วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-22 ชั้นผู้ดูแลสถานธรรม ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ


元二〇一七年嵗次丁酉三月二十六日           仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐          ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  รากฐานธรรมต้องมั่นคงแข็งแกร่ง      การลงแรงขยันเก่งแต่อ่อนน้อม
สมานกลมกลืนกับผู้คนอย่างรอมชอม    แลต้องพร้อมอยู่เบื้องหลังฉุดช่วยคน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนเหนื่อยไหม

  หมั่นเข้าใจความลำบากของผู้คน       คือฝึกตนให้เกียรติคนเป็นพื้นฐาน
ให้อภัยข้อผิดพลาดกันและกัน           ฝึกตามทันปรับอารมณ์ไม่ตามใจ
หมั่นชื่นชมความดีงามของผู้อื่น          คือฝึกคืนใจบริสุทธิ์ให้คงไว้
กล้ายอมรับข้อผิดพลาดตนได้เมื่อไร      คือคนที่เข้าใจชีวิตจริง
จะร้ายดีก็ล้วนต้องเป็นไป                คนฝึกใจทำใจได้ใจก็นิ่ง
ราบรื่นหรือวุ่นวายล้วนคือความจริง     รักษาใจปกตินิ่งสงบวาง
ไม่มีเราหรือของเราในทุกสิ่ง              มีแต่ธรรมหมุนตามจริงในสรรค์สร้าง
ในความเกิดมีความดับทุกสรรพางค์      ผู้รู้แจ้งก็ย่อมว่างจากทุกข์พลัน
                                                                      ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ก็แค่วาระใช้ให้หมดสิ้น แต่จงจำสิ่งที่อาจารย์พูดไว้อย่างหนึ่งว่า กรรมเป็นเพียงแต่ที่สังขารแต่ที่จิตหามีกรรมไม่ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม  เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ที่จิตเดิมแท้ไม่เคยมีกรรม ไม่เคยมีทุกข์ มันมีอิสระอยู่ทุกเมื่อ จงตื่นรู้นะ ตื่นรู้อย่างคนที่เข้าใจที่แท้จริง กรรมเป็นของสังขารหาใช่ของจิต เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
ทุกคนมีกรรมแค่ทางสังขาร แต่จิตเรามีอิสระได้ จิตเราพ้นทุกข์ได้ แต่เราตื่นรู้หรือยัง หรือเรายังตกเป็นทาสของสังขารอยู่ร่ำไป เรามีกรรมแค่ใช้ตามสังขารแต่เราไม่มีกรรมทางจิต จิตเราอิสระอยู่แล้ว แต่ศิษย์มักจะเอาตัวตนไปเชื่อมกับสังขาร จึงทำให้เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราเข้าใจว่าจิตเดิมแท้ของเรามีธรรม ธรรมที่ไม่มีตัวตน ธรรมที่ไม่ต้องการผู้คนมาครอบครอง เมื่อนั้นศิษย์จะกลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่ต้องทุกข์ ทุกข์มันเป็นสังขาร อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจธรรมจริงๆ เพราะถ้าเมื่อเข้าใจธรรมศิษย์จะรู้ว่ามันทุกข์แค่กาย แต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ เรามีอิสระเดิมแท้อยู่ในตัวเรา มีธรรมเดิมแท้อยู่ในตัวเรา เราเคยหันมาเจอหันมามองไหม เราเคยเห็นธรรมไหม ไม่เคย เราเคยเห็นแต่นิสัยตัวตน ซึ่งมันน่าเสียดายนะศิษย์  จะเอามันมาขังตัวเองอีกทำไม จริงหรือเปล่า อาจารย์พูดไม่ได้ห่างจากธรรมเลย อาจารย์พูดว่าให้ศิษย์กลับมา เมื่อไรเจอเรื่องอะไรหันมามองตัวเอง  กลับมามองอย่างคนที่มีธรรม กลับมามองอย่างคนที่เข้าใจธรรม แล้วศิษย์จะรู้ว่า อ๋อ..มันไม่มีอะไร แต่เรากำลังยึดถือเพราะความคิดความหลงผิด ความเข้าใจ ความเป็นตัวตน ความเป็นอัตตาเท่านั้นเอง เพราะจริงๆ แล้ว หัวใจแห่งการพ้นทุกข์คือความไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ใช่ไหม ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะเรายึดอะไร อาจารย์ถามหน่อย ถ้าไม่มีมันตายไหม ธรรมสอนให้คนฉลาดนะศิษย์ ธรรมไม่ได้สอนให้คนโง่ ทำไมถึงที่สุดท่านถึงบอกว่าปัญญาล่ะ แล้วปัญญาคืออะไร คือความฉลาดไม่ใช่หรือ ฉะนั้นธรรมไม่ได้สอนให้ศิษย์โง่ แต่ความเป็นตัวตนทำให้เราโง่ในบางเรื่อง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นศิษย์เป็นคนมีปัญญา ศิษย์เป็นคนที่สามารถเข้าถึงปัญญาได้ แต่อย่าให้ความเป็นตัวตนนั้นขังจนมองไม่เห็นปัญญา ใช่ไหม ความทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่หลงผิดคิดว่าตัวเองต้องทุกข์สิน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้ทุกคนเขียนฐันจู่ในใจฉัน คนละข้อ และอาจารย์จะนำไปให้ฐันจู่ในชั้นได้รู้)
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ล้าไหม (ไม่ล้า) ท้อไหม (ไม่ท้อ)  อ่อนแอหรือเปล่า (ไม่อ่อนแอ) ใจยังเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  จิตใจแรกเริ่มกับจิตใจตอนนี้เหมือนเดิมไหม จิตใจเดิมไม่มีวันเปลี่ยน แต่ใจคนมันเปลี่ยน เหมือนอาจารย์ถามว่าเหมือนเดิมไหม ต้องตอบว่า (เหมือนเดิม) คนที่ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยไปมองใจเดิมแท้เลย ใช่ไหม
ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็ง จริงไหม อาจารย์ไม่เคยสอนให้อ่อนแอ อาจารย์สอนให้ศิษย์เข้มแข็ง อาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนฉลาด ฉลาดที่บางครั้งจะต้องรู้จักโง่ให้เป็น และตอนไหนควรจะฉลาดให้เป็น ถูกไหม (ถูก)  เพราะธรรมะเป็นหลักของผู้มีปัญญา ปัญญาที่คิดได้ ปัญญาที่เข้าใจ จริงหรือไม่ (จริง)
ศิษย์เอ๋ย...ฐันจู่ คนดูแลสถานธรรม คิดง่ายๆ อาจารย์ถามว่า ตอนนี้เราเป็นฐันจู่ มีญาติธรรมมาบ่อยๆ เยอะขึ้น หรือหายไปเยอะขึ้น น่าจะเยอะขึ้น ถ้าหายไป โทษเขาหรือโทษเรา (โทษเรา)  แล้วที่เหลือมาอย่างจำใจหรือมาอย่างมีความสุข (มีความสุข)  อยากรู้ว่าเราเป็นผู้ดูแลสถานธรรมที่พร้อมสมบูรณ์จริงหรือยัง ให้หันกลับไปมองญาติธรรม ให้หันกลับไปมองคนที่ตามมาเบื้องหลัง เขาสะท้อนกับเราว่าอย่างไร นั่นแหล่ะคือความเป็นตัวเราที่ปฏิบัติมา จริงไหม (จริง) ตัวเราขยันไหม ตัวเราดูแลห้องพระ ทำให้ห้องพระสกปรกหรือเปล่า เราต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือไม่ เรารังเกียจรังงอน ตั้งข้อแม้ ตั้งข้ออะไรเยอะแยะหรือเปล่า ต้องถามตัวเรานะ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเป็นผู้ดูแลสถานธรรมใจต้องกว้าง ใจต้องใหญ่ ใจต้องเมตตา เรากว้างไหม เรามัวแต่ห่วงตัวเอง หรือเปล่า บำเพ็ญถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังห่วงตัวเองก็จะดูแลใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเอง จริงไหม (จริง) 
เราต้องเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมทำไมต้องมีผู้ดูแลสถานธรรม อาจารย์อยากจะบอกว่าผู้ดูแลสถานธรรมเป็นเหมือนรากของต้นไม้ เป็นเหมือนท้องเรือที่สำคัญ หรืออีกอย่างหนึ่งเขาเรียกเป็นเหมือนอะไรที่อยู่ข้างหลัง (หางเสือ) หางเสือดีเรือที่อยู่ข้างหน้าก็ไปได้ดี หางเสือไม่ดีเรือก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าอ้างว่าแก่แล้ว ถึงแก่แล้วแต่แก่อย่างคนที่น่ารัก ถึงแก่แล้ว แต่เป็นฐันจู่ที่ดูแลอบอุ่นเย็นใจสบายใจ มีหรือใครจะไม่มาช่วย ใช่ไหม (ใช่) เป็นฐันจู่ไม่ใช่เอาแต่ชี้นิ้วใช้เขา ได้ไหม (ไม่ได้) เป็นไหม ฉันทำเยอะแล้ว ต่อไปเธอทำบ้าง เธอทำเยอะๆ มีหน้าที่ใช้เขาได้ไหม (ไม่ได้) ใช้ไม่ได้นะ ต้องให้เขาสมัครใจ จริงไหม (จริง)  “อ้าว! อาจารย์ไม่ใช้เขาเลย แล้วเขาจะรู้งานหรือ” อาจารย์ว่าตอนแรกเขาไม่รู้ แต่ต่อไปเขาจะรู้เอง เมื่อเราทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่ช่วยเราเลยหรือ จริงไหม (จริง)  ให้เขาขยับด้วยตัวเอง  ดีกว่าเราบอกให้เขาขยับ คุณค่าของความหมายมันต่างกันนะศิษย์ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ให้เขาออกมาจากใจ ช่วยเราด้วยใจ กับการบังคับแบ่งหน้าที่ ใช่แบ่งหน้าที่ แต่ถึงเวลาฐันจู่ก็ต้องเป็นอย่างไร ต้องรู้ทุกหน้าที่ด้วย แบ่งหน้าที่เป็นหน้าที่ของอาจารย์ข้างบนอีกทีหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราคือคนที่อยู่ตรงกลางที่ต้องสมานกลมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ศิษย์เป็นคนดูแลสถานธรรม บางครั้งอาจจะไม่ค่อยได้ไปห้องพระเลยก็มี บางคนเป็นแต่ชื่อ ไม่ค่อยได้ไปเลย มีไหม ไม่ได้นะ อย่าเป็นแค่ชื่อ ตัวเราเองมีโอกาสต้องไปช่วยดูแลเป็นส่วนหนึ่งด้วย อย่ามีแค่ชื่อ อย่ารอให้มีงานแล้วค่อยเข้า อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นผู้ดูแลที่แท้จริง มีโอกาสว่างเราต้องรีบไป ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าบอกว่าเราเป็นผู้ดูแล เคยไหมน้อยอกน้อยใจ ไม่เห็นมีใครมาอยู่ช่วย ปล่อยเราทำงกๆ อยู่คนเดียว เป็นบ่อยไหม มีทั้งเป็นและไม่เป็น คนที่ขยันทำอยู่คนเดียวนั่นแหล่ะมักจะเป็น ส่วนคนที่ไม่เป็น คือไม่ค่อยได้มาทำ นานๆ มาที ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อาจารย์จะบอกศิษย์นะ ห้องพระใหญ่ ใจต้องใหญ่ ห้องพระเล็กใจก็ต้องใหญ่กว่าได้ด้วย จริงไหม (จริง)  อยากให้เขาเข้าใจหัวอกเรา ตัวเราต้องเข้าใจหัวอกเขา พูดคำหนึ่งว่า เป็นฐันจู่ไม่มีน้ำใจมาช่วยฉันเลย แต่เมื่อไรที่เราอ้าปากว่าเขาไม่มีน้ำใจ เราก็ไม่มีน้ำใจเข้าใจเขาเลย ถูกไหม (ถูก )  ว่าเขาใจแคบไม่ช่วยเราเลย เราก็เป็นอย่างไร จริงไหม (จริง)  ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะของผู้คน เราทำได้ เราก็ได้ เขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้เลย เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหยุมหยิมไร้สาระ แต่อาจารย์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องหยุมหยิมไร้สาระนี้ เมื่อไรจะมองข้ามสักที คนที่เดินเข้ามาก็ว่าฐันจู่ไม่ดี ฐันจู่ก็ว่าคนที่เดินเข้ามาไม่ได้เรื่อง อย่างนี้เรียกว่า ร่วมบำเพ็ญกันถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)
ฉะนั้นจงใช้ชีวิตอย่างผู้ที่มีเมตตาเข้าใจและเปิดใจกว้าง  ศิษย์จะไม่มีคำว่า เสียใจ เคืองแค้น โกรธเคือง ไม่เข้าใจ  จงรู้จักใช้เมตตา ความเข้าใจ เปิดใจกว้าง ในการอยู่ร่วมกับผู้คน เมื่อไรที่ศิษย์ใช้คำว่า เมตตา เข้าใจ เปิดใจกว้าง ศิษย์จะไม่มีคำว่า เสียใจ ผิดหวัง โกรธเคือง  ไม่เข้าใจ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังเสียใจ ไม่เข้าใจ ผิดหวัง แปลว่าศิษย์ยังเมตตาไม่พอ เข้าใจเขาไม่มากพอ ใจยังเปิดกว้างไม่พอ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เมตตาพอใจเปิดกว้างพอ เข้าใจพอ เราทำเราก็ได้ เราทำเราก็สุขใจ ใครไม่รู้ จำไว้ว่าฟ้ารู้ อาจารย์รู้ ศิษย์รู้ ไม่เห็นต้องน้อยใจเลย จริงไหม (จริง) 
ทำไปเถอะศิษย์ ยิ่งทำมันยิ่งได้ ไม่ทำซิ ไม่มีวันได้ แต่ถ้าทำไปตัดพ้อไป มันทำไปก็เหมือนกระชอนก้นรั่ว  ทำแบบนี้ดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ทำแบบนั้น ถ้ายังทำใจไม่ได้ ก็ก้มหน้าก้มตาทำไปบ่นไป ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำอย่างไร เดินหนีไปเลย ได้ไหม (ไม่ได้ )  แล้วทำอย่างไร
ถ้าตอนนั้น ยังทำใจไม่ได้ หันกลับมาทำใจ ทำใจอย่างไร เข้าใจเขาให้มาก อ๋อ! เขาคงติดธุระ อ๋อ! เขาคงมีงาน ไม่เป็นไร เขาให้โอกาสเราทำเต็มที่ ขอบคุณ ปรับใจของเรากลับก่อนที่จะไปทำใหม่ ไม่อย่างนั้นทำไปก็รั่วไป ไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่ฝืนทำไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใช่หรือเปล่า (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  ขอบคุณอาจารย์เลยหรือ เพิ่งรู้หรือ แล้วที่ผ่านมา รั่วไปถึงเท่าไหร่แล้ว ใช่ไหม ทำไปด่าไป ใช่ไหม ทำไปบ่นไป ไม่ได้นะศิษย์ ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วบ่น หันกลับมาจัดการใจของตัวเอง ปรับให้เข้าใจ  ปรับให้เมตตา ปรับให้ใจกว้าง แล้วเราจะได้ไม่มีจุดด่างพร้อย งานนั้นจะได้ทำออกมาอย่างบริสุทธิ์ และดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอย่างเต็มเปี่ยม ถูกหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก่อนอาจารย์จะขึ้นมาหาศิษย์ อาจารย์ให้คนข้างล่างเขาเขียนว่า “ฐันจู่ในใจของฉัน” อ่านแล้วไม่ต้องบอกว่า ข้อนี้ต้องคนนี้แน่เลยไปเขียน ไม่ให้ศิษย์ไปคิดอย่างนั้น แต่ให้ศิษย์อ่านแล้วกลับมาย้อนมองตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงเขียน “ฐันจู่ในใจของฉัน” เขาอยากได้แบบนี้ แต่ศิษย์ไม่ได้เป็นแบบที่เขาอยากได้หรือเปล่า
        มาช่วยกันดูคร่าวๆ แล้วหันกลับมามองตัวเอง ไม่ใช่ดูหนึ่งข้อ อ้อ.คนนี้เขียน ดูอีกหนึ่งข้อ คนนี้ว่าฉันแน่ ถูกไหม (ไม่ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ในชั้นร่วมกันอ่านฐันจู่ในดวงใจที่ผู้ปฏฺบัติงานธรรมร่วมกันเขียน ทั้งหมด ๒๒ ข้อ) 
  • มีอัธยาศัยที่ดี ต้อนรับญาติธรรมทุกคน
  • พูดจาไพเราะ ไม่ดุดัน
  • มีน้ำใจ และอภัยญาติธรรม
  • ใจกว้าง จริงใจ
  • มีความอบอุ่นเสมือนญาติผู้ใหญ่
  • ดูแลเอาใจใส่ห้องพระ สถานธรรม
  • มีความอดทนอดกลั้น
  • ไม่ตัดพ้อต่อว่า
  • ไม่หวงอาหารการกิน
  • รับฟังปัญหาและเป็นผู้ฟังที่ดี
  • อ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อฟังอาวุโส
  • เมตตาต่อผู้น้อย
  • เมื่อมาสถานธรรมพบฐันจู่เสมอ
  • ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
  • แบ่งปันเรื่องราวการบำเพ็ญ
  • สามารถสอนและฝึกฝนพุทธระเบียบ
  • รู้จักบทบาทหน้าที่ของฐันจู่
  • สร้างบรรยากาศเป็นกันเองกับญาติธรรม
  • มีความปรารถนาดีต่อทุกคน
  • สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
  • ทำห้องพระให้สะอาด
  • ขยันหมั่นเพียร ตรงต่อเวลา
แต่ถ้าคิดกลับกันอีกด้านหนึ่งก็คือ เรามีทั้ง๒๒ข้อครบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าจะคิดอย่างผู้บำเพ็ญเรายังไม่ครบ เราจะต้องทำให้ครบ ฉะนั้นคิดสูงก็ได้กำลังใจ แต่ไม่ใช่การคิดร้ายแล้วกดขี่ข่มเหงจิตใจก็ไม่ใช่ การคิดเพื่อมองอีกด้านหนึ่ง มองทั้งสองด้าน เรียกว่ามองให้สมดุล มองเข้าข้างตัวเองก็ยกเกินไป มองติตัวเองจนไม่มีกำลังใจให้อยากทำอะไร ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมทำไมจึงพูดว่าต้องให้เดินสายกลาง ไม่ใช่ยกตัวเอง และก็ไม่ใช่กดตัวเอง และก็ไม่ใช่มองตัวเอง และก็ไม่ใช่มองเขา แต่มองทั้งเขามองทั้งเรา อย่างสมานกลมกลืนอย่างรักษาความเป็นสมดุล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาว่าแบบนี้ เราลองตรวจสอบดู เรามีแบบนี้ไหม ถ้ามีแบบใดที่ดีแล้วก็รักษาต่อไป แต่ถ้าแบบใดไม่ดีก็จงแก้ไข อย่าให้อับอายเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะข้อบางข้อไม่น่าจะมีเลย หวงของดีไหม (ไม่ดี) ใครจะจับอันโน้นไม่ได้ ผลสุดท้าย อันนี้ของฐันจู่ห้ามกิน เขียนแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เมื่ออยู่ห้องพระส่วนรวมแล้ว จะเขียนชื่อว่าอันนี้ของฉัน อันนั้นของฉัน ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นต้องทำใจ ถ้าออกมาแล้วก็กลายเป็นของส่วนรวม ถ้าไม่อยากให้เขาเห็นล่อตาล่อใจก็เก็บไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  พูดอย่างคนเปิดอก เขามาห้องพระ บางครั้งเขาหาอะไรกินไม่ได้ เขาเห็นแล้วหยิบกินโกรธไหม เห็นไหมเขียนชื่ออยู่ไม่รู้หรือ ตอนนั้นเป็นการฝึกใจเราอย่างดีเลยนะศิษย์ เปลี่ยนเป็นอะไรดี กินไปแล้วหรือ สงสัยชื่อเขียนไม่ชัด ดีไหม (ไม่ดี)
ฐันจู่อยากเขียนไหมว่า เจี่ยงซือในใจฉัน เตี่ยนฉวันซือในใจฉัน ปั้นซื่อในใจฉัน อยากเขียนไหม (ไม่อยาก)  ถ้าศิษย์กล้าพูดกับอาจารย์เต็มปากเต็มคำว่าไม่เอา อาจารย์ภูมิใจนะ แปลว่าใครแบบไหนศิษย์ก็รับได้ ใครแบบไหนศิษย์ก็เข้าใจ ไม่เรียกร้อง นี่ถึงเรียกว่าหัวใจฐันจู่ รับให้ได้ทุกแบบ แล้วทำทุกแบบให้สมานกลมกลืนกับเบื้องบนเบื้องล่างให้ได้ นี่แหละหัวใจฐันจู่เลยศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นฐันจู่ที่โด่เด่ไม่มีใครเอา ยืนขวางคลอง ยืนขวางเป็นอะไรอยู่อย่างนั้นไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เราฝึกบำเพ็ญเพื่อย้อนมองส่องตนแก้ไขจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ  เพราะหัวใจของการเข้าใจธรรม กลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่มีคำว่า ตัวฉัน ตัวเขา  ของฉัน ของเขา อีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ายังมีตัวฉันตัวเขา ของฉันของเขา นั่นยังไม่เรียกว่าผู้ที่เข้าใจบำเพ็ญธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
ฉะนั้นเมื่อใดที่เราเจอเรื่องอะไร อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์หันกลับมามอง โดนเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ถามใจศิษย์เมตตาหรือยัง เข้าใจเขามากหรือเปล่า หัวใจเปิดกว้างไหม ถ้าเมตตาแล้ว เข้าใจเขาแล้ว ใจเปิดกว้างที่สุดแล้ว ไม่มีคำว่าคนแย่หรอก ถูกไหม เพราะหัวใจที่ยิ่งใหญ่อะไรก็เข้าใจ
อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับ ว่าใจของฐันจู่ คำว่า “เมตตา” หมายความว่าอย่างไรหรือ
(ให้อภัยทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น, อย่าพยายามค้นหาความผิดของผู้อื่น, ต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น, ต้องแก้ไข, มีความรักให้กับทุกคนโดยไม่มีข้อแม้, ยอมรับในสิ่งที่เขาติในทุกสภาวะ, โอบอ้อมอารี, ให้ความรักความห่วงใยกับทุกคน, ให้ความอบอุ่นกับญาติธรรม, ใจกว้างเข้าใจยอมรับ, แก้ไขปัญหาให้ญาติธรรม, ให้ทุกอย่างที่ให้ได้, เสียสละและใจกว้าง, ใจกว้างรับความจริงให้ทุกเรื่องเป็นที่ปรึกษาให้เขา, ต้องดูแลญาติธรรมให้เหมือนคนในครอบครัว, ให้โดยไม่หวังผล, แสดงความรักต่อญาติธรรมทุกท่าน)
ศิษย์แต่ละคนตอบได้ (ดี)  อาจารย์ว่ายังตอบได้ไม่ดีพอ ศิษย์มักจะติดคำว่าดีกัน บำเพ็ญติดดีมากเกินไปก็ไม่ดี พอเจอคำว่าไม่ดีก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่ายังตอบได้ไม่ดีพอ ทำไมอาจารย์ถึงพูดคำนี้ เพราะผู้ที่เข้าถึงความเมตตาที่แท้จริง ต้องบอกว่า เรายังทำได้ไม่ดีพอ เรายังจำกัดความ แปลว่าเมตตาของศิษย์มีความจำกัด ถ้าเรายังสรุปคำแปลความเมตตาของศิษย์มันมีแค่ศิษย์สรุปความ แปลว่าที่เหลือนั้นศิษย์ยังไม่สามารถเมตตาได้เต็มที่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมตตาคืออะไร บางทีตอบไม่ได้  แต่ถ้าอาจารย์จะพูดอย่างเข้าใจง่ายๆ ก็คือ เห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจธรรม ยิ่งช่วยเขามากเท่าไหร่เรายิ่งเข้าใจธรรมมากเท่านั้น เขาคือความเป็นธรรมที่ทำให้เรายิ่งเข้าถึงแล้วเข้าใจ ยิ่งเข้าถึงปฏิบัติแล้วได้เห็นความเมตตา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมตตาก็คือเห็นเขาไม่มีคำว่าต่างกับเรา เห็นเขาคือสภาวธรรมแห่งการเวียนว่ายในทุกข์ แล้วอยากทำให้เขาพ้นทุกข์ แล้วเมื่อเราไปจับเขาก็คือการที่เราได้จับธรรม เมื่อไรที่เราวิ่งไปช่วยเขา เมื่อนั้นเรากำลังช่วยให้ธรรมในใจของเราชัดขึ้น ฉะนั้นเขาก็คือธรรม เราก็คือธรรม แต่การช่วยเขามากเท่าไหร่ ทำให้เราเห็นธรรมในใจเรามากขึ้นเท่านั้น จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเข้าถึงเมตตาธรรมยังไม่ถึงนะ  ส่วนที่ไม่ตอบเพราะ เพราะรู้สึกยังไม่เมตตา ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการบ่งบอกตัวเรา ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม อาจารย์ย้ำอยู่ทุกๆ ที่ ให้ศิษย์ย้อนกลับมา เจอเรื่องอะไรย้อนกลับมา ศิษย์จะเห็นธรรม ศิษย์จะแจ้งธรรม ศิษย์จะตื่นรู้ในธรรมทันที โดนเขาว่า โดนเขาพูด โดนเขาทำอะไรก็แล้วแต่ หันกลับมา เรายังขาดธรรม เรายังพร่องในธรรม เรายังไม่มีธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นทำ เรายังไม่ถึงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จริงๆ วันนี้มีหลายเรื่อง มีหลายอย่างที่อาจารย์อยากเน้นย้ำให้ศิษย์ของอาจารย์ทำให้ได้และไปให้ถึง เพราะถ้าเราอยู่ในห้องพระ ดูแลห้องพระ เป็นเสาหลักอีกเสาหนึ่งของห้องพระ เราก็จะต้องมีความเข้าใจธรรมที่แจ่มชัด เพราะเมื่อไรที่เราเจอเรื่องราว เมื่อไรญาติธรรมเจอเรื่องราว เราสามารถตอบเขาได้ เราสามารถไขปัญหาให้เขาได้  เหมือนอาจารย์ถามว่า ถ้าบำเพ็ญธรรมแล้ว ทำไมยังต้องเจ็บปวด ถ้าบำเพ็ญธรรมทำไมยังเจอโชคร้าย ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ไหม ว่าอย่างไร  (เพราะเรายังมีตัวตน เรายังมีกรรมเก่า เราจึงต้องใช้กรรม)  เราต้องบอกว่าเรากำลังใช้กรรมเก่า เราไม่สร้างกรรมใหม่ เรากำลังได้หมดกรรมเก่า เพื่อจะได้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า บำเพ็ญธรรมแล้ว ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วอุบัติเหตุไม่เจอ
สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องรู้แล้วเข้าใจก็คือ เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรม มนุษย์ถึงได้พ้นการเกิด แก่ เจ็บตาย แต่เราหยุดการเกิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจ ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่มีโชคร้าย มีแต่โชคดีเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นไปไม่ได้ เคราะห์ภัยไข้เจ็บโชคร้ายเป็นเรื่องของกรรมเก่า
เรามีความเป็นปกติของสังขารที่จะต้องแก่ เจ็บ ตาย ฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติของสังขารหาใช่ปกติของจิตเดิมแท้ ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ เรามีกรรมเพียงแค่สังขาร แต่เราไม่มีกรรมทางจิตใจเดิมแท้ จิตเดิมแท้เราไม่มีกรรม แต่เรามีกรรมเพียงแค่สังขารของตัวตน ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังยึดสังขารแห่งตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นการทำที่ก่อเกิดเป็นกรรมไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์บำเพ็ญธรรมจนเข้าถึงสภาวธรรม มันไม่มีกรรมที่ต้องกลับไปชดใช้ ไม่มีกรรมที่ต้องไปเวียนว่าย เมื่อไรที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นในความดีความร้าย มนุษย์จึงหนีไม่พ้นกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เข้าถึงสภาวธรรม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า การเกิด นั่นแหล่ะเรียกว่าเข้าสู่ธรรม ฉะนั้นถามตัวเองว่า บำเพ็ญธรรมเดินถูกทางไหม ถ้ายังยึดติดดีชั่ว แปลว่ายังยึดติดในการมีกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราไม่ยึดติดดีชั่ว เรามองเห็นความเป็นจริงแห่งสภาวธรรมเราก็คือธรรม  ทำไมอาจารย์ถึงเน้นให้มันยาก แต่อาจารย์ว่าไม่ยากถ้าเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจแล้ว ศิษย์เจอเรื่องราวอะไร ศิษย์ก็จะบอกว่า มันเป็นธรรมดาของสภาวธรรมของสังขาร มีใครไม่โดนว่า มีใครไม่โดนด่า มีใครไม่ถูกชื่นชม มีใครไม่เจ็บ มีใครไม่สูญเสีย เป็นธรรมดาของสภาวธรรมที่ยังมีสังขาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  
แต่ถ้าเราบำเพ็ญธรรมจนเข้าถึงธรรมแล้ว มันเป็นเรื่องของสังขาร ไม่ใช่เรื่องของจิตเดิมแท้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง มันจะมีไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของผู้บำเพ็ญธรรมและผู้ดูแลสถานธรรม จำไว้เลยศิษย์ไม่มีบาปใดน่ากลัวเท่ากับความหลงผิดและยุยงคนในห้องพระให้แตกแยก นั่นคือกรรมที่หนัก อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนอย่าได้มีใจเช่นนี้ ความหลงผิดและจิตใจที่แบ่งแยก นี่คนของฉัน นี่คนของเธอ อย่าได้ทำแบบนี้ เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม ไม่มีบาปใดน่ากลัวเท่ากับยุยงคนบำเพ็ญธรรมให้แตกแยกและทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วศิษย์จงจำไว้อีกอย่างหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราไม่มีหน้าที่ไล่ใครออกจากห้องพระ ไม่ได้นะศิษย์  เขามาก็เป็นบุญกรรมของเขา แม้จะเป็นคนบ้าศิษย์ก็ต้องค่อยๆ ทำกับเขา มีตั้งหลายที่ไม่เดินมา เดินมาหาเรา แล้วเราจะไล่เขาอย่างกะหมูกะหมาได้ไหม คิดว่าอาจารย์มาก็แล้วกัน ดีไหม (ดี)  ดูแลอย่างไรให้ดี ให้อาจารย์เดินออกไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนย้อนมองส่องใจศิษย์ อย่ารังเกียจใคร และขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมอย่าฆ่าใครในห้องพระมันบาปนะศิษย์ ไม่ว่าฆ่าด้วยวาจา ฆ่าด้วยสายตาเหยียดหยาม ฆ่าด้วยท่าทีเมินเฉย อย่าทำนะ เป็นฐันจู่เปิดใจกว้าง ยอมรับด้วยความเข้าใจ เปิดกว้างเท่าไหร่ ศิษย์ก็คือใจฟ้า เข้าใจมากเท่าไหร่ศิษย์ก็คือฟ้าดินที่สมานกลมกลืน ใช่ไหม (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ยากอย่างเดียวคือไม่ยอมทำ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าบอกว่าหนูทำไม่ได้ แล้วยิ่งช่วงนี้มีหลายเรื่องราวเข้ามาทดสอบจิตใจ จริงๆ อาจารย์ไม่อยากใช้คำว่าทดสอบใจเลย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า มันเป็นความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะเหตุปัจจัย ไม่ว่าเจอโชคร้าย ไม่ว่าจะเจอโรคร้าย ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้าย อาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์ดีใจ เพราะอะไรรู้ไหม ดีใจได้ใช้เขาให้หมด ดีใจที่จะได้จบกันแล้ว ดีใจที่มีโอกาสได้หมดเคราะห์หมดโศกแล้ว ทำไมไม่ดีใจ จะยึดทำไมให้ทุกข์ จะห่วงทำไมให้เจ็บปวด จะป่วยก็ป่วยไปสิ อาจารย์ยังต้องป่วยเลย อาจารย์ยังโดนนินทาเลย อาจารย์ยังโดนเขาเหยียบเลย อาจารย์ยังโดนคนดูถูกเลย  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ยอมแพ้ไหม (ไม่ยอม)  นั่นแหละทำให้อาจารย์เป็นอาจารย์ ทำให้พุทธะเป็นพุทธะ ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะเข้าใจในความเป็นธรรมที่มันเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น มันจะร้ายต่อใจศิษย์ก็ตาม แต่มันร้ายหรือ มันดีมากๆ ต่างหาก ดีที่ได้เข้าใจ ไม่มีอะไรต้องยึดเลย ให้ทิ้งท้าย ฉะนั้นความเจ็บปวดมันคือการสละที่ติดค้างให้กับโลกนี้ แต่สละอย่างคนที่ให้แล้วมีความสุข ป่วยอย่างไรมีความสุข นี่แหละคือสุดยอดบำเพ็ญ ป่วยถึงขั้นสุดท้ายแล้วยังมีความสุขได้ นี่แหละเขาเรียกว่าสละจนเข้าถึง เจ็บมันเจ็บแค่กาย มันร้องไห้ได้หัวเราะก็ได้ ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ต้องดีใจสิ ดีใจที่ได้เจอเรื่องแบบนี้ อย่าเศร้า อย่าทุกข์ ขอบคุณมันที่มันทำให้ศิษย์ได้สละ ไอ้ชิ้นสุดท้ายตัวนี้ ให้ฉันสละจนฉันทุกข์ถึงธรรม ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง) 
จะตัดพ้อทำไม บำเพ็ญมาตั้งนานทำไมหนูยังต้องเจอโรคแบบนี้ ทำไมหนูต้องเจ็บแบบนี้ อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์อย่าคิดแบบนี้ เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์ทำมามันจะล้างทิ้งหมดเลย ไอ้ที่หนูทำมามันไม่ช่วยอะไรหนูเลย เป็นเพราะว่าหนูเจ็บ ทำไมเป็นแบบนี้ อย่างนี้คิดไม่ถูกนะศิษย์ จริงไหม (จริง)  ทนทำดีมาแทบตาย พอป่วยแค่นี้ ทำไมธรรมะไม่เห็นดีเลย ทำไมหนูยังต้องเจ็บแบบนี้ นั่นคือศิษย์ไม่เข้าใจธรรมเลยนะ ถ้าพูดแบบนี้ สิ่งที่ทำมาทำไมศิษย์ไม่มีความภูมิใจ ไม่มีความศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น แล้วทำลายมันทิ้งเพียงแค่ศิษย์เจ็บปวด ศิษย์เจออุบัติเหตุ ศิษย์เจอความทุกข์ ถูกหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องดีใจที่ได้เข้าใจ ดีใจที่ได้แจ่มแจ้งในธรรม ดีใจที่ได้ละวางและเข้าถึงธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เข้าใจในหลักธรรมมากๆ เพราะว่าถ้าศิษย์ยิ่งเข้าใจมากเท่าไร ศิษย์จะรู้ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าศิษย์ยังทุกข์อยู่ แปลว่าศิษย์ยังยึดมั่นมันอยู่ไม่ปล่อยวางต่างหาก จริงไหม (จริง)  แล้วบำเพ็ญธรรมมีไหมที่ตัดพ้อว่า อาจารย์เมื่อไรจะถึงที่สุด เคยไหม มันต้องไปถึงที่สุดเมื่อไหร่ล่ะอาจารย์ อาจารย์พูดไม่ออกถ้าศิษย์พูดแบบนี้ บอกไม่ถูกเลยว่าจะบอกศิษย์ว่าอย่างไร เพราะว่าทุกอย่างถ้าศิษย์เข้าใจจริงๆ ศิษย์จะรู้ ว่าไม่ได้เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวศิษย์เอง ดีกับเขามันก็คือช่วยตัวเอง ช่วยเขามากเท่าไหร่ก็คือช่วยเรามากเท่านั้น ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกอาจารย์ว่าต้องทำถึงเมื่อไหร่ แปลว่าศิษย์ไม่เข้าใจเลย ใช่ไหม ฉะนั้นเข้าใจธรรมมันต้องให้ถึงธรรมนะศิษย์ อย่าเข้าใจธรรมแล้วถึงแค่ความเป็นตัวตนมันหนีไม่พ้นทุกข์ เอาความเข้าใจนั้นไปให้มากๆ แล้วศิษย์จะรู้ว่าเราสามารถหยุดอยู่ตรงนี้ช่วยคน แต่จิตเรากลับมีความสุขที่สุด อิสระที่สุด และมีค่าที่สุด เข้าใจในการมีชีวิต มีความหมายขึ้นมาทันที เหมือนดังคำพูดว่า จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง มากกว่าเอาแต่มองผู้อื่น เมื่อไรที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเองมาก เราจะรู้ว่าทุกเรื่องทุกราวที่มันเกิดขึ้นมันเริ่มที่นี่และมันต้องจบที่นี่ ไม่ใช่ไปแก้ที่คนอื่น เมื่อไรที่ศิษย์เรียนรู้ที่ศิษย์จะอยู่กับความจริง แล้วรู้ว่าอะไรที่ความจริงมันเกิดมันดีที่สุดแล้ว ศิษย์จะบอกอาจารย์ได้เลยทุกวันคือวันที่ดี ทุกวันคือยาอายุวัฒนะ ที่ทำให้ศิษย์มีความสุขมีความหมาย อยู่กับความจริงอย่างคนที่เข้าใจ ทุกวันจะทำให้ศิษย์มีความสุข แล้วมันคือยาที่เยียวยาใจเราได้ ยาชั้นดีเลยนะ อยู่กับความจริง แล้วมันทำให้ศิษย์พอในโลก ฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เข้าใจในปัจจุบันแล้วมองอย่างเมตตา
อาจารย์ให้แบบง่ายๆ จะได้เข้าใจ อีกอันหนึ่งนะ
จงเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีเมตตา มีความเข้าใจ มีใจที่เปิดกว้าง แล้วศิษย์จะไม่มีคำว่าเสียใจ ผิดหวัง เคืองแค้นใจ
จงเรียนรู้ที่จะแก้ไขตัวเองมากกว่าผู้อื่น แล้วศิษย์จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่เราและจบที่เรา
จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับขณะนี้ แล้วศิษย์จะรู้พอ
จงเรียนรู้ที่จะให้ แล้วศิษย์จะมีสุขใจ
จงเรียนรู้ที่จะขอบคุณ แล้วศิษย์จะได้ยาอายุวัฒนะที่ดี
ลองเอากลอนกลับไปพิจารณาดูนะ ดีไหม (ดี)  กลับไปจะอ่านกันหรือเปล่า กลับไปศึกษาแล้วมองตัวเองบ้างไหม ฉะนั้นศึกษาลงแรงบำเพ็ญอย่าหน่ายท้อ อย่าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่น อย่าเอาแต่มีทิฐิ ใช่ไหม  อาจารย์มาเพียงแค่ครู่หนึ่ง อาจารย์คงต้องกลับแล้ว
ยังคงห่วงศิษย์ทุกคนอยู่นะ  รู้จักคิดรู้จักทำอย่าใช้อารมณ์ ทำอะไรจงมีสติรู้จักคิด พิจารณาอย่างคนที่มีปัญญา อย่าใช้อารมณ์เป็นหลัก จงรู้จักใช้ธรรมเป็นหลักอย่าให้ทิฐิมาบดบังปัญญา อย่าทำให้ตัวตนมันทำให้เรามองไม่เห็นความจริงแห่งธรรม แต่จงมีธรรมด้วยสติ จงมีธรรมที่คอยยั้งคิด ให้ดำเนินชีวิตให้ถูกทาง บางครั้งความสบายก็ทำให้คนหลง บางครั้งความยึดมั่นตนก็ทำให้เราก้าวผิดพลาด ฉะนั้นจงคิดไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะทำลงไป เพราะจะทำให้เสียใจทีหลังนะ ใช่ไหม (ใช่) 
เข้มแข้งอย่าอ่อนแอ มีปัญญา มองทุกสิ่งอย่างคนที่เข้าใจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมรอคนทำ ธรรมรอคนเข้าถึงธรรม แต่คนมักยึดติดความเป็นคน จึงมองไม่เห็นธรรม ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ขวัญกำลังใจศิษย์ ศิษย์ก็จงรู้จักให้ขวัญกำลังใจตัวเอง อาจารย์ให้ศิษย์มีปัญญาที่ดีงาม ศิษย์ก็จงสร้างปัญญาในทางที่ไม่หลงผิด อาจารย์ให้ความเข้มแข็งกับศิษย์จิตใจต้องเข้มแข็ง สังขารช่างมัน มันเป็นตามกาลเวลา ใจของศิษย์เข้มแข็งอยู่แล้ว แต่อย่าเอาไปห่วงกับมันมาก จนทำให้จิตมันไม่สู้ ไม่เป็นไรได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องไปกังวลใจ ใจสู้เสียอย่าง
อะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับนะศิษย์ แม้มันไม่เป็นดังสิ่งที่หวัง จิตที่ยิ่งใหญ่คือจิตกล้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยหัวใจแห่งโพธิสัตว์ เข้มแข็ง เรื่องราวทุกอย่างล้วนมาทดสอบและวัดใจเรา ใช่ไหม (ใช่) 
จะให้อาจารย์ช่วยหรือ อาจารย์จะช่วยปัดเป่าได้ชั่วคราวนะ แต่ไม่สู้ปัญญาของศิษย์ที่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ตลอดเวลา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นรู้จักคิดรู้จักทำอย่าทำให้คนเข้าใจผิดด้วยการหลงตัวเองนะ สู้นะศิษย์เอ๋ย เรื่องราวทุกอย่าง ล้วนทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจธรรม ใช่ไหม (ใช่) ต้องทุกข์ได้เยอะๆ ปัญญาจะได้ดีๆ ใช่หรือไม่
ศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลาย อย่าหลงผิดทาง เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ อ่อนแอได้แล้วก็กลับมาเข้มแข็งได้ จริงไหม (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญอย่าหวั่นไหว จงมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ก้าวออกไปให้ถึงหัวใจให้ธรรมที่มันไม่ได้อยู่ไหน มันอยู่ในตัวเรา ที่มันไม่ได้ห่างไกลเลย แต่มันรอวันที่เราตื่นรู้จากความจริงด้วยสติ ด้วยธรรมยั้งคิด ด้วยชีวิตที่เข้าใจชีวิตอย่างเห็นธรรมแต่ไม่อ่อนแอ อย่างคนที่เข้มแข็งและเข้าใจเรื่องราวในโลกใบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าให้ความเป็นตัวตนบังความเป็นธรรมในกาย อย่าให้นิสัยอารมณ์ทำให้ศิษย์ไม่เข้าใจธรรม อย่าให้ทิฐิชั่ววูบทำให้เราห่างไกลกันเลยนะศิษย์ เงินทองไม่ตายหาใหม่ได้ แต่หัวใจที่ดีงามของศิษย์เวลามันผิดแล้วมันกลับคืนมาดีดั่งเดิมมันยากนะ จริงไหม ฉะนั้นอย่าเพียงเพราะความหลงผิดแค่นิดเดียว ทำให้หัวใจที่ดีงาม มันกลายเป็นสิ่งที่สกปรกเลยนะ ใช่ไหม ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วต้องกล้ายอมรับ ใช่ไหม (ใช่) ขอเพียงมีปณิธานมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นที่ดีและจิตใจที่ดีช่วยแปรเปลี่ยนเรื่องราวที่เลวร้ายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีงามได้ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
ฉะนั้นจงเชื่อมั่นในความดีงาม จงเชื่อมั่นในหัวใจที่ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญ อะไรจะเกิดอย่ายอมแพ้แต่มันคือสิ่งที่ดีแล้ว ใช่ไหม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ดีแล้ว ที่ฟ้าให้ศิษย์เพื่อให้ศิษย์เข้าถึงธรรม ไม่ยึดมั่นไม่หลงผิด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดร้ายแค่ไหน แย่แค่ไหน จงรักษาใจที่ขอบคุณ จงรักษาใจที่เข้าใจธรรมนี้ไว้ให้มันถึงที่สุดจนถึงลมหายใจสุดท้าย นั่นแหล่ะ มันถึงที่สุดมันสมบูรณ์แล้วศิษย์ ฉะนั้นอย่าให้อะไรมาพรากความคิด มาพรากจิตของศิษย์เพียงเพราะคิดผิดอันเดียวเองนะ และไม่ว่าจะเจอเรื่องราวอะไรรักษาใจอันนี้ไว้ ใจที่ศรัทธา  ใจที่เชื่อมั่น ใจที่มุ่งมั่นไปให้ถึงจนลมหายใจสุดท้าย ศิษย์ก็ไม่ยอมแพ้ ศิษย์ก็ไม่กล่าวโทษ ศิษย์ก็ไม่ตัดพ้อ นั่นแหละมันสมบูรณ์งามที่สุดสำหรับการบำเพ็ญเลย เชื่ออาจารย์เถอะนะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

2560-04-01 สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์

西元二○一七年歲次丁酉三月初五日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
  คนรู้ธรรมไม่ใช้ธรรมเป็นประโยชน์         ธรรมให้โทษถ้าไว้ใช้หลบเลี่ยงเก่ง
ชมตัวเองพูดก็เข้าข้างตัวเอง              แม้แสนเก่งก็กลับสร้างกรงขังตัว
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านสงบเย็นและสบายใจไหม
  เห็นผิดหลงความคิดของตัวเอง         คนห่างไกลคนความเก่งพาฉ้อฉล
ตามอารมณ์จึงพาดีอยู่ไม่ทน              ขาดสติชั่ววูบดลภัยคุกคาม
ทิฐิเกิดอารมณ์ชั่วแล่นน้อยคุมได้         กี่ทีสำนึกหายจากเล็กมองข้าม
บานปลายจนธรรมเลือนสิ้นดีงาม        คนขาดศีลผิดกามรูปมาทำลาย
ต่อไปขออย่าได้ลืมมีสติ                   อย่าให้เป็นเช่นนี้จนเหนื่อยหน่าย
ป้อมปราบอีกป้องกันนี้ทั้งใจและกาย    แม้ทำไม่ผิดบาปไซร้ต้องระวัง
วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่จะยอมจบ                บาปกรรมก่อไม่กลบไม่หักล้าง
เป็นแนวย้ำสร้างแต่ดีมีพลัง               ศุกล[1]ทางดีด้วยสำนึกสูงด้วยธรรม
เผยอันถูกต้องดีงามเป็นสากล            อัตตาตนไม่ยึดมั่นไม่เจ็บช้ำ
ยินดีสละปฏิบัติเคยแต่ไม่ประจำ         ฝึกเลยให้ชินจนล้ำมีฝีมือ
                                            ฮา ฮา หยุด


[1] ศุกล [สุกกะละ] ว. สุกใส, สว่าง; ขาว, บริสุทธิ์. (ส. ศุกฺล, ศุกฺร;ป. สุกฺก).

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

มนุษย์มักกล่าวว่าทุกปัญหามีโอกาส เเต่ในทางกลับกัน ทุกโอกาสก็อาจกลายเป็น (ปัญหา)  อยู่ที่อะไรหรือ (ตัวเรา)  มนุษย์มักจะพูดว่าคนฉลาดทำทุกปัญหาให้เป็นโอกาส เเต่คนโง่เขลาทำทุกโอกาสให้กลายเป็น (ปัญหา)  ฉะนั้นย้อนถามกลับที่ทุกท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นปัญหาหรือเป็นโอกาส (โอกาส)  คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ เขาสามารถแปรทุกๆ ความทุกข์เป็นความสุข แต่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกคือ ทุกๆ ความสุขเขาคิดแต่เรื่องของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ท่านเป็นคนฉลาดที่สุดและเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่ถ้านั่งอย่างหวานอมขมกลืนแล้วเป็นทุกข์ ถ้านั่งมองอย่างเป็นปัญหา เราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขจริงหรือไม่ (จริง) 
มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ ความเย็นใจ ความสบายใจ ความผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ใจได้สงบ ขอให้ใจได้เย็น ขอให้ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทุกขณะที่เราเผชิญชีวิตในโลกทำไมเรากลับไม่สงบ เรากลับไม่เย็นใจ เรากลับไม่เคยผ่อนคลาย และบางทีเหมือนไม่เคยสบายใจ ทั้งที่ลึกๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเราอยากหาที่สบายใจ ที่ๆ ทำให้เราสงบใจ หรือสิ่งที่ทำให้เราเย็นใจ ใช่หรือไม่ เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราจะผ่อนคลายใจก็ต่อเมื่อต้องนั่งมองทะเล เอาทุกข์ไปทิ้งที่ทะเล ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราต้องหลับตา ปิดหูปิดตา ไม่ต้องฟังเรื่องอะไรใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็เห็นโดยส่วนใหญ่อยากหาความสงบใจ ความเย็นใจ ปิดตาปิดหู ไม่ต้องรับรู้อะไร พอเข้มแข็งแล้วค่อยมาลืมตาสู้ใหม่ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราจะบอกท่านว่า ในความวุ่นวายเรากลับหาความสงบได้
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง สมมติว่าเราพยายามปลูกผลไม้ ในช่วงก่อนที่ผลไม้จะออกผลเราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายไหม เราวางใจสบายได้ไหม ไม่เคยได้เลยใช่ไหม พอผลไม้ออกผลแล้ว เราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายเราสบายใจไหม ก็ไม่เคย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ความอยาก ความยึด ทำให้ใจเราไม่สงบไม่เย็น ความมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเอาให้ได้ต้องทำให้ได้ต้องดีให้ได้ ทำให้เราไม่ผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอทำเสร็จ ต้องดีต้องสำเร็จ เลยทำให้เราไม่เคยสบายใจ แม้ว่าเรากำลังจะทำหรือทำเสร็จแล้วถ้าเราบอกว่า ไม่ว่าทำอะไรสักอย่างหนึ่งออกมาหรือยังไม่ทำออกมาเเต่ถ้าทุกขณะเราทำอย่างเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ สงบไหม (สงบ)  เย็นไหม (เย็น)  สบายใจไหม (สบายใจ) 
ฉะนั้นธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อเเสวงหาเเล้วยึดมั่นเกาะกุมอย่างไม่ปล่อยวาง หรือธรรมสอนให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเเสวงหาอย่างเข้าใจเเละยอมรับความจริง เราเทียบง่ายๆ ความอยากทำให้มนุษย์ไม่สงบ การไม่ยอมรับความจริงทำให้มนุษย์ไม่สามารถเย็นหรือสบายใจได้ การหมกมุ่นกับสิ่งใด ว่าต้องให้ได้ มันทำให้จิตเราไม่ผ่อนคลาย เเต่การทำอะไรจนถึงที่สุดเเล้วยอมรับความจริง เเละกล้าเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันด้วยหัวใจที่
เข้มเเข็ง ทำดีที่สุดเเล้วนั่นกลับทำให้เราสบายใจกว่า ถ้าทุกขณะเราทำไปแล้วจบ วางได้คือดีที่สุด ทุกขณะที่ทำจะเย็น สงบ สบาย ผ่อนคลาย เเต่ถ้าเราทำเเล้ว ต้องแบบนั้นแบบนี้ ต้องให้ได้ ทุกขณะที่ทำเลยไม่เคยเย็น ไม่เคยสงบ ไม่เคยผ่อนคลาย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เราทำดีที่สุดเเล้วปล่อยวางเเละละวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนทุกข์ใจ จริงไหม (จริง)  ธรรมสอนให้ไม่ถึงกับปล่อยวางเเต่ละวางอย่างเข้าใจ แค่ตรวจสอบว่าถ้าเราทำออกมาแล้วมีคนว่า ถ้าเรายอมรับได้เราก็เย็น

มีคนชมมีคนว่าถ้าเรายอมรับเราก็เฉยๆ ถ้าเรายอมรับ เราก็สงบใจ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ต้องดี ต้องยึดมั่น ทุกขณะเราเลยไม่เคยสงบ ไม่เคยเย็น ไม่เคยผ่อนคลาย ไม่เคยเป็นสุข ธรรมสอนให้เรามาปฏิบัติเพื่อใช้กับชีวิต ไม่ใช่ไปทุกข์มาถึงที่สุดแล้วปล่อยไม่ลง แต่ธรรมสอนให้ใช้ตอนนี้ ตอนที่จะอยาก อยากแล้ววางได้ไหม อยากแล้วยอมรับได้ไหมถ้าไม่ได้อย่างที่อยาก มันจะทำให้อึดอัดแล้ว แย่เลยไหม เหมือนถ้าปลูกผลไม้มาลูกหนึ่งแล้วห้ามติ ต้องขายได้ราคาดี ต้องหวานอย่างเดียว ต้องไม่มีแมลงได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามนุษย์ใส่ใจในทุกขณะที่เกิดขึ้น และเรียนรู้อย่างมีสติ เราจะไม่เป็นคนที่ทำร้ายตัวเราเอง เพราะเรารู้จักธรรม ธรรมอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น แต่ไม่ทำให้เราทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วเชื่อไหมว่าทุกขณะไม่จำเป็นจะต้องไปมองทะเล ไม่ต้องไปหาที่สงบ อยู่ที่ไหนเราก็สงบได้ แต่ถามตัวเองก่อนว่าทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นั่นแหละ เย็น สงบ สบาย ได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่ไกลๆ ไม่ต้องรอเข้าวัดฟังธรรม ธรรมมันอยู่ในตัวเราเมื่อไหร่จะทำสักที ทำให้มันเป็นธรรม ไม่ใช่ทำให้ตนเองเป็นที่ผลิตกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)
เหมือนอยู่กับเราตอนนี้ ถ้าไม่มีความอยากใจก็สงบ ถ้ากล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นใจก็เย็น ถ้าไม่มุ่งมั่นอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หัวใจก็ผ่อนคลาย เเละถ้าไม่ยึดติดว่าต้องแบบนั้นแบบนี้ใจเราก็สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนไปอยู่ที่ทำงานถ้าไม่เกิดความอยาก ทำงานก็มีความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ากล้ายอมรับว่าจะได้ไม่ได้เราก็ใจเย็น ถ้าไม่บีบคั้นตัวเองว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำงานเราก็ผ่อนคลาย เเล้วถ้าทำให้ดีที่สุดเเล้วอะไรก็กล้าเผชิญ จิตใจเราก็เบิกบานเเละสบาย ใช่หรือ (ใช่)
ฉะนั้นคำว่าสงบ เย็น สบายใจ ไม่ได้อยู่ภายนอก เเต่ถามใจเราเองก่อน เรียนรู้ที่จะเข้าใจเเละยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติ เเละเราจะเข้าใจว่าทุกๆ อย่างก็คือธรรมเเห่งความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมากไป ไม่มีอะไรน้อยไป เเต่ใจเราต่างหากที่ตีกรอบยึดมั่นคาดหวัง เเละทำให้สิ่งธรรมดาเป็นสิ่งที่ทุกข์หรือสุขก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดไม่ยากนะ เหมือนเราพยายามจัดดอกไม้ให้สวยที่สุด ถ้าเรายึดว่าต้องได้รับคำชมอย่างเดียว เราสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าเรายึดว่าต้องดีอย่างเดียวอย่าร้าย เราจะเย็นไหม (ไม่เย็น)  พอใครมาพูดว่าไม่ดี เป็นอย่างไร อารมณ์ขึ้นเลย เพราะฉันมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำดีความดีก็อยู่ในผลงานนั้นแล้ว ส่วนจะดีหรือไม่ดีในใจเขา เราบังคับให้ทุกคนเป็นอย่างที่ใจเราคิดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ใช่บอกให้ท่านยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ จนไม่ยอมมองความจริง แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรามองความจริงด้วยสติ ทุกขณะที่เกิดล้วนคือธรรม การปฏิบัติธรรมสอนให้เราพูดดีทำดี แต่การปฏิบัติธรรมไม่ได้สอนให้ทุกคนต้องดีกับเรา ถูกไหม (ถูก)  มีธรรมบทไหนบ้างที่สอนว่าเราจะดีได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต้องดีกับเรา การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติดี แต่การปฏิบัติดี ไม่ใช่ให้เรามีหน้าที่ไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะมาตรฐานความดีของทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน)  ฉะนั้นที่เขาปฏิบัติกับเราอาจจะเรียกว่า สำหรับเขาอาจจะทำดีที่สุดแล้ว แต่เรามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราร้าย
ก่อนที่จะว่าเขาร้าย เรายึดติดดีในแบบของเรา แล้วรับดีในแบบของเขาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เรื่องที่เราพูด เราว่าไม่ยากนะ แต่ยากที่ใครจะทำได้จริง ถ้าทำได้จริง ความสงบ เย็น สบาย และอิสระมีได้ในทุกขณะ และเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แต่เราไม่เคยคิดที่จะทำกันจริงๆ เท่านั้นเอง งั้นเราเทียบง่ายๆ นะ ท่านว่าดอกไม้นี่สวยไหม (สวย)  ถ้ายังคิดอย่างนั้นแปลว่ายังมองไม่ถึงที่สุดนะ ถ้าคนที่มองถึงที่สุดและมองอย่างเข้าใจธรรมจะบอกว่า ทั้งสวยและไม่สวย จริงไหม (จริง)  นี่แหละเรียกว่าคนไม่ประมาทในการมีชีวิต งั้นถามอีกกระเช้าดอกไม้ดีไหม (ทั้งดีและไม่ดี)  ดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่กระเช้า แต่ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจท่าน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นต้องมีสตินะ แล้วท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจ แล้วไม่มีอะไรมาทำให้ท่านหลงและทำให้ท่านทุกข์ได้ กระเช้าดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่มันทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่ากำลังเอากระเช้าไปทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ท่านมาเรียนรู้ศึกษาการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมีรากฐานคือการกระทำดี การกระทำดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราศึกษาจึงขอพูดเกี่ยวกับเรื่องหลักธรรมในการเอาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิต เมื่อเราบอกว่าการทำดีเป็นฐานของการปฏิบัติธรรม คนส่วนใหญ่จึงเลือกทำสิ่งที่ดี ถ้ามือหนึ่งทำดี เเต่อีกมือหนึ่งทำไม่ดี ถ้าบอกว่าคนหนึ่งขยันทำดีเเต่อีกด้านหนึ่งชอบแอบคิดคดโกหกนินทาว่าร้าย อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  เเละจะบอกว่าคนดีแบบนี้ทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าเขาทำดีก็จริงเเต่สิ่งที่ผิดที่ร้ายเขายังไม่รู้จักละ อย่างนั้นจะบอกว่าตนเองทำดีเเล้วไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถึงเวลาเรื่องร้ายๆ เราก็ยังทำอยู่
คนดีที่เเท้จริงคือเเม้ไม่ได้ทำดีอะไรมาก เเต่ไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายเลยนั่นถึงจะเรียกว่า (คนดี)  ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคนดี มือหนึ่งทำดีเเต่อีกมือหนึ่งยังแอบคดโกง ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่ปฏิบัติดีได้อย่างถูกต้อง เเล้วจะบอกว่าทำดีเยอะๆ เผื่อความดีนั้นจะมาล้างความไม่ดี ท่านว่าล้างได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนวันนี้ท่านไปทำบุญกับคนกลุ่มนี้ เเต่ท่านไปด่ากับคนกลุ่มนั้นเเละให้คนกลุ่มนี้มาชมว่าเราดีให้กับคนกลุ่มนั้น ฟังขึ้นไหม (ไม่ขึ้น)  แล้วเรียกว่าดีเเท้ไหม (ไม่แท้)  อย่างนั้นอย่าบอกเราว่าท่านกำลังปฏิบัติดี ถ้าท่านยังไม่ละบาป ละชั่ว ละกรรม พระพุทธะสอนไว้ว่าละบาปเมื่อไหร่ก็คือการบำเพ็ญบุญเมื่อนั้น เเต่ถึงจะทำบุญเเค่ไหนแต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ ท่านก็ไม่อาจเรียกว่าคนบุญ
หลายท่านมักบอกว่า ทำดีเเทบเเย่ไม่เห็นได้ดี ทำไมทำดีมากๆ ไม่เห็นโชคดี ทำไมเป็นคนดีมีศีลมีธรรมกินเจเเล้ว ทำไมยังมีโรคภัยไข้เจ็บไม่เห็นดีเลย เห็นบ่นตัดพ้อว่าฟ้าว่าดินประจำ อย่างนั้นเราจะตอบให้ฟังว่าเพราะอะไร ท่านเคยได้ยินไหมว่าโรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังปากร้ายว่าคน เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังกินตามใจปากจะแข็งแรงไหม (ไม่เเข็งเเรง)  แล้วเกี่ยวอะไรกับทานเจปฏิบัติธรรมเเล้วป่วย ทำไมทำดีถึงโชคร้าย ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ไม่มีภัยพิบัติใดเเละไม่มีหายนะใดๆ ในโลกน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้จักพอ ภัยพิบัติเเละหายนะมาจากความอยากที่ไม่รู้จักพอ เกี่ยวอะไรกับการทำดีไหม (ไม่เกี่ยว)  จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติดี เเต่ไม่ละชั่ว ใฝ่ดีเเต่ยังไม่ละความเลวร้ายในตัวตน จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีนั้นจึงไม่ใช่ ฟ้ายุติธรรมเสมอ ดีก็มีผลดี ร้ายก็มีผลร้าย ไม่อยากทุกข์ก็อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่เเจ้ง ถ้าท่านเข้าใจแบบนี้การปฏิบัติดียากหรือไม่ (ไม่ยาก)
การปฏิบัติธรรมนั้นแท้จริงคือการมุ่งมั่นละชั่ว ทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง แต่คำว่าละชั่วทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ใช่หมายความว่า เกลียดคนไม่ดี ผูกใจเจ็บแช่งชักคนไม่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าเราปฏิบัติดีและเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะว่าเขาไหม เราจะผูกใจเจ็บไหม เราจะด่าไหม (ไม่)  ถ้าท่านคือคนที่ประพฤติปฏิบัติดีและอยากให้สิ่งดีมาบังเกิด เราถามหน่อยว่า คนที่ประพฤติปฏิบัติดี พอเจอคนไม่ดีจะแช่งชักหักกระดูกไหม จะผูกใจเจ็บไหม จะโกรธเกรี้ยวไหม (ไม่)  หลายๆ ท่านพูดว่าที่แล้วมา แล้วๆ กันไปนะ แต่เราจะบอกให้ท่านอย่างหนึ่งนะ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน เราจำสิ่งที่ดีมากกว่าหรือจำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่า (สิ่งที่ร้าย)  เมื่อจำก็แปลว่าผูกใจเจ็บ เมื่อเห็นแล้วยังรู้สึกขัดตาขัดใจก็แปลว่ายังรู้สึกอยากจองเวรจองกรรม แล้วนั่นคือหนทางของผู้ประพฤติดีหรือ อย่างนั้นปฏิบัติธรรมก็คือละชั่ว ไม่ทำผิดเลย นั่นดีที่สุด แต่มนุษย์ปัจจุบันปฏิบัติดีผิดทางหมดเลย ชั่วไม่ละแต่ดีก็ทำ เหมือนเราถามท่านว่า เราตบท่านแล้วบอกขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  แม้เอาของมาให้สิบอย่าง แต่ที่ท่านว่าเรา ที่ตีเรา ที่ด่าเรา ลืมลงไหม (ไม่ลง)  
ฉะนั้นการปฏิบัติดีที่แท้จริงคือ ผิดก็ไม่ทำ บาปก็ไม่ก่อ กรรมก็ไม่คิดสร้าง ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจปฏิบัติธรรม จงอย่าหลงกับการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติไม่ใช่สอนให้เรารักดี เกลียดชั่ว และไม่มองความจริง แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรากล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนเราถามท่าน นิ้วทั้งห้านิ้ว นิ้วไหนดีที่สุด (นิ้วทั้งห้าก็เกื้อกูลกัน)  ถ้าท่านคิดแบบนี้กับทุกคนก็ดี เพราะคนที่เขาไม่ดีเปรียบเหมือนคนที่โชว์นิ้วกลาง แต่เขาก็คือคนที่ทำให้เราเห็นความเป็นคน แม้แต่ตัวเราบางทีเราก็ยังทำตัวให้เหมือนโชว์นิ้วกลางได้ก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรายอมรับว่าไม่มีอะไรไม่ดี เพราะทุกสิ่งล้วนเกื้อหนุนกันจริงไหม (จริง)  ไม่มีเขาหรือจะมีเรา ไม่มีโง่หรือจะมีคนฉลาด ไม่มีคนร้ายหรือจะมีคนดี ไม่มีคนต่ำเตี้ยหรือจะมีคนสูง ไม่มีคนสูงหรือจะมีคนที่สูงกว่า ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างมืดกับสว่าง ท่านว่าอะไรดีกว่ากัน ถ้าไม่มีมืดท่านจะมีวันพักผ่อนหรือ เพราะถ้ามีแต่วันสว่าง ท่านคงทำงานไม่จบไม่สิ้น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่มีมุมมืดของคนเราจะเข้าใจความเป็นคนไหม เราจะมองเห็นคนชัดเจนไหม ถ้าว่ากันให้ถึงที่สุดถ้าเราเรียนรู้อย่างคนที่ยึดหลักธรรม มีธรรมเป็นหลัก อะไรคือสิ่งที่ร้าย อะไรคือสิ่งที่ดี เพราะในร้ายก็มี (ดี)  ในดีก็มี (ร้าย)  ท่านก็รู้อยู่เต็มอก
ถ้าท่านเข้าใจหลักของธรรมในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านจะรู้ว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือหัวใจเเห่งความดับทุกข์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ถามตัวเองก่อนทำดีที่สุดเเล้วหรือยัง ทำดีที่สุดเเล้วไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ต้องวางลงเเละยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เเต่บางทีก็อดไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  ธรรมะสอนให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง แต่ทำไมเวลาเราประพฤติปฏิบัติดีเรากลับหลงยึดติดบุญ โลภในการสร้างบุญกุศล ถ้าทำเเล้วยังหวังผล ทำเเล้วยังโลภหวังผลบันดาลดล นั่นก็เเปลว่าท่านละไม่จริง ในเมื่อธรรมสอนว่าโลภโกรธหลงเป็นทางมาเเห่งบาป ถึงที่สุดคือให้ความทุกข์เเละวิบากกรรมที่ไม่สิ้นสุด ถ้าทำบุญแล้วเรายังขอไหม (ขอ)  ถ้าขอก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด อย่างนั้นปฏิบัติถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  หลักของการปฏิบัติธรรม หัวใจหลักก็คือ ทำจนถึงที่สุดคลายจากความยึดถือ เพราะหัวใจของการดับทุกข์ คือการไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นใดๆ ในโลก สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดแปลว่าเราก็ยังหลงอยู่นะ
ธรรมะสอนให้เราหลงหรือสอนให้เราละ (ให้ละ)  แล้วที่เราปฏิบัติธรรมเราหลงหรือเราละ (เราหลง)  อะไรที่ทำให้เราละวางได้ นั่นเรียกว่า ปฏิบัติธรรม แต่ถ้าอะไรทำให้เรายึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวาง เรียกว่า หลงกับการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ทำแล้วละหรือทำให้หลง ผู้ที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แม้ท่านจะทำดีก็ไม่ได้เป็นการประกันว่าจะโชคดี ถึงจะทำดี โชคร้ายก็ไม่เป็นไร ถึงจะละร้ายละชั่ว แล้วต้องเจอเคราะห์เจอภัยก็ไม่เจ็บปวด เพราะผู้ที่เข้าใจธรรมยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ร้ายดีไม่เท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความจริง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าร้ายหรือดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าท่านเข้มแข็ง ถ้าท่านกล้าหาญ ถ้าท่านรู้จักปัญญาของตน ร้ายท่านก็แปรเป็นยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ธรรมะสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตอนนี้ท่านบำเพ็ญแบบยึดคนหรือว่ายึดธรรม ปฏิบัติตามคนหรือปฏิบัติตามธรรม ท่านมักปฏิบัติตามคน คนดีเราก็ทำ คนไม่ดี (ก็ไม่ทำ)  เราแค่มาบอกให้ท่านปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง อย่าหลงกับการปฏิบัติธรรม เพราะคิดแค่เพียงว่า หวังดี ชอบดี ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดดีแล้วเกลียดร้าย แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้ท่านเป็นคนปฏิบัติดีที่ไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่)  ก็ธรรมสอนให้เราเป็นกลาง เมื่อเป็นกลาง อะไรจะเกิดก็คือสิ่งนั้นดี ตั้งแต่ต้นเลย ยอมรับได้ก็เย็นได้ หยุดอยากได้ก็สงบได้ ไม่หมกหมุ่นจนเกินไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็ผ่อนคลายได้ เมื่อทำถึงที่สุดยอมรับความเป็นจริงเราก็สุขและเบิกบานใจได้
จิตญาณที่บริสุทธิ์เป็นต้นรากแห่งความรู้ ถ้าญาณบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัด ความรู้เป็นหลักของหัวใจ ถ้าความรู้แจ่มชัดถูกต้อง ไม่อคติไม่ลำเอียง มีความเป็นกลาง อะไรจะเกิดเราก็สงบ แต่เป็นเพราะว่าความอยากที่มันมากเกินไปต่างหาก ที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่สามารถบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปมากกว่า ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ปัญญาและความกล้าหาญได้อย่างแท้จริง และถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่า เราจะสูงส่งโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเกียรติยศ เราจะสามารถร่ำรวยได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีทรัพย์มากมาย เราสามารถเข้มแข็งได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีอำนาจยศศักดิ์ และเราก็สามารถเย็นและเป็นสุขในโลกนี้ได้ แม้จะไม่มีใครมาเติมเต็มหัวใจเรา เพราะเราเข้าใจธรรม ธรรมทำให้เราสูงโดยที่ไม่ต้องมีใครยก จริงไหม (จริง)  ธรรมทำให้เราเข้มแข็งโดยที่ไม่ต้องมีใครมาเยียวยาใจ มาเติมใจ และธรรมทำให้เราเบิกบาน เพราะเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งผู้คน เราจึงอยากให้ท่านได้เข้าใจธรรมอันนี้ ซึ่งธรรมอันนี้ไม่ได้อยู่ภายนอก ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่อยู่ในหัวใจของทุกคน มองอย่างเป็นธรรมหรือมองอย่างคนที่มีอัตตา นิสัย ความคาดหวัง ความยึดมั่น แห่งตัวตน มองเป็นธรรมเราได้ธรรม มองตามนิสัย ตามอารมณ์ เราได้อัตตาตัวตนที่เวียนวนไม่จบสิ้น ปฏิบัติธรรมหาใช่อยู่ที่ผู้อื่น ถ้าท่านเข้าใจธรรมแล้ว ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วเมื่อเราทำได้ดีแล้วมีหรือคนรอบข้างจะไม่ดีตาม แต่กลัวอย่างเดียว ตัวเองยังไม่ดี แต่ต้องการจะไปเรียกร้องคนอื่นให้ดีก่อน จริงไหม (จริง)  
ศึกษาธรรมยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนปล่อยไม่ได้ ถือหลักธรรมเป็นแนวทาง ฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วภาษาไม่สามารถอธิบายธรรมได้ทั้งหมด เพราะธรรมไม่ใช่เรื่องไกลนะ อยู่ในนี้ในตัวเราเอง ถ้าบริสุทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าอยากไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีร้ายมีดีตามที่ใจเรายึดติด จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าได้ดูเบาธรรมในหัวใจของตัวเอง อย่าได้ลืมเลือนธรรมอันดีงามที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมในตนนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐                  สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มองผ่านใจเจ้าจะเห็นภาพลวงตา      ใจที่มาด้วยความคิดและนิสัย
คอยปรุงแต่งกิเลสและอุบาย             เป็นเคยชินดีร้ายไปตามอารมณ์
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

  กิเลสฝังแน่นความลำบากเดชเรืองฤทธิ์     ปัญหาติดตรึงตรายากแก้ยากรื้อ
หมั่นล้างใจมาบูรณาด้วยสองมือ         สั่งให้ใจยกมือลงมือทำ
ใจคนยิ่งสูงจริงยิ่งอ่อนน้อม               บำเพ็ญจริงมุ่งทำพร้อมอยู่อย่างต่ำ
พูดคิดดีอะไรดีจงรีบทำ                   ที่ฟันฝ่ามีกรรมไม่เสมอไป
นพธรรมครองเมตตาธรรมคล้ายเชื่องช้า        ภายในกรุณาโชคคณานับตาน้ำไหล
ทำดีไว้วาสนามานะจะมาไว              ฝึกฝืนสู้จะละหวั่น[1]หรือดีให้รีบฝึกบำเพ็ญ
                                                                        ฮา ฮา หยุด



[1] จะละหวั่น ว. ชุลมุน, วุ่นวาย

ผนึกใจสายสัมพันธ์ ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ จงผ่านหลุดพ้นไปก่อน ศิษย์จงบำเพ็ญ หัวใจไม่แสนงอน ใช้ธรรมะอย่ามีขาดตอน   ยิ่งตอนจิตใจขึ้นลง 
เจ้าเป็นคนไม่เหมือนใคร ปรับความคิดในใจเต็มหนึ่งเพราะปัญญา หากแค่คนดีไม่พอบรรลุกลับมา หลายเรื่องทำให้มีปรัชญา ไม่ทำขายหน้าตัวเอง
* ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดจากชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น  ทัดทานไม่เบาเสียงลง 
อยู่กับดินไม่สูงไป  ตราบจิตสุดท้ายวันใด น้อยใจไม่ได้มาส่ง  ท้อแท้วันใดถ้าใจคอยไหลลง  แก้ไขให้จงเจาะจง ก็คงสมบูรณ์สักวัน  (ซ้ำ * )

ทำนองเพลง :คำสัญญา
ชื่อเพลง :ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กินอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม, ยังไม่อิ่ม)  อย่างนี้ทุกทีนะ พูดแล้วค่อยคิด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายใครต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองพูด (ตัวเอง)  ฉะนั้นก่อนพูดอะไรคิดให้ดีๆ ถึงพูดดีแต่ทำให้ไม่สมานสามัคคีบางทีก็ไม่ต้องพูด ถึงจะดีแต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนแตกแยกกันก็เป็นบาปเหมือนกัน แล้วเราควรพูดไหม (ไม่ควร)  อยู่ในโลกเราพูดน้อยหรือพูดเยอะ (พูดเยอะ)  แล้วพูดเยอะส่วนใหญ่ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  พูดเยอะแล้วไม่ดีควรหยุดพูด ศิษย์เอยอย่าเพิ่งเห็นแค่ภาพลวงแล้วทำให้ตัดสินอะไรโดยที่ไม่มองแก่นแท้ภายใน อย่าเพิ่งยึดติดรูปลักษณ์จนลืมมองแก่นแท้หรือหลักสำคัญๆ ที่วันนี้เราจะได้มาผูกบุญกัน
อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนมักจะวัดคนที่รูปลักษณ์ภายนอก วัดกันจากความคิดที่ตัวเองเข้าใจ แต่บางทีสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจ บางทีเขาเรียกว่าไม่อัพเดต ใช่ไหม (ใช่)  รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจไม่เป็นความรู้เก่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ แท้จริงนั้นอาจจะไม่จริงก็เป็นได้ เราบอกว่าเรามองเห็น แต่สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจของเรา เอาความคิดความเข้าใจของเราไปตัดสินคน จนบางครั้งเราอาจจะไม่มองเห็นความจริงแท้ก็เป็นได้
(พระอาจารย์เมตตาทำท่าชูนิ้วโป้งขึ้น  <)
แบบนี้แปลว่า (เยี่ยม)  ไม่ใช่ แปลว่านิ้วโป้ง อาจารย์ผิดไหม (ไม่ผิด)  แล้วศิษย์พูดผิดไหม (ผิด, ไม่ผิด)  ศิษย์พูดไม่ผิด แต่บางทีที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่าเข้าใจไปคนละอย่าง ใช่หรือไหม (ใช่)ศิษย์เอ๋ย บางครั้งที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทุกคนต่างมีความจำได้หมายรู้ มีความคิดความเข้าใจ มีมุมมองต่างกัน การมองสิ่งหนึ่งหรือการคุยกับใครสักคน โอกาสที่เราจะผิดพลาดหรือโอกาสที่เราจะเข้าใจไม่ถูกมีมาก ฉะนั้นการที่เราสื่อสารกันไปคนละเรื่องเราควรโกรธกันไหม (ไม่ควร) ควรด่าเขาไหม (ไม่ควร)  อย่าเอาแต่สายตาตัวเองไปวัดเรื่องราวต่างๆ จนมองไม่เห็นความจริง จนลืมมองคนตรงข้าม ว่าเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร
พุทธสถานที่นี่ชื่ออะไร (หมิงเอิน)  คนสร้างก็สว่าง คนอยู่ก็ต้องมีใจสว่าง มนุษย์อยู่ในโลกที่มีความมืดสว่าง เราอยากหาความสว่างที่แท้ในจิตใจของเรา แต่บางทีเราหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พุทธะบอกว่า ความสว่าง ความกระจ่างภายนอก ไม่สู้ความสว่างและความกระจ่างที่เกิดจากปัญญาเข้าใจชีวิตที่แท้จริงภายใน เพราะจะทำให้เราไปอยู่ที่ใดก็สว่าง ไปอยู่ที่ใดก็เห็นได้แจ่มชัด แม้ว่าชีวิตมืดมน แต่ความกระจ่างชัดในปัญญา ความกระจ่างชัดในชีวิต จะทำให้เราแปรความมืดเป็นความสว่างได้ด้วยสติและปัญญาตน วันนี้เรามาเพื่อศึกษาธรรมเพื่อจะเอาไปใช้ปฏิบัติธรรม ถ้าวันนี้มาศึกษาเเล้วไม่ปฏิบัติ ฟังไปแล้วไม่นำไปใช้ จะฟังไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ  ถ้าวันนี้มาฟังเเล้วต้องนำไปปฏิบัติ เเต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่เราต้องปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติดีไหม เราพยายามจะนำไปปฏิบัติเเต่ถึงเวลาเรามักปฏิบัติไม่ค่อยดี ตัวปัญหาที่ทำให้เราปฏิบัติได้ไม่ดีก็คือตัวเรา
ทำไมเวลาศิษย์เจอทุกข์ เจอความยากลำบากที่ทำให้คิดเเล้วจะทุกข์เเล้วกลุ้มใจ ทำไมศิษย์ไม่บอกว่าขี้เกียจทุกข์บ้าง ตอนปฏิบัติธรรมปฏิบัติดี ขี้เกียจไหม (ขี้เกียจ)  ถ้าเวลาทุกข์นำบทนี้ไปใช้บ้าง พอจะโมโหก็ให้บอก   ขี้เกียจโมโห  พออยากเป็นคนผิดศีลผิดธรรม ก็ให้ขี้เกียจผิดศีล ดีไหม (ดี)  เเล้วทำไมไม่ทำ พอจะด่าเขาทนไม่ได้ ก็ให้บอกขี้เกียจด่า ความโลภความหลงเป็นทางเเห่งทุกข์ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์เเละเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องเผชิญกรรมที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นรู้ว่าไม่ดี ทำไมไม่รู้จักทิ้งไป เเต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่ายาก จริงไหม (จริง)  มันยากจริงหรือ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่าความโลภความโกรธความหลงไม่น่ากลัว ลองมองดูนะ ความโลภความโกรธความหลงมีตัวตนไหม (ไม่มี)  กิเลสเกิดจากความคิดคำนึงถึงความมีตัวตน กิเลสจะไม่มีถ้าจิตญาณไร้ซึ่งตัวตนที่กำลังคิดว่าตัวตนเรานั้นไม่ยอม ตัวตนเราอยาก ตัวตนเราชอบ เลยทำให้เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้าเอาตัวตนออกจากจิตที่ไม่คิดอยากไม่คิดชอบไม่คิดหลง กิเลสมาไม่ได้ กิเลสเกาะไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยรักใครมากๆ แล้ววันหนึ่งหมดใจไหม ไม่เหลือใจให้รักแล้ว ไม่อยู่ในสายตาแล้ว อารมณ์จะครอบงำใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ความเป็นเขาจะทำร้ายใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราอยาก ใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราทุกข์ และใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราเกลียด ถ้าเราหมดใจไม่ใส่ใจ หรือเรียกตามภาษาธรรมว่า “วางเฉย” เขาจะด่า จะว่า จะไปมีใหม่ ก็เฉย กลับมาทำใจของเราให้เข้มแข็งแล้วยอมรับความจริงที่เป็นแบบนี้ให้ได้ ไม่ดีกว่าหรือ ทุกข์ใจ เกลียดไป ด่าไป ไม่มีอะไรดีขึ้น จุดไฟเผาตัวเอง เพราะหาเขามาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม (ใช่) เปลี่ยนเขาสิ แต่เขาไม่เปลี่ยน ว่าเขาสิ แต่เขาก็เหมือนเดิม ทำอย่างไรได้ เขาเฉยเราก็ต้องเฉย ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ถามศิษย์นะ อารมณ์น่ากลัวหรือใจเราที่ไปยึดติดอารมณ์แล้วเฉยไม่ได้น่ากลัวกว่ากัน ธรรมะบอกว่าใดๆ ในโลกจะสามารถพ้นกรรมและสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่หรือตัดกระแสกรรมได้ ขอเพียงแค่ “รู้ใจตัวเอง รู้เท่าทันใจ” อารมณ์ก็หยุดได้ ใครจะร้ายใครจะดีก็เฉย แต่ตอนนี้เราเป็นอย่างไร กระทบทีก็ด่าที กระทบก็แช่งทีมนุษย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก พ้นจากความคิด เย็นเข้าสู่พระนิพพาน ฉะนั้นถ้าโดนตบแล้วด่าเขา ก็เกี่ยวกรรม ตกนรก แต่ถ้าโดนตบแล้วแผ่เมตตา โดนตบแล้วคิดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ไม่ต้องไปทำอะไร การพยายามเอาตัวไปหยั่งรากและลงเมล็ดพันธุ์แห่งกรรมก็ก่อเกี่ยวเป็นวัฏฏะไม่จบสิ้น ใจนี้เหมือนเนื้อนาบุญ กิเลสเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากและวัฏฏะการเวียนว่าย แต่ถ้าเราไม่หย่อนเมล็ดกิเลส ไม่หย่อนเมล็ดอัตตา ไม่หย่อนเมล็ดตัวตนลงในกายนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายก็จบสิ้นแค่ชาตินี้ แต่มนุษย์นั้นจำไว้เพื่อผูกใจเจ็บ คิดไว้เพื่อล้างแค้นในสักวัน เหมือนเริ่มหย่อนเมล็ดพันธุ์แล้วรอเหตุปัจจัยที่จะเติบโตแล้วสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายอีกไม่จบสิ้น เหมือนทำบุญหย่อนเมล็ดไว้เพื่อจะได้ไปรับบุญ ก็คือการสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ในเมื่อกายนี้มีเนื้อนาบุญอยู่แล้วเราจะสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นทำไม แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าการกลับมาเกิดอีกจะพร้อมสมบูรณ์เหมือนชาตินี้ จริงไหม (จริง)  โลกนี้มีสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดถือไม่เคยได้ จริงไหม (จริง)  เงินหนึ่งร้อยกี่พันมือคนจับ ที่ดินหนึ่งผืนกี่พันเจ้าของ ทรัพย์สินหนึ่งอย่างผ่านมากี่มือ สรรพสิ่งในโลกเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่หามีใครยึดถือและครอบครองได้อย่างแท้จริง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราก็คงเข้าใจธรรมที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นยังหนีไม่พ้นโลก แต่ถ้าผู้ใดคลายความยึดมั่น ผู้นั้นจะพบธรรม” 
(ปล่อยวางง่ายแต่ทำยาก ชีวิตจริงกิเลสมันฉลาด)  ศิษย์เอ๋ย กิเลสมันฉลาดหรือตัวเราไม่ทันกิเลส หรือเราไม่ยอมแพ้ผู้คน ยอมแพ้ไม่ได้ก็โกรธ ยอมไม่ได้ก็เกลียด แต่อาจารย์ถามหน่อย ชนะแล้วได้อะไร ชนะแล้วได้มิตรหรือได้ศัตรู แล้วถ้ายอมแพ้จะได้มิตรหรือได้ศัตรู อยู่ในโลกถ้าอยากเข้าใจธรรม ก็ต้องคลาย ก็ต้องจาง ไม่ต้องยึดถืออะไรเลย ซึ่งมันทำได้ยาก
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกศิษย์คือ ศิษย์มักดูเบาคุณค่าตัวเอง ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ยอมเเพ้ตั้งเเต่ยังไม่ทันลั่นกลอง เเพ้กิเลสตลอด ทำไมไม่ลองสู้กับกิเลสดูสักตั้ง ชนะเเล้วได้อะไร อยากมีมากกว่าเขา รวยมากกว่าเขา เเต่ไปผิดศีลผิดธรรมถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  การศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ไม่ให้อยาก ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง เเต่การปฏิบัติธรรมต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่าถ้าจะอยาก จะโลภ จะหลง ต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน เเล้วศิษย์จะอยากก็อยากไปเลย อยากโลภก็โลภไปเลย อยากโกรธก็โกรธไปเลย เเต่โกรธเเล้วต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน แต่ถ้าเราทำผิดเเล้วบอกว่าเดี๋ยวก็จบกันไป ตายๆ กันไป ช่างมัน เอาไว้ก่อน  ขอสุขก่อน ขอได้ก่อน ขอดีก่อน ช่างคนอื่น ศิษย์มักพูดว่าขอให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นเดี๋ยวไปทำบุญชดเชยทีหลัง เหมือนไปตบหัวเขาเเล้วบอกขอโทษ เขาหายเจ็บไหม (ไม่หาย)  ไปเอาเงินทรัพย์สินเขามา เเล้วบอกจะไปทำบุญชดเชยให้ เขาทำใจไหวไหม (ไม่ไหว)  พระพุทธะบอกว่า อย่าประมาทกับบาปที่เรียกว่าความหลง เเละอย่าประมาทกับกรรมที่ศิษย์สร้างเพราะความรังเกียจเเละไม่ยอมคน เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมย้อนกลับมา ตอนนั้นจะให้พระมาสวด ให้เอาบุญมาล้างก็ล้างไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเขาโดนดูถูกโดนเหยียดหยามเเล้วจะมาปลอบประโลม เเต่ด่าเขาไปเต็มที่เเล้ว หายโกรธไหม (ไม่หาย)
ฉะนั้นศิษย์อย่าสร้างกรรม อย่าสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยมาแก้ผลทีหลัง ศิษย์ควรจะหยุดตั้งแต่ก่อนสร้างเหตุหรือไปแก้ที่ผล (หยุดก่อนสร้างเหตุ)  อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ อาจารย์ก็ต้องสอนวิธีหยุดเหตุ ไม่ใช่ให้ไปแก้ที่ผล วิธีที่จะหยุดเหตุก็คือทำอย่างไรให้เราไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ถ้าทำดีเรียกว่ากรรมดี ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์จะบอกอีกว่า ยังมีกรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า อกรรม ทำแล้วไม่ก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย นั่นคือทำแล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ถึงเวลาต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยากใช่ไหม แต่ยากตรงที่จะยอมรับหรือไม่ จริงๆ แล้วเรื่องราวบนโลกใบนี้ขอแค่เพียงมนุษย์รู้พอ แต่ถ้ายังพอไม่ได้ ก็ลำบากอยู่ร่ำไป ถ้าศิษย์พอได้ จะมีอะไรเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อศิษย์ยังไม่พอ เรื่องยากก็มีอยู่ร่ำไป มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า เมื่อไรที่เรื่องราวเกิดขึ้น แค่เรารู้สึกหรือไม่รู้สึก ปรากฏการณ์ของเรื่องราวนั้นต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เหมือนรู้สึกก็ก่อเกิดเป็นดีร้าย แต่เมื่อไม่รู้สึกมันก็เป็นแค่เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้น อันเป็นธรรมดาโลก เหมือนตอนนี้มองก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่ศิษย์รู้สึกว่ารัก ถูกใจ ถูกชะตา เชื่อหรือไม่ในบรรดาที่คนอื่นมอง เขาจะดูโดดเด่นกว่าใครเลย แค่รู้สึก สิ่งที่ธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา ถ้าทุกอย่างเราไม่รู้สึกมันก็กลับเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาตามความเป็นจริงของโลกใบนี้แต่เมื่อใจไม่รู้สึกแล้ว เห็นเขาก็รู้สึกเฉย ก็เหมือนเห็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลก จะดี จะร้าย จะได้ จะเสียก็รู้สึกเฉยๆ เงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศ
คนที่เราเกลียดหรือคนที่เรารักก็เหมือนกัน แต่อยู่ที่ใจศิษย์ เมื่อใจเอียงไปชอบก็เริ่มมีปัญหาทันที เมื่อใจเอียงไปเกลียดก็เริ่มมีเรื่องราวขึ้นมาทันที แต่ธรรมะสอนให้ใจเป็นกลาง เมื่อใจเป็นกลางทุกสิ่งก็กลับมาปกติทันที เมื่อไรที่ใจเอนไปชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นมีความชอบ มีสมหวัง มียินดี มีปรีดา มีปลื้ม เมื่อมีชอบแล้วก็เกิดความไม่ชอบ ผิดหวัง เสียใจ รำคาญใจ กังวลใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ แล้วใครหาทุกข์ใส่ตัว (ตัวเราเอง)  เพียงเพราะใจเอียงไปชอบแค่นั้นเอง ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ใส่ใจบ้าง เฉยบ้าง ความโลภ ความเกลียดก็ไม่สามารถทำอะไรใจศิษย์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดังคำกล่าวว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ไม่ใช่รู้ใคร รู้ใจตัวเอง มองทุกสิ่งตรงหรือไม่ตรง มองทุกสิ่งเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อเราตรงใจก็ปกติ ศีลไม่ขาด ใจไม่หวั่นไหวก็เกิดเป็นสมาธิ เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งก็แค่นั้น เขาก็หล่อแค่นั้น เธอก็สวยแค่นั้น
ฉะนั้นแค่ตื่นรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เกิดได้ในตอนนั้น ทำได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าศิษย์ไปโลภมาเต็มที่แล้วค่อยให้ทาน ไปเกลียดมาเต็มที่แล้วค่อยรักษาศีล ไปหลงมาเต็มที่แล้วค่อยนั่งสมาธิภาวนาพิจารณาสังขารอันไม่เที่ยง ศิษย์กำลังแก้ที่ปลายเหตุหรือแก้ที่ต้นเหตุ (ปลายเหตุ)  ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะคิดได้อย่างที่อาจารย์บอก และรักษาใจให้เป็นกลางได้เสมอ ต้องใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ศีล สมาธิ ไม่สู้ปัญญา แปลว่าการเรียนรู้ธรรมทำให้เราเป็นคนฉลาด ดังนั้นใครที่รังเกียจธรรมแสดงว่าคนนั้นยอมโง่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใช้ปัญญาอะไรที่จะทำให้เรามองแจ้ง มองทะลุแล้วสามารถวางเฉยได้ ถูกคนอื่นด่า ถ้าเราเอามาใส่ใจก็เป็นทุกข์ ศิษย์เอย ให้เอาสิ่งที่เขาว่ามาคิดให้เกิดประโยชน์ มาพิจารณาที่เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็กลับมาตรวจสอบตัวเอง ล้างใจตัวเอง ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเราไม่รับเดี๋ยวก็คืนเจ้าของไป ใครด่าเราอย่างไรเราไม่รับเดี๋ยวก็กลับไป
หลักธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพิจารณาจนบังเกิดธรรม เกิดปัญญานิ่งเฉยไม่โกรธไม่เกลียดได้ (สรรพสิ่งบนโลกนี้มีดับมีเกิดมาไม่มีอะไรเที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกครั้งเราใช้สติปัญญามองเห็นถึงความเป็นจริง เเม้เเต่ความโกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราที่เรามองเห็นความโกรธ เราตั้งสติความโกรธก็หายไป)  พิจารณาความเป็นจริงเเห่งธรรมอันเป็นหัวใจเเห่งทุกสรรพสิ่ง เมื่อพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลง เพราะมองเห็นชัดเจนว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ดับ ว่างเปล่า หามีตัวตนที่เเท้จริงไม่ แม้จะรู้สึกว่าเที่ยง ว่าทุกข์ แต่ถึงเวลาก็ว่างเปล่า โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ เหมือนจะมีแต่ถึงเวลามันก็ไม่มี บางครั้งมีสามีก็เหมือนจะไม่มี เงินมีก็เหมือนไม่มี เสื้อผ้ามีเต็มตู้ มีเหมือนไม่มี ไม่มีตัวไหนถูกใจเลยนอกจากตัวข้างนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้ว ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของโลก และรู้จักใช้ให้ถูกเราก็คงไม่หลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์พิจารณาเนืองๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะไม่มี พิจารณาอะไรเล่า มีสิ่งใดในโลกสมบูรณ์แบบบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันดีที่สุดบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันแย่จนหาดีไม่เจอบ้าง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เวลาเขาเปลี่ยนไป เราก็เข้าใจ เขาแปลกไป เราก็เตรียมใจ เขาแย่ไป เราก็เข้าใจ ฉะนั้นข้อหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาเสมอๆ คือ “ไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์แบบ” จริงไหม (จริง) ศิษย์ลองพยายามหาสิ ศิษย์ว่าหาคนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงเวลาพออยู่กันนานๆ ทำไมเขาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง)  บางทีศิษย์ว่าเขาแย่ แต่พออยู่ไปอยู่มา เขากลับใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอ เมื่อมีใครไม่ได้ดั่งใจเรา เมื่อมีใครไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเข้าใจ เราจะเกลียด เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะหลงไหม (ไม่)  การพิจารณาเนืองๆ ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุ มันจะมีปัจจัยเกิดขึ้นไหม ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์หยุดเหตุปัจจัยได้ นั่นก็คือ พิจารณาเนืองๆ จนเห็นเหตุชัด เหมือนอาจารย์มักถามศิษย์ ดูหนังจบรอบหนึ่งแล้ว สนุกแล้ว รอบสองสนุกกว่าเดิมไหม (ไม่)  เพราะอะไร เพราะรู้เรื่องหมดแล้ว เหมือนกันถ้าศิษย์มองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ชัด เห็นจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ที่ดีๆ สวยๆ เดี๋ยวก็ไม่สวย ที่หล่อๆ เดี๋ยวก็เหี่ยว ใช่ไหม (ใช่)  ที่ปากหวานไม่แน่ เดี๋ยวก็ปากร้าย วันนี้ที่ดูว่าถูกล็อตเตอรี่สามตัว ไม่แน่ที่เหลือถูกกินไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้ มองอย่างนี้เสมอ พิจารณาจนบังเกิดธรรมเสมอ จะอยากอะไร จะโลภอะไร จะเกลียดอะไร ถ้าเราเห็นแก่นแท้ในความเป็นจริงของคน เราก็เห็นความเป็นจริงในแก่นแท้ของผู้คน ใครๆ ในโลกก็ไม่ชอบถูกด่า เราชอบถูกด่าไหม แล้วเราด่าเขาทำไม ใครๆ ในโลกชอบถูกกดขี่ข่มเหงไหม แล้วเรากดขี่ข่มเหงคนอื่นทำไม ใครๆ ในโลกก็ชอบคนที่รัก แล้วศิษย์เกลียดเขาทำไม แล้วศิษย์เองชอบศัตรูหรือชอบมิตร (ชอบมิตร)  แล้วศิษย์สร้างศัตรูทำไม ถามใจตัวเองศิษย์ ถ้าเข้าใจแก่นแท้ความเป็นคน มีหรือจะไม่เข้าใจแก่นแท้ความเป็นผู้คน แล้วเราจะปฏิบัติผิดต่อคนอื่นไหม มีแต่ว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติผิดต่อเรา ศิษย์จะตอบโต้เขาอย่างไร จองเวรจองกรรม สิ้นเวรสิ้นกรรม หรือจบกันตั้งแต่วันนี้ว่าอย่างไร
(เริ่มปล่อยวาง)  อาจารย์พูดอะไรก็ปล่อยไปหมดเลย ใช่ไหม อาจารย์ถามนะ ถ้ามีคนมาทำร้ายศิษย์ ว่าศิษย์ ด่าศิษย์ ศิษย์จะทำเช่นใด(ให้อภัยเขา)  เมื่อพยายามให้อภัยเเปลว่าในใจยังรู้สึกไม่ชอบ  (ให้อภัยหมายถึง โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เราก็ปล่อยวางเขาไป)  มีสามทาง ทางหนึ่งคือทางดีคือให้อภัย ทางหนึ่งคือผูกใจเจ็บโกรธเคือง ทางหนึ่งคือเฉย  (ถ้าเขาด่าเรื่องจริงจะรู้สึกขอบคุณเขาเเล้วก็ปรับปรุงเเก้ไขตัวเอง ถ้าเขาด่าไม่จริงก็ปล่อยกลับไปหาเขาเอง)  การคิดว่าปล่อยก็เเปลว่าให้เอาคืนไป เเค่เรานิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าไปพูดว่าไม่รับเดี๋ยวเเกก็ได้รับเอง คิดแบบนี้เท่ากับเป็นการผูกใจเจ็บ ศิษย์เอย คิดผิดคิดพลาดเล็กน้อยก็กลายเป็นกรรมเเล้ว เหมือนที่บอกว่าอะไรมากระทบเเล้วเอียงไปว่าชอบเอียงไปว่าชัง คำว่าเอียงไปชอบชังยังหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่เรียกว่าทุกข์สุขดีร้าย เมื่อไหร่ที่ศิษย์ไม่เอียงเเต่นิ่งเเล้วจบ พิจารณาจนคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย พิจารณาจนเข้าใจธรรมจนถึงคำว่า เเค่นั้น เช่นนั้น ธรรมดาโลก คือเรียกว่าวางใจจนเฉยได้ เเล้วจะคิดได้อย่างไรต่อ ศิษย์จำไว้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนล้วนมากับความว่างเปล่า เเละถึงที่สุดมนุษย์ทุกคนต้องเดินกลับสู่ความว่างเปล่า ถ้าเรายังยึดความมี ก็ก่อเกิดเมล็ดพันธุ์เเห่งเหตุปัจจัยในการเวียนว่าย ใช่หรือไม่แล้วพิจารณาอะไรต่อ ก็คือพิจารณาว่าโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงแล้วเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ความไม่มี กลับคืนสู่ความว่าง แต่มนุษย์ติดกับความมี คือต้องมี ต้องได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตต่างหันหน้าไปสู่ความไม่มีแล้วก็ต้องว่างเปล่าให้ถึงที่สุด ฉะนั้นถ้าเราหมั่นคิดเสมอๆ เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)
ฟังอาจารย์แล้วเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างแรกคือพิจารณาเสมอว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ถึงเวลาสิ่งที่มีอาจจะไม่มีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอีกอย่างคือมองอยู่เสมอว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ สิ่งที่เห็นว่าเป็นสุขคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าน่ารักคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนั่นคือคนประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ทุกข์หามีจริงไม่” เข้าใจไหม ใครจะตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้างถ้าเข้าใจเเจ่มเเจ้งศิษย์จะก้าวพ้นวัฏฏะเวียนว่ายจบสิ้นได้ทันที  (ถ้าไม่ยึดติดทุกข์ก็ไม่มี)  โลกนี้มีทุกข์เป็นธรรมดา ทำไมเวลาเราป่วยเราถึงทุกข์ (ทุกข์ไปตามกายาแต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ)  เเก่เเค่กายเเต่ใจไม่เเก่ใช่ไหม  
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ทุกข์เป็นของจริง แต่ผู้ทุกข์ที่แท้จริงหามีไม่ อาจารย์ถามว่า ศิษย์ว่าตัวเองเป็นของศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ตั้งแต่เด็กจนโตมานี่เปลี่ยนไปกี่รูป (เปลี่ยนไปหลายรูป)  เปลี่ยนแล้วเราควบคุมได้ไหม (ไม่ได้)  บังคับได้ไหม (ไม่ได้)  ให้เป็นดังคิดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วที่บอกว่าใจนั้นเป็นของตัวศิษย์ ใจนั้นมันเป็นอย่างไร มันก็เปลี่ยน มันก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เดี๋ยววันนี้คิดอย่างนี้ อีกวันคิดอย่างนั้น ตอนเด็กบอกว่าอันนี้คือความสุข แต่ตอนโตมาอันนี้ไม่ใช่ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ความหลง ที่ไปยึดว่า อันนี้คือหน้าของเรา อันนี้คือตัวของเรา อันนี้คือใจของเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  มันทุกข์ไปตามสังขารอันเป็นธรรมดาของโลก เราจึงมีหน้าที่แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา นี่คือธรรมะ ทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของใจ เป็นกรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ เขาด่าตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ได้ด่าอะไรเรา เพราะตัวเราไม่รู้อยู่ตรงไหนเหมือนกัน ไหนตัวตนที่แท้จริงของศิษย์ เอามาให้อาจารย์ดูสิ ถ้ามันจริงมันต้องไม่เปลี่ยน แต่มันทำไมเปลี่ยนจังเลย จริงไหม
ทุกข์เป็นธรรมดาของโลก เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ธรรม” ทุกข์ เจ็บ ตาย ถ้ายึดเมื่อไหร่ อย่าเจ็บ อย่าตาย อย่าทุกข์ นั่นแหละทุกข์มันเริ่มสร้างกรรม ดิ้นรน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจคำว่าทุกข์มันเป็นแค่ทุกข์ แต่มันไม่มีคนที่จะทุกข์ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมีสติระลึกอยู่เสมอ เมื่อกายโดนกระทบใจอย่ากระเทือน เมื่อกายเจ็บใจอย่าเจ็บ เมื่อกายทุกข์ใจอย่าทุกข์ นี่เรียกว่า การฝึกแยกจิตออกจากกาย ยากไหม (ยาก)  ศิษย์เอยอะไรก็ยากหมดเลย ศิษย์ลองมองดู เหมือนที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงหาความเที่ยงแท้ไม่ได้ ควรไหมที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เมื่อตัวเราไม่มีและอะไรคือรูปเรา อะไรคือของๆ เรา เราเป็นแค่ปัจจัยและการเกี่ยวกรรมที่หนุนเนื่องกันมา แล้วถึงเวลาปัจจัยการเกี่ยวกรรมมันหมด เราก็จากกันไป จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะพูดเพื่อก่อกรรมทำไม เราจะอยากเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม เราจะเกลียดเพื่อเกี่ยวกรรมทำไม และเราจะโลภเพื่อเอาไว้มาสร้างบุญทีหลังทำไม ทำไมไม่ทำบุญตั้งแต่ก่อนจะโลภ ยอมให้เขาแล้วทำให้เขาสบายใจมันได้บุญไหม (ได้)  ให้เขาแล้วเขามีสุขมันได้บุญไหม (ได้)  เเล้วทำไมเราจะทำบุญกับคนอื่นบ้างไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง คำสัญญา  ชื่อเพลง ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน แต่นักเรียนไม่รับ)
ถ้าถือไว้แล้วมันหนัก ทำไมศิษย์ ไม่รู้จักสร้างบุญต่อ ไม่รู้จักให้คนอื่นต่อเพื่อสร้างบุญละ ทำไมเราไม่รู้จักแปรความหนักให้มันกลายเป็นบุญกุศล หรือกลายเป็นสร้างคุณธรรมด้วยการเมตตา จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนต่างมีความคิดที่ถูกต้อง ทุกคนต่างมีความคิดที่ดี เหมือนที่อาจารย์บอกในเพลง
“ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดการชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง”
ถ้าศิษย์ไม่มาผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์วันนี้ อาจารย์ก็คงไม่มีโอกาสได้มาผูกบุญและพูดธรรมะให้ศิษย์ได้ฟัง สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ย้ำเตือนอยู่เสมอก็คือ เราบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดว่าเราต้องเป็นคนดี แต่การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมคือ ความดีเป็นรากฐาน คุณธรรมเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน และความเข้าใจธรรมทำให้เรามองโลกนี้อย่างแจ่มชัดและไม่ทุกข์ทน ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์และไม่ก่อกรรมให้เกิดการเวียนว่ายเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือไม่
อาจารย์ไม่เคยบอกให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ เเต่อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ประจักษ์เเจ้งในธรรม ซึ่งธรรมไม่ใช่อยู่ในอาจารย์ เเต่ธรรมอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน เเต่เราเคยหันกลับมามองธรรมในใจไหม เราเคยหันกลับมาดูใจเราว่ามีธรรมไหม มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเพราะประกอบไปด้วยธรรม ธรรมที่ปฏิบัติต่อกัน ธรรมที่เกื้อหนุนกัน ธรรมที่ให้ต่อกัน มนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ สิ้นทุกข์ได้ สิ้นกรรมได้ ไม่ใช่การเกาะพึ่งเเต่พระพุทธะ เกาะพึ่งเเต่บุญกุศล เเต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เเก้ไขอะไรเลย เเต่ต้องอยู่ที่ตัวเรารู้เเล้วเเก้ไขเปลี่ยนเเปลงใจตัวเอง การบำเพ็ญธรรมคือให้เเก้ไขเปลี่ยนเเปลงเเละรู้เท่าทันใจ ไม่ก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมไม่จบสิ้น สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำตัวเองเสมอก็คือ ทำอะไรมีสตินิ่งก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนวิ่งไปตามความอยาก วิ่งไปตามความหลง นิ่งพิจารณาก่อน ดูว่าทำเเล้วมีเมตตาไหม ทำเเล้วมีศีลธรรมของความเป็นคนไหม ทำเเล้วถามตัวเองว่าเกิดมาเป็นคนทั้งทีทำได้เเค่นี้ คุ้มหรือไม่ มาเพื่อเกิดเเก่เจ็บตายดีร้ายได้เสียทุกข์สุข วนอยู่เเค่นี้ ศิษย์ไม่เคยพ้นได้สักที ศิษย์ต้องวิ่งวนกับความรู้สึกที่ไม่เที่ยงเเท้ไปอีกเท่าไหร่ เมื่อไรศิษย์จะตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง ถ้าศิษย์ตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง นอกจากศิษย์จะช่วยตัวเองได้ ศิษย์ยังช่วยโอบอุ้มผู้คนให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อไหร่ที่เราพ้นทุกข์ คำพูดเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ การกระทำของเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ใจ ศิษย์จะเเค่ฟังเเล้วรู้สึกดี หรือฟังเเล้วลงมือปฏิบัติสักที แต่ให้ถามตัวศิษย์เอง ว่าเราสมควรแล้วกับการเกิดเป็นคน ใช่ไหม เกิดมาชาตินี้ทำได้แค่นี้ เพราะอาจารย์มา อาจารย์รู้อาจารย์จะกลับที่ไหน ศิษย์ล่ะรู้ทางกลับตัวเองหรือยัง แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดี จริงหรือไม่ (จริง)  อย่ามัวแต่มองแค่เพียงว่า ยืมร่างเชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อไม่เป็นไร เชื่อธรรมะที่อาจารย์บอกก็พอ และเชื่อธรรมะในใจของศิษย์ก็พอ เชื่อว่าศิษย์ดีได้ และดีได้กว่านี้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราเกิดมาเพื่อวิ่งตามอารมณ์หรือเพื่อมองจนแจ่มแจ้งชัดในธรรม ลองถามตัวเอง ลองพิจารณาดูนะ
มีอะไรที่ศิษย์จะพยายามจะขัดเกลาออกไปจากใจ และพยายามทำแต่สิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง เอาอะไรออกไปจากใจ ที่มันไม่ดีและทำให้เราหลงผิด
(ตามหลักของพุทธศาสนา เรายึดอริยสัจ๔ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อมีทุกข์เราก็มาพิจารณาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วเมื่อทราบว่ามันเกิดจากอะไร ก็หาวิธีแก้ แล้วก็ดับทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะหมดไป) การพิจารณาทุกข์ พิจารณากายให้เห็นกายพิจารณาจิตให้เห็นจิต เเปลว่า มองเห็นกายว่ากายทุกข์ มองเห็นว่าจิตควรทุกข์ไหม พิจารณาจนเกิดความเห็นเเจ้งว่าเป็นเเค่ทุกข์ที่หมุนเปลี่ยน ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเม้เเต่ตัวทุกข์เองก็ยังทนได้ยากไม่คงอยู่ เเต่จิตเราไปยึดเเล้วไม่ยอมจบ เหมือนร่างกายต้องเปลี่ยน การเปลี่ยนเรียกว่าทุกข์ การเปลี่ยนที่ทนได้ยากเรียกว่าความทุกข์ ทุกข์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เเต่ที่มนุษย์เอามาเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราพิจารณาให้เห็นจะรู้ว่าทุกข์มีอยู่จริงเเต่ไม่เคยทำเราเจ็บ เป็นเเค่นั้น เปลี่ยนไปเเค่นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ จงมองเห็นทุกข์ให้ธรรมดาเเล้วจะไม่ทุกข์ เหมือนเรามีความเเก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มีการโดนด่าเป็นธรรมดา เราต้องทุกข์ทุรนทุรายด้วยไหม ก็เเค่เห็นเเค่รู้เท่านั้น นั่นคือธรรม
(ตัดความโลภโกรธหลง แล้วก็ทำใจให้ว่าง)  ตัดมันออกจากใจเลย ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะ มีโลภโกรธหลงได้ แต่มีแล้วไม่เอามัน มีแล้วไม่ตกเป็นทาสของมัน ทำได้ไหม (ทำได้ จะพยายาม)  ถ้าให้ตัดไปเลยมันทำยากนะ เพราะเลี้ยงมันมาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ (ใช่ มีตั้งแต่เราเกิด)
(ตัดความหลงออก เพราะรู้สึกเอาออกยากเหลือเกิน หลงอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นความอยาก อยากจะเอาออกไปมาก)  พระพุทธะสอนให้มีปัญญา อะไรที่เราหลงแล้วทำให้เราโง่ทำให้มองไม่เห็นแจ่มแจ้งก็อย่าหลงแล้วความหลงก็จะกลายเป็นปัญญา อาจารย์ถามศิษย์นะ มีอะไรในโลกที่เรามีแล้วมันไม่ขบ ไม่กัด ไม่ทำให้เราเจ็บปวดบ้าง มีไหม (ไม่มี)  มีได้ ถ้าเรามีแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เรียกว่า มีอย่างคนมีปัญญา 
(อยากจะเอาความทุกข์ออก สมมติว่าเราซื้อหวยแล้วเสีย ถ้ามองว่าซื้อหวยแล้วทุกข์ เราก็ไม่ต้องซื้อหวย)  ศิษย์อยากเอาหวยหรือเอาทุกข์ออกจากใจ (เอาทุกข์ออก)  อาจารย์ว่าเอาหวยออกจากใจมากกว่านะ เอาทุกข์ออกจากใจ เอาทุกข์ออกไม่ได้ ทุกข์คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทุกข์นั้นทำให้เราเติบโต ทุกข์ทำให้เราเปลี่ยนแปลง ทุกข์นั้นทำให้เรารู้จักปล่อยวางและทุกข์ทำให้เรารู้จักเข้มแข็งทุกข์ไม่น่ากลัว เพราะมีทุกข์จึงมีชีวิต เพราะมีทุกข์จึงพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่บอกว่าซื้อหวยถูกแล้วจะเอาเงินมาทำบุญ บุญแบบนั้นอาจารย์ไม่เอานะ มันเป็นบุญร้อน (นักเรียนขอแอปเปิลอีกลูกไปฝากอาจารย์รับรอง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้นะ ลูกเดียวถ้ารู้จักใช้ปัญญา มันก็แบ่งคนเป็นร้อยเป็นพันได้ แต่ถ้าลูกเดียวอับจนปัญญามันก็ไม่พอแม้ตัวเราหนึ่งคน จริงไหม
(นักเรียนคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า จะเอาความโลภออกจากตัวเราได้อย่างไร)  ศิษย์เอ๋ย ไม่ยากเลย พอบ้างหรือยัง หยุดอยากบ้างหรือยัง อาจารย์ถามหน่อยนะ โลภมา แค่เราก็หนึ่งทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายก็อีกทุกข์หนึ่ง ผิดหวังก็อีกทุกข์หนึ่ง แล้วศิษย์ไปโลภเอาอันนี้มา ศิษย์ก็เพิ่มทุกข์อีกทุกข์หนึ่ง แล้วทุกข์นี้แน่ใจหรือว่าโลภแล้วมันจะทุกข์เดียวจบ โลภอยากได้คนนี้ ศิษย์ว่าจะได้ทุกข์กับเขาแค่หนึ่งครั้งไหม (ไม่) ศิษย์จะทุกข์กี่ครั้ง (ร้อยครั้ง)  นับไม่ถ้วนมากกว่าร้อยด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เราจะไม่อยากได้อะไรในโลกเลย เพราะยึดเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ห่วงเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์พิจารณาจนเกิดธรรมเนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย เพราะเราเห็นมันชัด(โลกนี้ความทุกข์กับความสุขเป็นของนอกกาย เราอย่าให้ความสำคัญกับความทุกข์หรือความสุขจนเกินไป แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ จะไม่สุขจนเกินไป เวลามีทุกข์เราอย่าเสียใจมาก เวลามีความสุขเราอย่าดีใจมาก)  รักษาใจให้เป็นกลางอยู่เสมอ ศึกษาธรรมสำคัญอย่างเดียวนะศิษย์ ขอแค่รู้เท่าทันใจตน แต่ส่วนใหญ่คนมักจะหลงตัวเอง จนกระทั่งต้องเจอปัญหาก่อนจึงอยากจะบำเพ็ญธรรม ถึงเวลานั้นก็สายไป จริงไหม
(อยากเอาความคาดหวังออกจากใจ)  เวลาทำอะไรใจก็อดมีความคาดหวังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ เวลาศิษย์ทำอะไรแล้วทำเต็มที่หรือยัง ทำสุดกำลังหรือยัง แล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรมหรือยัง ถ้าทำสุดตัว ทำเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดมันก็เกิด นี่จึงเรียกว่าทำอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่คาดหวังอีกต่อไป ขนาดของที่สวยที่สุดในโลก คนก็ยังนินทา แล้วมีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะไม่ถูกคนว่าให้เราผิดหวัง ทำดีคนก็บ่น ทำชั่วคนก็ด่าหรือไม่ทำอะไรเลยคนก็ต่อว่า
ฉะนั้นสำคัญคือ รักษาใจตัวเองดีกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้เป็นดั่งใจเราได้ เเต่เรารักษาใจเราให้เข้มเเข็งเเละรับมือกับความจริงที่เกิดขึ้น ธรรมจึงทำให้เรารู้จักมองความเป็นจริงได้อย่างเข้มเเข็ง (กิเลส โลภโกรธหลงออกไป เเล้วต้องมีสติว่าต้องปล่อยวาง)  เวลาเจออะไรต้องนิ่งให้ได้ก่อนเเล้วสติจะตามมา ถ้ายังนิ่งไม่ได้สติก็ไม่มา สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดกิเลสตามมา
มีวิธีใดที่ระงับความโกรธ หรือไม่อยากให้โกรธง่าย มีวิธีใดที่จะกำจัดความโกรธออกไป ไม่ยากเลย ถ้ามองเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เเล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เเล้ว เราอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  คนเรามักจะโกรธคนที่ต่ำกว่า เเย่กว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่าทำดีเเล้วทำไมคนดีต้องถูกกดขี่ข่มเหง เพราะเรามักคิดว่าเราสามารถต่อว่าคนที่เเย่กว่าเราได้ คนที่ต่ำกว่าเราได้ เรามีสิทธิ์พูดได้ ศิษย์เคยโกรธคนที่อยู่ข้างบน คนที่สูงกว่าเราหรือไม่ มีแต่แอบด่าเขาแต่ไม่กล้าโกรธเขาต่อหน้าแต่คนที่ศิษย์โกรธมากที่สุดคือคนที่ต่ำกว่า โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ด่าไปให้เต็มที่ อย่างนั้นอาจารย์ถามใจลึกๆ ถ้ามีคนที่สูงกว่าเราแล้วเอาแต่ด่าศิษย์ ศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)  ใจเขาใจเรา เขาไม่รู้ เขาต่ำกว่าก็แย่แล้ว เรารู้มากกว่าทำไมจึงไปกดขี่ข่มเหงเขา ใจเขาใจเรา อย่าสร้างวิบากกรรม ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับชะตากรรมที่ศิษย์ก่อ แม้ศิษย์จะทำดีแค่ไหนศิษย์ก็จะโดนกดขี่ ข่มเหง เพราะศิษย์เคยกดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่า เหมือนถามคนในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสระหว่างคนที่ดีกว่ากับคนที่แย่กว่าศิษย์จะแกล้งคนไหน (คนที่แย่กว่า)  ศิษย์เอาเปรียบคนที่เก่งกว่าหรือคนที่แย่กว่า (คนที่แย่กว่า)  นั่นแหละคือนิสัยศิษย์ แล้วทำไมบอกว่าเราเกิดมาลำบากแล้วทำไมยังต้องมารังแกเราอีก แล้วทำไมเราไปรังแกคนที่ต่ำกว่าล่ะ เขาผิดหรือที่เขารู้ช้า เขาผิดหรือที่เขาไม่เข้าใจเรา (ไม่ผิด)  ใจเขาใจเรานะ อย่าสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องรับกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์รู้ไหมว่าฆ่าคนให้ตายยังไม่เจ็บแค้นเท่ากับด่าให้เราเจ็บปวด ฆ่าให้ตายดีกว่าแต่อย่ามาด่ากันอย่างนี้ จริงหรือไหม (จริง)  ฉะนั้นศิษย์อยากให้เขาผูกใจเจ็บหรือ (ไม่อยาก)  ก่อนจะโกรธ ใจเขาใจเรา ไม่มีใครอยากโดนด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
(คำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ คำนี้มีความหมายอย่างไร)  อาจารย์จะให้ศิษย์ทำเลย แล้วศิษย์จะได้รู้เลยว่าสวรรค์กับนรกต่างกันอย่างไร เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นศิษย์เดินออกไปเจอหน้าใครก็ด่าให้หมดเลย ด่าให้ไม่มีชิ้นดีเลย แล้วศิษย์จะรู้เลยว่านรกเป็นอย่างไร กับอีกอย่างหนึ่งเดินไปเจอใคร ขอบคุณๆ นั่นแหละคือสวรรค์ (ขั้วบวกขั้วลบเลย)  ชัดเจนไหม (ชัดเจนมากเลย)  ลองทำไหม (ไม่ลอง)  อย่างนั้นอย่าไปลองที่บ้านนะ ไม่อย่างนั้นจะมีนรกในบ้าน
(ทำอย่างไรจะให้ใจตัวเองหยุดอยากได้)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ที่แล้วมาเจ็บยังไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ยังไม่พออีกหรือ อย่าถามอาจารย์เลย ถามศิษย์ดีกว่า เจ็บไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ไม่พอ สู้ไหวไหม ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ อย่าอยากอีกเลย เพราะมันเจ็บมาพอแล้ว เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”)
ผิดบาปทั้งมวลยากอยู่แค่คำว่ามีสำนึก ถ้าเรามีสำนึกดีเราจะทำบาปเราจะทำชั่วไหม (ไม่)  เราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ไม่ผิดศีลเลย ไม่ขาดธรรมเลย ใช่หรือไม่ ลองเอาไปศึกษาพิจารณาต่อนะ
ดูแล มุ่งมั่น บำเพ็ญ อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คนด้วยหัวใจที่ประเสริฐ อยู่ในโลกอดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว แต่การศึกษาธรรมสอนให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ มีแต่จะทำอย่างไรเพื่อจะช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรจะเสียสละจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำให้ได้มากที่สุด ถ้าทำได้เช่นนี้ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นคนหรอกศิษย์
อาจารย์หวังว่าในชั้นนี้ คงจะมีสักหนึ่งคนหรือมากกว่าหนึ่งคนที่เดินตามรอยพุทธะอย่างแท้จริง ปฏิบัติจริง บำเพ็ญจริง มุ่งมั่นจริง ที่ยังต้องอดทนแสดงว่าเรายังมีตัวตนให้ต้องขัดเกลา แต่ถ้าไม่มีคำว่า “อดทน” แปลว่าไร้แล้ว ตัวตนไม่น่ายึดถือหรอก มีแต่นิสัยความเคยชิน คำว่า “ธรรม” มีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา อิสระและมีแต่ความเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งปิติสุข แต่ถ้าศิษย์บำเพ็ญแล้วไม่มีความสุข ถามตัวเองนะกำลังยึดมั่นถือมั่นอะไรที่หลงผิด รีบแก้ไขนะ หัวใจแห่งพุทธะคือหัวใจแห่งผู้เข้าถึงธรรม ธรรมที่มีแต่ให้ มีโอกาสคงมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ ขอบคุณความเสียสละ ขอบคุณความมุ่งมั่นที่ตั้งใจฟังจนจบในสองวันนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวศิษย์เองทั้งนั้น

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”
     ความหลงผิดพาคนไกลห่างความดี          เกิดอารมณ์ชั่ววูบทีสำนึกหาย
จากเล็กน้อยจนขาดศีลผิดธรรมไป                ขออย่าให้เป็นเช่นนี้กันอีกเลย
ผิดไม่ทำบาปไม่ก่อกรรมไม่สร้าง                  ย้ำแนวทางอันถูกต้องเป็นศุกลเผย
สำนึกดีปฏิบัติดีไม่ละเลย                           ให้ชินเคยจนฝังแน่นติดตรึงตรา
ความยากลำบากมายกใจให้สูงยิ่ง                 คนดีจริงมุ่งทำจริงพร้อมฟันฝ่า
มีเมตตาครองธรรมไว้ในกรุณา                    โชควาสนาหรือจะสู้คนมานะดี

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-26 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์



西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十九日          仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก               ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร                แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  สติดีแต่ทำตัวไม่ค่อยดี                  อะไรดีไม่รู้รู้แต่ขี้เกียจหลาย
ขนาดยอมทำเป็นคนใช้ไม่ได้             เหมือนกรรมใกล้เกลือกินด่างเต็มประตู
ทุกทุกดีนั้นเมตตาเป็นแสงส่อง           เพียงแต่ต่างคนประคองคนร่วมหมู่
บำเพ็ญธรรมอย่างเดียวคนฟังไม่รู้        มักต่างอยู่เข้าตัวไม่เหลือใคร
อย่าไปมัวแต่ข้างใดดีนัก                  ย้อนมองตัวเองจะพบอะไรใหม่
งานยิ่งเร่งยิ่งรัดสุขอยู่ไหน                ตระหนักได้ไม่ทำมากจนเกินตัว
ที่ฟ้าตักเตือนหมายให้ได้ดี                ถึงต่อให้ทำดีจนท่วมหัว
ยังไม่เท่าเจ้ายอมละกรรมชั่ว             สำนึกเองตัวเตือนตัวนั่นแหละดี


  หลงเหตุผลก็ง่ายจะหลงผิด             ตามอารมณ์ก็เบือนบิดไปกันใหญ่
ไม่มักง่ายไม่เอาเปรียบไม่ตามใจ          อยู่ในศีลครองธรรมไว้นั่นแหละดี
หมั่นตรวจสอบความคิดคำพูดการกระทำ    หนึ่งจงจำมีเมตตาไม่กดขี่
สองถูกต้องชอบธรรมไม่ราวี              สามต้องมีเคารพให้เกียรติกัน
ถือซื่อตรงทำดีไม่โลภหลง                ความดีคงงดงามอยู่เช่นนั้น
รู้หน้าที่รับผิดชอบสร้างบุญทาน         เรื่องผิดศีลขาดธรรมไม่คิดมี
รู้ย้อนมองเมื่อผิดไม่โทษใคร              กล้าแก้ไขยอมรับไว้ไม่ราวี
อยู่บนทางสำนึกดีปฏิบัติดี                ให้สมที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
“เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก     ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร    แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู”
เป็นอย่างนั้นไหม เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก เราเป็นคนดีไหม ก็ดีนะ แต่อย่ามีนิสัยมีอารมณ์เข้ามาเด็ดขาด คนดีก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายใช่หรือไม่ ตอนนี้ที่ไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามา ทุกคนก็ดูดีหมดเลยจริงไหม (จริง)  แต่พอมีอารมณ์โกรธใส่เข้ามา เป็นอย่างไร หน้ามือเป็นหลังมือเลยใช่หรือเปล่า ที่ดูพูดเรียบร้อยๆ ก็เปลี่ยนไปเลยใช่หรือไม่
เวลาเราศึกษาหลักธรรม จงมองที่หลักธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะถ้าเอาตัวบุคคลไปวัดกับธรรมจะทำให้เราไปไม่ถึงฝั่ง เพราะบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลงและกลับกลาย มีวันหน่ายมีวันเบื่อ มีวันชิงชัง ถ้าเรามองที่ตัวหลักธรรม ธรรมจะสอนแต่ความเป็นจริง และให้เรามองแต่ความเป็นจริง ฉะนั้นวันนี้ที่เรามาศึกษาคือศึกษาหลักธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต ใช่ไหม (ใช่)
ลองเปลี่ยนบรรยากาศในการศึกษาธรรมเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันบ้างดีไหม (ดี)  ฟังมาวันครึ่ง ฟังมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว ถ้าวันนี้อาจารย์ถามอะไรคุยอะไรก็คงมีการโต้ตอบกันบ้างเล็กน้อยดีไหม (ดี)  อาจจะแปลกใจระคนสงสัยเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นรังเกียจดูถูกกันแล้วไม่มองหน้ากันเลยดีไหม (ดี)  เพราะส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้ เราก็ไม่ชอบให้ใครตั้งป้อมรังเกียจตั้งแต่ยังไม่ทันทำอะไร ถูกไหม (ถูก)  และโดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ชอบให้ใครดูถูกเหยียดหยามเราโดยที่ยังไม่ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ชอบสิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น แล้วเราเผลอทำไหม (ทำ)
อาจารย์ถามหน่อย โดยส่วนใหญ่นักเรียนในชั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  ส่วนใหญ่คนดีชอบทำดีไหม (ชอบ)  เป็นทั้งคนดีด้วยแล้วก็ชอบทำดีด้วย แต่ที่อาจารย์ได้ยินมา คนโดยส่วนใหญ่ชอบความดีแต่ไม่ชอบทำดี เหมือนถามว่าระหว่างคนดีกับคนไม่ดีชอบแบบไหน ชอบคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างคนมีเมตตากับคนใจดำอำมหิตชอบคนแบบไหน (ชอบคนมีเมตตา)  ระหว่างคนใจกว้างกับคนเห็นแก่ตัวชอบคนแบบไหน (คนใจกว้าง)  แต่ถึงเวลาเราเลือกทำแบบไหน (ตรงกันข้าม)  จริงไหม (จริง)  เราอยากเป็นคนดี เราชอบคนดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่เลือกปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแบบเปิดอกจับเข่าคุยกันเลยนะศิษย์ อาจารย์ถามตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เราชอบคนดี เราหวังที่จะมีคนดีอยู่รอบข้าง หวังที่จะเจอเรื่องดีๆ ให้กับชีวิต แต่ถึงเวลาเราทำดีไหม อย่างเช่นถึงเวลามีโอกาสได้กับมีโอกาสสละ เราเอาก่อนหรือเราสละก่อน (เอาก่อน)  แล้วดีตรงไหน
ถามหน่อยไปตบหัวเขามาเต็มที่ ไปเอาของเขามาเต็มที่ แล้วบอกว่า ขอโทษนะเดี๋ยวค่อยใช้ เขายอมไหม (ไม่ยอม)  แล้วจะมาบอกว่าตัวเองเป็นคนดีไหม ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วรู้ขนาดนี้แล้ว เลือกที่จะทำดีไหม (ยัง)  เหมือนถามว่าระหว่างทำดีกับชอบความดี ถามว่าเราเป็นอะไรมากกว่ากันเราชอบดีแต่เราไม่ค่อยทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ระหว่างเจอเคราะห์ดีกับเคราะห์ร้าย โอกาสที่จะเจอเคราะห์ดีก็ยาก ก็ต้องเคราะห์ร้ายมากกว่าดี เพราะเรามักไม่เลือกทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เราจะเจอเรื่องภัยพิบัติก็จะเจอได้มากกว่า ถ้าคนดีไม่รักทำดีแค่ทำเฉยๆ โอกาสที่เจอภัยเจออันตรายก็อาจจะมีมากกว่า อย่ามัวแต่บ่นโทษฟ้าโทษดิน รักดี แต่ทำไม่ดี พอเจอเรื่องไม่ดีก็บอกว่า ศิษย์อุตส่าห์เป็นคนดีทั้งที ทำไมศิษย์ต้องเจอเรื่องไม่ดี จริงๆ แล้วเราดีไหม (ไม่ดี)  ถามตัวเองว่าเราทำดีจริงๆ หรือเปล่า ศิษย์บอกเองว่าคนเราอยากได้สิ่งใดก็ต้องปูพื้นฐานสิ่งนั้น เพราะโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วกรรมในวันหน้าก็ต้องเกิดจากกรรมในวันนี้ ชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบทำความดีไหม (ชอบ)  แต่ถึงเวลาเลือกทำความดีไหม (ยัง)  ต้องรอให้เป็นเคราะห์ร้ายก่อน ดวงแย่ก่อนถึงจะทำดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรายืนอยู่บนปากเหวแล้วก็บอกว่าศิษย์จะตายไหม ศิษย์จะรอดไหม แล้วค่อยคิดมาทำดี จะทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  กำลังจะทุกข์อยู่แล้วตอนนี้ค่อยมาใฝ่ดี ปฏิบัติดี ทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถึงเวลาศิษย์บอกว่าเดี๋ยวก่อน ทุกทีเลย เวลาใครหน้าไหนมาก็ตาม ก็บอกว่า “เธอต้องดี เธอต้องดี ทุกคนมีหน้าที่ต้องดีกับฉัน” แต่ลืมไปว่าเรามีหน้าที่ดีกับคนอื่นก่อน ฉะนั้นธรรมะไม่ได้มีเอาไว้เพื่อตรวจสอบบีบบังคับเรียกร้องใคร แต่ธรรมะมีไว้เรียกร้องให้ตัวเองปฏิบัติก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์เอ๋ย ทำดีเถอะ แต่ไม่มีแรง จะทำไปทำไม ทำแล้วก็เหนื่อย คนไม่เห็นอยากจะดีเลยอาจารย์ ทำไมหนูต้องไปยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องไปดีกับเขาก่อน ศิษย์เอ๋ย ศิษย์กลัวภัยไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวเคราะห์ร้ายไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวชะตาไม่ดีไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  ฉะนั้นถ้าศิษย์กลัวเคราะห์ กลัวภัย กลัวทุกข์ กลัวชะตาไม่ดี อย่างนั้นศิษย์พยายามทำดี ดีไหม (ดี)  เพราะการทำดี จะช่วยทำให้เราไม่ต้องเจอภัย หรือแม้เป็นภัย ก็จะกลายเป็น (ดี)  ค่อยมีกำลังใจอยากทำดีขึ้นมาหน่อยใช่ไหม ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์แต่มันก็ยากนะ เวลาจะทำดีสักอย่างหนึ่ง อย่างนั้นอาจารย์บอกให้ อะไรที่จะทำให้เราทำดีและไปได้ตลอด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีภัยพิบัติใดน่ากลัวมากเท่ากับความอยาก ไม่รู้จักพอ” ไม่มีภัยและหายนะใด น่ากลัวเท่ากับ ความอยาก ความโลภ ไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่)  บาปไม่มีเพราะคนนั้นไม่ทำ กรรมไม่มีเพราะคนนั้นไม่ก่อ อุบัติเหตุไม่มีเพราะคนนั้นไม่ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดนี้ แปลว่า ภัยเอย หายนะเอย ความทุกข์เอย บาปกรรมเอย มันจะเกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่หลงตกเป็นทาสของอะไร ถ้าเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และปล่อยให้กิเลสครอบงำจนแยกไม่ออกว่าอะไรผิดชอบชั่วดี ใช่ไหม (ใช่)  ดังที่บอกว่า ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงอย่าทำบาป บาปมีต้นเหตุมาจากการตกเป็นทาสของกิเลสที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเป็นคนดี ก็พยายามระมัดระวังควบคุมอารมณ์และกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าเป็นคนสวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง ไหว้พระเก่งแต่ยังขี้โมโห ขี้นินทาแล้วยังอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วที่เคยพูดมาว่าตัวเองทำบุญก็เยอะ ไหว้พระก็เยอะ ทำไมยังไม่ได้ดี นั่นก็เพราะว่าตัวเองชอบด่าคนเยอะเหมือนกันหรือเปล่า แล้วยังเป็นคนคดโกงอยู่ไหม ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ไม่เกี่ยวนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าในทางกลับกัน ถ้าศิษย์พยายามไม่โลภจนเกินไป ไม่ขี้โมโหบ่อยไป ไม่หลงจนหน้ามืดตามัว อยากได้เงินทองจนผิดศีลขาดธรรมจนเกินไป อาจารย์ว่าคนที่พยายามควบคุมอย่างนั้น ดีกว่าคนสวดมนต์เก่งแต่ยังควบคุมไม่เก่งอีก จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า อยากจะเป็นคนดี ทำไมไม่ละชั่ว อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละบาป อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละอกุศล ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากโชคดี อยากมีสุข ก็ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองควบคุมความอยาก ความโลภ ความหลง ได้หรือยัง ถ้ายังควบคุมไม่ได้ ความอยากก็สร้างพิษภัยให้กับตัวเอง ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์มันคุมยากนะ ขอให้มีนิดหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  โกรธ โลภแค่นิดเดียวอาจารย์ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย อาจารย์เห็นมามากแล้ว คนที่พยายามเป็นคนใจกว้าง แต่พอโมโหขึ้นมาทีหนึ่ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ คนที่พยายามเป็นคนใจดี แต่พอมีความอยาก คนใจดีก็พร้อมจะกลายเป็นคนใจร้ายและใจดำ ฉะนั้นอย่าประมาทกับกิเลส เพราะเมื่อกิเลสครอบงำจิตใจแล้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นมานักต่อนักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย และถ้าโลกนี้เป็นโลกของกรรม การรับผลกรรม จริงไหม (จริง)  ทำดีแค่ไหนแต่ก็ทำชั่วแค่นั้น สู้ไม่ทำชั่วเลย ฉะนั้นอาจารย์ถามจริงๆ อย่าล้อเล่นกับกิเลสที่มันครอบครองใจศิษย์ เพราะมันครองใจแล้ว ศิษย์มักเอามันไม่เคยอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  มีใครโกรธแล้วหยุดโกรธได้ มีใครอยากแล้วรู้จักพอได้แท้จริง แต่อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์ทำได้ ชะตาที่ถูกกำหนดว่าจะร้าย จะเปลี่ยนเป็นดี สิ่งที่พร่องในชีวิต อาจจะกลายเป็นเติมเต็มโดยที่ไม่ต้องพยายามเติมอะไรก็ได้ แล้วเราสามารถบอกได้ไหมว่าอนาคตจะดีหรือจะร้าย แต่ถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะสามารถบอกได้เลยว่าอนาคตอย่างไรมันต้องดีให้ได้ สิ่งที่ชีวิตมันบกพร่อง มันจะกลายเป็นเติมเต็มได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า ไม่อยากลองมาศึกษาดูหรือ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าไม่เอา ทำไม่ได้ ลองเดินตามอาจารย์ดูแล้วศิษย์จะรู้ว่าชะตาชีวิตที่ศิษย์บอกว่าไม่รู้มันจะเป็นอย่างไร มันจะดีจะร้าย แต่ว่าถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะไม่กลัวอนาคต ศิษย์จะไม่กลัวว่าชีวิตมันจะพร่องหรือมันจะขาดหรือมันจะสูญ อะไรเกิดขึ้นมาศิษย์ก็จะสู้ได้และรับไหว
แล้วทำอย่างไรล่ะที่แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ร้ายมันก็แปรเป็นดี พร่องมันก็กลายเป็นเต็ม สูญเสียแต่มันไม่เสียศูนย์ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “โชคชะตาไม่สู้มานะคน” จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ชะตาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราเป็นคนสู้ไม่ถอย ใฝ่ดีจนถึงที่สุด ขยัน ซื่อตรงไม่คดโกง มีหรือชะตามันจะเปลี่ยนไม่ได้
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่ใฝ่ดีถึงที่สุด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า โชคชะตาวาสนา มักเดินตามคนที่ผิดแล้วรู้จักแก้ไข ไม่กล่าวโทษใคร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า โชคชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่มุ่งมั่นทำดีประพฤติดี ไม่ยอมแพ้จนสุดจิตสุดใจ แต่เคราะห์ร้ายมันเดินตามคนที่ชอบคดโกง เอารัดเอาเปรียบ คับแคบ กล่าวโทษคนอื่นไม่เคยย้อนมองตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อยว่า ถ้าเป็นแบบนี้ศิษย์ยังอยากจะใฝ่ดีไหม ศิษย์ยังอยากจะตกเป็นทาสของกิเลสอีกไหม (ไม่)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าใจที่รู้จักย้อนมอง โดนคนอื่นว่า โดนคนอื่นด่า โดนคนอื่นกล่าวโทษ โดนคนอื่นใส่ร้าย แล้วใจที่รู้จักย้อนมองส่องตน แล้วตรวจสอบว่าฉันไม่ดีจริงไหม ฉันแก้ไขได้ไหม ฉันผิดจริงไหม ใจที่ย้อนมองส่องตัวเองอยู่ตลอดเวลาเมื่อโดนว่า โดนกล่าวร้าย แล้วไม่โทษใคร เชื่อไหมว่าอับโชคจะกลายเป็นโชควาสนา ไร้บุญจะกลายเป็นบุญบารมี เพราะว่าการตรวจสอบย้อนมองตนมันคือยารักษาใจ เห็นใครไม่ดีแล้วพยายามมองเขาให้ดีให้จงได้ คือยาปรับลมปราณ ทำให้อารมณ์ร้อนกลับกลายเป็นเย็น ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะโกรธ ด่าเกลียด แช่งชักหักกระดูก ปล่อยให้ปัญหาทั้งมวลรุมเร้าเข้ามาในชีวิตหรือเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะมีสติ ใจเย็น สุขุม มีเมตตา ให้อภัย วาง จบ สงบ เป็นเกราะป้องกันภัย เอาแบบไหน (แบบให้อภัย)  ถ้าศิษย์บอกว่า อภัยให้ก็ได้อาจารย์ ทำใจก็ได้ ใจเย็นก็ได้ วางก็ได้ วางจริงไหมศิษย์ เย็นจริงไหมศิษย์
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกแห่งปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ เราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเก่าที่เราสร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์จะสร้างกรรมใหม่เพิ่มอีกทำไม อาจารย์ถามหน่อย อยากได้มิตรหรือศัตรู ศิษย์ก็บอกอาจารย์ตั้งแต่ต้น อยากได้คนดีหรืออยากได้คนร้าย (คนดี)  อยากได้คนดี แล้วถ้าเขาร้ายมาหน่อย ร้ายกลับเขาเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วไหนว่าอยากได้มิตร อย่างนั้นร้ายกลับเขาเลย ช่างหัวเขา ตอนนี้โมโหแล้ว แล้วปัญหาที่รุมเร้าตามเข้ามา ศิษย์จะแก้ไหวไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน หรือทะเลทุกข์ จริงไหม (จริง)  ใจกว้างแปรร้ายกลายเป็นบุญวาสนา ใจแคบทำให้อับโชค ไม่มีวันพบเรื่องดีๆ ในชีวิต มารคือคนที่จิตใจแคบ ไม่ยอมใคร คดโกง เอาเปรียบ ชิงชัง กล่าวโทษ แต่พุทธะคือจิตใจที่เมตตา เย็น อดทน และวางลงด้วยหัวใจที่สงบ
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อย วันนี้ที่ชีวิตไม่ได้ดี เป็นเพราะเขาหรือเป็นเพราะเรา ส่วนหนึ่งคือกรรมเก่า แต่อีกส่วนหนึ่งคือกรรมใหม่ที่เรากำลังจะสร้างใช่หรือไม่ คนในโลกทั้งโลกไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ คนมีตั้งหลายล้านคน ทำไมไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนนี้ แล้วเราจะเจอเพื่อจบกรรมหรือเราจะเจอเพื่อเกี่ยวกรรมต่อไป เราจะเจอเพื่อแปรร้ายเป็นดี หรือเราจะเจอเพื่อให้เราร้ายแล้วร้ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย ชะตาชีวิตอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรืออยู่ที่ตัวเราเอง
ฉะนั้นถ้าเป็นคนรักดีจริง เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง เพราะชื่อของความดีเป็นชื่อของความสุข ชื่อของคนที่มุ่งมั่นทำดีแล้วยังประกอบไปด้วยคุณธรรม เป็นชื่อของความสุขที่เดินอยู่บนหนทางแห่งผู้ประเสริฐ ฉะนั้นการเป็นคนดีมันก็มีเรื่องยากอย่างหนึ่ง ถ้าดีแต่ขาดเมตตา ความดีนั้นมันก็ง่ายที่จะกลายเป็น (กรรม)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์พยายามเป็นคนดี ศิษย์ต้องระวังอย่างหนึ่ง เวลาเราเป็นคนดีมันอดไม่ได้ มันจะเรียกร้อง คนนั้นต้องดีสิ คนนี้ต้องดีสิ ในชีวิตฉันต้องเจอแต่ดีสิ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะศิษย์ เรารักดีได้แต่เราหวังให้ทุกคนต้องปฏิบัติดีกับเราไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ความดีไม่น่ายึดถือได้ แต่รักษาไว้จนถึงที่สุด เรียกว่ามีคุณค่า ความชั่วไม่น่ารังเกียจ แต่ถ้ากลับตัวกลับใจได้ เรียกว่าเป็นคนดีมีประโยชน์” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความชั่วไม่ได้น่ารังเกียจ ถ้ารู้แล้วกลับตัวแก้ไขก็มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมคำพูดมันบอกตัวเอง ความดียึดไม่ได้พึ่งไม่ได้ แต่ถ้ารักษาจนถึงที่สุดก็มีคุณค่า ความชั่วเกลียดมันไม่ได้ เพราะถ้าเกลียดมันแล้วมันจะไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้นและไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ทำตรงกันข้าม ยึดดีเกลียดชั่ว ยึดว่าฉันเป็นคนดี พอใครไม่ดีก็เกลียดมัน ถูกไหม (ไม่ถูก)  เป็นคนดีแต่ขาดซึ่งคุณธรรมความเมตตา คนดีก็หาดีไม่ ฉะนั้นอย่าเป็นแค่คนดีแต่ต้องมีคุณธรรมประกอบด้วย เป็นคนดีมีเมตตาแต่ขาดซึ่งปัญญาธรรม คนดีก็พร้อมจะทำคนเสียคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าอาจารย์มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดี แล้วอาจารย์ก็บอกว่าพวกศิษย์ยังไม่ได้เรื่อง ต้องแก้นะ ต้องเปลี่ยนนะ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ไม่ชอบ อย่างนี้เขาเรียกว่า ยึดดีแล้วไร้เมตตาธรรมกับผู้อื่น กับอีกแบบหนึ่งยึดดีมีเมตตา ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้ถูกไหม ไม่ถูก ทำให้ศิษย์นั้นเสียคน ฉะนั้นความดียึดพึ่งไม่ได้ แต่ถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้วรู้จักกอปรคุณธรรม ความดีก็มีคุณค่า ความชั่วไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้ารู้จักแก้ไขเปลี่ยนแปลงความชั่วก็มีคุณค่ามีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเรารักดีเกลียดชั่วได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แต่มันไม่ดี จริงไหม (จริง)  เราไม่ใช่ปฏิบัติดีแล้วรังเกียจคนไม่ดี แต่การปฏิบัติดีเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไปสู่หนทางที่ดีงามและถูกต้อง แล้วเราปฏิบัติดี มันเกี่ยวอะไรกับบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมก็คือการปฏิบัติดี เป็นรากฐาน และก็ก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมเพื่อสิ่งที่ถูกต้องดีงาม จึงไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องหลง แต่อยากอย่างคนที่ไม่เห็นแก่ตัว อยากอย่างคนที่ไม่ทำให้จิตใจตกต่ำเลวร้าย พอเข้าใจนะ ฉะนั้นนี่แหละคือความหมายของการบำเพ็ญธรรมและปฏิบัติดีให้ถูกต้อง เพื่อนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
บางครั้งการอยู่ในโลกมันต้องมีบ้างที่กระทบกระทั่งเจอคนดีเจอคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสูงและไม่มีใครต่ำจนเกินไป ไม่มีใครดีและไม่มีใครแย่จนเกินไป ดีร้ายสูงต่ำใครกำหนด ตัวเราเองกำหนดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็เอามาตรฐานตัวเราไปตีค่าตีราคาคนอื่น จำไว้นะศิษย์ การที่เราใฝ่ดีปฏิบัติดีไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเอาไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะถ้าคิดแบบนั้น เรากำลังถือดีแบบผิดๆ เพราะว่าการที่เราศึกษาปฏิบัติธรรมคือยอมรับความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม และธรรมที่แท้จริงมันเป็นกลางอยู่แล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ใจเรานั่นแหละมันไม่เป็นกลาง มันก็เลยวัดทุกสิ่งอย่างไม่เป็นธรรม อาจารย์เทียบง่ายๆ เหมือนวันนี้อาจารย์จิตใจดี อารมณ์ดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ตรงกันข้าม วันนี้อาจารย์รู้สึกแย่ เบื่อ รำคาญคน มองอย่างไรมันก็ (ไม่ดี)  เห็นไหม ก็รู้หมด ฉะนั้นจริงๆ เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (ตัวเรา)  ใช่ไหม (ใช่)  ดังคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามองเห็นทุกคนมีคุณค่า ทุกคนก็มีคุณค่าให้น่านับถือ ถ้าเหยียดคนในเรื่องเลวทราม ทุกคนหาดีได้ไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าเราบอกนี่ก็แย่ นี่ก็ไม่ได้เรื่อง ดูมันทำท่าสิ ดูมองอาจารย์สิ แบบนี้มันหาเรื่องชัดๆ เลย อาจารย์ถามหน่อยว่าใจเรามันหาเรื่อง หรือเขาหาเรื่อง (ใจเราเอง)  เหมือนศิษย์เคยได้ยินไหม ใจมันมีขี้มองเขาก็เป็นขี้ ใจมันมีพุทธะมองเขาก็เป็นพุทธะ ใจมันเป็นอันธพาลมองเขาก็เป็น (อันธพาล)  ใจมันเลวร้ายมองเขามันก็ (เลวร้าย)  อย่างนั้นถามหน่อยเขาไม่ดีหรือใจเรามันไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  เพราะฉะนั้นโกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)
ทำไมเราต้องศึกษาธรรม เพราะการศึกษาธรรมสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วสัจธรรมนั้นมันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ในตัวเรา เราจะมองอย่างคนมีธรรม หรือเราจะมองอย่างคนที่เอาแต่ใจตัวเราเป็นหลัก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองท่านออกมาหน้าชั้น คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งอายุน้อย)
อาจารย์มีรสนิยมชอบเล็กๆ เหี่ยวๆ อายุมากๆ แบบนี้แปลว่า ถ้าตึงๆ เด็กๆ อาจารย์จะ (ไม่ชอบ)  ใช่ไหม เรื่องราวในโลกมันดีหรือร้าย มันได้หรือเสีย  มันสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่ใจศิษย์กำหนด ถ้าใจศิษย์กำหนดยึดแบบนี้คือสุขที่สุดแล้ว คือดีที่สุดแล้ว ยึดแบบนี้ว่าคือของๆ ฉันที่ฉันชอบแล้ว แปลว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ศิษย์ยึด มันกลายเป็นไม่ดี กลายเป็นทุกข์ กลายเป็นเรื่องแย่ทันที แต่ถ้าในใจเราไม่มีอะไร ใจเราไม่ยึดอะไร อะไรแย่ อะไรดี ก็ไม่มี
ฉะนั้นศึกษาหลักธรรมเพื่อให้เราหันกลับมาเยียวยาใจและมองให้เห็นว่าใจของเราจริงๆ แล้ว อย่าไปตีกรอบ อย่าไปยึดมั่น อย่าไปกำหนด เมื่อไม่ตีกรอบ ไม่ยึดมั่น ไม่กำหนด มันจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขที่สุด และจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์ที่สุด จะไม่มีอะไรที่น่ารัก และจะไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจ
ถ้าศิษย์รักษาจิตรักษาใจ โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าดี โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าเลวร้าย ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
โชคชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรไม่ได้รออยู่ที่อนาคต แต่มันอยู่ที่วันนี้เราทำใจเช่นไร ถ้าเราทำใจวาง สงบ ยอมรับความเป็นจริง อะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง)  แล้วศิษย์จะตอบคำถามที่อาจารย์พูดได้ตั้งแต่ต้นเลยว่า ไม่ว่ามันจะเหี่ยวขนาดไหน แก่ขนาดไหน มันก็ไม่เคยพร่องเพราะมันก็ดี มันจะตึงขนาดไหน มันจะบวมขนาดไหน มันจะอ้วนขนาดไหน มันก็ดี ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงไม่ได้ต้องการให้เรามุ่งแต่ปฏิบัติภายนอกแต่ลืมกลับมาเยียวยาใจ ใจเรามันให้ใครมาเติมเต็มไม่ได้ มันให้ใครมาทำให้เรามีสุขไม่ได้ ทุกคนเขาก็มีเวลาจำกัด แต่เราต้องรู้จักสุขด้วยตัวเอง สู้ด้วยตัวเอง เข้มแข็งด้วยตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าไปผูกกรรมเกี่ยวกรรมด่าเขาไม่ได้เรื่องด่าเขาไม่ดี จะสร้างหน่อเนื้อแห่งกรรมวัฏฏะเวียนว่ายอีกทำไม สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่เวียนอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังไม่จบ ยังไม่สงบ เกี่ยวมันไป ด่ามันไป ผูกมันไป แล้วจะเจอกันอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็เอาให้มันสะใจศิษย์ แล้วให้มันทุกข์จนเต็มที่ ถ้ามันทุกข์อย่างเต็มที่แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า ธรรมะมันไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น มันอยู่ที่ใจเรา วางมันลงหรือยัง ปล่อยมันบ้างไหม หัวใจของการดับทุกข์ที่ดีที่สุดคือ ใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ใครว่าสมบูรณ์สุด ใดเล่าดีสุด
ฉะนั้นเรากำลังวิ่งไปตามกิเลสเพื่อเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อไรเราจะหยุด ทุกข์ไม่เหนื่อยเหรอ ร้องไห้ไม่เจ็บปวดเหรอ แล้วใครทำเราเจ็บ (ตัวเราเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ได้เหรอ ทำไมต้องขอหน่อย รักฉันหน่อย กับการที่รักตัวเองให้เป็นและรักผู้อื่นให้เป็น อะไรดีกว่ากัน (รักตัวเอง)  อะไรอยู่กับเรา ขนาดตัวเรา ใจเรามันยังเปลี่ยนเลย แล้วกับคนที่เรารักที่สุด กับสิ่งที่เราชอบที่สุดจะไม่เปลี่ยนเหรอศิษย์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บ อย่าเอาใจไปฝากไว้กับใคร ถ้าไม่อยากทุกข์ อย่ายกใจให้ใคร ดูแลใจตัวเองดีไหม (ดี)  แล้วชะตาความบกพร่อง เราจะเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ต้องรอใคร จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ถามง่ายๆ เป็นคนดีต้องมีคุณธรรมประกอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นคุณธรรมอะไรที่จะประกอบการเป็นคนดีให้เราดีได้ตลอด
(มีเมตตา)  ไม่ใช่เมตตาตัวเองแต่ไม่เมตตาคนอื่นไม่ได้นะ แล้วความเมตตาเริ่มจากอะไรรู้ไหม คำว่า “คุณธรรมแห่งความเมตตา” คือการกระทำเช่นไร คำว่า “เมตตา” คือการที่ให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลตอบแทน ให้บ่อยๆ เสียสละอุทิศบ่อยๆ นั่นแหละเรียกว่าคนมีใจเมตตา เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นอาจารย์ให้ก็แปลว่าศิษย์ต้อง (รับแล้วต้องให้ต่อ) ใช่ไหม อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีบุญแค่ตนเอง แต่รู้จักผูกบุญกับคนทั่วกว้าง คนที่รู้จักคิดคำนึงถึงตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั่นก็คือ เวลาได้ดีต้องรู้จักแบ่งปัน เมื่อเวลาเราทุกข์เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราสร้างบารมีไว้เยอะแยะ เวลาได้ดีแล้วเรารู้จักแบ่งปัน ถึงเวลาเราเดือดร้อนคนเขาก็จะหันกลับมาดูแลเรา แต่ไม่ใช่เวลาเราได้ดีแล้วไปเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น
(ความกตัญญูรู้คุณ)  เกิดเป็นคนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกตัญญู คำว่ากตัญญู เรากตัญญูแค่กับพ่อแม่ได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกๆ คนเราก็ควรจะรู้จักกตัญญู ทำไมรู้ไหม (เราต้องมีความกตัญญู ความรู้จักบุญคุณของคนที่มีบุญคุณกับเรา ตอบแทนท่าน)  แล้วคนที่ด่าเรามีบุญคุณไหม (ไม่มีบุญคุณ)  ศิษย์เอยคนที่เขากล้าด่าเรา กล้าว่าเรา เพราะเขารักเขาใส่ใจ ถ้าไม่ใส่ใจไม่รักเขาไม่ด่าหรอกจริงไหม (จริง)  ถามสิด่าทำไมให้เมื่อยปาก ด่าทำไมให้เขาเกลียด ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจคำว่ากตัญญูรู้คุณ ตื่นเช้ามาศิษย์จะขอบคุณทุกคนที่ทำให้ศิษย์มีชีวิต ไม่ว่าฟ้ามืดฟ้าสว่างศิษย์ก็จะขอบคุณทุกอย่าง เพราะถ้าไม่มีมืดจะไม่มีวันสว่าง ถ้าไม่มีคนร้ายจะมีคนดีหรือ ใช่ไหม ถ้าไม่มีชาวนา เราจะมีข้าวไหม ถ้าไม่มีเพื่อนแย่ เราจะรู้จักเพื่อนดีไหม แปลว่า ขอบคุณผู้มีคุณทุกคน อันนี้ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงความกตัญญูแท้จริงใช่ไหม (ใช่)  เอาไหม เอาไปให้ใคร (เอาไปให้ลูก)  อย่าลืมเอาไปให้พ่อแม่เราบ้างนะ  รู้จักบุญคุณใช่หรือไม่ คุณธรรมมีตั้งมากมายแต่คุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคนคืออะไรรู้ไหม (การทำความดี)  มโนธรรมสำนึก คำนี้คำเดียวครอบคลุมทุกอย่าง รู้ผิดชอบชั่วดี รู้สำนึกคุณ รู้ตอบแทนคุณ รู้อะไรผิด รู้อะไรถูก รู้ชอบรู้ไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ ถ้าขาดสติก็เหมือนขาดใจ ถ้าขาดใจ ถ้าขาดมโนธรรมสำนึกก็ขาดความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)
(เผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าเรา เผื่อแผ่ให้ทุกชีวิต)  รู้จักมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย คนเราอยู่ในโลกมนุษย์มักคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่น แล้วเห็นแก่ตัวเองมากกว่าเห็นแก่คนอื่นใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีเห็นแก่ผู้อื่นให้ เอาไหม (เอาค่ะ เห็นแก่ตัวที่ไม่น่าเกลียด)  อาจารย์จะบอกให้ มันมีเหมือนกัน ฟังดูแล้วมันดูน่าเกลียดๆ นะอาจารย์ เห็นแก่ตัวยังมีไม่น่าเกลียดด้วยหรือ แค่คำว่าเห็นแก่ตัวก็น่าเกลียดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ไม่ใช่อะไรๆ ก็คว้าเอาหมดก่อน ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิดก่อนที่จะตัดสินใจทำนะศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เอาไหม เห็นแก่ตัวอย่างไม่น่ารังเกียจ (ไม่ค่ะ กลับใจค่ะ)  เอาไม่เอา (ไม่เอาค่ะ)  เสียดายนะอาจารย์อยากจะบอก ไม่เอาอาจารย์ก็ไม่บอกเลยดีไหม (ไม่ดีค่ะ)  ตกลงศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ดีหรือไม่ดีกันแน่ ตกลงเอาหรือไม่เอา (เอาค่ะ)  นี่แหละหนามนุษย์ เปลี่ยนไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ศิษย์เอยอาจารย์จะบอกให้ เกิดเป็นคนหนีไม่พ้น ใครๆ ก็ต้องคิดถึงตัวเองเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรเราก็ต้องมองตัวเองก่อนสิอาจารย์ ตัวเองยังไม่รอดเลย แล้วจะไปช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร เป็นเรื่องยาก ใช่ไหม อาจารย์จะบอกวิธีให้ คำว่าเห็นแก่ตัว จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดีและง่ายที่จะหลงผิด แต่คำว่า คิดถึงตัวเองก่อน แล้วทำให้ไม่กลายเป็นความเห็นแก่ตัวที่น่าเกลียด นั่นก็คือ ง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าตอนที่ศิษย์ยังอายุน้อย ถ้าเราคิดว่าโตไปจะไม่เป็นภาระของสังคม โตไปจะไม่เป็นที่เดือดร้อนให้กับผู้อื่น โตไปจะเป็นที่พึ่งให้กับพ่อแม่ ถ้าตอนเด็กคิดถึงตัวเองเยอะขนาดนี้ ตอนที่เขาพยายามจะโต เขาต้องศึกษาเล่าเรียนให้เต็มที่ ถูกไหม นี่แหละที่เรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เข้าใจไหม เหมือนตอนเด็กเรารู้ว่าโตไปเราจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน โตไปหนูจะเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น ถ้าเราคิดถึงตัวเองขนาดนี้ เราจะขยันเรียนไหม (ขยันเรียน)  เราจะเป็นคนดีไหม (เป็นคนดี)  นี่แหละเขาเรียกว่า คิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการรับผิดชอบได้แล้ว ถ้าเราคิดถึงตัวเองอีกว่า ถ้าฉันอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องเป็นที่รักของคนอื่น ฉันจะไม่ทำให้คนอื่นรำคาญ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อยามโต เราจะทำอะไรผิดต่อผู้อื่นไหม (ไม่)  นี่แหละเรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวไหม (ไม่เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นคิดถึงตัวเองแบบของอาจารย์นี้น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด)  เหมือนกัน ถ้าเราคิดถึงตัวเองว่าตอนที่เรามี เราจะไม่ดูถูกใคร เราจะไม่เหยียดหยามใคร เราจะไม่กดขี่ข่มเหงใคร พอเวลาที่เราไม่มี เราก็จะไม่ถูกใครกดขี่ ไม่ถูกใครเหยียดหยาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตเรารู้จักคิดถึงตัวเองแบบนี้ อาจารย์ถามว่าเวลาเรามี เราจะให้ใครไหม (ให้)  เวลาเรามีแล้วเจอคนแย่ เราจะดูถูกเขาไหม (ไม่)  อย่างนี้การคิดถึงตัวเองของอาจารย์น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด)  เอาไหม (เอา)  คิดถึงแบบนี้นะ แล้วจะไม่เห็นแก่ตัว ดีไหม (ดี)  จำได้ไหม (จำได้)  อันนี้เป็นคำสอนของปราชญ์โบราณเขาสอนไว้นะ ว่าถ้าตอนเด็กคิดถึงยามโต ตอนเด็กจะมานะเล่าเรียน โตไปจะไม่เป็นที่ลำบากให้กับผู้อื่น ถ้ายามโตคิดถึงว่าแก่ตัวไปแล้วจะได้ไม่ไร้ค่า ไม่ไร้ความหมาย เมื่อยามโตจึงรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือคนให้เต็มที่ เมื่อยามมั่งมีแล้วกลัวว่าตอนอดจะลำบากแล้วจะถูกคนดูถูกเหยียดหยาม เมื่อยามมั่งมีจึงรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือ นี่แหละเป็นคำสอนของคนโบราณเขาสอนไว้นะ นี่แหละการคิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว
อาจารย์พูดวิธีการปฏิบัติเป็นคนอยู่บนโลกให้ศิษย์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปอาจารย์ขอเข้าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่มนุษย์หนีไม่พ้น เมื่อศึกษาบำเพ็ญและปฏิบัติได้ดีแล้ว อะไรเรียกว่าปฏิบัติได้ดี “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนไม่ละอายใจ” นี่แหละปฏิบัติได้ดี
พอปฏิบัติได้ดีแล้ว ก้าวต่อไปอีกก้าวหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้เราพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นเด็กทุกข์ โตก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ แข็งแรงก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ เสียงรถไฟดังมาก็ทุกข์ มาอีกแล้วรำคาญจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย ทุกข์ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยหรือ ชีวิตนี้หาสุขไม่ได้ แค่เสียงรถไฟก็ทุกข์จังเลย ไม่ได้นะ
ทุกข์มีหลายอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่อยากก็ทุกข์แล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรามารู้จักก่อนว่า ทุกข์มันคืออะไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ เราจะเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ได้อย่างไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ จะได้ฟังและเข้าใจง่ายในเรื่องเกี่ยวกับธรรมและความทุกข์ ศิษย์เคยเห็นต้นไม้ไหม เมื่อไรที่เราหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากลงไป ต้นไม้ก็จะเติบโตออกมาเป็นต้นไม้หนึ่ง ถูกไหม เมื่อต้นไม้หนึ่งต้นเติบโตมาหนีพ้นความเจ็บ หนีพ้นแมลงกัดกิน หนีพ้นการเหยียบย่ำและหนีพ้นจากการถูกโดนลมพัดโค่นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นมันเป็นธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาต้นไม้ล้มไปเราก็เห็นว่ามันเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ถูกไหม (ใช่) แต่เมื่อไรที่เราเอาตัวเข้าไปใส่ในต้นไม้ มันล้มเราก็เจ็บ มันถูกเหยียบย่ำ เราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ มันเปลี่ยนแปลงเราก็รับไม่ได้ แต่ถ้าเอาตัวออกล่ะ มันก็แค่ต้นไม้ ใช่ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เมื่อเราไม่เอาตัวไปยึดมั่น ความทุกข์มันดับได้ทันทีแค่เรามองเห็น มันเป็นแค่ต้นไม้ ไม่ใช่ตัวเรา
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าไม่มีคำว่าตัวเรา อาจารย์ต่างอะไรกับต้นไม้ไหม มีเกิด (มีแก่ มีเจ็บ มีตาย)  ใช่ไหม มันเป็นธรรมชาติของต้นไม้ที่เรียกว่าสัจธรรม ถูกไหม (ถูก) มันเป็นต้นไม้ ใช่ไหม (ใช่)  ต้นไม้มันเป็นธรรมชาติ แล้วหนังหน้านี้ ตัวนี้ ต่างอะไรกับต้นไม้ที่มันเจ็บ เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นของเรา ที่เราทุกข์ ที่เราดิ้นทุรนทุราย เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นเรา ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยต้นไม้มันไม่มีวันตายหรือ (มี)  มันไม่มีวันเจ็บหรือ (มี)  มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือ (มี)  ฉะนั้นเราไม่ยึด เราแค่รับรู้ ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน จิตกับสังขารจะแยกทันที กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายทุกข์ตามกระบวนการของสัจธรรม แต่ใจไม่ทุกข์ตามกระบวนการสัจธรรม จริงไหม (จริง)  เราเคยแยกมันออกบ้างไหม (ไม่)  เมื่อศิษย์ยังแยกไม่ออก ฉะนั้นเราจึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา แล้วเรายังหย่อนความอยากลงไปในต้นไม้ว่าศิษย์อยากมีดอก ศิษย์อยากมีผล ศิษย์อยากสูงใหญ่ใช่ไหม (ใช่)  พอพยายามจะมีดอก แต่มีดอกไม่ได้ หรือมีดอกแล้วมีปัญหาเจ็บไหม  (เจ็บ)  พยายามจะมีผล มีผลไม่ได้เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วเพิ่มเจ็บกี่เจ็บ เจ็บกับดอก เจ็บกับผล แล้วเจ็บกับความเป็นตัวตนธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรายึดมันทุกอย่างพอยึดเสร็จแล้วเราก็อยาก อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ ต้นไม้มันก็ต้องออกดอก ออกกิ่ง ออกใบ พอโดนดูถูกหน่อยศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมายืนถือดอกไม้ในมือในมือหนึ่ง และถือสับปะรดอีกมือหนึ่ง)
เหมือนกันชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้ แต่มนุษย์ไม่เคยพอ เมื่อเรายึดต้นไม้เราก็พยายามสร้างสิ่งต่างๆ ตามความอยาก เช่นอยากได้ดีก็พยายามมีผลไม้ อยากได้ดีก็พยายามมีดอกไม้ ใช่ไหม (ใช่)  เราเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)  เรามีความทุกข์ตามความเป็นจริงของสัจธรรมคือ แก่ เจ็บ ตาย แต่เรายังไม่พอศิษย์ยังอยากอีก ทำให้ตัวเองโดดเด่น สวยเลอเลิศ แต่พอโดนคนดูถูกเหยียดหยามเจ็บไหม (เจ็บ)  แต่ผู้ชายไม่แค่นั้น ต้องมียศฐา ต้องมีบรรดาศักดิ์ ต้องมีผลพวง ต้องมีผลประโยชน์ แล้วผลพวงมันเกิดปัญหา  เกิดทุกข์เจ็บไหม (เจ็บ)  ศิษย์เจ็บไม่พอหรือ มีเจ็บตามความเป็นจริงของสังขาร เรายังหาเรื่องเจ็บอย่างโน้นเจ็บอย่างนี้อีกใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าถ้าศิษย์ตายไปทั้งที่ศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเหตุของความอยากได้ เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้นี้ก็จะรอเหตุปัจจัยเพื่อเติบโตอีกในภพภูมิต่อไป แต่ถ้าเมื่อไรเราหยุด แล้วมีชีวิตอยู่ตามความเป็นจริง ได้แค่ไหนแค่นั้น ไม่อยาก เราเจ็บแค่อย่างเดียวคือตามสังขารแต่ไม่เจ็บปวดจิตใจ ไม่ยากนะ อาจารย์พยายามเทียบให้ง่ายที่สุดแล้วจริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์เคยหยุดได้บ้างไหม แล้วเรายังต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ศิษย์ ความทุกข์มันสอนให้เราอย่าเผลอยึดมัน มันทุกข์แล้วยึดทำไม ใช่ไหม (ใช่)  มีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครหลงว่าสุขมันคือสุขที่จริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้ ไม่มีสุขจริง คนที่ติดอยู่ในสุขนั่นคือคนที่ไม่มองความจริงอย่างถึงที่สุด รู้แล้วไม่ถึงที่สุดก็เรียกว่าไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้อย่างไม่เข้าใจก็เหมือนคนไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ไม่โลภใช่ไหม (ถ้าเราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง จะไม่ทุกข์)  อาจารย์ให้ทั้งสับปะรดและดอกไม้เอาไหม (ถ้าอาจารย์เต็มใจให้ ลูกศิษย์ก็รับ)  อาจารย์เห็นมานักต่อนักแล้ว ที่พูดมานี่พอถึงเวลาก็เอา ใช่ไหม ศิษย์เอย ถ้าศิษย์รู้ว่าทำถึงที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่แหละโลภ โกรธ หลง มันก็ครอบงำใจไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วความทุกข์มันจะมาครอบงำใจศิษย์ไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ทุกข์มันทำให้เราจำแล้วอย่าทุกข์กับมัน เหมือนที่อาจารย์ชอบพูดว่าถ้าความทุกข์เป็นสับปะรด เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ถ้าความทุกข์เป็นดอกไม้ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  อาจารย์ให้ เอาไม่เอา (ถ้าคิดว่าเป็นทุกข์ไม่เอา)  ศิษย์เอย ศิษย์เคยได้ยินไหม คนฉลาดแปรทุกข์เป็นทางพ้นทุกข์ และแปรทุกข์เป็นหนทางพบความสงบที่แท้จริง ทุกข์หรือสุขมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่มันอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ากลัวคนอื่นแต่จงกลัวใจตัวเองว่า มีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ในโลกนี้ไม่ใช่มีหรือไร้หรอกที่สุขหรือทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรารู้สึกกับสิ่งที่มีและไร้อย่างไร
คนเราถ้ารู้จักดำเนินชีวิตได้ดีก็เท่ากับช่วยผู้อื่นครึ่งหนึ่ง ถ้าคนเรารู้จักมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข แต่ถ้าตัวเรามีทุกข์ เราก็ทำคนอื่นมีทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทุกข์สุขไม่น่ากลัวที่คำพูด แต่ทุกข์สุขอยู่ที่เรามีและจัดการมันอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้นักเรียน)
แค่ต้องถือเยอะขนาดนี้ก็ทุกข์แล้วจริงไหม ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดทำอย่างไร แก้ทุกข์ได้ทันทีเลย (วางครับ)  วางไม่สู้กับทำให้ก่อเกิดบุญให้มากที่สุด ถ้ารู้ว่าสังขารมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางมันไม่มีประโยชน์ สู้เอาสังขารที่ทุกข์นั้น ไปสร้างบุญที่เรียกว่าคุณธรรมแห่งผู้ประเสริฐ วางไว้มันไม่มีประโยชน์ ต้องทำอย่างไร (ให้คนอื่นครับ)  ไปเลย จะได้ไม่ต้องถือ อาจารย์ให้ปฏิบัติทันทีเลย ใช่ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ทำอย่างไรล่ะ เราก็ต้องจัดการมันให้เกิดประโยชน์สูงสูด ใช่หรือไม่ แปรเปลี่ยนคุณธรรม แปรเปลี่ยนเป็นอะไรที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์กับมันอีกต่อไป ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่รู้จักเข้าใจในความทุกข์ ศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าใช่ไหม พระพุทธเจ้าเอาทุกข์มาทำให้กลายเป็นพระพุทธะ แล้วศิษย์ล่ะ ทำไมไม่เอาทุกข์เป็นบันไดก้าวสู่ความเป็นพุทธะเล่า จริงไหม (จริง)  ทำไมเอาแต่ทุกข์แล้วก็จมในทุกข์ แล้วก็เกลียดทุกข์ ทำไมไม่แปรเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นหนทางพ้นทุกข์ จริงไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”)
คนจะทำดีได้ถึงที่สุด ถ้าไม่ขาดมโนธรรมสำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่ครับ)  รู้ผิดชอบชั่วดี มีจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ถ้ารู้ผิดชอบชั่วดีมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องอยู่เสมอว่าเราต้องใฝ่ดี มีมโนธรรมสำนึกรู้ผิดรู้ชอบตลอด เราต้องปฏิบัติเป็นคนดี การจะก้าวพลาดก็เป็นเรื่องยาก จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ามีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกดีไหม (ดี)
“รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ      เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง  แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง   ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย         ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง”
อย่ารู้ดีแต่ไม่ยอมทำนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการใกล้เกลือกินด่าง ถูกไหม (ถูก)  เป็นคนนั้นดีทุกอย่างแต่ต่างคนต่างอยู่มันไม่ดี บางทีเราต้องรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใช่ไหม (ใช่)  จำคำอาจารย์ไว้นะศิษย์เอย ย้อนมองแก้ไขตัวเองเป็นยารักษาใจ พยายามมองหาความดีของผู้อื่นเป็นยาปรับอารมณ์เรา ให้ไม่โมโห ไม่ให้เกลียด ไม่ให้ก่อกรรม ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม เพื่อจะได้นำพาชีวิตตัวเองไม่ทุกข์แล้วทุกข์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  ตัวเองปฏิบัติได้ดีก็เท่ากับได้ช่วยคนอื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เมื่อตัวเองมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรเรายังมีทุกข์ เราก็ทำให้คนอื่นเขาทุกข์ด้วย จริงหรือไหม (จริง)
ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติ ชีวิตนี้อย่าจมอยู่กับความอยากแล้วสร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น จงมีสติยั้งคิดก่อนจะอยาก ว่าอยากไปแล้วมันก่อให้เกิดกรรม เพิ่มทุกข์เพิ่มการเวียนว่ายไหม ถ้ามันเพิ่มทุกข์เพิ่มเวียนว่าย หยุดก่อนอยากด้วยการทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันนี้ทำได้ดีแล้ว วันข้างหน้าไม่เป็นไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะห่วงแต่วันข้างหน้าจนลืมทำวันนี้ดีหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  พุทธะสอนว่ามีแค่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่ต้องกลัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนนะศิษย์ มุ่งมั่นทำในสิ่งถูกต้อง มุ่งมั่นรักษาความดีงามจนตราบลมหายใจสุดท้าย อย่าเอาความโกรธ ความเกลียด ความโลภ มาเกี่ยวกรรมแล้วสร้างวัฏฏะแห่งทุกข์ไม่จบสิ้น จงเป็นผู้ที่ใจกว้าง อภัย ใจเย็น สงบ มีสติ ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ไม่ตกเป็นทาสของบุหรี่ อบายมุข หวย ไม่เอานะศิษย์ ใช่ไหม โชคลาภมันอยู่ที่ตัวเราแปรเปลี่ยนความคิดได้ สิ่งที่เลวร้ายก็กลายเป็นโชควาสนา ใช่หรือไม่ อาจารย์บอกวิธีไปหมดแล้ว จริงไหม ตอนนี้เหลือแต่ศิษย์อย่ามัวแต่ก้มหน้า แต่เงยหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
เลือกทางสว่าง อย่าเลือกทางมืด เมื่อไหร่ที่โดนกระทบ จำไว้ว่าจะเกี่ยวกรรมหรือจบเวรจบกรรม หรือไม่มีอะไร ว่างเปล่า อาจารย์สอนศิษย์นะ ถ้าโกรธก็เกี่ยวกรรม ถ้าคิดแค่เพียงดี ละลายหนี้กรรม มันก็ยังมีตัวตนให้ต้องทุกข์ แต่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ มันเกิดแล้วมันก็จบไปแล้ว แต่ที่ไม่จบคือใจที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วบังเกิดทุกข์ ถ้าไม่จบก็เกี่ยวกรรมกันต่อไป ถ้าไม่จบมันก็กลายเป็นไฟเผาลนใจ ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบจงจำคำพูดอาจารย์ไว้ จะเกี่ยวกรรม จะจบกรรมหรือไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็คือเข้าถึงความว่าง ไร้ตัวตนให้ยึดถือ นั่นแหละเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ แต่ศิษย์จงให้โอกาสตัวเองกลับมาผูกบุญกับอาจารย์บ้างนะ ดีไหม (ดี)  ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจ ธรรมะช่วยย้ำเตือนใจไม่ให้เราโลภ โกรธ หลงและเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ไม่จบสิ้น จงตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริง อย่าทุกข์กับโลกใบนี้แต่จงรู้จักแปรทุกข์ให้เป็นหนทางพ้นทุกข์ ได้ไหมศิษย์เอย อาจารย์ไปแล้วนะ ไม่อยากจากแต่ก็ต้องจาก มีโอกาสกลับมาอีกนะ
เข้มแข็งนะ อะไรจะเกิดก็ขอให้สู้นะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ นำธรรมะมาเยียวยาใจให้ใจมีหนทางที่สว่างและหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของอบายมุข ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์นะศิษย์เอย ได้ไหม (ได้)  เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ความทุกข์อยู่ที่ใด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”
    รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ                               เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง                              แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง                               ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย                            ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา