วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

2559-04-08 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

西元二一六年歲次丙申三月初二日                              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙         สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

           สายธารหลั่งรินไหลเพื่อประชา           จิตศรัทธาก่อนาวาธรรมวิถี
      ธรรมหล่อหลอมมวลคนบุญขึ้นดรี[๑]        สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดกว้างไกล
                       เราคือ
   หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา               ขอร่วมแสดงความยินดีในโอกาสเรือธรรมลำนี้
                                    ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   
           เทพคนมาร่วมทุกทิศยินดี                  คนสามัคคีลงแรงอุตส่าห์เพียรสำเร็จ
      ร่วมนาวาร่วมพลังเพียรหยาดเพชร          ความสำเร็จปูด้วยหยาดเหงื่อน้ำตา
      คนต้องมีน้ำตาเหงื่อทุกชีวิต                   ก่อนจะสัมฤทธิ์หมายความถึงปัญหา
      กรรมส่งผลคนบำเพ็ญเปลี่ยนชะตา        ใช้ปัญญายิ่งใหญ่สมรับธรรม
      กายใจตั้งอุทิศให้การบำเพ็ญ                  ฝ่าลำเค็ญใจก้าวเพื่อข้ามน้ำ
      ในทุกทุกย่างประชาเป็นลำนำ                การกระทำคำพูดฝึกตามครรลอง     
   เปรียบลำธารดั่งตนมีกำพืด[๒]                     หะแรก[๓]จืดนทีเย็นสะท้อนไม่หมอง
   จิตใจที่ใสเย็นเป็นคันฉ่อง                         บัณฑิตมองภาพความจริงทิ้งมายา
   เข้าใจธรรมยิ่งกว่าต้องปฏิบัติ                    ความสามารถไหลรินหลั่งไม่ปรารถนา
   การบำเพ็ญด้วยอ่อนโยนเป็นผู้กล้า             เคร่งครัดแต่ว่าอย่างเมตตาธรรม

                                                                                       ฮา  ฮา  หยุด


[๑] ดรี                :  เรือ
[๒] กำพืด            :  เถือกเถา, เหล่ากอ
[๓] หะแรก          :  ครั้งแรก, คราวแรก, เริ่มลงมือทำ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

  “สายธารหลั่งรินไหลเพื่อประชา    จิตศรัทธาก่อนาวาธรรมวิถี
ธรรมหล่อหลอมมวลคนบุญขึ้นดรี  สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดคนไกล
โปรดคนไกลดีหรือโปรดคนใกล้ดี (คนใกล้ไม่สนใจ)  คนใกล้ไม่สนใจหรือ อย่างนั้นเปลี่ยนเป็น “สืบงานฟ้าสานหน้าที่โปรดกว้างไกล” ดีกว่านะ  มนุษย์มักจะลืมคุณค่าคนที่อยู่ใกล้ชิด มัวแต่ห่วงกังวลกับคนที่อยู่ห่างไกล หรือลืมไม่ก็ดูแลคนใกล้มัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเองก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต เอาไปใช้กับผู้คนและก็เอามาใช้กับตัวตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก่อนที่จะพูดเรื่องธรรมะคืออะไร ธรรมะเป็นอย่างไร บางครั้งเราอาจจะพูดว่า “แค่ตัวเราเองยังไม่ค่อยรู้จักเลย จะรู้จักธรรมยิ่งเป็นเรื่องยาก
ฉะนั้นก่อนที่จะรู้จักธรรม มารู้จักใจตัวเราเองก่อนดีไหม (ดี)  เพราะว่าบางทีสายธารไหลแล้วเรียกกลับคืนไม่ได้ คนเราพอเสียความรู้สึกแล้ว ให้ดึงความรู้สึกกลับมาให้ดีเหมือนเก่าก็ยาก เหมือนความรู้สึกเราเสียไปแล้ว ให้กลับมาดีเหมือนเดิมง่ายไหม (ไม่ง่าย)  เหมือนความรู้สึกเราตกแล้ว แย่แล้วจะดึงให้กลับมาดี ให้เข้มแข็งเหมือนเดิม ยากไหม (ยาก)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้เท่าทันใจเราได้และสามารถหยุดยั้งก่อนที่ใจเราจะแย่ ใจเราจะตกได้ ก็คงดีไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางทีใจของคนนั้นเมื่อตกแล้วจะให้กลับขึ้นมานั้นยาก แต่เมื่อดีแล้วให้ตกนั้นง่ายกว่า ใช่ไหม (ใช่) 
ฟังธรรมแล้วจิตสงบหรือฟังธรรมแล้วยิ่งง่วง (สงบ)  อยู่บ้านไม่เห็นเรียบร้อยอย่างนี้เลยนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในห้องพระมีพิธีรีตองมาก แต่พิธีรีตองก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพิธีรีตองที่ดูว่าเยอะนั้นเป็นสิ่งที่เราควรจะมีไว้ในบ้าน มีไว้ในใจที่เราควรจะปฏิบัติกับคนในบ้านหรือเปล่า หรือกับเพื่อนร่วมงานหรือไม่(ควร)  เพราะสังคมในปัจจุบันนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใส่ใจซึ่งกันและกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ลึกๆ แล้วเราทุกคนก็อยากมีคนรัก คนห่วง คนดูแล แต่เรากลับปากหนัก ใจเบา   พูดไม่ค่อยเป็นแต่ขี้น้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ารอให้คนอื่นเริ่ม แต่จงเริ่มที่ตัวเรา อย่ามัวแต่เรียกคนอื่น แต่จงเรียกที่ใจของเรา อย่ามัวแต่ร้องขอคนอื่นแต่จงร้องขอและเริ่มต้นที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตสงบ จิตที่มีความสุข ย่อมนำพาให้คนที่อยู่รอบข้างสงบและสุข แต่จิตที่วุ่นวาย จิตที่ร้อนลุ่มแม้ไม่พูดคนที่อยู่ใกล้ก็รับรู้
ขอถามว่าใจของเรากับสิ่งแวดล้อม อะไรมีอิทธิพลมากกว่ากัน (ใจของเรา)  แล้วระหว่างตัวเรา ใจเรา กับคนอื่น ใจคนอื่น อะไรที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บช้ำมากกว่า (ตัวเรา) จริงหรือ โดยส่วนใหญ่จะโทษว่าสภาวะแวดล้อมทำให้เราง่วง ใช่ไหม ไม่เกี่ยวกับใจเราเลยใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  เขาทำให้เราโมโห ไม่เกี่ยวกับเราเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เราถามว่าเวลาเราอยู่ในโลก สิ่งแวดล้อมหรือใจเราที่มีผลให้เราหงุดหงิด ขี้โมโหง่าย (ใจเรา) เช่นนั้นหรอกหรือ โดยส่วนใหญ่แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือ ไม่เคยโทษแวดล้อม ไม่เคยโทษคนอื่น โทษตัวเองทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่) ทำไมตอบเราได้ดี แต่ปฏิบัติเป็นสิ่งตรงข้าม บางครั้งเราบอกว่าไม่เป็นไรหรอก โกรธกัน ว่ากัน โทษกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน จะเอาอะไรกับคน  แต่เวลาโดนเขาโกรธ โดนเขาว่า โดนเขาทำร้าย ทำไมไม่พูดว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์เล่า จริงไหม (จริง)  เรามีเหตุผลให้กับตัวเองเสมอเมื่อตัวเองผิด  บางครั้งเราก็รู้ตัวว่าตัวเองผิด แต่บางครั้งความผิดนั้นเรากลับห้ามใจตัวเองไม่เคยได้ แล้ววิธีที่เราแก้เมื่อห้ามใจตัวเองไม่ได้ก็คือ โทษคนอื่น โทษสิ่งแวดล้อม เพื่อความสบายใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายโลกนี้มันเป็นโลกของเหตุผล ใครสร้างเหตุอย่างไรก็ต้องรับกรรมเช่นนั้น คุณว่าเขามา คุณก็ต้องโดนเขาว่ากลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากหยุดเหตุ อยากหยุดความทุกข์  อยากหยุดความเลวร้าย ไยจึงไม่หยุดที่ใจ  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ แต่โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ไยจึงไม่หยุดเหตุ ไยจึงมัวแก้แต่ผล แก้แต่ปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม ท่านกล่าวไว้ว่า “ถ้าใจเราสงบทุกคนก็บริสุทธิ์  แต่ถ้าใจเราสอดรู้สอดเห็น ทุกคนก็มีข้อผิดพลาดและเลวร้าย”

เมื่อจิตเรานิ่งทุกส่วนในร่างกายย่อมสงบ แต่เมื่อจิตเราวุ่นวายทุกส่วนในร่างกายย่อมขาดสมดุล
เมื่อจิตไม่สว่างก็ยากยังความกระจ่างให้กับชีวิต เมื่อจิตไม่สงบก็ยากจะมีชีวิตหยัดยืนได้อย่างมั่นคง  ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นแปลว่าถ้าใจเราถูกต้อง ใครล่ะจะเกินเลยไป 
ถ้าใจเราสงบ ใจเราดี ทุกอย่างก็สว่าง ทุกอย่างก็ดี แต่ถ้าใจเราสอดรู้สอดเห็นทุกอย่างก็มีข้อบกพร่องให้จับผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้าใจไม่สว่างก็ยากจะยังความสว่างให้กับชีวิต ถ้าใจไม่สงบก็ยากที่จะหยัดยืนอยู่บนโลกได้อย่างมั่นคง” ถูก หรือไม่ (ถูก) 
เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ ท่านว่าฟ้ากว้างไหม (กว้าง)  โยนหินก้อนใหญ่ที่สุดขึ้นไปบนฟ้า ใหญ่ขนาดไหนเมื่อขึ้นไปบนฟ้าก็ดูเล็กนิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  โยนสิ่งสกปรกสูงมากแค่ไหน แต่ฟ้าก็ยังสะอาดเป็นฟ้าเช่นนั้นไป สิ่งสกปรกก็ยังสกปรกอย่างนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจของมนุษย์กว้างพอ ยิ่งใหญ่พอ จะมีใครที่แย่ ใครหรือที่ไม่ดี ใครหรือที่เกินไป ถ้าใจของเราเมตตาพอ ยิ่งใหญ่พอ ใครหรือที่เราจะอดทนอดกลั้นไม่ได้   ใครหรือที่เราจะรู้สึกแย่และไม่ดี จริงไหม (จริง)  เพราะสิ่งที่เราพูดง่าย แต่ถึงเวลาน้อยคนนักทำได้ ถ้าใจเราไม่มีความจำกัด ไม่มีแบ่งชังแบ่งชอบ แบ่งดีแบ่งร้าย แบ่งทุกข์แบ่งสุข แบ่งดูถูกเหยียดหยาม ใจเรามันหาที่สุดไม่ได้ แม้จะมีอะไรเข้ามาและอะไรจะสกปรกแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้เราสกปรกไปได้ เพราะน้ำสะอาดของเรามีอยู่เต็มเปี่ยม ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจของมนุษย์กว้างใหญ่เมตตาพอ ยิ่งใหญ่พอ ถูกต้องและมีธรรมพอ ไม่มีใครในโลกที่ผิดที่แย่และเลวร้ายจริงๆ แม้คนที่เลวที่สุดฟ้ายังให้โอกาส มนุษย์บอกว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรม คนบางคนเลวจะตายทำไมมันยังอยู่ เราดีแสนดีทำไมยังเจ็บช้ำอยู่อย่างนี้” ใช่ไหม (ใช่)  เป็นเพราะอะไรหรือ ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราควบคุมใจได้แม้ภาวะที่ลำบากที่สุด หรือแม้แต่ภาวะที่สบายที่สุด ถ้าเราคุมใจไม่ได้ก็สามารถทำให้เราทุกข์ไม่ต่างกันเลย  จริงไหม (จริง) 
ถามท่านว่าเมื่อภาวะที่บ้านเรากำลังยากแค้น เศรษฐกิจตอนนี้หากินลำบากไหม (ลำบาก)  เมื่อลำบากถ้าต่างคนต่างไม่ช่วยกันก็ยิ่งลำบากใหญ่ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมบางคนเมื่อชีวิตลำบากต่างคนต่างเอาตัวรอด แต่ทำไมบางคนชีวิตยิ่งลำบากเขายิ่งสมัครสมานกลมเกลียวกัน นั่นเพราะแวดล้อมหรือเพราะใจ (ใจ)  ในทางกลับกันบางทีที่บ้านแสนจะสุขสบายทุกคนน่าจะสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่คนในบ้านต่างคนต่างแก่งแย่งฉกฉวยผลประโยชน์เข้าหาตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมไม่น่ากลัวเท่ากับใจของคน ถ้ามนุษย์ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ใจของมนุษย์จึงน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อมใดๆ ในโลกนี้อีก ถูกไหม (ถูก)  เหมือนวันนี้ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้ นั่งไปก็ไม่สุข นั่งไปก็บ่นตัดพ้อว่าคนชวนมา ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมไม่น่ากลัวเท่าใจที่ควบคุมไม่ได้ เพราะใจที่ควบคุมไม่ได้ ดูแลใจตัวเองไม่ได้ แม้สิ่งที่สุขที่สุดก็อาจจะกลายเป็นทุกข์และยุ่งยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) 

มีสำนวนๆ หนึ่ง “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม  แต่อีกคนหนึ่งตาแหลมคมเห็นดาวพร่างพราย”  ถ้าเราคุมใจไม่ได้ เราก็ต้องจับให้อยู่ว่า ใจนั้นชอบไหลไปกับอะไร เหมือนกับคนๆ หนึ่งมองเรื่องราวๆ หนึ่ง บางคนเห็นดาวพร่างพราย แต่บางคนกลับเห็น (โคลนตม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้นั่งฟังธรรมะ ท่านเห็นดาวระยิบระยับหรือว่าเห็นโคลนตม 
ยิ่งฟังแล้วยิ่งสบาย ใจเปิดกว้าง หรือยิ่งฟังแล้วหดหู่หม่นหมอง ซึมเศร้า เบื่อหน่าย แล้วเมื่อสักครู่ที่ได้ฟังมา มองเห็นตมหรือเห็นฟ้ากว้าง (เห็นฟ้ากว้าง)
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากเรารู้จักควบคุมใจของเรา สิ่งร้ายก็จะกลายเป็นดี แต่ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้สิ่งที่ดีก็จะกลายเป็นร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากเราจะรู้จักใจเราแล้ว เราต้องรู้ทันใจเราด้วยว่าใจเราชอบไหลไปกับอะไร ไหลขึ้นสูงหรือไหลลงต่ำ ไหลคิดดีหรือไหลคิดร้าย ไหลตามอารมณ์หรือไหลจมกับความคิด ใจไหลขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ขึ้นสูง) เราเพิ่งรู้ว่าที่แล้วมานั้น ที่ดำเนินชีวิตมานั้นท่านคิดดีตลอดเลยใช่หรือไม่  อย่างนั้นลองถามคนที่คิดสูง คิดดี ว่าใจไหลไปตามความคิดได้ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ระหว่าง “ความคิดกับอารมณ์”  ใจเราชอบสิ่งใดมากกว่ากัน และระหว่างอารมณ์กับความคิดสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วน่ากลัวมากกว่ากัน (อารมณ์)  จริงหรือเมื่อความโกรธมาชั่วครู่แต่ความคิดโกรธแล้วโกรธอีก
ใช่หรือไม่ (ใช่)  โมโหด่าเขาครั้งเดียว แต่ก็จำคิดอยากด่าแล้วด่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะความคิดหรือเพราะอารมณ์ (ความคิด)  ฉะนั้นถ้าเราควบคุมไม่อยู่เราก็จะควบคุมเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เราก็จะควบคุมใจของเราไม่ค่อยได้สักครั้งเดียว ความคิดเป็นตัวนำชีวิต คิดอย่างไรชีวิตก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอารมณ์น่ากลัวแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความคิดที่ไม่ยอมปล่อยอารมณ์ และความคิดที่ลืมอารมณ์ไม่ได้ ใช่หรือไม่  ฉะนั้นความคิดของใจมนุษย์จึงเหมือนกรงขังก็ได้ หรือเป็นสะพานข้ามฝั่งก็ได้ คิดดีก็มีสุข คิดไม่ดีก็มีทุกข์
แต่ธรรมะกลับสอนอีกอย่างว่า “พ้นจากคิดดีคิดชั่ว สงบและเย็นนั่นคือพระนิพพาน” แต่มนุษย์ไม่เคยไปถึงเลย วนอยู่กับคิดดี คิดชั่ว พุทธะท่านบอกว่า “พ้นจากคิดดีคิดชั่ว นั่นคือสงบอิสระและนิพพานอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ได้”  ร้ายก็ไม่คิด ดีก็ไม่หวัง ขอแค่รู้เท่าทันและเท่านั้นเอง เขาจะโกรธจะเกลียดก็ไม่เป็นไรเพราะว่า เราทำดีที่สุดแล้วทำไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เราไม่ทำกลับ ไม่โกรธกลับ ใจสงบ จบ อิสระ ปล่อยวาง จะดีกว่าหรือไม่
ฉะนั้นพุทธะจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า เหนือกว่าความคิดคือการรู้เท่าทัน ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดมั่น แค่ยอมรับและมองเห็นความเป็นจริง วิชาธรรมะยากหรือไม่ ถ้าเรารู้ทันได้ เราจะจบเหตุแห่งการเวียนว่าย ในหนึ่งขณะที่เราดำเนินชีวิต ถ้าเราสามารถจบได้ สงบได้ วางได้เราจะหยุดการเวียนว่ายในทุกขณะที่มีชีวิต แต่มนุษย์กลับมองว่า เรื่องนิพพานเป็นเรื่องไกล เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา แต่วันนี้รู้แล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลย ใช่ไหม ขอแค่เพียงรู้เท่าทันความคิด ไม่ต้องเปลี่ยนใคร ไม่ต้องเปลี่ยนโลก ไม่ต้องหวังใคร ไม่ต้องหวังโลก แค่รู้จักเท่าทันใจตัวเอง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สงบ จบและอิสระ มีเท่านี้ สวยไม่สวยไม่เป็นไร รวยไม่รวยไม่สำคัญ แต่สำคัญวันนี้ทำได้ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะพูดอย่างไรคงห้ามกันไม่ได้ และถึงเวลาเราจะหวังให้สำเร็จก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่
เพราะชะตาชีวิตล้วนต้องมีเหตุปัจจัยเนื่องหนุนกัน เราพูดดีอย่างหนึ่ง ถามว่าในชั้นเข้าใจเราทั้งหมดแล้วดีทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนเรายิ้มให้ท่านคนหนึ่ง แล้วหวังให้ทุกคนยิ้มตอบเราเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงเวลาชีวิตเจอปัญหาจริงๆ ทำไมเราจึงมองไม่เห็น เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความรู้สึก เพราะเมื่อใดที่มนุษย์ไม่สามารถปล่อยวางความคิดและความรู้สึกได้ มนุษย์จะไม่มีปัญญาเข้าถึงความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรมอันเป็น “เช่นนั้นเอง” ได้สักครา
ฉะนั้นแก่ก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เพราะเป็นสัจธรรมที่เป็นจริงทุกชีวิต   เมื่อเห็นหนึ่งก็สามารถเห็นสอง สาม สี่ ได้  เพราะทุกสิ่งก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราถามท่านนะ คนที่ทำท่านเจ็บช้ำเขาด่าท่าน จบไปนานหรือยัง (นานแล้ว)  แล้วใจท่านจบไหม คนที่ยืมเงินท่านไปนานแล้วแต่ยังไม่คืน ยืมไปเสร็จหรือยัง (เสร็จแล้ว)  จบไหม (ไม่จบ)  ทำไมไม่แปรบาปให้เป็นบุญ แปรบุญให้เป็นกุศล ไม่เกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมกันเล่า ยืมไปถ้าไม่ให้อภัยก็เป็นจองเวร แต่ถ้าให้อภัยก็เป็นทำทาน แต่ถ้าเกิดให้ไปแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตนก็กลายเป็นกุศล ยืมเงินเราไปแล้ว เวลาเจอหน้ากันกลับทำเหมือนไม่รู้จักกัน แต่เราก็คิดแค่เพียงดีแล้วได้สละตัวตน นั่นก็คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าตัวตนไม่มีให้ยึดถือ ให้จนทำให้เราเข้าถึงความปล่อยวาง หรือเรียกว่าเย็นสงบนิพพาน ทำไมไม่ทำกันหนอ
คิดไม่ได้ คิดไม่เป็นก็กลายเป็น โกรธ เกลียด กิเลสวิบากกรรม และวัฏฏะสงสาร แต่ถ้าคิดได้ คิดเป็น วางเป็น สงบเย็น กิเลสไม่มี กลายเป็นกุศล สงบเย็นกลายเป็นพระนิพพานตัดเหตุแห่งการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารสองเรื่องนี้ช่างต่างกัน ราวฟ้ากับดินเลยนะ จริงไหม (จริง)  
การบำเพ็ญธรรม การดำเนินชีวิตสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การควบคุมใจ ถ้าควบคุมใจได้ ดูแลใจเป็น ใจเราไปอยู่ที่ใดก็ยากที่่จะยังความทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ แม้แต่ที่ที่แย่ที่สุด ถ้าเราควบคุมใจเราได้ดี ควบคุมใจเป็น ที่ที่แย่ที่สุดกลับสามารถก่อเกิดวีรชนที่หาญกล้าได้ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของใจจึงไม่ใช่อยู่ที่อารมณ์ แต่อยู่ที่รู้เท่าทันความคิดตัวเองหรือไม่  ถ้าแม้แต่ใจก็หยุดไม่ได้ ความคิดก็ยิ่งยากหยุด  การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า ถ้าเราควบคุมใจได้ จิตสงบก็ยังความบริสุทธิ์ให้กับทุกๆ สิ่ง แต่ถ้าจิตไม่สงบก็นำพาให้ทุกสิ่งวุ่นวายได้เฉกเช่นเดียวกันไม่ว่าเหตุการณ์ นั้นจะดีหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ขอถามท่านว่าสุขกับทุกข์อันใดเที่ยงแท้ (ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้)  เมื่อไม่เที่ยงแท้  ถ้าวันหนึ่งชีวิตจากสุขเป็นทุกข์รับไหวไหม (ไม่ไหว)  แปลกนะมนุษย์ถามอะไรรู้หมด ถามอะไรตอบได้หมด แต่ทำไมกลับนำไปใช้กับชีวิตไม่ได้ล่ะ เพราะเราขาดอะไรหรือ ขาดสติไหม ขาดการยั้งคิดหรือเปล่า และที่น่ากลัวที่สุดคือเราไม่เคยควบคุมใจเราได้เลยสักครั้งหนึ่ง จริงหรือไม่ รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ทำใจไม่ทันทุกที ทุกคนก็รู้ว่าเรา ต้องคิดดี ต้องพูดดี แต่พอถึงเวลาโมโหขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง ดีหายไปไหนหมดนะ ฉะนั้นที่เราคุมไม่ได้คือใจ ธรรมะจึงสอนว่า “หยุดนิ่งด้วยสติ” ก่อนจะโทษเขาหันกลับมาโทษเราก่อน ดีไหม (ดี)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาเป็นตัวอย่าง  โดยให้ทุกคนยืนนิ่งๆ ให้ตรงเส้นที่ท่านบอก และไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว) เป็นธรรมดาของมนุษย์ต้องเคลื่อนไหวต้องกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ควบคุมให้อยู่นิ่งอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถามท่านว่าทำไมชอบหวังให้คนอื่นเป็นดังใจ แล้วทำไมหวังให้คนอื่นรักแล้วต้องรักเลยห้ามเปลี่ยนใจ ห้ามขยับเขยื้อนไปไหน แล้วทำไมหวังว่ามีเงินอย่างไร เงินต้องอยู่อย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  หวังว่าบ้านสร้างมาแล้ว อยู่ตรงไหน กลับมาบ้านต้องอยู่อย่างนั้น ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมทีเรื่องคนอื่นรู้หมด แต่เวลาถึงเรื่องตัวเองกลับจุกอกล่ะ แต่ถ้าเรากับใครๆ เขา  เราปฏิบัติต่อเขาให้เหมาะสมแล้วถึงที่สุดเขาอยากจะสะเปะสะปะไปทางนู้น ไปทางนี้ หรือไปทางนั้น หรือไม่กลับมาเลย ไปตามทางของเธอ โกรธได้ไหม (ไม่ได้) 
อย่างที่เราบอกคิดดีคิดได้เป็นบุญ คิดดี คิดสงบเป็น เย็นใจเป็นก็คือนิพพาน คิดดีคิดไม่ได้ก็ตกนรกทั้งเป็น ก่อเกิดเป็นกิเลสวิบากกรรมไม่จบสิ้น “ทำไมไม่กลับมา ทำไมไม่อยู่ตามทิศทางที่ควรจะเป็น”  ทำไม แล้วก็ ทำไม แล้วใครจะตอบได้ จนกว่าเราจะวางความคิด ความรู้สึกและหันมามองความจริงด้วยปัญญาที่เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทิศทางเป็นของตัวเอง แต่ทิศทางหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราไม่สามารถครอบครองสิ่งใดได้เลยในโลกใบนี้ แม้กระทั่งกายและใจ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้และรู้ได้และนำพาให้เราพ้นได้ คือธรรมะที่นำพาจิตไปสู่ความสว่างและพ้นทุกข์
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก คงได้มาร่วมบุญกันอีก อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง ขอเพียงรู้เท่าทันความคิด ควบคุมความคิดให้ได้ ชีวิตก็จะไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
  

วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  
           ใจคนยังใฝ่ความดี                           แค่มีธรรมย่อมสื่อถึง
      ปลุกจิตเดิมแท้คะนึง                            ถึงธรรมที่เคยห่างไกล
      หวนธรรมดั่งหวนคืนบ้าน                       สงบเบิกบานใจหมาย
      แจ่มใสร่มเย็นสบาย                              สิ้นกายคงเหลือซึ่งธรรม
                  เราคือ
   จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                                              ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนเหนื่อยไหม
  
           ธารเชื่องช้าแช่มช้อยธารแช่มชื่น         อสูรหมื่นชนะธรรมน้ำดำคร่ำ
      แต่ทุกสิ่งใช้ธรรมเป็นสัจธรรม                 ธารลำนำนุ่มนวลสู่วิถีเดิม
      ภายในจิตคนหลงคืออวิชชา                   ไร้ปัญญาจูงจิตคืนซ้ำฮึกเหิม
      คนเรียกหวนนำทางยิ่งเหิมเกริม              หะแรกเริ่มใช้ธรรมโดยขาดเข้าใจ
      เมธีมาชวนกันเป็นเมธี                           เลิกวิธีชี้คนด่วนไม่ได้
      ชวนคนหลงคืนมาทำอย่างไร                  ต้องเข้าใจหลักธรรมจริงบำเพ็ญจริง
                                                                                                                                ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ่งที่มนุษย์บอกว่าหอม เช่นแอปเปิลหอมไหม (หอม)  แล้วถุงเท้าอาจารย์ล่ะ อันไหนหอม อันไหนเหม็น (แอปเปิลหอม ถุงเท้าอาจารย์เหม็น)  อาจารย์ถามศิษย์ระหว่างหอมกับเหม็น เอาอันไหน (หอม)  ถึงว่า มนุษย์ก็วนเวียนว่ายอยู่ในโลกนี้ก็เพราะหลงความหอมนี่เอง หอมแล้วมันทำให้เราต้องติด ทำให้เราปลงไม่ตก แล้วทำให้เราอยากแล้วอยากอีก บางครั้งของหอมไม่สู้ของเหม็นแล้วพยายามทำให้มันสะอาด แล้วอย่าได้เหม็นอีกเลย(จริงไหม)  ถ้าให้ศิษย์เลือกเอาอะไร (แอปเปิล)  อาจารย์ก็ว่าแล้วอย่างไรศิษย์ก็ต้องอยากได้แอปเปิลมากกว่าถุงเท้าอาจารย์ แต่เมื่อไรศิษย์ได้ยืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง นานๆ เข้าศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่หอมที่สุด บางครั้งมันก็ทำให้เราเหม็นและช้ำใจที่สุดนะ
สิ่งที่ศิษย์ปรารถนาว่าดูดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุด มีค่าที่สุด ก็ทำศิษย์เจ็บช้ำใจมากกว่าถุงเท้าของอาจารย์อีกนะ เพราะมนุษย์ปรารถนาสิ่งที่หอม สิ่งที่สวย สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์ ผลสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้น และตกเป็นทาสของสิ่งที่หอม สิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์ แล้วก็รบราฆ่าฟันกัน ทิ่มแทงทำร้ายกัน แล้วก็แก่งแย่งชิงชังกัน เพียงเพราะว่าหอม ดี มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อะไรในโลกที่ศิษย์บอกว่าดี สวย พอศิษย์มีแล้วก็ไม่อยากได้อีก ศิษย์เจ็บแล้วศิษย์จะวางได้แต่ไม่เห็นศิษย์จะวางได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคิดจะมี มีอย่างไรที่จะไม่ทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำศิษย์ทุกข์ และไม่ทำให้ศิษย์ตกเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้น
แค่ศิษย์มีสติคิดให้ได้ ทำอะไรใช้ปัญญา แค่ให้ศิษย์รู้จักเป็นนายเหนือวัตถุ เหนือกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถึงเวลาทำได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกให้เอาถุงเท้าของอาจารย์ไปเถอะ เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นเรามาเรียนเรื่องถุงเท้าของอาจารย์ ดีไหม (ดี)  ว่าสิ่งที่ดูสกปรกที่สุด ถ้าเราทำให้สะอาดก็กลับทำให้เรารู้จักใช้ชีวิตได้เป็น และไม่หลงตกเป็นทาสของมัน ดั่งคำว่า “ทุกข์” ที่ศิษย์ไม่อยากเจอในชีวิต ฟอกให้สะอาด มองให้ชัด ทุกข์ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับถุงเท้า ที่ตอนแรกเราเห็นแล้วรังเกียจ แต่ถ้าเราได้สัมผัส ได้เข้าใกล้ เราจะรู้ว่าทุกข์อาจจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และมองคนได้อย่างแจ่มชัด ว่าเขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็เป็นคนมีทุกข์ เราก็คนมีทุกข์ แล้วเราจะให้เขาทุกข์อีกทำไม แล้วเราจะทำให้เขาเจ็บอีกทำไม ในเมื่อเราก็เจ็บมามากแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวหรือ (ไม่น่ากลัว)  อย่างนั้นขอยืมเงินหน่อยนะ แต่ไม่รู้จะคืนเมื่อไหร่ ได้หรือไม่ (ได้)  (พระอาจารย์เมตตาให้ศิษย์สองท่านออกมาข้างหน้า ท่านหนึ่งอายุมาก อีกท่านหนึ่งอายุน้อยกว่า)  เมื่อสักครู่ให้เลือกถุงเท้ากับแอปเปิลเลือกยาก ใช่ไหม  อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ระหว่างสองแบบนี้เลือกเป็นแบบไหน (เลือกแบบสาว)  ศิษย์ของอาจารย์อยากได้แบบไหน (แบบไหนก็ดีทั้งนั้น)  แปลว่าแบบไหนก็เลือก ใช่ไหม ถึงเวลาเหี่ยวแล้วก็ต้องรับให้ได้นะ ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า ในโลกใบนี้แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนไม่น่ารังเกียจ และไม่มีอะไรดีกว่าอะไร ทุกสิ่งก็มีคุณค่าในตัวของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่เลือกคนสาว ไม่เลือกคนแก่ก็โง่ ใครที่คิดจะเลือกคนแก่ ไม่เลือกคนสาวก็บ้า จริงไหม (จริง)  เพราะยังไม่ทันไรเหี่ยวมาตั้งแต่เด็กเลยเอาไหม เป็นไปได้ไหม (เป็นไปไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ศิษย์ต้องรับให้ได้ทั้งสองอย่าง ฉะนั้นถ้าเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลก ความเข้าใจในทุกๆ เรื่อง เข้าใจในทุกๆ สิ่ง จะทำให้เรา ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรเราก็จะไม่ทุกข์
อาจารย์บอกว่าบางครั้งสิ่งที่สกปรกก็จะทำให้เรารู้ว่า เราต้องพยายามทำสิ่งนั้นให้สะอาด เพื่อต่อไปอย่าได้สกปรกอีก แต่สิ่งที่หอมๆ บางครั้งก็ทำให้เราสกปรกได้โดยไม่รู้ตัว เพราะความอยาก เพราะความโลภ เช่นศิษย์อยากได้แอปเปิลดีที่ราคาถูกๆ  ตอนไปซื้อจึงแอบเอามือขีดแอปเปิล แล้วบอกแม่ค้าว่า “นี่ๆ แม่ค้าแอปเปิลเป็นรอยลดราคาให้เดี๋ยวนี้เลย” นี่คือสิ่งที่หอมทำให้เราทำสิ่งสกปรก
ทำงานธรรมะไม่เหนื่อยไม่ท้อใช่ไหม (ใช่) ทำงานธรรมะยังเข้มแข็งเหมือนเดิมใช่ไหม อาจารย์ดีใจได้เจอศิษย์ของอาจารย์
(ฝาปิดน้ำเต้าของพระอาจารย์หลุดออก)  ไม่เป็นไรเดี๋ยวอาจารย์จะเอาน้ำเต้าดูดสิ่งชั่วร้ายจากตัวศิษย์ออกมาให้หมด จะได้ไม่เอาสิ่งชั่วร้ายไปทำความชั่วร้ายให้คนอื่น ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์ของอาจารย์ไม่ว่าจะดีแค่ไหนแต่หากไม่สามารถยับยั้งกิเลสของตนเองให้เบา บางได้ คนดีของอาจารย์ก็พร้อมจะเป็นคนบาป คนชั่วร้ายได้ จริงหรือไม่ (จริง)  กิเลส คือ ต้นตอของความชั่วร้าย ความชั่วร้ายมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “บาปกรรม”
ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามเป็นคนดีมากแค่ไหน ชอบทำบุญสุนทานมากแค่ไหน ชอบสวดมนต์ไหว้พระมากแค่ไหน แต่ถ้าใจยังโลภ โกรธ หลง คนดีของอาจารย์ก็ยังเป็นคนดีที่มีบาปได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีหรือ อาจารย์ว่าไม่ใช่ แต่ความดีของศิษย์ที่ทำ เป็นดีที่ไม่บริสุทธิ์ เมื่อทำทาน ทำบุญ หากทำแล้วเกิดใจที่โลภแค่นิดเดียว แต่ขอให้รวยๆ บุญก็เป็นที่อิงแอบของกิเลสที่เป็นต้นตอแห่งความชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแค่ตั้งใจทำบุญตักบาตรถวายพระ แต่ก็วอนขอ “ให้ลูกนั้นรวย ขอให้ถูกหวยสองตัว สามตัว” บุญนั้นก็ไม่ใช่บุญที่บริสุทธิ์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่งลง)
ฟังธรรมได้กี่วันแล้ว (สองวัน)  ได้ธรรมไปบ้างไหม (ได้)  เห็นธรรมบ้างไหม (เห็น)  อย่างนั้นอาจารย์พูดให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น ดีหรือไม่ (ดี) 
อาจารย์ถามนะ เราเป็นธรรมไหม (เป็น)  คนข้างๆ เป็นธรรมไหม (เป็น)  คนนี้เป็นไหม (เป็น)  พัดนี้เป็นธรรมไหม (เป็น)  ถ้าตอบขนาดนี้ก็แปลว่าเข้าใจระดับหนึ่ง ธรรมคือสภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์ยึดติดตัวตนจึงเรียกสิ่งต่างๆ แบ่งแยกตามชอบชัง หรือตามที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดเป็นคุณลักษณะ จึงเรียกชื่อต่างกัน แต่พระพุทธะจะเรียกทุกอย่างว่าธรรม ถ้าศิษย์อยากเข้าใจธรรม ก็ต้องมองให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราเห็นธรรมในคน เราก็จะเห็นธรรมในตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกครั้งที่เรามองคน เราก็เห็นคน ไม่เคยเห็นเป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าใจธรรม ศิษย์จงมองคนให้เห็นธรรม เคยเห็นหรือไม่ (ไม่เคย)  หรือเห็นแต่ว่าเขานิสัยอย่างนี้ ชอบพูดอย่างนี้ ชอบทำแบบนี้ รู้สึกเบื่อ รู้สึกเกลียดเขา ศิษย์เห็นแต่กิเลสมากกว่าเห็นธรรม เช่นนี้ดีไหม (ไม่ดี)  กิเลสเป็นต้นตอของความชั่ว เห็นกิเลสก็เห็นความชั่ว กระจกเป็นอย่างไรก็สะท้อนอย่างนั้น ก็แปลว่าใจเราก็มีความชั่วอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าธรรมคือ สภาวะที่เป็นจริงตามธรรมชาติ อะไรที่เป็นจริงตามธรรมชาติล้วนให้ธรรมทั้งหมด ถ้าเขาด่าก็เป็นธรรม เขาชมก็เป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาเอาแฟนของเราไปก็เป็น (ธรรม)  แฟนของเรามีกิ๊กก็เป็น (ธรรม)  ใช่หรือไม่
ลูกจะขโมยเงินแม่ก็เป็น (ธรรม) แต่เป็นธรรมที่ไม่ควรทำ ใช่หรือไม่ศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นธรรมจึงสอนต่ออีกว่า นอกจากเราจะรู้เรื่องธรรม แต่อีกธรรมที่ศิษย์จะลืมไม่ได้คือคุณธรรม อยู่ในธรรมตัวนี้แต่เรียกว่าจิตสำนึกแห่งความถูกต้องในการปฏิบัติและร่วมกัน คนที่บอกว่าศิษย์มีธรรมก็พอแล้ว อาจารย์จะบอกว่ายังไม่พอ เพราะเดี๋ยวศิษย์ก็จะอ้างว่าศิษย์มีกิ๊กเป็นธรรมดา ทำถูกทำผิดบ้างก็ธรรมดาใช่หรือไม่ ศิษย์จะชอบอ้างว่าอย่างนี้ก็เป็นธรรม ฉะนั้นมีแค่ธรรมยังไม่พอ ยังต้องมีคุณธรรมที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมมากกว่านั้นอีกคือจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง
ทุกคนบอกว่ามีธรรมก็พอแล้ว ไม่ต้องมีคุณธรรมหรอก เยอะแยะจำไม่ได้ จำไม่ไหว จำไม่หมด  แต่อาจารย์ว่าถามลึกๆ แล้วถ้าเราเป็นเด็ก เราอยากได้คนรักเอ็นดูหรือไม่ (อยาก)  ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่เราอยากได้เด็กที่เคารพให้เกียรติไหม (อยาก)  ฉะนั้นแค่มีธรรมยังไม่พอ เราต้องมีคุณธรรมที่เป็นการบ่งบอกจิตสำนึก เหมือนอาจารย์มา บอก “เฮ้ย ว่าไง มองอะไรตาตี่” เราชอบไหมที่มีเด็กมาดูถูก (ไม่ชอบ) เราก็อยากได้เด็กที่เคารพให้เกียรติ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ควรจะปฏิบัติอย่างไร  เราเป็นเด็กเราก็อยากได้คนที่รัก แม้แก่แล้วเราก็อยากได้คนที่รัก ไม่ชอบใครดูถูกใช่หรือไม่ ฉะนั้นจิตสำนึกแห่งคุณธรรมก็เลยส่งออกมาให้เรารู้ว่า ถ้าเราเอ็นดูเด็กเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง มีหรือเขาจะไม่เคารพเราเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเคารพผู้ใหญ่คนหนึ่งเหมือนพ่อเหมือนแม่ มีหรือเขาจะไม่รักเราเหมือนลูกเหมือนญาติพี่น้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำแบบนั้นไหม ธรรมยังสอนต่อในเรื่องคุณธรรมประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน เพราะการที่เราปฏิบัติอยู่ร่วมกันมันก็เลยทำให้เรารู้ว่า ต่อพ่อแม่เราต้องกตัญญู ต่อผู้ใหญ่เราต้องให้เกียรติ ต่อผู้น้อยเราต้องเมตตา  ฉะนั้นสิ่งนี้เกิดมาจากใจที่ศิษย์ควรจะมีและปฏิบัติต่อกัน พูดอย่างนี้เข้าใจหรือไม่ว่าทำไมระหว่างคนต่อคนต้องมีคุณธรรมระหว่างกัน ถ้าศิษย์อยากได้ความรักจากใคร และรักเราเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน จงเคารพผู้ใหญ่เหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนครูบาอาจารย์  ถ้าเราอยากให้ใครเคารพเราเหมือนพี่เหมือนน้อง เราจงรักเมตตาปรานีเกื้อกูลเขาเหมือนคนที่เป็นญาติสนิทชิดเชื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอที่จะเข้าใจธรรมกับคุณธรรมที่อาจารย์เกริ่นง่ายๆ ไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากเรียกร้องให้ใครเป็นอย่างไรจงเริ่มต้นที่ตัวเรา ทำให้ถูกทำให้ดีเราก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา เพราะโลกนี้เป็นโลกของการอยู่ร่วมกันในสังคม เราจะเอาแต่ตัวเราแล้วไม่สนใจเพื่อนรอบข้างไม่ได้ และบางครั้งเราต้องมีปฏิสัมพันธ์ทำงานร่วมกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
อาจารย์ขอพูดต่อเรื่องสัจธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าเดินเข้ามาในห้องด้วยอาการสองแบบ แบบแรกเข้ามาแล้วยกนิ้วชื่นชม แบบที่สองเข้ามาแล้วทำท่าอิดหนาระอาใจ) เกิดอะไรขึ้นกับการแสดงทั้งสองแบบ ศิษย์ชอบแบบไหน (ชม)  สัจธรรม คือ ความจริงแท้ที่เปลี่ยนแปรผัน  ฉะนั้นไม่ว่าอาจารย์จะชม หรืออาจารย์จะแสดงว่าไม่พอใจ มันก็คือสัจธรรม หากเรายึดไว้มันก็เป็นกรรม แต่หากเราปล่อยวางและเข้าใจมันก็คือธรรม ฉะนั้นเรายังติดอยู่กับอดีต หรือเราอยู่กับปัจจุบัน
สมมติว่าสัจธรรมคือสิ่งที่เปลี่ยนแปรผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น มั่นหมายว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้  มันเรียกว่ากรรม มันไม่เรียกว่าธรรม แล้วชีวิตแห่งความเป็นธรรมมันมีแค่ปัจจุบัน มันมีแต่เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าใจสัจธรรม สัจธรรมจะทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมและไม่ก่อกรรม
ศิษย์ของอาจารย์หลายคนบอกว่ามันฟังแล้วยาก อาจารย์พูดแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากลับบ้านไปแล้วพบว่า เงินที่เก็บมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นหายวับไปกับตา ศิษย์จะเข้าใจไหมว่า มันเป็นสัจธรรม อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจคำว่า “สัจธรรม” สัจธรรมคือความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปรผัน เรายึดมั่นไม่ได้ ถ้าเราเผลอยึด เราจะอดไม่ได้ที่จะสร้างกรรม  แม้ว่ามันจะเป็นกรรมดีหรือกรรมร้ายมันก็คือกรรม แต่สัจธรรมคือสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่มนุษย์เราชอบจมอยู่กับอดีต เช่นศิษย์เคยสวย เคยเก่ง เคยรวย ตอนนี้ใครมาว่าศิษย์ไม่สวย ศิษย์ไม่รวย ศิษย์ไม่เก่ง ศิษย์ก็ต้องทำใจให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามันเป็นสัจธรรม   สัจธรรมคือสิ่งที่เปลี่ยนแปรผัน ถ้าเราเผลอไปยึด เราจะอดที่จะสร้างกรรมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกรรมนั้นก็มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมดีก็ยังมีผลที่ต้องกลับมาเวียนว่ายรับผลของกรรมดี กรรมชั่วก็ยังมีผลที่ต้องกลับไปรับกรรมชั่ว หรือกรรมชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสหรือบาป  ใช่หรือไม่ (ใช่)   เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ถ้าวันนี้ทำบุญ ค้าขาย ทำอะไรก็ตาม เราหวังไว้ว่าเราค้าขายแล้วเราต้องได้ (กำไร)  เห็นไหมมันเป็นกรรม เมื่อคาดหวัง เมื่อยึดถือ มันก็เริ่มเป็นกรรม ฉะนั้นหวังไหม (ไม่หวัง)  ทำไมไม่หวังล่ะ เพราะมันเป็นสัจธรรมที่เรายึดถือไม่ได้ สัจธรรมที่ไม่ควรยึดถือเพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันก็ดับไป  ฉะนั้นอาจารย์พูดทีหนึ่งมันก็เริ่มดับไปทีหนึ่ง พูดประโยคหนึ่งอีกประโยคก็ดับไป แล้วอีกประโยคหนึ่งก็ขึ้นมา
ฉะนั้นถ้าศิษย์มัวแต่ยึดศิษย์ก็คือกรรม แต่ถ้าศิษย์เข้าใจว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เวลาเราถูกคนด่ามา เขาด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  เราคิดไม่จบ ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นสัจธรรม สัจธรรมคือทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ถ้าศิษย์เผลอไปยึด เผลอไปอยาก ศิษย์ก็คือคนที่ขี้ตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง แล้วธรรมชาติเคยอยู่กับตัวเราไหม เคยควบคุมได้ไหม แล้วเราอยากไหม (อยาก) 
แล้วในสัจธรรมยังสอนอีกว่าในความไม่เที่ยงนั้นมีทุกข์ เอาไหม (เอา)  เอาทุกอย่างเลยนะ กระเป๋าก็เอา นาฬิกาก็เอา เงินก็เอา แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วสิ่งที่ทำนั้นทำให้ศิษย์หนีวงล้อแห่งสัจธรรมพ้นไหม เมื่อมันเข้ามาพร้อมกัน สูญเสียพร้อมกัน เรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมและคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกันแล้ว เราจะประจักษ์แจ้งในสัจธรรม เชื่อไหม (เชื่อ)  เราจะไม่โลภ โกรธ หลงเลย เพราะโลภแล้วก็ทำให้เราทุกข์ หลงแล้วก็ทำให้เราเจ็บ โกรธแล้วก็ทำให้เราทุกข์ ทำให้เขาหนีหายไป และเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้  ถ้าเราประจักษแจ้งในธรรมและรู้จักดำรงตัวให้ถูกต้อง ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าถึงความกระจ่างแจ้งใน ธรรม ยากไหม (ไม่ยาก) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากคิดมีอะไรเพิ่ม จงจำไว้ว่าสิ่งที่คิดอยาก สิ่งที่คิดหวัง สิ่งที่คิดยึด หนีไม่พ้นสัจธรรมอันเป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปรผันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ถ้าเราเข้าใจต้นตอของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะไม่มี โดยที่เรานั้นไม่ต้องพยายามใช้ขันติ สมาธิ วิปัสสนาเลย เพราะเห็นแล้วกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องเกิดก็จบ แต่ศิษย์พยายามให้เกิดก่อนแล้วค่อยทำให้จบ  ช้าไปไหม (ช้า)  ฉะนั้นหยุดตั้งแต่เกิดเลยนะ รู้เรื่องไหม (รู้)  อย่าเป็นหัวล้านได้หวี อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจในธรรม เข้าใจในคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกัน และเข้าใจในหลักสัจธรรม เพราะสัจธรรมไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ในวัด ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่พระภิกษุสงฆ์ แต่อยู่ที่ตัวของแต่ละคน และอยู่ในทุกๆ สิ่งที่ศิษย์เห็นทุกวัน  แต่เราไม่เคยเห็นด้วยดวงตาแห่งธรรม เห็นเป็นแต่กิเลสความอยากความโลภ  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อใดที่มนุษย์รู้เท่าทันความคิด ปล่อยวางความรู้สึก มนุษย์จะสามารถประจักษ์แจ้งในธรรมด้วยปัญญาทันที”  ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์จี้กงพูดอะไร ง่ายหมดเลย แต่ศิษย์ทำไม่ได้ ใช่ไหม ยังคิดว่า “เห็นผู้หญิงก็ยังสวยน่าสนอยู่เลยนะอาจารย์” เพราะศิษย์ถนัดใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก ศิษย์ไม่เคยใช้ธรรม “อยู่กับคนนี้รู้สึกดีจัง อย่าส่งสายตาอย่างนี้ ฉันจะละลาย” ใช่ไหม เพราะเราอยู่กับคน  เราไม่เคยใช้ธรรม เราใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก “เธอนี่ได้ใจล้วนๆ เลย ถูกใจๆ กดไลค์” (LIKE = ถูกใจ)  แต่ถ้าด่ากดไลค์เมื่อไรนี่ บาปอินฟินีตี้ (บาปไม่สิ้นสุด)  เลยนะศิษย์ เข้าใจหรือเปล่า อาจารย์อุตส่าห์ใช้ศัพท์ทันสมัย ศิษย์ไม่รู้เรื่องเลย
อาจารย์ขอบอกบุญศิษย์นะ เมื่อเราได้ยินเสียงจากรถพยาบาล ในใจศิษย์คิดอย่างไร (ตายแน่ๆ)  อาจารย์บอกบุญหน่อยนะ อย่าร่วมบาป อย่าร่วมกรรม ได้ยินเสียงรถพยาบาลวิ่งผ่านก็ให้คิดว่า “ขอให้เขารอด ขอให้เขาปลอดภัย” ดีไหม (ดี)  แปรบาปเป็นบุญ แปรการเกี่ยวกรรมเป็นสิ้นเวรสิ้นกรรมกันดีไหม อยากเกี่ยวกรรมกับเขาหรือ แช่งเขาเลย เดี๋ยวได้เจอเขาแน่แต่เจอแบบไหนอาจารย์ไม่รู้ 
ฉะนั้นถ้าเจอใครต่อยตีกัน แล้วเราด่าเขาชั่วเลว แล้วมีคนกดไลค์ ดีไหม (ไม่ดี)  เปลี่ยนนะศิษย์ เจอใครไม่ดีส่งบุญให้เยอะๆ เผื่อคนชั่วจะได้เปลี่ยนเป็นดี คิดว่า “สาธุบุญกุศลที่ข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าขอให้เขาได้คิดเถิด” ดีกว่าไหม (ดี)  เพราะศิษย์ปล่อยให้คนชั่วแล้วก็แช่งให้เขาชั่ว ชิงชังว่าเขาชั่ว แล้วด่าซ้ำกลับว่าเขาชั่ว จนเขาไม่มีที่ยืนเพราะเขาชั่ว แล้วคนชั่วนี้ก็จะกลับมาทำร้ายคนดี ฉะนั้นสู้ทำให้คนชั่วกลับมาดีสักทีด้วยจิตสำนึกแห่งคุณธรรม ร่วมกันส่งบุญให้เขา อาจารย์เห็นศิษย์ขยันดูแต่เรื่องไม่ดีแล้วก็พากันแช่งเขา ขอให้เปลี่ยนนะศิษย์ เปลี่ยนเป็นส่งบุญให้เขาดีไหม (ดี)  ฉะนั้นเวลาได้ยินเสียงจากรถพยาบาลก็ให้คิดว่า (ขอให้เขารอด ขอให้เขาปลอดภัย)  เพราะถ้าวันหนึ่งเป็นตัวเราอยู่ในรถพยาบาลคันนั้น คงไม่มีใครคิดกับเราว่าตายแน่ๆ เพราะแต่ก่อนตอนได้ยินเสียงรถพยาบาลฉันแช่งตลอดเลย
เล่นเกมกับอาจารย์หน่อยดีหรือไม่ เกมของอาจารย์คือพูดให้มีธรรม ส่วนใหญ่เวลาเราพูดก็จะพูดนินทาคนนั้น ว่าคนนี้  เรามาอยู่ในชั้นนี้แล้ว ให้แต่ละแถวร่วมกันแต่งประโยคที่มีธรรม และให้กำลังใจ ดีหรือไม่ (ดี)  อย่างเช่นแถวนี้มีห้าคน ก็แต่งมาห้าคำ แล้วรวมกันเป็นประโยคที่มีธรรม ดีไหม (ดี)  แถวไหนแต่งได้ดี อาจารย์มีรางวัลให้
(สุขทุกข์อยู่ที่ใจ, คิดดีจะทำดี),
(ทำดีใจเป็นสุข, ทุกข์สุขแก้ด้วยใจ, คิดดีได้ดี)  ฉะนั้นอย่าเผลอคิดชั่วนะ
(กินเจเพื่อเป็นธรรม)  น่าจะเป็นกินเจเพื่อเว้นกรรมนะ
(ปลงได้ใจเป็นสุข) 
(ละเว้นการทำชั่ว)  คิดอะไรเป็นธรรม ศิษย์ก็คิดได้นะ พูดอย่างคนมีธรรมศิษย์ก็พูดได้นะ
(ใจมีแต่ให้, คิดได้ใจพ้นทุกข์)
(ปล่อยวางแล้วสุขใจ, ทำดีแล้วได้บุญ)  ทำบุญแล้วได้ดีมากกว่านะศิษย์
(ทุกข์สุขไม่เที่ยงแท้)  คิดดีก็คิดได้แต่ไม่ค่อยจะคิดกันนะ
(คิดดีใจเป็นสุข, ยึดถือคุณธรรม) บางครั้งต้องรู้จักปฏิบัติคุณธรรม แต่ไม่ต้องยึดถือมากเกินไป ใช่หรือไม่ เพราะเป็นจิตสำนึกของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าทำด้วยจิตสำนึกเราไม่ต้องยึดไม่ต้องถือเลย ออกมาจากใจเอง ไม่เหมือนการบังคับให้ต้องมีใช่หรือไม่
(กตัญญูรู้คุณ)  น่าจะเป็นรู้คุณตอบแทนคุณนะ เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้คุณคน แล้วก็ไม่รู้จักตอบแทนคุณคน กตัญญูก็ไม่มีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ธรรมะพาสุขใจ) ได้กำลังใจไหม รู้สึกดีไหม (ดี) แต่งประโยคให้มีธรรม ให้กำลังใจเพื่อนในชั้นด้วยได้หรือไม่
เหลือสามท่านจะแต่งประโยคได้หรือพูดอะไรที่ดีๆ มีธรรมะ คนละประโยคก็ได้นะ
(ชอบมาสถานธรรม,  ใจมีความสุข)  ชอบทำบุญตักบาตรมีศีลมีธรรม แม้พูดไม่ได้ก็ยิ้มไว้ ใครมาก็ยิ้ม
(คิดดีแล้วทำเลย)  ทำได้หรือไม่ กลัวแต่คิดแต่ไม่ทำสักทีนะ
(ให้อภัยเป็นทาน)  ปรบมือหน่อยนะ แต่ถ้าเราใจกว้างก็ไม่มีใครที่เราต้องพยายามให้อภัย จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าใจมันสู้อะไรก็ไหวนะ
(คิดดีทำดีมีคุณธรรม,ทำดีให้จงได้,ฝึกจิตให้ดีจะมีความสุข)  อาจารย์อยากจะบอกว่าความสุขนั้นมีอยู่แล้ว แต่จิตมองไม่ค่อยเห็น ชอบหวังความสุขจากที่ไกลลิบ แต่ตรงนี้กลับไม่มีความสุข (เพราะไม่ได้ฝึก)  ไม่ต้องฝึกแค่ “พอ” ก็มีความสุขแล้ว ถ้าไม่พอไปหวังที่ไกลลิบอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความสุข ฝึกจิตได้ดีจะไม่มีทุกข์มากกว่านะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า      “สายธารแห่งธรรม” )
ธรรมะที่จริงมีอยู่ในใจศิษย์ทุกคนแล้ว มนุษย์ทุกคนใฝ่ดีเป็นเรื่องปกติ และความใฝ่ดีจะทำให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมได้ เรือลำนี้ก็เปรียบเหมือนธารแห่งธรรมที่จะทำให้ศิษย์นั้นกลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้ ที่ศิษย์หลงลืมกันไป ฉะนั้นสายธารแห่งธรรมนี้จะเกิดขึ้นมาได้ วันนี้ศิษย์ได้มาประชุมธรรมที่นี่ได้ก็เพราะเกิดจากหยาดเหงื่อและน้ำตาของคน ที่อุทิศเสียสละและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ อย่างนั้นอาจารย์ขอให้กำลังใจคนที่ร่วมสร้างที่นี่คนที่ตั้งใจอุทิศให้ที่ นี่ ศิษย์อยากเห็นหน้าคนที่สร้างห้องพระสวยๆ ไหม ศิษย์อยากรู้หรือไม่ว่าใครที่เสียสละเงินเยอะขนาดนี้ ออกแรงเยอะขนาดนี้ ได้ทำห้องพระออกมาสวยขนาดนี้ อยากเห็นหน้าพวกเขาไหม (อยาก)  ให้กำลังใจกันหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นพวกเขาออกมาจะพูดว่าอะไรดี (ขอบคุณ) 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ร่วมแรงก่อสร้างสถานธรรมสิงเต๋อ ออกมายืนหน้าชั้น)
แม้จะไม่ได้ช่วยเงิน ช่วยแต่แรง หรือทั้งช่วยเงินและช่วยแรง มาดูแลมาช่วยสถานธรรมไม่เคยขาดเลย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ห้องพระนี้สำเร็จสวยและงดงาม พูดพร้อมกันนะ (ขอบคุณ)  ขอบคุณในความตั้งใจดี ขอบคุณในทุกหยาดเหงื่อ ขอบคุณในทุกกำลังแรงและขอบคุณในทุกหัวใจที่กลั่นออกมาเสียสละอุทิศเพื่อผู้อื่นนะ ขอให้หัวใจนี้และความตั้งใจนี้ยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายนะศิษย์ อุทิศเพื่อประชาไม่ห่วงแม้ตัวเองจะเหนื่อยแค่ไหนนะ ฉะนั้นเพิ่งเริ่มต้นอย่าเพิ่งกลัวเหนื่อย 
อาจารย์ให้ผลไม้หน่อยนะ อาจารย์ให้ผลไม้อะไรดี (สาลี่)  จริงๆ แล้วผลไม้ไม่มีค่าเท่ากับหัวใจของศิษย์ ถ้าอาจารย์ให้ผลไม้อาจารย์ยังอยากบอกว่าผลไม้นี้ค่ายังเทียบไม่ได้กับหัวใจ ของศิษย์ที่มุ่งมั่นแข็งแกร่ง ที่ลำบากก็ไม่ยอมแพ้ ทำจนสำเร็จทำจนได้ ฉะนั้นมุ่งมั่นต่อไปให้ถึงที่สุดนะ ผลไม้ก็เพียงแค่กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์ว่าผลไม้ที่อาจารย์ให้ยังยิ่งใหญ่ไม่เท่าหัวใจของศิษย์ที่เสียสละนะ มุ่งมั่นต่อไปนะ ยังต้องอุทิศเสียสละอีกยาวนะ ฉะนั้นตั้งใจให้ดีให้ถึงที่สุด อย่าพ่ายแพ้แค่คำพูด อย่าถอยหลังเพียงเพราะสิ่งขัดใจ
ต้องอดทน ทำดีให้ได้ ใช่หรือไม่ ครบแล้วนะฝ่ายหญิง ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เข้มแข็งแล้วเดินต่อไป ปาดน้ำตาลุกขึ้นสู้เดินต่อไปนะศิษย์เอย  ตั้งใจดีไปให้ถึงที่สุดนะ ที่เหลือดูแลกันต่ออีกนะศิษย์เอย ทำให้ดีทำให้ถึงที่สุดนะ ได้หรือไม่
อาจารย์ พูดตั้งแต่ต้นเรื่องธรรม คุณธรรม สัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจสามสิ่งนี้ เราจะไม่ทุกข์แต่เราจะมีความกระจ่างแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ว่าเรื่องราวจะพลิกเปลี่ยนแปรผันอย่างไรเราก็จะมีความเข้าใจ ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้าแต่เราเข้าใจว่าคือส่วนหนึ่งของสัจธรรม ที่เรียกว่าธรรมะอันเป็นจริงแห่งชีวิต จำได้ไหม (จำได้) 
ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติ คุณธรรมคือจิตสำนึกดีงามในการแสดงออกที่ปฏิบัติร่วมกันเมื่อเราอยู่กับผู้คน อยากให้เขารัก เราก็ต้องเคารพให้เกียรติ อยากให้เขาให้เกียรติเราก็ต้องรู้จักรักเขาให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์รู้ไหม ปราชญ์โบราณที่เขาออกรบทัพจับศึกกัน กล่าวว่า “ถ้าหมู่บ้านใดรักกันดุจพี่น้อง หมู่บ้านนั้นตีอย่างไรก็ไม่มีวันแตก” ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าคนในสังคมสมัครสมานเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติสนิทมิตรสหาย เราจะทำให้เขาทะเลาะเบาะแว้งกัน เราจะทำให้เขาทุกข์ก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เราอยากทำให้สังคมมีความสุขเราจึงต้องรู้จักรักเขาดุจญาติ เขาก็จะรักเราดุจลูกหลาน ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ เขาก็จะปฏิบัติต่อเราเหมือนเพื่อนสนิท ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถึงเวลาเรามักจะทำไม่ค่อยได้อย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรัก ความเคารพต่อคนอื่นทุกคนก็มี แต่บางทีเพราะกิเลสมันมีมากกว่าจึงอยู่ร่วมกันยาก
กิเลสคือความอยากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่ากิเลสมีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่เวลากิเลสมาทีไรทำไมเราตกเป็นทาสทุกที แล้วอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า กิเลสเกิดขึ้นเพราะความคิดนึกที่คิดว่าตัวเองมีตัวตน กิเลสเกิดขึ้นเพราะความคิดนึกว่าฉันมีตัวมีตน แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เข้าใจสัจธรรม สัจธรรมสอนตนว่าทุกสิ่งล้วนแปรผันไม่เที่ยงและว่างเปล่า ฉะนั้นตัวตนมีไหม (ไม่มี)  คนที่มีกิเลสคือคนที่ไม่เข้าใจธรรมและสัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วตัวตนไม่ได้มีตลอดเวลา จะมีก็ต่อเมื่อโดนกระทบแล้วคิดนึกว่ามันเป็นกู มันด่ากู
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ กิเลสไม่มีตัวตน แต่ความคิดของศิษย์ที่หลงผิด คิดว่ามีตัวตน ก็เลยสร้างกิเลสขึ้นมาเพื่อเอาสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้มาเป็นของตน ทั้งที่ตนก็ไม่มี ของที่จะเอาก็ไม่มีจึงเกิดกิเลสแล้วเกิดโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโลภเกิดเพราะความอยาก กิเลสเกิดเพราะความไม่รู้แล้วหลงยึดถือ แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้แท้จริงว่า ตนก็ไม่มี สิ่งที่อยากก็ไม่มี สิ่งที่โลภ โกรธ หลงก็ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าใจธรรม กิเลสจะหาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะเห็นกิเลส ก็อยาก เหมือนโดนกระทบ โดนตี โกรธไหม (โกรธ) 
กิเลสคือใจที่หลงนึกคิดว่าเรามีตัวตน แล้วคนที่ตีก็มีตัวตน คิดว่าเขาทำไมต้องมาตีฉัน ใช่หรือไม่ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าสัจธรรมเกิดขึ้นจบแล้ว โกรธไหม เกลียดไหม (ไม่โกรธ, ไม่เกลียด)  สัจธรรมเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงเราควบคุมไม่ได้ แล้วเราก็คาดหวังไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะหยุดกิเลสและเราจะเข้าใจตัวตน แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมกิเลสจะก่อเกิดกรรม วิบากกรรมและวัฏสงสารครบวง เช่น “เมื่อเธอตีฉัน ฉันก็จะตีเธอกลับ”
กิเลสจึงก่อกรรม วิบากกรรม และการเวียนว่าย รวมครบเป็นวัฏสงสารที่เรียกว่า “ตัวกู ของกู” ที่ยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันคือธรรมที่เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ขอให้แล้วก็แล้วไปนะ เพราะถ้าศิษย์ไม่แล้วก็แล้วไป ศิษย์จะก่อการจองเวรจองกรรม เกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าอยากหยุดโลภ หยุดกิเลสจงรู้เท่าทันธรรมอันนี้ ไม่ใช่รู้เท่าทันใคร ไม่ใช่ไปจัดการใคร แต่จัดการตัวนี้ที่จริงๆ แล้วมันไม่มี แต่ศิษย์ขี้ตู่ว่ามันมี แล้วชื่อนั้นชื่อนี้ เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าจิตที่เห็นแก่ตัว มองเห็นแต่ตัวจะก่อเกิดการแบ่งแยก แล้วเรียกว่าอันนั้นดี อันนั้นร้าย อันนั้นทุกข์ อันนั้นสุข อันนั้นขอบ อันนั้นชัง แต่ถ้าจิตที่สามารถมองเห็นซึ่งธรรม จะไม่มีคำว่าดีร้าย เธอฉัน ใครเขา เพราะทุกสิ่งคือ ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่โดนกระทบ ถูกด่า ถูกแช่ง ถูกขโมย ศิษย์ก็จะเข้าใจ แต่เกิดมาเพื่อใช้กรรมให้สิ้น และทำหน้าที่ของการอยู่บนโลกให้สมบูรณ์ที่สุด แค่ยืมใช้แล้วก็คืนโลกไป ไม่ครอบครอง ไม่ยึดมั่น ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้ศิษย์คลายจาง นั่นเรียกว่าธรรม แต่สิ่งใดที่ทำให้ศิษย์ยึดเกาะเกี่ยวผูกพัน นั่นคือเรียก โลภ กิเลส  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือตัวศิษย์  แต่ศิษย์บอกว่า อาจารย์ ฟังอาจารย์มาเยอะบางทีมันก็ทำยากนะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เป็นคน ศิษย์ก็ต้องหวังก้าวหน้า ศิษย์เกิดมาทั้งทีชีวิตหนึ่งก่อนตายไปขอให้มันอยากเต็มที่ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปปลง แล้วค่อยตัดทีหลัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอย บางครั้งสายน้ำไหลแล้วเรียกกลับมาไม่ได้ พลาดไปแล้วมันเรียกกลับมาไม่ได้ เราอย่าคิดว่าไม่เป็นไร เกิดมาทั้งทีอยากไปก่อน เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย โลภให้เต็มที่ก่อน เดี๋ยวไปทำดีทีหลัง เหมือนอาจารย์ตบศิษย์แล้ว อาจารย์บอกสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อาจารย์ไปทำบุญขออภัย ศิษย์คิดว่ามันหายกันไหม (ไม่หาย)  มันไม่หายนะศิษย์ 
อาจารย์จึงอยากจะย้ำเตือนศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน ความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต อย่าล้อเล่น เพราะคนเวลามันเจ็บ ขอโทษคำเดียวมันไม่หาย เพราะคนเวลาที่เขาทุกข์ กรวดน้ำคว่ำขันครั้งเดียวมันไม่หาย ใช่หรือไม่
ฉะนั้นก่อนจะมีความอยาก ก่อนจะมีความโลภคิดให้ดี เพราะกรรมมันสร้างมาแล้วแม้แต่พระพุทธะทุกพระองค์ก็หนีผลของกรรมไม่ได้ ฉะนั้นก่อนจะสร้างเป็นกรรมคิดให้ดีก่อนไหม ฉะนั้นอย่าพูดอะไรมั่วๆ นะ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนอาจารย์จับให้เต้นเป็ดนะ ศิษย์เอยถ้าอยู่ในโลกไม่อยากให้คนมาหลอกลวงเราให้เจ็บช้ำเราก็อย่าเผลออย่าโลภ และถ้าเราไม่อยากทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ เราไม่อยากเจ็บช้ำน้ำใจเราก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มันก็เป็นเพียงสังขารอันหนึ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ถึงเวลามันก็ต้องร่วงโรย ถึงเวลามันก็ต้องเจ็บ ถึงเวลาก็ต้องป่วยเป็นธรรมดา  ฉะนั้นถ้าเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง ตายไม่ต้องกลัว เจ็บก็ไม่ต้องทุกข์เพราะมันเป็น       สัจธรรม ถ้าศิษย์ไม่ตาย ศิษย์ไม่เจ็บนี่สิต้องกลัว เพราะจะทำให้ศิษย์อยู่ยงคงกระพันซึ่งใครๆ ก็ตายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ อะไรจะเกิดจงมีสติและคิดว่าดีแล้ว แม้จะถูกด่าก็ดีแล้ว เพราะไม่มีอะไรในโลกมันเที่ยงแท้ แต่สิ่งที่เที่ยงแท้และแน่นอนคือความประจักษ์แจ้งในธรรม โดยคนๆ นั้นรู้จักบำเพ็ญอบรมฝึกฝนใจ จำไม่ได้ฟังบ่อยๆ เดี๋ยวได้เอง เพราะปัญญาไม่ใช่หากันง่ายๆ แต่หาได้โดยการอบรมธรรม ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดขอให้คิดไตร่ตรองให้ดี มองให้เห็นธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม เจอเรื่องใดมากระทบจงใช้หลักสัจธรรม และที่สำคัญอย่าเบียดเบียนกันด้วยคำพูด วาจา และความอยากที่ไม่น่าจะเป็นเลยนะ เพราะจิตลึกๆ ของทุกคนล้วนต้องการคนที่เมตตา คนที่รัก ฉะนั้นถ้าพูดแล้วไร้เมตตา พูดแล้วเหมือนคนไม่รักกันไม่พูดดีไหม ถ้าทำแล้วทำให้เรากลายเป็นคนโลภ ทำให้เรากลายเป็นกิเลส ทำให้กลายเป็นความหลง อย่างนั้นรู้จักหยุดยั้งบ้าง ได้หรือเปล่า อาจารย์ไม่หวังศิษย์ต้องเป็นคนดี แต่อาจารย์หวังศิษย์เป็นคนที่พยายามไม่ทำชั่ว อาจารย์ไม่อยากได้ศิษย์คนดี แต่อาจารย์อยากได้ศิษย์คนที่ไม่คิดชั่วทำชั่ว และแอบสูบบุหรี่ลับหลังอาจารย์ ตัวตนมันเกิดก็เพราะบุหรี่แค่ซองเดียวและบุหรี่ซองนี้ก็เป็นโซ่ที่คอยฟาด แล้วก็ทำให้เราต้องทุกข์กับการเจ็บปวดในสังขารและก็หนีไม่พ้นการเวียนว่าย ตายเกิดที่เรียกว่านรก
ฉะนั้นไม่มีใครฉุดศิษย์ให้พ้นทุกข์ได้นอกจากตัวศิษย์เอง อาจารย์กลับแล้วนะ เดี๋ยวศิษย์ของอาจารย์จะหิวข้าว (ไม่หิว)  แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะ ทุกข์เมื่อไหร่กลับมาหาอาจารย์นะ อาจารย์จะช่วยปัดเป่าให้ศิษย์เข้าใจและกระจ่างและรู้ว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ขอแค่ตั้งใจไม่ทำชั่วนั่นก็มีอาจารย์อยู่ในใจศิษย์ทุกวันแล้ว ไหว้อาจารย์ไม่สู้เอาอาจารย์มาเป็นตัวศิษย์นะ อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับแล้วนะ มีทุกข์เมื่อไหร่จำไว้นะศิษย์มีอาจารย์คอยปลอบใจ คอยทำให้ศิษย์เข้าใจในทุกข์และพ้นทุกข์นะ โลกน่ากลัวหรือเปล่าอาจจะไม่เท่ากับหัวใจที่ไม่สู้กับความทุกข์นะ อย่าทุกข์อีกนะมีสตินะ แข็งแรงเข้มแข็งนะ รู้จักดำเนินชีวิตให้ดีอย่าปล่อยให้ความรักความหลงทำให้เราหลงทาง รู้จักรักตัวเองให้เป็นไม่มีใครรัก เราก็รักตัวเองได้ และรู้จักแบ่งความรักให้คนอื่น อันนั้นประเสริฐกว่ารอคนมารักนะ เป็นคนดีเป็นเด็กดีไม่เป็นเด็กดื้อของอาจารย์นะ มีทุกข์เมื่อไหร่กลับมาหาอาจารย์นะ เก่งจังเลยศิษย์น้อยของอาจารย์อยู่จนครบ

อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก เป็นศิษย์อาจารย์แล้วต้องเข้มแข็งอดทน ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ต้องฟันฝ่าให้ได้นะ  ผ่านมาแล้วทุกอย่างจิตยังมั่นคงเสมอนะ ฝึกอบรมจิตใจให้แข็งแกร่ง อย่าพ่ายแพ้ต่อกิเลส อย่าใจร้อน มีสติ รู้จักคิด ขยัน ใช่หรือไม่ ปฏิบัติดีทำให้ถึงที่สุด อะไรถูกต้องรักษาไว้ อะไรไม่ดีรีบแก้ไข ใช่หรือไม่ รักษาสิ่งที่ดีให้คงอยู่ แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้หมดสิ้น ปัญญามีเพราะรู้จักมีสติแต่ปัญญาจะหายเพราะมีทิฐิ  รู้จักคิดรู้จักทำนะ
ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วใช่ไหม ที่เหลือคือทำให้ดีเพื่อคนที่เขากลับไปแล้วนะ แข็งแกร่งให้ได้เพื่อนำพาเขา เข้มแข็งแล้วนะ อย่าหาเรื่องลำบากมากนะศิษย์เอย ใจเย็นๆ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ ทุกข์เมื่อไรกลับมาหาอาจารย์นะ อาจารย์จะได้ช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์นะ

    พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สายธารแห่งธรรม”
       มาร่วมแรงร่วมพลังเพียรอุตส่าห์                    ทุกหยาดหยดเหงื่อน้ำตามีความหมาย
สัมฤทธิ์ผลยิ่งใหญ่สมตั้งใจ                                 ทุกย่างก้าวอุทิศให้เพื่อประชา
ฝึกตนดั่งธารนทีที่ใสเย็น                                     สะท้อนเป็นภาพความจริงที่ยิ่งกว่า
หลั่งรินไหลอย่างอ่อนโยนด้วยเมตตา                     ธารแช่มช้าแต่ชนะอย่างนุ่มนวล

       ใช้ธรรมนำธรรมสู่จิต                                   จูงจิตคนหลงคืนหวน
ใช้ธรรมนำทางโดยด่วน                                       ชี้ชวนคนหลงคืนมา


อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

2559-03-22 สถานธรรมฉือฮุ่ย จังหวัดนครศรีธรรมราช


西元二〇一六年嵗次丙申二月初十日      仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙   สถานธรรมฉือฮุ่ย  จังหวัดนครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  ดูใจเย็นซื่อตรงรู้หน้าที่                ชอบทำดีไม่ชอบทำผิดคิดร้าย
มีน้ำใจไม่เอาเปรียบรักการให้          ทั้งนอกในดูงดงามน่าชื่นชม
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม

  ลมหายใจเป็นต้นทุนทุกชีวิต              ล้วนมีสิทธิ์เท่ากันเพื่อได้ใช้
ใฝ่ก่อบาปสร้างกรรมน่าเสียดาย           ใฝ่สร้างบุญปฏิบัติธรรมได้ไม่กล้ำกลืน
คนใจพระไม่สู้ฟื้นจิตพุทธะ             ไม่ห้อยพระห้อยใจที่ฟูฟื้น
จิตลดละรู้พระแท้จริงตื่น               วิบากหมื่นไม่บาปผิดบวชเนื้อใน
บำเพ็ญจิตเข้าใจในหลักธรรมแท้       เผลอลืมแย่สร้างสมอารมณ์กิเลสร้าย
คนรู้โลกรู้วางคลายจางไป              ไม่ตื่นใจชีพทิ้งในหมู่มาร
ติดโวยวายก็ไม่ใช่บำเพ็ญธรรม          ใจคนยิ่งธรรมใจธรรมยิ่งผสาน
ใครจะดีกว่าใครนั้นไม่สำคัญ            จิตวิญญาณใจคนดั่งเพชรดั่งทอง
ความเป็นอยู่ผิดถูกบ่มเพาะนิสัย        แม้เพชรในโคลนตมก็มัวหมอง
คืนความงดงามยิ่งบำเพ็ญยิ่งไตร่ตรอง  ใช้สมองมากไปบำเพ็ญยิ่งยากเย็น
ห่วงคนดีถูกรังแกถูกกลั่นแกล้ง         ความรุนแรงคอยซ่อนอยู่มองไม่เห็น
ความไม่ยอมค่อยปรากฏอย่างชัดเจน  จนกลายเป็นเห็นแก่ตัวอยู่ร่วมกัน

                                                                                        ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

เราเข้ามาในห้องนี้ เราเห็นอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือฟังแล้วสบายใจ อิ่มเอิบใจ ดีใจ กับอีกอย่างหนึ่งคือฟังแล้วเบื่อ เมื่อไหร่จะจบ ถ้าท่านเป็นเรา ท่านจะมองคนที่ฟังแล้วสบายใจ หรือมองคนที่ฟังแล้วเบื่อ ท่านเลือกมองด้านไหน (ฟังแล้วสบายใจ)  แล้วถ้ามีบ่อสองบ่อ บ่อหนึ่งลงไปแล้วชื่นใจ อีกบ่อหนึ่งลงไปมีกลิ่นเหม็น ลงบ่อไหน (ลงบ่อเย็นชื่นใจ)  ลงไปในบ่อที่ลงไปแล้วมีความสุขใช่ไหม (ใช่)  แล้ววันนี้นั่งอยู่ในบ่อที่ชื่นใจ หรือบ่อเหม็น (บ่อเย็นชื่นใจ)  ใช่หรือ
ชีวิตคิดดีคิดได้ก็เป็นสุข ชีวิตคิดไม่ดีคิดไม่ได้ก็อมทุกข์ แล้วเราจะโทษบ่อหรือโทษคนที่กระโดดลงบ่อ (โทษคนกระโดดลงบ่อ)  เราจะโทษคนที่บังคับเรามา หรือคนที่เดินตามมาต้อยๆ เราจะโทษเขาที่พูดไม่จบสักที หรือโทษตัวเราที่พยายามคิดดีไม่เคยได้ (โทษตัวเราเอง)  ฉะนั้นในโลกใบนี้ไม่ใช่ไม่มีทางให้เลือก ไม่ใช่อับจนหนทาง สมมติว่าเรามีผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง แล้วเราพยายามเช็ดกระดานให้สะอาด แต่เช็ดอย่างไรก็ไม่สะอาด เราจะโทษว่าคนทำสกปรกหรือว่าเราจะกลับไปดูว่าผ้าไม่สะอาด เวลาเราอยู่ในโลก เราไปว่าเขาทำเราเจ็บ ทำเราทุกข์ ทำเราช้ำ ใจเรามันสกปรกหรือว่าเขาทำให้เราทุกข์ เราช้ำ (ใจเราสกปรก)  แต่พอถึงเวลาก็โทษเขาทุกที ทั้งที่จริงๆ แล้วใจเราคือผ้าขี้ริ้วที่ไม่เคยซักให้สะอาด แล้วยังพยายามที่จะทำให้คนอื่นสะอาดด้วย ฉะนั้นเวลาเช็ดข้างนอก มองเห็นคนอื่นข้างนอก อย่าลืมมองเห็นตัวเองข้างใน ใจดีมองอะไรก็เป็นสุข ใจมันไม่ดี มองอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นทุกข์ คิดดีคิดได้ก็พ้นทุกข์ คิดไม่ดีคิดไม่ได้ ก็สร้างอ่างวนอยู่ในความทุกข์ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นตอนนี้อยู่ในบ่อที่ว่ายน้ำมีความสุข หรืออยู่ในบ่อเหม็นๆ (บ่อมีความสุข)  จริงหรือ (จริง)  แล้วจะขึ้นมาจากบ่อไหม (ขึ้น)  เพราะถ้าจมอยู่กับความสุขมากๆ บางครั้งความสุขก็ทำให้กลายเป็นความทุกข์จริงไหม (จริง)  เล่นน้ำถ้าเล่นนานเกินไปก็อาจจะไม่สบาย และอาจเป็นตะคริวแล้วจมน้ำตายได้ใช่ไหม (ใช่) 
นักเรียนในชั้นนี้ดูใจเย็นไหม (ใจเย็น)  ดูเป็นคนซื่อไหม (ซื่อ)  รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ใช่ไหม (ใช่)  ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่ใจร้อน ไม่ขี้บ่น เป็นอย่างนั้นไหม บางทียอมรับว่าเราไม่ดีบ้างจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น ดีกว่าคนที่คิดว่าตัวเองดีแล้วพอใครว่าก็รับไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ดีนะ บางครั้งเป็นคนมีน้ำใจ แต่สักพักน้ำใจก็ค่อยหดไป กลายเป็นเอาเปรียบและอู้งาน ใช่ไหม เป็นคนชอบให้หรือชอบขอ (ชอบให้)  ไม่ขอสองตัว ไม่ขอสามตัว ใช่ไหม ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นคนงดงามจริงๆ ทั้งนอกทั้งใน
วันนี้ถ้าเราขอมาสมัครเป็นพี่เป็นน้องกับคนที่นี่ได้ไหม (ได้)  ยินดีจะให้ร่วมบ้านสนทนาธรรมไหม (ยินดี)  ถ้าส่วนใหญ่ยินดีเราก็อยู่ต่อ แต่ถ้าส่วนใหญ่ไม่ยินดี เรากลับก็ได้ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขาทุกข์ เราก็ต้องยอมถอย ถ้าพูดแล้วทำให้เขาไม่สบายใจ เราก็ต้องหุบปาก ถ้าอยู่แล้วเขาเกลียดขี้หน้า เขาเหม็นขี้หน้า เราก็ต้องหลบลี้ไป เพราะเราก็ไม่อยากให้ท่านเห็นเราเป็นอ่างเหม็นๆ คนมีปัญญาแม้อยู่ในที่เหม็นก็ทำเป็นที่หอมได้
วันนี้เรามาคุยเรื่องธรรมะล้วนๆ ธรรมะมีประโยชน์อย่างไรกับชีวิต และนำไปใช้ในชีวิตอย่างไร บางทีเราฟังธรรมะมาตั้งนาน แต่เราก็รู้สึกว่า ไม่เห็นเอามาใช้ในชีวิตได้สักครั้ง โดยส่วนใหญ่คิดว่าการปฏิบัติธรรมก็คือ ใส่บาตร สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน การทำทานถ้าให้สิ่งของเรียกว่า อามิสทาน ถ้าเราพูด ให้เขาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เรียกว่าให้ธรรมะเป็นทาน เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม การฟังธรรมมีอานิสงส์มาก การให้ธรรมะเป็นทานเป็นสิ่งประเสริฐ การให้ทานเป็นสิ่งดีงาม ฉะนั้นมนุษย์โดยส่วนใหญ่เวลาปฏิบัติธรรม เราจึงทำได้แค่ดีงาม พระพุทธะหรือหลายๆ คนบอกว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่เราทำอะไรได้ประเสริฐอย่างที่เรียกไหม (ไม่)  บางคนบอกว่า ก็ไม่ยากมีเงินก็ซื้อหนังสือแจก หรือฟังอะไรดีๆ ก็เอาไปบอกเขา แค่นี้ก็ประเสริฐแล้ว แต่ศิษย์น้องไม่สงสัยหรือว่าทำไม เราให้หนังสือก็แล้ว เราพูดดีก็แล้ว แต่ทำไมเขาไม่มองเราประเสริฐ แล้วฟังธรรมจะได้อานิสงส์มากอย่างไร ศิษย์พี่จะบอกให้  การฟังธรรมจนเกิดความกระจ่างแจ้ง จนสามารถทำให้สิ้นทุกข์ และสลัดพ้นจากอบายภูมิทั้งมวลได้ นั่นแหละคืออานิสงส์สูงสุด
เราเคยเอาธรรมะสักประโยค สองประโยค มาคิดพิจารณาจนเข้าถึงธรรมบ้างไหม อย่างเช่น พระพุทธะสอนว่าให้อดทน เราก็อดทน อดทนจนไม่ไหว อยากจะตบะแตก แต่ถ้าเข้าใจจะรู้เลยว่า อดทนถึงที่สุด หมายความว่า อดทนจนไม่ต้องทนแต่เปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เราฟังธรรมมาขนาดนี้แล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่าให้ธรรมะเป็นทานแล้วทำให้เราประเสริฐได้ บางทีเรายังไม่ค่อยเข้าใจ ฉะนั้นจึงอยากบอกศิษย์น้องว่า อย่าหน่ายต่อการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ทำให้เราเข้าถึงปัญญา ปัญญาที่มีอยู่ในตัวศิษย์น้อง แต่ที่ศิษย์น้องมักจะบอกว่า ตัวเองไม่เอา ตัวเองไม่ไหว ตัวเองโง่ ยังไม่ทันเรียนก็บอกว่าตัวเองโง่ ใช่หรือเปล่า ยังไม่ทันฟังธรรมก็บอกว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ เป็นได้แค่มนุษย์  ใช่หรือเปล่า จึงน่าเสียดายยิ่งนัก
สมมติว่าตอนนี้ศิษย์พี่มีกระจกอยู่บานหนึ่ง มองตัวเอง ทำไมมันเตี้ย ทำไมมันดำจัง แล้วก็ว่า “ไอ้กระจกบ้า” สงสัยไฟมันไม่พอ สงสัยกระจกมันไม่ดี เดี๋ยวฉันจะไปเอากระจกอีกอันหนึ่งมาใหม่ กระจกไหนที่ส่องแล้วดูสวย จะเก็บกระจกนั้นไว้กับตัว กระจกที่ส่องแล้วไม่สวยไม่มองมันเลย เหมือนกันเราอยู่กับเพื่อน เราอยู่กับคนมากมาย เรามักจะพูดว่า เวลาเราทำอะไรก็ตาม แล้วเขาว่าเราไม่ดี เรามักจะโทษว่า “แกก็ไม่ดี” “เธอมันขี้บ่น” เราก็มักจะตอบว่า “แกนั่นแหละขี้บ่น”  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นทำไมเราจึงไม่หันกลับมามองตัวเรา แทนที่จะโทษผู้อื่นอยู่ร่ำไป ซึ่งการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงสอนไว้ว่า ก่อนจะว่ากระจก ก่อนจะชี้หน้าด่าเขา ให้หันกลับมาดูตัวเอง แล้วการให้ธรรมะที่ดีที่สุดมันก็คือการเอาตัวเรานั่นแหละเป็นธรรม และให้ธรรมนี้เป็นทาน จึงทำให้เรานี่ประเสริฐ ไม่ใช่เอาธรรมะจากข้างนอก
การปฏิบัติธรรมด้วยการให้ธรรมและทำให้มนุษย์ประเสริฐจึงไม่ใช่หมายความแค่เพียงให้หนังสือ พูดให้เขาดี แต่คือการทำตัวเราให้เข้าถึงธรรม และเอาธรรมนั่นแหละยื่นให้เขา โดยที่ไม่ต้องด่าว่าเขา เหมือนศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า เราอยู่ในโลกอยากได้มิตรหรืออยากได้ศัตรู (อยากได้มิตร)  อยากได้เรื่องสั้นๆ หรือเรื่องยาวๆ (เรื่องสั้นๆ)  อยากให้มันจบง่ายๆ หรือไม่จบ (จบง่ายๆ)  อยากให้มันยืดเยื้อหรือพอกันทีแค่นี้ (พอกันทีแค่นี้)  ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรามา เราคิดในใจว่าเราอยากได้มิตรหรืออยากได้ศัตรู ถ้าเราอยากได้มิตร เราจะด่ากลับไหม (ไม่ด่า)  อยากได้คนช่วยชี้ข้อบกพร่องหรือคนยกยอปอปั้น (ชี้ข้อบกพร่อง)  แต่ทำไมเวลาเราโดนเอาเปรียบ ก็เอาเปรียบกลับทุกที
 ทองดีไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวการติฉินนินทา ไม่กลัวการถูกกล่าวหาใส่ร้าย ศิษย์น้องกลัวทุกข์ไหม (กลัว)  จริงๆ ศิษย์พี่อยากบอก ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่คนที่ใจไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง) 
ทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่า ความทุกข์นี่มันไม่น่ากลัว และความทุกข์มันน่ารัก แล้วมันดีด้วย เชื่อไหมล่ะ (เชื่อ)  ความทุกข์คืออะไรรู้ไหมศิษย์น้อง พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความทุกข์คือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ และ
ลบล้างอดีตที่เราเคยสร้างเหตุอันเลวร้ายให้หมดสิ้น
 ฉะนั้นกลัวทำไมกับทุกข์ ทำไมไม่ยินดีกับทุกข์สักตั้งหนึ่ง และจะเป็นคนที่มีทุกข์อย่างมีสติ เป็นคนทุกข์ที่มีความเข้มแข็งและเข้าใจในทุกข์ เหมือนเรารักใครสักคนหนึ่งมากๆ แต่เราก็รู้นิสัยเขาว่ามีข้อแย่อะไร แต่ในข้อแย่เราก็รู้ว่าเขามีข้อดีอะไร ทำให้ลืมข้อแย่ไปเลย เพราะเขามีข้อดีที่เราลืมไม่ลง แม้ว่าสามีรำคาญภรรยา ภรรยารำคาญสามี แต่ก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งที่ทิ้งเขาไม่ลงใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์น้องเข้าใจความทุกข์ ศิษย์น้องจะไม่กลัวคนด่า จะไม่กลัวคนเบียดเบียน จะไม่กลัวคนเอาเปรียบ เพราะดีใจที่ความทุกข์ทำให้ฉันได้ชะล้างอดีตที่ฉันเคยทำ ความทุกข์ทำให้ฉันได้ขัดเกลา และฉันจะได้สิ้นทุกข์สักที
ศิษย์พี่ยกตัวอย่าง ถ้าสมมติว่ามีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาแล้วก็ว่า “ไอ้หน้าโง่ทั้งหลาย”  สิ้นทุกข์ไหม (ไม่, สิ้นทุกข์)  กลับบ้านไป จำได้อย่างหนึ่งว่า มีเด็กคนหนึ่งมาว่าเราหน้าโง่ ทุกข์ตอนนี้ไม่เท่าไหร่ ยังเอากลับไปบ้าน แล้วก็เอาทุกข์นี้ไปบอกให้กับคนที่บ้านอีก เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  หรือวันนี้นั่งรถเมล์แล้วก็เอากลับไปเล่าให้เพื่อนฟังว่ามีคนแก่คนหนึ่งยืนโยกแล้วโยกอีก ฉันก็สะกิดผู้ชายคนนั้น ลุกขึ้นหน่อยสิๆ เขาใจร้ายมากๆ ไม่ให้คุณป้านั่ง เป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นเมื่อเราเจอสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะให้ธรรม หรือเราจะสิ้นทุกข์ เราจะปฏิบัติธรรมหรือเราจะสร้างสมกิเลส (ปฏิบัติธรรม)  ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม “ต้นหญ้าเป็นโทษของนาข้าวฉันใด กิเลส อารมณ์ ความไม่ชอบใจ ความรำคาญใจ ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ก็สามารถเป็นโทษให้แก่บุคคลที่ยึดติดและทำให้เกิดความหม่นหมองได้ฉันนั้น”  
ฉะนั้นเวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น เราเห็นแล้วเกิดกิเลส เกิดความโกรธ เกิดความอยาก เกิดความโลภ เกิดความไม่พอใจ หรือเราเห็นแล้วสิ้นทุกข์ ปล่อยวาง บังเกิดธรรม แจ้งใจ เวลาเราอยู่ร่วมกันในสังคม ศิษย์พี่จึงอยากบอกว่าเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ และเราก็สามารถให้ธรรมคนได้ทุกขณะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนหญิงหนึ่งท่านลุกขึ้นมายืนข้างๆ หน้าห้องแล้วถามนักเรียนในชั้นว่า)  เป็นอย่างไร (สวย)  อย่างนั้นแปลว่าตัวศิษย์พี่ไม่สวยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ศิษย์น้องเอ๋ย ศิษย์พี่จะบอกว่าบางครั้งการพูดอะไรธรรมดาโดยที่เราไม่ได้ทันคิด เห็นอย่างไรเราก็พูดอย่างนั้น เหมือนเราชมคนหนึ่งว่าสวย คนที่ยืนข้างๆ ก็ดูไม่สวยขึ้นมาทันที จริงไหม (จริง)  ก็ศิษย์พี่ยืนตั้งนาน พอคนนี้มาศิษย์น้องก็บอกว่าสวย แล้วศิษย์พี่เป็นอะไรล่ะ บางทีการชื่นชมใครสักคนหนึ่งเป็นการให้กำลังใจ แต่บางครั้งการให้กำลังใจของเรา ถ้ามันมีมากไปก็ทำให้อีกคนหนึ่งที่ศิษย์น้องไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ด่าอะไรก็แย่ได้ไม่รู้ตัว ฉะนั้นอย่าบอกว่าอยู่ในโลกไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ทำผิด ไม่ได้คิดร้าย เพราะบางครั้งพูดอะไรไม่คิด
ศิษย์พี่ถามอีกครั้งว่า นักเรียนคนนี้สวยไหม แล้วศิษย์พี่ล่ะ คนฉลาดมีปัญญา ถ้าชมว่าคนนี้เขาสวย อาจบอกอีกคนว่าถึงเธอไม่สวยแต่เธอเป็นคนดี พระพุทธะจึงสอนเอาไว้ว่า “การอยู่ในโลกไม่เราทำเขาก็เขาทำเรา” แต่จะทำอย่างไรที่จะสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ นั่นคือพูดให้น้อยที่สุด แล้วเรื่องราวมันก็จะน้อยลง และปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจมากที่สุด ปฏิบัติธรรมไม่ต้องเริ่มไกลบ้าน เริ่มที่คนใกล้ตัว ปฏิบัติกับคนในบ้านให้ดีก่อน ก่อนที่จะไปปฏิบัติกับคนข้างนอก เป็นคนดีในบ้านให้ได้ก่อนถึงจะเป็นคนดีข้างนอกได้ ศิษย์พี่ไม่เคยเห็นพระพุทธะองค์ไหน นอกบ้านเป็นคนดี ในบ้านเป็นคนไม่ดี ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในโลก เราจึงสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แต่ทุกขณะที่เราปฏิบัติธรรมขอให้เราพึงคิดสักนิดหนึ่งว่า เราอยากจะสร้างมิตรหรือสร้างศัตรู อยากให้เรื่องมันจบง่ายๆ หรือเรื่องยาวไม่สิ้นสุด อยากให้ธรรมหรือให้กิเลส อยากให้ความสงบร่มเย็นหรือมีอารมณ์  ถ้าคิดได้ขนาดนี้ศิษย์น้องไม่ว่าอยู่ที่ไหน ศิษย์น้องก็ปฏิบัติธรรมและเป็นผู้ที่ประเสริฐอย่างแท้จริง
ทุกข์ทำให้จิตเราบริสุทธิ์ และอีกอย่างหนึ่งการถูกคนเอาเปรียบเป็นการสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ แต่การเอาเปรียบคนเป็นการสร้างบาปกรรมที่ไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนที่จะโวยวายไป ก่อนที่จะโมโหโต้ตอบกลับไป ก่อนที่จะเกลียดแค้นชิงชัง คิดสักนิดว่าอยากได้มิตร ไม่อยากได้ศัตรู อยากสิ้นทุกข์ไม่อยากมากทุกข์  ถ้าทำได้อย่างนี้ปฏิบัติธรรมยากไหม (ไม่ยาก)
คนทุกคนอยากเป็นคนดี แต่สิ่งที่ตรงข้ามกับความดี แล้วทำให้เราทำดีไม่ขึ้นคือ (ความชั่ว)  แล้วรากฐานของความชั่วคือ (กิเลส, ความโลภ)  วิธีการปฏิบัติธรรม เวลาเราเจอทุกข์แล้วเราจะจัดการกับทุกข์ได้อย่างไร และมองทุกข์อย่างไร เราต้องรู้อย่างหนึ่งก่อนว่า เราไม่ใช่บำเพ็ญธรรมเพื่อเอาแต่ดับผล แต่ไม่หยุดสร้างเหตุ ฉะนั้นเราก็ต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากไหน ไม่ใช่แต่แก้ผลๆ ต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย ต้นเหตุแห่งความทุกข์นั่นก็คือกิเลสและจิตที่เราคิดเอง อย่างเช่นน่าจะคิดดี เราไม่ค่อยคิด เราชอบคิดร้าย จากน่าจะชมไม่ชม เราชอบแอบติ จากที่น่าจะไม่เป็นทุกข์ มันก็กลายเป็นทุกข์ เพราะใจเราใฝ่ไม่ดี ใจเรามองไม่ดีถูกหรือไม่ (ถูก)
(อารมณ์)  ทำให้เรา (โมโห)  โมโหส่งผลทำให้เราเป็นทุกข์ แล้วก็ทำไม่ดีใช่ไหม แล้วก็ทำให้คนรอบข้างก็ไม่สบายใจ ฉะนั้นต่อไปเราจะ หยุด ลด ละ เลิก ดีไหม เหมือนติดยาเลยนะ แต่ติดความโกรธใช่หรือเปล่า ฉะนั้นนอกจากเราจะดับทุกข์ที่ปลายเหตุแล้ว สิ่งที่เป็นต้นเหตุศิษย์น้องก็ต้องพยายามที่จะแก้ไขใช่ไหม
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาแจกลูกอมให้คนที่ตอบคำถาม)
ศิษย์พี่ก็บอกไปตั้งแต่ต้น ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้ ไม่อยากทุกข์เยอะ พูดอะไรก็ให้ระวัง เพราะความอยากบางทีก็ก่อให้เกิดโทษได้เหมือนกันจริงไหม (จริง)  เอาไหม ลูกอมถุงหนึ่งมีกี่เม็ด มันนับไม่ถ้วนเลยนะ มาจากจังหวัดอะไร (สุราษฎร์ธานี)  คนสุราษฎร์รอศิษย์น้องอยู่นะ ศิษย์น้องปฏิบัติได้ดีบางครั้งไม่ต้องพูดมากคนก็เดินตามมาเอง ปฏิบัติได้ดี ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง รับผิดชอบต่อหน้าที่ มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อน ไม่เอาเปรียบ ไม่โกงใคร พูดคำไหนคำนั้น บางทีไม่ต้องพูดเขาก็เดินตาม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงต้องเริ่มจากตัวเรา เอาธรรมะในตัวเรายื่นให้ด้วยความจริงใจ เอาความซื่อสัตย์ในตัวเรายื่นให้ด้วยความแท้จริง เอาความมีธรรมในตัวเรายื่นให้ด้วยความเป็นธรรม เอาความใจเย็นของเรา เอาความมีเมตตาของเรายื่นให้ด้วยความรักอันบริสุทธิ์โดยไม่หวังผลตอบแทน แล้วคนเช่นนี้จะเหงาจะโดดเดี่ยวได้อย่างไร เพราะไม่มีเวลามาเหงา มีแต่ทำอย่างไรที่ฉันจะให้คนได้มากที่สุด ทำอย่างไรที่ฉันส่งความดีงามให้คนเป็นสุขมากที่สุด  แต่คนที่เหงาคือคนที่ไม่เคยเอาธรรมในตัวเองไปให้ใคร เอาแต่รอๆ แล้วก็รอ  คนเช่นนี้คือคนที่ทุกข์ที่สุด
ถ้าอยากสิ้นทุกข์ก็จงอย่าเก็บสิ่งไม่ดีไว้ในใจให้มันเหม็นเน่า จงเอาทุกข์นั้นปล่อยออกไป ให้วันหนึ่งมันจบแค่วันหนึ่ง ให้วันหนึ่งมันสิ้นทุกข์ในวันหนึ่ง ไม่ใช่เอาทุกข์ในอดีตมาเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง แล้วใจก็หมักหมมเต็มไปหมดไม่สิ้นทุกข์เสียที เราเป็นแบบนั้นใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้จะฟังธรรมไปทำไม ถ้าปฏิบัติแล้วไม่สิ้นทุกข์เสียที ฉะนั้นทุกวันสิ้นทุกข์ได้ ใครพูดอย่างไรจบแล้วไม่ต้องต่อ ไม่ต้องเก็บเรื่องของเขาหรือของเรามา ไม่ต้องคิดไปทำความสะอาดบ้านใคร ทำความสะอาดบ้านตัวเอง ไม่ต้องคิดไปรีบจัดการใคร จัดการตัวเองให้ดีก่อน ฉะนั้นใครด่าใครว่าไม่สำคัญเท่ากับเราต้องไม่ด่าไม่ว่า ไม่สร้างเหตุทุกข์จากตัวเรา แล้วทุกข์น่ากลัวอีกไหม (ไม่น่ากลัว)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องระวัง นั้นก็คือ ขอให้ทำอะไรด้วยสติอย่าใช้อารมณ์ อย่าเป็นคนมักโกรธ อย่าเป็นคนมักโทษและอย่าเป็นคนมักมาก น่ากลัวที่สุดใช่ไหม ไม่ว่าทำอะไรเยอะไว้งกไว้ก่อน แล้วผลเป็นอย่างไร เหนื่อยตาย
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีก ดีไหม (ดี)  ศิษย์น้องศึกษาปฏิบัติธรรมถ้าเราทำได้เราก็สิ้นทุกข์และพ้นทุกข์ได้ ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสก็ยังไม่สิ้นทุกข์ แต่ถ้าสิ้นทุกข์ได้กิเลสก็สิ้นได้นะศิษย์น้อง จำไว้นะคนทุกคนในโลกเหมือนกระจก ถ้าเขาทำหน้าไม่ดีใส่เราอย่าว่ากระจกแต่หันกลับมา (มองตัวเอง)  ยิ้มให้เขาหรือยัง ดีกับเขาหรือยัง




วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙      สถานธรรมฉือฮุ่ย  จังหวัดนครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ไม่อาจรู้ทุกอย่างในโลกนี้             ถึงรู้ดีก็ยังมีเปลี่ยนแปรผัน
ธรรมสอนให้ตื่นรู้จริงสติรู้ทัน           ล้วนเหตุจากตนนั้นผลมากมาย
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยไหม
        คิดถึงความเหนื่อยอีกแล้ว  หัวใจชักแป้ว  ไม่กล้าทุกข์หรือว่ากล้าทน
เมื่อทนเป็นศูนย์ แม้คูณไม่ส่งเป็นผล เหมือนคุณธรรมของคน คำบ่นคอยฟ้อง
        คิดถึงความเหนื่อยอ่อนล้า  หลายคนถึงคราร่วงถลาคำมั่นทิ้งกอง
จิตไม่ฝึกฝน  ทุกข์ทนเกิดจากสิ่งของ  ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง  ทุกข์คอยสนองตัวการ
        โลกกำลังมีปัญหา  ปัญหาเรื่องตัวเยอะกว่า  เนื่องจากได้ใจอาศัย
เจ้าอย่าทำเหมือนว่าน้อยใจ  แล้วถอยห่างธรรมะไป  ตั้งใจไม่ลา
        คิดถึงความเหนื่อยอีกครั้ง แล้วมีพลังเปลี่ยนความคิดไม่ท้อใจ ที่เหนื่อยเพราะหวัง  ระวังคนเฝ้าเอาใจ  ถึงบางครั้งยังท้อใจ  ทุกข์เป็นกระษัยตัวยา
                                                   ทำนองเพลง : น้ำฝนเดือนเจ็ด
                                                   ชื่อเพลง : คิดถึงความเหนื่อย

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

“ไม่อาจรู้ทุกอย่างในโลกนี้    ถึงรู้ดีก็ยังมีเปลี่ยนแปรผัน”
บางครั้งเราพูดว่าเราเข้าใจเขา แต่ถึงเวลาเจอเขามาไม้นี้เราไม่เข้าใจเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเป็นคนน่ารัก เป็นคนดี แต่บางครั้งที่ไม่น่ารักไม่ดี เป็นเพราะอารมณ์ครอบงำ เพราะอารมณ์ชั่ววูบมันทำให้ไหลลื่นไป หรือเพราะอบายมุขมันชี้นำความโลภให้ใจมันปั่นป่วนไป
ฉะนั้นถ้ามนุษย์สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ รู้จักหยุดยั้งอารมณ์ยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ก็คงดีไม่น้อย คงไม่มีใครทำชั่ว แต่อาจารย์ก็แปลกใจ โกรธมันมาจากไหน มันก็มาจากตัวเรานี้ ใช่หรือไม่ โกรธจะอยู่ได้จากไหน มันก็ต้องอยู่ได้จาก (ตัวเรา)  แล้วไปขอพระให้ช่วยระงับความโกรธได้ไหม (ไม่ได้)  ไปขอพระให้ช่วยให้สามีเลิกหลง ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้นี่แต่ถึงเวลาก็หน้ามืดคว้าที่พึ่งอะไรไว้ก่อนที่พึ่งได้ก็คว้าไว้ก่อน
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์มาเพื่อมีหน้าที่บอกความเป็นจริงของโลกใบนี้ และศิษย์ของอาจารย์ก็มีหน้าที่ฝึกฝนเรียนรู้ความจริง และอยู่กับความจริงโดยที่ตัวเองไม่ทุกข์ และไม่หลงทำผิดพลาดได้ ความจริง ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า”ธรรมะ” ซึ่งเรารู้ธรรมแล้ว แต่รู้แล้วก็ไม่ใช่จะไม่ถูกรถชน ไม่โชคร้าย ไม่ใช่รู้จะวิเศษวิโสกว่าคนอื่น ไม่ใช่จะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เพราะธรรมคือความจริง และธรรมก็ไม่ได้สอนให้ศิษย์เกลียดคนชั่ว ให้รักคนดี แต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้และอยู่กับความจริง ในโลกกลมๆ ใบนี้ให้เป็นสุข อยู่อย่างไรให้เราไม่ทุกข์และไม่หลงจนเกินไป ดีไหม (ดี)  
อาจารย์จึงมีหน้าที่บอกความจริง ส่วนศิษย์มีหน้าที่ฝึกฝนเรียนรู้ความจริงจนทำให้เราไม่ทุกข์ แม้ความจริงนั้นจะร้าย แม้ความจริงนั้นจะเจ็บปวดก็ตาม อยากเรียนรู้กับอาจารย์ไหม (อยาก)  เหมือนที่เราเคยได้ยินคนโบราณหรือแม้แต่ปัจจุบันนี้คนก็มักจะพูดว่า เราล้วนเกิดมาพร้อมกับบุญกับกรรม ฉะนั้นถ้าเราอยากเกิดอีก เราก็ต้องรู้จักสร้างบุญ และสร้างกรรมดี ไม่ว่าชั่วหรือดีก็เรียกว่า กรรม แต่มีกรรมดีอีกอย่างหนึ่งที่เป็นกรรมดีไม่ต้องกลับมาเกิด ก็คือ กรรมที่ไม่หวังผล เรียกว่า กุศลกรรม ถ้าเราทำดีแล้วเราไม่ขอ ทำดีก็เพื่อใช้กรรม ชำระบาป ชำระกิเลส ชำระอกุศล ฉะนั้นทุกครั้งที่เราทำมันก็เป็นกรรมที่จบสิ้นไม่ต้องเวียนวน ศิษย์มักพูดกับอาจารย์ว่า ศิษย์เป็นคนดีนะ ดีจนบางครั้งเหนื่อย ทำดีเขาก็ว่า ทำไม่ดีเขาก็ด่า เหนื่อยจริงๆ เป็นคนไม่รู้จะดีทำไม ถ้าคิดอย่างนั้นแสดงว่าทำดีหวังผลนะ ถ้าเราทำดีจะโดนบ่น จะโดนว่าไม่ต้องสนใจ สนใจแต่เพียงว่าถ้าเขาว่าแล้วมันเป็นจริงก็แก้ไข ถ้าเขาว่าแล้วไม่เป็นจริงเราก็ดีใจได้ละลายหนี้กรรม ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ นะศิษย์มีคำนี้เป็นคำง่ายๆ ที่บางทีก็ได้ใจคนอย่างเช่น แม้ลูกจะแอบไปเที่ยวแค่ไหน แต่ถ้าแม่เห็นหน้าลูกแล้วพูดว่าเป็นอย่างไรลูกไปเที่ยวเหนื่อยไหม รับรองลูกจะตกใจ เหมือนสามีกลับมาจะดึกขนาดไหม ลองไม่ด่าเขาสักคำแล้วลองถามว่าพ่อเหนื่อยไหม บางทีความสุขไม่ต้องหาเรื่องอะไรยากๆ หรอก ขอเพียงอย่างไรก็เข้าใจกันอย่างไรก็รับกันได้ทนกันไหว นั้นล่ะอยู่กันจนตาย ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหนเราก็รับได้ เราก็ทนได้ เราก็รักเขา ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์บอกศิษย์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า หน้าที่ของอาจารย์วันนี้คือ มาบอกความจริง ส่วนหน้าที่ของศิษย์ก็คือ ฝึกฝนเรียนรู้ความจริงจนไม่เกิดทุกข์ แต่ในโลกใบนี้มีความจริงหลายอย่างที่บางครั้งเรารู้แล้วเราก็ยังรับไม่ได้ รับไม่ไหวใช่ไหม (ใช่)  ความจริงอะไรในโลกนี้เป็นความจริงที่เราสามารถเข้าใจในสัจธรรม หรือเข้าใจในหลักธรรม หรือเข้าใจในธรรม แต่ก่อนจะมาพูดเรื่องความจริงอันนี้คืออะไร เรามาคุยกันอีกเรื่องหนึ่งก่อน เพราะหลายคนที่อยู่ในที่นี้มักจะพูดว่าเป็นคนดีอย่างที่อาจารย์บอกบางทีมันเหนื่อยนะ พยายามเป็นคนดีบางทีมันเหนื่อย ถ้าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ย ศิษย์อาจารย์บางคนนะพยายามเป็นคนดี เรื่องงานบุญ งานกุศล ขยัน แต่เสียอย่างเดียว เห็นใครไม่ได้เผลอเป็นต้องนินทา
ถ้าให้ช่วยอะไรมีน้ำใจช่วยตลอด แต่เสียอย่างเดียว ชอบพูดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่)  แต่อาจารย์ก็เห็นนะบางคนชอบเป็นคนทำบุญสุนทาน ใครบอกบุญรีบช่วยเหลือทันที แต่ตอนนี้ไม่มีเงินขอยืมก่อนยี่สิบบาท พอถึงเวลาเพื่อนมาทวง ก็ตอบไปว่า ร่วมบุญกันดีไหม (ไม่ดี) งานบุญงานกุศลช่วยไม่เคยขาดมือขอให้เรียกยินดีไปช่วย แต่บางทีเห็นเหล้าไม่ได้มันเปรี้ยวปาก ขอสักเป๊กหนึ่ง พอเป๊กหนึ่งไม่พอต่อสองเป๊ก สามเป๊ก ที่ดีมันเลยออกลาย อาจารย์ศิษย์เป็นคนดี แต่เรื่องไม่ดีอย่านับ เรื่องผิดไม่รู้ แล้วอย่างนี้เรียกว่าดีจริงไหม ศิษย์เอยถ้าศิษย์อยากเป็นคนดีแม้ไม่ต้องพยายามทำดี ขอแค่เพียงไม่ทำชั่วสักนิดหนึ่งเลย ผิดไม่ทำสักนิดเลย โมโหโกรธาไม่มีสักนิดหนึ่งเลย อาจารย์ว่ามันดีกว่าไหม ดีกว่าพยายามเป็นคนดีแต่กิเลสอารมณ์ไม่เคยระงับได้ มันดีตรงไหน จริงไหม จะบอกว่าคนดีโดนว่าได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อสิ่งที่ผิดศิษย์ไม่แก้ ฉะนั้นคนดีที่แท้จริง เขาไม่ต้องพยายามดี แต่เขาพยายามไม่ชั่วก็ดีที่สุดแล้ว แต่คนดีของโลกที่ศิษย์เป็นอยู่ อาจารย์ไม่เอานะ ตอนดีก็ดีใจหาย ตอนร้ายก็ร้ายสุดๆ แล้วเรียกว่าตัวเองเป็นคนดีใช่หรือ ฉะนั้นคนดีของอาจารย์คือ คนที่พยายามไม่ประพฤติผิด ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม และรู้จักยับยั้งควบคุมอารมณ์ตนให้ดี แค่นั้นก็ดีแล้ว เวลาเจออะไรก็ขอให้ใจเย็นๆ รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นคนซื่อตรง ไม่ใช่ปากหวานก้นเปรี้ยว ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ และอีกอย่างหนึ่งบางคนบอกว่า “อาจารย์คนเราจะบำเพ็ญธรรมไปทำไม” จะทำดีบ้างไม่ดีบ้าง จะสูบบุหรี่บ้างก็ไม่เป็นไร จะดื่มเหล้าบ้างก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวตายแล้วก็จบๆ กัน เดี๋ยวตายแล้วก็ลืมๆ ไม่มีใครจำได้หรอกเป็นไหม (ไม่เป็น)  ชาติหน้าไม่มีจริง กรรมเวรไม่มีคิดอย่างนั้นไหม (ไม่คิด)  ถ้าไม่คิด อาจารย์จะได้ปรับความคิดให้เหมือนๆ กัน เพราะถ้าเราจะเดินสายของการปฏิบัติธรรม ประพฤติปฏิบัติชอบ แต่ยังไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่เชื่อเรื่องการประพฤติผิดแล้วได้รับกรรม อย่างนั้นเดินไปไม่ถึงถูกไหม (ถูก)  เมื่อวานพระนาจาสอนไม่ใช่หรือ ผูกมิตรดีกว่าผูกศัตรู คิดสั้นๆ ดีกว่าคิดยาวๆ อาจารย์ถามว่าอะไรรู้ไหม ทำผิดคิดร้ายต้องรับผลกรรมมีจริงไหม (มี)  ศิษย์ว่ามีใช่ไหม (ใช่)  มีแล้วทำไมเราจึงแอบทำผิด ถ้าศิษย์คิดว่า อาจารย์ผลตกช้าไม่เป็นไรหลับตาแล้วก็ลืมๆ กัน
(พระอาจารย์แกล้งตีนักเรียนชายท่านหนึ่ง)
สมมติว่าอาจารย์ตี ไม่เป็นไรหลับตาเดี๋ยวก็ลืมๆ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  อาจารย์เคยบอกศิษย์แล้วนะ ถ้าคิดจะบำเพ็ญธรรม อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน เพราะความรู้สึกคนเรายากหยั่งถึง คนบางคนให้อภัยง่าย แต่คนบางคนแค้นฝังใจจำ และคนบางคนถึงขนาดตั้งจิตอธิษฐานว่า ไม่ว่าชาติหน้าฉันใด ถ้าฉันเจอมัน ฉันจะเอามันให้ถึงที่สุด น่ากลัวไหม (น่ากลัว) 
ฉะนั้นที่ศิษย์ไปโกงเขา ไปด่าเขา ไปโกหกเขา ไปทำเขาน่ะ คิดว่าเขาไม่กลับมาแค้นหรือ ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่ควรล้อเล่น และเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ทำไมวันนี้ เราจึงไม่รู้จักระมัดระวังไตร่ตรองให้รอบคอบ เป็นศิษย์ของอาจารย์นะ อะไรที่ในโลกบอกว่าหอมแต่อาจารย์ว่าเหม็นๆ สิ่งที่มันว่าดีอาจารย์ว่าไม่ดีๆ  สิ่งที่ว่าคงทน อาจารย์ว่ามันไม่คงทนเลยนะ  อาจารย์นอกเรื่องแล้ว  อาจารย์ถามศิษย์นะ อะไรล่ะที่ช่วยให้เราป้องกันและไม่ทำผิดคิดร้าย ตอบ (สติ)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกแล้วทำอะไรจะได้ไม่ก่อเวรก่อกรรมให้คนอื่นเขารังเกียจ แช่งชักหักกระดูก ฉะนั้นก่อนทำอะไรเราต้องมีสติ อาจารย์อยากจะบอกว่าอาจารย์มีอยู่สองตัว สองตัวนี้ถ้าศิษย์มี ใช้อยู่เสมอในการดำเนินชีวิตนอกจากศิษย์จะไม่ทุกข์แล้ว ศิษย์ยังสิ้นทุกข์และไม่ทำให้ศิษย์นั้นสร้างเวรสร้างกรรมด้วย อย่างแรกคือสติ ถูกต้อง สติคืออะไร (ความคิดที่ทำให้เกิดปัญญาความหักห้าม, ความระลึกได้) ระลึกได้ว่าคนนี้มันเคยด่าฉัน  อย่างนี้หรือเปล่า “สติคือสิ่งที่ทำให้เรารู้อาการของจิตและมองเห็นความคิดและอารมณ์ที่อยู่ภายใน”
ฉะนั้นสติไม่ได้บอกให้เราคิดโน่นคิดนี่ พอบางครั้งมันมีอารมณ์ยิ่งคิดมันยิ่งฟุ้ง แต่สติทำให้เราเห็นความคิดว่าตอนนี้ มันโกรธ มันเกลียด มันชอบ หรือมันรัก และมันควรจะรัก หรือจะเกลียดจะโกรธต่อไปดีไหม หรือไม่ควรเกลียดไม่ควรโกรธดี ฉะนั้นมีสติตัวเดียวพอไหม (ไม่พอ)  เราต้องมีอะไรตามมาอีก (ปัญญา)  ถูกต้องศิษย์ เราต้องมีปัญญา ปัญญาคือสิ่งที่ทำให้เรารู้เห็นแจ้งความเป็นจริง อย่างกระจ่างชัด แต่อะไรที่ชอบดึงให้เราขาดปัญญาขาดสติ (อารมณ์)  ฉะนั้นสติก็คือตัวรู้อาการของใจ มีปัญญาจนเห็นชัดว่ามันก็แค่นั้น มันก็เท่านั้น จะโกรธไปทำไม
แต่บางครั้งถ้าเราอยู่ในโลกบางครั้งเรามีสติปัญญาดี ต้องยอมแพ้เป็นบ้าง อย่าเอาชนะฝ่ายเดียวไม่อย่างนั้นมันจะทุกข์ใจ ไหวก็บอกว่าไหว ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว ไม่ฉะนั้นคนที่ตายคือศิษย์ ฉะนั้นอยากอยู่ในโลกมีสติมีปัญญาดี แต่บางครั้งก็ต้องแพ้เป็นถอยได้ ไม่เอาบ้าง ไม่ใช่มีสติปัญญาดีฉันต้องได้ ต้องชนะ ฉันต้องก้าวหน้าถอยหลังไม่เป็น ไม่ใช่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงชีวิต ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าได้หรือเสีย ไม่ว่ายืนชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ได้ก็บอกว่าได้ ไม่ได้ก็บอกไม่ได้ นั่นแหละธรรมะ  เพราะฝืนไปก็เป็นทุกข์ ไหวไหม (ไหว)  ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้แล้วไม่อยากทุกข์ อาจารย์มีคำพูดง่ายๆ  นอกจากต้องยอมรับความจริงแล้ว มีที่ศิษย์ต้องเรียนรู้ไว้อย่างหนึ่งคือ ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าเอาใจไปผูกไว้กับสิ่งใด ถ้าไม่อยากเจ็บซ้ำอย่าเอาใจไปฝากไว้กับใคร และถ้าไม่อยากตายทั้งเป็นอย่าเอาชีวิตนี้ไปให้ใครดูแล
อยู่บนโลกนี้แม้เราจะเข้าใจความเป็นจริงของคน แม้เราจะเข้าใจความจริงแห่งธรรมชาติ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์จะต้องระมัดระวังไว้คือ
“ถ้าไม่อยากทุกข์ อย่าเอาใจไปผูกกับสิ่งใดกับใคร
ถ้าไม่อยากเจ็บช้ำใจ อย่าเอาใจไปยกให้ใคร
ถ้าไม่อยากตายทั้งเป็น อย่าเอาชีวิตนี้ไปให้ใครดูแล”
ศิษย์ของอาจารย์ ชอบเอาใจไปผูกไว้กับสิ่งใดไหม ฉะนั้นอาจารย์ถามนะว่า ถ้าอาจารย์มีส้มใบนี้ที่กินแล้วรวย ถ้ากินส้มนี้แล้วมีความสุข เอาไหม (ไม่เอา,เอา)  มีบางคนฉลาดไม่ตอบ กินส้มใบนี้อาจารย์บอก กินแล้วจะมีความสุข ศิษย์เอาไหม (เอา)  แต่ศิษย์เอ๋ย ส้มใบนี้ถ้ากินแล้วเจอเปรี้ยว สุขจะกลายเป็นทุกข์ทันที ฉะนั้นเวลาแกะกินก็ให้ระวังๆ หน่อย ถ้าเจอหวานก็สุข เจอเปรี้ยวก็ทุกข์ จะลองกินเลยไหม (ลอง)  จะได้รู้ว่ามันเปรี้ยวหรือหวาน (ก็อยากจะรู้ว่าเปรี้ยวหรือหวาน)  ถ้าเปรี้ยวศิษย์จะทุกข์ไปตลอดชีวิตนะ (ก็ต้องหวานเพราะอาจารย์ให้)  ศิษย์เอ๋ย อาจารย์สอนให้อยู่กับความจริง อย่าอยู่กับความคาดหวัง ศิษย์มีหน้าที่ฝึกฝนอยู่กับความจริงถูกไหม (ถูก)  เหมือนกันในโลกนี้ศิษย์เอ๋ย เรามองข้างหน้าเราคิดว่าคือความสุข แต่อาจารย์ถามจริงๆ ในโลกนี้มีสุขที่ไหนแล้วไม่มีทุกข์ (มีทุกข์ มีสุข)  ฉะนั้นจะกินไหม ทำอะไรใช้สติ  สติมาเร็วๆ  ปัญญามาหน่อย  ถึงส้มจะเปรี้ยวแต่ถ้าศิษย์บอกว่าหวานใครจะเถียงใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย สุขทุกข์ที่แท้จริงมันไม่ใช่อยู่ที่ส้มที่อาจารย์ให้ แต่อยู่ที่ความคิด อยู่ที่คำพูด อยู่ที่ใจของศิษย์ รู้จักยับยั้งไหม รู้จักพูด รู้จักคิดไหม มีน้ำใจไหม
เหมือนดั่งที่อาจารย์บอกว่า ส้มกินแล้วจะทำให้ศิษย์รวย แต่ถ้าศิษย์วันๆ เอาแต่รวยๆ ไม่ทำอะไรจะรวยไหม (ไม่รวย)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าเอาใจไปผูกกับสิ่งใด แต่จงรู้จักทำตัวเองให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุด  ปฏิบัติต่อคนที่อยู่ข้างหน้าให้ดีที่สุด และทำตอนนี้ให้ดีที่สุด มันจะมีอะไรต้องทุกข์ใจไหม ถึงเวลาทุกข์เราต้องยอมรับ เพราะหนึ่งคนจะมีแต่คนชม ไม่มีคนด่าได้ไหม จะมีแต่คนยิ้ม ไม่มีคนร้องไห้ได้ไหม จะมีแต่หวานไม่มีเปรี้ยวได้ไหม และจะมีแต่สุขไม่มีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  จำไว้นะศิษย์ที่เห็นว่ามันเป็นสุข จริงๆ แล้วมันสุขไหม ในสุขล้วนมีทุกข์ ในได้ล้วนมีเสีย ในคำชมล้วนมีคำด่า ฉะนั้นเวลาใครชม มันด่าฉันในใจหรือเปล่าคิดได้ไหม (ได้)  ได้หรือ อย่าไปคิด เดี๋ยวจากไม่มีเรื่องจะมีเรื่อง แค่เตือนตัวเองไว้ว่า วันนี้เขาชมไม่แน่ พรุ่งนี้เขาอาจจะว่าก็ได้ เราจะได้อยู่บนโลกอย่างคนยอมรับความจริง
อาจารย์บอกว่าศิษย์มีหน้าที่ฝึกฝน คือ เรียนรู้ที่จะวางใจให้เป็น โดยที่ไม่ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรมากระทบซ้าย กระทบขวา กระทบหน้า กระทบหลัง ใจเราก็ไม่หวั่นไหว แล้วยอมรับว่า จะอย่างไร ก็จงรู้จักเข้าใจ ใครจะสวยกว่าเรา ใครจะสูงกว่าเรา ใครจะกดขี่ข่มเหงเรา เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเราเข้าใจ ว่าเขากดขี่และข่มเหง เขารักเรานะ ถ้าไม่รักเขาจะสอนเราไหม (ไม่สอน)  ถ้าไม่รักเขาจะโมโหกับเราไหม (ไม่โมโห)  ถ้าไม่รักเขาจะบ่นเราไหม ไปไกลๆ เลยดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอยเราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริง ไม่ว่าจะมาหน้ามือหรือหลังมือก็ตาม
(พระอาจารย์เมตตาประทานสับปะรดให้กับนักเรียนชายที่ออกมาหน้าชั้น)
สับปะรดมีความหมายว่าอย่างไร (รอบคอบ)  จริงๆ อาจารย์อยากให้สับปะรดมีความหมายว่า รู้จักนำธรรมะไปเผยแพร่ให้คนอื่นได้รู้ การบำเพ็ญธรรมก็คือการรู้แจ้งเห็นจริงและขัดเกลาอารมณ์กิเลสนิสัยจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ถ้าทำได้อย่างนี้ไม่ต้องปล่อย ศิษย์แค่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้ดีที่สุด
อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมแล้วลูกก็ไม่เอา สามีก็ไม่เอา ไปห้องพระอย่างเดียว แต่ให้เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกคนด้วยความเข้าใจแล้วให้กำลังใจ ไม่ใช่อยู่กับเขาด้วยการคาดหวังยึดติดว่า ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ให้ยอมรับความจริงว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สู้ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รับไหวไหม บางครั้งไม่ต้องรับ แค่เรียนรู้เข้าใจแล้วก็ปล่อยวาง เพราะถึงที่สุดเราสามารถคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจ ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นหลักธรรมคือความเป็นจริงของโลกใบนี้ล้วนไม่เที่ยง ว่างเปล่า หรือหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมที่ควรพึงระลึกไว้เสมอ มีสติปัญญาย้ำเตือนไว้เสมอทุกสิ่งล้วนผันแปร ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ แล้วท้ายที่สุดมันก็ว่างเปล่า หลายต่อหลายครั้งที่เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่บางครั้งเราก็เตรียมใจตั้งรับไม่ทัน อยู่ๆ เกิดเปลี่ยนแปลงจากที่เคยรักเราก็ไม่รักเสียแล้ว ทำใจไหวไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข อาจารย์ก็บอกไปแล้วให้มีสติปัญญา แต่สองอย่างบางครั้งก็ไม่พอ
สติปัญญาในการรู้ความจริงของโลกใบนี้ว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า หาสาระอะไรไม่ได้ ฉะนั้นถึงจะโดนตีโดนตบโดนกระแทกก็ไม่เป็นไรมันเป็นของว่างเปล่าจะถือสาอะไร อย่างไรคนเราเกิดมามันก็ต้องทุกข์อยู่วันยังค่ำ ฉะนั้นโดนคนอื่นเพิ่มความทุกข์ให้หน่อยจะเป็นไร ใช่ไหม
เราอยู่ในโลกนี้เป็นธรรมดาที่ทุกสิ่งมีขึ้นมีลง มีดีมีร้าย มีเปลี่ยนแปรผันไป ฉะนั้นศิษย์จึงต้องรู้จักมีสติ และรู้จักเรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นจริงของโลก โดยจะทำให้ตัวเราเองไม่หวั่นไหวไปกับเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น ถ้าเราสามารถมีสติปัญญา เห็นแจ้งจริงได้ ไม่ว่าโลกจะพลิกผันไปขนาดไหน เราก็จะไม่ทุกข์และเจ็บปวดไปกับโลก มันก็เท่านั้น แต่ถึงเวลาเราทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องฝึกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใจดวงนี้ ชอบเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ นั่นคือ ชอบเห็นตัวเองสำคัญ คนอื่นไม่สำคัญ คนอื่นเจ็บไม่เป็นไร แต่ฉันเจ็บไม่ได้ อย่าลืมนะศิษย์เอย เราอยู่ในโลกใบนี้มีเขาก็มีเรา ทุกคนต้องพึ่งพิงอาศัยกัน อย่ายกตัวเองยิ่งใหญ่ แล้วมองเห็นคนอื่นเล็กกระจ้อยร่อย อย่าเห็นว่าตัวเองฉลาดแล้วมองคนอื่นโง่ แล้วคิดว่าตัวเองรู้ก่อน คนอื่นรู้ทีหลังน่ารำคาญ ไม่ถูกต้อง แล้วอย่าคิดว่าตัวเองดีแล้วดูถูกคนอื่นไม่ดี ไม่ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานส้มให้กับนักเรียนในชั้นท่านหนึ่ง)
มีโอกาสเอาส้มนี้ไปให้กับคนที่มีรากบุญ ไม่ใช่เก็บไว้ให้ตัวเอง มีคนที่สำคัญก็ต้องมีคนที่สำคัญกว่า นั่นคือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกนี้แล้วไม่ทุกข์ เป็นที่รักของทุกคนอย่าเห็นตัวเองสำคัญ จนลืมให้ความสำคัญของคนรอบข้าง
ศิษย์หลายคนบอกอาจารย์ว่า เวลาเจอใครเกินเลยไปบ้างก็ให้อภัย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์สาวไปถึงต้นเหตุเลยนะ ถ้าอยากไม่ทุกข์และไม่เกลียดคนที่น่ารังเกียจ ศิษย์ต้องทำใจและยอมรับว่า มีคนที่ชอบก็ต้องมีคนที่ (ไม่ชอบ)  มีคนที่รู้สึกดีก็ต้องมีคนที่รู้สึก (ไม่ดี)  ฉะนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าเราอยากอยู่บนโลกใบนี้แล้วไม่มีใครที่ศิษย์ต้องรู้สึกอดทนให้อภัย ศิษย์ก็แค่ไม่มีใครที่ศิษย์รักมาก เมื่อไม่มีรักมากจะมีเกลียดมากไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่มีใครที่ศิษย์รู้สึกดีมากจะมีใครที่ศิษย์รู้สึกแย่มากไหม (ไม่มี)  มันอยู่ที่ใจเราเป็นเพราะศิษย์กำหนดคนที่ดีสูงส่งจนรังเกียจคนที่แย่ไหม หรือเป็นเพราะศิษย์ยึดติดกับคนที่คำว่าดีในใจของศิษย์ จนทำให้คนไม่ดีที่อยู่นอกใจของศิษย์กลายเป็นคนแย่โดยอัตโนมัติไหม เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถปรับใจเราให้ยุติธรรม หรือปรับใจเราให้เป็นธรรม ใครดีใครแย่ จะมีใครล่ะที่เราต้องอดทนแล้วให้อภัย
เหมือนถ้าศิษย์คิดว่าแกะส้มมากินส้มมันต้อง (หวาน)  ถ้ามันเปรี้ยวศิษย์เป็นอย่างไร (ไม่ชอบ)  ไม่ชอบแล้วด่าแม่ค้าด้วย ใช่ไหม (ใช่)  “โกหกไหนบอกว่าส้มหวานขายเสียแพง” แต่ถ้าเวลากินส้มในใจของศิษย์ เปรี้ยวก็ชอบ หวานก็ชอบ จะด่าใครไหม (ไม่ด่า)  และมันก็เท่านั้น มันก็แค่นั้นใช่ไหม (ใช่)  มันก็ไม่สุขแล้วก็ไม่ทุกข์ นี่แหละเรียกว่า เข้าใจจนเกิดความเบิกบานใจ แต่เรามักจะอยู่ด้วยความคาดหวัง คนที่คาดหวังไม่เป็นดั่งหวัง เราก็เลยผิดหวังเสียใจ ทุกข์ใจ ไม่ได้ดั่งใจ แต่ความเป็นจริงสอนให้เรารู้ว่า ถ้าจะปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะอะไรหรืออะไรมันก็แค่นั้น มันก็เท่านั้น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกมส่งส้ม)
พร้อมแล้วยัง ไปอย่างไรต้องกลับมาอย่างนั้น  เหมือนการประคองจิตให้อยู่ในโลกใบนี้ รักษาจิตให้มันดีอย่างไรก็ต้องรักษาจิตให้มันดีไปตลอดอย่างนั้น อย่าไปตายตอนจบนะศิษย์เอย  ไปอย่างไร ก็ให้กลับมาอย่างนั้น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกไปวงคำจากกลอนพระโอวาท)
อาจารย์ขอคนมาช่วยอาจารย์วงกลอนของพระนาจาหน่อย ช่วยอาจารย์ทำงานบ้างได้ไหม (ได้)  งานนี้จะลุล่วงได้ไม่ใช่มีอาจารย์พูดอย่างเดียว แต่ต้องมีศิษย์รับฟัง แล้วอาจารย์จะเป็นอาจารย์ได้ถ้าหลงตัวเองแล้วไม่มีศิษย์ ก็ไม่อาจเรียกว่าอาจารย์ได้  ฉะนั้นใครจะช่วยอาจารย์วง แต่อาจารย์ให้โอกาสใครอยากวงรีบยืนขึ้น ดีไหม (ดี)
ถ้าศิษย์อยู่บนโลกนี้เป็นคนที่ไปไหน ก็มีแต่สิ่งดีๆ มอบให้คน อย่างวันนี้ศิษย์มาฟังธรรมะ ศิษย์เจอหน้าใคร ก็บอกว่าเอาบุญมาฝาก คนรับชื่นใจไหม (ชื่นใจ)  เหมือนเรามางานธรรมะหรือเรามาประชุมธรรม ถ้าศิษย์พูดว่ามาตามหน้าที่ มันก็ได้แค่หน้าที่ แต่ถ้าศิษย์บอกว่ามาสร้างบุญสร้างกุศล มาชำระกิเลส ไม่อย่างนั้นอยู่กับโลกแล้วกิเลสมันเยอะ คุณค่ามันต่างกันไหม (ต่างกัน)  เช่นเดียวกับเวลาเราไปทำงาน เราบอกว่าไปทำงานมันก็รู้สึกเหนื่อย แต่ถ้าเราบอกว่า ไปสร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิต ฟังแล้วมีคุณค่า ตื่นเช้ามามีกำลังใจ แต่บางคนบอกไปว่าหาเงิน ฟังแล้วหดหู่ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเรียนรู้เข้าใจชีวิต ศิษย์รู้จักมีสติมีปัญญาทุกครั้งที่คิด ทุกครั้งที่ทำ ถ้าเราคิดทำแล้วบังเกิดธรรม คิดทำแล้วได้ชดใช้เวรกรรม คิดทำแล้วได้ชำระล้างบาป ทำไมเราไม่บอกว่า ไปขัดตัวขี้เกียจ ไปทำงานเพื่อลบความขี้เกียจ จะได้เป็นคนขยันมีน้ำใจมันดีกว่าใช่ไหม (ใช่)  ถ้าบอกว่าไปทำงานเพื่อได้เงิน แต่ถึงเวลาไม่ได้เงินช้ำใจไหม (ช้ำใจ)  ฉะนั้นชีวิตเราทำอะไร เพื่ออะไร ความหมายมันต่างกันนะ คนบางคนทำงานเพื่องาน แต่คนบางคนทำงานเพื่อความก้าวหน้า เพื่อสละกิเลส เพื่อได้ชดใช้หนี้กรรม เหมือนวันนี้ศิษย์มาทำอะไร อ้อมาทำตามหน้าที่เขาให้ทำอันนี้ก็ทำ มันไม่ได้อะไรเลยนะ แต่ถ้าศิษย์คิดเพียงว่ามาสร้างบุญสร้างกุศล เพื่อจะได้เอาบุญกุศลนี้ไปให้คนอื่น มาสร้างบุญกุศลเพื่อส่งบุญกุศลนี้ให้บรรพชน มาสร้างความดีงาม มาขัดเกลากิเลสอารมณ์ที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง วันนี้มาฝืนใจตัวเองบ้าง มาขัดใจตัวเองบ้าง เพื่อจะได้ไม่เอาแต่ใจตัวเอง มันต่างกันจริงไหม (จริง) 
ฉะนั้นเหมือนกันเราคุยกับเพื่อนเราคุยเพื่ออะไร ถ้าเราคิดถึงธรรมเราคุยเพื่ออยากให้เขามองเห็นธรรม เราพูดกับเขาเพื่ออยากให้เขาเข้าใจธรรม เราค้าขายเพราะเราอยากได้ของดีๆ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ให้เขารู้ว่า คนที่ขายของดีๆ ยังมีอยู่ในโลกไม่ได้งกเงิน คนที่รู้จักรับผิดชอบ ซื่อตรงและจริงใจที่จะช่วยเหลือคนมีอยู่ในนี้ เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะจิต ไม่ใช่ตื่นมาคิดแค่เพียง ว่าวันนี้อยากกินอะไร  วันนี้จะทำอะไรดี เบื่อ มันก็ได้แค่นี้ วิ่งตามกิเลสถึงที่สุดก็ได้ความทุกข์ทน แต่ถ้าวิ่งตามธรรมถึงที่สุดก็คือการปล่อยวางตัวตนเพื่อเข้าสู่วันสิ้นทุกข์ ฉะนั้นความหมายในการดำเนินชีวิตจึงแตกต่างกัน เราไม่ได้เกิดมาเพื่อมีแต่สุข แต่เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้เข้าใจทุกข์และสามารถนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์แล้วดึงคนรอบข้างให้พ้นทุกข์และมีสุขด้วยความเข้าใจทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)  แล้วต่อไปไม่เป็นตัวปัญหาของสังคม ไม่เป็นตัวปัญหาของใคร ได้หรือเปล่า (ได้)
   (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คนใจพระ)
พระตัวใหญ่เลยนะ คนใจพระเป็นอย่างไร (ใจบุญและมีเมตตา) คนใจพระคือคนที่ไม่ว่าพูด ไม่ว่าคิด ไม่ว่าทำ ก็มีแต่ความเมตตา ถ้าเรามีเมตตาจะไม่ด่าใคร ถ้าเรามีเมตตาเราจะไม่เอาเปรียบใคร แล้วถ้าเรามีเมตตา มุทิตา อุเบกขา วางใจเป็นกลางจริง เราจะไม่หวั่นไหว เมื่อโดนใครกระทบ ให้คิดว่าเขาได้ก็ดี ถึงการได้ดีของเขาจะกดขี่ข่มเหงเรา เราก็ไม่สร้างบาป แต่ยินดีกับบุญเขา ทำให้ได้นะ พูดได้ต้องทำได้อาจารย์อยากให้ทุกคนช่วยคิด คำว่า คนใจพระ เป็นอย่างไร
(คนใจเย็น มีสติ)  คนใจเย็น มีสติ มีธรรม (คนใจพระ คือ มีสติปัญญาที่บอกคนอื่นให้มีความรู้มาธรรมะ เพราะว่ามีคนใจพระบอกมาว่าไปธรรมะ จะได้มีศีลธรรม คนนั้นมีพระคุณอย่างยิ่งให้กับผม)  ศิษย์เห็นคนอื่นใจพระ แปลว่าเราก็มีใจพระ เห็นคนอื่นเป็นพระ แปลว่าใจเราก็เป็นพระจริงไหม (จริง)  กระจกสะท้อนอย่างไร ก็แปลว่าเราเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเห็นคนอื่นเป็นมาร เราก็เป็น (มาร)  (คนใจพระ หมายถึง คนใจดี มีเมตตา)  ขอให้มีนานๆ นะไม่ใช่มีเป็นช่วงๆ (คนใจพระ จะต้องมีธรรมะในใจ สามารถเอาธรรมะเผยแพร่ให้คนที่มีทุกข์ ให้เขารู้จักคำว่าดับทุกข์ และสร้างสติให้คนที่รับแผ่ธรรมะไป ให้เกิดปัญญา ให้เขาเอาปัญญาไปใช้ในชีวิต ในครอบครัว ในชีวิตประจำวัน และต้องรักษาศีลห้า)  แล้วเอาไปจะเอาไปให้ใคร หรือเก็บเอาไว้เอง (เอาไปแบ่งปันให้เขาเข้าใจธรรมะ และจะได้แนะนำให้เขารู้ว่าธรรมะนี้ดีอย่างไร)   (เป็นคนใจพระต้องมีศีล ภาวนา และใจสงบนิ่ง ต้องไม่โลภ โกรธ หลง)  ทำให้ได้นะใจสงบนิ่ง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แปลว่าเป็นคนที่ได้หรือไม่ได้ก็พอใจในสิ่งที่ตนเองมี หรือเรียกว่ารู้จักสมถะ (คือคนที่ตั้งใจจริง จะคิดอะไรทำอะไร ต้องคิดก่อนทำอย่าทำก่อนคิด ต้องมีความเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
คนใจพระเป็นคนอย่างไรหรือ (ไม่ทำบาป)  ไม่ทำบาป ไม่มัวแต่เที่ยวเตร่ แต่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ไม่เป็นจิ๊กโก๋ขาใหญ่ ไม่แอบสูบบุหรี่ ต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมจริงๆ ศีลธรรมมีอะไรบ้าง (มีศีล5)  มนุษย์ทุกคน มีโอกาสสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว มีโอกาสสร้างบุญ สร้างคุณงามความดี แต่ถึงเวลาบางครั้งเราชอบปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยใจ ทำอะไรตามใจอยาก ทำอะไรตามใจชอบ จนบางครั้งไม่รู้ผิดชอบชั่วดี จนบางครั้งลืมคำว่า ศีลธรรมในความเป็นคน ก็น่าเสียดายจริงไหม (ใช่)  ที่เรียกว่า รักสนุกก็ทุกข์ถนัด ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเข้าครอบงำ ผลสุดท้ายก็ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต บางทีก็คิดว่าอายุมากแล้วค่อยมาฟังธรรมะ แต่บางทีฟังธรรมก็ไม่ค่อยได้ยินใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะทันไหม ทันสิ เมื่อก่อนแก้ไม่ได้ แต่วันนี้ฉันจะเป็นคนมีศีล  มีธรรม  มีเมตตาในจิตใจ  อะไรปล่อยได้ก็ปล่อย  อะไรวางได้ก็วาง ไม่ขี้บ่น ไม่จู้จี้ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์พูดง่ายๆ คนใจพระก็คือคนที่เป็นคนดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีด้านหน้า ด้านหลัง ทุกขณะจิตคิดแต่ดี คิดใฝ่แต่ชอบ ดำเนินชีวิตไม่ผิดต่อจริยะอันดีงามหรือศีลธรรมอันดีงาม แล้วรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น ไม่นิ่งดูดาย สิ่งใดเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวมรีบทำทันที ถ้าทำได้อย่างนี้ ตัวเราก็สร้างมงคลให้กับตัวเอง ตัวเราก็เป็นพระเดินดินได้
บวชกายไม่สู้บวชจิต รักษาศีลภายนอกไม่สู้รักษาศีลและปฏิบัติได้ถึงภายใน ฉะนั้นอาจารย์ถามกลับ คนใจมารใจโหดร้ายเป็นอย่างไร (ใจไม่ดี ไม่บริสุทธิ์ ชอบทำร้ายผู้อื่น)  ไม่อย่างนั้นจากใจพระ จะกลายเป็นใจ (มาร)
(คนใจมาร คือ ชอบเบียดเบียนผู้อื่น, รักในอารมณ์ กิเลส)  มักโกรธ มักพาลโทษคนอื่น แล้วก็ไม่ค่อยยอมรับผิด ขี้น้อยใจ
(คนใจมาร คือ มักใส่ร้ายป้ายสี, ชอบคิดชั่ว)  แล้วชอบแอบนินทา ชอบมองใครไม่ดี มองใครดีไม่ขึ้น การคิดชั่วบางครั้ง แม้แอบอิจฉาเขามันก็ไม่ดีนะ ใช่ไหม อย่าเผลอนะ ใครได้ดีก็อย่าไปแอบว่าเขานะ
(คนใจมาร คือ โลภมากเห็นแก่ได้, ชอบขัดขวางผู้อื่นที่มาสร้างบุญสร้างกุศล)  บางทีก็พูดว่าเวลาเขาจะไปงานบุญนะ ฉันไม่ไปหรอก เธอไปเถอะ
(คนใจมาร คือ ชอบใส่ร้ายผู้อื่นให้ผู้อื่นต้องลำบาก)  และก็ไม่สบายใจ อย่าเผลอทำนะ
(คนใจมาร คือ จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต)  ชักน่ากลัว แล้วหัวหน้าโหดเหี้ยมไหมนะ (ไม่เหี้ยม)  ไม่เหี้ยมก็แปลว่าเป็นคนมีเมตตา แล้วคนมีเมตตาจะแอบสั่งฆ่าสัตว์ไหม (ไม่ฆ่า)  สั่งทำร้ายใครไหม (ไม่)  แค่คิดว่าวันนี้อยากกลับไปกินปลานึ่ง ปลาทอด จริงไหม แค่อยากกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อก็เหมือนแอบฆ่าสัตว์ เมตตาที่แท้จริงต้องเมตตาไม่จำกัดเฉพาะคน เมตตาที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย คนเล็กคนน้อย เราก็ต้องมีเมตตา นั่นถึงจะเรียกว่าเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่ปากบอกว่าเมตตาแต่ใจยังประหารเหยียบย่ำบนชีวิตคนอื่นเพื่อความสุขตัวเอง อย่างนี้ก็ไม่ใช่เมตตาจริง
เห็นคนอื่นมีความทุกข์แล้วเรามีความสุข เรียกว่าคนใจมาร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเห็นใครไม่ดีแล้วได้รับผลกรรม แล้วเราสมน้ำหน้า เราเป็นไหม ไม่ใช่นะ ถึงแม้ว่าเขาจะมาขโมยหลอกเงินบ้านเรา แล้วโดนตำรวจจับ เราจะสมน้ำหน้าเขาได้ไหม (ไม่ได้)  คนเราบางทีที่เขาทำผิดไปเพราะอาจจะมีเหตุจำเป็น ฉะนั้นถ้าเขาทำผิดไปแล้วหลอกลวงเราทำให้เราเจ็บซ้ำน้ำใจ ก็อย่าไปผูกใจเจ็บนะ
(ความมีเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์)  แล้วเรามีเมตตาไหม ยุงกัดแล้วตบมันเลยไหม มดมาบี้มันเลยไหม พูดได้ก็ต้องทำให้ได้ ศิษย์จะได้ไม่โกหกอาจารย์นะ (มีเมตตาไม่ทำผิดและเพลี่ยงพล้ำ ยึดมั่นจะกินเจ)  ที่พูดมา ทำได้นะ (ทำได้)  ทำได้กี่วัน อย่าบอกว่ากินสามวัน พอกลับบ้านแล้วเหมือนเดิม อย่าเพิ่งพูดนะ ทำให้ได้ก่อนนะ  (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)  พรหมวิหารสี่ เราต้องทำให้ได้นะ คำว่าวางใจเป็นกลางเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะลำเอียง และเห็นแก่ตน อาจารย์พูดตามตรงนะศิษย์ ตราบที่ลมหายใจยังไม่หมดสิ้น ไม่มีคำว่า “แน่” เพราะว่าใจเรายังไม่สามารถคุมได้ คิดให้ดี เพราะใจคนเรามันเหมือนลิง วิ่งไปจับยาก ทำให้ได้นะ
(คนใจมาร คือ คนที่คอยเหยียดหยามผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำน้ำใจ)  ทำให้ได้นะ อย่าเผลอเหยียดหยามผู้อื่น อย่าเผลอทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำน้ำใจ แม้ผิดนิดเดียวก็อย่าไปพูดให้เขาเสียใจ ถ้าทำได้ศิษย์ก็ใจพระ จริงไหม
(คนใจพระมีแต่ให้ ไม่หวังผลตอบแทน)  ตอบได้ดี คนใจพระมีแต่ให้ไม่หวังผลตอบแทน (คนใจพระเป็นคนใจดีมีแต่ให้)  ให้อะไรบ้างล่ะ มีแต่ให้ก็คือให้น้ำใจ ให้อภัย ให้ธรรมสอนลูกหลาน เป็นคนใจเย็น เป็นคนมีศีล ใช่ไหม (คนใจพระมีแต่ให้ไม่หวังผลตอบแทน เผื่อแผ่พี่น้องทั้งหลาย เผื่อลูกหลาน)  ไม่ใช่ลูกหลานอย่างเดียวสิ เพื่อนบ้านก็ด้วย
(คนใจพระเดินทางสายกลาง เมื่อมีสิ่งไหนมากระทบทนได้)  รักษาจิตให้เป็นกลาง จิตที่เป็นกลางก็คือจิตที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบ รู้จักวางใจเป็นกลาง ไม่รักใครมาก ไม่เกลียดใครมาก มีแต่ความบริสุทธิ์ยุติธรรมนะทำให้ได้ (คนใจมารให้โดยหวังผลตอบแทน)  ฉะนั้นจงรู้จักทำบุญรู้จักแบ่งปันมีน้ำใจ (คนใจมารอิจฉาริษยาคนอื่น)  ฉะนั้นใครได้ดีจงรู้จักยินดี อนุโมทนาบุญ  (คนใจมารคือคนที่ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นตนเองดีกว่าคนอื่นเสมอ เป็นคนสองด้านพูดกับคนนั้นที คนนี้ที)  ลับหลังก็แอบนินทาว่าร้าย พูดว่าเขาดีแต่จริงๆ ก็แอบนินทาว่าเขาไม่ดี ทำตัวกับคนนี้ดีแต่จริงๆ แล้วก็คือแอบใส่ร้ายเขา แล้วเราเป็นไหม (ไม่เป็น)  อย่าเผลอเป็นนะ ฉะนั้นถ้าเราทำอะไรมองแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจผู้อื่น เราก็จะเห็นแก่ตัว ต้องระวังไว้ (คนใจพระ เป็นคนที่ไม่หน้าไหว้หลังหลอก เป็นคนซื่อสัตย์)  ทำให้ได้นะ ซื่อตรง (ไม่สร้างกุศลและไม่เบียดเบียนคนอื่นคือคนใจมาร, คนใจพระคือคนที่มีจิตใจงดงาม ไม่เอาเปรียบผู้อื่น คนใจมารคือ คนที่ประสงค์ร้ายและเอาเปรียบผู้อื่น) 
เรียนรู้ศึกษาธรรม สิ่งที่สำคัญคือ การมีสติ และมีปัญญารู้แจ้งชัด การรู้แจ้งชัดนอกจากว่า ไม่ใช่ให้รู้แจ้งชัดคนอื่น แต่ให้รู้แจ้งชัดในความเป็นจริงของโลก หรือความเป็นจริงแห่งตัวตนที่เรียกว่า สัจธรรม เพราะในตัวตนทุกคนมีสัจธรรมอยู่  และในตัวคนเป็นต้นเหตุของเรื่องราวในโลก   ทั้งมวล ฉะนั้นถ้าเราควบคุมตัวเองได้ ระมัดระวังใจตนเองอยู่ เหตุหรือเรื่องราวก็อาจจะพลิกเปลี่ยนผัน จากมีก็กลายเป็นไม่มี ฉะนั้นถ้าหากศิษย์เรียนรู้ว่า ใดๆ ในโลกนี้ ล้วนเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันจะเป็นกรรม เป็นเวร เป็นบุญ หรือเป็นบาป หรือชดใช้กรรม ชดใช้เวร หรือสร้างบาป สร้างกรรม อยู่ที่ตัวเราถูกไหม (ถูก)  สมมติว่าอาจารย์โดนเขาตบหน้ามา อาจารย์บอกดีแล้ว เป็นบุญแล้ว ใช้กรรมแล้ว สิ้นทุกข์แล้ว แต่ถ้าบอกว่า ทำไมมันทำฉัน ทำไมมันเป็นคนแบบนี้  ทำไมมันอย่างนี้ ศิษย์เห็นไหมว่า หนึ่งเหตุการณ์ แต่ให้ผลสรุปแตกต่างกันไหม (แตกต่างกัน)  ทำให้เวรยืดเยื้อ แต่อีกคนหนึ่งคือสิ้นเวรสิ้นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเกิดมาเพื่อจะได้เกิดแล้วเกิดอีก หรือเราเกิดมาเพื่อจบ (จบ)  ทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความว่างเปล่า และทุกชีวิตล้วนคืนกลับสู่ความจริงแห่งความไม่มี เรากำลังยึดติดอะไร เรากำลังไขว่คว้าหาอะไร  ฉะนั้นทำไมเราไม่มีชีวิตอยู่แล้วสามารถปฏิบัติธรรม ได้ทุกขณะและสิ้นเวรสิ้นกรรมได้ทุกขณะขอให้คิดให้ดีนะ  ฟังอาจารย์มาตั้งเยอะ แต่ถึงเวลาจะทำได้หรือเปล่า (ได้)
ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกทุกข์หรือสุข ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ไม่น่ากลัวเท่ากับใจของเรา ถ้าเราไม่สามารถมีสติ เท่าทันใจของเรา ใจเรา นั่นแหละที่จะเป็นตัวสร้างเวรสร้างกรรมและทำให้ทุกข์ไม่จบสิ้น ศิษย์เอยสังขาร มันก็เป็นไปตาม ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มีทุกข์ไม่เที่ยง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่ศิษย์มีสิ่งหนึ่ง ที่เหนือดี เหนือร้าย เหนือทุกข์ เหนือสุข และสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์และพ้นเวียนว่าย นั่นคือ พุทธจิตธรรมญาณ ที่มันอยู่เหนือการครอบงำของสังขาร แต่มนุษย์ไม่เคยไปถึง ติดอยู่แต่ร่างกายและก็ใจ
ต่อไปนี้ศิษย์เอ๋ย จำไว้นะร่างกายนี้มันทุกข์มันเจ็บมันเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราเข้าใจอ้อกายทุกข์ ใจไม่ทุกข์ กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายตายได้ สังขารสิ้นได้ แต่ใจไม่สิ้นตามสังขาร แล้วทำไมเราไม่หาจิตเดิมแท้อันนี้ให้พบ แล้วทำตนให้พ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในสังขารล่ะศิษย์
วิธีปฏิบัติที่จะช่วยให้พ้นตรงนี้ได้ อาจารย์บอกว่ารักษาใจให้มันปกติ อยากไม่ปกติ โกรธไม่ปกติ ไม่พอใจไม่ปกติ ถ้าศิษย์สามารถรักษาใจให้ปกติไม่วิ่งไปตามอารมณ์ มีสติรู้และเห็นชัด รู้ว่าโกรธก็จบวาง ทำบ่อยๆ ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ แต่ถ้าศิษย์เอาแต่ตามใจ ศิษย์ก็จะเห็นแค่ชีวิตมีแค่ใจกับสังขาร ไม่มีวันพบจิต ยากไหม (ไม่ยาก)  ขอเพียงแค่ศิษย์มีสติรู้เท่าทันอะไรที่จะเกิดขึ้นแล้วยอมรับความจริงว่า โลกใบนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ (ต้องเกิด)  เป็นธรรมดา ความตายก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ความเจ็บก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่ถึงเวลาทำใจได้ไหม พอบอกว่าป่วยเป็นมะเร็ง อาจารย์ศิษย์ตายก่อนแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจในชีวิตความเป็นจริง ศิษย์จะรู้เลยว่าโลกใบนี้แม้เทพเทวาพุทธะ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือศิษย์ได้นั้นคือ คนเรามีความแก่เป็นธรรมดา เจ็บเป็นธรรมดา และตายเป็นธรรมดา จะร้องขอใครให้ช่วยก็ไม่ได้ แต่เราจงอยู่กับความแก่เจ็บตายโดยไม่ทุกข์ และอยู่อย่างคนไม่ธรรมดาให้ได้ ถึงจะเรียกว่าเข้าใจและปฏิบัติธรรมเป็น อาจารย์พูดไม่ยากนะ ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำยากใช่ไหม (ใช่)  ไม่ยากขอแค่เพียงรู้เท่าทันใจไม่ต้องรู้ใคร รู้ใจตัวเอง ไม่ต้องหวังไปจัดการใคร จัดการใจตัวเองก่อน ดีหรือไม่ (ดี)  ทำให้ได้นะศิษย์เอย ได้หรือไม่ (ได้)  ทำอะไรขอให้คิดไตร่ตรองด้วยสตินะ แล้วกล้ายอมรับความจริง ผ่านการอบรมธรรมมาแล้ว ผ่านการฝึกใจวางใจมาแล้ว โดนคนด่าก็ (ไม่โกรธ)  โดนคนชมก็ (ไม่ยินดี)  ฝึกใจให้เป็นปกติ ฉะนั้นแม้เจอเรื่องทุกข์ที่สุด ศิษย์ก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขแท้ ทุกข์จริง นะศิษย์เอย
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
เราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ร่วมฟัง สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องฝึกให้ได้ และวันนี้ศิษย์ก็ฝึกได้คือ ยอมเสียสละ เสียสละอะไร นักเรียนในชั้นเขากินก่อน ให้เขาเข้าห้องน้ำก่อน เขาอยากทำอะไรให้เขาทำก่อน ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญ ต้องงดงาม งามทั้งภายนอกและงามทั้งภายใน ปฏิบัติให้ได้ดี อาจารย์ให้คำว่า “คนใจพระ  ก็เพราะว่าอาจารย์เชื่อว่าศิษย์ที่นี่ทุกคนงามเช่นใจพระ ใจพระคือ เย็น เมตตา เสียสละ ถ้าศิษย์ทำได้ ใจพระดีกว่าห้อยพระอีก เพราะไปอยู่ที่ไหน ใจพระก็คุ้มครองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ ไม่ใช่ไหว้พระเป็น แต่มีพระไม่เป็น อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์มาหาอาจารย์ รักอาจารย์ แต่คำว่า อาจารย์จี้กงไม่มีอยู่ในใจศิษย์ อาจารย์ไม่เอา อาจารย์อยากให้ศิษย์มีคำว่า อนุเคราะห์ช่วยเหลือเวไนยอยู่ในใจของศิษย์ ทำให้ได้นะดีไหม (ดี)  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จิตใจต้องมั่นคง บำเพ็ญให้ถึงที่สุดแล้วศิษย์ก็จะได้เจออาจารย์ดีหรือเปล่า (ดี)  เจอแค่หน้านี้ไม่เอา แต่ไปเจอกันข้างบนดีหรือไม่ (ดี)  ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด ลำบากแค่ไหนไม่ท้อ เหนื่อยแค่ไหนไม่ถอย ขอเพียงใจมั่นคง สู้ถึงที่สุด ศิษย์ก็คือลูกศิษย์อาจารย์จี้กง เจ็บก็ไม่กลัว ตายก็ไม่เป็น บำเพ็ญมาถึงขนาดนี้แล้ว อาจารย์ไม่ทิ้งหรอก ไม่มีใครรับ อาจารย์รับ ฉะนั้นดูแลตัวเอง ดูแลจิตใจให้ดี งดงามทั้งนอกทั้งใน เข้มแข็งทั้งกาย วาจา ใจ นะศิษย์เอ๋ย รักศิษย์ทุกคน อยากพาศิษย์กลับคืนเบื้องบน ฉะนั้นศิษย์ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าเจออะไรอย่ายอมแพ้
ตั้งใจบำเพ็ญลำบากแค่ไหนเหนื่อยแค่ไหนอย่าท้อนะศิษย์เอ๋ย สู้จนสุดใจนั่นคือสิ่งที่ศิษย์มีและอาจารย์ก็เชื่อมั่นว่าจะมีตลอดไป อาจารย์ไม่อยากจากเลยนะห่วงศิษย์ทุกคน ใจเย็นๆ เจอเรื่องอะไรคิดให้ดีไตร่ตรองให้รอบครอบ ระมัดระวังอารมณ์รู้จักควบคุมใจ ทำอะไรไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรพิจารณาว่าเรามีเมตตาไหม ใจร้อนไปไหม ทำได้ดีหรือยัง มีศีลมีธรรมไหม รู้จักปล่อยวางได้บ้างหรือยัง ยังมัวหลงอะไรอยู่อีกหรือเปล่า ถ้าสิ่งดีๆ ไม่ทำ เลือกทำสิ่งที่ไม่ดี มันก็น่าเสียดายใช่ไหมศิษย์เอ๋ย ฉะนั้นฟังธรรมมาก็เยอะ แต่ไม่ยอมปฏิบัติธรรมมันก็น่าเสียดาย การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ว่า เอาชนะกิเลสอารมณ์ตัวเองได้ไหม เอาชนะบนทางที่แท้จริงแล้วเดินไปถึงที่สุดด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอยหรือเปล่า
ฉะนั้นวันนี้ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องกลับแล้ว มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาธรรมกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่เคยหลอกศิษย์ มีใจร้อยอาจารย์ก็ให้ทั้งร้อย มีแต่ศิษย์ของอาจารย์วันนี้ให้อาจารย์หนึ่งร้อย แต่ผ่านไปสองสามวันก็ไม่เหลือใจให้อาจารย์แล้ว มีโอกาสกลับมาช่วยอาจารย์อีกนะ จิตสงบที่แท้จริงแปลว่าอะไร แปลว่าใจรู้พอรู้สุข แต่ถ้าไม่รู้พอไม่รู้สุขก็ไม่มีวันสงบได้ จริงไหม ดำเนินชีวิตต้องรู้จักมีสติเป็นคำง่ายๆ แต่หาคนที่จะให้ถึงยาก อาจารย์หวังว่าศิษย์คงทำได้นะ รู้จักรักดี รู้จักรู้หน้าที่ ไม่มัวแต่รักเที่ยวนะ ขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ขอให้บุญคุ้มครองศิษย์อาจารย์นะ รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าใช้อารมณ์ มีโอกาสมาฟังให้ครบนะศิษย์เอย รอคำอวยพรจากอาจารย์หรือ คำอวยพรไม่สู้เท่ากับการปฏิบัติ  ฉะนั้นต้องคุมให้ได้ควบคุมให้ดีอารมณ์ของตัวเอง
อาจารย์ก็อยากอวยพรให้ศิษย์มีศีลมีธรรม และศีลธรรมนั้นทำให้ศิษย์ร่มเย็นและอบอุ่นในชีวิตที่อยู่ในธรรม อย่าดื้อ เป็นคนดีมันไม่ยาก แต่มันยากที่ชอบดื้อใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าจะทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่ทำร้ายชีวิตของตัวเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบนะศิษย์ รับปากแล้วนะ ทำให้ได้นะ ศึกษา ตั้งใจ ปฏิบัติบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์เอย หน้าที่ของอาจารย์ คือมาบอกความจริง หน้าที่ของศิษย์คือฝึกฝน ปฏิบัติจนเข้าใจความจริง และความจริงนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไปให้ถึงนะ มีโอกาสเราคงมาได้ผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  คนใจพระ”
    ห้อยพระไม่สู้ใจพระ                    รู้ละผิดบาปไม่สร้าง
เข้าใจในโลกรู้วาง                           คลายจางกิเลสอารมณ์
ชีพวายก็ไม่ทิ้งธรรม                         ใจธรรมยิ่งกว่าใจคน
ดั่งเพชรอยู่ในโคลนตม                      ถูกบ่มก็ยิ่งงดงาม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา