วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-18 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十一日        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง 
  ความคิดผิดทำคนจมห้วงแห่งทุกข์        ความคิดถูกนำคนสุขได้ฉันนั้น
เมื่อพ้นจากความคิดทั้งสองด้าน              คือหนทางบริสุทธิ์อันแท้จริง
      
      เราคือ
  ต้าเซี่ยวฝอถง                                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่าน หายง่วงไหม
  จิตคนตื่นไม่ใจดำทำเรื่องแย่                 ลืมตาแต่ว่าตื่นรู้ในจิตไหม
คนมีเรื่องเรื่องเอาตัวเองเป็นใหญ่            จะพูดผิดถูกก็ได้อยู่ที่เจตนา
ยอมจบไม่ไปมองจับผิดฝังจำ                 การบำเพ็ญธรรมย้อนตนแบบซึ่งซึ่งหน้า
เมื่อไม่สิ้นกรรมเวรโดนบ่นโดนว่า            ธรรมเป็นอาจิณเมื่อมีมาก็มีไป
คนกลับดินผืนแห่งจิตคืนกลับฟ้า             ข้างหน้าเหลือแต่บาปกรรมการเวียนว่าย
สติบังเกิดดั่งประกายแสงรู้ตื่นกว้างไกล    แค่รู้สำนึกไฟดับได้ในใจตน
บอกให้ปล่อยอย่าไปยึดถือยึดมั่น           คุณค่าไร้ต้องตั้งมั่นหมั่นฝึกฝน
เหมือนดั่งฝุ่นจักเป็นดินต้องเปี่ยมล้น        ทั่งหมั่นฝนคอยไม่มีโชคใดใด
                                                                                             ฮิ  ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง 
       “ความคิดผิดทำคนจมห้วงแห่งทุกข์     ความคิดถูกนำคนสุขได้ฉันนั้น
        เมื่อพ้นจากความคิดทั้งสองด้าน       คือหนทางบริสุทธิ์อันแท้จริง”
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า “หินหนักเมื่อคิดจะแบกฉันใด ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดที่ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าเรายังปล่อยวางไม่ได้มันก็หนัก
ฉันนั้น” ถ้าเรายึดกับความคิดอยู่ เรานั่งตรงนี้เราก็จะหนักเราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราบอกว่า “อืม ช่างมันอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”  เราฟังธรรมเพื่อเบาบาง เพื่อทำให้เกิดความสบายใจ ไม่ทุกข์ใจไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยิ่งฟังยิ่งทุกข์ ตกลงท่านกำลังฟังธรรมหรือท่านกำลังจมกับความคิดตัวเอง (กำลังฟังธรรม)  เพื่อเบาบางใช่ไหม เพื่อโปร่งโล่งสบายใช่ไหม แต่รู้สึกว่ายิ่งฟังทำไมยิ่งหนัก

ฉะนั้นเรามาฟังธรรมเพื่อจางคลายความยึดมั่นถือมั่น เพื่อรู้จักละรู้จักปลดปลงและปล่อยวางบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาฟังธรรมเพื่อกลับไปเป็นตัวเองเหมือนเดิมที่ไม่เคยฟังใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ธรรมะเคยสอนไว้ไม่ใช่หรือว่าให้เรารู้จักรักษาความเป็นกลาง ใช่ไหม (ใช่)  เอียงเข้าข้างตัวเองก็หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอียงเข้าข้างด่าผู้อื่นก็หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องอยู่ตรงกลาง อะไรจะเกิดก็ดี ใช่ไหม (ใช่) 
ทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่ใฝ่ปฏิบัติดี ประพฤติดีให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) และทุกท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการศึกษาเรื่องหลักธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นนั้นเรามาขอเรียนรู้ศึกษาหลักธรรมร่วมกับท่านได้หรือไม่ หลักธรรมที่ไม่ได้แบ่งแยกพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นธรรมอย่างเดียว หากพูดถึงธรรมแล้วเป็นกลางไม่มีการแบ่งแยก ไม่ว่าศาสนาไหน ธรรมนั้นก็สามารถเอาไปประพฤติปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เรามาศึกษากันวันนี้คือหลักธรรมในการดำเนินชีวิต  ในการประพฤติปฏิบัติในการเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ศึกษาแล้วเอาไปปฏิบัติเพื่อหาทางพ้นทุกข์โดยที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือลัทธิใด คือหลักธรรมอันเป็นกลางไม่เป็นของใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราขอถามสักข้อสองข้อ ว่า ธรรมะสอนให้เราหลงหรือเปล่า (ไม่)  แล้วทำไมเราถึงบอกว่า “วัดนั้นมีพระดี มีหลวงพ่อชื่อดัง ขอไปไหว้วัดนั้น  แต่วัดนี้ไม่มีชื่อ ไม่มีอะไรดัง เราไม่ไปไหว้ไม่ไปปฏิบัติธรรม” ตกลงธรรมสอนให้เราหลง ให้เรายึด หรือสอนให้เราไม่หลงยึด  (ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด)  เราไปไหว้พระเพื่อนำธรรมมาปฏิบัติ หรือไปไหว้เพราะ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง “ก็แหมท่านดังขนาดนี้ก็ต้องไปไหว้เป็นอาจารย์หน่อย” ใช่ไหม ใครที่ไม่ดังก็ไม่ต้องไหว้เป็นอาจารย์ ใช่ไหม (ไม่ใช่) 

ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่สนใจใคร่ศึกษาปฏิบัติ ทำให้ถูกต้อง อย่างนั้นเราใคร่ขอถามหน่อยว่า ธรรมสอนให้เราหลงหรือไม่หลง (ไม่หลง)  ถ้าอย่างนั้นถ้าไปไหว้แล้วหลง  เรากำลังปฏิบัติถูกทางหรือผิดทาง (ผิดทาง)  ธรรมสอนให้เราคลายความยึดมั่นหรือหลงยึดมั่นถือมั่น เวลาที่เราไปไหว้พระ เราไหว้แล้วขอหรือไม่ (ขอ)  แล้วตกลงเราไปไหว้พระหรือปฏิบัติธรรมเพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่ลุ่มหลงหรือไปลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่น ถ้าท่านคือคนหนึ่งที่สนใจในการศึกษาหลักธรรม ท่านคือคนหนึ่งที่สนใจศึกษาในการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด  ธรรมสอนให้ละหรือธรรมสอนให้ยึด  ธรรมสอนให้หลงหรือ ธรรมสอนให้เราปล่อยวางและปลดปลง (ปล่อยวาง)  อย่างนั้นตอนนี้เราหลงหรือเรายึด ใช่ไหม ท่านพูดว่า “ ที่ที่จะไปปฏิบัติ ไปไหว้ไม่เห็นมีชื่อเสียงเลย ไม่เห็นมีอะไรศักดิ์สิทธิ์เลย ไม่ไปไหว้แล้ว”  ตกลงเราศึกษาปฏิบัติดีหรือเรากำลังศึกษาปฏิบัติเพื่อหลงยึดถือ ถูกไหม อย่างนั้นเราถามหน่อยนะว่า เราเป็นคนหนึ่งที่รักการปฏิบัติธรรม รักการปฏิบัติดี เวลาเจอคนที่ปฏิบัติไม่ดี เราจะด่าเขาหรือไม่  จะแช่งหรือจะโกรธเขาหรือไม่ ไม่โกรธ ใช่ไหม อย่างนั้นเราขอถามผู้ที่ใคร่ศึกษาปฏิบัติธรรมแล้วมุ่งที่จะปฏิบัติดีหน่อย ว่า เมื่อเวลาตัวเองปฏิบัติดีแล้วเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะด่าเขาหรือไม่ จะโกรธหรือจะบ่นเขาหรือไม่  ถ้าเรามุ่งปฏิบัติดี เราจะสนใจคนอื่นทำไม อย่างนั้นถามหน่อย คนที่ปฏิบัติดี เวลาโดนคนอื่นว่า ว่าไม่ดี โกรธไหม (ไม่โกรธ)  น้อยใจหรือไม่ (ไม่น้อยใจ)  เลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)
ถ้าเช่นนั้นคนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะเป็นแบบนี้ไหม “ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีให้กับฉัน ใครไม่ดีไม่ได้เรื่อง บอกว่าแกมันไม่ดี” ใช่ไหม  คนที่ใฝ่ดีปฏิบัติดีมักจะติดอยู่อย่างหนึ่งว่าทุกคนมีหน้าที่ต้องทำดีกับฉัน ถ้าใครทำไม่ดี คนนั้นก็ผิด คนนั้นเลว ใช่ไหม นี่คือผู้ปฏิบัติธรรมที่ใฝ่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่เราเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เราพูดว่าเราปฏิบัติดี เราชอบสิ่งที่ดี แต่พอเรายึดสิ่งที่ดีมากเกินไป แล้วเราไปต่อว่าคนอื่น นั่นใช่หนทางของการปฏิบัติที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ท่านนับถือพระพุทธเจ้าไหม เวลาโดนพระเทวทัตว่ากล่าว หรือโดนคนใส่ร้ายพระพุทธเจ้าเคยย้อนด่ากลับไหม (ไม่เคย)  แล้วพระพุทธเจ้าเคยแช่งชักหักกระดูกเขาไหม (ไม่เคย)  แล้วพระพุทธเจ้าเคยเคียดแค้นชิงชังเขาไหม (ไม่เคย)  พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า “พวกเธอต้องดีกับฉัน” ไหม (ไม่เคย)  อย่างนั้นท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม ท่านทำเหมือนกันไหม
ใครๆ ก็อยากทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องไม่หลงทาง ท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า หลักธรรมโดยทั่วไปไม่เคยสอนให้คนหลง แต่มนุษย์มักจะหลงกับการปฏิบัติธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  หลักธรรมโดยทั่วไปไม่สอนให้มนุษย์ยึดติดแบ่งแยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยกและยึดติด (ถูกหรือไม่)  แปลว่าหลักธรรมสอนให้เราเข้าใจชีวิต มองตามความเป็นจริง  และเรียนรู้ที่จะนำมาศึกษาและปฏิบัติดี จุดประสงค์ใหญ่ในการที่เราศึกษาธรรม หนึ่งก็คือเพื่อไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เพื่อจะได้ไม่ต้องทุกข์บนโลกใบนี้ เพื่อสามารถพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นที่เราทำดีก็เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำดีเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าทำแล้ว ตรวจสอบแล้ว ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติถูกต้องต่อผู้คน ถึงเวลาผลจะเป็นอย่างไรไม่ต้องทุกข์  แต่ถ้าทำแล้วศีลก็ยังขาด ธรรมก็ยังปฏิบัติไม่ชอบ มองฟ้าก็ไม่เต็มตา มองดินก็ละอายใจ อย่างนี้แปลว่ายังปฏิบัติไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าปฏิบัติดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ ดำรงตนแห่งความเป็นคนได้ถูกต้อง มีความซื่อตรง มีมโนธรรม มีจริยธรรม ทำได้ดีแล้วถึงที่สุดเราก็ต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าคลายจางไม่ยึดถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราทำดีแล้วต้องหวังคนชมว่าดีไหม  เมื่อเราทำดีหวังผลว่าต้องได้ดีไหม (ไม่หวัง)
การปฎิบัติธรรมคือการพ้นทุกข์ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรถ้าเรายังมีกิเลสแห่งความโลภและหลง ใช่หรือไม่ เพราะถ้าทำดีแล้วหวังผลก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นทำแล้วต้องไม่ยึดถือเพราะถ้ายึดถือแปลว่าเราอยากจะมีตัวตนเพื่อกลับไปรับผลบุญแห่งการกระทำนั้นหรือพูดง่ายๆ ก็คือเราอยากกลับไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลแห่งการกระทำนั้นอีกหรือ แล้วบุญที่ทำมันพอที่จะทำให้เรากลับมารับบุญที่สมบูรณ์ไหม เราทำบุญถึงแค่ทานบารมี แล้วปัญญาเราทำถึงไหม เราทำบุญแค่ให้ทาน แต่ศีลธรรมเราครบไหม แล้วเรามั่นใจหรือว่าการทำของเราเพื่อจะกลับมารับผลบุญจะทำให้เราได้รับบุญที่ครบสมบูรณ์ ฉะนั้นท่านต้องเข้าใจหลักธรรมให้ถ่องแท้เพราะธรรมที่แท้จริงไม่ได้สอนให้คนหลง แต่คนมักหลงต่อการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่ได้สอนให้คนยึดแต่คนมักจะยึดมั่นจนปฏิบัติธรรมผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้เราคลายจางจากความยึดถือและทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์และดีที่สุด และมองให้เห็นความเป็นจริงอันเป็นความธรรมดาที่เรียกว่าธรรม แต่เรามองไม่ค่อยเห็น
ท่านเคยได้ยินสำนวนสำนวนหนึ่งไหมว่า “เมื่อพระอาทิตย์ฉายส่อง จันทราใช่จะลาลับ” หมายความว่า เมื่อเราเห็นสิ่งหนึ่งเกิด ใช่ว่าอีกสิ่งหนึ่งจะไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนดั่งคำว่า “เมื่อมีสุขก็ต้องมีทุกข์” แยกกันเป็นสองสิ่งไหม ก็ไม่แยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในบางครั้งก็อาจจะอยู่ที่เดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันที่มนุษย์ชอบพูดว่า เมื่อมีฟ้าก็ต้องมี (ดิน)  ฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่สูงก็ต้องมีสิ่งที่ (ต่ำ)  ส่วนมนุษย์นั้นอยู่ระหว่างกลางระหว่างสูงและต่ำ  ฉะนั้นถ้าเราดำรงความเป็นคนได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าสูงหรือต่ำ เราก็อยู่ได้  แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมธรรมจึงสอนให้เราเป็นกลาง ถ้าตัวเราเป็นกลาง ทุกสิ่งก็เป็นกลาง แต่ใจเราไม่เคยกลาง ใช่ไหม (ใช่)  บอกว่าเขาไม่ดี บอกว่าเขาแย่ บอกว่าเขานิสัยเสีย บอกว่าเขาเห็นแก่ตัว บอกว่าเขาเห็นแก่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเป็นธรรมอันเป็นธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมก็เข้าใจธรรมชาติของชีวิต  ฉะนั้นเมื่อมีสูงก็มีต่ำ และมีสูงก็ต้องมีสูงกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็จะเห็นสิ่งที่สูงกว่าและสิ่งที่ต่ำกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราจะรังเกียจสิ่งที่ต่ำไหม (ไม่รังเกียจ)  เพราะถ้าไม่มีต่ำก็ไม่มีสูง ถ้าไม่มีแย่อย่างเขาแล้วจะมีดีอย่างเราไหม  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ใช่เป็นไปเพื่อยึด แต่เป็นไปเพื่อคลายจางและเข้าใจความเป็นจริงจนบังเกิดธรรม  ขอเพียงท่านเปิดใจให้กว้างและกล้ายอมรับความจริงต่อชีวิตและการกระทำของตน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลองย้อนมองดู ไม่มีใครร้าย ไม่มีใครน่ารังเกียจและไม่มีใครน่ารักเกินไป แต่คนที่ร้ายและคนที่น่ารังเกียจ และคนที่น่ารักคือตัวเราที่หาเหาใส่หัวทั้งนั้นเลย ถ้าความคิดมันบริสุทธิ์ทุกคนก็ดีหมด  แต่ถ้าความคิดมันคอยจับผิดมองแง่ดีแง่ร้ายทุกคนก็มีข้อให้ตำหนิหมด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเปิดใจกว้างและกล้ายอมรับความเป็นจริงต่อชีวิตและการกระทำของตน และพร้อมจะมองตัวเองก่อนที่จะไปว่าใคร เราจะเข้าใจว่าไม่มีใครน่ารังเกียจเพราะตัวเราก็เคยน่ารังเกียจมาก่อน ไม่มีใครร้ายเพราะตัวเราก็เคยร้ายมาก่อนและไม่มีวันที่เราจะทำใครเจ็บเพราะเราเคยเจ็บมาก่อน เราเคยเจ็บต่อการดูถูกยังไง เราเคยเจ็บต่อการอกหักยังไง เราก็จะไม่หักอกใคร ใช่ไหม เราเคยเจ็บปวดต่อการที่ถูกคนข่มเหงเอาเปรียบ เอาแต่ใจ เอาแต่ได้ อย่างไรเราก็จะไม่เอาเปรียบ เอาแต่ใจ เอาแต่ได้กับใคร ใช่ไหม และถ้าเราเข้าใจอีกก้าวหนึ่งว่าการที่เราพยายามรักษาความดีของเรามากแค่ไหน ก็เป็นการที่ทำให้เรารู้ว่า คนที่ตรงข้ามกับความคิดเราคือคนเลว ใช่ไหม (ไม่ใช่) 
การที่พยายามยึดว่าเราเป็นคนดีมากแค่ไหนก็เท่ากับว่าเรากำลังสร้างคนไม่ดี มากเท่านั้น ใช่ไหม “ก็หนูอยากเป็นคนดี หนูอยากทำดี ก็หนูหวังดี” แต่เชื่อไหมว่าความดีที่ท่านมีอยู่ ยิ่งมากเท่าไรมันก็ยิ่งปรากฏให้คนอื่นกลายเป็นคนไม่ดีโดยที่ตัวท่านเป็นคนตัดสิน ในเมื่อไม่ชอบให้ใครมาตัดสินแล้วใยท่านจึงตัดสินผู้คนด้วยความคิดเข้าข้างตน  ฉะนั้นยิ่งถ้าท่านศึกษาธรรมมากเท่าไร ยิ่งถ้าท่านเข้าใจหลักธรรมมากเท่าไร ท่านเชื่อไหมว่าท่านจะสิ้นกิเลสโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลยแค่ “เข้าใจ”  แล้วท่านจะไม่ทุกข์กับใครเลยเพราะท่านเข้าใจ  เข้าใจในธรรมแห่งความเป็นจริงทั้งปวง
ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) ไม่ยากเลย แค่เข้าใจธรรม แล้วธรรมที่เราพูดถึงนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ในหนังสือ อยู่ในคนพูด อยู่ในพระไตรปิฏก ในคัมภีร์ หรืออยู่ที่ใจเรา (ใจเรา) แล้วใจแบบไหนที่ทำให้เราพบธรรม ต้องทำใจแบบไหนถึงจะเข้าถึงธรรม  มีใครตอบได้หรือไม่ (ทำจิตใจให้เป็นกลาง, ทำตัวเหมือนน้ำ) ทำตัวเหมือนน้ำที่ไหลไปได้ทุกที่  (ทำใจเป็นกลางไม่ยึดติดไม่หวังผลตอบแทน)  มีใครจะตอบอีกหรือไม่ (ทำใจให้ว่างเปล่า, ทำความเข้าใจแล้วปล่อยวาง) ตอบได้ดี
ใครตอบเราจะให้รางวัลเป็นซาลาเปา (เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้เป็นธรรมชาติ)  ทำใจให้สบายๆ เปิดใจให้กว้าง บางคนเปิดได้ แต่ยากจะยอมรับความจริงใช่หรือไม่ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นธรรมได้ เพราะหัวใจมนุษย์มักจะยึดติดมั่นหมาย รู้ว่าต้องทำใจเป็นกลาง แต่ใจลึกๆ ก็รู้สึกยึดติดว่าการฟังธรรมต้องฟังพระเทศน์เท่านั้น แต่เด็กคนนี้พูดดูไม่ค่อยน่าฟัง ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนะ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) บางครั้งที่เราไม่สามารถมองเห็นหรือวางใจเป็นกลางได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีความยึดติดมั่นหมาย มีความจำได้หมายรู้ในใจ และรู้สึกว่าที่ตัวเองรู้นั้นถูกต้องและใช่เสมอ ฉะนั้นเมื่อมีใครมาพูดตรงข้ามสิ่งที่ตัวเองมั่นหมาย เราจะรู้สึกว่าไม่ใช่  แล้วธรรมจริงๆ สอนอะไร   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นหญิงสาว ออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนเรามองอะไรสักอย่างหนึ่ง ท่านมองเห็นธรรมหรือไม่ (ไม่เห็น) ไม่เห็นธรรมเลยหรือ อย่างนั้นเรารบกวนท่านอีกคนหนึ่งมายืนใกล้ๆ กัน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่สูงวัยอีกคนออกมายืนหน้าชั้น) ตอนแรกท่านมองคนแรกแล้วไม่เห็นธรรม แต่พอหันมามองท่านนี้ท่านเห็นธรรมหรือไม่ (เห็นธรรม) ท่านเห็นธรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าแม้อาทิตย์จะฉายแสง ก็ใช่ว่าจันทราจะลาลับหาย แต่มนุษย์มักจะไม่ค่อยเห็นธรรมหรือเห็นความเป็นจริงในชีวิตจนกว่าตัวเองจะทุกข์จนถึงที่สุด จนกว่าตัวเองจะแย่จนถึงที่สุด จนกว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงและร่วงโรยจนถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า รอจนวัยชราแล้วค่อยเข้าใจธรรมถามว่าทำใจทันไหม อย่างนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้ว่าการเรียนรู้หลักธรรม อย่ามองคนเป็นคน แต่จงมองคนให้เห็นซึ่งธรรมและทุกที่เราก็จะปฏิบัติธรรม แต่เรานั้นไม่ใช่ เรานั้นเห็นคนเป็นแค่คน ชีวิตก็เลยวกวนและคนไม่จบสิ้น เห็นแค่คนเป็นความชอบ ความชัง ความยึดติดในความคิดเราก็เวียนวนในอัตตาตัวตนและสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากไม่จบสิ้น ถ้าเมื่อไรเราเห็นคนเป็นธรรม เห็นคนคือธรรมเราก็จะได้ปฏิบัติธรรมกับธรรม และเราก็จะได้พบธรรมโดยไม่ต้องรอไปวัด จริงหรือไม่
เราจะเห็นธรรมในคนได้อย่างไร เราถามท่านว่าพระอาทิตย์ฉายแสงใช่ว่าจันทราจะลาลับ ในความเต่งตึงไม่มีความเหี่ยวย่นหรือ ถ้าเราบอกว่าใครจะแต่งงานกับเขาต้องเอาคนแก่ไปด้วยอีกคนจะเอาหรือไม่  เป็นความจริงว่ามีใครที่สวยแล้วไม่สวย มีใครสวยแล้วไม่แก่  มีใครดีแล้วไม่ร้าย  มีใครน่ารักแล้วไม่น่ารังเกียจ (ไม่มี)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เรามองเห็นความจริงที่เป็นธรรม ธรรมอันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายนี้ และอยู่ในใจนี้ ถึงเวลาเราเกลียดเขาหรือไม่ เราก็เคยทำตัวน่ารังเกียจใช่หรือไม่  ถึงเวลาเราชอบเขาหรือไม่ เพราะเราก็เคยทำตัวน่ารัก  แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงเราก็จะไม่รักใครมาก ไม่ชอบใครมาก ไม่เกลียดจนกลายเป็นความโกรธที่ดับไฟสุมทรวงไม่ลง  ไม่รักจนกลายเป็นความหลง เพราะเรามองเห็นความจริงที่ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมจงมองให้เห็นธรรม อย่างมองเห็นแต่ความเป็นคน เพราะเมื่อไรพบความเป็นธรรมเราก็จะมีธรรมในตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) แต่เรามักจะพบกิเลส ความโกรธ ความโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่การกล้ายอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น จนบังเกิดเห็นธรรม ไม่ใช่เห็นนิสัยเห็นตัวตน การศึกษาหลักธรรมจึงไม่ใช่แค่มองออกหรือปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการที่จะปฏิบัติภายนอกและตรวจสอบภายในจิตใจของตัวเอง ว่าเราเข้าใจธรรมะถูกต้องเพียงใด พรุ่งนี้คงได้มาศึกษาธรรมกันต่อนะ มีโอกาสโปรดติดตามตอนต่อไปนะ ดีไหม ฟังธรรมวันเดียวไม่มีวันตื่นรู้ได้ จนกว่าที่เราจะกระแทก กระแทก จนมันทะลุเข้าไปถึงใจนะ เราจะบอกให้ท่านรู้อีกอย่างหนึ่งว่าธรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ที่การเรียนรู้และย้อนมองกลับมาสู่ภายในและมองจนเห็นว่าหัวใจเรามันไม่มีตัวตน แต่หัวใจเราคือธรรม เมื่อพบธรรมในตนก็จะพบธรรมในผู้คน เมื่อยังพบความเป็นคนก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เราอยากจะพบธรรมในตนและพบธรรมในผู้คนแล้วพ้นทุกข์หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่เราจะบอก พุทธะจึงบอกว่าอยู่ในโลกจงมองให้ บังเกิดธรรมเพราะการมองให้บังเกิดธรรมทำให้เราคลายกิเลสสิ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเรายังมองแบบยึดติดในความเป็นคน คนยังมีเปลี่ยนแปลง คนยังมีพลิกผัน คนยังมีความไม่แน่นอน แต่ไม่เหมือนการพบธรรม ทำให้เราดับทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส โดยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เข้มแข็งได้ด้วยตนไม่จำเป็นต้องยืมขาใครยืน เมื่อเราสุขได้ เราก็ทำประชาราษฎร์สุขได้ เมื่อเราพ้นทุกข์ได้เราก็ทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
  ทบทวนให้เป็นคุณโลกต้องการสุข        ไร้ดุลย์ญาณต้องทุกข์จนชอบฝันใฝ่
กายใจจิตสมบูรณ์จะไม่โลภอยากได้        ฟื้นสำนึกได้อะไรอะไรก็ดีขึ้นเอง
มีสำนึกดีก็ดีได้ศีลเป็นหลัก                    คิดเรื่องยากก็ต้องคิดแบบไม่เร่ง
คิดไม่เป็นง่ายคิดเข้าข้างตัวเอง               ใจจะได้คิดดีเองถ้าคิดบวก
      
      เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคน คิดถึงกันไหม
       บางทีก็เรื่องเดิม  เหตุการณ์ก็เหมือนเดิม  อารมณ์ก็เดิมเดิม  คนเดิมไม่เคยไปไหน  ในความกลุ้มหนักหนาเหมือนไม่ได้หายใจ  ความจริงที่เข้าใจไม่ชี้ให้รอดปม
       *วังวนเรื่องนั้นนั้น   ต้องทำใจแก้ไข   ความโลภหลงรักตักตวงไปตั้งเท่าไหร่   แค่วันละหน่อย แค่วันละหน่อย  ไม่มัวแต่คอย แก้ได้แก้ไป
       **แค่รู้เท่านั้นไม่ได้ฝึกตัวเอง  บางเรื่องก็ยังปิดไว้  แค่รู้เท่านั้นไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ  ง่ายเลยไม่เคยง่ายดาย  แค่คิดเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำ  ศิษย์ทำให้สายไป  เรื่องบางที
ที่ใช้เพื่อบำเพ็ญ 
       ยากที่ทำไม่รู้  หยุดใจก็ไม่เป็น  ไม่เย็นก็ต้องเย็น  ถ้าตั้งใจจะดีขึ้นเอง
ทำนองเพลง   แค่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว
ชื่อเพลง   เรื่องเดิมที่ไม่เหมือนเดิม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
วันนี้อาจารย์มีเรื่องคุยกันนิดหน่อยก่อนที่จะมารู้จักกัน ดีไหม (ดี)  ศิษย์เกิดเป็นคน เรายกตัวเองได้ไหม ชมตัวเองได้ไหม  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่าในโลกนี้เรายกใครก็ยกได้แต่ยกตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอย ถ้ายกตัวเองเขาเรียกว่าหลงตัวเอง ฉะนั้นไม่ต้องให้ตัวเองพูด ให้คนอื่นพูดเขาเรียกว่าสรรเสริญ แต่ถ้าตัวเองชมตัวเองเขาเรียกว่าบ้ายอ หลงตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเชื่ออาจารย์นะ เกิดเป็นคนศิษย์ไม่ต้องชมตัวเอง ให้คนอื่นเขาชมดีกว่า ให้คนอื่นเขาพูด ให้เขาเห็นคุณค่าเรา เรียกว่าสรรเสริญ
ถ้าชมตัวเองเขาเรียกว่า “ยกตนข่มท่าน” คุณค่ามันต่างกันเลยนะ จริงไหม

สมมติว่าถ้าเราเห็นคนอื่นไม่ดี เราควรว่าเขาไหม (ไม่ควร)  ควรนินทาเขาไหม (ไม่ควร)  ควรพูดถึงเขาไหม (ไม่ควร)  ถ้าตัวเราเองไม่ดีล่ะ ควรพูดออกมาไหม หรือเก็บไว้ (ควรพูด)  อาจารย์จะบอกนะว่าเรื่องคล้ายๆ กันแต่ว่าการกระทำไม่เหมือนกันจะให้คุณค่าต่างกัน ศิษย์รู้ไหมอาจารย์จะเตือนให้ฟัง เรื่องไม่ดีของตัวเอง เรากล้าพูด เรากล้าเปิดเผย เขาเรียกว่าคนๆ นั้นมีจิตสำนึกดี รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักถูกต้องชอบธรรม เพราะตัวเองยังกล้าว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเรามักจะกลับกัน ชมตัวเองแต่ไม่กล้าว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราพูดเรื่องคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกแล้งน้ำใจ มีนิสัยอันธพาลชอบจับผิด ชอบมองแง่ร้าย “กับฉันเธอยังนินทาคนอื่นให้ฉันฟังเลย แล้วเดี๋ยวไปกับคนอื่นเธอจะเอาเรื่องฉันไปนินทาให้คนอื่นฟังหรือเปล่า” ถ้าจะพูดอะไรไม่ต้องชมตัวเอง กล้าติตัวเองแล้วคนอื่นเขาจะให้เกียรติ ถูกหรือไม่ อย่าเผลอเอาความไม่ดีของคนอื่นมาพูดเพราะไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราใจดำ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา เขาแพ้แล้วเขาผิดแล้วยังเหยียบย่ำซ้ำเติม ถูกไหม (ไม่ถูก) 
เมื่อทำดีแล้วต้องงำประกายไม่สำแดงเด่น เพราะถ้าอวดสำแดงเด่นสักวันจะเป็นภัย เหมือนคนอวดตัวว่าเก่ง อันตรายแน่ๆ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าไปอวดตัว ไม่อวดว่าตัวเองฉลาด จะมีใครมาชี้หน้าด่าว่า “ไอ้โง่” ไม่อวดตัวว่าร่ำรวย ใครจะชี้หน้าด่าเราว่า “ไอ้ขี้เหนียว”
คนในสมัยโบราณ ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับการดำเนินชีวิตมากเท่าไรใช่ไหม มีแค่ไหนก็กินแค่นั้น ทำแค่ไหนก็ได้แค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูเป็นชีวิตที่สงบเงียบเรียบง่ายแล้วก็สบายไม่เร่งรีบไม่รีบร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งของคนโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราไม่รักชีวิตมากมายเมื่อความตายมาถึงเราก็ไม่เกลียดกลัว เราก็ไม่ดิ้นทุรนทุราย” เกิดมาอย่างไรเราก็ตายไป เมื่อไม่รักมาก ถึงเวลาจะจากก็จากได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
คนโบราณยังกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อไรที่เราไม่หลงชื่นชมในสังขารตัวเองมาก การอยู่ก็ไม่วุ่นวาย การจากไปก็สงบเรียบง่าย”

“คนโบราณเมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากไหนก็ดำเนินชีวิตแบบไม่ต้องพยายามไปสิ้นสุด ที่ใด” เมื่อไม่รักชีวิตก็ไม่เกลียดกลัวการไร้ชีวิต เมื่อไม่ชื่นชมในสังขารมากมายก็ไม่วุ่นวายและสามารถสงบเมื่อจากไป เมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากไหน ที่เดิมตัวเองคือที่ใด ก็ไม่พยายามดำรงชีวิตอยู่เพื่อค้นหาว่าตัวเองต้องไปไหน เข้าใจไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่ แต่ศิษย์อาจารย์ไม่ใช่ รักตัวเองมากก็กลัวตายมาก ชื่นชมลุ่มหลงในสังขารตัวเองมากก็วุ่นวายและสงบได้ยาก ถามว่าตัวเองมาจากไหนและตัวเองจะไปที่ใดก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ  คนที่รักตัวเองมากกลัวตัวเองตายเหลือเกิน คนที่หลงตัวเองมากแล้วก็วุ่นวายสาละวนเพื่อความหลงตัวเองนี้ ถามจริงๆ นะ รู้ไหมตัวเองมาจากไหน (ไม่รู้)  ไม่รู้เลย ศิษย์จึงพยายามไปหา “ฉันจะต้องไปสวรรค์ให้ได้ ฉันจะต้องไปนิพพานให้ได้” อาจารย์จะบอกให้ว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่า ถ้าคิดดีหน่อยหนูก็มาจากฟ้าเบื้องบน ไม่เทพก็เทวดาองค์ไหน ถ้าคิดแย่หน่อย หนูก็อาจจะมาจากนรกเบื้องล่างไม่รู้ปีศาจ
ตนใดมาเข้าสิง”  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ไขความกระจ่าง ศิษย์เอย
ถ้าศิษย์ไม่ลืมว่าศิษย์มาจากไหน ศิษย์จะไม่ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อไปสิ้นสุดที่ใด อาจารย์จะตอบให้ไหมว่าศิษย์มาจากไหน

เรามาจากธรรม และเราก็กำลังกลับสู่ธรรมเรามาจากธรรม เราไม่ได้มาจากฟ้า เราไม่ได้มาจากนรก แต่เรามาจากธรรม เพื่อกลับคืนสู่ธรรม  แต่มนุษย์ลืมไป คิดว่าเราไม่ได้มาจากธรรม เรายังมีตัวมีตน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ลืมว่าจริงๆ แล้วเรามาจากธรรม ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องทำอะไรมาก สักวันเราก็ต้องกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม 
แต่ที่เรากลับคืนสู่กระแสแห่งธรรมไม่ได้ กลับสู่ความว่างเปล่าที่แท้จริงไม่ได้เพราะอะไร  เคยคิดไหม  เราคิดแต่เพียงว่าวันนี้เราจะกินอะไรแค่นั้นเอง
ใช่ไหม  สังขารศิษย์ยังห่วง แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นว่าตัวเองมีจิตญาณ แล้วศิษย์ไม่ห่วงจิตญาณของตัวเองหรือ ว่าจะไปไหน และจะกลับที่ไหน  ถ้าจะกลับบ้าน แล้วบ้านอยู่ไหน หาบ้านของตัวเองเจอหรือยัง  อาจารย์จะบอกว่า
ที่แท้จริงจิตญาณมีธรรมเป็นบ้าน
มีธรรมเป็นจิต และมีธรรมเป็นตัวตนที่แท้จริง  แต่เรามักชอบเอาตัวตนมาเกาะเกี่ยวผูกพัน แล้วบอกว่าเราไม่เห็นธรรม เห็นแต่คนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้น ตัวแบบนี้ที่เอามาบังธรรมนั้นมันมีธรรมอยู่ไหม (ไม่มี)  แล้วมันมีธรรมเป็นใจเดิมแท้ไหม (ไม่มี)  ไม่ว่าเหนือใต้ตะวันออกตะวันตก ไม่ว่ารวยจน ไม่ว่าคนภาคไหน ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าแก่ ทุกคนล้วนมีธรรมอันเป็นใจเดิมอยู่ และธรรมอันนั้นก็อยู่ในใจของเราทุกคน แต่เราไม่เคยชะแง้แลดูถึงหัวใจแห่งธรรม และไม่เคยกุมใจแห่งธรรมนั้นไว้  เราเอาแต่กุมใจว่าเราเป็นคนอย่างนี้ เรานิสัยแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราจะชั่วก็ชั่วอย่างนี้ จะดีก็ดีได้แค่นี้  เราจึงไม่เคยมองเห็นธรรมที่แท้จริงที่อยู่ข้างใน ที่คอยย้ำเตือนว่า เราแก่แล้ว ทุกข์แล้ว เจ็บแล้ว ตายแล้ว แล้วเราจะรอให้ตัวเองเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วเราค่อยมาเข้าใจภายหลังว่า เราได้ทิ้งธรรมไปแล้วและก็ได้สร้างกรรมแห่งการเวียนว่ายและการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เอาตัวตนนี้ไปเกาะเกี่ยวกรรมไม่จบ แล้วสร้างเหตุวิบากกรรมให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  เรายังประมาท ยังหลงมัวเมา และยังยึดติด
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นใช่เวลาที่เราควรมาจะสนุกสนาน หรือเราควรจะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะหันกลับมาทำตัวเราให้พร้อมว่า ถ้าวันหนึ่งฉันต้องไป ก็จะไม่มีตัวตนให้ฉันยึดถืออีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังยึดถือก็เท่ากับว่าศิษย์ก็ยังสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ที่เรียกว่าเมื่อยังคงมีตัวตน ทำดีก็เรียกว่ากรรมดี ทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่วหรือทำดีก็เรียกว่าบุญ ทำชั่วก็เรียกว่าบาป

แต่ถ้าเกิดว่าไร้ธรรมแล้วคือธรรม เป็นอย่างไร ศิษย์เคยได้ยินคำว่า ไร้ธรรมก็คือธรรมไหม อะไรเรียกว่าไร้ธรรมก็คือธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมายืนข้างหน้า เพื่อเป็นตัวอย่าง) 
ถ้าเวลาเราถูกตีเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ตีอีกโกรธไหม (ตอนนี้ไม่โกรธ)  ถ้าตีสิบๆ ที (ต้องดูว่าตีเพราะอะไร ตีเพื่อแสดงไม่โกรธ)  ไม่มีเพื่ออะไร แค่อยากตีโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ศิษย์เอยอาจารย์จะถามว่าถ้าศิษย์ถูกตีแล้วศิษย์จะเลือกเกี่ยวกรรม ละลายหนี้กรรม หรือสิ้นเวรสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ ถ้าโกรธมันก็คือการเกาะเกี่ยวคิดร้ายสร้างบาป ถ้าไม่โกรธแล้วคิดว่า “ไม่เป็นไร ได้ละลายหนี้บาปเวรกรรม เขาตีบ้างก็ไม่เป็นไร ชาติก่อนฉันอาจจะไปตีเขามา ชาตินี้ก็เลยโดนเขาตีกลับ” นี่เรียกว่าละลายหนี้บาปเวรกรรม แต่ถ้าโดนตีแล้วยังคงมีสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือทำจิตให้สงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือความเห็นแจ่มแจ้งว่า อ๋อ ก็แค่นั้น ก็เท่านั้น”  ก็จบสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ ตั้งใจละลายหนี้อะไรใครเคยติดหนี้กรรมใครก็จบเพียงเท่านี้ ฉะนั้นเมื่อเวลาศิษย์โดนกระทบศิษย์จะเลือกเกี่ยวกรรม ละลายหนี้กรรม หรือจะเลือกอยู่ตรงกลาง วางจบสิ้นทุกข์สิ้นเวรสิ้นกรรม เพื่อจะได้สิ้นการยึดถือใดๆ อีกต่อไป แต่มนุษย์เราเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เมื่อถูกกระทบก็ด่ากลับเขา เมื่อถูกกระทบก็แช่งกลับ กระทบทีก็ชอบเขากลับ  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รับรู้ว่าธรรมะมีแค่ขณะเดียว ประเสริฐอยู่แค่ขณะเดียว ถ้าในขณะเดียวนั้นศิษย์สามารถทำแล้วแจ้งรู้ แล้วตื่น พ้นทุกข์ตลอด ขณะเดียวเท่านั้นนะศิษย์ ขณะเดียวที่ศิษย์โดนกระทบ กระทบแล้วศิษย์ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน มีแต่แค่ตอนนี้ ไม่มีเกิดไม่มีดับ ขณะที่เกิดมันจบ ไม่มีมาไม่มีไปเพราะมันจบแล้วตรงนี้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงการบำเพ็ญ ในชั่วขณะหนึ่งที่โดนอะไรกระทบก็ว่างแล้วจบ เมื่อว่างแล้วจบ แล้วจะมีกรรมอะไรให้ยึดเกี่ยว จะมีกรรมอะไรให้ยึดถือ จะมีเวรกรรมอะไรที่เราต้องไปหมุนเวียนว่ายอีก นั่นคือการจบในทันทีเลย ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าตื่นแจ้งในชั่วขณะหนึ่ง สามกาลก็ไม่มี ไม่มีคำว่ามา ไม่มีคำว่าไปและไม่มีคำว่าเริ่มเพื่อจบที่ไหน เพราะทุกขณะคือจบ แต่เราจบหรือไม่จบ ถ้าไม่จบก็ไม่มีวันสงบ  เราฟังมาจบไหม มันคั่งค้างใจนะอาจารย์ มันทำไมพูดผิดหูอย่างนี้ ไม่จบมันก็ไม่สงบใช่ไหม ไม่จบมันก็ต้องมาเคลียร์กันหน่อยแล้วใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าทุกเรื่องศิษย์ทำให้ดีที่สุด วางแล้วจบ มีอะไรต้องใช้ มันก็แค่ต้องใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างแล้วใช่ไหม เหมือนอาจารย์ตีศิษย์ จบไม่จบ (จบ)  วางไม่วาง (วาง)  วางใคร วางอาจารย์หรือวางใจ (วางใจ)  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่อยู่ที่การแก้ไขใคร แต่มันแก้ที่ใจตนเอง แล้วจบลงที่ใจตนเอง จริงไหม (จริง)  แม้เขาจะด่าเราอย่างไร ศิษย์ก็จะเข้าใจแล้วจะจบลงที่เรา ไม่ทำเวรให้ยืดเยื้ออีกต่อไป
อาจารย์พูดเรื่องยากไหม ยากถ้าศิษย์ไม่ยอมทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำได้นะศิษย์เอย มันจะจบแค่ตรงนี้เลย ไม่ว่าเจอใคร มันก็จะจบกันแค่ตรงนี้ แล้วศิษย์จะไม่รู้สึกว่า “ทำไมฉันไม่ทำกับเขาให้ดีที่สุด” ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าทุกขณะศิษย์ทำให้ดีที่สุด ทำแล้วจบ ทำแล้วดีที่สุด ห่วงอะไร กลัวอะไร ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ทำดีที่สุดแล้วหรือยัง (ยัง)  ยังอีกหรือ อย่างนั้นจะพยายามให้ดีขึ้นดีไหม (ดี) 
แค่ชั่วขณะหนึ่งที่เวลาเราโดนกระทบ ถ้าไร้ธรรมก็คือธรรมแต่ถ้ายังทำก็ก่อเกิดเป็นกรรม ใช่ไหม ที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าทุกขณะที่เราทำเราไม่ยึด เราไม่ถือ เราไม่เกาะเกี่ยว ทำให้ดีที่สุดถึงเวลาปล่อยวาง ก็ไม่ก่อเป็นกระแสกรรมที่เราต้องเวียนว่ายไปรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
 โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะถามอาจารย์ว่า “อาจารย์การเข้าใจธรรม การบำเพ็ญธรรมมันเป็นสิ่งที่ดี แต่อยู่ๆ การจะเป็นคนดีก็เป็นเรื่องยากแล้วอย่างหนึ่ง แล้วดีให้ตลอดก็ยิ่งยากอย่างหนึ่ง แล้วตอนนี้อาจารย์บอกไม่ใช่แค่ให้ดีแต่ยังต้องบำเพ็ญอีก ไม่รู้จะไปได้หรือเปล่านะอาจารย์” ใช่ไหม แค่ทุกวันหากินก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้ว แล้วตอนนี้อาจารย์ยังบอกว่า “ต้องเป็นคนดี แล้วยังต้องบำเพ็ญธรรมอีก มันยากไปหน่อยไหมอาจารย์” อย่างนั้นวันนี้เรามาคุยกัน เหมือนแบบคนคุยกันธรรมดา เริ่มต้นตั้งแต่ง่ายๆ ก่อน “ศิษย์เอย เราเกิดเป็นคนจำเป็นต้องเป็นคนดีไหม” (จำเป็น)  จำเป็นต้องเป็นคนดี ใช่ไหม แล้วทำไมชอบถามตัวเองว่า “ทำไมหนูต้องดีอะไรหนักหนาเหนื่อยแล้วนะอาจารย์” ใช่ไหม ทำไมเราต้องดี หลายครั้งศิษย์มักจะถามตัวเองว่าดีไปทำไมอาจารย์ ทำไมต้องดี อย่างนั้นการเป็นคนดีให้มิตรหรือให้ศัตรู แล้วเราชอบมิตรหรือชอบศัตรู (ชอบมิตร)  แล้วเวลาเจอเราอยากเจอโจรหรืออยากเจอบัณฑิต (บัณฑิต)  ฉะนั้นพอจะเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราต้องเป็นคนดี เพราะโดยส่วนใหญ่คนทุกคนชอบคนดี ชอบบัณฑิต ชอบมิตร ใช่ไหม ฉะนั้นการสร้างสิ่งที่ดีก็คือการทำให้เราอยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นมิตร  แล้วการทำดีมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความดีมันเป็นชื่อของความสุข
 (พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายวัยรุ่นท่านหนึ่ง)
เหมือนที่ศิษย์ถามอาจารย์ว่า ทำไมต้องดี บางทีทำดีก็เบื่อนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินไป เจอใครก็ให้ด่าเลย กับอีกอันหนึ่งเดินไป เจอใครก็ขอบคุณเขา อะไรทำแล้วสบายใจกว่า (ขอบคุณ)  ศิษย์รู้ไหมว่า ทำไมต้องทำดี เพราะชื่อของความดี เป็นชื่อที่ทำแล้วอิ่มใจ สุขใจ ไม่หาเรื่องกับใคร และอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของทุกคน  แต่ชื่อแห่งความร้าย ชื่อแห่งอารมณ์โกรธเกลียด เป็นชื่อแห่งความทุกข์ สร้างศัตรูและสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องทำดี  และอีกอย่างหนึ่งคือ ชื่อแห่งความดีเป็นชื่อที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ชอบ เพราะเป็นหัวใจของทุกๆ คน  ลองถามสิ ถ้าให้ใฝ่ชั่วกับใฝ่ดี จะใฝ่สิ่งไหน (ใฝ่ดี)  ฉะนั้นอยากมีชื่อว่าดีหรือชั่ว (ดี)  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องทำดี 
อาจารย์สอนทำดีง่ายๆ ก่อนกลับไปนั่ง ให้เดินไปจนสุดแล้วก็อ้อมกลับมานั่ง โดยขอบคุณให้หมดทุกคน ดีไหม (พูดขอบคุณทีเดียวได้ไหม)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าเป็นชื่อที่อิ่มใจ แล้วอิ่มใจทีเดียวพอหรือ ไม่อยากอิ่มหลายอิ่มหรือ  อิ่มคนนี้ก็เห็นแค่คนนี้ แต่ลองเดินไปใกล้ๆ แล้วอิ่มให้ถึงใจสิ คุณค่าต่างกันนะ จริงไหม (จริง)  ทำไหม (ทำ)
(นักเรียนท่านนี้เดินไปรอบๆ ห้อง และไหว้กล่าว “ขอบคุณ” เพื่อนนักเรียนในชั้นทุกคน)
ศิษย์เอ๋ย เมื่อมีคนสร้างบุญมาเราก็ต้องสร้างบุญต่อด้วยการทำดีต่อ ด้วยการอวยพรกลับ “ร่มเย็นเป็นสุขนะหลาน โชคดีมีชัยนะ” ทำไมเราไม่หัดทำดีต่อล่ะ ใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อทำดีไปได้สักพักหนึ่ง ศิษย์รู้หรือไม่ ความดีนั้นจะกลายเป็นคุณธรรม ความดีจะกลายเป็นคุณธรรมได้เมื่อเวลาที่ไปไหนรู้จักให้เกียรติผู้อื่น เคารพนบนอบผู้อื่น ทำอย่างนี้บ่อยๆ เขาเรียกคนนั้นว่ามีสัมมาคารวะ มีจริยะธรรมที่ดี เหมือนเราเป็นคนชอบให้ ให้บ่อยๆ เขาเรียกคนนั้นเป็นคนมีเมตตาธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหนทางแห่งความดีจึงเป็นหนทางแห่งผู้ประเสริฐ หนทางแห่งความดีคือหนทางแห่งการปฏิบัติคุณธรรม  แต่คนทำดีบ่อยๆ ก็ท้อ ก็ล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามคนที่ตลอดชีวิตไม่พยายามทำดี แต่พยายามไม่ทำชั่วหน่อยนะว่า คนที่พยายามทำดีตลอดมีสัมมาคารวะ มีน้ำใจช่วยเหลือคนแต่เผลอนิสัยขี้โมโห ด่าคนอื่น จับผิดคนอื่น คนนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  พยายามที่จะไม่ทำชั่ว แม้จะไม่ได้พยายามทำดีสักครั้งหนึ่ง แต่พยายามจะไม่โมโห ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ถือทิฐิ ไม่ยโสโอหัง คนเช่นนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีแล้วเหนื่อย ศิษย์เป็นอย่างแรกหรือศิษย์เป็นอย่างหลัง ที่ศิษย์เป็นคนดีแล้วศิษย์เหนื่อยก็เพราะศิษย์พยายามดี แต่ศิษย์ไม่ละความชั่ว ศิษย์พยายามดีแต่ศิษย์ไม่ละบาปเวร กิเลสกรรม ศิษย์ก็เลยเป็นคนดีที่ยังเหนื่อย เพราะมันยังอดไม่ได้ “หนูดีก็จริง แต่อดไม่ได้ เดี๋ยวขอด่าก่อนแล้วค่อยกลับไปดีใหม่”  หรือไม่ก็บอกว่า “ขอด่าให้มันสะใจก่อนเดี๋ยวไปทำบุญใส่บาตรให้มัน” อาจารย์ถามว่าอย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แต่อีกคนหนึ่งแม้จะไม่พยายามดีแต่ความชั่วเขาจะไม่ทำเลยดีกว่าไหม ฉะนั้นละชั่วบำเพ็ญบุญ พุทธะก็สอนไว้แล้ว เมื่อใดละชั่วก็คือกำลังบำเพ็ญบุญ หากบำเพ็ญบุญแต่ไม่ละชั่ว แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีจริงได้อย่างไร  ทำบุญใส่บาตรเก่งแต่นินทาคนก็เก่ง ทำบุญตักบาตรสวดมนต์เก่ง แต่พออยู่ข้างนอกก็โลภเบียดเบียน เอาเปรียบเขาก็เก่ง พระพุทธะสอนไว้ว่าละชั่วก็คือการบำเพ็ญบุญ ศิษย์บอกว่า “อาจารย์แล้วอย่างไรที่เรียกว่าชั่ว ไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ได้จะชั่วหนักหนา แค่โลภนิดหน่อย ด่านิดหน่อย บ่นนิดหน่อย แล้วก็โกรธมันอีกนิดหน่อย” ใช่หรือไม่ นิดหน่อย นั่นกี่ครั้งที่นิดหน่อย หยุดได้ไหม หยุดยังไม่ได้  ใช่หรือไม่ อาจารย์จึงบอกว่า แล้วอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนดีไปไม่ถึงฟากฝั่งแห่งความดี นั่นก็คือกรรมชั่ว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบาป ทำบาปให้ผลคือความทุกข์ แล้วบาปมีมูลเหตุจากอะไร (การกระทำของเรา)  การกระทำอะไรที่กลายเป็นบาป แล้วให้ผลเป็นทุกข์ แล้วกลายเป็นคนที่ไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างถ่องแท้ กระทำอะไร
ต้นเหตุแห่งบาป ต้นเหตุแห่งทุกข์เกิดจากกิเลสซึ่งเรียกว่า โลภ โกรธ หลงในตัวตน หลงยึดติดดี ชอบดี แล้วว่าคนอื่นชั่วก็เป็นกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากละกิเลสและเป็นคนดีที่แท้จริงได้ เราก็ต้องเบาบางเรื่องโลภ โกรธ หลงให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม (ไม่มี) มีแส้คอยเฆี่ยนเราว่า “ให้โกรธเขา ด่าเขา เกลียดเขา” มีไหม (ไม่มี)  แล้วทำไมเราต้องตกเป็นทาสมันทุกที จริงหรือไม่
อาจารย์จะบอกเทคนิคนิดหน่อยว่าจริงๆ แล้วโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่ดีเพราะมันมาอยู่กับศิษย์ โลภ โกรธ หลง ถ้าอยู่กับพระพุทธะ โลภ โกรธ หลงก็เป็นแค่โลภ โกรธ หลง เพราะมันทำอะไรพระพุทธะไม่ได้ แต่ที่มันทำกับศิษย์ได้ เพราะศิษย์ไม่เคยเป็นพระพุทธะสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโลภ โกรธ หลง มาทีไรศิษย์ขอเป็นมารก่อน  วางพุทธะไว้ก่อน ตอนนี้เขาทำให้โมโห ต้องจัดการเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอย เป็นคนดีแล้วยังไม่พ้นทุกข์ เพราะศิษย์ยังไม่ละชั่ว ยังบำเพ็ญบุญ ยังไปไม่ถึง วิธีที่จะเป็นคนดีแล้วละชั่ว แล้วเข้าถึงการบำเพ็ญบุญแล้วกลับคืนสู่หนทางแห่งธรรมเดิมแท้ นั่นก็คือต้องบำเพ็ญเพื่อเยียวยาจิตใจ ต้องบำเพ็ญเพื่อย้อนกลับมาดูแลและรักษาใจ เพราะว่าความโกรธ โลภ หลง จริงๆ ไม่มีตัวตน แต่ชอบอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
 โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตนนะ แต่มันชอบอาศัยคนที่ชอบยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  แล้วคอยให้อาหารเลี้ยงมันจนเติบโต แต่ถ้าเมื่อไรมันมา ศิษย์จำง่ายๆ โลภมันเหมือนลิง โกรธมันเหมือนเสือ หลงมันเหมือนจระเข้  สมมติว่าถ้าสัตว์พวกนี้เข้ามาสู่เรา เราไม่ให้อาหารมัน เราไม่สนใจใยดีมัน เราไม่แคร์มัน เชื่อไหม มันก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งที่มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป  เมื่อไม่ให้ค่า ไม่สนใจ ไม่ใยดี มันจะบอกว่า “ฉันไปก็ได้” จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนตอนนี้ถ้าเขาทำให้เราโกรธ อาจารย์สมมติความโกรธมันเป็นแอปเปิล มันโยนมาแล้ว รับไม่รับ (ไม่รับ)  เมื่อไม่รับ ถ้ามันโยนมาแล้วทำเราเจ็บ จะเจ็บกี่ครั้ง (ครั้งเดียว)  จริงหรือ อาจารย์เห็นศิษย์เก็บแอปเปิลขึ้นมาแล้วมากระแทกหัวตัวเอง โมโหมัน ด่ามัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่ปล่อยมันไป  ถ้าเขาตีเรา เขาด่ามา เขาทำร้ายมา เขาทิ่มแทงจิตใจเรามา เราอยากสิ้นทุกข์หรือเกี่ยวกรรมหรือละลายหนี้บาปเวรกรรม (ละลายหนี้บาปเวรกรรม)  ฉะนั้นเมื่อมันทุกข์มา มันเกิดมา มันก็จบไปแล้ว  เอาแบบน่าเกลียดไปเลย คือมันกลายเป็นขี้ไปแล้ว จะเก็บขี้ปากเขา มานั่งเล่นขี้ทำไม จะเก็บขี้ปากเขามาแล้วเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง “เธอขี้มันอยู่ในใจฉันเต็มไปหมดเลย เธอช่วยเอาขี้ไปหน่อย ไอ้นั่นมันโคตรไม่ดีเลยมันแย่เลย เธอแบ่งขี้ไปหน่อยนะ” เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วทำไมชอบหูผึ่งจังเลยเวลาใครนินทา ใครให้ทำ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญคือการช่วยเยียวยาจิตใจ และช่วยให้เราเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัดขึ้น
อาจารย์ถามนะ ธรรมอะไรที่หมั่นพินิจพิจารณา เมื่อเจออะไรที่มากระทบจิตกระทบใจ แล้วเราจะได้ปลดปลงปล่อยวาง ไม่ข้องเกี่ยว ผูกพัน และสร้างบาปเวรกรรมอีก
(ตั้งสติให้ดี อดทน) เมื่อยังอดทนแปลว่า ลึกๆ ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีคำว่าไม่ยอม จึงต้องพยายามอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่สติยังไม่สามารถพิจารณาและละลายความทุกข์ไปจากใจได้  แต่อะไรที่จะทำให้เราพิจารณาเนื่องๆ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วเข้าถึงธรรม
 (ทำใจ)  เห็นก็ยังทำใจไม่ได้ (มีศีล ปัญญา สติ)  ศีลคือความปกติ สมาธิคือจิตที่นิ่งไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งและสามารถปล่อยวางลงได้อย่างไม่ยึดติด แต่ศีลก็ยังไม่ค่อยครบ สมาธิก็ยังไม่ค่อยมี ปัญญาไม่ต้องพูดถึงเลย ใช่ไหม (อนัตตา ว่างเปล่า อนิจจัง)  อาจารย์จะดูว่า เวลาเห็นสาวจะว่างไหม เวลาเห็นเงินหนึ่งพันบาทจะว่างไหม อาจารย์ขอยืมเงินรองหัวหน้า ว่างไหม (ว่างครับ มันไม่ใช่ของเราที่แท้จริง)  การคิดว่าทุกสิ่งขาดสูญมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่แค่ให้พิจารณา แต่พิจารณาอย่างไรล่ะ เพราะบางคนพอคิดว่าชีวิตขาดสูญ ก็เลยทำบาปได้ “ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ว่าง” อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าพิจารณาให้บังเกิดธรรมมันต้องมีอีกสองถึงสามอย่างเป็นองค์ประกอบ ใช่ไหม  มีอะไรอีก ความมีแท้จริงก็คือความว่าง ความว่างแท้จริงก็คือความมี 
(รู้จักปล่อยวาง)  แต่ก่อนจะปล่อยวางศิษย์จะต้องทำให้ดีที่สุด มนุษย์มักจะคิดว่า “ทุกข์เหลือเกิน ขอทิ้งทุกอย่างเลยได้ไหม” ธรรมะไม่สอนแบบนั้น ธรรมะสอนว่าทำจนถึงที่สุดก็ต้องวางลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะปล่อยวางต้องทำให้ถึงที่สุด 
อาจารย์ถามว่า ธรรมข้อไหนที่เอามาใช้เพื่อย้ำเตือนเรา ไม่ให้หลงผิด ไม่ให้คิดผิด ไม่ให้ทำผิด แล้วก่อเกิดเป็นทุกข์ เป็นวิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย 
(อย่าลืมตนเอง) ก็ตอบได้ดีเหมือนกัน แต่บางทีคนเราก็มักจะชอบหลงตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ละความโลภ โกรธ หลง)  ธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพึงระลึกเสมอ และไม่ตกเป็นทาสความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่สร้างบาป และไม่ติดยึดในบุญ  แล้วศิษย์ละโลภโกรธหลงได้หรือยัง (กำลังจะทำ)  ต้องรีบทำให้ได้แล้ว อายุมากแล้ว
อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ แก่นแท้ของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนดั่งคำว่า “ดีร้ายไม่ทำให้เราทุกข์ มากกว่าใจที่ไม่รู้พอ  ดีร้ายไม่ทำให้เราเจ็บปวด มากกว่าใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของความทุกข์ทั้งมวลอยู่ที่ใจ  อาจารย์ถามง่ายๆ เราดีใจที่ได้เงินหนึ่งร้อย แต่ถ้าเพื่อนได้สองร้อยเราใจเป็นอย่างไร  อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ เสียเงินหนึ่งร้อยเสียใจไหม (เสียใจ)  แต่ถ้าเพื่อนเสียสองร้อย เราดีใจหรือเสียใจ (ดีใจ) 
ฉะนั้นแก่นแท้ของความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (ใจ)  แล้วใจนั้นคืออะไร ที่จะทำให้เราสามารถหยุดทุกข์ได้ และแปรทุกข์ให้กลายเป็นคำว่าพ้นทุกข์ได้ ใจนั้นอยู่ตรงไหน ในตัวเรา ใช่หรือไม่ ดังคำกล่าวว่า ถ้าพอเมื่อไร อะไรๆ ก็มีสุข แต่ถ้าไม่พอ อะไรๆ ก็ไม่สุข อาจารย์ถามว่า
พอหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นก็เลยยังไม่สุข เลยยังทุกข์ “แล้วทำอย่างไรให้มันพอได้ตลอด” ก็คือคนที่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของใจที่แท้จริงได้  อาจารย์บอกว่า แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว คิดว่าอะไรที่ได้มา อะไรที่เพิ่มมามันคือกำไร ถูกไหม แต่ตอนนี้ถ้าศิษย์ยังบอกว่า แค่นี้ก็ไม่พอ แค่นี้ก็ไม่ดี ฉะนั้นกว่าที่ศิษย์จะได้อะไรมามันก็คือความยากลำบาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ศิษย์อยากจะสุขตรงนี้ หรือว่ารอข้างหน้าแล้วค่อยสุข ตอนนี้พอหรือยัง
ดีหรือยัง ธรรมจึงสอนว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี เมื่อพอได้มันก็ดี เมื่อพอได้มันก็สุขดี แต่เมื่อพอไม่ได้ดีไม่ได้มันก็เลยทุกข์ทุกที ใช่หรือไม่  สมมติว่าแฟนอาจารย์เป็นคนนี้ แต่เผอิญไปเห็นอีกคนหนึ่งแล้วคิดว่า “ทำไมแฟนเราแก่มาก ไปเห็นแฟนของคนข้างบ้าน เขายังดูหนุ่มมาก” เมื่อคิดอย่างนี้ เราอยู่กับแฟนของเรา จะมีความสุขไหม มันเป็นเหมือนนรกเผาใจนะ ศิษย์ก็อาจจะคิดว่า “เบื่อพ่อแล้วล่ะ อยากหาพ่อบ้านคนใหม่แล้ว”  แต่ถ้าเราคิดอีกอย่างว่า “พ่อบ้านเราก็ดีนะ พ่อบ้านของเธอก็ดีนะ” สุขไหม แต่มนุษย์มักจะคิดว่า “พ่อมึงเมื่อไหร่จะแก้นิสัยล่ะ ขี้บ่นเหลือเกินนะ ไม่เหมือนพ่อบ้านนู้นไม่ขี้บ่นเลยนะ” อย่างนี้อยู่กันไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่ไหม ทำให้คนยิ้มได้ ทำให้ผ่องใสเป็นบุญไหม (เป็น)  แต่ทำให้คนขุ่นมัวเป็นทุกข์เป็นบาป
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยเราบำเพ็ญเพื่อเยียวยาจิตใจ เพื่อทำให้คนอื่นเขามีความสุข

อะไรคือสิ่งที่แน่นอนในชีวิต เราเป็นอะไรที่แท้จริงหรือ เรารวยหรือเราจน เราดีหรือเราร้าย เราเป็นคนหรือเป็นเป็ดก็ไม่แน่ ใช่ไหม  ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรเราก็เป็นแค่ชั่วครู่หนึ่งจะไปยึดติดทำไม เต้นเป็ดแล้วทำให้คนยิ้มก็ไม่เป็นไรใช่ไหม  อย่าแย่งผ้าจากมือเพื่อนนะศิษย์ น้ำจิตน้ำใจ บำเพ็ญธรรมแล้ว เราฝึกฝนแล้ว ค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ เร็วๆ แล้วระวังสับปะรดจะบาดมือ ใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าเป็นเป็ดก็ไม่เป็นไรนะ
ศิษย์เห็นแถวไหนช้าสุดไหม (ไม่เห็น,ไม่ทันได้มอง)  อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์เอย  การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน  ถ้าเรามุ่งมั่นทำสิ่งที่ตัวเองทำให้ดีที่สุด มันไม่มีใครร้าย มันไม่มีใครแย่ เพราะทุกคนต่างพยายามทำให้ดีทีสุด แล้วเราจะมีเวลามานั่งจับผิดใครไหม คนที่มีเวลามานั่งนินทาคนอื่น คนที่มีเวลาจับผิดคนอื่น แปลว่าไม่เคยดูแลตัวเอง ถ้ามัวแต่ดูแลตัวเองจะไม่มีเวลาที่จะนินทาคนอื่น ไปจับผิดคนอื่น เพราะทุกคนต่างเอาตัวให้รอดก่อน  ถ้าศิษย์ทุกคนทำตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีใครแย่  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ว่างไปดูคนอื่นแปลว่าศิษย์ยังทำตัวเองไม่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าตอนนี้เราหาคนผิดไม่ได้ แล้วใครจะยอมเสียสละ ยอมเป็นคนผิด เมื่ออยู่ในโลกทุกคนต่างคิดว่าตัวเองถูกหมดแต่บางทีเรื่องบางเรื่องต้องมีคน กล้ารับผิดชอบ อย่างนั้นตอนนี้ทุกคนต่างชนะมีใครจะกล้าเป็นเป็ดหรือเป็นผู้แพ้ (หัวหน้ายกมือ)  ถูกแล้วศิษย์ การจะเป็นหัวหน้าคน การจะได้ใจคน เรื่องถูกต้องให้ลูกน้องไป ส่วนความผิดเราต้องกล้ารับ เรื่องดีก็โยนความดีให้ลูกน้อง เมื่อมีปัญหาหัวหน้ากล้ารับไว้ก่อน ทำได้แบบนี้ลูกน้องรักตาย จริงหรือไม่ แล้วศิษย์ที่เหลือ ให้หัวหน้าเต้นคนเดียวดีไหม (ดี)  ลูกน้องแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากได้นะ (ช่วยกันเต้น)  ช่วยกันไหม (ดี)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนเต้นเป็ด)
ศิษย์เอย ไม่มีสุขใดประเสริฐเท่ากับหัวใจที่ปกติ ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่มากระทบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  การสามารถรักษาใจให้ปกติ คือสุขที่ประเสริฐที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรก็ตามแต่ ล้วนทำให้คนนั้นหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่จิตที่สามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่น คือหัวใจของการดับทุกข์ พอเข้าใจไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ให้รักษาใจให้ปกติ ใจที่ปกติก็คือการรักษาศีล การไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่มากระทบ นั่นก็คือมีสมาธิ การที่มองเห็นแจ้งถึงความเป็นจริง อันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นก็คือบังเกิดปัญญา  ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา ที่ศิษย์นับถือศาสนาพุทธนั้น เกิดขึ้นได้และปฏิบัติได้ทุกขณะที่ศิษย์ถูกกระทบ  ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่มากระทบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  ฉะนั้นหลักธรรมที่เป็นหัวใจ และเป็นแก่นของธรรมที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาอยู่เนื่องๆ  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีแก่นธรรมอันเดียวกัน และแก่นธรรมนี้ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน และแก่นธรรมนี้ที่ทำให้คนไม่ว่าจะหลงขนาดไหน ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้นี้อย่างหลีกหนีไม่พ้น  แล้วแก่นธรรมนั้นคืออะไร ใครตอบได้บ้าง  พิจารณาเนื่องๆ จนบังเกิดธรรม  แก่นอะไรที่มีอยู่ในใจของทุกคน และทุกคนก็หนีแก่นในใจนี้ไม่ได้ และใจนี้ก็คือจิตญาณเดิมที่จะนำพาให้เรากลับคืนสู่ธรรมที่เราเป็นมา  อะไรที่เป็นแก่นของทุกสิ่ง (แก่นของความยุติธรรม)  ศิษย์เอย ความยุติธรรมของคนมันไม่เท่ากัน เพราะทุกคนต่างมีเหตุผล  มนุษย์ถ้ายังขึ้นชื่อว่าเหตุผลยังไม่มีวันพ้นทุกข์  มนุษย์ถ้ายังติดในเหตุผลก็ยังไม่มีวันพ้นเวียนว่าย  แต่ถ้ามนุษย์มองอย่างคนพิจารณาเข้าถึงแก่นธรรม เราตัดสินใครไม่ได้นะศิษย์ เพราะมนุษย์มีความลำเอียง มีความชอบชัง ที่ไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ ศิษย์ว่าคนนี้ถูกแล้วจริงๆ คนนี้ผิดไหม เขาก็มีเหตุผลของเขา ใช่หรือไม่  ฉะนั้นในธรรมไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เพราะทุกคนล้วนหนีไม่พ้นแก่นแห่งธรรมอันนี้
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาธรรมอันนี้เนื่องๆ เราจะกลับคืนสู่ที่เรามา คือ ธรรม  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณามันเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นเราพิจารณาอยู่เสมอ มันไม่เที่ยง วันนี้เขาชม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์อย่าไปยึด ถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นพอเราคิดเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า เราจะรักอะไร เราจะโกรธอะไร เราจะเกลียดอะไร เพราะทุกสิ่งมันไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เหมือนที่ศิษย์เป็นทุกข์  “วันนี้เขารักหนู ทำไมพรุ่งนี้เขาไม่รักหนู” แต่ถ้าศิษย์พิจารณาเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ จะยึดไหม แล้วถึงที่สุดคนที่บอกว่ารักศิษย์ เขาก็ต้องจากเราไปหรือไม่ แล้วถ้าเขาเปลี่ยนใจ เขาทิ้งเรา รักก็เป็นทุกข์ อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ไม่รัก ไม่เกลียด ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมที่เป็นหลักของศิษย์ ที่ศิษย์จะต้องกลับคืนให้ได้ นั่นคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า พิจารณามันเนื่องๆ เหมือนได้เงินมาดีใจไหม แล้วมันเที่ยงไหม มีแล้วทุกข์ไหม มีเหมือนไม่มีไหมใช่หรือไม่ อาจารย์ถามคนที่เป็นสามี มีภรรยาเหมือนไม่มีไหม มีแฟนเหมือนไม่มีไหม อย่างนั้นถ้าเราพิจารณาแก่นแท้แห่งธรรมอยู่ตลอด โลภไม่มี เกลียดไม่มี หลงไม่มี เพราะมันไม่เที่ยง จะโลภอะไรอีกเพราะมันเป็นทุกข์ จะยึดอะไรให้หลง จะรักอะไรให้เป็นทุกข์เจ็บปวดหนักหนา ใช่หรือไม่ แล้วพอถึงที่สุดมันว่างเปล่า แล้วเราเห็นชัดแจ่มแจ้งแล้ว แต่มนุษย์มักตาบอด ใช่หรือไม่  พอมีแล้วเป็นทุกข์ จะปล่อยวางได้ ทำใจทัน ได้หรือไม่ ศิษย์เคยได้ยินนิทานไทยเรื่องรจนาเลือกเงาะป่า นั่นคือธรรมสอนที่ดี  มีแก่นอยู่ข้างในแต่เรามองไม่เห็นหัวใจทองคำอันนั้น เหมือนตัวเรามีธรรมอยู่ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา ด้วยความเคารพเรียกว่าคุณธรรม ปฏิบัติต่อตนเองด้วยการฟื้นฟูธรรมกลับคืนสู่สภาวะธรรม ฉะนั้นทำไมถึงต้องปฏิบัติดี เพราะการปฏิบัติดีคือรากเหง้าของการกลับคืนสู่คุณธรรมและหัวใจแห่งธรรม  อาจารย์จบแล้วนะ หากไม่เข้าใจศิษย์ก็กลับมาศึกษาต่อนะ

อาจารย์ได้พูดตั้งแต่เรื่องง่ายถึงเรื่องยาก เรื่อยมาจนถึงตอนนี้ อาจารย์ได้บอกตั้งแต่ต้น เมื่อไม่รักการมีชีวิตก็จะไม่ทุกข์ทนกับการสิ้นชีวิต เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสังขารก็จะไม่วุ่นวายและทุกข์ทนเมื่อจากไป เมื่อไม่ลืมว่าตนเองมาจากไหนก็จะไม่พยายามไปหา หรือสิ้นสุดที่ใด เพราะเราคือธรรม สังขารกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วจิตทำไมไม่กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง ทำไมเรายังเอาจิตสร้างตัวตนเกาะเกี่ยวกรรมและสร้างภพภูมิแห่งการเวียนว่าย เพราะอะไรแค่คำเดียว ละจากความยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร ก็สิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง  จะปฏิบัติอย่างไร เราเกิดมาเพื่อยืมใช้ และสร้างคุณค่าแห่งสังขารนี้ให้ดีที่สุด สมกับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ มีคุณธรรมเปี่ยมล้น
จะปฏิบัติอย่างไร ให้ปฏิบัติต่อคนด้วยคุณธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม มโนธรรมสำนึก และรักษาใจให้ปกติ  เมื่อไรที่เราโกรธใจของเราจะเต้นแรง ใจจะวุ่นวาย นั่นคือไม่ปกติ  ฉะนั้นการรักษาศีลคือการรักษาใจให้ปกติ การมีสมาธิคือการไม่สงบไม่หวั่นไหวกับสิ่งเร้าใจภายนอก แต่หันกลับมามองว่าได้แล้ว สวยแล้ว มันก็ทุกข์ จะมากจะน้อยมันก็ทุกข์  ฉะนั้น อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ตื่นรู้ ไม่ใช่ตื่นรู้จากภายนอก แต่ตื่นรู้จากภายใน การบำเพ็ญธรรมคือเพื่อเยียวยาจิตใจ ให้เข้มแข็งและยอมรับความจริงแห่งธรรมในใจตน เกิดก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่ว่า เพราะเราทำเต็มที่แล้ว ดั่งที่กล่าวไว้ว่า ทำดีจนถึงที่สุด ศีลธรรมไม่บกพร่อง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน สามารถมองผู้คนได้เต็มตาว่าฉันไม่เคยทำผิดกับเธอ ฉันไม่เคยว่าร้ายเธอ ฉันไม่เคยเกลียดเธอ และฉันไม่เคยหลงรักเธอจนหัวปักหัวปำ ฉันเข้าใจธรรมแล้ว  ฉะนั้นวันนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม อย่ามัวหลงแต่สังขารนี้จนทำร้ายจิตญาณตน สังขารนี้ต้องใช้กรรมตามชะตากรรมที่ศิษย์สร้างมา แต่จิตญาณไม่ได้มีหน้าที่ชดใช้กรรม ฉะนั้นอย่าผูกจิตและเอาจิตไปเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้นเลย อาจารย์พูดชัด แต่ศิษย์จะเข้าใจชัดอย่างที่อาจารย์พูดหรือเปล่า ขอให้ศิษย์ไปพิจารณา มันเจ็บแค่สังขาร อย่าไปปลูกฝังจนเจ็บใจ
อาจารย์เคยยกตัวอย่าง พระเทวทัตกี่ภพกี่ชาติก็ต้องตามมาเกลียดพระพุทธเจ้า ตามมาทำร้ายพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรที่พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ พระเทวทัตไม่มีคนให้ท่านต้องเกลียด ท่านจึงสามารถสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธเจ้า  ถ้าศิษย์สามารถทำตัวเองพ้นทุกข์ คนที่ศิษย์เกลียดที่สุดบางทีเขาจะได้ไม่ต้องผูกกรรมกับศิษย์แล้ว ศิษย์ยังได้สร้างบุญกับคนที่ศิษย์เกลียด เมื่อเขาไม่ใฝ่ในความเกลียด ทำไมคนบางคนยังไม่ทันทำอะไรให้เจอหน้าก็ไม่ถูกชะตา รู้สึกเกลียด เขาพูดอะไรนิดหน่อยก็รำคาญเขา เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนที่เราเกลียดเขา หรือเราเกลียดเขามันจบกัน ต้องจบที่เราใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือขณะนี้ที่เราโดนกระทบจะให้จบ หรือเริ่มไม่จบสิ้น ถามตัวศิษย์นะ จะให้จบ หรือเริ่มไม่จบสิ้น จะให้สิ้นทุกข์ สิ้นเวรกรรม หรือเกี่ยวกรรมกันไปไม่จบ คนที่ฝึกฝนบำเพ็ญแล้วนะศิษย์ เจ็บก็ไม่ทุกข์  อาจารย์อยากให้วิชาแบ่งแยกกายกับใจจริงๆ หมั่นพิจารณาเนื่องๆ กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายมีหน้าที่ชดใช้กรรมตามชะตากรรมและสังขาร แต่ใจไม่มีหน้าที่ชดใช้กรรมตามสังขารนะศิษย์ ใช่ไหม กายมีวันเจ็บตายได้ จิตญาณไม่มีวันเจ็บตายไม่มีวันแก่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนคำว่า สำนึกได้ อะไรก็ดี
สำนึกได้อะไรก็ดี         สำนึกดีอะไรก็ได้
คิดเป็นเรื่องยากก็ง่าย   คิดได้ก็ต้องคิดดี
ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์ทำอะไรลองถามจิตสำนึกตัวเอง ถามธรรมในใจตัวเอง ทำแบบนี้มีเมตตาธรรมไหม ทำแบบนี้ถูกต้องชอบธรรมไหม ถ้าคิดแล้วจิตสำนึกมันบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีก็หยุด หยุดแล้วจะดี แต่ถ้าไม่หยุดยังฝืนตามใจมันไม่ดีหรอกนะ แล้วอะไรที่จะทำให้เรามีสำนึกเสมอ นั่นก็คืออยู่ในกรอบแห่งศีลหรืออยู่ในกรอบแห่งความเป็นคน คนทุกคนชอบคนใจดี ชอบคนมีเมตตา ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนใจเย็นไม่ชอบคนขี้โมโห ชอบเป็นมิตร แล้วสิ่งที่เราทำตรงข้ามกันหมดเลย ใช่ไหม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง
กลับแล้วนะ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วเจ็บไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ โชคร้ายไม่ได้ แต่บำเพ็ญธรรมแล้ว เจ็บก็เป็นเรื่องของสังขาร โชคร้ายก็เป็นเรื่องของชะตากรรมที่เราจะได้สิ้นทุกข์ สิ้นเวรสิ้นกรรม ตายก็เป็นการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กลับคืนสู่สภาวะธรรม แล้วอะไรล่ะที่มันไม่ดี มันดีทุกอย่างแต่มันไม่ดีเพราะใจเรามันไม่เอา จริงไหม ศิษย์รู้ได้อย่างไรว่าการมีชีวิตอยู่ไม่สู้การคืนสู่สภาวะธรรม ศิษย์บอกได้หรือว่าการมีชีวิตอยู่นั่นคือสุขที่แท้จริง  ทั้งที่จริงๆ แล้วศิษย์กำลังประมาทและมองเห็นทุกข์เป็นสุข มองเห็นสิ่งที่สวยแท้จริงมันไม่สวย เรากำลังประมาทอยู่หรือเปล่าศิษย์ ฉะนั้นมีสติมีสำนึกที่ดีและบำเพ็ญเยียวยาใจตนให้เข้มแข็ง กล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจที่กลับคืนสู่ธรรม บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญได้ทุกที่ ที่ไหนก็บำเพ็ญได้ ปฏิบัติธรรมกับคนก็ปฏิบัติได้ทุกที่ ที่ไหนเราก็ปฏิบัติได้ อย่าเลือกบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมแค่ที่วัด แต่กลับมาบ้านทำนิสัยไม่ดีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่เราต้องปฏิบัติธรรมให้ทุกๆ ที่ เป็นคนดีทุกๆ ที่ ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์อำนวยพรก่อนจาก ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้มแข็งและกลับคืนสู่ธรรมที่ตัวเองมานะ ได้ไหม (ได้) ทำอะไรด้วยจิตสำนึกที่ถูกต้องนะศิษย์ เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราก็คือธรรม กลับคืนสู่ธรรมได้ แต่จะปฏิบัติหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหมั่นควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์และความยึดมั่นถือมั่นมาทำให้ชีวิตตัวเองพัง และอย่ามัวโลภหลงจนลืมสร้างคุณงามความดี
(นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมในชั้นขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
อาจารย์ไม่ต้องการคำว่าขอบคุณ แต่อาจารย์ต้องการคนที่ปฏิบัติจริง ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม  แล้วใครจะเปลี่ยนไปอย่างไรศิษย์ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเราปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจะไม่หลงทาง เพราะเขามองแต่ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ว่ามันไม่เที่ยง มันมีทุกข์ มันว่างเปล่า ยิ้มยึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี  เสียดายนะอยู่แค่สองวันขาดอีกวันหนึ่ง  รู้แล้วเมื่อไรจะทำ ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว ไม่ได้นะศิษย์  เกิดตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวนะ แต่การยึดมั่นถือมั่นจนปล่อยไม่ได้นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  จิตญาณเข้มแข็งกว่าสังขาร จิตญาณมีค่ายิ่งกว่าร่างกาย ขอเพียงให้เรามองให้เห็นธรรมในตนเอง เพราะธรรมนั้นประเสริฐยิ่งกว่าสังขารอันไม่เที่ยง จริงหรือไม่ (จริง)  สังขารนี้ไม่แน่นอน รักษาจิตญาณให้ดีก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญนะ เคาะให้ตื่นแต่เคาะหลายทีก็ไม่ตื่นนะ  ตื่นด้วยสติ  ตื่นรู้ด้วยหัวใจที่เสียสละอุทิศ  ตื่นรู้ด้วยหัวใจที่เมตตา เข้มแข็ง  ฉะนั้นถ้ามุ่งมั่นบำเพ็ญก็ต้องมีหัวใจที่เข้มแข็ง เป็นความร่มเย็นให้กับตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมันทำร้ายศิษย์ อย่าปล่อยให้ความหลงผิดแต่ชั่ววูบทำให้ศิษย์กับอาจารย์จากกันจนไม่มีวันเจอ
ฉะนั้นความหลงแค่นิดเดียวทำให้มนุษย์มืดมน แต่ความตื่นและความคิดถูกทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักคิดรู้จักทำนะ จิตญาณเข้มแข็งกว่าสังขาร สังขารไม่เที่ยงฉะนั้นอย่าบำรุงบำเรอจนลืมจิตญาณเดิมแท้นะ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ ร่างกายไม่เที่ยงและไม่ประเสริฐเท่ากับจิตญาณของตัวเราที่รู้จักคิด รู้จักทำในสิ่งที่ดีงาม ตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสมาให้ครบ ร่างกายเข้มแข็ง แข็งแรง ไม่เท่ากับจิตใจที่เข้มแข็งและเข้าใจในชีวิตที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ไม่ร้องไห้ ลาแล้วไม่ลาลับนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ รู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยื่นมือแปลว่าจับ ไม่จากแล้วจากเลย ร่วมบำเพ็ญอุทิศเสียสละตัวเองนะ ได้ไหม มีโอกาสเสียสละเวลาแห่งความสุขตัวเองเพื่อคนอื่นบ้างได้ไหม (ได้)  รับปากอาจารย์แล้วนะ
ถ้าอาจารย์โอบกอดศิษย์ทุกคนได้ อาจารย์อยากโอบกอดและให้ขวัญกำลังใจ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งความรักจากใคร จริงไหม ถ้าหัวใจเราเข้มแข็งพอ ถ้าหัวใจเราหนักแน่นพอ เราก็ไม่ทุกข์เพราะใคร แต่เรามีสุขได้ด้วยตัวเอง และเราก็สามารถให้คนอื่นมีสุขได้ อย่าเป็นหัวใจที่เว้าแหว่ง แต่จงเป็นหัวใจที่รู้จักพร้อมจะเติมให้คนอื่นเต็มเพื่อเรา ให้ถึงที่สุดแล้วหัวใจจะเต็มเอง แต่ถ้าหัวใจเอาแต่เว้าแหว่งและร้องขอ ไม่มีวันมีสุขหรอก จริงไหมศิษย์ คิดให้ดีนะที่อาจารย์พูด เพราะอาจารย์ทำมาแล้วอาจารย์จึงเข้าใจ ยิ่งให้ก็ยิ่งเต็ม แต่ยิ่งร้องขอมีแต่พร่องไม่จบสิ้น ให้เท่าที่ให้ได้ เพราะหัวใจของพุทธะ หรือหัวใจแห่งธรรม คือให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นี่คือหัวใจแห่งธรรม อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่เมื่อไปถึงแล้ว ไม่มีคำว่าทุกข์ ไม่มีคำว่าเจ็บ แต่มันคือความอิสระ แต่ตื่นรู้ที่แท้จริงนะศิษย์ ไปละนะ อย่าทุกข์กับเรื่องที่ไม่ควรจะทุกข์เลย ถามตัวเองทำดีหรือยัง หากทำเต็มที่แล้ว ดีแล้ว อะไรจะเกิดก็แค่ก้มหน้ายอมรับ และทำหัวใจให้เข้มแข็งต่อไป ใช่หรือไม่
    พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สำนึกได้อะไรก็ดี”
      คนตื่นตาแต่ว่าไม่ตื่นใจ                           เรื่องถูกผิดพูดไปไม่จบสิ้น
บำเพ็ญธรรมย้อนมองตนเป็นอาจิณ                   เมื่อผืนดินกลบหน้าเหลือแต่บาปกรรม
จิตสำนึกบังเกิดดั่งประกายไฟ                         อย่าปล่อยให้ดับไปไร้ค่าดั่งฝุ่น
จักต้องหมั่นคอยทวนให้เป็นคุณ                       โลกมีดุลย์ใจจิตญาณต้องสมบูรณ์
      สำนึกได้อะไรก็ดี                                 สำนึกดีอะไรก็ได้
คิดเป็นเรื่องยากก็ง่าย                                  คิดได้จะต้องคิดดี

อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-10 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一七年嵗次丙申二月十三日            仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐       สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 
  มีอารมณ์ใช่ต้องเป็นทาสอารมณ์          แค่รู้ตนไม่วู่วามไปกันใหญ่
มีสติคิดถึงโทษผลทุกข์ใจ                      ยั้งยั้งยั้งทำใจได้ย่อมใจเย็น
                  เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ฝึกจิตตนตามเวลาตะวันเดือน              ตราบไหลเลื่อนไปวันสิ้นสังขาร
มโนธรรมดั่งฟ้าฟาดคอยลงทัณฑ์            มรสุมโยนฝ่าฟันญาณไม่ตาย
สภาวธรรมเดิมจิตบ่อน้ำใส                    อะไรหายสำนึกดีเกิดอย่าหาย
แม้ตกหล่นในวัฏฏะทางอบาย                พลานุภาพแห่งความดีให้สติปัญญา
ผิดกลืนถูกทั้งหลายแหล่เพราะอะไร        พลั้งไปในความไม่สิ้นริษยา
ป่วยไม่หายเห็นรู้ไม่เยียวยา                   ใช้การตัวแก่ตัวล้าสะบักสะบอม
รู้ดังนี้เองใจรีบบำเพ็ญ                          หลายโรคเป็นเพราะอารมณ์หล่อหลอม
โมโหร้ายทั้งรู้แต่ไม่ยอม                        รู้จักแก้ไม่รั่วย่อมเป็นนาวา
ขวักไขว่ดั่งเรือน้อยกลางพายุ                 ลมที่รู้แล้วยุคลื่นสิงหา
ผิดยังทำช่างมืดบอดปัญญา                   แม้จิตกลัวไม่มัวช้าปรับปรุง
                                                                                           ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 
วันนี้มานั่งฟังธรรมเกือบหนึ่งวันแล้ว ไหวไหม (ไหว)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมอย่างไรก็ต้องบอกว่าไหวอยู่แล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่นักเรียนนั่งเงียบ      รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องใช่ไหม (ใช่)  รู้สึกว่าตัวเองเก่งไหม (เก่ง)  เพิ่งรู้นะว่าชั้นนี้ชมตัวเองเป็น
“มีอารมณ์ใช่ต้องเป็นทาสอารมณ์ แค่รู้ตนไม่วู่วามไปกันใหญ่”
เวลาเรามีอารมณ์จำเป็นต้องตกเป็นทาสอารมณ์เสมอไหม แค่รู้ตนแล้วไม่หงุดหงิดหรือไม่วู่วาม เวลามีอารมณ์ขึ้นมาแล้วเรารู้ตัวได้ทันมีสติยั้งคิด โมโหไปแล้ว หงุดหงิดไปแล้ว มีแต่โทษ มีแต่ผลร้าย เหมือนจุดไฟเผาใจตัวเอง คิดว่าจะเผาใจเขา แต่เป็นเผาใจเราก่อน ถ้ายั้งได้คิดได้ระลึกถึงโทษได้ คนๆ นั้น จากใจร้อน ก็กลายเป็นคนใจเย็น ถ้าอย่างนั้น ถามหน่อยนะ นักเรียนชั้นนี้เป็นคนใจร้อนหรือใจเย็น (ใจเย็น)  ใจเย็นตอนที่ไม่มีอะไรมากระทบ  ที่ไม่มีใครมาพูดขัดหูและใจเย็นตอนไม่มีใครว่าใช่ไหม แต่ถ้าโดนขัดหู โดนว่า โดนขัดใจ ใจร้อนทันที
นักเรียนในชั้นชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ชอบฟังธรรมไหม (ชอบ)  บุญก็ทำ ทานก็ทำ ธรรมก็ฟังใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้เราบอกท่านก่อนว่า สิ่งที่เรามาคุยกับท่านไม่ใช่ลัทธิใหม่ ไม่ใช่ศาสนาใหม่ แต่เรามาคุยกับท่านเรื่องธรรม เรื่องหลักธรรมที่ใช้ในการดำเนินชีวิต เรื่องหลักธรรมในการดำรงตนให้อยู่ในโลกใบนี้ไม่ต้องทุกข์ เรามาคุยกันเรื่องธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เราไม่ได้บอกให้ท่านเปลี่ยนศาสนา เราไม่ได้บอกให้ท่านนับถือลัทธิใหม่ ศาสนาใหม่ แต่เรากำลังพูดเรื่องธรรม ฉะนั้นถ้าพูดเรื่องธรรม ไม่ว่าศาสนาไหนก็ฟังได้ และถ้าพูดเรื่องธรรมไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ใช่ได้ แต่ทำไมมนุษย์ถึงเข้าใจว่า “ถ้าพูดเรื่องธรรม ทำไมใช้ได้แต่ในวัด”  จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าพูดเรื่องธรรมต้องใช้ใน (ชีวิตประจำวัน)  เพราะธรรมสอนให้เรารู้จักใช้ชีวิตอย่างคนมีสุขแล้วพ้นทุกข์ และธรรมสอนให้เราเป็นมนุษย์ประเสริฐ และธรรมสอนให้พ้นทุกข์ไม่จมอยู่ในความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าแค่ฟังธรรม แต่จงรู้จักปฏิบัติธรรม และมองให้เห็นธรรม และทำทุกอย่างบังเกิดธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบทำทุกอย่างตามอารมณ์ ตามนิสัย ฉะนั้นสิ่งที่ได้ก็กลายเป็นความทุกข์ อารมณ์ กิเลส แต่ถ้าเราศึกษาธรรม แล้วเราเอาธรรมนำไปใช้ สิ่งที่ได้น่าจะเป็นความสงบ ความสุข ความเบิกบานใจใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าวันนี้มาตั้งใจฟังธรรม เราฟังธรรมด้วยจิตใจสงบนิ่ง เราฟังธรรมด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ เบิกบาน นั้นก็เรียกว่า เป็นบุญ แต่ถ้าเราฟังธรรมแล้วจิตใจหมองมัว จิตใจว่าคนที่ชวนมา นั่นก็เป็นทุกข์เป็นบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราฟังด้วยจิตใจเบิกบาน ขอบคุณคนที่ชวน ขอบคุณคนที่พูด แล้วนอกจากแผ่สิ่งที่ดี จำไว้นะ จะเอาสิ่งดีไปบอกต่อ เป็นบุญหนึ่งเท่า สองเท่า สามเท่า เราฟังแล้วบังเกิดจิตแบบนี้ หรือฟังแล้วบังเกิดเบื่อจัง รำคาญจัง เมื่อไหร่จะจบเสียที คนชวนมาจำไว้เลย ถ้าเจอหน้าแล้วจะไม่เอาอีกเลย อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  ที่คิดแล้วๆ ไป ตอนนี้ไม่ใช่ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเข้าสู่การฟังธรรม เราก็ต้องให้ได้ธรรม ได้พบธรรม แล้วได้เจริญธรรม ให้ธรรมงอกเงย ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วได้บาป ได้ความขุ่นมัว ได้ความไม่สบายใจ ได้ความทุกข์ใจ เช่นนี้ฟังแล้วเอาไปใช้ผิดทางถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นน่าจะฟังธรรมแล้วสบายใจ เบิกบานใจถูกหรือไม่ (ถูก) 
เราถามท่านนะ ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจในหลักธรรม ธรรมสอนให้เราละ หรือ ธรรมสอนให้เรายึด (สอนให้เราละ)  ว่าอย่างไร “ธรรมสอนให้เราละ หรือธรรมสอนให้เรายึด” (ละ)  ถ้าอย่างนั้นความดีความชั่วสอนให้เราละ หรือสอนให้เรายึด นั่งฟังมาตั้งเยอะ เรียนรู้ธรรมมาก็มาก ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่ใคร่ศึกษาหลักธรรมที่แท้จริง ธรรมสอนให้ละ หรือธรรมสอนให้ยึด (ละ, ยึด)  ถ้าอย่างนั้นความดีกับความชั่ว เราควรละหรือเราควรยึด (ควรละ, ควรยึด)
ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่ใคร่ศึกษาหลักธรรม ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่รักในการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม หลักธรรมโดยทั่วไปสอนให้ละชั่วบำเพ็ญดีและทำจิตให้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ธรรมควรสอนให้เราละหรือควรสอนเรายึด (ยึด)  นั่งหรือยืนดี (นั่ง)  ถ้าไม่ยึดว่าต้องนั่ง แม้ยืนก็ไม่ทุกข์ แม้นั่งก็ไม่สุขจริงไหม แต่ถ้ายึดว่าต้องนั่ง ยืนก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นธรรมควรสอนให้ละหรือยึดดี (ละ)  ละใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นละชั่ว ดีก็ละใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าละชั่วแล้วยึดดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
ธรรมสอนให้เราละ (ละความชั่ว ยึดความดี)  ธรรมสอนให้เราละใช่ไหม แต่ถ้าพูดถึงความดี ความชั่ว ก็ต้องละชั่ว ยึดดี ส่วนใหญ่จะเข้าใจอย่างนี้ แต่เราว่าน่าจะเป็นละชั่วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จริงหรือไม่ พอคิดว่ายึดดีก็มีคิดแบบนี้ว่า แล้วทำไมพยายามยึดดีทำดีแล้วไม่ได้ดีใช่ไหม แล้วทำไมกลับไม่ได้ดีถูกไหม (ถูก)  ถามต่อว่า ถ้ามีคนคนหนึ่งชอบยึดดี ชอบความดี ชอบหวังดี ท่านว่าดีไหม (ดี)  เคยเจอคนที่พูดว่าฉันหวังดีไหม (เคย)  พอพูดคำนี้แสดงว่าคนนี้ยึด อยากให้คนที่เรารู้จักดี ถูกหรือไม่ แล้วเวลาคนที่หวังดีอยากให้คนตรงข้ามดีเขาก็จะเรียกร้อง ดีกว่านี้สิ พูดดีกว่านี้หน่อยได้ไหม ทำดีอีกหน่อย อย่างนี้ยังไม่ดี ต้องดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง เรียกร้องมากๆ ทำไมเรารู้สึกขัดเคืองใจ หงุดหงิดใจกับความหวังดีมากๆ นี้ อย่างนั้นแปลว่าทำดีไม่ได้ดีใช่ไหม (ใช่)  หรือว่าเรากำลังยึดดีผิดทาง หรือเรากำลังปฏิบัติดีผิดทาง หนูหวังดี พ่อหวังดี แม่หวังดี เธอต้องดีกว่านี้สิใช่ไหม เพราะอะไรเพราะหวังดี ยึดความดีแล้วทำดีเลยรู้สึกทำไมไม่ได้ดีล่ะ ก็ผมหวังดี อย่างนั้นทำดีแล้วควรยึดไหม (ไม่ควรยึด)  ดีทำควรยึดแล้วเรียกร้องให้คนอื่นต้องทำตามไหม อย่างนั้นแสดงว่าดี ก็ไม่ควรยึดใช่ไหม (ใช่)
แล้วโดยส่วนใหญ่ คนทุกคนอยู่ในโลกอยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นคนชั่ว พูดได้เต็มปากเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราละชั่วเลยยึดดีใช่ไหม (ใช่)  พอยึดดีมากๆ ฉันคนดี พอโดนใครพูดว่าเธอมันไม่ดี โกรธไหม (โกรธ, ไม่โกรธ)  อย่างนั้นดีควรยึดหรือไม่ควรยึด ดีเอาไว้แค่ปฏิบัติพอปฏิบัติได้ถึงที่สุดก็ต้องละ ก็ต้องวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยไหมอยากมีดีมากๆ ชีวิตอยากเจอแต่เรื่องดีมากๆ อะไรฉันต้องดีก่อน ได้ก่อน ถูกและดีก่อน คนอื่นผิดช่างปะไร เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่)  ฉันต้องได้ดีก่อน ส่วนเธอจะดีไม่ดีช่างปะไร ฉะนั้นอย่าพูดว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ต้องถามก่อนว่า ดีที่ท่านพึงยึดปฏิบัตินั้น มันดีถูกต้องแก่หลักธรรมที่ควรถือไหม เราเป็นพวกถือดีมากไปไหม เราเป็นพวกที่หวังดีมากไปไหม และเราเป็นพวกที่ติดดีจนร้ายไม่ได้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามกลับ ดีควรละ หรือดีควรยึด (ควรละ)  ละไม่ทำเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นจะบอกให้ท่านรู้ว่า ธรรมสอนให้คนประพฤติปฏิบัติดี เมื่อทำจนถึงที่สุด ก็ต้องละ ต้องวาง แต่ถ้าทำดีแล้ว โดนคนว่า โดนคนประณาม ลองตรวจสอบใจดูว่า ดีนั้นถูกต้องกับศีล ถูกต้องกับธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนแล้วไม่ตระบัดสัตย์ ไม่คดโกงไม่เอาเปรียบ ฉะนั้นถ้าทำดีไม่ได้ดี ไม่เห็นจะต้องกลัว ก็ไม่เห็นจะต้องท้อ เพราะทำดีมีดีอยู่แล้วในตัว แต่ถ้าทำแล้วผิดศีลขาดธรรมฟ้าไม่กล้ามอง ดินมองแล้วไม่รู้จะมุดไปอยู่ที่ไหน คนก็มองได้ไม่ตรง
ฉะนั้นธรรมสอนให้คนไม่หลง แต่คนมักหลงต่อการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่ได้สอนให้มนุษย์แบ่งแยกยึดติด แต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความจริงไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่รักษาใจเราให้ปกติ  อย่างนั้นธรรมคืออะไร ธรรมคือการเรียนรู้ปฏิบัติ เรียกร้องตน ไม่ใช่เรียกร้องผู้คน ลองถามท่านนะ ทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้มั่นคงแน่วแน่ โดนอะไร ไม่กระทบก็ยังรักษาดี ถามสิว่า คนที่ทำดีอย่างไม่ยอมแพ้ ย่นย่อ ไม่หวาดหวั่น มีหรือจะไม่มีใครเดินตาม มีหรือที่ดีขนาดนี้ จะไม่มีใครเล็งเห็นความดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจความดีให้ถูก ไม่เช่นนั้นก็จะดีอย่างคนยึดติด พูดได้ดี พูดได้เพราะ คนเขาก็พูดดีพูดเพราะตาม เจอหน้าเอะอะ มะเทิ่ง เขาจะพูดเพราะกลับไหมล่ะ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมไม่มืดบอดในอารมณ์และความยึดติด ท่านก็จะมองเห็นว่า โลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดี ผลก็ย่อมได้ดี แต่เมื่อเราเรียนรู้ถึงธรรมไปสักระยะหนึ่ง เราจะรู้ว่าถ้าไม่มีเหตุก็ไม่ต้องรับผล ถ้าไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แล้วทุกข์จะบังเกิดได้ที่ใด จริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์ยังอดยึดติดตัวตนกันไม่ได้ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามต่อว่าระหว่างความดีกับความชั่วอะไรร้ายกว่ากัน (ความชั่ว)
ความดีร้ายกว่าความชั่วใช่ไหม (ใช่)  เหตุใดจึงตอบเช่นนี้ ไปเจออะไรมาหรือ บางคนมาด้วยท่าทีที่ดูดีแต่จริงๆ แล้วแอบร้ายลึกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความดีน่ากลัวใช่ไหม เราไม่ต้องทำดีเลยใช่ไหม อย่างนั้นเราถามกลับ ความดีน่ากลัวหรือใจเราหลงยึดติดเพียงภายนอก แล้วหลงลืมวัตถุประสงค์ที่เขากำลังสื่อให้เราจริงไหม (จริง)  มนุษย์ชอบตัดสินดีชั่วเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ มนุษย์ชอบตัดสินดีหรือไม่ดี เพียงเพราะชอบ ไม่ชอบ เป็นบรรทัดฐานใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เขาชมถูกใจหน่อย แล้วคนที่ชมพอลับหลังเราเป็นอย่างไร (ไม่ดี)  เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เรา)  อยากได้ดอกไม้จากเราเป็นรางวัลไหม (อยาก, ไม่อยาก)  กลัวรับดอกไม้แล้วต้องบำเพ็ญต่อ แล้วถ้าไม่รับแสดงว่าไม่บำเพ็ญใช่ไหม (บำเพ็ญ)
ถามต่อตกลงความดีหรือความชั่วที่น่ากลัวกว่า ให้เลือกสองก็มองแค่สอง ทำไมไม่มองมากกว่าสองล่ะ ลองมองให้เห็นแท้จริงสิว่า จริงๆ แล้วดีถ้าปฏิบัติอย่างยึดก็น่ากลัว ชั่วแต่รู้สึกนึกก็กลับกลายเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าชั่วแล้วยังบอกว่าฉันได้แค่นี้ ก็ฉันชั่วจะทำไมแบบนี้ก็ไม่ดีแน่ๆ ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งไม่ดีอยู่ที่ดีอยู่ที่ชั่วหรืออยู่ที่ (ใจ)  รู้แล้วใช่ไหม อยู่ที่เราเอาสิ่งนั้นมาปฏิบัติเช่นไร แม้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าปฏิบัติอย่างหลงผิด ความดีก็กลายเป็นความไม่ดี แม้จะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแต่เกิดจิตสำนึกรู้ทันแก้ตัวได้ ความชั่วก็อาจจะทำให้คนกลายเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีหรือร้ายไม่ได้อยู่ที่เรื่องราว แต่อยู่ที่ตัวเราเองเอาสิ่งนั้นไปทำเช่นไร หรือบอกอีกอย่างหนึ่งว่าดีหรือชั่วไม่น่ากลัวเท่ากับความไม่รู้ตัวตน
ดีหรือชั่ว ไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงตน ดีหรือชั่วไม่ร้ายเท่ากับความเห็นผิดในตน ดีหรือชั่วไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงผิด คิดผิดในตน เหมือนที่เราบอกท่านแต่ต้น ถ้ามีคนชมว่าท่านดี ท่านก็รักษาความดี แต่ถ้ายึดมั่นความดีจนใครว่าไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ดีถูกไหม (ถูก)  ถ้าสมมติว่าท่านปฏิบัติชั่ว แล้วคนว่าท่าน ท่านเกิดสำนึกแก้ไขได้ นั่นแปลว่าชั่วร้ายหรือ ก็ไม่ร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีหรือไม่ดี ไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงตัวเอง ฉะนั้นเราอยากจะบอกท่านว่า ในโลกนี้สิ่งใดหรือที่น่ากลัวที่สุดเท่ากับความชั่วหรือร้ายเท่ากับความชั่ว นั่นก็คือ ความหลงไม่รู้จักตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เห็นถูกเห็นผิด เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งกิเลสตัณหาไม่จบสิ้น”  แต่เมื่อไรเห็นถูก ความคิดก็พ้นจากกิเลสตัณหา วัฏฏะเวียนวน แต่เมื่อไหร่ที่พ้นจากความถูกผิด นั่นคือ ความบริสุทธิ์โดยแท้จริง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ติดดีจนน่ากลัว และรังเกียจความชั่วจนน่าชิงชังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครน่ารังเกียจมา มีไหมที่เราไม่แอบนินทา ใครน่าเกลียดทำผิดมา มีไหมเราไม่แอบบ่น มีไหมเวลาเขาทำผิด แล้วเราไม่เผลอวิพากษ์วิจารณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าเราติดดีแล้วเกลียดชั่วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมสอนให้รัก หรือธรรมสอนให้ละวางแล้วเข้าใจ (ละวางแล้วเข้าใจ)  ธรรมไม่ได้สอนให้ท่านทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินใคร ฉะนั้นเราเป็นผู้ที่ตัดสินใครไหม (ไม่)  ชอบวิพากษ์วิจารณ์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม สิ่งที่สำคัญคือ ถามตัวเองถูกต้องหรือยัง ก่อนจะไปตัดสินคนอื่น ก่อนจะไปว่าคนอื่น ฉะนั้นธรรมจึงมุ่งสอนให้เรียกร้องตน ปฏิบัติที่ตน ไม่ใช่เอาไปแก้ไขใคร ตรวจสอบใคร วัดใครใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้ไหมว่า ปฏิบัติอย่างไร ถึงจะทำแล้วได้ดี
เรามีหน้าที่ชี้ให้ท่านเห็นว่าความสว่างมันไม่ได้อยู่ไกลโพ้น แต่ความสว่างมันอยู่แค่ตรงนี้ คิดได้ มองออก ปลงตก ละวางได้ เข้าใจได้ มันสว่างทันที ทำบุญหวังผลชาติหน้า แต่ประพฤติปฏิบัติดีเอาตอนนี้เลย ทำได้ตอนนี้ก็เข้าใจตอนนี้ สว่างตอนนี้ สุขตอนนี้ ทำไมต้องไปหวังผลดาบหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมต้องบอกว่าเดี๋ยวก่อน ทำตอนนี้เลยถูกไหม (ถูก)  เราถามท่าน มาฟังธรรมเพื่ออยากจะได้ดี ใช่ไหม ทำบุญสุนทานเพื่ออยากจะได้ดีในอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมต้องรออนาคต ทำไมไม่ทำเดี๋ยวนี้แล้วคิดได้ตอนนี้ ปฏิบัติตอนนี้ แล้วดีตอนนี้ล่ะ ถ้ายอมรับเรานิดหนึ่ง นั่งตรงนี้ก็เป็นสุข แต่ถ้ารำคาญเรามากๆ นั่งตรงนี้ก็เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมสอนให้ละหรือธรรมสอนให้ยึดความคิดตัวเอง ธรรมไม่ใช่สอนให้ละวาง แล้วมองความจริงอย่างเข้าใจและเป็นสุข จริงไหม (จริง)   ยึดว่าไม่เอาๆ แล้วใครทุกข์ (เรา)  เราทุกข์กับท่านไหม (ไม่)  เราก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนท่านกราบพระแต่ถ้าท่านไม่เอาใจพระไป พระจะไปกับท่านไหม กราบพระแต่ไม่เอาหัวใจแห่งพระไป ท่านจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  แต่ธรรมสอนให้เราทำโดยไม่หวังผล เพราะธรรมสอนว่าถ้าหวังผลก็แปลว่าเราอยากหาตัวตนไปรับผลแห่งบุญกรรมนั้นไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมสอนให้เราละวาง ไม่เหลือตัวตนให้ต้องยึดถือและเป็นทุกข์อีกต่อไป ในเมื่อถึงที่สุดตัวตนเราก็ต้องทิ้งไว้บนโลกใบนี้ แล้วเราจะหาตัวตนอีกตัวตนเพื่อไปรับบุญรับกรรมทำไมอีกเล่า จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นหากท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจใคร่ปฏิบัติในหลักธรรม ธรรมสอนว่ารู้แล้วทำให้ดีที่สุดแล้ว ก็ละวางอย่างเข้าใจ จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่ทำจนถึงที่สุด แล้วก็ยึดอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทนว่าต้องดี ร้ายไม่ได้ มันเป็นไปได้ไหม (ได้)  ถามว่าในชีวิตท่านมีดีไม่มีร้ายมีไหม (ไม่มี)  แล้วเราทำอย่างไรล่ะ จะปฏิบัติอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ท่านเคยได้ยินคำนี้ไหมว่า ในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย ฉะนั้นที่วันนี้มองเห็นว่าร้าย มันอาจจะมีดี และที่มองเห็นว่าดี มันอาจจะมีร้าย และถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ ใครจะลวงหลอกท่านด้วยความร้าย หรือด้วยความดี มีแต่เราหลอกใจตัวเองก่อน เห็นว่าเขาดี แต่พอถึงเวลาเห็นว่าเขาร้ายทำใจไม่ได้ พอเห็นว่าเขาร้ายจนหาดีไม่ได้ดี แล้วก็สร้างศัตรูแล้วก็ทุกข์  แต่ถึงที่สุดเขาก็มีดี แล้วใครล่ะที่สร้างศัตรูไม่สร้างมิตร (เรา)  ฉะนั้นธรรมสอนว่า จงมองทุกอย่างเป็นกลาง อย่ายึดติดร้าย หรืออย่ายึดติดดี แล้วเราจะอยู่บนโลกอย่างไม่โดนหลอกลวง และเราจะอยู่บนโลกอย่างคนที่เข้าใจและไม่เจ็บปวด
ถ้าอย่างนั้นถามต่อนะ เงินมีมากๆ  ดีไหม (ไม่ดี)  มีสวนยางหลายๆ ไร่ หลายๆ ต้นดีไหม ราคายางขึ้นสูงๆ ดีไหม (ดี)  ขนาดพูดจนจบแล้วนะ ก็ยังไม่เข้าใจนะ เมื่อไหร่ที่ดีใจมากๆ กับสวนยาง เมื่อนั้นก็จะเจ็บปวดมากๆ กับต้นยาง เมื่อใดที่ดีใจมากๆ กับราคายางสูง เมื่อนั้นก็จะทุกข์มากๆ เมื่อราคายางตก ฉะนั้นอย่ามองแต่ความชอบชัง อย่ามองแต่ความดีร้าย แต่จงมองความจริงว่าในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ถ้าวันหนึ่งมีคนเดินมาบอกว่า  วันนี้ฉันตัดใจแล้ว ฉันมีเงินก้อนหนึ่งอยากให้เธอเอาเงินไปลงทุน ไปปลูกยางเยอะๆ  ฉันไม่เอาเงินเธอสักบาท ปล่อยทิ้งไว้เสียดาย เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ให้เงินลงทุนไปปลูกยาง ปลูกจนโตเลยนะ แล้วจะเก็บผลก็ให้ท่านเก็บ เอาไม่เอา (เอา)  ว่าอย่างไรฝ่ายชายเอาไม่เอา (ไม่เอา)  ฝ่ายหญิง (ไม่เอา)  พี่เลี้ยงฝ่ายหญิง (ไม่เอา)  พี่เลี้ยงฝ่ายชาย (เอา)  ส่วนใหญ่เอา แต่ท่านอย่าลืมนะ ใจคนเปลี่ยนง่าย คำพูดคนอาจจะไม่แสดงถึงความจริงแท้ที่อยู่ภายใน เขาบอกว่าเขาไม่ แต่ถ้าเขาพูดว่า เขาไม่เอาในตอนนั้น แต่ตอนนี้ฉันจะเอา เจ็บไหม ทุกข์ไหม ลงแรงไปตั้งเยอะ คาดหวังสูงเป็นอย่างไร เขาร้ายหรือเราร้าย (เรา)  เราไม่ร้ายแต่ความโลภทำให้เราร้าย
จากที่จะดีกันเป็นอย่างไร ด่าโกรธ และหาว่าเขา (ร้าย)  ใช่ไหม อย่างนั้นเราพูดตรงๆ จากใจจริงที่ยุติธรรม เขาไม่ร้าย ท่านนั่นแหละโดนเขาหลอกแล้วไม่รู้เองใช่หรือไม่ หรือถ้าจะบอกว่าร้ายก็พอๆ กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนที่ท่านมักจะพูดว่าบางคนปากร้ายแต่ใจดี  สวยแต่รูปจูบไม่หอม  ก็รู้อยู่แก่ใจ  เห็นไหมพูดอะไรรู้หมด แต่ถึงเวลาเขาเอาเงินมากองเอาไม่เอา (เอา)  เหมือนถ้าวันนี้ให้สามตัวเอาไม่เอา (เอา)  เราให้ได้ แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่าเมื่อขึ้นสูงสุดก็ต้องตกเจ็บสุด เมื่อรู้ว่าโชคดี คืออะไร แล้ววันหนึ่งท่านก็จะรู้ว่าโชคร้ายที่สุดคืออะไร ฉะนั้นจะเอาโชคดี ดีไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นเราไม่ให้สามตัว ให้สี่ตัวเลยดีไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นไม่เอาก็ไม่ให้นะ  ไม่ให้ก็ไม่เอา ถ้าให้ก็เอา  ฉะนั้นถ้าท่านพึงระลึกอยู่เสมอในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ปากร้ายก็อาจจะใจดี หน้าสวยแต่อาจจะใจคด ใช่หรือไม่ ไม่อยากสุขมาก ก็ไม่ต้องทุกข์มาก ไม่อยากสูงมาก ก็ไม่ต้องตกเจ็บมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าท่านเข้าใจหลักธรรมง่ายๆ ตรงนี้มีหรือจะโดนหลอกกับคำว่าดีหรือร้าย ทุกข์สุข เพราะถึงที่สุดจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเราต่างหาก คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก)  ถึงที่สุดก็ขาดคนเดินตามและปฏิบัติจริงใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) 
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ จงมองให้เกิดธรรมแล้วจะเกิดบุญ เกิดกุศล แต่มองอย่างคนยึดติดในชอบชังดีร้าย ก็หนีไม่พ้นเวียนวน เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดี เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เจ็บปวดไม่สิ้นสุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีเป็นของคนที่ประเสริฐ ประพฤติ ปฏิบัติสิ่งดี เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความสุข แต่เวลาปฏิบัติดีแล้วจนถึงที่สุด ก็อย่าลืมละวาง อย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไปนะ  ไม่ใช่เป็นคนดีแล้วว่าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็เรียกว่า หลงติดดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะธรรมที่แท้จริงรู้จนถึงที่สุด ทำจนถึงที่สุด ก็ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และปล่อยวางถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราไม่สร้างเหตุปัจจัยแห่งการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่า ฉันดี เราก็ไม่ต้องมีผลแห่งตัวตน ต้องไปรับดี แต่ถ้าเราดี เพราะความดี ก็ไม่มีตัวตนให้ไปยึดถือรับผลดี วัฏฏะก็ถูกตัดลงทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  แต่จะมีใครหนอเข้าใจเหมือนที่เราพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราใคร่ถามจนถึงที่สุด สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดดับ สังขารล้วนมีวันเสื่อมสลาย แต่จิตญาณเดิมแท้ ถ้ากลับคืนความว่างก็พ้นเวียนว่าย แต่ถ้าเข้าสู่ความยึดถือในบุญบาปแล้วไซร้ ก็หนีไม่พ้นทะเลทุกข์ หรือที่เรียกว่า วัฏสงสาร
พึงระลึกไว้เสมอนะ ทุกสิ่งเกิดทุกสิ่งดับ จงอยู่กับปัจจุบันขณะ  อย่าให้ความคิดวนเวียนอยู่กับอดีต กลุ้มกังวลอยู่กับอนาคต จนลืมทำวันนี้ตอนนี้ให้ดีที่สุด ถ้านั่งตรงนี้ด้วยสติและอยู่กับปัจจุบันเข้าใจในสิ่งที่เราพูด แต่ถ้านั่งตรงนี้ มัวห่วงโน่น ห่วงนี่ ตรงนี้ก็ไม่ดี ตรงนั้น ตรงโน้นก็ไม่ดี แล้วใครที่ทุกข์ (ตัวเรา)  พุทธะยื่นมือดึงให้ท่านพ้นทุกข์ แต่ท่านไม่จับมือพุทธะท่านจะก้าวข้ามทุกข์ได้หรือไม่ (ไม่)  ทุกข์มีไว้ให้เราทุกข์หรือมีไว้ให้เรียนรู้และเข้าใจ หรือเรียนรู้เข้าใจและปล่อยวาง หรือยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรจะยึดติด (เรียนรู้เข้าใจและปล่อยวาง)  มัวจมอยู่กับความคิดชีวิตก็ไม่เหลือดีนะ มัวจมอยู่กับความรู้สึกและอารมณ์แล้วชีวิตจะได้โอกาสในการสร้างบุญอันดีงามหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นตื่นแล้วมองความจริง ยอมรับว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไร  ให้โอกาสตัวเองในการศึกษาหลักธรรม หาทางสว่างให้กับชีวิต ได้หรือไม่ (ได้)  ธรรมที่แท้จริงอยู่ในตัวท่าน หนทางที่สว่างและพ้นทุกข์ก็อยู่ในตัวท่าน  เราเพียงแค่เป็นคนเคาะเรียก แล้วเมื่อไหร่ท่านจะเปิดประตูก็เท่านั้นเอง  เราก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสตัวเองในการมาผูกบุญร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ขอโอกาสให้มาผูกบุญให้ครบสามวันนะ อยากรู้ว่าตัวเอง มีความอดทนมากแค่ไหน อยากรู้ว่าตัวเองสติปัญญาในการฝึกฝนเคี่ยวกรำ และนั่งอยู่ตรงนี้ได้ครบสามวันหรือไม่ ก็ดูการประชุมธรรมครั้งนี้
วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐      สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  แค่ชั่ววูบตามอารมณ์ขาดสติ            พาพลาดผิดสูญเสียทุกสิ่งได้
แค่ชั่ววูบขาดปัญญาหลงตามใจ          ก็อาจไม่มีวันพรุ่งนี้อีกเลย
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคน ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  คนทุศีลเป็นอาจิณวิญญาณเหม็น       เพราะว่าเห็นธรรมดาบาปเหม็นคลุ้ง
คนอื่นคันให้เราเกาสะดุ้ง                 ใครช่วยขัดก็ยุ่งพัวพันใคร
เรียกไม่มาต้องยอมรับกำลังหลง          ทุ่มแรงลงเจ็บอย่างไรต้องแก้ไข
ชีวิตที่ล้มเองลุกเองได้                     เฝ้าเก็บจิตตัวในให้สำรวม
เรื่องจะดีจะร้ายดูวินัย                    ทุกสิ่งกว่าดีได้อย่าหละหลวม
มีวินัยได้ประโยชน์แก่ส่วนรวม           เลิกคิดเองที่กำกวมรบกวนใจ
กิเลสนั้นไม่เคยมีใจสังเวช                 เป็นต้นเหตุปัญหารากแก้วใหญ่
ปล่อยเนิ่นช้าจะถอนไม่สบาย            ทึ้งถอนขุดถูกคนไซร้เวทนา
                                                                   ฮา ฮา หยุด
  
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้เรามาศึกษาธรรมกันดีไหม (ดี)  สิ่งที่เราไม่สามารถหาได้ในโลกใบนี้คือปัญญาใช่ไหม (ใช่)  จะหาได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเรียนรู้ เราต้องฟัง เราต้องศึกษาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดทำอะไรแล้วเกิดปัญญา อาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์จะมาฟัง ศิษย์จะมาเรียนรู้ไหม (มา)  ศิษย์เคยหรือไม่อยู่ในโลก คิดอะไรทำอะไรช้ากว่าคนอื่น เพราะปัญญาไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนโบราณสอนลูกหลานว่าอยากมีปัญญาดีต้องรู้จักใฝ่เรียน รักการเรียนรู้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ในสมัยก่อนเขาไปเรียนที่ไหนไม่ได้ เขาก็ไปเรียนที่วัด เพราะได้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปเรียนที่วัดนอกจากจะได้ปัญญาแล้วยังได้ความสงบ ความละวาง เพราะอยู่ในโลกบางทีวุ่นวายไม่ค่อยได้ความสงบ เข้าวัดบ้าง ฟังธรรมบ้าง จะได้สงบบ้าง วางบ้าง ละบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาฟังธรรมแล้วเกิดปัญญากับไปหาเงินข้างนอกแล้วได้เงิน ศิษย์ว่าปัญญากับเงินอะไรหาได้ง่ายกว่ากัน (เงิน) 
จริงหรือศิษย์  หาเงินง่ายกว่าหาปัญญาอีกหรือ อาจารย์พึ่งรู้นะ อาจารย์ว่าหาปัญญาง่ายกว่าหาเงินอีก จริงไหมศิษย์ (จริง)  แค่เขาพูดอะไร ศิษย์แค่นิ่งฟังได้ความรู้ แค่อย่าบอกตัวเองว่าฉันรู้แล้ว ลองฟังอีกทีสิ่งที่รู้อาจจะไม่รู้ก็ได้ และสิ่งที่รู้อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ และปัญญาที่แท้จริงมันเกิดจากการฟังใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นต้องในวัด ใครก็ได้เราน้อมที่จะฟัง พร้อมที่จะฟัง เราได้ปัญญาทุกที่ถูกหรือไม่ แต่เราเคยฟังใครไหม อย่าพึ่งพูดๆ ฉันพูดก่อนจริงไหม (จริง)  อย่าอ้าปาก ฉันรู้เลยเธอจะพูดอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมปัญญามันดีกว่าเงินตรงไหน เงินตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เงินทำให้ใครรักได้ไหม (ไม่ได้)  นึกว่าได้ อาจารย์พูดจริงเงินมันทำให้รักได้ แต่รักแบบแป๊บๆ แต่อยู่กันด้วยปัญญาธรรม อยู่ด้วยความซื่อตรงต่อกัน อยู่ด้วยความจริงใจต่อกันมันนานกว่าใช่ไหม (ใช่)  แต่ปัญญามันดีกว่าตรงไหน ถ้าเสียชีวิตไปปัญญาที่เข้าใจในธรรม ปัญญาที่เห็นธรรมแจ่มแจ้ง เห็นชีวิตแจ่มแจ้งนั่นแหละไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติมันก็จะตามติดศิษย์ และทำให้ศิษย์แม้จะตกนรกมันก็เกิดปัญญาที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาที่ใฝ่ดี ปัญญาที่รักการทำดี ปัญญาที่มุ่งมั่นปฏิบัติดีนั่นแหละที่จะทำให้ศิษย์พ้นจากเภทภัยอันตรายทั้งปวง แต่ทำไมหนอคนในโลกกลับรักเงินมากกว่าปัญญา หมดเงินมีปัญญาหาใหม่ได้ แต่มีเงินถ้าไร้ปัญญาเงินก็หมดได้จริงไหม (จริง)  อาจารย์จะบอกให้ว่าจิตที่สว่างไสวคือจิตที่อาบอิ่มในบุญในธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  และจิตที่สว่างไสวเกิดได้ด้วยการฟังธรรม ฉะนั้นคนโบราณจึงชอบที่จะใฝ่ธรรมฟังธรรม เพราะธรรมทำให้จิตเราสว่าง กระจ่าง ไม่ขุ่นมัว ไม่หมองมัว ถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่า ถ้าทำแล้ว มันทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ใจมันก็บาปแก่ตัวเอง ถูกไหม (ถูก)
สมมติว่าแอปเปิ้ลลูกนี้มันเป็นความทุกข์ แล้วอาจารย์จงใจปาทุกข์ไปให้ศิษย์จะรับหรือไม่รับ (ไม่รับ)  แล้วจะเก็บหรือไม่เก็บ (เก็บ)  บางทีเห็นชัดว่ามันเป็นทุกข์ ไม่รับ แต่เก็บไว้ในใจ แล้วก็เอามาคิดแล้วคิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นโง่หรือฉลาด (โง่)  อาจารย์ถามใหม่ ถ้าแอปเปิ้ลนี้มันเป็นความแย่ ความไม่ดี ความชิงชัง เขาปาไปแล้วจะเก็บหรือไม่เก็บ (ไม่เก็บ)  แล้วถ้ามันโดนเราจะเจ็บหรือไม่เจ็บ (เจ็บ)  แล้วถ้ามันเจ็บแล้วเราจะเก็บมาอีกไหม (ไม่เก็บ)  คิดไหม (คิด)  ถ้าคิดไม่เก็บแต่มันก็เหมือนเก็บนั่นแหละ ถ้าแอปเปิ้ลนี้กินแล้วมันแย่ กินแล้วมันทำร้ายตัวเอง กินหรือไม่กิน (ไม่กิน) 
เหมือนกัน บุหรี่ยังสูบอยู่ไหม (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนผู้ชาย) แอปเปิ้ลก็เหมือนเหล้า กินแล้วไม่ดีกินไหม (ไม่กิน)  กินแล้วมันตายจะกินไหม (ไม่กิน) จริงหรือ แล้วที่แอบกินคืออะไร โง่หรือฉลาด แอปเปิ้ลมันก็เหมือนความทุกข์ เขาโยนมาให้เราทุกข์ เขาโยนมาให้เราเจ็บ เราจำเป็นต้องเก็บมาคิดไหม เราจำเป็นต้องเก็บมาทุกข์ไหม เก็บไหม ถ้าศิษย์เก็บ ศิษย์ก็คือคนโง่ที่ทำร้ายตัวเองให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ และเจ็บไม่จบสิ้นจนกว่าจะเลิกคิดได้ จริงไหม (จริง)  แล้วปล่อยให้มันเน่าอยู่ภายในใจของตัวเอง ไหนบอกว่ารักตัวเอง รักไหม ขนาดซื้อผลไม้ ลูกนี้ดี ขนาดเลือกเพื่อนก็เลือกเพื่อนที่ดี แต่ที่เก็บไว้ในใจมันดีไหม (ไม่ดี)  มีแต่คำนินทาเขา เกลียดเขา ด่าเขา อยากว่าเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าสมมติเหมือนพระพุทธะ  ทุกคนเอาแต่หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้ามันเป็นทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำให้ทุกข์มันกลายเป็นทางพ้นทุกข์ล่ะ ทำไมจึงเอาทุกข์นั้นมา กรีดเนื้อตัวเอง มาทำให้ตัวเองเจ็บใจ มาทำให้ตัวเองเสียใจ มาทำให้ตัวเองทำใจไม่ได้ มาทำให้ตัวเองอ่อนแอ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พุทธะสอนให้ท่านรู้ว่า “จงเอาทุกข์มาทำให้ตัวเองเข้มแข็ง” ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราหาทางออกให้ตัวเองได้ การที่เราจะหาทางออกให้คนอื่นก็ไม่ยาก แล้วศิษย์ก็รู้ว่า คนที่หน้าตาอิ่มเอิบตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนคนก็รับรังสีของความอิ่มเอิบนั้น แต่คนที่เอาแต่เก็บทุกข์ไว้ในใจ ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกหดหู่และไม่สบายใจ ฉะนั้นเราจะเก็บทุกข์มาให้พ้นทุกข์แล้วยิ้มแย้ม หรือเราจะเก็บทุกข์เพื่อมาทำร้ายตัวเอง และมาทำร้ายคนรอบข้าง ศิษย์บอกว่าทำใจไม่ได้ รับไม่ได้อาจารย์ก็ไม่ให้เก็บ คนโง่เท่านั้นที่เก็บ แต่ศิษย์เคยคิดไหมว่า แม้โชคชะตาจะไม่ดี วาสนาไม่ดี แต่คนที่ใฝ่ดีและใจคิดดีตลอด เรื่องที่ไม่ดีก็อาจจะดี และที่บอกว่าเป็นทุกข์หากคิดให้ดีๆ ก็อาจจะเป็นยารักษาทุกข์ก็ได้ ฉะนั้นอยู่ที่ตัวศิษย์ คิดได้ก็เป็นสุข คิดไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ทำใจได้แม้ทุกข์ที่สุดก็ยังยิ้มได้ แต่ถ้าทำใจไม่ได้ แม้สุขเล็กๆ ก็กลายเป็นทุกข์ได้  ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์มาแล้วอาจารย์อยากขอบิณฑบาตร ว่าเวลาศิษย์ทำอะไรก็ขอให้มีสติยั้งคิดสักนิดหนึ่ง อย่ามัวเอาแต่อารมณ์ อย่าเอาแต่ใจ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบครอบงำจนทำให้เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมได้ยอม ถอยได้ถอย แพ้ก็ได้ไม่เป็นไร ถ้าทำให้เขาชนะแล้วมีความสุข ถ้าทำให้เขาได้ เราแพ้บ้างไม่เป็นไร เรายอมถอยบ้างจะเป็นอะไร ดีกว่าที่เราจะกินมากกว่าคนอื่นหน่อย ชนะคนอื่นหน่อย แต่ถึงเวลาความชนะนั้นทำให้เราไม่สุขใจ แพ้บ้างไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอถึงเวลาคนที่เลี้ยงวัว กลับมาวัวหายเป็นอย่างไรยอมไหม (ไม่ยอม)
พุทธะช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง พุทธะไม่ช่วยคนที่เอาแต่ขอ เอาแต่รอแล้วไม่ทำอะไร  นั่นไม่ใช่พุทธะที่แท้จริง  มีพุทธะที่ไหนให้กับคนที่งอมืองอเท้า อย่างนี้ไม่ใช่พุทธะ  พุทธะที่แท้จริงต้องให้เขาเติบโตเข้มแข็งและยืนหยัดด้วยตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์จะต้องปั้นให้ศิษย์ยืนได้ด้วยตัวเอง ถ้าจะนั่งก็ต้องนั่งด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ  ถ้าตอบได้ได้นั่ง ถ้าไม่ได้ก็ยืน ดีไหม ทุกคนต้องช่วยตัวเองนะ แต่มีอีกแบบหนึ่ง ถ้าช่วยตัวเองได้ แล้วเราเปลี่ยนใจไม่ช่วยตัวเองไปช่วยคนอื่นก็ได้นะ อาจารย์ถามว่าเราอยู่ในโลก อะไรทำให้เราสบายใจ สุขใจ (ความดี)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์คงทำดีบ่อยๆ ไม่แอบทำผิดศีลใช่ไหม (การปล่อยวาง, ศรัทธาในความดี, ธรรมะ)  ถ้าปล่อยวางตั้งแต่เมื่อวานก็มีความสุขแล้ว เพิ่งจะมาปล่อยวันนี้ช้าไปหน่อยแล้ว ถ้าปล่อยความยึดมั่น ความคิด เราก็คงมีความสุขตั้งแต่วันแรกแล้วใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบจะนั่งไหม (นั่ง)  ให้ตัวเองนั่งหรือให้เพื่อนนั่ง (ให้เพื่อนนั่งเป็นเพื่อน)  เข้าใจพูดนะ แต่โชคดีไม่มาบ่อยๆ ต้องมีคนได้และมีคนเสียสละ แล้วความจริงเป็นอย่างนี้นะ ไม่มีใครดีแล้วโชคดี ต้องมีคนหนึ่งได้ดีและอีกคนต้องยอมเสียสละความดี แล้วความดีนั้นจะยิ่งใหญ่ ถ้าอย่างนั้นคนตอบจะนั่งหรือให้คนอื่นนั่ง (ให้คนที่อาวุโสกว่านั่ง)  ให้อาวุโสกว่านั่งนะ ถ้าอย่างนั้นคนอายุน้อยอดนั่ง อาจารย์บอกว่าเราอยู่ในโลกมนุษย์ทุกคน อยากแสวงหาความสบายใจ อยากแสวงหาความสุขถูกไหม (ถูก)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ ตั้งแต่ศิษย์แสวงหามา ไม่ว่าจะเงินทอง ไม่ว่าจะรถ ไม่ว่าจะเกียรติยศ ไม่ว่าจะชื่อเสียง ไม่ว่าจะคนรัก ไม่จะว่าลูก ไม่ว่าจะทรัพย์สิน ไม่ว่าจะบ้าน ที่ศิษย์หามาทำให้ศิษย์สบายใจไหม ทำให้ศิษย์สุขใจไหม (ไม่)  มนุษย์พยายามหาความสบายใจ หาความสุขใจ อย่างแรกที่ชอบหาคือ คิดว่ามีเงินแล้วจะสบาย คิดว่ามีสามีแล้วจะสบาย คิดว่ามีภรรยาแล้วจะสบาย แล้วสบายไหม (ไม่สบาย)  คิดว่ามีเงินแล้วสบายใจ (ไม่สบาย)  ไม่สบายแล้วหาทำไมทุกวัน  คิดว่ามีเงินแล้วจะสบายใจ ถามจริงๆ เงินอยู่ในกระเป๋ามันเคยทำให้สบายใจสักวันหนึ่งไหม (มี)  มีแป๊บเดียว แป๊บหนึ่งก็หาอีกแล้วถูกไหม (ถูก)  ตอนนี้อะไรทำให้สบายใจ (นั่ง)  คิดไปไกลสุดกู่ลืมตัวเองว่าตอนนี้ขาแข็งแล้วอาจารย์ สิ่งที่จะทำให้สบายในที่สุดคือ เก้าอี้  บางทีความสุขใจ ความสบายใจ เราคิดว่าต้องมีนั่น มีนู่น เป็นนั่น เป็นนู่น กว่าจะเดินไปแทบตาย มีเสร็จแล้วสบายไหม (ไม่)  บางทีธรรมดาอย่างนี้ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)
เอาง่ายๆ ศิษย์ เหมือนศิษย์เคยคิดว่าอยู่กับตัวเองไม่เคยมีความสุข ไม่เคยมีความสบายใจ ไปหาสามีอีกสักคนหนึ่งดีไหมหนอ แล้วมันจะสุขขึ้น สบายใจขึ้น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราไม่เคยพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีตอนนี้ เหมือนอาจารย์บอกว่า โอ้โหอาจารย์ตัวเตี้ย อาจารย์อยากไปต่อกระดูกให้ตัวเองสูง อาจารย์ตาตี่ อาจารย์อยากทำตาสองชั้น อาจารย์ผมหงอก อาจารย์อยากเปลี่ยนเป็นผมสีทอง แล้วถ้าอาจารย์ไม่เปลี่ยน อาจารย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะอาจารย์ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น อาจารย์จะมีสุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขเพราะอาจารย์ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองมี ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากหาความสบายใจ ศิษย์อยากหาความสุขใจ อาจารย์บอกง่ายๆ ธรรมดา “แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว” ดั่งมีคำกล่าวคำว่า “รู้พอพบสุข ไม่เคยพอก็ไม่มีวันสุข” จริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าศิษย์บอกว่าอาจารย์ มันต้องหาเงินเยอะๆ สิ มีเงินเยอะๆ มีสุขใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ มีเงินเยอะๆ มีสุข ความสุขมันก็จะเพิ่มพูนตามเงินนั้นด้วย ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ มีเงินเยอะๆ ความสุขมันก็จะเพิ่มขึ้นเยอะๆ แต่ศิษย์เคยคิดไหมว่า พอมัวมุ่งไปเรื่องเงิน เราลืมใส่ใจคนรอบข้างหรือเปล่า อย่างที่ศิษย์เคยเห็น พ่อแม่มัวมุ่งหาเงินให้ลูก แต่ลืมดูลูกว่าเป็นอย่างไร ลูกสบายดีไหม มัวแต่มุ่งหาเงิน ลืมให้เวลาลูกตัวเองหรือเปล่า มัวแต่มุ่งหาเงิน จนกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเพื่อที่จะได้เงินหรือไม่ มัวแต่หวังจะต้องมีเงิน จนกลายเป็นคนผิดศีลหรือขาดธรรมหรือเปล่า ฉะนั้นเงินหรือคือความสุข ถ้าได้เงินมาแต่ทุจริต ชอบโกง เอาเปรียบ กินแรงคนอื่น เงียบเลย  ฉะนั้นอาจารย์อยากถามศิษย์ว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริง ธรรมะอะไรที่คนเรียนรู้ธรรมะพึงมีและนำไปปฏิบัติ ตอบอาจารย์ได้ไหม อยากมีความสบายใจ มีความสุข แต่เอาธรรมะอะไรมาใช้ (นิ่งเฉย ไม่ทุกข์หรือสุข)  ตอบได้ดีนะ แต่จะใช้คำตอบนี้กับทุกคำถามไม่ได้ (ความพอดี)  พอดีก็เป็นปัจจัยที่จะมีสุข พอบ้างแล้วยัง อายุมากขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ยังหาอีกนะ สังขารจะไม่ไหวแล้วนะ ถือไม้ตะพดแล้วนะ ไม่ต้องห่วงลูกหลานหรอก  ถ้าทำได้ดี เดี๋ยวลูกหลานก็หากินเอง ไปหามาให้ลูกหลานพอถึงเวลา ลูกหลานงอมือ แม่ขอเงิน พ่อขอเงิน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ว่าทำอย่างไรเราจึงจะสบายใจจะต้องทำอย่างไร เราถึงจะสุขใจ
พระพุทธะสอนไว้ว่า ละปัญหาได้ ละทิฐิได้ ละความมานะ หลงตัวเอง อหังการ ลำพองชูคอพองตัว พองขนได้ ไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีสุข     แต่มนุษย์ไม่ใช่ ไปอยู่กับใคร ก็คิดว่าฉันจะได้อะไรจากเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  ไปอยู่กับใครฉันแน่นะ มีใครจะแน่กว่าฉัน แล้วไปอยู่กับคนอื่น มีใครนอบน้อมมีไหม ไม่มี แน่มาจากไหน ฉันก็แน่เหมือนกันนะ รู้เสียบ้างใครเป็นใคร ถ้าอยากอยู่ไหนมีความสุข อยากอยู่ไหนสบายใจ ต้องลดทิฐิ ต้องลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ต้องปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นแล้วไปอยู่กับใคร ก็ต้องมีเรื่องทุกวัน หรือแม้อยู่กับตัวเองก็ยังหาเรื่องให้กับตัวเองไม่สบายใจได้เลย เช่นคิดว่าวันนี้ไม่ได้เงินจากใครเลย ไม่ได้นินทาใครเลย รู้สึกคันปากยุบยิบเลย แล้วศิษย์รู้ไหมว่า ถ้าศิษย์เข้าใจความสบายใจ เข้าใจความสุขใจที่แท้จริงได้ ศิษย์จะสามารถดับทุกข์ทั้งมวลในโลกนี้ได้ แล้วอะไรคือหัวใจแห่งธรรมที่เรียนรู้แล้ว จะทำให้เราพบความสุข พบความสบายใจ แล้วดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
(การย้อนมองดูตัวเอง)  ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีอะไรใช่และไม่ใช่นะ แต่อาจารย์จะบอกว่า คำตอบที่แท้จริงที่จะทำให้เราอยู่บนโลกและเป็นหัวใจของการดับทุกข์และอยู่บนโลกอย่างมีความสุขและสบายใจคือ  ละความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นหัวใจและแก่นแท้ของการดับทุกข์ได้สิ้นเชิง จริงไหม (จริง)  ใครว่าเรามาถือสาไหม (ไม่ถือ)  แล้วทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  หาเงินมาได้ไม่ได้เป็นไรไหม (ไม่เป็น)  เมื่อไม่ถือก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าหาเงินมาไม่ได้แล้วถือเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแฟนยึดไหม ถ้าเราไม่ยึดยอมรับสิ่งที่เป็นยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำด้วยกำลังเต็มที่ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ไม่อายฟ้าไม่อายดิน ไม่โกหกตระบัดสัตย์ผู้คน ทำถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็แค่ยอมรับ แล้วเราจะทุกข์อะไรศิษย์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน มีผมก็ทุกข์เพราะผม มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีทุกอย่างทุกข์ทุกอย่างเลย จริงไหม (จริง)  เพราะอะไร เพราะยึด ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าแค่รู้ใช้ ถึงที่สุดก็แค่ปล่อยวางและคืนเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์อาจารย์ขอไม่ใช้คำว่าปล่อยวาง ให้ใช้คำว่า   “ละความยึดมั่นถือมั่น” ตอกเข้าไปในจิตใจ เพราะศิษย์มักจะพูดว่าปล่อยวาง แล้วพอถึงเวลาก็ไม่ดูแลสามีและลูกจะไปห้องพระอย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้ศิษย์ต้องรับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ทอดทิ้ง ไม่ถูกนะ เดี๋ยวคิดว่าอาจารย์จี้กงสอน ที่ถูกคือละความยึดมั่นถือมั่น แต่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ต้องวางแล้วไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรๆ ก็ปล่อยวาง ปล่อยแล้ว วางแล้ว เลยกลายเป็นไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างนั้นไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำอย่างไร (ระวัง)  ระวังความยึดมั่นถือมั่นความห่วงความกังวล อย่างที่อาจารย์ชอบพูด หัวอกความเป็นพ่อเป็นแม่มันก็ต้องห่วงลูกกลัวลูกจะเจ็บกลัวลูกจะลำบาก กลัวลูกจะไม่มีกิน ที่กลัวคือแช่งลูกตลอดเลย จริงไหม (จริง)  ก็พ่อแม่วาจาศักดิ์สิทธิ์แล้วที่คิดศักดิ์สิทธิ์ไหม แล้วคิดดีไหม แช่งลูกตลอดเลยแล้วมันจะดีไหม ฉะนั้นไปไหนก็ต้องคิดว่าลูกต้องปลอดภัย
ฉะนั้นถ้าจะคิดก็ต้องคิดให้ถูก คิดอย่างไปในทางบุญ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งว่า คนทุกคนปรารถนาโชควาสนาที่ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเราเกิดมาเราอยากโชคดีไหม (อยาก)  อยากวาสนาดีไหม (อยาก)  ใครๆ ก็อยากโชคดี วาสนาดี แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าคนเกิดมาโชคดีแล้ว ใจยังคิดดี ปฏิบัติก็ยังปฏิบัติดี ศิษย์เชื่อไหมว่าคนเช่นนี้เขาเรียกว่าคนมั่งมีศรีสุข แต่ในทางอีกทางหนึ่ง ถ้าเราเกิดมาชะตาไม่ดี แต่เราคิดดีตลอด เราใฝ่ดีตลอด แม้ชะตามันจะเกิดไม่ดี เชื่อไหมว่า แม้จะขัดสน แม้จะอับจน แม้จะเจ็บปวด ก็หัวเราะได้จริงไหม (จริง)  แต่ศิษย์อาจารย์ชะตาไม่ดียังคิดไม่ดีแถมยังทำไม่ดีอีก คนที่ทำเช่นนี้ช่างอาภัพนักแลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นชะตาไม่ดี คิดดีแล้วทำดีจนถึงที่สุด ศิษย์จะหัวเราะได้แม้เจ็บ ศิษย์จะหัวเราะได้และมีความสุขได้แม้สูญเสีย ศิษย์อาจบอกว่าอาจารย์มันทำยากนะ เดี๋ยวอาจารย์จะบอกวิธีสนใจไหม (สนใจ)  แต่อาจารย์ก็ต้องบอกอย่างหนึ่ง คนบางคนน่าเสียดาย เกิดมาชะตาดี แต่ชอบคิดร้าย วาสนาดีแต่ชอบทำผิด ศิษย์เอ๋ยคนเช่นนี้แม้จะมีทรัพย์สินพรั่งพร้อม แต่เชื่อไหมว่า เขาไม่มีวันมีความสุข เพราะใจมันอดคิดว่า ไม่เอา ไม่พอ ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  เคยเห็นลูกที่มีทุกอย่างพร้อมแล้วเราก็เลี้ยงตามใจไหม เขาเป็นอย่างไร เท่าไรก็ไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ขออนุโลมว่า แม้ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นคนโชคไม่ดี วาสนาไม่ดี แต่อาจารย์ขออนุโลมว่า จงเป็นคนที่จิตคิดดี ใฝ่ทำดีไม่ย่อท้อ และรู้จักสำนึกขอขมากรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรม จากหลังมือให้เป็นหน้ามือ จากร้ายให้เป็นดีด้วยจิตใจที่ใฝ่ดีทำดี  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรคิดให้สูง มองให้พ้น อย่าเอาตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ที่ไม่น่าจะทุกข์เลยได้หรือไม่ (ได้)
เรามารู้จักความทุกข์กันหน่อย ความทุกข์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ความทุกข์น่ารักนะศิษย์ ถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์ไม่มีวันโต ทำไมอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เข้าใจคำว่าทุกข์ก่อน เพราะศิษย์เข้าใจคำว่าทุกข์ ศิษย์จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ทุกข์ทำให้เราเติบโตและเข้าใจชีวิต เหมือนอาจารย์ถามว่า ตอนเด็กๆ ใครยืนได้เลยตั้งแต่เด็ก (ไม่มี)  ต้องล้มก่อนใช่ไหม (ใช่)  ต้องคลานก่อนใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราต้องพยายามยืน ทุกข์กี่ครั้งกว่าจะยืนได้ (หลายครั้ง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคลานแล้วเป็นอย่างไร เราทุกข์เพราะคลานนานแล้วใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้เราอยากจะยืนใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีความทุกข์เพราะการคลาน ศิษย์จะยืนเป็นไหม (ไม่เป็น)
ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะความเจ็บศิษย์จะแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะความเจ็บปวดศิษย์จะรู้ไหมอะไรคือความสุข ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะความสูญเสียศิษย์จะรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์น่าเกลียดหรือทุกข์น่ารัก (น่ารัก)  จริงไหม (จริง)  เอาแต่อคติกับความทุกข์ เอาแต่เกลียดความทุกข์ ลองหันไปมองสิถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีเราในวันนี้ เหมือนวันนี้ถ้าไม่ยืนจนทุกข์ขาแข็งจะรู้จักคำว่านั่งเป็นไหม  ฉะนั้นความทุกข์คือสิ่งที่เลวร้ายหรือ น่ารักจะตายใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่มีทุกข์ศิษย์นั่งจนเมื่อยศิษย์จะรู้จักคำว่ายืนเป็นไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
เมื่อสักครู่ใครตอบอาจารย์ๆ  ให้รางวัล  เอาไหม (เอา)  แต่ถ้ารับแอปเปิ้ลจากอาจารย์ แอปเปิ้ลนี้กินแล้วมีทุกข์นะเอาไหม (เอา)
เอาไปตั้งโชว์ไว้มันก็ไม่มีประโยชน์ เอามาโขกหัวตัวเองก็โง่เปล่าๆ ฉะนั้นเอาไปทำอะไร (กิน)  มันก็ได้บุญแก่ตัวเอง รู้จักเอาไปแบ่งปันสิ มันได้บุญที่ยิ่งใหญ่ มันได้บุญที่กว้างไกลกว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ให้แอปเปิ้ลไม่ใช่ให้ตัวเอง ไม่ใช่ให้ศิษย์ แต่รู้จักให้ศิษย์เอาไปให้ต่อ
ถ้าเราไม่ยินดียินร้าย ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เอาไปให้ใครดี จะได้ประโยชน์ และเกิดบุญกว้างไกล จะทำให้เรามีความกตัญญูรู้คุณ
อาจารย์ถามหน่อยว่า ถ้าแอปเปิ้ลนี้ทำให้เป็นทุกข์แต่ต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง มันอยู่ที่ไหน (ใจ)  ตอนนี้ใครตอบได้อาจารย์ให้ ออกมาเอาเลย (อยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราคิดว่าเป็นทุกข์เราก็ทุกข์ ถ้าเราคิดว่าตรงนั้นมีความสุขเราก็สุขได้)
ต้นเหตุแห่งความทุกข์ล้วนมาจาก (ใจที่เราไปยึดมัน)  แอปเปิ้ลนี้จะเป็นทุกข์ไหม ไม่ทุกข์แน่ถ้าได้ไป แต่ถ้าไม่ได้ไปเป็นทุกข์แน่ ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าไม่ยึดแอปเปิ้ลมันก็ไม่ทุกข์ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  พูดได้มันต้องทำได้ด้วยนะ  มีใครจะตอบอาจารย์อีก  เรามีทุกข์เพราะ (เราไม่ยอม ละวางจากความยึดมั่นถือมั่น)
ไม่ว่าจะเกิดอะไร ก็รักษาใจตัวเองให้ดี เพราะในร้ายมันก็มีดี ในดีมันก็มีร้าย อยู่ที่เรามองด้านไหนนะ (ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่นในตัวเอง)  ยึดมั่นในความคิดไม่ปล่อยวาง ยึดมั่นตรงที่ไม่ยอมแพ้ ยอมไม่ได้ ใช่ไหม
(ยึดติดกับทุกอย่างไม่ยอมปล่อยวาง)  ศิษย์ช่วยปรบมือให้กำลังใจกับคนที่กลับมาเข้มแข็งได้แล้วนะ  เริ่มต้นทำวันนี้ให้ดีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและกล้ายอมรับความจริงของชีวิต อาจารย์ถามหน่อย ลองถามคนในโลกสิ มีใครไม่สูญเสีย มีใครไม่พลัดพราก แต่สิ่งที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ก็คือหัวใจที่เข้มแข็ง  อย่าสร้างบาปให้ตัวเองด้วยการซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์ไม่จบสิ้น
(การมีสติปัญญา)  รู้จักมีสติปัญญาในการทำและเมื่อทำถึงที่สุดก็ต้องรู้จักละวาง อย่ายึดมั่น อย่าถือมั่น (โลภ)  โลภทำให้เกิดทุกข์เหมือนตอนนี้โลภอยากได้แอปเปิ้ล ใช่ไหม (ใช่)  ความโลภจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต่อเมื่อ ถ้าเราอยากแล้วได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี แอปเปิ้ลนี้จะเป็นทุกข์หรือเป็นสุขมันต้องอยู่ที่ตัวศิษย์ว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี ใครจะได้ก็ดี ฉันไม่ได้ก็ (ดี) เยี่ยมศิษย์ คิดไปได้อย่างนี้  (ยอมเป็นคนแพ้บ้าง)  ยอมเป็นคนแพ้บ้างเพื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุข  ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์รู้ว่า แก่นแท้ของความทุกข์คือใจ (ความรัก ความหลง) ความรัก ความหลง ทำให้เกิดทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า จริงๆ แล้ว ความรัก ความหลง มันไม่ทุกข์หรอก ถ้าตัวตนมันไม่ยึดถือและตกเป็นทาสกิเลส ฉันรักเขานะ ฉันเกลียดเขานะ แต่ถ้าตัดฉันออกไป รัก โลภ โกรธ ทำให้ใครทุกข์ เพราะมีตัวตนที่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์มันเลยทำให้ทุกข์ จริงๆ แล้ว พุทธะเคยสอนว่า รัก โลภ โกรธ ไม่เคยทำให้ทุกข์ แต่คนที่พยายามจะมีรัก โลภ โกรธ อย่างขาดสติ และไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักยั้งคิด คนนั้นแหละจะทุกข์เพราะตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นไม่มีตัวตน จะมีรักเกิดได้อย่างไร ไม่มีความยินดีในตน จะมีความชอบพอได้อย่างไร ไม่มีความเกลียด ไม่มีความไม่ชอบ จะมีความเกลียดโมโหขึ้นได้อย่างไร เกลียดโมโหเพราะเกิดจากการมีตัวตนที่ยึดถือ ที่เรียกว่าตัณหา แล้วกลายเป็นทิฐิและกลายเป็นมานะ แล้วทำให้ชีวิตไม่เคยมีความสุข  ฉะนั้นถอนตัวเอง แล้วไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ได้เมื่อไหร่ ชีวิตก็พ้นทุกข์  อาจารย์บอกหลายครั้งแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลามันมาเราไม่จำเป็นต้องตามมันไป แล้วเวลามาปล่อยให้อยู่อย่างนั้นไม่ต้องตามมันไป เชื่อไหม ความโลภ โกรธ หลง ก็จะอาย แล้วก็จะจากไปเอง
จริงไหม แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเติมเชื้อมัน เราเติมความคิด เราปรุงแต่งมัน รักหน่อยก็ดีนะอาจารย์ เกลียดหน่อยก็ดีนะอาจารย์ ก็มันนิสัยไม่ดี ขอเกลียดหน่อยเถอะใช่ไหม (ใช่)  พอเราไปให้ค่า ไปให้พลัง มันก็เลยคุกรุ่นอยู่ในตัว แต่ถ้ามันมาแล้วเราไม่เอา ไม่รัก ไม่เกลียด ฉันจะแค่นี้เท่านี้เฉยๆ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยรู้ทันถึงขนาดนี้ไหม (ไม่เคย)  ใครอยากตอบรีบตอบ (ความไม่รู้จักพอทำให้เกิดทุกข์)  แล้วเมื่อไหร่จะพอ คนนี้พูดได้ดี อาจารย์อยากคุยด้วยหน่อย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกไปหน้าชั้น)  ความไม่รู้จักพอทำให้เราเป็นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ช่วยบอกสูตรหน่อยสิว่า ทำอย่างไรมันถึงจะพอ แล้วมันจะได้สุขสักทีใช่ไหม (ใช่)  อยากรู้สูตรนี้ไหม (อยาก)  ศิษย์เอ๋ย มนุษย์ทุกคนก็อยากพอนะ อยากพอจะได้มีสุขสักทีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำอย่างไรล่ะ ง่ายๆ อาจารย์ถามหน่อย เวลาเราจะดับทุกข์ มันต้องแก้ที่ใจ เพราะใจเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลถูกไหม (ถูก)  ถ้ามองใจตัวเองออก ก็มองใจผู้อื่นได้ ถ้าเห็นใจตัวเองได้ ก็จะเห็นใจผู้อื่นได้ใช่ไหม (ใช่)  เพราะใจคนมีธรรมชาติเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ธรรมชาติของใจคนมีอันหนึ่งที่เหมือนกันคือ ชอบคน เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า มนุษย์ทุกข์เพราะต้นเหตุมาจากใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใจของทุกคนมีธรรมชาติเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  ฉะนั้นถ้าเราอ่านใจตัวเองได้ เราก็จะอ่านใจผู้อื่นได้ ถ้าเราบอกใจตัวเองได้ว่า ใจเราเป็นอย่างไร เราก็จะบอกใจคนอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรามีพื้นฐานเหมือนๆ กันใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใจของเราทุกคนชอบมิตรหรือชอบศัตรู (ชอบมิตร)  ชอบคนด่าหรือชอบคนชม (ชอบคนชม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชอบคนยิ้มหรือชอบคนหน้าบึ้ง (ชอบคนยิ้ม)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์เอาใจไปใช้ในผู้คน ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เจอใครก็ยิ้ม แล้วทุกวันนี้ยิ้มหรือบูด (บูด)  ตั้งแต่อาจารย์มา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากสุขต้องรู้จัก (ยิ้ม)  ไหนยิ้มหวานๆ สิ เหมือนจีบสาวเอาหน้าบูดไปหา สาวมาไหม (ไม่มา)  ทำงานหน้าบูด ใครอยากจ้างไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เอาใจนี้ไปในการดำเนินชีวิต เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์ถามหน่อย ใจของคนโดยทั่วไป ชอบคนเอาเปรียบไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนแช่งชักไหม (ไม่)  ชอบคนโมโหร้ายไหม (ไม่ชอบ)  ที่อาจารย์พูดมาศิษย์เป็นทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารู้จักใจของความเป็นคน เราจะไม่เข้าใจใจของผู้คนหรือ ใช่ไหม (ใช่) 
ง่ายๆ ศิษย์ ไม่มีใครชอบคนโลภ เหมือนกันถ้าศิษย์รู้จักพอ ศิษย์เอาแต่เรียกร้องแฟนดีกว่านี้หน่อยสิ เพื่อนดีกว่านี้หน่อยสิ ศิษย์ไม่เคยพอใครอยากรักศิษย์ ใครอยากอยู่ใกล้ศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  กลับไปนั่งนะ ใจมนุษย์เหมือนๆ กัน ฉะนั้นถ้าบอกใจตัวเองได้ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร ศิษย์ก็มองใจผู้อื่นได้ ถ้าศิษย์เข้าใจว่าใจตัวเองไม่ชอบอะไร แล้วศิษย์ก็เอาใจตัวนั้นไปปฏิบัติกับผู้อื่น ศิษย์ก็จะไม่สามารถบังเกิดทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  ใครชอบให้ศิษย์ไปชี้หน้าด่า ชอบไหม (ไม่ชอบ)  ใครชอบให้ศิษย์โกงไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ผิดศีล ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจ ใจแห่งแท้จริงเราก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้ ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรม)
ถ้ามีชื่อสถานธรรมแล้ว ชื่อนั้นหมายความว่านั่นคือจิตของศิษย์ที่จะต้องฝึกฝนและจะทำให้ได้ดั่งชื่อนั้น และพยายามสร้างคนให้เกิดจิตเช่นนั้นให้ได้ เพราะว่าเราสร้างพระด้วยวัตถุได้ แต่สิ่งที่ยากคือสร้างพระจากใจ และทำคนให้เป็นพระบนแดนดิน เป็นหน้าที่ที่ยาก ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ย้ำเตือนไว้ในจิตใจว่า ต้องอดทน ต้องเสียสละ ทำให้ได้นะ อาจารย์จะให้คำว่าฉือเหมือนกันนะ “ฉือฮุย”(慈暉) ฮุยตัวนี้แปลว่าสว่าง เวลาพูดจะต้องมีสติ เพราะถ้าออกเสียงเพี้ยนไปอีกอย่างหนึ่งก็จะกลายเป็นฉือฮุ่ยของที่นี้ ฉะนั้นมีจิตใจที่เมตตาปราณีอันสว่างใส ดีไหม (ดี)  ทำให้ได้นะ เอาแอปเปิ้ลไป ต้องยอมกลืนความทุกข์ก่อนจะได้พบความหวานนะ มีใครยังไม่ได้มาไหม ฝากไปให้ด้วยนะ ทำให้ได้นะ มันยากหน่อยนะ
มีคนหลายคนยังไม่ได้ตอบอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากแจกแอปเปิ้ล ไม่เอาหรือ คนที่อยู่ต่างประเทศเอาไหม (มีนักเรียนในชั้นตอบต่อ)  ตอบว่า (ให้รู้จักละรูป เสียง กลิ่น รส)  แต่ถ้าเหล้ายังละไม่ได้ บุหรี่ยังเลิกไม่ได้ รูป เสียง กลิ่น รส มันก็ละไม่ได้ ใช่ไหม ฉะนั้นจงรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และอย่าหลงในอบายมุข ไม่อย่างนั้นชีวิตจะจมอยู่กับความมืดมนไม่จบสิ้น เกิดมาทั้งทีชาตินี้ ทำไมไม่เอาดีให้ได้ (ไม่ลด ไม่ละทิฐิในตัวเอง)  ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้จงเป็นคนรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ถอยได้ก็ถอยนะ ยอมได้ก็ยอม (ทุกข์เพราะไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมสละให้ผู้อื่น) 
ทุกข์เพราะว่าบางทีเราสละไม่ได้ ยอมไม่ได้ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะฝึกให้ศิษย์เสียสละ ดีไหม (ดีค่ะ ศิษย์อยากให้คนอื่นที่เขาอยากได้แต่เขาตอบไม่ได้)  มีคนอยากได้ เอาไปให้เขาหน่อยนะ ตอบได้ดีนะ ให้คนหนึ่งได้ถึงสองเลยนะศิษย์ ทำดีอาจารย์ก็ให้กำลังใจนะ เราทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจแก่นแท้ของปัญหา เราทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต ถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ของความทุกข์ ว่ามันมีต้นเหตุมาจากใจ ใจหนึ่งคือใจแห่งความเป็นตัวตนที่เรียกว่า “คน” แต่ใจอีกใจหนึ่งเรียกว่า “ใจอันเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง”
แล้วจะทำอย่างไรให้เราพอได้หรือ มีคำกล่าวว่า “ถ้ามนุษย์เราเข้าใจความจริงแห่งธรรมและรู้ว่าแก่นแท้หรือต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากอะไรเราก็จะสามารถแก้ไขความทุกข์นั้นได้” ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใจ ศิษย์ตอบว่าทุกข์เพราะใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะใจตัวเอง อาจารย์บอกว่าใช่ แต่ใจมันมีสองใจ ใจหนึ่งคือใจแห่งความเป็นคน  อีกใจหนึ่งคือใจแห่งธรรมชาติเดิมแท้ที่ถ้าเราเข้าใจในธรรมชาติเดิมแท้แล้ว ศิษย์จะไม่ทุกข์ด้วยใจอันนี้อีกเลย จริงไหม เหมือนในตัวผู้ชายก็มีใจที่เป็นธรรมชาติของความเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็มีใจที่เป็นธรรมชาติของผู้หญิง แอปเปิ้ลก็มีใจที่เป็นธรรมชาติของแอปเปิ้ล เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม กระเป๋าก็มีใจธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถเข้าใจอันนี้ ใจที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ ใจที่เป็นธรรมเดิมแท้มีอยู่สองใจ ใจหนึ่งใจแห่งคน ใจหนึ่งคือใจเดิมแท้จริง เคยรู้ไหมถ้าใจแห่งคนเราต้องรู้ว่าคนนั้นไม่ชอบอะไร คนไม่ชอบโดนด่า คนไม่ชอบศัตรู ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติใจแห่งคน เมื่อยามอยู่กันคนเราก็จะไม่ทุกข์เพราะคน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ในใจแห่งคนมันมีใจเดิมอีกอันหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ทุกข์เพราะใจแห่งคน แล้วใจเดิมอันนี้ที่มันทำให้ทุกข์อันนี้แล้วเราไม่เคยเข้าใจ มันคืออะไร
ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ไหมว่า สิ่งที่มนุษย์บอกว่ามันน่ายินดี พุทธะบอกว่ามันไม่น่ายินดี  สิ่งที่มนุษย์บอกว่ามันน่ารักพุทธะบอกว่ามันไม่น่ารัก หรือพูดอีกอย่างว่าสิ่งที่มนุษย์พูดบอกว่ามันน่ารักมันคือความประมาท มันคือน่ายินดีมันคือความประมาทจริงไหม (จริง)  มนุษย์มักจะบอกว่านี่คือความสุข นี่คือความน่ารัก นี่คือความน่ายินดี แต่พุทธะบอกว่ามีแต่คนประมาทเท่านั้นเห็นสิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก เห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีว่าน่ายินดี เห็นทุกข์เป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมพระพุทธบอกว่าประมาทล่ะ อาจารย์ถามจริงๆ น่ารักไหม น่ายินดีไหม น่าจะทำให้มีสุขไหม ประมาทนักแล น่ารักแบบนี้ทำให้ไม่น่ารักมาหลายรอบแล้ว ที่น่ายินดีก็ทำให้เราไม่น่ายินดีมาหลายครั้งแล้ว ใช่ไหม แล้วที่บอกว่าทำให้เราสุข มันก็ทำให้เราทุกข์มาหลายครั้งแล้วใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นของธรรมอันนี้ แก่นของธรรมอันนี้สอนให้เรารู้ว่าในใจความที่ศิษย์บอกว่ามันน่ารัก มันน่ายินดี แท้จริงแล้วมันไม่เคยน่ารักให้เราชื่นใจเลย ยินดีให้เรานานเลย เดี๋ยวแป๊บๆ มันก็สุข เดี๋ยวแป๊บๆ มันก็ทุกข์  ถ้าศิษย์ไม่ยึดตัวตนอาจารย์ตีอย่างไรก็ไม่เจ็บ แต่ถ้าศิษย์ยึดตัวตนเมื่อไหร่อาจารย์ตีแค่ไหนก็เจ็บจริงไหม อาจารย์ตีนะจบไปแล้ว แต่ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  อาจารย์แต่ศิษย์มันยังน่ารักอยู่ใช่ไหม ศิษย์ยังเห็นว่ามันน่ายินดีอยู่ใช่ไหม ศิษย์ยังเห็นว่ามันมีความสุขอยู่ใช่ไหม ตัวตนคือความสุขใช่ไหม แต่อาจารย์ถามหน่อยเขามีวันแก่ไหม (มี)  เขามีวันเจ็บไหม (มี)  เขามีวันร้ายไหม (มี)  เขามีวันไม่ดีไหม (มี)  เขามีวันแย่ไหม (มี)  เขามีวันซวยไหม (มี)  เอาไหม (ไม่เอา) 
ยังน่ารักไหม (น่ารัก)  นั่นอย่างไรล่ะ ถ้าเราเข้าใจ ใจแห่งความเป็นธรรม ใจแห่งความเป็นธรรมสอนให้เรารู้ว่า สิ่งที่เรามองเห็นแท้จริงแล้ว ยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น ทุกสิ่งมีเกิด มีดับ มีเปลี่ยนแปลงเสมอไม่มีอะไรที่น่ารัก และน่ายินดีที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่สุขแท้ และทุกข์จริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะรู้ว่าในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด แท้จริงก็ยังไม่สมบูรณ์ ในสิ่งที่ดูดีที่สุด แท้จริงก็ยังบกพร่อง เมื่อเราไม่คาดหวัง ไม่ยึดติด และเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรม ในสรรพสิ่ง ในคนเราจะรักอย่างลุ่มหลงไหม จะเกลียดเขาหัวปักหัวปำไหม จะทุกข์และสุขไหม
ฉะนั้นการเข้าใจธรรม จะทำให้เราอยู่บนโลก แล้วไม่สุขไม่ทุกข์อย่างแท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่มนุษย์มองไม่เห็น  เห็นอย่างเดียว หน้าตาดีนะ  ดูดีนะแต่ลงพุงไปนิดนะ เห็นไหมล่ะ อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจว่า ต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากใจที่เป็นคน กับมาจากใจที่เราไม่เข้าใจธรรม เราจะไม่ต้องทุกข์อีกเลย เหมือนกับคำว่า “มีได้ก็มีเสีย”  “มีพบก็มีจาก”  ถ้าไม่รัก จะเสียใจกับการพลัดพรากกับสิ่งที่รักไหม ถ้าไม่เกลียดจะเป็นทุกข์กับคนน่าเกลียดคนนี้ไหม  ฉะนั้นอะไรหรือที่น่ารัก อะไรหรือที่น่ายินดี ถ้าเราเข้าใจธรรมอันถ่องแท้ ศิษย์อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่อยากยึดอะไร แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เป็นคนให้สมบูรณ์ที่สุด มีศีลมีธรรมให้มากที่สุด ถึงเวลาเราเอาเขาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เกลียดมากแค่ไหนผูกใจเจ็บดีไหม (ไม่ดี)  รักแล้วลากเขาไปด้วยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วยังรักไหม ห่วงไหม (ไม่)  ระวังนะศิษย์ถ้ารักแล้วเราตายก่อน แต่คนที่เรารักยังไม่ตาย ถ้าใจศิษย์ยังห่วง เมื่อนั้นศิษย์ต้องกลับมาหวง และเห่าเฝ้าเขา อยากไหมล่ะ ต้องระวังตัวเองด้วยนะ ศีลธรรม ก็ไม่ค่อยครบ ความเข้าใจธรรมก็ไม่ค่อยมี ได้เกิดแน่ ถ้ายังห่วงเขา
แล้วกับคนที่เกลียดล่ะ ถ้าศิษย์ยังจำได้ขึ้นใจ การเกลียดดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีนะ แล้วยังมีความเกลียดไหม อาจารย์มักพูดบ่อยๆ ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ควรเกลียดไหม (ไม่)  ไม่เกลียดแต่หนูโกรธเลย แช่งชักหักกระดูกเลย ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้นะ การผูกใจเจ็บ การผูกเกี่ยวกรรมกับคนที่เราไม่ชอบมากที่สุด แล้วเรายังจำฝังใจแล้วชอบเอามาพูดบ่อยๆ เชื่อไหมว่าความเกลียดนั้นจะหยั่งลงไปในจิตใจ แล้วจะทำให้ศิษย์ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ศิษย์ก็ต้องตามมาเกลียดเขาไม่จบสิ้น จนกว่าศิษย์จะล้างใจให้หมด กับอีกอย่างหนึ่ง จนกว่าคนที่ศิษย์เกลียดนั่นแหละสิ้นเวรสิ้นกรรมแล้วศิษย์จึงไม่ต้องเจอเขาอีก
อยากไหม (ไม่อยาก)  เอาง่ายๆ ทำไมอาจารย์ถึงพูดแบบนี้ เหมือนพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัต เขาเกลียดพระพุทธเจ้า แล้วทุกภพทุกชาติเขาต้องตามมาเกลียดตามมารังแก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พระพุทธเจ้าพ้นแล้ว เขาจะตามมาเกลียดได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเขาตามมาเกลียดไม่ได้ พอเขาไม่มีพระพุทธเจ้าให้เกลียด เขาเลยสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธเจ้า แปลว่าคนที่พ้นแล้วจากความเกลียด กลับสามารถทำให้คนที่เกลียดนั้นพ้นทุกข์ได้ด้วย แล้วเรายังเกลียดอีกไหม แล้วเราจะรักไหม เจ็บไหม (ไม่เจ็บ) 
พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทได้คำว่า “สำนึกดีบ่อเกิดความดี”
ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ ศิษย์ของอาจารย์มักไม่ใช้สำนึกดี มักชอบใช้อารมณ์มากกว่า ใช่ไหม (ใช่)  เวลาทำอะไรทำตามอารมณ์หรือทำตามจิตสำนึกที่ดีงาม ตื่นมาฉันอยากกินอะไร ฉันอยากไปเที่ยวไหน เคยมีไหมตื่นมาเคยสำนึกดีว่า ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ที่ยังให้โอกาสฉันหายใจอีกหนึ่งวัน และมีชีวิตที่ดีงามอีกหนึ่งวัน เคยตื่นมาแล้วรู้สึกสำนึกขอบคุณทุกๆ คน ที่ยังให้โอกาสเราอยู่หรือไม่ แล้วสำนึกดีจะเกิดได้อย่างไรล่ะ ถ้าศิษย์ไม่เคยใฝ่มันเลย ถูกไหม (ถูก)  สำนึกดีเกิดจากทำแล้วมีเมตตาไหม ทำแล้วโกหกผู้คนไหม ทำแล้วเบียดเบียนคนไหม ทำแล้วดูถูกไม่ให้เกียรติคนไหม ถ้าคิดอยู่ทุกขณะที่เวลาจะทำอะไร สำนึกดีย่อมบังเกิดการทำดีย่อมปกแผ่ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นอยากมีจิตสำนึกที่ดีงามถูกต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองทุกขณะจิตที่ทำ เมตตาไหม เบียดเบียนคนอื่นไหม พูดแล้วทำร้ายจิตใจไม่เคารพให้เกียรติไหม ถ้าทำได้แบบนี้ทุกขณะที่ศิษย์ดำเนินชีวิตก็จะบังเกิดความดี แล้วความดีนี้คือหนทางแห่งผู้บริสุทธิ์และพ้นทุกข์ ดีไหม (ดี)  พอจะรู้เรื่องไหม ลองเอากลับไปตรวจสอบพิจารณาธรรมในวันนี้ที่อาจารย์ได้ถ่ายทอดให้ศิษย์ อาจารย์มีแอปเปิ้ลสองลูก มีใครอยากตอบบ้าง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์โลภนะรู้จักแบ่งปันให้เป็น แอปเปิ้ลลูกเดียวแบ่งให้คนสิบคนก็ยังได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่ไม่ได้สักลูกจะไปแบ่งใครได้ล่ะ เอาไหม บางคนว่าอาจารย์อยู่ในโลกนี้บางครั้งก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสีย ความทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บป่วย และความทุกข์ที่เกิดจากความตาย มันเกิดทีไรก็ทุกข์ทุกที ความสูญเสียเกิดขึ้นที่ผู้ใดผู้นั้นก็ทุกข์ทุกที ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะให้แง่คิดศิษย์รักว่า ก่อนเรามา เรามาด้วยเงินทองที่กอบมาเต็มมือไหม (ไม่)  เรามาด้วยสามีและภรรยาไหม (ไม่)  เรามาด้วยตำแหน่งชื่อเสียงไหม (ไม่)  เรามาคือ (ด้วยใจ)  มาด้วยใจหรือมามือเปล่า มาด้วยบุญแต่มันก็มีบาปด้วย เพราะถ้าไม่มีบาปไม่มีกรรมมันก็ไม่เกิดมาบนโลกนี้ เพราะถ้าบุญที่ดีบุญบริสุทธิ์ก็ขึ้นไปเป็นเทพสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  มันมีทุกข์อีกสองสามอย่างที่ศิษย์มักจะแก้ไม่ได้ คือทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสีย ทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บป่วย และทุกข์ที่เกิดจากความตาย แล้วทุกข์แบบนี้บางทีมันทำใจยาก ใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)  ตาเขาสวยไหม กรีดมันวาวเลย ยิ่งกว่าหญิงอีกนะ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์มีเรื่องดีจะบอก ศิษย์รู้ไหมมนุษย์เกิดมามีกาย ถือว่ามีบุญอันประเสริฐ และยิ่งถ้ามีจิตใจที่ดีงามก็ยิ่งเป็นคนที่ประเสริฐที่แท้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากเตือนไว้นะ อย่ายึดติดในสักมากไม่อย่างนั้นตายไปศิษย์จะได้เป็นเสือลายพาดกลอน หรือไม่ก็ม้าลาย หรือไฮยีน่า ศิษย์เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ชีวิตวันนี้กำหนดอนาคตในวันหน้า สิ่งที่ศิษย์คิดในวันนี้และเป็นในวันนี้ คือตัวกำหนดชะตาชีวิต และชะตากรรมในวันหน้า ฉะนั้นอาจารย์รู้ว่าศิษย์มีจิตที่ดีงาม อันนี้มันเป็นแค่เมามันเล่นๆ แต่อย่าไปติดมันนะ เพราะไม่อย่างนั้น มันจะสร้างภพชาติให้เรายึดติด คนที่สร้างสักลาย เพราะใจลึกๆ มันยังชอบลวดลาย แล้วลวดลายนี้มันมาจากไหนล่ะ เพราะว่าเรายังไม่ลืมภพภูมิเก่า ภพภูมิเก่าที่เราได้เป็นเสือ เข้าใจใช่ไหม ยิ้มสักนิดหนึ่งสิ เสือยิ้มยากหรือ วันนี้สร้างบุญกับอาจารย์หน่อยได้ไหม  ทำบุญง่ายๆ ถ้าทำได้อาจารย์ให้แอปเปิ้ล 2 ลูกเลย คนอื่นได้ลูกเดียว ศิษย์ได้ 2 ลูกเลย เอาไหม ได้นะ ถ้าอย่างนั้นเดินไปนะ ยกมือสวัสดี และยิ้มหวานๆ สวัสดีครับ เดินไปทั่วห้อง แล้วกลับมาหาอาจารย์ เร็วๆ ทำเลยๆ เรื่องบุญ (คนในชั้นปรบมือให้)  ศิษย์เอ๋ยสร้างบุญต่อ ขอบคุณๆ ร่มเย็นๆ ไม่ได้ให้ปรบมือ ให้บอกขอบคุณ ร่มเย็นๆ จะได้บุญต่อจริงไหม จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน จิตที่รู้จักเคารพนับถือผู้อื่น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่นั่นแหละคือจิตสำนึกที่ดีงาม แล้วเมื่อเขามีจิตสำนึกที่ดีงาม ศิษย์ยังรู้จักให้พร ให้กำลังใจ ร่มเย็นๆ นะ บุญรักษานะ อาจารย์อยากให้เขาได้ร่วมบุญ เอาแอปเปิ้ลไปทำอะไรดี (กิน)  เอาไปทำอะไร ถ้าคิดไม่ออกอาจารย์เอาคืน (เอาไปให้พ่อแม่ครับ)  พ่อแม่ก็ได้ เพื่อนก็ได้ ใครก็ได้ (เพื่อนไม่ให้ครับ)  ศิษย์เอ๋ยผีมันเห็นผี ถ้าเขาไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ดีเหมือนกัน  ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก  แต่มันก็ต้องมีดีด้วยกันทุกคนแหละ แต่มันอยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะหันด้านไหนในการดำเนินชีวิต ทุกคนมีจิตสำนึกดี อาจารย์ถามว่าเวลาทำผิด มโนธรรมสำนึกมันคอยเตือนใจบ้างไหม เราเคยขโมยเขา เราเคยทำผิด เราเคยด่าคน ฉะนั้นถ้าเรารู้จักใช้มโนธรรมจิตสำนึกที่ดี ศิษย์ไม่มีวันผิดหรอกก้าวพลาดหรอก แต่เพราะเราใช้อารมณ์มากกว่าการใช้มโนธรรมสำนึกใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อตัวเองนะ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ คนเราไม่ได้เกิดมาง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าศิษย์เห็นสรรพสัตว์ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการเกิดเป็นคนมีโอกาสยากยิ่งนัก แม้เทพเทวายังอยากเกิดเป็นคน เพราะคนนี้แหละมีโอกาสมากๆ  สร้างบุญมากๆ  สร้างบุญยิ่งใหญ่ แต่เราไม่ค่อยทำ
ศิษย์เอ๋ย ศิษย์ที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนนั่นแหละเป็นบุญเป็นกุศลสำหรับตัวเองนะ หัวแข็งหัวดื้อไม่มีใครรัก วันนี้อาจารย์คงมาผูกบุญกับศิษย์เพียงแค่นี้ เรียนรู้ฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเพื่อช่วยตัวเอง ให้เข้าใจในความทุกข์ และอยู่กับทุกข์อย่างเป็นสุขที่แท้จริง เมื่อช่วยตัวเองพ้นทุกข์ เราก็ช่วยคนรอบข้างพ้นทุกข์ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อไหร่ที่เราทุกข์ เราก็ทำคนอื่นทุกข์โดยไม่ได้ตั้งใจ ใช่ไหม (ใช่)  ลองเอาสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณา ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากใจ ใจที่เราไม่เข้าใจในธรรม ใจที่เราไม่เข้าใจในความเป็นคน ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ศิษย์ช้าสักนิด ใช้สติให้มากหน่อย ใช้มโนธรรมสำนึกให้รอบคอบ ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะพูด เพราะปัญหาและความทุกข์มันเกิดแล้วบางทีแก้ยาก ถ้าอยากเป็นคนบำเพ็ญเริ่มต้นง่ายๆ พูดน้อยๆ  ยิ้มเยอะๆ และเข้มแข็งให้มากๆ  ด้วยใจที่กล้ารับความจริง คนที่รู้จักพอได้ คนที่เข้าใจในความทุกข์ได้คือคนที่พยายามเข้ามาดูแลใจ พยายามหันกลับมาดูใจอันแท้จริงว่าเป็นอย่างไร แล้วรักษาใจนี้ให้ดี เพราะปัญหาที่แท้จริงเริ่มที่ใจ ก็ต้องละที่ใจ และจบที่ใจ ดังคำกล่าวที่ว่า จงตายก่อนตาย อยากมากก็ทุกข์มาก อยากน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่อยากเลยก็ไม่ทุกข์ มันยากนะ ไม่ยากหรอก แค่อยู่อย่างพอ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น พอไหม (พอ)  กลับได้แล้วนะ  อาจารย์ขอลงไปหาผู้ร่วมฟังหน่อยนะ
อย่าเพิ่งร้องเพลงลาศิษย์  หาเพลงอะไรมาร้องร่วมกัน ร้องเพลงตั้งใจ เดี๋ยวอาจารย์ขึ้นมา จงมีสติ ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ทำอะไรรู้จักยั้งคิด มีจิตสำนึกดีงาม ไม่เบียดเบียนคน ทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อากาศเย็นดีไหม  ชื่นใจไหม (เย็น)  แน่นะ  เดี๋ยวอาจารย์แอบปิด พัดลมดีไหม ได้หรือ (ได้)  อาจารย์ดีใจนะ วันนี้อาจารย์ได้มาเจอศิษย์คนบุญของอาจารย์ทั้งหลาย ที่มีปณิธานกันไว้ว่า เมื่อลงมาเกิดจะมุ่งมั่นบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เมื่อลงมาเกิดจะบำเพ็ญเพื่อฉุดช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะไม่ลืมเลือนปณิธานที่ศิษย์เคยลั่นไว้กับอาจารย์ อย่าปล่อยให้โลกใบนี้มันหลอกลวงใจของศิษย์ และหลงไปตามกิเลสอารมณ์ และหลงไปตามความไม่เที่ยงของโลกใบนี้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีจิตใจงดงาม มีจิตใจที่แข้มแข็ง และมีจิตใจที่สวยสว่างใสเสมอ แต่ที่พลาดไป ผิดไป ก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ความหลงยึดติดในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง รีบๆ กลับตัวแก้ไข และทำในสิ่งที่มันถูกต้องด้วยจิตสำนึกอันดี ถามใจตัวเอง พูดไปแล้วมันเมตตาออกจากใจไหม พูดไปแล้วมันเคารพให้เกียรติคนไหม ทำแล้วมันได้ผลดีไหม  ถ้าหมั่นถามตัวเองอยู่เสมอ หนทางแห่งการเป็นพุทธะ มันไม่ไกลเกินเอื้อม มันจะเดินตรงแล้วกลับไปหาอาจารย์ทันที แต่ถ้าเมื่อไหร่ เอาแต่อารมณ์ เอาแต่ใจ เอาแต่ทิฐิ เอาแต่ความอยาก หนทางนั้นศิษย์ก็จะไม่ถึง
ขอให้คิดให้ดี ทำอะไรดีที่สุดแล้ว ต้องละวาง เพราะอาจารย์ไม่สอนให้ศิษย์ยึดถือ ทำให้ดีที่สุด แล้ววาง นี่แหละคือหัวใจที่แท้จริงที่ไม่ต้องกลับไปแล้วหวังผลอะไร เพราะถ้ายังหวังผลยึดถือ ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  ศิษย์ก็ยังสร้างตัวตนที่ต้องไปเวียนว่าย แต่ถ้าทำแล้วสบายใจว่างเปล่าไร้ตัวตน มันก็ไม่มีตัวตนให้ไปเวียนว่ายและรับทุกข์อีก และไม่มีตัวตนที่ไปเสวยสุข แต่มันคือธรรมที่คืนสู่ธรรมแท้จริง ไร้ตัวตนที่ยึดถือ ไปให้ถึงนะ หัวใจที่แท้จริงที่ไม่ยึดติดคำว่า “ตัวตน” แต่เข้าใจถึงธรรมอันว่างเปล่า สว่างใส  บริสุทธิ์  ทำด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ทำด้วยหัวใจเมตตา ทำด้วยหัวใจเบิกบาน ทำให้ได้นะ จะได้เดินตรงกลับมาหาอาจารย์อย่างคนที่ธรรมเจอธรรม ไม่ใช่เอาตัวศิษย์มาเจออาจารย์ ตัวนี้มันยังหนีไม่พ้นทุกข์ เอาตัวธรรม ธรรมที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์อีก เอาตัวนั้น แต่คำว่าตัวตน มีแต่คำว่าเจ็บ มีโลภ มีหลง มีแต่กิเลส เอาธรรมนะ ธรรมที่ว่าง ธรรมที่สงบ ธรรมที่งดงาม ได้ไหม (ได้)  เข้มแข็งนะไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร ความสูญเสียเป็นเรื่องปกติของความเป็นคน แต่เราไม่สูญเสียหรอกศิษย์ เพราะเรามาตัวเปล่า ถึงเวลาเราก็กลับ แล้วเราสูญเสียอะไร ไม่มี  เรากำลังเจ็บปวดอะไร มันไม่มี เราก็แค่เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้ยึดถือ นั่นแหละประเสริฐสุด ไปให้ถึงให้ได้นะ อย่าให้แค่ความทิฐิ ความหลงผิด อารมณ์หรือกิเลสชั่ววูบมันทำให้ศิษย์ไม่ได้เจออาจารย์อีกเลยนะ  อาจารย์อยากเอาคำว่าปฏิบัติจริง เข้มแข็ง มุ่งมั่น ฉุดช่วยผู้คนด้วยหัวใจแห่งโพธิสัตว์ ทำให้ได้นะ เข้มแข็ง ให้สติปัญญา ให้ความเข้มแข็ง แต่อาจารย์ไม่ให้ความดื้อรั้นนะ มุ่งมั่น ทำให้ได้ใช่ไหม
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว จับอย่างนี้แปลว่าจะมาอีกนะ ถ้ามีโอกาส ตั้งใจทำดีนะ ปฏิบัติดีชีวิตย่อมมีสุข ปฏิบัติผิดชีวิตย่อมทุกข์ทน ไม่เป็นไรนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะเด็กดื้อ อาจารย์ให้ขวัญและกำลังใจที่ดีนะ ทำอะไรคิดให้ดีด้วยสติ อย่าใช้อารมณ์ อย่าหลงตน รู้จักคิดรู้จักทำ ไตร่ตรองให้ดี อยากให้อาจารย์อวยพรไหม อำนวยพรให้ศิษย์โชคดี ความรู้ดี แต่ถ้าไม่เอาไปช่วยผู้อื่นก็เปล่าประโยชน์นะใช่ไหม ตั้งใจรักษาบุญและโอกาส ทำอะไรต้องมีสติ ต้องมีสติรู้ยั้งคิดนะ ถนอมบุญวาสนาตัวเอง ศิษย์เอ๋ย มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะ อาจารย์ก็จุกไม่รู้จะพูดอะไรกับศิษย์ ขอแค่เพียงศิษย์เปิดใจสักหน่อย กลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ
เข้มแข็งแล้วนะ สู้นะศิษย์เอ๋ย ชีวิตยังอีกยาวไกล อย่าทำชีวิตด้วยการคิดผิดนะ ขอให้แข็งแรง ขอให้ปลอดภัย บุญรักษานะศิษย์เอ๋ย มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีนะ มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ หนทางพ้นทุกข์มีจริง หนทางดับทุกข์ก็มีจริง แต่อยู่ที่ศิษย์จะปฏิบัติได้จริงหรือไม่ อาจารย์เป็นเพียงแค่ผู้ชี้ทาง แต่คนที่จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงทางที่อาจารย์บอกนั้นคือตัวศิษย์เอง ลองทำดูสิศิษย์ แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า ความพ้นทุกข์คืออะไร ทุกข์ที่อาจารย์บอกว่า มันน่ารัก มันน่ารักแค่ไหน อย่าก้าวลงไปในอบายมุขสิ่งผิดเลยนะศิษย์ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ระมัดระวังอารมณ์ กิเลสของตัวเอง เพราะถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวแล้ว แค่ชั่ววูบ ชีวิตศิษย์อาจจะไม่เหลือเลยก็ได้จริงไหม แค่คำว่าไม่ยอม แค่คำว่าไม่ให้อภัย แต่ธรรมสอนให้เรายอมอภัย และให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ เข้มแข็งอยู่บนโลกนี้ให้ได้ ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ และมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง โดนใครว่า โดนใครด่าทอ สู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่โกรธแต่เข้าใจ ชอบคนชมก็ต้องชอบคนด่า ไม่เกลียดเขาใช่ไหม (ใช่)  นี่แหละจะเรียกว่า หัวใจผู้บำเพ็ญ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“สำนึกดี บ่อเกิดความดี”
 
     จิตตนไหลเลื่อนไปตามวันเวลา                ฟาดฟันฝ่าโยนจิตเดิมธรรมหล่นหาย
สำนึกดีบ่อเกิดแห่งความดีทั้งหลาย               ถูกกลืนหายไปในความเห็นแก่ตัว
การไม่รู้ตัวเองนี้ดังโรคร้าย                         ทั้งรู้แต่ไม่แก้ไขดั่งเรือรั่ว
ที่รู้แล้วยังทำช่างไม่กลัว                             จิตมืดมัวเห็นทุศีลเป็นธรรมดา
ให้คนอื่นมาช่วยขัดก็ต้องเจ็บ                      ลงแรงเก็บจิตตัวเองจะดีกว่า
สิ่งที่คิดได้เองนั้นไม่เคยช้า                         ต้นเหตุปัญหาจะถูกขุดถอนรากถอนโคน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา