มั่นคง ยึดอะไรไม่ได้  ธรรมสอนใจเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราไม่เคยฟังใจที่พยายามพร่ำบอกว่าถึงที่สุดเธอก็ไม่มี ถึงที่สุดเธอก็ต้องไปคนเดียว ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอมั่นคงนอกจากความว่างเปล่าเเละหัวใจที่กลับคืนสู่กระเเสเเห่งธรรม
ฉะนั้นจะยึดมั่นตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้นทำไม อย่ากลัวความไม่มี เพราะความไม่มีคือสภาวะเดิมเเท้เเห่งสัจธรรม อย่ากลัวความโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่จริงเเท้เเห่งธรรมที่สอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้ตายคนเดียวทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน เราไม่ได้กลับไปมือเปล่าคนเดียว ทุกคนก็กลับไปมือเปล่าเหมือนกัน แล้วเราจะยึดเเล้วจะพยายามปล่อย หรือเราจะพยายามเข้าใจก่อนที่จะไปยึดถือเเล้วต้องทุกข์ทรมานเพื่อพยายามปล่อย อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลง ความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่เป็นของเราเเม้กระทั่งความทุกข์ อย่ากลัวความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความพลัดพรากเเละความดับสิ้น เพราะความสูญเสียพลัดพรากดับสิ้นกลับทำให้เราได้ปลดปลงปล่อยวางกลับคืนสู่ธรรมที่เเท้จริง เเต่สิ่งที่ท่านควรกลัวคือความหลงยึดมั่นในตัวตนที่ยังยึดติดดีและร้ายและหนีไม่พ้นกระแสวิบากกรรมแห่งวัฏฏะเวียนว่ายทำดีก็ต้องไปดี ทำชั่วก็ต้องไปชดใช้ชั่ว
เราศึกษาธรรมเพื่อหลงหรือเพื่อละ (หลง, ละ)  ไม่ต้องทุกข์แล้วนะ ควรยิ้มสู้ชีวิตที่มันเป็นไป และไม่ควรตัดพ้อโทษฟ้าโทษดิน แต่ควรถามใจตัวเองว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือกำลังหลงเดินผิดทาง เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวว่าอยู่แค่ยืมใช้ ร่างกายนี้เหมือนเรือนที่กำลังถูกไหม้ไฟ แล้วเราจะหนีออกจากเรือนที่กำลังจะถูกไหม้ไฟ และกำลังมีทุกข์อยู่ทุกขณะด้วยการทำอย่างไร ก็แค่หันกลับมาเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากบุญกรรม และเราอยากจะหยุดบุญกรรมเพื่อไปต่อหรือจบเวรจบกรรม
ฉะนั้นเรื่องที่อยู่ในใจแล้วยังไม่ลืมควรจะจบได้แล้วนะ เพราะว่าจิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ เป็นเหมือนผืนแปลง อย่าเผลอปลูกอะไรลงไปในจิต เพราะถ้ามันเติบโตขึ้นมาแล้ว เราจะรับไม่ไหวกับกรรมที่เราก่อ ฉะนั้นมนุษย์เมื่อทุกข์มากๆ จึงพยายามทำดี เผื่อว่าความดีนั้นจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมทำดีแล้วไม่ทำให้พ้นทุกข์เพราะอะไรหรือ (ตัวตัณหา)  ตัวตัณหาทำให้ทุกข์ ถ้าทำบุญเเล้วยังมีตัณหาก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าทำดีเเล้วยังโลภหลงในบุญก็เรียกว่า “ตัณหา” ไม่ได้เรียกว่า “บุญ”
(ใจเราปรุงเเต่งในเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ต้องรู้จักปล่อยวาง ใช้สติหยุดความคิด)  จริงๆ ถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะ เเต่เพราะมุนษย์มักไม่ค่อยยอม ใจที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวที่เราไม่ชอบจบไปแล้วหรือไม่ (จบแล้ว)  เเต่ทำไมยังฝังอยู่ในใจ ทำไมยังฝังอยู่ในความคิด จิตยึดติดหรือจิตไม่ยอมรับที่จะชดใช้เขา ถ้าท่านยังจำไม่ลืมเเปลว่าท่านยังอยากผูกเวรเกี่ยวกรรม ถ้าเจอแล้วยังอดไม่ได้เเปลว่ายังอยากจองเวรจองกรรม คิดให้ดีๆ ว่าควรจบได้หรือยัง ควรจบเมื่อยังมีกายให้รู้จักมีสติปัญญา พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจะเอาทุกข์มาก่อให้เกิดปัญญาหรือจะเอาทุกข์มาเป็นกงเกวียนกำเกวียน (เกิดปัญญา)  อย่างนั้นควรจะจำไหม (ไม่ควรจำ)  เหมือนที่เราบอกแต่ต้น ที่เราเกลียดเขาว่าเขาไม่ชอบเขา เพราะเราเอาบรรทัดฐานเราไปวัดเขา เเต่เราไม่เคยมองเขาที่เป็นเขาจริงไหม (จริง)  ถ้าเรามองเขาที่เป็นเขาจะไม่มีคำว่าดีเเย่ เเต่มีคำว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจเท่านั้น
ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี ถ้าการทำดีนั้นยังหลงยึดมั่นถือมั่นนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า “ธรรม” เพราะธรรมสอนให้เราละความหลง เเต่ถ้าทำดีเเล้วยังหลงยึดถือนั่นก็ไม่อาจเรียกว่าธรรม ธรรมสอนให้เรายอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจปกติ ไร้กิเลสอารมณ์ที่ยึดถือเกี่ยวพัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่ทำ จึงเรียกว่าหัวใจธรรม 
วันนี้เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก) ไกลตัวไหม (ไม่ไกล)  เป็นสิ่งใกล้ตัวที่ท่านมองไม่เคยเห็น ทั้งที่มันคือความจริง เหมือนที่เราบอก ถ้าเราเข้าถึงใจแห่งธรรม ใจแห่งธรรมไม่ใช่ใจที่เป็นแก้ว แต่ใจแห่งธรรมคือใจที่เป็นธรรม ถ้ายังเป็นแก้วแปลว่าเรายังต้องมียึดถือ มีรองรับ มีรังเกียจ มีเอา มีไม่เอา แต่ใจธรรมคือ เมื่ออะไรๆ ก็เป็นธรรมแล้วเราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่เสียอย่างเดียว เรายังไปไม่ถึงธรรม ค่อยๆ ฝึกนะมนุษย์ทุกคนล้วนมีสภาวะธรรมเดียวกัน ถึงจะรวยจะมีจะจนเเต่เราหนีไม่พ้นธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ถ้าเข้มเเข็งพอ เข้าใจธรรมจริง จะรู้ว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจธรรม จงเอาธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน ถ้าปฏิบัติได้ดีถูกต้องเรียกว่าผู้มีคุณธรรม ถ้าปฏิบัติเเล้วสามารถนำพาให้คนพ้นทุกข์เรียกว่าเข้าถึงธรรม
อย่ากลัวความไม่มี ถ้าหัวใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวความโดดเดี่ยวถ้ารู้จักประพฤติปฏิบัติดีเเละถูกต้อง อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลงเพราะความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ให้เข้าใจความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เเละอย่ากลัวความดับสิ้น เพราะความดับสิ้นเเละความเจ็บปวดสอนให้เราปลดปลงในสิ่งที่เรากำลังยึดมั่นจนเป็นทุกข์ เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือความหลง การตกเป็นทาสเเห่งตัวตน เเละกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราประพฤติผิดประพฤติชั่วร้ายเเละก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมที่เรียกว่าความทุกข์ทน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ไม่กลัวใคร ไม่ด่าใคร ไม่เกลียดใคร และไม่กล้ารักใคร ทำไมถึงบอกว่าไม่กล้ารัก ถ้าเข้าใจตัวเองจะรักคนเป็น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง รักใครก็ต้องทุกข์ ทุกข์เพราะเขาหรือเพราะเรากันแน่หนอ เพราะเรา ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ฉะนั้นเราถึงบอกท่าน อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความสูญสิ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงและความสูญสิ้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ทำให้เราเข้าใจสัจจะความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง)  การรู้จักเข้าใจและปลดปลงปล่อยวางได้ก่อนที่จะทุกข์เป็นหนทางที่ประเสริฐที่สุด อย่าเอาแต่ทำดีแล้วไม่ละชั่ว แต่จงละชั่วประพฤติดีมีคุณธรรม คือหนทางแห่งการเข้าถึงธรรม ทำดีอย่าลืมละชั่ว เพราะถ้าเป็นคนดีแต่ความชั่วยังไม่ละก็ไม่อาจเรียกว่าคนดี รู้แล้วเข้าใจทุกอย่างแล้วละได้หรือยัง ยังละชั่วไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นวิบากกรรมแห่งความทุกข์ทน โลภมากๆ ก็เป็นเปรต โกรธมากๆ ก็หนีไม่พ้นไฟนรกแผดเผาใจ หลงมากๆ ก็เหมือนคนที่มีตาแต่ใช้ได้ข้างเดียว มีหูแต่ถูกปิดไปข้างหนึ่ง ฉะนั้นเราควรดำเนินชีวิตอย่างคนมีสติ แล้วมองให้เห็นธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ทำบุญเพื่อลดละโลภยึดถือ             ทำดีคือยั้งใจไหลลงต่ำ
บำเพ็ญเพื่อย้อนมองตนหยุดสร้างกรรม  ศึกษาธรรมเพื่อตื่นรู้ในความจริง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
    *ตบเท้าเรียงหน้าทำดี สมชื่อนักธรรม บางครั้งขึ้นก้าวถอยก้าว เป็นด้วยเหตุอะไร หวังว่าข้อคิดเข็มทิศหนุนจิตใจฟ้า ฝึกหัดดั่งนักศึกษางัดข้อแก้ไข หลักธรรมเป็นมิตรคู่คิดชุบจิตใจฟ้า บำเพ็ญอย่างไร้ปัญญา มักสลดในใจ
บำเพ็ญคล้ายการทำดี ต่างที่ระวัง เป็นเพียงเส้นใยบางบาง ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มีสายเส้นกลาง ก็เลยวุ่นวาย
**บำเพ็ญธรรมจ้องมอง เจ้าไม่มองจ้องธรรม จึงช้ำคำคน บำเพ็ญต้องทนก็เลยทนเหลือเกิน ยังไม่รู้ใจ คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา เฝ้าทบทวนตน เรื่องในคน คน คน แล้วแต่ใครรู้ตัว ให้ธรรมสอนใจ (*,**)

ทำนองเพลง: กินอะไรถึงสวย

ชื่อเพลง :บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังต้องการกำลังใจจากอาจารย์อีกหรือ จิตใจที่เข้มแข็งต้องมาจากหัวใจที่แข็งแกร่ง ใช่ไหม
ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์เป็นพุทธเอาแต่พุทธไม่เอาธรรม คนศึกษาธรรมต้องมองให้เป็นกลาง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วมาศึกษาธรรมเขาก็บอกอีกว่า วันนี้เราต้องมาบำเพ็ญธรรม ใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์ก็จะบอกว่า เป็นคนดีก็ลำบากแล้ว แล้วมาให้บำเพ็ญธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่)  คนในโลกนี้ใครถูกต่อว่าได้บ้าง (ไม่ได้,ได้)  คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ว่าไม่ค่อยได้ แล้วสอนก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมต่างจากการทำความดีตรงที่ทำความดีทำไปเป็นสิ่งที่ดี แต่การบำเพ็ญธรรมคือ ทำดีแล้วรู้จักย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า เรารู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ทุกข์มาบีบบังคับแล้วเราค่อยคิดเปลี่ยนแปลง การศึกษาธรรมคือ ย้อนมองส่องตน แก้ไขตน ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร เพราะโลกทั้งใบเกิดขึ้นจากความคิดของเราเป็นหลัก และคนจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ความคิดเราเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมคือเป็นคนดีแล้วรู้จักย้อนมองแก้ไขตน คนดีแค่ไหนไม่เคยคิดแก้ไขตนก็ไม่อาจเรียกว่าดีแท้จริงได้ เป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ก็ยังไม่เรียกว่าคนที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษาบำเพ็ญคือ ทำดีแล้วรู้จักละชั่วแล้วย้อนมองส่องตน ยากไหม (ไม่ยาก)  ก่อนที่เราจะไปว่าเขาต้องเริ่มที่ตัวเรา ก่อนจะไปเปลี่ยนเขาต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ทำความคิดเห็นให้ตรงกันแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่เรียกให้ศิษย์เป็นคนดี แต่ศึกษาบำเพ็ญธรรมคือ คนดีพร้อมจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ชอบคนชี้หน้าด่า ไม่ชอบคนว่า ฉะนั้นจะรอให้เขาด่าแล้วค่อยสำนึกตัว หรือสำนึกตัวก่อนจะถูกด่า (สำนึกตัวก่อนจะถูกด่า)  ฉะนั้นรีบแก้ไขเปลี่ยนแปลง ดีหรือไม่ (ดี)  เกิดเป็นคนก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถ้าศิษย์มาฟังธรรมะก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง มาแค่แตะๆเสียเวลาเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ที่เราคิด เราก็สามารถดลบันดาลให้คนที่เราคิดเป็นนางฟ้า เป็นเทพ หรือเป็นพญามารปีศาจได้ ใช่ไหม (ใช่)  และถ้าศิษย์โดนคนด่า ศิษย์จะทำอย่างไรหลักธรรมสามารถที่จะฉุดช่วยใจเราได้และสามารถฉุดช่วยใจผู้คนได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรายอมแปรเปลี่ยนใจคนให้เป็นใจธรรมได้หรือยัง
อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้มีคนเดินเข้ามาด่าศิษย์ว่าบ้า ด่าว่าโง่ ศิษย์จะทำอย่างไร (เคียดแค้น โกรธ)  แล้วศิษย์จำที่อาจารย์บอกตอนแรกได้ไหม โลกนี้เป็นไปตามความคิด แล้วเราจะสร้างสรรค์โลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดิน (สวรรค์บนดิน)  แต่พอถึงเวลาทำไมไม่เห็นเหมือนอย่างที่ตอบเลยนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามนะว่าถ้ามีคนมาด่าศิษย์ว่าบ้า ว่าโง่ ศิษย์จะมองเขาสวยหรูไหม (ไม่)  ศิษย์อยากทำให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดินอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราอยากทำให้เป็นสวรรค์บนดิน เราควรมองเขาเป็น (เทวดา)  ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าถ้ามาศึกษาธรรม ก้าวแล้วต้องก้าวให้ไกล ไปแล้วต้องไปให้ถึง เรามาศึกษาเพื่อเรียนรู้เข้าใจหลักธรรม นำธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมที่ทำให้เราได้เป็นพุทธะหรือทำให้เรากลับคืนความเป็นพุทธะ หรือธรรมที่ทำให้เรากลับคืนความเป็นธรรม ถ้าโดนเขาว่า ศิษย์จะเอาเวรกรรมหรือศิษย์จะเอาบุญกุศล (เอาบุญกุศล)  ศิษย์จำไว้นะ ถ้าโดนเขาว่าแล้ว สามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์นั่นเรียกว่าบุญ ถ้าโดนเขาด่าแล้วสามารถขัดเกลาความเป็นตัวตนให้ทิ้งลงได้นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้าโดนเขาด่าแล้วแค้น โกรธ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม แล้วศิษย์ก็เลยแก้ด้วยความพยายามที่จะอภัย ด้วยการด่าเขาไปก่อนแล้วค่อยอภัยเขาทีหลัง
เราอยู่ในโลก เราอยากมีทุกข์ไหม อยากมีกรรม อยากมีบาปติดตัวไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเขาด่ามา เราเคียดแค้น เราจองเวร เราผูกใจเจ็บ นั่นคือบาปหรือบุญ (บาป)  ทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  แล้วอยู่ที่ฟ้ากำหนดหรือเรากำหนดชีวิต (เรา)  เราจะรอไปทำบุญแค่ที่วัดหรือเราจะทำบุญได้ทุกๆ ที่ (ทุกๆ ที่)  ฉะนั้นใครด่ามา (เงียบ)  ก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง อย่ารอวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่มีกรรม พรุ่งนี้ก็ไม่มีกรรม แต่ถ้าวันนี้อยากมีกรรม พรุ่งนี้ก็ต้องเกี่ยวกรรมต่อไป จริงไหม (จริง)  ถ้าเขาด่ามาให้ขอบคุณ เราได้ชำระล้างใจจะได้บริสุทธิ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แค่คิดว่าเขาด่าเรา ตัวตนก็เกิด เขาว่าเรา ก็คือยึดมั่นถือมั่นตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไร ที่ใดมีความเกิดที่นั่นมีความทุกข์ จริงไหม (จริง)
มนุษย์บอกว่า ร่างกายคือตัวตน ไม่ใช่ร่างกายนี้เรียกสังขาร ตัวตนเกิดเมื่อมีความยึด แล้วเป็นอารมณ์แล้วไหลไปตามโลภโกรธหลง และยึดติดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราคิดได้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่า  ยึดตัวตน สร้างเหตุให้ทุกข์มีที่อยู่และกิเลสเกาะกินใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าโดนด่ามา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าเกิดเข้าสู่สภาวธรรมเป็นกลาง ไม่มีอะไรให้ยึดถือ จริงไหม (จริง)  ความเป็นกลางมีอยู่ในตัว แต่เราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่ายสร้างกรรมหรือเราจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)
ตอนนี้อาจารย์ถามว่าจะนั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง)  ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่า ยึดถือตัวตนมากๆ เลย เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์มักพูดกับศิษย์เสมอว่า นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ทำให้เราไม่ยึดติดความเป็นตัวตน ไม่ยึดติดความคาดหวังมุ่งหวังให้ทุกข์ทน ฉะนั้นนั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าทำอะไรศิษย์บอกเดี๋ยวก่อนๆ ศิษย์ก็กำลังสร้างตัวเองให้อยู่ในกรงขังแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดีที่สุด กลัวอะไรกับอนาคต กลุ้มกังวลอะไรกับอดีต เพราะทุกวันคือวันที่ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ว่าในโลกนี้ สิ่งใดร้ายและน่ากลัวที่สุด (ความคิด)  ในโลกนี้ใครร้ายที่สุด (ตัวเรา)  ตัวเราและความคิดเราร้ายที่สุด แต่ความคิดก็มีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราตรงไหนที่มันทำให้เราร้าย (ใจ)  ใจหรือ อยากจะแก้ที่สาเหตุต้องหาเหตุให้เจอ ใจตรงไหน จิตหรือ (จิตใฝ่ต่ำ มันห้ามยาก อยากเล่นไพ่)  จิตมันง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ใช่ไหม (ใช่) แต่ใจมันไหลลงต่ำ ตกลงว่าใจมันใฝ่ดีหรือใจมันใฝ่ร้าย (ดีแล้วเดี๋ยวมันก็ร้าย)  มันอยู่ทั้งสองอัน ตัวไหนที่ร้าย (ตัวที่เราห้ามไม่ได้ที่จะไปที่ต่ำ)  ตัวไหนที่ร้าย (กิเลส)  อาจารย์อยากรู้คำตอบของศิษย์แต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร แตกต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่จะบอกว่ามนุษย์คือตัวที่ร้ายที่สุด อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่า เวลาดี (ดีใจหาย)  เวลาร้าย (ร้ายสุดๆ)  รักแรงเกลียดก็แรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครดีมา (ดีตอบ)  ใครร้ายมา (ร้ายตอบ)  ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่สิ่งที่ทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายที่สุดนั่นก็คือ เราไม่เคยคิดควบคุมหรือยับยั้งสิ่งที่เรียกว่าร้ายในตัวเองเลย อารมณ์ดีก็ (ดี)  อารมณ์ร้ายก็ (ร้าย)  แล้วก็บอกว่า ก็หนูเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกับหนูนักหนา คิดแบบนี้ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์กำลังสร้างทุกข์มาทับซ้อนในสังขารที่หนีไม่พ้นสัจธรรม แล้วยังสร้างทุกข์มาซ้อนเพื่อให้ทุกข์ซ้ำเติมใจตัวเองอีก อย่างนั้นจะทำอย่างไรละ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์เราร้ายเพราะเราไม่เคยยั้งคิด ยั้งอารมณ์ ยั้งกิเลส เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าบอกว่าคนเราก็ต้องมีอารมณ์บ้าง นิดเดียวเอง แค่คิดว่านิดเดียวเองก็ยึดติดในกิเลส อารมณ์ที่ตัวเองมีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเมื่อไรเราเปิดใจรับกิเลสอารมณ์ก็ยึดเกาะใจเราทันที แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการ กิเลสจะสามารถมายึดเกาะใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ทุกครั้งเวลาโกรธ ศิษย์เป็นอย่างไร (เปิดรับ)  สนองตามอารมณ์โกรธทันที ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด ถ้าเรารู้จักยั้งคิดเราก็จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ศิษย์รู้ไหมว่ามูลเหตุของความชั่วทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีรากฐานมาจากโลภ โกรธ หลง แล้วเมื่อโลภ โกรธ หลงให้ผลเป็นกรรม ศิษย์ก็หนีวิบากกรรมที่ศิษย์สร้างไม่มีวันพ้น ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีบาปติดตัว ไม่มีกรรมที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ศิษย์จะต้องรู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลง ให้ได้ เพราะถ้าควบคุมไม่ได้ สิ่งนั้นจะชักนำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น มีบาปติดตัวและมีกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย เหมือนที่มนุษย์บอกว่าเกิดมาใช้กรรม เราหยุดโลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ได้)
ถ้าอาจารย์บอกว่ามีมะม่วงหนึ่งผล ทานแล้วมีแต่สุขกับมะม่วงอีกผลทานแล้วมีแต่ทุกข์ ศิษย์จะรับมะม่วงผลไหน
(พระอาจารย์เมตตายื่นมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่สุขสลับไปมากับมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่ทุกข์ ให้นักเรียนในชั้นเลือก)
แล้วถ้าลูกนี้กินแล้วไม่สุข ไม่ทุกข์ รับไหม (รับ)  ตกลงเอาสุขหรือเอาทุกข์ (ไม่เอา)  มนุษย์มักมองไม่เห็นความจริง มัวแต่ติดรสชาติที่อร่อย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ศิษย์รู้ไหมแค่ชั่วขณะจิตคิดอยากได้ คิดไม่อยากได้ มันทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นกลางและมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นอะไรก็เฉยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะถ้าไม่เอาก็ยังยึดติดคำว่าไม่ชอบ เอาก็ยังยึดติดคำว่าชอบ แล้วไม่ชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปกับคำว่าโกรธ เกลียด แค้น ส่วนชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปสู่ความ โลภ หลง และยึดติด แล้วก็รังเกียจและก็แค้นได้เช่นกัน ถ้าชั่วขณะจิตที่ศิษย์บอกว่าเอาหรือไม่เอา มันก็คือความหลงเหมือนกัน แต่ถ้าชั่วขณะจิตศิษย์บอกว่าเฉยๆ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้)  มันยากนะอาจารย์ เห็นแล้วมันก็ยังอยาก ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ในลูกที่สุกมากๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่กินแล้วจะไม่มีทุกข์ (ไม่)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นในลูกที่ทุกข์มากๆ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่มีสุข (ได้)  ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของแต่อยู่ที่ใจเราจัดการกับสิ่งที่เราเห็นอย่างไร คิดให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบาป หรือคิดให้เป็นกุศล ชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์รู้ศิษย์จะคิดได้เลยว่า จะทุกข์หรือสุขมันไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวและระวังไม่ใช่อยู่ที่ตัวผลไม้ แต่อยู่ที่หัวใจเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร เมื่อเจอเรื่องราวที่มากระทบใจ
ในโลกนี้เมื่อคิดจะเอาก็ต้องยอมรับการยึดถือที่หนักหน่วง มีอะไรบ้างในโลกที่ยึด แบกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีเลยนะ แต่ถามว่ายังอยากไหม เราก็ยังอยากอยู่ดี ใช่ไหม (ใช่)  รับผลไม้ไหม (รับ ผลไม้สามารถแก้ไขสันดานได้ไหม)  อาจารย์บอกว่าไม่รับแก้ได้นะ แต่ถ้ารับบางทีแก้ไม่ได้ เพราะใดๆ ในโลกถ้าเรามั่นหมายยึดถือตลอดเวลา มันก็มีที่ให้ทุกข์อยู่เสมอๆ มีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วไม่ทุกข์ ฉะนั้นไม่รับเลยจะดีกว่า ก็หยุดทุกข์ไปได้หลายอย่าง จริงไหม (จริง)
อยู่ในโลกนี้ เป็นไปได้ไหม เวลาเราเลือกอะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วจะต้องมีดีไม่มีร้าย (เป็นไปไม่ได้)  มีได้ไม่มีเสียได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้อะไรมาเราก็ต้องยอมรับว่าการได้มา ทำให้เราต้องรู้จัก (เสียไป)  ฉะนั้นวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือทำอย่างไร ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์อยากได้รางวัลจากอาจารย์ไหม (อยากได้)  ก็ศิษย์บอกเอง ถ้าอยากไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ต้องปล่อยวาง เมื่อสละแล้วยังเอาอีกหรือ ก็ปล่อยวางเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะเป็นของเรา อย่างไรก็เป็นของเรา ถึงเวลามันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา ขอแค่เราไม่ทุกข์ และไม่ยึดมั่นจนเจ็บปวด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่ถึงจะเรียกว่า สละและละวางอย่างคนที่ทำถึงที่สุดแล้วเข้าใจ
(ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง ถ้าเรามีสติ เราน่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ดี เราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน)  สติทำให้เรารู้จักยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นศาสนาของผู้รู้ไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้แล้วไปยึด แต่แค่รู้ สติสอนให้เราแค่รู้ แต่ไม่ไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น สติสอนให้เรารู้จักแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมชาติ และศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบตู่เอาธรรมชาติมาก่อเกิดเป็นกิเลส โลภ โกรธ หลง และยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ จริงไหม (จริง)  ร่างกายเราก็คือธรรมชาติ เงิน ทรัพย์สิน บ้าน ชื่อเสียง ที่อยู่ ล้วนเป็นของ (ธรรมชาติ)  แล้วเราคือนักตู่ตัวยงที่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครครอบครองธรรมชาติได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้ก็ต้องรู้จักสละ
เมื่อรู้จักมีก็ต้องรู้จักให้ พระพุทธะก็เลยสอนให้รู้จักการให้ ให้อย่างคนมีศีล ให้อย่างคนฉลาดมีปัญญา อย่าให้อย่างคนที่ตามใจคนจนเคยตัว แต่การที่จะทำให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันเป็นเรื่องยากนะ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์ถามหน่อยนะว่า เวลาเราอยากได้อะไรขึ้นมา มันเคยเติมเต็มในใจเราได้ไหม เคยไหมที่หามากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอและสมอยากสักที ยิ่งหายิ่งเป็นหนี้ ยิ่งหายิ่งไม่พอ
อาจารย์มีวิธีหาที่ทำให้ไม่โลภ หาแล้วทำให้เราไม่โกรธ ไม่หลง กลายเป็นยิ่งเพิ่ม
ศิษย์มีเงินเท่านี้ แต่ความอยากใช้เงินมีมากกว่า ฉะนั้นเงินกับความอยากมันเลยไม่เคยสมดุลกัน แต่ถ้าตอนนี้เงินมีเท่านี้แต่ความอยากเราไม่มี แล้วเราจะโลภไหม ยิ่งความอยากน้อยเท่าไหร่ เงินก็กลายเป็นมีมากขึ้น
เหมือนวันนี้เราไม่หยุดหาเงิน แล้วจะได้มานั่งฟังอาจารย์พูดไหม แล้วศิษย์จะรอหยุดตอนไหน ทำๆ สุดท้ายตายแล้วทันไหม ตอนนั้นเราก็ไปพร้อมกับกรรมที่เราสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักหยุดให้เป็นก่อนที่มันจะทำให้เราทุกข์ หยุดให้เป็นก่อนที่มันจะก่อบาปก่อกรรมและตามติดตัวไปไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)
แล้วศิษย์หวังจะมีแต่ดีไม่มีร้าย มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรจะยึดมันไหม (ไม่ยึด)  แล้วเราเคยเห็นความจริงของสิ่งที่เราโลภหลงชัดสักครั้งไหม เรามองว่ามันดี มีเงินแล้วดี มีแฟนแล้วดี มีทรัพย์สินแล้วดี มีเกียรติยศแล้วดี แต่อาจารย์ถามว่า ในดีนั้นมีร้ายไหม (มี) แล้วเรายังอยากจะโลภอีกไหม ที่เราโลภเพราะเรามองเห็นอันนี้ แล้วลืมความจริงข้างหลังใช่ไหม ที่เราหลงเพราะเราเห็นแค่นี้ แต่ไม่เคยมองให้ถึงที่สุดใช่ไหม
ถามจริงๆ ว่า ในโลกที่ศิษย์อยาก ที่ศิษย์หลง ที่ศิษย์ยึด มีอะไรบ้างที่ไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ มีอะไรบ้างที่สวยสดไม่มีวันแห้งเหี่ยว รังเกียจสิ่งนี้แต่สิ่งนี้มันก็ต้องตามสิ่งนั้น รักสุข ทุกข์ก็ตามติด รักดี ร้ายก็ไม่ได้เลวร้าย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอะไรที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือดวงตาที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่เห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น ไม่ได้เห็นเพราะเราโลภหลง แต่เห็นเพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้เราแค่เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่เห็นอย่างคนที่มีสติปัญญา เพราะธรรมสอนให้เราฉลาดไม่โง่ ธรรมสอนให้เรารักษาความเป็นปรกติ และรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงให้จงได้ด้วยหัวใจที่สงบแล้วบังเกิดปัญญา
ในตัวเรามีสิ่งที่อ่อนสิ่งที่แข็ง สิ่งที่สวยงาม และสิ่งที่เป็นเส้นเลือดหนังกำพร้าขี้ไคลขี้หูขี้ตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์บอกว่ามันน่ารัก แสดงว่าศิษย์ยังมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมเพื่อให้เราตื่นรู้แล้วเห็นความจริงอย่างไม่ลุ่มหลง แต่เกิดปัญญาเห็นแจ้งชัดในความเป็นธรรม ถ้ายังหลง ยังโลภ หมายความว่ายังมองไม่เห็นความจริง อย่างที่อาจารย์บอกว่าศึกษาธรรมแล้วอะไรๆ ก็ดี เพราะเราไม่สามารถรู้ชะตาชีวิตได้ ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถควบคุมโลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ก็จะชักนำให้ศิษย์ต้องรับกรรมและหนีไม่พ้นบาปที่ติดตัวและนำพาให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ยังอยากโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่อยาก)
คนนี้เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรและเป็นแบบคนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร จริงไหม (จริง)  ถ้าเลือกแบบนี้ ไม่เลือกแบบนั้น รับรองศิษย์อายุสั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงในโลก ความโลภ โกรธ หลงทำอะไรเราไม่ได้หรอก อะไรๆ ก็ทำให้เรามีสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนกระทบแล้วก่อเกิดเป็นความรู้สึกชอบ ชัง และไหลหลงไปตามอารมณ์ที่ตนยึดถือ ก็หนีไม่พ้นกรรมและบาป เหมือนที่เวลาเราโดนกระทบแล้วรู้สึกดี ก็เป็นกรรมดี กระทบแล้วรู้สึกชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว แต่ถ้ากระทบแล้วไม่รู้สึก วางเฉย แปลว่าเราอกรรมหรือสิ้นกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ โดนกระทบแล้ว คิดแค่ว่าตีฉันทำไม ก็แปลว่าเรายึดถือตัวตน แปลว่าเรามีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้สึกเฉยๆ เหมือนที่อาจารย์บอกไปตั้งแต่ต้นว่า กระทบแล้วจะจองเวรจองกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจบกรรม เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมไม่จบสิ้น หรือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้วไม่สร้างกรรมอีกต่อไป เพราะต้นเหตุของกรรมมาจากความโลภ หลง ที่ยึดถือในตัวตน แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มี แต่ที่มีตัวตนเพราะว่าเราชอบสิ่งนั้น เราชอบสิ่งนี้ เราเกลียดแบบนั้น เราเกลียดแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เพียงเรารู้สึกชอบ มันก็ก่อเกิดเป็น โลภ โกรธ หลง ที่หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวรกรรม แต่ถ้าโดนกระทบแล้วจบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันหยุดที่ตรงนั้นเลย ศีลคือความปกติ สมาธิคือใจที่สงบไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือดวงตาเห็นแจ้งในความจริง
อยากเป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ หรือเป็นศีล สมาธิ ปัญญา และเกิดความเป็นพุทธะตื่นรู้ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ ทำนองเพลง : กินอะไรถึงสวย)
ถ้ามีใครชมศิษย์ว่าสวย ศิษย์ดีใจไหม (ดีใจ)  นั่นแหละเรียกว่าหลงยึดถือ หนีไม่พ้นทุกข์ เพราะจริงๆ แล้วสวยไหม (ไม่สวย)  ถ้ามีใครว่าศิษย์ขี้เหร่ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
อาจารย์ให้เพลง เพื่อนำเพลงนั้นมาย้ำเตือนสติ ไม่ใช่ให้เพลงแล้วหลงในความเพลิดเพลิน ฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้อะไร อย่างนั้นเปล่าประโยชน์นะ
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มีบางคนที่ต้องยืนและมีบางคนที่ต้องได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่)  เราโกรธคนที่ยืนหรือเราเกลียดคนที่นั่ง (เฉยๆ)  ให้เฉยๆ ไปแบบนี้ตลอดนะ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น โลภโกรธหลงหนีไม่พ้นทุกข์และหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ตามติดให้เราต้องทุกข์ทน ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง เวลาเจอเรื่องใดที่มากระทบจิตกระทบใจขอให้คิดให้ดีด้วยสติ ว่าควรจะวางเฉยหรือโกรธเกลียด หรือได้ชำระล้างบาป หรือได้สร้างกุศล หรืออยากจะยึดถือตัวตนเพื่อเป็นต้นเหตุให้ทุกข์ต่อไป คิดให้ดีนะ การเรียนรู้ศึกษาธรรมจริงไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น แต่การเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อละวางแล้วมองเห็นความจริงด้วยปัญญา ว่าสิ่งที่เราเห็นแท้จริงยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราบอกว่าสุขแท้จริงมันมีทุกข์ และสิ่งที่เราเห็นว่ามันทุกข์แท้จริงมันอาจจะไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดเรา ความคิดสร้างโลภและสร้างตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราเปลี่ยนจากความคิดเป็นสติแล้วมองด้วยปัญญาธรรม เราจะเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราควรยึดถือแล้วก่อให้เกิดบาปกรรมทุกข์ติดตัวเลย จริงไหม (จริง)
แล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งปฏิบัติแล้วละโลภโกรธหลงได้ดีที่สุด ใครตอบอาจารย์ได้
(ปล่อยวาง เดินสายกลาง)  ปล่อยวางแปลว่า ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ประมาณกลาง มีก็ได้ ไม่มีก็ได้)  ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นจะร้ายหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มองให้เข้าใจความเป็นธรรมชาติ)  มองให้เข้าใจความเป็นจริง ไม่ยึดติดดีร้าย ได้เสีย (คิดดี ทำดี พูดดี)  แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้คิดดี ทำดี พูดดี แต่ไม่ละชั่ว
(ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม พอประมาณกับตัวเรา ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป)  อาจารย์จะแนะนำง่ายๆ นะ การปฏิบัติธรรมก็คือเมื่ออยู่กับผู้คนรู้จักมีคุณธรรม เมื่ออยู่กับตัวตนรู้จักมีศีลธรรมและดำเนินอยู่ในครรลองครองธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือเป็นกำลังใจให้กับนักเรียนท่านหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาฟังธรรม แต่ก็กล้าหาญลุกขึ้นตอบคำถามของพระอาจารย์)
อย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (นั่งฟังธรรม)  ศิษย์รู้ไหม การทำความคิดให้กระจ่าง การฟังธรรมด้วยจิตน้อมนำเป็นกุศล เป็นบุญ เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วในการปฏิบัติธรรมถ้าจิตรู้สึกขอบคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลในทุกขณะ ขอบคุณที่เขาพูดธรรมะทำให้เราเข้าใจ ขอให้สิ่งดีนั้นแผ่ไปยังทุกคน นี่คือทุกขณะที่ฟังเราได้บุญ ได้กุศลและยังแผ่บุญ แผ่กุศล ใช่หรือไม่
แล้วคิดแบบนี้บ้างไหม เพิ่งคิดตอนที่อาจารย์พูดใช่ไหม ศิษย์เอ๋ย โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ นะ ทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ คิดด้วยสติ
(มีจิตใจเมตตาและกรุณา)  ไม่ใช่เมตตาแค่ตัวเองแต่ลืมเมตตาต่อผู้อื่นนะ รักษาความถูกต้องในตน รักษาความเมตตากรุณาในผู้คน ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ดีนะ
(รู้เท่าทันความคิดของตัวเองและความคิดของผู้อื่น)  เวลาใครเขาด่าเรา เขาทำไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เราจะต้องไปรู้ทันเขามาก เพราะรู้ทันมากเราก็เจ็บมาก รู้ทันคนแล้วทำให้อยู่กับคนไม่มีความสุข บางครั้งเราก็ต้องโง่บ้าง ปิดตาบ้าง ยอมบ้าง ก่อนจะไปจัดการใคร เราควรจัดการตัวเอง รักษาใจให้ปกติ ยอมได้ก็ยอม เพราะถ้ายอมแล้วทำให้เราได้ฝึกจิต สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่สร้างกรรม ก็ยอมไปเถอะ
(คิดดี ทำดี) โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่าเกิดเป็นคนจะต้องคิดดี ทำดี แต่นิสัยแย่ๆ ไม่เคยแก้ก็ไม่ดีนะ คิดดี ทำดีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะมีไว้ก็คือ อะไรที่ไม่ดี ลด ละ เลิก แก้ไขนะ ใช่ไหม (ใช่) 
(นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ บริสุทธิ์)  นั่งสมาธิหลับตาไม่รับรู้อะไร ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะว่า การปฏิบัติธรรมคือการสอนให้เรามีสติ รับรู้หรือรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะถ้ามัวแต่หลับตา มัวแต่หลีกหนี มัวแต่มองไม่เห็น แต่พอลืมตากลับมาเห็นแล้วรับไม่ได้อีกก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่
ศิษย์ต้องตีความหมายในพุทธศาสนาให้ดีว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือสงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งชัดจนไม่ตกเป็นธาตุของกิเลสอารมณ์
ถึงศิษย์จะทำตรงนี้ให้บริสุทธิ์แต่ถ้าศิษย์ลืมตาแล้วศิษย์ยังอดใจไม่ไหว มันก็ยังไม่ได้ แล้วอาจารย์ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติตอนที่เราเห็น เมื่อโดนกระทบแล้วเราสามารถวาง เข้าใจ อย่าไปรอด่าให้สะใจแล้วค่อยไปทำบุญชดเชย ล้างกันไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  สู้ทำบุญตั้งแต่ตอนนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนั้น ไม่ดีกว่าหรือ แค่จิตเราสงบ ปกติ ก็บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเมื่อไรที่โดนกระทบ เกลียดเขา ด่าเขา นั่นคือความสกปรกเป็นมลทิน แต่ถ้าโดนกระทบแล้วอย่างที่อาจารย์จี้กงบอกช่างมันเถอะ ใช่ไหม (ใช่)  โลกเป็นดั่งใจศิษย์คิด อยากให้เป็นนรกหรือให้เป็นสวรรค์หรือให้เป็นอะไร มันอยู่ที่เราจัดการ จริงไหม (จริง)
(การทำดี)  ทำดีมันยังไม่พ้นทุกข์ ถ้ายังไม่ละชั่ว ยังไม่ละโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ให้ทุกวันละชั่วนั่นคือคนดีนะศิษย์ (คือการมองโลกให้เห็นไปตามความเป็นจริงของชีวิต)
(ใช้หลักศีลห้าในการดำรงชีวิต)  ศีลแปลว่าความปกติ นั่นคือถ้าศิษย์ต้องใช้หลักแห่งศีลแปลว่าโดยปกติศิษย์ผิดปกติมาตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) ปกติเราเบียดเบียนคนไหม ปกติเราอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเราเสมอไหม และปกติเราผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่มีกิเลสครอบงำ มนุษย์เรามีศีลอยู่แล้วแต่เพราะกิเลสมากระทบครอบงำเราเลยผิดศีล ผิดธรรมเพราะขาดการยั้งคิดและมีธรรมไว้ครองใจ ใช่ไหม
(ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เพราะเวลาไม่เหลือเยอะแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
(คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ)  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราต้องมีกรรมเวรมาเกี่ยวกันจึงเจอกัน จึงต้องชดใช้กัน ถ้าศิษย์ยอมก็จบในชาตินี้ แต่ถ้าศิษย์ไม่ยอม ผูกใจเจ็บศิษย์ก็ยังต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นยอมดีหรือไม่ยอมดี (ยอม)  ยอมด้วยหัวใจที่เข้าใจ ยอมด้วยหัวใจที่ได้ชะล้างกลับคืนสู่บุญกุศล ไม่กลายเป็นกรรมวิบากกรรม ดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ดับทุกข์ที่ทุกข์”)
ทุกข์เกิดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราไม่ชอบแบบนี้ แสดงว่าศิษย์กำลังสร้างพื้นที่ให้ทุกข์อยู่ สร้างพื้นที่ให้กิเลสยึดเกาะ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่มีแบบนี้ ไม่มีแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับคืนสู่ธรรม แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้ามีทุกข์ก็คงเป็นทุกข์ของความเป็นจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราไม่เกิดทุกข์ที่ทำให้ทุกข์เวียนว่ายอีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างเราหรือเขา ทุกสิ่งล้วนต้องเกื้อหนุนกัน จริงหรือไม่ (จริง)  สกปกรกที่สุดจึงเกิดความสะอาดที่สุด ทุกข์จึงรู้จักคำว่าพ้นทุกข์ ร้ายจึงรู้จักดี อะไรในโลกที่เราควรเกลียด อะไรในโลกที่เราควรยึดลุ่มหลง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและในเหตุก็มีความดับอยู่ในทุกสิ่ง แล้วเรากำลังจะพยายามดับอะไร สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ตอนนี้เรากำลังดับอะไร ถ้าเราต้องดับก็แปลว่าเรายังมีตัวตนให้ยึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เรามีชีวิตหมุนเวียนไปตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง ดีพร้อมสมบูรณ์ต่อผู้คน ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ต่อตัวตนไม่ขาดศีลธรรมบกพร่อง ทำให้ถึงที่สุด อะไรจะเกิดก็กล้ารับเพราะเป็นเพียงแค่ความหมุนเวียนแห่งสัจธรรม โลกยังมีความสว่างยังมีความมืด เรื่องราวในชีวิตมีร้ายมีดีเป็นปกติ ฉะนั้นเมื่อถูกชมก็ธรรมดา เมื่อถูกด่าก็ธรรมดา มีได้ก็ธรรมดาถึงเวลาเสียก็ธรรมดา เมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยก็ธรรมดา ความสูญเสียเป็นเรื่องกรรมของสังขาร แต่หาใช่กรรมของจิตเดิมแท้ไม่ ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจเรื่องจิตเดิมแท้จึงชดใช้กรรมเพียงสังขาร จิตไม่ได้ชดใช้กรรมแต่จิตมาเพื่อตื่นรู้ เห็นความเป็นจริงในโลกและกลับคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง
ธรรมะไม่ได้ตื่นรู้เพียงแค่การฟัง แต่ต้องลงมือปฏิบัติ วันนี้อาจารย์มาก็คงต้องกลับแล้ว ขอให้ศิษย์บำเพ็ญตนในหนทางที่ถูกต้อง ทำอะไรมีสติยั้งคิด ทำอะไรรู้จักดำรงอยู่ในศีลธรรมความถูกต้อง อย่ามีแต่นิสัยอารมณ์แล้วตกเป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะศิษย์ ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ถ้าไม่อยากมีบาปกรรมติดตัวก็อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำแล้วก็เป็นทุกข์ใจเลยศิษย์ตั้งใจทำสิ่งที่ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาจับมือกับนักเรียนในชั้น)
จับมือกับอาจารย์ไหม (จับ)  กลับมาศึกษาอีกนะ มีโอกาสลองมาศึกษาและตั้งใจ เสียสละตัวเอง ช่วยผู้อื่นบ้างนะ เข้าใจบ้างไหม
เวลาแห่งชีวิตเหลือไม่มากแล้วนะ รู้จักไปเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องดีงามด้วยสติ อย่าให้อดีตที่เป็นบทเรียนแล้วกลับมาทำร้ายตัวเอง รู้จักคิด รู้จักทำ อย่าใช้แต่อารมณ์ เรื่องราวบางเรื่องผ่านไปแล้ว จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ธรรมะรู้เยอะแต่ถ้าเกิดปฏิบัติไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์ ยิ่งให้ยิ่งได้ธรรม
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง อย่าผิดพลาดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่ามัวแต่ทุกข์กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จงมองความเป็นจริง สังขารไม่เที่ยง ใช่ไหม อาจารย์ก็ดลใจช่วยอยู่นะ แต่ใจศิษย์นั้นต้องเข้มแข็งกว่าสังขารอีก อย่างนั้นไม่ต้องกลัวนะ
มีโอกาสกลับมาศึกษาร่วมกันอีก มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกับอาจารย์อีก เข้มแข็งนะ รักษาหัวใจแห่งนักสู้ด้วยจิตใจที่อุทิศเสียสละ รักษาจิตใจแห่งพุทธะด้วยการรู้คิด รู้ทำด้วยสตินะศิษย์
โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจที่ไม่รู้จักควบคุมให้ดี เรื่องเลวร้ายในโลกเพียงมาทดสอบให้เราได้ชดใช้กรรม จะกลัวอะไรถ้าเข้าใจความจริง จะกลัวอะไรกับความทุกข์เพราะความทุกข์บางครั้งก็ทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง กลับคืนสู่ที่เดิมที่เราเคยมา เข้มแข็งและมีปัญญาที่แท้จริง ธรรมสอนให้ศิษย์ฉลาด ธรรมสอนให้ศิษย์รู้จักคิด ไม่ใช่เอาแต่ใจ ความบริสุทธิ์และความดีงามมีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน แต่บางทีอารมณ์ชั่ววูบทำให้เราหลงผิด สังขารไม่น่าทุกข์เท่ากับใจที่ไม่สู้
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ถูกทาง เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เดินหน้าปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจ อย่ากลัวชะตากรรม เราเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ถ้าหัวใจอ่อนแออะไรก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าหัวใจรู้จักคิดไม่ยึดมั่นถือมั่น เปิดใจได้กว้าง อะไรๆ ก็คือธรรมที่ทำให้เราเห็นธรรม หัวใจแรกเริ่มหายไปไหน หลงทางหรือไม่ อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด รักษาความดีด้วยหัวใจที่รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าปล่อยให้เรื่องราวภายนอกทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่ออก แต่จงใช้สติปัญญาแห่งธรรม มองอย่างคนมีธรรม เข้าใจธรรม และเห็นธรรม
อาจารย์คงต้องจากศิษย์แล้วนะ เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในโลกด้วยหัวใจแห่งพุทธะด้วยหัวใจที่มีแต่ธรรมไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือ มีแต่ธรรมที่คงไว้ ธรรมที่เป็นกลาง อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงแล้วทำให้ตัวเองเวียนวนในวัฏสงสารเลยนะศิษย์


  พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดับทุกข์ที่ทุกข์”
 
     อย่าท้อใจกับความทุกข์ในชีวิต                อย่าสิ้นคิดอย่าท้อแท้อย่าหมดหวัง
ล้มเพื่อลุกทุกข์ยิ่งปลุกแรงพลัง                    ขอเพียงยังศรัทธาในคุณค่าตน
ดึงสติเรียกขวัญกำลังใจ                             ไม่มีใครสุขสมบูรณ์ได้ทุกหน
โลกธรรมธรรมดาโลกเตือนใจตน                  สัจธรรมดลจิตตื่นรู้ในทาง
     เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป                              เวียนหมุนอยู่ในความว่าง
สงบบรรจบสว่าง                                     กระจ่างธรรมเป็นหนึ่งเดียว



  (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมก่อนไปเมตตานักเรียน)

อาจารย์ฝากบอกไปอย่างหนึ่ง ช่วงนี้มีหลายคนที่เจ็บป่วย ไม่ว่าจะทางสายนี้หรือทางสายไหนก็ตาม อาจารย์มักพูดอยู่อย่างหนึ่งที่พูดซ้ำๆ บ่อยๆ อาจารย์ขอให้เอาสิ่งที่อาจารย์พูดซ้ำบ่อยๆ ไปเป็นกำลังใจเรียกให้เขามีสติ
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตญาณคือความเข้าใจแท้จริงแห่งสภาวธรรม
กรรมของสังขาร มีเพื่อสอนให้เรารู้จักปลดปลงแต่หน้าที่ของจิตญาณเดิมแท้คือตื่นรู้ในความเป็นจริงและกลับคืนสู่ธรรม
เรามีกรรมเพียงสังขาร อย่าให้มันลากจิตทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตคือตื่นรู้ กลับคืนสู่สภาวธรรมและปลดปลงในการยึดถือตัวตน
ฝากไปให้กำลังใจพร้อมกับคำความหมายที่เรียกสติเขากลับมา ว่าอย่าไปยึดในสังขาร เพราะสังขารมีทุกข์เป็นธรรมดาแต่จิตเดิมแท้เราไม่เคยมีตัวตนให้ทุกข์นะ แต่การยึดมั่นและหลงผิดก่อเกิดให้เรายึดถือและหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรม ฉะนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ฝากไปให้กำลังใจ อาจารย์ไม่ให้ผลไม้นะ อาจารย์ขอเป็นคำพูดเตือนสติเรียกกำลังใจกลับคืนมา ใจเราเข้มแข็งได้ก็อ่อนแอได้ แต่จริงๆ แล้วใจเดิมแท้เข้มแข็งและอ่อนแอมันก็คือใจแห่งธรรม ฉะนั้นตื่นรู้นะ อย่ารอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปลดปลงปล่อยวาง แต่เราต้องรู้ก่อน รู้และเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมชาติของสังขาร ไม่ใช่ธรรมชาติของจิตเดิมแท้ของเรา จริงไหม (จริง)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสภาวธรรมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือยอมรับความจริง


(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมรอบ 2 หลังจากเสด็จกลับไปแล้ว )

( พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายเพลงธรรมที่เมตตาประทานให้ )  

 " ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง  หนทางไม่มีสายกลาง ก็เลยวุ่นวาย" 

  ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างการทำดี กับการบำเพ็ญ ฉะนั้นเราบำเพ็ญหรือเราแค่ทำดี ตอบได้หรือยัง ถ้าแค่ทำดี เราก็ไม่ได้ขัดเกลาตัวเอง การบำเพ็ญคือการทำดีด้วยแล้วต้องขัดเกลาตัวเองด้วย อาจารย์ก็เลยถามว่า บำเพ็ญหรือเพียงแค่ทำดี  บอกตัวเองได้หรือยัง ว่าสิ่งที่เราทำมันมีทางสายกลางไหม ถ้าไม่มีทางสายกลาง ไม่ได้แก้ไขตัวเอง ทำแต่สิ่งที่ดี มันไม่พ้นวุ่นวาย

เนื้อเพลง "บำเพ็ญต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"   ให้เว้นวรรค  "บำเพ็ญ...ต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"
ถ้าศิษย์ใช้คำว่า ต้องทน แปลว่า ศิษย์ก็ยังไม่รู้ใจตัวเอง เพราะว่าเราฝึกฝนบำเพ็ญคือ เราขัดเกลาตัวตนจนไม่เหลือตัวตนให้นึกถึง มันเป็นการที่เราไม่ต้องใช้คำว่า ต้องทน ถ้าศิษย์บอกว่า “บำเพ็ญต้องทน” เขาจะเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรมต้องทน    มันไม่ได้  ให้เว้นจังหวะเวลาร้อง

    " คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา  "
  เข้าใจสิ่งที่อาจารย์บอกไหม  เวลามีเรื่องอะไร บางทีเราชอบเสนอ เราชอบออกความคิดเห็น จนทำให้เราไม่มีโอกาสเปิดกว้างในการที่จะรับรู้เรื่องราว  เหมือนเวลาเขามีเรื่องพูดอะไรขึ้นมา มีไหมที่เราจะอดใจรับฟังคนอื่นได้  ส่วนใหญ่เราจะพ้อว่า ทำไมเธอไม่ทำอย่างนี้อย่างนั้น  ทำไมไม่ทำแบบนั้น  ฉะนั้นถ้าคนเราตั้งใจจริงๆ เราจะไม่ชิงพูดจา เราจะรู้จักนิ่งก่อน แล้วฟังเรื่องราวให้ชัดๆ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาตั้งใจ  เวลามีอะไรขึ้นมา ฉันคิดอย่างนี้ ทำไมเธอไม่เป็นแบบนี้ นี่แหละความหมาย
  แต่บางครั้งที่อาจารย์ไม่อยากอธิบายกลอนหรือเพลง เพราะว่า กลัวว่า ถ้าอาจารย์อธิบาย แล้วมันจะกลายเป็นการตีกรอบ แล้วศิษย์ก็จะมองได้แค่กรอบ ที่ศิษย์คิดว่าอาจารย์ตีให้ ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ลองไปคิด พิจารณาจนให้เข้าใจ มองตามเรื่องราวที่เวลาเราเป็นแบบนี้  เวลาเราตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ  เราควรจะรับฟังเรื่องราวมากกว่าที่จะเอาแต่พูด เสนอความคิดเห็น ใช่ไหม
        อย่างที่อาจารย์บอกนะ  ฝากไปด้วย แล้วก็ฝากไปให้กับทุกๆ คนที่ป่วย แม้แต่ตัวเราเองนะ เวลาเจ็บป่วย เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่ได้ให้เรายึดเพื่อทุกข์ แต่เพื่อให้เราปลดปลงเข้าถึงความจริง ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่เราเกิดแก่เจ็บตายเหมือนที่อาจารย์บอก ก้าวมันต้องก้าวให้ถึง ไปแล้วไปให้ถึงที่สุด เราจะแค่ทุกข์ หรือว่าเราจะก้าวจนมองเห็นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม มองเห็นสภาวธรรมที่มันเกิดดับเกิดดับ แล้วมีแค่เราที่เป็นแค่ตัวรู้ แต่ไม่ใช่เราที่เป็นตัวตนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงย้ำแล้วย้ำอีกในการศึกษาธรรมว่า  เราจะต้องลงแรงรู้ ยั้งคิด  เหมือนเวลามีอะไรเกิดขึ้น เราควรหรือที่จะเกิดมาเพื่อเจ็บแล้วตายแค่นั้น  หรือเราควรที่จะเกิดมาเพื่อเรียนรู้ความเจ็บตาย จนเข้าถึงสัจธรรม ศิษย์จะเอาอันไหน แล้วจริงๆ แล้ว ชีวิตเราเพื่อให้เข้าไปสู่อันไหน เพื่อแค่ทุกข์แล้วเวียนในทุกข์ หรือว่าเพื่อเราเห็นแจ้งในความจริง  ใช่ไหม แล้วอาจารย์ควรให้ศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงความทุกข์ที่แท้ที่เรียกว่า ธรรม  ที่มันไม่เคยมีอะไรจริงแท้  
        (ตอนนี้มันยังทำไม่ได้)   นี่แหละที่คิดว่า "ตอนนี้ " ก็คือยึดติด   ถ้ายังบอกว่าไม่ได้ นั่นก็คือยึดติด ยึดติดความเป็นตนทั้งนั้นเลย มันยากอาจารย์ พอพูดว่า "มันยาก " แปลว่า เรามีตัวตนแล้ว  พอบอกว่า "ไม่ได้ อาจารย์ ไม่ได้"  แปลว่า เรายึดติดตัวตนแล้ว แต่ธรรมไม่มีคำว่า "ได้ "  หรือ "ไม่ได้ " แต่มันแค่รู้ แค่เห็น แล้วก็แค่นั้น  คือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวเราเข้าไป “ได้”  ไม่มีตัวเราเข้าไป “ใช่ หรือ ไม่ใช่”     อาจารย์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เข้าใจไหม





** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก วันที่ ๒๙ เมษายน – ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐   
แก้ไขกลอนพระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๕
เดิม     ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ  แก้เป็น  รักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๙
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว                         พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้เป็น แรงทิฐิยามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว        ห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๖  บรรทัดที่ ๒
เดิม     ล้มไปแต่โทษธรรมะ        แก้เป็น   ล้มไปโทษแต่ธรรมะ
หน้า ๑๖  บรรทัดที่ ๕
เดิม  อะไรเป็นอะไรดูดายกับความเฉย
แก้เป็น  อะไรเป็นอะไรดูดายกับวางเฉย
แก้ไขกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  บรรทัดที่ ๔
เดิม     อย่าเป็นคนหากมีจิตทุคติ           แก้เป็น ยามเป็นคนอย่ามีจิตทุคติ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ  แก้ไข  “ละ” เป็น “รัก”
เดิม     แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว  แก้ไข  “อย่า” เป็น  “ยาม”
เดิม     พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล  แก้ไข  “พ่วง” เป็น “ห้วง”
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๑-๒ เมษายน ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๖ 
เดิม     วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ  แก้เป็น วัฏฏะไม่มีเลยที่จะยอมจบ
แก้ไขกลอนพระอาจารย์จี้กง  หน้า ๑๓  กลอนวรรคสุดท้าย
เดิม     ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้เป็น          ฝืนสู้จะละหวั่นหรือดีให้ฝึกบำเพ็ญ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้ไข  “ฝึก” แก้เป็น “ฝืน” และ “รีบ” แก้เป็น “ฝึก”
เดิม     วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้ไข  “ไม่” แก้เป็น “จะ” 

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-29 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก


元二〇一七年嵗次丁酉四月初四日                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ 
  มีจิตสำนึกดีงามอันถูกต้อง                เป็นหลักคล้องธรรมนำใจให้ประสาน
หัวใจแห่งผู้บำเพ็ญผู้รู้กาล                   ย่อมรังสรรค์ทุกสิ่งอย่างตามเหมาะควร
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา            ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  มีสติอยู่ในโลกนี้ให้เป็น                     ยามนี้โลกอยู่ยากเย็นเกณฑ์สะสาง
ได้เกิดเป็นคนแล้วเดินถูกทาง               บำเพ็ญได้ไม่รู้หลายอย่างไม่เป็นไร
อะไรหมดทุกอย่างมีผุดในจิต               เสียดายจิตจากมาไกลไร้เหนือใต้
เชิญจิตสำนึกเป็นเข็มทิศแห่งใจ            คนเหลวไหลสำนึกได้กลายเป็นคนดี
ธรรมดั่งกาวผนึกที่ดีที่สุด                    เปรียบได้ดุจระหว่างโมโหกลับมีสติ
เชื่อมสำนึกรู้ความคิดอย่างมีสติ            ละรักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
ความเห็นแก่ตัวลดทอนบุญวาสนา        ชอบทำดีหวังผลพาให้ถลำ
อย่าเป็นคนไร้เมตตาคนใจดำ                ปฏิบัติธรรมกลายเมตตากลายเป็นหนึ่งเดียว
ร้ายกว่าดีอวดเป็นโทษอัตตาตน            ธรรมมีคนคนมีธรรมโปรดเฉลียว
แรงทิฐิอย่ายามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว         พ่วงห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
ดวงจิตมีหลากหลายไม่จบสิ้น               ในชาตินี้ยลยินจนน่าสงสาร
ไม่ตรงตรงแม้เป็นเรื่องแสนสามัญ         คำไหนมองไม่ทางการระวังระไว

ฮา ฮา หยุด
 
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ 

หากชีวิตคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้หรือการเรียนรู้คือส่วนหนึ่งของชีวิต  วันนี้เราก็มาเรียนรู้ชีวิตและธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากชีวิตคือการเรียนรู้  วันนี้ก็คือบทเรียนบทเรียนหนึ่งที่ได้ฝึกให้เรารู้จักว่าชีวิตและความอดทนของเรามีมากแค่ไหน  ฟังธรรมะใช้ความเข้าใจหรือใช้ความอดทน (ความเข้าใจ, ความอดทน)
ใช้ความเข้าใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจก็แปลว่าฟังเรื่อยๆ แต่ถ้าใช้ความอดทนก็จะไปได้ไม่เรื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ แปลว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนมีคุณค่าให้เราได้เรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้ง ดวงตา ความคิด ก็หลอกเราได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดวงตาเราเองยังหลอกเราเลย เช่นบางครั้งเราว่าเราเห็น แต่พอไปถึงกลับไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเหมือนว่ามีแต่ถึงที่สุดก็เหมือนไม่มี ฉะนั้นอะไรจริง อะไรเท็จ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นลวงหลอก ตัวเราเองจึงต้องรู้จักมีสติพินิจพิจารณาก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเกิดมามีคุณค่าให้เราเรียนรู้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนเลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราควรดูถูกใครไหม (ไม่ควร)  เราควรรังเกียจใครไหม (ไม่ควร)  แต่ที่แล้วมาเราเคยดูถูกใครไหม ที่แล้วมาเราเคยรังเกียจใครไหม (เคย)  ถ้าทุกสิ่งมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ชีวิต และรู้ไหมว่าการเรียนรู้ชีวิตนั้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้เราเรียนรู้นั้น ยังทำให้เราเข้าใจตัวเราเองอีกด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่เขาว่าเรา เราก็เรียนรู้ได้ว่าเราอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน  เหมือนที่เขาชมเรา เราก็ได้เรียนรู้ตัวเราเองว่า เราเป็นคนบ้ายอหรือเปล่า ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นถ้าชีวิตคือการเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าล้วนมีคุณค่า และสามารถตรวจสอบ และทำให้เรามองเห็นใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่มนุษย์มักพูดกันว่า คนเราบางคนเกิดมาเหมือนต้นหญ้าเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไร  แม้เราจะเป็นต้นหญ้าที่ถูกคนเหยียบย่ำ ถึงอย่างไรเราก็ยังต้องเติบโตและก้าวต่อไป แล้วนับประสาอะไร ถ้าชีวิตเรายิ่งใหญ่ เติบโตเหมือนต้นไม้ใหญ่ ถ้าวันหนึ่งถูกคนลิด ถูกคนตัดทอน เราก็ยังต้องเข้มแข็งและก้าวต่อไปเช่นกัน  ฉะนั้นไม่ว่าชีวิตเราจะมีคุณค่าเหมือนต้นหญ้าเล็ก หรือเหมือนต้นไม้ใหญ่นั้นไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าเรากำลังทำสิ่งใด และเมื่อเราทำสิ่งนั้น จำเป็นไหมว่าจะต้องมีทุกคนชื่นชม (ไม่จำเป็น)  ไม่จำเป็นใช่หรือไม่ มีคนชมก็ต้องมีคนว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วไยหนอเกิดเป็นคนถูกว่าจึงรับไม่ได้ ถูกตำหนิถูกถากถางจึงทุกข์เจ็บปวด ในเมื่อสักครู่นี้ท่านบอกเราว่าเมื่อเราทำอะไรก็ตามเป็นไปได้ไหมว่าจะต้องมีทุกคนชื่นชม  เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเมื่อเวลามาพบกับตัวเราถึงรับไม่ได้ เวลาถูกคนนินทาเจ็บใจไหม (ไม่เจ็บ)  ไม่เจ็บเพราะเราไม่ได้เอาคำนั้นมาเป็นมีดกรีดใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีดจะคมมากแค่ไหนก็อยู่ที่ว่าเราถือสาหาความกับคำพูดที่เขาว่าเรามากเพียงใด มีดนั้นอาจจะไม่คมจนแทงเราได้  ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นในเวลาเราทำการสิ่งใดเป็นไปได้ไหมที่จะหวังให้ทุกคนเข้าใจเรา แล้วทำไมเวลาถูกคนเข้าใจผิดจึงตีอกชกหัวตัวเอง และหวังให้ทุกคนเขาเข้าใจเราไปทั้งหมดได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราทำสิ่งใด  ถ้าสิ่งนั้นเราทำอย่างสุดจิตสุดใจ  ทำอย่างถูกต้องชอบธรรม ทำแล้วไม่อายฟ้าไม่อายดิน มีศีลธรรมของความเป็นคน ไยต้องกังวลกับคำนินทา ไยต้องกังวลกับความเข้าใจผิดของผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามีชีวิตแม้จะมีแผลที่ถูกคนว่าจนเต็มตัว แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจและยิ้มสู้กับชีวิตไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) เข้าใจที่เราพูดบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)
ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่ต้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะมีความสุข แม้ระหว่างทางชีวิตจะมีคนชมหรือมีคนว่า จะมีคนเข้าใจหรือมีคนไม่เข้าใจ เพราะอะไร เราลองถามตัวเองก่อนสิ ว่ามีศีลธรรมหรือไม่ ทำเต็มที่สุดกำลังหรือไม่ ทำเต็มที่แล้วและไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน  ทำแล้วถูกคนว่า ทำแล้วคนไม่เข้าใจ แม้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว จะถูกคนว่า คนเยาะเย้ย แม้จะต้องถูกคนว่าถากถางนินทา ใช่ว่าจะยิ้มไม่ออก จริงหรือไม่ (จริง)       ถ้าเข้าใจตรงนี้ชีวิตก็ไม่ยาก และถ้าเข้าใจตรงนี้เราจะเกลียดใครหรือไม่ (ไม่เกลียด)  คำนินทาว่าร้าย การถูกเข้าใจผิด กลับจะทำให้เรายิ่งแข็งแกร่ง   ท่านว่ามีใครบ้างที่ไม่ถูกนินทา (ไม่มี)  อย่างนั้นแปลว่าการนินทาเป็นเรื่องปกติและธรรมดา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้สึกผิดปกติ และไม่ธรรมดานั่นแปลว่าเรายึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากจะหาเรื่องหาราว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถามท่านนะว่า อยากมีมิตรหรืออยากมีศัตรู (มีมิตร) อยากสงบหรืออยากวุ่นวาย (อยากสงบ)  อย่างนั้นควรคิดอย่างคนที่เข้าใจ หรือควรคิดอย่างคนที่โกรธที่เขาว่า ที่เขาด่าเรา (คิดอย่างคนที่เข้าใจ)  นั่นอย่างไร ก็รู้อยู่เต็มอก อยากได้มิตรมากกว่าศัตรูไยจึงโกรธเคืองเคียดแค้นชิงชัง  อยากได้สันติมากกว่าความวุ่นวายไยจึงถือสาหาความเอาเรื่องเอาราว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้บางครั้งต้องรักษาสมดุล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ควรดีเกินไปและไม่ควรร้ายเกินไป อย่างนั้นแปลว่าเราต้องมีแต่ดีไม่มีร้าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่เรารู้สึกว่ามนุษย์ในโลกนี้พยายามรักษาสมดุลนะ “ฉันดีเกินไปแล้ว ฉันต้องร้ายให้เขาดูบ้าง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นมนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “เวลาฉันดีเกินเธอก็ได้ใจ ฉันก็ต้องร้ายให้เธอเห็นหน่อยจะได้รู้ฤทธิ์เดชของฉันบ้าง”  ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  คนเราต้องมีทั้งดีและร้ายอยู่ในตัวเดียวกัน
ในสมัยก่อนตอนเด็กๆ เรามักจะถูกผู้ใหญ่สอนให้จำ จำได้มากๆ คือความฉลาด คนที่ไม่จำคือคนที่ไม่ฉลาด แต่ทำไมยิ่งโตขึ้นจำมากๆ ความฉลาดกลายเป็นความทุกข์  จำมากก็ยิ่ง (ทุกข์) อย่างนั้นความจำดี ความจำได้เป็นความฉลาดใช่หรือไม่
ตอนเป็นเด็กเราถูกสอนให้รู้จักคิด คิดให้เป็น คิดให้ได้ ถึงจะเป็นเด็กฉลาด แต่ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นคิดมากแล้วกลายเป็นยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนเด็กๆ เรารู้ว่าการได้คือความสุข การมีคนให้อะไรเรา  การได้ครอบครองอะไรสักอย่างเป็นของตนเองเป็นความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนโตยิ่งอยากได้ ยิ่งอยากครอบครอง คนกลับมองเราว่าเห็นแก่ตัว  เอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนเด็กๆ เราถูกสอนว่าทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ทำอะไรต้องทำให้ยิ่งใหญ่ ทำอะไรต้องทำให้ดีให้งาม แต่ทำไมยิ่งเราทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งพยายามทำอะไรให้สำเร็จ เรากลับยิ่งโดดเดี่ยวไร้คนเข้าใจ
ชีวิตต้องมีความสมดุลระหว่างดีกับร้าย จริงไหม แต่ความสมดุลนั้นเราขอเป็นผู้ที่เรียกว่าเป็นคนดีไม่เป็นคนร้าย ใช่ไหม (ใช่)  แต่บางครั้งในชีวิตจริง เราก็ต้องร้าย ใช่หรือไม่  นั่นคือบางครั้งเรายอมเป็นคนดีเพื่อให้คนอื่นเป็นคนร้าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  หรือเรายอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นเราถามจากใจท่านจริงๆ มีไหมที่ท่านกล้าพูดว่าทุกคนในโลกล้วนต่างก็มีดี (กล้า)  ในเมื่อถ้าท่านไม่ยอมรับว่าชีวิตคือความสมดุล วันหนึ่งเราร้ายได้ แต่วันหนึ่งเราก็ดีได้ แต่ขอแค่เราไม่สูญเสียความเป็นคนที่ถูกต้อง เหมือนที่เมื่อสักครู่เราบอกท่านตั้งแต่ต้น เราถูกเขาว่าร้ายได้ เราถูกเขาเข้าใจผิดได้ เราถูกเขาว่าเป็นคนไม่ดีได้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราดีหรือเราร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งการยอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นคนดี ผิดหรือไม่ผิด (ไม่ผิด)  ได้หรือไม่ได้ (ได้)  แล้วเมื่อสักครู่ทำไมตอบว่าไม่ได้ เพราะมนุษย์คิดแค่เพียงว่าฉันต้องดีห้ามร้าย ใช่หรือไม่ แต่บางครั้งการยอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นได้ดีมันก็เรียกว่าสุดยอดของความดี ใช่ไหม (ใช่)
การถูกคนเขาเข้าใจผิดบ้าง ถูกคนเขาว่าบ้างแล้วทำให้คนอื่นเขาดีขึ้น ทำให้คนอื่นสบายใจ ผิดหรือไม่ (ไม่ผิด)  ฉะนั้นมนุษย์รู้จักรักษาสมดุลระหว่างดีร้าย จะกลัวอะไรกับการถูกเหยียดหยาม จะกลัวอะไรกับการถูกเข้าใจผิดและจะกลัวอะไรกับคำว่า “ไอ้ชั่วร้าย” ถ้าเรารู้แก่ใจตัวเองว่าเราทำอะไร แต่มนุษย์กลับไม่เข้าใจ มนุษย์เวลาทำอะไรชอบสุดโต่ง เมื่อถูกสอนให้จำก็เอาแต่จำ ตอนเด็กถูกสอนว่า “ใครจำเก่ง ใครจำได้ฉลาด” แต่ตอนนี้เป็นอย่างไรจำเก่งจำได้ฉลาดหรือว่าเป็นอย่างไร ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้มนุษย์อย่าลืมคำว่าสมดุล ทำสิ่งหนึ่งต้องไม่ลืมมองอีกสิ่งหนึ่งหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรมะ เมื่อเราจำมากๆ ธรรมะจึงสอนให้เรารู้ว่าอภัยคืออะไร เหมือนชีวิตถูกสอนมาว่าคิดได้คิดเป็นคือคนฉลาด แต่ตอนนี้คิดจนวางไม่ได้วางไม่เป็นเป็นคนทุกข์ หรือคิดมากจนทุกข์หรือทุกข์จนคิดมาก เราทุกข์เพราะความคิดหรือเราทุกข์เพราะเขาว่า (ความคิด)  แล้วเป็นอย่างไรคิดได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ก็ยังต้องคิดอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์และยิ่งคิดมากก็กลายเป็นคนที่ไม่มองความจริง อยู่กับความคิดจนลืมมองความจริง แล้วยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ คิดแล้วนึกว่าจะหายทุกข์ก็กลายเป็นทุกข์ใหญ่แถมวางความคิดไม่ได้อีก ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักรู้ทันมีสติยั้งคิด ธรรมะจึงทำให้มนุษย์รู้จักคำว่าสมดุล แต่มนุษย์มักจะรังเกียจการมีธรรมแล้วบอกว่า “ผมก็ได้แค่นี้” “หนูก็เป็นแค่นี้จะเอาอะไร” ผลสุดท้ายก็ต้องทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมช่วยให้เราถ่วงดุลการดำเนินชีวิต ให้รู้จักคำว่าสมดุลคืออะไร ธรรมจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด  ฉะนั้นหากศึกษาธรรมมากแต่ถึงเวลายังวางความคิดไม่ได้แปลว่าไม่เคยมีสติยั้ง (คิด) เอาแต่ (คิด)
ตอนเด็กเราถูกสอนให้รู้ว่าการได้รับของของใครมาเป็นความสุข การได้ครอบครองอะไรเป็นความสุข ฉะนั้นเราจึงมีจิตที่ผูกพันกับการอยากมีอยากได้มาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กเราไม่เคยมีอะไรที่เป็นของตนเอง พอได้มีอะไรเป็นของตนเองเราเรียกว่าความสุข แต่ยิ่งมีมาก ความสุขนั้นเป็นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ และน่ากลัวที่สุดคือกลายเป็นคนโลภโมโทสัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรที่ช่วยถ่วงดุลความคิด ความหลงของการมีชีวิต ให้เราไม่กลายเป็นความเห็นแก่ตัว และโลภโมโทสัน อยากได้จนเกินงาม ตอบได้หรือไม่
(การให้)  การให้หรือที่พระพุทธะสอน ที่เรียกว่าทำบุญ ใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่ถ่วงดุล ทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภ ไม่กลายเป็นคนที่อยากจนเกินงาม ไม่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เมื่ออยู่ในโลกนี้ ธรรมะสอนให้เรารู้จักการให้ ใช่หรือไม่
แต่ทำไมมนุษย์จึงลืมเรื่องนี้ไป เพราะโดยส่วนใหญ่เราไม่เคยทำบุญเพื่อให้ แต่ทุกครั้งที่เราทำบุญ เรากลับขอ ใช่ไหม (ใช่) 
แต่บุญคือการสละให้ ไม่ยึดถือ บุญคือการสละให้เพื่อไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
บุญคือการสละให้เพื่อไม่ให้เราโลภ ไม่ให้เราหลงยึดติดกับวัตถุ รูปนามจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  บุญคือการสละให้เพื่อให้เรายอมรับว่า สักวันหนึ่งแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ทำไมปัจจุบันคนเรากลับทำบุญแบบขอ ใช่หรือเปล่า เช่นนี้แล้วจะเรียกว่าได้บุญไหม (ไม่ได้)  แต่ได้อะไรกลับไป  ได้กิเลสความหลงความโลภ ทั้งที่จริงๆ แล้ว จุดมุ่งหมายของการทำบุญคือเพื่อสละ ละ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไปทำบุญแล้วยังอยาก โลภ หลง ก็แปลว่าเรายังทำไม่ได้ถึงบุญ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่กลายเป็นยิ่งทำยิ่งติดในบุญ หลงในบุญ ก็กลายเป็นหนีไม่พ้นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งที่เราพูดทิ้งไว้ จำได้ไหม ตอนเด็กๆ เราถูกสอนให้ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  สำเร็จจนถึงที่สุดอย่างไรก็ต้องกลับมาเป็นคนธรรมดา ฉะนั้นอย่ายึดติดกับยศถา ตำแหน่งจนลืมความเป็นคนธรรมดา เพราะถึงที่สุดไม่ว่าจะรวย มั่งมี ยิ่งใหญ่ขนาดไหน สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาในการอยู่ร่วมกันคือความเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ใช่ติดว่า “เธอเป็นใคร ฉันเป็นใคร ให้รู้บ้างว่าใครจบสูงกว่าใคร” ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นความสำเร็จไม่ได้ต้องการมาเพื่อเอาไว้อวดใครหรือยึดติดสิ่งใด แต่สิ่งสำคัญที่เราเรียนรู้ก็คือว่า เมื่อสำเร็จ เมื่อสูงที่สุด สิ่งที่ต้องกลับมาก็คือความเป็นคนเหมือนกัน เราอยากคุยกับคนธรรมดาหรือเราอยากคุยกับดอกเตอร์ (คนธรรมดา)  เราอยากมีแฟนเป็น ผอ. หรือคนธรรมดา ตอนแรกอยากได้ ผอ. แต่เวลาคุยกันอยากได้ (คนธรรมดา) ใช่ไหม   เราอยากมีลูกจบดอกเตอร์ จบปริญญาโท ใช่ไหม แต่ถ้าลูกเอาปริญญาโทมาคุยกับพ่อแม่ พ่อแม่อยากได้ปริญญาโทจากลูกไหม (ไม่อยาก)  ทำไมล่ะ ฉะนั้นความสำเร็จคือส่วนหนึ่งของชีวิต แต่อย่าเอาความสำเร็จมาปิดกั้นทำให้เราหลงลืมความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่า คนทุกคนสูงขนาดไหน คนทุกคนร่ำรวยมั่งมีขนาดไหน แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือถึงที่สุด คุณก็คือคนธรรมดา
ทุกคนก็ต้องการคนที่เป็นดอกเตอร์ แล้วถึงที่สุดเลือกดอกเตอร์หรือเลือกคนธรรมดา เราต้องการให้ทุกท่านรู้ว่าถ้าเลือกสิ่งหนึ่ง ก็ต้องยอมรับอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าเลือกจะมีลูกที่เป็นดอกเตอร์เมื่อลูกคุยกับเราที่เรียนจบ ป.๑ ป.๒ ไม่รู้เรื่อง เราก็จะต้องยอมรับให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันหนึ่งก็ต้องบอกลูกให้เข้าใจว่า ลูกเอ๋ย จบสูงแต่ถึงที่สุดคนทุกคนในโลกก็ต้องการคนธรรมดา ที่คุยกันอย่างธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ให้เราเข้าใจความสมดุลแห่งชีวิต อย่ายึดติดสิ่งใดจนลืมมองอีกสิ่งหนึ่งว่ามีคุณค่า อย่างนั้นถ้าเราถามท่านนะว่า ตอนเด็กๆ เราถูกสอนให้เป็นคนดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าวันหนึ่งเราถูกว่า “เราเป็นคนไม่ดี” ได้ไหม (ได้)  ตอนนี้ตอบเราได้เต็มปากเต็มคำแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตอบได้เต็มปากเต็มคำ ถึงเวลาถูกว่าจะโกรธเขาไหม สิ่งที่สำคัญคือรักษาความสมดุลในใจ ถ้ายอมถอยแล้วทำให้เขามีความสุข ถ้ายอมผิดบ้างแล้วทำให้เขาเป็นคนถูก ถ้ายอมไม่ดีบ้างแล้วทำให้เขาได้ดีขึ้น ทำไมไม่ลองทำ ดีกว่ายืนยันถือมั่นในเหตุผลว่าฉันถูกแกผิด ฉันดีแกร้าย แล้วถึงที่สุดใครเล่าที่เสียใจ  อย่างนั้นตอนนี้ยอมร้ายดีไหม (ดี)  ยอมผิดได้ไหม (ได้)  แล้วร้ายจริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  ค่อยชื่นใจหน่อยนะ เพราะถามจริงๆ แล้วโดยลึกๆ ใครหรือดีที่สุด ใครหรือดีจริงๆ ทุกคนก็ล้วนมีสิ่งที่ร้ายอยู่ในใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าถูกเขาว่าร้ายก็ควรหันกลับมามองตัวเองว่าร้ายจริงหรือเปล่า และควรจะขอบคุณเขาที่ทำให้เราเห็นตัวเอง
เราถามท่านต่อนะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราอยู่ในโลกนี้แล้วหวังจะมีแต่สิ่งดีไม่มีสิ่งร้าย มีแต่สุขไม่มีทุกข์  มีแต่แข็งแรง ไม่มีเจ็บป่วย  (ไม่ได้) แต่ทำไมเราเห็นคนบนโลกเวลาพบพระจะไหว้เพื่อขอทุกครั้งเลย  คนที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ได้แต่ยังขอนี้เรียกว่าอะไรหนอ
ภาษาบนโลกนี้เรียกว่า “ความสบายใจ”  แต่ภาษาเราเรียกว่า “หลอกตัวเอง” เป็นไปได้ไหมที่เราจะหวังอยู่ในโลกไม่มีวันสูญเสีย เป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกมีแต่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย มีแต่โชคดีไม่โชคร้าย มีแต่สุขไม่มีทุกข์ อย่างนั้นถ้าเรารู้ว่าขอแบบนี้แล้วไม่ได้ เรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้เราควรขอหรือไม่ เป็นไปได้ไหมที่อยู่ในโลกนี้มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ อย่างนั้นถ้าเป็นไปไม่ได้แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร ชีวิตคนมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ หรือเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นปกติธรรมดา ฉะนั้นมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีแข็งแรงก็มีเจ็บป่วย มีสมหวังก็มีผิดหวัง มีคนชมก็มีคนด่า หรือเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นสัจธรรมแห่งความเป็นจริงแห่งชีวิตคน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นปกติธรรมดาของทุกชีวิต
ฉะนั้นเมื่อไรเราเจ็บปวดกับการสูญเสีย เมื่อไรเราเจ็บปวดกับการถูกว่า เมื่อเราเจ็บปวดกับความทุกข์แปลว่าหัวใจเรากำลังผิดปกติ และชีวิตเรากำลังไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา เราอยากทำตัวเองให้ไม่ธรรมดา ใช่หรือไม่ ในเมื่อรู้ว่าเป็นปกติธรรมดาของทุกชีวิตที่ต้องพบ เราควรทุกข์กับความปกตินั้นไหม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราผิดปกติธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีศีล มีศีลเพื่อรักษาความปกติของใจ  มีสมาธิเพื่อให้จิตสงบ มีปัญญาเพื่อให้เราเห็นแจ้งความเป็นจริงอันปกติ ฉะนั้นจริงๆ ต้องใช้ปัญญาหรือไม่ ไม่ต้องใช้ถ้าเรายอมรับความจริง แต่เราต้องใช้ปัญญา ศีล และสมาธิเพราะเราไม่ยอมรับความจริง เพราะเรามัวเอาแต่คิด เอาแต่ยึดมั่นอยู่กับความหวัง จนไม่ยอมรับความจริง ธรรมแค่สอนให้เรากลับมาอยู่กับความจริง ฉะนั้นใครที่ไม่สนใจธรรมแสดงว่าไม่สนใจความจริง สนใจแต่ความผิดปกติแล้วทำให้ตนเองทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมสอนให้มนุษย์ปกติหรือสอนให้มนุษย์ผิดปกติ (ปกติ) แต่การปล่อยตามใจตัวเอง ปล่อยตามกิเลสทำให้มนุษย์วุ่นวายและไม่สามารถกลับมาสู่ความสงบที่แท้จริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเรายังจะขอหรือไม่ (ขอ, ไม่ขอ)  ไม่ขอพระ ไม่ขอเขา ไม่ขอใคร แต่ขอที่ใจตนเอง เมื่อไรจะกลับมายอมรับความปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ความจริงอันปกติ ขอพรวัดใด ขอพรเก้าวัด ไม่สู้ขอใจตัวเอง เพราะธรรมสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีเหตุก็ไม่มีผล ไม่มีเหตุปัจจัยเราจะต้องมารับผลของเหตุปัจจัยนั้นหรือไม่ (ไม่) แล้วถ้าเราไม่ยึดเหตุปัจจัยเรายังจะต้องทุกข์กังวลกับผลที่ตามมาหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นไปขอเก้าวัดหรือขอหนึ่งวัดที่ใจตัวเอง  ขอพระศักดิ์สิทธ์ภายนอกหรือขอพระในใจให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเคยได้ยินหรือไม่ ตอนเราพูดอะไรไม่คิด ตัวเราต้องเป็นทาสของคำพูดตัวเอง เคยได้ยินประโยคนี้ไหม เมื่อเรายังไม่รับปากอะไรใคร เราเป็นนายเหนือคำพูด แต่เมื่อเรารับปากอะไรใครไปแล้วเรากลายเป็นทาสของคำพูดที่เรากล่าว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อเราไม่สร้างเหตุ เราไม่ต้องตกเป็นทาสของผลที่ต้องรับชะตากรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดเหตุได้  เราต้องมานั่งแก้ผลหรือไม่ (ไม่) อย่างนั้นท่านเคยได้ยินคำพูดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ อย่าลืมนะ เพราะสิ่งนั้นคือความปกติที่ต้องคอยย้ำเตือนในจิตใจเราว่า เป็นปกติและต้องทำใจเราให้ปกติรับให้ได้
สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความเปลี่ยนแปลงและกลับไปสู่ความดับ ใดๆ ในโลกเราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เมื่อวันหนึ่งมันเปลี่ยนแปลงและกลับไปสู่ความดับ ทุกข์จะอยู่ที่ใด ใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่แหละคือแก่นของหลักธรรม หากท่านเข้าใจท่านจะสามารถพลิกจากสิ่งที่ทุกข์ที่สุดให้กลายเป็นไม่ทุกข์  และไม่ต้องทำอะไร มันก็จะจางหายไปเอง  เหมือนกับที่มนุษย์มักพูดว่าเวลาช่วยเยียวยาใจ เพราะทุกสิ่งมีการเกิดแล้วก็มีการ (ดับ) แต่ที่เรายังมีความทุกข์อยู่เพราะเราไปยึดไว้
พระพุทธะบอกว่าเรื่องราวต่างๆ จบไปแล้ว แต่ใจเราต่างหากที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวต่างๆ ผ่านไปแล้วแต่ใจเราไม่เคยปล่อยวาง ยังยึดมั่นถือมั่น เราจึงทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงว่าสิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะจิต   ที่เรายังไม่ทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะเรายึด ไม่ปล่อยวาง ห่วงจนถึงที่สุด อย่างนั้นเราถามว่าสิ่งที่เรายึดในโลกนี้มีอะไรเป็นของท่าน มีหรือไม่ (ไม่มี) แล้วตอนนี้โกรธเกลียดอะไร หลงอะไร โลภอะไร และยังอยากได้อะไรในเมื่อถึงที่สุดก็เอาไปไม่ได้ แล้วยังจะผิดบาปอีกทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ การมาหรือไปก็ไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อน เมื่อยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็หนีไม่พ้นความทุกข์ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่
อย่างนั้นวันนี้เราคงผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก  น่าเสียดายที่บางคนไม่เข้าใจ และน่าเสียดายที่สุดคือฟังแล้วกลับแอบหลับ อุตส่าห์เสียสละมาได้ในวันนี้แต่กลับนั่งหลับ
ไม่เป็นไร เราถือว่าท่านมาพักผ่อน มาฟังธรรมะเพื่อพักผ่อน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ลองไปไตร่ตรองให้ดี ลองไปพิจารณาให้ดี ไม่ได้ให้ท่านมานั่งเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ ไม่ได้ให้ท่านมานั่งแล้วทนทุกข์ แต่ให้ท่านนั่งฟังธรรมแล้วบังเกิดปัญญานำพาให้ตนพ้นทุกข์  เพราะถ้าอยู่ตรงนี้ยังทุกข์อยู่ที่ไหนท่านก็ทุกข์  แต่ท่านอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้วไม่ทุกข์จะอยู่ที่ไหนท่านก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยู่ที่นี่นั่งฟังธรรมยังทุกข์ อยู่ที่ไหนก็คงทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ถ้านั่งอยู่ที่นี่แล้วเกิดความเบิกบานใจไม่ทุกข์ใจ อยู่ที่ไหนความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านจะจัดการแก้ไข ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองถามตัวเองดูให้ดีนะ วันนี้มานั่งเพื่อทุกข์หรือว่ามานั่งเพื่อพ้นทุกข์


วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐          สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
 
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
  เมื่อทำได้ทำดีจึงมีสุข                       เมื่อทำผิดรีบลุกแล้วแก้ไขใหม่
มีสติรู้ตัวทำอะไร                              ฝึกให้ไวรู้ให้ทันสติอารมณ์
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
  คนอยู่เป็นกันเองยิ่งต้องบำเพ็ญ          ฝ่าไปความลำบากเป็นครูผู้ให้
การบำเพ็ญจะช่วยให้สุขสบายใจ          ปฏิบัติมากมากได้เมื่อไรเข้าใจธรรม
เค้นอุเบกขาในหัวจิตหัวใจคน               มาสยบคลื่นใจคนใช่คลื่นน้ำ
มีสำนึกง่ายง่ายย่อมไม่ก่อกรรม            เรื่องแก้ง่ายอย่าทำให้พันพัว
คาดโดยต่างคนคิดต่างมุมมอง              เจ้าไม่ต้องสนใจใครดีชั่ว
ถ้าคนต่างคิดแบบเห็นแก่ตัว                มักต่างอยู่เข้าตัวไม่เหลือใคร

ฮา  ฮา  หยุด
       คิดแล้วก็ลำบาก ชีวิตยุ่งยากจังเลย  เรื่องไหนไม่ต้องเอ่ย บางทีมันก็เยอะเกินไป  บำเพ็ญธรรมะอย่าขาดธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะให้ชั่งใจ  ล้มไปแต่โทษโทษแต่ธรรมะตลอด
       * สติสตังเป็นอะไรไม่เคยจะมีไว้  มักชอบทำตัวตามสบาย  กลับกลายเป็นคนละเลย  อะไรเป็นอะไรดูดายกับความวางเฉย  หลายคนที่เคยดีมากมายก็ยังดีหายไป
       เป็นคนที่มาก่อนบำเพ็ญก็ต้องมากกว่า  หลายครั้งเรื่องตรงหน้า ที่จริงเราก็เยอะไป  มีวันพรุ่งนี้เริ่มที่วันนี้ ตั้งแต่บัดนี้แล้วยิ่งใหญ่  ชีวิตใครลืมหลักธรรมแล้วลำบาก (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง : ดีดีกันไว้

ชื่อเพลง : ชีวิตยุ่งเหมือนยุงตีกัน


 พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
 
ชีวิตบางทีมีทางเลือกอยู่ที่เราจะเลือกเดินหรือเปล่า หรือเรายังจมอยู่กับความคิดและมองหาทางออกไม่พบ
“เมื่อทำได้ทำดีจึงมีสุข        เมื่อทำผิดรีบลุกแล้วแก้ไขใหม่
มีสติรู้ตัวทำอะไร             ฝึกให้ไวรู้ให้ทันสติอารมณ์”
ศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ดีที่ชอบเอาแต่ใจ ใช่หรือเปล่า ดีที่เอาแต่รักตัวกลัวตายอย่างนั้นดีไหม ดีที่เอาแต่รักสบายอย่างนั้นเรียกว่าดีไหม อย่างนั้นเราเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ ใครๆ ชอบเรื่องดี แล้วเราอยู่กับใครเราก็ต้องการคนดี อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า “คำว่าคนดีในใจของศิษย์เป็นอย่างไร”   คนดีไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเราจะพูดดี แต่สิ่งที่พูดดีนั้น ถ้าไปกระทบกระเทือนใจใคร นั่นถือว่าเราพูดดีไหม
(ไม่ดี)  ถึงเราจะพูดจริง แต่คำพูดจริงแล้วไปทำให้ใครเขาเจ็บปวด นั่นดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นคำว่า  “ความดี”  คืออะไรหนอ บางทีเราพยายามทำตัวให้เป็นคนดีที่สุด แต่ถึงที่สุดแล้วบางทีก็ยัง (ไม่ดี)  ศิษย์อาจจะบอกอาจารย์ว่า
“คนดีคือคนที่มีเมตตาธรรม คือคนที่ชอบทำบุญ คือคนที่สวดมนต์เก่ง ใช่ไหม

อาจารย์ถามหน่อย คนทำบุญเก่ง คนสวดมนต์เก่ง แต่ยังชอบนินทาเก่ง เรียกว่าเป็นคนดีได้ไหม (ไม่ได้) ตกลงว่าคนดีคืออะไร เคยไหม เราพยายามทำดีมากๆ จนถึงที่สุด บางทีเราก็ไม่รู้ว่า อะไรเรียกว่าคนดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับ คนดีคือคนที่ทำให้ถูกใจทุกๆ คนถึงจะเรียกว่าดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้น “คนดีคืออะไร” 
(คิดดี พูดดี ทำดี)  คนดีคือคนที่คิดดี พูดดี ทำดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย คนที่คิดดี พูดดี ทำดี แต่ยังละชั่วไม่ได้ จะถือว่าดีไหม
คนที่คิดดี พูดดี ทำดี แต่ละชั่วไม่ได้จะดีหรือไม่ศิษย์ (ไม่ดี)  ฉะนั้นคนดีที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้และอยากให้ศิษย์เป็นคือไม่ใช่คนดีที่ พยายามดีแต่ไม่ละชั่ว คนที่ดีจริงคือคนที่พยายามดีและพยายามละชั่ว ถึงศิษย์จะพยายามดีขนาดไหน แต่ศิษย์ไม่ยอมละชั่วจะเรียกว่าดีได้หรือไม่ (ไม่ได้) ศิษย์บอกศิษย์เป็นคนมีเมตตา เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็ยังขี้โมโห อดด่าไม่ได้ อย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่าศิษย์ที่อาจารย์คุยอยู่ด้วยนี้เป็นคนดีแต่ยังไม่ละชั่วจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นอย่ามาบอกอาจารย์ว่าตนเองเป็นคนดี  เพราะถ้าอยู่ตรงนี้ทำดีแต่อยู่ตรงนั้นทำชั่ว ไม่เรียกว่าดี ดีจริงอยู่ตรงไหนก็ต้องดี จะเอาความดีตรงนี้มาปิดความชั่วที่ทำที่โน่นได้หรือไม่ แทนกันได้หรือไม่ แล้วอย่ามาอ้างว่า
ทำดีแล้วไม่ได้ดี อย่ามาบอกว่าหนูเป็นคนดี ผมเป็นคนดี ทั้งๆที่เรายัง (ไม่ดี) ใช่หรือไม่ (ใช่)

ธรรมะสอนให้ละชั่ว (ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์)  แต่ตอนนี้เราแค่ทำดี แต่ไม่ละชั่ว แล้วเราจะไปถึงความบริสุทธิ์ ได้หรือไม่  อย่างเช่น  เวลาทำบุญไปแล้วก็แอบคิดในใจว่า “พระจะไปถึงวัดหรือไม่ จะแอบเที่ยวหรือเปล่า” หรือ “จะเป็นพระปลอมหรือเปล่า” อย่างนี้เรียกว่าทำดีแต่เจตนาไม่บริสุทธิ์  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นหากศิษย์อยากจะเป็นคนดี ศิษย์ต้องกล้าละชั่วในใจตัวเองให้ได้ หากละชั่วในใจตัวเองไม่ได้ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลงไม่ได้ ศิษย์อย่าบอกว่าเป็นคนดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้คนดีแล้วดียิ่งขึ้น
นอกจากละชั่วแล้ว ทำดีแล้ว มีความคิดที่ถูกต้องแล้วจะทำให้เราดีขึ้น สมมติว่า อาจารย์พยายามละชั่ว อาจารย์เป็นคนดี อะไรที่ไม่ดีอาจารย์พยายามไม่ทำ แต่เวลาพบอะไร “ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ชอบ ก็เบื่อ รำคาญ” แบ่งรักแบ่งชัง อย่างนี้จะดีได้ไหม เพราะใจยังมีแบ่งแยก ใจยังมียึดติด ฉะนั้นคนดีจะดียิ่งขึ้นถ้ามีความคิดที่ถูกต้องอย่างหนึ่งคืออะไรๆ ก็ดี ใครด่ามาก็บอกว่า ดีใครด่ามาก็บอกว่า ดีพบคนโกงก็บอกว่า ดีแฟนไปมีคนใหม่ก็บอกว่า ดีจริงหรือไม่ แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ชอบคนด่า ชอบคนชม คนดีจะมีวันดีขึ้นไหม
ถึงแม้ลูกหลานจะไม่มีดี แต่เราก็พยายามมองให้เห็น ศิษย์เอย มนุษย์ทุกคนเมื่อเขาผิดพลาดไปแล้ว เขาต้องการคนเห็นใจและเข้าใจ  ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะด่าเรา ไม่ว่าเขาจะทำผิดกับเรา  แต่เราคิดเพียงว่า เขาก็มีดีเหมือนกันนะ เราทำให้คนผิด ได้รู้สึกว่าเขาไม่ได้เลวร้าย เขาไม่ได้ถูกขับไล่ไสส่ง เขายังมีคนที่พร้อมจะเข้าใจและให้โอกาสแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีดีแล้วอย่าลืมเพิ่มความดีต่อไป ด้วยการคิดว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างคนขาดทุน หรือศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างคนมีกำไร (กำไร)  ฉะนั้นถ้าเรามองอะไรๆ ก็ดี มันก็คือชีวิตที่มีกำไร  แต่ถ้าเราบอกว่าอะไรๆ ก็แย่ เราก็คือคนที่หาเรื่องวุ่นวายให้กับชีวิต ถูกหรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน  ฉะนั้นคนดีควรใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  คนดีควรคิดว่าอะไรๆ ก็ดี หรือเอาแต่โทษคนอื่นไม่ดี (อะไรๆ ก็ดี)   
ตอนนี้ศิษย์มีสุขหรือมีทุกข์ (สุข)  ถ้ามีทุกข์ก็แปลว่าเป็นคนใจ (แคบ)  บอกเองนะ อาจารย์ไม่ได้ว่าศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทำใจว่างๆ ท่าจะยากนะ ทำใจให้วุ่นๆ ง่ายกว่าทำใจว่างๆ วางความคิดลงได้ชีวิตก็หยุดวุ่นวายได้ทันที แต่ถ้าวางความคิดไม่ลง หยุดความคิดไม่ได้ ชีวิตก็วุ่นวายสับสนไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าสมมติว่าอาจารย์มีความทุกข์อยู่ในใจมันลบไม่ได้ มันวางไม่เคยลง ไปไหนความทุกข์นี้ก็ตามติดอาจารย์ไปตลอด ศิษย์จะตอบอาจารย์ได้ไหมว่าทำอย่างไรให้ความทุกข์นี้มันหายไปจากใจ (แผ่บุญกุศลให้เขา) 
มนุษย์มีความทุกข์เป็นธรรมดา ความทุกข์เป็นเหมือนอะไรที่วนเวียนในความคิดเราตลอด สมมติว่าคนนี้มีความทุกข์ เวลาเรามีความทุกข์จะขจัดความทุกข์ได้อย่างไร บางท่านบอกให้ปล่อยวาง บางท่านบอกให้แผ่กุศล  พอแผ่เมตตาผ่านไปแล้วบอกว่าปล่อยวางแล้ว  แต่สักพักความคิดก็วนกลับมาอีก  ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดนั้นหายไปหรือไม่ (ไม่) แล้วจะต้องทำอย่างไร (ทุกข์ที่ใดก็ดับที่นั่น) ตอบได้ดีนะ แต่หากทุกข์เกิดที่ความคิด แล้วหยุดที่ความคิดไม่ได้ จะทำอย่างไร (เหมือนที่พระอาจารย์บอกว่าให้ทำดี หากมีคนด่าว่ามาเราก็ต้องพิจารณาว่าที่เขาว่านั้นจริงหรือไม่แล้วแก้ไขตนเอง )  อย่างนั้นแปลว่าศิษย์กำลังจะทำทุกข์ให้กลายเป็นสุข วิธีของศิษย์ท่านนี้พยายามมองทุกข์ให้เป็นสุข และพยายามมองร้ายให้กลายเป็นดี  แก้ได้หรือไม่ (ได้) อย่างนั้นหากสามีมีภรรยาใหม่ก็ (ดี)  ภรรยาไปมีสามีใหม่ก็ (ดี)
อีกวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะบอกศิษย์ มนุษย์นี้แปลกถ้าไม่ทุกข์จนเจ็บจนสะใจไม่ยอมปล่อย ชอบเอากลับมาคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์ทุกข์จนถึงที่สุด แล้วมนุษย์จะปล่อยทุกข์เอง”  แต่ส่วนใหญ่เราทุกข์จนถึงที่สุดหรือยัง เข็ดไหม เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ถ้าเข็ดแล้วจะไม่เอาอีก” ถ้าเข็ดกับทุกข์นี้แล้วศิษย์จะยังอยากกลับไปทุกข์กับมันอีกไหม ที่ยังกลับมาวนคิดเพราะว่ายังไม่เข็ด ทุกข์ไม่จำ เจ็บไม่ยอมปล่อย ถ้าเราเจ็บเต็มที่แล้ว เราเข็ดแล้วเราจะเอาทุกข์นั้นไปอีกไหม (ไม่เอา)  มันจะปล่อยเองตามธรรมชาติ แต่ที่เรายังทุกข์แล้วทุกข์อีกเพราะเรายังไม่เข็ด เจ็บไม่จำใช่ไหม ทุกข์แล้วอยากทุกข์อีกใช่ไหม ที่ทุกข์มันไม่ปล่อยนั้นเพราะทุกข์ไม่ปล่อยเราหรือเราไม่ยอมปล่อยทุกข์ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่มนุษย์ทุกข์เพราะมนุษย์นั้นชอบตีกรอบหัวใจตัวเอง ต้องแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น ต้องอย่างนั้นไม่ใช่อย่างนี้ ต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ ต้องมีแต่คำชมไม่มีคำด่า ต้องสามีรักเราคนเดียวห้ามไปรักคนอื่น ยิ่งตีกรอบหัวใจให้สุขแคบมากเท่าไหร่ทุกข์ก็ง่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเราไม่ตีกรอบหัวใจเราว่าอะไรต้องเป็นอย่างไร เราคิดแต่ว่า “อะไรๆ ก็ดี อะไรๆ ก็ได้” เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
วันนี้สิ่งที่อาจารย์มาคุยกับศิษย์คือเรื่องหลักธรรมในการบำเพ็ญตัวเองเพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์   ส่วนใหญ่มนุษย์กลัวความทุกข์ใช่หรือไม่  มีใครไม่กลัวความทุกข์บ้าง (กลัว)  แต่อาจารย์ไม่กลัวทุกข์ เพราะความทุกข์สอนให้เรารู้จักมากกว่าความสุข สอนให้เรารู้จักมากกว่าความดี  รู้หรือไม่ (ไม่รู้)  
มนุษย์บอกว่าชีวิตก็มีความทุกข์มากแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีทุกข์ขึ้นมาแล้ว เราแก้ปัญหาความทุกข์ได้ยากหรือไม่ (ยาก)  เพราะความทุกข์มีหลายประเภท แต่มีความทุกข์บางประเภทที่อาจารย์อยากจะช่วยศิษย์แก้  ศิษย์เคยตีกรอบชีวิตตัวเองหรือไม่ว่า ฉันต้องมีแต่เรื่องดีๆ ต้องมีแต่เรื่องสมหวัง ต้องมีแต่ความสำเร็จ ต้องไม่เจ็บป่วย เคยคิดแบบนี้หรือไม่ (เคย,ไม่เคย)  ส่วนใหญ่ที่มนุษย์ทุกข์เพราะชอบกำหนดว่าฉันต้องได้รับคำชม ไม่ถูกว่า ฉันต้องสำเร็จ ไม่มีล้มเหลว ฉันต้องมีดีไม่มี (ชั่ว)
หากเราถูกว่า เราทำสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จ เราทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แล้วเราจะปลดความทุกข์นี้ได้อย่างไร  ศิษย์บอกให้ทุกคนในโลกนี้ว่าช่วยทำให้ศิษย์สำเร็จ ต้องยิ้มให้ศิษย์ ห้ามทำหน้าบึ้งกับศิษย์ ต้องซื่อตรง ห้ามคดโกง เอาเปรียบศิษย์ ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเปลี่ยนเขาไม่ได้ เปลี่ยนใครดี (ตัวเรา)  เปลี่ยนตัวเราอย่างไร
(วางเฉย) วางเฉยใช่ไหม  ฉะนั้นใครว่าอะไรเรา ว่าเราทำอะไรไม่ดี เราก็วางเฉย ไม่โกรธใช่ไหม แต่ถ้าเราผิดจริง เราจะวางเฉยไหม  ศิษย์เคยได้ยินไหม แก้ไขที่หัวใจตัวเอง วางเฉยเมื่อโดนคนว่า แต่ถ้าเขาว่าเราแล้วเราผิดจริง เราต้องยอมรับว่าตัวเองก็ผิดได้ เราต้องแก้ไขอย่าวางเฉย จริงไหม  บางอย่างถ้าดีก็รับไว้ แต่ถ้าบางอย่างไม่ดีเอามาตรวจสอบใจ ผิดก็แก้ไข ถูกก็พยายามรักษาให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในเมื่อศิษย์รู้ว่าเป็นแบบนี้ เราควรจะตีกรอบชีวิตเราไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นทำดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ฉะนั้นถ้าเราไม่ไปตีกรอบตั้งแต่ต้น เราจะทุกข์ง่ายไหม (ไม่ง่าย) 
อีกอย่างที่มนุษย์ชอบทุกข์คือ ทุกข์ที่ชอบเอาใจเราไปยกให้คนอื่นดูแล เอาความสุขเราไปผูกไว้กับคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะเรายกใจไปฝากไว้กับคนอื่น “ความสุขและความทุกข์ของหนูจะอยู่ได้เมื่อเขายิ้มเท่านั้นค่ะอาจารย์” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์อย่างนี้เรียกว่าทุกข์ที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วโทษเขาหรือโทษเรา (โทษเรา) แล้วเรามักยกใจให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอยากแก้ความทุกข์อันนี้ จงอย่ายกใจของเราไปผูกไว้กับคนอื่น แล้วก็อย่ายกใจของเราไปผูกไว้กับเงินทอง แล้วก็อย่ายกใจของเราไปผูกไว้กับตำแหน่งหน้าที่  เพราะถ้าถึงเวลา ตำแหน่งหน้าที่มันไม่ได้ขึ้นมา เป็นอย่างไร (ทุกข์)  ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ ก็จงอย่ายกใจให้ใครดูแลรักษาใจตัวเอง ดีไหม (ดี)  แต่รู้อย่างนี้แล้วเราสามารถกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้นไหม (ไม่หมด) 
อาจารย์เริ่มตั้งแต่ง่ายไปยากนะ อาจารย์ถามหน่อยว่า เมื่อเรารู้ว่าชีวิตเป็นทุกข์เพราะเรามักชอบเอาใจไปฝากไว้กับคนอื่น ชอบกำหนดไว้กับตัวเอง ถึงที่สุดแล้วต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากไหน (จากใจ)  มาจากใจที่เรา (ไม่เข้าใจ)  เราไม่เข้าใจตัวเอง ใช่หรือไม่
เรามักชอบเอาใจตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์เราก็ต้องดูแลใจตัวเองและก็ต้องพยายามเข้าใจตัวเองให้ได้ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าถ้าเราเข้าใจและเราเข้าถึงอย่างถ่องแท้ เราจะสิ้นทุกข์และ สามารถวางทุกข์ลงได้ทันทีเลย แล้วถ้าเราเข้าใจตัวเราเอง เราก็จะสามารถเข้าใจใจแห่งมวลชนได้ แล้วเราจะเข้าใจเราได้อย่างไร ว่าเราทำดีหรือทำถูก (อยู่ที่ใจของเรา) 
ฉะนั้นความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับใจตัวเอง อาจารย์ต้องการให้ศิษย์รู้ว่าความทุกข์ที่มากระทบไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ กำลังจะรับมือกับความทุกข์ ถ้าเราใช้ใจกว้างให้อภัยเราก็จะได้สันติ แต่ถ้าความทุกข์มากระทบถ้าเราชิงชังเคียดแค้นผูกใจเจ็บเราก็คือคนที่ก่อเวร ก่อกรรม จริงหรือไม่ (จริง) 
(พระอาจารย์เมตตาใช้กุศโลบายอธิบายหลักธรรมโดยใช้พัดตีไปที่ตัวนักเรียนที่ออกมายืนอยู่หน้าชั้น)
ศิษย์เอยความทุกข์ในโลกนี้ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือหัวใจที่จะไปรับมือความทุกข์  จะให้ทุกข์มันจบ หรือจะให้ทุกข์มันยืดเยื้อ หรือจะให้ทุกข์มันใช้กรรม (อยู่ที่ใจ) อย่างนั้นแม้อาจารย์จะตีก็ไม่ (ถือว่าใช้กรรม) ศิษย์เอยก็อาจารย์บอกแล้วทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับหัวใจที่เผชิญความทุกข์ รับมือเป็นรับมือได้ ทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้ารับมือไม่เป็นรับมือไม่ได้ ใจก็เป็นทุกข์ ก็กลายเป็นเวรกรรมที่ยืดเยื้อ ฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือ (ใจเราเอง) ฉะนั้นถ้าเรารู้ทันตัวเอง เข้าใจตัวเอง หยุดใจตัวเอง ทุกข์จะตีกี่ครั้งก็ไม่ (ทุกข์)
ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือธรรมะสอนไว้ว่า ทุกเรื่องราวในโลกนี้จงอยู่กับปัจจุบันขณะ  การที่อาจารย์ตี การตีจบไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว  ถูกตีมีวันจบ แต่ถ้าได้สมอยากมันไม่มีวันจบ เพราะถ้าได้แล้วติดใจ อยากอีก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าได้แล้วกินสมอยากแล้วไม่อร่อย ทุกข์ไหม (ทุกข์) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายหนึ่งท่านออกมาหน้าชั้น เป็นตัวอย่างให้พระอาจารย์เมตตา)
ศิษย์ถูกตีต้องได้แอปเปิลใช่ไหม (ใช่)  ถูกตีแล้วได้แอปเปิลดีไหม (ไม่ดี,ดี)  แปลว่าเมื่อเรายอมที่จะประสบกับอะไรขึ้นมา เราก็ต้องหวังผลตลอด ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมีหนึ่งต้องมีสองสามสี่ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ถูกกระทำ ศิษย์หวังผลตลอด ก็คือทำเวรให้ยืดเยื้อ เรื่องราวไม่จบ ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์ควรให้แอปเปิลเขาไหม เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม 
เราอยู่ในโลกนี้เราทุกข์เพราะความอยาก พอเราได้ในสิ่งที่อยากแล้ว สิ่งที่เราอยากได้นั้นจะทำให้เราอยากได้อีก ถ้าเรากินแล้วมันอร่อยก็อยากกินอีกและถ้ากินแล้วมันเกิดไม่อร่อยเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  มันทุกข์เหมือนกันนะ ทุกข์หนึ่งคือทำให้เราอยากมีอีกเรื่อยๆ แต่อีกทุกข์หนึ่งคือเกลียดแล้วไม่กินมันอีกเลย ฉะนั้นเราควรอยากได้แอปเปิลเพื่อกินแล้วทุกข์ทั้งสองแบบนี้ไหม
เราอยู่ในโลกความทุกข์มันหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ หากเราไม่สามารถควบคุมใจของตัวเองได้ ถ้าเราไม่สามารถรู้ทันใจตัวเอง ทุกข์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเข้าใจ เราจะหยุดทุกข์ได้ทันที เรารู้ว่าจะจัดการกับใจเราอย่างไรเมื่อเราพบทุกข์  บางคน พบทุกข์ก็เอะอะโวยวาย  ด่าคนโน้นว่าคนนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยด่าไม่เคยว่าคือ (ตัวเอง)  ฉะนั้นหากเกิดเรื่องแบบนี้เราจะจัดการความทุกข์อย่างไร 
(นักเรียนชายท่านหนึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่พบสาเหตุ)  อาจารย์จะบอกให้ ศิษย์จะเชื่ออาจารย์ไหม ถ้าอาจารย์ให้ทำอะไรศิษย์ก็จะทำตามทุกอย่าง ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างนั้นศิษย์เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับชะตากรรม 
สิ่งที่อาจารย์อยากจะให้ศิษย์แก้ไขคือ มนุษย์ทุกคนเกิดมามีกรรม และเราเกิดมาเพราะต้องชดใช้กรรม แปลว่าเราเกิดมามีกรรมในอดีตที่ติดตัวมาและพร้อมจะทำกรรมใหม่ ทำดีเรียกว่าบุญ ทำชั่วเรียกว่าบาป แล้วกรรมชั่วนั้นเมื่อถึงเวลาบุญหมด ก็ต้องสนองปัจจัยแห่งความชั่วนั้น แล้วยิ่งเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้มันคือกรรมล้วนๆ ที่ศิษย์ต้องชดใช้ แล้ววิธีชดใช้ที่ดีที่สุดคือ  
) สำนึกขมากรรม คิดให้ได้ คิดให้ออกว่าศิษย์เคยไปทำอะไรกับสัตว์กับคน ไม่ว่าจะพูดให้เขาเจ็บปวดใจ ไม่ว่าจะเบียดเบียนชีวิตใครเพื่อชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะฆ่าเขาด้วยวิธีใดเพื่อให้ตนเองได้กินได้เสวยสุข ถ้าอยากสำนึกจะเชื่ออาจารย์หรือไม่  อย่างแรกรู้จักสำนึก   
) เลิกเบียดเบียนเนื้อสัตว์    
) ประพฤติตัวให้มีศีลธรรมอันบริสุทธิ์  หากศิษย์ทำได้ศิษย์สามารถเอาไปต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรได้ สามารถลดหย่อนจากหนักให้เป็นเบาได้
(พระอาจารย์เมตตาให้จุดไม้ขีดไฟ)
ชีวิตทุกคนเหมือนไม้ขีดไฟ จริงหรือไม่ เมื่อจุดขึ้นแล้วรอวันดับ ศิษย์จะรอให้มันไหม้จนถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อยหรือศิษย์จะรู้จักปล่อยก่อนที่ มันจะดับแล้วไหม้มือตัวเอง ศิษย์เกิดมาแล้วเราหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และถึงที่สุดเราก็ต้องทุกข์ในความดับสิ้น แล้วเราจะหยุดทุกข์ได้อย่างไร ส่วนใหญ่เราก็แค่ปล่อยให้ผ่านไป แล้วหาสุขไปวันๆ หนึ่ง ศิษย์มักพูดว่า “ไม่เห็นจะต้องไปหาเลย ชีวิตก็ปล่อยให้มันเผาไป แล้วก็หาความสุขไปแค่นั้น ก็จบแล้ว”
ถ้าตายแล้วจบจริงๆ เราก็ไม่ต้องไปทำความดี ไม่ต้องไปหาความสุข ใช่หรือไม่ แต่ถ้าร่างกายเราตายไปแล้วเรายังมีความอยากอยู่เรายังมีความยึดติดอยู่ เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (มา)  แต่ถ้าตายแล้วเราไม่อยากแล้ว เราไม่ผูกใจเจ็บแล้ว เราจบแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว ไม่มีเราแล้ว เราจะเวียนว่ายตายเกิดไหม (ไม่)  แล้วถ้าเราต้องมาเวียนว่ายอีกแล้ว สิ่งที่เรายึดมันสามารถทำให้ศิษย์กลับมา เกิดเป็นคนได้ไหม ศีลมีครบไหม บุญรักษาได้ดีไหม บุญทำได้ถึงพร้อมไหม ตายแล้วจะจบไหม
ถ้าอาจารย์เกิดมา ใครทำอะไรอาจารย์ อาจารย์ให้อภัย อาจารย์ขอบคุณที่ได้ชดใช้กรรม ไม่ว่าอาจารย์จะได้อะไร อาจารย์ก็พอแค่นั้น รู้จักพอ รู้จักหยุด อาจารย์ถามศิษย์นะว่า คนอย่างอาจารย์ถ้าตายไป อาจารย์จะกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไหม (ไม่)  และจะมีใครมาผูกกรรมกับอาจารย์อีกไหม (ไม่)  เพราะอะไร เพราะอาจารย์หยุดแล้ว พอแล้วและไม่ผูกใจเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์บอกว่าในโลกนี้ไม่มีทุกข์ใดน่ากลัวเท่ากับใจ ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ยังยึดติดอยู่ ใจศิษย์ยังผูกพันกับบุญ บาปแม้ศิษย์จะสิ้นสังขาร ใจที่ยึดติดบุญบาป นั้นจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่าย  อย่างนั้นเราจะหยุดและเอาชนะใจตัวนี้ได้อย่างไร และเราจะสามารถพ้นทุกข์ได้อย่างไร โดยที่ไม่มีใจเราหลงเหลืออยู่ ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม สิ่งที่มนุษย์ทุกข์และจมอยู่กับทุกข์แล้วเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้น ไม่สิ้น เป็นวัฏสงสาร พระพุทธะกลับบอกว่า พระพุทธะเอาสิ่งที่ทุกข์มาทำให้พ้นทุกข์ และทำความทุกข์กลายเป็นความธรรมดา
ใจอะไรถ้าเราเข้าใจในใจนั้น จะทำให้ความทุกข์กลายเป็นเรื่องธรรมดา
เวลาศิษย์ตั้งใจสิ่งใดที่เป็นเรื่องดี แต่เวลามีเรื่องก็โทษว่าธรรมะไม่คุ้มครอง ใช่ไหม (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้มองว่าจริงๆ แล้วธรรมะสอนอะไรกันแน่ ธรรมะไม่ได้สอนว่าปฏิบัติแล้วต้องมีดีตลอด แต่ธรรมะสอนให้เราปฏิบัติไม่ว่าพบร้ายหรือดี เราก็ต้องเข้มแข็ง จริงหรือไม่
โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะบอกว่าทุกข์เกิดจากใจ  ถ้าเรารู้ทันใจเราเข้าใจเราก็แก้ทุกข์ได้ แต่มีใจอันหนึ่งถ้าศิษย์สามารถรู้ได้ศิษย์จะสามารถเข้าใจทุกคนได้ จะสามารถทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ศิษย์พอจะรู้ไหมว่าใจนั้นคือใจอะไรและเป็นใจของทุกๆ สิ่งด้วยในโลกใบนี้ เป็นหลักเดียวที่สามารถเข้าถึงทุกสภาวะและทุกชีวิตได้ถ้าเราเข้าถึงใจอันนี้ 
ถ้าเราเข้าถึงใจอันนี้ ศิษย์จะรู้ว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สามารถให้เราพบสิ่งที่พ้นทุกข์ได้ และใจอันนี้มีอยู่ในทุกสิ่ง นั่นเรียกว่าอะไร
ทุกคนมีใจเหมือนกันไหมศิษย์ ทุกคนมีใจที่ชอบเหมือนกันใช่ไหมศิษย์  ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนพูดดีหรือพูดไม่ดี (พูดดี)  ชอบคนซื่อตรงหรือคดโกง (ซื่อตรง)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจใจตน เราจะไม่เข้าใจใจผู้คนหรือ ถ้าเรารู้ใจตน เราจะไม่รู้ใจผู้คนหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกคนชอบคนพูดดี ไม่ชอบคนเห็นแก่ตัว   ถ้าเราไม่ชอบคนเบียดเบียน ก็แปลว่าใจทุกคนก็ไม่ชอบคนเบียดเบียน เราชอบคนพูดดีแปลว่าทุกคนก็ชอบคนพูดดี  
ฉะนั้นถ้าเรายึดกุมใจของตัวเองได้ และไม่เอาสิ่งที่เราไม่ชอบนี้ไปปฏิบัติกับผู้อื่น เราจะปฏิบัติกับผู้อื่นได้ถูกทางไหม แล้วเราจะทำให้เขาทุกข์ไหม (ไม่)  ใจเราชอบคนหาเรื่องไหม (ไม่) 
ถ้าเราเข้าใจใจของเรา เราจะไม่เข้าใจใจผู้คนหรือ เพราะใจของคนทุกคนเหมือนกัน รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนชม ไม่ชอบคนด่า ชอบคนพูดดีไม่ชอบคนพูดเอะอะมะเทิ่ง ชอบคนใจเย็น สุภาพ ไม่ชอบคนขี้โมโห เอะอะโวยวาย ใช่ไหม (ใช่)  ชอบให้อาจารย์พูดดีๆ ไม่ชอบให้อาจารย์พูดเสียงดัง ใช่ไหม
ฉะนั้น ถ้าเรายึดกุมใจของความเป็นคนได้ เราจะไม่ยึดกุมใจของผู้คนได้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราเข้าใจ เราจะทำให้ใครทุกข์ใจไหม (ไม่)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  เราจะด่าใครไหม (ไม่ด่า)  เราจะโทษใครไหม (ไม่)  แล้วที่ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจตัวเอง เราถึงไปด่าคนอื่น เราถึงไปโทษคนอื่น ใช่ไหม (ใช่ เราต้องโทษตัวเราเองก่อน)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นคน จะไม่เข้าใจใจของผู้คนหรือ ถ้ายึดกุมใจของคนได้ถูกว่าอะไรเป็นอะไร เราจะทำคนอื่นทุกข์ใจไหม  ศิษย์ชอบคนโกงไหม ศิษย์ชอบคนที่อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม (ไม่ชอบ)  แล้วทำไมทุกวันชอบอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง อยากได้เงินของคนอื่นมาอยู่ในกระเป๋าเรา ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเรายึดกุมใจของความเป็นคนที่ถูกต้องได้ เราจะปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ถูกต้อง และถูกใจเขาไม่ได้หรือศิษย์ จริงไหม (จริง)  แต่บางทีเป็นเพราะเราไม่รู้ใจตัวเองที่แท้จริง เอาแต่วิ่งไปตามความอยากและตกเป็นทาสของกิเลส เราเลยทำผิดคิดร้าย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ ถ้าเหนื่อย ลำบาก และต้องยอมคนอื่นอยู่ร่ำไป กับสบายดี เอาอันไหนดีกว่า  ศิษย์เอ๋ย ถ้าใจของเราเลือกลำบาก เลือกอดทน เลือกยอมได้ แล้วไม่ผิดต่อผู้คน ไม่เบียดเบียนผู้คนนั่นแหละเข้าถึงใจ แต่ถ้าเราเลือกใจสบายแล้วเบียดเบียนผู้คน นั่นแปลว่าเราเอาใจที่มีกิเลส มีตัณหาไปใช้กับผู้คน แล้วหนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจะใช้ใจที่ยอมหรือใจที่สบาย (ใช้ใจที่ยอม)  มนุษย์ทุกข์เพราะว่าหลงลืมใจอีกอันหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมส่งของ คนที่แพ้ต้องออกมาเต้นเป็ด)
นั่งฟังเฉยๆ ก็เบื่อ อย่างนั้นมาเต้นเป็ดดีไหม ทำให้คนอื่นมีความสุขมันก็ได้บุญนะ ถ้าคนอื่นเป็นเป็ด เราไม่อยากเหมือนใคร ให้เป็นลิงแทน ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ (ไม่อยากเป็นลิง)
ฉะนั้นเราเรียนรู้ศึกษาธรรม สิ่งที่สำคัญคือการประพฤติปฏิบัติตน อย่าให้คนเขามองดูเราแต่ภายนอก อย่าให้คนอื่นเขาวัดค่าเราเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่สิ่งที่สำคัญคือการแสดงออก คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น  ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้คนอื่นเขาดูถูกเรา ไม่เหยียดหยามเรา ทำไมเราไม่เลือกประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามล่ะ ถูกไหม (ถูก)   ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ใครดูถูก เราก็อย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง ถ้าไม่อยากให้ใครเหยียดหยาม เราก็อย่าเหยียดหยามคุณค่าของตัวเอง และกดตัวเองให้ลงต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จะเป็นลิงไหม  ถ้าเป็นลิงยากเกินไป อย่างนั้นอาจารย์ให้เป็นพุทธะ เอาไหม (เอา)  อาจารย์ให้สร้างบุญ เอาไหม (เอา)  เปลี่ยนจากเต้นลิง เป็นให้เดินลงไปห้องครัว แล้วขอบคุณแม่ครัว แล้วบอกเขาว่า อาหารอร่อยมาก ดีไหม (ดี)  เชิญลงไปได้ อาจารย์ให้เขาได้สร้างบุญ ดีไหม (ดี) 
จิตที่รู้จักสำนึกคุณ จิตที่รู้จักตอบแทนคุณเป็นจิตที่ประเสริฐ  และจิตที่สำนึกคุณ ตอบแทนคุณ ไม่ใช่แค่ผู้มีพระคุณที่เรียกว่าพ่อแม่เท่านั้น  แต่เราต้องรู้จักสำนึกคุณ ตอบแทนคุณบุคคลทุกๆ คน ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ไม่มีคนที่ลำบาก จะมีคนที่นั่งสบายตรงนี้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จิตที่รู้จักขอบคุณทุกคนมันเป็นสิ่งที่ดีนะ ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นการสร้างบุญอีกอย่างหนึ่ง บุญมีสิบประการ บุญที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน บุญที่รู้จักเอื้อเฟื้อมีน้ำใจต่อผู้อื่นนั่นก็เป็นบุญ
อาจารย์ขอเข้าเรื่องธรรมะอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนจะจากกัน หลักธรรมหลักหนึ่งที่เราเข้าใจแล้วสามารถทำให้ทุกข์กลายเป็นเรื่องธรรมดาได้นั่น คืออะไรรู้ไหม เป็นหลักของทุกชีวิตและเป็นหลักของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง หนีไม่พ้นทุกข์ หนีไม่พ้นความว่างเปล่า ฉะนั้นหลักธรรมอันนี้มีอยู่ในทุกสิ่งไหม มีอยู่ในทุกรูปและนาม มีอยู่ในทุกตัวคน ใช่หรือไม่ ถ้าเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้เราจะสามารถวางทุกข์ได้
เรื่องสุดท้ายที่อาจารย์พูดคือหลักของธรรมะที่เป็นใจของทุกสิ่ง ที่เป็นธรรมะที่ศิษย์ไม่ต้องแสวงหาตรงไหน ถ้าศิษย์เข้าใจ ความทุกข์จะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนอาจารย์ถามว่า ในโลกนี้มีได้ก็มี (เสีย) มีชมก็มี (ด่า) มีสมหวังก็มี (ผิดหวัง) มีคนดีก็มี (คนชั่ว)  มีได้ลาภก็มีเสื่อมลาภ มีทุกข์ก็มีสุข โลกมีหลักอันหนึ่งที่เป็นใจที่เรียกว่าธรรม ถ้าเราเข้าถึงธรรมอันนี้ ศิษย์จะไม่ทุกข์เลย และไม่มีอะไรที่ศิษย์จะยึดติดให้ศิษย์ทุกข์ แต่ศิษย์มักจะหลง และลืมว่าอันนี้เป็นตัวฉัน ไม่ใช่ธรรม แต่จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าตัวเรา สรรพสิ่ง สิ่งของล้วนหนีไม่พ้นใจอันนี้ ใช่ไหม หรือทุกสิ่งล้วนหนีไม่พ้นความเกิดขึ้น (ตั้งอยู่ ดับไป) 
ศิษย์เอยถ้าศิษย์เข้าใจอันนี้ ศิษย์จะสามารถหยุดยั้งกิเลสและสามารถเข้าถึงธรรมและพ้นทุกข์ได้ ขอเพียงพิจารณาอยู่เนื่องๆ อาจารย์ถามจริงๆ ในโลกมีใครไม่เปลี่ยนแปลง ตัวเราเปลี่ยนไหม ร่างกาย ใจ เพื่อน เปลี่ยนไหม เมื่อเปลี่ยนแล้วมีทุกข์ไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ โลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังแปลว่าความไม่เที่ยง ทุกขังแปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก อนัตตาแปลว่าว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์กำลังทุกข์กับตัวนี้ อาจารย์อยากจะบอกว่ามันใช่ตัวศิษย์ไหม ก่อนหน้านี้มันเปลี่ยนมากี่ครั้งแล้ว แล้วถึงที่สุดมันจะเปลี่ยนไหม แล้วเราควรยึดว่าเป็นของเราไหม แต่เราควรมองเห็นธรรม เรียกว่าผู้ใดพบทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม และธรรมอันนี้เป็นใจของทุกชีวิต เป็นใจของทุกสรรพสิ่ง ถ้าเรามองอยู่เสมอว่าใจอันนี้ ไม่เที่ยง เปลี่ยนอยู่เสมอ เป็นทุกข์ ไม่มีใครครอบครองได้อย่างแท้จริง แล้วสุดท้ายว่างเปล่าจากตัวตน หาเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้ ที่ดินใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เงินตราใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง คนที่เรารักเราเป็นเจ้าของเขาที่แท้จริงไหม ตัวสังขารเราเราเป็นเจ้าของที่แท้จริงไหม (ไม่)  ถึงเวลาเปลี่ยนไหม แล้วเรายึดไหม เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดในความมีตัวตน แปลว่าศิษย์ยังต้องการเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิดและเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อใดศิษย์พยายามที่จะพิจารณาอันนี้อยู่เนื่องๆ  คือเราจะยึดอะไรในโลก มันยึดไม่ได้ ถามว่าแล้วอะไรเป็นของศิษย์ ศิษย์ก็จะบอกว่า ไม่มีอะไรเป็นของศิษย์ เงินเปลี่ยนมากี่มือ หน้าตาเปลี่ยนมากี่รูปแบบ สามีเปลี่ยนมากี่ครั้ง ภรรยาเปลี่ยนมากี่ครั้ง ฉะนั้นถ้าเราพึงพิจารณาอยู่เนื่องๆ เราจะไม่โกรธ เพราะทุกสิ่งมันไม่เที่ยง เราจะไม่เกลียดเพราะเกลียดไปมันก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะไม่โลภหลงเพราะทุกสิ่งมันว่างเปล่า มันเป็นธรรมที่ศิษย์ไม่ต้องแสวงหาที่ไหน มันอยู่ที่นี่ในตัวเรา  ถ้าเราเข้าถึงธรรมอันนี้ศิษย์จะว่างเปล่าจากทุกข์ได้ทันที แต่มนุษย์ไม่เคยพิจารณาถึงอันนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  ปล่อยให้ชีวิตมันเป็นอย่างนี้แล้วก็วิ่งวนอยู่กับความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าพิจารณาถึงธรรมอันนี้ ศิษย์จะสามารถมีศีล สมาธิ ปัญญาทันที 
ศีล คือ ความปกติ
สมาธิ คือ ความสงบ ไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ
ปัญญา คือ เห็นแจ้ง ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จะโกรธ จะเกลียด จะอยากอะไร
เมื่อนั้นโลภ โกรธ หลงก็ไม่มี ทุกข์ก็วางสิ้นได้  เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ยึดแล้วเพราะตัวตนก็ไม่มี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแท้จริงแล้วสัจธรรมนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน อันนี้มันทำให้คนทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วคนทุกคนต้องกลับคืนสู่หนึ่งอันนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เมื่อเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่นว่า “ตัวกู ของกู ตัวเรา ของเรา”  ใช่ไหม
เมื่อไม่ยึดแล้วอะไรจะทุกข์ พุทธะจึงสอนไว้ว่า พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”  ฉะนั้นเราไม่ได้เกิดมาเป็นพุทธะเพื่อยึด ถ้าศิษย์เป็นคนที่นับถือพุทธ พุทธคือรู้ รู้ความจริงแห่งใจอันเป็นสัจธรรม ใจอันเป็นทุกสิ่งของหลักธรรมในโลกนี้ รู้แล้วตื่นแล้วเบิกบาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดาน)
ไม่เที่ยง เปลี่ยนอยู่เสมอ
เป็นทุกข์ ไม่มีใครครอบครองได้อย่างแท้
ว่างเปล่าจากตัวตน หาเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้
ฉะนั้นหัวใจหลักของธรรมะก็คือ เมื่อใดว่างจากความยึดถือเมื่อนั้นความทุกข์ก็จางหายสิ้น เมื่อใดว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนกิเลสก็ทำอะไรกับตัวเราไม่ได้อีกต่อไป  สิ่งที่อาจารย์พูดคือหลักธรรมที่นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์  เพราะเมื่อไรที่ศิษย์สุข คนรอบข้างก็สุข  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังทุกข์ ศิษย์ก็ทำให้คนรอบข้างทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ที่ศิษย์ชอบสร้างมากที่สุดก็คือเราหวังดีกับเขา แต่หวังดีด้วยการเอาสุ่มไปครอบและบังคับให้เขาต้องเป็นอย่างที่เราคิดเราหวัง มันใช่ทุกข์มันใช่สุขไหม  ตอนนี้อาจารย์กำลังจะเอาอันนี้ไปครอบศิษย์ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่อาจารย์แค่กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นใจอันนี้ใจที่เป็นหลักแห่งธรรม เมื่อใดพบธรรมเมื่อนั้นก็พ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทคำว่า เป็นคนต้องมีมโนธรรมสำนึก)
จิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงามจะทำให้มนุษย์ไม่สามารถทำผิดทำชั่วได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม มนุษย์ก็พร้อมที่จะเบียดเบียนและทำร้ายผู้คนได้
มีโอกาสลองเอาไปศึกษาดูนะ วันนี้เรามาเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อปฏิบัติ นำพาชีวิตให้ถูกทางและพ้นทุกข์  อาจารย์บอกศิษย์ไว้อย่างหนึ่งนะ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วไม่แก่ บำเพ็ญธรรมแล้วไม่เจ็บ บำเพ็ญธรรมแล้วมีแต่เรื่องโชคดี ไม่มีโชคร้าย  แต่บำเพ็ญคือคนที่กล้ายอมรับความเป็นจริงในชีวิต ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา  แต่จิตที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดานั้นที่จะทำให้เราทุกข์ ใช่หรือไม่  ถ้าเมื่อไรเจอทุกข์ ถ้าจะกราบไหว้พระ ขออาจารย์ อาจารย์ก็อยากขอให้ศิษย์เข้มแข็ง มนุษย์ทุกข์เพราะมักจะอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ ชอบหาห่วงมาผูกคอ ใช่หรือไม่ ชอบคิดทำร้ายตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเรียนรู้ศึกษาบำเพ็ญธรรมแล้ว ต้องสามารถนำหลักธรรมมาปฏิบัติ เพื่อนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และมีปัญญากระจ่างแจ้งจนเข้าถึงธรรม ไร้ตัวตนให้ยึดถืออีกต่อไป มีแต่ธรรมที่เดินไป มีแต่ธรรมที่เคลื่อนหมุนไป หามีตัวตนที่แท้จริงไม่ ใช่ไหม  ถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะรู้ว่า คำว่าตัวตนมันไม่มี มันมีแต่ธรรมที่เคลื่อนไป ธรรมที่หมุนไปตามหลักสัจจะ ตามหลักกฎแห่งธรรม ใช่หรือไม่ ไม่ใช่มีธรรมเพราะอยากดี แต่มีธรรมเพราะต้องปฏิบัติให้ดีให้ถึงที่สุดต่างหาก นี่คือหลักของการปฏิบัติธรรม
รักษาตนด้วยคุณธรรมความถูกต้องดีงาม และอยู่กับผู้คนด้วยจิตใจเมตตา และให้อภัย ไม่ยาก ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์หวังให้ศิษย์ไปให้ถึงธรรม เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่พระไตรปิฏก ไม่ได้อยู่ที่พระ ไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ในนี้ หยั่งเข้าให้ถึงใจที่เรียกว่าธรรมอันถ่องแท้หรือยัง ธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า  อยู่ในนี้ มีให้เห็นทุกวัน และสอนให้เราอย่ายึด อย่าอยาก ถ้าอยากก็ทำตามหน้าที่ ได้หรือไม่ได้ก็จบกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ได้เสีย สุขทุกข์ เป็นเรื่องปกติธรรมดา จริงไหม (จริง)  สมหวัง ล้มเหลว ก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถูกด่าก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ถูกชมก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  เงินหายก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  จริงนะ ศิษย์  และสิ่งที่ธรรมดาที่สุด จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง เรามาพร้อมกับความว่างเปล่า ฉะนั้นเราต้องกลับไปพร้อมกับความว่างเปล่า และเราจะยึดติดตัวตนเพื่อสร้างเวรกรรมและวัฏสงสารไม่จบสิ้นไปทำไม ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองก็ยังทุกข์ไม่รอดแล้ว ยังจะห่วงคนอื่นไปทำไม ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนจากความห่วง เป็นการทำตัวเองให้ดี แล้วสอนเขาด้วยการกระทำ ดีกว่าการพยายามว่าเขาอีก ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นสอนคนด้วยเงิน ไม่สู้สอนเขาด้วยคุณธรรมความดีงาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะคุมใจคนก็ต้องคุมใจเขาด้วยความถูกต้องและดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองเอาไปพิจารณาดูนะ ว่าสิ่งที่วันนี้อาจารย์พูด ล้วนเป็นไปเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์  แต่ถ้าอาจารย์ตอบได้ อาจารย์จะบอกว่ามนุษย์ทุกคนจริงๆ แล้ว ล้วนไม่เคยมีทุกข์ แต่ที่ยึดทุกข์เพราะว่าไปยึดตัวตน จริงไหม แล้วตัวตนนี้เป็นของเราไหม (ไม่เป็น)  มันเป็นไปตามกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเจอใครด่า ใครว่า ก็บอกว่าดีแล้ว จะได้หมดกรรม ดีแล้ว จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ดีแล้วจะไม่จองเวรจองกรรมอีกต่อไป ดีหรือไม่ (ดีทำชาตินี้ให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ยึดบุญ ไม่ยึดติดบาป ไม่จองเวรจองกรรมกับใคร ไม่สร้างเมล็ดพันธุ์เพื่อกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ดีไหม (ดี) 
จำไว้นะศิษย์ สังขารมีเพื่อชดใช้กรรม แต่จิตเดิมแท้หามีวิบากกรรมใดๆ ไม่  จิตเดิมแท้ล้วนคือสภาวธรรม วิบากกรรมเป็นเรื่องของสังขาร จิตเดิมแท้ไม่มีกรรม มีแต่ธรรมแล้วก็ธรรม ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นก็สิ้นทุกข์แล  ลองไปคิดพิจารณาดูนะ ก่อนจะอยาก ก่อนจะโกรธ ก่อนจะโทษ ก่อนจะด่าใคร มองสิว่ามันไม่เคยเที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า จะด่าไปทำไม จะเกลียดไปทำไม จะทุกข์กับอะไร ในเมื่อสักวันก็ต้องแปรเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้พิจารณาจนเข้าถึงธรรมนะศิษย์ อยู่ในนี้ ถ้ามันแก่ มันเจ็บ มันตาย ดีแล้ว เป็นเรื่องของสังขาร จิตเดิมแท้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนะศิษย์ จริงไหม

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เป็นคนต้องมีมโนธรรมสำนึก”

      เกิดเป็นคนรู้ไม่ได้หมดทุกอย่าง                  มีหลายอย่างผุดมาจากจิตสำนึก
จิตสำนึกเป็นดุจดั่งกาวผนึก                           ระหว่างความรู้สำนึกผิดชอบชั่วดี
เห็นแก่ตัวกลายเป็นคนไร้เมตตา                       อวดดีกว่ากลายเป็นคนมีทิฐิ
อย่ายามเป็นคนหากอย่ามีจิตทุคติ                              แม้ตรงนี้ตรงไหนมองไม่เป็นทาง
      รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ                                  เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง                                   แต่ต่างคนต่างอยู่ไป     
      ความเป็นอยู่เข้ากันลำบาก                      บำเพ็ญมากมากจะช่วยได้
อุเบกขาสยบคลื่นในหัวใจ                             อย่าแก้ง่ายง่ายโดยต่างคนต่างอยู่ไป
      มัวแต่เข้าข้างตัวเอง                              ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย                                 ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา