西元二○一六年歲次丙申三月初二日 仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
สายธารหลั่งรินไหลเพื่อประชา จิตศรัทธาก่อนาวาธรรมวิถี
ธรรมหล่อหลอมมวลคนบุญขึ้นดรี[๑] สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดกว้างไกล
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ขอร่วมแสดงความยินดีในโอกาสเรือธรรมลำนี้
ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
เทพคนมาร่วมทุกทิศยินดี คนสามัคคีลงแรงอุตส่าห์เพียรสำเร็จ
ร่วมนาวาร่วมพลังเพียรหยาดเพชร ความสำเร็จปูด้วยหยาดเหงื่อน้ำตา
คนต้องมีน้ำตาเหงื่อทุกชีวิต ก่อนจะสัมฤทธิ์หมายความถึงปัญหา
กรรมส่งผลคนบำเพ็ญเปลี่ยนชะตา ใช้ปัญญายิ่งใหญ่สมรับธรรม
กายใจตั้งอุทิศให้การบำเพ็ญ ฝ่าลำเค็ญใจก้าวเพื่อข้ามน้ำ
ในทุกทุกย่างประชาเป็นลำนำ การกระทำคำพูดฝึกตามครรลอง
จิตใจที่ใสเย็นเป็นคันฉ่อง บัณฑิตมองภาพความจริงทิ้งมายา
เข้าใจธรรมยิ่งกว่าต้องปฏิบัติ ความสามารถไหลรินหลั่งไม่ปรารถนา
การบำเพ็ญด้วยอ่อนโยนเป็นผู้กล้า เคร่งครัดแต่ว่าอย่างเมตตาธรรม
ฮา ฮา หยุด
[๑] ดรี : เรือ
[๒] กำพืด : เถือกเถา, เหล่ากอ
“สายธารหลั่งรินไหลเพื่อประชา จิตศรัทธาก่อนาวาธรรมวิถี
ธรรมหล่อหลอมมวลคนบุญขึ้นดรี สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดคนไกล”
โปรดคนไกลดีหรือโปรดคนใกล้ดี (คนใกล้ไม่สนใจ) คนใกล้ไม่สนใจหรือ อย่างนั้นเปลี่ยนเป็น “สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดกว้างไกล” ดีกว่านะ มนุษย์มักจะลืมคุณค่าคนที่อยู่ใกล้ชิด มัวแต่ห่วงกังวลกับคนที่อยู่ห่างไกล หรือลืมไม่ก็ดูแลคนใกล้มัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเองก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต เอาไปใช้กับผู้คนและก็เอามาใช้กับตัวตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ก่อนที่จะพูดเรื่องธรรมะคืออะไร ธรรมะเป็นอย่างไร บางครั้งเราอาจจะพูดว่า “แค่ตัวเราเองยังไม่ค่อยรู้จักเลย จะรู้จักธรรมยิ่งเป็นเรื่องยาก
ฉะนั้นก่อนที่จะรู้จักธรรม มารู้จักใจตัวเราเองก่อนดีไหม (ดี) เพราะว่าบางทีสายธารไหลแล้วเรียกกลับคืนไม่ได้ คนเราพอเสียความรู้สึกแล้ว ให้ดึงความรู้สึกกลับมาให้ดีเหมือนเก่าก็ยาก เหมือนความรู้สึกเราเสียไปแล้ว ให้กลับมาดีเหมือนเดิมง่ายไหม (ไม่ง่าย) เหมือนความรู้สึกเราตกแล้ว แย่แล้วจะดึงให้กลับมาดี ให้เข้มแข็งเหมือนเดิม ยากไหม (ยาก) ฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้เท่าทันใจเราได้และสามารถหยุดยั้งก่อนที่ใจเราจะแย่ ใจเราจะตกได้ ก็คงดีไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางทีใจของคนนั้นเมื่อตกแล้วจะให้กลับขึ้นมานั้นยาก แต่เมื่อดีแล้วให้ตกนั้นง่ายกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฟังธรรมแล้วจิตสงบหรือฟังธรรมแล้วยิ่งง่วง (สงบ) อยู่บ้านไม่เห็นเรียบร้อยอย่างนี้เลยนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ในห้องพระมีพิธีรีตองมาก แต่พิธีรีตองก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพิธีรีตองที่ดูว่าเยอะนั้นเป็นสิ่งที่เราควรจะมีไว้ในบ้าน มีไว้ในใจที่เราควรจะปฏิบัติกับคนในบ้านหรือเปล่า หรือกับเพื่อนร่วมงานหรือไม่(ควร) เพราะสังคมในปัจจุบันนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใส่ใจซึ่งกันและกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่ลึกๆ แล้วเราทุกคนก็อยากมีคนรัก คนห่วง คนดูแล แต่เรากลับปากหนัก ใจเบา พูดไม่ค่อยเป็นแต่ขี้น้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ารอให้คนอื่นเริ่ม แต่จงเริ่มที่ตัวเรา อย่ามัวแต่เรียกคนอื่น แต่จงเรียกที่ใจของเรา อย่ามัวแต่ร้องขอคนอื่นแต่จงร้องขอและเริ่มต้นที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตสงบ จิตที่มีความสุข ย่อมนำพาให้คนที่อยู่รอบข้างสงบและสุข แต่จิตที่วุ่นวาย จิตที่ร้อนลุ่มแม้ไม่พูดคนที่อยู่ใกล้ก็รับรู้
ขอถามว่าใจของเรากับสิ่งแวดล้อม อะไรมีอิทธิพลมากกว่ากัน (ใจของเรา) แล้วระหว่างตัวเรา ใจเรา กับคนอื่น ใจคนอื่น อะไรที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บช้ำมากกว่า (ตัวเรา) จริงหรือ โดยส่วนใหญ่จะโทษว่าสภาวะแวดล้อมทำให้เราง่วง ใช่ไหม ไม่เกี่ยวกับใจเราเลยใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) เขาทำให้เราโมโห ไม่เกี่ยวกับเราเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เราถามว่าเวลาเราอยู่ในโลก สิ่งแวดล้อมหรือใจเราที่มีผลให้เราหงุดหงิด ขี้โมโหง่าย (ใจเรา) เช่นนั้นหรอกหรือ โดยส่วนใหญ่แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือ ไม่เคยโทษแวดล้อม ไม่เคยโทษคนอื่น โทษตัวเองทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่) ทำไมตอบเราได้ดี แต่ปฏิบัติเป็นสิ่งตรงข้าม บางครั้งเราบอกว่าไม่เป็นไรหรอก โกรธกัน ว่ากัน โทษกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน จะเอาอะไรกับคน แต่เวลาโดนเขาโกรธ โดนเขาว่า โดนเขาทำร้าย ทำไมไม่พูดว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์เล่า จริงไหม (จริง) เรามีเหตุผลให้กับตัวเองเสมอเมื่อตัวเองผิด บางครั้งเราก็รู้ตัวว่าตัวเองผิด แต่บางครั้งความผิดนั้นเรากลับห้ามใจตัวเองไม่เคยได้ แล้ววิธีที่เราแก้เมื่อห้ามใจตัวเองไม่ได้ก็คือ โทษคนอื่น โทษสิ่งแวดล้อม เพื่อความสบายใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) แล้วผลสุดท้ายโลกนี้มันเป็นโลกของเหตุผล ใครสร้างเหตุอย่างไรก็ต้องรับกรรมเช่นนั้น คุณว่าเขามา คุณก็ต้องโดนเขาว่ากลับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราอยากหยุดเหตุ อยากหยุดความทุกข์ อยากหยุดความเลวร้าย ไยจึงไม่หยุดที่ใจ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ แต่โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ไยจึงไม่หยุดเหตุ ไยจึงมัวแก้แต่ผล แก้แต่ปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม ท่านกล่าวไว้ว่า “ถ้าใจเราสงบทุกคนก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าใจเราสอดรู้สอดเห็น ทุกคนก็มีข้อผิดพลาดและเลวร้าย”
เมื่อจิตเรานิ่งทุกส่วนในร่างกายย่อมสงบ แต่เมื่อจิตเราวุ่นวายทุกส่วนในร่างกายย่อมขาดสมดุล
เมื่อจิตไม่สว่างก็ยากยังความกระจ่างให้กับชีวิต เมื่อจิตไม่สงบก็ยากจะมีชีวิตหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ถูกหรือไม่ (ถูก) อย่างนั้นแปลว่าถ้าใจเราถูกต้อง ใครล่ะจะเกินเลยไป
ถ้าใจเราสงบ ใจเราดี ทุกอย่างก็สว่าง ทุกอย่างก็ดี แต่ถ้าใจเราสอดรู้สอดเห็นทุกอย่างก็มีข้อบกพร่องให้จับผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงมีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้าใจไม่สว่างก็ยากจะยังความสว่างให้กับชีวิต ถ้าใจไม่สงบก็ยากที่จะหยัดยืนอยู่บนโลกได้อย่างมั่นคง” ถูก หรือไม่ (ถูก)
เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ ท่านว่าฟ้ากว้างไหม (กว้าง) โยนหินก้อนใหญ่ที่สุดขึ้นไปบนฟ้า ใหญ่ขนาดไหนเมื่อขึ้นไปบนฟ้าก็ดูเล็กนิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) โยนสิ่งสกปรกสูงมากแค่ไหน แต่ฟ้าก็ยังสะอาดเป็นฟ้าเช่นนั้นไป สิ่งสกปรกก็ยังสกปรกอย่างนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจของมนุษย์กว้างพอ ยิ่งใหญ่พอ จะมีใครที่แย่ ใครหรือที่ไม่ดี ใครหรือที่เกินไป ถ้าใจของเราเมตตาพอ ยิ่งใหญ่พอ ใครหรือที่เราจะอดทนอดกลั้นไม่ได้ ใครหรือที่เราจะรู้สึกแย่และไม่ดี จริงไหม (จริง) เพราะสิ่งที่เราพูดง่าย แต่ถึงเวลาน้อยคนนักทำได้ ถ้าใจเราไม่มีความจำกัด ไม่มีแบ่งชังแบ่งชอบ แบ่งดีแบ่งร้าย แบ่งทุกข์แบ่งสุข แบ่งดูถูกเหยียดหยาม ใจเรามันหาที่สุดไม่ได้ แม้จะมีอะไรเข้ามาและอะไรจะสกปรกแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้เราสกปรกไปได้ เพราะน้ำสะอาดของเรามีอยู่เต็มเปี่ยม ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจของมนุษย์กว้างใหญ่เมตตาพอ ยิ่งใหญ่พอ ถูกต้องและมีธรรมพอ ไม่มีใครในโลกที่ผิดที่แย่และเลวร้ายจริงๆ แม้คนที่เลวที่สุดฟ้ายังให้โอกาส มนุษย์บอกว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรม คนบางคนเลวจะตายทำไมมันยังอยู่ เราดีแสนดีทำไมยังเจ็บช้ำอยู่อย่างนี้” ใช่ไหม (ใช่) เป็นเพราะอะไรหรือ ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราควบคุมใจได้แม้ภาวะที่ลำบากที่สุด หรือแม้แต่ภาวะที่สบายที่สุด ถ้าเราคุมใจไม่ได้ก็สามารถทำให้เราทุกข์ไม่ต่างกันเลย จริงไหม (จริง)
ถามท่านว่าเมื่อภาวะที่บ้านเรากำลังยากแค้น เศรษฐกิจตอนนี้หากินลำบากไหม (ลำบาก) เมื่อลำบากถ้าต่างคนต่างไม่ช่วยกันก็ยิ่งลำบากใหญ่ใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมบางคนเมื่อชีวิตลำบากต่างคนต่างเอาตัวรอด แต่ทำไมบางคนชีวิตยิ่งลำบากเขายิ่งสมัครสมานกลมเกลียวกัน นั่นเพราะแวดล้อมหรือเพราะใจ (ใจ) ในทางกลับกันบางทีที่บ้านแสนจะสุขสบายทุกคนน่าจะสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่คนในบ้านต่างคนต่างแก่งแย่งฉกฉวยผลประโยชน์เข้าหาตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมไม่น่ากลัวเท่ากับใจของคน ถ้ามนุษย์ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ใจของมนุษย์จึงน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อมใดๆ ในโลกนี้อีก ถูกไหม (ถูก) เหมือนวันนี้ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้ นั่งไปก็ไม่สุข นั่งไปก็บ่นตัดพ้อว่าคนชวนมา ใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมไม่น่ากลัวเท่าใจที่ควบคุมไม่ได้ เพราะใจที่ควบคุมไม่ได้ ดูแลใจตัวเองไม่ได้ แม้สิ่งที่สุขที่สุดก็อาจจะกลายเป็นทุกข์และยุ่งยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีสำนวนๆ หนึ่ง “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม แต่อีกคนหนึ่งตาแหลมคมเห็นดาวพร่างพราย” ถ้าเราคุมใจไม่ได้ เราก็ต้องจับให้อยู่ว่า ใจนั้นชอบไหลไปกับอะไร เหมือนกับคนๆ หนึ่งมองเรื่องราวๆ หนึ่ง บางคนเห็นดาวพร่างพราย แต่บางคนกลับเห็น (โคลนตม) ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้ววันนี้นั่งฟังธรรมะ ท่านเห็นดาวระยิบระยับหรือว่าเห็นโคลนตม
ยิ่งฟังแล้วยิ่งสบาย ใจเปิดกว้าง หรือยิ่งฟังแล้วหดหู่หม่นหมอง ซึมเศร้า เบื่อหน่าย แล้วเมื่อสักครู่ที่ได้ฟังมา มองเห็นตมหรือเห็นฟ้ากว้าง (เห็นฟ้ากว้าง)
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากเรารู้จักควบคุมใจของเรา สิ่งร้ายก็จะกลายเป็นดี แต่ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้สิ่งที่ดีก็จะกลายเป็นร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากเราจะรู้จักใจเราแล้ว เราต้องรู้ทันใจเราด้วยว่าใจเราชอบไหลไปกับอะไร ไหลขึ้นสูงหรือไหลลงต่ำ ไหลคิดดีหรือไหลคิดร้าย ไหลตามอารมณ์หรือไหลจมกับความคิด ใจไหลขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ขึ้นสูง) เราเพิ่งรู้ว่าที่แล้วมานั้น ที่ดำเนินชีวิตมานั้นท่านคิดดีตลอดเลยใช่หรือไม่ อย่างนั้นลองถามคนที่คิดสูง คิดดี ว่าใจไหลไปตามความคิดได้ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ระหว่าง “ความคิดกับอารมณ์” ใจเราชอบสิ่งใดมากกว่ากัน และระหว่างอารมณ์กับความคิดสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วน่ากลัวมากกว่ากัน (อารมณ์) จริงหรือเมื่อความโกรธมาชั่วครู่แต่ความคิดโกรธแล้วโกรธอีก
ใช่หรือไม่ (ใช่) โมโหด่าเขาครั้งเดียว แต่ก็จำคิดอยากด่าแล้วด่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะความคิดหรือเพราะอารมณ์ (ความคิด) ฉะนั้นถ้าเราควบคุมไม่อยู่เราก็จะควบคุมเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เราก็จะควบคุมใจของเราไม่ค่อยได้สักครั้งเดียว ความคิดเป็นตัวนำชีวิต คิดอย่างไรชีวิตก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอารมณ์น่ากลัวแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความคิดที่ไม่ยอมปล่อยอารมณ์ และความคิดที่ลืมอารมณ์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นความคิดของใจมนุษย์จึงเหมือนกรงขังก็ได้ หรือเป็นสะพานข้ามฝั่งก็ได้ คิดดีก็มีสุข คิดไม่ดีก็มีทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่) โมโหด่าเขาครั้งเดียว แต่ก็จำคิดอยากด่าแล้วด่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะความคิดหรือเพราะอารมณ์ (ความคิด) ฉะนั้นถ้าเราควบคุมไม่อยู่เราก็จะควบคุมเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เราก็จะควบคุมใจของเราไม่ค่อยได้สักครั้งเดียว ความคิดเป็นตัวนำชีวิต คิดอย่างไรชีวิตก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอารมณ์น่ากลัวแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความคิดที่ไม่ยอมปล่อยอารมณ์ และความคิดที่ลืมอารมณ์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นความคิดของใจมนุษย์จึงเหมือนกรงขังก็ได้ หรือเป็นสะพานข้ามฝั่งก็ได้ คิดดีก็มีสุข คิดไม่ดีก็มีทุกข์
แต่ธรรมะกลับสอนอีกอย่างว่า “พ้นจากคิดดีคิดชั่ว สงบและเย็นนั่นคือพระนิพพาน” แต่มนุษย์ไม่เคยไปถึงเลย วนอยู่กับคิดดี คิดชั่ว พุทธะท่านบอกว่า “พ้นจากคิดดีคิดชั่ว นั่นคือสงบอิสระและนิพพานอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ได้” ร้ายก็ไม่คิด ดีก็ไม่หวัง ขอแค่รู้เท่าทันและเท่านั้นเอง เขาจะโกรธจะเกลียดก็ไม่เป็นไรเพราะว่า เราทำดีที่สุดแล้วทำไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เราไม่ทำกลับ ไม่โกรธกลับ ใจสงบ จบ อิสระ ปล่อยวาง จะดีกว่าหรือไม่
ฉะนั้นพุทธะจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า เหนือกว่าความคิดคือการรู้เท่าทัน ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดมั่น แค่ยอมรับและมองเห็นความเป็นจริง วิชาธรรมะยากหรือไม่ ถ้าเรารู้ทันได้ เราจะจบเหตุแห่งการเวียนว่าย ในหนึ่งขณะที่เราดำเนินชีวิต ถ้าเราสามารถจบได้ สงบได้ วางได้เราจะหยุดการเวียนว่ายในทุกขณะที่มีชีวิต แต่มนุษย์กลับมองว่า เรื่องนิพพานเป็นเรื่องไกล เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา แต่วันนี้รู้แล้วยากไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากเลย ใช่ไหม ขอแค่เพียงรู้เท่าทันความคิด ไม่ต้องเปลี่ยนใคร ไม่ต้องเปลี่ยนโลก ไม่ต้องหวังใคร ไม่ต้องหวังโลก แค่รู้จักเท่าทันใจตัวเอง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สงบ จบและอิสระ มีเท่านี้ สวยไม่สวยไม่เป็นไร รวยไม่รวยไม่สำคัญ แต่สำคัญวันนี้ทำได้ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะพูดอย่างไรคงห้ามกันไม่ได้ และถึงเวลาเราจะหวังให้สำเร็จก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่
เพราะชะตาชีวิตล้วนต้องมีเหตุปัจจัยเนื่องหนุนกัน เราพูดดีอย่างหนึ่ง ถามว่าในชั้นเข้าใจเราทั้งหมดแล้วดีทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนเรายิ้มให้ท่านคนหนึ่ง แล้วหวังให้ทุกคนยิ้มตอบเราเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ถึงเวลาชีวิตเจอปัญหาจริงๆ ทำไมเราจึงมองไม่เห็น เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความรู้สึก เพราะเมื่อใดที่มนุษย์ไม่สามารถปล่อยวางความคิดและความรู้สึกได้ มนุษย์จะไม่มีปัญญาเข้าถึงความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรมอันเป็น “เช่นนั้นเอง” ได้สักครา
ฉะนั้นแก่ก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เพราะเป็นสัจธรรมที่เป็นจริงทุกชีวิต เมื่อเห็นหนึ่งก็สามารถเห็นสอง สาม สี่ ได้ เพราะทุกสิ่งก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราถามท่านนะ คนที่ทำท่านเจ็บช้ำเขาด่าท่าน จบไปนานหรือยัง (นานแล้ว) แล้วใจท่านจบไหม คนที่ยืมเงินท่านไปนานแล้วแต่ยังไม่คืน ยืมไปเสร็จหรือยัง (เสร็จแล้ว) จบไหม (ไม่จบ) ทำไมไม่แปรบาปให้เป็นบุญ แปรบุญให้เป็นกุศล ไม่เกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมกันเล่า ยืมไปถ้าไม่ให้อภัยก็เป็นจองเวร แต่ถ้าให้อภัยก็เป็นทำทาน แต่ถ้าเกิดให้ไปแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตนก็กลายเป็นกุศล ยืมเงินเราไปแล้ว เวลาเจอหน้ากันกลับทำเหมือนไม่รู้จักกัน แต่เราก็คิดแค่เพียงดีแล้วได้สละตัวตน นั่นก็คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าตัวตนไม่มีให้ยึดถือ ให้จนทำให้เราเข้าถึงความปล่อยวาง หรือเรียกว่าเย็นสงบนิพพาน ทำไมไม่ทำกันหนอ
คิดไม่ได้ คิดไม่เป็นก็กลายเป็น โกรธ เกลียด กิเลสวิบากกรรม และวัฏฏะสงสาร แต่ถ้าคิดได้ คิดเป็น วางเป็น สงบเย็น กิเลสไม่มี กลายเป็นกุศล สงบเย็นกลายเป็นพระนิพพานตัดเหตุแห่งการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารสองเรื่องนี้ช่างต่างกัน ราวฟ้ากับดินเลยนะ จริงไหม (จริง)
การบำเพ็ญธรรม การดำเนินชีวิตสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การควบคุมใจ ถ้าควบคุมใจได้ ดูแลใจเป็น ใจเราไปอยู่ที่ใดก็ยากที่่จะยังความทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ แม้แต่ที่ที่แย่ที่สุด ถ้าเราควบคุมใจเราได้ดี ควบคุมใจเป็น ที่ที่แย่ที่สุดกลับสามารถก่อเกิดวีรชนที่หาญกล้าได้ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของใจจึงไม่ใช่อยู่ที่อารมณ์ แต่อยู่ที่รู้เท่าทันความคิดตัวเองหรือไม่ ถ้าแม้แต่ใจก็หยุดไม่ได้ ความคิดก็ยิ่งยากหยุด การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า ถ้าเราควบคุมใจได้ จิตสงบก็ยังความบริสุทธิ์ให้กับทุกๆ สิ่ง แต่ถ้าจิตไม่สงบก็นำพาให้ทุกสิ่งวุ่นวายได้เฉกเช่นเดียวกันไม่ว่าเหตุการณ์ นั้นจะดีหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ขอถามท่านว่าสุขกับทุกข์อันใดเที่ยงแท้ (ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้) เมื่อไม่เที่ยงแท้ ถ้าวันหนึ่งชีวิตจากสุขเป็นทุกข์รับไหวไหม (ไม่ไหว) แปลกนะมนุษย์ถามอะไรรู้หมด ถามอะไรตอบได้หมด แต่ทำไมกลับนำไปใช้กับชีวิตไม่ได้ล่ะ เพราะเราขาดอะไรหรือ ขาดสติไหม ขาดการยั้งคิดหรือเปล่า และที่น่ากลัวที่สุดคือเราไม่เคยควบคุมใจเราได้เลยสักครั้งหนึ่ง จริงหรือไม่ รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ทำใจไม่ทันทุกที ทุกคนก็รู้ว่าเรา ต้องคิดดี ต้องพูดดี แต่พอถึงเวลาโมโหขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง ดีหายไปไหนหมดนะ ฉะนั้นที่เราคุมไม่ได้คือใจ ธรรมะจึงสอนว่า “หยุดนิ่งด้วยสติ” ก่อนจะโทษเขาหันกลับมาโทษเราก่อน ดีไหม (ดี) เรายกตัวอย่างง่ายๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาเป็นตัวอย่าง โดยให้ทุกคนยืนนิ่งๆ ให้ตรงเส้นที่ท่านบอก และไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว) เป็นธรรมดาของมนุษย์ต้องเคลื่อนไหวต้องกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ควบคุมให้อยู่นิ่งอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ถามท่านว่าทำไมชอบหวังให้คนอื่นเป็นดังใจ แล้วทำไมหวังให้คนอื่นรักแล้วต้องรักเลยห้ามเปลี่ยนใจ ห้ามขยับเขยื้อนไปไหน แล้วทำไมหวังว่ามีเงินอย่างไร เงินต้องอยู่อย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่) หวังว่าบ้านสร้างมาแล้ว อยู่ตรงไหน กลับมาบ้านต้องอยู่อย่างนั้น ได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมทีเรื่องคนอื่นรู้หมด แต่เวลาถึงเรื่องตัวเองกลับจุกอกล่ะ แต่ถ้าเรากับใครๆ เขา เราปฏิบัติต่อเขาให้เหมาะสมแล้วถึงที่สุดเขาอยากจะสะเปะสะปะไปทางนู้น ไปทางนี้ หรือไปทางนั้น หรือไม่กลับมาเลย ไปตามทางของเธอ โกรธได้ไหม (ไม่ได้)
อย่างที่เราบอกคิดดีคิดได้เป็นบุญ คิดดี คิดสงบเป็น เย็นใจเป็นก็คือนิพพาน คิดดีคิดไม่ได้ก็ตกนรกทั้งเป็น ก่อเกิดเป็นกิเลสวิบากกรรมไม่จบสิ้น “ทำไมไม่กลับมา ทำไมไม่อยู่ตามทิศทางที่ควรจะเป็น” ทำไม แล้วก็ ทำไม แล้วใครจะตอบได้ จนกว่าเราจะวางความคิด ความรู้สึกและหันมามองความจริงด้วยปัญญาที่เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทิศทางเป็นของตัวเอง แต่ทิศทางหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราไม่สามารถครอบครองสิ่งใดได้เลยในโลกใบนี้ แม้กระทั่งกายและใจ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้และรู้ได้และนำพาให้เราพ้นได้ คือธรรมะที่นำพาจิตไปสู่ความสว่างและพ้นทุกข์
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก คงได้มาร่วมบุญกันอีก อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง ขอเพียงรู้เท่าทันความคิด ควบคุมความคิดให้ได้ ชีวิตก็จะไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใจคนยังใฝ่ความดี แค่มีธรรมย่อมสื่อถึง
ปลุกจิตเดิมแท้คะนึง ถึงธรรมที่เคยห่างไกล
หวนธรรมดั่งหวนคืนบ้าน สงบเบิกบานใจหมาย
แจ่มใสร่มเย็นสบาย สิ้นกายคงเหลือซึ่งธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนเหนื่อยไหม
ธารเชื่องช้าแช่มช้อยธารแช่มชื่น อสูรหมื่นชนะธรรมน้ำดำคร่ำ
แต่ทุกสิ่งใช้ธรรมเป็นสัจธรรม ธารลำนำนุ่มนวลสู่วิถีเดิม
ภายในจิตคนหลงคืออวิชชา ไร้ปัญญาจูงจิตคืนซ้ำฮึกเหิม
คนเรียกหวนนำทางยิ่งเหิมเกริม หะแรกเริ่มใช้ธรรมโดยขาดเข้าใจ
เมธีมาชวนกันเป็นเมธี เลิกวิธีชี้คนด่วนไม่ได้
ชวนคนหลงคืนมาทำอย่างไร ต้องเข้าใจหลักธรรมจริงบำเพ็ญจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ่งที่มนุษย์บอกว่าหอม เช่นแอปเปิลหอมไหม (หอม) แล้วถุงเท้าอาจารย์ล่ะ อันไหนหอม อันไหนเหม็น (แอปเปิลหอม ถุงเท้าอาจารย์เหม็น) อาจารย์ถามศิษย์ระหว่างหอมกับเหม็น เอาอันไหน (หอม) ถึงว่า มนุษย์ก็วนเวียนว่ายอยู่ในโลกนี้ก็เพราะหลงความหอมนี่เอง หอมแล้วมันทำให้เราต้องติด ทำให้เราปลงไม่ตก แล้วทำให้เราอยากแล้วอยากอีก บางครั้งของหอมไม่สู้ของเหม็นแล้วพยายามทำให้มันสะอาด แล้วอย่าได้เหม็นอีกเลย(จริงไหม) ถ้าให้ศิษย์เลือกเอาอะไร (แอปเปิล) อาจารย์ก็ว่าแล้วอย่างไรศิษย์ก็ต้องอยากได้แอปเปิลมากกว่าถุงเท้าอาจารย์ แต่เมื่อไรศิษย์ได้ยืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง นานๆ เข้าศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่หอมที่สุด บางครั้งมันก็ทำให้เราเหม็นและช้ำใจที่สุดนะ
สิ่งที่ศิษย์ปรารถนาว่าดูดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุด มีค่าที่สุด ก็ทำศิษย์เจ็บช้ำใจมากกว่าถุงเท้าของอาจารย์อีกนะ เพราะมนุษย์ปรารถนาสิ่งที่หอม สิ่งที่สวย สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์ ผลสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้น และตกเป็นทาสของสิ่งที่หอม สิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์ แล้วก็รบราฆ่าฟันกัน ทิ่มแทงทำร้ายกัน แล้วก็แก่งแย่งชิงชังกัน เพียงเพราะว่าหอม ดี มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรในโลกที่ศิษย์บอกว่าดี สวย พอศิษย์มีแล้วก็ไม่อยากได้อีก ศิษย์เจ็บแล้วศิษย์จะวางได้แต่ไม่เห็นศิษย์จะวางได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าคิดจะมี มีอย่างไรที่จะไม่ทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำศิษย์ทุกข์ และไม่ทำให้ศิษย์ตกเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้น
แค่ศิษย์มีสติคิดให้ได้ ทำอะไรใช้ปัญญา แค่ให้ศิษย์รู้จักเป็นนายเหนือวัตถุ เหนือกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถึงเวลาทำได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกให้เอาถุงเท้าของอาจารย์ไปเถอะ เอาไหม (เอา) อย่างนั้นเรามาเรียนเรื่องถุงเท้าของอาจารย์ ดีไหม (ดี) ว่าสิ่งที่ดูสกปรกที่สุด ถ้าเราทำให้สะอาดก็กลับทำให้เรารู้จักใช้ชีวิตได้เป็น และไม่หลงตกเป็นทาสของมัน ดั่งคำว่า “ทุกข์” ที่ศิษย์ไม่อยากเจอในชีวิต ฟอกให้สะอาด มองให้ชัด ทุกข์ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับถุงเท้า ที่ตอนแรกเราเห็นแล้วรังเกียจ แต่ถ้าเราได้สัมผัส ได้เข้าใกล้ เราจะรู้ว่าทุกข์อาจจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองคนได้อย่างแจ่มชัด ว่าเขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็เป็นคนมีทุกข์ เราก็คนมีทุกข์ แล้วเราจะให้เขาทุกข์อีกทำไม แล้วเราจะทำให้เขาเจ็บอีกทำไม ในเมื่อเราก็เจ็บมามากแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวหรือ (ไม่น่ากลัว) อย่างนั้นขอยืมเงินหน่อยนะ แต่ไม่รู้จะคืนเมื่อไหร่ ได้หรือไม่ (ได้) (พระอาจารย์เมตตาให้ศิษย์สองท่านออกมาข้างหน้า ท่านหนึ่งอายุมาก อีกท่านหนึ่งอายุน้อยกว่า) เมื่อสักครู่ให้เลือกถุงเท้ากับแอปเปิลเลือกยาก ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ระหว่างสองแบบนี้เลือกเป็นแบบไหน (เลือกแบบสาว) ศิษย์ของอาจารย์อยากได้แบบไหน (แบบไหนก็ดีทั้งนั้น) แปลว่าแบบไหนก็เลือก ใช่ไหม ถึงเวลาเหี่ยวแล้วก็ต้องรับให้ได้นะ ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า ในโลกใบนี้แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนไม่น่ารังเกียจ และไม่มีอะไรดีกว่าอะไร ทุกสิ่งก็มีคุณค่าในตัวของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) ใครที่เลือกคนสาว ไม่เลือกคนแก่ก็โง่ ใครที่คิดจะเลือกคนแก่ ไม่เลือกคนสาวก็บ้า จริงไหม (จริง) เพราะยังไม่ทันไรเหี่ยวมาตั้งแต่เด็กเลยเอาไหม เป็นไปได้ไหม (เป็นไปไม่ได้) ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ศิษย์ต้องรับให้ได้ทั้งสองอย่าง ฉะนั้นถ้าเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลก ความเข้าใจในทุกๆ เรื่อง เข้าใจในทุกๆ สิ่ง จะทำให้เรา ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรเราก็จะไม่ทุกข์
อาจารย์บอกว่าบางครั้งสิ่งที่สกปรกก็จะทำให้เรารู้ว่า เราต้องพยายามทำสิ่งนั้นให้สะอาด เพื่อต่อไปอย่าได้สกปรกอีก แต่สิ่งที่หอมๆ บางครั้งก็ทำให้เราสกปรกได้โดยไม่รู้ตัว เพราะความอยาก เพราะความโลภ เช่นศิษย์อยากได้แอปเปิลดีที่ราคาถูกๆ ตอนไปซื้อจึงแอบเอามือขีดแอปเปิล แล้วบอกแม่ค้าว่า “นี่ๆ แม่ค้าแอปเปิลเป็นรอยลดราคาให้เดี๋ยวนี้เลย” นี่คือสิ่งที่หอมทำให้เราทำสิ่งสกปรก
ทำงานธรรมะไม่เหนื่อยไม่ท้อใช่ไหม (ใช่) ทำงานธรรมะยังเข้มแข็งเหมือนเดิมใช่ไหม อาจารย์ดีใจได้เจอศิษย์ของอาจารย์
(ฝาปิดน้ำเต้าของพระอาจารย์หลุดออก) ไม่เป็นไรเดี๋ยวอาจารย์จะเอาน้ำเต้าดูดสิ่งชั่วร้ายจากตัวศิษย์ออกมาให้หมด จะได้ไม่เอาสิ่งชั่วร้ายไปทำความชั่วร้ายให้คนอื่น ดีหรือไม่ (ดี) ศิษย์ของอาจารย์ไม่ว่าจะดีแค่ไหนแต่หากไม่สามารถยับยั้งกิเลสของตนเองให้เบา บางได้ คนดีของอาจารย์ก็พร้อมจะเป็นคนบาป คนชั่วร้ายได้ จริงหรือไม่ (จริง) กิเลส คือ ต้นตอของความชั่วร้าย ความชั่วร้ายมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “บาปกรรม”
ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามเป็นคนดีมากแค่ไหน ชอบทำบุญสุนทานมากแค่ไหน ชอบสวดมนต์ไหว้พระมากแค่ไหน แต่ถ้าใจยังโลภ โกรธ หลง คนดีของอาจารย์ก็ยังเป็นคนดีที่มีบาปได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีหรือ อาจารย์ว่าไม่ใช่ แต่ความดีของศิษย์ที่ทำ เป็นดีที่ไม่บริสุทธิ์ เมื่อทำทาน ทำบุญ หากทำแล้วเกิดใจที่โลภแค่นิดเดียว แต่ขอให้รวยๆ บุญก็เป็นที่อิงแอบของกิเลสที่เป็นต้นตอแห่งความชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแค่ตั้งใจทำบุญตักบาตรถวายพระ แต่ก็วอนขอ “ให้ลูกนั้นรวย ขอให้ถูกหวยสองตัว สามตัว” บุญนั้นก็ไม่ใช่บุญที่บริสุทธิ์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่งลง)
ฟังธรรมได้กี่วันแล้ว (สองวัน) ได้ธรรมไปบ้างไหม (ได้) เห็นธรรมบ้างไหม (เห็น) อย่างนั้นอาจารย์พูดให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์ถามนะ เราเป็นธรรมไหม (เป็น) คนข้างๆ เป็นธรรมไหม (เป็น) คนนี้เป็นไหม (เป็น) พัดนี้เป็นธรรมไหม (เป็น) ถ้าตอบขนาดนี้ก็แปลว่าเข้าใจระดับหนึ่ง ธรรมคือสภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์ยึดติดตัวตนจึงเรียกสิ่งต่างๆ แบ่งแยกตามชอบชัง หรือตามที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดเป็นคุณลักษณะ จึงเรียกชื่อต่างกัน แต่พระพุทธะจะเรียกทุกอย่างว่าธรรม ถ้าศิษย์อยากเข้าใจธรรม ก็ต้องมองให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราเห็นธรรมในคน เราก็จะเห็นธรรมในตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกครั้งที่เรามองคน เราก็เห็นคน ไม่เคยเห็นเป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าใจธรรม ศิษย์จงมองคนให้เห็นธรรม เคยเห็นหรือไม่ (ไม่เคย) หรือเห็นแต่ว่าเขานิสัยอย่างนี้ ชอบพูดอย่างนี้ ชอบทำแบบนี้ รู้สึกเบื่อ รู้สึกเกลียดเขา ศิษย์เห็นแต่กิเลสมากกว่าเห็นธรรม เช่นนี้ดีไหม (ไม่ดี) กิเลสเป็นต้นตอของความชั่ว เห็นกิเลสก็เห็นความชั่ว กระจกเป็นอย่างไรก็สะท้อนอย่างนั้น ก็แปลว่าใจเราก็มีความชั่วอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าธรรมคือ สภาวะที่เป็นจริงตามธรรมชาติ อะไรที่เป็นจริงตามธรรมชาติล้วนให้ธรรมทั้งหมด ถ้าเขาด่าก็เป็นธรรม เขาชมก็เป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาเอาแฟนของเราไปก็เป็น (ธรรม) แฟนของเรามีกิ๊กก็เป็น (ธรรม) ใช่หรือไม่
ลูกจะขโมยเงินแม่ก็เป็น (ธรรม) แต่เป็นธรรมที่ไม่ควรทำ ใช่หรือไม่ศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นธรรมจึงสอนต่ออีกว่า นอกจากเราจะรู้เรื่องธรรม แต่อีกธรรมที่ศิษย์จะลืมไม่ได้คือคุณธรรม อยู่ในธรรมตัวนี้แต่เรียกว่าจิตสำนึกแห่งความถูกต้องในการปฏิบัติและร่วมกัน คนที่บอกว่าศิษย์มีธรรมก็พอแล้ว อาจารย์จะบอกว่ายังไม่พอ เพราะเดี๋ยวศิษย์ก็จะอ้างว่าศิษย์มีกิ๊กเป็นธรรมดา ทำถูกทำผิดบ้างก็ธรรมดาใช่หรือไม่ ศิษย์จะชอบอ้างว่าอย่างนี้ก็เป็นธรรม ฉะนั้นมีแค่ธรรมยังไม่พอ ยังต้องมีคุณธรรมที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมมากกว่านั้นอีกคือจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง
ทุกคนบอกว่ามีธรรมก็พอแล้ว ไม่ต้องมีคุณธรรมหรอก เยอะแยะจำไม่ได้ จำไม่ไหว จำไม่หมด แต่อาจารย์ว่าถามลึกๆ แล้วถ้าเราเป็นเด็ก เราอยากได้คนรักเอ็นดูหรือไม่ (อยาก) ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่เราอยากได้เด็กที่เคารพให้เกียรติไหม (อยาก) ฉะนั้นแค่มีธรรมยังไม่พอ เราต้องมีคุณธรรมที่เป็นการบ่งบอกจิตสำนึก เหมือนอาจารย์มา บอก “เฮ้ย ว่าไง มองอะไรตาตี่” เราชอบไหมที่มีเด็กมาดูถูก (ไม่ชอบ) เราก็อยากได้เด็กที่เคารพให้เกียรติ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ควรจะปฏิบัติอย่างไร เราเป็นเด็กเราก็อยากได้คนที่รัก แม้แก่แล้วเราก็อยากได้คนที่รัก ไม่ชอบใครดูถูกใช่หรือไม่ ฉะนั้นจิตสำนึกแห่งคุณธรรมก็เลยส่งออกมาให้เรารู้ว่า ถ้าเราเอ็นดูเด็กเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง มีหรือเขาจะไม่เคารพเราเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเคารพผู้ใหญ่คนหนึ่งเหมือนพ่อเหมือนแม่ มีหรือเขาจะไม่รักเราเหมือนลูกเหมือนญาติพี่น้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราทำแบบนั้นไหม ธรรมยังสอนต่อในเรื่องคุณธรรมประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน เพราะการที่เราปฏิบัติอยู่ร่วมกันมันก็เลยทำให้เรารู้ว่า ต่อพ่อแม่เราต้องกตัญญู ต่อผู้ใหญ่เราต้องให้เกียรติ ต่อผู้น้อยเราต้องเมตตา ฉะนั้นสิ่งนี้เกิดมาจากใจที่ศิษย์ควรจะมีและปฏิบัติต่อกัน พูดอย่างนี้เข้าใจหรือไม่ว่าทำไมระหว่างคนต่อคนต้องมีคุณธรรมระหว่างกัน ถ้าศิษย์อยากได้ความรักจากใคร และรักเราเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน จงเคารพผู้ใหญ่เหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนครูบาอาจารย์ ถ้าเราอยากให้ใครเคารพเราเหมือนพี่เหมือนน้อง เราจงรักเมตตาปรานีเกื้อกูลเขาเหมือนคนที่เป็นญาติสนิทชิดเชื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่) พอที่จะเข้าใจธรรมกับคุณธรรมที่อาจารย์เกริ่นง่ายๆ ไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากเรียกร้องให้ใครเป็นอย่างไรจงเริ่มต้นที่ตัวเรา ทำให้ถูกทำให้ดีเราก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา เพราะโลกนี้เป็นโลกของการอยู่ร่วมกันในสังคม เราจะเอาแต่ตัวเราแล้วไม่สนใจเพื่อนรอบข้างไม่ได้ และบางครั้งเราต้องมีปฏิสัมพันธ์ทำงานร่วมกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก)
อาจารย์ขอพูดต่อเรื่องสัจธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าเดินเข้ามาในห้องด้วยอาการสองแบบ แบบแรกเข้ามาแล้วยกนิ้วชื่นชม แบบที่สองเข้ามาแล้วทำท่าอิดหนาระอาใจ) เกิดอะไรขึ้นกับการแสดงทั้งสองแบบ ศิษย์ชอบแบบไหน (ชม) สัจธรรม คือ ความจริงแท้ที่เปลี่ยนแปรผัน ฉะนั้นไม่ว่าอาจารย์จะชม หรืออาจารย์จะแสดงว่าไม่พอใจ มันก็คือสัจธรรม หากเรายึดไว้มันก็เป็นกรรม แต่หากเราปล่อยวางและเข้าใจมันก็คือธรรม ฉะนั้นเรายังติดอยู่กับอดีต หรือเราอยู่กับปัจจุบัน
สมมติว่าสัจธรรมคือสิ่งที่เปลี่ยนแปรผัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น มั่นหมายว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มันเรียกว่ากรรม มันไม่เรียกว่าธรรม แล้วชีวิตแห่งความเป็นธรรมมันมีแค่ปัจจุบัน มันมีแต่เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าใจสัจธรรม สัจธรรมจะทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมและไม่ก่อกรรม
ศิษย์ของอาจารย์หลายคนบอกว่ามันฟังแล้วยาก อาจารย์พูดแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก) เข้าใจไหม (เข้าใจ) เข้าใจทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ากลับบ้านไปแล้วพบว่า เงินที่เก็บมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นหายวับไปกับตา ศิษย์จะเข้าใจไหมว่า มันเป็นสัจธรรม อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจคำว่า “สัจธรรม” สัจธรรมคือความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปรผัน เรายึดมั่นไม่ได้ ถ้าเราเผลอยึด เราจะอดไม่ได้ที่จะสร้างกรรม แม้ว่ามันจะเป็นกรรมดีหรือกรรมร้ายมันก็คือกรรม แต่สัจธรรมคือสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่มนุษย์เราชอบจมอยู่กับอดีต เช่นศิษย์เคยสวย เคยเก่ง เคยรวย ตอนนี้ใครมาว่าศิษย์ไม่สวย ศิษย์ไม่รวย ศิษย์ไม่เก่ง ศิษย์ก็ต้องทำใจให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่ามันเป็นสัจธรรม สัจธรรมคือสิ่งที่เปลี่ยนแปรผัน ถ้าเราเผลอไปยึด เราจะอดที่จะสร้างกรรมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกรรมนั้นก็มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) กรรมดีก็ยังมีผลที่ต้องกลับมาเวียนว่ายรับผลของกรรมดี กรรมชั่วก็ยังมีผลที่ต้องกลับไปรับกรรมชั่ว หรือกรรมชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสหรือบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ถ้าวันนี้ทำบุญ ค้าขาย ทำอะไรก็ตาม เราหวังไว้ว่าเราค้าขายแล้วเราต้องได้ (กำไร) เห็นไหมมันเป็นกรรม เมื่อคาดหวัง เมื่อยึดถือ มันก็เริ่มเป็นกรรม ฉะนั้นหวังไหม (ไม่หวัง) ทำไมไม่หวังล่ะ เพราะมันเป็นสัจธรรมที่เรายึดถือไม่ได้ สัจธรรมที่ไม่ควรยึดถือเพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันก็ดับไป ฉะนั้นอาจารย์พูดทีหนึ่งมันก็เริ่มดับไปทีหนึ่ง พูดประโยคหนึ่งอีกประโยคก็ดับไป แล้วอีกประโยคหนึ่งก็ขึ้นมา
ฉะนั้นถ้าศิษย์มัวแต่ยึดศิษย์ก็คือกรรม แต่ถ้าศิษย์เข้าใจว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เวลาเราถูกคนด่ามา เขาด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว) เราคิดไม่จบ ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นสัจธรรม สัจธรรมคือทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ถ้าศิษย์เผลอไปยึด เผลอไปอยาก ศิษย์ก็คือคนที่ขี้ตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง แล้วธรรมชาติเคยอยู่กับตัวเราไหม เคยควบคุมได้ไหม แล้วเราอยากไหม (อยาก)
แล้วในสัจธรรมยังสอนอีกว่าในความไม่เที่ยงนั้นมีทุกข์ เอาไหม (เอา) เอาทุกอย่างเลยนะ กระเป๋าก็เอา นาฬิกาก็เอา เงินก็เอา แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วสิ่งที่ทำนั้นทำให้ศิษย์หนีวงล้อแห่งสัจธรรมพ้นไหม เมื่อมันเข้ามาพร้อมกัน สูญเสียพร้อมกัน เรารับไหวไหม (ไม่ไหว) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมและคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกันแล้ว เราจะประจักษ์แจ้งในสัจธรรม เชื่อไหม (เชื่อ) เราจะไม่โลภ โกรธ หลงเลย เพราะโลภแล้วก็ทำให้เราทุกข์ หลงแล้วก็ทำให้เราเจ็บ โกรธแล้วก็ทำให้เราทุกข์ ทำให้เขาหนีหายไป และเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าเราประจักษแจ้งในธรรมและรู้จักดำรงตัวให้ถูกต้อง ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าถึงความกระจ่างแจ้งใน ธรรม ยากไหม (ไม่ยาก)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากคิดมีอะไรเพิ่ม จงจำไว้ว่าสิ่งที่คิดอยาก สิ่งที่คิดหวัง สิ่งที่คิดยึด หนีไม่พ้นสัจธรรมอันเป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปรผันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ถ้าเราเข้าใจต้นตอของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะไม่มี โดยที่เรานั้นไม่ต้องพยายามใช้ขันติ สมาธิ วิปัสสนาเลย เพราะเห็นแล้วกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องเกิดก็จบ แต่ศิษย์พยายามให้เกิดก่อนแล้วค่อยทำให้จบ ช้าไปไหม (ช้า) ฉะนั้นหยุดตั้งแต่เกิดเลยนะ รู้เรื่องไหม (รู้) อย่าเป็นหัวล้านได้หวี อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจในธรรม เข้าใจในคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกัน และเข้าใจในหลักสัจธรรม เพราะสัจธรรมไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ในวัด ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่พระภิกษุสงฆ์ แต่อยู่ที่ตัวของแต่ละคน และอยู่ในทุกๆ สิ่งที่ศิษย์เห็นทุกวัน แต่เราไม่เคยเห็นด้วยดวงตาแห่งธรรม เห็นเป็นแต่กิเลสความอยากความโลภ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อใดที่มนุษย์รู้เท่าทันความคิด ปล่อยวางความรู้สึก มนุษย์จะสามารถประจักษ์แจ้งในธรรมด้วยปัญญาทันที” ยากไหม (ไม่ยาก) อาจารย์จี้กงพูดอะไร ง่ายหมดเลย แต่ศิษย์ทำไม่ได้ ใช่ไหม ยังคิดว่า “เห็นผู้หญิงก็ยังสวยน่าสนอยู่เลยนะอาจารย์” เพราะศิษย์ถนัดใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก ศิษย์ไม่เคยใช้ธรรม “อยู่กับคนนี้รู้สึกดีจัง อย่าส่งสายตาอย่างนี้ ฉันจะละลาย” ใช่ไหม เพราะเราอยู่กับคน เราไม่เคยใช้ธรรม เราใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก “เธอนี่ได้ใจล้วนๆ เลย ถูกใจๆ กดไลค์” (LIKE = ถูกใจ) แต่ถ้าด่ากดไลค์เมื่อไรนี่ บาปอินฟินีตี้ (บาปไม่สิ้นสุด) เลยนะศิษย์ เข้าใจหรือเปล่า อาจารย์อุตส่าห์ใช้ศัพท์ทันสมัย ศิษย์ไม่รู้เรื่องเลย
อาจารย์ขอบอกบุญศิษย์นะ เมื่อเราได้ยินเสียงจากรถพยาบาล ในใจศิษย์คิดอย่างไร (ตายแน่ๆ) อาจารย์บอกบุญหน่อยนะ อย่าร่วมบาป อย่าร่วมกรรม ได้ยินเสียงรถพยาบาลวิ่งผ่านก็ให้คิดว่า “ขอให้เขารอด ขอให้เขาปลอดภัย” ดีไหม (ดี) แปรบาปเป็นบุญ แปรการเกี่ยวกรรมเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรมกันดีไหม อยากเกี่ยวกรรมกับเขาหรือ แช่งเขาเลย เดี๋ยวได้เจอเขาแน่แต่เจอแบบไหนอาจารย์ไม่รู้
ฉะนั้นถ้าเจอใครต่อยตีกัน แล้วเราด่าเขาชั่วเลว แล้วมีคนกดไลค์ ดีไหม (ไม่ดี) เปลี่ยนนะศิษย์ เจอใครไม่ดีส่งบุญให้เยอะๆ เผื่อคนชั่วจะได้เปลี่ยนเป็นดี คิดว่า “สาธุบุญกุศลที่ข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าขอให้เขาได้คิดเถิด” ดีกว่าไหม (ดี) เพราะศิษย์ปล่อยให้คนชั่วแล้วก็แช่งให้เขาชั่ว ชิงชังว่าเขาชั่ว แล้วด่าซ้ำกลับว่าเขาชั่ว จนเขาไม่มีที่ยืนเพราะเขาชั่ว แล้วคนชั่วนี้ก็จะกลับมาทำร้ายคนดี ฉะนั้นสู้ทำให้คนชั่วกลับมาดีสักทีด้วยจิตสำนึกแห่งคุณธรรม ร่วมกันส่งบุญให้เขา อาจารย์เห็นศิษย์ขยันดูแต่เรื่องไม่ดีแล้วก็พากันแช่งเขา ขอให้เปลี่ยนนะศิษย์ เปลี่ยนเป็นส่งบุญให้เขาดีไหม (ดี) ฉะนั้นเวลาได้ยินเสียงจากรถพยาบาลก็ให้คิดว่า (ขอให้เขารอด ขอให้เขาปลอดภัย) เพราะถ้าวันหนึ่งเป็นตัวเราอยู่ในรถพยาบาลคันนั้น คงไม่มีใครคิดกับเราว่าตายแน่ๆ เพราะแต่ก่อนตอนได้ยินเสียงรถพยาบาลฉันแช่งตลอดเลย
เล่นเกมกับอาจารย์หน่อยดีหรือไม่ เกมของอาจารย์คือพูดให้มีธรรม ส่วนใหญ่เวลาเราพูดก็จะพูดนินทาคนนั้น ว่าคนนี้ เรามาอยู่ในชั้นนี้แล้ว ให้แต่ละแถวร่วมกันแต่งประโยคที่มีธรรม และให้กำลังใจ ดีหรือไม่ (ดี) อย่างเช่นแถวนี้มีห้าคน ก็แต่งมาห้าคำ แล้วรวมกันเป็นประโยคที่มีธรรม ดีไหม (ดี) แถวไหนแต่งได้ดี อาจารย์มีรางวัลให้
(สุขทุกข์อยู่ที่ใจ, คิดดีจะทำดี),
(ทำดีใจเป็นสุข, ทุกข์สุขแก้ด้วยใจ, คิดดีได้ดี) ฉะนั้นอย่าเผลอคิดชั่วนะ
(กินเจเพื่อเป็นธรรม) น่าจะเป็นกินเจเพื่อเว้นกรรมนะ
(ปลงได้ใจเป็นสุข)
(ละเว้นการทำชั่ว) คิดอะไรเป็นธรรม ศิษย์ก็คิดได้นะ พูดอย่างคนมีธรรมศิษย์ก็พูดได้นะ
(ใจมีแต่ให้, คิดได้ใจพ้นทุกข์)
(ปล่อยวางแล้วสุขใจ, ทำดีแล้วได้บุญ) ทำบุญแล้วได้ดีมากกว่านะศิษย์
(ทุกข์สุขไม่เที่ยงแท้) คิดดีก็คิดได้แต่ไม่ค่อยจะคิดกันนะ
(คิดดีใจเป็นสุข, ยึดถือคุณธรรม) บางครั้งต้องรู้จักปฏิบัติคุณธรรม แต่ไม่ต้องยึดถือมากเกินไป ใช่หรือไม่ เพราะเป็นจิตสำนึกของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าทำด้วยจิตสำนึกเราไม่ต้องยึดไม่ต้องถือเลย ออกมาจากใจเอง ไม่เหมือนการบังคับให้ต้องมีใช่หรือไม่
(กตัญญูรู้คุณ) น่าจะเป็นรู้คุณตอบแทนคุณนะ เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้คุณคน แล้วก็ไม่รู้จักตอบแทนคุณคน กตัญญูก็ไม่มีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ธรรมะพาสุขใจ) ได้กำลังใจไหม รู้สึกดีไหม (ดี) แต่งประโยคให้มีธรรม ให้กำลังใจเพื่อนในชั้นด้วยได้หรือไม่
เหลือสามท่านจะแต่งประโยคได้หรือพูดอะไรที่ดีๆ มีธรรมะ คนละประโยคก็ได้นะ
(ชอบมาสถานธรรม, ใจมีความสุข) ชอบทำบุญตักบาตรมีศีลมีธรรม แม้พูดไม่ได้ก็ยิ้มไว้ ใครมาก็ยิ้ม
(คิดดีแล้วทำเลย) ทำได้หรือไม่ กลัวแต่คิดแต่ไม่ทำสักทีนะ
(ให้อภัยเป็นทาน) ปรบมือหน่อยนะ แต่ถ้าเราใจกว้างก็ไม่มีใครที่เราต้องพยายามให้อภัย จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าใจมันสู้อะไรก็ไหวนะ
(คิดดีทำดีมีคุณธรรม,ทำดีให้จงได้,ฝึกจิตให้ดีจะมีความสุข) อาจารย์อยากจะบอกว่าความสุขนั้นมีอยู่แล้ว แต่จิตมองไม่ค่อยเห็น ชอบหวังความสุขจากที่ไกลลิบ แต่ตรงนี้กลับไม่มีความสุข (เพราะไม่ได้ฝึก) ไม่ต้องฝึกแค่ “พอ” ก็มีความสุขแล้ว ถ้าไม่พอไปหวังที่ไกลลิบอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความสุข ฝึกจิตได้ดีจะไม่มีทุกข์มากกว่านะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “สายธารแห่งธรรม” )
ธรรมะที่จริงมีอยู่ในใจศิษย์ทุกคนแล้ว มนุษย์ทุกคนใฝ่ดีเป็นเรื่องปกติ และความใฝ่ดีจะทำให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมได้ เรือลำนี้ก็เปรียบเหมือนธารแห่งธรรมที่จะทำให้ศิษย์นั้นกลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้ ที่ศิษย์หลงลืมกันไป ฉะนั้นสายธารแห่งธรรมนี้จะเกิดขึ้นมาได้ วันนี้ศิษย์ได้มาประชุมธรรมที่นี่ได้ก็เพราะเกิดจากหยาดเหงื่อและน้ำตาของคน ที่อุทิศเสียสละและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ อย่างนั้นอาจารย์ขอให้กำลังใจคนที่ร่วมสร้างที่นี่คนที่ตั้งใจอุทิศให้ที่ นี่ ศิษย์อยากเห็นหน้าคนที่สร้างห้องพระสวยๆ ไหม ศิษย์อยากรู้หรือไม่ว่าใครที่เสียสละเงินเยอะขนาดนี้ ออกแรงเยอะขนาดนี้ ได้ทำห้องพระออกมาสวยขนาดนี้ อยากเห็นหน้าพวกเขาไหม (อยาก) ให้กำลังใจกันหน่อยดีหรือไม่ (ดี) ฉะนั้นพวกเขาออกมาจะพูดว่าอะไรดี (ขอบคุณ)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ร่วมแรงก่อสร้างสถานธรรมสิงเต๋อ ออกมายืนหน้าชั้น)
แม้จะไม่ได้ช่วยเงิน ช่วยแต่แรง หรือทั้งช่วยเงินและช่วยแรง มาดูแลมาช่วยสถานธรรมไม่เคยขาดเลย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ห้องพระนี้สำเร็จสวยและงดงาม พูดพร้อมกันนะ (ขอบคุณ) ขอบคุณในความตั้งใจดี ขอบคุณในทุกหยาดเหงื่อ ขอบคุณในทุกกำลังแรงและขอบคุณในทุกหัวใจที่กลั่นออกมาเสียสละอุทิศเพื่อผู้อื่นนะ ขอให้หัวใจนี้และความตั้งใจนี้ยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายนะศิษย์ อุทิศเพื่อประชาไม่ห่วงแม้ตัวเองจะเหนื่อยแค่ไหนนะ ฉะนั้นเพิ่งเริ่มต้นอย่าเพิ่งกลัวเหนื่อย
อาจารย์ให้ผลไม้หน่อยนะ อาจารย์ให้ผลไม้อะไรดี (สาลี่) จริงๆ แล้วผลไม้ไม่มีค่าเท่ากับหัวใจของศิษย์ ถ้าอาจารย์ให้ผลไม้อาจารย์ยังอยากบอกว่าผลไม้นี้ค่ายังเทียบไม่ได้กับหัวใจ ของศิษย์ที่มุ่งมั่นแข็งแกร่ง ที่ลำบากก็ไม่ยอมแพ้ ทำจนสำเร็จทำจนได้ ฉะนั้นมุ่งมั่นต่อไปให้ถึงที่สุดนะ ผลไม้ก็เพียงแค่กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์ว่าผลไม้ที่อาจารย์ให้ยังยิ่งใหญ่ไม่เท่าหัวใจของศิษย์ที่เสียสละนะ มุ่งมั่นต่อไปนะ ยังต้องอุทิศเสียสละอีกยาวนะ ฉะนั้นตั้งใจให้ดีให้ถึงที่สุด อย่าพ่ายแพ้แค่คำพูด อย่าถอยหลังเพียงเพราะสิ่งขัดใจ
ต้องอดทน ทำดีให้ได้ ใช่หรือไม่ ครบแล้วนะฝ่ายหญิง ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เข้มแข็งแล้วเดินต่อไป ปาดน้ำตาลุกขึ้นสู้เดินต่อไปนะศิษย์เอย ตั้งใจดีไปให้ถึงที่สุดนะ ที่เหลือดูแลกันต่ออีกนะศิษย์เอย ทำให้ดีทำให้ถึงที่สุดนะ ได้หรือไม่
อาจารย์ พูดตั้งแต่ต้นเรื่องธรรม คุณธรรม สัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราเข้าใจสามสิ่งนี้ เราจะไม่ทุกข์แต่เราจะมีความกระจ่างแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วไม่ว่าเรื่องราวจะพลิกเปลี่ยนแปรผันอย่างไรเราก็จะมีความเข้าใจ ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้าแต่เราเข้าใจว่าคือส่วนหนึ่งของสัจธรรม ที่เรียกว่าธรรมะอันเป็นจริงแห่งชีวิต จำได้ไหม (จำได้)
ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติ คุณธรรมคือจิตสำนึกดีงามในการแสดงออกที่ปฏิบัติร่วมกันเมื่อเราอยู่กับผู้คน อยากให้เขารัก เราก็ต้องเคารพให้เกียรติ อยากให้เขาให้เกียรติเราก็ต้องรู้จักรักเขาให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์รู้ไหม ปราชญ์โบราณที่เขาออกรบทัพจับศึกกัน กล่าวว่า “ถ้าหมู่บ้านใดรักกันดุจพี่น้อง หมู่บ้านนั้นตีอย่างไรก็ไม่มีวันแตก” ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าคนในสังคมสมัครสมานเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติสนิทมิตรสหาย เราจะทำให้เขาทะเลาะเบาะแว้งกัน เราจะทำให้เขาทุกข์ก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เราอยากทำให้สังคมมีความสุขเราจึงต้องรู้จักรักเขาดุจญาติ เขาก็จะรักเราดุจลูกหลาน ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ เขาก็จะปฏิบัติต่อเราเหมือนเพื่อนสนิท ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถึงเวลาเรามักจะทำไม่ค่อยได้อย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ความรัก ความเคารพต่อคนอื่นทุกคนก็มี แต่บางทีเพราะกิเลสมันมีมากกว่าจึงอยู่ร่วมกันยาก
กิเลสคือความอยากใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามว่ากิเลสมีตัวตนไหม (ไม่มี) แต่เวลากิเลสมาทีไรทำไมเราตกเป็นทาสทุกที แล้วอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี) ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า กิเลสเกิดขึ้นเพราะความคิดนึกที่คิดว่าตัวเองมีตัวตน กิเลสเกิดขึ้นเพราะความคิดนึกว่าฉันมีตัวมีตน แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เข้าใจสัจธรรม สัจธรรมสอนตนว่าทุกสิ่งล้วนแปรผันไม่เที่ยงและว่างเปล่า ฉะนั้นตัวตนมีไหม (ไม่มี) คนที่มีกิเลสคือคนที่ไม่เข้าใจธรรมและสัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วตัวตนไม่ได้มีตลอดเวลา จะมีก็ต่อเมื่อโดนกระทบแล้วคิดนึกว่ามันเป็นกู มันด่ากู
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ กิเลสไม่มีตัวตน แต่ความคิดของศิษย์ที่หลงผิด คิดว่ามีตัวตน ก็เลยสร้างกิเลสขึ้นมาเพื่อเอาสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้มาเป็นของตน ทั้งที่ตนก็ไม่มี ของที่จะเอาก็ไม่มีจึงเกิดกิเลสแล้วเกิดโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นโลภเกิดเพราะความอยาก กิเลสเกิดเพราะความไม่รู้แล้วหลงยึดถือ แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้แท้จริงว่า ตนก็ไม่มี สิ่งที่อยากก็ไม่มี สิ่งที่โลภ โกรธ หลงก็ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าใจธรรม กิเลสจะหาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะเห็นกิเลส ก็อยาก เหมือนโดนกระทบ โดนตี โกรธไหม (โกรธ)
กิเลสคือใจที่หลงนึกคิดว่าเรามีตัวตน แล้วคนที่ตีก็มีตัวตน คิดว่าเขาทำไมต้องมาตีฉัน ใช่หรือไม่ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าสัจธรรมเกิดขึ้นจบแล้ว โกรธไหม เกลียดไหม (ไม่โกรธ, ไม่เกลียด) สัจธรรมเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงเราควบคุมไม่ได้ แล้วเราก็คาดหวังไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะหยุดกิเลสและเราจะเข้าใจตัวตน แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมกิเลสจะก่อเกิดกรรม วิบากกรรมและวัฏสงสารครบวง เช่น “เมื่อเธอตีฉัน ฉันก็จะตีเธอกลับ”
กิเลสจึงก่อกรรม วิบากกรรม และการเวียนว่าย รวมครบเป็นวัฏสงสารที่เรียกว่า “ตัวกู ของกู” ที่ยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันคือธรรมที่เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ขอให้แล้วก็แล้วไปนะ เพราะถ้าศิษย์ไม่แล้วก็แล้วไป ศิษย์จะก่อการจองเวรจองกรรม เกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าอยากหยุดโลภ หยุดกิเลสจงรู้เท่าทันธรรมอันนี้ ไม่ใช่รู้เท่าทันใคร ไม่ใช่ไปจัดการใคร แต่จัดการตัวนี้ที่จริงๆ แล้วมันไม่มี แต่ศิษย์ขี้ตู่ว่ามันมี แล้วชื่อนั้นชื่อนี้ เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าจิตที่เห็นแก่ตัว มองเห็นแต่ตัวจะก่อเกิดการแบ่งแยก แล้วเรียกว่าอันนั้นดี อันนั้นร้าย อันนั้นทุกข์ อันนั้นสุข อันนั้นขอบ อันนั้นชัง แต่ถ้าจิตที่สามารถมองเห็นซึ่งธรรม จะไม่มีคำว่าดีร้าย เธอฉัน ใครเขา เพราะทุกสิ่งคือ ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่โดนกระทบ ถูกด่า ถูกแช่ง ถูกขโมย ศิษย์ก็จะเข้าใจ แต่เกิดมาเพื่อใช้กรรมให้สิ้น และทำหน้าที่ของการอยู่บนโลกให้สมบูรณ์ที่สุด แค่ยืมใช้แล้วก็คืนโลกไป ไม่ครอบครอง ไม่ยึดมั่น ดีหรือไม่ (ดี)
ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้ศิษย์คลายจาง นั่นเรียกว่าธรรม แต่สิ่งใดที่ทำให้ศิษย์ยึดเกาะเกี่ยวผูกพัน นั่นคือเรียก โลภ กิเลส ยากไหม (ไม่ยาก) ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือตัวศิษย์ แต่ศิษย์บอกว่า อาจารย์ ฟังอาจารย์มาเยอะบางทีมันก็ทำยากนะ ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เป็นคน ศิษย์ก็ต้องหวังก้าวหน้า ศิษย์เกิดมาทั้งทีชีวิตหนึ่งก่อนตายไปขอให้มันอยากเต็มที่ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปปลง แล้วค่อยตัดทีหลัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอย บางครั้งสายน้ำไหลแล้วเรียกกลับมาไม่ได้ พลาดไปแล้วมันเรียกกลับมาไม่ได้ เราอย่าคิดว่าไม่เป็นไร เกิดมาทั้งทีอยากไปก่อน เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย โลภให้เต็มที่ก่อน เดี๋ยวไปทำดีทีหลัง เหมือนอาจารย์ตบศิษย์แล้ว อาจารย์บอกสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อาจารย์ไปทำบุญขออภัย ศิษย์คิดว่ามันหายกันไหม (ไม่หาย) มันไม่หายนะศิษย์
อาจารย์จึงอยากจะย้ำเตือนศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน ความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต อย่าล้อเล่น เพราะคนเวลามันเจ็บ ขอโทษคำเดียวมันไม่หาย เพราะคนเวลาที่เขาทุกข์ กรวดน้ำคว่ำขันครั้งเดียวมันไม่หาย ใช่หรือไม่
ฉะนั้นก่อนจะมีความอยาก ก่อนจะมีความโลภคิดให้ดี เพราะกรรมมันสร้างมาแล้วแม้แต่พระพุทธะทุกพระองค์ก็หนีผลของกรรมไม่ได้ ฉะนั้นก่อนจะสร้างเป็นกรรมคิดให้ดีก่อนไหม ฉะนั้นอย่าพูดอะไรมั่วๆ นะ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนอาจารย์จับให้เต้นเป็ดนะ ศิษย์เอยถ้าอยู่ในโลกไม่อยากให้คนมาหลอกลวงเราให้เจ็บช้ำเราก็อย่าเผลออย่าโลภ และถ้าเราไม่อยากทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ เราไม่อยากเจ็บช้ำน้ำใจเราก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มันก็เป็นเพียงสังขารอันหนึ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ถึงเวลามันก็ต้องร่วงโรย ถึงเวลามันก็ต้องเจ็บ ถึงเวลาก็ต้องป่วยเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง ตายไม่ต้องกลัว เจ็บก็ไม่ต้องทุกข์เพราะมันเป็น สัจธรรม ถ้าศิษย์ไม่ตาย ศิษย์ไม่เจ็บนี่สิต้องกลัว เพราะจะทำให้ศิษย์อยู่ยงคงกระพันซึ่งใครๆ ก็ตายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ อะไรจะเกิดจงมีสติและคิดว่าดีแล้ว แม้จะถูกด่าก็ดีแล้ว เพราะไม่มีอะไรในโลกมันเที่ยงแท้ แต่สิ่งที่เที่ยงแท้และแน่นอนคือความประจักษ์แจ้งในธรรม โดยคนๆ นั้นรู้จักบำเพ็ญอบรมฝึกฝนใจ จำไม่ได้ฟังบ่อยๆ เดี๋ยวได้เอง เพราะปัญญาไม่ใช่หากันง่ายๆ แต่หาได้โดยการอบรมธรรม ดีไหม (ดี) ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดขอให้คิดไตร่ตรองให้ดี มองให้เห็นธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม เจอเรื่องใดมากระทบจงใช้หลักสัจธรรม และที่สำคัญอย่าเบียดเบียนกันด้วยคำพูด วาจา และความอยากที่ไม่น่าจะเป็นเลยนะ เพราะจิตลึกๆ ของทุกคนล้วนต้องการคนที่เมตตา คนที่รัก ฉะนั้นถ้าพูดแล้วไร้เมตตา พูดแล้วเหมือนคนไม่รักกันไม่พูดดีไหม ถ้าทำแล้วทำให้เรากลายเป็นคนโลภ ทำให้เรากลายเป็นกิเลส ทำให้กลายเป็นความหลง อย่างนั้นรู้จักหยุดยั้งบ้าง ได้หรือเปล่า อาจารย์ไม่หวังศิษย์ต้องเป็นคนดี แต่อาจารย์หวังศิษย์เป็นคนที่พยายามไม่ทำชั่ว อาจารย์ไม่อยากได้ศิษย์คนดี แต่อาจารย์อยากได้ศิษย์คนที่ไม่คิดชั่วทำชั่ว และแอบสูบบุหรี่ลับหลังอาจารย์ ตัวตนมันเกิดก็เพราะบุหรี่แค่ซองเดียวและบุหรี่ซองนี้ก็เป็นโซ่ที่คอยฟาด แล้วก็ทำให้เราต้องทุกข์กับการเจ็บปวดในสังขารและก็หนีไม่พ้นการเวียนว่าย ตายเกิดที่เรียกว่านรก
ฉะนั้นไม่มีใครฉุดศิษย์ให้พ้นทุกข์ได้นอกจากตัวศิษย์เอง อาจารย์กลับแล้วนะ เดี๋ยวศิษย์ของอาจารย์จะหิวข้าว (ไม่หิว) แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะ ทุกข์เมื่อไหร่กลับมาหาอาจารย์นะ อาจารย์จะช่วยปัดเป่าให้ศิษย์เข้าใจและกระจ่างและรู้ว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ขอแค่ตั้งใจไม่ทำชั่วนั่นก็มีอาจารย์อยู่ในใจศิษย์ทุกวันแล้ว ไหว้อาจารย์ไม่สู้เอาอาจารย์มาเป็นตัวศิษย์นะ อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับแล้วนะ มีทุกข์เมื่อไหร่จำไว้นะศิษย์มีอาจารย์คอยปลอบใจ คอยทำให้ศิษย์เข้าใจในทุกข์และพ้นทุกข์นะ โลกน่ากลัวหรือเปล่าอาจจะไม่เท่ากับหัวใจที่ไม่สู้กับความทุกข์นะ อย่าทุกข์อีกนะมีสตินะ แข็งแรงเข้มแข็งนะ รู้จักดำเนินชีวิตให้ดีอย่าปล่อยให้ความรักความหลงทำให้เราหลงทาง รู้จักรักตัวเองให้เป็นไม่มีใครรัก เราก็รักตัวเองได้ และรู้จักแบ่งความรักให้คนอื่น อันนั้นประเสริฐกว่ารอคนมารักนะ เป็นคนดีเป็นเด็กดีไม่เป็นเด็กดื้อของอาจารย์นะ มีทุกข์เมื่อไหร่กลับมาหาอาจารย์นะ เก่งจังเลยศิษย์น้อยของอาจารย์อยู่จนครบ
อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก เป็นศิษย์อาจารย์แล้วต้องเข้มแข็งอดทน ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ต้องฟันฝ่าให้ได้นะ ผ่านมาแล้วทุกอย่างจิตยังมั่นคงเสมอนะ ฝึกอบรมจิตใจให้แข็งแกร่ง อย่าพ่ายแพ้ต่อกิเลส อย่าใจร้อน มีสติ รู้จักคิด ขยัน ใช่หรือไม่ ปฏิบัติดีทำให้ถึงที่สุด อะไรถูกต้องรักษาไว้ อะไรไม่ดีรีบแก้ไข ใช่หรือไม่ รักษาสิ่งที่ดีให้คงอยู่ แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้หมดสิ้น ปัญญามีเพราะรู้จักมีสติแต่ปัญญาจะหายเพราะมีทิฐิ รู้จักคิดรู้จักทำนะ
ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วใช่ไหม ที่เหลือคือทำให้ดีเพื่อคนที่เขากลับไปแล้วนะ แข็งแกร่งให้ได้เพื่อนำพาเขา เข้มแข็งแล้วนะ อย่าหาเรื่องลำบากมากนะศิษย์เอย ใจเย็นๆ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ ทุกข์เมื่อไรกลับมาหาอาจารย์นะ อาจารย์จะได้ช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สายธารแห่งธรรม”
มาร่วมแรงร่วมพลังเพียรอุตส่าห์ ทุกหยาดหยดเหงื่อน้ำตามีความหมาย
สัมฤทธิ์ผลยิ่งใหญ่สมตั้งใจ ทุกย่างก้าวอุทิศให้เพื่อประชา
ฝึกตนดั่งธารนทีที่ใสเย็น สะท้อนเป็นภาพความจริงที่ยิ่งกว่า
หลั่งรินไหลอย่างอ่อนโยนด้วยเมตตา ธารแช่มช้าแต่ชนะอย่างนุ่มนวล
ใช้ธรรมนำธรรมสู่จิต จูงจิตคนหลงคืนหวน
ใช้ธรรมนำทางโดยด่วน ชี้ชวนคนหลงคืนมา