วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

2557-11-15 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท



西元二○一 歲次甲午閏九月廿三日    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    คนคนหนึ่งตื่นเท่าใดหลงเท่าใด    อยู่ที่กรรมทำไว้บุญมีราก
ชาตินี้พาตัวเองไปติดกับดัก    หรือรู้จักพาตนเองเพื่อกลับคืน
        เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะกันรู้เรื่องหรือเปล่า


* ฟังอยู่แต่ไม่เคยเอาอยู่ ผ่านสมองหรือว่าผ่านใจ ทำผิดชอบเห็นเป็นเรื่องถูก สิ่งใดควรเข้าใจไม่เข้าใจ
** ความหลงตนเปรียบเหมือนลมคลั่ง เกิดมาพังทุกเรื่องเสียหาย เกิดจากไม่รู้ต้องมาฝึกยอมรับ เรื่องทำบุญให้ทานแล้วได้บาป เริ่มจากที่ใด อย่างบางคนรู้บางทีทีเหมือนรู้ เรื่องจริงจริงไม่เคยรู้สักอย่าง หากรับฟังแบบธรรมไม่สายไป
ฟังต่อจิตที่ดีเป็นต่อ ศิษย์จะเห็นพูดฟังได้ปลอดภัย
(ซ้ำ * ,**)

ชื่อเพลง : เกิดจากไม่รู้
ทำนองเพลง : หนึ่งเดียวที่หัวใจ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ธรรมะไม่มีรูปแบบใช่ไหม ถ้าพูดถึงธรรมะๆ นั้นไม่มีรูปแบบ
แต่มนุษย์มักจะติดรูปแบบในธรรมะ จนทำให้มองไม่เห็นว่าธรรมะที่แท้จริงคืออะไร และยังคงสงสัยอยู่ หลายคนอาจจะคิดว่า ธรรมะเป็นเรื่องของผู้สูงวัย รอแก่ก่อนแล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่คนมักจะคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ เราอายุยังน้อย ฟังธรรมะไปก็เปล่าประโยชน์ คนอายุน้อยทำหน้าบอกว่า ใช่ๆ เราถามคนที่อายุมาก ฟังธรรมะรู้เรื่องและได้ยินไหม บางทีแทบจะไม่ค่อยได้ยินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ ธรรมะเหมาะเฉพาะกับคนแก่หรือ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นธรรมะเหมาะกับใคร (ทุกคน)  ส่วนใหญ่คนบอกว่าธรรมะเหมาะกับทุกคน ถ้าเราบอกว่า จริงๆ แล้วใครมีทุกข์คนนั้นควรรู้จักมีธรรมะ จริงไหม เพราะธรรมะเหมาะกับคนที่อยากดับทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม แก่ สาว อายุมาก อายุน้อย ถ้าใครมีทุกข์คนนั้นต้องเรียนรู้ธรรมะ แต่หลายท่านอาจจะพูดว่า ก็วันนี้ฟังมาทั้งวันแล้ว ไม่เห็นจะช่วยดับทุกข์เลย คิดอย่างเดียว “เมื่อไรจะจบ อยากจะกลับบ้านแย่แล้ว”
ไม่เห็นกับอาจารย์ก็ไม่นั่งฟังหรอก ฟังมาตั้งมากมายแล้ว ทุกข์ก็ยังไม่
ลดน้อยลงเลย แถมบางทียิ่งฟังยิ่งทุกข์ ไหนบอกฟังธรรมแล้วดับทุกข์
ทุกคนเห็นโต๊ะพระไหม (เห็น)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ยกโต๊ะพระที่เห็นจะยกไหวไหม (ไม่ไหว)  ยังไม่ทันยก แค่คิดก็รู้สึกหนักแล้ว เหมือนกัน ทำไมเราถึงทุกข์ ความทุกข์มีรูปร่างไหม (ไม่มี)  แต่ทำไมแค่คิดก็ทุกข์แล้วล่ะ วันนี้มาฟังธรรมเพื่อฟังแล้วเบิกบานใจ แต่ตัวท่านนั่นเองที่หาเรื่องอยากยกโต๊ะ มีสิ่งที่ให้ดูให้คิดตั้งมากมายกลับอยากคิดแบกโต๊ะ การที่คิดให้สบายใจกลับไม่คิด อยากคิดที่จะถือโต๊ะ ฉะนั้นที่ฟังธรรมแล้วยังทุกข์อยู่ นั่นคือทุกข์เพราะอะไร เพราะเรื่องที่ให้คิดก็ไม่คิด ไปคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด และควรจะมองตามความเป็นจริงแต่กลับไปหาเรื่องแบกโต๊ะ เหมือนอย่างนี้ เขาให้เราฟังธรรมเพื่อเราจะได้เบิกบานใจ เพื่อเราจะได้สงบใจ แต่ฟังแล้วใจเราอยู่กับธรรมไหม (ไม่)  ใจเราอยากไปแบกโต๊ะ ฉะนั้นจริงๆ แล้วเราทุกข์เพราะความคิด ทั้งที่จริงๆ แล้วความคิดไม่มีรูปร่าง ทุกข์เพราะไม่มองความจริง มองแต่สิ่งที่ตัวเองอยาก อยู่ตรงนี้แต่อยากกลับบ้าน อย่างนี้เหมือนกับคิดแบกโต๊ะไหม เขาให้นั่งฟังสบายๆ ไม่ฟัง คิดแบกโต๊ะ
ถามท่านหน่อย โลกปัจจุบันนี้มนุษย์ทุกข์เพราะอะไรหรือ ทุกข์เพราะเขาทำหรือทุกข์เพราะเราหาเรื่องอยากแบกในสิ่งที่ไม่ควรแบก คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด เอาแต่อยู่กับความอยากจนลืมมองความเป็นจริง ตอนนี้ท่านนั่งกันอย่างคนแบกโต๊ะหรือเปล่า
อย่ายึดติดรูปแบบ อาจารย์ก็บอกแล้วการเรียนรู้หลักธรรมต้องมองตามความเป็นจริง ไม่ใช่มองตามสิ่งที่เราอยากคิด เพราะถ้าเอาแต่อยากแล้วไม่มองความจริง เรากำลังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วหาเรื่องแบกทุกข์โดยไม่รู้ตัว
ยินดีต้อนรับอาจารย์หรือเปล่า (ยินดี)  เป็นโอกาสยากที่จะได้เจอกันง่ายๆ เพราะกว่าที่ศิษย์จะยอมอดทนฟังจนถึงวันนี้ คิดว่าทรมานใจไหม (ไม่)  อาจารย์ขอถามนะ นั่งมาจนเบื่อแล้วใช่ไหม ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์หน่อยดีไหม ถ้าใครอยากนั่งอาจารย์มีปัญหาถามเพื่อให้ตอบ ถ้าตอบได้
ก็ได้นั่ง มนุษย์อยากให้ฟ้าช่วย ก็ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อน เอาแต่ยกมือ
ขอพรจากฟ้า แต่ตัวเองไม่รู้จักขยับเขยื้อน ฟ้าจะช่วยไหม (ไม่ช่วย)  
โลกทุกวันนี้ ศิษย์ทุกวันนี้ ทุกข์กันมากมาย แล้วกรงขังอะไรที่ขังให้เราทุกข์ที่สุด ความคิดเป็นกรงขังเราใช่หรือเปล่า คิดดีไม่คิด คิดมอง
ความจริงไม่คิด เอาแต่คิดตามใจตน จึงมองไม่เห็นความจริง แล้วก็มีเหตุผลเสมอว่า ที่ฉันคิดแบบนี้ พูดแบบนี้ ทำแบบนี้ก็เพราะหวังดี แต่เอาตัวเราไปวัดกับทุกคนได้ไหม เอาความคิดเราไปครอบงำทุกคนได้
หรือเปล่า กรงขังที่ขังให้ศิษย์มีความทุกข์มากที่สุดในโลกนั่นคือ
แพ้ความคิดตัวเอง หรือรู้ไม่ทันความคิดตัวเอง คิดแล้วไม่ได้อะไรก็เอาแต่คิด คิดจนนอนไม่หลับ คิดจนทรมาน คิดจนกระอักเป็นเลือดตาย
เหมือนที่เขาว่าเราทีเดียว แต่ความคิดทำให้เราเหมือนโดนว่าเป็นร้อยๆ ครั้ง อะไรอีกที่ขังให้ตัวเราทุกข์ที่สุด ใจเราขังเราใช่ไหม (ใช่)  ใจที่ไม่ยอมเปิดกว้าง ใจที่คิดคับแคบตีกรอบ ธรรมะต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้อย่างเดียว
เลยทำให้เรามองอะไรได้จำกัด แต่ถ้าเราเปิดกว้างเราก็จะรู้ได้กว้างขวางไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้ใจมนุษย์กว้างหรือแคบ (แคบ)  แคบแล้วอึดอัดไหม ทำไมไม่เปิดใจให้กว้าง ที่เราไม่สามารถเปิดใจให้กว้างเพราะเราไม่กล้า
สู้ความจริง เรากลัวความจริง
ถามว่ากลัวตายไหม กลัวสูญเสียไหม (กลัว)  กลัวเจ็บไหม กลัวจนไหม (กลัว)  อาจารย์อยากจะบอกว่า สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้ ไม่ต้องกลัว สิ่งที่น่ากลัว คือการไม่ยอมรับน่ากลัวกว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดอีก จริงไหม (จริง)  ในความจริง ความตาย การสูญเสีย ความเจ็บไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
แต่ใจที่ไม่กล้ายอมรับความจริงต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัว
ถ้าเรากล้ายอมรับ จนก็จน จนแล้วเป็นอย่างไร จนแล้วแต่เราไม่จนปัญญา จนแล้วฉันขยัน ฉันก็รวยไม่ใช่หรือ ถูกไหม (ถูก)  คนเราเกิดมา
มีใครบ้างไม่ตาย จริงไหมศิษย์ (จริง)  ตายก็ตาย แต่ถ้าชีวิตนี้ตายแล้วรักษาความดีไว้ได้ก็ยอมตาย แต่ถ้าตายแล้วชั่วก็อย่าเพิ่งตาย เพราะตายไปก็ตกนรกเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นถ้าตายแล้วได้เหลือความดีไว้ให้คนอื่นชื่นชม ก็ตายได้เลย แต่ถ้าตายแล้วเขาแช่งชักหักกระดูกด่าทอ
ก็อย่าเพิ่งตาย ให้กลับตัวใหม่ก่อนแล้วค่อยไปตาย จริงไหม (จริง)
จะกลัวทำไมกับการสูญเสีย การพลัดพราก การถูกด่า มีใครบ้างไม่เคย
ถูกด่า บางคนเขายังด่าอาจารย์เลย แล้วนับประสาอะไรที่ศิษย์จะไม่ถูกด่า
จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่ขังให้มนุษย์ทุกข์ที่สุด คือ การไม่กล้าพูดความจริง
ใช่ไหม (ใช่)  ผู้ชายอกสามศอก สู้ความจริงไหม (ไม่สู้)  ใช่ ศิษย์กล้า
ทุกอย่าง แต่ไม่สู้อยู่อย่างเดียว ขออย่าอกหัก ขายขี้หน้าเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอกหักแล้วตาย นี่ถือว่าเป็นคนขี้ขลาดนะ อะไรก็ไม่กลัวตาย แต่เมื่อ
อกหักแล้ว คนที่ทำฉันอกหักมันต้องตาย ใช่ไหม (ไม่ใช่)
กรงอะไรที่ขังให้มนุษย์ทุกข์ที่สุด (กรงขังใจ)  ตอบได้ดี แต่ถ้าไม่
ทำผิด แล้วมันจะมีกรงมาขังไหมศิษย์ ถ้าไม่คิดผิด ไม่ทำชั่ว แล้วเราจะถูกกรงขัง ขังใจไหม
กรงแห่งอัตตาตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่น ขังมนุษย์ให้เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น และหลงเป็นทาสกิเลส กรงอะไรที่ขังให้มนุษย์ทุกข์ที่สุดและเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ก็คือ กรงแห่งความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน เราสร้างทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง เราทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง เราทำผิดทำถูกก็เพราะตัวเอง เราจะพ้นได้ก็ต้องตัวเอง แต่เราจะพ้นจากตัวเองได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่รู้เท่าทันความคิด และหัวใจตัวเอง เอาแต่มองออกแต่ลืมมองเข้า เอาแต่เห็นคนอื่นแต่ลืมเห็นตัวเอง พยายามจะเข้าใจคนอื่นแต่กับตัวเองไม่เคยเข้าใจ พยายามที่จะรู้จักคนอื่นให้ดี แต่ตัวเองกลับไม่รู้ใจตัวเอง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องระวังให้มากที่สุดนั่นก็คือ อัตตาตัวตนที่ศิษย์ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละคือ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อวิชชาความไม่รู้จักตัวตนเป็นต้นเหตุแห่ง
ความทุกข์ทั้งมวล” ความไม่รู้จึงเป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ทั้งมวล วันนี้ที่มานั่งฟังก็เพื่อให้รู้แล้วรู้หรือยัง
ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์บอกว่ามานั่งฟังตรงนี้แล้วทุกข์ อาจารย์อยากจะบอกว่ามีคนอายุมากที่ทุกข์กว่า คนที่อายุมากมาฟังตรงนี้แล้วทุกข์ ยังมีคนที่อายุมากแล้วมาจากเมืองจีน ฟังไม่รู้เรื่อง ทุกข์กว่า ฉะนั้นคนที่บอกว่าตัวเองทุกข์ อาจารย์ยังบอกว่ายังเทียบได้น้อยกว่าคนที่เป็นคนจีน และอายุมากแถมฟังไม่รู้เรื่องไม่ได้
ทุกข์ใดหรือที่เป็นทุกข์ที่แท้ สุขใดหรือที่เป็นสุขที่แท้จริง ถ้าเราเรียนรู้โลกใบนี้แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า โลกใบนี้หาใช่มีสุขที่แท้จริงไม่ มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่และดับไป ฉะนั้นถ้ามีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่ ทุกข์ที่ดับไป เราควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนของตน เคยได้ยินไหม ที่เขาเรียกว่า ร่างกายนี้คือกองทุกข์ ต้นเหตุของความทุกข์คือ มนุษย์เราไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงยึดมั่น เมื่อไม่รู้จึงอยาก เมื่ออยากจึงยึด เมื่อยึด
จึงทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้ว สิ่งที่อยากพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “มันคือกองทุกข์” ศิษย์อาจจะบอกว่า “อาจารย์มองไปมองมา กองทุกข์นี้ก็ยังสวย ยังหล่ออยู่นะอาจารย์” ทำไมอาจารย์จึงบอกว่า เป็นกองทุกข์ อาจารย์ขอถามหน่อย ก่อนที่จะมาเป็นหน้าตารูปร่างอย่างนี้ หน้าแบบนี้เป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นเลยไหม หน้านี้จะเป็นหน้าสุดท้ายของศิษย์ไหม (ไม่ใช่)  แล้ว
อันไหนคือหน้าจริงของศิษย์ เกิดมาศิษย์ก็สูงขนาดนี้หรือเปล่า ต้องเริ่มจากเป็นเด็กก่อน แล้วที่สูงก็ยังสูงต่อไปอีกไหม (ไม่)  ทำไมไม่สูง (เดี๋ยวก็สลาย)  ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน หาที่สุดไม่ได้ แล้วเราควรจะยึดว่าเป็นของเราหรือ เราควรจะยึดว่า ห้ามให้ใครมาด่า มาว่า ได้หรือ
เราควรจะยึดว่า ใครอย่ามาทำให้เราล้มละลาย ได้หรือไม่ ใครอย่ามา
ทำให้เราอกหัก ได้หรือไม่ เพราะอะไร (ไม่มีอะไรที่ถาวร)  เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว พอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ตัวเรา เราจะทุกข์ทำไม เมื่อไม่ทุกข์ แล้วเราจะดับทุกข์ทำไม ถ้าเราเข้าใจ เราไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ก็มันทุกข์อยู่แล้วจะไปดับทำไม แค่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น และมองตามความเป็นจริง แล้วอะไรจะขังเราล่ะ
(ไม่มี)  แล้วเรายังจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เพราะอะไรล่ะ เพราะ “มันเป็นเช่นนั้นเอง” เจ็บกายแต่ไม่เจ็บใจ ทุกข์แค่กายแต่ไม่ทุกข์ใจ ไม่ต้องดับอะไรเลย แค่ศิษย์รู้ความจริงแห่งชีวิต รู้ความจริงแห่งตัวตน รู้ความจริงแห่งสรรพสิ่ง เราจะต้องดับทุกข์ไหม (ไม่ต้อง)  เราจะต้องวางอะไรไหม (ไม่ต้อง)  มันเกิดมันดับอยู่ทุกขณะอยู่แล้วจริงไหม
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ก็คือ เราขาดสติปัญญา เวลาเรามีทุกข์ขึ้นมาเราก็เอาแต่คิดๆ ฉะนั้นความคิดไม่ใช่ทางดับทุกข์ หนทางที่ดับทุกข์คือ
ใช้สติปัญญา เคยไหมยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวาย ฉะนั้นเมื่อเจอทุกข์อย่าใช้ความคิด เพราะยิ่งคิดจะยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งปรุงแต่งมันก็ยิ่งทุกข์ ฉะนั้นวิธีที่จะรับมือกับความทุกข์คือสติปัญญา สติปัญญาคือรากฐานของจิตเดิมแท้ที่จะทำให้เรามองเห็นความจริงในโลกได้อย่างแจ่มชัด แต่ส่วนใหญ่เราใช้ความคิด เราไม่เคยใช้สติระลึกรู้ ไม่เคยใช้ปัญญาในการมองเห็นแจ้ง ตอนนี้ได้อะไรหรือยัง (ได้ปัญญา)  ในเมื่อเรารู้ว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงเราจะยึดติดทำไมล่ะ พยายามอยากจะสวย
แต่ถึงเวลาเมื่อสวยแล้วต้องแก่ไหม แล้วยังอยากสวยไหม (อยาก)  นั่นก็คือรู้แล้วไม่ยอมทำ เราจึงยังทุกข์อยู่จริงไหม ในบรรดาพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้น อาจารย์จี้กงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกลียดที่สุด รองจาก
ท่านหลี่เถียไกว่ ทำไมหรือเกิดเป็นคนไม่สวยแล้วสุขไม่ได้หรืออย่างไร (ได้)  เจ็บแล้วจะสุขไม่ได้หรือ (ได้)  พลัดพรากสูญเสียแล้วจะสุขไม่ได้หรือ (ได้)  ฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจเราสู้กับสิ่งที่เกิด แล้วยอมรับความจริงนั้นได้ไหม ยอมได้ก็ไม่ใช่ทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  รับได้ก็จะไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่เราจะยอมได้ไหม ได้หรือ
อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติมีคนด่าศิษย์ว่า
“โง่จริงๆ เลย ดูนั่งสิเหมือนผู้เหมือนคนไหม” เจ็บไหมศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ เราเกิดมาเป็นคน เราก็ต้องทำตัวให้เหมือนคน ใช่ไหม (ใช่)  แต่คนบางคนนั้นแปลก เกิดมาเป็นคนแต่ชอบทำตัวเหมือน (สัตว์)  อาจารย์ไม่ได้พูดนะ ใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ ว่าเขาแล้วยังมาบอกว่าใช่อีกหรือ ว่าเขาหรือว่าตัวเอง (ว่าตัวเอง)  ใช่ไหมศิษย์ เราเกิดมาเป็นคนนะศิษย์ แล้วอะไรที่ทำให้เขาเรียกเราว่าเป็นคน ความประพฤติ การกระทำ คำพูด ความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าความประพฤติ การกระทำ คำพูด ความคิด เมื่อทำแล้วทำให้เราห่างจากความเป็นคน ควรจะทำหรือ (ไม่ควร)  
แต่อาจารย์ก็ไม่เข้าใจนะ เวลาพบหน้ากัน ก็พูด “แม่ง” “ฉิบ” แปลกดีนะ ทำไมพบกันไม่ทักทายว่า “สวัสดี สบายดีไหม” เจอกันทีไรก็พูด “แม่ง” “ฉิบ” อย่างนี้ทุกที แล้วอย่างนี้เหมือนเป็นการแช่งตัวเองหรือเปล่าศิษย์ จริงไหม (จริง)
ทำไมมนุษย์เราทุกคนล้วนต้องการคนที่เข้าใจ คนที่รัก คนที่เห็นคุณค่า แต่ไม่มีใครดูถูกเราได้เท่ากับการกระทำของตัวเองดูถูกตัวเองนะศิษย์ ใครจะดูถูกศิษย์ได้ ถ้าศิษย์ไม่ทำตัวหน้าเกลียด จริงไหม (จริง)  
ใครจะทำให้ศิษย์ทุกข์ได้ ถ้าศิษย์ไม่หาเรื่องคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า คนเราคิดอยู่ไม่กี่อย่าง ถ้าคิดดีก็ (ดี)  
คิดชั่วก็ (ชั่ว)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอาจารย์บอกว่า พ้นจากการความคิดดีคิดชั่ว คืออะไร (ความว่าง)  ความพ้นทุกข์ คิดดีแล้วยึดติดดี คิดชั่วแล้วเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราอยู่เหนือความคิดดีคิดชั่ว เราก็พ้นทุกข์ ไม่ใช่หรือ (ใช่)
ถึงเวลามีใครบ้างที่สามารถแบกเอาร่างกายนี้ไปทุกที่ เมื่อถึงเวลาร่างกายนี้ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติและสู่ดิน อาจารย์เปลี่ยนแบบคำพูดแล้วกัน วันนี้หากอาจารย์บอกว่า พูดธรรมะแล้วทำให้รวย เอาไหม (เอา)  วันนี้อาจารย์จะพูดธรรมะให้คนไม่สวยได้สวยขึ้นเอาไหม (เอา)  อาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากได้พระเพื่อนำกลับไปคุ้มครองตัวเองไหม ชอบวัตถุมงคลไหม (ชอบ)  อยากได้วัตถุมงคลไหม ถ้าอาจารย์ให้แล้วต้องทำให้ได้นะ อาจารย์จะสอนวิธีทำอย่างไรให้อยู่แล้วรวย สวย และงดงามยิ่งขึ้น เอาไหม (เอา)  แล้วอาจารย์จะจบท้ายด้วยวัตถุมงคลที่นำไปแล้วศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ ป้องกันการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ด้วย ถ้าจะเอาต้องทำให้ได้นะ รับรองอยู่ในโลกนี้ รวย สวยงามหยดย้อยเลย ใครก็เทียบไม่ติด แล้วไปอยู่ที่ไหนมีวัตถุมงคลของอาจารย์คุ้มครอง รับรอง
ไม่กลัวเกิด ตาย รอดพ้นการเกิดตายด้วย และรอดพ้นกรรมเวรด้วย อาจารย์อวดอ้างสรรพคุณเต็มที่ เริ่มสนใจตาโตเลย เอาอะไรก่อนดี
เอาความรวยก่อนไหม มนุษย์อยู่ในโลกถึงจะมองออก ปลงตกแต่บางทีก็ยังมีความอยากใช่ไหม
ยังต้องหากิน ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงชีวิต แล้วจะไม่ให้อยากรวย
คงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์เคยได้ยินไหม มีคำพูดว่า “ถ้าอยากรวยจงรู้จักให้” เพราะยิ่งให้ยิ่งรวย รวยอะไรไม่รู้แต่รวยน้ำใจ ไปที่ไหนใครก็รัก ไปที่ไหนก็ไม่อด แต่ถ้าศิษย์ขยัน ประหยัด แต่ศิษย์ไม่มีน้ำใจ
ไปอยู่ที่ไหนแม้ศิษย์จะมีเงินเขาก็ไม่รัก เขาก็ไม่เอา ฉะนั้นอยากอยู่บนโลกแล้วรวยจงรู้จักให้ แต่ต้องให้ให้เป็น ไม่ใช่ให้แล้วทำให้เขาเสียนิสัยเอาแต่ขอ อย่างนี้เขาเรียกว่า ให้แบบคนโง่ ต้องให้แล้วให้เขารู้จักพอ ให้แล้วให้เขายืนให้เป็น นี่แหละคาถาของอาจารย์ “ให้ทานจะได้ความรวย” รู้จักให้จึงจะสามารถมีใจที่ยิ่งใหญ่ และร่ำรวยได้ เหมือนที่ศิษย์รู้กันว่า
อยากรวยให้ทำทานมากๆ ใช่ไหม แต่ศิษย์จำไว้นะ บุญของทานการให้มากสุดคือ “พรหมโลก” ศิษย์ทำบุญขนาดไหนอย่างมากสุดก็ได้แค่ “เทวสมบัติ” แต่ไม่สามารถทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ถ้าทำแล้วยังยึดติดหน้าตา ทำแล้วยังยึดติดรูปลักษณ์ เราก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นทานจะยิ่งใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อทานนั้นทำโดยไม่มีตัวตนให้ร้องขอ ทานนั้นจึงจะบริสุทธิ์
อยากสวยอยากหล่อไหม ศิษย์เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม “คนบางคนหน้าตาดูไม่ได้เลย แต่ใจเขาหล่อมากเลย” (เคย)  อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้ามีคนเช้ามาก็เข่นฆ่าสัตว์ ตอนกลางวันก็ด่าทอคนอื่น ผ่านไปอีกก็ชอบพูดโกหกมดเท็จ ผ่านไปอีกก็ชอบผิดลูกผิดเมีย ผ่านไปอีกก็รักษาศีลไม่ได้ คนประเภทนี้แม้หน้าจะสวยขนาดไหน แต่วันๆ ตื่นมาก็ทำบาปประพฤติผิด ประพฤติมิชอบแล้วจะสวยหล่อได้ไหม (ไม่ได้)  สวยขนาดไหนแต่ปากก็พูดโกหก ชอบผิดศีลผิดลูกผิดเมีย อย่างนี้สวยไหม (ไม่สวย)  ฉะนั้นคนสวยคือ คนที่ (รักษาศีล)  ใช่ อาจารย์ให้ศิษย์ดูคนในปัจจุบันนี้ สวยขนาดไหนแต่ถ้าไม่มีศีลธรรมในหัวใจ ก็สวยแค่ข้างนอกแต่ใจเหม็นเน่า แล้วศิษย์อยากงามไหมล่ะ อยากงามไหม อย่างไรมันก็ไม่งาม เพราะชอบดื้อ
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าอยากงามทั้งภายในภายนอก สิ่งสำคัญคืออะไรรู้ไหม พระพุทธะกล่าวไว้ว่า อยากงามทั้งภายนอกและภายใน นอกจากเป็นคนที่รู้จักให้ มีศีลธรรม และยังต้องมี (ศีลห้า)  ศีลห้า ทำให้สวย แล้วอะไรทำให้งาม รู้ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม งามที่ปัญญา คนที่จิตใจไม่เคยสงบสุข วันๆ เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดโน่นคิดนี่ ด่าคนโน้นด่าคนนี้ จะมีความสุขไหม (ไม่มี)  จะสวยไหม (ไม่สวย)  จะงามไหม (ไม่งาม)  ฉะนั้น ถ้าเราอยากงามต้องสามารถเป็นคนที่สงบและ
มีปัญญามองเห็นความจริง จริงหรือไม่ (จริง)  คนที่สามารถนิ่งได้ใน
ทุกสภาวะ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่า ไม่ทำผิด ไม่คิดร้าย มีหรือที่จะไม่งามทั้งภายนอกและภายใน จริงไหม (จริง)  แต่สำหรับคนที่เอาแต่คิดร้าย ผิดศีลธรรม ด่าทอคนอื่น อย่างนั้นงามแค่ข้างนอก แต่ใจนั้นเน่าเหลือหลาย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ตอนนี้ งามไหม สวยไหม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชาวจีนเป็นภาษาจีน)
อาจารย์ให้เขาช่วยเขียนภาษาจีน เพราะอาจารย์มีศิษย์ที่เป็นคนจีนมา
諸 惡 莫 作 (จู เอ้อ ม่อ จั้ว)
众 善 奉 行 (จ้ง ซั่น ฟ่ง สิง)
อันนี้แปลว่า “ละชั่วทำดี” คนส่วนใหญ่รู้จักประโยคนี้ แต่มีกี่คนที่จะทำได้จริงๆ
過 而 不 留 (กั้ว เอ๋อร์ ปู้ หลิว) ส่วนประโยคนี้ความหมายลึก แปลว่า ผ่านไปแล้วไม่ยึดติด
空 而 不 著 (คง เอ๋อร์ ปู้ จั๋ว)  แปลว่า ว่างแล้วไม่หลงเหลือ
何 來 是 非 (เหอ ไหล ซื่อ เฟย)  แปลว่า ถึงที่สุดแล้วเมื่อ
ผ่านไปแล้วไม่ยึดติด ว่างแล้วไม่มีอะไร ฉะนั้นสุดท้ายคือ ผิดถูกก็ไม่มี
何 來 物 我 (เหอ ไหล อู้ หว่อ)  ถึงที่สุดก็ไร้รูป ไร้นาม ไร้ตัวตน เข้าใจไหม
แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้น โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราเรื่องบางเรื่องมันจบไปแล้ว แต่บางครั้งเรายังจะเก็บไว้ในใจ ที่เก็บไว้ในใจนั้นเรียกว่าอะไร (ทุกข์)  อาจารย์ว่ามันเหมือนขยะเน่าๆ เพราะสิ่งที่ศิษย์เก็บนั้นไม่เคยมีเรื่องดี จะมีก็แต่เรื่องไม่ดี เปรียบเทียบง่ายๆ ซึ่งอาจารย์
ก็มักจะเปรียบเทียบให้หลายๆ ที่ฟัง สมมติว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันผ่านไปแล้วจบไปแล้ว แต่บางครั้งเรายังลากเก็บเอามาคิด แล้วเก็บมาเน่าในใจ เหมือนที่อาจารย์ชอบพูด เวลาโดนคนว่า คำว่าก็เหมือนแอปเปิล เขาว่ามาแล้วเรารับไหม (ไม่รับ)  ใช่ ศิษย์โดยส่วนใหญ่จะบอกว่าเขาว่ามาแล้วเราจะรับทำไม (ใช่)  แต่อาจารย์เห็นศิษย์รับเอามาทุกคน รับเสร็จแล้วเก็บ แล้วว่างๆ ก็เอามาคิด แล้วก็คิดว่าทำไมเขามาว่าเรา เขาดีแค่ไหน
มาว่าเรา ทำไมชีวิตเป็นอย่างนี้ คิดจนทุกข์ แล้วเก็บไหม (เก็บ)  เก็บเสร็จแล้วแบ่งไหม ศิษย์จำไว้นะ คำพูดคนการกระทำของคนเมื่อจบไปแล้วก็เหมือนขี้ก้อนหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าเป็นขี้แล้วเราจะเก็บไหม (ไม่เก็บ)  ไม่เก็บแล้วก็ต้องไม่คิด ให้มันจบตั้งแต่ตอนที่เรารู้แล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น รู้ว่าเป็นขี้ปากคน รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีก็เก็บ เสร็จแล้วเอากลับมาคิด อย่างนี้เรียกว่า กำลังเล่นขี้ เล่นอย่างเดียวไม่พอแถมเพิ่มขี้อีก คิดว่า “เขาว่าเราทำไม เขาดีกว่าเราหนักหนาหรือ” และบางครั้งยังเอาขี้ไปแบ่งคนอื่น พอเจอใครเราก็เอาไปเล่า แล้วบางทีขณะที่เราโมโหคนที่ว่าเราเดินผ่านมา เราก็เอาขี้ปาใส่หัวเขาอีก
ฉะนั้นเรื่องบางอย่างมันจบแล้ว 過 而 不 留 (กั้ว เอ๋อร์ ปู้ หลิว) เรื่องบางอย่างเมื่อผ่านไปแล้วจบไปแล้ว เก็บมาคิดให้เป็นขี้เป็นขยะทำไม ถึงที่สุดก็ว่างเปล่า คือ 空 而 不 著 (คง เอ๋อร์ ปู้ จั๋ว)  ตัวเราก็ว่าง เรื่องที่เกิดก็เกิดแล้วก็จบไปนานแล้ว แต่ทำไมเรายังเอากลับมาคิดอีก
มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แล้วก็จะกลับไปสู่ความว่างแล้ว ถึงที่สุด
何 來 是 非 (เหอ ไหล ซื่อ เฟย)  เมื่อเรามองเห็นชัดเจนมันก็ไม่มีผิด เราเกลียดเขาที่เขาว่าเรา จริงๆ แล้วเขาผิดไหม เราถูกหรือเราผิด เขาถูกหรือ แล้วใครถูก นั่นแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แล้วทำไมเอาชั่วขณะหนึ่งมาทำให้ทุกข์ ฉะนั้น 何 來 是 非 (เหอ ไหล ซื่อ เฟย)  เก็บเอามาคิดให้มันผิดถูกโทษกันทำไม ว่ากันทำไม 何 來 物 我 (เหอ ไหล อู้ หว่อ)
ถึงที่สุดก็คือ ว่างเปล่าไม่มีรูปไม่มีตัวตน ถ้าเมื่อใดมนุษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรม มนุษย์จะไม่ทุกข์ เพราะตัวนี้พอถึงที่สุดคือ อัตตาที่กำลังเดินสู่อนัตตา และอนัตตากำลังไปสู่สุญตา
แล้วเราจะไปยึดตัวตนและเกาะเกี่ยวทุกข์ทำไม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ทุกข์ขังๆ ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วไปทนทำไม มันไม่ให้เรายึดเลย ฉะนั้นจำไว้ ทุกข์คือ ทุกข์ขัง ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วเราไปยึดอะไรกับทุกข์ขัง ถ้าอยากพ้นทุกข์จงรู้ตื่น แล้วมองความเป็นจริง อย่ามองตามความอยาก ศิษย์บอกว่าอยากหน่อยไม่เป็นไรหรอก อาจารย์จะบอกให้ ความอยากเป็นปัจจัยแห่งการเกิดกรรม และวิบากกรรมและวัฏจักร
แห่งกรรม ฉะนั้นควรหรือที่จะมีความอยาก กลัวกรรมไม่ใช่หรือ
แล้วทำไมยังอยากอีก เราเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ ถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป ข้องเกี่ยวแต่ไม่ยึดติดผูกพัน
อาจารย์ยังไม่ได้ให้วัตถุมงคลเลยนะ สงสัยไม่ต้องเอาแล้วนะ (เอา)  ให้พระรอดก็ไม่เห็นรอด ถ้าทำตัวไม่ดี ให้พระอิฐพระปูนสักพักก็สูญสลายสุดท้ายก็เก็บรักษาได้ไม่อยู่ อย่างนั้นให้พระอะไรที่ปกป้องคุ้มครองเราให้พ้นเกิดแก่เจ็บตาย และพ้นทุกข์ (พระนิพพาน)  พระองค์เดียวที่สามารถปกป้องคุ้มครองให้ศิษย์พ้นทุกข์ พ้นเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากวัฏสงสารได้คือ พระนิพพาน ซึ่งไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ ไม่ได้อยู่ที่พระอาจารย์จี้กง แต่อยู่ที่ตัวศิษย์เอง ที่จะนำพาคุ้มครองให้ศิษย์พ้นเวียนว่ายตายเกิด พ้นกรรมและพ้นทุกข์ได้ในโลกนี้ แล้วนิพพานเข้าถึงอย่างไร ศิษย์มักจะคิดว่าชาตินี้ไม่มีทางหรอก เพราะคิดว่าชาติหน้ามันก็เลยไกล แต่ถ้าศิษย์คิดว่าชาตินี้ศิษย์จะทำให้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจริงไหม (จริง)  แค่อะไรรู้ไหม ปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากศีล สมาธิ ภาวนา ปัญญาที่เกิดจากความรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ความเป็นจริงของตัวตน รู้ให้ทันว่าทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ ไม่ทน ว่างเปล่า จะยึดทำไม อยากทำไม สวยขนาดไหน
เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  สวยหล่อขนาดไหนทนไหม (ไม่ทน)  แล้วรักจริงไหม
(ไม่จริง)  ไม่มีใครรักตัวเราเท่ากับตัวเราเอง
ฉะนั้นมีแต่พระนิพพานในตัวเรานะ นิพพานแปลว่า ดับร้อนเข้าถึงความสงบเย็น อะไรที่ร้อน สิ่งนั้นก็คือกิเลส อะไรที่เย็น นั่นคือ
พระนิพพาน อย่ามองให้ไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ทำไม่ได้ แค่ศีลห้ายังทำไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย เกิดเป็นคน ศีลข้อหนึ่ง ละจากการฆ่าสัตว์ ถ้าศิษย์ทำได้ ศิษย์จะเข้าถึงจิตแห่งโพธิสัตว์ เมตตาจนถึงที่สุด เราจะไม่ทำร้ายใคร จริงไหม (จริง)  รักษา
คำสัตย์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น นั่นคือศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าให้บุญเป็นแค่โลกิยะ แต่จงทำให้บุญนั้นเป็นกุศลและเข้าถึงโลกุตระ นี่จึงจะเรียกว่า ศึกษาธรรมเอาให้ถึงแก่นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากทุกข์อีกหรือ (ไม่อยาก)  อย่างนั้นสิ่งสำคัญ คือรู้ทันตน ไม่ต้องทันใคร เพียงแค่รู้ให้ทันตน คุมให้ได้เรื่อง โลภ โกรธ หลง คุมให้ได้เรื่องความคิดที่ชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี แล้วเมื่อพ้นดีพ้นร้าย นั่นเรียกว่านิพพาน จริงไหม (จริง)
อาจารย์อุตส่าห์รีบมาก่อนวันนี้วันแรก ศิษย์ก็ไม่ทำให้อาจารย์ชื่นใจเลยนะ
แค่ให้อดทนอดกลั้นบางทียังยอมไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะว่า ถ้าเขาตบมาศิษย์จะ (ตบกลับ)  อย่างนั้นฟังไปก็เปล่าประโยชน์นะ ถ้าเขาตบมาจงดีใจ ดีแล้วที่เขาไม่เตะเรา คิดอย่างนี้นะจะได้พ้นทุกข์ แล้วถ้าเขาเตะเรามา อย่าบอกนะว่าจะเตะเขากลับ ใช่ไหม (ใช่)
ต้องบอกว่า ถ้าเขาเตะเรามา ดีแล้วที่เขาไม่เอาไม้ตีเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่เป็นเรื่องของพระพุทธะโบราณที่เคยกล่าวไว้นะ เขาตีเราด้วยไม้ ก็คิดว่า ดีแล้วที่เขาไม่เอามีดฆ่าเรา และแม้แต่เขาจะเอามีดฆ่าเรา พระพุทธะ
ก็สอนว่า ดีแล้วเพราะชีวิตนี้มีแต่ทุกข์ เขาช่วยทำให้เราได้ปลดทุกข์
เห็นไหมว่า ถึงแม้จะถูกฆ่า เรายังได้หมดกรรม แล้วเรายังได้พ้นทุกข์
แต่ถ้าถูกฆ่าถูกทำร้ายแล้ว ยังโกรธ ยังผูกใจเจ็บ นั่นคือคนที่เกี่ยวกรรม
ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับศิษย์เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ศิษย์เอ๋ยอาจารย์เห็นบางคนยังไม่รู้จักความทุกข์และชีวิตเลย แล้วฟังธรรมจะรู้เรื่องไหม อายุปูนนี้คิดว่าฟังธรรมจะรู้เรื่อง ปรากฏว่า ความเป็นตัวตนทำให้ไม่ไหว ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่องแล้ว อยู่ที่รากบุญหรืออย่างไร บางคนก็มัวห่วงสวยหลงตัวเอง ใช่หรือเปล่า ชีวิตเรามีเวลาเหลือเยอะหรือศิษย์ มั่นใจหรือว่าชีวิตนี้ยังมีเวลาอีก มั่นใจหรือว่าพ้นไปจากนี้แล้วยังจะมีชีวิตอยู่ ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้ชีวิตเราให้ถ่องแท้ เมื่อเวลาเราไปเผชิญทุกข์เราจะได้สู้ไหว เมื่อเวลาเราไปเผชิญความผิดหวัง เราจะได้รู้ว่า อาจารย์จี้กงเคยบอกแล้วว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ มีสุขก็มีทุกข์ มีได้ก็มีเสีย ไปยึดมั่นและคิดมากทำไม แล้วทำไมไม่รู้จักมีสติพึ่งพาตัวเอง
หวังแต่จะพึ่งคนอื่น แล้วแน่ใจหรือว่า คนที่ศิษย์คิดจะพึ่งที่คิดว่าจะทำให้ศิษย์มีความสุข ในเมื่อตัวเองยังพึ่งตัวเองไม่ได้เลย จะไปคิดพึ่งคนอื่น
เขาจะช่วยเราได้หรือศิษย์ แล้วทำไมไม่รู้จักมีสติ ทำอะไรรู้จักคิด คิดอย่างคนที่มีสติและใช้ปัญญา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าใช้สติปัญญาก็รู้จักพิจารณา เพราะความคิดทำให้เราหลงได้ อะไรที่ทำให้เราไม่หลงก็คือ สติ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น นิ่งไว้ อย่าเพิ่งโกรธตามอารมณ์ ตามความรู้สึก
ใช้สติปัญญาให้มากๆ เพราะสติปัญญาคือ รากฐานเดิมแท้ของพุทธจิตธรรมญาณ คือรากฐานเดิมแท้ของความดีงามที่อยู่ในตัวเรา แต่อารมณ์ กิเลส ความคิดคือ สิ่งปรุงแต่งที่ทำให้เราฟุ้งซ่าน หลงในโลกนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเราเชื่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีแต่หนทางที่ไม่มีวันที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้
ต่อไปนี้นะศิษย์ ชีวิต อยู่ในมือศิษย์แล้ว ทำอะไรคิดให้ดีๆ นิ่งให้ได้ก่อนที่จะวิ่งไปตามอารมณ์ ใช้สติก่อนที่จะเอาแต่ใช้ความคิด เพราะจะมีใครพาศิษย์ให้พ้นทุกข์ได้ นอกจากตัวศิษย์เอง อาจารย์ก็ให้ไปแล้ว
พระมงคลที่ยิ่งใหญ่ประเสริฐสุดในโลกนี้คือ พระนิพพาน อยากรวยให้รู้จัก (ให้)  อยากสวยให้รู้จัก (รักษาศีล)  อยากงามให้รู้จัก (มีสติปัญญา)
ถ้าทำให้ครบโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่มนุษย์กลับเชื่ออารมณ์ความรู้สึกและกิเลสและปล่อยไปตามความคิด มากกว่าเชื่อสติปัญญาอันเป็นรากฐานเดิมแท้ของตัวตน จำไว้นะ ทุกข์มันเกิดมันจบแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เก็บมาทำไมกับความคิด ยังอยากแบกโต๊ะอีกไหม
(ไม่อยากแบก)  อย่างนั้นจงรู้ทันความคิดและใช้สติปัญญาแทน มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองให้ดี เหมือนที่กล้าดูแลหน้าตาให้งาม ดูแลจิตใจตัวเองให้ดี เหมือนดูแลเงินทองที่หวงแหนจนไม่ยอมจะสูญเสีย ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ชีวิตเกิดมาเพียงเพื่อหาเงิน หรือว่าชีวิตเกิดมาเพื่อละความชั่ว บำเพ็ญบุญ ชำระจิตใจให้ตื่นรู้ ไม่ยึดมั่น กลับคืน
สู่ความบริสุทธิ์กันเล่า ยังอยากชั่วอีกหรือ (ไม่อยาก)  พ้นชั่วพ้นดี นั่นคือ นิพพาน ไม่ยึดติดดี ไม่รังเกียจชั่ว นั่นคือ ธรรมะ อาจารย์อยากสั่งลาศิษย์ทุกคน ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญเป็นคนดี อย่าทำบาป อย่าผิดศีล อย่ารักสนุก ไม่อย่างนั้นจะทุกข์ถนัด ยอมลำบากก่อนสบายเอาไว้ทีหลัง ระวังความคิด อารมณ์ อัตตาตัวตน เพราะไม่เคยทำให้ใครพ้นทุกข์ได้ มีแต่สติปัญญาความรู้เท่าทันตนเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้พรไปมากมายแล้วนะ อาจารย์เมตตาศิษย์อยู่แล้ว แต่ตัวศิษย์ที่ไม่เมตตาตัวเอง จริงไหม


วันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

    รู้ทุกอย่างไปหมดนั้นดีไหม    ความเข้าใจต่อกันกลับดูฝืน
คิดซับซ้อนแม้นอนก็หลับตื่น    วางแผนกลับแผนซ้อนคืนใส่ตน
        เราคือ
    ศิษย์พี่นาจา            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคนดีใจไหม

    คิดฟุ้งซ่านดั่งน้ำป่าหลากประชิด    ปมเรื่องราวของชีวิตอันซับซ้อน
เรื่องทั้งหลายเกิดดับดั่งละคร    อุทาหรณ์เรื่องมากมายจบด้วยปลง
ดีขึ้นยากจิตรู้เข้ากำกับ    หมั่นตั้งรับแต่ใจทำไมหลง
ใจสะอาดหรือไม่ยังทางก็ตรง    จิตไม่ฝุ่นมาลงให้กตญาณ
ยึดจับเพราะกำราบใจมิได้    อัตตาตนกิเลสในแต่ลูกหลาน
ไม่เท่าท่วงทันจิตพุทธะสู่มาร    อยู่ช่วงระหว่างเกียจเกิดคร้านฟ้าทลาย
ตื่นทันทีและทันใดบำเพ็ญ    ชี้ช่องเป็นเกิดตายให้ไม่สลาย
ทำจิตว่างท่ามกลางเหล่าอบาย    อย่าเติมอะไรให้เกิดในสิ่งไร้ปัญญา
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
อยากให้เรามาผูกบุญด้วยไหม แต่เรามีเชื้อโรคนะ ไม่กลัวหรือ เสียงเราเหมือนเป็ดหน่อยนะ พอจะฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  แม้ร่างกายเจ็บป่วยแต่ถ้าใจเราไม่ป่วยตามเราก็สามารถเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะตัวเรานั้นมีพุทธจิตที่มีพลังวิเศษอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว นั่นคือพุทธจิตที่มีอำนาจเหนือกายและใจ ท่านเคยสัมผัสหรือวันๆมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับร่างกายและก็จิตใจแต่จริงๆแล้วมนุษย์หรือตัวทุกท่านมีสิ่งประเสริฐยิ่งกว่าเงินในกระเป๋าและความสวยบนใบหน้า นั่นคือพุทธจิตธรรมญาณที่มีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดในโลก แล้วสามารถที่จะแปรเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นพุทธะคนที่เวียนว่ายตายเกิดกลายเป็นคนที่สามารถพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ คนที่ตกอยู่ในความทุกข์กลายเป็นคนพ้นทุกข์ได้ คนที่จมอยู่กับความเจ็บป่วยสามารถอยู่เหนือความเจ็บป่วยได้
เคยเชื่อพลังจิตตัวเราไหม เราเคยมองเห็นแต่กายใจที่รู้สึกเต้นตุ๊บๆ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหมว่าที่ท่านได้รับหนึ่งจุดชี้จุดตรงนั้นแหละที่มีพลังวิเศษที่สามารถจะนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ถ้าเราเชื่อพลังใจของเรา ท่านคิดว่าท่านเดินไม่ได้ ใช่ไหมแต่ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเดินได้ ตอนนี้ท่านก็ลุกขึ้นเดินได้ทันที ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านเจ็บใช่ไหม แต่ท่านบอกว่าเจ็บแค่กายใจแต่จิตญาณเดิมแท้ไม่ได้เจ็บ ไม่แก่ ไม่ป่วย ท่านก็แข็งแรงได้ทันที ฉะนั้นมนุษย์รู้จักแต่ใช้กายใช้ใจที่เต้นตุ๊บๆ แต่ลืมใช้จิตมนุษย์เห็นแต่หน้าตา เห็นแต่ใจที่รู้สึกแต่ลืมจิตเดิมแท้หรือเปล่า จิตที่พ้นทุกข์มานานแล้ว จิตที่พ้นการเกิดแก่เจ็บตายมานานแล้ว เคยเห็นไหม เพราะอะไรไม่เคย เพราะตาเอาแต่มองออกแต่ไม่เคยมองเข้า เพราะใจเอาแต่เชื่อคนอื่นลืมเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะใจเอาแต่เห็นคุณค่าในสิ่งอื่นจนลืมเห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะใจมัวแต่ยกย่องสิ่งอื่นว่ามีค่าลืมยกย่องจิตเดิมแท้ของตัวเองว่ามีพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน และพลังนั้นจะทำให้มนุษย์แปรเปลี่ยนจากคนธรรมดากลายเป็นพุทธะบนแดนดินได้
อยากคุยกับเราไหม (อยาก)  เรามาไม่ฝืนใจนะ ถ้าอยากคุยกับเราเราก็อยู่ ไม่อยากคุยเราก็กลับ เพราะถ้าเราอยู่แล้วทำให้คนทุกข์ใจ ถ้าพูดแล้วทำให้คนไม่สบายใจ ก็จะบาปกับตัวเรา ไปโทษคนอื่นไม่ได้ โทษตัวเราเองดีกว่า ฉะนั้นถ้ายอมถอยได้ก็จงถอยจริงไหม (จริง)  แต่คนในโลกเป็นอย่างนั้นไหม ยอมหักไม่ยอมงอ ตอนนี้เรายอมหักยอมงอ ถ้าอยู่แล้วท่านไม่ชอบ เรากลับก็ได้เอาไหม (ไม่เอา)  มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง เรายังไม่ค่อยรู้จักตัวเองแต่เที่ยวอยากจะไปรู้จักคนอื่นทุกซอกทุกมุม ทุกแง่ทุก
ขุมขน พอรู้แล้วก็รู้สึกว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้ ผลสุดท้ายสู้เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง พูดบ้างไม่พูดบ้าง ดีกว่าไหม (ดี)  เกิดเป็นคนอย่าอยากเห็นไปหมดทุกเรื่อง อย่าได้ยินได้ฟังไปหมดทุกเรื่อง และอย่าคิดพูดไปหมดทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหาเรื่องทุกข์ใจ อย่าพยายามรู้ทุกเรื่องไปเลย รู้ทุกเรื่องก็ทุกข์ทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่องก็ยุ่งทุกเรื่อง พูดทุกเรื่องก็ปัญหาทุกเรื่อง แล้วใครหยุดได้ (ตัวเราเอง)  หยุดได้ไหม (ไม่ได้)
รู้แล้วแต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้ช่างน่าเสียดายนะ
รู้ทุกอย่างไปหมดนั้นดีไหม    ความเข้าใจต่อกันกลับดูฝืน
คิดซับซ้อนแม้นอนก็หลับตื่น    วางแผนกลับแผนซ้อนคืนใส่ตน
เหมือนเวลาเราคิดร้าย พอรู้เรื่องอะไรมาแล้วก็คิดว่าฉันจะต้อง
แก้เผ็ดเขาให้ได้ ฉันจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ รับรองเขาจะต้องเจ็บปวด แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร (ย้อนกลับหาตัวเอง)  เพราะคืนนั้นทั้งคืนนอนไม่หลับ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม เพื่อให้ได้นั่งและคนแพ้ต้องออกมาเต้นท่าเป็ด)  
ศิษย์น้องสู้ศิษย์พี่ไม่ได้เลย ไม่รอดก็ไม่เห็นเป็นไร จะเป็นเป็ดสักวันหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร เรารู้อยู่ว่าเราเป็นอะไร โดนเขาใส่ร้ายแค่ชั่วครู่ โดนเขาให้ทำอะไรเพียงแค่ชั่วขณะ ไม่เห็นต้องทุกข์ร้อน ไม่เห็นต้องหวาดกลัวเลย ถ้าเป็นแล้วมีความสุขก็น่าจะลองเสียสละตัวเองเป็นบ้าง
ศิษย์พี่ถามนะ ถ้ามีแอปเปิลลูกหนึ่งกินแล้วไม่เจ็บ มีส้มกินแล้วรวย มีกล้วยที่กินแล้วมีแต่เรื่องกล้วยๆ ทั้งสามอย่างนี้อยากได้ไหม (อยาก)  เพราะถ้าได้แล้วจะไม่เจ็บ รวย มีแต่เรื่องกล้วยๆ อย่างนั้นถ้าใครยอม
เต้นเป็ดศิษย์พี่จะให้เอาไหม (เอา)  มนุษย์มักจะมีความปรารถนาอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง เรื่องแรกคือถ้ามีร่างกายต้องแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย
(นักเรียนฝ่ายชายคนหนึ่งต้องการแอปเปิลจึงยอมเต้นเป็ด)  
ศิษย์น้องจำไว้นะ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นหลอกเรา เราอย่าหลอกตัวเองฟังให้ดี
คนเราจะแข็งแรงไม่แข็งแรง ไม่ได้อยู่ที่แอปเปิลลูกเดียว แต่อยู่ที่ว่าใจเราสู้ไหม ถ้ามีโรคเข้ามาแต่เรายังสู้อยู่ โรคนั้นก็เป็นแค่ขี้ผง แต่ถ้ามีโรคเข้ามา ก็อยู่ที่ว่าใจเรายังสู้อยู่ไหม ถ้าแม้มีโรคเข้ามาแต่เรายังสู้อยู่เรื่องนั้นก็กลายเป็นขี้ผง ถึงแม้มีโรคมาแต่หากใจไม่สู้ แม้ได้ผลไม้มาเป็นผลไม้ทิพย์ แอปเปิลนั้นก็เปล่าประโยชน์ เมื่อสักครู่ศิษย์พี่มาตั้งแต่ต้น ศิษย์พี่ได้บอกแล้วสิ่งที่มีค่าและยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่กายใจ แต่คือพุทธจิตที่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต ถ้าเราเข้าใจจะไม่มีใครหลอกเราได้ จะไม่มีใครมาปั่นหัวเราได้ เพราะเรามองเห็นความจริงและชีวิตอยู่ในกำมือของเราเอง เราจะไม่ให้ใครมาบีบใจเราได้ จะแข็งแรงไม่แข็งแรงเราต้องออกกำลังกายจำไว้นะ ขึ้นชื่อว่าชีวิตยืดหยุ่นได้ ขึ้นชื่อว่าความตายคือยืดแล้วมันไม่หยุ่นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากให้มีชีวิต ก็จงยืดหยุ่นออกกำลังกายรู้จักขยับเขยื้อน ถ้าเมื่อไรศิษย์น้องหยุด เมื่อนั้นศิษย์น้องก็คือคนที่พร้อมจะตายไวขึ้นจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นแม้จะป่วยอย่างไร ก็ต้องพยายามออกแรงให้เยอะๆ ไม่อย่างนั้นจะใกล้กับความตายนะ ถ้าไม่ยืดไม่หยุ่นเลย
ศิษย์พี่ขออย่างหนึ่งนะอย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนอะไรก็ทำได้ แม้ความละอายใจก็ไม่มี แบบนี้ไม่ไหวเข้าใจที่ศิษย์พี่เตือนไหม (เข้าใจ)  แต่อันนี้ศิษย์น้อง ทำแล้วทำให้คนอื่นมีความสุข และศิษย์พี่เห็นเจตนาดีว่าไม่ได้เก็บไว้แค่ตัวเองกิน (จะให้ที่บ้าน)  ศิษย์พี่ยินดีให้นะ ปรบมือให้หน่อย
การเจ็บป่วยหรือแข็งแรงอยู่ที่เรา รวยหรือจนก็อยู่ที่เรา ใครมาบังคับกุมชะตาเราไม่ได้ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่เรา จริงไหม ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะไขปริศนาของฟ้าให้อย่างหนึ่ง ฟ้ากลัวที่สุดคือคนสู้
ไม่ถอย ฉะนั้นถ้าเกิดฟ้าจะให้จน แต่ถ้าเกิดศิษย์น้องสู้ไม่ถอย ฟ้าก็ให้ศิษย์น้องจนไม่ได้ ถึงแม้ชะตาชีวิตจะทำให้เราเจ็บป่วย แต่ถ้าเราจะเข้มแข็ง
ฟ้าก็ทำให้เราเจ็บป่วยไม่ได้ จริงไหม ฉะนั้นอย่าลืมพลังจิตใจ
ศิษย์น้องจำไว้นะ อยู่ในโลกนี้ไม่มีใครหลอกเราได้ ถ้าเราไม่หลอกตัวเองก่อน ไม่มีใครจะมาทำร้ายเราได้ ถ้าเราไม่เผลอให้ใจใครไปก่อน จริงไหม มีคำพูดคำหนึ่งที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน” ฉะนั้นชะตาไม่ใช่อยู่ที่ฟ้ากำหนด ชะตาอยู่ที่มนุษย์ทุกคนกำหนดเอง จะไปโทษฟ้าไม่ได้ โทษคนรอบข้างว่าทำให้เราทุกข์ใจก็ไม่ได้ ถ้าเขาด่าให้เรา
ตกนรกเราจะตกนรกกับเขาไหม (ไม่)  เพราะเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ และชีวิตก็อยู่ที่เราเอง ถ้าเกิดเขาจะด่าให้เราตกนรก เราจำเป็นจะต้องตกนรกไหม (ไม่)  ถ้าชะตาชีวิตบีบให้เราเจ็บป่วย เราจะต้องทุกข์ทั้งกายทั้งใจไหม (ไม่)  ไม่จำเป็นทุกข์แต่กายแต่อย่าทุกข์ใจ เจ็บกายแต่อย่าเจ็บใจ แก่แต่กายแต่อย่าแก่ใจ อย่างนั้นมีใครอยากแก่บ้าง (ไม่อยาก)  แล้วที่พูดมาเข้าใจหรือไม่ มีใครอยากแก่บ้าง (อยากแก่เพราะอยากมีประสบการณ์ชีวิตที่เยอะขึ้น และได้รู้เรื่องต่างๆ มากขึ้น)  แปลกนะมนุษย์ส่วนใหญ่
ถ้าถูกถามว่าอยากแก่ไหม โดยเฉพาะผู้หญิงจะตอบว่าไม่อยาก แล้วผู้ชายล่ะ อยากแก่ไหม (ไม่อยาก)  ทำไมไม่อยากแก่ ทำไมไม่อยากเจ็บ ทำไมกลัวตาย เป็นปัญหาโลกแตกไหม (ศิษย์พี่นาจาเมตตาถามนักเรียนในชั้นคนที่ตอบว่าอยากแก่)  ศิษย์น้องกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตายไหม (ไม่กลัว)  อย่างนั้นทำชีวิตยังไงให้แก่แล้วมีคุณค่าและมีความสุข (ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและความเป็นจริง)  ศิษย์พี่เติมอีกอย่างหนึ่งคือใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และจงรู้พอ ไม่มีหายนะใดๆ ในโลกน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้พอ
ไม่มีภัยพิบัติใดน่ากลัวเท่ากับความโลภในจิตของคน
ถ้าอยากหยุดกรรม จงสำรวมระมัดระวังความอยาก ความโลภ และความโกรธ เมื่อถึงเวลาไปข้างหน้า ถึงจะเจอความแก่ก็ไม่ต้องกลัว แล้วความโลภ โกรธ หลง ก็ควรควบคุมด้วยจิตใจของตนใช่ไหม (ใช่)  บางทีจิตใจของตนก็บิดเบี้ยวนะ สิ่งที่จะควบคุมความโลภ โกรธ หลง ได้ดีคือ ศีล สมาธิ ความมั่งคง และปัญญา การรู้แจ้งเห็นจริง
ในโลกของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์ดำเนินชีวิตกันอยู่ก็มีไม่กี่เรื่อง เรื่องหนึ่งคือความดี เรื่องหนึ่งคือความชั่ว ความดีทำอย่างไรคงพอรู้บ้าง
แค่รู้จักมีความกตัญญูรู้คุณ ไม่แอบนินทาพ่อแม่ ศิษย์พี่ขอถามหน่อยนะ ใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่เลยยกมือขึ้น ใครบ้างอยู่ในโลกแล้ว ไม่เคยโกหกเลยยกมือขึ้น ถ้าโกหกพูดเท็จสามารถทำได้ ก็ไม่มีบาปอะไรในโลก
ที่ศิษย์น้องทำไม่ได้ แม้ขนาดคนที่รักที่สุดศิษย์น้องยังทำได้ อย่างนั้นคนที่ศิษย์น้องไม่รักก็ย่อมที่จะทำได้ คนในนี้น่ากลัวจริงๆ
อาจจะเป็นเพราะศิษย์พี่อายุสั้น เลยไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ ศิษย์พี่มีอย่างเดียวเคยตัดพ้อพ่อ เคยได้ยินประวัติศิษย์พี่ไหม ศิษย์น้องรู้ไหมศิษย์พี่ฆ่าตัวตาย แต่ศิษย์พี่ฆ่าตัวตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์นะ ความจริงตอนแรกศิษย์พี่ก็ไม่เข้าใจพ่อ เพราะว่าศิษย์พี่ไปช่วยคนๆ หนึ่งแล้วเผลอฆ่าเขาตาย กฎในสมัยก่อนใครทำคนอื่นตาย คนนั้นต้องตายตกตามกัน แต่เพราะศิษย์พี่ไปช่วยคน ศิษย์พี่จึงคิดว่าตัวเองไม่ผิด แต่พ่อของศิษย์พี่เป็นคนรักษากฎ ฉะนั้นก็เลยจะจับศิษย์พี่ไปให้โดนฆ่า ศิษย์พี่ก็เลยหนี มีแม่เป็นคนช่วยให้หนี พ่อมาทางไหนก็จะหนีไปอีกทาง และตอนนั้นก็ไม่เข้าใจพ่อ รู้สึกว่า
บางทีอาจจะเกลียดด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจทำไมพ่ออยากให้เราตาย ทั้งๆ ที่เราไปช่วยคน จนกระทั่งวันหนึ่งศิษย์พี่ต้องเจอหน้าพ่อ ชะตาของศิษย์พี่คงถึงคราวแล้ว พ่อเลยบอกศิษย์พี่ว่า ถ้าลูกเป็นคนรักษากฎ คนอื่นพ่อตัดสินได้ แต่คนที่เป็นลูกถ้าหากพ่อตัดสินไม่ได้ แล้วพ่อจะเอากฎหมายไปดูแลใครได้ แล้วพ่อจะไปคุ้มครองใครได้ พ่อจะมีหน้าไปทำงานนี้ได้อย่างไร ลูกใครๆ ก็รัก ชีวิตลูกลูกยังรัก แล้วชีวิตคนที่ลูกฆ่าแม้เขาจะทำผิดเขาจะไม่รักหรือ ศิษย์พี่ก็บอกพ่อว่า ไม่เป็นไรหรอกพ่อ เดี๋ยวลูกอุทิศส่วนกุศลทำบุญ
แผ่เมตตาจิตให้เขา เขาคงอภัย
ถามหัวอกศิษย์น้องนะ ถ้าศิษย์น้องทำผิดนิดเดียว แล้วโดนฆ่า
ถึงตาย แค้นไหม โกรธไหม เขาทำผิดครั้งเดียวแต่เราฆ่าเขาถึงตาย เขาจะยอมอภัยให้เราเพียงแค่เรากรวดน้ำหนึ่งแก้วไหม (ไม่ยอม)  แล้วเวลาเขาจะเอาคืน จะเอาคืนแค่ชีวิตไหม เอาคืนแค่นิดหน่อยไหม ชีวิตต้องล้างด้วยชีวิต ทำให้ฉันเจ็บแค่ไหน แกก็ต้องเจ็บมากกว่าฉันเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฉะนั้นศิษย์พี่จึงฆ่าตัวเอง ทำได้อย่างศิษย์พี่ไหม เพื่อธำรงรักษาความถูกต้อง แม้ชีวิตก็ต้องสละได้ ยากไหม ไม่ยากนะ ขอเพียงพลังจิตเข้มแข็ง เหมือนที่ศิษย์พี่บอกศิษย์น้องตั้งแต่ต้น ถ้าพลังจิตศิษย์น้องเข้มแข็ง ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่การอยู่แล้วตายไม่เป็นนั้นน่ากลัวกว่า และการมีชีวิตแล้วแก่ไม่ได้ ทุกข์กว่าการยอมอยู่แล้วตายเป็น ก็ในเมื่อธรรมชาติของชีวิตคนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วตอนนี้ศิษย์น้องเกิดมาหรือยัง (เกิดแล้ว)  จะไม่แก่ได้ไหม (ไม่ได้)  จะไม่เจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  จะไม่ตาย
ได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นธรรมดาของทุกชีวิต ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต ความแก่จะไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บไม่ใช่เรื่องโหดร้าย และความตายไม่ใช่เรื่องสยดสยอง แต่บางทีคือการได้จบสิ้นชาตินี้ชาติหนึ่ง แต่การอยู่แล้วไม่รู้จักระมัดระวัง แล้วสร้างบาปเวรกรรมน่ากลัวกว่า กลัวไหมบาป (กลัว)  ถ้าอยากจะหนีบาปจะหนีอย่างไร
จริงๆ ยังคุยกันไม่เต็มเรื่องเลยคุยกันแค่ครึ่งเรื่อง ส่วนวิธีที่จะสามารถกำจัดต้นบาป แล้วกำจัดภัยเคราะห์ทั้งมวลในชีวิต ศิษย์พี่ยังไม่ได้พูด แต่รู้สึกเหมือนศิษย์น้องเริ่มจะหมดแรงแล้ว
เพราะเรามองว่า ความตายก็แค่นั้น ใครๆ ก็ตาย ก็เจ็บป่วย ก็โดนด่า ก็โดนว่า พอถึงเวลาของเราบ้างก็จะเห็นเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหากโดนด่ามาก็ (ธรรมดา)  กลับบ้านไปไฟไหม้ก็ (หนักเลย)  หนักเลยหรือ ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องที่
ไม่ธรรมดา ศิษย์น้องอย่าเร่งบาปกรรมให้มันมาไว ด้วยการเป็นคนผิดศีล ถ้าผิดศีลเมื่อไรก็จะมีเวร มีภัย มีบาป มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากอายุยืนไหม (อยาก)  อยากอายุยืนอย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อยากมีครอบครัว
ที่ร่มเย็นไหม อย่าไปแอบมีกิ๊กทางตา มีชู้ทางใจ อยากได้คนที่รักเรา
ไม่โกหกเรา ไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวงเราไหม อย่าไปอยากได้ของใครมาเป็นของเรา อยากเป็นคนปัญญาดี ใครพูดอะไรก็เข้าใจ ไม่งงงวยไหม อย่ากินเหล้า อย่าติดอบายมุข ศิษย์พี่มีคำหนึ่งจะมาบอก พ่อแม่ติดอบายมุข นั่นคือพ่อแม่กำลังสร้างกรงขังให้ลูกหลาน พ่อแม่ชอบหลอกลวงปลิ้นปล้อน กะล่อนเจ้าชู้ นั่นคือกำลังจะทำให้ลูกหลานมีหายนะ พ่อแม่มีอาชีพเข่นฆ่าสัตว์ ลูกหลานย่อมเจอแต่ภัยพิบัติ ล้มหายตายจากไม่ได้ดี บัญชีนรกเป็นบัญชีทิพย์ที่จดด้วยตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นบุญบาป เป็นจิตประทับจิต จิตประทับสู่วิญญาณ และกลับไปสู่อนุสัยอยู่ในตัวศิษย์น้อง แล้วก็กลับมาเป็นเวรกรรมและเภทภัยที่เราต้องรับและชดใช้ หนักที่สุดคือลงนรก แต่ส่วนที่ใช้ปัจจุบันยังเป็นแค่เศษกรรมนะ รู้ไหม
ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากมีเวรมีกรรมข้างหน้า ระวังตัวเองให้ดีที่สุด อย่าผิดศีล อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง เพราะเป็นหนทางแห่งอบายภูมิ นรก และเดรัจฉาน น่ากลัวไหม (น่ากลัว)
ศิษย์น้องไม่เคยเชื่อศิษย์พี่ ศิษย์น้องเชื่อกิเลส เชื่อในความอยากของตนเอง ฉะนั้นถ้าหยุดความอยากไม่ได้ จำไว้เลยนะ ไม่มีภัยพิบัติใดๆ ในโลกจะน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีความหายนะใดๆ ในโลกร้ายแรงเท่ากับความโลภในจิตใจของมนุษย์ แล้วเราจะควบคุมความโลภ โกรธ หลง และความอยากได้ด้วยอะไร (ศีล สมาธิ ปัญญา)  ถูกต้องไหม (ถูก)
มีอะไรที่จะช่วยเรากำจัดความโลภ โกรธ หลง แล้วเราจะได้ไม่ต้องรับภัย รับเวรรับกรรม (ใช้ธรรมะ) เขาด่ามา เขาโกงมา เขาฉ้อฉลมา
ใช้ธรรมะข้อไหน (ความอดทน)  ระวังจะแตกนะ ถ้าหากว่าเราทวงแล้วเขาไม่ให้ จงปล่อยไปตามกรรม ถือว่าเราได้ให้ทานที่ยิ่งใหญ่คือ อภัยทาน (สงสัยจะเป็นหนี้สูญ)  เพราะเขาไม่ยอมให้ใช่ไหม คราวหน้าจะให้เงินใครยืม ให้แค่หนึ่งในสามก็พอ ถ้าเขาไม่คืนจะได้ไม่เสียใจ จริงไหม
ให้ธรรมะแล้วให้อะไรอีกที่ป้องกันให้เราไม่ทำผิด ไม่คิดร้าย (เป็นผู้ให้)  ถ้าให้แล้วก็ยังโดนด่าอีกล่ะ (ก็จะให้)  ก็ยังให้อีกไม่ยอมแพ้ ใช่หรือเปล่า ทำให้ได้ แต่ให้เขาแล้วต้องไม่ให้เขาเสียนิสัย เอาแต่เป็นผู้ร้องขอ (การรักษาศีลห้า)  ใช้การรักษาศีลห้ามาเป็นตัวช่วยกำจัดความโลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ได้)  ถ้าอยากกินไก่ย่างข้าวเหนียวส้มตำ (ไม่อยาก)  เพราะถึงแม้ว่าเราไม่ได้ฆ่าด้วยตัวเอง แต่เรากำลังยืมมือคนอื่นฆ่า ใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่กินไก่ หมู วัว ไม่กินต้องไม่กินให้ตลอด (ยังรับปากไม่ได้ แต่จะพยายาม)  ศิษย์พี่ขอให้มื้อเช้าลองไม่กินเนื้อสัตว์ดูนะ ได้ไหม
(กลัวรับปากแล้วทำไม่ได้)  ชีวิตตัวเองไม่ใช่ชีวิตศิษย์พี่ ถ้าศิษย์น้องทำได้ก็ตัวศิษย์น้องเอง พ้นภัยด้วยตัวเอง ฆ่าเขาทั้งชีวิตเอาเขามา
ทั้งชีวิต เนื้อก็เอากระดูกก็เอาหนังก็เอา แล้วบอกว่าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย ทำแค่นี้แล้วเขาจะยอมหรือ จะมีใครยอม แล้วนี่ศิษย์น้องกินเขาทั้งชีวิต แค่แผ่ส่วนบุญให้เขา เขายอมหรือ ถ้าไม่อยากมีเวรมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีชีวิตอับจน อย่าไปทำให้ใครอับจน อย่าไปทำให้ใครมีกรรมด้วยการฆ่า คิดให้ดีๆ นะ เวรกรรมเกิดจากเราทำทั้งนั้น ไม่ใช่ฟ้าไม่ยุติธรรม แต่ตัวมนุษย์เองนั่นแหละไม่ยุติธรรมกับชีวิตผู้อื่น ชีวิตใครๆ ก็รัก ชีวิตศิษย์น้องศิษย์น้องยังรัก แค่นิดหน่อยเจ็บยังร้อง มีดบาดนิดหนึ่ง ร้องอย่างกับโดนเชือดทั้งตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์น้องไปเอาเขาทั้งชีวิตแล้วเขาจะไม่แค้น เขาจะไม่ผูกใจเจ็บหรือ ฉะนั้นศีลข้อแรกจึงห้ามฆ่าสัตว์ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม (แปลว่าทุกอย่างสามารถควบคุมได้ถ้าจิตเราเข็มแข็ง) ขอให้รู้เท่าทันจิตตัวเองนะศิษย์น้อง อย่าปล่อยให้อารมณ์นำพาชีวิต
(การให้ทาน)  การให้ทาน ก็ได้นะ ใครด่าเรามาเราก็ไม่โกรธ เราให้อภัยเป็นทาน ใครคดโกง เราไม่โกรธ แต่รู้ไหมยิ่งกว่าการให้ทานคือ การรักษาศีล ยิ่งกว่าการรักษาศีลคือ มีปัญญาเห็นแจ้งแท้จริง (การละเว้นในการคิด)  ทำอะไรต้องใช้สติ ไม่เอาแต่ใช้ความคิดหรือความรู้สึก ทำอะไรมองด้วยสติ (ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและรู้จักพอเพียง)  อย่าเปรียบเทียบอดีต อะไรจะเกิดมองแค่ตรงนี้ตอนนี้ อย่าไปนึกถึงอดีต อย่าไปคาดหวังสิ่งที่อยู่ในใจ แต่จงมองตามความเป็นจริง แล้วจะได้ไม่ทุกข์นะ
(ไม่กินเนื้อสัตว์มื้อเช้าตลอดชีวิต ถ้ารับปากแล้วเป็นคนรักษาสัจจะ) ทำให้ได้นะ เผื่อต่อไปจะเป็นมื้อกลางวัน มื้อเย็น (เอาชนะใจตัวเองให้ได้)  แล้วชนะใจตัวเองได้หรือยัง (กำลังพยายามอยู่)  (เอาใจเขามาใส่ใจเรา)  อย่าเอาใจเราไปให้เขาใส่ และอย่าเอาใจเราโดยบอกว่า เธอต้องเห็นใจฉัน
(ให้อยู่กับตัวเอง)  แล้วจะสามารถ (ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง)  แล้วเราอยู่กับตัวเองได้ไหม (ไม่ค่อยได้)  เพราะชีวิตเรายังต้องเกี่ยวพันกับผู้คน สิ่งที่จะทำให้เราควบคุมรัก โลภ โกรธ หลงได้ อย่างแรก จงพอใจในสิ่งที่มี จงยินดีในสิ่งที่ได้ ถ้าเราพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ อะไรที่เพิ่มมาก็คือกำไรชีวิต แต่ถ้าเกิดว่า เราไม่เคยพอใจอะไรเลย ยังไม่ทันทำอะไรเราก็ขาดทุนตั้งแต่เริ่มต้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามตอบกับนักเรียนจีน)  ยอมรับในความเป็นจริง (คิดดี ทำดี พูดดี) แต่ถ้าเกิดสิ่งที่เราคิดไม่ดีอย่างที่เราคิด เราจะทุกข์ไหม (ให้อภัย)  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใช้ให้ได้ตลอด และจงเข้มแข็งนะ (เข้มแข็ง และเอาชนะจิตของตัวเองให้ได้เมื่อมีความโลภ โกรธ หลงเข้ามา)  เหล้าก็จะไม่ (ดื่ม) บุหรี่ก็จะไม่ (ดูด) อบายมุข (ไม่เล่น แต่หวยยังละไม่ได้)  อย่างนั้นศิษย์พี่สอนวิธีเล่นแล้วมีแต่รวย วันนี้หวยออกหยอดกระปุก ไม่ต้องไปซื้อ จะซื้อหยอดกระปุก สิ้นเดือนมาเปิด ยิ่งกว่าถูกหวยอีก ทำให้ได้นะ เชื่อศิษย์พี่ (ไม่เอาเปรียบกันและกัน)  อย่างนั้นสิ่งสำคัญอย่ารักสบาย เพราะถ้าเราไม่รักสบาย เราก็จะไม่เอาเปรียบใคร อย่า
ขี้เกียจ เพราะถ้าขี้เกียจก็เอาเปรียบคนได้
(จะไม่ชนไก่)  จะไม่ชนไก่ (ฝึกจิตญาณของตนเองให้บริสุทธิ์ ปล่อยวาง ละทุกอย่าง มีอะไรมากระทบก็ปล่อยวางไว้ แล้วจะสบาย)  มีอะไรมากระทบก็จงปล่อยวาง (ยิ้มไว้)  เจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ศิษย์พี่กำลังสอนศิษย์น้องเลยนะ มีอะไรมากระทบก็จงปล่อยวาง แล้วถ้าเมื่อไรหันมาแล้วตะโกนว่า ตีทำไม นั่นแปลว่าปล่อยไม่ลงแล้ว แล้วศิษย์น้องไปยุแหย่ให้เขาตีกันนั้นดีไหมหรือ แม้เพียงยืนข้างๆ เห็นเขาเล่นกัน แล้วเชียร์เขา ก็ผิดเหมือนกัน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แน่ใจหรือว่า ไปยืนดูแค่ไปให้กำลังใจก็ไม่
บาปหรือ (ไม่ไป)  เล่นไหม (ไม่เล่น)  ทำให้ได้นะ
(ใช้ปัญญา)  ปัญญาอย่างไรที่สามารถเอาชนะความโลภ โกรธ หลงได้ (ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นเราก็ใช้สติปัญญาของเราคิดก่อนที่จะตัดสินใจ)  อย่าใช้ความคิด แต่จงใช้สติปัญญามองด้วยความเป็นจริง การใช้สติปัญญาพิจารณามองดูว่าสิ่งที่ทำนั้นก่อเกิดเป็นอกุศลไหม ให้ผลกำไรเป็นความทุกข์หรือเปล่า และถึงที่สุดมีวิบากกรรมที่ต้องเกิดขึ้นกับเราแบบต่อเนื่องไม่จบสิ้นไหม พิจารณาอยู่เป็นเนืองๆ ด้วยสติปัญญา
เมื่อศิษย์น้องทำอะไรก็จะไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ใจ
(รู้จักกตัญญูต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ และผู้มีพระคุณ)  จิตใจที่รู้จักตอบแทนคุณทุกๆ สิ่ง แล้วเราจะไม่เคืองโกรธ เมื่ออะไรเกิดขึ้นมาแม้จะเป็นสิ่งที่ร้ายที่สุด เราก็บอกว่าขอบคุณ อะไรเกิดมาแม้จะแย่ที่สุด เราก็บอกขอบคุณ แค่นี้ถือเป็นการขอบคุณแล้ว ถ้าทำได้อย่างนี้เราก็จะไม่เคืองโกรธใคร เพียงแค่นี้ก็ดีแล้ว ทำให้ได้นะ (มีสติ รู้ตัวว่าทุกขณะ
ทำอะไร)  การมีสติรู้ สำคัญคือ อย่าเอาใจเข้าไปปรุงแต่ง เวลามีความโลภเกิดขึ้น มีอารมณ์เกิดขึ้น ตัวเราอย่าเผลอเข้าไปปรุงแต่ง แค่ให้รู้
แค่ให้เห็น ว่าโกรธมาแล้ว โลภมาแล้ว หลงมาแล้ว แต่ฉันไม่ไปด้วย เดี๋ยวมันก็จะหายไปเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร แต่อย่าไปโกรธ อย่าไปบังคับมัน เพราะถ้ายิ่งบังคับหรือยิ่งคิด ก็จะมีแต่ยิ่งฟุ้งซ่านแล้วมันก็อยากจะออกมาอาละวาด (ดูเขาเฉยๆ ใช่ไหม)  ใช่ เลี้ยงเขาให้เชื่องๆ แต่ถ้าเลี้ยงไม่เป็น มันก็จะครอบงำ
(มีสติในการดำเนินชีวิต)  มีสติในการดำเนินชีวิตและอย่าลืมที่จะอยู่กับปัจจุบันความเป็นจริง อย่าคาดหวังอดีต อย่าคิดว่าฉันหวังดี มองที่เขาเป็น อย่ามองในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น จำไว้นะ เหมือนสามีอยากให้เป็นแบบนั้น เราก็ทุกข์ เพราะเราไม่ได้มองที่ความเป็นจริง แม้เขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องรับให้ได้ แม้โลกจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรับให้ได้ พลังจิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
(รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป)  สังเกตว่าเมื่อเราทำผิด ทำไมเราจึงตัวสั่น มือสั่น ใจเราสั่น เพราะว่าความจริงลึกๆ แล้วเราไม่อยากทำชั่ว แต่เมื่อเราทำดี ใจของเรารู้สึกพองโต เพราะพื้นฐานของจิตมนุษย์อยากเป็นคนดีมากกว่าที่จะเป็นคนชั่ว ใช่ไหม
(ภูมิใจ ในสิ่งที่เรามีอยู่)  แปลว่าหน้าตาแบบนี้จะไม่แต่งแล้วใช่ไหม (มีนิดหน่อย)  ถ้าศิษย์น้องรู้จักภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี เราก็จะไม่เดือดร้อนแม้หน้าตาเราจะเป็นอย่างไร (รู้จักเมตตาและให้อภัย)  เมตตาต้องเป็นเมตตาที่กว้าง ไม่ใช่เมตตาอย่างลำเอียง ให้อภัยก็ต้องให้อภัยด้วยความเข้าใจ ศิษย์เคยเข้าใจอะไรไหม ถ้าเคยเข้าใจอย่างไรก็ไม่โกรธ แต่ถ้าไม่เข้าใจนิดหน่อยก็จะโกรธ อภัยไม่ลง (เป็นตัวของตัวเอง ไม่ให้กิเลสมาครอบงำจิตใจ ต้องอยู่กับความเป็นจริง)  คนที่กล้าอยู่กับความเป็นจริง คนๆ นั้นจะมีชีวิตอย่างมีสุข แล้วเรายอมรับความจริงในตัวเราไหม
ถ้ารู้จักและทำได้ก็ทำให้ดีนะ (ไม่ยึดติดปัญหาอะไร)  แม้เขาจะทำร้ายเราให้เจ็บปวดขนาดไหน ทำให้ได้ เพราะถ้าเราทำได้ เวรกรรมก็จะจบสิ้น แต่ถ้าเราทำไม่ได้ เราก็คือคนที่กำลังจะผูกเวรกรรมไม่จบสิ้น เหมือนเขาด่ามาเราไม่ด่าตอบ นั่นคือคนที่ทำให้เวรกรรมไม่ยืดเยื้อ เขาทำร้ายมาแล้วเราไม่ทำร้ายตอบ เราคือผู้ที่จบกรรม จบเวร
(เป็นตัวของตัวเอง ไม่ให้กิเลสมาครอบงำในจิตใจ)  เป็นตัวของตัวเองนั้นดี แต่ต้องมีกรอบแห่งศีลธรรมคุณธรรมความเป็นคน มิเช่นนั้นตัวของตัวเองก็จะสามารถปล่อยให้อารมณ์ครอบงำได้ ทำอะไรคิดให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ความคิดชั่ววูบที่คิดว่าเป็นตัวของตัวเองมาทำร้ายตัวเอง ศิษย์น้องอยากให้คนรักทำไมไม่รู้จักยิ้ม อยู่ในโลกนี้ยิ้มเข้าไว้นะศิษย์น้อง เพราะใครๆ ก็ปรารถนาคนน่ารัก แต่ศิษย์พี่เห็นตั้งแต่วันแรกจนวันที่สองหน้าบึ้ง ตกลงจะมาฟังธรรมะหรือจะมาขับไล่คน บำเพ็ญธรรมใบหน้าต้องยิ้มแย้ม คำพูดคำจาต้องนิ่มนวล มือไม้ต้องอ่อน หัวใจต้องซื่อตรง ถ้าทำได้เช่นนี้สุดยอดของความเป็นคนแล้วศิษย์น้องเอ๋ย ไม่ใช่หน้าก็บึ้ง
ตัวก็แข็ง ใครจะมารัก อยากให้คนอื่นรัก หน้าต้องยิ้ม มือต้องอ่อนยกมือไหว้ทักทายผู้คน ฉะนั้นอยากหนีให้พ้นโลภ โกรธ หลง สิ่งที่สำคัญคือ
แค่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เช่น เขาจะด่ามาหรือโกงมา บ้านจะโดนไฟไหม้ ลูกหลานจะมีภัยพิบัติมีอันเป็นไป เราก็ไม่โกรธ โลภ หลง เพราะคิดว่ามันเป็นธรรมดาของทุกชีวิต เมื่อเรามองเห็นว่าเป็นธรรมดาใครด่ามาเราก็ปกติ
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าทุกชีวิตไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ไม่มีใครมีแต่ความสุขด้านเดียว ไม่มีใครที่จะไม่มีทุกข์เลย เป็นไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ในทุกข์ ถ้าหาดีๆ ก็มีสุข ในสุข ถ้าหาดีๆ มันก็มีทุกข์ ในความเข้มแข็ง ถ้าหาดีๆ ก็มีความเจ็บป่วย แต่ในความเจ็บป่วย ถ้ามองดีๆ เราก็เข้มแข็งได้ ฉะนั้น ถ้าเรามองชีวิตได้แจ่มชัด แล้วเราจะโกรธอะไรใครได้ เราจะเกลียดอะไรในโลก เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธรรมดา แล้วเราจะหลงอะไรใคร เธอสวยก็เท่านั้นเพราะยังมีคนสวยกว่า เขาหล่อก็เท่านั้นเพราะยังมีคนหล่อกว่า แล้วเราจะหลงคนหน้าหล่อไหม (ไม่หลง)  แล้วจะหลงตัวเองไหม (ไม่)  เพราะก็ยังมีคนสวยกว่า แล้วจะยกตัวเองไหม ก็ไม่ยก เพราะมีคนที่เก่งกว่า แล้วเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองแย่ เราก็จะไม่รู้สึกแย่ เพราะยังมีคนที่แย่กว่า ฉะนั้น ความเป็นจริงแห่งชีวิต ถ้าศิษย์น้องเข้าใจ ศิษย์น้องจะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และไม่ยึดติดตัวตนได้ เพราะถึงที่สุดนั่นคือความว่างเปล่า แต่เรากลับไปยึดมั่นถือมั่นให้มีการเกิดตัวตน แล้วก็สร้างเหตุให้ทุกข์ แล้วก็ไม่จบ เกิดการจองเวร จองกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ธรรมะมีแค่นี้ ฉะนั้น มองให้ดีนะศิษย์น้อง โดนเขาด่า เราจะโกรธเขาทำไม มองว่ามันก็แค่นั้น มีใครบ้างที่ด่าตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็นแล้วพรุ่งนี้ก็ด่าต่อ มะรืนก็ยังด่าต่อ มีไหม (ไม่มี)  ก็ไม่มี เพราะเมื่อด่าแล้วก็จบแล้ว แต่เรานี้ไม่จบ เราเป็นคนทำให้เวรกรรมยืดเยื้อ แล้วก็ทำให้มีภัย มีทุกข์ มีเคราะห์ ทั้งที่ความจริงแล้วพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า สิ่งนั้นก็เหมือนๆ กัน ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครแย่กว่าใคร ฉะนั้นถ้าอยากหยุดเหตุแห่งภัย จงมีสติ แล้วมองให้เห็นความเป็นจริงในโลก แล้วเราจะได้พ้นทุกข์นะศิษย์น้อง
ไปแล้วนะ ดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี จำไว้ว่า เรามีพุทธจิตที่เข้มแข็งสามารถทำให้เราพ้นเวร พ้นกรรม พ้นการเกิดตายได้ ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงในชีวิตว่า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมดาที่ทุกคนก็เกิดได้ พุทธะไม่ได้เหนือกว่าศิษย์น้องเลย แต่พุทธะทำเรื่องธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา แล้วทำให้ตัวเองเป็นพุทธะ เรื่องธรรมดานี้ เพียงท่าน
ไม่ติดทุกข์ ไม่ติดโลภ ไม่ติดโกรธ ไม่หลง ฉะนั้น เมื่อไม่ชอบ ไม่ชัง อะไรคือทุกข์ อะไรคือสุข เมื่อไม่มีตัวตนแล้วอะไรจะขังเราให้เจ็บปวดได้ ก็ไม่มี จริงไหม (จริง)
ไปแล้วนะ คงไม่มีใครทำให้ศิษย์น้องเจ็บ คงไม่มีใครทำให้ศิษย์น้องทุกข์ ดูแลรักษาใจตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความชอบ ความชังมาทำให้เกิดโลภ โกรธ หลง มองโลกให้ชัดๆ ด้วยตาของตัวเอง จะไม่มีใครมาหลอกเราได้นะ ถ้าเราไม่หลอกตัวเองก่อน จำไว้

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

2557-11-09 สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก


西元二○一四年 歲次甲午 閏九月 十七日    仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมหมิงอี้  จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    มีศีลธรรมแต่หลงดีในตน    ก็ยากพ้นวัฏฏะการเวียนว่าย
รู้ธรรมแต่หลงปฏิบัติน่าเศร้าใจ    ความยึดมั่นเหตุแห่งภัยไม่พ้นกรรม
        เราคือ
    พระอาจารย์จี้กง        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานหมิงอี้ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนยังทุกข์กับเรื่องอะไรกันหรือ

    ทุกข์กายอย่าได้ทุกข์ใจไม่ต่าง    ไม่รู้วางใจยิ่งแพ้ระทมใหญ่
ก้าวทันสติด้วยยั้งสร้างเหตุปัจจัย    สำนึกในติดที่ตนก่อนโทษกัน
อยากดับทุกข์รู้ไหมแค่ตื่นใจ    เมื่อตระหนักเหตุสร้างภัยคุมใจฉัน
ตื่นรู้ตนในธรรมจริงกระจ่างพลัน    เหตุหรือผลไม่สำคัญอยู่ที่ใจ
เมื่อตนเย็นได้ก็พร้อมรับมือ    ใจก่อนเป็นสุขคือการนิ่งได้
อย่าทำวางจริงจริงแต่กลับกลาย    แม้ว่าทุกสิ่งยากไม่เกินพยายาม
คนนิ่งตรองมีสติมานำตน    เรียนรู้ร้ายตนนำก้าวให้ข้าม
รู้ธรรมดีไม่ใช้ธรรมก็ฟ่าม    เรียนรู้ธรรมแต่กลับตามกิเลสอารมณ์
โกรธใช้มากถลำมากยากถอนตัว    ยิ่งกว่าใช้ใจกลัวกิเลสมากล้น
ร้ายกว่าร้ายย่อมตกเป็นทาสอารมณ์    พลิกร้ายเหนือใจอารมณ์คือใจธรรม
            ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นอย่างไรบ้างได้มาฟังธรรมะ ดีไหม (ดีมาก)  ดีมากเลยหรือ แล้วรู้ไหมว่าสองวันนี้เราได้บำเพ็ญอะไรบ้าง การตั้งใจฟังทำให้เราได้บำเพ็ญบุญบารมีรู้ไหม (รู้)  ถ้ารู้จักอดทนอดกลั้นได้ก็ได้บำเพ็ญขันติบารมี ถ้ารู้จักเพียรไม่ท้อก็ได้บำเพ็ญวิริยะบารมี ถ้าตั้งใจฟังด้วยความเสียสละก็ได้บำเพ็ญ ถ้าตั้งใจมาด้วยความสงสารคนชักชวนก็ได้บำเพ็ญเมตตาบารมี ถ้าตั้งใจฟังด้วยความอดทนอดกลั้นไม่ยอมแพ้ เพียรไม่ท้อถอยก็ได้บำเพ็ญทั้งขันติและวิริยะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมว่าแค่มานั่งฟังเองนะศิษย์ แล้วถ้าฟังแล้วจิตยิ่งเกิดความเบิกบาน ยิ่งเกิดความแจ่มใส นอกจากฟังแล้วเรายังได้สร้างบุญ บุญคือเครื่องชำระใจให้ผ่องใส ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาพูดกับนักเรียนที่ร้องไห้)  ใจเย็นๆ ไม่ต้องร้องไห้นะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดภาษาคนไม่ใช่พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้นะ เป็นอะไรหรือ ทำแบบนี้แล้วจะได้บุญไหม ฟุ้งซ่านก็มีแต่ได้บาป บาปกับบุญต่างกัน บุญคือทำให้จิตใจผ่องใส บาปคือทำให้จิตใจขุ่นมัว ถ้าฟังธรรมแล้วขุ่นมัวหม่นหมองก็จะไม่ได้บุญ แต่กำลังสร้างบาปให้กับตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เรามาฟังเพื่อการเบิกบาน มาฟังเพื่อความสบายใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นตั้งสติให้ดีแล้วกลับมายืนขึ้นใหม่นะ ลุกขึ้น
“มีศีลธรรมแต่หลงดีในตน    ก็ยากพ้นวัฏฏะการเวียนว่าย
รู้ธรรมแต่หลงปฏิบัติน่าเศร้าใจ    ความยึดมั่นเหตุแห่งภัยไม่พ้นกรรม”
มีศีลแต่หลงตัวเองก็ไม่พ้นการเวียนว่าย รู้ธรรมเยอะแยะแต่หลงทางในการปฏิบัติธรรมก็หนีไม่พ้นการสร้างกรรมและบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนที่รู้มาก ฟังมากแต่ถึงเวลากับหลงตัวเอง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่
โดยส่วนใหญ่เจอหน้าอาจารย์ก็อยากจะขอนั่นขอนี่ อาจารย์จะบอกให้ชั้นนี้เป็นชั้นแห่งนักสู้ คนที่เป็นนักสู้เจออะไรก็ต้องไม่หวั่นกลัว จะต้องฟันฝ่าและนำพาให้ตัวเองพบทางสว่างให้ได้ นี่ถึงจะเรียกว่าชีวิตที่รู้จักสู้ชีวิตเป็น แต่มนุษย์เรายังไม่ทันจะหายใจได้ด้วยตัวเองก็คิดจะยืมจมูกคนอื่นหายใจ ยังไม่ทันยืนด้วยลำแข้งตัวเองก็คิดจะไปพึ่งลำแข้งคนอื่น แล้วอย่างนี้ตัวเองจะรอดไหม (ไม่รอด)  จมูกตัวเองมีไหม (มี)  ขาตัวเองมีไหม (มี)  แล้วทำไมไม่รู้จักหายใจด้วยตัวเอง ไม่ยืนด้วยตัวเอง ไม่ใช่เกิดมาเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจอพระแล้วขออย่างเดียว อาจารย์ถามว่าขอให้รวยแต่ขี้เกียจ จะรวยไหม (ไม่รวย)  ขอให้รวย แต่แต่ละวันเอาแต่นอนงอมืองอเท้า ไม่ทำอะไรจะมีเงินไหม (ไม่มี)  แล้วมาขออาจารย์ทำไม ชอบขออาจารย์ ขอให้มีแต่สิ่งดี อย่าเจอเรื่องร้าย แต่ถ้าอาจารย์ถามว่าถ้าเจอเรื่องร้ายแล้วได้ชดใช้กรรม เจอเรื่องดีเพื่อไม่ให้หลงแล้วสร้างกรรมอีก ทำไมเราต้องกลัวเรื่องร้าย เมื่อเรื่องร้ายมาแล้วทำให้เราได้ชดใช้กรรมแล้วหมดกรรม ถูกไหม
แล้วชีวิตใครในโลกนี้ที่มีแต่ด้านดีแล้วไม่มีด้านร้าย ชีวิตต้องมีด้านดีและด้านร้าย ฉะนั้นบทเรียนหนึ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์เป็นนักสู้ในชีวิตนี้ให้ได้ก็คือร้ายได้ดีได้ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีทุกข์ก็ต้องมีสุข มีรวยก็ต้องมีจน มีแข็งแรงก็มีอ่อนแอ ฉะนั้นถ้าศิษย์จำบทเรียนอันนี้ของอาจารย์ไปได้ ชีวิตนี้ศิษย์ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว จริงไหม (จริง)
แล้วศิษย์เป็นนักสู้ไหม (เป็น)  สู้ไหม (สู้)  ถ้าสู้ก็จำบทเรียนนี้ไว้ ถ้าบทเรียนมาเห็นไหมอาจารย์จี้กงบอกแล้วใช่ไหม (ใช่)  คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือคนที่แพ้ตั้งแต่ต้น คนที่มองไม่เห็นชีวิต ว่าชีวิตไม่เคยมาด้านเดียวมันมาสองด้านตลอด นั่นคือคนที่กำลังหลอกลวงตัวเอง อยู่กับความเพ้อฝันพกลม ฉะนั้นเจออาจารย์ยังอยากขออีกไหม (ไม่ขอ)  อยากให้สามีรักแต่ว่า เช้าเราก็ด่า กลางวันก็บ่น เย็นก็นินทาเขาจะรักไหม อยากให้ลูกได้ดี แต่ละวันเราเอาแต่พูดไม่ดี เคยสอนลูกดีๆ เคยพูดดีๆ ไหม ศิษย์จำไว้นะทุกอย่างเริ่มที่ใจก็จบที่ใจ แต่ถ้าเกิดที่นี่ไม่มีใจ ก็จะไม่มีอะไรให้เริ่ม และไม่มีอะไรให้จบ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผันแปรและแปรเปลี่ยนแต่มนุษย์เอาใจไปใส่ แล้วถ้าเราดึงใจออกมา อะไรจะเกิดมันจะเจ็บปวดใจไหม จริงหรือเปล่า
อาจารย์ถามเพราะว่าเราเอาใจไปใส่ ฉะนั้นอะไรที่กระทบใจนิดหนึ่งก็เจ็บก็ปวด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราเอาใจออก ก็คือธรรมชาติ เหมือนดอกไม้เวลาร่วงโรย ทำไมศิษย์ไม่รู้สึกทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่แค้น ไม่ก่อเวรกรรมกับดอกไม้ เพราะศิษย์มองเห็นชัดว่าเป็นเช่นนั้นเอง แล้วศิษย์ไม่ได้เอาใจไปใส่ จริงไหม (จริง)  แต่เมื่อไรศิษย์เอาใจไปใส่ดอกไม้ “ดอกไม้ร่วงแล้ว ดอกไม้เจ็บแล้ว ดอกไม้แก่แล้ว ดอกไม้ตายแล้ว” ถ้าอย่างนั้นแล้วร่างกายต่างอะไรกับดอกไม้ดอกหนึ่ง  ถ้าไร้ใจแล้วเราจะต้องดับทุกข์ทำไม จะเป็นการเกิดที่ไม่ต้องมีเกิดแล้ว ไม่ใช่เป็นเกิดที่ต้องดับ แต่ไม่มีเกิดตั้งแต่แรก แล้วจะดับอะไร จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะมีใจกับตัวนี้ไปทำไม แล้วมีใจกับตัวนี้ยังไม่พอ ยังแบ่งใจไปเผื่อคนนั้นคนนี้อีก จึงทุกข์อยู่ร่ำไป ฉะนั้นทำไมไม่ตัดให้ขาดเลย ตัดใจยากไหม (ยาก)  ยากหรือ ก็แต่ก่อนเราไม่เคยมีอะไรสักอย่างเป็นของเรา แล้วรู้ได้อย่างไรว่าใจที่ให้เขาไปคือของเรา ศิษย์ลืมไปแล้วหรือ แรกเริ่มธรรมะสอนอะไร มาตัวเปล่า กลับไปตัวเปล่า แล้วใจมาจากไหน ใจมาทีหลัง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าอยากบำเพ็ญธรรมแล้วพ้นทุกข์ โดยที่ไม่ต้องพยายามดับทุกข์เลย นั่นก็คือ ตัดให้ขาดเลย นั่นก็คือ ตัดใจ ดีไหม (ดี)  อย่าเอาใจไปฝากคนนั้น อย่าเอาใจไปบอกรักคนโน้น รักคนนี้ พอถึงเวลาหลายใจแล้วเป็นอย่างไร ก็ปวดทั้งใจ ฉะนั้นลองอยู่กับธรรมชาติเหมือนเราอยู่กับต้นไม้ มันจะผลัดใบ มันจะตกลูก มันจะเน่า มันจะตาย มันจะถูกแมลงกัดกิน ทำไมเราไม่เจ็บปวด เพราะเรารู้ว่ามันเป็นธรรมชาติ แล้วร่างกายเราต่างอะไรกับธรรมชาติ มีเหี่ยวไหม ทั้งดีทั้งร้ายก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติ แล้วเราไปผูกยึดมั่นทำไมให้เจ็บปวดใจ ทำไมเราไม่ดึงใจออกมาแล้วมองว่ามันก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือตัวเรา แค่นั้นเองจบแล้ว โดยที่ไม่ต้องพยายามดับทุกข์ อดทน เมตตา ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  
ฉะนั้นอย่าให้ใจไปเรื่อย อย่าเอาความรู้สึกไปเรื่อย เพราะความรู้สึกนั่นแหละคือตัวน่ากลัวที่สุด ยิ่งรู้สึกก็ยิ่งทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่า “เกิดเป็นคนมันก็ต้องมีดีบ้าง ชั่วบ้าง อยากบ้าง เป็นเรื่องปกติ จะไม่ให้อยากเลย ไม่ให้ดีเลย ไม่ให้มีใจเลย มันยากนะ” ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเรามารู้วิธีการที่ถ้าอยากมากๆ แล้วเป็นอย่างไร เอาไหม ดีบ้างชั่วบ้างมันดีไหม
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า “ยังทุกข์กับเรื่องอะไรกันหรือ”)
(ไม่มีเงิน)  ถ้าตอนเด็กๆ รู้จักขยันอดออม ตอนนี้ก็ไม่ลำบากใช่ไหม (ใช่)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ทำให้ศิษย์หายง่วงได้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี หรือหายเบื่อไปชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  ใครรู้สึกว่านั่งฟังแล้วเบื่อ ถ้ารู้สึกอย่างนั้นแปลว่าทั้งบุญก็ไม่ได้ บารมีก็ไม่ได้เลยนะ ศิษย์นับถือพุทธ พระพุทธะสอนว่า “บุญคือเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส บารมีคือการสั่งสมและปฏิบัติตนในทางที่ถูกต้องและดีงาม” เมื่อตอนนี้มีโอกาสได้ฝึกฝนสร้างบุญบารมี ทำไมจึงไม่คิดให้ตัวเองไปในทางสว่าง ทำไมจึงพยายามคิดให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์  มนุษย์แปลกนะ ทางดีๆ มีไม่เดิน ชอบไปเดินทางมืดๆ สิ่งสบายๆ มีให้เลือกกลับไม่เอา ชอบไปลำบาก เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “สวรรค์มีทางให้เดิน มนุษย์ไม่เลือกเดิน นรกไม่มีทางให้เดิน แต่มนุษย์พยายามเดิน” จริงไหม (จริง)  วันนี้เห็นชัดเลยไหม ว่าแม้แต่อยู่หน้าพระแต่ก็เหมือนตกนรก เป็นไหม (ไม่เป็น)  ไม่เป็นเลยหรือ แปลว่าสองวันที่นั่งมานี้เบิกบานใจ อิ่มอกอิ่มใจ (ใช่)  หลอกลวงทั้งเพ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าคนที่ชวนมาก็กลับไปนานแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ได้อยู่อย่างเดียวคือความเมตตาต่อคนที่ชวนมา เกรงใจ ไม่อย่างนั้นกลับไปแล้ว ถูกไหม (ไม่ถูก)  อาจารย์พูดมาผิดหมดเลยใช่ไหม ไม่เป็นไร อาจารย์พูดผิดเองก็ได้ เข้าใจผิดเองก็ได้ ใช่หรือเปล่า
ศิษย์รักอยากนั่งหรือยัง (ยัง)  คนอายุมากยืนไหวไหม (ไหว)  นั่งคนเดียวเหงาไหม (ไม่เหงา)  นักเรียนในชั้นนี้ต้องเป็นนักสู้นะ ยืนได้ก็นั่งได้ นั่งได้ก็ยืนได้ แม้จะยืนสามชั่วโมงใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไหนบอกว่าเป็นนักสู้ของอาจารย์ ศิษย์เอ๋ยในชีวิตนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเรากล้าเรียนรู้ กล้ายอมรับ ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินที่เราจะฝ่าฟันให้พ้นได้หรอก แต่ถ้าเราไม่กล้า ไม่สู้ ปิดประตูตั้งแต่แรก แม้บทเรียนที่ง่ายสุดศิษย์ก็ผ่านไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์กล้า ศิษย์สู้ อะไรมาก็ลองสู้กับมันสักตั้ง มันจะร้ายขนาดไหนเชียวชีวิตนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเวลาเจอร้ายต้องไปหาดีเพื่อมากลบเกลื่อนร้าย ไม่มีประโยชน์ เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงเมื่อเจอร้ายก็มองให้เข้าใจ มองให้  แจ่มแจ้ง “ดี ฉันจะได้หมดกรรม” “ดี ฉันจะได้หมดการยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง” “ดี ในทุกข์นี้แหละฉันจะหาดีและทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ให้ได้” ใช่ไหม (ใช่)  เกิดเป็นคนกลัวทำไมกับความทุกข์ เกิดเป็นคนกลัวทำไมกับความลำบาก ขอเพียงศิษย์เป็นนักสู้ ไม่ยอมแพ้ก็ไม่มีวันอดตาย จริงไหม แต่ถ้าเริ่มต้น อะไรก็ไม่เอา อะไรก็ต้องอย่างนั้น อะไรก็ต้องอย่างนี้ มันลำบากตั้งแต่ต้น ใช่ไหม (ใช่)  เปิดหัวใจให้กว้างๆ แล้วอะไรก็จะรับไหว ถ้าหัวใจ คับแคบ หัวใจมีกรอบ หัวใจมีความคาดหวัง หัวใจมีตัวตน มันก็รับไม่ได้ อะไรมาก็ติดกรอบ ติดตัวติดตนไปหมด ฉะนั้นเปิดใจให้กว้าง แล้วอะไรล่ะทำให้ใจของมนุษย์มีกรอบ มีตัวมีตน แล้วสู้กับทุกข์ไม่ได้ รู้ไหม ความกลัว ความคิด ใช่ไหม (ใช่)ชีวิตไม่เอาอย่าเจ็บป่วย ไม่เอาอย่าโชคร้าย ไม่เอาต้องมีแต่ดี แค่คิดแบบนี้ก็ผิดแล้วนะศิษย์ เพราะตำราแห่งชีวิตนักสู้ ร้ายก็มีดี  ได้ก็มีเสีย แข็งแรงก็มี อ่อนแอ รวยก็มีจน มันเป็นสิ่งที่หนุนเนื่องกันเกี่ยวเนื่องกันและทำให้ก่อเกิดเป็นชีวิตหนึ่ง ฉะนั้นมีชีวิตใครบ้างที่ได้โดยไม่เสีย มีโดยไม่จน เข้มแข็งโดยไม่อ่อนแอ ชนะโดยไม่เคยแพ้ (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าจะมาเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กง  คัมภีร์แห่งนักสู้ศิษย์จะต้องเข้าใจแล้วตีให้แตก เมื่อตีแตกแล้วชีวิตจะพลิกซ้ายพลิกขวา ตบหน้า คว่ำศิษย์ ศิษย์ก็กลับมายืนด้วยขาตัวเอง แล้วก็ไม่ต้องยืมจมูกใครหายใจ ใช่ไหม (ใช่)
นั่งไม่นั่ง (นั่ง) ไหนเมื่อครู่ใครบอกจะไม่นั่ง (ปวดเข่า)  อาจารย์บอกว่ามีเข่าให้รู้สึกปวดดีกว่ามีเข่าแล้วไม่มีความรู้สึก จริงไหม (จริง)  แค่คิดก็เป็นทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องกล้ายอมรับความจริง เพราะแค่คิดนิดเดียวก็สามารถบังเกิดทุกข์ได้โดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราอยากอยู่บนโลกใบนี้เราต้องรู้เท่าทันแม้กระทั่งความคิดของตน แค่หนึ่งความคิดก็ก่อเกิดเป็นตัวตนและก่อเกิดเป็นการเกิดทุกข์แล้วต้องรับ ทุกข์ และก็ต้องหาทางดับทุกข์ ศิษย์ว่าจริงไหม (จริง) 
สมมติอาจารย์มีดอกไม้หนึ่งดอก ศิษย์เห็นไหม ระวังความคิดนะ เพราะแค่หนึ่งความคิดจะก่อเกิดทุกข์ได้ทันที จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์หยิบดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วอาจารย์ก็เด็ดดอกไม้ แล้วอาจารย์ก็ทิ้งดอกไม้นี้ลงพื้น ศิษย์ก็คิดว่าทำไมอาจารย์ทำแบบนี้ แค่คิดก็ก่อเกิดทุกข์ ใช่ไหมศิษย์ แล้วถ้าอาจารย์เหยียบดอกไม้บนพื้นอีกล่ะ ศิษย์ก็คงคิดว่าทำไมอาจารย์หยาบคายจัง แค่คิดก็ก่อเกิดทุกข์ จริงไหม (จริง)  ความคิด การยึดมั่น การรับรู้ ความรู้สึกที่ติดยึด สามารถบังเกิดทุกข์ได้ทุกๆ เมื่อที่ตากระทบ หูได้ยิน จนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริง แต่เห็นแค่เพียงว่า ทำไมอาจารย์ทำแบบนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องมันก็แค่นั้น เท่านั้น เอาอะไรกับดอกไม้ แต่มนุษย์ก็ยังแบกมันมาไว้ คิดวนเวียนว่าอาจารย์ทำแบบนั้นทำไม ดอกไม้ทำอะไรให้อาจารย์ไม่พอใจ ใช่ไหม ฉะนั้นอยู่ในโลกอย่าใช้แต่ความคิด อย่าใช้แต่ความรู้สึก อย่าใช้แต่จำได้หมายรู้ จนทำให้เรามองไม่เห็นความจริงบนโลก เห็นแต่สิ่งที่เรียกว่า “ทำไม เพราะอะไร” แล้วทุกข์ที่ไม่มีตัวตนก็เกิดมาเพราะความคิดและยึดติดในความรู้สึก จริงไหม (จริง)  เรื่องมันจบไปแล้ว แต่ศิษย์ก็ยังกลับมาคิดอีกว่าทำไมอาจารย์เหยียบมันล่ะ ทั้งที่เรื่องมันจบไปตั้งแต่ตอนนั้น กลับบ้านไปก็ยังไม่เข้าใจว่า อาจารย์จี้กงเหยียบดอกไม้ทำไม เราแบกทุกข์มาใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็แค่นั้นเอง เราคุมทุกอย่างไม่ได้ เราหวังให้เป็นอย่างใจไม่ได้ เหมือนเราดูแลร่างกายอย่างดีมันก็ป่วยห้ามไม่ให้ใครมาทำร้ายเราได้ไหม อย่าทำร้าย อย่าว่า อย่าด่า อย่าบ่น ห้ามได้หรือศิษย์ (ไม่ได้) ถึงแม้ว่าบางครั้งความติดยึดทำให้ชีวิตเราลำบาก แต่ถ้าสิ่งที่ลำบากศิษย์ฝ่าฟันได้ ศิษย์เข้าใจได้ เราจะมีอะไรที่ต้องทุกข์อีก จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์เปลี่ยนใหม่ ไม่เหยียบย่ำดอกไม้ก็ได้ เป็นอาจารย์ชอบดอกไม้ ดอกไม้สวยๆ อย่ามายุ่งกับดอกไม้ของอาจารย์นะ ใครมาว่าดอกไม้ของอาจารย์ไม่สวยเดี๋ยวแช่งให้ทุกข์ตลอดชีวิตเลย ถึงอาจารย์จะดูแลปกป้องไม่ให้ใครมาไต่มาตอม แต่ถึงเวลาดอกไม้ก็มีธรรมชาติของดอกไม้คือ ความร่วงโรย ความเหี่ยว ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราหนีไม่พ้น
ชีวิตก็เหมือนกันศิษย์ ถึงศิษย์จะรักขนาดไหน ปกป้องดูแลขนาดไหน แต่คัมภีร์แห่งการสู้ชีวิตก็บอกไว้แล้วว่า ไม่มีใครในโลกที่จะแข็งแรงโดยไม่เจ็บป่วย ที่จะเกิดมาแล้วไม่ต้องตาย ที่จะมีสุขแล้วไม่ต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจคัมภีร์แห่งชีวิต คัมภีร์แห่งนักสู้ อะไรคือความทุกข์ อะไรคือสุขแท้จริง มันไม่มี แต่คัมภีร์แห่งการสู้ชีวิตของอาจารย์ หรือของตัวศิษย์เองมันจะทำให้ศิษย์เข้าใจว่า ชีวิตมันก็แค่นี้ มันก็เท่านี้ แล้วศิษย์จะเอาอะไรกับมันมาก รักแล้วไม่ตายมีไหม รักแล้วไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม รักแล้วไม่เจ็บป่วยมีไหม (ไม่มี)  แล้วจะรักทำไม และให้อยู่ร่วมแบบไหน อาจารย์จะให้ศิษย์ทำอย่างไรล่ะ ไม่ยากเลยศิษย์ อยู่ร่วมแบบยืมใช้ เรายืมเขามา สังเกตไหมเวลาเราไปยืมอะไรเขามา เราจะใช้มันเต็มที่ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็คืนเขาไป ถูกไหม (ถูก)  มันจะเป็นอะไร มันจะบุบสลาย ช่างมัน ฉันยืมเขามาเดี๋ยวฉันก็คืนเขาไป แล้วร่างกายนี้มันต่างอะไรกับสิ่งที่ศิษย์ยืมเขามา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ศาลาพักร้อน” เรามาแค่ชั่วขณะหนึ่ง ถึงเวลาศิษย์ก็ต้องคืนเขาไป คืนดิน คืนฟ้า คืนธาตุลม คืนธาตุไม้ ฝุ่นธุลีก็คือชีวิต ชีวิตก็คือฝุ่นธุลี ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราดูถูกฝุ่นธุลี แต่ถึงสุดท้ายเราก็ไม่ต่างอะไรกับฝุ่นธุลี เรายิ่งใหญ่ขนาดไหนเชียวศิษย์ จนถึงขนาดทุกข์ไม่ได้ แพ้ไม่ได้ อกหักไม่ได้ ผิดหวังไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิต มันคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ตัวเราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาก็ต้องคืนดิน คืนฟ้าไป ใช่หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นศิษย์ก็ทำชั่วให้เต็มที่เลยถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  เหล้าก็กินบุหรี่ก็สูบ ศิษย์จะชอบบอกว่าเกิดเป็นคนก็ต้องมีดีบ้างร้ายบ้าง จะให้ศิษย์ดีร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ยากจริงไหม อาจารย์ก็ว่าเวลาทำอะไรไม่ดีศิษย์บอกไม่เป็นไรแค่นิดเดียว ทำนิดทำหน่อยไม่เป็นไร อาจารย์ถามคนที่สูบบุหรี่คนที่กินเหล้า มันแค่นิดเดียว เป๊กเดียวนิดเดียว มันเปรี้ยวปาก แต่ตอนที่ไม่กินมันเปรี้ยวปากไหม แต่ที่เลิกไม่ได้ก็มาจากนิดเดียว แต่นิดเดียวนี้ถ้าเข้ามาอยู่ในใจแล้วใจจะสั่นระริกระริก แม้ไม่เห็นเหล้าไม่เห็นบุหรี่ ใจก็พาให้เราเดินไปหาเหล้าบุหรี่
ฉะนั้นอย่าคิดว่าชั่วนิดเดียวผิดนิดเดียวไม่เป็นไรหรอกอาจารย์ แล้วนิดเดียวป่านนี้ยังเลิกไม่ได้เลย เพราะว่ามันนิดเดียว จึงบอกว่าถ้าจิตนิ่งเราจะควบคุมสภาวะแวดล้อม แต่ถ้าจิตไม่นิ่งเราจะถูกสภาพแวดล้อมควบคุมตัวเรา เหมือนกันถ้าใจศิษย์ไม่มีเหล้าไม่มีบุหรี่ แม้เห็นเหล้าตั้งอยู่ตรงหน้าแม้เห็นบุหรี่วางให้ฟรีหนึ่งซองก็ไม่เอาจริงไหม แต่ถ้าเมื่อไรใจศิษย์มีเหล้าใจศิษย์มีบุหรี่ แม้ไม่เห็นเหล้าไม่เห็นบุหรี่ ใจก็จะไปหา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกศิษย์ว่ามนุษย์มีทางให้เลือกเดิน หนึ่งคือสว่าง อีกหนึ่งคือมืด เมื่อเดินแล้วสว่างทำไมไม่พยายามเดิน เมื่อเดินแล้วมันมืดทำไมจึงอยากเดิน อาจารย์ไม่เคยเห็นใครที่ลองแล้วแตะนิดหนึ่งๆ แล้วจะไม่ไปทั้งตัว ฉะนั้นอย่าลองเล่นกับชีวิต เพราะชีวิตเมื่อพลาดเมื่อติดแล้วมันถอนยาก เหมือนกันอย่าลองเล่นกับโลภ โกรธ หลง เพราะโลภ โกรธ หลงเมื่ออยู่กับตัวแล้วจะครอบงำชีวิต อาจารย์เห็นน้อยคนเหลือเกินที่จะหันหลังกลับแล้วไม่คบกับโลภโกรธหลงอีกเลย ยอมตกเป็นทาสอารมณ์ทาสกิเลสทั้งนั้น แล้วผลของการตกเป็นทาสอารมณ์ทาสกิเลสก็คือวิบากกรรม แล้วที่น่ากลัวที่สุดคือจองเวรจองกรรม แล้วที่น่ากลัวยิ่งกว่าน่ากลัวก็คือ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เวียนว่ายในวัฏฏะแห่งกรรมเพียงเพราะกิเลสเล็กๆ แล้วอยากเลิกไหม (อยาก)  เลิกอะไร (เลิกชนไก่, เลิกเหล้า เลิกบุหรี่)  ศิษย์รู้ไหมคนที่ชอบตีไก่ ชนไก่ อนาคตเห็นเลยนะศิษย์ เริ่มตั้งแต่ช่วงลำตัวจะเริ่มไม่มีความรู้สึก หรือบางทีโดนคนทำร้ายโดยไม่มีสาเหตุ ล้วนเป็นผลกรรมที่ศิษย์ก่อทั้งนั้น ถ้าตอนนี้หยุดได้ยังทันนะ ใช่ไหม (ใช่)  
ศิษย์เคยเห็นหนอนกินขี้ไหม หรือเคยเห็นหนอนกินของเน่าไหม ศิษย์กลับรู้สึกขยะแขยงว่ามันกินได้อย่างไร อาหารดีๆ มีตั้งเยอะไม่กิน ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์เห็นแบบนั้นอาจารย์ก็ขำเพราะอาจารย์ก็นึกถึงศิษย์ ของดีๆ มีตั้งเยอะไม่กิน ไปกินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ต่างอะไรกับหนอนในอาจมเลย จริงไหมศิษย์ (จริง)  กินเหล้าแล้วเป็นอย่างไร อาจารย์เห็นก่อนจะกินมันก็ฝืดคอจะตาย กินแล้วมันบาดคอไหม นั่นแหละที่อาจารย์ไม่เข้าใจ กินไปก็บาดคอไป กินอีกก็บาดคออีก ก็ยังจะกินกันอีก ไม่เห็นมีใครกินแล้วมีความสุขเลย ฉะนั้นทำอะไรคิดให้ดีๆ นะศิษย์
โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะบอกว่าเกิดเป็นคน ต้องมีอารมณ์มีความรู้สึกต้องใช้ความคิด จะให้เราไม่รู้สึกอะไรเลยมันเป็นเรื่องยาก พระพุทธะกล่าวไว้คำหนึ่งว่า มนุษย์ถ้ายังติดอยู่ในคำว่าชอบชัง เมื่อเจอสิ่งที่ชอบเมื่อต้องพลัดพรากกับสิ่งที่ชอบก็เป็นทุกข์ เมื่อต้องผจญกับสิ่งที่ไม่ชอบอยู่อย่างยืนยาวก็ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นพระพุทธะก็ได้สอนไว้ว่า ไม่ชอบไม่ชังอะไรเลยจะได้ไม่ต้องทุกข์กับใครเลย ฉะนั้นศิษย์ยังอยากชอบอีกไหม ก็ยังอดไม่ได้ใช่ไหม พระพุทธะจึงสอนว่านี่แหละคนประมาท ทำไมพระพุทธะจึงบอกว่าคนประมาท เพราะสิ่งที่ไม่น่ารัก คนประมาทมองเห็นว่าน่ารัก สิ่งที่ไม่น่ายินดี คนประมาทในการดำเนินชีวิตมองเห็นว่าน่ายินดี สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ คนประมาทในการดำเนินชีวิตบอกว่ามันคือสุข ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ก็คือคนที่ประมาทในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ศิษย์ก็อาจจะบอกว่า “ก็ในโลกนี้ ยังมีสุขอยู่นะ แล้วจะไม่ให้ชอบ ไม่ให้ชังเลย มันก็เป็นไปได้ยาก ไม่ให้รู้สึกอะไรเลยยิ่งยากใหญ่” ใช่ไหม (ใช่)
ทำไมอาจารย์พูดว่า มนุษย์กำลังประมาท เพราะว่าถ้ากำลังชอบชังอยู่ เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ชอบ เราก็ต้องทุกข์ และถ้าเราพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ เราก็ต้องทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์ เราก็ไม่ชอบ ไม่ชังอะไรเลยดีไหม (ดี, ไม่ได้)  เห็นไหมศิษย์ก็ยังบอกอาจารย์มันไม่ได้ อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าชอบกับสิ่งที่ศิษย์บอกว่าชังนี้ ถ้าศิษย์ยังอยากมีมันอยู่ มันดีไหม (ไม่ดี)  แล้วอยากมีไหม ก็อยากอยู่ดีนะอาจารย์ ใช่หรือไม่ เอาอย่างไรกันแน่ อาจารย์เริ่มสับสนแล้ว
อย่างนั้นอาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ นะศิษย์ บางครั้งสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันคือความสุข มันคือสิ่งที่ศิษย์ชอบ มันคือสิ่งที่ศิษย์ต้องมี อาจารย์จะให้ศิษย์ไม่รู้สึกเลย มันก็เป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่ แต่ทำอย่างไรล่ะเราจึงจะสามารถควบคุมมันได้และไม่ทำให้เรากลายเป็นคนที่หลงไปกับกิเลส อารมณ์แล้วก่อกรรม
สิ่งที่ศิษย์บอกว่าสวยถึงเวลาก็มีสวยกว่า จริงไหม (จริง)  สิ่งที่ศิษย์ว่าแย่ก็มีแย่กว่า ฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่ศิษย์หลงชื่นชม ศิษย์ลืมมองสิ่งที่สวยกว่าไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต แล้วไม่ตีกรอบกับชีวิตว่า “ชีวิตฉันอยู่กับแค่คนนี้ ลูกฉันมีแค่ตรงนี้” เราจะมองเห็นได้มากกว่านั้น อย่าให้ปรากฏการณ์แค่ชั่วขณะของชีวิตมาตีกรอบจนทำให้เรามองไม่เห็นความจริง แล้วเราจะไม่หลงตัวเอง ไม่หลงยึดมั่นกับสิ่งที่ตัวเองมีเด็ดขาด เพราะถ้าอันนี้สวยกว่า อันนี้ก็สวยกว่า ถ้าอันนี้เตี้ย อันนี้ก็ยังสูงกว่า ใช่หรือไม่ มนุษย์มีความเป็นกลางอยู่แล้ว แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในปรากฏการณ์ จิตเราจึงหลงและลืมความเป็นกลางในตัวเองไป และความเป็นกลางนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ จำไว้นะศิษย์มนุษย์มีความเป็นกลางอยู่แล้ว แต่เพราะความหลงและยึดมั่น หรือเพราะความคิดว่าฉันต้องสวย ฉันต้องดี เลยทำให้เราลืมความเป็นกลางไปว่าเราก็ยังมีดีกว่า ในตัวเราก็ยังมีแย่กว่า และเขาแย่จริงหรือ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์รัก แท้จริงยังมีสิ่งที่น่ารักกว่า สิ่งที่ศิษย์บอกว่า เกลียด แท้จริงแล้วเขาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดที่สุด ฉะนั้นอย่าให้ปรากฏการณ์แค่ชั่ววูบมาหลอกลวงใจอันเป็นกลางของเราจนมองไม่ เห็นความจริงนะศิษย์ ตื่นแล้วรู้เสียทีว่าเรามีจิตเดิมแท้อยู่ในตัวเอง แต่เพราะความคิด ความยึดมั่น ความชอบชัง ทำให้เราหลงลืมความจริงแท้ และมองเห็นชีวิตไม่ได้ตลอดสาย เห็นแค่ชั่วขณะ ถ้าโดนด่าว่า “แย่ ไม่ได้เรื่อง เธอมีดีอะไรบ้าง” เจ็บไหม (ตอนนี้ไม่เจ็บ) แต่ต่อไปจะเจ็บไหม อาจารย์จะสอนให้ จะใช้อะไรที่จะทำให้เราพ้นจากกิเลสและพ้นจากความคิด สิ่งที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิต ที่ทำให้มนุษย์กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์นั่นคือ สติ ปัญญา
ถ้าโกรธเมื่อโดนด่า โดนว่า เมื่อทำผิด ถ้ายิ่งใช้ความคิดมันยิ่งซับซ้อน ยิ่งปวดหัว ยิ่งแก้ไม่ได้ แต่วิธีที่จะแก้กำจัดความโกรธ ความโลภ ความหลง และให้เรารู้ตนและมีธรรมะ นั่นคือสติปัญญา สติปัญญาเป็นธรรมชาติเดิมแท้ที่อยู่ในตัวตนของเรา ที่จะทำให้เราตื่นแล้วมองความจริง ตื่นแล้วระลึกรู้ทุกสิ่งด้วยธรรม แล้วมองอย่างคนที่ไม่เอาตัวเองเข้าไปครอบงำ แต่มองอย่างคนเห็นจริง เหมือนเวลาโกรธมา ด่ามา อย่าเอาตัวเองเข้าไปร่วม แต่จงใช้สติปัญญา ไม่สู้ ไม่ถอย ไม่หนี แต่ใช้ความนิ่งเฉยรับมือ จำไว้นะศิษย์ อยากเอาชนะกิเลสในใจตนเองให้ได้ ไม่สู้ ไม่หนี ไม่เพิ่มค่า ไม่ปรุงแต่ง แต่ใช้ความนิ่ง และสติปัญญารับมือ สติที่ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีตัวตน จะเป็นสติปัญญาที่บริบูรณ์ สะอาดบริสุทธิ์ มนุษย์เรียนรู้ ละชั่วทำดี แต่เข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์เพราะไม่ใช่เอาแต่คิด แต่ต้องใช้สติปัญญา ใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้ห่อลูกอมกับนักเรียนห้าคนที่ออกมายืนหน้าชั้น)
ให้แล้วเอาไปแบ่งบุญต่อ ไปบอกบุญต่อนะศิษย์ ไม่ใช่ให้แล้วเก็บไว้คนเดียว เอาไปบอกบุญต่อ บอกว่ามีบุญหวานๆ มาฝาก บุญที่ดีที่สุดคือบุญที่รู้จักให้ ไม่เก็บไว้กับตัวเอง จำไว้นะ เกิดเป็นคน มนุษย์มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ แต่เพียงเพราะเห็นแก่ตนความยิ่งใหญ่เลยคับแคบ มนุษย์มีจิตใจที่เมตตา แต่เพียงเพราะอยากมีกิเลส อยากมีโลภ เมตตาจึงกลายเป็นความโหดร้าย มนุษย์มีจิตใจที่เย็น แต่เพราะความอยากได้อยากมี และหลงตน จิตใจที่เย็นก็เลยกลายเป็นรุ่มร้อน ฉะนั้นปราชญ์จึง ให้ค่าความไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความไม่หลงโลภมีค่าสูงยิ่ง เพราะจะทำให้จิตกลับสู่สภาวะปกติ แต่ใจที่โลภเห็นแก่ตนล้วนนำพาให้ใจนั้นแคบ ร้อนรน และทุกข์ร้อน จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง อิบ ปี้ ยา ยา และสลับบีบไหล่คนข้างหน้าและข้างหลัง)
นั่งอยู่ด้วยกันตั้งนาน บางคนเหม็นหน้าคนข้างหน้าจริงๆ เลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า นึกว่าแอบบ่นว่าคนข้างหน้า ว่าเขาจะนั่งหรือเขาจะนอน เอาแต่โยกหลับอยู่นั่นแหละ ใช่ไหม ไม่ได้นะ อยู่ร่วมกันอย่าคิดแต่จะเอาตัวรอดคนเดียว ไม่ได้ อยู่ร่วมกันเราก็ต้องรู้จักเห็นใจและให้อภัยผู้อื่น อยู่ร่วมกันเราจะเอาแต่เห็นแก่ตัว มองแต่ตัวเองไม่ได้ อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนรู้ดีทุกอย่าง แต่บางทีก็คิดไม่ได้ ช่างน่าเสียดายนะ
เกิดเป็นคนนะศิษย์เอย อาจารย์สอนว่า “เรียนรู้จากบำเพ็ญธรรมแล้ว หน้าที่ก็ต้องรู้จักรับผิดชอบให้ดี” เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้กายเนื้อ ถึงเวลาต้องคืนเขาไป สมบัติผลัดกันชม แฟนผลัดกันยืมใช้ จริงไหม บางคนบอกว่าไม่จริง ใช่หรือไม่ จริงๆ นะศิษย์ บางทีก็ต้องทำใจ ถ้าเกิดว่าเขาไม่ใช่คู่เรา เขาจะไปเป็นคู่คนอื่น เราก็ต้องทำใจ เงินยังเปลี่ยนตั้งหลายมือ จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วอะไรคือของเรา มีไหม อะไรที่เราควบคุมได้และอะไรที่เป็นของเรา เราคิดว่าบางครั้งร่างกายนี้คือของเรา ชีวิตคือของเรา แต่จริงๆ แล้วทั้งชีวิตและร่างกายก็หนีไม่พ้นสัจธรรมที่เรียกว่าความจริง มีเปลี่ยนแปลง มีเจ็บ มีพลัดพราก มีดีใจ มีร้องไห้ ฉะนั้นผู้ที่มีสติ ไม่เอาแต่ใช้ความรู้สึกจึงมองเห็นความจริง แต่คนที่เอาแต่ใช้ความรู้สึกก็จะมองไม่เห็นความจริง ก็จะจมอยู่กับความทุกข์ ถูกไหมศิษย์ (ถูก)
บางครั้งเวลาอาจารย์พูดธรรมะไปก็อายตัวเอง ทำไมรู้ไหม เพราะคนที่เข้าถึงธรรมแล้ว เขาจะไม่พูด เขาจะแค่นิ่งเงียบ เพราะยิ่งพูดยิ่งห่างไกลธรรม  แต่ถ้าอาจารย์มาเงียบๆ ศิษย์คงอึดอัด จริงหรือเปล่า (จริง)  แปลกนะคนพูดมากก็ว่าขี้บ่น คนไม่พูดเลยก็รำคาญ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเรามารู้จักตัวตนที่ศิษย์รักกันหนักหนาดีไหม เราทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง แล้วทำไมตอนแรกที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น ศิษย์จำได้ไหม อาจารย์บอกว่า “ทุกข์ไม่มีจริง สุขไม่มีของแท้” ใช่หรือไม่ 
มนุษย์ประมาทในการดำเนินชีวิตจึงบอกว่ามีสิ่งน่ายินดี ส่วนสิ่งที่ไม่น่ารัก ผู้ประมาทในการดำเนินชีวิตจะบอกว่าน่ารัก สิ่งที่ทุกข์ผู้ประมาทในการดำเนินชีวิตบอกว่าเป็นสุข ทำไมอาจารย์พูดอย่างนั้น แล้วจริงๆ มันคืออะไร ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น “ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป” แล้วมีพระพุทธะบอกไหมว่า “สุขเท่านั้นที่เกิดขึ้น สุขเท่านั้นที่ตั้งอยู่ สุขเท่านั้นที่ดับไป” ไม่มีจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมีสุขไหม เกิดก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ แล้วอันนี้เรียกว่าอะไร “กองทุกข์” ฉะนั้นถ้าศิษย์ไปเผลอยึดมั่นถือมั่น ศิษย์ก็กำลังกอดทุกข์ พระพุทธะยังกล่าวอีกว่า ก้อนทุกข์ก้อนนี้เป็นที่รวมของทุกข์ เป็นที่รวมของกรรมเก่า ที่พร้อมกำลังจะสร้างใหม่หรือว่าหยุดเพื่อหมดกรรม ถ้าอยากรู้ว่าเราทำกรรมอะไรมาก็ดูตอนนี้ หน้าตาสวยไหม ผิวพรรณดีไหม คนที่ผิวพรรณละเอียดเนียนนุ่มไม่มีปุไม่มีปะแสดงว่าชาติก่อนไม่เป็นคนที่มักโกรธ อยู่กับใครๆ ก็รัก แปลว่าไม่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา ไม่เคยเจ็บออดๆ แอดๆ แปลว่าสมัยก่อนไม่ค่อยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฉะนั้นถ้าชาติหน้าอยากใช้กรรมอีก อยากผิวสวยอย่าโกรธ ไม่ต้องใช้ครีมบำรุงผิวเลย เหมือนตอนนี้อาจารย์ถามว่าอนาคตแก่แล้วจะหน้าใส ไหม (ไม่)  ถ้าตอนนี้แก่แล้วไม่มักโกรธ จะทำให้เป็นคนที่หน้าแก่ช้า ดีกว่าเสียเงินซื้อครีมกระปุกละหลายพันบาท ไม่อยากเจ็บออดๆ แอดๆ เป็นคนแข็งแรง อย่าเป็นคนขี้อิจฉา อย่าขี้นินทาและอย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เห็นใครได้ดีอนุโมทนาสาธุแล้วจะเป็นคนที่ไปที่ไหนก็ไม่มีใครเกลียดดีไหม (ดี)  ศิษย์อยากได้หรือสร้างกรรมเพื่อรับกรรมต่อ และทำแค่นี้พอไหมไม่พอ สวยก็แล้วอะไรดีก็แล้ว แต่ถ้าเกิดลูกไม่ดี ศิษย์จะต้องสร้างเท่าไรถึงจะได้ครบสมบูรณ์ ทำไมศิษย์ไม่สร้างอะไรที่ไม่ต้องมีกรรมเกี่ยวเนื่องต่อ
แล้วเราจะดับกรรมทั้งมวลได้อย่างไร พระพุทธะกล่าวไว้ประโยคเดียว “อยากหยุดกรรมทั้งมวลจงหยุดที่ผัสสะ” ผัสสะคือความรู้สึกตัว อาจารย์บอกแล้วแค่รู้สึกตัวก็ก่อเกิดเป็นตัวตนมาแบกรับทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนนี้มันถึงเวลามันก็เปลี่ยนแปลงไปและกลับไปสู่ความว่างเปล่า อาจารย์ถามนะศิษย์ มนุษย์ทุกคนหนีความเปลี่ยนแปลงได้ไหม หนีความทุกข์ได้ไหม ฉะนั้นอาจารย์ขออย่างหนึ่งนะศิษย์ ทุกข์ไม่ใช่แปลว่าตาย ตาย ตาย ไม่ใช่ แต่ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยากซึ่งมีอยู่ในทุกชีวิต แต่เมื่อไหร่เราเผลอไปคิด ไปรับรู้ไปยึดมั่นว่า ตัวเองเป็นแบบนั้น ตัวเองเป็นแบบนี้ ก็คือเราเอาใจไปรับทุกข์ ฉะนั้นมันทุกข์ของมันอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปยึดมั่น เราไม่ต้องไปคิดคาดหวัง ยอมรับความจริงแค่นั้นเอง แต่มนุษย์บอกว่า ทำไมๆ แค่คิดว่าทำไมนั่นแหละ ศิษย์เอ๋ยก็ไปรับทุกข์มาเต็มๆ แล้ว ต้องหาเหตุดับทุกข์ แต่ถ้าศิษย์บอกว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง เราไม่ต้องรับทุกข์ เราจบตั้งแต่นั้นเลย ฉะนั้นตัวตนนี้ถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนไปสู่ความว่าง แต่มนุษย์เอาตัวเองที่บอกว่า ฉันเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนอย่างนี้มาครอบไว้ในตัวเอง พอมาครอบไว้ในตัวเอง แล้วก็บอกฉันชอบแบบนั้น ฉันไม่ชอบแบบนี้ ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ เราก็เลยกลายเป็นคนที่ยื่นมือไปรับทุกข์มาเต็มๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับๆ ไปรับมาทำไม ไปยึดมาทำไม มันเกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนะศิษย์ ฉะนั้นวิธีรับมือคือ มีสติ ตื่นรู้ เพราะมีแต่สติตื่นรู้เท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถเผชิญกับทุกสิ่ง ถึงเราได้แค่นี้เราก็จงพอใจในแค่นี้ แล้วก็ไม่ต้องไปยึดมั่นอะไร เพราะถึงเวลามันก็ต้องเปลี่ยนไป จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะยึดทำไมให้ทุกข์
พระพุทธะจึงบอกว่า แล้วอะไรคือของเรา แล้วอะไรคือลูกเรา ในเมื่อตัวเราของเรายังไม่มี แล้วนั่นคือลูกเราหรือ นั่นคือสามีเราหรือ นั่นคือภรรยาเราหรือ มันไม่มีนะศิษย์ จริงไหม (จริง)  ไปให้ถึงที่อาจารย์พูดหน่อยเถอะ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องพยายามดับทุกข์เลย เพราะทุกข์มันดับไปแล้วศิษย์ มันเกิดแล้วมันก็จบ ฉะนั้นพระพุทธะสอนว่า “เมื่ออะไรเกิดขึ้นจงมองอยู่แค่ขณะนี้ แล้วก็รับมันในสิ่งที่เป็นแค่นี้ อย่าไปเพ้อฝันอนาคต อย่าไปยึดติดกับอดีต อย่าไปยึดติดกับความคิด ยึดติดความรู้สึก มันจะทำให้เราหลง และไปรับทุกข์โดยไม่รู้ตัว แค่นี้เท่านี้ดีแล้ว แค่นี้เท่านี้พอแล้ว แค่นี้เท่านี้สุขแล้ว ดีไหม

แล้วเราจะได้ไม่ต้องวิ่ง ไปทุกข์ทำไม แค่เปลี่ยนจากทำไม เป็น เข้าใจ เข้าใจ แล้วก็เข้าใจ เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง เกิดความอยากจนทะเลาะกัน ด่ากัน แล้วได้อะไรมา สมมติอาจารย์หมั่นไส้คนๆ หนึ่ง แม้อาจารย์พูดตั้งนาน ก็นั่งหลับ พูดตั้งนานแล้วยังไม่ตื่นอีก ยังหลับอีก อาจารย์ปาผลไม้ใส่หัวเลยดีไหม ปาให้ตื่นเลยดีไหม (ไม่ดี)  ทำไม (เป็นเช่นนั้นเอง)  ตอบได้ดีนะ ถึงเวลาให้คิดให้ได้อย่างนี้ตลอดนะศิษย์
ถ้าวันหนึ่งศิษย์เจอคนด่าศิษย์อย่างเจ็บปวด คำที่เขาด่าเหมือนผลไม้ที่ลอยมา อาจารย์ถามจริงๆ หลบได้ทำไมไม่หลบ เขาด่าแล้วรับไว้ แล้วบางทีโดนแล้วเจ็บไหม (เจ็บ) เจ็บแล้วเก็บไหม (เก็บ) เก็บมาเสร็จแล้ว ว่างๆ ก็กลับมา (คิด)  “มาทำร้ายฉันทำไม ทำไมชอบทำร้ายฉัน” ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์เทียบง่ายๆ คำด่าคนหลุดออกจากปากเขาเรียกว่าอะไร ขี้ปาก นี่คือขี้ นี่คือปาก รู้ว่าเป็นขี้ปากเขา เก็บไหม (เก็บ) แล้วว่างๆ ก็กลับมาคิด “ด่าฉันทำไม”  ก็คือการเล่นขี้ “ทำไมมันดีกว่าฉันหรือถึงมาด่าฉัน”  พอเล่นขี้เสร็จแล้วปรุงแต่งขี้อีก “เขาก็ไม่ได้ดีกว่าฉันเท่าไรหรอกแก เขาก็แย่พอๆ กับฉันนั่นแหละ” เพิ่มขี้อีก ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  บางทีว่างๆ อดไม่ได้ แบ่งขี้ให้คนอื่นกิน “นี่แก คนนั้นด่าฉันเขาก็ไม่ได้ดีเท่าไรหรอก” เอาไปนะขี้หนึ่งก้อน  “จริงๆ นะคนนั้นก็ไม่ดีนะ ก็ว่าฉัน”  แกเอาไปอีกก้อนหนึ่ง ผู้หญิงเป็นไหม (เป็น)  เล่นขี้เยอะไหม (เยอะ) แถมว่างๆ ขี้เหม็นไหม เจอหน้าเขาปากลับเลย อาจารย์ก็ไม่เข้าใจนะ แต่พูดอย่างนี้ทุกคนเห็นภาพทันที แล้วต่อไปพอใครด่าจะเก็บขี้อีกไหม (ไม่เก็บ)  จำไว้นะ บางอย่างมันเกิดแล้วจบไปแล้ว มันเป็นขี้ไปแล้วนะศิษย์ อย่าไปเก็บมันมา แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์สอนว่าถ้ารู้ว่ามันเป็นขี้อยู่กับเรามันเหม็น ทำไมไม่รู้จักหาประโยชน์อย่างอื่น ขี้พอไปโรยต้นไม้กลายเป็นปุ๋ยดิน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถึงเป็นขี้ก็ยังมีอะไรดีๆ อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพิ่มขี้แล้วเล่นขี้นะ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางใจเป็น เห็นธรรม”)
“ฉลาดแม้ชั่วชีวิต    แต่สิ้นคิดชั่วขณะ
ปล่อยใจตามรู้สึกจะ        ปะทะอารมณ์นอกใน
อย่าอยากจนไม่รู้ตน        อย่าผิดจนหลงไปใหญ่
คิดทำนั้นเอาแต่ใจ        ล้วนใช้ตนทำร้ายตน
รู้วางใจด้วยสติ        ทันรู้ที่ติดในตน
ยั้งก่อนสร้างเหตุตกผล        รู้ตนในตนก่อนทำ
วางเป็นเย็นได้สุขจริง        นิ่งตรองทุกสิ่งมีธรรม
ดีร้ายตนไม่ถลำ            ใช้ธรรมมากกว่าใช้ใจ”
อย่างที่อาจารย์บอกถ้าเราวางใจถูกตั้งแต่ต้น เริ่มต้นถูกเราก็พบทางถูก แต่ถ้าใจวางผิดเราก็จะคิดว่าเราจะเสียสิ่งใดไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากสอนให้ศิษย์รู้ไว้ว่าจริงๆ แล้วแม้กระทั่งใจเราก็ไม่มีให้ต้องวางเลย อยู่กับชีวิตด้วยความว่างไร้ซึ่งตัวตนที่มีหัวใจ เราก็จะไม่ต้องดับทุกข์อะไร ยากหน่อยนะเข้าใจไหม เราใช้ใจมาจนเยอะแล้วนะศิษย์วางเสียบ้าง ให้วางได้จริงๆ 
จริงๆ แล้วใจมันก็ไม่ต่างอะไรกับสรรพสิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ตัวเรามีอยู่อย่างหนึ่งนะที่มันว่างอยู่แล้ว บริสุทธิ์อยู่แล้ว นั่นคือจิตเดิมแท้ที่ศิษย์ได้รับหนึ่งชี้ แต่ความรู้สึกของใจมันครอบงำจนทำให้ศิษย์มองไม่เห็นความว่างที่มีอยู่ในตัว ตน จริงหรือไม่ (จริง)

หนทางการบำเพ็ญคือ “ละบาป บำเพ็ญบุญ ชำระล้างความยึดมั่นถือมั่นความลุ่มหลง ความไม่รู้ ให้เป็นผู้รู้ตื่นและกลับคืนสู่สภาวะจิตเดิมแท้ที่มีอยู่ในตัวตน” และคำว่าเป็นพุทธะก็จะอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน โดยที่ไม่จำเป็นต้องวอนขอใคร แต่เรียกร้องจากตัวเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในตัวเราได้ ค้นหาคัมภีร์ในตน ค้นหาพระพุทธะในตน ค้นหาผู้มีศีลมีธรรมในตน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือเรานั่นเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนฝ่ายชายสองคนที่บอกกับพระอาจารย์ว่าจะตั้งใจเลิกเหล้า กับเลิกชนไก่)
เอาผลไม้ลูกใหญ่หรือลูกเล็ก (ลูกใหญ่) แล้วอีกคนล่ะ (ลูกเล็ก) เสียสละนะ อย่ามัวแต่เห็นแก่ลูกใหญ่ ลูกเล็กนะ รับผลไม้ไปแล้วทำให้ได้นะ ส่วนคนที่ไม่กล้ายืนแปลว่ายังทำไม่ได้หรือ อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาต้องรับผลของการกระทำตัวเอง อย่ามาร้องเรียกอาจารย์นะ เพราะถือว่าอาจารย์ชี้นำทางแล้ว ถึงเวลาถ้าศิษย์ไม่นำพาตัวเอง คนที่ต้องรับผลแห่งกรรมก็คือตัวศิษย์เอง จริงไหม (จริง) อาจารย์ต้องยุติธรรมนะ ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น ตาข่ายฟ้าชัดเจน ฉะนั้นถ้าเราไม่ทำบาป ไม่ก่อเวรกรรม ไม่เบียดเบียนใคร กรรมมันจะมาไวไหมล่ะ เราก็แค่ได้แต่ชดใช้กรรมในอดีต แต่ไม่สร้างกรรมใหม่เพื่อรับผลในอนาคต ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นไม่ว่ากรรมมันจะมาแรงขนาดไหน ศิษย์ชั้นนี้จำไว้นะ หัวใจนักสู้ กล้ายอมรับทุกสิ่งที่เป็นไปเพื่อชดใช้กรรม ด้วยจิตใจที่ให้อภัย ไม่จองเวรจองกรรมตอบ ได้ไหมศิษย์ (ได้) แล้วมีชีวิตอยู่ด้วยรู้จักสำรวม ระมัดระวัง อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์นะ กิเลสอารมณ์ไม่เคยพาให้ใครพ้นทุกข์ได้ การยึดมั่นถือมั่นและหลงตนก็ไม่เคยทำให้ใครพ้นทุกข์ได้ เชื่อไหมล่ะศิษย์ (เชื่อ)
อาจารย์มีคำพูดเยอะแยะ อยากนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังคิดไม่ได้ เอาแต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกก็ยากจะพ้นทุกข์ได้นะ ฉะนั้นถ้าเขาจากไปแล้วไม่กลับมา เราก็ทำตัวให้ดีจนเขาต้องหันกลับมาเสียดายศิษย์ ใช่หรือเปล่า คุณค่าเราอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเพิ่มค่า ส่วนใครที่มีชีวิตคู่ไปแล้วก็ประคองชีวิตให้ดีๆ ส่วนใครที่ยังไม่มีก็คิดให้ดีๆ ก่อนจะมีใคร อาจารย์ก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ว่าอาจารย์แค่อยากบอกศิษย์ว่า แค่ชีวิตเรา เรายังไม่รู้ความแน่นอนและเอาเขามาอีกคนหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมีอีกคนหนึ่ง แล้วก็มีอีกคนหนึ่ง อาจารย์ก็พูดไม่ออกนะ ในเมื่อตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วทำไมศิษย์จึงหาห่วงมาเพิ่ม ใช่หรือไม่ แต่อาจารย์ก็ขัดขวางไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีบุญ มีกรรมกันมา ศิษย์แน่ใจหรือว่ากำลังใช้บุญไม่ใช่ใช้กรรม อาจารย์พูดแบบนี้แปลว่าแฟนฉันเป็นกรรมของฉันแน่ๆ เลย ไม่ใช่อย่างนั้นนะศิษย์ แต่จงทำตัวเองให้มีคุณค่า ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้คนเขารู้สึกว่าใครจะอยู่กับฉันก็ต้องรู้สึกดี ใครจะทิ้งฉันไปก็ต้องรู้สึกเสียดาย ต้องให้ได้อย่างนี้ถึงจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จี้กง
ฉะนั้นเรียนรู้ธรรม หน้าที่ต้องรับผิดชอบ เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตให้เป็น ชั้นนี้อาจารย์ให้เป็นหัวใจนักสู้ อายุขนาดนี้ยังนั่งฟังได้นี่สุดยอดแล้ว ฉะนั้นทุกข์มากกว่านี้ก็สู้ตาย อย่ายอมแพ้ชีวิต มันแค่นี้เอง มันเท่านั้นเอง อย่าปล่อยให้ความทุกข์มันกัดกินใจ เรื่องบางอย่างมันจบไปแล้ว คิดมากไปทุกข์เปล่า ทำไมไม่ดึงให้ตัวเองเจอสิ่งที่สว่าง เจอสิ่งที่สบายใจ หรือยังแกว่งเท้าหาเสี้ยน ใช่ไหมศิษย์ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ ทางบุญมีให้เดิน แต่ทางบาปไม่มีให้เดิน อย่าไปเดินเด็ดขาดนะศิษย์ เพราะเมื่อลงไปแล้วไม่เห็นใครที่จะกลับลำได้ทันสักคน จงทำอะไรด้วยสติอันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของ  พุทธจิตธรรมญาณ นั่นคือสติปัญญาที่พร้อมบริบูรณ์ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ดำรงไว้ซึ่งความว่างสว่างใส
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ เด็กดื้อเอ๋ย ตั้งสตินะทำอะไรคิดให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าทำสิ่งที่ผิด กลับมาอีกนะ รู้เรื่องไหม ลูกเขาลุ้นแทนนะ อย่าดื้อ รู้จักทำแต่สิ่งที่ดีงามชีวิตจะได้ไม่เป็นแบบนี้ เจ็บแล้วต้องจำนะ
อย่าไปแล้วไปเลยนะศิษย์ กลับมาให้อาจารย์เห็นหน้าบ้าง ขอให้แข็งแรง มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดก็ดีแล้วนะศิษย์ มีโอกาสมาฟังให้ครบ อาจารย์ไปแล้วนะ เหนื่อยหน่อยนะถ้าเขาจะต้องเป็นแบบนี้ อย่าร้องไห้ เป็นศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง อาจารย์ยังไม่ร้องไห้ ลุกมาสู้ใหม่อีกครั้งดีไหม เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่ความทุกข์นะเชื่ออาจารย์ อาจารย์ก็คิดถึงศิษย์ แต่ศิษย์เลิกอ่อนแอได้แล้ว เข้มแข็งแล้วห้ามดื้อนะ รู้จักนำพาตัวเองให้ดีระมัดระวังอารมณ์ให้ได้ ดูแลตัวเองดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญไม่อ่อนแอ พรดีๆ อาจารย์มีให้ศิษย์แล้ว
(ตาสว่างขึ้นเยอะ)  ถ้าศิษย์ตาสว่างได้ก็จงรู้จักระมัดระวัง ทำอะไรคิดให้รอบคอบ อย่าใช้อารมณ์นำแต่จงใช้สติ ใช้สติให้มากๆ คิดไตร่ตรองให้ดี พระพุทธะสอนว่าเวลาจะทำอะไรอย่าใช้ความคิด แต่ใช้การพิจารณา ทำแล้วเบียดเบียนไหม ทำแล้วเป็นอกุศลหรือเปล่า ทำแล้วให้ความทุกข์เป็นผลถึงที่สุดไหม หรือให้วิบากกรรมเป็นผล ถ้าทำแล้วได้แบบนั้นจงอย่าทำ พุทธะไม่เคยสอนให้มนุษย์ใช้ความคิด แต่ท่านสอนให้พิจารณาและใช้สติปัญญาที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงจะสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างได้บริบูรณ์และสมบูรณ์ถ้วนทั่ว เชื่ออาจารย์ไหม (เชื่อ)  ถ้าเชื่อศิษย์ก็ไม่ต้องกลัวทุกข์ในโลก แต่ความทุกข์มาเพื่อให้เราเรียนรู้และจบสิ้นทุกข์ ทุกข์ยังไม่ทันเกิดเราก็จบได้ ทันที ยิ่งกว่าเกิดมาเพื่อจบ แต่จบตั้งแต่ยังไม่ทันเกิดเลย จริงไหม (จริง)  เพราะยิ่งเกิดก็มีแต่ทุกข์นะศิษย์เอย ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้สมบูรณ์ เราเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ ผลจะเป็นอย่างไรต้องกล้ารับด้วยหัวใจนักสู้นะศิษย์เอย แล้วอาจารย์จะได้ไปได้อย่างสบายใจ เพราะศิษย์รักของอาจารย์ทำได้ เมื่อศิษย์พ้นทุกข์คนรอบข้างก็พ้นทุกข์ เมื่อศิษย์มีสุขคนรอบข้างก็มีสุขนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางใจเป็น เห็นธรรม”
    ฉลาดแม้ชั่วชีวิต    แต่สิ้นคิดชั่วขณะ
ปล่อยใจตามรู้สึกจะ    ปะทะอารมณ์นอกใน
อย่าอยากจนไม่รู้ตน    อย่าผิดจนหลงไปใหญ่
คิดทำนั้นเอาแต่ใจ    ล้วนใช้ตนทำร้ายตน
    รู้วางใจด้วยสติ    ทันรู้ที่ติดในตน
ยั้งก่อนสร้างเหตุตกผล    รู้ตนในตนก่อนทำ
วางเป็นเย็นได้สุขจริง    นิ่งตรองทุกสิ่งมีธรรม
ดีร้ายตนไม่ถลำ    ใช้ธรรมมากกว่าใช้ใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา