วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

2556-12-07 สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา


西元二○一三年 歲次癸巳十一月初五日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
อย่ายอมแพ้มุ่งมั่นทำสิ่งดีงาม ก้าวให้ข้ามอารมณ์กิเลสที่หลงผิด
ทำเรื่อยเรื่อยไม่หวังผลไม่ยึดติด จนดวงจิตสงบลงไม่วุ่นวาย
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม
ปล่อยความคิดความรู้สึกครอบงำจิต ธรรมศักดิ์สิทธิ์จะว่างแม้คนขวักไขว่
มีกำลังมีปัญญายังไม่เพียงใจ เหมือนได้แต่ไม่ได้เลยสักนิด
ห้ามไม่ให้ขอก็คงไม่ได้ คนใดไม่มีเรื่องเลยสักนิด
คนย่อมมีไม่กิเลสก็หลงผิด อย่ายึดติดความอยากมีขอบศีลธรรม
ชีวิตไร้พอดีแต่มีเขตอุปโลกน์ สุดหล้าโลกประเทศไม่ปล่อยใจต่ำ
โดนทำลายเกินกว้างเคยชินเคยทำ กาลเร็วกว่าใจหยามย่ำคุณค่าตน
ความศรัทธาไม่ต้องใช้เวลาสร้างมา วันเวลาไม่พอคนไม่ฝึกฝน
การบำเพ็ญไม่ใช้เวลาใช้ใจพ้น เปิดประตูรู้จักตนมองทุกสิ่งชัดเจน
สรรพและสิ่งจะเท่าใดนับไม่ได้ เกิดดับเข้าใจสิ่งใดเกิดดับเห็น
รูปนามตามเวลาบำเพ็ญไม่ร้อนเย็น ปลงทุกข์ยึดไม่ต้องเป็นสารพัดมือ
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
(ผู้นำร้องเพลง เพลง ตามองดาวเท้าเหยียบดิน ทำนองเพลง คนบ้านเดียวกัน)
ไปด้วยกันไหม (ไป)  ไปไหน (ไปนิพพาน)  ไปถึงหรือ ถึงไหม (ถึง)  นั่งๆ หลับๆ อย่างนี้ถึงหรือ ยังไม่ทันถึงก็ตกเก้าอี้ก่อนแล้ว บางคนยังไปไม่ถึงไหนเลยนะใช่ไหม (ใช่)  รู้ว่าเหนื่อย รู้ว่าเมื่อย แล้วก็รู้ว่าเบื่อถูกไหม (ถูก)  ลำบากไหมมานั่งฟังธรรมะแบบนี้ (ไม่ลำบาก)  แล้วเมื่อสักครู่ถามว่ารู้ว่าเหนื่อย รู้ว่าเมื่อย รู้ว่าเบื่อ เฉยตลอด แต่ตอนนี้ลำบากไหม ไม่ลำบาก  ตกลงว่าเหนื่อย ว่าเบื่อ ว่าเมื่อยไหม พอทนได้ใช่หรือเปล่า ทนไหวใช่ไหม (ไหว)  อย่างนั้นอยู่จนถึงเที่ยงคืนเลยเอาไหม (เอา)  เราว่าอยู่ถึงเที่ยงคืนคงลงจากเก้าอี้แล้วปูที่นอนนอนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถือว่ามาคุยเล่นกันดีไหม (ดี)  คุยไปเล่นไป ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราบอกว่า “ใช่”  ให้ไม่พูด ปกติอยู่บนโลกบางทีวุ่นวายเพราะได้ยินเสียงคนพูดแล้วก็วุ่นวาย เพราะปากเราพูดใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าบอกว่า “ใช่”  ให้พยักหน้า ถ้าไม่ใช่ให้ส่ายหน้า ได้ไหม (ได้)  อะไรที่เป็นอาการ “ตกลง, ใช่”  ให้พยักหน้า อะไรที่ “ไม่ตกลง, ไม่ใช่”  ให้ส่ายหน้า ดีไหม ฝึกไว้ๆ บางทีปัญหาในโลกหรือชีวิตที่เราวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เพราะอะไร เพราะฟังมากพูดมาก ใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนพยักหน้าตามที่บอก)
ส่วนคนที่ไม่พยักหน้า ไม่ส่ายหัวนี่แปลว่าอะไร ไม่เห็นต้องกลัวเลยถ้าเรารู้จักควบคุมใจเราได้ ถ้าเรารู้จักกุมใจเราอยู่ คนจะพูดร้ายคนจะพูดดีก็ทำร้ายเราไม่ได้ จริงไหม (จริง)  แต่ถึงแม้เราจะรู้จักคนอื่นมากมาย แต่เราห้ามปากตัวเองไม่ได้ ห้ามใจเราคิดร้ายไม่ได้ ฉะนั้นถึงเขาจะพูดดีแต่ใจเราคิดร้าย ปากเราว่าร้าย คนพูดดีไปก็ไม่มีประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่)
เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่า พูดเกินจำเป็นก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือพูดแบบน้ำไหลไฟดับก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกเราพูดน้อยหน่อย ฟังมากหน่อย อาจทำให้เราทุกข์เบาบางลงก็ได้ จริงไหม (จริง)
อย่างนั้นเรามาเล่น อะไรกันเอ่ยดีไหม เพราะว่าท่านฟังมาเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตอนนี้เราเล่นคำถามอะไรเอ่ยที่ บางคราวก็ใหญ่ที่สุด แต่บางคราวก็เล็กที่สุด ตอบได้ได้นั่ง ตอบไม่ได้ยืนต่อไป (ลูกโป่ง)  ใช่หรือไม่ (จิตของเรา)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มมีเสียงแล้วลืมข้อตกลงแล้วนะ อนุญาตให้พูดนะ บางคราวจิตเราก็ใหญ่มากรับอะไรก็รับได้ แบกอะไรก็แบกไหว แต่บางคราวเวลามันหมดกำลังใจ มันท้อแท้แล้ว เชื่อไหมว่าแค่คำพูดคนเดียว เรายังรับไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจิตของมนุษย์บางคราวก็ใหญ่สุด กว้างสุด แต่บางคราวเมื่อหมดอารมณ์ หมดความรู้สึก หน่ายท้อ ก็กลายเป็นสิ่งที่ (เล็กที่สุด) ใครพูดอะไรก็ไม่เข้าหูแล้ว เพราะตอนนี้อารมณ์ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ ได้นั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีอันเดียวเหรอ อะไรในโลกที่บางครั้งก็ใหญ่สุดบางครั้งก็เล็กสุด ชีวิตคน ท่านว่าชีวิตเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีก็ดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่บางทีทำไมถึงดูเหมือนคนเล็กกระจ้อยร่อยนะ บางทีเราเก่งในที่ที่หนึ่ง แต่ไปอยู่อีกที่หนึ่งทำไมเรากลายเป็นคนไม่เก่ง ถูกไหม (ถูก) เหมือนบางทีเราสวยในที่ที่หนึ่ง แต่เมื่อเราไปอยู่อีกที่หนึ่ง เรากลายเป็นงั้นๆ เหมือนเราอยู่ที่นี่เขาว่าเราแก่ แต่เมื่อเราไปอยู่กับคนแก่มากๆ เราอาจจะกลายเป็น (หนุ่ม)  เหมือนกับตอนนี้เรารู้สึกว่าเราแย่ที่สุด แต่เวลาเราไปอยู่ในที่ที่แย่กว่า เราอาจจะกลายเป็นแย่น้อยกว่าคนอื่นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกท่านเวลาที่เรารู้สึกท้อ เวลาที่เรารู้สึกทุกข์ เรากำลังติดอยู่กับภาวะแคบแต่ไม่ได้มองกว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราโดนคนว่าน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ไหวแล้ว รับไม่ได้แล้ว แต่ถ้าคิดให้กว้างๆ ถ้าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เขาโดนหนักกว่านี้ สิ่งที่เราบอกว่ารับไม่ได้ บางทีมันอาจจะแค่ (นิดเดียว)  เพราะเราเห็นแค่เพียงแคบๆ เราไม่มองกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะบอกท่านนะ มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “โลกคืออารมณ์ อารมณ์คือโลก” พระพุทธะจึงสอนว่า “เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นโลกได้ชัด มองได้รอบ อารมณ์จะไม่สามารถครอบงำและทำร้ายจิตใจเราได้” ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่มนุษย์มักจะทุกข์เพราะว่าเห็นแค่นิดๆ มองแค่หน่อยๆ ไม่เคยเปิดใจให้กว้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)
เพราะชีวิตคือกระแสธารที่จะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตราบที่เรายังไม่หมดลมหายใจ ทุกข์นี้อาจจะไม่ใช่ทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด สุขนี้อาจจะไม่ใช่สุขที่เราควรหัวเราะได้เต็มที่ก็ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาเรามองชีวิตเราต้องมองให้กว้าง แล้วก็มองให้รอบ แล้วจะได้ไม่ถูกอารมณ์ครอบงำผิดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอารมณ์ก็เหมือนโลก โลกก็คืออารมณ์ ไม่ใช่การพ้นทุกข์เลยจริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นจำไว้นะสิ่งที่ดูใหญ่ที่สุด ถ้าเรามองให้กว้างอาจจะเล็กสุด สิ่งที่เล็กสุดถ้าเรามองให้ชัดมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ใหญ่สุดก็ได้ ถ้าเราไม่จมอยู่กับความรู้สึก ใช่หรือไม่ เพราะบางครั้งโลกเปลี่ยนชีวิตก็เปลี่ยน ภาวะแวดล้อมก็เปลี่ยนไป เราจะยึดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ ห้ามเปลี่ยน เป็นแบบนี้แล้วจะรู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้เขาชมก็ต้องให้ชมท่านทุกวัน แล้วเป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  อย่างนั้นเราถามท่านนะ อันนี้มองทะลุไปเป็นฟ้า ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นกลางวันก็ฟ้านี้ ถ้าเป็นกลางคืนก็ฟ้านี้ ถ้าเป็นตอนเช้าก็ฟ้านี้ ใช่หรือไม่ ชีวิตเราก็เหมือนกันบางครั้งมีสูง มีต่ำ มีดี มีร้าย แต่ก็คือชีวิต ใช่หรือไม่
ให้สูงโดยไม่ต่ำ ได้ไหม (ไม่ได้)  จะให้สว่างโดยไม่มืด ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเราเลยเป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  ว่าแล้วถ้าพูดแบบนี้ต้องใช่ ให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองเต็มๆ เลย ถูกไหม ใช่บางครั้งท่านอาจจะพูดว่าในเมื่อฟ้ายังมีสว่าง มีมืด มีเช้า มีกลางวัน มีเย็น คนก็มีดี มีร้าย มีได้ มีเสีย มีทุกข์ มีสุข มีชม มีด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่กล้าใช่ ฉะนั้นเมื่อเราหมุนเปลี่ยนไป อันนี้เราหมายความว่านั่นคือชีวิต ถูกไหม แต่ถ้าเกิดว่าเราจะเป็นคนคนหนึ่ง มุ่งมั่นจะทำสิ่งอะไรก็ตามที่ดีงามสิ่งหนึ่ง เราสามวันดีสี่วันไข้อย่างนี้จะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  เขาร้ายมาเราก็ร้ายกลับ อย่างนี้ใช่ดีแท้ไหม (ไม่ดี)  คนดีจริงอย่างไรก็ต้อง (ดี)  ฉะนั้นจะบอกว่าเมื่อฟ้ามีมืดมีสว่างเราก็เลยมีดีบ้าง ไม่ดีบ้างได้หรือ คนละเหตุผลกัน ใช่ไหม (ใช่)  
แต่อันนี้เราเอาไว้สำหรับเวลาเจอคนที่เขาปฏิบัติต่อเรา เขาก็เหมือนฟ้า มีกลางวัน มีกลางคืน มีเช้า มีเย็น ท่านจะได้ทำใจว่าเขาก็ไม่ต่างกับฟ้า ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเวลาเราจะเกลียดเราก็รู้ว่าเราจะเกลียดคน หรือเกลียดกลางวัน หรือกลางคืน ไม่ใช่เหมารวมเกลียดหมด ใช่ไหม (ใช่)  ก็เหมือนกับเวลาเราอยู่กัน ฉะนั้นเวลาเราจะบอกเขา สมมติว่าคนนี้เขาว่าเราแล้วทำให้เราเจ็บปวด เราเกลียดเขาตอนไหน เราเกลียดเขาไม่ได้เกลียดทั้งตัว แต่เกลียดเขาตรงที่คำพูด พูดแล้วทิ่มแทงเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาจะพูดว่าเกลียดใคร ต้องบอกให้เขารู้ด้วยว่าเกลียดตรงไหน เพราะถ้าบอกว่าเกลียดแก เขาก็จะนึกว่าเธอนั่นแหละเกลียดเขาทั้งตัวตน แล้วเขาก็จะบอกว่าเกลียดฉันตรงไหน ฉันทำผิดอะไร ฉันแค่พูดตรงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงอะไรหรืออยากให้เขารู้ว่าเรารับเขาไม่ได้ ตรงไหน ต้องบอกให้ชัดๆ เหมือนเวลาฟ้ามีฟ้าเดียว แต่เราไม่ชอบฟ้าตอนไหน ท่านพูดได้ ไม่ชอบตอน (กลางคืน)  จริงหรือ เห็นกลางคืนชอบเพราะได้นอนตีพุงดูทีวี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกลียดที่สุดคือเวลาเช้า ทั้งรักทั้งเกลียดเลยนะ ใช่ไหม ฉะนั้นคนคนหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรกันที่บางครั้งเราทุกข์เพราะเขา จริงๆ แล้วเราเกลียดเขาจริงๆ ไหม (ไม่)  เหมือนฟ้าตอนเช้ารักก็รักนะ แต่เกลียดก็เกลียดเพราะต้องพยายามลุกขึ้นมาจากที่นอนเพื่อมาทำงาน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลาเราบอกว่าเราไม่ชอบอะไร เมื่อเราเห็นชัดเจนเราก็จะรู้จักได้ว่าสิ่งใดที่เขาเรียกว่าดีและสิ่งใดที่เขาเรียกว่าไม่ดี เวลาเราเกลียดเราจะได้ไม่เกลียดหมดตัวหมดใจ เคยไหมที่เวลาเราเกลียดแล้วหมดตัวเลย ไม่ชอบเลย ซึ่งไม่ดีเพราะทุกคนล้วนมีคุณค่าคนละแบบกัน ใช่ไหม (ใช่)
เห็นชัดว่าฉันชอบอย่างอื่นของคุณหมดเลยนะ ยกเว้นอย่างเดียวคุณพูดแรงมาก สามีบอกภรรยาฉันรักเธอหมดเลยนะ อะไรๆ เธอก็ดี ยกเว้นอย่างเดียวขี้บ่นมาก เขาจะได้รู้ไงว่าเขาจะแก้ตรงไหน ถูกไหม มีใครบ้างเจอหน้ากัน เกลียดตั้งแต่ต้นก็จบกันเลย ไม่ต้องคุยอะไรแล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราบอกให้ชัดว่าฉันรับส่วนนี้ของคุณไม่ได้นะคุณสามี ที่รับไม่ได้เพราะอะไร มีเงินเท่าไหร่ก็ไปแข่งนก ไปซื้อนก รักนกยิ่งกว่ารักฉันอีก แบ่งความรักจากนกมาให้ฉันบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราคุยกันง่าย มองกันให้มองเห็นชัด การจะแก้ไขกัน การจะอยู่ร่วมกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถูกไหม (ถูก)  แต่เดี๋ยวนี้เวลาเราเกลียดเราก็ชอบเหมารวมว่าเกลียดเขาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำไมหรือคนที่เลวร้ายที่สุดพระพุทธะจึงยังให้โอกาสมีลมหายใจอยู่ เคยได้ยินไหมในน้ำเน่าก็ยังมีน้ำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในคนที่อาจจะเลวร้ายที่สุดเขาก็ยังมีส่วนที่ดีเหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่ปิดบังตาไม่ปิดบังใจเกินไป เราก็คงมองเห็นเขาสักวันหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำพูดว่าใต้โลกฟ้านี้ไม่มีใครในโลกที่เกิดมาแล้วไร้คุณค่า ไม่มีประโยชน์ ทุกคนล้วนมีคุณค่า มีประโยชน์แต่อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความคิดโง่ๆ หรืออารมณ์ชั่ววูบ ถูกไหม (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืนหันหน้าเข้าหานักเรียนในชั้นและยกมือซ้าย)
เราถามนะ อันนี้มือ (ซ้าย, ขวา)  ขอท่านยกมือซ้าย ยกด้านนี้สิ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ใช่สิ ก็เราให้ยกมือซ้าย ใช่ไหม แล้วท่านยกมืออะไร (ซ้าย)  ก็ยกด้านนี้สิ เห็นไหม ว่าบางครั้งทำไมเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เราทะเลาะกันเพราะอะไร เพราะเราผิดใช่ไหม (ใช่)  เพราะท่านผิดใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วอันนี้มืออะไร (มือซ้าย, มือขวา)  ยกมือซ้าย นั่นไง ไม่ใช่นะ มือนี้สิ จำไว้นะ บางครั้งที่ทะเลาะกัน ที่ไม่เข้าใจกัน ที่มองไม่ถึงซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างยืนในจุดยืนของตัวเอง จนลืมนึกถึงจุดตรงข้ามหรือเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ จนเอาความคิดตัวเองไปครอบงำคนอื่นว่าต้องอันนี้สิถูก ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองผิดไหม (ไม่ผิด)  แล้วใครผิด มันต้องมีคนหนึ่งผิดสิ  ใช่ไหม (ใช่)  บางทีเราอยู่กันในโลกก็ทะเลาะกันอย่างนี้ ไม่สิ มันต้องมีคนหนึ่งชนะ จะเท่ากันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม
ฉะนั้นเวลาเราทะเลาะกับใครหรือเรารู้อะไรมาแล้วไปเถียงกับเขาหน้าดำคร่ำเคร่ง นึกไว้นะนี้คือมือ (ขวา)  นี่คือมือ (ซ้าย)  แล้วเวลาเขายกล่ะ (ไม่เหมือนกัน)  ทำไมไม่เหมือนกัน (อยู่คนละด้านกัน)  ตอนนี้ตอบได้เก่งกันทั้งนั้นถึงเวลาปัญหาจุกอกเราเคยคิดแบบนั้นไหม (ไม่เคย)  เหมือนที่เขาบอกว่าทำไมเขาคิดอย่างนั้น เขาผิดไหม (ไม่ผิด)  เขาแย่ไหม (ไม่แย่)  แต่บางทีเรานำความคิดเราไปใส่ความคิดเขาหรือเปล่า เรานำความคิดเราไปบังคับความคิดเขาหรือไม่ จำไว้นะเวลาเจอคนคิดต่าง เจอคนมองมุมต่าง เขาอาจจะไม่ผิดก็ได้แต่อยู่คนละฝั่ง อย่างนั้นถ้าวันหนึ่งแก้ไม่ได้เราจะยอมขวาเป็นซ้าย ซ้ายเป็นขวาไหม ยอมไหม (ยอม, ไม่ยอม)  เมื่อไม่ยอมนั่นแหละปัญหาจึงเกิดเพราะบางทีในบ้าน ในสังคม ในครอบครัว ในการทำงาน ไม่ใช่มีหัวสองหัว บางทีต้องเหลือหัวเดียว แล้วใครจะเป็นผู้ยอมซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย แล้วถ้าทุกคนยืนหยัดเป็นกระต่ายขาเดียว “ฉันถูกๆ” แล้วสังคม ครอบครัว จะไปรอดไหม (ไม่รอด)  ฉะนั้นการเรียนรู้บำเพ็ญไม่ใช่แยกไม่ออกอะไรผิด อะไรถูก แต่บางครั้งแยกออกแล้วก็ต้องรู้จักยอมบ้าง ถูกไหม (ถูก)  ถ้ายอมแล้วทำให้ครอบครัวร่มเย็น เราผิดบ้างจะเป็นอะไร ถ้าไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนถูกหรือเปล่า ถ้ายอมแล้วสังคมไปได้ด้วยดียอมผิดบ้างได้ไหม (ได้)  จริงหรือ
เรายังไม่ได้พูดหลักใหญ่นะ เพิ่งพูดเล็กๆ เอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าเห็นนิ้วหรือไม่ บางครั้งเราอยู่ในสังคม ท่านบอกว่า ให้เป็นคนที่ให้รู้จักยอมคนอื่นบ้าง บางครั้งเวลาเรายอมมากๆ แล้วรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าอะไรใช่ไหม (ใช่)  ทำไมต้องยอม ท่านเคยเป็นไหม เวลาอยู่ในที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ในบ้าน บางครั้งเราเหมือนนิ้วก้อยเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีเสียงอะไร บางครั้งเวลาเราเจอหัวหน้าครอบครัวเขามาเบ่งกล้าม มาอวดใหญ่ บางทีเราก็รู้สึกว่ารำคาญแล้วก็รังเกียจหรือบางครั้งก็เบื่อ ใช่ไหม (ใช่)  ทำเป็นใหญ่ ทำเป็นเก่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เราเล่านิทานให้ฟังนะ วันหนึ่งนิ้วก้อยเกิดรังเกียจนิ้วโป้ง ทำเป็นใหญ่ ทำเป็นเก่ง ทำเป็นแน่ แต่ที่ไหนได้ ก็เตี้ยกว่าคนอื่น นิ้วก้อยก็เลยว่าเก่งไปเท่านั้น ดีไปเท่านั้น ที่ไหนได้ก็เตี้ยสุด ใช่ไหม จนวันหนึ่งนิ้วก้อยไม่พอใจนิ้วชี้ ทำเป็นสั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ตัวเองเคยทำได้ไหม ไม่ได้ เอาแต่สั่งๆ ใช่ไหม (ใช่)  เอาแต่สั่งคนอื่นแต่ไม่เคยสั่งตัวเองเลย ทำไม่ได้ดีแต่พูด ใช่ไหม (ใช่)  นิ้วก้อยก็เกลียดนิ้วชี้ พอนิ้วกลาง ถึงเธอจะใหญ่นะ ถึงเธอจะสูงเด่นกว่าคนอื่นนะ แต่ถ้าเธออยู่คนเดียว ใครๆ ก็เกลียดเธอจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถึงจะใหญ่ที่สุด สูงที่สุดแต่ก็กลายเป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่สุด ถูกไหม (ถูก)  นิ้วนาง ใครๆ ก็รัก ทำให้มีที่รัก ทำให้หัวใจอบอุ่นจริงไหม
ฉะนั้นนิ้วก้อย จึงบอกว่า ฉันดีสุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ไม่ถูก)  นิ้วก้อยจึงบอกว่าตัดมันไปทั้งสี่นิ้วเหลือฉันไว้คนเดียวก็พอแล้ว ใครโกรธใครงอน ดีกันนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เพราะมีฉันนะ เจ้านายจึงเป็นที่รักของใครๆ เพราะ (นิ้วก้อย)  ฉะนั้นจึงตัดทิ้งทุกคนเลย ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  รำคาญทุกคนเลย เกลียดทุกคนเลยรักตัวเองคนเดียว ใช่หรือไม่  (ไม่ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นหรือไม่ (ไม่เป็น)  ไม่เป็นหรือ เห็นบางทีอยู่บนโลก เบื่อหน่าย ไม่ได้ดั่งใจ ไม่เห็นใครได้เรื่องสักคน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนโน้นนะติได้หมด คนนั้นนะติได้หมด คนนี้ดีจริงๆ เลย ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วเราชอบเป็นแบบนั้นหรือไม่ (ไม่เป็น)  อย่างนั้นหรือ ไม่เคยว่าใครเลย ไม่เคยรังเกียจใครเลย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือการอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยเห็นคุณค่าเขา เสมอเหมือนคุณค่าเรา ไม่รังเกียจใคร นี่แหละเรียกว่าการบำเพ็ญธรรม เพราะแต่ละคนก็มีความสำคัญ มีข้อดีคนละอย่างกัน จึงรวมเรียกว่าชีวิตเขาเหมือนชีวิตเรา บางครั้งเราเกลียดช่วงนี้ เราชอบช่วงนี้ เราไม่ชอบช่วงนั้น แต่จริงๆ แล้วถ้าไม่มีช่วงนี้ ไม่มีช่วงนั้น จะทำให้เรามีชีวิตหรือไม่ (ไม่มี)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เราได้เรียนรู้คุณค่าแห่งชีวิต อย่ารังเกียจใครและไม่ควรรักใครมากเกินไป เพราะสิ่งที่รักที่สุด พอถึงเวลาช่วงหนึ่งก็อาจจะทำให้เราผิดหวังที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อก่อนเคยมีชีวิตอยู่ด้วยการปล่อยตัวเองตามอารมณ์ ความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อก่อนเคยมีลมหายใจอยู่ตามความอยาก อยากกินก็ไป (กิน)  อยากนอนก็ (นอน)  อยากโมโหก็ (โมโห)  อยากด่าก็ (ด่า)  น่ากลัวจริงๆ เลย ฉะนั้นพอเรามีความรู้สึกอะไรเราก็ปล่อยความรู้สึกตามตัวเองตลอด แต่พอมาบำเพ็ญ พระพุทธะสอนว่า “ควรจะตัดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ให้เบาบางลง” แต่ท่านก็บอกว่า “จะตัดทำไม มันต้องมีอยาก ไม่อยากเหมือนขาดอะไรไปในหัวใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เฉยๆ ไม่อยากเลย รู้สึกเหมือนตายด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่คนมักจะมองตรงกันข้าม ถ้าไม่อยากก็กลายเป็นคนตายด้านไม่มีความรู้สึก แต่การศึกษาบำเพ็ญก็คือให้มีชีวิตอยู่ด้วยหัวใจอิสระ ไม่ใช่ปล่อยตัวเองไปตามความอยากได้ อยากมีจนเกินไป แต่เป็นหัวใจอิสระที่ได้หรือไม่ได้ก็ไม่โกรธ มีหรือไม่มีก็ไม่ชังไม่โลภ มองเห็นความอยากในโลกนี้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น มีชีวิตหมุนกลิ้งไปตามสภาวะความเป็นจริงมากกว่าความอยาก ถ้าเป็นแบบนี้ทำได้หรือไม่ (ได้)  อย่างนั้นหมายความว่าถ้าตอนนี้อยากโมโห อยากมีเงินก็จะ (ไม่อยาก)  รู้หรือไม่เงินนะ พระพุทธองค์บอกว่ามันคืออสรพิษ และรู้หรือไม่เงินทองปราญช์โบราณบอกว่ามันเป็นสิ่งที่คอยดูดวิญญาณคน อยากได้เงินหรือไม่ พูดขนาดนี้ก็ยังอยากได้ อย่างนั้นเราจะบอกให้ก่อนว่าเพราะอะไรเกิดเป็นคนจะต้องรู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลง อยากรู้หรือไม่
สาเหตุแรกก็คือเพราะมีกิเลสจึงมีทุกข์ กิเลสที่เรียกว่าโลภ โกรธ หลง มีเมื่อไรคนนั้นต้องทุกข์เมื่อนั้นนี่คือข้อแรก แล้วเมื่อมีทุกข์แล้วก็หนีไม่พ้นบุญ บาป กุศล อกุศล กรรมเวรและการเวียนว่าย นี่คือสาเหตุที่ทำไมพระพุทธะถึงบอกว่าให้รู้จักตัด ให้รู้จักเบาโลภ โกรธ หลงเพราะว่าถ้าไม่เบา ไม่ตัดโลภ โกรธ หลง อย่างแรกคือทุกข์ อย่างที่สองคือบุญบาป เวรกรรม อกุศลกรรม กุศลกรรมและการเวียนว่าย ถ้าพูดตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจก็ยังอยากอยู่ดี ใช่หรือไม่
สาเหตุที่สองแต่ก่อนนี้เคยคิดว่าไม่มีเงินแล้วทุกข์ แล้วคิดว่ามีเงินแล้วจะสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถามว่าตอนนี้มีเงินสุขหรือไม่ (ไม่สุข)  แล้วตอนนี้ยิ่งวิ่งตามความอยาก สุขกว่าเดิมหรือไม่ ฉะนั้นพุทธะก็เลยสรุปว่า จะอยากหรือไร้อยากก็ให้ทุกข์ไม่ต่างกันเลย ถ้ามีแล้วมันยิ่งทุกข์ ฉะนั้นมีน้อยๆ ทุกข์น้อยๆ ยังอยากอยู่อีกหรือไม่ (อยาก)  ก็ยังอยากอยู่ดีใช่หรือไม่ เรารู้ว่าอย่างไรท่านก็ยังอยาก
เหตุผลที่สามรู้หรือไม่ว่าอยากมากๆ แล้วจะทำให้กลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เวลาเราอยากมากๆ ใจก็จะไม่บริสุทธิ์ ความคิดก็จะไม่ยุติธรรม ใช่หรือไม่ แล้วพออยากทำอะไรสักอย่างแล้วต้องสำเร็จล้มเหลวไม่ได้ ความอยากเกิดขึ้นเมื่อไร ปัญญาย่อมถูกปิดกั้นเมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอบอกว่าต้องสำเร็จแล้วล้มเหลวไม่ได้ พอจะเจอล้มเหลวก็บอกว่าไม่เอาๆ ฉะนั้นความอยากนอกจากจะปิดกั้นปัญญาแล้ว ความอยากยังทำลายความกล้าหาญที่ทำให้ท่านไม่สามารถสู้กับความจริงด้วย ฉะนั้นแค่หนึ่งอยาก หนึ่งสูญเสียความยุติธรรม สองสูญเสียปัญญา สามสูญเสียความกล้าหาญ สี่ปิดบังดวงตาตัวเองไม่มองโลกอยู่บนความจริง ได้แต่ต้องอยากสำเร็จๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากหรือไม่ (ไม่อยาก)  จริงหรือ
นั่งตรงนี้อึดอัดไหม ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไม่ร้อนอย่างนั้นปิดพัดลมนะ ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า ถ้าอยากฝึกฝนบำเพ็ญ ถ้าอยากมีชีวิตอยู่แล้วไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากปิดบังตัวเอง แล้วดำเนินชีวิตจนหน้ามืดตามัว จงรู้จักควบคุมความอยากให้ดี ไม่อย่างนั้นความอยากที่เรียกว่าโลภ โกรธ หลง จะทำร้ายชีวิตเราให้ตายทั้งเป็น จริงไหม (จริง)
เคยไหมเวลาเรามีอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วเราหยุดมันได้ เคยหยุดได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นใครเคยกินเนื้อต่อไปไม่กินเนื้อได้ไหม (ได้)  แต่ก่อนเคยโกรธต่อไปจะไม่โกรธ ได้ใช่ไหม (ได้)  ถ้าเบาได้ก็ดีนะ ถ้าเราจะบอกว่าความอยากล่ะมันก็มีดีนะ มันเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์ แต่อย่าลืมนะความอยากก็เป็นต้นตอรากเหง้าแห่งความชั่วร้าย ฉะนั้นอยากมีดีกับมีร้ายอยู่พร้อมๆ กัน ถ้าคิดว่าตัวเองควบคุมเป็นก็อยากไปเลย แต่ถ้าคิดว่าตัวเองควบคุมไม่เป็นหยุดอยากก่อนดีไหม เพราะถ้าหยุดได้ทันก็ยังสูญเสียความดีในหัวใจน้อย แต่ถ้าปล่อยตัวเองอยากแล้วไม่เคยหยุดเลย การจะรักษาความดีนั้นเป็นเรื่องยาก จริงไหม (จริง)  
ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อก่อนนี้เราเกิดมาพร้อมกับขวดเหล้ากับสูบบุหรี่ไหม (ไม่)  ไม่เป็นใช่หรือไม่ อย่างนั้นฝ่ายชายถามหน่อย ตอนแรกๆ ก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก กินเหล้านิดหน่อยๆ สูบบุหรี่นิดหน่อยๆ แต่ทำไมตอนนี้นิดหน่อยๆ แต่หยุดไม่ได้หรือ มันเริ่มมาจากนิดหน่อยๆ ใช่ไหม ลองหน่อยนะ กรึ๊บเดียว เป๊กเดียว แต่ทำไมตอนนี้เป๊กเดียวมันวางไม่ลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรีบหยุดก่อนที่จะอยาก อย่าคิดว่าอยากแล้วจะรักษาความดีได้ ไม่มีทางจริงไหม (จริง)  ฝ่ายผู้หญิงคิดว่าความโกรธควบคุมได้ไหม (ได้)  โกรธนิดเดียวไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  แต่เคยไหมโกรธแล้วลงไม่ได้ (เคย)  โกรธแล้วพาลมันจะลงอย่างไรดี มันโมโหไปแล้ว จะมาหัวเราะก็ไม่ได้มันกำลังตึงอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดว่า โลภ โกรธ หลงมีแล้วจะหยุดได้ทัน เพราะเราเห็นหลายคนมีแล้วคุมไม่ได้ เอาไม่อยู่ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอยากห่างไกลความทุกข์ความชั่วความผิดบาปทั้งมวล หยุดมันเสียตั้งแต่ก่อนที่จะโลภ โกรธ หลง ให้ผลเป็นบาป เป็นความชั่วแล้วค่อยมาทำดีอย่างนี้สายไปนะ จริงไหม (จริง)
ถ้าเราไปตบหน้าคน เพียงแค่ขอโทษจะหายไหม ตอนที่บอกขอโทษหน้ายังสั่นริกๆ อยู่เลย ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นตอนที่ไปฆ่าเขา ไปทำเขา แล้วค่อยมาทำดีคืน มันชดใช้กันได้หรือ (ไม่ได้)  แล้วทำไมยังกินอยู่ล่ะ ถูกไหม แค่ตบเรายังแค้นจะตาย ใช่ไหม (ใช่)  ขอโทษครั้งเดียวหายไหม ต้องขอโทษกี่จบ ไม่มีวันจบด้วย เจอหน้าเมื่อไหร่จำได้เลย ฉะนั้นหยุดมันตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดเรื่อง แล้วทำอย่างไร อยากรู้วิธีควบคุมโลภ โกรธ หลงไหม (อยากรู้)  แบมือ กุมมือ เปิดตา ปิดตา เปิดปาก ปิดปาก ทำไมควบคุมได้หมด แต่สิ่งหนึ่งที่เราควบคุมไม่ได้คือใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แล้วรู้อะไรทำให้เราพ้นทุกข์ คิดได้ไหม
เอาวิธียากก่อนหรือเอาวิธีง่ายก่อน (เอายากก่อน)  รู้ไหมว่าถ้าตัดได้ตั้งแต่อันแรกนะ จะสามารถตัดภพ ตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วย เคยได้ยินไหม ตามหลักพุทธะสอนไว้ว่าเมื่อมีรูปจึงมีเวทนา เมื่อมีเวทนาจึงมีสังขาร มีสังขารจึงมีวิญญาณ มีวิญญาณจึงมีภพ ชาติ ชรา มรณา ถูกไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ภพ ชาติ ชรา มรณา ฉะนั้นถ้าตัดตั้งแต่ต้น จะได้ไม่เกิดภพชาติ ชรา มรณา เราก็ต้องตัดตั้งแต่รูป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าเรามีทุกข์เพราะเรายึดมั่นรูป เห็นรูปก็
ยึดมั่น พอยึดมั่นเสร็จก็กลายเป็นเวทนาคือรู้สึก รู้สึกเสร็จก็ติดในสัญญาที่ว่าถ้าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ แล้วก็เกิดเป็นสังขารก็คือกลายเป็นร่างกายเรา เห็นไหมพอมีรูป แล้วเรายึดรูป แล้วมีความรู้สึก รวมก่อเป็นตัวตน ใช่ไหม แล้วตัวตนนี้ก็บอกว่าถ้าแบบนี้ฉันชอบ แบบนี้ฉันไม่ชอบเรียกว่าตัวฉัน แบบนี้นิสัยฉัน ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่ฉันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะตัดตั้งแต่แรกคือตัดตั้งแต่ (รูป)  แล้วตัดได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ต้องตัดเดี๋ยวมันก็ตายถูกไหม (ถูก)  ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรกับมันเลย แค่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เห็นรูปมาก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เดี๋ยวเขาก็ตาย ไม่เขาตายเราก็ตาย ไม่มีอะไรยึด จบตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราไม่จบ เอาเก็บเอามาเกี่ยวหมดเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวิธีที่ยากที่สุดคือวิธีที่ง่ายที่สุด ยากไหม
(ไม่ยาก)  เพราะจริงๆ แล้วเราเกิดดับๆ ตายอยู่ตลอดเวลานะ แต่เรามักจะไม่ยอมตาย ยังยึดอยู่ยังอยากอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก็เลยทุกข์ อยากตัดภพตัดชาติก็ต้องตัดตั้งแต่เห็นรูป เห็นรูปก็ไม่ใช่รูป เดี๋ยวมันก็ตายจริงไหม (จริง)
เอาวิธีง่ายสุดหรือไม่ (เอา)  วิธีที่ง่ายที่สุดคือวิธีที่ยากที่สุด เพราะมนุษย์ทำไม่ได้เลยสักทีเชื่อไหม (เชื่อ)  แค่มีสติรู้ เวลาโกรธมา รู้ก่อนโกรธไหม รู้ตอนไหน ตอนโกรธแล้ว แล้วลงไม่ได้ ลงอย่างไรดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนอยากแล้วหยุดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะสอนไว้ว่า วิธีที่ยากที่สุดแต่อาจจะเป็นง่ายที่สุด วิธีก็คือ เมื่อไรที่โกรธแล้ว สงบมีสติแล้วนิ่ง ตอนที่เวลาโกรธมาอย่าไปเกลียดมัน อย่าผลักไสมันไปไกลๆ  อย่าไปพยายามกดมันหรือเหยียบมันไว้ ไม่ใช่วิธีที่ถูก วิธีที่ถูกคือ พอโกรธมา เธอโกรธหรือ เธอโกรธก็โกรธไป ฉันไม่เอา เธออยากโกรธหรือ โกรธไป ฉันไม่เกี่ยว อยู่กับมันดีๆ รักมันนะ โกรธหรือ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย อยากโกรธก็โกรธไปเถอะ เดี๋ยวมันก็หายเชื่อไหม แต่ถ้าเวลาเราโกรธ โกรธเลยๆ เหยียบไว้ อย่าโกรธๆ ยิ่งเหยียบไว้มันยิ่งอึดอัดมันอยากออกมาใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมันอยากโกรธ โกรธเลย แกโกรธ ฉันไม่โกรธ แกเอา ฉันไม่เอา แกอยาก ฉันไม่อยาก เกิดเมื่อไรเห็นเมื่อนั้น อารมณ์มาเมื่อไร เห็นเมื่อนั้น เห็นทุกๆ วัน เห็นมันบ่อยๆ เห็นจนรู้สึกว่าจะเอาอะไรนักหนา เหนื่อยแล้ว จริงไหม (จริง)  จะโกรธอะไรนักหนาแก่แล้วใช่ไหม (ใช่)  จะอยากอะไรนักหนาแก่แล้ว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราเห็นบ่อยๆ เราจะไม่เอา เพราะเห็นบ่อยๆ มันไม่เที่ยง พอมันไม่เที่ยงเราจะเริ่มมองความจริง แล้วเราจะรู้ว่า โลภ โกรธ หลง อยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่เอา แล้วโลภ โกรธ หลง มันไม่ใช่สิ่งที่มีมาตั้งแต่แรก มันมาเพราะโดนกระทบใช่ไหม (ใช่)  มันมีมาเพราะว่า จำที่พูดตั้งแต่ต้นได้ไหม เรามองเห็นไม่ชัด มองโลกไม่กว้าง เราจึงกลับไปตั้งแต่ต้น ที่พระพุทธะสอนไว้ว่า “ถ้าเมื่อใดมนุษย์เห็นโลกชัด เห็นโลกรอบ เราจะไม่วิ่งไปตามความอยากเลย” เพราะว่าแค่ปรากฎการณ์ชั่วประเดี๋ยวเดียว เมื่อเกิดความอยากแล้ว เดินผ่านไปเห็นเสื้อตัวหนึ่งก็คิดว่าถ้าใส่เสื้อตัวนี้แล้ว ฉันจะสวย ฉันจะดี กลับบ้านไปนอนฝันถึงเสื้อตัวนั้น ต้องกลับไปเอาเสื้อตัวนั้นมา พอใส่แล้วเป็นอย่างไร เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)
อันโลภ โกรธ หลง อยากได้ก็เอามันไปนะ แต่ถ้าเอามันไปแล้วทุกข์ อย่ามาขอให้เราช่วยนะ เพราะเราบอกเหตุผลแล้วว่าอยากแล้วไม่ดี แล้วท่านรู้ไหมว่า พระพุทธองค์สอนไว้ว่า “เมื่อไรที่ยินดีกับสิ่งที่ตาเห็น หูฟัง ใจสัมผัส ลิ้นรับรส เมื่อนั้นท่านจะถูกข่มเหงได้ง่าย” ยินดีในสิ่งที่ตาเห็น ก็แปลว่ายินดีให้ถูกข่มเหง ยินดีในสิ่งที่หูฟังก็แปลว่า ยินดีที่จะให้ถูกคนพูดข่มเหง ผู้ใดที่ยังชื่นชมกับสิ่งที่ตาดู หูฟัง ผู้นั้นคือผู้ที่ชื่นชมกับความทุกข์ ใช่ไหม ฉะนั้นใครชมมาก็ดีใจ ใครว่ามาก็เสียใจ นี่คือเราชื่นชมไปตามสิ่งที่ตาดู หูฟัง แล้วใจยึดติดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น พระพุทธะบอกอย่าไปชื่นชมมันนะ เพราะว่ามันไม่เที่ยงเลย ฉะนั้น อย่าให้ปรากฎกาณ์เพียงแค่ชั่ววูบมันครอบงำใจ แล้วก็ปล่อยให้ใจเริงร่าไปกับสิ่งที่ครอบงำ ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตคือกระแสธารที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่สิ้น เราไม่ได้จบตรงนี้ แล้วเรียกว่าสุข เราไม่ได้จบตรงนี้แล้วเรียกว่าทุกข์ บางทีถ้ามองไปเรื่อยๆ สิ่งที่สุขอาจจะกลายเป็นทุกข์ และสิ่งที่บอกว่าวันนี้ทุกข์พอมองไปอีกวันหนึ่งอาจจะกลายเป็นสุขก็ได้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้น มองให้กว้างๆ  แล้วเราจะมองเห็นโลกใบนี้ด้วยปัญญา และความตื่นรู้อันบริสุทธิ์ ไม่อยากได้อะไรเลย เพราะอยากได้มาแล้ว เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย ใช่ไหม ฉะนั้น นิทานเรื่องสุดท้ายที่เราจะเล่าให้ท่านฟัง ก็คือเงินดูดวิญญาณ อยากฟังไหม (อยากฟัง)  เพราะถึงที่สุดอย่างไรก็ยังอยากได้เงินใช่ไหม (ใช่)
ถึงสุดท้ายก็กลายเป็นนิสัยแล้วก็ตัวตนที่ว่าฉันเป็นคนขี้บ่น ฉันเป็นคนขี้โมโห ฉันเป็นคนดื้อไม่ฟังใคร ใช่หรือไม่ แถมไปเอาอารมณ์นั้นมาเป็นตัวเป็นตนให้ยึดมั่น พอยึดมั่นเป็นรูปก็เกิดเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ชาติ ภพ ชรา มรณา ไม่จบสิ้น เล่านิทานก่อนกลับดีไหม เบื่อแล้วหรือยัง (ยัง)  แก่เท่าไรก็เหมือนเด็กนะ
ถ้าสมมติว่ามีบ้านหลังหนึ่ง เจอหีบทองคำอยู่ใต้ถุนบ้าน ท่านคิดว่าเขาจะเก็บไว้ไหม (เก็บ)  ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ใช่ไหม แต่ผู้หญิงคนนี้เขาจำคำที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพุทธะสอนได้ว่า เงินทองคืออสรพิษ เงินทองคือสิ่งที่ดูดวิญญาณ เขากลัวอันหลังมาก เขากลัวว่ามันจะดูดวิญญาณอย่างไร เขาจึงไปบอกเพื่อนบ้าน มีทองอยู่ใต้ถุนบ้าน ไม่อยากได้เลย ช่วยจัดการให้ด้วย มีชายที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่สี่คน เดี๋ยวจัดการให้เธอไปเถอะ ปล่อยให้สี่คนจัดการ สองคนก็บอกว่าเรามาเลี้ยงฉลองกันดีกว่า ผู้หญิงคนนั้นโง่จริงๆ ไม่เอาทอง เราเอาทองกันสี่คน อีกสองคนก็เลยบอกว่า ให้สองคนไปซื้ออาหารมาฉลองกัน ส่วนเราสองคนจะขุดต่อเผื่อเจออีกลัง เห็นหนึ่งลังยังไม่พอ จะขุดต่ออีก เผื่อว่าจะมีอีก สองคนที่เดินไปตลาดบอกว่าเอาอย่างนี้ไหม เราแอบซื้อยาพิษใส่อาหารให้อีกสองคนกิน จากสี่คนก็เหลือสองคน  ส่วนอีกสองคนที่ขุดอยู่แบ่งสี่ก็เยอะไป เดี๋ยวสองคนกลับมาเราฆ่าเขาเลยดีไหม พอสองคนที่ไปตลาดกลับมาก็โดนสองคนที่กำลังขุดเอาจอบทุบตายเลย  พอเหลือสองคนก็หัวเราะดีใจ ขุดแล้วเหนื่อยมากินข้าวฉลองกัน เป็นอย่างไร ก็ตายสุดท้ายก็ตายทั้งหมดสี่คน พอผู้หญิงกลับมาก็ดูดวิญญาณไปทั้งหมดเลยจริงๆ สี่คน เขาจะเก็บทองไว้ไหม คิดให้ดีๆ นะ มีเยอะแล้วคิดว่ามีความสุข ใช่ว่ายิ่งมีเยอะยิ่งดูดวิญญาณแห่งชีวิตให้เราตกเป็นทาสไม่จบไม่สิ้น ต้องเลี้ยงกันแล้วเลี้ยงกันอีก หนึ่งร้อยก็แล้ว สองร้อยก็แล้ว หยุดไหม หยุดไม่ได้ สามร้อยแล้วก็หยุดไม่ได้
ฉะนั้นนิทานนี้สุดท้ายเตือนว่า อย่าให้มีเงิน อย่าให้รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อมีแล้วต้องคุมได้ เพราะถ้าคุมไม่ได้คงจะต้องทุกข์จนวันตาย ฉะนั้นเห็นก่อนที่จะทำให้เราทุกข์ดีไหม เบาบางก่อนที่จะทำให้เราซ้ำใจ ไม่ใช่เพราะรักหรือที่ทำให้เราปวดใจ เพราะโกรธหรือที่เราเสียใจ คิดให้ดีๆ นะ
วันนี้จบหน้าที่เราแล้ว ถึงเวลาคงมีโอกาสมาผูกบุญกันนะ คิดให้ดีๆ ก่อนที่จะมีโลภ โกรธ หลง ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่พ้นทุกข์บนโลกใบนี้ ก่อนจะมีมัน ก็คิดเสียว่า มีแต่ไม่เอา ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนให้ว่า ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด ใช้ศีลธรรมเป็นกรอบควบคุมความประพฤติ ใช้สมาธิเป็นตัวทำให้จิตใจต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว ใช้ปัญญาเพื่อทำให้จิตแจ้งโลกใบนี้ ไม่หลงตกเป็นทาสรับใช้ การเกิดของชาตินี้ จึงเป็นการเกิดที่ไม่ต้องเวียนว่ายอีกต่อไป อย่าทำบุญเพื่อหวังสวรรค์เมื่อตอนตาย ทำไมจึงไม่ทำบุญและสร้างสวรรค์ตอนเป็น ฉะนั้นสร้างสวรรค์บนดิน แล้วสวรรค์บนฟ้าจึงมี แต่ถ้าตอนนี้สร้างนรกแล้วค่อยไปทำบุญเพื่อหวังสวรรค์ไม่มีหรอกนะ ไปแล้ว



วันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หลายเรื่องติดถือมั่นจนเป็นทุกข์ ปรารถนาสุขผ่านมาเพื่อผ่านไปหรือ
ดินสู่ฟ้าบันไดเป็นสายสุดมือ บำเพ็ญคือโลกีย์ไม่ย้อมใจเดิมไป
เพื่อช่วยคนปวารณาอย่ารู้โรยรา มีเมตตาใจสูงค่ายอมกันง่าย
แม้ชีวิตแค่หนึ่งแลกกับการให้ ฟ้าฝนลมแรงกับเวไนยด้วยปณิธาน
เราคือ
อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจื้อเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม

บำเพ็ญหาใช่แก้ที่ใครเขา ศิษย์ต้องรู้ทันตัวเราก่อนก่อเข็ญ
ไม่ตีกรอบยึดมั่นจนเกินจำเป็น หากเขาเป็นได้แค่นั้นต้องเข้าใจ
นิ้วยาวสั้นคนแตกต่างการบ่มเพาะ จะเหมาะเจาะสอดคล้องหาที่ไหน
ตลอดทั่วฟ้าทั่วแผ่นดินจะมีใคร ที่เป็นได้ดั่งใจศิษย์ทุกครา
เก่งภายนอกแต่อย่าลืมลงแรงใจ คนแสนดีแต่ทำไมทุกข์ท้อหนา
รู้ตื่นธรรมขุดรากเหง้าอวิชชา มีสตินำปัญญาพาชีวิตไกล
อย่าได้ลืมหลักแห่งสัจธรรม อนิจจังไม่เที่ยงมีคือไร้
ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ยึดติดไม่ผลักไสอิสระจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้กินอิ่มไหม (อิ่ม)  วันนี้อากาศเย็นใช่ไหม (ใช่)  ไม่ร้อนเหมือนเมื่อวานใช่หรือเปล่า ไหนใครรู้สึกว่าวันนี้นั่งแล้วสบายขึ้น ยกมือขึ้น ที่สบายเพราะอากาศหรือเปล่า อากาศก็มีผลกับใจเหมือนกันใช่ไหม อากาศเย็นใจก็ (เย็น)  อากาศร้อนใจก็ (ร้อน)  ว่าอย่างไร อากาศเย็นใจก็ (เย็น)  อากาศร้อนใจก็ (เย็น)  ขี้โม้จังเลย เห็นอากาศร้อนใจก็ (เย็น)  ยังเย็นอีกนะ ให้เย็นได้จริงๆ ตลอดนะ เราอยู่ในโลกนี้ที่วุ่นวายที่มีเรื่องก็เพราะว่าความใจร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเย็นจะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  แล้วใจเย็นหรือใจร้อน (ใจเย็น)  แปลว่าตัวเองไม่ผิดเลยใช่ไหมศิษย์ ดีหมดทุกอย่างใช่ไหม (ใช่)  ถ้าดีแล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  
แล้ววันนี้กินอิ่มแล้วใช่ไหม (ใช่)  ฟังธรรมอิ่มหรือยัง อิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมอิ่มแล้วหรือ (ยัง)  ยังไม่อิ่ม อาจารย์บอกอะไรอย่างหนึ่ง มีคำพูดคำหนึ่งที่อาจารย์ได้ยินบ่อยๆ “คนบางคนเข้าวัดแต่มาไม่ถึงวัด”  เคยได้ยินไหม (เคยได้ยิน)  มาไหว้พระแต่ใจไม่ถึง (พระ)  ที่บอกว่ามาเข้าวัดแล้วไม่ถึงวัด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทั้งๆ ที่มาวัดแล้วจะสงบ กลับกลายเป็นมาวัดแล้วแอบนั่งรวมกลุ่มกันนินทาคนอื่น หรือนินทาใครไม่ได้ก็นินทาพระอีก บาปไหม (บาป)  อย่างนี้เข้ามาวัดถึงวัดไหม (ไม่ถึง)  แล้วใครล่ะเข้ามาถึงห้องพระแล้วมาไม่ถึงห้องพระ มีอยู่เต็มเลยเพราะแอบนั่งคุยนั่งโม้ ไม่ยอมทำอะไร พอถึงเวลาก็ไปกิน ถึงเวลาล้างจานก็ปล่อยคนอื่นล้างจาน ไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้เขาเรียกว่ามาถึงห้องพระแต่ไม่ถึง (ห้องพระ)  ใช่ไหม (ใช่)  ไหว้พระแล้วใจถึงพระไหม (ไม่ถึง)
ถ้าถึงพระต้องได้ความสงบกลับบ้าน ถ้าถึงพระต้องได้ความเป็นพุทธะเข้ามาสู่ใจ แต่ว่าถ้าเสร็จแล้วได้อะไรกลับไป (พุทธะ)  เห็นกลับไปเหมือนเดิม ศิษย์เคยเห็นไก่ที่อยู่ในวัดไหม อยู่ในวัดแท้ๆ กลับไม่ได้อะไร วันๆ มัวแต่ทำอะไร (เขี่ยอาหาร)  ฉะนั้นเข้าวัดแล้วไม่ถึงวัดเอาแต่เขี่ยข้างนอก ไหว้พระแต่ใจไม่ถึงพระ แปลว่าใจมัวแต่มองข้างนอก ใช่ไหม
สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดคือความทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  เรากลัวความพลัดพรากความสูญเสีย เรากลัวการดูถูกดูแคลน  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่าสิ่งที่แย่ที่สุด เราสามารถรับได้ แบกไหว แล้วในโลกนี้อะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราขุ่นได้อีก ถ้าอาจารย์ถอดถุงเท้าวางบนศีรษะ  
(พระอาจารย์เมตตาถอดถุงเท้าแล้วนำไปวางไว้บนศีรษะของท่าน)
ถ้าอาจารย์วางแบบนี้เป็นอย่างไร  อาจารย์จึงอยากเปรียบเทียบให้ศิษย์ฟังว่า ถ้าสิ่งที่แย่ที่สุด ศิษย์กล้าแบกรับมันได้ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ไม่ทุกข์ ไม่แยก แล้วอะไรในโลกจะน่ากลัวอีกจริงไหม (จริง)  ถุงเท้าข้างเดียวพอไหม เอาอีกข้างหนึ่งเลยดีไหม ฉะนั้นถ้าสิ่งที่แย่ที่สุดเรากำมันได้ เรากุมมันอยู่ เราไม่กลัวมันอีกต่อไป ใดๆ ในโลกจะทำให้ศิษย์ต้องเจ็บปวดและร้าวรานใจเล่า จริงไหม (จริง)
ถ้าถามว่าให้นำถุงเท้าไปวางบนหัวศิษย์ ศิษย์เอาไหม เอาถุงเท้าตัวเองก็ได้ไม่ต้องเอาของอาจารย์ เอาไหม (ไม่เอา)  ทำไมหรือศิษย์ ถ้าไม่มีเท้าเราจะยืนได้หรือ  ถ้าไม่มีพื้นดินที่กล้าแบกรับความสกปรก เราจะมีที่ให้เรายืนบนโลกใบนี้ไหม ฉะนั้นกลัวอะไรกับสิ่งที่สกปรกถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมีคนเอาอะไรมาเหยียบหน้าเราหรือเอาอะไรมาทำให้เราเจ็บปวด เราจะเจ็บตรงไหนในเมื่อสิ่งที่แย่ที่สุดเรายังแบกรับมันได้ ในเมื่อสิ่งที่ต่ำที่สุดเรายังไม่ถือสาหาความจริงไหม (จริง)  แล้วมันคือสิ่งที่ต่ำที่สุดหรือ (ไม่ใช่)  เหมือนเท้าเราเกลียดมันจังเลย ไม่มีเท้าจะยืนได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีเท้าก็เป็นอัมพาตแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมต้องรังเกียจ ทำไมต้องยึดติดยึดมั่นให้ตัวเองต้องทุกข์ แล้วเรากล้ารับไหม เรามองเห็นความจริงในโลกแล้วเราแบกรับไหวไหม เพราะขึ้นว่าชีวิตเราไม่สามารถคาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นถ้าในช่วงชีวิตหนึ่ง สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ศิษย์กลัวที่สุด สิ่งที่ต่ำเตี้ยที่สุด ศิษย์กลับรับได้ ศิษย์กลับแบกไหว ศิษย์กลับมีความสุข แล้วอะไรในโลกจะน่ากลัวอีก แล้วอะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ทุกข์ได้จะมีไหม (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ศึกษาธรรมไม่ใช่ให้เราหนีความจริง หนีสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่น่ากลัว แต่การเรียนรู้ศึกษาธรรมคือทำให้เรากล้าที่จะยืนต่อสู้กับความจริงบนโลกนี้ จนเกิดปัญญาและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์  ทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ตายกันเลยเดี๋ยวนี้เอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าตายแล้วได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อาจารย์ก็เอา ถ้าตายแล้วตามกิเลส ตามอารมณ์ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเดี๋ยวนี้เราตามพุทธะหรือตามกิเลสอารมณ์ (ตามกิเลส,ตามพุทธะ) จริงหรือ ใช่หรือไม่
เพื่อช่วยคนปวารณาอย่ารู้โรยรา” ฉะนั้นถ้าศิษย์กล้าที่จะไปช่วยเหลือผู้อื่น ทุกข์ใดๆ ในโลกศิษย์จะต้องแบกรับมันให้ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งที่แย่ที่สุดศิษย์ก็ต้องฝ่าเผชิญมันให้ได้ แล้วเมื่อศิษย์เผชิญได้พอใครจะทุกข์มากขนาดไหน ศิษย์ก็จะช่วยเขาได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ไม่ใช่ว่าตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วเมื่อไปช่วยใครก็กลายเป็นไม่รอดกันทั้งหมด น่าสงสารนะ ใช่ไหม (ใช่)  ใครอยากได้ถุงเท้าอาจารย์ไหม มีคนอยากได้ด้วยนะ ถ้าอยากได้ระหว่างอาจารย์อยู่ที่นี่ ต้องแบกถุงเท้าไว้ก่อนนะ วางไว้บนหัวจนกว่าอาจารย์จะกลับกล้าไหม (กล้า)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ถามศิษย์รักทุกคน คิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  จริงหรือ (จริง)  เวลาทุกข์ค่อยคิดถึงไหม
กราบรับพระอาจารย์ ยินดีรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ก่อนที่จะฟังธรรมะกัน อาจารย์ชวนออกกำลังกายหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)
บำเพ็ญหาใช่แก้ที่ใครเขา ศิษย์ต้องรู้ทันตัวเราก่อนก่อเข็ญ
“ไม่ตีกรอบยึดมั่นจนเกินจำเป็น หากเขาเป็นได้แค่นั้นต้องเข้าใจ”
สมมติเวลาเราเห็นใครไม่ได้ดั่งใจเรา บางครั้งเราท้อ เราหน่าย เราเบื่อใช่ไหม (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ไปแก้ใครเขานะ แต่แก้ที่ตัวเราก่อน ส่วนใครจะได้แค่ไหนก็เรื่องของเขาถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราต้องเจอคนคนหนึ่งที่ต่ำกว่ามาตราฐานที่เราคิดล่ะ เราจะทำอย่างไรดี หากเขาเป็นได้แค่นั้นต้องตัดใจ ทำใจ หรือเข้าใจ (เข้าใจ)  หากเขาเป็นได้แค่นั้นต้องเข้าใจ จำไว้นะ หากลูกได้แค่นั้นต้อง (เข้าใจ)  หากสามีได้แค่นั้นต้อง (ทำใจ)  หากภรรยาได้แค่นี้ต้อง (ทำใจ)  ใช่ไหม หากเพื่อนได้แค่นี้ต้อง (เข้าใจ)  หากหัวหน้าได้แค่นี้ต้อง (เข้าใจ)  ให้จริงๆ นะ เพราะถ้าเข้าใจเราจะไม่ถือโทษโกรธเขา แต่ถ้าพยายามทำใจ ทำใจ ทำยากใช่ไหม (ใช่)  ทำไปนานๆ ก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็พร้อมจะมีเรื่องทางใจใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากนั่งหรืออยากยืน (อยากนั่ง)  อยากนั่งหรือ (อยากนั่ง)  ให้ตัวเองนั่งหรือให้คนอื่นนั่ง (ให้ตัวเองนั่ง)  อาจารย์ต้องทำใจ อาจารย์ต้องเข้าใจใช่ไหม (ใช่)  บางทีที่มนุษย์เราทะเลาะกัน คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะต่างคนต่างมองแต่ตัวเอง ลืมคิดถึงผู้อื่นหรือเปล่า ต่างคนต่างห่วงแต่ความสุขของตัวเองจนลืมนึกถึงความสุขของผู้อื่นบ้างไหมหนอ อาจารย์ถามใหม่นะ อยากนั่งไหม (อยาก)  ให้ตัวเองนั่งหรือให้ใครนั่ง (ให้อาจารย์นั่ง)  ให้อาจารย์นั่งหรือ
จงคิดถึงผู้อื่นก่อนบ้างนะไม่อย่างนั้นแล้วความอยากของเราก็อาจจะทำให้ เราทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามใหม่นะ ตอนนี้อยากให้ใครนั่ง (นักเรียน) ไม่เก่งกว่าอาจารย์เลย คิดให้มากกว่าอาจารย์หนึ่งก้าวสิ ทำอย่างไรที่คิดแล้วทั้งคนอื่นและตัวเราก็พ้นทุกข์ อยากให้ใครนั่ง (ทุกคนนั่ง)  กว่าจะคิดได้ การคิดถึงทุกๆ คนอย่างน้อยเราก็ไม่เดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเอาแต่คิดถึงตัวเองไม่คิดถึงคนอื่นเขาก็ว่าเราเห็นแก่ตัว คิดถึงคนอื่นจนลืมคิดถึงตัวเองก็ทำร้ายตัวเองเกินไปใช่ไหม ฉะนั้นจะคิดอะไรก็คิดรวมๆ ใครนั่ง (ทุกคนนั่ง)  เชิญศิษย์รักนั่งลงได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนชาย, นักเรียนหญิง, ผู้ร่วมฟังและผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาหน้าชั้น)
รู้ไหมออกมาทำอะไร อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าอาจารย์มีความอยากอย่างหนึ่ง อาจารย์มาถึงนี่แล้วอาจารย์ยังไม่ได้ลงไปสัมผัสทะเลทรายเลยใช่ไหม อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ไปไม่ถึงสักที อย่างนั้นอาจารย์ยืมมือศิษย์ไปช่วยหยิบทรายที่เปียกน้ำมาให้อาจารย์หน่อยได้ ไหม (ได้)  จะหยิบมาอย่างไรก็ได้แต่หยิบมาให้อาจารย์  พร้อมไหม (พร้อม)  อาจารย์นับหนึ่งถึงสิบทันไหม (ไม่ทัน)  ฝ่ายชายยืนเงียบเลยศิษย์ทันไหม ฝ่ายหญิงไม่ทันฝ่ายชายบอกว่าทัน ทันไหม (ไม่ทัน)  ทำไมยอมแพ้ล่ะเขาสองคนบอกทันนะ อย่างนั้นสองท่านอาจารย์ให้หนึ่งถึงสิบ ตั้งแต่หัวหน้าลงไป นักเรียน ผู้ปฎิบัติงานธรรมหญิงไหวไหม สิบ ไหวหรืออย่างนั้นมาอยู่ฝั่งนี้ ตั้งแต่หัวหน้าไปจนนักเรียนฝ่ายหญิงถึงผู้ร่วมฟังฝ่ายหญิงอาจารย์ให้หนึ่ง ถึงยี่สิบนะ รีบไปแล้วรีบกลับมานะ พร้อมหรือยัง
(หัวหน้าห้องถามพระอาจารย์ว่า พระอาจารย์นับช้าหรือนับเร็ว)  หัวหน้ามีปัญญานะ อาจารย์นับช้าหรือนับเร็วเข้าใจถามนะ แล้วจะให้นับช้าหรือเร็วดีล่ะ (ถ้าช้าทัน ถ้าเร็วไม่ทัน)  ทันสิบหรือทันยี่สิบ (ทันสิบก็ได้ถ้านับช้าๆ) ช้าแบบไหน หนึ่ง สอง หรือหนึ่งสองสาม อาจารย์ว่าอันนั้นห้าก็กลับมาแล้วล่ะใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาหนึ่งแล้วสองสามสี่ห้านับเป็นสองไหวไหม พร้อมนะ สิบเหมือนกันนะ
ต่างคนต่างหยิบนะ ต่างคนต่างช่วยตัวเองก่อนนะ พร้อมหรือยัง (พร้อม)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม ออกไปเก็บทรายที่ทะเล นักเรียนฝ่ายชายและนักเรียนฝ่ายหญิงเก็บทรายมาได้คนละสีกัน ซึ่งสีทรายที่ฝ่ายชายเก็บมาได้จะเป็นสีดำกว่าของฝ่ายหญิง)
แอบลักไก่ไปไม่ถึงทะเลใช่ไหม (ใช่)  พระอาจารย์ให้ไปหาครั้งที่สอง แต่ต้องได้มากกว่าครั้งที่หนึ่ง ไหวไหม (ไหว)  แต่ครั้งนี้อาจารย์จะไม่จับเวลา ให้ศิษย์ดูนะว่าการดิ้นรนแสวงหาของในโลกนี้มันเหนื่อยมากใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะรู้ว่าพอยิ่งหาแล้วจะยิ่งต้องได้มากกว่าเดิมมันทั้งเหนื่อยขนาดไหน
โดยส่วนใหญ่มนุษย์มีความปรารถนา มีความต้องการ ถูกไหมศิษย์ หามาได้หนึ่งครั้งที่สองต้องไม่ต่ำกว่าครั้งที่หนึ่งใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะมีความสุขใช่ไหม (ใช่)  ห้ามน้อยกว่าถ้าไม่น้อยก็ต้องเหมือนพอๆ ดีกับครั้งแรกใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าน้อยกว่าครั้งแรกเราจะรู้สึกกว่าทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  มันแย่ใช่ไหม (ใช่)  
(นักเรียนในชั้นที่ไปเก็บทรายกลับมา และได้ทรายมาเยอะกว่าเดิม)
ไหน หัวหน้าได้เยอะกว่าเดิมไหม (นี่ไม่ใช่ทรายทะเลครับอาจารย์ เป็นทรายน้ำจืด)  ทรายน้ำจืดก็น้ำจืด ใครไม่ได้ทรายมาก็ไม่เป็นไร แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าบางครั้งมนุษย์เรามีความยึดมั่น มีความอยากได้ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  เมื่อศิษย์อยากได้สิ่งหนึ่ง การจะหาอีกสิ่งหนึ่งเมื่อสักครู่อาจารย์บอกนักเรียนในชั้นแล้ว ต้องหาได้มากกว่าเดิม ใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าสุข ถ้าไม่มากกว่าเดิมอย่างน้อยก็ต้องเสมอตัว ใช่ไหม ถ้าเกิดไม่เสมอตัวต่ำกว่านี้จากสุขจะกลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าเราอยู่ในโลกแสวงน้อยตั้งแต่แรก ถ้าหามาได้ครั้งหนึ่งจะน้อยกว่าหรือมากกว่า มันก็คงไม่ทุกข์มาก ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกคนเมื่อเริ่มต้นแสวงก็ต้องมาก ใช่ไหม (ใช่)  พอครั้งต่อไปก็ต้องยิ่งมากกว่ามาก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากถามก่อน จะอยากเยอะๆ โลภเยอะๆ คิดดูด้วยนะว่าสภาพตัวเองไหวไหม ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์บอกว่าไหวแต่บางครั้ง เวลามันมีให้ศิษย์ไหม (มี)  อย่าลืมนะผมทองไปก่อนผมขาวก็มี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่วิ่งตามความอยากจนเหนื่อย และทำร้ายตัวเองจนลืมไปว่า หยุดบ้างไม่ได้หรือ พอบ้างไม่ได้หรือ แล้วความอยากจะได้ไม่ฆ่าเราให้เหนื่อยแทบตาย จริงไหม (จริง)  แล้วหยุดได้ไหม (ได้)  วันไหนหยุดไม่ได้ แต่สองวันนี้อาจารย์ก็เห็นศิษย์หยุดได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่ใช่หยุดสองวันนี้วันจันทร์กลับไปจะทำชดเชย อย่างนี้หยุดไปก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วบางทีความอยากของศิษย์เทียบกับครั้งที่แล้วยังไม่พอ ยังไปเทียบกับคนอื่น หาเท่านี้ว่าเยอะแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ว่าเยอะไหม (ยังไม่เยอะแต่ว่าพอ)  แต่บางคนเขาหาเท่านี้ก็ว่าเยอะแล้ว พอไปเห็นข้างๆ อายไหม (ไม่อาย)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ถามคนบ้านเราถูกหวยสองตัว แต่บ้านเค้าถูกหวยสามตัวทุกข์ไหม ใช่ไหม ฉะนั้นจำไว้นะก่อนจะดิ้นรนวิ่งแสวงหา อย่าลืมดูด้วย สภาพตัวเองไหวไหม แล้วอย่าลืมดูใจตัวเองถ้าหามาครั้งหนึ่งแล้ว เราต้องตกเป็นทาสหาอยู่ร่ำไปไหม หามาแล้วผลสุดท้ายก็ทุกข์
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนวงคำในพระโอวาท)
เมื่อสักครู่พูดอะไรง่ายๆ เข้าใจได้  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์พูดอะไรยาวๆ ไหวไหม คงไม่ยากเกินที่ศิษย์จะพยายามตามให้ทันได้นะ อาจารย์บอกว่าแต่ก่อนนั้น จิตของศิษย์ทุกคน ว่างเปล่าบริสุทธิ์ แต่เพราะความอยากจึงทำให้มองสรรพสิ่งอย่างบิดเบี้ยวและประพฤติตนเหินห่างจาก ความจริงแท้แห่งชีวิตใช่ไหม (ใช่)  และเพราะความอยากนี้เองทำให้เราเหินห่างจากความจริงแท้ แล้วความอยากอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากทำให้เราทุกข์ เป็นต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะอยากเลยยึด อยากยึดก็ทุกข์ ถ้าพูดอย่างนี้เหมือนเราไม่ค่อยรู้สึก ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ  มีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์อยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ตอนเวลาอยากได้ ใจก็เต้นตุ๊บๆ ต่อมๆ จะได้ไม่ได้หนอ พอจะได้ไม่ได้ ก็เริ่มวิตกกังวล จะได้ไหมหนอ ในเมื่อฉันอยากฉันทำเต็มที่ ต้องได้สิ หวังว่าต้องได้ แต่พอไม่ได้ล่ะ ไม่เอากลัว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมีความอยากเกิดขึ้น ความอยากจึงเป็นต้นเหตุให้บดบังสติปัญญาอันสมบูรณ์แท้ แล้วพออยากมากๆ เข้าทำให้ปิดบังตามองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นการที่เราอยากอะไรสักอย่างหนึ่งเราจึงต้องรู้จักระมัดระวังให้จงหนัก แต่ถามว่าเราระมัดระวังความอยากไหม ก็ไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมีความวิตกทุกข์ร้อน เมื่อวิตกทุกข์ร้อนเราจึงกลุ้มกังวล เมื่อกลุ้มกังวล ปัญญาจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างแจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์มันมาจากอยากจริงไหม (จริง)  ถ้าต้นเหตุแห่งความทุกข์มันมาจากอยากจริงๆ แล้วอาจารย์ถามว่า (พระอาจารย์เมตตาหยิบสาลี่ขึ้นมา)  อยากได้ไหม (อยาก)  อาจารย์ถามนะว่า ถ้าสาลี่ลูกนี้กินแล้วเจ็บ กินแล้วตาย อยากได้ไหม (ไม่อยาก)  ทำไมล่ะศิษย์  แปลว่าถ้าสิ่งใดที่เราอยากแล้วเรารู้ชัด เห็นชัด เราจะไม่อยากมันถูกไหม (ถูก)  ถ้ากินแล้วสูญเสีย กินแล้วพลัดพราก กินแล้วต้องเจ็บ กินแล้วต้องป่วย กินไหม (ไม่กิน)  เอาไหม (ไม่เอา)  ตอบชัดถ้อยชัดคำมากเลย
อาจารย์ถามนะ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงในชั้นยืนขึ้น)
ถ้ามีแล้วทุกข์ มีแล้วเจ็บปวด มีไหม (ไม่มี)
(มีนักเรียนคนหนึ่งตอบว่า มีไปแล้ว)  คิดไว้แล้วว่าจะมีหรือไม่มี มีไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นแปลว่ามนุษย์ตัดความอยากใดๆ ในโลกหมดได้ ถ้าเราเห็นชัด ใช่ไหม (ใช่)  รู้แล้วชัดใช่ไหม (ใช่)  (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนผู้ชาย)  เอาไหม (เอา,ไม่เอา)  แปลว่าเราเห็นชัดรู้ชัดไหม ถ้าเกิดว่ามีแล้วเขาจะฆ่าศิษย์ให้เจ็บปวดตายทั้งเป็นยังจะเอาอีกหรือ ทำไมไม่เอาแล้วล่ะ เมื่อสักครู่ยังตอบชัดถ้อยชัดคำ (ก็ไม่รู้ว่าจะโดนฆ่า)  ฆ่าทางกายกับฆ่าทางใจอะไรเจ็บกว่ากัน (ฆ่าทางใจ)   แล้วศิษย์จะสามารถเห็นเขาทั้งตัวไหม ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้จักโลก ก่อนที่ศิษย์จะไปอยากมันมา แล้วบอกว่ามีความสุข ศิษย์แน่ใจหรือว่าเห็นเขาชัด ศิษย์แน่ใจหรือว่าความอยากในโลกที่ศิษย์อยากได้ ศิษย์รู้จักมันชัด รู้ไหม (ไม่รู้)  แล้วยังเอาไหม (ไม่เอา)  ใช่หรือ เมื่อวานเซียนน้อยบอกว่า เงินดูดวิญญาณ เอาไหม เอา  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก่อนที่จะเรียกว่าตัณหา แล้วมาเป็นอุปาทาน ท่านบอกว่าต้นเหตุแห่งความทุกข์อันแรกคือ อวิชชา เพราะไม่รู้ชัดจึงอยาก เพราะอยากจึงยึด ฉะนั้นถ้าเรารู้ชัด เราจะอยาก เราจะยึดไหมศิษย์ (ไม่ยึด)  อยากไหม (ไม่อยาก)
ยึดไหม (ไม่ยึด)  เอาไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นวันนี้อาจารย์จะทำน้ำมนต์แจกใครจะเอาบ้าง เอาไหม (เอา)  ไม่อยาก ไม่ยึด ไม่เอา แต่น้ำมนต์เอา ตกลงลูกศิษย์อาจารย์เป็นยังไงหรือ ฉะนั้นถ้าอยากแก้ต้นเหตุแห่งความทุกข์ เราต้องรู้อะไร แล้วพ้นทุกข์ รู้อะไรแล้วอยากแล้วไม่ทำให้เจ็บปวดและเป็นทุกข์ รู้อะไร รู้ไหม รู้อะไร (รู้วิชา)  รู้วิชา ตอบได้ดี  และวิชาอะไรที่รู้แล้วไม่ทุกข์ ใครตอบอาจารย์ได้ อาจารย์จะให้แอปเปิลกินแล้วตาย กลัวทำไมหรือศิษย์ ใครๆ ก็ต้อง (ตาย)  กินแล้วเจ็บกลัวทำไมหรือศิษย์ใครๆ ก็ต้อง (เจ็บ)  แล้วกลัวไหม (กลัว) เอาไหม (เอา)  แต่ไม่แน่อาจจะเจ็บก่อนเจ็บนะ ฉะนั้นใดๆ ในโลกไม่น่ากลัวเท่าหัวใจที่ไม่รู้จักระมัดระวัง ให้ดำรงชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท ใช่ไหม (ใช่)  เจ็บก็เป็นธรรมดา ตายก็เป็นธรรมดา คนเราเกิดมาต้องเจ็บต้องตาย ที่กลัวคือกลัวใจตัวเองไม่สู้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อกี้อาจารย์ก็บอกตั้งแต่ต้น ถ้าสิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ทุกข์ที่สุดศิษย์กล้าแบกรับ แล้วใดๆ ในโลกก็จะไม่น่ากลัว จิตที่แย่ที่สุดศิษย์ยังรับไหว แล้วอะไรในโลกจะแย่ไปกว่านี้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นอะไรหรือ (การรู้จักปล่อยวาง)  การรู้จัก (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าจะรับและยึดแอปเปิลลูกนี้ ศิษย์ต้องกล้าที่จะยอมรับความตาย และความเจ็บปวด กล้ารับไหม (กล้า)  แล้วเมื่อกี้บอกให้รู้จักปล่อยวางแล้วกล้ารับเฉยเลยนะ พูดเองขัดกันเองนะศิษย์เอ๋ย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้องปล่อยไป ยึดมันทำไมตั้งแต่ต้น เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าเราไม่ยึดตั้งแต่ต้นจะมีอะไรที่ทำให้เราทำใจ ปล่อยมัน วางมัน มีไหม (ไม่มี)  เพราะศิษย์ไม่เอามันตั้งแต่แรกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปล่อยหรือยึด (ปล่อย)  เอาหรือไม่ (ไม่เอา)  ฉะนั้นพูดได้ทำให้ได้นะ ถ้าอยากยึด อย่าลืมต้องรู้ปล่อยให้เป็น ไม่อย่างนั้นความยึดจะทำให้เราเจ็บปวด ยึดตรงไหนปล่อยตรงนั้น จริงไหม (จริง)
(อาจารย์ไม่ได้บอกหัวหน้าบอก อาจารย์บอกว่า)  ถ้าเราเห็นชัดตั้งแต่แรก เราก็จะไม่อยาก แล้วเราก็จะไม่หลงยึด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์เคยได้ยินไหม ทุกสิ่งมีการเกิดขึ้น และมีการดับเป็น (ธรรมดา)  ใช่หรือไม่ ธรรมารมณ์ทั้งปวงไม่ควรยึดติดถือมั่น สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงหนอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมอย่างแรกที่เราได้ ที่เราควรรู้ไว้และลืมไม่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรในโลกมั่นคง ถูกไหม (ถูก)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้นความรู้อะไรที่จะทำให้เราไม่อยากมากเกินไป นั่นก็คือ ถ้าอยากแล้วสิ่งที่อยากมันไม่มั่นคง ศิษย์อยากมันไหม (ไม่อยาก)  เอาไหม (ไม่เอา)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  ตัวล่ะยึดไหม (ไม่ยึด)  อยากไหม (ไม่อยาก)  จริงหรือ
ธรรมอย่างที่สอง ธรรมที่สอนให้เรารู้และทำให้เราไม่อยากและยึดคืออะไร ใครพอรู้บ้าง ไม่มีอะไรในโลกเป็นของเรา ใช่ไหม (ใช่)  อันนี้ของเราไหม (ไม่ใช่)  ตัวนี้ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  ใครด่าโกรธไหม (ไม่โกรธ)  จึงมีคำพูดบอกว่า สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ฟังด้วยหู แน่ใจหรือว่าเราเห็นชัด รู้ชัด เข้าใจชัดมั่นใจไหม (ไม่มั่นใจ)  เหมือนอาจารย์เปรียบเทียบ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้นเรียน)
อาจารย์อยากให้ศิษย์ช่วยอาจารย์อย่างหนึ่ง เดี๋ยวลงไปข้างล่าง ศิษย์ไปดูสิว่า มีคนเท่าไหร่ รีบลงไป นับมาแล้วบอกอาจารย์ ให้ไปเห็นกับตาเลย ดีไหม (ดี)  รีบไปรีบมานะ
เราว่าเราเห็นชัดรู้ชัด แน่ใจหรือว่าเราไม่ถูกหลอกลวงใช่ไหม (ใช่)  เดี๋ยวรบกวนศิษย์ลงไปดูใหม่อีกทีหนึ่ง ศิษย์ว่าจะเห็นเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ทำไมหรือ (ทุกอย่างไม่เที่ยง)  ทุกอย่างไม่เที่ยงใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นทำไมเวลาอะไรมันไม่เที่ยง ทำไมศิษย์บอกว่าไม่ได้ ไม่จริง ทั้งที่จริงๆ มันจริงอยู่ขณะนั้นใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตมันไม่เที่ยง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงในชั้นอีกท่านหนึ่งลงไปนับจำนวนคนข้างล่าง)
นับได้ไหมว่ามีกี่คน นักเรียนที่ลงไปดูแล้วกลับมาตอบมีผู้หญิงกับผู้ชายสองคนมีผู้หญิงกับผู้ชายสองคนเอง ลงไปดูตรงไหนมาศิษย์  อาจารย์ว่าในชั้นนี้มีนักเรียนทั้งหมด และก็ผู้ร่วมปฏิบัติงานธรรมทั้งหมดกี่คน (สองคน)  อาจารย์พักสูดลมหายใจก่อน  เขาบอกว่าสองคนก็ไม่ผิดนะใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดคนมีเยอะแต่เขาเห็นแค่นี้จะไปว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเราเห็นกับตา ได้ยินกับหู สัมผัสกับใจว่าใช่มันเป็นอย่างนี้ แต่อย่าลืมว่าความจริงแล้วเราไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ เลยสักทีไม่ว่าคน ไม่ว่าสิ่งของ ไม่ว่าสิ่งใดๆ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าเมื่อเรานิ่งเราจะเห็นสรรพสิ่งเคลื่อนไหว แต่เมื่อเราเคลื่อนไหวเราเหมือนเห็นสรรพสิ่งนิ่งทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้นิ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ความยึดมั่นจึงทำให้เรามองไม่เห็นความจริงแท้อย่างแน่ชัดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์แน่ใจหรือว่าข้างล่างมีสอง (แน่ใจ)  ยังยืนยันอีกว่ามีแค่สอง เมื่อสักครู่อาจารย์ยังส่งไปอีกหนึ่งคนดูซิว่าเขาจะตอบเหมือนศิษย์ไหม
อาจารย์ ส่งคนแรกไปนับว่าข้างล่างมีกี่คน  เขาบอกว่าข้างล่างมีสอง อาจารย์เลยส่งไปอีกคน ถ้าสองคนทำไมไปนานจังนะ ศิษย์แม้บางครั้งเราพูดว่าเรารู้ เราเห็นแต่บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็ได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ในโลกอย่ายึดติดความรู้ ความเข้าใจ จนบังตาอย่ายึดมั่นกับสิ่งที่ตัวเองรู้จนมองเห็นโลกใบนี้ไม่แจ่มชัดใช่ไหม (ใช่)  กี่คนนะศิษย์ จากสองกลายเป็นสองร้อย มานี่สิศิษย์ ศิษย์นับข้างบนหรือข้างล่าง เขาบอกสองร้อยแต่คนนี้สองคน อาจารย์ควรเชื่อใคร ไม่เชื่อใครสักคน แล้วศิษย์ควรให้อาจารย์เชื่อไหม อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ตัวตนนี้ที่ศิษย์รักหนักหนา มันคือของศิษย์ มันคือตัวศิษย์ ศิษย์ว่ามันใช่ของศิษย์ไหม (ไม่ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกไปวงพระโอวาทหน้าชั้น)
อาจารย์ทวน กลับใหม่นะ มนุษย์ทุกข์เพราะอยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราสามารถรู้ชัดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันมีดีมีร้ายอย่างไร ความอยากก็คงไม่ทำให้เราต้องตกเป็นทาสอยู่ร่ำไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้อะไรล่ะที่ทำให้เราไม่อยากแล้วตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ (ความอยาก, รู้ด้วยปัญญา,  รู้วิชา)  แล้ววิชาอะไรที่ทำให้เราไม่อยากและตกเป็น ทาสของกิเลสอารมณ์ นั่นก็คือวิชาแห่งความจริงของสรรพชีวิต ไม่ใช่แค่สิ่งภายนอกแต่รวมทั้งตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์หลายคนก็บอกอาจารย์ว่าอาจารย์อยากนิดอยากหน่อยจะเป็นอะไรใช่ไหม (ใช่) ความอยากเป็นอะไร (กิเลส) กิเลสเป็นอะไร เป็นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างให้อีกง่ายๆ ที่อาจารย์ชอบทำเสมอๆ  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายคนหนึ่งยืนขึ้น)  อาจารย์จะบอกให้ว่าแค่ความอยากอันเดียวนะศิษย์มันก่อทุกข์ก่อเวรก่อกรรมมากมายขนาดไหน สมมติว่าอาจารย์มีชีวิตอยู่ปกติ อยู่คนเดียวอาจารย์เหงาอาจารย์อยากหาลูกศิษย์มาช่วยเหลือดูแลอาจารย์หน่อย แรกๆ ก็ว่าดูดี  อะไรก็ดูดีไปหมดเลยอะไรก็น่ารักไปหมดอยู่กันมา โอ้โหบุญจริงๆ มีศิษย์คนนี้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมบุญพออยู่ไปนานๆ บุญมันเริ่มเป็น (บาป)  กรรมอะไรนะมีศิษย์คนนี้ใช่ไหม กรรมเลยกลายเป็นบาปพอเป็นบาปแล้วกลายเป็น (ทุกข์)  พอเป็นทุกข์เวรอะไรหนอต้องมาเจอกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าลืมนะว่าแค่ความอยากตามมาด้วยเวรกรรม พอเวรกรรมเสร็จตามมาด้วยทุกข์  แล้วทุกข์เสร็จแล้วจบไหม (ไม่จบ) เวียนอยู่นั่นเดี๋ยวกรรมเดี๋ยวเวร บุญอะไรกรรมอะไรใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอยากดีไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากตั้งแต่แรกเราก็ตัดเวรตัดกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์เคยไหมเพราะกรรมอะไรของศิษย์ก็ไม่รู้ เลยทำอย่างไรดีเข้าวัดดีกว่าเผื่อจะสบายใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วกลับมากรรมอยู่ตรงนี้เวรอยู่ตรงนี้ ศิษย์แก้ที่ปลายหรือแก้ที่ต้น (แก้ที่ปลาย)  ทำไมไม่แก้ที่ต้นนี้ล่ะ  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า ถ้า เรามองเห็นตัวตนชัด เห็นสรรพสิ่งชัด ความอยากมันจะครอบงำเราไม่ได้ และความอยากนี้ก็ไม่ทำให้เราต้องไปก่อบาปก่อเวรก่อกรรมก่อการเวียนว่ายอีก ต่อไปเพราะเราดับมันตั้งแต่ต้น แต่เราเป็นอย่างไร ไปก่อมันเรียบร้อยแล้วแล้วค่อยไปทำบุญ บาปอีกทีบุญอีกทีล้างกันได้ไหม ทำบุญให้กับอีกคน เมตตาอีกคน แต่กลับมาด่าเช้าด่าเย็น  หายไหม (ไม่หาย)  แล้วอย่างนี้จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีใช่ไหม (ใช่)  นั่นแหละศิษย์ทำผิดที่ (ตนเอง)  ฉะนั้นมีคำกล่าวพระพุทธะกล่าวไว้ว่าให้อะไรให้อามิสเป็นทานไม่สู้ให้ธรรมะเป็นทาน แล้วทำไมเราไม่สร้างธรรมะกับเขาล่ะ หยุดกรรมเสียตั้งแต่ตอนนี้”  ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าตอนนี้เกี่ยวมาแล้วก็ทำยังไงให้จบกันกันแหละ (...) อโหสิกรรมหน่อยนะ ศิษย์ว่าหายหรือ วิธีที่แก้ที่ดีที่สุดคือ เรียนรู้และเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  เรียนรู้และเข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวตน ที่เขาคนเดียวถ้าเข้าใจเรา เราก็จะเข้าใจเขา เมื่อเข้าใจเราเราก้จะเห็นโลกชัด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นยังอยากเกี่ยวกรรมไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นจะมีก็เหมือนไม่มี เพราะว่ามีแล้วเราไม่ยึด มีแล้วเราไม่คาดหวัง แค่นี้ก็พอแล้วแค่นี้ก็ทุกข์กันพอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  มีทุกวันก็จบกันทุกวันดีไหม (ดี)  ฉะนั้นมองให้ดีไม่ว่าเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ความรัก ถ้าอยากจะมีคิดให้ดีๆ เพราะทุกสิ่งที่ศิษย์อยากมีมันไม่คงทน มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แล้วเวลามันเปลี่ยนศิษย์รับเขาไหวไหม (ไม่ไหว)  ถ้ารับไม่ไหวแล้วก้รู้ว่าตัวเองแบกรับทุกข์ไม่ไหวอย่ามีก่อนที่มันจะเกิด กรรม เพราะว่ากรรมมันมีไม่กี่แบบ กรรมที่ทำให้เศร้าหมองเขาเรียกว่า บาป กรรมที่ทำให้ผ่องใสบริสุทธิ์เขาเรียกว่าบุญ กรรมที่ทำให้เกิดการผูกพันผูกเวรไม่จบสิ้นเขาเรียกว่าเวรกรรม และกรรมที่ทำให้มีแล้วโง่เขาเรียกว่าอกุศลกรรม ซึ่งเรียกว่าโลภ โกรธ หลง กรรมที่มีแล้วเรียกว่าฉลาดเขาเรียกว่าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ฉะนั้นศิษย์รู้อะไรแล้วไม่ทุกข์ (รู้จักโลก)  นอกจากรู้จักโลกชัดแล้วสิ่งที่ศิษย์ต้องรู้ให้ชัดคือใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  รู้ไหมใจตัวเองทำเป็นรู้จักคนอื่นไปหมด คนโน้นฉันก็รู้จัก คนนี้ฉันก็รู้จัก ไอ้นั่นฉันก็รู้จัก แต่ตัวเองไม่รู้ดูให้หน่อยสิ เธอแม่นไม่ใช่หรือ ตกลงว่ามันรู้เราหรือเรารู้จักตัวเอง เขาพูดไม่ฟังแต่หมอดูที่มาจากไหนก็ไม่รู้เชื่อ จริงไหม (จริง)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกไปกี่ข้อแล้ว (สองข้อ)  ฉะนั้นตัวตนที่ศิษย์ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของศิษย์ ถ้ามันเป็นของศิษย์จริงๆ ศิษย์บังคับมันได้ไหม (ไม่ได้)  อย่าเหี่ยวเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  อย่าแก่แก่ไหม (แก่)  อย่าเจ็บเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วมันใช่ของศิษย์หรือ (ไม่ใช่)  ถ้ามันไม่ใช่ของศิษย์เราควรยึดไหม (ไม่ยึด)  เราควรอยากไหม (ไม่อยาก)  เราควรหลงไหม (ไม่หลง)  แต่ศิษย์หลงแล้วก็ยึดแล้วก็อยากหมด ฉะนั้นถ้ารู้ชัดว่าไม่ใช่ของเรา แล้วเราควบคุมไม่ได้ เราควรมีตัวตนไปครอบงำชีวิตไหม ควรไหมครอบงำชีวิตตัวเอง เอาตัวตนใส่เข้าไปฉันรักฉันหลง ควรไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นถ้าใครรู้ ความเห็นอันยอดและปฏิบัติได้หลุดพ้นได้ นั้นแหละเรียกว่าบำเพ็ญที่ใจ แต่ถ้ารู้แล้วยังเอาตัวไม่รอด เรียกว่าบำเพ็ญเพียงภายนอกแต่ลืมลงแรงใจ  ใช่ไหม (ใช่)
แล้วยังหลงอีกหรือ ถูกไหม (ถูก)  มีอีกข้อหนึ่งที่ควรจะรู้ไว้คือ โลกนี้กินอย่างไรก็ไม่อิ่ม ใช่ไหม (ใช่)  มีอะไรบ้างกินอิ่ม กินข้าวอิ่มไหม วันนี้อิ่มเดี๋ยวก็อยากอีก ใช่ไหม (ใช่)  โกรธอิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  โกรธแล้วก็ (โกรธอีก)  อยากแล้วก็ (อยากอีก)  มีแล้วก็ (มีอีก)  ทุกข์แล้วก็ (ทุกข์อีก)  โง่ไหม (โง่)  แล้วยังมีมันไหม มี ก็รู้ว่ามันมีแล้วยังไงมันก็ไม่อิ่ม แล้วมีทำไม ใช่ไหม (ใช่)  ยังอยากไหม (ไม่อยาก)  จำไว้นะ จะได้รู้ว่า ต่อไปเวลาพอโกรธมา ไม่เอา มีแกแล้วไม่เคยอิ่มเลย จะได้ไม่โกรธ ใช่ไหม (ใช่)
และข้อสุดท้ายที่ศิษย์ต้องรู้ไว้อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีอะไรในโลกที่จะป้องกันให้สิ่งที่อาจารย์พูด ตั้งแต่หนึ่ง สอง สาม สี่ ไม่ให้เกิดขึ้นกับเราได้ ข้อสามอาจารย์ว่าอะไรนะ โลกนี้ไม่มีอะไรอิ่ม ฉะนั้นข้อสี่ก็คือ ไม่มีอะไรที่เราจะป้องกันให้ทั้งสามข้อนี้ ไม่เกิดไม่ได้ ศิษย์ไม่มีวันหนีพ้นทั้งสามข้อนี้ ฉะนั้นทั้งสามข้อนี้มาเพื่อให้เราเห็นแจ้งชีวิตอย่างแท้จริง แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับมันอีก เมื่อถึงเวลาสูญเสีย เราก็หัวเราะเบาๆ อาจารย์บอกแล้ว ฉันรู้แล้ว เหมือนเวลาศิษย์ดูหนัง รู้แล้วว่ามันจบอย่างไร ดูอย่างไรมันก็ไม่มัน ใช่ไหม (ใช่)  จะตบกันกี่ซ้ายกี่ขวาก็ไม่รู้สึกเจ็บ เดี๋ยวสักพักมันก็แพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจชีวิตแท้ เข้าใจโลกใบนี้แท้ ฉะนั้นมันจะมีอะไรที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ได้ เพราะเราเห็นชัด เมื่อเห็นชัดก็ไม่อยาก เมื่อไม่อยากก็ไม่ยึด เมื่อไม่ยึดเราก็ไม่ต้องทุกข์ ศิษย์เคยได้ยินไหม ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบัน ทุกข์ล้วนเกิดจากความพอใจ มูลเหตุของทุกข์ทั้งมวลมีสาเหตุเดียวคือพอใจ ใช่ไหม (ใช่)  เราพอใจโน่น เราชอบนั่น เราชอบนี่ แล้วที่พอใจคือใครพอใจ ตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราหาต้นเหตุแห่งทุกข์ได้เจอ หยุดทุกข์ได้เราก็ดับทุกข์เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าต้นเหตุแห่งความทุกข์มันมีมูลมาจากความพอใจ แล้วเรามองเห็นแล้วว่า สิ่งที่เราพอใจมันไม่มั่นคง มันไม่ใช่ของเรา แล้วกินอย่างไร (ก็ไม่อิ่ม)  แล้วถึงเวลาก็หนีไม่พ้น เรายังอยากไหม (ไม่อยาก)  แล้วเรายังจะพอใจไหม (ไม่พอใจ)  ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเข้าใจขนาดนี้แล้ว เราก็ดับทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เมื่อไรมันจะเป็นความตื่นรู้ที่ไม่ใช่จากการฟัง แต่มันต้องตื่นรู้ด้วยการที่ศิษย์เอาสิ่งที่อาจารย์พูดไปหยั่งลงให้ลึกในจิต ใจ ทำไมธรรมก็ยังเป็นธรรม ธรรมยังไม่เข้าสู่ใจ เพราะศิษย์ไม่เคยเอาใจไปสู่ธรรม ถูกไหม (ถูก)  ฟังกี่รอบธรรมก็เป็นธรรม ใจก็เป็นใจ เพราะอะไร เพราะศิษย์ไม่เคยเอาใจไปสู่ (ธรรม)  ธรรมมันก็เลยไม่เคยมาสู่ (ใจ)  เพราะเอาแต่ฟัง แต่ไม่เคยหยั่งลงคิดพิจารณาจริงไหม (จริง)
บางคนเบื่อ แล้ว  อาจารย์คงไม่ได้มีโอกาสมาเจอศิษย์แล้ว ใกล้จะปีใหม่แล้ว หมดปีนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์มีของขวัญอวยพรศิษย์ ตาตื่นทันที เมื่อสักครู่อาจารย์พูดธรรมะไม่มีใครสนใจ รบกวนผู้ปฏิบัติเตรียมแก้วแล้วมีน้ำเศษหนึ่งส่วนสาม ผู้ปฏิบัติงานธรรมถือแก้วไว้อาจารย์จะให้พร  ดีไหม (ดี)  แต่ศิษย์จำไหว้อย่างหนึ่ง พรที่ศิษย์อยากได้โดยส่วนใหญ่คือ  ขอให้รวย รวยอะไรล่ะ รวยอะไรดี (รวยปัญญา)  รวยปัญญาดีกว่า ศิษย์จำไว้นะ เพราะคนที่ไม่อับจนปัญญาถึงวันนี้จะหมดเขาก็ยังหาใหม่ได้
อาจารย์จะบอกศิษย์อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เวลาศิษย์อยากได้ในพรปีใหม่ก็คือ อยากได้สุขภาพแข็งแรง  ถ้าอย่างนั้นจงจำไว้นะศิษย์ อยากได้สุขภาพแข็งแรงสิ่งสำคัญคือ อย่าเบียดเบียนเข่นฆ่าใคร ไม่ว่าทางกายและทางใจ แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง แต่คนที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่นไม่ว่าทางกายหรือทางใจ จะเป็นคนที่เจ็บออดๆแอดๆ  คนที่เห็นใครได้ดีแล้วอิจฉาริษยา จะเป็นคนที่อยู่กับใครแล้วไม่มีความสุข เพราะเป็นโรคทางใจ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากได้พรของอาจารย์  ศิษย์จะต้องมี
หนึ่ง เมตตา เมื่อเมตตาเราจะเบียดเบียนใคร เมื่อเมตตาเราจะว่าใครให้เจ็บปวดไหม
สอง ศิษย์อยากได้อะไร ครอบครัวร่มเย็น ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ศิษย์เป็นคนซื่อตรงไหม (ซื่อตรง, ไม่ซื่อ)  ไม่
สาม อยากได้ปัญญาหรือ อยากได้เงินใช่ไหม เงินด้วยใช่ไหม แล้วทำอย่างไรล่ะ เวลาเรามีเงินเยอะๆ แล้วเงินไม่สูญหาย เงินไม่ถูกคนลักขโมย คิดออกไหม ศิษย์อยากได้เงิน ถ้าหากเราหาเงินมาได้แล้ว เงินไม่สูญหาย ไม่ถูกคนลักขโมย (ทำบุญ)  คิดก่อนพูดไม่ใช่นึกจะพูดก็พูด ได้ครบหรือยัง  มีเงินก็เก็บเงินอยู่ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ถูกไหม คนที่อยากได้แต่เงินของคนอื่นอยู่ร่ำไป มีเท่าไหร่ก็ต้องสูญเสีย ซื่อตรง เคารพให้เกียรติ มีครบทุกคนหรือยัง ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์ตั้งจิตอธิษฐานว่าอยากขออะไร ขอเลย แล้วอย่าเพิ่งกินนะ แล้วไม่มีให้อาจารย์สักแก้วเลยนะ ใช้ได้เลยนะ  ขอเสร็จแล้วหรือยัง พรใดๆ ก็ไม่ประเสริฐ ถ้าขอแล้วไม่รู้จักลงมือทำด้วยตัวเองนะศิษย์  แล้วน้ำนี้จะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ จิตที่ตั้งจิตอธิษฐานจะทำให้น้ำธรรมดา กลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วจิตอธิษฐานรวมกันกว่าสองร้อยกว่าคน สามร้อยด้วยซ้ำ เมื่อมารวมกัน แล้วค่อยไปดื่ม จิตอธิษฐานนั้นจะยิ่งใหญ่ไหม ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะกิน หาถังมาใบหนึ่งแล้วเอาน้ำทุกคนเทลงถัง พอเทครบทุกคน ศิษย์ค่อยเอามาดื่มกิน คำอวยพรนั้นก็จะได้ของทุกๆ  คน รวมทั้งของอาจารย์ด้วยดีไหม (ดี)  ฉะนั้นเมื่ออาจารย์กลับไปแล้วเอาน้ำนั้นมาเทรวมกัน พอเทเสร็จก็เอากลับไปบ้าน อย่ากินคนเดียว อย่าให้พรแต่ตัวเองคนเดียว แต่จงเอาพรนี้ไปฝากทุกคนดีไหม (ดี)
เพราะว่าพรที่ขอคนเดียวไม่ประเสริฐเท่ากับพรที่ขอด้วยความตั้งจิตอธิษฐานที่หลายๆ คนรวมกันในหนึ่งแก้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครบอกว่าอยากได้พรของตัวเองคนเดียวก็กินไปเลย แต่ถ้าใครอยากได้พรขอของทุกคนที่เขาตั้งอธิษฐาน จงเอาไปเทรวมก่อน แล้วค่อยขอกลับมาให้ตัวเองและผู้อื่น ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นอาจารย์ก็ขอให้พรนั้นจงนำความสุขมากสวัสดีมาสู่ศิษย์ทุกคนนะ อาจารย์ใส่เข้าไปในน้ำนี้แล้ว ใครจะกล้ากินน้ำอาจารย์ไหมนะ (กล้า)  เดี๋ยวเอาไปเทรวมนะ (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา) แบ่งแม่ครัว แบ่งปั้นซื่อทุกคน หม้อนั้นจะพอหรือศิษย์ ถ้าตั้งสามร้อยกว่าแก้ว หม้อนี้ไม่พอหรอก อย่างนั้นไม่เป็นไรเทก่อนก็ได้ อยากมีเงินก็เก็บอยู่ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของ (เรา)
ข้อที่สี่อะไรก็ได้ ที่จริงอาจารย์ อยากจะหมายความว่า มีเงินแล้วเรายังมีอยู่ไม่มีวันสูญสลายไปได้ แล้วไม่มีใครทำให้เงินเราหายไปได้เพราะเราไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา จะยังไงก็ได้ไม่เป็นไร ความหมายได้ ข้อที่สี่ อยากเป็นคนพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น
ข้อที่ห้า ปัญญาดี รู้ไหมที่อาจารย์ให้คืออะไรศิษย์ เมื่อสักครู่ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ศิษย์อยากเป็นคนที่สุขภาพแข็งแรงใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ต้องรู้จักมี (เมตตา)  ใช่ แต่สมัยก่อนไปฆ่าเขาเท่าไหร่ วันนี้ต้องรับกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมที่เคยทำไว้ ฉะนั้นถ้าตอนนี้กำลังพยายามทำดีอยู่ แล้วบอกว่าทำไมยังเจอเรื่องร้าย เพราะว่ามันเป็นกรรมเก่าที่ศิษย์จะต้องชดใช้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าวันนี้มุ่งมั่นทำความดีอนาคตศิษย์ก็จะไม่ต้องชดใช้กรรมอีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งยังมีแรงเฉื่อยแห่งกรรมเก่าอยู่อย่าได้ท้อ อย่าได้ยอมแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากมีครอบครัวร่มเย็นสิ่งสำคัญคือศิษย์ต้องมีความซื่อตรง เคารพ ให้เกียรติ อยากมีเงินแล้วเก็บเงินอยู่ก็อย่าไปอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง อยากเป็นคนที่วาจาสิทธิ์ก็ต้องพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น อยากเป็นคนที่เป็นคนที่ไม่มีวันอับจนในชีวิตก็คือต้องมีปัญญาดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญญาดีเกิดจากรู้จักรับฟังผู้มีความรู้มากกว่าตน รู้จักใกล้ชิดคนที่เก่งกว่าตน นั่นแหละจึงเรียกว่าปัญญาดี ศิษย์รู้ไหมว่าทั้ง 5 ข้อนี้คือ (พรจากอาจารย์)  ใช่ แต่อาจารย์จะบอกว่าทั้ง 5 ข้อคือการรักษาศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์มีศีลครบไม่ต้องรอพรจากอาจารย์ พรก็จะมีเองโดยไม่ต้องขอใครใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ใดๆ ในโลกก็ไร้ค่าถ้าไม่รู้แล้วไม่ทำใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไหนได้น้ำเยอะหรือยัง อาจารย์เอาอะไรไปกวนหน่อยดีไหม จะได้ยิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใช่หรือเปล่า ดีไหม (ดี)  เดี๋ยวอาจารย์เอาถุงเท้ากวนดีกว่า จะกล้ากินไหม (กล้า) อาจารย์ให้น้ำทิพย์ที่เกิดจากแรงอธิษฐานของศิษย์ทุกคนขอพอประมาณนะ เดี๋ยวได้หน้าไม่ถึงหลัง เอาไปพอนิดหน่อยแล้วไปผสมน้ำกินเองได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ทุกคนนะเป็นของขวัญปีใหม่ดีหรือเปล่า (ดี)  แต่บอกไว้แล้วนะว่าใดๆ ก็ไม่ไร้ค่า ถ้าไม่ทำเอาแต่คิด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า บำเพ็ญไม่สูญเปล่า”)
ที่ไม่สูญเปล่าเพราะว่ารู้แล้วเอาไปทำ ศิษย์หลายคนบำเพ็ญมากี่ปี แต่ยังทุกข์ทุกปีใช่ไหม (ใช่)  ไม่ทุกข์เพราะคนนั้น ไม่ทุกเพราะคนนี้ แต่ปัญหามันไม่ใช่อยู่ที่คนนั้นคนนี้ ปัญหามันอยู่ที่ (เรา)  ใช่หรือไม่ ยึดติดตีกรอบ ยึดมั่นในตัวบุคคลถ้าคนนี้เป็นอาจารย์ก็ต้องอย่างนี้ ถ้าเป็นนักเรียนก็ต้องแบบนี้ จริงๆ แล้วมีใครเป็นได้อย่างเราคิดทุกคนไหม (ไม่)
บางคนไม่บำเพ็ญต่อ เพียงเพราะคนพูดผิดหูไม่มาอีกเลย น่าเสียดายนะศิษย์ ฉะนั้นตั้งใจบำเพ็ญ รู้ธรรมแล้วไปให้ถึงธรรมนะได้ไหมศิษย์ อาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้บอกทาง อาจารย์ผลักให้ศิษย์เดินไม่ได้ บีบบังคับให้ศิษย์เดินไม่ได้ ศิษย์จะต้องเดินไปให้ถึงและนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์นะ โลกนี้ไม่สวยงามชีวิตนี้ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่าแต่ในความว่างเปล่าก็ยังมีความดีอยู่ แต่มีอะไรแล้วจะประเสริฐล่ะ มีอะไรแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ นั่นก็คือมีใจที่เข้าถึงธรรม มีใจที่เป็นธรรม เมื่อใจเข้าถึงธรรมแล้วเป็นธรรม จะไม่มีตัวตนที่ต้องไปแบกรับทุกข์อีกต่อไปเพราะตัวตนถึงที่สุดก็หาไม่ได้ มันเป็นเพียงความว่างเปล่าใช่ไหม (ใช่)
ที่บอกว่าใจศิษย์เป็นอย่างนี้ ตัวศิษย์เป็นอย่างนี้ ลองสืบมันดูเข้าไปในหัวใจลึกๆ สิ มันมีตัวไหม (ไม่มี)  มันมีตัวได้ เพราะมีกิเลส มีความ
เคยชิน มีนิสัย มีสันดาน แต่สิ่งนั้นมาเมื่อไร มันมาเมื่อตาดู หูฟัง แล้วมองเห็น แล้วสัญญาจำได้หมายรู้ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ของเดิมศิษย์เลย ของเดิมศิษย์คือสภาวธรรมแค่นั้นเองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่มีอะไรอยาก และไม่มีอะไรไม่อยาก นั่นแหละคือหัวใจแห่งผู้พ้นทุกข์ อาจารย์ทั้งอยากและไม่อยาก อยากอย่างหนึ่งคือ อยากเห็นศิษย์เดินหนทางธรรมอย่างมั่นคงด้วยหัวใจที่เข้าใจธรรมอย่างถ่องแท้ แต่ที่ไม่อยากก็คืออาจารย์บังคับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะรู้ว่าศิษย์ทุกคนมีชะตาของตัวเอง แต่ถ้าศิษย์ไม่รู้จักฝืนบ้าง ไม่รู้จักควบคุมชะตาบ้าง ศิษย์ก็จะหนีไม่พ้นโลกแห่งความทุกข์ใบนี้ อย่าปล่อยตัวเองตามอารมณ์ ตามกิเลส ตามความอยากจนเกินไป ศิษย์เอย เพราะอาจารย์ไม่เคยเห็นใครในโลกที่วิ่งตามอารมณ์ ตามความรู้สึก ตามกิเลส แล้วได้ดีสักคน ถึงได้ดีก็หนีไม่พ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้อย่างแท้จริง โลกนี้มันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ อย่าเผลอหลงยึดมั่นถือมั่น อย่าเผลอหลงอยากจนเกินไปนะ อย่าเผลอตกเป็นทาสกิเลสจนขาดสตินะ อย่าเผลอพูดทำอะไรไม่รู้จักคิดนะ เพราะไม่มีใครต้องรับกรรมของการกระทำของตัวศิษย์ได้เท่ากับตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  ใครทำสิ่งใดก็ต้องได้สิ่งนั้น ฉะนั้นทำไมไม่รู้จักสร้างกรรมที่ดีงาม กรรมที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป นั่นคือการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ ตื่นรู้ในความจริงของโลกและชีวิต ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตานำศิษย์ร้องเพลงส่งพระอาจารย์)
รู้จักนำพาคนให้เป็นนะอย่าหลงทาง อยู่ห้องพระแต่ไม่เคยทันไหว้พระ อยู่ห้องพระแต่ไม่ช่วยอาจารย์แบกรับภาระ เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม  เขาเหนื่อยมามากแล้วต้องกล้าแบกรับภาระได้แล้ว ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย จับมืออาจารย์แล้วจะตามอาจารย์ตลอดหรือเปล่า กลัวแต่มือจับแต่ใจไม่อยู่นะ  อาจารย์รักศิษย์นะไม่เคยหลอกลวง มีศิษย์ที่ชอบหลอกอาจารย์ วันนี้รับปากว่าจะมา วันนี้รับปากว่าจะบำเพ็ญแต่พอผ่านไป  ก็กลับเหมือนเดิม กลับมานะ เหนื่อยไหม ไม่เหนื่อยใช่ไหม ช่วยคนอย่ายอมแพ้นะ จิตใจต้องเข้มแข็ง
(พระอาจารย์และนักเรียนร่วมกันร้องเพลงส่งพระอาจารย์)
เมื่อไหร่ทุกข์เมื่อไหร่ท้อ กลับมาหาอาจารย์  พุทธะไม่เคยหลอกลวงศิษย์ กลับมาอีกนะ กลับมานะมีโอกาส กลับมาอีก อย่าร้อง คิดถึงศิษย์ คิดถึงศิษย์ทุกคนเลย เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ สบายดีไหม ศิษย์เอย อย่าท้อ อย่ายอมแพ้กับชีวิต ดื้อหรือเปล่า  ตั้งใจบำเพ็ญ อาจารย์รักศิษย์ทุกคน
แต่ศิษย์ไม่รักอาจารย์จริงเลย เดี๋ยววันนี้รัก อีกวันก็หน่ายแล้วจริงไหม ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าให้ความคิดทำร้ายตัวเองอย่าให้อารมณ์ทำให้ชีวิตต้องแปรเปลี่ยน บำเพ็ญธรรมลำบากหรือเปล่าล่ะเด็กน้อย ตั้งใจนะ เข้าใจไหม คนดื้อของอาจารย์ หายแล้วนะ รู้จักทำตัวเองให้ดีนะเข้าใจไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากต้องรู้เท่าทันสติตัวเอง อาจารย์ช่วยเต็มที่แล้วนะแต่ศิษย์ต้องกล้าที่จะรับความจริงเข้าใจไหม (ศิษย์มีพญามารแฝงอยู่ใช่ไหม) ไม่ใช่ ศิษย์ต้องตั้งใจมองให้ดีด้วยสติ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับจิตของศิษย์เองเข้าใจนะ (แล้วสิ่งที่ศิษย์ช่วยคนอื่นวิบากกรรมจะอยู่ที่ศิษย์ไหม) ไม่อยู่ อยู่ที่อาจารย์ ศิษย์ไม่ได้แบกอะไรเข้าใจให้ดี (แต่ศิษย์ต้องช่วยคน) ใช่อย่างนั้นอาจารย์รับเองศิษย์ไม่ต้องคิดมากเข้าใจไหมศิษย์ทำดีแล้ว (แล้วสิ่งที่แฝงอยู่ในตัวหนูคืออะไร) นั่นคือความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านมันจะทำลายจิตของศิษย์ ฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้นตั้งสติ อ่านหนังสือธรรมะ หรือไม่ก็สวดมนต์ อย่าฟุ้งซ่าน เพราะจิตมันไหวได้ จิตของศิษย์มันไหวง่ายเกินไป เพราะสมัยก่อนศิษย์เคยชอบคิดร้าย ชอบคิดไม่ดี ทำให้ชาตินี้จิตหวั่นไหวได้ง่าย  เจอเรื่องอะไรกระทบอะไรก็หวั่นไหวแล้วก็สร้างอีกตัวหนึ่งขึ้นมาทำร้ายตัวเอง เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ตั้งสติให้ดีแล้วคิดให้ได้เข้าใจนะ ไม่มีปีศาจใดน่ากลัวเท่ากับปีศาจที่เราสร้างขึ้นเองนะศิษย์เอ๋ย อาจารย์ดีใจที่ศิษย์รู้จักกลับมา
อาจารย์ดีใจที่ศิษย์รู้จักบำเพ็ญธรรม เสียสละเพื่อผู้อื่น ขอบใจในความตั้งใจ ขอบใจในความมุ่งมั่นกับการเป็นคนดี และรู้จักช่วยคนใช่ไหม ฉะนั้นอย่าอ่อนแอ ต้องเข้มแข็ง อยู่ให้ได้แม้ว่าจะมีหรือไม่มีใครใช่ไหม ดื้อนักนะใช่ไหม ทั้งที่จริงๆ ก็มีความรู้ถูกหรือเปล่า ได้อะไรไหมศิษย์เอ๋ย กลับมาอีกนะ รู้เรื่องไหม สัญญากับอาจารย์แล้วนะ ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าทำร้ายตัวเอง การเป็นคนดีเป็นเรื่องยากไหม ยากไหม ยากที่เอาชนะใจไม่ได้ใช่หรือเปล่า
ไปบำเพ็ญนะ อย่ายอมแพ้ตัวเอง ควบคุมอารมณ์ให้ได้ เอาแต่หวังพรๆ แต่ถ้าไม่ทำดี พรมันจะดีไหม ใช่ไหมเด็กดื้อ เขาบอกให้อาจารย์ไปดูแลคนข้างล่างหน่อย ต้องกล้าเหนื่อยแบกรับแทนคนข้างหน้าได้แล้วนะ อย่าช้าอย่าเอื่อยนะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
เหนื่อยไหม ตั้งใจนะ ไปให้ถึงทางที่ตัวเองมุ่งมั่น ตื่นรู้ได้แล้วนะจะได้พ้นทุกข์สักที ขอบใจนะศิษย์เอยที่เสียสละเต็มที่ ขอบใจในความขยัน รู้จักทำตัวให้ดีนะ อย่าทำให้พ่อแม่เป็นห่วง จงเสียสละตัวเอง ตื่นได้แล้วนะ ยิ้มเข้าไว้ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร อย่าท้อ จิตใจที่สู้จะสามารถเอาชนะทุกอย่างได้ ด้วยหัวใจที่ยิ้มได้ ใช่ไหม คิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  รู้เรื่องไหม ลำบากมากไหม อย่าเหนื่อย อย่าท้อ อย่าล้านะ ตั้งใจแล้วทำให้ได้ ไปให้ถึงนะศิษย์ อย่ายอมแพ้
เด็กดื้อ ตั้งใจนะ ขอบใจนะศิษย์เอย อย่ายอมแพ้นะ เหนื่อยอย่างไรก็ต้องสู้เข้าใจไหม อย่างอแง ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอนะ ศิษย์รักของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญแล้วอย่าท้อ ไม่ร้องนะ ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอใช่ไหม ไม่อ่อนแอแล้วนะ อาจารย์ดีใจที่เจอศิษย์นะ ตั้งใจบำเพ็ญ บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมุ่งมั่นตั้งใจนะศิษย์เอย เดินแล้วต้องไปให้ถึง อย่ายอมแพ้ เมื่อเดินต้องไปให้ถึงที่สุด เข้มแข็งนะ น้อยใจไหม ฝากบอกคนด้วยนะ ฝากความคิดถึง สบายดีไหม รู้ไหมอาจารย์เป็นห่วง ดูแลตัวเองกันเยอะๆ นะ ทำดีแล้วก็มุ่งมั่นต่อไป อย่ายึดมั่นในสิ่งที่เราทำ ทำด้วยใจ เข้าใจนะ ลำบากไหมบำเพ็ญ ไม่ลำบากเลยใช่หรือเปล่า ถ้าจะลำบากก็เพราะความยึดมั่นถือมั่น ถูกไหม สละได้เราก็ได้รับ ถ้ายังสละไม่ได้ชีวิตก็ยังต้องวุ่นวายต่อไป สบายดีไหม เหนื่อยไหมศิษย์ เข้มแข็งนะ บำเพ็ญต้องเข้มแข็ง บำเพ็ญต้องมีหัวใจที่อดทน รับให้ได้ในทุกๆ เรื่องนะศิษย์เอย เป็นลูกศิษย์อาจารย์แล้วอย่าท้อนะ อาจารย์ยังไม่ท้อไม่เหนื่อยที่จะมาเจอศิษย์ อาจารย์ยังไม่ล้าไม่เบื่อถึงแม้ศิษย์จะดื้อขนาดไหน แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องอดทน ไม่ท้อ ไม่ล้า ไม่เบื่อ ตื่นได้แล้ว อย่าทำร้ายตัวเองใช่ไหม อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ ไม่ต้องเสียใจนะ ชีวิตจะได้ใช้กรรมสักทีนะ ดูแลตัวเองกันให้ดีนะศิษย์เอย
ไม่ต้องร้องไห้นะ ไม่เหนื่อย ไม่ล้า และไม่ท้อ จำไว้นะ นี่แหละหัวใจของอาจารย์ ศิษย์ต้องทำให้ได้ ไม่เหนื่อย ไม่ล้า ไม่ท้อใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำได้ ศิษย์ก็คืออาจารย์ อาจารย์ก็คือศิษย์ ไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันล้า ไม่มีวันท้อเพื่อช่วยคน หัวใจนี้อยู่ที่ศิษย์ทำได้ใช่ไหม (ใช่)  เหนื่อยไหม ตั้งใจบำเพ็ญแล้วค้นหาตัวเองให้เจอ ถ้าจิตไม่สงบเราก็จะวุ่นไปกับโลกภายนอก แต่ถ้าเราเข้มแข็งมั่นคง ภายนอกก็ทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้จริงไหม (จริง)  ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ขอบใจที่รู้จักเสียสละได้แล้วนะ ขอบใจที่ยังเป็นเด็กดีของอาจารย์ ขอบใจศิษย์ทุกคนนะ ขอบใจที่ยังมุ่งมั่นบำเพ็ญไม่ท้อ สู้นะศิษย์เอ๋ย สู้ไหม สู้นะ
ตั้งใจนะ อาจารย์ไปแล้วนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “บำเพ็ญไม่สูญเปล่า”
แม้ว่าจะมีปัญญายังไม่ได้ ก็ขอให้ไม่มีเรื่องกิเลส
ไม่มีความพอดีแต่มีขอบเขต โลกประเทศไม่เคยกว้างเกินกว่าใจ
ยามทำลายเร็วไม่ต้องใช้เวลา สร้างคุณค่าเวลาไม่พอใช้
รู้จักตนมองทุกสิ่งจะเข้าใจ สิ่งใดใดเกิดและดับตามเวลา
บำเพ็ญต้องไม่ยึดติดถือมั่น ทุกเรื่องผ่านมาเพื่อเป็นบันไดฟ้า


โลกีย์ไม่ย้อมใจคนปวารณา ใจสูงค่าอย่ายอมแลกกับแรงลม


(พระอาจารย์เมตตาร้องเพลง ช่วยคนคือช่วยตน (ทำนองเพลง: สายัณห์รัญจวน)
มีโอกาสร้องเพลงนี้ส่งอาจารย์ได้นะ


เอาตัวไปวัดใคร  ธรรมมิเคยได้ผล  พึงถอนความเป็นตน  อย่าบ่นออกไป ช่วยคน ต้องทน  ต้องทน รับคำพูดเขา  ต่างกัน  กับเรา ใช้เชาวน์ใช้ปัญญาแก้  
ผู้คนหลากหลาย  จิตใจสำคัญแน่แท้  อย่าไปขว้างแห สร้างแพวิเศษช่วยคน  
ศิษย์เอ๋ย  ฝึกฝน  ฝึกฝน  หัวใจเมตตา ช่วยกัน ตามหา ยิ้มปนน้ำตาด้วยกัน

ชื่อเพลง : ช่วยคนคือช่วยตน
ทำนองเพลง : สายัณห์รัญจวน





อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา