วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-21 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一六年 歲次丙申四月十五日                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙    สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
  โลภโกรธหลงตัดไม่ขาดปราบไม่สิ้น    แม้ใฝ่ดีติดเคยชินยากลดละ
รู้ธรรมแต่ไม่ปฏิบัติยากสละ              ก็ยากจะบำเพ็ญได้กลับคืน
           เราคือ
  เสี่ยวเซี่ยวฝอถง (小笑佛童)       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านยินดีร่วมศึกษาธรรมกับเราไหมหนอ
  คลื่นใต้น้ำรอวันจะปะทุ                ชะตาดุขาดคุณธรรมไปไม่รอด
จิตสำนึกขาดไปใจมืดบอด                กัดฟันกรอดใช้สติตัวเอง
จิตมุ่งมั่นดุจดั่งง้างธนู                     ปัญญารู้รอบเก่งตรงเป้าเผง
ทันหรือไม่หยุดมหันตภัยตัวเอง           ใจสู้เก่งเท่าใดหนาพิจารณา
เมื่อไม่สู้ภัยจากใจอ่อนแอ                รู้จักใจผ่านมองแผลยากรักษา
มีได้ยากดวงตาแห่งปัญญา               ผู้รู้จริงภาพลวงตาอันตรธาน
ธรรมบาล[๑]เป็นได้ด้วยฝึกฝน             ว่าไร้ตนจึงแท้ทุกสถาน
ใดวางใจรู้จริงธรรมญาณ[๒]                กอปรธรรมเป็นโลกบาล[๓]สำราญใจ
เป็นคนปราณงานบุญไม่บกพร่อง        ยิ่งจะต้องสามัคคีสู่ฟ้าใหม่
รู้ทันกันเป็นอุปสรรคปัญหาใจ           คนยอมละทิฐิได้เรียกบำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด



[๑] ธรรมบาล               ผู้รักษาธรรม
[๒] ธรรมญาณ             จิตเดิมแท้ เป็นรากฐานเดิมตามธรรมชาติแท้ของจิต
[๓] ธรรมเป็นโลกบาล    ธรรมคุ้มครองโลก

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

อยู่ในโลกนี้การพยายามจะมี บางทีก็ทำให้เราทุกข์ บางครั้งการพยายามจะเป็นก็ทำให้เราเจ็บปวด อยากเป็นคนเก่งบางครั้งก็ต้องเจ็บ
ก็ต้องทุกข์
ถ้าเราบอกว่าการมาอยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องมีอะไรเลย และไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  การพยายามจะมีเงินก็หนีไม่พ้นคำว่า “ทุกข์” เพราะว่าพอไม่มีก็ทุกข์ เมื่อมีแล้วไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ การพยายามจะเป็น
คนเก่งยิ่งพยายามก็ยิ่งเจ็บก็ยิ่งทุกข์ ฉะนั้นถ้ามาอยู่กับเราแล้วไม่ต้องมีและไม่ต้องเป็นจะดีไหม (ไม่ดี)  เอาไหม (ไม่เอา)  บอกว่ายิ่งมีก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเป็น
ก็ยิ่งทุกข์ เมื่อพยายามอยากจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ พอเป็นไม่ได้ก็ทุกข์ พยายามอยากจะมีอย่างคนนั้นให้ได้ พอไม่มีก็เจ็บ มนุษย์พยายามวิ่งหาความมี ความเป็น ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้น นึกว่ามีแล้วเป็นแล้วจะได้ไม่ทุกข์ไม่เจ็บ แต่ทำไมยิ่งมีก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเป็นก็ยิ่งทุกข์ ถ้าไม่ต้องมีอะไรเลย และ
ไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  ยังมีห่วงหรือ ห่วงที่พยายามจะมี แต่พอถึงที่สุดแล้วก็เหมือนไม่มี เพราะแม้จะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้เราห่วง ทำไมห่วงมากๆ เขากลับรำคาญ ฉะนั้นเรามีหรือเราเป็นอะไรจริงๆ หรือเปล่า เราถามท่านง่ายๆ แต่จริงๆ เป็นหลักใหญ่ของการศึกษาธรรมเลย เพราะมนุษย์ทุกคนพยายามที่จะมีจะเป็น แต่ยิ่งพยายามมีเท่าไร เรานึกว่าเรามีแล้วจะทำให้เราไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่กลายเป็นยิ่งมียิ่งเป็น ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งเจ็บ
ฉะนั้นเราจึงบอกท่านว่า อยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องมีอะไรเลย และไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  หลายคนบอกว่าไม่ดี อย่างนั้นเราถามจริงๆ
ว่าตัวท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ มีอะไรเป็นของท่านจริง (ไม่มี)  บอกว่ามีเงิน เงินเป็นของเรา แล้วใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  บอกว่าสังขารนี้เป็นของฉัน แล้วใช่ของฉันไหม (ไม่ใช่)  บอกว่าสิ่งนี้เป็นของฉัน แล้วถึงเวลาจะเป็นของฉันไหม
(ไม่เป็น)  อย่างนั้นถามต่อว่า ที่บอกว่ามนุษย์พยายามอยากจะเป็น
แต่แท้จริงแล้วเราเป็นอะไรจริงๆ ไหม (ไม่เป็น)  วันนี้เราเป็นแม่ แต่เมื่อไปอยู่กับเพื่อนแล้วเราเป็น (เพื่อน)  วันนี้เราเป็นคุณครู แต่เมื่อไปอยู่กับอาจารย์ เราก็กลายเป็น (ลูกศิษย์)  วันนี้เราอยู่กับแฟน เราก็เป็นคนรัก
แต่เมื่อเราไปอยู่กับคนอื่น เรากลายเป็น (เพื่อน, คนอื่น)  แท้จริงแล้วเราเป็นอะไร เมื่อเราอยู่กับเขาเราบอกว่าเราเป็นมิตร แต่เมื่อไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเขาว่าเราเป็นศัตรู ถึงแม้เราพยายามจะเป็นมิตรใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่กับเขา เราเป็นพ่อ แต่เมื่อเราไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง เรากลายเป็นเพื่อน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นแท้จริงแล้วเราเป็นอะไรกันแน่ เมื่ออยู่กับเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก แต่เมื่อไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเราเป็นผู้ใหญ่ แล้วเขากลายเป็นเด็ก ตอนนี้เราบอกว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่ผ่านไปอีกยี่สิบปี ผู้ใหญ่จะเป็นอะไร แล้วเราจะเป็นอะไร เหมือนตอนนี้เราอยู่กับท่าน เราดูเตี้ย
แต่ถ้าเราไปอยู่กับคนที่เตี้ยกว่า เราก็กลายเป็นคนสูง ถ้าเราไปอยู่กับคนผอมมากๆ เราก็กลายเป็นคนอ้วน แล้วถ้าเราไปอยู่กับคนอ้วน เราก็กลายเป็นผอม แล้วเราเป็นอะไร แล้วเมื่อถึงที่สุด เรามีอะไร (ไม่มี)  แล้วที่เราบอกว่า เราเป็นอาจารย์ เรามีความเป็นอาจารย์อยู่ แต่เมื่อเราไปพบอาจารย์ เราก็ต้องเป็น (ลูกศิษย์)  ใช่ไหม (ใช่)
ดังนั้นถ้าเราหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น บางครั้งเราก็จะ
ตกหลุมอากาศของตัวเองที่เผลอคิดไปว่า ฉันเป็นอาจารย์ และคอยจะสอนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งเราคิดว่าตัวเองสวย แต่เมื่อไปอยู่กับ
คนอื่น เราคิดว่าเราจะสวยจริงไหม หรือบางทีเราคิดว่าเราเก่ง เราแน่ แต่ถึงเวลา พอเราอ้าปากแล้วเราจึงรู้ว่า จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่เก่ง ไม่แน่เลย
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ต้องเป็นอะไร ไม่ต้องมีอะไรเลย ก็อาจไม่ต้องทุกข์ก็ได้ แต่การพยายามจะมีจะเป็น แล้วก็ตีกรอบให้ตัวเองว่าฉันต้องมี ฉันต้องเป็นให้ได้ แล้วผลสุดท้าย คนที่ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ก็คือตัวเราเอง เหมือนฉันจะดีจะมีความสุขได้ ฉันจะมีจิตที่เข้าถึงธรรมะได้ ฉันก็คิดว่าต้องสงบ แล้ว
ผลสุดท้าย ใครหรือที่กั้นตัวเองออกจากความสงบที่แท้จริง (ตัวเราเอง)
ขอถามท่านนะ เรามีอะไรหรือ แล้วเรากำลังเป็นอะไรหรือ เราไม่มีอะไร เราไม่เคยได้เป็นอะไรจริงๆ สักอย่าง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่เราถูกโดนว่า แล้วเราก็ไม่เป็นอะไรเลยเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
เพราะอะไร ก็เราไม่มีอะไรจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ สักอย่างเลย ฉะนั้นโดนว่าโง่ก็ไม่โกรธ โดนว่าว่าแก่ก็ไม่โกรธ เพราะเดี๋ยวก็ต้องแก่แล้วก็ต้องตายจริงๆ และถึงที่สุดก็ไม่รู้จะแก่อีกเท่าไรด้วย ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเราจะไม่มีใครรัก เราก็ไม่โกรธ เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรให้รัก แล้วเราจะโกรธอะไร แล้วถ้าไม่มีอะไรให้เป็น
เราจะทุกข์อะไร แล้วตอนนี้กำลังทุกข์อะไร ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ในเมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ฉะนั้นคนที่หลงคิดว่าตัวเองมี ตัวเองเป็น คนที่หลงตัวเอง คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่นั่นก็คือคนที่ไม่มองความจริงอย่าง
ถึงที่สุด แล้วเราเป็นไหม ถามจริงๆ เราเป็นอะไร แล้วเรามีอะไรหรือ (ไม่มี)  เราบอกว่าเรามี ถ้าไปเทียบกับคนที่มีมากกว่าเราก็เหมือนไม่มี เราบอกว่าเราไม่มี แต่ไปเทียบกับคนไม่มีจริงๆ เรากลับมี แล้วอย่างนั้นเรากำลังทุกข์กับอะไร แปลว่าเรากำลังทุกข์กับความหลงอันไม่มีที่แท้จริง และไม่เคยเป็นอะไรที่จริงแท้หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะมีความโลภอยากได้อะไรของใครไหม (ไม่อยาก)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  และเราจะหลงตัวเองไหม
(ไม่หลง)  เมื่อความโลภ โกรธ หลง ไม่มี หนทางแห่งทุกข์ หนทางแห่ง
บาปเวรก็หมดสิ้น เมื่อหมดสิ้นก็ไม่ต้องคุยอะไรต่อแล้ว ที่เราพูดกับท่าน
ง่ายไหม (ง่าย)  แต่ถ้าท่านเข้าใจ สิ่งที่ง่ายๆ นี้ก็จะสามารถทำให้ท่านตัดความโลภ โกรธ หลง ได้ทันที ถูกไหม เพราะเราไม่มีอะไรที่แท้จริงสักอย่างเลย เหมือนบางครั้งพยายามจะมีเงิน แต่ทำไมกลับยิ่งต้องเสียเงินก่อน
ถ้าอย่างนั้นที่เรากำลังได้มาหรือว่าเรากำลังจะเสียไป สิ่งที่ท่านเรียกว่า เกียรติยศ หน้าตา ชื่อเสียง แท้จริงก็คือ (หัวโขน)  ทุกท่านเรียกว่าหัวโขน อย่างนั้นก็ถอดหัวโขนออกมาบ้าง ก็เหมือนเรา อันนี้คือหน้าตาเราจริงๆ ไหม (ไม่ใช่)  เพราะหากถอยเวลาไปห้าปี หน้าจะเป็นอย่างนี้ไหม หรือหากเดินหน้าไปอีกห้าปี หน้าจะเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วไหนหน้าของเรา ฉะนั้นถ้ามีคนด่าเราว่าหน้าด้าน เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ทำไมไม่โกรธ
(ก็เพราะไม่ใช่หน้าเรา)  ตอนนี้คิดได้นะว่าไม่ใช่หน้าของเรา
ท่านนับถือพระพุทธองค์ แล้วท่านก็เป็นศิษย์พระพุทธองค์ ถ้าท่านโดนด่า ๗ วัน ๗ คืน ทนไหวไหม (ไม่ไหว)  หนีไหม (หนี)  ไม่ต้องถึง ๗ วัน แค่วันเดียวก็หนีแล้ว แต่ทำไมพระพุทธองค์โดนด่า ๗ วัน ๗ คืนแล้วไม่หนี ไม่สู้ ไม่ด่า แต่ท่านเฉย ถ้าเกิดเราโดนใส่ความว่าเราเป็นคนผิดทั้งที่เราไม่ผิด เราหนีไหม (หนี)  สู้ไหม (สู้)  แต่พระพุทธองค์ไม่สู้ ไม่หนี แต่ท่านทำอะไร พระพุทธองค์ท่านเคยโดนคนปองร้าย เคยโดนคนจะเอาถึงชีวิตไหม (เคย)  ท่านหนีไหม (ไม่หนี)  ท่านสู้ไหม (ไม่สู้)  ท่านว่าไหม (ไม่ว่า)  ท่านผูกใจเจ็บไหม (ไม่)  ท่านเคืองแค้นไหม (ไม่)  ท่านก่อเวรกรรมไหม (ไม่)  ไหนว่าเราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ถูกเขาว่านิดเดียวเราเอากลับไหม เขาทำนิดเดียวเราต่อยกลับไหม แล้วพระพุทธองค์ท่านสอนอะไร ท่านสอนให้เราไม่สู้ ไม่หนี แต่ท่าน (ปล่อยวาง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ที่ใดเป็นที่แห่งต้นเหตุของทุกข์ ที่นั้นเป็นมรรคผลพระนิพพาน ที่ใดเป็นกิเลส ที่นั้นเป็นที่ที่ทำให้เราเป็นพุทธะ” ทำได้แบบนั้นบ้างไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ที่ใดเป็นที่มีกิเลสที่นั้นก็จะเป็นที่ที่บังเกิดกิเลสให้ยิ่งๆ ขึ้นไปใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ถ้ามีทางเลือกทางหนึ่งคือทางสว่าง อีกทางคือทางมืดบอด ทำไมเราไม่ศรัทธาความสว่าง แต่เราเลือกที่จะเดินไปสู่ความมืดบอด หรือเป็นเพราะว่าเราเคารพความมืดบอดมากกว่าความศรัทธาดีงามในตัวเอง ใครร้ายมาเราร้ายตอบ ใครว่ามาเราว่าตอบ ใครเตะมาเราเตะตอบ
อย่างนั้นหรือ
มีใครไม่อยากสนทนาธรรมกับเราบ้างไหม (ไม่มี)  เราไม่ฝืนใจท่าน ไม่อยากทำให้ท่านทุกข์ ไม่อยากให้การมาของเราครั้งนี้ทำให้ท่านทุกข์ แล้วก็ก่อกิเลสก่อบาปก่อกรรม แต่เป็นธรรมดา มีคนดีใจก็มีคนไม่ชอบใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่ยึดติดความมี ความเป็นอะไรของเรา ใครพูดอะไรเราก็คง
ไม่ทุกข์และเดือดร้อนจริงไหม แต่ถ้าเรายึดความมีความเป็นของตัวเรา บางครั้งแค่เราส่งสายตา เราก็เจ็บปวดโดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้
จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์สามารถก่อกรรมได้ทุกขณะเลยนะ
ฉะนั้นต้องระวังความคิด เพราะความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด แม้ตาและตัวจะอยู่ตรงนี้ แต่ความคิดนั้นน่ากลัวยิ่งนัก จริงๆ แล้วมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ และสามารถจะอดทนได้มากเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราไม่
ตีกรอบใจของตัวเองจนเกินไป ถ้าเราบอกว่าไม่ไหว ยืนแค่นิดเดียวก็ไม่ไหว แต่ถ้าเราบอกว่าไม่เป็นไร ยืนแค่นิดเดียวก็ไม่เป็นไร ทุกข์หรือไม่ทุกข์
ต้องถามตัวเองว่า เขาทำให้เราทุกข์หรือเราตีกรอบใจของตัวเราเองให้
คับแคบจนทุกข์ง่ายเกินไป เราพูดง่ายๆ ว่า เราทุกข์หรือไม่ทุกข์ ใช่อยู่ที่เขาเป็นคนทำหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าเราไม่ตีกรอบให้ตัวเอง หรือหัวใจของเรา
คับแคบ ถามว่าเขาจะทำให้เราทุกข์ได้ง่ายๆ ไหม เหมือนเมื่อสักครู่ ถ้าเราบอกให้ท่านยืนต่อไป ท่านบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าท่านคิดในใจว่าไม่ไหว
แค่ ๕ นาทีก็ไม่ไหวแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ฉะนั้นจะทุกข์หรือจะสุขอยู่ที่เราตีกรอบใจเรา ถ้าเราตีกรอบแบบไม่มีกรอบ ใครจะทำเราเจ็บ ไม่มีคำจำกัดความว่าเราจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะทุกข์
ที่ตรงไหน
แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ ก็ตัวเราเป็นแบบนี้ ชอบแบบนี้ ทำอย่างนี้ทำได้แค่นี้ จะเอาอะไรกับเราหนักหนา แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์ง่าย
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่ปรารถนาในความ
ทุกข์ยาก แต่ในความสุขง่าย เราจะเป็นคนที่ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (สุขง่าย)  แต่มนุษย์มักปรารถนาในความทุกข์ง่ายสุขยาก ตอนนี้เรากลายเป็นคนที่ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (ทุกข์ง่าย)  มนุษย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้เป็นคนชอบให้หรือเป็นคนชอบขอ เราอยู่ในโลกนี้จริงๆ แล้วเราเป็นนักให้หรือเป็นนักขอตัวยง ทำอะไรก็ตามขอให้สำเร็จหรือขอให้ล้มเหลว ทำอะไรก็ตามขอให้ได้หรือขอให้ไม่ได้อะไรเลย วันนี้มาฟังธรรมะเราขอหรือไม่ขอ (ขอ)  ไม่ขอแต่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา อย่างนั้นจะต่างกันตรงไหน แล้วเคยได้ยินไหม เวลาคนจะมาเกิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้พร ๒ ประการคือ ให้เป็นนักให้กับให้เป็นนักขอ ท่านจะเลือกอะไร แล้วคนที่เป็นนักขอเป็นอะไรรู้ไหม เป็นขอทาน แล้วคนที่เป็นนักให้ เป็นอะไรรู้ไหม (เศรษฐี)  เราถามต่อว่า ระหว่างนักขอกับนักให้ จริงๆ แล้ว ตัวท่านเป็นนักขอหรือนักให้ แล้วถ้าคนที่เป็นนักให้เป็นคนที่มีหรือคนที่จน (มี)  อย่างนั้นมีเท่านี้ก็ไม่ต้องอะไรมากแล้ว ไม่ต้องขออะไรแล้ว แค่นี้ก็มีพอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมยังขออีก
วันนี้เรามาฟังธรรม เราได้บุญไหม (ได้)  ส่วนใหญ่จะคิดว่าวันนี้มาทำบุญ แต่ไม่ได้ทำบุญ เพราะส่วนใหญ่เรามักจะคิดว่า บุญคือการให้
อย่างนั้นวันนี้เรามาที่นี่ได้ทำบุญไหม (ได้, ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้ก็แปลว่า เราไม่ได้มาให้ แต่เรามาขอ ถูกไหม (ถูก)  วันนี้ท่านกำลังได้บุญนะ เพราะท่านมาให้เวลากับตัวเอง เพื่อมีธรรม ฉะนั้นบุญไม่ได้แปลว่าการยื่นออกไปให้ แต่บุญคือ การฟังธรรมก็เกิดบุญ มีศีลมีธรรมก็เกิดบุญ การช่วยเหลือไม่นิ่ง
ดูดายผู้อื่นในยามที่เขาเดือดร้อน นั่นก็คือการให้บุญสร้างบุญ
 การฟังแล้วรู้สึกดี แล้วเราอุทิศต่อให้สัมภเวสี เจ้ากรรมนายเวร ให้เพื่อน ให้ผู้อื่น นั่นก็คือการให้บุญ การฟังเขาแล้วเขาพูดดี แล้วเราก็อนุโมทนาสาธุ นั่นท่านก็กำลัง
สร้างบุญ ให้บุญ การฟังแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงใจให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ไม่หลงผิด ไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย นั่นก็คือการให้บุญ แต่ไม่ได้ให้กับผู้อื่น แต่เราให้กับตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า บุญต้องให้ผู้อื่น แท้จริงแล้วเราลืมให้บุญกับตนเองหรือไม่ เราลืมให้ธรรมกับตัวเองหรือไม่
พระพุทธองค์สอนไว้ว่า ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ธรรม แล้วเราเคยให้ธรรมกับตนเองไหม ส่วนใหญ่เราให้แต่กิเลส นิสัย อารมณ์ ความเคยชิน การเอาแต่ใจ จริงไหม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทางแห่งทุกข์ บาปกรรม และการเวียนว่าย ให้ธรรมล้วนเป็นหนทางสู่ความสงบเย็น
พระนิพพาน แล้ววันนี้เราให้ธรรมหรือว่าให้กิเลส (ให้ธรรม)  แปลว่าที่นั่งฟังมาสงบ ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่ด่า ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไปไม่ถึงใช่หรือเปล่า ไปถึงได้แค่พลิกความคิดชีวิตก็เปลี่ยน
เหมือนเราถามว่า เราเคยคุยกับอาจารย์พุงใหญ่ “อาจารย์พุงโต
ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะไม่ต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันไปแบบนี้” อาจารย์พุงโตถามว่า “อะไรนะ” เราก็บอกว่า “ทำไมมนุษย์เดี๋ยวต้องร้องไห้ และเดี๋ยวสักพักก็หัวเราะ เมื่อหัวเราะสักพักก็ต้องกลับไปร้องไห้อีก เราต้อง
วิ่งวนระหว่างหัวเราะกับร้องไห้ไปถึงเมื่อไร” อาจารย์พุงโตก็เลยหัวเราะ “เมื่อไรที่เด็กน้อยมีอาจารย์พุงโตอยู่ในใจ เมื่อนั้นแหละเด็กก็จะไม่ต้องหัวเราะและร้องไห้อีกต่อไป” เข้าใจไหม ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้ทุกสิ่ง แต่มนุษย์ท้องแคบจิตใจเล็กนิดเดียว พอเจออะไรก็รับไม่ไหว ฉะนั้นทุกข์
จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านทุกข์อยู่ร่ำไป ใช่ไหม
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า มนุษย์ชอบที่จะเป็นช่างขอ และถามว่าให้
เราให้ไหม (ให้)  แต่บางทีเราก็แอบขอ ฉะนั้นมือหนึ่งให้ อีกมือหนึ่งก็ขอ
แล้วท่านเป็นพวกค้ากำไรเกินควรไหม ให้หนึ่งร้อยแต่ขอหนึ่งพัน หรือบางทียังไม่ทันให้ก็ขอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการทำบุญควรค้ากำไร หรือมีกิเลสอิงแอบไหม (ไม่ควร)  ถ้าเราบอกว่าเราอยากจะเป็นผู้ให้ได้ตลอดต้อง
ทำอย่างไร ไม่ยากเลย เราแค่บอกท่านง่ายๆ ว่าถ้าเกิดเราตื่นเช้ามาแล้วเราบอกว่า “เฮ้อเราขาด เฮ้อเราไม่มี เราไม่เห็นได้อะไรเลย” คนที่มีชีวิตเช่นนี้คือคนที่เอาแต่หวังขอใช่ไหม แต่กลับกัน ถ้าบอกว่าขอบคุณ ดีแล้ว สุขแล้ว ท่านว่าคนแบบไหนมีความสุขมากกว่ากัน (แบบที่สอง)  แบบแรกอยากได้อันโน้น อยากได้อันนี้ ถ้ามีอันนั้นหน่อยคงจะดีมากกว่านี้ ถ้ามีคนนั้นหน่อยคงจะสุขมากกว่านี้ แต่อีกแบบหนึ่ง ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว เราเป็นแบบไหน
ท่านรู้ไหมคนที่จนที่สุดคือคนที่มีเท่าไรก็บอกว่าไม่มี บางครั้งถ้าการมีทำให้เราทุกข์ ก็ให้เราคิดเสมอว่าบางทีเราไม่มีไม่เป็นก็ดี จะได้ไม่ทุกข์
แต่ถ้าการไม่มีไม่เป็นทำให้เราทุกข์มาก บางครั้งเรามีบ้างก็ได้ไม่เห็นเป็นไร เพราะการมีนั้นไม่ใช่มีจริงๆ แต่ถ้าเรามี เราเป็นได้อย่างแท้จริง การมีการเป็นก็จะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์มักจะติดว่าถ้ามีก็ต้องมีไปตลอด ไม่มีก็หาว่าตัวเองจะไม่มีไปตลอด แต่หนทางพุทธธรรมมีได้ก็มีไม่ได้ ไม่มีได้บางครั้งก็
มีได้ เหมือนท่านบางครั้งใจก็เหลือนิดเดียว แต่บางครั้งใจก็ยิ่งใหญ่ บางครั้งเรื่องหนักๆ ก็แบกรับไหว แต่บางครั้งเรื่องนิดเดียวก็รับไม่ไหว ทำไมคุมใจคนอื่นเป็น แต่ทำไมไม่รู้ใจตัวเอง เราบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วว่าเริ่มต้นง่ายๆ อยู่ที่เรารู้พอหรือยัง ถ้าเรารู้พอได้ เราจะให้ได้ แต่ถ้าเรารู้พอไม่ได้ เราจะให้ไม่ได้และจะสุขไม่เป็น แม้ว่าเราเกิดมาตัวแค่นี้ เรียนก็ไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่เราก็บอกว่าขอบคุณแล้ว ดีแล้ว ความสุขเราอยู่ตรงนี้หรืออยู่ข้างหน้า (อยู่ตรงนี้)  แล้วความสุขของท่านอยู่ตรงนี้หรืออยู่ข้างหน้า ไม่เคยอยู่ตรงนี้เลย หวังว่าจะมีสุขต้องมีข้างหน้า แล้วท่านก็ไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองมีเลย ท่านศรัทธาผู้อื่น แต่ลืมศรัทธาความดีในตัวเอง ท่านชอบความดีของผู้อื่น แต่ท่านลืมชอบความดีในใจของตัวเอง ท่านเรียกร้องให้ผู้อื่น
มีความดี แต่ตัวท่านเองไม่เคยมีความดีที่แท้จริงในใจเลย ท่านให้ผู้อื่นจริงใจในการทำดี แต่ตัวท่านเองไม่เคยจริงใจและศรัทธา เชื่อในความดีของ
ตัวเองเลย ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นก่อนจะเรียกร้องผู้อื่น ต้องถามตัวเองก่อนเสมอ ถ้าตัวเองยัง
ไม่มีที่แท้จริง การให้ของเราก็เป็นการให้ที่ไม่เคยบริสุทธิ์ แต่เป็นการให้ที่
หวังผล แต่ถ้าเราอิ่มแล้ว เราสุขแล้ว ใครจะว่าอย่างไร เราก็ให้ธรรมได้
ใครจะทำอย่างไรกับเรา เราก็สามารถให้ความสงบได้ เพราะเราสงบจากใจของเราแล้ว เราศรัทธาในความสงบและความพอของเราแล้ว แต่ความจริง เราไม่ใช่แบบนี้ เราเต็มไปด้วยความโลภ ความเกลียด ความอยาก ความ
ขาดแคลน เมื่อในใจเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถให้ธรรมแก่ใครได้หรือ ในเมื่อทุกขณะที่เราพูดออกมา เราก็คิดว่า เขาจะรักหนูไหม เขาจะให้หนูหรือเปล่า เขาจะยิ้มให้เราหรือเปล่า แต่ถ้าในใจของเราเต็มแล้ว
สุขแล้ว สงบแล้ว ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกคำที่เราพูด ก็จะมีแต่เต็ม สงบ สุข ไม่มีคำว่าเรียกร้อง ไม่มีคำว่าคาดหวัง ไม่มีคำว่ายึดถือ จะมีแต่คำว่าให้จริงๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถึงไหม (ถึง)  ถ้าเข้าใจก็จะถึงเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ถึง
เหมือนที่บอกว่า มนุษย์มักพูดว่า ทำอย่างไรให้คนหิว ทุกคนทำเป็น ไม่ต้องสอนทุกคนก็เป็นอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรให้ทุกคนอิ่ม ทุกคนทำเป็นไหม (ไม่เป็น, เป็น)  เราเคยอิ่มจริงๆ ไหม (ไม่เคย)  ท้องเราอิ่ม แต่ใจยังอยากอยู่ เหมือนกินอิ่มแล้ว ถามว่ากินอิ่มไหม ตอบว่าอิ่ม แต่เมื่อเห็นขนม ก็คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะกินขนมให้มากกว่านี้หน่อย ฉะนั้นเมื่อตัวเรายังขาด
ตัวเรายังไม่อิ่ม เรายังไม่สุข เวลาเราไปอยู่กับใคร เราจะทำให้ผู้อื่นอิ่ม
และสุข รู้สึกไม่ขาด ได้ไหม (ไม่ได้)
ธรรมะจึงสอนว่า ก่อนจะไปเรียกร้องใคร ก่อนจะไปว่าใคร ที่ทำให้เราทุกข์และทำให้เราโกรธ ถามหน่อยว่าเราแอบเพาะเชื้อความโกรธและความขาดแคลนไว้ในใจหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีใครทำให้เราโกรธ นอกจากเราจะมีเชื้อโกรธนี้อยู่ข้างใน ถ้าเราไม่มีความอยาก ใครจะทำให้เราโลภได้
ถ้าเราไม่มีความอยากอยู่ข้างใน ต้องกลับมาสู่หนึ่งเหมือนเดิมคือ ขอบคุณและพอหรือยัง ถ้าไม่ขอบคุณไม่รู้จักพอ อยู่กับใครท่านก็ทำให้คนอื่นทุกข์ได้
ไม่ว่าเขาจะให้เท่าไร ท่านก็จะบอกว่าเอาอีกๆ แม้ว่าตอนนี้เขากำลังจะ
ให้เรา มือเรากำลังจะรับ แต่ในใจก็คิดว่าได้อีกหน่อยก็ดี เรากำลังให้
เรากำลังรับ หรือเรากำลังขอไม่จบสิ้น (ขอไม่จบสิ้น)
พระพุทธะบอกว่า ก่อนที่จะไปแก้คนอื่น เราควรแก้ที่ตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปโทษคนอื่นว่าเขาทำให้เราเจ็บปวด เราควรถามตัวเองก่อน
ว่าเราไม่ชอบเขาหรือว่าเขาทำให้เราไม่ชอบ ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้
ทุกสิ่ง ท้องแคบใจเหลือนิดหนึ่งอะไรก็รับไม่ไหว แล้วเราท้องใหญ่หรือ
ท้องเล็ก (ท้องใหญ่)  พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า “ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สามารถรักษาศีลธรรมได้มั่นคง มนุษย์ก็จะไม่มีปัญญาเข้าถึงความ
แจ่มแจ้งแห่งธรรมได้”
 เมื่อไม่สามารถเห็นความแจ่มแจ้งและสัจธรรมความจริงในโลกได้ มนุษย์ก็เลยไม่สามารถพ้นทุกข์สิ้นกิเลสได้ นั่งอยู่ที่ไหน
ก็ทุกข์ แม้ออกไปจากที่นี่ก็ยังทุกข์ แม้นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นทุกข์ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเรา เราไม่ตีกรอบหัวใจ เราไม่ยึดมั่นกับความคิดอะไรๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ ก็น่าจะไปได้
ถามท่านว่าหากจะไปเมืองหลวง ไปได้กี่ทาง (หลายทาง)  ถ้าจะไปให้ถึงธรรมไปได้กี่ทาง (หลายทาง)  แล้วทำไมชอบตีกรอบว่าต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่แบบนั้นด้วย ถ้าเข้าถึงธรรมแล้ว อะไรก็เรียกว่าถึงได้เหมือนกัน
เราเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าเราเกิดมาพร้อมกับคำว่าขอบคุณ และไม่เคยพอ ความหมายชีวิตจะต่างกันหรือไม่ ถ้าเกิดมาขอบคุณ ดีแล้ว ความสุขก็จะอยู่ตรงนี้ทันทีที่ได้พูด ที่ได้คิด แต่ถ้าเกิดบอกว่า ไม่พอๆ ความสุขก็จะกระเด็นออกไปไกลทันทีเลย
ฉะนั้นเราอยากสุขตอนนี้หรือเราอยากสุขวันข้างหน้า (ตอนนี้)
แล้วตอนนี้ดีหรือยัง (ดีแล้ว)  พอหรือยัง (พอแล้ว)  ตอบเหมือนโดนฝืนใจ เราถามท่านนะ ถ้าตอนนี้ท่านไม่พอ ท่านไม่ดี ท่านก็จะต้องคิดว่าขออีก
นิดหนึ่งก็ดี แล้วช่วงที่กำลังไปขออีกนิดหนึ่ง เกิดไม่ได้ ท่านจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาบอกว่าขอใหม่ ขอข้างนอกไม่สู้ขอข้างใน ดั่งที่พระพุทธะสอนไว้ พึ่งคนอื่นเขายังมีวันเปลี่ยนแปลงไป แต่พึ่งใจตัวเอง ศรัทธาในความดีของตัวเอง และเชื่อมั่นว่าตัวเองต้องทำให้ได้ และต้องสุขให้ได้ นั่นไม่ดีกว่าหรือ แปลกนะ มนุษย์เราไหว้คนอื่นได้ แต่ไหว้ตัวเองไม่ลง รักที่คนอื่นดีแล้วเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ตัวเองกลับดีไม่เป็น ดีไม่ลง นั่นแปลว่าท่านศรัทธาในความดีของคนอื่นมากกว่าศรัทธาในความดีของตัวเอง ท่านเชื่อมั่นว่าเขาดีมากกว่าที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง มากกว่าที่จะต้องเป็นคนดีให้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมเราต้องรอไปพึ่งคนอื่น เพราะเมื่อไรที่ท่านไม่พอ ท่านก็เริ่มเรียกร้องคนโน้นคนนี้ พอเขาไม่ให้เราก็ทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้สึกว่ามีแล้วพอแล้ว
ใครจะให้ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอบคุณ เราจะโกรธเกลียดหรือว่าเขาไหม (ไม่)  ที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่นเป็นมรรคผลนิพพาน จบเลยไม่ต้องไปเกี่ยวกรรมด้วย ฉะนั้นถ้าใจของท่านพร่องเป็นนิจแล้วหวังให้คนอื่นมาเติมให้เต็ม จะมีใครมาเติมให้ท่านเต็มได้ถ้าท่านไม่เติมให้เต็มด้วยตัวเอง
ถ้ามีคนๆ หนึ่งรักท่านจริงๆ ท่านอยากขนาดไหนเขาก็เติมให้ ถึงที่สุดท่านจะอิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “สอนคนหิวง่าย แต่สอนให้คนอิ่มยาก”  แล้วท่านรู้ไหมว่า ธรรมะสอนให้เราอิ่มได้ง่ายทันที แค่เรา
บอกว่าขอบคุณ ดีแล้ว พอแล้ว ง่ายไหม (ง่าย)  แล้วทำไมเราไม่ทำ ทำไมถึงบอกว่าขออีกนิด พอขออีกนิดแล้วไม่ได้กลับมาเราเป็นอย่างไร (ทุกข์)
พอทุกข์แล้วแก้ไขไหม (ไม่)  แล้วใครช่วยเยียวยา คนที่เราไปขอเขาช่วยเยียวยาไหม (ไม่)  พ่อแม่เยียวยาได้ไหม (ไม่ได้)  พระพุทธะจึงบอกว่า
สอนให้คนหิวง่าย แต่สอนให้คนอิ่มยาก สอนให้คนคิดอยากง่าย แต่สอนให้คนหยุดอยากยาก แต่มีวิชาหนึ่งสอนให้คนอิ่มได้ทันที และหยุดอยากได้ทันที นั่นคือ “วิชาธรรม”  ทำให้เราคิดเป็นและทำให้เราหยุดเป็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีคนมาบอกรักท่านดีใจไหม (ดีใจ)  ทุกคนดีใจหมด ถ้าในใจเราเผลอคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะรักไหม ทุกข์ทันที ได้เงินดีใจไหม (ดีใจ)  ถ้าในใจคิดว่าพรุ่งนี้จะเสียเงินไหม ตกลงจะดีใจหรือจะเสียใจ
วิชาธรรมคือวิชาที่จะสอนให้เรารู้จักควบคุมใจของตัวเอง แต่กลับเป็นวิชาที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งที่วิชาธรรมเป็นแก่นแท้ของชีวิตทุกชีวิตด้วยซ้ำไป เราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เราดับเหตุแห่งทุกข์ จริงๆ เราแก้ให้ท่านไป
ทีละเปลาะแล้ว ถ้าเรารู้จักพอ เราจะอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ความโลภ โกรธ หลง เกลียดก็จะไม่มี แล้วท่านรู้ไหมว่ามนุษย์เมื่อใดที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นเวรกรรมและการเวียนว่ายได้ในทันที แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์ยังไม่สามารถพ้นความโลภ โกรธ หลง มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์บาปเวรกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุดจริงไหม (จริง)  ถ้าการมีความสุขของเราเป็นการเบียดเบียนชีวิตคนอื่น เป็นการยืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น หรือเป็นการแลกมาด้วยชีวิตของคนอื่น ท่านคือคนที่กำลังสร้างเวรสร้างกรรม ถ้าความสุขของเรายืนอยู่บนการสูญเสียชีวิตของคนอื่น การต้องเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น การมีชีวิตของเราคือการมีชีวิตเพื่อสร้างเวรกรรม เราจะหนีเวรกรรม หนีทุกข์ก็ด้วยการที่ใดเป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั้นก็เป็นที่ดับทุกข์ มนุษย์หว่านพืชเช่นใด
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าทุกอย่างที่เรากระทำ ไม่เป็นการก่อเกิดกิเลส ก่อเกิดกรรม มีชีวิตอยู่ก็เพื่อชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ แต่ทุกวันนี้กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็เพียรสร้างมาได้ทุกวัน เป็นเรื่องของกิเลส แค่คิดก็ตกเป็นทาสของความอยาก ความหลงแล้ว ฉะนั้นทุกขณะที่เรามีชีวิต
จึงเป็นทุกขณะที่เราเพาะเชื้อแห่งกิเลสและกรรม แต่ถ้าทุกขณะที่เรามีชีวิต เราคิดว่าไม่เป็นไร ขอบคุณแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้เหมาะสมที่สุด ไม่ผิดต่อคุณธรรม รักษาจิต
ที่บริสุทธิ์ดีงาม แม้ตายไปก็ไม่เสียดายเลย แต่ทุกขณะจิต จิตของเราบริสุทธิ์ไหม (ไม่)  จิตที่บริสุทธิ์ จึงพ้นภพภูมิ อบายภูมิที่เลวร้าย แต่จิตที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา และความอยาก ย่อมหนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งสี่ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ส่วนใหญ่จะรู้มากมายแต่ไม่ค่อยปฏิบัติเท่าที่รู้ จริงไหม (จริง)  ปฏิบัติบ้างดีหรือไม่ (ดี)  ยิ่งคนที่คิดว่าจะมาแค่วันเดียว ยิ่งแล้วใหญ่เลย
ฟังเข้าไปแล้วจำให้ได้เยอะๆ  แปลกนะเรื่องใครว่า เรื่องใครด่า คิดเอาๆ
คิดแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาว่าจบแล้ว แต่เราไม่เคยจบสักที แต่ทำไมเรื่องแบบนี้น่าจะเอามาพิจารณาไตร่ตรองให้บังเกิดธรรม แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเอามาคิดบ้างเลย
ฉะนั้นปัญญาธรรมเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ ไม่ใช่จะเกิดกันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้ามนุษย์ได้ฟังธรรมแล้วก่อเกิดปัญญา และนำปัญญานั้นมาไตร่ตรองพิจารณาจนบังเกิดธรรม ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยกางกั้นที่จะทำให้เราไม่ประพฤติผิด ไม่ทำร้าย แต่เรากลับไม่ค่อยทำ คิดในเรื่องไม่ควรคิด
ไปแล้วนะ ดีไหม (ไม่ดี)  ดีเถิด ถึงเวลามาก็ต้องมีเวลาไป จำไว้นะ อย่าพยายามมี และอย่าพยายามเป็นอะไรเลย ถ้าการพยายามมีและเป็นทำให้เราทุกข์และเจ็บ ก็สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนไม่เคยมีอะไร และไม่เคยเป็นอะไรได้อย่างแท้จริง สู้รู้จักขอบคุณ พอแล้ว บุญที่ประเสริฐเกิดจากการที่เรามีศรัทธาที่เราเชื่อมั่นในความดีของเรา
ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใคร พึ่งที่ความดีในใจของเรา ทำให้ได้
 ทำไมจึงต้องรู้จักให้ธรรมกับคนอื่น แล้วทำไมเราไม่รู้จักให้ธรรมกับใจเราเอง ให้ความสงบ ให้ความเข้าใจ เราเคยมีเวลาให้กับใจตัวเองไหม แล้วเราเคยดูแลใจตัวเองไหม ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาให้ เราให้เองไม่ได้หรือ แล้วเมื่อเราให้ใจตัวเองได้แล้ว เรายืนอย่างเข้มแข็งมั่นคง เราก็จะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ ทำไมต้องไปรอคนอื่น เอาที่ตัวเราเอง ศรัทธาในความดีของตัวเองดีกว่าศรัทธาในองค์พุทธะ แต่ไม่ปฏิบัติความเป็นพุทธะ ศรัทธาในความดีของตัวเองนะ ไม่ต้องศรัทธาเรา เชื่อมั่นในความดีของตัวเองนะ ไม่ต้องเชื่อเราก็ได้


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙      สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  นกหลงฟ้าปลาหลงน้ำคนหลงโลก      อุปโภคบริโภคจนมากล้น
เลือกแต่สิ่งดีมาปรนเปรอตน             ท้ายส่งผลหาภัยเข้าใส่ตัว
ทองต้องหลอมเหล็กต้องตีอิฐต้องเผา        อย่าดูเบาการใฝ่ธรรมดีละชั่ว
คนจะดีได้เพราะการรู้ตัว                            จะมัววัวหายล้อมคอกอยู่ทำไม
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา      ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  เพราะใจไม่ชอบลำเค็ญ                            ทำเท่าที่เห็นเพราะสิ้นความดี
เพราะคนมุ่งมั่นหายไปทุกที                       เหลือแค่คนดีไม่มีฝัน
เพราะคนมีแค่ลืมตา                      ไม่ศึกไม่ษาสักคืนสักวัน
เพราะใจแย่แย่จึงทรมาน                 ถึงได้ซมซานอยู่เรื่อยมา
รู้เหมือนไม่รู้เรื่อยไป                      เหมือนไม่ได้อะไร เจ้าชอบแค่มีหน้าตา
ห่วงสบายก็คือปัญหา                     ทำให้ใจยับย่น (คับแคบ)
เปลี่ยนแปลงใจอย่ามีปัญหา              วันหน้าดีทุกคน
เพราะทางมีแค่ตรงไป                    กี่แยกกี่สายก็ไปตรงตรง
เพราะคนดีไม่เข้าใจและปลง             เลยต้องพะวงอยู่ในใจ
ทำนองเพลง : เรือรักล่ม
ชื่อเพลง : โลกประกอบสอบกันเอง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดีใจที่ได้เจอกันไหม (ดีใจ)  แล้วกินกันอิ่มไหม (อิ่ม)  เมื่ออิ่มแล้วก็น่าจะพอมีแรงคุยกับอาจารย์ต่อได้ การกินที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ปราศจากการเบียดเบียนชีวิตเขาเป็นอย่างไร (ดี)  กินยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำต่อไปเลยได้ไหม (ได้)  มีทั้งตอบว่าได้และไม่ตอบดีกว่า เมื่อวานเซียนน้อยได้มาบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า การมีความสุขโดยการเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเป็นการก่อเวรก่อกรรม เราอยากอยู่บนโลกนี้แบบมีเวรกรรมไหม เราอยากอยู่บนโลกนี้อย่างคนที่จองเวรจองกรรมต่อกันไหม (ไม่อยาก)  แล้วอยากอยู่บนโลกนี้แบบมีภัยมีความทุกข์ไหม ในเมื่อศิษย์ของอาจารย์ก็พูดพร้อมกันทุกคนว่าไม่อยาก แต่ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม” ซึ่งเราไม่สามารถแก้อดีตที่เราทำได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงการกระทำ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเรา เราเคยได้ยินเรื่องของบุญและบาปมาบ้างแล้ว ซึ่งบุญบาปนี่เองที่ส่งผลทำให้เราแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนเกิดมาโชคดี บางคนเกิดมาโชคไม่ดี บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะดี บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะไม่ดี ซึ่งแล้วแต่บุญกรรมที่เราเคยทำมาจากอดีต แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เราอยากให้อนาคตมีแต่กรรมมีแต่บาป หรือเราอยากมีอนาคตที่มีแต่บุญแล้วสิ้นกรรม หรือมีแต่บาปแล้วมีการเกี่ยวจองเวรจองกรรมกัน (มีแต่บุญและสิ้นกรรม)
ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่ก่อเกิดกรรมดีกับกรรมชั่ว กรรมดีก็เรียกว่าบุญ กรรมชั่วก็เรียกว่าบาป ถ้าสมมติมีคนมาว่าศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร จำไว้นะศิษย์ อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เราจะแปรร้ายเป็นดี หรือแปรบาปให้เป็นบุญ หรือจะแปรกรรมให้เป็นการจองเวรจองกรรม หรือแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ถ้ามีคนมาว่าศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร (ไม่ว่าตอบ, ต้องมีปากเสียงกันบ้าง) แต่เมื่อสักครู่ใครบอกอาจารย์ว่า อยากอยู่อย่างไม่มีเวรไม่มีกรรม อย่างไม่มีภัย ไม่มีบาป ก็ยังเป็นคนอยู่นี่นะ ศิษย์จะยอมกันง่ายๆ ได้หรือ นี่คือวิสัยของคนที่แพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ เสียไม่มี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องของเวรกรรมเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลังก็ได้อาจารย์ อย่างนั้นศิษย์ลองบอกอาจารย์หน่อยว่า ลึกๆ ศิษย์อยากได้คนรัก หรืออยากได้คนเกลียด ลึกๆ ศิษย์อยากมีศัตรูเต็มบ้าน หรือมีมิตรทั่วบ้าน (มีมิตรทั่วบ้าน)  แล้วถ้าเขาด่ามา อยากได้มิตร หรืออยากได้ศัตรู (อยากได้มิตร)  แล้วทำไมจึงปากอย่างใจอย่างกัน ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับลมปากแล้วนะศิษย์ คนที่หนักแน่นมั่นคงขนาดไหน อยากจะเป็นคนดีขนาดไหน เมื่อเจอลมปากของคนเข้าไป ก็อารมณ์ขึ้นเปลี่ยนไปทุกราย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราอยากจบเวรจบกรรม หรือเราอยากจองเวรจองกรรม (จบเวรจบกรรม)  แล้วต้องทำอย่างไร (ยิ้มไว้)  แต่ศิษย์เคย
เห็นไหม ยิ่งด่าก็ยิ่งยิ้ม เขายิ่งโมโห ถูกไหม (ถูก)  โดนด่าแล้วยังยิ้มได้อีก เดี๋ยวต้องด่าต่ออีกชุด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ คนเขาโกรธมา
อย่ายิ้ม แต่เราต้องขอโทษ ไม่ใช่ทำเฉยๆ นะศิษย์ จะผิดหรือไม่ผิด แต่เรารีบบอกขอโทษ
อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ตอนนี้กำลังโมโห ยิ่งยิ้ม ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นอีก ยิ่งทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ยิ่งโมโห ก็ยิ่งแค้น ยิ่งโกรธ แล้ว
ไม่รู้เขาโกรธอะไรเรา พูดมาสิบประโยค แต่จำได้ประโยคเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดดีมาสิบ ทำดีมาสิบ แต่เขามาแค้นเราอยู่เรื่องเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด เวลามีคนด่า ก็ยอมรับ ขอโทษ
เมื่อวานเซียนน้อยก็บอกแล้วว่า อยากทำให้คนอื่นมีสุข เราต้องสร้างสันติสุขจากใจ อยากให้คนอื่นเขารัก เราก็ต้องรักเขาจากใจ อยากให้คนอื่นเขาเคารพ เราก็ต้องเคารพเขาจากใจ ไม่อยากให้เขามาดูหมิ่นดูแคลนน้ำใจเรา เราก็อย่าเผลอไปพูดอะไรดูหมิ่นดูแคลนน้ำใจเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ก่อนจะพูดอะไรคิดน้อยใช่ไหม แถมเป็นคนที่บางทีพูดแล้วไม่ค่อยคิด ฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้คนอื่นเจ็บใจเป็นไปได้ไหม และถึงแม้เราจะพูดจริงแล้วทำให้เขาเจ็บปวดจะเป็นไปได้ไหม (เป็นไปได้)  แม้เขาพูดจริงแต่เราเจ็บใช่ไหม ฉะนั้นทางแก้ที่ดีที่สุด ถ้าเราอยากสิ้นทุกข์สิ้นกรรมและอนาคตไม่ต้องมีกรรมเกี่ยวกันอีก ไม่ต้องสร้างศัตรูเพิ่มบนโลกนี้ ไม่ว่าเจอใครมากระทำอะไรกับศิษย์ ศิษย์จงดีใจเพราะวันนั้นจะเป็นวันที่ศิษย์ได้ชดใช้กรรม และจงขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้หมดสิ้นกรรมและเราจะไม่เกี่ยวกรรมกันอีกดีไหม (ดี)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ แล้วบอกอาจารย์ว่าหนูให้อภัยแล้ว แต่สมองพอเห็นหน้าปุ๊บความจำก็รีเพลย์เข้ามาเลย พอเห็นหน้าปุ๊บจำได้เลย ถ้าศิษย์ยังจำได้อยู่ แปลว่ายังจองเวร และถ้ายังอดเห็นหน้าแล้วคันปากยิบๆ แล้วด่าในใจไม่ได้ แล้วแอบเผลอพูดไม่ได้ เขาเรียกว่าจองกรรม อย่าบอกว่าปากให้อภัยแต่ใจมันยังล้างไม่หมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า แค่ศีลธรรมยังไม่ทำให้สิ้นทุกข์ ยังไม่ทำให้บริสุทธิ์ เท่ากับมนุษย์ประเสริฐบริสุทธิ์ด้วยปัญญาธรรมจริงไหม (จริง)  ให้อภัยแล้วมันล้างหมดใจไหม ยังไม่หมดใช่ไหม แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เราถึงจะล้างใจให้สะอาด ไม่ใช่ใจที่เต็มไปด้วยคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนั้นอย่างนี้คนนี้อย่างนั้น ใจเราเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ในใจ เก็บมากๆ เหม็นไหม (เหม็น)  เน่าไหม (เน่า)  แล้วเวลาเจอหน้าก็ร้องอี๋ อย่างนั้นต่อไปควรเปลี่ยนแปลงดีไหม ใครว่าเราเป็นอย่างไร (ขอโทษ) ขอโทษได้ไหม จิตสำนึกจากใจจะช่วยชะล้างบาปกรรมให้หมดสิ้น จิตสำนึกขอขมาด้วยใจช่วยชำระกรรมใดใดที่ศิษย์ทำ ให้ละลายเบาบางจางลงได้นะ
เราจะดีไม่ดีไม่ใช่อยู่ที่ใครชี้หน้า แต่เราต้องรู้จักตัวเราเอง ถ้าเกิดรอให้ชีวิตนี้ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่คนชี้หน้า เราไม่ตายแหงหรือ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ดีหรือชั่วเรารู้อยู่ที่ใจ ถ้าเขาว่าผิดเราก็ยอมรับแล้วรีบแก้ไข แต่ถ้าเขาว่าเราแล้วมันไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ทำให้เรารู้ว่า ใจเรายังไม่เข้มแข็งพอ
อาจารย์ขอบอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์ไม่ให้หวย อย่ามาขอหวยอาจารย์นะ อาจารย์มาให้ปัญญาศิษย์จะได้ไม่มีวันจนดีไหม พอพูดอันนี้ชอบขึ้นมาทันทีเลย มีเงินก็เท่านั้นแต่ถ้าไม่มีปัญญาไม่รู้จักใช้เงิน เงินก็มีวันหมดได้ ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปัญญาก็สู้ไม่ถอย ขยันไม่ยอมแพ้ เงินก็มีได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลก แล้วไม่อยากโดนคนหลอกลวง ศิษย์ก็ต้องอย่าลวงตัวเอง ก็ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง ถ้าอาจารย์มีผลไม้ลูกหนึ่งกินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เอาไหม (เอา)  กับอีกลูกหนึ่งกินแล้วยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บ และก็ตาย เอาไหม (ไม่เอา)  จะเอาลูกไหน ใครอยากได้ลูกไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยกมือขึ้น ใครอยากได้ลูกที่กินแล้วยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บและตาย ก็ยกมือขึ้น ใครไม่อยากได้เลยสักลูกยกมือขึ้น อาจารย์อยากให้คนที่ตอบว่าไม่อยากได้เลย เพราะชีวิตมีทางเลือก แต่คนมักจะคิดว่ามีสองก็เลือกแค่สอง แต่จริงๆ เรามีทางเลือกมากกว่าสอง เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ถ้าไม่อยากโดนใครหลอกอย่าหลอกตัวเอง เพราะโลกใบนี้ก็ต้องมีแก่ เจ็บ ตาย มีผลไม้ไหนบ้างที่กินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าศิษย์ไม่อยากโดนหลอก อย่าหลอกและโกหกตัวเอง ใครเลือกผลไม้ลูกนี้ก็คือโง่ โง่ก็ยอมรับมา โง่หน่อยจะเป็นอะไร ดีกว่าทำเป็นฉลาด แต่จริงๆ โง่
ใครที่กินแล้วยิ่งแก่ยิ่งเจ็บยิ่งตาย ใครเลือก คนที่เลือกโง่หรือไม่ (โง่)  แปลกนะ มนุษย์รู้ทั้งรู้ว่ามีแล้ว ก็มีแต่จะเพิ่มทุกข์ มีแล้วจะเพิ่มความเจ็บ มีแล้วจะเพิ่มความตาย แต่ถามว่ามีไหมเอาไหม (ไม่เอา)  แต่เมื่อสักครู่เอากันเป็นแถวเลย ศิษย์ไม่กินมันก็แก่ กินเพิ่มอีกมันก็แก่ แต่พออาจารย์ถามว่าให้กินแล้วเพิ่มเจ็บเพิ่มแก่เอาไหม ศิษย์บอกเอา ตกลงศิษย์ของอาจารย์โง่หรือฉลาด (โง่)  คนที่ไม่เลือกทั้งสองทางก็คือ คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไม่คิดจะเพิ่มอะไรแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะสิ่งที่เพิ่มนั่นก็จะยิ่งเพิ่มความแก่ความเจ็บความตาย เพราะอะไรหรือ
อาจารย์ถามง่ายๆ มีใดๆ ในโลกที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายบ้าง เพิ่มคนรักหนึ่งคนก็เพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพิ่มของหนึ่งอย่างก็เพิ่มความรู้สึกแก่ เจ็บ ตาย มีได้ก็มีเสีย กว่าจะได้มาก็ต้องแย่งชิงเขามา มีทุกข์กับเขามา ศิษย์ที่ยกมือเมื่อสักครู่แปลว่าออกไปข้างนอกจะได้หรือไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่แสวงหาแล้วใช่ไหม (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรมชาติ แล้วธรรมชาติใดบ้างที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แค่ตัวเองคนเดียวก็ต้องรับความแก่ความเจ็บความตาย หนักไหม (หนัก)  แล้วทำไมยังอยากเพิ่มความแก่เพิ่มความเจ็บเพิ่มความตายอีก หรือรู้สึกว่ามีไว้เผื่อจะได้สบายใจ ยึดมั่นแล้วจะได้มีความสุข แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์ไหม (ทุกข์)  หวังให้เขาไปซ้ายแต่เขาไปขวาทุกข์ไหม (ทุกข์)  หวังให้เขาได้ดีแต่พอไม่ได้แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ ถ้าเมื่อใดศิษย์รักของอาจารย์เผลอหลงยึดติดกับธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ศิษย์ก็ต้องทุกข์กับความแก่ เจ็บ ตายไม่จบสิ้น แต่อาจารย์มีวิธีหนึ่งที่มีแล้วไม่ทุกข์ นั่นคือ (ธรรมะ)  ธรรมะทำให้เรา (ปล่อยวาง)  หรือมาเก็บไว้ก่อน มีใครอยากตอบอาจารย์อีก (สายกลาง)  สายกลาง ออกมาเร็ว มายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก่อน (ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ)  สิ่งที่อาจารย์พูดทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมชาติใช่ไหม แต่อาจารย์บอกว่าแล้วเราจะใช้อะไรเป็นหลักในการที่เราจะสามารถไปอยู่ร่วมกับธรรมชาติทั้งหลาย แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นแบบนั้นเอง แก่เป็นปกติ ไม่นานก็ตายเป็นปกติ แล้วเราจะทำอย่างไร เข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ต้องพยายามเข้าใจใช่ไหม (การมีปัญญา)  การมีปัญญาจะทำให้เราเข้าใจธรรมชาติและความเป็นจริงของโลกใบนี้ (ให้เรามีสติและพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่)  ให้เรามีสติและรู้จักพอในสิ่งที่มีอยู่ ก็ตอบได้ดี (การมีคุณธรรมในใจ, ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ยึดติด)  ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ไม่ยึดติด ได้ไหม (ได้)  แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ได้อย่าร้องไห้นะ (อนุตตรธรรม)  ตอบว่าอนุตตรธรรมแล้วแปลว่าอะไรหรือ อนุตตรธรรม (แปลว่าหลักธรรมที่บริสุทธิ์)  แปลว่าหลักธรรมแห่งความเป็นจริงอันเป็นต้นรากเดิมแท้ของสรรพชีวิตทั้งมวล ใช่หรือไม่
อย่างนั้นอาจารย์ถามคนที่ตอบได้นะ ตอนนี้อยู่ระหว่างจะได้ยืนหรือจะได้นั่ง อาจารย์ถามว่าศิษย์ที่ตอบจะทำให้ตัวเองและเพื่อนพ้นทุกข์ได้ด้วยการ (ฉุดช่วยตัวเอง)  ถ้าตอนนี้ทุกคนยืนและศิษย์ออกมาตอบ โดยส่วนใหญ่คนที่ตอบจะได้รางวัลและจะได้นั่ง ส่วนคนที่ไม่ตอบยืนต่อไป ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นจะเอาธรรมที่ศิษย์รู้มาช่วยเขาได้อย่างไร ที่จะนำพาให้เราก็พ้นทุกข์ เขาก็พ้นทุกข์ มนุษย์พูดได้ แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ไม่ค่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์บอกให้ใช้สายกลาง แล้วสายกลางตอนนี้ศิษย์จะได้นั่ง แต่เขาต้องยืน ศิษย์บอกให้ใช้ธรรม แล้วธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เขาได้นั่งด้วย ได้พ้นทุกข์ด้วยและเราก็พ้นทุกข์ด้วย
(มีธรรมะอยู่ในใจ)  ธรรมอะไรหรือที่จะทำให้เพื่อนได้นั่ง แล้วเราก็ได้นั่งเช่นกัน (เพื่อนไม่ได้นั่ง เราก็ไม่ต้องนั่ง)  ศิษย์จำไว้นะ ธรรมเรารู้ เราเข้าใจ เราพูดได้ดีหมด แต่เมื่อถึงเวลา เราจะสละได้จริงๆ อย่างที่เราพูดไหม ฉะนั้นสละธรรมให้ธรรมเขาได้ไหม สละธรรมในตัวเองเพื่ออุทิศธรรมให้เขาได้ไหม (เสียสละให้ทุกคนนั่ง แม้ตัวเองต้องยืน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อมีคนกล้าเสียสละ และให้ธรรมดีๆ กับเรา เราจึงต้องรู้จักเสียสละ และให้ธรรมดีกับเขา ฉะนั้นอย่าเพียงแค่รู้ พูดได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าเป็นเพียงแค่พูดได้ดี แต่ทำได้ไม่ดี อย่างนี้เปล่าประโยชน์ เมื่อสักครู่ อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ถ้ามีเพิ่มแก่ เพิ่มทุกข์ เอาหรือไม่ ศิษย์ก็ไม่เอา แล้วเราจะทำอย่างไร ที่เราจะมีธรรมแล้วไม่ทำให้เราต้องทุกข์อีก ไม่แก่อีก ไม่เจ็บอีก นั่นก็คือ ธรรมที่กล้าเสียสละให้ธรรม ในท่ามกลางความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์เอ๋ย ต้องคิดให้ได้มากกว่า มนุษย์มีปัญญาที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์มีปัญญาที่กว้างไกล “อาจารย์ถ้าเขาไม่นั่ง หนูก็จะไม่นั่ง” แต่ถ้าเมื่อไรเขานั่ง หนูก็นั่ง ทำไมไม่คิดแบบนี้ ฉะนั้นนั่งไหม หนูจะนั่งก็ต่อเมื่อเขาจะได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่)  นั่งพร้อมกันแล้วเอาแอปเปิลเพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตายไปเอาไหม ศิษย์เอ๋ยทุกสิ่งอย่างไรก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย แต่ผู้มีปัญญาเอาไปแล้วรู้จักเปลี่ยนบาปให้เป็นบุญ เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เอาแล้วไปสร้างบุญและไปบอกบุญต่อทำไมไม่เอา ทำไมต้องรออาจารย์บอก ก็สายไปแล้ว อดได้แล้ว กาลเวลาเปลี่ยนแปลงจากแอปเปิลใหญ่ๆ ก็กลายเป็นองุ่นลูกเล็กๆ ช้าไปตามกาลเวลา เพราะโลกนี้สามารถเปลี่ยนได้ ตอนแรกอาจารย์ก็อยากให้ใหญ่ๆ นะ แต่เขาคิดช้าเกินไปเลยเหลือแค่นี้ ไม่เอาอาจจะไม่เหลือเลย มีโอกาสคว้าได้ก็ให้รีบคว้า แต่จงแปรร้ายให้กลายเป็นดี แปรบาปให้เป็นบุญ และแปรบุญให้หนุนบุญขึ้นไปดีไหมศิษย์ ในเมื่อศิษย์เองเป็นคนบอกอาจารย์ว่าอยากอยู่บนโลก อยากมีอนาคตที่ไม่มีภัย ไม่เวรกรรม ฉะนั้นการกระทำอะไรที่กระทำแล้วเป็นภัย เป็นเวรกรรม แล้วเป็นทำไม แต่เมื่อทำอะไรที่ได้บุญได้กุศล แล้วทำไมไม่ทำ เอาไหม (เอา)  แค่นี้ก็เอาใช่ไหม เดี๋ยวต้องแอบว่าอาจารย์จี้กงแน่เลยว่า อาจารย์จี้กงขี้เหนียว เอาไปให้คนอื่นต่อได้ไหม
อยากได้ไหม ขนาดอาจารย์ไม่อยากได้สิ่งที่ถืออยู่จากไม่หนักมันก็หนัก จากที่ไม่ทุกข์มันก็ทุกข์ อย่างนั้นอาจารย์ปล่อยเลยดีไหม เมื่ออาจารย์ปล่อยแล้วมีใครอยากรับต่อไหม ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ และในธรรมชาติเราก็หนีไม่พ้นว่าต้องมีดีและมีร้าย ถ้าเราเผลอไปยึดติดธรรมชาติ พอธรรมชาติดีศิษย์ก็หัวเราะ พอธรรมชาติร้ายศิษย์ก็ร้องไห้ ฉะนั้นธรรมชาติเป็นจริงแต่คนที่เผลอยึดไม่ควรไปยึด เพราะมันไม่จริง ธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา และในความธรรมดานั้น ถ้าเราเข้าใจเราก็จะพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจและไปเผลอยึดมั่นถือมั่น เราก็คือคนที่กำลังแบกทุกข์ อาจารย์ถามหน่อย ในโลกใบนี้เราทุกข์เพราะอะไร (เพราะตัวเอง)  สิ่งที่ควรคิดไม่คิด สิ่งที่ควรทำไม่ทำ สิ่งที่เป็นบุญไม่สร้าง สิ่งที่เป็นบาปก็ขยันสร้าง ฉะนั้นอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน คิดดีคิดบุญคิดกุศลก็ได้บุญได้ดีได้กุศล ที่เหลือก็แค่ชดใช้กรรม แต่ถ้าคิดร้ายสร้างบาปสร้างกรรม ข้างหน้าก็คือผลแห่งบาปกรรมที่ศิษย์สร้าง ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร ถ้าทำแล้วมันหนักเกินตัวและเราต้องแบกและรับไม่ไหว อย่างนั้นเรามาเลือกที่สิ่งเบาและไม่เอาเปรียบใครดีไหม
(ยึดติดกับวัตถุและสิ่งของ)  บางทีเราก็ยึดติดกับวัตถุสิ่งของจนทำให้เราทุกข์จนเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้ว การมีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ แต่เราจะหยุดทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อมีแล้วไม่เปรียบเทียบ ศิษย์เคยไหม อาจารย์จะยกตัวอย่าง ศิษย์ว่าถูกลอตเตอรี่ดีไหม (ไม่ดี,ดี)  ถูกลอตเตอรี่สองตัวดีไหม แต่จะเสียใจก็ต่อเมื่อ ทำไมซื้อน้อยไป ถูกไหม (ถูก)  ตอนถูกนี่รู้สึกเสียดายจริงๆ เลยอาจารย์ รู้อย่างนี้ซื้อห้าร้อย ซื้อหนึ่งพัน ซื้อทั้งบนทั้งล่าง ซื้อทั้งใต้ดินซื้อทั้งบนดินเลย ฉะนั้นที่ควรจะสุขแต่กลับไม่สุข เพราะมัวทุกข์กังวลว่าไม่น่าเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่แค่ยึดติดอย่างเดียว แต่ทุกข์เกิดจากเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี ถ้าพอใจได้ทุกข์ก็ทำร้ายเราไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ก็คนในโลกเป็นอย่างนี้นะศิษย์ ได้หนึ่งเคยพอไหม ไม่นะอาจารย์ ต้องเอาอีก เอาอีกแล้วพอไหม ไม่ ต้องเอาอีก แล้วหนักไหม แล้วแบกไหม จงพอดี จงรู้พอ ถึงเวลาเอาไหม เอา ศิษย์คนไหนอยากถืออยากแบกก็แบกไป ศิษย์จะได้รู้
(ยืนในหลักความเป็นจริง)  ยึดถือในหลักตามความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จงยืนอยู่บนความเป็นจริง อย่าจมอยู่กับอดีต ถ้าอาจารย์ตบโกรธไหม ทุกข์ไหม (ไม่โกรธ, ปล่อยวาง)  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมองตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่อาจารย์ตบมันเกิดแล้วจบไปแล้ว ธรรมะสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรามัวแต่จมกับอดีต เราเป็นทุกข์ เราก็สร้างกรรม ฉะนั้นถึงอาจารย์จะตบ จบยัง (จบแล้ว)  ถ้าศิษย์ไม่จบก็จะมีกรรมไม่จบสิ้น ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ขอให้ศิษย์จำไว้นะ เรื่องบางเรื่องมันจบไปนานแล้ว แต่เราต่างหากเป็นคนที่ไม่ยอมจบ เลยทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะนี้
(ความคิด)  ความคิดของเราทำให้เป็นทุกข์ คิดสูงไม่เป็นชอบคิดต่ำ คิดดีไม่เป็นชอบคิดร้าย คิดยอมไม่เป็น ชอบคิดเอาเรื่องเอาราว ฉะนั้นเราจะหยุดความคิดได้ก็ต้องรู้จักมีสติ ให้เรารู้จักช่วยยั้งคิด และสติรู้จักควบคุมใจไม่ให้เราทำชั่วคิดร้าย สตินั้นมีได้ก็ต่อเมื่อนิ่ง นิ่งให้ได้นะอย่าฟุ้งซ่านกับความคิดและปล่อยไปตามความคิด เพราะความคิดง่ายที่จะฟุ้งซ่าน สติจะดึงจิตเราให้เข้าสู่ธรรม ด้วยการมีปัญญา คนเราอยู่ในโลกนี้การจะเป็นที่รักของคนอื่นไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรัก เพราะเรารู้จักสร้างบุญบารมีด้วยการให้ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นที่รักของทุกคนด้วยการที่ได้แล้วรู้จักให้
(การเปรียบเทียบความทุกข์กับผลไม้ ว่าหนักหรือไม่หนัก คนเราต้องมีทุกข์อยู่แล้วต่อให้หนักหรือเบา แต่ทุกข์นั้นย่อมหายไปได้ตามเวลา คือ เราจะทำอย่างไรให้ผลไม้นั้นไม่หนัก ยิ่งลูกใหญ่เราอาจจะกินไม่หมด ก็แบ่งเพื่อน แต่ถ้าเรากินหมดอย่างเช่นองุ่นลูกเล็กๆ เราก็กินเข้าไป มันก็ไม่หนัก ทุกข์นั้นก็หายไป) แต่บางคนที่กินองุ่นก็อาจจะทุกข์ได้ ถ้าองุ่นนั้นเปรี้ยวและมีหนอนอยู่ข้างใน ฉะนั้นขอให้เรามีสติแบบนี้ได้ตลอดเวลานะศิษย์ แต่อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วผลไม้ทุกอย่าง หรือความทุกข์ทุกอย่างนั้น ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้จนกว่าเราจะไปเผลอยึดมั่นถือมั่น จริงๆ เรามีเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งนี้จะไม่ทำให้เราทุกข์ก็ต่อเมื่อเราไม่คิดว่าเป็นของเรา ถึงแม้จะเจ็บจะแก่จะทุกข์เราก็ไม่เป็นไร แต่เราจะเจ็บจะแก่จะทุกข์ก็ต่อเมื่อ ทำไมฉันต้องแก่ ทำไมฉันต้องเจ็บ ทำไมฉันต้องตาย นั้นห้ามได้ไหม ฉะนั้นสู้เราแค่รู้ แต่อย่าเผลอไปเป็น แค่รู้ทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์
(โรคภัยไข้เจ็บทำให้เป็นทุกข์)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ไว้ว่า โรคภัยไข้เจ็บ อย่างแรกคือเกิดจากกรรมที่เราสร้าง และอนาคตกรรมนี้จะหมดสิ้น ก็ต่อเมื่อเรามีจิตสำนึกขอขมาและยินดีชดใช้ ฉะนั้นต่อไปจะทำอะไร ก็จงระมัดระวัง อย่าเผลอให้คำพูดของเราสร้างกรรม แล้วทำให้เราต้องเจ็บปวดไม่จบสิ้น จงมีเพียงแค่ทุกข์กาย แต่อย่าทุกข์ใจ
(จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสติ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในใจของตัวเองไม่ได้ แล้วนำกลับมาคิดซ้ำไปซ้ำมา จนชีวิตหาความสุขไม่ได้)  แล้วตอนนี้อยากแก้ไหม (อยาก)  ศิษย์เคยได้ยินคำนี้ไหม พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า แค่รู้
ก็พ้นทุกข์
 เราพยายามหาคำว่า รู้อะไรหนอ ที่จะพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่าเขาไม่ดีกับเราอย่างไร ไม่ใช่รู้จักเพียงแค่เขาว่าเราอย่างไร แต่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า ให้รู้จักใจของตัวเอง อย่าพยายามไปแก้ไขเขา
อย่าพยายามไปเปลี่ยนเขา แต่ให้เปลี่ยนที่ใจของตัวเอง ด้วยการรู้เท่าทันความคิด การรู้เท่าทันความคิดจะทำให้เราเกิดปัญญา มองเห็นจิต มองเห็นความคิด
 และเมื่อมองเห็นความคิด เราก็อย่าไปปรุงแต่งความคิด แต่เพียงแค่รู้เท่านั้น แล้วสิ่งนั้นก็จะหายไปตามกาลเวลาของธรรมชาติ ดังที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ แต่ที่เราไม่ดับ เพราะเราไม่รู้เท่าทันใจ
(การไม่ปล่อยวาง)  เพราะว่าสิ่งทั่วไปที่เรียกว่า สรรพสิ่งในธรรมชาตินั้น ต้องเกิด ต้องดับ เป็นธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อเราเผลอไปยึด เราก็จะต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงสอนให้รู้ว่า แค่ยืมใช้ แต่อย่าไปหลงยึดว่าเป็นของเรา
(ความอิจฉาริษยา)  ความอิจฉาริษยา เห็นใครได้ดีก็อดคิดไม่ได้ว่าจริงไหมหนอ อาจารย์จะสอนวิธีแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ศิษย์ เอาไหม (เอา)  คนชอบเดินทางสายบุญ วิธีแก้นะศิษย์ เมื่อเห็นใครได้ดีก็อนุโมทนาสาธุยินดีด้วย แปรความอิจฉา แปรร้ายให้เป็นบุญ อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบไหมถ้าศิษย์ได้ดีแล้วคนนินทาศิษย์ให้ได้ยิน ให้ได้เห็นเลย ศิษย์รับได้ไหม (รับไม่ได้)  ถ้าใครได้ดีศิษย์อย่าเผลอสร้างเหตุปัจจัย ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับผลที่ศิษย์ทำ เราอิจฉาเขา ต่อไปเมื่อเราได้ดี เขาอิจฉาเราเป็นเรื่องธรรมดา อย่าอิจฉาเขา เห็นใครได้ดี ให้เปลี่ยนร้ายให้เป็นสาธุ ถ้าหากใครไม่ดี (สาธุ) ศิษย์เอ๋ยถ้าใครไม่ได้ดี ศิษย์บอกว่า สาธุ ก็เท่ากับศิษย์ยิ่งแช่งให้เขาไม่ได้ดีนะ ถ้าเขาไม่ได้ดีหรือเขาได้รับผลของการไม่ได้ดี เราจะกดไลค์เขียนด่าเขาเลยได้ไหม เท่ากับเราเกี่ยวกรรมกับเขาเลย พอเรากดไลค์เขียนด่า มีคนกดไลค์ชอบ ภูมิใจไหม อย่าภูมิใจนะเพราะนั่นเท่ากับกำลังสร้างบาป เรามีสาวกมากดไลค์ก็เท่ากับมาเพิ่มบาปของเราให้มากขึ้นด้วย เวลาใครไม่ดีแล้วได้รับผลไม่ดี ศิษย์จงเปลี่ยนเป็น “ให้ผลบุญที่ข้าพเจ้ามีจงแปรเปลี่ยนจิตใจเขาให้คิดได้เถิด สาธุ” ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะศิษย์อย่าลืมคนไม่ดีคนหนึ่ง เขาสามารถทำคนทั้งโลกให้ตายโหงได้นะ เวลาเราเจอคนไม่ดีอย่าไปแช่ง อย่าไปด่า เพราะยิ่งแช่ง ยิ่งด่า ก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาชั่ว เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีด้วยการแผ่เมตตาจิต
วันนี้ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ศิษย์ได้ทำบุญหนึ่งอย่างแล้วรู้ไหม การมาฟังธรรมก็ได้บุญ การเดินผ่านคนแล้วรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ก็เท่ากับสร้างบุญแล้วรู้หรือเปล่า (รู้)  รู้ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์จะให้ศิษย์เดินสายบุญ เราอยู่ในโลกนะศิษย์ เราอย่าไปเดินสายบาป อย่าเดินสายกรรมเลย วิธีเดินสายบุญของอาจารย์ง่ายๆ ทำอะไรก็รู้จักให้ แล้วการให้ความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพผู้อื่น เป็นการเดินทางบุญที่ยิ่งใหญ่และง่ายที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งเดินสายบุญด้วยการ เดินไปเจอใครก็ยกมือไหว้ เดินไปไหว้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไหว้มาถึงพระอาจารย์)
อยู่ตรงหน้าศิษย์แล้วทำเลย ศิษย์เอ๋ย จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก แต่จิตที่เย่อหยิ่งทะนงตน อวดดีอวดรู้ ไปอยู่ที่ไหนใครก็เกลียด ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ได้เดินสายบุญไม่ดีหรือ หรืออยากเดินสายบาปก็ได้ เดินไปก็ด่าไป เอาอะไรดี (สายบุญ)  ฉะนั้นเดินไปนะ เจอใครก็ไหว้ ออกนอกประตูกลับมาใหม่ก็ไหว้ ดีไหม (ดี)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอันนี้นะ เพราะบุญอันนี้เป็นบุญที่ทำง่ายที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ
ศิษย์ไม่อยากให้ใครดูถูก ศิษย์ก็จงอย่าดูถูกตัวเอง ถ้าศิษย์อยากให้ใครเคารพ ศิษย์ก็ต้องรู้จักเคารพตัวเอง และศิษย์อยากให้ใครรัก ศิษย์ก็ต้อง (รักตัวเอง)  แล้วรักคนอื่นไหม (รัก)  เขาเดินสายบุญ เรารับบุญแล้วเราทำอย่างไรต่อ สาธุ (สาธุ)  ดีมากศิษย์ ไม่เสียที ฉะนั้นเราต้องต่อยอดบุญ ต่อยอดบุญเสร็จ เขาเดินกลับไปแล้วยังแอบชมลับหลัง โอ้โห เก่งจริงๆ ดีจริงๆ ให้กำลังใจคนทำบุญ เอาแบบออกมาจากใจ ไหว้ออกมาจากใจ สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ โชคดีนะครับ ดีใจด้วยนะครับเดี๋ยวเราได้กลับบ้านแล้วนะครับ ดีไหม ดีนะ
ศิษย์เดินสายบุญ เดินช้าๆ เดี๋ยวบุญจะขาด เคารพด้วยท่าทีที่
นอบน้อม มองอย่างไรก็น่ารัก ศิษย์เอ๋ย จากมืดๆ ก็สว่างทันทีเลย เอาช้าๆ แล้วเราได้บุญต่อ ให้อายุมั่นขวัญยืน พอเราเดินสายบุญ ผู้ใหญ่บางคนพอเราไหว้เขาก็อวยพรเราต่อ ขอให้อายุมั่นขวัญยืนนะหลาน ยากไหมสายบุญของอาจารย์ (ไม่ยาก)  อย่างนั้นพร้อมใจขอบคุณกันอีกที (ขอบคุณ)  ทำดีไม่ยาก ขอแค่อ่อนน้อมแล้วทำจากใจจริง งดงามแถมได้คำอวยพรกลับมาให้ชื่นใจอีก การทำบุญมีแต่ได้ดี
ศิษย์รู้ไหมพระพุทธองค์ท่านบอกว่า กรรมหรือแรงใดๆ ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับแรงบาป เพราะแรงบาปเมื่อตกผลแล้วอะไรก็ยั้งไม่อยู่ เกิดเป็นคนจงสร้างบุญอย่างสร้างบาป แม้แต่พระพุทธองค์ท่านเคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่งศิษย์เคยได้ยินไหมว่า แม้มีน้ำตานองหน้า และต้องอดทนฝืนทำ
ความดีก็จงเลือกที่จะทำดี อย่าทำชั่วเด็ดขาด
 เพราะเมื่อชั่วให้ผลกรรมแล้ว ตอนนั้นศิษย์อยากจะแก้ก็แก้ไม่ได้แล้ว จะขอโทษเขาก็ไม่ให้อภัยแล้ว เพราะคนชอบจำไม่ลืม ถูกไหมศิษย์ ศิษย์ทำดีเป็นสิบ พอศิษย์ทำชั่วกับเขานิดเดียวเขาจำไหม (จำ)  พอเราขอโทษเขาหายไหม ที่อาจารย์เห็นไม่เคยหายเลย เอาคืนยิ่งกว่าเดิมอีก อาจารย์รักศิษย์นะจึงอยากบอกกับศิษย์ว่า เลือกสายบุญอย่าเลือกสายบาป เพราะการทำดีนั้นง่าย ก็แค่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อื่น ได้ไหม (ได้) 
เมื่อเขารู้จักเดินสายบุญแล้วเราเดินสายบุญหรือสายบาป (สายบุญ)  คนที่มีสายบุญและถือคุณธรรมเป็นชีวิตจิตใจ เดินสายบุญแล้วยังได้เป็นคนที่ประเสริฐด้วย แต่ถ้าเกิดคนที่เดินสายบุญและมีคุณธรรมประจำใจดำเนินชีวิต เดินสายบุญและเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้วยังเติมปัญญาธรรมเข้าไปด้วย ก็เป็นผู้ที่เดินสายบุญที่มีชีวิตประเสริฐ และเดินไปสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วย อย่างนั้นเราจะเอาสายไหน สายบุญอย่างเดียวหรือ แล้วสายบุญของอาจารย์แปลว่าอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นไว้แล้วศิษย์ อยู่ในโลกจะทำอย่างไรให้เรามีชีวิตต่อไปไม่เป็นการสร้างกรรม แต่เป็นการสร้างบุญและกรรมที่เหลือก็จะเป็นการชดใช้หนี้เก่า ดีกว่าไหม (ดีกว่า)
ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามที่กอปรไปด้วยบุญ และกอปรไปด้วยคุณธรรมที่เรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ เราจงเลือกทำ เหมือนเมื่อสักครู่ที่อาจารย์บอก ถ้าศิษย์ไปทำงานเจอใครก็สวัสดี พูดอะไรทำงานอะไรก็ถือความซื่อตรงเป็นหลัก ไม่โกหก ไม่เอาเปรียบ ไม่กินแรง มีคุณธรรมประจำใจคือ เมตตาจิต ไม่นินทาใคร อย่างนี้เรียกว่าเดินสายบุญ และกอปรไปด้วยคุณธรรมแห่งมนุษย์ประเสริฐดีไหม แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ทำ)  ศีลไม่ค่อยครบ คุณธรรมไม่ค่อยมี ปัญญาหาไม่เคยได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวิธีปฏิบัติของอาจารย์ก็คือ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร หนึ่งคือความอ่อนน้อม สองคือภายในใจต้องมีศีลธรรม มีเบญจศีลและมีเบญจธรรม แล้วรู้ไหมว่า
เบญจศีลเบญจธรรมคืออะไร (เบญจศีลก็คือข้อห้าม เบญจธรรมก็คือสิ่งที่ควรกระทำ)  อาจารย์ให้ลูกอมแล้วกันนะดีไหม (ดี)  ลูกอมหนึ่งลูกเท่ากับชวนคนมารับธรรมหนึ่งคนนะเอาไหม (เอา) ให้หมดเลยนะ (เอาไปแบ่งเพื่อน)  ให้เพื่อนไปชวนต่อใช่ไหม อาจารย์ให้นะ วันนี้อาจารย์ใจดีแจกศิษย์ แน่ใจนะเอาหมด (เดี๋ยวแบ่งเพื่อนที่ออฟฟิศ)  ใครขอก็ให้นะดีไหม (ดี)
เบญจศีลก็คือคุณธรรมห้า การรู้จักมีศีลก็คือการสร้างบุญ การรู้จักมีธรรมก็คือการสร้างบุญ การรู้จักฟังธรรมก็คือการสร้างบุญ การรู้จักเคารพและให้เกียรติผู้อื่นก็คือการสร้างบุญ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อก็คือการสร้างบุญใช่หรือไม่ การมีน้ำใจช่วยเหลือคน เช่นแค่ถามว่า ร้อนไหม เช็ดเหงื่อให้ นั่นก็คือการสร้างบุญแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญสอนให้เรารู้จักให้โดยไม่เห็นแก่ตัว รู้จักให้โดยไม่เรียกร้องขอผลตอบแทน ถ้าศิษย์ทำได้ ทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์ก็สร้างบุญได้ทุกที่ แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ชอบสร้างบุญแค่เฉพาะที่วัด กับคนอื่นไม่ยอมทำบุญใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น) เป็นคนดีเฉพาะในวัด ถ้าพ้นเขตวัดหรือถ้ายังไม่พ้นเขตวัดก็แอบนินทาคนแล้วถูกไหม
ฉะนั้นบุญจะงดงามขณะให้ ให้ไปแล้ว ให้สิ้นแล้ว ไม่เรียกร้องอะไร บุญนั้นจะเป็นบุญที่บริสุทธิ์ เริ่มต้นที่ศีลก่อน ศิษย์บอกว่า ศีล ศิษย์ก็ยังถือไม่ครบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการมีศีลครบ มันช่วยทำให้อะไรรู้ไหมศิษย์ เคยคิดไหม บางคนเกิดมาแข็งแรง บางคนเกิดมาอ่อนแอ เพราะเรามีชีวิตอยู่ ข้อแรกที่เรามักทำกันไม่ได้ ก็คือ เรามักจะเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น เพื่อสนองความอยากของตนเอง เรามักเบียดเบียนคนอื่น โดยการว่าเขาทางสายตา แอบด่าเขาทางใจ ฉะนั้นใครที่มีชีวิตอยู่ แล้วตอนนี้มักเจ็บไข้ได้ป่วย ก็แปลว่ามักจะเบียดเบียนและทำร้ายชีวิตของคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง ดังนั้นอยากมีร่างกายที่แข็งแรง ก็จงมีเมตตาจิต อยากได้คนซื่อตรง ก็จงรู้จักซื่อตรงก่อน อยากได้คนจริงใจไม่โกหกมดเท็จ เราก็จงอย่าโกหกมดเท็จใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
- ศีล ทำให้เรารู้จักประพฤติได้ถูกต้อง
- คุณธรรม คือสอนให้เราเป็นคนประเสริฐ
- การรู้จักทำบุญ คือทำให้เราสามารถสร้างกรรมที่ไม่ต้องเกี่ยวกรรมต่ออีก
ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเมื่อออกไปจากห้อง (สวัสดี)  แม้แต่เมื่อจบชั้นเรียนเราก็ (ขอบคุณ)  ยากไหม (ไม่ยาก)
เมื่อเราเดินสายบุญแล้ว ต่อไปเราต้องเดินสายธรรม ศิษย์เอ่ย ขึ้นชื่อว่าชีวิต มันต้องยืดหยุ่นได้ดี ถ้ายืดหยุ่นไม่ดี ชีวิตก็คือความตายแล้วนะ อย่าเพิ่งยอมแพ้ ยืดหยุ่นไว้ก่อน ถ้าเส้นยึดเมื่อไร แปลว่าใกล้จะตายแล้วนะ
ชีวิต คือสิ่งที่ต้องยืดหยุ่นได้ จึงเรียกว่าชีวิต สิ่งใดที่ตายนิ่ง ไม่ยืดหยุ่นนั้นแปลว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ชีวิตแล้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคนก็ต้องรู้จักยืดได้หดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรามาเข้าถึงธรรมบ้างดีไหม (ดี)  ไหวไหม (ไหว)  คนในโลกเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  มีสูงก็มีต่ำ มีดีก็มีดีน้อย ถูกไหม (ถูก)  แล้วมีพวกฉลาดก็มีพวกที่รู้ช้า ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำไมเราต้องเข้าใจธรรม ก็เพราะการเข้าใจธรรมจะสามารถทำให้เราไม่เกี่ยวกรรม ไม่สร้างบาปได้ บางทีศิษย์เคยไหม พูดกับเขาครั้งที่หนึ่ง เขาก็บอกว่า “ว่าไงนะครับ พูดใหม่อีกทีสิ” พูดกับเขาครั้งที่สอง “อีกทีได้ไหมครับ ผมฟังไม่ทัน” พูดกับเขาครั้งที่สาม “อะไรหรือครับ” โกรธไหม (โกรธ)  อุตส่าห์ให้เดินสายบุญแล้วโกรธอีก ต้องไม่โกรธ ศิษย์ต้องเข้าใจ คนบางคนพูดหนึ่ง ไม่ใช่รู้หนึ่ง แต่บางทีสอง สามก็แล้ว ยังไม่รู้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะมันเป็นความจริงของโลกใบนี้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งยืนขึ้น)
เหมือนศิษย์บอกว่า อาจารย์ศิษย์ก็พยายามเลือกแล้วนะ หาดีที่สุดแล้วนะ มันได้แค่นี้ โกรธใคร โกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)  โกรธเราทำไม (เพราะเราอยากหาเอง)  เราอยากหาเอง มีดีตั้งเยอะไม่เลือก เลือกแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  “อาจารย์พูดแบบนี้หยาม ศิษย์ไม่ดีตรงไหน ถึงศิษย์จะรู้น้อย ศิษย์ก็รู้ตามหลังได้ ถึงศิษย์จะไม่ขาวแต่ศิษย์ก็ดำแบบสะอาด”
ใช่ไหม (ใช่)  พยายามหาดีเต็มที่ ฉะนั้นการรู้ธรรมก็คือทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงว่า คนในโลกมันไม่เท่ากัน มีตั้งเยอะแยะไม่เจอ มาเจอเขา
มีตั้งเยอะแยะไม่เลือก ดันเลือกเขา ฉะนั้นอย่าพยายามหาความสมบูรณ์แบบในโลก เพราะโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเราเอง
ถ้าเลือกมาแล้วอย่ามัวแต่กล่าวโทษ แต่ให้อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและพยายามปรับความเข้าใจ ดีไหม (ดี)  ศิษย์เอ๋ยอยู่ในโลกเราต้องเข้าใจธรรมอย่างหนึ่ง คนเราแม้พยายามจะหาดีที่สุดขนาดไหน ก็ไม่มีใครดีที่สุดดั่งใจเราได้ จงยอมรับความเป็นจริง เพราะโลกที่สมบูรณ์ที่สุด ก็มีสิ่งที่บกพร่องที่สุด แม้จะมีสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็ยังมีสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกัน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายอีกท่านหนึ่งออกมายืนนอกแถวที่นั่ง)  เพราะความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง
วันหนึ่งสิ่งที่เป็นธรรมชาติของอาจารย์เปลี่ยนจากนี้เป็นแบบนี้ อาจารย์ตอนอยู่ด้วยกันก็ผอมนะ สักพักหนึ่งทำไมเป็นอย่างนี้อาจารย์ อาจารย์ตอนแรกอยู่ด้วยกันก็ดี แต่พอผ่านไปทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะอาจารย์ จำไว้นะศิษย์
โลกใบนี้เป็นโลกแห่งมายา สิ่งที่เรียกว่าธรรมล้วนเปลี่ยนแปลงทุกขณะ ถ้าเราอยากเข้าใจหลักธรรมแล้วไม่ทุกข์กับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราได้ เราจงยอมรับหลักสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า ในมายาล้วนมีรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยน
หารูปลักษณ์ที่แท้จริงได้ไม่
 ถ้าเราเข้าใจความไม่สมบูรณ์ ความไม่เที่ยงของโลกใบนี้ เราก็จะอยู่กับเขาอย่างมีความสุข ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง
ขนาดไหน ศิษย์ก็จะมีความสุข แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ได้ต้องหล่อกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ ต้องขาว ต้องผอมกว่านี้ ถึงแม้ศิษย์จะพยายามเดินสายบุญ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจสายธรรม ศิษย์ก็จะมีทุกข์และก็อยู่กันอย่างเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมกันสักที แทนที่จะบอกว่า บุญอะไรหนุนหนำมาให้เราเจอกัน นานๆ ไปก็บอกว่า กรรมหนอกรรม แต่จะทำให้เราเข้าใจธรรมทันทีเลยว่า ไม่ว่าสิ่งที่เรามีจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เราก็จะมองเห็นสัจธรรมว่า
โลกไม่มีอะไรเที่ยง คนเราเปลี่ยนแปลงได้ ตัวเราเปลี่ยนแปลงได้ เราก็จะกล้ายอมรับและเป็นสุข ด้วยหัวใจที่เข้าใจหลักธรรม อาจารย์ตลกแต่อาจารย์มีธรรมะ อย่าลืมเอาธรรมะของอาจารย์ไปด้วย
ศิษย์จงเข้าใจ อยู่ในโลกแม้อะไรจะเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือความเป็นจริงแห่งธรรมที่เรียกว่า ธรรมชาติ ฉะนั้นจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือธรรมชาติ แต่คนที่มีธรรมและเข้าใจธรรมแล้ว จะแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมเป็นทุกข์กับมันเด็ดขาด แต่จะรู้จักช่วงใช้และอยู่ร่วมกันอย่างก่อบุญก่อกุศล ไม่ก่อบาปก่อกรรม
(พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ผู้ใฝ่รู้”)
เก่งรอบรู้ไม่สู้เก่งเท่าทันใจ     ภัยใดไม่สู้ภัยจากใจหนา
มองผ่านใจยากรู้จริงภาพลวงตา  วางใจตนจึงรู้ว่าใดแท้จริง
อาจารย์อ่านจนจบแล้วศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจคำว่า “รู้” มีประโยชน์อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรารู้เรื่องภายนอกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยรู้คือ “รู้เท่าทันใจตน” ทุกอย่างเกิดจากเหตุที่เรียกว่า “ตัวเรา”  และในตัวเราที่เผลอหลงไปยึดธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าเราประมาทไม่มีสติรู้เท่าทันใจ รู้ความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ความไม่รู้นี่แหละที่จะทำให้เราเผลอไปหลงยึด เราบอกว่าเราแก่ ทำไมถึงแก่ แต่ถ้าเราเข้าใจและรู้ชัดว่า
ทุกคนมีแก่ มีเจ็บ และมีตายเป็นธรรมดา ทุกชีวิตหนีไม่พ้น แต่เราพ้นการเกิดได้ ไม่ธรรมดา มนุษย์กลัวตายแต่พุทธะกลัวเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์เราอยู่ในโลก ไปแสวงบาป ไปแสวงกรรม ไปทำชั่วเพราะสาเหตุใด รู้ไหม (ไม่รู้) ไม่รู้จริงๆ หรือ ไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองไปทำชั่วทำบาปเพราะอะไร รู้ไหม (รู้)  เพราะความอยาก พระพุทธะเรียกว่าตัณหา ตัณหา อนุสัยเกิดเมื่อไรทุกข์เกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นตัณหาคือต้นเหตุแห่งทุกข์และการเกิดที่เวียนว่ายภพน้อยภพใหญ่ไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์หยุดตัณหาได้ มนุษย์ก็หยุดการเกิดได้ แต่เราเคยหยุดตัณหาไหม เราเคยหยุดอยากไหม (ไม่)  มีตัณหาพอไหมยังตามไปด้วยกามราคะหรือกามตัณหา แล้วศิษย์รู้ไหมว่ากามราคะ มันรสอร่อยแต่มันให้ทุกข์ถนัด และไม่มีทุกข์ใดเสมอทุกข์ด้วยกามราคะและกามตัณหา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหลงอยากมีแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าคุณธรรมศีลธรรม ไม่มีจิตสำนึก กามตัณหานั้นแหละจะทำให้เราก่อเกิดภพเกิดชาติเวียนว่ายไม่จบสิ้น พระพุทธะเคยบอกไว้ว่า ความเจ็บและความตายเป็นสิ่งน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ถ้าถามว่ายังกลัวไหม ก็ยังกลัวกัน แต่อาจารย์ว่าความเจ็บความตายน่ากลัว
ขนาดไหน ก็ไม่สู้เท่ากับแรงบาปกรรมที่ศิษย์ทำอะไรไม่มีจิตสำนึกของความถูกต้อง เพราะแรงบาปกรรมมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเจ็บตายอีกหลายๆ ครั้ง
 มองหน้าอาจารย์ไม่มียอมรับบ้างเลย ไม่มีหดหู่บ้างเลย
ใช่ไหม ไม่ต้องกลัวอาจารย์ กลัวใจตัวเองดีกว่า เพราะถ้าศิษย์ทำบาปก็ต้องรับบาปเองใช่หรือไม่
พุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ต่อให้หนีไปสุดล่าฟ้าเขียว ก็ไม่มีใครหนีบาป
ที่ตัวเองทำไว้ได้ และบาปนั้น ไม่น่ากลัวเท่ากับใจของเราที่ไม่รู้จัก
ผิดชอบชั่วดี
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์ฆ่าเขา หนึ่งคนหนึ่งชีวิต ศิษย์จะต้องกลับมาเกิดชดใช้เพื่อให้เขาฆ่าศิษย์กลับ แล้วถ้าศิษย์ยังจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์ก็ต้องเวียนว่ายกลับมาเกิด เจ็บ ตาย ให้ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แล้วเราจะจบกรรมกันได้อย่างไรหรือศิษย์ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงแก้ไขการดำเนินชีวิตของเรา เขาทำเรา เรายังอโหสิกรรมจบกรรมได้ แต่เราทำเขา เขาจะให้อภัยศิษย์ไหม ศิษย์บอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวศิษย์ไปสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาอภัยศิษย์ไหม (ไม่ให้)  เวลาเขาจะล้างแค้น เขาจะเอาคืนอย่างไร เขาเอาคืนกับศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็จะเอาคืนจากคนที่ศิษย์รัก เอาของที่ศิษย์ชอบ เอาให้วอดวายจนไม่เหลืออะไรเลย ตอนนั้นศิษย์จะมีน้ำตานองหน้าขนาดไหนก็ตาม อาจารย์ก็ยืนยันว่า จงทำดีต่อไป อย่ายอมแพ้ แล้วขอให้ชาตินี้ชดใช้กรรม จะไม่สร้างกรรมอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
นะศิษย์
 ดีไหม (ดี)  ไม่ต้องรอให้ใครบอก แต่รู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะจิตที่รู้
จะทำให้เราเกิดปัญญามองเห็นจิต มองเห็นความคิด จิตที่รู้ มีสติรู้เท่าทัน ไม่ว่าอะไรมันจะเกิด มันมากระทบกาย กระทบใจ เราก็จะ ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ได้ชดใช้แล้ว ดีไหม (ดี)  อย่าก่อกรรมต่อไปเลย อย่าเพียงเพราะ
ความอยาก ฆ่ามันให้ตาย เอามันให้ไม่เหลือ หมูย่างหมูกระทะกินให้มันเต็มที่ เวลามันซัดกลับเข้ามาเต็มที่ แล้วศิษย์อย่ามาร้องเรียกอาจารย์จี้กง ทำไมคนบางคนเดินทางปลอดภัยไม่เป็นอะไร แล้วทำไมคนบางคนเป็นโรคมากมาย ทั้งหมดนี้มันคือกรรมทั้งนั้นนะศิษย์
ฉะนั้นรู้แล้ว แล้วอย่ามาบอกว่าไม่รู้ ไม่ได้นะ รู้แล้วยังทำอีก ยังผิดอีก หนักเป็นเท่าตัว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะทำอะไรคิดให้ดีๆ หนทางของการดำเนินชีวิต นับจากวันนี้เป็นหนทางบุญที่กอปรไปด้วยคุณธรรม
อันประเสริฐและเข้าใจในธรรมแห่งความเป็นจริง จะได้นำพาให้ศิษย์
พ้นทุกข์ ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไป
 ดีไหม
ไปให้ถึงนะ อ่อนน้อมเข้าไว้ จริงใจเข้าไว้ อุทิศเสียสละเข้าไว้ อภัยเมตตาไม่เคืองโกรธเข้าไว้ ทุกอย่างล้วนเป็นการกระทำที่มีแต่ให้ ให้เงินให้ทองก็ไม่สู้ให้ธรรม อยากได้ลูกหลานดี ทำไมไม่สอนธรรมให้ลูกหลานดี อยากได้ลูกหลานกตัญญู ทำไมไม่ทำตัวเองให้กตัญญูให้ลูกหลานเห็น อยากได้เพื่อนซื่อตรง ทำไมไม่ซื่อตรงให้เพื่อนเห็น อยากได้คนจริงใจ ทำไม
ไม่จริงใจออกจากใจให้เขาเห็น ไม่ต้องรอไปพึ่งใคร พึ่งตัวเอง เพราะตัวเองจึงได้ดีที่สุด คนอื่นยังมีวันเปลี่ยนแปลง แต่การพึ่งและศรัทธาในความดีของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้เราเป็นทั้งร่มโพธิ์ร่มเย็นให้กับคนอื่นและตัวเองได้ จริงไหม (จริง)  เลือกเดินสายที่ถูกต้อง ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ศิษย์จะได้ไม่ต้องมีน้ำตานองหน้าจะได้ไม่ต้องทำดีอย่างพยายาม แต่ทำด้วยความเข้าใจ ยินดีทำ ยินดีสละให้ ถ้าการให้นั้นทำให้หมดตัวตนไม่ต้องทุกข์ ให้ไปเถอะศิษย์ บุญบารมีมันเกิดจากชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ทำเดี๋ยวนี้ จบเดี๋ยวนี้เลย จะไปรอจบกันทำไมชาติหน้า เพราะชาติหน้าจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถูกไหม (ถูก)  รักตัวเองหน่อยนะศิษย์ รักตัวเองก็ต้องเลือกทางถูก เลือกทำสิ่งที่ดี อย่าทำร้ายตัวเองด้วยหนทางผิด หนทางบาปเลย คนตกนรกมีเยอะแล้ว อาจารย์อยากได้คนบุญ คนบุญที่พ้นทุกข์ พ้นธรรมจริงๆ นะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ดีไหม (ดี)  ตั้งใจบำเพ็ญ
เดินบนสายบุญ สายแห่งความดีงาม มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้นะ ตั้งใจทำให้ได้
จับมืออาจารย์แล้ว เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว ทำให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงเลือกสายแห่งความดีงาม เลือกสายแห่งความถูกต้อง อย่าเอาแต่ใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ คิดถูกทำถูกก็บุญของศิษย์ คิดผิดทำร้ายก็
น่าสงสารยิ่งนัก รักษาสิ่งที่ดีงาม อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ ตั้งใจเรียน
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ อาจารย์ให้ขวัญกำลังใจ อาจารย์ให้มงคลบุญรักษาศิษย์ ฉะนั้นศิษย์ต้องตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง
บุญอยู่ที่เราสร้าง บารมีอยู่ที่เราทำ ร่ำรวยไม่สู้ร่ำรวยปัญญาหรอก สิ่งดีและสิ่งมงคลจะเกิดได้ก็ด้วยจิตของเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ความเป็นมงคลก็มาสู่ใจ แต่ถ้าเราไม่มีศีลธรรม มงคลก็ออกจากใจ ทำได้ดีแล้วก็ต้องรักษาความดีต่อไป สังขารไม่เที่ยงนะศิษย์ จงรักษาจิตแห่งฟ้า สังขารสักวันก็ต้องกลับคืนสู่ดิน จงรักษาใจแห่งฟ้า ใจที่ดีงาม รู้จักคิดรู้จักทำ ตั้งใจบำเพ็ญและทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจบำเพ็ญต่อนะ ศิษย์เป็นศิษย์ที่ดี ศิษย์เป็นศิษย์ที่น่ารัก แต่บางครั้งก็ต้องระมัดระวังความคิดและอารมณ์ ควบคุมให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์พุ่งพล่านและทำให้เราเจ็บปวด อาจารย์ห่วงศิษย์และรักศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ต้องรู้จักรักตัวเองและเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงเดินทางผิด ตั้งใจต่อไปอย่ายอมแพ้ เรียนรู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมด้วยความเข้าใจ
ด้วยหัวใจที่เมตตา
เข้มแข็งนะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งจนทำให้อาจารย์หายห่วงได้หรือยัง เด็กดื้อของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญถึงที่สุดหรือยัง เข้มแข็งไม่หวั่นไหวหรือไม่ มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรมีจิตหนึ่งใจเดียวไม่ท้อแท้หรือไม่ หัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนนี้คือหัวใจที่ประเสริฐ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจและรักษาใจนั้นตลอดไป ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร ใจที่อุทิศเพื่อช่วยคน ใจที่อุทิศเมตตาผองชน ใจที่ทำไม่เหนื่อยท้อ ไม่อ่อนล้า ทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญได้ไหม ทำให้ดีก็ไปให้ถึงที่สุด บำเพ็ญมีรอยยิ้มอย่างนี้ให้ตลอด ทุกครั้งที่มีชีวิตยิ้มสู้นะศิษย์เอ๋ย รักษาศีลรักษาธรรม รู้จักควบคุมตนเองด้วยสติปัญญา ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดีอย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบ จับมือไหม จับแล้วต้องมาบำเพ็ญนะ อาจารย์ขอลาเขานิดหนึ่ง เพราะอาจารย์ไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกไหม ไม่รู้ว่าศิษย์จะรู้จักดูแลตัวเองให้ดีไหม ฉะนั้นศรัทธาความดี
ไม่ศรัทธาอาจารย์ไม่เป็นไร ทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าใช้อารมณ์เท่านั้นก็พอ
มีโอกาสมาฟังให้ครบนะศิษย์ รักตัวเองไม่ทำร้ายตัวเอง
ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีต่อไป เราเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว การบำเพ็ญคือการรู้จักควบคุมตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายให้ตัวเองทุกข์ ไม่ไปว่าคนอื่นตรวจสอบใจตัวเอง ไม่โทษคนอื่นแต่รู้จักโทษตัวเองนั่นเรียกว่า “บำเพ็ญ”  บุญอยู่ที่เรารักษา บารมีอยู่ที่เราสร้าง คุณงามความดีอยู่ที่เรากระทำ มาแล้วเดินต่อให้ถึงที่สุดนะศิษย์ อาจารย์ไม่เคยหลอกศิษย์ อายุมากแล้วจงยิ้มจงสู้ทุกเรื่องราวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาแต่อย่าหลงผิดแค่นั้นพอ หายห่วงหรือยัง ทำได้ดีหรือยัง ทำสิ่งที่อาจารย์บอกได้บ้างหรือยัง ได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วเมื่อไรจะทำ เดี๋ยวกรรม
ตกผลอาจารย์ช่วยไม่ได้แล้วนะ อาจารย์ไปแล้วนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์ เพื่อตัวศิษย์เอง อาจารย์เชื่อมั่นในตัวศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่น
ในความดีของตัวเอง เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อบุญบารมีของตัวเอง อย่า
สร้างบาปอีกเลยอาจารย์ขอ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่รู้”
เก่งรอบรู้ไม่สู้เก่งเท่าทันใจ                       ภัยใดไม่สู้ภัยจากใจหนา
มองผ่านใจยากรู้จริงภาพลวงตา                 วางใจตนจึงรู้ว่าใดแท้จริง

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมหมิงเอิน
วันที่ ๑๔-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
เพลงหน้า ๑๔ วรรคที่ ๒
เดิม         เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าทำตัวเองหลงไป ไม่มองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว
แก้ไขเป็น   เกิดมาเป็นคนทั้งที ต้องไม่ทำตัวหลงไป อย่ามองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-14 สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์

西元二○一六年歲次丙申四月初八日                                        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙               สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  การให้ธรรมประเสริฐกว่าทานทั้งหลาย     รักการให้ใจเมตตาต้องเหมาะสม
เลือกที่รักมักที่ชังตามอารมณ์            ก็ยากบ่มคุณธรรมงามแท้จริง
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์น้องทุกคนต้อนรับศิษย์พี่ไหม

  การให้ต้องธรรมหลายข้อผนวก        ผู้สะดวกถึงรู้ไม่แตกแถว
บำเพ็ญธรรมบาปกรรมสร้างขวางแนว   แต่ความดีทำแล้วก็สบาย
หาทางนำสติมาคืนชีวิต                  พรหมลิขิตของใครสิ่งดีร้าย
สงบใจสิ่งใดเกิดไม่เป็นไร                 การทำใจทำให้พ้นสบาย
อะไรนั้นไม่ยึดได้คงระงับ                 อะไรดับเมื่อจะดับก็เข้าใจ
ชีวิตทุกขณะต้องเบาทางใจ               ใครละไหมไม่เสมอตนวาง
คนปล่อยวางมีสุขไร้กังวล                ลืมแม้ตนของเราจึงสว่าง
ละอัตตาตัวใครไม่มีทาง                  การสะสางล้วนทำเริ่มที่เรา
ทุกสิ่งเป็นทุกอย่างไม่ได้                  โลกเปลี่ยนไปกิเลสก็เหมือนเก่า
เป็นเช่นนั้นเองจงบำเพ็ญเรา             ไม่ขัดเกลาจะดีขึ้นได้อย่างไร
                                                                                                      ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

ความเกียจคร้าน ความเบื่อหน่าย ความท้อและการจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง จนไม่มองว่าข้างหน้ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น ก็ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ไปโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  บางครั้งก็ทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและดูดาย ไม่สนใจไยดีคนรอบข้าง คนอื่นเขาทำอะไรไปตั้งเยอะแยะ แล้วเราก็มารู้สึกเบื่อ เกียจคร้าน บางทีก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีน้ำใจกับคนรอบข้าง  ความเกียจคร้าน ความท้อและการจมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง จนไม่สนใจข้างหน้าว่าเขาจะทำอะไร อยากทำอะไรก็ทำไป ไหนบอกว่าเราศึกษาธรรม เราเป็นคนบำเพ็ญปฏิบัติธรรม แล้วทำไมเราถึงไม่รู้จักให้ธรรมกับคนอื่นบ้าง เวลาเราอยู่ร่วมกันทำไมเราชอบให้แต่กิเลส อารมณ์
ธรรมะไม่ได้สอนให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแค่ตอนเราอยู่ที่วัด ทุกๆ ที่เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ และทุกคนเราก็สามารถที่จะให้ธรรมได้ จริงไหม (จริง)  รู้ทุกอย่างเต็มอก แต่ถึงเวลาทำไม่ได้ ทำบ้างไม่ทำบ้าง แล้วแต่อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้สึกดีก็ให้ รู้สึกไม่ดีก็ไม่ให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีจริงไหม แล้วจะอ้างว่าตัวเราก็ยังดี ได้หรือเปล่า
บางคนชอบทำบุญทำทาน แต่ทำทานแบบเลือกที่รักมักที่ชัง อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  อาหารดีๆ ถวายแต่เจ้าอาวาส พระรูปอื่นถวายไหม อยากกินอะไรก็ทำแบบนั้น เดี๋ยวชาติหน้าก็ได้กิน ถวายดอกไม้เยอะๆ ชาติหน้าจะได้สวย แต่ศีลธรรมไม่มี แล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนไหม มนุษยธรรม คุณธรรมแห่งความเป็นคนไม่มี ก็ไม่เเน่ว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นคนหรือเปล่า เเล้วอยากทำบุญกลับไปสวรรค์ เเต่เมตตา กรุณา ก็มีแบบเอียงๆ เเล้วอย่างนี้จะขึ้นสวรรค์ได้ไหม จะเป็นเทพเทวดาได้ไหม (ไม่ได้) 
ถ้าทำดีเเค่ไหนเเต่นิสัยไม่เคยเเก้ เรื่องไม่ดีไม่เคยลดละ มือหนึ่งก็ทำดี อีกมือก็ทำบาป อย่างนี้ยังเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  พระพุทธองค์สอนว่า “ละชั่ว บำเพ็ญบุญ” เเต่มนุษย์ชั่วก็ไม่ละ บุญก็ทำกะปริดกะปรอยเเล้ว อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีธรรมไหม (ไม่มี)  บอกให้มาฟังธรรม ฟังไหม
วันนี้เราคุยกันเรื่องธรรมะล้วนๆ ฉะนั้นจะมาขอเลขสามตัวไม่ได้ จะมาขอรักษาโรคไม่มีนะ จะขอให้มีเเต่สุขเเล้วไม่มีทุกข์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นไม่ว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสีย นั่นก็คือธรรม เเต่เรามองไม่เห็นธรรมก็เพราะว่าตาเราฝ้าฟาง ใจเรายึดมั่นชอบเปรียบเทียบ ธรรมจึงมีสูงต่ำ ดีร้ายได้เสีย ทั้งที่จริงๆ เเล้วทุกขณะล้วนคือธรรม ไม่มีร้าย ไม่มีดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ความหมายของคำว่าทุกข์ คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเละต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ ทุกคนเข้าใจความทุกข์ผิดไปหรือเปล่า ทุกข์ไม่ใช่พูดว่า “ตายแน่ๆ ตายแล้ว ทำอย่างไรดี” คนที่คิดอย่างนั้นคือ รับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ มัวจมและยึดมั่นกับอดีตหรือความคิดที่ตัวเองคาดหวัง เหมือนถามว่าตอนนี้ซื้อทองมาหนึ่งเส้น แล้วโดนคนกระชากไป ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์ที่ไหน (ใจ)  มันเป็นทุกข์ที่เป็นธรรมดาของธรรมชาติ แล้วเราเอามันไหลมาสู่ใจ อย่าลืมสิ ทุกสิ่งมันมีมา เดี๋ยวมันก็มีไป ในเมื่อเรายังมีปัญญา ไม่ยอมแพ้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันหาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่แปรทุกข์ให้กลายเป็นบุญล่ะ แปรทุกข์ให้กลายเป็นการให้ธรรม ให้เป็นการไม่จองเวรจองกรรม ให้หมดเวรหมดกรรม ไหนบอกว่าไม่อยากมีเวร ไม่อยากมีกรรม แล้วทำไมมักจะเผลอเกี่ยวกรรม เผลอคิดเป็นเวรทุกที ทุกข์มันก็แค่ทุกข์อันเป็นธรรมดา แต่มันไม่ใช่ทุกข์ของเรา มันเป็นทุกข์ของธรรม ทุกข์ของทุกสิ่ง แล้วไหนของเราล่ะ แล้วเราหลงอะไรไป  หลงไปเองทั้งนั้นเลย เหมือนที่พระอาจารย์บอกว่า มนุษย์ทุกคนขี้ตู่ ทุกอย่างมันคือธรรมชาติ เก้าอี้ก็มาจากต้นไม้ ร่างกายเราก็มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วเราขี้ตู่ไหม ขี้ขโมยไหม (ไม่)  ขโมยต้นไม้มาหาตังค์ ขโมยปลาทำบาปกรรมมาหาตังค์ นั่นน่ะขี้ตู่ทั้งนั้นเลย แล้วถ้าวันหนึ่งฟ้าจะเรียกกลับคืน ทำไมบอกว่าฟ้าไม่ยุติธรรม ฟ้าก็แค่เรียกคืน และถึงที่สุดทุกคนก็ต้องเดินกลับไปสู่ความไม่มี อันเป็นของเดิมแท้ ใช่ไหม
ฉะนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้นที่หลงยึดถือทุกอย่างเป็นของตัวเอง มนุษย์เป็นนักเกี่ยวตัวยง รู้จักคนนั้น รู้จักคนนี้ก็เก็บมาคิด แล้วก็ลากคนนั้นคนนี้ไปด้วยกัน พอว่างก็เอาเรื่องคนนี้ เอาเรื่องคนนั้นมาคิด ขี้ตู่อย่างเดียวไม่พอ ยังงกและชอบเกี่ยวกรรม บางเรื่องจบไปแล้วแต่ขอเกี่ยวเอาไว้ ทำไมเขาถึงว่าฉันอย่างนั้น ทำไมเขามองฉันอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)
จิตที่หนักย่อมลงนรก แต่จิตที่ใสเบาย่อมขึ้นสวรรค์ ถ้าทำอะไรเอาแต่เกี่ยวคนนั้นเกี่ยวคนนี้ แบกคนนั้นยึดคนนี้ ก็เหมือนตกนรก แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างปล่อยวาง ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก แล้วเราจะยึดมั่นอะไรใครให้หนักใจ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เรากลับไม่ใช่ เห็นใครน่ารัก เก็บไปหมดทุกอย่างแล้วก็เป็นทุกข์เพราะความคิดของตัวเองมันเป็นธรรมดา ศิษย์พี่ทำให้เห็นธรรม มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เราอย่าเอามาเก็บไว้ในใจ เพราะถ้าเราเอามาเก็บไว้ในใจ จากทุกข์อันเป็นธรรมดาก็กลายเป็นทุกข์ขังใจ คิดให้บังเกิดธรรม ความทุกข์ก็จะกลายเป็นการพ้นทุกข์ แต่ถ้าคิดให้บังเกิดธรรมไม่เป็น เราก็เป็นผู้ที่จมอยู่ในกระแสแห่งทุกข์ที่ตัวเองยึดติด แล้วตัวเองมองไม่เห็น ตัวเองก็จะก่อกรรมโดยการกล่าวโทษผู้อื่น ด้วยการใส่ร้าย ด้วยการว่าให้เจ็บปวด ใช่ไหม
แต่ความดีทำแล้วก็สบาย ทุกขณะหนึ่งความคิด ทุกขณะหนึ่งการกระทำ ล้วนสามารถส่งผลเป็นบุญบาปเวรกรรมหรือสิ้นเวรสิ้นกรรมได้ เหมือนขณะนี้ ถ้าศิษย์น้องบอกว่า ทำไมไม่นั่ง คิดอย่างนี้คือคิดให้เป็นทุกข์ แล้วคิดเป็นทุกข์มนุษย์หยุดแค่ตรงคิดไหม ถ้าไม่มีสติแล้วคิดต่ออีก ตัวเองได้นั่ง ให้คนอื่นยืน ตัวเองพูดได้ เพราะตัวเองนั่งมานานแล้ว เริ่มใส่ไคล้เริ่มว่าเริ่มตัดพ้อ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าศิษย์น้องฟุ้งซ่าน คิดไปเอง   แล้วก็ไม่ยอมรับความจริงแค่นั้นเอง ใช่ไหม
เราอยู่ในโลก เราปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะเลย ไม่ต้องรอไปวัด เราก็สามารถให้เมตตาได้ เเต่ถึงเวลาตอนนั้นศิษย์น้องจะยอมรับความจริงเเล้วให้ธรรมเขาได้ไหม หรือตอนนั้นจะเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เอาความยึดมั่นของตนเองเป็นใหญ่ เหมือนเขาว่าเราโง่ โกรธไหม (โกรธ)  อยู่ๆ เดินมาเเล้วด่าไอ้โง่ โกรธไหม (โกรธ)  นั่นล่ะศิษย์น้องเอ๋ย น่าเสียดาย เป็นโอกาสที่ศิษย์น้องจะได้จบเวรจบกรรม เเต่ศิษย์น้องไม่เคยจบ ใช่ไหม (ใช่) 
พระพุทธะสอนให้รักกาลสั้นหรือรักกาลยาว (ยาว)  รักกาลยาวจึงมีเรื่องตลอดเลย ให้รักกาลสั้น ไม่ให้รักกาลยาว ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อกี้ศิษย์น้องยังพูดเองเลย เวลาเราทำดีกับใคร กับหลวงพ่อทำดีเยอะๆ กับเณรไม่ต้องสนใจ อย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  คนเมตตาจริงๆ จะอุทิศให้จริงๆ กับใครก็ต้องให้ กับใครก็ต้องรัก เเต่เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  มีบ้างไม่มีบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถึงเวลาฟ้ากำหนดความยุติธรรมมาบ้าง เจ้านายเขารักอีกคนหนึ่งไม่รักเรา อย่าบ่นนะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเหตุผล เราทำอะไร เราก็ได้รับอย่างนั้น ในเมื่อตัวเรายังเลือกที่รักมักที่ชัง พอถึงเวลาเวรกรรมกลับมา เจ้านายเอาเเต่ด่าเราเเต่ไม่ด่าเพื่อนเราเลย โกรธไหม ก็ทำเองทั้งนั้น จริงไหม (จริง) 
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเองทั้งนั้น คิดได้คิดเป็น บาปก็กลายเป็นบุญ คิดไม่ได้คิดไม่เป็นบาปก็ยังเป็นบาปอยู่วันยังค่ำ วันนี้ศิษย์พี่มีแนวทางในการปฏิบัติธรรมง่ายๆ ใครสนใจบ้าง (สนใจ)  ที่ศิษย์พี่พูดมาทั้งหมดฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  เเต่ยังทำไม่ได้เลย เเต่ถ้าทำได้จะดีมาก พระอาจารย์ก็เมตตาบอกเสมอว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าใครจะด่าใครจะว่า ไม่ว่าใครจะเอาอะไรของเราไป ศิษย์น้องจำไว้เสมอนะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผล เป็นเวรเป็นกรรม คนมีตั้งร้อยคนทำไมไม่หลอก ทำไมมาหลอกเรา คนมีตั้งหมื่นตั้งพันคน ทำไมไม่ด่า ทำไมมาด่าเรา คนตั้งมากมาย ทำไมไม่ไปยืม แต่มายืมเงินเรา ฉะนั้นคนให้ยืมโง่ไหม (ไม่โง่)  คิดให้ดีๆ ให้ครั้งที่หนึ่งถือว่าเป็นเมตตา แต่ให้ครั้งที่สอง ครั้งที่สามถือว่าเราโง่ไปแล้วนะ ให้ครั้งที่หนึ่งเพื่อให้ใจเมตตา ให้แล้วแม้เขาจะไม่คืนก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะศิษย์พี่บอกแล้วว่า “ทุกขณะแปรบาปให้เป็นบุญ แปรร้ายให้เป็นดี แปรกรรมให้เป็นการจบเวรจบกรรม” ฉะนั้นทุกขณะที่เราทำ ถ้าเราไม่ละบาปก่อน แล้วจะเข้าสู่หนทางบริสุทธิ์ได้อย่างไร หนทางของพุทธะก็ล้วนบอกไว้แล้วว่า “ละบาปบำเพ็ญบุญ เดินทางสู่ความบริสุทธิ์ เท่ากับคืนสู่ความบริสุทธิ์” แต่ตัวเราไปถึงสักทางไหม เห็นพยายามมาตั้งนาน ยังเหมือนเดิมเลย นิสัยอย่างไรก็ยังอย่างนั้น
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่าไม่ใช่เปลี่ยนเขา แต่เปลี่ยนเรา ไม่ใช่แก้เขา แต่แก้เรา ไม่ใช่เอาธรรมไปวัดใคร แต่เอาธรรมมาใช้ที่เราแล้วจงให้ธรรมแก่เขา เพราะเราก็คือธรรม เขาก็คือธรรม และทุกสิ่งก็คือธรรม แต่เราตาบอดเองมองไม่เคยเห็นธรรม ฉะนั้นอยากจะแก้ไหม (อยาก)  พระพุทธะสอนไว้ว่าเริ่มต้นก้าวแรก ต้องรู้จักให้ ทำได้ไหม (ได้)  ศิษย์น้องอาจจะบอกว่ามันยากนะ ยังไม่มีเลยจะให้ได้อย่างไร สมมติว่าเราไม่เคยกินแอปเปิลมาก่อนเลย แล้ววันนี้ได้แอปเปิลมาหนึ่งผล ถามว่าคิดจะให้ใครไหมหรือคิดจะเก็บ ให้หรือไม่ให้ (ให้)  พูดดีนะ แต่ถึงเวลาให้ไหม (ไม่ให้)  ขอหาอีกสักลูกหนึ่ง แล้วค่อยว่ากัน จริงไหม (จริง)  เก็บก่อน แล้วพอลูกที่สองจะให้ไหม (ให้)  ลูกแรกของตัวเอง ลูกที่สองของคนที่ตัวเองรัก เดี๋ยวหาลูกที่สาม มีแล้วจะแบ่งให้ ใช่ไหม (ใช่)  พอลูกที่สามหามาได้ ให้ไหม (ไม่ให้)  รอหาให้เยอะๆ ก่อนค่อยให้ทีเดียว ใช่ไหม (ใช่)  หาลูกที่สองก็แล้ว หาลูกที่สามก็แล้ว รอฤกษ์รอยาม รอดูหน้าคนก่อนว่าคนไหนน่าจะให้ จริงไหม (จริง)  แล้วพอจะให้เห็นหน้าปุ๊บก็ว่าพรุ่งนี้ค่อยให้ พอเห็นหน้าปุ๊บ เขาทำหน้าอย่างนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้ ใช่ไหม (ใช่)  ได้ให้ไหม (ไม่ได้ให้)  รอจนตลอดชีวิตสิ่งที่หามาเก็บหรือให้ (เก็บ) 
พระพุทธะจึงสอนว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรม จงรู้จักให้ แต่เราไม่เคยให้ บอกว่ารอให้มีก่อน เดี๋ยวให้ ใช่ไหม (ใช่)  พออยากมีก็เริ่มหลง เริ่มยึด เริ่มโลภ เริ่มถมไม่เคยเต็ม แล้วตอนนั้นจะสละออกง่ายไหม ไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่ ยิ่งมีก็ยิ่งหลง อยู่ในโลกนี้ถ้าไม่จับอะไรเลย ไม่ลิ้มรสอะไรเลย เราก็จะไม่ติดอะไรเลย พอรู้จักมันแล้วเป็นอย่างไร เอาอีก แล้วถึงเวลาก็คิดถึงมันอีก ตามมาด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง แล้วตอนนั้นค่อยให้ ทันไหม
บางทีความอยากมีของศิษย์น้อง ก็ทำให้คิดว่า “ไม่เป็นไร ผิดหน่อย บาปหน่อย เดี๋ยวก็ค่อยไปทำบุญทีหลัง ไม่มีใครเห็น”  แล้วมีใครบ้างโลภแล้วไม่ทำผิด โลภแล้วไม่ทำบาป โลภแล้วไม่เบียดเบียนหรือเอาเปรียบใคร จะทำทุกขณะที่มีโอกาส ตอนนี้ศิษย์พี่ถามหน่อย อยู่ในโลกนี้กินก็รู้รสมาหมดแล้ว อะไรที่สวยๆ อยากแต่งก็แต่งมาหมดแล้ว อะไรที่อยากได้ก็ได้มาเกือบค่อนชีวิตแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้จงรู้จักการให้ผู้อื่นบ้างทำยากไหม (ไม่ยาก ยาก)  ทำยากเพราะยึดติด ทำไมพระพุทธองค์ถึงสอนว่า จงรู้จักให้ เพราะการให้ทำให้เราไม่โลภ ไม่หลง ไม่เอาเปรียบ ไม่รังแกคน ไม่สร้างบาป ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จิตที่ให้ประเสริฐกว่าจิตที่คิดจะรับ ยิ่งถ้าให้ด้วยความสุขให้ด้วยความเข้าใจและเต็มใจให้ ถามว่า ผู้รับจะไม่รู้สึกรับรู้ได้ถึงความดีเขาเลยหรือ จะรับอย่างเดียวเป็นไปได้ไหม เราต้องให้อย่างสุดจิตสุดใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านปฏิบัติ ให้จนไม่ยึดติดคำว่าตัวตน ของตน ให้จนไม่มีคำว่าอะไรคือของตน ถ้าให้ขนาดนั้นสิ่งที่ท่านกำลังให้ คือสิ่งที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมได้ถึงสุดยอดความเป็นพุทธะอยู่ ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ทำกับคนใกล้ตัวเรา ฉะนั้นทำไมเราไม่ลองให้ดูล่ะ คิดให้ดีๆ นะ การให้ที่ดีนั้นมีหลายอย่าง เราอย่าให้แค่ของ เราต้องให้ธรรมที่เกิดจากใจเราจริงๆ ให้เพราะเราเมตตารัก เราให้เพราะความหวังดี แล้วจะเข้าถึงความสุขที่เรียกว่าสุขของการไม่มีอะไรให้ยึดถือ ความสุขของการปล่อยวาง ความสุขของการไม่มีอะไรแต่ก็สุขจนเปี่ยมล้นได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เราสุขแต่การมี การได้รับ แต่พุทธะกลับสอนให้สละ เพราะท่านพบความสุขที่ประเสริฐที่สุดคือ ความสุขที่ให้เเล้วสงบเย็นไม่มีตัวตนต้องมารองรับยึดติดว่าฉันกำลังสุข เเล้วเมื่อนั้นศิษย์น้องจะเข้าใจคำว่า สุขที่ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ นั่นคือสุขที่เเท้จริง คือสุขของการปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำอะไรก็ยังหวังผล ยังยึดถือ จึงไม่เรียกว่าการให้ที่แท้จริง
สมมติว่าเรามีแอปเปิลลูกหนึ่งทำอย่างไรเราจะให้คนทั้งชั้นได้ (เอาเมล็ดไปเพาะ)  กว่าจะได้กินแอปเปิลนักเรียนในชั้นบางคนคงตายไปแล้ว ใช่ไหม เอาตอนนี้ เอาเดี๋ยวนี้ (หนึ่งลูกก็ให้กันต่อๆ ไปเรื่อยๆ ลูกเดียวให้กันไปเรื่อยๆ ให้คนละหนึ่งลูกเท่ากัน)  พูดได้ถูกใจศิษย์พี่นะ ปรบมือให้เขาหน่อย ถูกต้องที่สุดเลย ศิษย์น้องส่วนใหญ่บอกว่าให้แบ่ง ใช่ไหม (ใช่)  ให้แบ่งก็คือยังยึดตัวเองก่อนเเล้วค่อยแบ่งให้คนอื่น แต่การให้ที่ถูกต้องคือ ให้โดยที่ตนเองไม่เอา เมื่อผู้อื่นได้รับไปแล้ว ก็ยังรู้จักให้ต่อ ศิษย์น้องอย่าศึกษาธรรมแบบแตะๆ เเล้วก็เลิก ไม่เอาแล้ว มาศึกษาธรรมเเล้วต้องปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำอย่างไรให้มนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดี รู้จักให้มากกว่ารับ ศิษย์น้องไปเอาเปรียบเขามาเยอะแล้ว แล้วค่อยมาให้ ไปทำเขามาเยอะแล้ว แล้วค่อยมาดีกับเขา จริงไหม (จริง)  ไปทำบาปมาเต็มที่แล้วค่อยมาทำบุญล้างได้หรือ คิดให้ดีๆ นะ เหมือนตัวเราเอง ชมเราดีขนาดไหน แต่ด่าเราเจ็บหนึ่งครั้ง จำขึ้นใจเลย สนิทกันขนาดไหน พูดขัดหูนิดทะเลาะกันทันทีเลย ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้แอปเปิลแก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
รับแอปเปิลได้เลย แต่ได้รับแล้วต้องรู้จักให้ต่อนะ แอปเปิลนี้ก็จะเกิดจากการให้ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อให้จนถึงที่สุด บางครั้งการให้นั้นจะย้อนกลับมาหาเราโดยที่เราไม่ได้คาดหวังเลย ซึ่งอันนั้นคือบุญที่ยิ่งใหญ่กว่าการให้แค่ตัวเองอีกนะ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าส่งต่อแอปเปิลนี้ผ่านไปเฉยๆ จงบอกว่า “ขอให้ใครได้รับแอปเปิลนี้จงมีความสุข” อย่าแค่ให้เพียงสิ่งของ แต่ต้องให้จากความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากใจ แล้วแอปเปิลนี้ก็จะเป็นแอปเปิลที่เต็มไปด้วยความสุขจากนักเรียนทุกคนในชั้น อย่าจับแค่ผ่านมือไป อวยพรให้กับคนที่จับมีความสุข มีความโชคดี ถ้าเรารู้จักให้แล้ว ก้าวต่อไปของการเรียนรู้ปฏิบัติธรรมนั่นคือให้แล้วต้องสงบ ให้แล้วต้องนิ่ง ให้แล้วต้องอดทน เพราะถ้าอยู่ในโลก สงบไม่ได้ นิ่งไม่เป็น อดทนไม่มี ให้ไปก็ระเบิด ใช่ไหม (ใช่)
แล้วการอดทน การสงบนิ่ง ดีตรงไหน อยากฟังไหม (อยาก)  คนที่รู้จักอดทนได้ คนที่รู้จักสงบนิ่งได้ คนที่รู้จักวางเฉยได้ คนที่รู้จักใจเย็นได้ ไม่ว่าโดนอะไรกระทบ คนที่ทำได้แบบนี้จะสามารถขุดรากแห่งบาปทั้งมวลให้มลายหายสิ้น จะสามารถขุดรากของการติเตียนและการทะเลาะวิวาทให้หมดสิ้น เขาด่าเรามาเราอดทน แค่นิ่งๆ เพราะบางทีพูดอะไรมากดูเหมือนจะเป็นการประชด คนกำลังโมโหคิดได้ทุกอย่าง ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด เวลาเจออะไร นิ่ง สงบ เย็น เอาความนิ่ง สงบ เย็น เป็นประธานในการดำเนินชีวิต หนทางนี้จะนำพามาซึ่งศีลธรรม กุศล แต่ถ้าไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่อดทน ไม่รู้จักใจเย็น หนทางนั้นจะนำมาซึ่งบาป ขาดศีลขาดธรรมและอกุศล ทางธรรมสอนไว้ชัดเจน ให้แล้วต้องนิ่ง
อยู่ในโลกนานๆ รู้สึกวุ่นวายไหม (วุ่นวาย)  อยากหาความสงบไหม (อยาก)  อยากไปหาที่สงบใจ อยากไปหาที่สบายใจ แต่ใจนี้ไม่เคยสงบสักที พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า อย่ามัวแต่กราบพระข้างนอก อย่ามัวแต่หาพระข้างนอก จนลืมสร้างพระข้างใน ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม ใจฟ้าถ้าสงบ ทุกอย่างก็ราบรื่น แต่ถ้าใจฟ้าชอบสอดรู้สอดเห็น อยากยุ่งเรื่องนั้นยุ่งเรื่องนี้ คนบนโลกก็วุ่นวาย ฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าใจเรานิ่ง ใจเราสงบได้ ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา จัดการเราดีกว่า เพราะเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เปลี่ยนใจเราดีกว่า ถ้ามองแล้วเจ็บปวด อย่ามองดีไหม สงบใจดีหรือเปล่าทำได้ไหม ยากไหม (ยาก แต่ทำได้) 
ศิษย์น้องจะไปหาที่สงบทำไมต้องขนกันไปทั้งบ้าน ที่สงบต้องเริ่มจากตัวเอง ถ้าศิษย์น้องอ้าปากก็หาเรื่อง ไปอยู่ที่ไหนแม้จะไปเที่ยวทะเล อุตส่าห์มาเที่ยวตั้งไกล ก็ยังพูดให้หมดสนุก เคยไหม (เคย)  ถ้าใจเราไม่สงบไปอยู่ที่ใดก็ไม่สงบ แต่ถ้าเราสงบได้ แม้ที่ใดจะวุ่นวาย เราก็แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นที่สงบได้ ถึงสามีจะเป็นอย่างไร ภรรยาจะเป็นอย่างไร ก็ยังรักกันได้ เพราะมนุษย์ทุกคนแม้จะนิสัยไม่ดีขนาดไหน ลึกๆ เราก็อยากได้คนที่เข้าใจกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงแม้ภรรยาจะบ่นขนาดไหน แต่สามีก็ต้องเข้าใจภรรยา ถึงสามีจะมีกิ๊ก ชอบดื่มเหล้า ชอบสูบบุหรี่ แต่ภรรยาก็เข้าใจ ฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา เราจะเอาตัวเองเป็นหลักหรือเอาครอบครัวเป็นหลัก ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเราสามารถสงบได้ ถ้าเราสามารถนิ่งได้ ถ้าเราสามารถสำรวมได้ ภัยก็จะไม่เกิดจากตัวเรา แต่มนุษย์กลับไม่ค่อยสงบสำรวมตัวเอง พูดอะไรไปแล้วก็ลืม แล้วค่อยคิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อรู้จักให้ รู้จักนิ่งแล้ว พุทธะยังสอนให้เรารู้จักอีกอย่างคือ รู้นิ่งจนมีสติรู้เท่าทันทุกความคิด และรู้เท่าทันกิเลสที่ไหลเข้ามาครอบงำใจ จนสามารถกางกั้นไม่ให้มันมายุ่งกับเราได้  ไม่ใช่แค่สงบอย่างเดียว แต่สงบจนรู้ ไม่ใช่รู้คนอื่น ธรรมะไม่เคยสอนให้เราไปรู้คนอื่น แต่สอนให้เรารู้จักใจตัวเอง รู้ว่ากิเลสมาแล้ว ความโกรธมาแล้ว ความอยากมาแล้ว แล้วศิษย์น้องรู้ไหมว่าโลภ โกรธ หลงมันกลัวอะไร เราจะมีวิธีแก้และจัดการกับโลภ โกรธ หลงอย่างไร โลภ โกรธ หลงกลัวคนรู้ทัน เมื่อเรารู้ทันว่ากำลังโกรธ เราก็จะไม่โกรธ เพราะเรารู้ทัน ถูกไหม (ถูก)  ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็ดับเป็นธรรมดา ฉะนั้นไม่ต้องไปข่มมัน เดี๋ยวมันก็จางไปถ้าเราไม่ปรุงแต่ง ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ จบไหม (จบ)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ไม่ว่าอะไรที่มากระทบ กระทบแล้วไม่ปล่อยให้กิเลสมันครอบงำ แต่ใช้สติรู้แล้วสงบ ก็ไม่กลายเป็นกิเลสครอบงำใจ แต่กลายเป็นการได้สร้างกุศลที่เรียกว่าอกรรม กรรมที่ไม่ต้องเวียนกลับมาชดใช้กรรมอีกต่อไป ดีกว่าไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  ง่ายไหม แต่ถึงเวลาไม่เคยนิ่ง มารู้อีกทีปล่อยไปเต็มๆ เลย ทั้งความโกรธ ทั้งความเกลียด ทั้งจองเวร ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่ศิษย์พี่พูดทั้งหมดคือธรรมแห่งความเป็นจริง วันหนึ่งถ้าศิษย์น้องต้องเจอ ศิษย์น้องก็จงรู้จักเอาไปใช้ เพราะโลกนี้มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะและมีทุกข์ และถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ความเปลี่ยนแปลงสอนให้เรารู้จักให้ ความเป็นทุกข์สอนให้เรารู้จักสงบ ความว่างเปล่าสอนให้เรารู้เท่าทัน แล้วมีร่างกายนี้เราหนีความไม่เที่ยง ความทุกข์และความว่างเปล่าพ้นไหม แล้วเราเคยเอาอะไรมาใช้ จนสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ นั่นคือจงนิ่งและมีสติรู้เท่าทัน ยากไหม
เข้าใจธรรมที่เรียกว่าแก่นธรรมหรือยัง (เข้าใจ)  จงแปรทุกข์ให้เป็นสุข จงแปรบาปให้เป็นบุญ จงแปรความคิดร้ายให้เป็นความคิดถูกต้องที่นำพาให้เราพบทางสว่าง พุทธะนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ไม่ได้ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง พระพุทธะเป็นผู้ชี้ทาง แต่คนที่จะนำพาให้ตัวเราพ้นทุกข์และกลับสู่ทางที่ถูกคือตัวเราเอง ไม่มีใครร้ายเท่ากับตัวศิษย์น้องและไม่มีใครดีที่สุดเท่ากับตัวศิษย์น้อง ดังคำกล่าวว่า “ที่ใดเป็นที่แห่งกิเลส ที่นั่นก็เป็นที่พุทธะบังเกิด ที่ใดเป็นที่แห่งทุกข์ ที่นั่นก็เป็นที่สิ้นทุกข์สิ้นเวรกรรมได้”
ฉะนั้นศึกษาธรรมต้องเข้าให้ถึงธรรม อย่ามัวแต่หลงกิเลส ความมี ความโลภ ความโกรธ ความหลงเลย สิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำให้ใครมีสุขเลย นอกจากการปล่อยวาง

วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙            สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หลงในรูปติดทุกข์เกี่ยวกรรมไม่สิ้น     ติดเคยชินติดอารมณ์สารพัน
หากไม่มีธรรมเตือนตนยากรู้ทัน          ฝึกรู้ตนสติรู้ทันแจ้งปัญญา
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม

    อยู่กับทุกข์ในใจ เทียบใจนี้เป็นฟองน้ำเอย ดูดซึมคอยซับมา ซ่อนในใจซ้อนในใจ บีบออกไปไวไว ซอกซอยของใจมีหลายอย่าง ผู้หญิงนองน้ำตา ผู้ชายอัตตาเหลือเกิน
    เกิดมาเป็นคนทั้งที ต้องไม่ทำตัวหลงไป อย่ามองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว
*   ลุ่มหลงละลายความหวัง อะไรคือธรรมของตน ไม่ยอมชัดเจน ก็ไม่อาจเห็นอนาคตงาม สับสนไม่ทำอะไร อะไรคือทางสายกลาง แน่ใจไหมทุกข์ทำให้เจ้าเป็น  (ซ้ำ *,___) 
ทำนองเพลง :ทางรักสีดำ
ชื่อเพลง :ทุกข์ไม่ทำให้ทุกข์

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้อาจารย์มาคุยเรื่องง่ายๆ ดีไหม โดยส่วนมากมักสงสัยว่า ทำไมหนอ เป็นคนต้องมีคุณธรรม ต้องศึกษาธรรม จำเป็นไหม (จำเป็น)  ศิษย์ปกติไม่ค่อยได้เข้าใจธรรม ไม่ค่อยได้ปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ ขอเเค่ทำบุญไปวัดใส่บาตรก็พอเเล้ว ไม่ต้องเข้าใจธรรม ไม่ต้องฟังธรรมอะไรมากก็ยังอยู่รอดมาได้ จะฟังธรรมอะไรเยอะเเยะ อย่างนั้นหรือเปล่า ฟังไปเยอะก็ไม่ค่อยได้ใช้ จริงไหม ไม่ใช่หรือ อาจารย์ถามหน่อยนะว่าเกิดเป็นคน เราจำเป็นต้องมีคุณธรรมไหม (จำเป็น)  แล้วเกิดเป็นคน เราจำเป็นต้องเข้าใจธรรมไหม (ต้องเข้าใจ) 
ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมักจะถามว่า ฟังธรรมะเยอะๆ ฟังไปทำไม มันก็เหมือนๆ เดิม หลายต่อหลายคนมักจะสงสัยว่า คุณธรรมจำเป็นต้องมีไหมและความเข้าใจจำเป็นต้องเข้าใจมากแค่ไหนหรือ แล้วมันสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ หรือเปล่า เพราะเราไม่เคยคิดตรงนี้เลย เราคิดแค่เพียงว่าชีวิตนี้เพียงตื่นมาหาเงิน ถูกไหม (ถูก)  แต่เราไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ต้องมีธรรม ต้องเข้าใจธรรม ต้องประกอบคุณงามความดีที่เรียกว่า คุณธรรม สมมติง่ายๆ เราอยากออกไปหาตังค์ เราอยากไปซื้ออะไรสักอย่างหนึ่ง ของที่เราซื้อเราต้องพยายามเลือกดีที่สุด เพราะเราเสียเงินไปแล้ว แล้วศิษย์เคยเห็นประเภทย้อมแมวไหม (เคย)  ผลไม้ดูแล้ว พินิจแล้ว มีสติกเกอร์แปะ ดีแน่เลย แต่พอแกะสติกเกอร์ออกมา หนอนโผล่มา เรารับได้ไหม (ไม่ได้)  โกรธไหม (โกรธ)  เวลาเราเอาเงินไปซื้อของทั้งที เราก็อยากได้ของที่ดีมีคุณภาพ เราก็เลยบ่นออกมาว่า ขายของไม่มีคุณธรรมเลย ไม่ซื่อตรง เหมือนเวลาเรามีเพื่อน เพื่อนพูดกับเราดีมาก แต่ถึงเวลาแอบแทงเราข้างหลัง รับไหวไหม (ไม่ไหว)  ทำไมทำอย่างนี้กับฉัน ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ทำไมไม่ซื่อตรง ทำไมไม่จริงใจ ถูกไหม (ถูก)  เราอยากได้เพื่อนซื่อตรง เราซื้อของ เราก็อยากได้คนจริงใจ เรามีแฟนเราก็อยากได้คนรักเดียวใจเดียว เรามีลูกน้องเราก็อยากได้ลูกน้องจริงใจ ซื่อตรง ไม่คดในข้องอในกระดูก มีหัวหน้าเราก็อยากมีหัวหน้าที่ดี ยุติธรรมไม่รักลำเอียง สิ่งที่ศิษย์อยากได้เรียกว่าคุณธรรมในความเป็นคน ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจว่าทำไม ก็ถามตัวเองสิว่า อยากได้เพื่อนดีไหม ไปทำงานอยากได้เพื่อนร่วมงานโกงเราไหม อยากได้เพื่อนเอาเปรียบไหม อยากมีลูกน้องรักเรา แต่แอบด่าเราข้างหลังไหม อยากมีภรรยาแต่ภรรยามีชู้ไหม อยากมีสามีแต่สามีไปแอบมีกิ๊กเอาไหม สิ่งที่ตัวเราควรจะอยากได้ในตัวของทุกคนคือคุณธรรมของความเป็นคน หรือง่ายๆ เป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ และรู้จักรับผิดชอบในความเป็นคนของตน
ศิษย์ถามอีกว่าทำไมต้องมาเรียกศิษย์ให้ปฏิบัติธรรม เอาแบบง่ายๆ สมมติอาจารย์เป็นคนทำหน้าที่เก็บขยะ แต่วันนี้อาจารย์ขี้เกียจเก็บ พรุ่งนี้ มะรืนก็ขี้เกียจเก็บ แต่สิ้นเดือนเก็บเงิน ด่าไหม ให้ไหม (ไม่)  ศิษย์ไม่ให้เพราะอะไร เพราะไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่มีจิตสำนึกแห่งคุณธรรมความเป็นคน ถึงเวลาเอาเต็มที่ แต่ถึงเวลาที่ควรจะทำกลับไม่ทำ บางคนทำอย่าง
สุดจิตสุดใจ เหมือนเราจะสอนลูกน้องว่า ต้องเคารพหัวหน้า แต่สักพักเรากลับนินทาหัวหน้า แล้วลูกน้องจะรักเราไหม ช่วงที่เราเป็นลูกน้องเราก็ทำตัวไม่ดีเอารัดเอาเปรียบ ถึงเวลาที่เรามีลูกน้องเอาเปรียบบ้าง เราจะด่าเขาลงไหม ตอนสามีมีกิ๊กเราว่าเขา แต่พอถึงเวลาเราเห็นหนุ่มๆ เรากิ๊กไหม กิ๊กกั๊กเลยใช่ไหม (ไม่) 
อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขาทุกข์ เราก็ต้องพร้อมจะเดินจากไป ถ้าอยู่แล้วทำให้เขามีความสุข ทำไมเราจะทิ้งตัวเองออกไป ถ้าฝืนแล้วทำให้เขาทุกข์ เราจะฝืนใจเขาไหม ถ้าอยู่แล้วเขาไม่รัก มีแต่รังเกียจ มีแต่ความทุกข์ เราจะอยู่ไหม (ไม่อยู่) 
เราเรียนรู้ธรรมเพื่อดับทุกข์ ฉะนั้นทุกข์เกิดที่ไหน เราก็ต้องดับที่นั่น ทุกข์เกิดที่ไหน เราก็ต้องแก้ที่นั่น ตอนนี้ยืนเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่ถ้ายืนนานกว่านี้อีกนิดจะทุกข์ ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ ระหว่าง “เห็นทุกข์” กับ “พยายามเป็นทุกข์” อันไหนหนักกว่ากัน (พยายามเป็นทุกข์)  เวลาทุกข์มาเราควรจะแค่เห็นทุกข์หรือไปเป็นทุกข์ (แค่เห็น)  ถ้าเผลอไปเป็นมันก็หนัก มันก็ทุกข์ แต่ถ้าทุกข์มาแค่เห็นแล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เหมือนกันถ้ายืนแล้วเป็นทุกข์ เราก็เปลี่ยนจากการเป็นทุกข์ มาเป็นเห็นทุกข์ หายไหม (ไม่หาย)  อย่างนั้นยืนต่อดีไหม ในโลกนี้ขารู้จักปวดไหม (รู้)  ตัดมันแล้วมันยังไม่รู้จักเจ็บเลย ขาไม่รู้จักเจ็บ เนื้อไม่รู้จักปวด แต่ใจของคนสอนให้มันเจ็บสอนให้มันปวด ธรรมะจึงสอนให้รู้ว่า บางอย่างแค่รู้แต่อย่าเผลอไปเป็น
อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ในโลกนี้เราไม่ใช่แค่ต้องรู้ว่าทำไมเราต้องมีคุณธรรมอย่างเดียว แต่ศิษย์ต้องรู้อีกว่า ทำไมอาจารย์จี้กงต้องให้เข้าใจธรรม เพราะถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์จะรู้เลยว่าในทุกๆ เรื่องจะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เพราะทุกๆ เรื่องคือธรรม ถ้าเราเข้าใจธรรมตัวนี้ ธรรมตัวนี้ก็จะทำให้เราไม่ทุกข์ เเต่เราเคยเข้าใจธรรมตัวนี้ไหม ว่าก่อนจะเข้าใจธรรมนี้ เราต้องมาเข้าใจอย่างหยาบๆ ก่อนว่า ทำไมเกิดเป็นคน ทำไมเราต้องมีคุณธรรม จำเป็นไหม (จำเป็น)
อย่างนั้นถ้าใครตอบได้ ได้นั่ง ดีไหม (ดี)  ช่วยเหลือตนเองนะ อาจารย์จี้กงไม่ช่วยแล้วนะ อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ทำไมเราต้องมีคุณธรรม เเล้วคุณธรรมอะไรบ้างที่ควรมีไว้กับตัวถึงจะทำให้เราสามารถอยู่กับคนอื่นได้ อย่างไม่ทุกข์ สมมติถ้าเป็นแม่คน ควรมีคุณธรรมกับลูกคืออะไร ควรมีคุณธรรมกับสามีคืออะไร แล้วควรมีคุณธรรมกับน้องคืออะไร เเละควรมีคุณธรรมกับเพื่อนคืออะไร ตอบได้ไหม ตอนนี้เป็นโอกาสของศิษย์ที่จะต้องช่วยตนเอง แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าการช่วยตนเองถ้าคิดดีๆ ถ้าตอบได้ยังสามารถเสียสละช่วยคนอื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราจะเอาคุณธรรมที่แสดงออกมาแล้ว นอกจากจะช่วยตนเองได้แล้วยังช่วยคนอื่นได้คืออะไร อย่าแค่ฟังแต่ต้องคิดและทำให้ได้ตามที่อาจารย์ว่านะ

(เมตตา ความซื่อสัตย์ ปากตรงไปตรงมา)  ศิษย์เอ๋ย ปากตรงไปตรงมาก็กลายเป็นขวานผ่าซากนะ
(ต้องรู้จักสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอก)  (ซื่อสัตย์ เอื้อเฟื้อ ให้อภัย มีความกตัญญู)  ความกตัญญูแปลว่า รู้คุณตอบแทนคุณ แล้วเราจะตอบแทนคุณเพื่อนในชั้นไหม แล้วเราจะรู้คุณคนเพื่อนในชั้นไหม
มีเมตตา (การให้คนอื่น เสียสละให้คนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข)  รักโดยไม่มีเงื่อนไข ให้โดยไม่มีการร้องขอ ทำโดยไม่หวังผล อันนี้ยากหน่อยนะเหมือนคนข้างๆ ศิษย์เขาก็ตอบเหมือนกันกับศิษย์
อาจารย์ถามหัวหน้ากับรองหัวหน้าก่อนนะ จะยอมนั่งเพราะตัวเองตอบได้ แล้วให้นักเรียนในชั้นยืน หรือตัวเองจะยืนแล้วให้นักเรียนในชั้นนั่ง ได้ไหม (ได้)  เพราะอาจารย์รู้ว่าหัวหน้ามีคนช่วย รองหัวหน้าก็มีคนช่วย มากันเป็นคู่ตัวเองยืนไม่ไหวเดี๋ยวหาคนยืนคู่ได้ ใช่หรือเปล่า เชิญศิษย์รักทุกคนนั่งลงได้
หัวหน้ากับรองหัวหน้าเขายอมเสียสละแล้วเรากล้านั่งหรือ นั่งเป็นพระอิฐพระปูนเลย ศิษย์เอ๋ย ถ้ามีคนทำดีให้เรา โดยไม่หวังผลแถมเขายอมลำบาก ศิษย์ยังกล้านั่งได้ลง อาจารย์ถึงว่าโลกนี้คนดีถึงได้อ่อนแอนัก ยิ่งเขาดีเราก็ต้องยิ่งดีตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคุณธรรมจะได้ค้ำจุนโลกอยู่ต่อไป
อาจารย์เทียบง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าคนๆ หนึ่งไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคน เช่นขับรถห้ามคุยโทรศัพท์ แต่ก็ยังคุยแล้วเผลอไปชน ตายไปห้าหกราย แล้วบอกฉันไม่ได้ตั้งใจ ศิษย์รับผิดชอบไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นจิตสำนึกแห่งคุณธรรมความเป็นคนจึงขาดไม่ได้ ถ้าศิษย์จะเป็นคนในสังคมแล้วอยากเป็นที่รักของใคร แล้วไม่อยากมีกรรมเกี่ยวกับใคร ถ้าเรารับผิดชอบได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม แล้วไม่ทำให้ใครทุกข์ ใครล่ะจะทุกข์เพราะศิษย์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรายังรับผิดชอบตัวเองได้ไม่ดี ยังทำตัวให้มีความเป็นคนได้ไม่ถูกต้อง ตราบลมหายใจไม่สิ้น ศิษย์ก็สามารถทำให้ทุกคนในโลกเป็นทุกข์ได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงถามศิษย์ตั้งแต่แรกแล้วว่า เข้าใจไหมว่า ทำไมเกิดเป็นคนถึงต้องมีคุณธรรมถ้าเราทำหน้าที่ได้ดี ทำหน้าที่ได้ถูกต้องและมีคุณธรรมของความเป็นคนครบถ้วน เราก็จะสมบูรณ์ในหน้าที่ สมบูรณ์ในความเป็นคน
เราต้องพึงสังวรตนเองให้รู้ไว้เสมอว่า เราอยากได้สิ่งใด เราอยากได้คนรักหรือคนเกลียด (คนรัก)  เราอยากได้คนซื่อตรงหรือคนคิดคดทรยศ (คนซื่อตรง)  เราอยากได้คนที่มีเมตตาจริงใจหรือคนเอาเปรียบกินแรงเรา (เมตตา)  โลกนี้เรียกว่าเป็นเหตุและผล มีสิ่งหนุนนำเป็นปัจจัยกัน ถ้าเราอยู่ร่วมกัน แต่เราไม่สร้างสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตัวเราไม่ทำ เขาจะมีแบบอย่างดีๆ ให้ดูไหม (ไม่มี)  ยิ่งถ้ารุ่นนี้ไม่ทำ รุ่นต่อไปไม่ทำ แล้วรุ่นต่อๆ ไปไม่ทำ เเล้วรุ่นต่อไปจะมีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนทั้งทีสิ่งแรกที่มนุษย์ควรจะมีคือ เมตตาธรรมในหัวใจ บางทีศิษย์เมตตาเขาเเล้วศิษย์ซื่อตรงต่อเขาแล้ว จริงใจดูแลเอาใจใส่เขาแล้ว  รักเดียวใจเดียวก็แล้ว แต่ทำไมบางทีก็ยังเจอคนโกงอีก บางทีก็ยังเจอคนว่าไม่ดีอีก ถ้าศิษย์ทำคุณธรรมของตนเองได้ดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดี ถามว่าเราจะมีปัญหาในการร่วมงานกับคนไหม (ไม่มี)  มันน่าจะไม่มี แต่บางครั้งเราก็มีจริงไหม (จริง)  เพราะเรามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกว่าถึงเราจะมีคุณธรรมความเป็นคนมากเท่าไร แต่ถ้านิสัยนี้เเก้ไม่ได้ เราก็ไม่สามารถอยู่กับใครได้ ใครบ้างเป็นคนที่ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องเก่าเล่าใหม่ เป็นไหม จริงๆ แล้วอาจารย์จะบอกว่าศิษย์เป็นทุกคน แต่ไม่กล้ายอมรับ ใช่ไหม
ถึงศิษย์จะมีเมตตา จะซื่อตรงขนาดไหน แต่มีนิสัยชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องเก่ากลับมาเล่าใหม่ แล้วจะจบไหม จะไปกันรอดไหม (ไม่รอด)  จะเมตตากันจริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม เพราะเป็นกันทุกคน เป็นเรื่องอดีต เขาเป็นคนใหม่แล้ว แต่เรายังมองเขาเป็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า นอกจากมีคุณธรรมแล้วยังไม่พอ เราต้องเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงของคน ว่าเขาไม่ชอบอะไร ไม่ต้องไปมองไกล มองที่ตัวเรา สมมติว่าเราแอบไปทำผิดมา แล้วเขาจับได้ บีบให้ตายคั้นให้ตาย ยอมรับมาว่าไปแอบมีกิ๊ก แล้วบางทีเรื่องเก่าเล่าใหม่ แล้วบางทีแค่ผิดนิดเดียวต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย พอสามียอมรับแล้ว เรายอมรับได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะอยู่กับเขารอดไหม
ศิษย์เอ๋ยมีคุณธรรมในความเป็นคน ต้องเข้าใจหลักของใจคนด้วยว่า ใจคนไม่ชอบให้ใครมาจับผิด ใจคนไม่ชอบให้รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ แล้วไม่ชอบมากที่สุดคือ ถึงจะผิดอย่างไรก็อยากให้เข้าใจ ผิดอย่างไรก็อยากให้ได้รับการอภัย ฉะนั้นเราอย่าลืม อภัยตัวเองได้ ก็ต้องอภัยผู้อื่นได้เช่นกัน ธรรมะสอนให้มองแค่วันนี้ เพราะพรุ่งนี้ไม่มี พอถึงพรุ่งนี้ก็กลายเป็นวันนี้ ใช่ไหม เวลาเราจะทุกข์ เราคิดแค่เพียง เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทุกข์ ดีไหม (ดี)  พอถึงพรุ่งนี้มันก็เป็นวันนี้
ธรรมะจึงสอนไว้ว่า เข้าใจตัวเองชัดมีหรือจะมองผู้อื่นผิด แต่คนกลับมองคนอื่นชัด แต่มองตัวเองไม่เห็น ไม่ใช่มีตาไว้แค่จับผิด แต่มีตาไว้มองรอบด้าน ฉะนั้นหัวหน้าที่ดีต้องดับปมด้อยแต่ชูปมเด่น จึงเรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าที่ดีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ขยายปมด้อยแล้วดับปมเด่น อย่างนี้อยู่กับบุคลากรใดก็ไม่พัฒนา ถ้าศิษย์มีนิสัยฟื้นฝอยหาตะเข็บแล้วก็นำไปประจาน ชอบนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ อาจารย์ถามว่าถ้าเราเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังทั่วไปหมด แล้วเขาจะแก้ไขตัวให้ดีขึ้นไหม (ไม่)  จำไว้นะถ้าลูกน้องทำผิดอย่าประจาน เพราะจะทำให้เขาไม่มีที่ยืน และศิษย์จะทำให้เขาไม่อยากดีขึ้นเลย เพราะเขาถูกว่าไปหมด ฉะนั้นควรดับปมด้อย แต่ชูปมเด่น แต่มนุษย์ไม่ใช่ กลับชอบดับปมเด่น แต่ชูปมด้อยแทน แล้วใครจะอยากอยู่ด้วย ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้แล้วเป็นที่รักของทุกคน ต้องรักคนให้จริงใจ มีเมตตาให้ถึงที่สุด บางครั้งเราไม่ต้องเรียกร้อง เขาก็จะรักกลับมาเอง ถ้าเขาไม่รักเรา เราก็ต้องย้อนกลับมาดูว่าเราจริงใจที่สุดหรือยัง ถ้าเราต้องการคนที่รักแบบไม่มีข้อแม้ เราก็ต้องรักเขาแบบไม่มีข้อแม้เหมือนกัน หัวอกของคนมีธรรม ถ้าเขาจะดี เขาควรดีในแบบของเขาหรือดีในแบบที่เราอยากให้เป็น (ดีในแบบของเขา)  ถ้าศิษย์รักเขา ศิษย์ก็ต้องรักที่เขาเป็นแบบนั้น ถ้าศิษย์หวังดีกับเขา ศิษย์ก็ต้องหวังดีในสิ่งที่เขาอยากเป็นถ้าเราเข้าใจคุณธรรมความเป็นคนแล้ว เราจะต้องเข้าใจหัวใจของการเป็นคนที่ถูกต้องด้วย อย่าเอานิสัยมาปนกับคุณธรรม ไม่อย่างนั้นเราจะแยกแยะไม่ออก อยากได้คนรักจงมีเมตตา อยากได้คนจริงใจจงมีความซื่อตรง ไม่อยากได้คนคดโกง เราอย่าไปคิดอยากได้ของๆ ใคร อยากได้ปัญญาดีก็จงรู้จักเรียนรู้และไถ่ถามให้มากๆ
เกิดเป็นคนทำไมต้องเข้าใจธรรมะ เข้าใจคนก็ยากแล้ว เข้าใจธรรมะยิ่งยากใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  เข้าใจคนเพื่อปรับตัวในการอยู่ร่วมกัน เข้าใจธรรมเพื่อเข้าใจหลักของความเป็นคนและหลักของสรรพสิ่ง ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า เราเรียนหนังสือตายไปสิ่งที่เรียนเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ตายไปเงิน เกียรติยศและทรัพย์สินเสื้อผ้าเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ตายไปมีแค่บุญกับบาป แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่ามีสิ่งวิเศษยิ่งกว่าบุญกับบาป นั่นคืออะไรรู้ไหม มีสิ่งหนึ่งที่แม้ตายไปกี่ภพกี่ชาติ สิ่งนี้ก็สามารถติดตัวศิษย์ไปได้ นั่นคือความดี คุณธรรม คุณธรรมทำให้มนุษย์ประเสริฐ แต่สิ่งที่สามารถนำพาให้เราตัดภพตัดชาติได้ไม่ใช่แค่คุณธรรม แต่เรียกว่า ปัญญา ถ้าเกิดปัญญาเข้าใจในธรรมจะสามารถตัดภพตัดชาติหลุดพ้นการเวียนว่ายได้ ถ้าผู้ใดรู้จักอบรมบ่มเพาะคุณธรรมปัญญาธรรมลงไปในหน่อเนื้อแห่งจิตใจ จะทำให้หน่อเนื้อแห่งจิตใจนี้ไม่ว่าต้องเกิดกี่ภพกี่ชาติ คุณธรรมแห่งปัญญาที่กระจ่างแจ้งในธรรมจะนำพาให้ศิษย์ไม่ว่าอยู่ภพไหนชาติไหน ก็จะมีปัญญาดี ฟังอะไรก็เข้าใจง่าย ปัญญานี้ได้มาจากการเรียนรู้เข้าใจธรรม ถ้าศิษย์หมั่นเรียนรู้เข้าใจธรรมมากๆ ถึงแม้วันนี้จะยังไม่เข้าถึง ถึงแม้วันนี้จะยังไม่รู้แจ้ง แต่เรียนรู้ไปบ่อยๆ บ่มเพาะคุณธรรมแห่งความรู้ธรรมไปบ่อยๆ ปัญญานี้จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะอยู่ชาติไหน เราก็มีปัญญาคิดได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีปัญญาดี จงต้องรู้จักหมั่นศึกษาเข้าใจธรรม ความเข้าใจนี้จะสามารถทำให้เราตัดภพตัดชาติได้ แต่ว่าศิษย์ก็บอกว่า ยังยากอยู่ เพราะศิษย์ยังอยากรวย เอารวยไว้ก่อน พอรวย ตายแล้วเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้ามีเงินแล้วมีปัญญา มีปัญญาแล้วมีบุญบารมีสั่งสม ซุปเปอร์มหารวยเลย อาจารย์ถามระหว่างมีเงินกับปัญญา ศิษย์ว่าเอาอันไหนดี (ปัญญา)  แต่พอถึงเวลามาฟังธรรม พอเข้าใจธรรมก็เกิดปัญญา แต่ศิษย์ก็ยังบอกเอาเงินก่อน ถูกไหม (ถูก)  ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่มีเงินแต่มีปัญญาก็ทำให้มีเงินได้ แต่ถ้ามีเงินแล้วไม่มีปัญญา ทำอย่างไรก็จน แล้วปัญญาไม่ได้เกิดจากการไปนั่งฟังเขาพูด แต่ต้องเกิดจากการกระจ่างแจ้งในธรรมที่เคยสั่งสมมา ฉะนั้นถ้าต่อไปมีการฟังเทศน์ฟังธรรม มีการอบรมธรรม ฟังไหม (ฟัง)  เพราะอะไร (อยากมีปัญญา)  จำไว้นะปัญญาจะเป็นอริยทรัพย์ที่สามารถติดไปได้ทุกภพทุกชาติ 
ถ้ายังตัดอบายมุขไม่ได้ ยังตัดโลภโกรธหลงไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งศิษย์ต้องตกนรก ไม่ต้องกลัว ยอมรับ ผิดก็ผิด ชดใช้ก็ชดใช้ แต่ถ้าตกนรกเเล้วยังไม่ยอมรับ บาปกรรมจะยิ่งเพิ่มทวีคูณ ถูกไหม (ถูก)  สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน จงคิดก่อนจะสร้างกรรม คุณธรรมทำให้คนประเสริฐ ปัญญาทำให้มนุษย์บริสุทธิ์และพ้นทุกข์สิ้นทุกข์ได้ ทำไมเลือกเงินไม่เลือกปัญญา ทำไมเอาเกียรติยศแต่ไม่เอาอริยทรัพย์ เกิดเป็นคนอย่าคิดว่า เข้าใจธรรมเป็นเรื่องยาก อาจารย์อยากให้ศิษย์รับเอาไว้ เพราะจะดีกับปัญญาของศิษย์เอง วันนี้ไม่ได้ เดี๋ยววันหนึ่งก็ได้ พอได้แล้วก็จะสว่างใส จะเข้าใจทะลุทะลวงเลยนะศิษย์ ปัญญาเกิดได้เมื่อเราสงบนิ่งจนถึงที่สุด แต่คำว่าสงบนิ่ง ไม่ใช่แค่หลับตา ไม่รับรู้ปิดหูปิดตา อย่างนั้นไม่ใช่ แม้เราลืมตาเจออะไรมากระทบก็เข้าใจจนเกิดปัญญาแล้ววางลงได้ อย่างนั้นย่อมประเสริฐกว่า เหมือนที่พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า แม้เรานั่งสมาธิจนได้ฌาณถึงสิบปี ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับรู้แจ้งในธรรมเพียงชั่วช้างกระดิกหูไก่กระพือปีก แค่รู้ขณะเดียว
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ ใช่ไหม (ใช่)  คนชอบติดดอย นึกว่าตัวเองยังสูงอยู่ ทั้งที่ตัวเองนั้นเป็นมนุษย์เดินดินทั่วไป เวลาได้เงินมาแล้วต้องสูญเสียไปทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ผิดหวังในรัก ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์อยากรวยแต่ศิษย์ไม่เข้าใจธรรมของการมีเงิน ไม่เข้าใจธรรมของความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์ก็จะทุกข์เพราะเงิน ศิษย์ก็จะทุกข์เพราะรัก ศิษย์ก็จะทุกข์เพราะเกียรติยศ สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ สิ่งที่ศิษย์เห็นจริงนั้น มันเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  แล้วเรายอมรับได้ไหม รับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สรรพสิ่งในโลกแสวงหาได้แต่ยึดครองไม่ได้ เราจึงต้องเข้าใจในหลักของธรรม ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าหลักสำคัญในการเข้าใจธรรม ไม่ใช่ให้เราเข้าใจเพื่อทุกข์ ไม่ใช่ให้เราเข้าใจเพื่อท้อ แต่ให้เราเข้าใจเพื่อรู้จักอยู่กับมันให้เป็น สมมติโดนเพื่อนด่าว่าไอ้แก่ รับได้ไหม (ได้)  ศิษย์รับได้หรือเขารับไม่ได้ ตอนศิษย์แก่ศิษย์ก็รับได้ แต่บางคนขนาดแก่แล้วพอโดนด่าว่าไอ้แก่ รับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อเรารู้ความจริง ความจริงคือหลักสัจธรรมที่ทำให้เราไม่ลืมเลือน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ศิษย์เอ๋ย ศิษย์จะเป็นใครศิษย์จะอยากอะไรอาจารย์ไม่ว่า แต่ศิษย์ต้องไม่ลืมความจริงว่าโลกเปลี่ยนทุกขณะ เเละสิ่งที่ศิษย์กำลังครอบครองมันก็เปลี่ยนทุกขณะ ศิษย์กำลังทุกข์กับอะไรในเมื่อทุกขณะมันเปลี่ยน เขาด่าเราไอ้แก่ ขอบใจเดี๋ยวฉันก็แก่ ถ้าเขาด่าเราว่าไอ้ขี้เหร่เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไม่เป็นไรเพราะเราก็ขี้เหร่จริงๆ 
ความเข้าใจธรรมทำให้เราเป็นกลาง เมื่อเราเป็นกลาง เราจะไม่โกรธใคร เราจะไม่เกลียดใคร เเละเราจะไม่รักใคร เมื่อไม่โกรธไม่เกลียดไม่รักไม่หลงไม่โลภ เราก็ไม่ตกลงไปอยู่ในทางเเห่งอบายภูมิ นั่นล่ะเรียกว่าเกิดปัญญาเห็นเเจ้งในธรรมทั้งมวล นอกจากมีคุณธรรมความเป็นคนแล้วเราต้องเข้าใจ หลักแห่งสัจธรรม เพราะหลักแห่งสัจธรรมจะสอนให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคนต้องมีทางสายกลาง เราไม่ต้องพยายามเป็นกลาง แต่เราแค่รู้ยอมรับว่า เราไม่ใช่สวยสุดเเละเราไม่ได้ขี้เหร่สุด เราไม่ได้เก่งสุดและเราก็ไม่ได้แย่สุด เวลาหาเงินมามากแค่ไหนศิษย์เอ๋ยจำไว้ไม่ต้องรวยสุดเพราะรวยสุดก็มีรวยกว่า ไม่ต้องเดินทางสายกลางแค่ยอมรับว่าตนเองเป็นกลาง
อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจหลักแห่งธรรมะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กฎแห่งไตรลักษณ์ที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างและก็ทุกผู้ทุกคน เพราะถ้าเราเข้าใจถึงเวลามันเปลี่ยนไป รับได้ไหม (ได้)  ต้องรับให้ได้ เราทุกข์กายแล้วเราโง่ทุกข์ใจทำไม เราเจ็บกายแล้วเราโง่เจ็บใจทำไม เราสูญเสียแล้วทำไมต้องให้ใจสูญเสียอีก ฉะนั้นรู้ธรรมเพื่อเข้าถึงปัญญา เพื่อนำทางตนไปสู่ความบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในใจศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ไม่เคยมองเห็นมันเท่านั้นเอง
อาจารย์บอกว่า ถ้าผลไม้นี้กินแล้วแก่ กินแล้วเจ็บ กินแล้วตาย เอาไหม (ไม่เอา)  งั้นอาจารย์ถามหน่อยสิ่งที่ศิษย์ปรารถนา ไม่ว่าเงินทอง
คนรัก กระเป๋า เสื้อผ้า เกียรติยศ มีอะไรที่ศิษย์ครอบครองแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายบ้าง (ไม่มี)  ฉะนั้นเราอยากเพิ่มทุกข์ เพิ่มความแก่ เพิ่มความตายให้ตัวเองไหม (ไม่)  ทำไมไม่พอสักที ศิษย์ก็บอกว่ามีคนมาทำให้ศิษย์โมโห ทำให้ศิษย์รัก ศิษย์ไปว่าเขาที่ทำให้ศิษย์โกรธ ไปว่าที่ทำให้เรารักเขา ถ้าสมมติมีใครมาดีกับศิษย์ สวยจัง เดี๋ยวเขาเอาขนมมาให้และมาหาตัวเองทุกวันเลยนะ อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าใจมันไม่รัก ต่อให้ประเคนอะไรมา ถึงให้ดีขนาดไหน จะรักไหมอาจารย์ถามว่า เขาทำให้หนูรัก หรือหนูไปรักเขาเอง แล้วก็ไปโกรธเขาว่าเขาทำให้หนูเจ็บ ก็หนูเผลอไปรักเขาทำไม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนกัน เขาทำให้ผมโกรธ ด่าผม ตีผม ถามว่าถ้าตัวศิษย์ไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ ใครตีจะโกรธไหม เขาตีเรานิดเดียวเอง ถ้าเขามาทำให้เราโกรธ แต่เราไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ เราไม่มีไฟแห่งความเกลียด เราจะโกรธหรือเกลียดเขาไหม เขาผิดไหมที่ทำให้ตัวเองโกรธ รับกันไปคนละครึ่งนะ  
ฉะนั้นก่อนที่จะไปว่าเขา เราต้องเข้าใจหลักแห่งธรรม หลักแห่งใจ ถ้าใจกว้างจนหาที่สุดไม่ได้ แล้วในความกว้างและความว่างนั้น  มันไม่มีคำว่าเกลียดคืออะไร โกรธคืออะไร รักคืออะไร ถ้าไปแหย่อะไร เขาจะโกรธไหม และเขาจะหลงรักไหม เขาทำให้ศิษย์โกรธหรือศิษย์มีตะกอนแห่งความโกรธ เขาทำให้ศิษย์รักหรือศิษย์ยินยอมไปรักเขา ฉะนั้นก่อนจะโกรธที่เขาทำเราให้เจ็บ เราควรจะโกรธที่ใจตัวเราเผลอไปมีสิ่งนั้นหรือเปล่า ศิษย์เอยถ้าเราเข้าใจหลักแห่งธรรมแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือใจ ของเราต้องคุมให้อยู่ เพราะถ้าคุมไม่อยู่ แม้จะเข้าใจธรรมขนาดไหน ใจเรามันก็ไหวไปเรื่อยๆ 
อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอะไรคิดให้ดีๆ อย่าคิดสนุกไม่อย่างนั้นจะทุกข์ถนัด เพราะชีวิตลองเล่นไม่ได้ ถ้าพลาดไปแล้วศิษย์ต้องรับผิดชอบเขาทั้งชีวิตมันน่ากลัว อยู่กับอาจารย์ อาจารย์ช่วยรับผิดชอบได้ แต่ชีวิตประมาทไม่ได้นะศิษย์ เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เราคู่ด้วยเขาเป็นคู่เวรคู่กรรม หรือคู่บุญคู่วาสนา ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ แต่กว่าจะเข้าใจนั้นก็คงยากเเล้วจริงไหม เรายังยึดติดความมีความเป็นอยู่ แต่ทั้งที่จริงเเล้วในความมีความเป็นแท้จริงหาเป็นของเราไม่ สังขารตายได้แต่จิตไม่มีวันตาย สังขารมีวันดับได้แต่จิตไม่มีวันดับ แต่มนุษย์มัวหลงแต่สังขารจนลืมจิตเดิมแท้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง ทุกข์ไม่ทำให้ทุกข์ ทำนองเพลง ทางรักสีดำ)
ทุกข์ไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะตัวเราเอง พบความเป็นจริงในโลกแล้ว หลักแห่งสัจธรรมที่เรารู้คือ โลกนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ว่างเปล่าจากตัวตนให้ยึดถือ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้
เรายังทุกข์กับอะไรอยู่อีก เมื่อวานแอปเปิลของพระนาจาเป็นแอปเปิลที่เกิดจากความอธิษฐาน ความตั้งใจดีของทุกคนใส่ลงไปในแอปเปิล เพราะเมื่อวานพระนาจาสอนศิษย์ว่ารู้จักสละให้ แล้วการสละให้นั้น ไม่ใช่การให้แค่สิ่งของ เหมือนเราให้คุณธรรม ให้ความจริงใจ ให้ความเมตตา
ให้ความโอบอ้อมอารี ให้ความซื่อตรง อย่ามองเขาเพียงให้แค่นี้ แค่ให้สิ่งของอย่างเดียว แต่ต้องให้ด้วยคุณธรรม ถ้าวันนี้อาจารย์จะแจกแอปเปิลให้ เอาเพื่อให้หรือเอาเพื่อสละ (เอาเพื่อสละ)  เอาไปแล้วให้ต่อ อาจารย์ก็ยินดีจะแจก

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนบนกระดาน และให้นำแอปเปิลผลที่นักเรียนได้รับจากศิษย์พี่พระนาจาที่รับแล้วและส่งต่อๆ กันจนทั่ว ให้นำไปปั่นเป็นน้ำแล้วแบ่งกันทุกคน เพื่อเป็น
สิริมงคล)
จงรู้จักให้ก่อนนะศิษย์เอย จะยิ่งดีมากที่สุด ถ้าการให้ทำให้เขารู้จักให้ต่อนะ ให้แล้วรู้จักให้ต่อนะศิษย์
นอกจากให้แอปเปิล แล้วอะไรที่เราจะรู้จักให้ต่อได้อีก (ความรัก)
สู้ให้ความเมตตาจริงใจดีกว่านะ
(ให้ความเมตตา ให้ใจ)  แล้วทำอย่างไรถึงจะให้ใจคนอื่น ทำอะไรจริงใจซื่อตรง นี่แหละเรียกว่าให้ใจล้วนๆ ไม่ว่าทำอะไรกับใครจริงใจ ซื่อตรง ขยันให้ให้ตลอดนะ ไปอยู่ที่ใดจะได้ไม่ลำบาก ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไปอยู่ที่ใดก็ไม่ลำบาก ไม่ต้องรอให้ใครถูกต้อง ขอเพียงตัวเองถูกต้องให้ได้ก่อนนะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ถ้ายอมรับความจริง ชีวิตไม่เที่ยงนะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า จำไว้นะ ไหว้พระข้างนอกไม่สู้สร้างพระข้างใน ฉะนั้นถ้าเราทำตัวน่าเคารพ ถ้าเราทำตัวได้ถูกต้อง ไม่ต้องเรียกร้องใคร เราเคารพตัวเองได้ เราไหว้ตัวเองได้ คนอื่นก็เคารพเราได้ ไหว้เราได้ แต่ถ้าเรายังทำตัวไม่ถูก ใครจะเคารพเรา แล้วเราจะรักตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อบายมุขห่างๆ ไว้ดีไหม ดีแปลว่าต้องทำให้ได้
ศิษย์เป็นคนจิตใจดีและอาจารย์ก็เชื่ออย่างนั้น รักษาความดี รักษาความซื่อตรง อย่าคดในข้องอในกระดูกเด็ดขาด ทำดีให้ถึงที่สุดนะ
การให้ที่ประเสริฐที่สุดและเป็นการให้ที่ดีที่สุดคือให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ เพราะถ้าเรายังหวังผล ยังมีตัวตนให้ยึดถือ แปลว่าสิ่งที่เราทำเราต้องเอาตัวเราไปรับผลนั้นอีก แล้วศิษย์อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์นั้นอีกไหม อย่างนั้นต้องทำอย่างไรที่ทำให้เราให้แล้วไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ไม่เหลือตัวตนให้ต้องกลับมาเวียนว่ายอีก ต้องให้ทั้งใจ ให้หมดใจ ทำให้ได้นะ
รูปลักษณ์เป็นเพียงภายนอก สิ่งที่งดงามแท้จริงคือภายใน ระมัดระวังนิสัย นิสัยเป็นอารมณ์แค่ชั่วขณะหนึ่ง สิ่งสำคัญคือถ้าศิษย์ตรง ศิษย์ดีแน่ คำพูดคนอื่นก็ไม่มีผล แต่บางครั้งตรงเกินไปก็เดือดร้อนคนอื่น ฉะนั้นจำไว้นะ ความจริงแม้จะพูดแล้วดี แต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนไม่รัก ทำให้คนไม่สามัคคี ทำให้คนฟังแล้วเจ็บปวด บางครั้งไม่ต้องพูดเงียบไว้ดีกว่านะ ทำให้ได้นะ อะไรที่ดีก็รักษา แต่อะไรที่ไม่ดีทั้งความเอาแต่ใจ บางครั้งก็ต้องเบาๆ ลงบ้างนะ
สวยหรือไม่สวยเรารู้ดี เพราะสิ่งที่สวยยิ่งกว่าคือใจของศิษย์ เราอยากเชิดชูอะไรให้คนข้างนอกรับรู้ เราอยากเชิดชูใจ เชิดชูคุณงามความดี หรือเราอยากเชิดชูหน้าตา อาจารย์อยากให้ศิษย์เชิดชูที่ใจคุณงามความดี ดีกว่า และยิ่งถ้าทำดีโดยไม่เปิดเผย สิ่งนั้นยิ่งเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่กว่า ปิดทองหลังพระประเสริฐกว่านะ ดีกว่าทำอะไรแล้วเอาแต่เชิดชูหน้าตา มันเป็นความหลอกลวง
มากันทั้งครอบครัวเลย ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราเป็นครอบครัวอบอุ่นคือรอยยิ้ม ไม่ว่าอะไรใจเย็นเข้าไว้ นี่คือบุญของศิษย์นะ
ยอมได้ก็ยอม อย่าแอบดื้อลึกๆ ตั้งใจไปทำให้ได้นะ
ระมัดระวังควบคุมอารมณ์ของตนเองด้วย อย่าใจร้อน พูดอะไรให้รู้จักยั้งคิด ทำอะไรขอให้ใจเย็นๆ คิดไตร่ตรองให้ดี
งามภายนอกไม่สู้งามภายใน ขาวภายนอกไม่สู้ขาวภายใน สงบภายนอกไม่สู้สงบที่ใจ 
ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เวลามีกันไม่มากเเล้ว ฉะนั้นศิษย์เอย รู้จักบำเพ็ญ มีโอกาสอย่าหลงทางโลกจนลืมบำเพ็ญ 
ชีวิตคืออะไรหรือ คือความแน่หรือความรู้จักยอม บางทีแน่มากๆ เราก็เจ็บปวดใช่ไหม ยอมได้ก็ยอม
รักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม
ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว น่าเสียดายนะศิษย์เอย
รู้แล้วเหลือแต่ลงมือปฏิบัติ อาจารย์เชื่อมั่นในศิษย์
บางครั้งชีวิตมีทางเลือก แต่ต้องเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเลือกสิ่งที่ตามใจเห็น เพราะบางครั้งตามใจมากๆ มันไม่ถูกต้อง ใช่ไหม ตามใจมากๆ ก็กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ฉะนั้นบางครั้งต้องรู้จักฝืนใจตัวเอง
ชีวิตเหนื่อยไหม ลำบากไหม ฉะนั้นอดทน เราต้องรู้จักสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีจงบอกจงเผื่อแผ่ผู้อื่น
ดื้อไหม ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดหรือยัง (ยัง)  บางครั้งยังล้ายังท้อใช่ไหม ศิษย์เอยวันนี้คืออนาคตวันหน้า ถ้าวันนี้ศิษย์ไม่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดวันหน้าจะลำบาก ฉะนั้นยอมลำบากตอนนี้เพื่อวันหน้าจะได้มีอนาคตที่ดี เชื่ออาจารย์นะ
รออาจารย์ไหม (รอ)  มีโอกาสศึกษาธรรมเยอะๆ อายุมากแล้วสังขารมันไม่เที่ยงมีแต่จิตคน แต่ตัวศิษย์เองต้องรู้จักคิดรู้จักทำอยู่ในกรอบเเห่งศีลธรรมอันดีงาม
ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนเรียนรู้คุณธรรมความเป็นคนให้ถูกต้องและงดงาม ระมัดระวังควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ธรรมมีความสำคัญกับชีวิต
ในร่างกายเรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าสังขาร และมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตญาณ สังขารเป็นสิ่งที่เกิดดับได้ วันหนึ่งก็ต้องแตกสลายไปตามสภาพธรรมชาติ แต่จิตญาณไม่มีวันแตกดับ ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการเจ้าของ แต่ต้องการแค่คนที่รู้และเข้าใจในธรรม มนุษย์ประเสริฐเพราะมีธรรม มีคุณธรรมในการดำรงชีวิต เข้าใจในธรรมที่อยู่ในตัวตน ธรรมที่อยู่ในตัวตนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัจธรรม ถ้าเรารู้แจ้งในสัจธรรมของตัวตน เราก็มีปัญญาหลุดพ้นและเข้าถึงจิตเดิมแท้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นศิษย์มองให้ชัดนะในธรรมมีสัจธรรม และถ้าเราเข้าถึงสัจธรรมและประกอบด้วยคุณธรรมเราคือ
ผู้ประเสริฐที่เข้าถึงหนทางบริสุทธิ์ ละชั่ว กระทำดี กลับคืนสู่ธรรมญาณเดิมในตัวตน ในตัวเรามีสัจธรรมที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังคือความไม่เที่ยง ทุกขังคือความทนได้ยาก อนัตตาคือว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เมื่อมันว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เราจะมีตัวตนไปแบกรับมันไหม (ไม่มี) 
มนุษย์ไม่ใช่มีแค่กายกับจิต แต่มนุษย์เติมใจเข้าไป ใจที่ครอบงำและเชื่อมระหว่างกายกับจิต และใจตัวนี้ที่เรียกว่า อัตตาตัวตน ทำให้แม้เราจะตาย ใจตัวนี้ก็ตามจิตไป แล้วครอบงำจิตว่า เราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรามองเห็นชัดว่าสังขารไม่เที่ยง ใจก็ไม่เที่ยง และความไม่เที่ยงนั้นไม่ใช่ตัวเรา เราจะค้นพบจิตเดิมแท้ซึ่งเป็นหนทางบริสุทธิ์ที่เรียกว่า สภาวธรรม มนุษย์เกิดแค่ครั้งเดียว เกิดแล้วแก่แล้วเจ็บแล้วตาย แต่มนุษย์ซ้อนเกิดเข้าไปอีก ด้วยการที่เกิดชอบ เกลียด รัก ชัง เบื่อ หน่าย ซึ่งรวมกันเรียกว่า กรรม เมื่อมีตัวตน มีผู้สร้าง มีกรรม ก็ก่อเกิดเป็นภพ ชาติ ชรา มรณา เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ก็เลยไม่รู้แจ้ง ถ้าเราเข้าใจธรรมที่เรียกว่าสัจธรรม หรือมีปัญญาเห็นแจ้งด้วยการเข้าใจว่าอนิจจังแปลว่า ไม่เที่ยง ทุกขังแปลว่า ทนได้ยาก อนัตตาแปลว่า ว่างเปล่าจากตัวตน ถ้าเราทำแล้วไม่ยึดจึงเรียกว่า “ธรรม” แต่ถ้าทำแล้วยึดแล้วหลงจึงเรียกว่า “กรรม”  ถ้าเราใช้แล้วไม่ยึดแปลว่าเราเข้าถึงธรรม แต่ถ้าเราใช้แล้วเรายึด ยึดแล้วเรายังสร้างดีก็เรียกว่า “บุญกรรม” เรียกว่า กรรมดี  ยึดแล้วยังสร้างบาปก็เรียกว่า กรรมชั่ว เรียกว่า “บาป” แต่ถ้าเรายืมใช้แล้วเราเข้าใจ แล้วเราแจ้ง เราไม่ยึด แค่ยืมใช้แล้วปล่อยวาง เรียกว่า “อกรรม”
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมาอยู่บนโลกแบบคนยืมใช้ ยืมสังขาร เราแค่ยืมเขามา ถึงเวลาก็เป็นไปตามสภาวธรรม คนนี้เขารัก คนนี้เขาหน่าย ก็เป็นไปตามสภาวธรรม วันนี้เขารัก วันนี้เขาเกลียด ก็เป็นสภาวธรรม วันนี้ศิษย์แข็งแรง พรุ่งนี้เจ็บปวดก็เป็นสภาวธรรม พอเข้าใจมากๆ ก็จะเป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจมากๆ ธรรมดาก็กลายเป็นแค่นั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับ สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แล้วศิษย์จะพยายามปล่อยทำไม เดี๋ยวก็ดับได้เอง ถูกไหม (ไหม)  แต่ที่ต้องพยายามปล่อยเพราะศิษย์ยึดมันไม่ปล่อย วางไม่ลง ถ้าอยากไม่ทุกข์ แค่เห็นทุกข์แต่อย่าทน เข้าใจไหม
พระพุทธะสอนไว้ว่าเมื่อมันไม่เที่ยง เมื่อมันเป็นทุกข์และเมื่อมันว่างเปล่า เราโกรธอะไรกับความไม่เที่ยง เขาด่าก็รู้ว่าไม่เที่ยง เขาชมก็รู้ว่าไม่เที่ยง เขายกย่องก็รู้ว่าไม่เที่ยง ถ้าเราหลงเราก็คือคนที่โง่กับความไม่เที่ยง แล้วเราทุกข์ไหม แล้วเราจะแบกทุกข์ไปอีกทำไม แล้วทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ไหม (เป็น)  แล้วเราจะให้ทุกข์เขาอีกทำไม ฉะนั้นถ้าปิดปากได้
พูดน้อยหน่อยดีไหม (ดี)  นอกจากมีปัญญาแล้ว ยังต้องรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นที่เรียกว่าสัจธรรม พระพุทธะสอนไว้ว่า “จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิตเพราะทุกชีวิตล้วนไปสู่ความตาย” เรากำลังตายอยู่ทุกขณะ ทุกคนดีใจที่ได้เป่าเค้กวันเกิด แต่พระพุทธะบอกว่ากำลังเป่าเค้กวันตาย ดีใจที่ตัวเองสวย ตัวเองหล่อ แต่พระพุทธะบอกว่าคือหนังผีหุ้มกระดูก ดีใจมีบ้านใหญ่ๆ แต่ตายไปแล้วบ้านใหญ่ๆ เป็นของใคร เงินทองแย่งกันแทบตาย แล้วผลสุดท้ายเป็นของใคร (ของคนอื่น)  แล้วทำไมไม่เอาปัญญา เอาเงินไปทำไม เมื่อไรที่เราเข้าใจความไม่เที่ยง ความทนได้ยาก ความว่างเปล่าจากตัวตน ความโลภ โกรธ หลงมันเลยไม่มี เมื่อทุกอย่างไม่เที่ยงจะโลภอะไร เมื่อทนได้ยากจะโกรธอะไร เมื่อว่างเปล่าจากตัวตนจะหลงอะไร เมื่อศิษย์โลภแล้วจะค่อยไปให้ทานหรือ ไปเกลียดไปโกรธเขามาเต็มที่แล้วค่อยมารักษาศีลหรือ ไปหลงก่อนแล้วค่อยมีปัญญาหรือ ทำไมไม่มีปัญญาก่อนจะได้ไม่หลง ทำไมไม่มองให้เห็นชัดจะได้ไม่โกรธ พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักทาน ศีล ภาวนา ก็มาจากตรงนี้ ก็อยู่ในตัวศิษย์ที่เรียกว่าสัจธรรม เรียกว่าสังขาร เรียกว่ากองทุกข์ เรียกว่าสิ่งของ เรียกว่าธรรม ในธรรมมีหลักสัจธรรม
ในสัจธรรมถ้ารู้จักประกอบคุณธรรมเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ แล้วถ้าประกอบคุณธรรมแล้วเข้าใจในหลักสัจธรรมนั่นคือหนทางพ้นทุกข์
ทำบุญอย่าหวังผล เพราะถ้าทำบุญเเล้วหวังผลคือเรากำลังจะมีตัวตนเพื่อไปแบกรับกรรมต่อ เหมือนที่ศิษย์ชอบขอกัน ชาติหน้าขอให้เกิดมาสบายไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ ชาติหน้าเกิดเป็นสุนัขให้เขาอาบน้ำให้ทำนู่นทำนี่ให้ แต่คุณธรรมความดีไม่ดีเลยใช่ไหม (ใช่)  เอาหรือ (ไม่เอา)  อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์อยู่บนโลกอย่ามัวหลงโลภ หลงโกรธ หลงเงินทอง หลงรูปลักษณ์ มันเป็นของไม่เที่ยง มีของเที่ยงอยู่อย่างเดียวที่อยู่ในใจศิษย์ นั่นคือจิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสภาวธรรม
ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  จำไว้โลภ โกรธ หลง คือหนทางแห่งบาปและกรรม แต่ไม่โลภไม่โกรธไม่หลงคือหนทางแห่งอกรรม เลือกทางที่ถูกอย่าหลงผิดทาง มีโอกาสเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว กลับมาผูกบุญกันอีก กลับมาเพิ่มปัญญาธรรมอีก ดีไหม (ดี)  อาจารย์ห่วงศิษย์ได้มากแค่ไหน แต่ถึงเวลาก็ต้องปล่อย คิดให้ดีๆ ก่อนจะเลือกทำอะไรนะศิษย์ แล้วเราจะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะตนเอง ทำให้ได้นะ เข้มแข็งนะ บำเพ็ญธรรม อุทิศเสียสละ ฉุดช่วยเวไนยกลับคืนฟ้าเบื้องบน สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ฝึกใจฟ้ารู้จักให้ รู้จักใจกว้าง รู้จักอดทน ฝึกใจดั่งดินที่หนักแน่นมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีทั้งใจฟ้าที่กว้างใหญ่และใจดินที่อดทน ทำให้ได้นะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงทาง รักษาคุณงามความดีให้เข้มแข็งยิ่งกว่าสังขารตั้งใจทำให้ได้ นำไปปฏิบัติบ้าง อย่าแค่ฟังแล้วผ่านเลย ศิษย์เอ๋ยมีโอกาสเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วกลับมาอีกนะ มาช่วยอาจารย์อีกได้ไหม ทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
 “ผู้ใฝ่ธรรม” )
คำนี้มีความหมายที่ดี คำนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง และอาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้ทำได้ดีและทำได้ลึกจนถึงคำว่า “ธรรม”  ลองไปอ่านความหมายข้างในดู ถ้าทำได้ถึงขนาดนี้ศิษย์ถึง “ธรรม” แน่ ศิษย์สิ้นทุกข์แน่ อย่าทุกข์แล้วทุกข์อีกเลยนะ มีปัญญาตื่นเถอะ ทุกข์พอแล้ว
เจ็บพอแล้ว มีปัญญาแล้วมีสติรู้ แต่ไม่ต้องทุกข์ ได้ไหม ทำให้ได้นะ ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญเพื่อสิ้นทุกข์ เกิดมาเป็นคนถือว่าประเสริฐสุดแล้ว จะหลงอะไรกับโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่าอาลัยอาวรณ์เลย ถ้าเราทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง เราก็ช่วยคนได้ทั้งโลก อย่าดูเบาตัวเอง ถ้าเราทำได้ดี เราทำได้ถูกต้อง เราก็คือพระบนโลกใบนี้ ศรัทธาในความดีงาม คุณธรรมในใจของศิษย์ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่ศิษย์มีในชีวิตหนึ่ง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ธรรม”
     รู้ธรรมต้องให้ถึงธรรม                          บาปกรรมผู้บำเพ็ญไม่สร้าง
ความดีทำแล้วก็วาง                                 สตินำทางของใจ
     สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับทุกขณะ                     เมื่อไม่ยึดจะต้องละปล่อยวางไหม
ไม่มีแม้อัตตาตัวตนของใคร                        ทุกสิ่งล้วนเป็นไปเช่นนั้นเอง




แก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก 
๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
หน้า ๑๕  ย่อหน้าแรกเพลงพระโอวาท
บรรทัดที่ ๔
เดิม ไม่จับไม่ฝืนทน        แก้ไขเป็น ไม่จับไม่ฝืนตน

บรรทัดที่ ๘
เดิม เหมือนกับทุกทุกวัน  แก้ไขเป็น เหมือนกันกับทุกทุกวัน

บรรทัดที่ ๑๑
เดิม เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้นกันบ้างหรือเปล่า   
แก้ไขเป็น เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้น(กัน)บ้างหรือเปล่า


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา