วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

2559-04-23 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二○一六年歲次丙申三月十七日                                        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่  ๒๓  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๙    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ    อ.กระสัง    จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  ฟังธรรมเพื่อสงบจิตแจ้งปัญญา         ฟังธรรมเพื่อลดอัตตาดัดนิสัย
ฟังธรรมเพื่อหัดลดละการตามใจ         ฟังธรรมเพื่อธรรมสู่ใจใจสู่ธรรม
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลก  ประณตน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   สุขใดหรือจีรังที่ใฝ่หา                   หลงคว้าไว้ภาพลวงตาใดคงอยู่
เมื่อมีได้ก็มีเสียต่างก็รู้                     ที่คงอยู่หรือกำลังค่อยจากไป
ไม่อยากทุกข์แต่ทุกข์มีทุกสิ่ง              โลกความจริงกล้าเรียนรู้ฝึกใจไว้
อย่าอยากจนไม่มองความจริงอะไร      แม้ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไปก็รับทัน
จริงหรือปลอมเท็จหรือแท้ที่มองเห็น     สิ่งที่รู้อาจไม่เป็นดั่งที่ฝัน
ก็แค่ช่วงหนึ่งสมมติปรุงแต่งกัน           ต่างรู้ใช้ใดของท่านอย่าหลงมี
ทุกข์ใดหรือจะเท่าทุกข์เวียนว่าย         สุขใดหรือจะเท่าใจสงบนี้
อย่าสร้างบาปก่อกรรมทำไม่ดี            ฝึกใช้ธรรมนำชีวีสติเตือนใจ
ไม่มีเพราะมีเท่าไรถมไม่เต็ม              ไม่พอเพราะแม้มีเต็มก็ว่าไร้
คนขยันอย่าเหนื่อยจนต้องทุกข์ใจ       รักสบายจนคร้านเป็นภัยแก่ตน
แท้ที่สุดไม่มีอะไรเป็นของเรา             ต่างล้วนเฝ้ายึดถือจนสับสน
หลงความมีในความไร้จนวกวน          ท้ายก็จนปัญญากับความไม่มี
                                                                  ฮา    ฮา    หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

“ฟังธรรมเพื่อสงบจิตแจ้งปัญญา       ฟังธรรมเพื่อลดอัตตาดัดนิสัย
ฟังธรรมเพื่อหัดลดละการตามใจ       ฟังธรรมเพื่อธรรมสู่ใจใจสู่ธรรม”

วันนี้มาฟังเพื่อให้  หรือมาฟังเพื่อรับ  มาฟังธรรมเพื่อลดละ  หรือมาฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่น  (ลดละ)    ฉะนั้นถ้าฟังแล้วได้ลดละการตามใจตัวเอง  หรือตามนิสัยตัวเองได้บ้างก็ดี  แต่ถ้าฟังแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง  ก็จะเบื่อหน่ายทนไม่ไหว  นั่นก็แปลว่าเราไม่สามารถลดละอะไรได้  แล้ววันนี้ได้ลดละอะไรได้หรือยัง  หรือยังเหมือนเดิม  เขาห้ามอะไรก็ยังแอบทำเหมือนเดิม  อย่างนั้นหรือเปล่า
มนุษย์มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง  ถ้าคิดว่าทำได้อะไรก็ทำได้  แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ยังไม่เริ่มก็ทำไม่ได้แล้วใช่ไหม  (ใช่)    แล้วถ้าพุทธะคิดอย่างนี้ก็คงไม่คิดจะมาปกโปรดมนุษย์หรอกจริงไหม  (จริง)    ถ้ามนุษย์ชั่วร้ายเกินโปรด  ถ้ามนุษย์คดเกินเยียวยา  พระพุทธะก็คงไม่คิดที่จะมาโปรด  ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าเกิดคิดว่าทำได้ท่านก็ทำได้  แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้  แต่ความน่ากลัวของมนุษย์ก็มีอยู่อย่างหนึ่ง  ชอบบอกว่าตัวเองไม่รู้  และอีกอย่างหนึ่งก็ชอบบอกตัวเองว่ารู้แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้น  แล้วท่านว่าอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน  (รู้แล้วไม่ทำให้ดีขึ้น)    แต่จริงๆ  เราว่าอย่างแรกก็น่ากลัวนะ  ชอบบอกว่าตัวเองไม่รู้แต่จริงๆ  รู้  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เคยรู้จักเราไหม  ไม่เคยใช่หรือไหม  (ใช่)    อย่างนั้นเราจะบอกให้นะว่าในบรรดาชีวิตของทุกท่านในชั้นเรียนนี้บางคนอาจจะโชคดียิ่งกว่าเราเสียอีก  เพราะเราเกิดมาไม่มีพ่อ  ไม่มีแม่  ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร  ไม่มีญาติพี่น้อง  ต้องเลี้ยงตัวเองคนเดียว  อาชีพที่ทำได้สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ก็คือต้อนวัว  ต้อนควายไปกินหญ้า  ทำอะไรคนก็ดูถูก  คนก็ไม่รัก  ดูน่าสงสารไหม  (น่าสงสาร)    จะทำอะไรก็ลำบากกว่าจะได้เงินสักบาทกว่าจะได้กินข้าวสักจาน  ฉะนั้นอยากบอกว่าท่านโชคดีแล้ว  จริงไหม  (จริง)    เราถามท่านนะว่า  ถ้าหากเราเกิดมาพร้อมกับความไม่มีไม่สมบูรณ์  แล้วยังมีคนกดเราให้ต่ำ  ดูถูกเราให้แย่  แล้วท่านอยากแย่อยากต่ำตามที่เขาดูถูกเหยียบย่ำไหม  (ไม่)    ถ้าเราพยายามทำอะไรก็ตาม  อย่างไรเขาก็ไม่รัก  อย่างไรเขาก็ดูถูกว่าเราจน  ไม่มีเกียรติ  ไม่มีศักดิ์ศรีเราจะรักเขาไหม  (รัก)    เราจะรักคนที่เกลียดเราไหม  (รัก)    เราจะโกรธแค้นคนที่ดูถูกเราไหม  (ไม่)
สิ่งที่ท่านกำลังคิดว่านั่งตรงนี้ทุกข์  แต่ชีวิตจริงที่ออกไปจากตรงนี้  มีทุกข์มากยิ่งกว่า  ฉะนั้นถ้าแค่นี้ทนไม่ได้  ชีวิตจริงท่านจะผ่านไม่ได้เลย  ถ้าแค่นี้ยังรับไม่ไหว  ชีวิตจริงท่านจะรับไหวหรือ  ฉะนั้นเราขอเอาตัวของเรามายกตัวอย่างให้ท่านดู  ถ้าท่านเกิดมาพร้อมกับพ่อแม่คือใครก็ไม่รู้  ญาติพี่น้องมีหรือไม่ก็ไม่เห็น  แล้วทุกชีวิตไม่มีคิดว่าวันนี้จะทุกข์อะไร  คิดแต่เพียงว่า  วันนี้จะหาอะไรกิน  คำว่าทุกข์คืออะไร  ต้องตอบว่า  ไม่มีเวลาให้คิดด้วยว่าทุกข์อยู่ตรงไหน  เพราะทุกขณะคือทุกข์อยู่แล้ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ถ้าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ  ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า  พยายามทำอะไร  แม้จะดีขนาดไหนเขาก็ไม่รัก  แถมยังรังเกียจและดูถูกอยู่ร่ำไป  แล้วใจเรายังจะรักเขาไหม  ใจเราจะชิงชังเขาไหม  ท่านจะเลือกวิธีใด  ตามใจตัวเองหรือว่าเขาอยากให้เราไม่ดี  เราก็ไม่ดี  เขาอยากไม่รัก  เราก็ทำให้เขาไม่รัก  เลือกวิธีใด  (ตามใจตัวเอง)    ตามใจตัวเองใช่ไหม  (ใช่)    เขาไม่รักก็ไม่รักเขาใช่ไหม  เขาเกลียดเรา  เราก็เกลียดเขาใช่ไหม  (ใช่)    ก็ตอบได้ดีนะ  นี่คือวิถีทางคน  ใครร้ายมาอย่างไรก็ร้ายตอบอย่างนั้น  ใครไม่ดีอย่างไร  เราก็ไม่ดีอย่างนั้น
แต่เชื่อไหมว่าเมื่อเราทุกข์จนถึงที่สุดเราจะหันกลับมาถามตัวเองว่า  แล้วเราจะทำให้ตัวเองทุกข์อีกทำไม  แต่ท่านจะกลับเป็นอย่างไรรู้ไหม  จากหน้ามือจะเป็นหลังมือ  จากสิ่งที่ร้ายจัดๆ  ท่านจะกลับหัวเราะและยิ้มสู้กับมัน  และท่านจะเดินตามวิถีแห่งธรรมที่เรียกว่า  วิถีแห่งฟ้า  ไม่เลือกวิถีแห่งคน  เพราะคนมีดีมีร้าย  มีได้มีเสีย  มีทุกข์มีสุข  แต่วิถีแห่งฟ้าที่คนลืมนึกถึง  ไม่มีอะไรร้าย  ไม่มีอะไรดี  ไม่มีอะไรทุกข์  ไม่มีอะไรสุข  มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเองอันเป็นธรรมดา  จริงไหม  (จริง)    ลมฟ้าเราด่าแค่ไหน  ฟ้าโกรธไหม  (ไม่)    ฟ้าผ่ากลับทันทีไหม  (ไม่)    เกลียดฟ้าแค่ไหน  ฟ้าเกลียดกลับไหม  (ไม่)    ให้ฝนตกแก่เราไม่ต้องให้คนอื่นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  (ไม่)    ฉะนั้นถ้าเราโดนกดจนถึงที่สุด  เราจะเลือกวิถีคนหรือเราจะเลือกวิถีฟ้า  (วิถีฟ้า)    แล้วฟ้าสอนอะไรเราหรือ  ฟ้าสอนให้เราเมตตา  เขาร้ายมาเราร้ายกลับไม่ใช่เมตตา  แต่คือการจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น  ถ้าเราเลือกวิถีฟ้า  วิถีฟ้าอย่างแรกสอนให้เราเมตตา  เขาร้ายมา  เราร้ายกลับได้ไหม  (ไม่ได้)    เราชอบคนที่ปฏิบัติกับเราดีหรือร้าย  (ดี)    แล้วถ้าเขาปฏิบัติกับเราร้ายเราจะดีหรือร้าย  (ดี)    ให้จริงนะ  ทองแท้ไม่หวั่นการหล่อหลอม  เพชรแท้ย่อมไม่กลัวการถูกเจียระไน  ฉะนั้นคนที่ดีจริงต้องไม่กลัวการถูกทดสอบ  ถึงเขาจะกดเราให้แย่  ถึงเขาจะเกลียดเราให้ไม่ดี  เราจำเป็นจะต้องไม่ดีตามไหม  (ไม่ตาม)    ไม่ตามนะ
ฉะนั้นขอให้มนุษย์เลือกวิถีฟ้า  เพราะวิถีฟ้าสอนให้มนุษย์มีเมตตากัน  และวิถีฟ้ายังสอนอีกว่า  เราเปลี่ยนคนไม่ได้  แต่เราเปลี่ยนความคิดเราได้  เราแก้คนไม่ได้  แต่เราแก้ใจเราให้ดีขึ้นได้  เหมือนเช่น  เรายิ้ม  นักเรียนในชั้นนี้จะยิ้มกับเราไหม  ฉะนั้นคนที่เข้าใจวิถีฟ้า  จะไม่เปลี่ยนแปลงคนอื่น  แต่จะพยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขตน  ยากไหม  (ไม่ยาก)    แต่บางคนบอกว่ายาก  อย่างนั้นเราจะบอกให้อย่างหนึ่ง  เป็นการปลอบใจ  ถ้าเราโดนเขาว่า  โดนเขาด่า  เราจะด่ากลับไหม  (ไม่ด่า)    ไม่อ้าปากแต่ด่าในใจใช่ไหม  ท่านจำไว้นะ  ใครว่าเราแล้วเรานิ่งเงียบไม่โต้ตอบ  ไม่โต้แย้ง  สักวันหนึ่งของที่เขาให้เรามา  จะคืนกลับเขาไป  จริงไหม  (จริง)    เหมือนเขาให้ของเรา  เรานิ่ง  เราเฉย  เราไม่รับ  ของนั้นมันก็ต้อง  (กลับคืน)    แต่ถ้าเมื่อไรเราด่ากลับแปลว่าเรายอมรับอย่างเต็มตัวและเต็มใจ  แล้วเราก็เป็นอย่างที่เขาด่าใช่ไหม  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ 
แล้วรู้ไหมว่าพระพุทธะยังบอกว่า  “เขาด่ามาแล้วเราด่ากลับ  ท่านว่าเขาเลว  แต่คนด่ากลับเลวยิ่งกว่า”  จริงไหม  และเป็นคนที่ทำเวรให้ยืดเยื้อ  ฉะนั้นจะด่ากลับไหม  (ไม่)    ฉะนั้นเขาเกลียดเรามา  เราจะเกลียดเขากลับไหม  เขาดูถูกเรามา  เราจะดูถูกเขากลับไหม  (ไม่)    ถ้าเกิดเขาต่อยเตะแล้วทำร้ายเรา  ยอมไหม  (วิ่งหนี)    ฝ่ายหญิงเข้าใจตอบนะ  วิ่งหนี  อยู่ทำไมให้เขาเตะให้เขาด่าใช่ไหม  (ใช่)    นี่แหละวิถีของมนุษย์  เจอทุกข์เมื่อไรหนีไว้ก่อน 
ใช่หรือไม่  (ใช่)    แล้วถ้าเกิดเขาวิ่งตามล่ะ  (หนี)    ก็หนีอีก  แล้วชีวิตนี้จะหนีไปถึงเมื่อไร  ท่านเคยได้ยินไหม  พระพุทธะกล่าวว่า  “ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม 
ที่ใดมีมารที่นั่นมีพุทธะ”
  แต่เราเห็นมารก็เป็น  (มาร)    เห็นทุกข์ก็เป็น  (ทุกข์)    เราจะบอกให้ว่า  ทำอย่างไรที่จะทำให้ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม  ที่ใดมีมารที่นั่นมีพุทธะ  เขากดขี่ข่มเหงเรา  เขาด่าทอเรา  เขาทำเราให้เจ็บปวด  ถ้าเราคิดเสียว่า  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  เราอาจจะทำอะไรกับเขาไว้  วันนี้เราก็ได้ชดใช้คืนกลับไป  และเราอยากจะทำอนาคตให้ต้องเจอกับเขาแล้วชดใช้กันไม่จบสิ้นหรือไม่  ถ้าไม่  แล้วเราจะพบทุกข์แล้วพบธรรมได้อย่างไร  ก็คิดเสียว่าดีแล้ว  ขอบคุณแล้ว  ฉันได้จบเวรจบกรรมกับเธอแล้ว  ดีไหม  (ดี)    ในเมื่อเขาทำกับเรา  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ไม่มีเหตุบังเอิญ  คนมีตั้งมากมายไม่โกง  ทำไมมาโกงเรา  คนมีตั้งมากมายเราไม่รัก  แต่ทำไมเราไปรักเขา  คนมีตั้งมากมายเขาไม่เกลียด  แต่ทำไมจงเกลียดจงชังเรา  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    คนมีตั้งมากมายเขาไม่ดูถูก  แต่ทำไมเขาดูถูกดูหมิ่นเหยียดเรา  ถ้าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ถ้าโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัยและกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันมา  ดีใจไหมที่ได้ใช้กรรมและได้จบเวรจบกรรม  (ดีใจ)    หรือว่าเอาให้สาแก่ใจ    เพื่อจะได้ผูกเวรผูกกรรมต่อ  เอาแบบใดดี
ฉะนั้นเขาต่อยมาก็ขอบคุณไหวไหม  ท่านพูดว่าไม่ไหวแต่เราถามจริงๆ  นะ  แล้วเราห้ามกรรมได้ไหม  เราหนีกรรมได้ไหม  แต่ทางที่ดีที่สุดที่เราทำได้ในการเป็นคนก็คือ  หยุดกรรม  แล้วเราจะหยุดกรรมได้อย่างไร  ก็แค่ยอมรับแล้วชดใช้ไป  ตอนนี้ยังมีแรงรับก็รับไปเถอะ  จะรอตอนไม่มีแรงแล้วรับไหวหรือ  (ไม่ไหว)    ตอนนี้ยังสุขก็รับไปเถอะ  ดีกว่าทุกข์ซ้ำกรรมซ้อนร่างกายก็เจ็บปวด  ตอนนั้นรับไหวไหม  (ไม่ไหว)    ฉะนั้นเขาเตะมาก็  (ปล่อยไป)    กล้าปล่อยไหม  พบทุกข์ก็พบธรรม  พบมารก็พบพุทธะในใจเรา  อย่าทำให้เขาเรียกมารแล้วปลุกมารในใจเราตื่น  อย่าให้เขาทำให้ทุกข์  แล้วเราต้องสร้างทุกข์ทนกล้ำกลืน  ทำไมไม่ให้เขาทำให้เราทุกข์แล้วเราพบธรรมล่ะ  เขาเป็นมารแล้วทำไมเราไม่ทำให้เขาเป็นพุทธะ  และเปลี่ยนมารเป็นพุทธะเล่า  เราอยากอยู่กันอย่างสันติ  เราอยากอยู่กันอย่างเข้าใจและเราอยากอยู่กันอย่างยอมรับกันได้ไม่ใช่หรือ  (ใช่)    แล้วเราจะเป็นมารต่อกันทำไม  จริงไหม  (จริง)    นี่แหละเรียกว่า  เขาให้ทุกข์แต่เราให้ธรรม  เขาให้มารแต่เราให้พุทธะ  อยู่ที่เราเลือกนะ  วิถีชีวิตมีให้เราเลือกเสมอ  แต่เราเลือกทางแห่งคนหรือทางแห่งฟ้า  เลือกทางแห่งธรรมหรือทางแห่งนรก  ใช่หรือไม่  (ใช่)    อย่าบอกว่า  ไม่มีทางเลือก  ถูกไหม  (ถูก)
มีหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์อยู่ในโลก  ชอบน้อยเนื้อต่ำใจ  ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง  แล้วก็คิดว่าไม่มีใครรักเรา  เป็นอย่างนั้นไหม  เป็นอย่างนั้นก็ช่างน่าเสียดาย  คิดว่าไม่มีใครรัก  คิดว่าไม่มีใครสนใจ  คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรโดดเด่นอะไร  การคิดแบบนี้ดีไหม  (ไม่ดี)    แล้วคิดไหม  (คิด)    ถ้าเราถามท่านว่า  สมมติมีคนๆ  หนึ่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับเรา  เราโกรธเขาไหม  เรายกตัวอย่างนะ  สมมติเรามีกระเช้าดอกไม้หนึ่งกระเช้าและเราบอกว่าให้แบ่งเท่าๆ  กัน  แปลว่าถ้าทุกคนได้หนึ่งดอก  คนอื่นก็ต้องได้  (หนึ่งดอก)    ถ้าคนหนึ่งไม่ได้  ทุกๆ  คนก็ต้อง  (ไม่ได้)    ใช่หรือไม่  (ใช่)    แต่ถ้าเราถามว่าในความเป็นจริงของโลกใบนี้  มีคนได้ก็ต้องมีคน  (ไม่ได้)    อย่างนั้นถามว่าความเป็นจริงแล้วถ้าเราให้ดอกไม้คนๆ  หนึ่งทั้งตะกร้าแล้วนักเรียนในชั้นทั้งหมดไม่ได้เลย  ได้ไหม  (ได้)    จริงหรือ  (จริง)    ถ้าเราบอกว่ามีดอกไม้หนึ่งตะกร้า  แล้วเราบอกว่าแบ่งให้เท่าๆ  กันแปลว่าคนหนึ่งได้หนึ่งดอก  ทุกคนก็ต้องได้  (หนึ่งดอก)    แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะได้  (ไม่ได้)    อย่างนั้นแปลว่าต้องมีคนได้และมีคน  (ไม่ได้)    แล้วเราถามท่านว่าแล้วใครจะเป็นคนไม่ได้  ใช่ไหม  (ใช่)   
อย่างนั้นเราถามกลับ  ถ้าวันหนึ่งมีคนได้ความรักเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนต้องได้ความรัก  (เป็นไปไม่ได้)    ถ้ามีคนสำเร็จแปลว่าทุกคนต้องสำเร็จ  เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้)    ฉะนั้นถ้าเกิดมีคนล้มเหลวท่ามกลางความสำเร็จ  เราจะยอมเป็นคนล้มเหลวคนนั้นไหม  (ไม่)    เราว่าแล้ว  อย่างนั้นถามท่านนะว่าในโลกนี้มีคนแพ้ก็ต้องมีคน  (ชนะ)    มีคนชนะก็ต้องมีคน  (แพ้)    อย่างนั้นถ้าเราให้ท่านเป็นคนแพ้แล้วเราชนะได้ไหม  (ได้)    อย่างนั้นเราให้ท่านเป็นคนเสียแล้วเราได้  ได้ไหม  (ได้)    มนุษย์ชอบเรียกร้องความยุติธรรมและความถูกต้องเป็นมาตรฐานในใจเสมอ  พอถูกใครปฏิบัติไม่ถูกต้อง  เราเริ่มออกอาละวาด  ไม่บ่นทางกระดาษ  ก็แอบเอาไปนินทาใช่ไหม  (ใช่)    อย่างนั้นถูกต้องไหม  (ไม่)    แล้วทำไหม  (ทำ)    เรามองแบบคนใจฟ้าสิ  อย่ามองแบบวิถีคน  มองอย่างวิถีฟ้าแล้วเราจะเข้าใจความเป็นคน  แล้วพอเห็นใครที่ทุรนทุรายทนไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม  เราจะเข้าใจเลยว่าฉันเคยเป็นมาแล้ว 
แต่ฉันเข้าใจแล้วใช่หรือเปล่า  (ใช่)
เราถามท่าน  ตัวท่านเองเคยรักใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่แบ่ง
แยกไหม  มีไหม  (ไม่มี)    รักเท่ากันหมด  ไม่มีใครมากกว่า  ไม่มีใครน้อยกว่ามีไหม  (ไม่มี)    แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะเรียกร้องคนอื่นให้เขารักเท่าๆ  กัน  ใช่ไหม  (ใช่)    แล้วเวลาเราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  เป็นไปได้ไหมว่าเราจะแบ่งได้ทุกๆ  คนโดยเท่าเทียมกันได้ไหม  (ไม่ได้)    ฉะนั้นถ้าเขาตาเล็กตาใหญ่ใช่เพราะเขาลำเอียงไหม  ใช่เพราะเขาอคติกับเราไหม  (ไม่ใช่)    ฉะนั้นเวลาคิดอย่าเลือกวิถีคน  จงเลือกวิถีฟ้า  เวลาทำอย่าเลือกทำตามแต่ใจตน  แต่จงเลือกทำอย่างคนที่มีธรรม  แล้วท่านจะเข้าใจความเป็นคนและไม่โกรธคน  ขอถามท่านนะ  วันนี้เราไปซื้อดอกไม้สิบบาท  เขาให้ดอกไม้เรามาสิบดอก  แล้วถ้าผ่านไปอีกประมาณครึ่งเดือน  ซื้อสิบบาท  ได้มาห้าดอก  มีปัญหาไหม  (ไม่มี)    ถ้าผ่านไปอีกครึ่งเดือน  ซื้อสิบบาท  เหลือหนึ่งดอก  จะมาซื้อร้านนี้ไหม  (ไม่ซื้อ)    ไม่ซื้อตั้งแต่สิบบาทเหลือห้าดอกแล้วใช่ไหม  (ใช่)    พอเหลือ
ห้าดอกไม่เอาแล้วเดินกลับบ้านเลยใช่ไหม  (ใช่)  เขาผิดไหม  (ไม่ผิด)    แล้วใครผิด  (ตัวเรา)    จริงหรือเห็นกลับไปยังบ่นอีกแม่ค้าขายไม่ยุติธรรมเลย  งวดที่แล้วสิบดอกสิบบาทยังได้  งวดนี้สิบบาทได้ห้าดอก  แล้วงวดต่อไปสิบบาทเหลือ  (ดอกเดียว)    ซื้อไหม  (ไม่ซื้อ)
เรายกตัวอย่างนี้เพื่อให้ท่านเข้าใจนะ  ว่าถ้าวันหนึ่งชีวิตเราเป็นแบบนี้จงซื้อและเข้าใจ  ความถูกต้องชอบธรรมเป็นเรื่องของทางโลก  แต่การรักษาใจให้ปกติเป็นเรื่องของทางธรรม  แต่มนุษย์ชอบเอามาตรฐานอดีตมาวัดมาตรฐานปัจจุบันและมาตรฐานทุกชีวิต  ใช่ไหม  เรามีความถูกต้องในใจ  เรามีความยุติธรรมในใจ  เรารู้อะไรดีอะไรชั่วในใจ  แล้วเราก็ชอบเอามาตรฐานถูกต้องดีชั่วของเราไปวัดคนอื่นใช่หรือไม่  แล้วก็มักจะจมอยู่กับอดีตว่าอดีตเป็นอย่างไร  ต่อไปต้องเป็นแบบนั้น  ลืมไปแล้วหรือว่าเดี๋ยวนี้ค่าเงินมันตก  เศรษฐกิจไม่ดี  ฉะนั้นสิบบาทเหลือห้าดอกเป็นเรื่องปกติใช่ไหม  วันนี้เขาปฏิบัติดี  อีกวันหนึ่งเขาปฏิบัติไม่ดี  โกรธไหม  วันนี้เขาบอกรักเรา  พรุ่งนี้เขาบอกไม่รักเรา  เกลียดไหม  เพราะเรากำลังยึดมาตรฐานอดีตและเรากำลังยึดมาตรฐานที่หวัง
ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจธรรมจะไม่มองจมอยู่กับอดีต  แต่จะอยู่กับขณะนี้  ได้แค่นี้ก็เท่านี้  และเราจะไม่ทุกข์กับเขา  และเราจะไม่เป็นอะไรไม่ช้ำใจกับเขา  แต่เรามักจะติดอยู่กับอดีต  หรือความคาดหวังในใจเราว่าเขาต้องทำกับเราดีกว่านี้  ใช่ไหม  สมมติถ้าวันนี้เราให้ดอกไม้ท่าน  พรุ่งนี้เราก็ให้ดอกไม้ท่าน  มะรืนเราก็ให้ดอกไม้ท่าน  แล้วมะเรื่องถ้าไม่มีเราอยู่ให้ดอกไม้ท่าน  ท่านจะอยู่ไหวไหม  ไม่ไหวจริงไหม  (จริง)    เราแค่เปรียบเปรยให้ท่านฟังนะ  เหมือนวันนี้เราทำอะไรก็ได้  แต่ถ้าวันหลังเราทำไม่ได้  เราจะจมอยู่กับอดีตหรือเราจะเข้าใจในปัจจุบัน  (เข้าใจในปัจจุบัน)    เราจะเอาอดีตมายึดมั่นจนทำให้จิตเราผิดปกติ  หรือเราจะอยู่กับปัจจุบันและยอมรับความจริงจนจิตไม่ทุกข์
ไม่ร้อนกัน
แต่มนุษย์เป็นเช่นไร  เอามาตรฐานตัวเอง  คอยไปวัดคนโน้น  คอยไปมองคนนั้น  แล้วก็ทุกข์เพราะอะไร  แล้วก็เป็นบ้าเป็นหลัง  โวยวายว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้  เพราะอะไร  เพราะตัวเองยึดมั่นในมาตรฐาน  โดยไม่มองความเป็นจริงในขณะนี้  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าวันนี้  ไปสิบบาท  แล้วไม่ได้สักดอกหนึ่ง  จะถามแม่ค้าหรือเดินหนีเลย  ว่าอย่างไร  (ถาม,  เดินหนี)    สิบบาท  แม่ค้าบ่นมาว่า  โอ๊ย  ไม่ได้หรอกเดี๋ยวนี้สักดอกก็ขายไม่ได้  ซื้อไหม  (ซื้อ,  ไม่ซื้อ)    เดินหนีตั้งแต่เขาร้องโอ๊ยแล้วใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างเข้าใจ  อย่าเอามาตรฐานตัวเองไปวัดเปรียบเทียบกับใคร  และอย่าหวังว่าจะต้องได้เหมือนๆ  กันทุกคน  แล้วเมื่อไรที่เราโดนกด  โดนรังเกียจ  โดนเป็นผู้แพ้  โดนเป็นผู้ทุกข์  เราจะไม่ทุกข์  เราจะไม่เกลียด  แต่เราจะเข้าใจ  เข้าใจในความเป็นคนและเข้าใจในธรรมแห่งตน  ยากไหม  (ไม่ยาก)    ไม่ยากแต่มักจะไม่ค่อยมีสติรู้เท่าทัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นวันนี้อยากได้ดอกไม้จากเราไหม  อยากได้ไหม  (อยากได้)    นี่แหละทุกข์ของมนุษย์  ถ้าอยากได้เราไม่ให้ก็ทุกข์  ถ้าอยากได้แล้วเราให้  แต่ให้น้อยไป  ท่านก็ทุกข์  อย่างนั้นสู้ไม่อยากอะไรเลยไม่ดีกว่าหรือ  เอาไหม  (ไม่เอา,เอา)    ว่าอย่างไรนะ  (ให้ก็เอา)    นี่แหละนะขึ้นชื่อว่ามนุษย์  อดคาดหวังไม่ได้  แล้วเป็นอย่างไรล่ะ  ก็ต้องมานั่งทุกข์กับความคาดหวังที่ตัวเองกำหนดและยึดติด  ถ้าเราบอกท่านว่า  แล้วเราอยู่ในโลกนี้  เราหวังว่าคนที่อยู่ร่วมกับเรา  เขาจะเป็นคนที่ดี  ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ  เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้)    แล้วถ้าเกิดว่าคนที่อยู่ร่วมกับเรา  เขาเอาแต่ชี้ข้อผิด  คอยจับผิด  คอยกล่าวโทษ  รับได้ไหม  (ได้)    ถ้าท่านอยู่กับคนที่คอยเอาแต่ชี้ว่าท่านผิด  โทษว่าท่านไม่ดี  มองว่าท่านเป็นตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งมวล  เราอยู่กับคนแบบนี้รับไหวไหม  (ไหว)  รับไม่ไหวใช่ไหม  (ใช่)    ไหวก็บอกไหว  ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว  เราจะได้ช่วยกันแก้  ช่วยกันเข้าใจ  ดีไหม  (ดี)    ดีกว่าพยายามไหว  ใช่หรือเปล่า
ท่านชอบไหมใครมาชี้หน้าว่าเราผิดหรือทำอะไรแล้วก็กล่าวโทษว่าเราเป็นตัวต้นเหตุ  (ไม่ชอบ)    แล้วเราเป็นจริงไหม  ว่าแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับ  ใช่หรือไม่  (ใช่)    แล้วทำไมเราถึงชอบทำตัวเองเป็นกระจกสะท้อนว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป  “แกไม่รู้หรอกว่าแกเป็นอย่างไร  แต่ฉันนี่เข้าใจแกดี”  ใช่ไหม  (ใช่)    เราชอบทำตัวเป็นกระจกสะท้อนว่าคนอื่น  แต่เราไม่เคยมองกลับตัวเอง  แล้วเราถามท่านนะว่า  ในโลกนี้ถ้าพูดกันอย่างเป็นธรรม  มีใครชอบมาให้เราชี้หน้าว่าเราผิดและกล่าวโทษว่าเราไม่ดี  (ไม่ชอบ)    แล้วเราทำไหม  (ไม่ทำ)    ไหนใครกล้ายืนยันกับเราว่าตลอดชีวิตมาไม่เคยชี้ว่าใครผิดเลย  ไม่เคยกล่าวโทษใครผิดเลย  ยกมือขึ้น  แล้วเมื่อสักครู่บอกเราว่าไม่ทำ  แล้วที่ไม่ยกนี่แปลว่าทำใช่ไหม  ทำหรือไม่ทำ  (ทำ)    เราไม่ชอบแล้วเราก็ทำ  ถูกไหม  (ถูก)    เรารู้ไหม  (รู้)
ฉะนั้นเราอยากจะบอกท่านว่า  ถ้าเราอยากอยู่บนโลก  ไม่อยากให้ใครมาดูถูก  ไม่อยากให้ใครมารังเกียจ  เราจงอย่าชี้ว่าใครผิด  เราอย่าพยายามตรวจสอบใครผิด  อยากอยู่บนโลกนี้อย่างมีสุข  ไม่ทุกข์ไหม  (อยาก)  เรามีวิธี  วิธีของเรา  แม้จะยากหน่อย  แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถท่านหรอกนะ  แต่ก็คงไม่ง่ายเกินไปใช่ไหม  (ใช่)    อย่างนั้นอยู่บนโลกแล้วไปอยู่ที่ไหน  แม้จะโดนเหยียดหยาม  แม้จะถูกคนรังเกียจ  เราก็ไม่ทุกข์  แต่เรามีสุขได้  ขอเพียงทำให้ได้ดังที่เราบอก  สนใจไหม  (สนใจ)    แน่ใจหรือ  (แน่ใจ)    เราบอกแล้วต้องทำให้ได้นะ
อยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข  คือ
๑.  ทำอะไรก็ตาม  ไม่โทษฟ้า  ไม่กล่าวโทษคน  เอาแต่แก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดของตัวเอง  อยู่ที่ไหนก็เจริญ  อยู่ที่ไหนแม้แต่ก่อนไม่มีใครรักเขาก็จะรัก  ยากไหม  (ไม่ยาก)
๒.  แม้ไม่มีใครเห็นค่า  แม้ไม่มีใครรัก  แม้ไม่มีใครสนใจ  เราก็จะไม่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า  ถ้าทำได้อย่างนี้  ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่รังแกตัวเองและดูถูกตัวเอง  ใช่ไหม  (ใช่)    แต่มนุษย์ไม่ใช่  มนุษย์ชอบให้คนอื่นรัก  ชอบให้คนอื่นเห็นความสำคัญ  ชอบให้คนอื่นเห็นค่า  แล้วก็ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าทำไมทำไม่ดีเหมือนกับคนนั้น  แล้วผลสุดท้ายใครที่รังแกตัวเรา  (ตัวเราเอง)    ความคิดเรารังแกตัวเรา  และตัวเราก็ดูถูกคุณค่าตัวเอง  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่อย่างที่เราเป็นได้  อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง  ดีไหม  (ดี)    แม้ไม่มีใครรักเราก็จงรักตัวเอง  แม้ไม่มีใครให้ความสำคัญเราก็จงรู้จักให้คุณค่าให้ความสำคัญกับตัวเอง  ทำได้ไหม  (ได้)
๓.  แม้ไม่มีอะไรก็มีสุข  ได้ไหม  (ได้)    คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกก็คือ  คนที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี  สิ่งที่มีมักจะบอกว่าไม่สุข  รำคาญ  เบื่อ  คนเช่นนี้ทำอะไรก็ไม่มีวันสุข  แต่ถ้าคนที่รู้จักพอใจในตัวเอง  ยินดีในสิ่งที่มี  พอใจในสิ่งที่ได้  ไม่ต้องแสวงหาสุขไกล  แค่นี้  เท่านี้  สุขก็อยู่ตรงนี้แล้ว  จริงไหม  (จริง)    แต่คนโดยส่วนใหญ่มักจะทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้น  แค่นี้ไม่พอ  แค่นี้ไม่ชอบ  แค่นี้เป็นทุกข์  ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าเกิดหามาแล้วไม่ได้อะไรเลยเหลือแค่นี้  เราก็ทุกข์  แต่ถ้าแค่นี้เราก็สุข  ไม่ว่าจะหาเพิ่มได้หรือไม่ได้  ฉันก็สุข  จริงไหม  (จริง)
เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม  ไม่สบายหรือ  (ใช่)    คนไม่สบายก็ยิ้มได้ไม่ใช่หรือ  นั่งอยู่ตรงนี้ใครสบายบ้าง  ไม่มีสักคนเลยใช่ไหม  แต่ตรงนี้จะสบายได้ก็ต่อเมื่อ  แค่นี้ก็ดีแล้ว  แค่นี้ก็สุขแล้ว  แต่ถ้าคิดแค่นี้ไม่ได้  อยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข  จริงหรือไม่  เรายังพูดไม่จบแต่ว่าสงสัยเราก็คงต้องจบเท่านี้  เพราะมีบางท่านฟังเราไม่ไหวแล้วใช่ไหม  (ไม่ใช่)    แล้วท่านยังมีหัวข้อธรรมที่ท่านต้องศึกษาต่อ  ฉะนั้นเราสละเวลาให้ท่านได้ศึกษาธรรมต่อดีไหม  หน้าตาของคนตั้งใจฟังเป็นอย่างนี้เองนะ  ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่าเสียดายนะ  ใช่ไหม  (ใช่)    เพราะชีวิตยังไม่เคยเจอทุกข์มากเท่าไร  ทุกข์ตั้งแต่ยังเด็ก  เราก็เลยเข้าใจว่าธรรมะสำคัญกับความทุกข์และชีวิตอย่างไร  เราจึงอยากเตือนให้ท่านรู้ก่อนที่จะทุกข์มากกว่าแล้วค่อยมาคิดถึงธรรมใช่หรือไม่  (ใช่)    อย่างนั้นถ้าวันนี้เราคุยกับท่านแค่นี้แล้วเราจากลากันก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม
วันนี้มีคนตอบเราและกล้ายืนตอบเราเพียงท่านเดียวเองใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นถ้าเราให้ดอกไม้เขาแต่ไม่ให้ทุกท่านในที่นี้คงไม่โกรธเขานะ
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตามอบตะกร้าดอกไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
รับไหม  รับแล้วเอาเท่าไรดี  เอาทั้งหมดเลยใช่ไหม  จงใช้สติปัญญา
คิดไตร่ตรองให้ดี  บางครั้งโอกาสมาครั้งเดียว  คิดดีนอกจากจะได้แล้วยังให้คนอื่นได้ด้วย  แต่ถ้าคิดไม่ดีนอกจากจะไม่ได้แล้ว  ก็ไม่สามารถให้คนอื่นได้ด้วย
  ฉะนั้นเอาเท่าไรดี  (ขอเอาไว้บูชาที่นี่)    ขอไว้บูชาที่นี่หรือ  ดีไหม  (ดี)    อย่างนั้นเราจะบอกให้นะ  เรายกให้ท่านทั้งตะกร้า  แล้วถ้ามีโอกาสเดินไปเจอใคร  ก็จงแจกดอกไม้นั้นดีกว่าไหม  (ดี)    บางครั้งการทำตัวให้สูงค่าจนคนต้องแหงนมอง  ก็ไม่สู้ทำตัวธรรมดาแล้วอยู่กับผู้อื่นอย่างเป็นมิตรเป็นกันเองดีกว่า  จริงไหม  (จริง)
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ  จงบำเพ็ญธรรม  จงปฏิบัติธรรม  อย่าทำตัวเองเป็นกระจกคอยสะท้อนพินิจพิจารณ์คนอื่น  เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม  เราขอจบด้วยโคลงกลอนของปราชญ์โบราณ  “เมื่อมีต้นโพธิ์  เมื่อมีกระจก  ฝุ่นก็ลงจับ  ถ้าเขาเป็นกระจก  แล้วเราไม่เป็นกระจก  ฝุ่นจะลงจับอะไร”  เอาไปลองคิดดูนะ

วันอาทิตย์ที่  ๒๔  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๙ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ    อ.กระสัง    จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข                         กลับยิ่งปลุกตัวตนหลงมานะใหญ่
โดนยกหูชูหางสราญใจ                   กลับหลงในทิฐิติดอัตตา
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                     รับบัญชาจาก       
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน  ฟังธรรมะเหนื่อยไหม
ทุกคนเอาแต่ใจแล้ว    หลักธรรมที่ดีอยู่ตรงใด    โลกเปลี่ยนแปลง
คนก็เปลี่ยนไป    รู้ตอนสายเกินกำลังทัดทาน    คิดอยู่นานเพราะเขลาอยู่นาน    เก็บกวาดอารมณ์ก่อนเดือดร้อนนา    หลงตามสบายหูกระทบตา    เห็นผิดแล้วบำเพ็ญผิดได้
*ไหนว่าจะมีจุดหมาย    ไหนว่าจะบำเพ็ญทุกวัน    ไหนว่าจะพร้อมใจกัน    ไหนว่าจะลงแรงอย่างสุดใจ    ไหนว่าจะมีจุดหมาย    ไหนว่าจะบำเพ็ญด้วยใจ    ไหนว่าจะทบทวนใจ    ไหนว่าจะทำให้ดี
ทะเลใจมีเดือนดาว    ศิษย์ผู้เขลาติดใจใครจำนน    จะทุกข์จะร้อนก็คิด
แต่ตนแต่ตน    จะยึดในอัตตาพาลผิดหวัง    คิดกลุ้มสุมควบคุมทุกอย่าง   
จนพังพาบยับเยินก็ไม่ยักหนี    ไม่สายเด้อแค่ทำมื้อนี้    ไม่มีเสี้ยนในหัวใจ  (ซ้ำ*)
ไยถอนใจเหมือนคนใจลอย    จะหัวก้อยอยู่ที่ปัญญา  (ซ้ำ*)
ทำนองเพลง:  ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน
ชื่อเพลง:  ติดใจใครจำนน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจเพราะวันสุดท้ายจะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ปกติชอบไปเที่ยวบ้านไม่ค่อยยอมกลับใช่ไหม แต่ทำไมมาสถานธรรมอยากกลับบ้านนะแปลกดี ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะจากกันเราก็มาคุยอะไรทิ้งท้ายกันหน่อยดีไหม (ดี)  สิ่งที่จะคุยทิ้งท้ายนั้นต้องอาศัยความตั้งใจและก็อาศัยความอดทนหน่อยได้ไหม (ได้)  อุตส่าห์อดทนมาวันหนึ่งแล้วเหลืออีกวันหนึ่งอดทนอีกสักนิดจะเป็นอะไร
ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข           กลับยิ่งปลุกตัวตนหลงมานะใหญ่” 
อาจารย์ถามหน่อย เวลามีคนชมดีใจไหม (ดีใจ)  แล้วเวลามีคนว่าล่ะ  (เสียใจ)  “อาจารย์ว่าเป็นเรื่องปกติ มีใครโดนชมแล้วร้องไห้บ้างมีแต่ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล และมีใครโดนว่าแล้วหัวเราะบ้าง” อย่างนั้นถ้าสมมติเวลาเราโดนว่า เรากลับหัวเราะแล้วยอมรับและยิ้มกับมัน กลับกันเวลาเราโดนชม เรากลับเศร้าเสียใจกับมัน ศิษย์คิดว่าคนคนนี้ผิดปกติไหม (ไม่ผิด)  เพราะอะไรหรือ
มีบางคนบอกว่ายอมรับความจริง มีบางคนบอกว่าถ่อมตัว บางคนตอบอาจารย์ว่า เขากำลังมึนๆ อยู่ ใช่ไหม  (ใช่)  อาจารย์ถามนะ ถ้าศิษย์รู้ตัวเองดี คนชม คนด่า จะมีผลทำให้จิตใจศิษย์หวั่นไหวไหม จะโกรธใครไหม (ไม่)  นอกจากว่าศิษย์หน้ามืด มองตัวเองไม่เห็น ฉะนั้นถ้าเกิดมีใครสักคนหนึ่งโดนเขาด่า แล้วหัวเราะยอมรับ นั่นแปลว่าเขาไม่ได้บ้านะ แต่เขามองเห็นตัวเองจริงๆ และยอมรับในความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก มองอะไรมันต้องมองอย่างไรนะ เวลามองแอปเปิล มองด้านเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาซื้อแอปเปิลยังต้องหมุนแล้วพลิกหัวพลิกหาง เหมือนกัน เขาจะชมหรือจะว่าก็ตาม ถ้าเรามองให้รอบๆ คนที่ชม คนที่ว่าก็จะไม่ทำร้ายเรา แต่เขาจะเป็นคนที่ชี้นำขุมทรัพย์ให้เราเห็นตัวเองดียิ่งขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าต่อไปโดนเขาชม ควรเฉยๆ แล้วหันกลับมามองตัวเอง ต่อไปโดนเขาว่า เป็นอย่างไร (อยู่เฉยๆ)  จะโกรธเขาอีกไหม (ไม่โกรธ) 
ถ้าเราอยู่ในโลก เรารู้จักมีสติและเข้าใจตัวเอง เราจะโดนใครในโลกนี้หลอก เรามีสติรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งใดจะทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่เพราะเราอยู่ในโลก สติก็ไม่มีแต่อยากจะมีสตางค์ แล้วผลสุดท้าย ความอยากก็ทำให้เราทุกข์ เพราะเรามองเห็นตัวเองไม่ชัด มองโลกมองคนก็ไม่ชัด แล้วปล่อยชีวิตให้มึนๆ มัวๆ ไป อยากเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ (มีสติ)  และคิดไตร่ตรองมองให้รอบด้าน แล้วโลกใบนี้มันจะได้ไม่หลอกลวงเรา หรือใจเราไม่หลอกลวงตัวเอง
อาจารย์มาวันนี้อยู่ร่วมศึกษาธรรมกับอาจารย์ดีไหม (ดี)  ใครไม่อยากคุยกับอาจารย์ ไม่อยากฟังอาจารย์สนทนาธรรมออกไปพักข้างๆ ก็ได้นะเอาไหม อาจารย์ให้โอกาสนะดีกว่านั่งทนแล้วก็เบื่อ ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก ถ้าอยู่กับอาจารย์แล้วมันคิดแต่ชั่ว อาจารย์สู้ปล่อยให้ศิษย์ออกไปไม่คิดดีกว่านะ มีคำพูดว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ” ใช่ไหม คิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็เหมือนตกนรก ถ้าอยู่กับอาจารย์แล้วเหมือนตกนรก อาจารย์อยากชวนให้ศิษย์อยู่ไหมล่ะ อาจารย์ก็ต้องมีหน้าที่ฉุดศิษย์ให้ขึ้นจากนรก  วิธีที่จะฉุดเขาขึ้นจากนรกก็คือออกไปไกลๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนั้นออกไปไหม (ไม่ออก)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีทำให้นรกกลายเป็นสวรรค์ดีไหม (ดี)  ก็แค่ทำอะไร (ทำดี)  ทำดีแต่ถ้าหยุดความคิดไม่ได้  สิ่งที่น่ากลัวคือความคิด  ถึงจะทำดีแต่ก็ยังคิดร้าย บุญนั้นมันก็ไม่บริสุทธิ์ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะหยุดความคิดได้ ศิษย์เป็นคนดีแต่บางครั้งคนดีของอาจารย์มักจะห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ ให้คิดสูงไม่คิด ชอบคิด (ต่ำ)  ให้คิดดีไม่คิด ชอบคิด (ชั่ว)  เห็นไหมตอบได้ทันที อย่างนั้นคนที่จะสร้างสวรรค์หรือแปรเปลี่ยนสวรรค์เป็นนรกก็คือใคร (ตัวเอง)  คนที่สามารถหยุดความคิดและมีสติรู้เท่าทันความคิด ซึ่งมนุษย์เราไม่เคยเรียนวิชารู้เท่าทันความคิดเลยถูกหรือไม่ (ถูก)  ถามว่าในโลกนี้สิ่งใดน่ากลัวที่สุด (ความคิด)
ว่าอย่างไร ตอบว่าอะไรบ้าง (อวิชชา)  ความไม่รู้ ก็ตอบได้ดี ไม่รู้เท่าทันตน มีใครตอบได้อีก (มนุษย์)  ตัวเองน่ากลัวที่สุดเลยใช่ไหม (ความคิดของตัวเราเอง)  ความคิดของตัวเราเองใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์บอกว่า มนุษย์นี่แหละน่ากลัวที่สุด จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่น่ากลัว  แต่เมื่อไรที่มนุษย์คิด มนุษย์อยาก มนุษย์โลภ มนุษย์หลง มนุษย์มีอารมณ์ก็น่ากลัวทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นมนุษย์เฉยๆ ไม่ได้คิด ไม่ได้อยาก ไม่มีโลภ ไม่มีหลง ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอะไรมากระทบใจ มนุษย์ไม่ได้น่ากลัว ก็คือคนธรรมดาเดินดิน จริงไหม (จริง)  แต่เมื่อไรโดนกระทบด้วยอารมณ์ โดนกระทบด้วยความอยาก คิดอยาก คิดโลภ คิดหลง นั่นแหละน่ากลัว น่ากลัวตรงที่ ถ้าคิดแล้วไม่ใฝ่ดี ใฝ่สูง เลือกอยากอะไรก็ได้ ขอให้ได้มาโดยที่ไม่ใฝ่ดี ใฝ่สูง ใฝ่คุณธรรม ยิ่งน่ากลัวใหญ่ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร เวลาจะด่าก็ด่าเลย เวลาจะต่อยก็ต่อยเลย มีคิดไหมว่า อย่าต่อย มีไหม (มี, ไม่มี)
ความน่ากลัวของโลกใบนี้ จริงๆ แล้วคนไม่น่ากลัวหรอก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจของเรามองคนอย่างไร ใจของเราคิดกับคนอย่างไร คิดดีก็มีสุข ก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าคิดชั่วใส่ความเขา ระแวงสงสัยเขา ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข แม้กลับบ้านไปแล้วยังเอาเขาเก็บมาคิดอีก มันก็ไม่มีสุข ฉะนั้นวิถีธรรม การศึกษาธรรม จึงไม่ใช่สอนแค่เพียงให้ทำบุญตักบาตร ไหว้พระสวดมนต์ ยังไม่พอ แต่ต้องลงแรงที่การประพฤติปฏิบัติ โดยสามารถเอาธรรมนั้นมาควบคุมกาย วาจา ใจ และสามารถประพฤติตนให้เป็นคนปกติ อยู่บนโลกโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าเอาธรรมมาปฏิบัติ แล้วการปฏิบัติธรรมกับคน เราควรใช้อะไร
(เมตตา, แนะนำสิ่งที่ดี)  ตอบได้ดีทั้งคู่ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ให้นะ ถ้าเราทำยังไม่ดี ไปแนะนำใครก็ไม่มีใครเชื่อจริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังทำได้ดีไม่สุดจิตสุดใจไปพูดอะไรคนก็ไม่ฟัง เหมือนกันถ้าตัวเองไม่กตัญญู เรียกให้ลูกกตัญญูต่อพ่อหน่อย ลูกจะฟังไหม (ไม่ฟัง)  ฉะนั้นก่อนจะไปแนะนำใคร ต้องเริ่มที่เราก่อนถูกไหม หลักธรรมในการปฏิบัติจึงไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องผู้อื่น เอาธรรมที่รู้นั้นไปตรวจสอบใคร ในเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราควรจะรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรมต่อกัน อย่าเป็นคนดีแค่อยู่ในวัดอย่าเป็นคนดีแค่เห็นพระถือบาตรมาแล้วอยากทำบุญ ไม่ใช่ คนที่ดีจริงอยู่กับใครก็ต้องปฏิบัติให้ดีให้ได้
แล้วหลักในการปฏิบัติดีกับคน เราควรใช้อะไร เมื่อสักครู่ศิษย์ท่านนี้ตอบได้ดีเหมือนกันตอบว่า (เมตตา)  อาจารย์ถามหน่อยนะคนที่พูดได้ทำได้ไหม คนที่เมตตาเคยขโมยเงินพ่อแม่ไหม (เคย)  คนที่เมตตาควรจะด่าเพื่อนไหม (ไม่ควรแต่ก็เคย)  คนที่เมตตาเคยนินทาอาจารย์ไหม (เคย)  เมตตาตรงไหนศิษย์ ใช่ไหม แล้วคนที่เมตตาแอบเอาเวลาเรียนไปเล่นเกมไปหาสาวไหม (ไม่, จริงนะผมไม่ทำ)  เพราะผมเล่นกับโทรศัพท์จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย มนุษย์ทุกคนรู้ดีหมด ปฏิบัติธรรมอย่างไรรู้ดีหมด เกิดเป็นคนต้องเมตตา เกิดเป็นคนต้องมีน้ำใจ แต่ถึงเวลาเมตตาไหม มีน้ำใจไหม ถ้าคนมีเมตตาจริงๆ แม้กับพ่อกับแม่เขาก็ไม่อกตัญญู แม้แต่กับตัวเองเขาก็ต้องกล้ารับผิดชอบต่อหน้าที่ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ศิษย์บอกว่าความเป็นคนนั้นน่ากลัว แต่อาจารย์บอกว่าความเป็นคนไม่น่ากลัว แต่ความเป็นคนจะน่ากลัวก็ต่อเมื่อ ความเป็นคนคิดอยาก คิดโลภ คิดโกรธ คิดหลง โดยหลงลืมคุณธรรม และก็สามารถที่จะทำผิดคิดร้ายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่รู้จักควบคุมตนได้ โอกาสที่เขาจะทำร้าย ทำเรื่องเดือดร้อนให้กับใครก็เป็นเรื่องยาก ถูกไหม (ถูก)  ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์เราดำรงตนถูกต้อง โอกาสที่เราจะสร้างปัญหา และสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการดำรงตนถูกต้อง ก็คือการที่ต้องรู้จัก (คิดดี)  เหมือนที่อาจารย์บอก ให้พยายามคิดดีเข้าไว้ อย่าคิดร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ เราศึกษาธรรมมาตั้งเยอะ เราลืมอะไรไปหรือเปล่า ถ้าเวลาเราอยู่ร่วมกับคน แล้วป้องกันให้เราไม่คิดร้าย ให้คิดดี นั่นคือปฏิบัติต่อคนด้วยการมี (สติ)  นอกจากมีสติแล้วมีอะไร มีน้ำใจ มีเมตตา มีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่ไหม (ใช่)  มีสติในการทำ แต่เวลาจะทำอะไรขอให้ยึดคุณธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อย่างเช่น ถ้าเราอยากอยู่กับเขาอย่างมีความสุข บุญก็ทำ มนต์ก็สวด แต่ถ้าศิษย์ขาดการมีคุณธรรมในการดำรงอยู่ร่วมกัน บ้านแตกสาแหรกขาดได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดว่าคนที่เป็นสามีขาดคุณธรรมความซื่อตรง คนที่เป็นครอบครัวเดียวกันขาดความเมตตาต่อกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์จะบอกว่า ศิษย์เป็นคนชอบทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ แต่ถ้าคนทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ขาดคุณธรรมในความเป็นคน ไม่มีความซื่อตรง ครอบครัวร่มเย็นไหม (ไม่)  ไม่มีความเมตตา จะอยู่กันอย่างให้อภัยไหม (ไม่)  สามีนอกใจ ให้อภัยไหม (ไม่)  ภรรยาไปมีชู้สามีให้อภัยไหม (ไม่)  แยกกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ทันทีเลย
ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการศึกษาธรรมที่เราควรต้องรู้ไว้คือคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันแล้วขาดไม่ได้ อาจารย์ขอแค่สองข้อ ซื่อตรงสัตย์ซื่อ และเมตตา ถ้าศิษย์มีสองอย่างนี้เวลาไปอยู่กับใคร ศิษย์จะทำใครเดือดร้อนไหม (ไม่)  คนมีเมตตา จะด่าใครหรือจะฆ่าใครไหม (ไม่)  คนซื่อตรงจะโกงใคร จะปากอย่างใจอย่างไหม (ไม่)  คนซื่อตรงจะปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  อย่างนั้นแปลว่าที่ศิษย์ทำมาทั้งหมดแปลว่าศิษย์ไม่ซื่อตรงและไม่มีเมตตา ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ไม่พอ ต้องมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันด้วย เพราะไม่อย่างนั้นถ้าศิษย์ขาดคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ไปอยู่ที่ใดก็ทำให้ที่นั่นเขาร้าวฉาน เพราะขาดเมตตา เพราะขาดซื่อตรงจริงไหม (จริง)  อยู่กับเพื่อนถ้าเราไม่จริงใจเราไม่ซื่อตรง เพื่อนรักไหม (ไม่)  ปฏิบัติงานไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความซื่อตรง ใครต้องการเราไหม ฉะนั้นก่อนเราจะว่าเขา หันกลับมา (ดูตัวเอง)  แล้วในทางกลับกัน ถ้าเราเรียกร้องทำตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว คนอื่นจะทำตามไหม (ทำตาม)  แต่ถ้าเรายังไม่ทำแล้วไปเรียกคนอื่นทำ ใครจะทำไหม (ไม่ทำ) 
อาจารย์ถามหน่อย ศิษย์อยู่บนโลกศิษย์เมตตาคนบ้างหรือยัง ถ้าเมตตาตัวเองได้ทำไมไม่รู้จักเมตตาคนอื่นบ้าง ศิษย์รักตัวเองไหม (รัก)  แล้วคนที่เขารักศิษย์ ศิษย์ไม่เมตตาเขาบ้างหรือ ถูกไหม (ถูก)  อยู่ในโลกอย่าคิดเอาแต่ได้ แต่ไม่คิดทำดีเพื่อคนอื่น มิเช่นนั้นศิษย์ก็คือคนที่ใจดำอำมหิตที่สุดที่ทำได้แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองจริงไหม (จริง)  คนที่ศิษย์ควรจะเมตตา ซื่อตรงที่สุดคือพ่อแม่ ศิษย์ยังโกหกเขาได้ แล้วใครในโลกศิษย์จะโกหกไม่ได้ถูกไหม (ถูก)  คนที่เป็นพ่อแม่ศิษย์ยังโกงเขาได้ แล้วใครในโลกศิษย์จะโกงไม่ได้ คนที่เป็นพ่อแม่ ศิษย์ยังเอารัดเอาเปรียบได้ ปล่อยให้ท่านทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ศิษย์เที่ยวตะลอนๆ แล้วบอกแม่หนูขอเงินหน่อย
ฉะนั้นเป็นผู้หญิงเวลาเลือกสามีดูหน่อย ไม่อย่างนั้นแม่เขายังทำได้ แล้วตัวเราเขาจะไม่ทำหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยดูหน่อย เลือกนางดูดีๆ ถ้ากับแม่ยังแอบหนีไปเที่ยวแล้วปล่อยให้แม่ทำงานงกๆ ก็อย่าหวังเลยว่าไปรักเขาแล้วจะไม่ทิ้งให้เธองกๆ แล้วหาเงินมาให้ฉันใช้จริงไหม (จริง)  แล้วมองไหม (ไม่มอง)  มองแต่สวยก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผลเป็นอย่างไร นรกมีจริง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะแปรนรกเป็นสวรรค์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหม ตอนที่เวลาเราอยู่ในโลก คนนั้นก็ดีคนนี้ก็น่ารัก บางทีพอเจอคนน่ารักมากๆ แล้วมาเจอคนไม่น่ารัก เราก็รู้สึกไม่ชอบ เกลียดขี้หน้า เห็นแล้วขวางหูขวางตา ไม่เหมือนทางนี้เห็นแล้วสบายตา สวยๆ ทั้งนั้นเลย อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ในเมื่อเราได้รู้จักธรรมะแล้ว ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคน เมื่อเราปฏิบัติต่อคนต้องมีเมตตาต่อกัน ต้องซื่อตรงต่อกัน แต่บางครั้งความมีเมตตาและความซื่อตรง บางทีมันก็จะล้ำเส้นไปหน่อย จากเมตตามากๆ ก็กลายเป็นรัก รักมากๆ ก็กลายเป็นหลง หลงมากๆ ก็กลายเป็นหลงหัวปักหัวปำ โงหัวไม่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลารักมากๆ เรารู้สึกดีไหม (ดี)  ความรักดีไหม (ดี)  ฝ่ายชายความรักดีไหม (ดี)  นักเรียนล่ะความรักดีไหม (ดี, ไม่ดี)  มีทั้งดีและไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ถามฝ่ายหญิงความรักดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า คำว่า “รัก” กับคำว่า “เกลียด” อะไรน่ากลัวกว่ากัน
อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่ารักหรือเกลียด อยู่ที่คนมีสิ่งนั้น ยึดสิ่งนั้น แล้วใช้สิ่งนั้นทำเช่นไร ถ้าศิษย์รักแล้วรักรุนแรง รักแบบต้องเป็นของฉัน ห้ามเป็นของคนอื่น คนที่น่ากลัวมันไม่ใช่รัก แล้วมันก็ไม่ใช่เกลียด แต่มันคือตัวเราเอง ถูกไหมศิษย์
จำได้ไหม ที่อาจารย์บอกว่า คนไม่น่ากลัว กิเลสจริงๆ ก็ไม่น่ากลัว แต่อยู่ที่คนพยายามจะใช้กิเลสไปทางใด ใช้ได้ดีก็มีสุข ใช้ไม่ดีก็สร้างทุกข์ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วถ้าเราศึกษาธรรม อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ไม่รักใคร แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่เกลียดใคร ดีที่สุด   ฉะนั้นศิษย์เอย ก่อนจะมีรัก คิดให้ดีๆ เพราะไม่มีใครรักแล้วไม่โศก รักแล้วไม่กลัว รักแล้วไม่ทุกข์ และรักแล้วไม่เกลียด ใช่ไหม เพราะรู้จักรัก จึงรู้จักเกลียด ฉะนั้นธรรมจึงสอนว่า ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  ไม่ว่าจะรักหรือจะเกลียด ไม่ว่าจะชอบหรือจะชัง แต่มองให้เป็น ทุกสิ่งล้วนธรรมดาเท่ากัน แต่มนุษย์ไม่ใช่ ฉันรักคนนี้มากกว่า รักคนโน้นน้อยกว่า ฉันชอบคนนี้มากกว่า ฉันเกลียดคนนี้มากกว่า แล้วผลสุดท้ายก็ต้องมาทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบ เกลียดชัง
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักวางใจเป็นกลางในทุกสิ่ง ไม่เกลียดใครเลย เพราะเราไม่รู้จักรัก แล้วเราจะรู้จักเกลียดไหม แต่เมื่อไรศิษย์รู้จักรักมากเท่าไร ศิษย์ก็จะรู้จักเกลียดมากเท่านั้น แต่ถ้าศิษย์ไม่รักใครมากเท่าใด อะไรคือสิ่งที่ศิษย์เกลียด ก็ไม่มี เมื่อใดศิษย์รู้จักสิ่งที่ศิษย์ชอบมากเท่าใด ศิษย์ก็จะรู้จักสิ่งที่ศิษย์ไม่ชอบมากเท่านั้น พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่ใดมียินดี ที่ใดมีตัณหา ที่ใดมีความใคร่ ที่นั้นจะหนีไม่พ้นความโศก ความกลัวและความทุกข์ในที่สุด แต่ถ้าที่ใดพ้นจากความรัก ความยินดี ความใคร่ ตัณหา ที่นั้นจะไม่พบความโศก ความทุกข์และความกลัวเลย” แต่มนุษย์อดไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่ใช่ให้ศิษย์ไม่รู้สึกรู้สา ตายด้าน อะไรก็เฉยๆ การเฉยไม่ใช่แปลว่าตายด้าน ไม่รู้สึกรู้สา แต่มองเห็นความเป็นจริงว่า ถ้าหนูรักมาก หนูก็ต้องเจ็บมาก ถ้าหนูเกลียดมาก หนูก็ต้องก่อเวรก่อกรรมกับมันมาก ฉะนั้นสู้ไม่รักก็ไม่เจ็บ ไม่เกลียดก็ไม่ก่อกรรม หรือท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักเดินสาย (กลาง) 
ฉะนั้นก่อนจะรัก ก่อนจะเกลียด คิดให้ดีๆ ถ้าถึงที่สุดของความรัก ความเกลียด มันหนีไม่พ้นทุกข์ ควรหรือจะรัก ถ้าความเกลียดมันหนีไม่พ้นเวรกรรมและการจองเวรจองกรรม ควรหรือจะชังน้ำหน้ามัน สู้เฉยๆ เรียกว่าความเป็นกลาง เหมือนที่ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ แต่คนบางคนก็น่ารัก อดรักไม่ได้ และคนบางคนก็น่าเกลียด จนอดเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรล่ะ ถามหน่อย เวลาเขาทำอะไรให้ศิษย์รักมาก ศิษย์เห็นเขาตลอดไหม (บางครั้งก็เห็นบางครั้งก็ไม่เห็น) 
อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกใบนี้บางทีเราพยายามหาคนที่สมบูรณ์ที่สุด หาคนที่เหมาะสมกับเราที่สุด หาคนที่ดีกับเราที่สุด แต่อาจารย์ถามนะจะมีสิ่งใดสมบูรณ์สุด มีสิ่งใดดีสุดไหม น่ารักอย่างไรก็ต้องมีมุมน่าเกลียด น่าเกลียดอย่างไรก็มุมน่ารักถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรามองให้กว้าง ศิษย์จะไม่รักใครมากและไม่เกลียดใครมาก อย่าเอาเวลานิดหน่อยมาวัดคนทั้งชีวิต เหมือนเราพยายามหาคนที่สวยที่สุดในห้องนี้ แต่อาจารย์ถาม ถึงเวลาคนที่อาจารย์ว่าสวยที่สุดมีสวยกว่าไหม (มี)  อาจารย์หาคนที่น่าเกลียดที่สุดในห้องนี้ ถามหน่อยถึงเวลามีคนที่น่าเกลียดกว่าไหม (มี) 
ความเป็นจริงในโลกเราต้องรับให้ได้ มีคนน่าเกลียดก็มีคนน่าเกลียดกว่า แต่คนที่น่าเกลียดกว่าก็ยังมีคนน่าเกลียดกว่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าโดนเขาเกลียดอย่าไปโกรธ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มีคนที่น่าเกลียดกว่าฉันถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเวลาเราจะรักใครอย่าเพิ่งรักเดี๋ยวจะมีคนน่ารักกว่า ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปรักใครใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็อย่าเพิ่งไปเกลียดใคร เพราะเดี๋ยวบางทีก็ต้องมีคนที่น่าเกลียดกว่า ฉะนั้นเวลาจะโกรธใครจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะบางทีอาจจะมีคนที่น่าโกรธกว่า เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งใจร้อนรีบโกรธ รีบด่า ดีไหม (ดี)  เพราะหาไปถึงที่สุดมันก็ไม่มีใครน่ารักที่สุดและน่าเกลียดที่สุดจริงไหม (จริง)  เมื่อไม่มีใครน่าเกลียดที่สุดไม่มีใครน่ารักที่สุดเราก็เป็นกลางใช่ไหม (ใช่)  เราก็เข้าใจธรรม แล้วเราทำได้ไหม (ได้) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พิจารณา เวลามองสิ่งใดแล้วจะช่วยให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงในสิ่งนั้น หรือไม่หลงรักในสิ่งนั้น มองให้ถึงที่สุด อย่ามองติดแค่เพียงครู่เดียว มองให้ลึกๆ มองให้ไกลๆ แล้วมันจะได้ไม่มาทำให้เราเจ็บช้ำ ใช่ไหมคนที่น่าเกลียดกว่า ยอมไหม (ยอม)  แน่ล่ะ เขาเลือกศิษย์มาถูกไหม ศิษย์ว่าถูกไหม (ถูกครับ)  อาจารย์บอกให้นะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่า วันนี้เราบอกว่าเราอาจจะดูดีกว่าเขา แต่ศิษย์แน่ใจหรือว่าวันหน้าศิษย์จะดีกว่าเขา ตอนนี้เขาอาจจะบอกว่าศิษย์ไม่ดีกว่าเขา เพราะเขาอาจจะรู้ว่าเขามีอะไรที่เขาทำแล้วสำเร็จ แต่ศิษย์ยังทำอะไรไม่สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าวัดคนแค่ภายนอก อย่าดูคนแค่ถุงขี้  แต่จงมองให้ลึกๆ มองให้กว้าง แล้วเราจะได้ไม่ติดกับความรักและความหลงอันจอมปลอมของโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้น จะให้เขาหรือให้เราน่าเกลียดกว่า (เราเอง)  ศิษย์ไปนั่ง แล้วศิษย์สองคนมายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม สองคนมายืนทำไม เขาบอกให้เอาสวยที่สุดมาใช่ไหม (ใช่ค่ะ, ไม่มั่นใจว่าตัวเองสวยขนาดนั้น) แล้วศิษย์ล่ะ เขาเอาคนที่ (น่าเกลียดกว่า)  แล้วเรามั่นใจไหมว่าเราน่าเกลียด (มั่นใจครับ)
ถ้าวันหนึ่งศิษย์โดนคนว่าน่าเกลียด ศิษย์จะมีสติคิดได้อย่างไรที่จะทำให้ไม่ทุกข์ และถ้าเกิดว่ามีคนชมว่าศิษย์สวยมากๆ ศิษย์จะคิดอย่างไรที่จะทำให้ไม่หลงตัวเอง (จะบอกว่าคนที่เขามาชมเราเขาไม่จริงใจกับเราหรอกเพราะว่าเรารู้ตัวว่าเราไม่สวย)  คิดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ มุมมองของคนเรามองไม่เท่ากัน เขาไม่ได้มองว่าศิษย์สวยที่หน้า แต่เขาอาจจะมองศิษย์สวยที่น้ำใจใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะไปว่าเขาว่าโกหก เราต้องมองตัวเองด้วยใช่ไหม (ใช่)  (ทำตัวเฉยๆ นิ่งไว้)  ทำตัวเฉยๆ นิ่งๆ ไว้รู้ตัวเองดีที่สุดใช่ไหม รู้ไหมเกิดเป็นคนสิ่งที่ยากที่สุดก็คือความอดทนอดกลั้น ตอนนี้ศิษย์พูดได้แต่พอถึงเวลา ศิษย์จะอดทนอดกลั้นกับคำดูถูกเหยียดหยามได้หรือ ยอมรับเสียเถอะว่าในร้ายก็มีดี ถึงเราจะดีแค่ไหนเราก็รู้นี่ว่าเรายังร้ายอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเราจะสวยแค่ไหนจริงๆ เราก็มีความไม่สวยอยู่ แต่ถ้าเรายอมรับในตัวเอง เราจะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียดคนที่ว่า เพราะทุกๆ คนในร้ายมันมีดี ในดีมันมีร้าย เหมือนพูดว่า มนุษย์มีความเกิดแต่ในความเกิดมีความตายเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่าฉลองวันเกิด แต่พุทธะบอกว่าไม่ใช่ ศิษย์กำลังฉลองวันตาย ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรามองให้ชัด อย่ามองแต่สิ่งที่อยากเห็นจนไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเป็นใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : ไสว่า
สิบ่ถิ่มกัน ชื่อเพลง : ติดใจใครจำนน และเมตตาให้นักเรียนนำร้องเพลง)
มีโอกาสต้องมาช่วยอาจารย์ร้องแล้วนะ ได้หรือเปล่า ไม่ใช่มีโอกาสก็ไปขับรถเล่น หรือมัวไปเล่นเกม ใช่ไหม มีโอกาสมาช่วยอาจารย์หน่อย ร้องเพลงธรรมให้คนอื่นได้เข้าถึงธรรม มันเป็นสิ่งที่ดี จริงไหม รับแปลว่ามีโอกาสจะเข้ามาช่วยใช่ไหม การไหว้พระ การมาช่วยงานในห้องพระเป็นเรื่องไม่ดีหรือ แล้วก็ทำเพื่อตัวเอง แล้วยังมีบุญกุศลให้พ่อแม่ หรือบางทีชวนพ่อแม่มาไหว้พระด้วยไม่ดีหรือ ดีกว่าเอาแต่เที่ยวเตร่ไม่มีประโยชน์อะไร รับแล้วแปลว่าจะมานะ (นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า เรื่องราวที่เขานำประวัติพระอาจารย์มาทำเป็นการ์ตูน Animation เป็นเรื่องจริงใช่ไหม)  จะถามแค่นี้หรือ (เปิดดูบ่อย)  แล้วเปิดดูแล้วรู้สึกอย่างไร (รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้พบเรื่องราวแบบนี้ เพราะหาบำเพ็ญแบบนี้มานานแล้ว เพิ่งจะได้มารับธรรมะ)  แล้วศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์ทำไหม (ตอนนี้ยังครับ ก็พยายามอยู่)  สิ่งที่สำคัญในการบำเพ็ญธรรม นั่นก็คือการอยู่ร่วมกับคน ทำให้คนมีความสุข อะไรที่เป็นความทุกข์ ถ้าเราช่วยเหลือเขาได้ ปัดเป่าให้เขาคลายทุกข์ได้ นั่นก็คือ หัวใจของอาจารย์จี้กง ไม่ถือตัว ไม่ถือตน ใช่หรือไม่ แต่ถามว่าอาจารย์กินเหล้า เมายา จริงๆ ไม่ใช่นะ กินเนื้อสัตว์ก็ไม่ใช่ อย่าหลงไปตามนั้น เพราะการเป็นพุทธะที่ดีควรมีจิตเมตตา ไม่หลงงมงาย ถูกหรือไม่ ฉะนั้น อย่าแค่ดู แต่จงเอาไปทำ และทำให้ได้ เพราะอาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ เริ่มต้นมีโอกาสฝึกเพลงนี้ให้ได้ แล้วพาเขาไปช่วยอัดเพลง
ใครจำได้บ้างอาจารย์คุยถึงเรื่องอะไร (เดินสายกลาง)  เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นตอของอกุศล เป็นต้นตอของการทำบาปและความผิด ถึงที่สุดคือความทุกข์และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเราคุมโลภ โกรธ หลงได้ เราก็ตัดทางแห่งบาปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความรักและความเกลียด)  แล้วเราควรมีรักหรือควรมีเกลียดไหม (น่าจะเดินทางสายกลาง)  จะได้ไม่รักมาก เกลียดมาก จะได้ไม่ทำผิดคิดร้ายใช่ไหม (ใช่)  ลงไปถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องระมัดระวังและต้องควบคุม เพราะอารมณ์นั้นเป็นต้นเหตุแห่งการสร้างบาป และต้นตอแห่งความทุกข์และความชั่วร้ายทั้งมวล ถึงที่สุดและน่ากลัวที่สุดคือการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ ถ้าเรารู้จักควบคุมได้มีสติเท่าทันในอารมณ์ โลภโกรธหลงก็จะไม่สร้างให้เราทุกข์ แต่การจะควบคุมอารมณ์โลภโกรธหลงให้ได้ บางทีก็เป็นเรื่องยากถูกไหม (ถูก)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่าดอกไม้สวยไหม (สวย)  ผลไม้สวยไหม (สวย)  แจกันสวยไหม (สวย)  คนนี้สวยไหม (สวย)  แต่ถ้าเรามองให้ถึงที่สุดดอกไม้จริงๆ ในสวยก็มีความไม่สวย ในผลไม้ในความคงทนก็มีความไม่คงทน ฉะนั้นถ้าเรามองสรรพสิ่งให้ชัดเราจะไม่ถูกสรรพสิ่งลวงให้เราหลง อยากจนยึดติดแล้ววางไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นของบางอย่างสวยแค่ไหนอยากแค่ไหนจงมองให้ชัดแล้ววางมันลง อย่าพยายามยึดเป็นของเราเด็ดขาด เมื่อไรที่พยายามยึดให้เป็นของเรา เมื่อนั้นเราจะถูกความอยากนั้นบดบังตา มองไม่เห็นความจริง
แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่ามันสวย แล้วเราอยากมากๆ ต้องได้ ต้องเป็นของหนู ต้องมีแต่หนูเท่านั้นที่ได้ใช่ไหม เมื่อไรเราหลงแล้วเราอยากได้มันสิ่งนั้นมันจะบดบังตาทำให้เรามองไม่เห็นความจริงว่ามันมีดีมีเสียอย่างไร จนกระทั่งเราเอามาเป็นของเราแล้ว ตอนแรกเป็นอย่างไร (ดี) เหมือนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยคู่รัก คู่ดี คู่หวาน คู่เเหวว คู่บุญใช่ไหม พออยู่ไปนานๆ เป็นอย่างไร อยากจะให้อยู่ห่างๆ สักหน่อยหนึ่ง เพราะจะรู้สึกดีมากเลยใช่ไหม (ใช่)  บางทีอยู่ติดกันมาก แล้วมันเห็นชัดจนรับไม่ไหวแล้ว ถอยไปสักหน่อยหนึ่งเถอะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะของทุกอย่างในโลกที่ศิษย์บอกว่าอยากมาก โลภมาก หลงมาก อย่าไปเอามันมาอยู่ใกล้ เพราะพอถึงเวลาเอามาอยู่ใกล้แล้วศิษย์ควบคุมมันไม่อยู่ ศิษย์จะทุกข์เพราะตัวตนเอง ฉะนั้นถ้ามีอะไรอยากมาก มองให้ชัดวางให้ลงแล้วสิ่งนั้นจะไม่บดบังปัญญาและความจริงที่เรามองเห็น แต่คนไม่ใช่ อยากก่อน ขอให้ได้ก่อน ทุกข์ช่างมัน แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร แล้วใครทำ มันไม่มีดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์ จงแค่ยืมใช้แล้วปล่อยวางไป เมื่อใดที่ศิษย์หวังจะครอบครอง ศิษย์จะต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งที่ศิษย์ครอบครอง ถ้ามันเปลี่ยน อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์รักแต่ก่อนหน้าเขาเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วตอนนี้หน้าเป็นแบบนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วต่อไปจะเปลี่ยนอีกไหม (เปลี่ยน)  รับได้ไหม (รับได้)  ฉะนั้นจำไว้นะสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันสวย มองให้ดีๆ  ถึงเวลาถ้ามันเหี่ยว มันดำ มันแก่ มันหง่อม ศิษย์ก็ต้องรับให้ได้เพราะศิษย์อยากมีมันใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าอยากมีแล้วไม่ทุกข์จงแค่มองให้ชัดแล้วปล่อยวาง อย่าไปรักอย่าไปอยากเลยแล้วจะไม่ทุกข์ อาจารย์แต่ถ้ารักแล้วอยากไปแล้วล่ะจะทำอย่างไร ศิษย์เข้าใจไหมว่าศิษย์ว่าเขาเหี่ยวศิษย์ก็ (เหี่ยว)  ศิษย์ว่าเขาไม่ดีศิษย์ก็ (ไม่ดี)  ฉะนั้นให้อภัยเขาก็เหมือนให้อภัย (ตัวเอง)  อย่ามัวแต่ไปจับผิดเขาแล้วลืมดู (ตัวเราเอง)  เพราะว่าตัวเองว่าเขาแก่มากเท่าไรเราก็แก่ (มากเท่านั้น) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกแห่งความจริง แล้วอยากเข้าใจโลกใบนี้ศิษย์จงมองคนให้ชัด ถ้าศิษย์มองคนชัดศิษย์จะรู้ว่าใดๆ ในโลกไม่น่ายึด ไม่น่าเอา ไม่น่าอยากและไม่น่าเกลียด ถึงที่สุดของความเป็นคนคืออะไร มันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ศิษย์เอารูปตอนอนุบาลหนึ่งมาดูกับตอนนี้เปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ถ้าเป็นของศิษย์ศิษย์สั่งมันสิ แกอย่าเปลี่ยน แกอย่าแก่ มันฟังศิษย์ไหม (ไม่ฟัง)  แกอย่าทุกข์มันทุกข์ไหม ความทุกข์คือสภาพที่ทนไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แล้วเราควรหรือที่จะยึดว่าเป็นของเรา ควรหรือที่เราจะยึดมั่นว่าใครมาทำร้ายแล้วเราต้องเกลียดมัน แต่เราควรเข้าใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวิธีการของอาจารย์ก็คืออยู่ในโลกจงรู้จักยืมใช้ ยืมตัวนี้ใช้ แล้วถึงเวลาจะเหี่ยวมันจะแก่ก็ปล่อยไป เราห้ามแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามตายได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามไม่ให้เจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะยึดไหม (ไม่ยึด)  จริงหรือ (จริง) 
อาจารย์เพิ่งเห็นล่าสุดเลยนะ มีคนกำลังกินเหล้ากันอยู่ กินกันไปกินกันมาคึกไหม (คึก)  ไม่รู้นึกคึกอย่างไรเอาเท้าถีบเพื่อนตกเก้าอี้เลย แล้วรู้ไหมว่าคนที่ถูกถีบตกเก้าอี้เขาแค้น พอหายเมา เขาไปฆ่าคนที่ถีบตกเก้าอี้แล้วเผาทั้งเป็น ฉะนั้นศิษย์บอกอาจารย์ อบายมุขไม่เป็นไรหรอกกินนิดกินหน่อย เหล้ากินนิดกินหน่อยใช่ไหม เล่นกับเพื่อนสนุกสนานนิดๆ หน่อยๆ ใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์เอยขึ้นชื่อว่าคนเรายืมใช้ แต่ถ้าเรายืมใช้แล้วเราพูดไม่ระวัง ทำไม่คิด คนที่โดนทำเขาคิดมันเจ็บ แล้วตอนนั้นศิษย์จะขอโทษหายไหม เขาไม่รอศิษย์ขอโทษเลยนะ เขาจำได้จนถึงพรุ่งนี้แล้วมันก็ฆ่าเอาเผาทั้งเป็นเลยนะ
ฉะนั้นก่อนที่จะปล่อยอารมณ์ไปตามความอยาก ไปตามอบายมุขขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ ได้หรือไม่ เราจะได้ไม่ทำผิดพลาดแล้วชีวิตมันมีค่ายิ่งกว่านั้น แล้วเป็นอย่างไรได้ดีไหม คนที่ฆ่าก็ไม่ได้ดี คนที่ถูกฆ่าได้ดีไหม (ไม่ได้)  แล้วเราควรปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ ยิ่งเพื่อนสนิทกันมากเท่าไร ก็เพราะสนิทมากวางใจมากแต่ศิษย์ทำเขาเจ็บ ไปถีบเขาแล้วตกเก้าอี้ เขาไม่พอใจ นี่แค่กรรมนิดเดียวเองนะ แล้วกรรมที่ศิษย์ไปด่าคนไม่ระวังล่ะ แล้วกรรมที่ศิษย์ไปกินเขาล่ะ ไหวไหม แล้วถ้าเขามาขอทวงคืนล่ะ ไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศล บางทีเขาไม่รอศิษย์ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลนะ เขากลับมาเอาศิษย์เลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ขอให้ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดี คิดถึงธรรม ทำอย่างคนซื่อตรงไหม ทำอย่างคนมีธรรมไหม และทำแล้วอย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ได้หรือไม่ (ได้)  แล้วเราจะได้ไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมที่ศิษย์เป็นผู้ก่อ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นขอให้รู้จักระมัดระวังตัวเองได้หรือไม่ อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีจง (อย่าทำ)  อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีจงพยายาม (ทำ) 
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ก่อนอาจารย์กลับ อะไรไม่ดีที่เราไม่ควรทำเลย และอะไรดีๆ ที่เราควรจะทำบ่อยๆ (กรรมชั่วไม่ควรทำ ควรทำแต่กรรมดี, ความคิด) ความคิดเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องรู้เท่าทัน ฉะนั้นมีอะไรมากระทบจงมีสติรู้ทันความคิด ไม่ปรุงแต่ง รู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ รู้แล้วปล่อยมันไป เพราะสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยที่เราไม่ต้องพยายามไปกดมันเลย ขอแค่เวลาโดนกระทบอย่าปรุงแต่ง เขาตีฉัน เขาด่าฉัน เขาทำร้ายฉัน ขอแค่รู้ตรงๆ ซื่อๆ ไม่โกรธ แค่กระทบ แล้วก็จะจบไปเอง นึกออกไหม ยังนึกไม่ทันใช่ไหม เหมือนเวลาอาจารย์ตีแบบนี้ เจ็บไหม (เจ็บแล้วก็หายไป) มันจบไปแล้ว แต่ความคิดเราไม่จบ ถูกไหม ธรรมะสอนให้อยู่กับปัจจุบันขณะ แต่มนุษย์ชอบเอาความโกรธในอดีตมาลาก แล้วก็เคืองแค้นคนที่ตี ทั้งที่จริงๆ จบไปแล้ว แต่ความคิดเรามันไม่จบ เขาเรียกว่า เขาตีเราแค่หนึ่งที แต่ความคิดของเราไม่ยอม เหมือนถูกตีหลายๆ ที ใช่ไหม ศึกษาเยอะๆ จะได้เข้าใจ มีอะไรอีก (คิดก่อนทำเสมอ, ไม่ควรใจร้อน)  ฉะนั้นขอให้ใจเย็นๆ
(ให้มีสติ)  ขอให้มีสติ ฉะนั้นเวลาโดนอะไรกระทบก็ยังมีสติ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จบแล้ว
(รู้จักไม่โลภ)  ทำได้ไหม คนที่จะทำได้ก็ต่อเมื่อ รู้พอ รู้พอก็พบสุข ที่เหลือก็คือกำไรชีวิต แต่ถ้าไม่เคยพอ หาเท่าไรมันก็ไม่มีสุข จริงไหม ทำให้ได้นะ
(เดินสายกลาง คิดดีทำดี ทำให้จิตใจบริสุทธิ์)  แต่บางครั้งก็อย่ายึดติดดี จนทำให้รับเรื่องร้ายไม่ได้ การเดินสายกลางคือยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิด มันจะดีจะร้ายก็ยอมรับความจริง ใช่หรือไม่
(เราควรตั้งสติก่อนที่เราจะทำอะไรทุกเมื่อ)  ตั้งสติระลึกเสมอว่า สิ่งที่ทำเมตตาไหม จำไว้ว่าเวลาจะทำอะไรเมตตาไหม ถ้าไม่เมตตา อย่าทำ ถ้าไม่ซื่อตรงอย่าทำ เอาแค่สองอัน สติ เมตตา (ต้องตั้งสติยึดมั่นในความเมตตาและความซื่อสัตย์)  ทำให้ได้นะ
(มีสติสัมปชัญญะที่เพียบพร้อมมั่นคง แล้วก็ทำใจให้นิ่ง ปล่อยวางทุกอย่าง)  ปล่อยวางทุกอย่าง อย่างนั้นแปลว่าอะไรก็ไม่ทำเลยใช่ไหม ไม่ใช่นะ จงรู้ว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป บางทีเราไม่ต้องพยายามไปยึดอะไร มันก็จบของมันไปเอง แต่บางทีเรามักจะไม่ค่อยยอมจบอะไรง่ายๆ สงบแปลว่ายอมจบ วุ่นวายแปลว่าไม่ยอมจบ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
(รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเอง)  รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเอง ต้องฝึกนะ ฝึกทุกวันที่ใจเราโดนกระทบ อารมณ์คือสิ่งที่กระทบ ฉะนั้นถ้าเกิดอารมณ์แปลว่ามากระทบแล้วเรารับไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรารู้เท่าทันก็แค่ ยอมรับแล้วก็ตั้งสติ ใช่หรือไม่ ทำให้ได้นะ ใจเย็นๆ เข้าไว้
(คิดดี ทำดี มีเมตตา) คิดดี ทำดี มีเมตตา ให้ได้อย่างนั้นจริงๆ นะ
(เป็นศิษย์ที่ดี และกตัญญู)  เป็นศิษย์ที่ดีและมีความกตัญญูรู้คุณ ทำได้นะ ไม่แอบนินทาอาจารย์ ใช่หรือไม่
(การมองโลกไปตามความเป็นจริง ไม่ใส่ร้ายปรุงแต่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเรามากจนเกินไป อย่างเช่นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ก็จะทำให้เราทุกข์ใจ มองโลกในแง่ดีเกินไปก็จะทำให้เรายึดติด)  ฉะนั้นมองตามความเป็นจริง อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ แม้จะต้องสูญเสีย แม้จะต้องพลัดพราก แม้จะต้องเจ็บปวด พูดง่ายแต่ทำไม่ง่ายเลยนะ ใช่ไหม เพราะความจริงมีหลายบทเรียนที่เราจะต้องเรียนรู้ และบทเรียนนั้นคือชีวิตนะ มีพบก็มีพราก ฉะนั้นทุกครั้งที่มีสุข อย่าลืมความทุกข์
(มีความจริงใจ)  เกิดเป็นคนต้องมีความจริงใจ จริงใจหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความซื่อสัตย์ ซื่อตรง
(อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ใช้สติควบคุมแล้วแก้ปัญหาให้ถูกต้อง) แค่ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ขอบคุณแล้ว ก็รู้สึกดีแล้ว แม้สิ่งที่เกิดนั้นมันจะทำให้เราสูญเสียก็ตาม จำไว้นะศิษย์เอ๋ย (ความดี สติ สมาธิ ความมีเหตุมีผล)  อาจารย์อยากจะบอกให้นะศิษย์ คำว่าเหตุผลทุกคนก็มีเหตุผล แต่บางครั้งเหตุผลอาจทำให้เราตัดสินใจอะไรได้ไม่เที่ยงเท่ากับความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เพื่อนก็มีเหตุผล ศิษย์ก็มีเหตุผล แล้วเหตุผลใครควรยอมล่ะ
(ใช้สมาธิ สติก่อน)  มองตามความเป็นจริง การคิดตามเหตุผลบางครั้งก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(ควบคุมความรู้สึกตัวเองให้ได้) ทำให้ได้นะ
(สิ่งที่ควรทำคือกตัญญูต่อพ่อแม่ สิ่งที่ไม่ควรทำคือลดความอยากของตัวเราเอง)  ถึงเวลาอย่าลืมคำพูดตัวเอง ถ้าทำได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว
(สิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี)  อย่างเช่น เห็นใครได้ดี อิจฉาริษยาควรไหม (ไม่ควร)  เห็นใครได้ดีแอบนินทาว่าร้าย ควรไหม (ไม่ควร)
(ควรปล่อยวาง)  ควรปล่อยวางหรือ อาจารย์ว่าสู้ยินดีกับเขา มีสุขกับเขานั่นประเสริฐกว่านะ ใช่ไหม
(ไม่ควรมองใครว่าสวยกว่าหรือขี้เหร่กว่าตัวเอง, คิดดี ทำดี ประพฤติดี ปฏิบัติดี) สิ่งที่จะช่วยโน้มนำความคิดให้ไม่ไหลไปทางผิดได้ก็คือ คุณธรรมและความจริง ที่เรียกว่าสัจธรรม
(ให้มีปัญญาศรัทธาในสิ่งหนึ่ง)  ขอให้ศรัทธาในความเป็นจริงและเชื่อมั่นในความเป็นจริงที่มันอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน และความจริงนี้เราก็หนีไม่พ้น คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า เราหนีไม่พ้น ขอแค่เพียงเข้าใจก็จะไม่ทุกข์กับมัน ใช่ไหม
(ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวเตร่)  แล้วหัวหน้าของอาจารย์กินเหล้าไหม (ทานบ้าง)  แล้วควรจะกินไหมตอนนี้ (พยายามจะหยุด)  หยุดเลยดีกว่านะ เพราะเวลาเรากินเหล้า เรากินเหล้าหรือเหล้ากินเรา (เหล้ากินเรา)  ก็รู้นี่ใช่หรือไม่ เวลากินแล้วมันหยุดได้ไหม เคยไหมเป๊กเดียว (บางทีสักเป๊กก็ไม่อยู่เลย)  แล้วถ้าเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมามันคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ฉะนั้นอย่าไปกินมันดีไหม  (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์บอกบุญได้ไหม (ได้) 
(ไม่ควรยึดติดเพราะว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา)  ปรบให้ศิษย์ท่านนี้หน่อยนะ ตอบได้ดีมากเลยนะ ไม่เสียทีที่อาจารย์พูดมาตั้งเยอะ
(พระอาจารย์เมตตากับหัวหน้าชั้น)
หัวหน้ารู้เรื่องหรือยัง (รู้แล้ว)  ถ้าอย่างนั้นถ้าอาจารย์ขอบิณฑบาตต่อไปศิษย์จะกินเหล้าไหม (ไม่กิน)  อย่างนั้นรับแอปเปิลไหม (รับ)  รับแปลว่าจะไม่กินใช่ไหม (ครับ)  ปรบมือให้หัวหน้าหน่อย ทำให้ได้นะศิษย์ ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ ต่อไปเหล้ามันจะกินทั้งตัวแล้วทำให้ศิษย์ตายและเวียนว่ายไม่จบสิ้นนะ ทำให้ได้นะ รับปากแล้วถ้ากินแอปเปิลไปทำไม่ได้มันจะเป็นพิษนะ แต่ถ้ารับปากอาจารย์แล้วกินแอปเปิลไปแล้วทำได้ แอปเปิลนี้จะเป็นยาเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นถ้าเพื่อนชวนดื่มสักกรึ๊บหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ใครอยากได้แอปเปิลแบบนี้บ้าง
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่ออกมานำร้องเพลง)
ได้แอปเปิลแล้วใช่ไหม ไม่เหมือนกันนะลูกนั้นกับลูกนี้ เอาแล้วทำให้ได้นะ รักษาสัจวาจายิ่งชีวิต ถ้าทำได้ก็เป็นมงคลกับชีวิตศิษย์เอง มีใครจะเอาแอปเปิลอีกไหม ทำได้ใช่ไหมศิษย์ มั่นใจนะ อย่าลืมชวนเขาไปอัดเพลงนะ แอปเปิลลูกนี้ไม่เหมือนลูกนั้นนะ ลูกนั้นมีโอกาสเอาไปผูกบุญให้กับคนอื่นเพื่อสร้างบุญต่อ แต่ลูกนี้กินเพื่อรักษาดูแลตัวเองนะ ลูกนั้นมีโอกาสเอาไปสร้างบุญต่อให้กับคนที่มีคุณ ทำให้ได้นะศิษย์ มีใครอีกไหม ถ้าไม่มีอาจารย์กลับแล้วนะ
ฝ่ายหญิงกินเหล้าไหม (ไม่กิน)  เบียร์กินไหม (ไม่กิน)  การพนันเล่นไหม (ไม่เล่น)  หวยล่ะ เปลี่ยนจากเล่นหวยเป็นเก็บเงินดีกว่านะ
อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับดีกว่านะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกครั้ง ขอให้ศิษย์อย่าทิ้งโอกาสของตัวเองก็พอ ขอให้มุ่งมั่นบำเพ็ญ การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักเข้าใจชีวิต เข้าใจธรรม ธรรมไม่ได้สอนเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ธรรมสอนให้เรารู้จักมองโลกตามความเป็นจริง โดยการรู้ เท่าทันกายใจของตนว่ากายใจของตนนี้ต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ว่าอะไรมากระทบ ไม่ว่าอะไรมาทำให้สะเทือนใจ ก็ขอให้รักษาใจเป็นกลาง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มองให้ถึงที่สุด ไม่มีใครน่าเกลียดในโลกนี้ มองให้ถึงที่สุด ไม่มีใครน่ารักหรอกในโลกนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลกนี้ เราจะอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ ถึงจะทุกข์ขนาดไหนก็เข้าใจและไม่ทุกข์กับมัน อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจธรรมตรงนี้ เพื่อเอามาใช้ในชีวิต เวลาเจอเรื่องหนักๆ จะได้รับได้ ก้าวต่อไป เพราะชีวิตยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ และความตาย ศิษย์รับได้ไหม ศิษย์พร้อมหรือเปล่า ถ้าเกิดความตายนั้นมาถึง ศิษย์ดีหรือยัง ถ้ายังไม่ดีพอตายไปก็ตกนรก ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ถ้ายังไม่ดีอย่าเพิ่งตาย รักษาตัวเองให้รอดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ดียิ่งขึ้น ดีไหม (ดี)  เพราะนรกมีคนเต็มแล้ว สวรรค์ไม่มีใครเลย ใช่ไหม (ใช่)  แอบไปมาแล้วหรือ สวรรค์จะมีที่สำหรับคนที่ทำดีโดยไม่หวังผล แต่ถ้าทำดีแล้วขอผลอีก สวรรค์ก็ทำให้เรากลายเป็นสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดได้
ทำดีอย่าหวังแค่สวรรค์ ถ้าหวังสวรรค์ก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นทำดีต้องหวังพระนิพพานเลย ไม่ยึดติด ไม่มีตัวตน นั่นแหละที่ที่สุขที่สุด ไปให้ถึงนะศิษย์เอย ดูแลชีวิตตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด หลงพลาด เพราะตอนนี้ศิษย์อยู่ในการควบคุมของอาจารย์ แต่ถ้าพ้นไปจากนี้ ศิษย์ต้องดูแลตัวเอง เพราะชีวิตพลาดครั้งหนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ปล่อยนะ ศิษย์ทำเขาขนาดไหน เขาก็เอาคืนมากกว่าขนาดนั้น และถ้าทำศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็จะทำคนที่ศิษย์รักที่สุดให้เจ็บปวด ศิษย์อยากได้แบบนั้นหรือ (ไม่)  ฉะนั้นก่อนจะทำร้ายใคร ก่อนจะพูดอะไร ก่อนจะคิดทำอะไร ขอให้ไตร่ตรองให้ดี อย่าสร้างบาป อย่าสร้างกรรม อย่าเบียดเบียนใคร และอย่าเอาชีวิตใครมาบำรุงบำเรอชีวิตเราเลย ได้ไหมศิษย์เอย (ได้)
ศึกษาธรรมเพื่อฝึกเมตตาจิต กลับสู่หนทางธรรมอันเดิมแท้ ที่ศิษย์ทอดทิ้งมานาน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อย่าไปผูกใจเจ็บ อย่าจองเวรจองกรรมเลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นแล้วก็จบ แต่คนที่ไม่จบคือใจของเราใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่จบมันก็เจ็บ แต่ถ้ายอมจบมันก็ไม่เจ็บ จริงไหม


อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

2559-04-08 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

西元二一六年歲次丙申三月初二日                              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙         สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

           สายธารหลั่งรินไหลเพื่อประชา           จิตศรัทธาก่อนาวาธรรมวิถี
      ธรรมหล่อหลอมมวลคนบุญขึ้นดรี[๑]        สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดกว้างไกล
                       เราคือ
   หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา               ขอร่วมแสดงความยินดีในโอกาสเรือธรรมลำนี้
                                    ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   
           เทพคนมาร่วมทุกทิศยินดี                  คนสามัคคีลงแรงอุตส่าห์เพียรสำเร็จ
      ร่วมนาวาร่วมพลังเพียรหยาดเพชร          ความสำเร็จปูด้วยหยาดเหงื่อน้ำตา
      คนต้องมีน้ำตาเหงื่อทุกชีวิต                   ก่อนจะสัมฤทธิ์หมายความถึงปัญหา
      กรรมส่งผลคนบำเพ็ญเปลี่ยนชะตา        ใช้ปัญญายิ่งใหญ่สมรับธรรม
      กายใจตั้งอุทิศให้การบำเพ็ญ                  ฝ่าลำเค็ญใจก้าวเพื่อข้ามน้ำ
      ในทุกทุกย่างประชาเป็นลำนำ                การกระทำคำพูดฝึกตามครรลอง     
   เปรียบลำธารดั่งตนมีกำพืด[๒]                     หะแรก[๓]จืดนทีเย็นสะท้อนไม่หมอง
   จิตใจที่ใสเย็นเป็นคันฉ่อง                         บัณฑิตมองภาพความจริงทิ้งมายา
   เข้าใจธรรมยิ่งกว่าต้องปฏิบัติ                    ความสามารถไหลรินหลั่งไม่ปรารถนา
   การบำเพ็ญด้วยอ่อนโยนเป็นผู้กล้า             เคร่งครัดแต่ว่าอย่างเมตตาธรรม

                                                                                       ฮา  ฮา  หยุด


[๑] ดรี                :  เรือ
[๒] กำพืด            :  เถือกเถา, เหล่ากอ
[๓] หะแรก          :  ครั้งแรก, คราวแรก, เริ่มลงมือทำ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

  “สายธารหลั่งรินไหลเพื่อประชา    จิตศรัทธาก่อนาวาธรรมวิถี
ธรรมหล่อหลอมมวลคนบุญขึ้นดรี  สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดคนไกล
โปรดคนไกลดีหรือโปรดคนใกล้ดี (คนใกล้ไม่สนใจ)  คนใกล้ไม่สนใจหรือ อย่างนั้นเปลี่ยนเป็น “สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดกว้างไกล” ดีกว่านะ  มนุษย์มักจะลืมคุณค่าคนที่อยู่ใกล้ชิด มัวแต่ห่วงกังวลกับคนที่อยู่ห่างไกล หรือลืมไม่ก็ดูแลคนใกล้มัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเองก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต เอาไปใช้กับผู้คนและก็เอามาใช้กับตัวตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก่อนที่จะพูดเรื่องธรรมะคืออะไร ธรรมะเป็นอย่างไร บางครั้งเราอาจจะพูดว่า “แค่ตัวเราเองยังไม่ค่อยรู้จักเลย จะรู้จักธรรมยิ่งเป็นเรื่องยาก
ฉะนั้นก่อนที่จะรู้จักธรรม มารู้จักใจตัวเราเองก่อนดีไหม (ดี)  เพราะว่าบางทีสายธารไหลแล้วเรียกกลับคืนไม่ได้ คนเราพอเสียความรู้สึกแล้ว ให้ดึงความรู้สึกกลับมาให้ดีเหมือนเก่าก็ยาก เหมือนความรู้สึกเราเสียไปแล้ว ให้กลับมาดีเหมือนเดิมง่ายไหม (ไม่ง่าย)  เหมือนความรู้สึกเราตกแล้ว แย่แล้วจะดึงให้กลับมาดี ให้เข้มแข็งเหมือนเดิม ยากไหม (ยาก)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้เท่าทันใจเราได้และสามารถหยุดยั้งก่อนที่ใจเราจะแย่ ใจเราจะตกได้ ก็คงดีไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางทีใจของคนนั้นเมื่อตกแล้วจะให้กลับขึ้นมานั้นยาก แต่เมื่อดีแล้วให้ตกนั้นง่ายกว่า ใช่ไหม (ใช่) 
ฟังธรรมแล้วจิตสงบหรือฟังธรรมแล้วยิ่งง่วง (สงบ)  อยู่บ้านไม่เห็นเรียบร้อยอย่างนี้เลยนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในห้องพระมีพิธีรีตองมาก แต่พิธีรีตองก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพิธีรีตองที่ดูว่าเยอะนั้นเป็นสิ่งที่เราควรจะมีไว้ในบ้าน มีไว้ในใจที่เราควรจะปฏิบัติกับคนในบ้านหรือเปล่า หรือกับเพื่อนร่วมงานหรือไม่(ควร)  เพราะสังคมในปัจจุบันนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใส่ใจซึ่งกันและกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ลึกๆ แล้วเราทุกคนก็อยากมีคนรัก คนห่วง คนดูแล แต่เรากลับปากหนัก ใจเบา   พูดไม่ค่อยเป็นแต่ขี้น้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ารอให้คนอื่นเริ่ม แต่จงเริ่มที่ตัวเรา อย่ามัวแต่เรียกคนอื่น แต่จงเรียกที่ใจของเรา อย่ามัวแต่ร้องขอคนอื่นแต่จงร้องขอและเริ่มต้นที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตสงบ จิตที่มีความสุข ย่อมนำพาให้คนที่อยู่รอบข้างสงบและสุข แต่จิตที่วุ่นวาย จิตที่ร้อนลุ่มแม้ไม่พูดคนที่อยู่ใกล้ก็รับรู้
ขอถามว่าใจของเรากับสิ่งแวดล้อม อะไรมีอิทธิพลมากกว่ากัน (ใจของเรา)  แล้วระหว่างตัวเรา ใจเรา กับคนอื่น ใจคนอื่น อะไรที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บช้ำมากกว่า (ตัวเรา) จริงหรือ โดยส่วนใหญ่จะโทษว่าสภาวะแวดล้อมทำให้เราง่วง ใช่ไหม ไม่เกี่ยวกับใจเราเลยใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  เขาทำให้เราโมโห ไม่เกี่ยวกับเราเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เราถามว่าเวลาเราอยู่ในโลก สิ่งแวดล้อมหรือใจเราที่มีผลให้เราหงุดหงิด ขี้โมโหง่าย (ใจเรา) เช่นนั้นหรอกหรือ โดยส่วนใหญ่แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือ ไม่เคยโทษแวดล้อม ไม่เคยโทษคนอื่น โทษตัวเองทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่) ทำไมตอบเราได้ดี แต่ปฏิบัติเป็นสิ่งตรงข้าม บางครั้งเราบอกว่าไม่เป็นไรหรอก โกรธกัน ว่ากัน โทษกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน จะเอาอะไรกับคน  แต่เวลาโดนเขาโกรธ โดนเขาว่า โดนเขาทำร้าย ทำไมไม่พูดว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์เล่า จริงไหม (จริง)  เรามีเหตุผลให้กับตัวเองเสมอเมื่อตัวเองผิด  บางครั้งเราก็รู้ตัวว่าตัวเองผิด แต่บางครั้งความผิดนั้นเรากลับห้ามใจตัวเองไม่เคยได้ แล้ววิธีที่เราแก้เมื่อห้ามใจตัวเองไม่ได้ก็คือ โทษคนอื่น โทษสิ่งแวดล้อม เพื่อความสบายใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายโลกนี้มันเป็นโลกของเหตุผล ใครสร้างเหตุอย่างไรก็ต้องรับกรรมเช่นนั้น คุณว่าเขามา คุณก็ต้องโดนเขาว่ากลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากหยุดเหตุ อยากหยุดความทุกข์  อยากหยุดความเลวร้าย ไยจึงไม่หยุดที่ใจ  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ แต่โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ไยจึงไม่หยุดเหตุ ไยจึงมัวแก้แต่ผล แก้แต่ปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม ท่านกล่าวไว้ว่า “ถ้าใจเราสงบทุกคนก็บริสุทธิ์  แต่ถ้าใจเราสอดรู้สอดเห็น ทุกคนก็มีข้อผิดพลาดและเลวร้าย”

เมื่อจิตเรานิ่งทุกส่วนในร่างกายย่อมสงบ แต่เมื่อจิตเราวุ่นวายทุกส่วนในร่างกายย่อมขาดสมดุล
เมื่อจิตไม่สว่างก็ยากยังความกระจ่างให้กับชีวิต เมื่อจิตไม่สงบก็ยากจะมีชีวิตหยัดยืนได้อย่างมั่นคง  ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นแปลว่าถ้าใจเราถูกต้อง ใครล่ะจะเกินเลยไป 
ถ้าใจเราสงบ ใจเราดี ทุกอย่างก็สว่าง ทุกอย่างก็ดี แต่ถ้าใจเราสอดรู้สอดเห็นทุกอย่างก็มีข้อบกพร่องให้จับผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้าใจไม่สว่างก็ยากจะยังความสว่างให้กับชีวิต ถ้าใจไม่สงบก็ยากที่จะหยัดยืนอยู่บนโลกได้อย่างมั่นคง” ถูก หรือไม่ (ถูก) 
เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ ท่านว่าฟ้ากว้างไหม (กว้าง)  โยนหินก้อนใหญ่ที่สุดขึ้นไปบนฟ้า ใหญ่ขนาดไหนเมื่อขึ้นไปบนฟ้าก็ดูเล็กนิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  โยนสิ่งสกปรกสูงมากแค่ไหน แต่ฟ้าก็ยังสะอาดเป็นฟ้าเช่นนั้นไป สิ่งสกปรกก็ยังสกปรกอย่างนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจของมนุษย์กว้างพอ ยิ่งใหญ่พอ จะมีใครที่แย่ ใครหรือที่ไม่ดี ใครหรือที่เกินไป ถ้าใจของเราเมตตาพอ ยิ่งใหญ่พอ ใครหรือที่เราจะอดทนอดกลั้นไม่ได้   ใครหรือที่เราจะรู้สึกแย่และไม่ดี จริงไหม (จริง)  เพราะสิ่งที่เราพูดง่าย แต่ถึงเวลาน้อยคนนักทำได้ ถ้าใจเราไม่มีความจำกัด ไม่มีแบ่งชังแบ่งชอบ แบ่งดีแบ่งร้าย แบ่งทุกข์แบ่งสุข แบ่งดูถูกเหยียดหยาม ใจเรามันหาที่สุดไม่ได้ แม้จะมีอะไรเข้ามาและอะไรจะสกปรกแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้เราสกปรกไปได้ เพราะน้ำสะอาดของเรามีอยู่เต็มเปี่ยม ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจของมนุษย์กว้างใหญ่เมตตาพอ ยิ่งใหญ่พอ ถูกต้องและมีธรรมพอ ไม่มีใครในโลกที่ผิดที่แย่และเลวร้ายจริงๆ แม้คนที่เลวที่สุดฟ้ายังให้โอกาส มนุษย์บอกว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรม คนบางคนเลวจะตายทำไมมันยังอยู่ เราดีแสนดีทำไมยังเจ็บช้ำอยู่อย่างนี้” ใช่ไหม (ใช่)  เป็นเพราะอะไรหรือ ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราควบคุมใจได้แม้ภาวะที่ลำบากที่สุด หรือแม้แต่ภาวะที่สบายที่สุด ถ้าเราคุมใจไม่ได้ก็สามารถทำให้เราทุกข์ไม่ต่างกันเลย  จริงไหม (จริง) 
ถามท่านว่าเมื่อภาวะที่บ้านเรากำลังยากแค้น เศรษฐกิจตอนนี้หากินลำบากไหม (ลำบาก)  เมื่อลำบากถ้าต่างคนต่างไม่ช่วยกันก็ยิ่งลำบากใหญ่ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมบางคนเมื่อชีวิตลำบากต่างคนต่างเอาตัวรอด แต่ทำไมบางคนชีวิตยิ่งลำบากเขายิ่งสมัครสมานกลมเกลียวกัน นั่นเพราะแวดล้อมหรือเพราะใจ (ใจ)  ในทางกลับกันบางทีที่บ้านแสนจะสุขสบายทุกคนน่าจะสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่คนในบ้านต่างคนต่างแก่งแย่งฉกฉวยผลประโยชน์เข้าหาตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมไม่น่ากลัวเท่ากับใจของคน ถ้ามนุษย์ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ใจของมนุษย์จึงน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อมใดๆ ในโลกนี้อีก ถูกไหม (ถูก)  เหมือนวันนี้ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้ นั่งไปก็ไม่สุข นั่งไปก็บ่นตัดพ้อว่าคนชวนมา ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมไม่น่ากลัวเท่าใจที่ควบคุมไม่ได้ เพราะใจที่ควบคุมไม่ได้ ดูแลใจตัวเองไม่ได้ แม้สิ่งที่สุขที่สุดก็อาจจะกลายเป็นทุกข์และยุ่งยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) 

มีสำนวนๆ หนึ่ง “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม  แต่อีกคนหนึ่งตาแหลมคมเห็นดาวพร่างพราย”  ถ้าเราคุมใจไม่ได้ เราก็ต้องจับให้อยู่ว่า ใจนั้นชอบไหลไปกับอะไร เหมือนกับคนๆ หนึ่งมองเรื่องราวๆ หนึ่ง บางคนเห็นดาวพร่างพราย แต่บางคนกลับเห็น (โคลนตม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้นั่งฟังธรรมะ ท่านเห็นดาวระยิบระยับหรือว่าเห็นโคลนตม 
ยิ่งฟังแล้วยิ่งสบาย ใจเปิดกว้าง หรือยิ่งฟังแล้วหดหู่หม่นหมอง ซึมเศร้า เบื่อหน่าย แล้วเมื่อสักครู่ที่ได้ฟังมา มองเห็นตมหรือเห็นฟ้ากว้าง (เห็นฟ้ากว้าง)
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากเรารู้จักควบคุมใจของเรา สิ่งร้ายก็จะกลายเป็นดี แต่ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้สิ่งที่ดีก็จะกลายเป็นร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากเราจะรู้จักใจเราแล้ว เราต้องรู้ทันใจเราด้วยว่าใจเราชอบไหลไปกับอะไร ไหลขึ้นสูงหรือไหลลงต่ำ ไหลคิดดีหรือไหลคิดร้าย ไหลตามอารมณ์หรือไหลจมกับความคิด ใจไหลขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ขึ้นสูง) เราเพิ่งรู้ว่าที่แล้วมานั้น ที่ดำเนินชีวิตมานั้นท่านคิดดีตลอดเลยใช่หรือไม่  อย่างนั้นลองถามคนที่คิดสูง คิดดี ว่าใจไหลไปตามความคิดได้ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ระหว่าง “ความคิดกับอารมณ์”  ใจเราชอบสิ่งใดมากกว่ากัน และระหว่างอารมณ์กับความคิดสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วน่ากลัวมากกว่ากัน (อารมณ์)  จริงหรือเมื่อความโกรธมาชั่วครู่แต่ความคิดโกรธแล้วโกรธอีก
ใช่หรือไม่ (ใช่)  โมโหด่าเขาครั้งเดียว แต่ก็จำคิดอยากด่าแล้วด่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะความคิดหรือเพราะอารมณ์ (ความคิด)  ฉะนั้นถ้าเราควบคุมไม่อยู่เราก็จะควบคุมเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เราก็จะควบคุมใจของเราไม่ค่อยได้สักครั้งเดียว ความคิดเป็นตัวนำชีวิต คิดอย่างไรชีวิตก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอารมณ์น่ากลัวแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความคิดที่ไม่ยอมปล่อยอารมณ์ และความคิดที่ลืมอารมณ์ไม่ได้ ใช่หรือไม่  ฉะนั้นความคิดของใจมนุษย์จึงเหมือนกรงขังก็ได้ หรือเป็นสะพานข้ามฝั่งก็ได้ คิดดีก็มีสุข คิดไม่ดีก็มีทุกข์
แต่ธรรมะกลับสอนอีกอย่างว่า “พ้นจากคิดดีคิดชั่ว สงบและเย็นนั่นคือพระนิพพาน” แต่มนุษย์ไม่เคยไปถึงเลย วนอยู่กับคิดดี คิดชั่ว พุทธะท่านบอกว่า “พ้นจากคิดดีคิดชั่ว นั่นคือสงบอิสระและนิพพานอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ได้”  ร้ายก็ไม่คิด ดีก็ไม่หวัง ขอแค่รู้เท่าทันและเท่านั้นเอง เขาจะโกรธจะเกลียดก็ไม่เป็นไรเพราะว่า เราทำดีที่สุดแล้วทำไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เราไม่ทำกลับ ไม่โกรธกลับ ใจสงบ จบ อิสระ ปล่อยวาง จะดีกว่าหรือไม่
ฉะนั้นพุทธะจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า เหนือกว่าความคิดคือการรู้เท่าทัน ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดมั่น แค่ยอมรับและมองเห็นความเป็นจริง วิชาธรรมะยากหรือไม่ ถ้าเรารู้ทันได้ เราจะจบเหตุแห่งการเวียนว่าย ในหนึ่งขณะที่เราดำเนินชีวิต ถ้าเราสามารถจบได้ สงบได้ วางได้เราจะหยุดการเวียนว่ายในทุกขณะที่มีชีวิต แต่มนุษย์กลับมองว่า เรื่องนิพพานเป็นเรื่องไกล เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา แต่วันนี้รู้แล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลย ใช่ไหม ขอแค่เพียงรู้เท่าทันความคิด ไม่ต้องเปลี่ยนใคร ไม่ต้องเปลี่ยนโลก ไม่ต้องหวังใคร ไม่ต้องหวังโลก แค่รู้จักเท่าทันใจตัวเอง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สงบ จบและอิสระ มีเท่านี้ สวยไม่สวยไม่เป็นไร รวยไม่รวยไม่สำคัญ แต่สำคัญวันนี้ทำได้ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะพูดอย่างไรคงห้ามกันไม่ได้ และถึงเวลาเราจะหวังให้สำเร็จก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่
เพราะชะตาชีวิตล้วนต้องมีเหตุปัจจัยเนื่องหนุนกัน เราพูดดีอย่างหนึ่ง ถามว่าในชั้นเข้าใจเราทั้งหมดแล้วดีทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนเรายิ้มให้ท่านคนหนึ่ง แล้วหวังให้ทุกคนยิ้มตอบเราเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงเวลาชีวิตเจอปัญหาจริงๆ ทำไมเราจึงมองไม่เห็น เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความรู้สึก เพราะเมื่อใดที่มนุษย์ไม่สามารถปล่อยวางความคิดและความรู้สึกได้ มนุษย์จะไม่มีปัญญาเข้าถึงความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรมอันเป็น “เช่นนั้นเอง” ได้สักครา
ฉะนั้นแก่ก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เพราะเป็นสัจธรรมที่เป็นจริงทุกชีวิต   เมื่อเห็นหนึ่งก็สามารถเห็นสอง สาม สี่ ได้  เพราะทุกสิ่งก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราถามท่านนะ คนที่ทำท่านเจ็บช้ำเขาด่าท่าน จบไปนานหรือยัง (นานแล้ว)  แล้วใจท่านจบไหม คนที่ยืมเงินท่านไปนานแล้วแต่ยังไม่คืน ยืมไปเสร็จหรือยัง (เสร็จแล้ว)  จบไหม (ไม่จบ)  ทำไมไม่แปรบาปให้เป็นบุญ แปรบุญให้เป็นกุศล ไม่เกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมกันเล่า ยืมไปถ้าไม่ให้อภัยก็เป็นจองเวร แต่ถ้าให้อภัยก็เป็นทำทาน แต่ถ้าเกิดให้ไปแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตนก็กลายเป็นกุศล ยืมเงินเราไปแล้ว เวลาเจอหน้ากันกลับทำเหมือนไม่รู้จักกัน แต่เราก็คิดแค่เพียงดีแล้วได้สละตัวตน นั่นก็คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าตัวตนไม่มีให้ยึดถือ ให้จนทำให้เราเข้าถึงความปล่อยวาง หรือเรียกว่าเย็นสงบนิพพาน ทำไมไม่ทำกันหนอ
คิดไม่ได้ คิดไม่เป็นก็กลายเป็น โกรธ เกลียด กิเลสวิบากกรรม และวัฏฏะสงสาร แต่ถ้าคิดได้ คิดเป็น วางเป็น สงบเย็น กิเลสไม่มี กลายเป็นกุศล สงบเย็นกลายเป็นพระนิพพานตัดเหตุแห่งการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารสองเรื่องนี้ช่างต่างกัน ราวฟ้ากับดินเลยนะ จริงไหม (จริง)  
การบำเพ็ญธรรม การดำเนินชีวิตสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การควบคุมใจ ถ้าควบคุมใจได้ ดูแลใจเป็น ใจเราไปอยู่ที่ใดก็ยากที่่จะยังความทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ แม้แต่ที่ที่แย่ที่สุด ถ้าเราควบคุมใจเราได้ดี ควบคุมใจเป็น ที่ที่แย่ที่สุดกลับสามารถก่อเกิดวีรชนที่หาญกล้าได้ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของใจจึงไม่ใช่อยู่ที่อารมณ์ แต่อยู่ที่รู้เท่าทันความคิดตัวเองหรือไม่  ถ้าแม้แต่ใจก็หยุดไม่ได้ ความคิดก็ยิ่งยากหยุด  การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า ถ้าเราควบคุมใจได้ จิตสงบก็ยังความบริสุทธิ์ให้กับทุกๆ สิ่ง แต่ถ้าจิตไม่สงบก็นำพาให้ทุกสิ่งวุ่นวายได้เฉกเช่นเดียวกันไม่ว่าเหตุการณ์ นั้นจะดีหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ขอถามท่านว่าสุขกับทุกข์อันใดเที่ยงแท้ (ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้)  เมื่อไม่เที่ยงแท้  ถ้าวันหนึ่งชีวิตจากสุขเป็นทุกข์รับไหวไหม (ไม่ไหว)  แปลกนะมนุษย์ถามอะไรรู้หมด ถามอะไรตอบได้หมด แต่ทำไมกลับนำไปใช้กับชีวิตไม่ได้ล่ะ เพราะเราขาดอะไรหรือ ขาดสติไหม ขาดการยั้งคิดหรือเปล่า และที่น่ากลัวที่สุดคือเราไม่เคยควบคุมใจเราได้เลยสักครั้งหนึ่ง จริงหรือไม่ รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ทำใจไม่ทันทุกที ทุกคนก็รู้ว่าเรา ต้องคิดดี ต้องพูดดี แต่พอถึงเวลาโมโหขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง ดีหายไปไหนหมดนะ ฉะนั้นที่เราคุมไม่ได้คือใจ ธรรมะจึงสอนว่า “หยุดนิ่งด้วยสติ” ก่อนจะโทษเขาหันกลับมาโทษเราก่อน ดีไหม (ดี)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาเป็นตัวอย่าง  โดยให้ทุกคนยืนนิ่งๆ ให้ตรงเส้นที่ท่านบอก และไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว) เป็นธรรมดาของมนุษย์ต้องเคลื่อนไหวต้องกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ควบคุมให้อยู่นิ่งอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถามท่านว่าทำไมชอบหวังให้คนอื่นเป็นดังใจ แล้วทำไมหวังให้คนอื่นรักแล้วต้องรักเลยห้ามเปลี่ยนใจ ห้ามขยับเขยื้อนไปไหน แล้วทำไมหวังว่ามีเงินอย่างไร เงินต้องอยู่อย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  หวังว่าบ้านสร้างมาแล้ว อยู่ตรงไหน กลับมาบ้านต้องอยู่อย่างนั้น ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมทีเรื่องคนอื่นรู้หมด แต่เวลาถึงเรื่องตัวเองกลับจุกอกล่ะ แต่ถ้าเรากับใครๆ เขา  เราปฏิบัติต่อเขาให้เหมาะสมแล้วถึงที่สุดเขาอยากจะสะเปะสะปะไปทางนู้น ไปทางนี้ หรือไปทางนั้น หรือไม่กลับมาเลย ไปตามทางของเธอ โกรธได้ไหม (ไม่ได้) 
อย่างที่เราบอกคิดดีคิดได้เป็นบุญ คิดดี คิดสงบเป็น เย็นใจเป็นก็คือนิพพาน คิดดีคิดไม่ได้ก็ตกนรกทั้งเป็น ก่อเกิดเป็นกิเลสวิบากกรรมไม่จบสิ้น “ทำไมไม่กลับมา ทำไมไม่อยู่ตามทิศทางที่ควรจะเป็น”  ทำไม แล้วก็ ทำไม แล้วใครจะตอบได้ จนกว่าเราจะวางความคิด ความรู้สึกและหันมามองความจริงด้วยปัญญาที่เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทิศทางเป็นของตัวเอง แต่ทิศทางหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราไม่สามารถครอบครองสิ่งใดได้เลยในโลกใบนี้ แม้กระทั่งกายและใจ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้และรู้ได้และนำพาให้เราพ้นได้ คือธรรมะที่นำพาจิตไปสู่ความสว่างและพ้นทุกข์
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก คงได้มาร่วมบุญกันอีก อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง ขอเพียงรู้เท่าทันความคิด ควบคุมความคิดให้ได้ ชีวิตก็จะไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
  

วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  
           ใจคนยังใฝ่ความดี                           แค่มีธรรมย่อมสื่อถึง
      ปลุกจิตเดิมแท้คะนึง                            ถึงธรรมที่เคยห่างไกล
      หวนธรรมดั่งหวนคืนบ้าน                       สงบเบิกบานใจหมาย
      แจ่มใสร่มเย็นสบาย                              สิ้นกายคงเหลือซึ่งธรรม
                  เราคือ
   จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                                              ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนเหนื่อยไหม
  
           ธารเชื่องช้าแช่มช้อยธารแช่มชื่น         อสูรหมื่นชนะธรรมน้ำดำคร่ำ
      แต่ทุกสิ่งใช้ธรรมเป็นสัจธรรม                 ธารลำนำนุ่มนวลสู่วิถีเดิม
      ภายในจิตคนหลงคืออวิชชา                   ไร้ปัญญาจูงจิตคืนซ้ำฮึกเหิม
      คนเรียกหวนนำทางยิ่งเหิมเกริม              หะแรกเริ่มใช้ธรรมโดยขาดเข้าใจ
      เมธีมาชวนกันเป็นเมธี                           เลิกวิธีชี้คนด่วนไม่ได้
      ชวนคนหลงคืนมาทำอย่างไร                  ต้องเข้าใจหลักธรรมจริงบำเพ็ญจริง
                                                                                                                                ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ่งที่มนุษย์บอกว่าหอม เช่นแอปเปิลหอมไหม (หอม)  แล้วถุงเท้าอาจารย์ล่ะ อันไหนหอม อันไหนเหม็น (แอปเปิลหอม ถุงเท้าอาจารย์เหม็น)  อาจารย์ถามศิษย์ระหว่างหอมกับเหม็น เอาอันไหน (หอม)  ถึงว่า มนุษย์ก็วนเวียนว่ายอยู่ในโลกนี้ก็เพราะหลงความหอมนี่เอง หอมแล้วมันทำให้เราต้องติด ทำให้เราปลงไม่ตก แล้วทำให้เราอยากแล้วอยากอีก บางครั้งของหอมไม่สู้ของเหม็นแล้วพยายามทำให้มันสะอาด แล้วอย่าได้เหม็นอีกเลย(จริงไหม)  ถ้าให้ศิษย์เลือกเอาอะไร (แอปเปิล)  อาจารย์ก็ว่าแล้วอย่างไรศิษย์ก็ต้องอยากได้แอปเปิลมากกว่าถุงเท้าอาจารย์ แต่เมื่อไรศิษย์ได้ยืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง นานๆ เข้าศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่หอมที่สุด บางครั้งมันก็ทำให้เราเหม็นและช้ำใจที่สุดนะ
สิ่งที่ศิษย์ปรารถนาว่าดูดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุด มีค่าที่สุด ก็ทำศิษย์เจ็บช้ำใจมากกว่าถุงเท้าของอาจารย์อีกนะ เพราะมนุษย์ปรารถนาสิ่งที่หอม สิ่งที่สวย สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์ ผลสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้น และตกเป็นทาสของสิ่งที่หอม สิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์ แล้วก็รบราฆ่าฟันกัน ทิ่มแทงทำร้ายกัน แล้วก็แก่งแย่งชิงชังกัน เพียงเพราะว่าหอม ดี มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อะไรในโลกที่ศิษย์บอกว่าดี สวย พอศิษย์มีแล้วก็ไม่อยากได้อีก ศิษย์เจ็บแล้วศิษย์จะวางได้แต่ไม่เห็นศิษย์จะวางได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคิดจะมี มีอย่างไรที่จะไม่ทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำศิษย์ทุกข์ และไม่ทำให้ศิษย์ตกเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้น
แค่ศิษย์มีสติคิดให้ได้ ทำอะไรใช้ปัญญา แค่ให้ศิษย์รู้จักเป็นนายเหนือวัตถุ เหนือกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถึงเวลาทำได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกให้เอาถุงเท้าของอาจารย์ไปเถอะ เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นเรามาเรียนเรื่องถุงเท้าของอาจารย์ ดีไหม (ดี)  ว่าสิ่งที่ดูสกปรกที่สุด ถ้าเราทำให้สะอาดก็กลับทำให้เรารู้จักใช้ชีวิตได้เป็น และไม่หลงตกเป็นทาสของมัน ดั่งคำว่า “ทุกข์” ที่ศิษย์ไม่อยากเจอในชีวิต ฟอกให้สะอาด มองให้ชัด ทุกข์ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับถุงเท้า ที่ตอนแรกเราเห็นแล้วรังเกียจ แต่ถ้าเราได้สัมผัส ได้เข้าใกล้ เราจะรู้ว่าทุกข์อาจจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองคนได้อย่างแจ่มชัด ว่าเขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็เป็นคนมีทุกข์ เราก็คนมีทุกข์ แล้วเราจะให้เขาทุกข์อีกทำไม แล้วเราจะทำให้เขาเจ็บอีกทำไม ในเมื่อเราก็เจ็บมามากแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวหรือ (ไม่น่ากลัว)  อย่างนั้นขอยืมเงินหน่อยนะ แต่ไม่รู้จะคืนเมื่อไหร่ ได้หรือไม่ (ได้)  (พระอาจารย์เมตตาให้ศิษย์สองท่านออกมาข้างหน้า ท่านหนึ่งอายุมาก อีกท่านหนึ่งอายุน้อยกว่า)  เมื่อสักครู่ให้เลือกถุงเท้ากับแอปเปิลเลือกยาก ใช่ไหม  อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ระหว่างสองแบบนี้เลือกเป็นแบบไหน (เลือกแบบสาว)  ศิษย์ของอาจารย์อยากได้แบบไหน (แบบไหนก็ดีทั้งนั้น)  แปลว่าแบบไหนก็เลือก ใช่ไหม ถึงเวลาเหี่ยวแล้วก็ต้องรับให้ได้นะ ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า ในโลกใบนี้แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนไม่น่ารังเกียจ และไม่มีอะไรดีกว่าอะไร ทุกสิ่งก็มีคุณค่าในตัวของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่เลือกคนสาว ไม่เลือกคนแก่ก็โง่ ใครที่คิดจะเลือกคนแก่ ไม่เลือกคนสาวก็บ้า จริงไหม (จริง)  เพราะยังไม่ทันไรเหี่ยวมาตั้งแต่เด็กเลยเอาไหม เป็นไปได้ไหม (เป็นไปไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ศิษย์ต้องรับให้ได้ทั้งสองอย่าง ฉะนั้นถ้าเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลก ความเข้าใจในทุกๆ เรื่อง เข้าใจในทุกๆ สิ่ง จะทำให้เรา ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรเราก็จะไม่ทุกข์
อาจารย์บอกว่าบางครั้งสิ่งที่สกปรกก็จะทำให้เรารู้ว่า เราต้องพยายามทำสิ่งนั้นให้สะอาด เพื่อต่อไปอย่าได้สกปรกอีก แต่สิ่งที่หอมๆ บางครั้งก็ทำให้เราสกปรกได้โดยไม่รู้ตัว เพราะความอยาก เพราะความโลภ เช่นศิษย์อยากได้แอปเปิลดีที่ราคาถูกๆ  ตอนไปซื้อจึงแอบเอามือขีดแอปเปิล แล้วบอกแม่ค้าว่า “นี่ๆ แม่ค้าแอปเปิลเป็นรอยลดราคาให้เดี๋ยวนี้เลย” นี่คือสิ่งที่หอมทำให้เราทำสิ่งสกปรก
ทำงานธรรมะไม่เหนื่อยไม่ท้อใช่ไหม (ใช่) ทำงานธรรมะยังเข้มแข็งเหมือนเดิมใช่ไหม อาจารย์ดีใจได้เจอศิษย์ของอาจารย์
(ฝาปิดน้ำเต้าของพระอาจารย์หลุดออก)  ไม่เป็นไรเดี๋ยวอาจารย์จะเอาน้ำเต้าดูดสิ่งชั่วร้ายจากตัวศิษย์ออกมาให้หมด จะได้ไม่เอาสิ่งชั่วร้ายไปทำความชั่วร้ายให้คนอื่น ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์ของอาจารย์ไม่ว่าจะดีแค่ไหนแต่หากไม่สามารถยับยั้งกิเลสของตนเองให้เบา บางได้ คนดีของอาจารย์ก็พร้อมจะเป็นคนบาป คนชั่วร้ายได้ จริงหรือไม่ (จริง)  กิเลส คือ ต้นตอของความชั่วร้าย ความชั่วร้ายมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “บาปกรรม”
ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามเป็นคนดีมากแค่ไหน ชอบทำบุญสุนทานมากแค่ไหน ชอบสวดมนต์ไหว้พระมากแค่ไหน แต่ถ้าใจยังโลภ โกรธ หลง คนดีของอาจารย์ก็ยังเป็นคนดีที่มีบาปได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีหรือ อาจารย์ว่าไม่ใช่ แต่ความดีของศิษย์ที่ทำ เป็นดีที่ไม่บริสุทธิ์ เมื่อทำทาน ทำบุญ หากทำแล้วเกิดใจที่โลภแค่นิดเดียว แต่ขอให้รวยๆ บุญก็เป็นที่อิงแอบของกิเลสที่เป็นต้นตอแห่งความชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแค่ตั้งใจทำบุญตักบาตรถวายพระ แต่ก็วอนขอ “ให้ลูกนั้นรวย ขอให้ถูกหวยสองตัว สามตัว” บุญนั้นก็ไม่ใช่บุญที่บริสุทธิ์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่งลง)
ฟังธรรมได้กี่วันแล้ว (สองวัน)  ได้ธรรมไปบ้างไหม (ได้)  เห็นธรรมบ้างไหม (เห็น)  อย่างนั้นอาจารย์พูดให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น ดีหรือไม่ (ดี) 
อาจารย์ถามนะ เราเป็นธรรมไหม (เป็น)  คนข้างๆ เป็นธรรมไหม (เป็น)  คนนี้เป็นไหม (เป็น)  พัดนี้เป็นธรรมไหม (เป็น)  ถ้าตอบขนาดนี้ก็แปลว่าเข้าใจระดับหนึ่ง ธรรมคือสภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์ยึดติดตัวตนจึงเรียกสิ่งต่างๆ แบ่งแยกตามชอบชัง หรือตามที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดเป็นคุณลักษณะ จึงเรียกชื่อต่างกัน แต่พระพุทธะจะเรียกทุกอย่างว่าธรรม ถ้าศิษย์อยากเข้าใจธรรม ก็ต้องมองให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราเห็นธรรมในคน เราก็จะเห็นธรรมในตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกครั้งที่เรามองคน เราก็เห็นคน ไม่เคยเห็นเป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าใจธรรม ศิษย์จงมองคนให้เห็นธรรม เคยเห็นหรือไม่ (ไม่เคย)  หรือเห็นแต่ว่าเขานิสัยอย่างนี้ ชอบพูดอย่างนี้ ชอบทำแบบนี้ รู้สึกเบื่อ รู้สึกเกลียดเขา ศิษย์เห็นแต่กิเลสมากกว่าเห็นธรรม เช่นนี้ดีไหม (ไม่ดี)  กิเลสเป็นต้นตอของความชั่ว เห็นกิเลสก็เห็นความชั่ว กระจกเป็นอย่างไรก็สะท้อนอย่างนั้น ก็แปลว่าใจเราก็มีความชั่วอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าธรรมคือ สภาวะที่เป็นจริงตามธรรมชาติ อะไรที่เป็นจริงตามธรรมชาติล้วนให้ธรรมทั้งหมด ถ้าเขาด่าก็เป็นธรรม เขาชมก็เป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาเอาแฟนของเราไปก็เป็น (ธรรม)  แฟนของเรามีกิ๊กก็เป็น (ธรรม)  ใช่หรือไม่
ลูกจะขโมยเงินแม่ก็เป็น (ธรรม) แต่เป็นธรรมที่ไม่ควรทำ ใช่หรือไม่ศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นธรรมจึงสอนต่ออีกว่า นอกจากเราจะรู้เรื่องธรรม แต่อีกธรรมที่ศิษย์จะลืมไม่ได้คือคุณธรรม อยู่ในธรรมตัวนี้แต่เรียกว่าจิตสำนึกแห่งความถูกต้องในการปฏิบัติและร่วมกัน คนที่บอกว่าศิษย์มีธรรมก็พอแล้ว อาจารย์จะบอกว่ายังไม่พอ เพราะเดี๋ยวศิษย์ก็จะอ้างว่าศิษย์มีกิ๊กเป็นธรรมดา ทำถูกทำผิดบ้างก็ธรรมดาใช่หรือไม่ ศิษย์จะชอบอ้างว่าอย่างนี้ก็เป็นธรรม ฉะนั้นมีแค่ธรรมยังไม่พอ ยังต้องมีคุณธรรมที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมมากกว่านั้นอีกคือจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง
ทุกคนบอกว่ามีธรรมก็พอแล้ว ไม่ต้องมีคุณธรรมหรอก เยอะแยะจำไม่ได้ จำไม่ไหว จำไม่หมด  แต่อาจารย์ว่าถามลึกๆ แล้วถ้าเราเป็นเด็ก เราอยากได้คนรักเอ็นดูหรือไม่ (อยาก)  ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่เราอยากได้เด็กที่เคารพให้เกียรติไหม (อยาก)  ฉะนั้นแค่มีธรรมยังไม่พอ เราต้องมีคุณธรรมที่เป็นการบ่งบอกจิตสำนึก เหมือนอาจารย์มา บอก “เฮ้ย ว่าไง มองอะไรตาตี่” เราชอบไหมที่มีเด็กมาดูถูก (ไม่ชอบ) เราก็อยากได้เด็กที่เคารพให้เกียรติ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ควรจะปฏิบัติอย่างไร  เราเป็นเด็กเราก็อยากได้คนที่รัก แม้แก่แล้วเราก็อยากได้คนที่รัก ไม่ชอบใครดูถูกใช่หรือไม่ ฉะนั้นจิตสำนึกแห่งคุณธรรมก็เลยส่งออกมาให้เรารู้ว่า ถ้าเราเอ็นดูเด็กเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง มีหรือเขาจะไม่เคารพเราเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเคารพผู้ใหญ่คนหนึ่งเหมือนพ่อเหมือนแม่ มีหรือเขาจะไม่รักเราเหมือนลูกเหมือนญาติพี่น้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำแบบนั้นไหม ธรรมยังสอนต่อในเรื่องคุณธรรมประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน เพราะการที่เราปฏิบัติอยู่ร่วมกันมันก็เลยทำให้เรารู้ว่า ต่อพ่อแม่เราต้องกตัญญู ต่อผู้ใหญ่เราต้องให้เกียรติ ต่อผู้น้อยเราต้องเมตตา  ฉะนั้นสิ่งนี้เกิดมาจากใจที่ศิษย์ควรจะมีและปฏิบัติต่อกัน พูดอย่างนี้เข้าใจหรือไม่ว่าทำไมระหว่างคนต่อคนต้องมีคุณธรรมระหว่างกัน ถ้าศิษย์อยากได้ความรักจากใคร และรักเราเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน จงเคารพผู้ใหญ่เหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนครูบาอาจารย์  ถ้าเราอยากให้ใครเคารพเราเหมือนพี่เหมือนน้อง เราจงรักเมตตาปรานีเกื้อกูลเขาเหมือนคนที่เป็นญาติสนิทชิดเชื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอที่จะเข้าใจธรรมกับคุณธรรมที่อาจารย์เกริ่นง่ายๆ ไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากเรียกร้องให้ใครเป็นอย่างไรจงเริ่มต้นที่ตัวเรา ทำให้ถูกทำให้ดีเราก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา เพราะโลกนี้เป็นโลกของการอยู่ร่วมกันในสังคม เราจะเอาแต่ตัวเราแล้วไม่สนใจเพื่อนรอบข้างไม่ได้ และบางครั้งเราต้องมีปฏิสัมพันธ์ทำงานร่วมกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
อาจารย์ขอพูดต่อเรื่องสัจธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าเดินเข้ามาในห้องด้วยอาการสองแบบ แบบแรกเข้ามาแล้วยกนิ้วชื่นชม แบบที่สองเข้ามาแล้วทำท่าอิดหนาระอาใจ) เกิดอะไรขึ้นกับการแสดงทั้งสองแบบ ศิษย์ชอบแบบไหน (ชม)  สัจธรรม คือ ความจริงแท้ที่เปลี่ยนแปรผัน  ฉะนั้นไม่ว่าอาจารย์จะชม หรืออาจารย์จะแสดงว่าไม่พอใจ มันก็คือสัจธรรม หากเรายึดไว้มันก็เป็นกรรม แต่หากเราปล่อยวางและเข้าใจมันก็คือธรรม ฉะนั้นเรายังติดอยู่กับอดีต หรือเราอยู่กับปัจจุบัน
สมมติว่าสัจธรรมคือสิ่งที่เปลี่ยนแปรผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น มั่นหมายว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้  มันเรียกว่ากรรม มันไม่เรียกว่าธรรม แล้วชีวิตแห่งความเป็นธรรมมันมีแค่ปัจจุบัน มันมีแต่เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าใจสัจธรรม สัจธรรมจะทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมและไม่ก่อกรรม
ศิษย์ของอาจารย์หลายคนบอกว่ามันฟังแล้วยาก อาจารย์พูดแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากลับบ้านไปแล้วพบว่า เงินที่เก็บมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นหายวับไปกับตา ศิษย์จะเข้าใจไหมว่า มันเป็นสัจธรรม อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจคำว่า “สัจธรรม” สัจธรรมคือความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปรผัน เรายึดมั่นไม่ได้ ถ้าเราเผลอยึด เราจะอดไม่ได้ที่จะสร้างกรรม  แม้ว่ามันจะเป็นกรรมดีหรือกรรมร้ายมันก็คือกรรม แต่สัจธรรมคือสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่มนุษย์เราชอบจมอยู่กับอดีต เช่นศิษย์เคยสวย เคยเก่ง เคยรวย ตอนนี้ใครมาว่าศิษย์ไม่สวย ศิษย์ไม่รวย ศิษย์ไม่เก่ง ศิษย์ก็ต้องทำใจให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามันเป็นสัจธรรม   สัจธรรมคือสิ่งที่เปลี่ยนแปรผัน ถ้าเราเผลอไปยึด เราจะอดที่จะสร้างกรรมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกรรมนั้นก็มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมดีก็ยังมีผลที่ต้องกลับมาเวียนว่ายรับผลของกรรมดี กรรมชั่วก็ยังมีผลที่ต้องกลับไปรับกรรมชั่ว หรือกรรมชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสหรือบาป  ใช่หรือไม่ (ใช่)   เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ถ้าวันนี้ทำบุญ ค้าขาย ทำอะไรก็ตาม เราหวังไว้ว่าเราค้าขายแล้วเราต้องได้ (กำไร)  เห็นไหมมันเป็นกรรม เมื่อคาดหวัง เมื่อยึดถือ มันก็เริ่มเป็นกรรม ฉะนั้นหวังไหม (ไม่หวัง)  ทำไมไม่หวังล่ะ เพราะมันเป็นสัจธรรมที่เรายึดถือไม่ได้ สัจธรรมที่ไม่ควรยึดถือเพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันก็ดับไป  ฉะนั้นอาจารย์พูดทีหนึ่งมันก็เริ่มดับไปทีหนึ่ง พูดประโยคหนึ่งอีกประโยคก็ดับไป แล้วอีกประโยคหนึ่งก็ขึ้นมา
ฉะนั้นถ้าศิษย์มัวแต่ยึดศิษย์ก็คือกรรม แต่ถ้าศิษย์เข้าใจว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เวลาเราถูกคนด่ามา เขาด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  เราคิดไม่จบ ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นสัจธรรม สัจธรรมคือทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ถ้าศิษย์เผลอไปยึด เผลอไปอยาก ศิษย์ก็คือคนที่ขี้ตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง แล้วธรรมชาติเคยอยู่กับตัวเราไหม เคยควบคุมได้ไหม แล้วเราอยากไหม (อยาก) 
แล้วในสัจธรรมยังสอนอีกว่าในความไม่เที่ยงนั้นมีทุกข์ เอาไหม (เอา)  เอาทุกอย่างเลยนะ กระเป๋าก็เอา นาฬิกาก็เอา เงินก็เอา แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วสิ่งที่ทำนั้นทำให้ศิษย์หนีวงล้อแห่งสัจธรรมพ้นไหม เมื่อมันเข้ามาพร้อมกัน สูญเสียพร้อมกัน เรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมและคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกันแล้ว เราจะประจักษ์แจ้งในสัจธรรม เชื่อไหม (เชื่อ)  เราจะไม่โลภ โกรธ หลงเลย เพราะโลภแล้วก็ทำให้เราทุกข์ หลงแล้วก็ทำให้เราเจ็บ โกรธแล้วก็ทำให้เราทุกข์ ทำให้เขาหนีหายไป และเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้  ถ้าเราประจักษแจ้งในธรรมและรู้จักดำรงตัวให้ถูกต้อง ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าถึงความกระจ่างแจ้งใน ธรรม ยากไหม (ไม่ยาก) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากคิดมีอะไรเพิ่ม จงจำไว้ว่าสิ่งที่คิดอยาก สิ่งที่คิดหวัง สิ่งที่คิดยึด หนีไม่พ้นสัจธรรมอันเป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปรผันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ถ้าเราเข้าใจต้นตอของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะไม่มี โดยที่เรานั้นไม่ต้องพยายามใช้ขันติ สมาธิ วิปัสสนาเลย เพราะเห็นแล้วกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องเกิดก็จบ แต่ศิษย์พยายามให้เกิดก่อนแล้วค่อยทำให้จบ  ช้าไปไหม (ช้า)  ฉะนั้นหยุดตั้งแต่เกิดเลยนะ รู้เรื่องไหม (รู้)  อย่าเป็นหัวล้านได้หวี อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจในธรรม เข้าใจในคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกัน และเข้าใจในหลักสัจธรรม เพราะสัจธรรมไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ในวัด ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่พระภิกษุสงฆ์ แต่อยู่ที่ตัวของแต่ละคน และอยู่ในทุกๆ สิ่งที่ศิษย์เห็นทุกวัน  แต่เราไม่เคยเห็นด้วยดวงตาแห่งธรรม เห็นเป็นแต่กิเลสความอยากความโลภ  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อใดที่มนุษย์รู้เท่าทันความคิด ปล่อยวางความรู้สึก มนุษย์จะสามารถประจักษ์แจ้งในธรรมด้วยปัญญาทันที”  ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์จี้กงพูดอะไร ง่ายหมดเลย แต่ศิษย์ทำไม่ได้ ใช่ไหม ยังคิดว่า “เห็นผู้หญิงก็ยังสวยน่าสนอยู่เลยนะอาจารย์” เพราะศิษย์ถนัดใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก ศิษย์ไม่เคยใช้ธรรม “อยู่กับคนนี้รู้สึกดีจัง อย่าส่งสายตาอย่างนี้ ฉันจะละลาย” ใช่ไหม เพราะเราอยู่กับคน  เราไม่เคยใช้ธรรม เราใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก “เธอนี่ได้ใจล้วนๆ เลย ถูกใจๆ กดไลค์” (LIKE = ถูกใจ)  แต่ถ้าด่ากดไลค์เมื่อไรนี่ บาปอินฟินีตี้ (บาปไม่สิ้นสุด)  เลยนะศิษย์ เข้าใจหรือเปล่า อาจารย์อุตส่าห์ใช้ศัพท์ทันสมัย ศิษย์ไม่รู้เรื่องเลย
อาจารย์ขอบอกบุญศิษย์นะ เมื่อเราได้ยินเสียงจากรถพยาบาล ในใจศิษย์คิดอย่างไร (ตายแน่ๆ)  อาจารย์บอกบุญหน่อยนะ อย่าร่วมบาป อย่าร่วมกรรม ได้ยินเสียงรถพยาบาลวิ่งผ่านก็ให้คิดว่า “ขอให้เขารอด ขอให้เขาปลอดภัย” ดีไหม (ดี)  แปรบาปเป็นบุญ แปรการเกี่ยวกรรมเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรมกันดีไหม อยากเกี่ยวกรรมกับเขาหรือ แช่งเขาเลย เดี๋ยวได้เจอเขาแน่แต่เจอแบบไหนอาจารย์ไม่รู้ 
ฉะนั้นถ้าเจอใครต่อยตีกัน แล้วเราด่าเขาชั่วเลว แล้วมีคนกดไลค์ ดีไหม (ไม่ดี)  เปลี่ยนนะศิษย์ เจอใครไม่ดีส่งบุญให้เยอะๆ เผื่อคนชั่วจะได้เปลี่ยนเป็นดี คิดว่า “สาธุบุญกุศลที่ข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าขอให้เขาได้คิดเถิด” ดีกว่าไหม (ดี)  เพราะศิษย์ปล่อยให้คนชั่วแล้วก็แช่งให้เขาชั่ว ชิงชังว่าเขาชั่ว แล้วด่าซ้ำกลับว่าเขาชั่ว จนเขาไม่มีที่ยืนเพราะเขาชั่ว แล้วคนชั่วนี้ก็จะกลับมาทำร้ายคนดี ฉะนั้นสู้ทำให้คนชั่วกลับมาดีสักทีด้วยจิตสำนึกแห่งคุณธรรม ร่วมกันส่งบุญให้เขา อาจารย์เห็นศิษย์ขยันดูแต่เรื่องไม่ดีแล้วก็พากันแช่งเขา ขอให้เปลี่ยนนะศิษย์ เปลี่ยนเป็นส่งบุญให้เขาดีไหม (ดี)  ฉะนั้นเวลาได้ยินเสียงจากรถพยาบาลก็ให้คิดว่า (ขอให้เขารอด ขอให้เขาปลอดภัย)  เพราะถ้าวันหนึ่งเป็นตัวเราอยู่ในรถพยาบาลคันนั้น คงไม่มีใครคิดกับเราว่าตายแน่ๆ เพราะแต่ก่อนตอนได้ยินเสียงรถพยาบาลฉันแช่งตลอดเลย
เล่นเกมกับอาจารย์หน่อยดีหรือไม่ เกมของอาจารย์คือพูดให้มีธรรม ส่วนใหญ่เวลาเราพูดก็จะพูดนินทาคนนั้น ว่าคนนี้  เรามาอยู่ในชั้นนี้แล้ว ให้แต่ละแถวร่วมกันแต่งประโยคที่มีธรรม และให้กำลังใจ ดีหรือไม่ (ดี)  อย่างเช่นแถวนี้มีห้าคน ก็แต่งมาห้าคำ แล้วรวมกันเป็นประโยคที่มีธรรม ดีไหม (ดี)  แถวไหนแต่งได้ดี อาจารย์มีรางวัลให้
(สุขทุกข์อยู่ที่ใจ, คิดดีจะทำดี),
(ทำดีใจเป็นสุข, ทุกข์สุขแก้ด้วยใจ, คิดดีได้ดี)  ฉะนั้นอย่าเผลอคิดชั่วนะ
(กินเจเพื่อเป็นธรรม)  น่าจะเป็นกินเจเพื่อเว้นกรรมนะ
(ปลงได้ใจเป็นสุข) 
(ละเว้นการทำชั่ว)  คิดอะไรเป็นธรรม ศิษย์ก็คิดได้นะ พูดอย่างคนมีธรรมศิษย์ก็พูดได้นะ
(ใจมีแต่ให้, คิดได้ใจพ้นทุกข์)
(ปล่อยวางแล้วสุขใจ, ทำดีแล้วได้บุญ)  ทำบุญแล้วได้ดีมากกว่านะศิษย์
(ทุกข์สุขไม่เที่ยงแท้)  คิดดีก็คิดได้แต่ไม่ค่อยจะคิดกันนะ
(คิดดีใจเป็นสุข, ยึดถือคุณธรรม) บางครั้งต้องรู้จักปฏิบัติคุณธรรม แต่ไม่ต้องยึดถือมากเกินไป ใช่หรือไม่ เพราะเป็นจิตสำนึกของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าทำด้วยจิตสำนึกเราไม่ต้องยึดไม่ต้องถือเลย ออกมาจากใจเอง ไม่เหมือนการบังคับให้ต้องมีใช่หรือไม่
(กตัญญูรู้คุณ)  น่าจะเป็นรู้คุณตอบแทนคุณนะ เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้คุณคน แล้วก็ไม่รู้จักตอบแทนคุณคน กตัญญูก็ไม่มีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ธรรมะพาสุขใจ) ได้กำลังใจไหม รู้สึกดีไหม (ดี) แต่งประโยคให้มีธรรม ให้กำลังใจเพื่อนในชั้นด้วยได้หรือไม่
เหลือสามท่านจะแต่งประโยคได้หรือพูดอะไรที่ดีๆ มีธรรมะ คนละประโยคก็ได้นะ
(ชอบมาสถานธรรม,  ใจมีความสุข)  ชอบทำบุญตักบาตรมีศีลมีธรรม แม้พูดไม่ได้ก็ยิ้มไว้ ใครมาก็ยิ้ม
(คิดดีแล้วทำเลย)  ทำได้หรือไม่ กลัวแต่คิดแต่ไม่ทำสักทีนะ
(ให้อภัยเป็นทาน)  ปรบมือหน่อยนะ แต่ถ้าเราใจกว้างก็ไม่มีใครที่เราต้องพยายามให้อภัย จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าใจมันสู้อะไรก็ไหวนะ
(คิดดีทำดีมีคุณธรรม,ทำดีให้จงได้,ฝึกจิตให้ดีจะมีความสุข)  อาจารย์อยากจะบอกว่าความสุขนั้นมีอยู่แล้ว แต่จิตมองไม่ค่อยเห็น ชอบหวังความสุขจากที่ไกลลิบ แต่ตรงนี้กลับไม่มีความสุข (เพราะไม่ได้ฝึก)  ไม่ต้องฝึกแค่ “พอ” ก็มีความสุขแล้ว ถ้าไม่พอไปหวังที่ไกลลิบอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความสุข ฝึกจิตได้ดีจะไม่มีทุกข์มากกว่านะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า      “สายธารแห่งธรรม” )
ธรรมะที่จริงมีอยู่ในใจศิษย์ทุกคนแล้ว มนุษย์ทุกคนใฝ่ดีเป็นเรื่องปกติ และความใฝ่ดีจะทำให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมได้ เรือลำนี้ก็เปรียบเหมือนธารแห่งธรรมที่จะทำให้ศิษย์นั้นกลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้ ที่ศิษย์หลงลืมกันไป ฉะนั้นสายธารแห่งธรรมนี้จะเกิดขึ้นมาได้ วันนี้ศิษย์ได้มาประชุมธรรมที่นี่ได้ก็เพราะเกิดจากหยาดเหงื่อและน้ำตาของคน ที่อุทิศเสียสละและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ อย่างนั้นอาจารย์ขอให้กำลังใจคนที่ร่วมสร้างที่นี่คนที่ตั้งใจอุทิศให้ที่ นี่ ศิษย์อยากเห็นหน้าคนที่สร้างห้องพระสวยๆ ไหม ศิษย์อยากรู้หรือไม่ว่าใครที่เสียสละเงินเยอะขนาดนี้ ออกแรงเยอะขนาดนี้ ได้ทำห้องพระออกมาสวยขนาดนี้ อยากเห็นหน้าพวกเขาไหม (อยาก)  ให้กำลังใจกันหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นพวกเขาออกมาจะพูดว่าอะไรดี (ขอบคุณ) 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ร่วมแรงก่อสร้างสถานธรรมสิงเต๋อ ออกมายืนหน้าชั้น)
แม้จะไม่ได้ช่วยเงิน ช่วยแต่แรง หรือทั้งช่วยเงินและช่วยแรง มาดูแลมาช่วยสถานธรรมไม่เคยขาดเลย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ห้องพระนี้สำเร็จสวยและงดงาม พูดพร้อมกันนะ (ขอบคุณ)  ขอบคุณในความตั้งใจดี ขอบคุณในทุกหยาดเหงื่อ ขอบคุณในทุกกำลังแรงและขอบคุณในทุกหัวใจที่กลั่นออกมาเสียสละอุทิศเพื่อผู้อื่นนะ ขอให้หัวใจนี้และความตั้งใจนี้ยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายนะศิษย์ อุทิศเพื่อประชาไม่ห่วงแม้ตัวเองจะเหนื่อยแค่ไหนนะ ฉะนั้นเพิ่งเริ่มต้นอย่าเพิ่งกลัวเหนื่อย 
อาจารย์ให้ผลไม้หน่อยนะ อาจารย์ให้ผลไม้อะไรดี (สาลี่)  จริงๆ แล้วผลไม้ไม่มีค่าเท่ากับหัวใจของศิษย์ ถ้าอาจารย์ให้ผลไม้อาจารย์ยังอยากบอกว่าผลไม้นี้ค่ายังเทียบไม่ได้กับหัวใจ ของศิษย์ที่มุ่งมั่นแข็งแกร่ง ที่ลำบากก็ไม่ยอมแพ้ ทำจนสำเร็จทำจนได้ ฉะนั้นมุ่งมั่นต่อไปให้ถึงที่สุดนะ ผลไม้ก็เพียงแค่กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์ว่าผลไม้ที่อาจารย์ให้ยังยิ่งใหญ่ไม่เท่าหัวใจของศิษย์ที่เสียสละนะ มุ่งมั่นต่อไปนะ ยังต้องอุทิศเสียสละอีกยาวนะ ฉะนั้นตั้งใจให้ดีให้ถึงที่สุด อย่าพ่ายแพ้แค่คำพูด อย่าถอยหลังเพียงเพราะสิ่งขัดใจ
ต้องอดทน ทำดีให้ได้ ใช่หรือไม่ ครบแล้วนะฝ่ายหญิง ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เข้มแข็งแล้วเดินต่อไป ปาดน้ำตาลุกขึ้นสู้เดินต่อไปนะศิษย์เอย  ตั้งใจดีไปให้ถึงที่สุดนะ ที่เหลือดูแลกันต่ออีกนะศิษย์เอย ทำให้ดีทำให้ถึงที่สุดนะ ได้หรือไม่
อาจารย์ พูดตั้งแต่ต้นเรื่องธรรม คุณธรรม สัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจสามสิ่งนี้ เราจะไม่ทุกข์แต่เราจะมีความกระจ่างแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ว่าเรื่องราวจะพลิกเปลี่ยนแปรผันอย่างไรเราก็จะมีความเข้าใจ ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้าแต่เราเข้าใจว่าคือส่วนหนึ่งของสัจธรรม ที่เรียกว่าธรรมะอันเป็นจริงแห่งชีวิต จำได้ไหม (จำได้) 
ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติ คุณธรรมคือจิตสำนึกดีงามในการแสดงออกที่ปฏิบัติร่วมกันเมื่อเราอยู่กับผู้คน อยากให้เขารัก เราก็ต้องเคารพให้เกียรติ อยากให้เขาให้เกียรติเราก็ต้องรู้จักรักเขาให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์รู้ไหม ปราชญ์โบราณที่เขาออกรบทัพจับศึกกัน กล่าวว่า “ถ้าหมู่บ้านใดรักกันดุจพี่น้อง หมู่บ้านนั้นตีอย่างไรก็ไม่มีวันแตก” ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าคนในสังคมสมัครสมานเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติสนิทมิตรสหาย เราจะทำให้เขาทะเลาะเบาะแว้งกัน เราจะทำให้เขาทุกข์ก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เราอยากทำให้สังคมมีความสุขเราจึงต้องรู้จักรักเขาดุจญาติ เขาก็จะรักเราดุจลูกหลาน ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ เขาก็จะปฏิบัติต่อเราเหมือนเพื่อนสนิท ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถึงเวลาเรามักจะทำไม่ค่อยได้อย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรัก ความเคารพต่อคนอื่นทุกคนก็มี แต่บางทีเพราะกิเลสมันมีมากกว่าจึงอยู่ร่วมกันยาก
กิเลสคือความอยากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่ากิเลสมีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่เวลากิเลสมาทีไรทำไมเราตกเป็นทาสทุกที แล้วอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า กิเลสเกิดขึ้นเพราะความคิดนึกที่คิดว่าตัวเองมีตัวตน กิเลสเกิดขึ้นเพราะความคิดนึกว่าฉันมีตัวมีตน แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เข้าใจสัจธรรม สัจธรรมสอนตนว่าทุกสิ่งล้วนแปรผันไม่เที่ยงและว่างเปล่า ฉะนั้นตัวตนมีไหม (ไม่มี)  คนที่มีกิเลสคือคนที่ไม่เข้าใจธรรมและสัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วตัวตนไม่ได้มีตลอดเวลา จะมีก็ต่อเมื่อโดนกระทบแล้วคิดนึกว่ามันเป็นกู มันด่ากู
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ กิเลสไม่มีตัวตน แต่ความคิดของศิษย์ที่หลงผิด คิดว่ามีตัวตน ก็เลยสร้างกิเลสขึ้นมาเพื่อเอาสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้มาเป็นของตน ทั้งที่ตนก็ไม่มี ของที่จะเอาก็ไม่มีจึงเกิดกิเลสแล้วเกิดโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโลภเกิดเพราะความอยาก กิเลสเกิดเพราะความไม่รู้แล้วหลงยึดถือ แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้แท้จริงว่า ตนก็ไม่มี สิ่งที่อยากก็ไม่มี สิ่งที่โลภ โกรธ หลงก็ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าใจธรรม กิเลสจะหาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะเห็นกิเลส ก็อยาก เหมือนโดนกระทบ โดนตี โกรธไหม (โกรธ) 
กิเลสคือใจที่หลงนึกคิดว่าเรามีตัวตน แล้วคนที่ตีก็มีตัวตน คิดว่าเขาทำไมต้องมาตีฉัน ใช่หรือไม่ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าสัจธรรมเกิดขึ้นจบแล้ว โกรธไหม เกลียดไหม (ไม่โกรธ, ไม่เกลียด)  สัจธรรมเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงเราควบคุมไม่ได้ แล้วเราก็คาดหวังไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะหยุดกิเลสและเราจะเข้าใจตัวตน แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมกิเลสจะก่อเกิดกรรม วิบากกรรมและวัฏสงสารครบวง เช่น “เมื่อเธอตีฉัน ฉันก็จะตีเธอกลับ”
กิเลสจึงก่อกรรม วิบากกรรม และการเวียนว่าย รวมครบเป็นวัฏสงสารที่เรียกว่า “ตัวกู ของกู” ที่ยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันคือธรรมที่เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ขอให้แล้วก็แล้วไปนะ เพราะถ้าศิษย์ไม่แล้วก็แล้วไป ศิษย์จะก่อการจองเวรจองกรรม เกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าอยากหยุดโลภ หยุดกิเลสจงรู้เท่าทันธรรมอันนี้ ไม่ใช่รู้เท่าทันใคร ไม่ใช่ไปจัดการใคร แต่จัดการตัวนี้ที่จริงๆ แล้วมันไม่มี แต่ศิษย์ขี้ตู่ว่ามันมี แล้วชื่อนั้นชื่อนี้ เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าจิตที่เห็นแก่ตัว มองเห็นแต่ตัวจะก่อเกิดการแบ่งแยก แล้วเรียกว่าอันนั้นดี อันนั้นร้าย อันนั้นทุกข์ อันนั้นสุข อันนั้นขอบ อันนั้นชัง แต่ถ้าจิตที่สามารถมองเห็นซึ่งธรรม จะไม่มีคำว่าดีร้าย เธอฉัน ใครเขา เพราะทุกสิ่งคือ ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่โดนกระทบ ถูกด่า ถูกแช่ง ถูกขโมย ศิษย์ก็จะเข้าใจ แต่เกิดมาเพื่อใช้กรรมให้สิ้น และทำหน้าที่ของการอยู่บนโลกให้สมบูรณ์ที่สุด แค่ยืมใช้แล้วก็คืนโลกไป ไม่ครอบครอง ไม่ยึดมั่น ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้ศิษย์คลายจาง นั่นเรียกว่าธรรม แต่สิ่งใดที่ทำให้ศิษย์ยึดเกาะเกี่ยวผูกพัน นั่นคือเรียก โลภ กิเลส  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือตัวศิษย์  แต่ศิษย์บอกว่า อาจารย์ ฟังอาจารย์มาเยอะบางทีมันก็ทำยากนะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เป็นคน ศิษย์ก็ต้องหวังก้าวหน้า ศิษย์เกิดมาทั้งทีชีวิตหนึ่งก่อนตายไปขอให้มันอยากเต็มที่ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปปลง แล้วค่อยตัดทีหลัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอย บางครั้งสายน้ำไหลแล้วเรียกกลับมาไม่ได้ พลาดไปแล้วมันเรียกกลับมาไม่ได้ เราอย่าคิดว่าไม่เป็นไร เกิดมาทั้งทีอยากไปก่อน เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย โลภให้เต็มที่ก่อน เดี๋ยวไปทำดีทีหลัง เหมือนอาจารย์ตบศิษย์แล้ว อาจารย์บอกสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อาจารย์ไปทำบุญขออภัย ศิษย์คิดว่ามันหายกันไหม (ไม่หาย)  มันไม่หายนะศิษย์ 
อาจารย์จึงอยากจะย้ำเตือนศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน ความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต อย่าล้อเล่น เพราะคนเวลามันเจ็บ ขอโทษคำเดียวมันไม่หาย เพราะคนเวลาที่เขาทุกข์ กรวดน้ำคว่ำขันครั้งเดียวมันไม่หาย ใช่หรือไม่
ฉะนั้นก่อนจะมีความอยาก ก่อนจะมีความโลภคิดให้ดี เพราะกรรมมันสร้างมาแล้วแม้แต่พระพุทธะทุกพระองค์ก็หนีผลของกรรมไม่ได้ ฉะนั้นก่อนจะสร้างเป็นกรรมคิดให้ดีก่อนไหม ฉะนั้นอย่าพูดอะไรมั่วๆ นะ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนอาจารย์จับให้เต้นเป็ดนะ ศิษย์เอยถ้าอยู่ในโลกไม่อยากให้คนมาหลอกลวงเราให้เจ็บช้ำเราก็อย่าเผลออย่าโลภ และถ้าเราไม่อยากทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ เราไม่อยากเจ็บช้ำน้ำใจเราก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มันก็เป็นเพียงสังขารอันหนึ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ถึงเวลามันก็ต้องร่วงโรย ถึงเวลามันก็ต้องเจ็บ ถึงเวลาก็ต้องป่วยเป็นธรรมดา  ฉะนั้นถ้าเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง ตายไม่ต้องกลัว เจ็บก็ไม่ต้องทุกข์เพราะมันเป็น       สัจธรรม ถ้าศิษย์ไม่ตาย ศิษย์ไม่เจ็บนี่สิต้องกลัว เพราะจะทำให้ศิษย์อยู่ยงคงกระพันซึ่งใครๆ ก็ตายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ อะไรจะเกิดจงมีสติและคิดว่าดีแล้ว แม้จะถูกด่าก็ดีแล้ว เพราะไม่มีอะไรในโลกมันเที่ยงแท้ แต่สิ่งที่เที่ยงแท้และแน่นอนคือความประจักษ์แจ้งในธรรม โดยคนๆ นั้นรู้จักบำเพ็ญอบรมฝึกฝนใจ จำไม่ได้ฟังบ่อยๆ เดี๋ยวได้เอง เพราะปัญญาไม่ใช่หากันง่ายๆ แต่หาได้โดยการอบรมธรรม ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดขอให้คิดไตร่ตรองให้ดี มองให้เห็นธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม เจอเรื่องใดมากระทบจงใช้หลักสัจธรรม และที่สำคัญอย่าเบียดเบียนกันด้วยคำพูด วาจา และความอยากที่ไม่น่าจะเป็นเลยนะ เพราะจิตลึกๆ ของทุกคนล้วนต้องการคนที่เมตตา คนที่รัก ฉะนั้นถ้าพูดแล้วไร้เมตตา พูดแล้วเหมือนคนไม่รักกันไม่พูดดีไหม ถ้าทำแล้วทำให้เรากลายเป็นคนโลภ ทำให้เรากลายเป็นกิเลส ทำให้กลายเป็นความหลง อย่างนั้นรู้จักหยุดยั้งบ้าง ได้หรือเปล่า อาจารย์ไม่หวังศิษย์ต้องเป็นคนดี แต่อาจารย์หวังศิษย์เป็นคนที่พยายามไม่ทำชั่ว อาจารย์ไม่อยากได้ศิษย์คนดี แต่อาจารย์อยากได้ศิษย์คนที่ไม่คิดชั่วทำชั่ว และแอบสูบบุหรี่ลับหลังอาจารย์ ตัวตนมันเกิดก็เพราะบุหรี่แค่ซองเดียวและบุหรี่ซองนี้ก็เป็นโซ่ที่คอยฟาด แล้วก็ทำให้เราต้องทุกข์กับการเจ็บปวดในสังขารและก็หนีไม่พ้นการเวียนว่าย ตายเกิดที่เรียกว่านรก
ฉะนั้นไม่มีใครฉุดศิษย์ให้พ้นทุกข์ได้นอกจากตัวศิษย์เอง อาจารย์กลับแล้วนะ เดี๋ยวศิษย์ของอาจารย์จะหิวข้าว (ไม่หิว)  แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะ ทุกข์เมื่อไหร่กลับมาหาอาจารย์นะ อาจารย์จะช่วยปัดเป่าให้ศิษย์เข้าใจและกระจ่างและรู้ว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ขอแค่ตั้งใจไม่ทำชั่วนั่นก็มีอาจารย์อยู่ในใจศิษย์ทุกวันแล้ว ไหว้อาจารย์ไม่สู้เอาอาจารย์มาเป็นตัวศิษย์นะ อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับแล้วนะ มีทุกข์เมื่อไหร่จำไว้นะศิษย์มีอาจารย์คอยปลอบใจ คอยทำให้ศิษย์เข้าใจในทุกข์และพ้นทุกข์นะ โลกน่ากลัวหรือเปล่าอาจจะไม่เท่ากับหัวใจที่ไม่สู้กับความทุกข์นะ อย่าทุกข์อีกนะมีสตินะ แข็งแรงเข้มแข็งนะ รู้จักดำเนินชีวิตให้ดีอย่าปล่อยให้ความรักความหลงทำให้เราหลงทาง รู้จักรักตัวเองให้เป็นไม่มีใครรัก เราก็รักตัวเองได้ และรู้จักแบ่งความรักให้คนอื่น อันนั้นประเสริฐกว่ารอคนมารักนะ เป็นคนดีเป็นเด็กดีไม่เป็นเด็กดื้อของอาจารย์นะ มีทุกข์เมื่อไหร่กลับมาหาอาจารย์นะ เก่งจังเลยศิษย์น้อยของอาจารย์อยู่จนครบ

อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก เป็นศิษย์อาจารย์แล้วต้องเข้มแข็งอดทน ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ต้องฟันฝ่าให้ได้นะ  ผ่านมาแล้วทุกอย่างจิตยังมั่นคงเสมอนะ ฝึกอบรมจิตใจให้แข็งแกร่ง อย่าพ่ายแพ้ต่อกิเลส อย่าใจร้อน มีสติ รู้จักคิด ขยัน ใช่หรือไม่ ปฏิบัติดีทำให้ถึงที่สุด อะไรถูกต้องรักษาไว้ อะไรไม่ดีรีบแก้ไข ใช่หรือไม่ รักษาสิ่งที่ดีให้คงอยู่ แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้หมดสิ้น ปัญญามีเพราะรู้จักมีสติแต่ปัญญาจะหายเพราะมีทิฐิ  รู้จักคิดรู้จักทำนะ
ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วใช่ไหม ที่เหลือคือทำให้ดีเพื่อคนที่เขากลับไปแล้วนะ แข็งแกร่งให้ได้เพื่อนำพาเขา เข้มแข็งแล้วนะ อย่าหาเรื่องลำบากมากนะศิษย์เอย ใจเย็นๆ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ ทุกข์เมื่อไรกลับมาหาอาจารย์นะ อาจารย์จะได้ช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์นะ

    พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สายธารแห่งธรรม”
       มาร่วมแรงร่วมพลังเพียรอุตส่าห์                    ทุกหยาดหยดเหงื่อน้ำตามีความหมาย
สัมฤทธิ์ผลยิ่งใหญ่สมตั้งใจ                                 ทุกย่างก้าวอุทิศให้เพื่อประชา
ฝึกตนดั่งธารนทีที่ใสเย็น                                     สะท้อนเป็นภาพความจริงที่ยิ่งกว่า
หลั่งรินไหลอย่างอ่อนโยนด้วยเมตตา                     ธารแช่มช้าแต่ชนะอย่างนุ่มนวล

       ใช้ธรรมนำธรรมสู่จิต                                   จูงจิตคนหลงคืนหวน
ใช้ธรรมนำทางโดยด่วน                                       ชี้ชวนคนหลงคืนมา


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา