วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

2554-04-09 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี


วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

อันความจริงแม้ยากเกินเยียวยา อันความจริงสอนชีวาอย่าเผลอหลง
อันความจริงคือธรรมสอนคนปลง อันความจริงคือความตรงกระแทกใจ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนหลับไปกี่ตื่นแล้ว

ไม่รู้ตัวเองฉันใด ยิ่งรีบร้อนยิ่งตามไม่ทัน ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นฟางไหม้ไฟ
ไม่รู้ตัวเองนั่นแหละ ยิ่งนัดแนะความคิดภายใน ทดจนวุ่นวาย กลับไม่ดีขึ้นมา
* สิ่งใดที่จิตใจคนไม่อยากยอมรับ คือความจริงจากเบื้องลึก
ไม่ชิน ไม่ชา
** กลัวบำเพ็ญธรรมเสียเปล่า ลืมใจบางใจก็ขวนขวายเปล่า เฝ้าบำเพ็ญจิตและกายกับใจ
*** ใครจะบำเพ็ญหรือเปล่า ใครเป็นคนดีที่ฝันอยากพบ สอดส่องใจใครใจตนหนักหนา โดนรบกวนจิตใจ (มีน้ำตาให้ไหล)
ไม่รู้ตัวเองฉันใด ทั้งหลงรักโลภมีตัวตน เพียรธรรมจนล้น กว่าจะรู้สายไป  (ซ้ำ *, **, ***, *** มีน้ำตาให้ไหล)
ชื่อเพลง : ต้องรู้จักตน
ทำนองเพลง : อยากรู้แต่ไม่อยากถาม

กลัวโลกแตกไยไม่เร่งบำเพ็ญจิต โลกแปรคิดความอยู่รอดสงครามก่อ
จริตจิตต้องปรับเปลี่ยนนิ่งปลงพอ ที่ใจก็เปลี่ยนเห็นการเคลื่อนไป
เมื่อโลกผิดจากที่ก่อนเคยเป็น ที่เห็นเห็นเที่ยงแน่กลับกลายไม่
กลัวอะไรความจริงสิ่งที่เป็นไป ระวังสุดที่ถึงในเป็นใจตน
แม้บำเพ็ญจริงจริงคนใช่รอดแห ทว่าแต่เห็นเพียงญาณได้หลุดพ้น
บำเพ็ญตนรู้สึกตัวไม่ปลอมปน เป็นเช่นใจอันกุศลอยู่เนืองเนือง
มีอะไรในความเกี่ยวใจกับกิเลส ในความมีต่างเนื่องเจตไว้กระเดื่อง
มีทั้งเป็นสัมพันธ์กันและค้านเคือง มีหนึ่งและหมื่นราวเรื่องล้านวิธี
ฮิ  ฮิ   หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ท่านบอกว่าท่านรู้ ฟังมามากแล้วและบอกที่พูดมารู้แล้วทั้งนั้น เช่นนั้นเราถามท่านหน่อย รู้อะไรทำให้เกิดปัญญา รู้อะไรทำให้เราพ้นทุกข์ รู้อะไรที่ทำให้เรามีคุณค่า ถ้าเรารู้สามอย่างนี้เราจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร และเราจะไปทางไหน ตอบได้ไหม (รู้อะไรเกิดปัญญา คือพุทธะ พุทธะคือศาสนาแห่งปัญญา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้แล้ว ปฏิบัติแล้ว ตื่นแล้ว ก็เกิดปัญญา อีกคำถามหนึ่ง รู้อะไรให้พ้นทุกข์ ก็คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดแก่เจ็บตาย)  รู้แล้วแต่ยังไม่พ้นทุกข์ (ต้องปฏิบัติ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม)  อีกคำถามหนึ่ง รู้อะไรทำให้เกิดคุณค่า (รู้เรื่องการรักษาศีลภาวนา)  มั่นใจใช่ไหม  (มั่นใจ)  ท่านว่าเขาตอบถูกไหม ไม่รู้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า
รู้อะไรทำให้เกิดปัญญา ทำให้เราพ้นทุกข์ และทำให้เรามีคุณค่า ถ้ามนุษย์เข้าใจความรู้สามสิ่งนี้ เราจะรู้ว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร และจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เขาบอกว่ารู้จักพุทธะทำให้เกิดปัญญา พุทธะมีกี่องค์ เรารู้จักพุทธะไหม แต่ทำไมเราไม่มีปัญญา เพราะเรารู้จักแต่พุทธะภายนอกแต่เราไม่รู้จักพุทธะภายใน ฉะนั้นคนที่รู้แล้วเกิดปัญญาคือ รู้จักตนจึงทำให้เกิดปัญญา หาพระพุทธะภายนอกไม่สู้หาพระพุทธะภายใน รู้จักตนจึงเกิดปัญญา เมื่อเรารู้จักตนแล้วเราจะหนีพ้นทุกข์ได้อย่างไร เราจะหลุดพ้นจากวัฏฏะทุกข์นี้ได้อย่างไร ใครที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (ตัวเราเอง)  ฉะนั้นรู้อะไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ มีสติรู้เท่าทันตนว่าทุกข์เกิดมาจากไหนและดับได้อย่างไร
แล้วทำอย่างไรถึงจะรู้ค่าของตน เพราะมนุษย์ไม่รู้จักว่าตัวเองเกิดมาทำอะไร มีหน้าที่อะไร เดี๋ยวทำโน่นเดี๋ยวทำนี่ ถึงที่สุดถ้าลืมหน้าที่ของตนก็เท่ากับลืมคุณค่าของความเป็นคน ฉะนั้นรู้อะไรที่ทำให้เกิดคุณค่า นั่นคือรู้จักหน้าที่ตน แล้วหน้าที่ของเราคืออะไร กิน อยู่ หลับ นอน หาเงิน ไปเที่ยว เรารู้แค่หน้าที่เท่านี้ๆ แต่เราลืมหน้าที่ที่แท้จริงของตัวตนเองที่แท้จริงภายในหรือเปล่า
ผู้รู้ที่แท้จริงคือคนที่รู้จักตน เป็นคนที่รู้แท้ การรู้จักผู้อื่นคือรู้เทียม รู้จักพระสารพัดก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ถ้าไม่รู้จักพระในตน รู้จักคุณค่าของคนอื่น อยากให้คนอื่นยกคุณค่าตัวเรา แต่เราไม่รู้จักหน้าที่ของตน เราก็หาทุกข์ใส่ตน
ฉะนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องๆ หนึ่งที่เราไม่เคยรู้กันดีไหม (ดี)  นั่นคือรู้จัก (ตน)  แล้วตนนี้มีสามแบบ ตนภายนอก ตนภายใน และตนที่แท้จริง ตนภายนอกรู้จักหรือยัง ตนภายในเข้าถึงหรือยัง ตนที่แท้จริงเป็นอย่างไรเคยเห็นไหม
ทำไมเราต้องรู้จักตน มนุษย์ทุกข์เพราะมีตัวตน มนุษย์เวียนว่ายวนเพราะยึดติดในตัวตน ฉะนั้นอยากพ้นทุกข์ อยากพ้นเวียนว่ายก็ต้อง (ไม่มีตัวตน)  แล้วเรามีตัวตนเยอะเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากพ้นทุกข์ เราอยากพ้นเวียนว่ายก็แค่ต้องรู้ให้ถึงตัวตน ไม่ต้องชี้ข้างนอก ต้องชี้ตัวเอง เขาด่าเราเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเขาด่าตน ถ้าหากเขาบอกว่าเขาด่าเรา แต่ตนมันไม่มี ตนคือความว่าง เขาด่าไปก็ปล่อยให้ผ่านไป เราทำได้ไหม ฉะนั้นเราจึงบอกว่าตัวตนที่แท้จริงอยู่ภายในของเรา ตัวตนภายนอกคือกาย ตัวตนภายในคือใจและตัวตนที่แท้จริงคือจิตญาณ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กาย ใจ จิต ใช่ไหม (ใช่)  ใจเป็นสิ่งที่ควบคุมยากที่สุด แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมใจได้คืออะไร
ท่านไม่อยากเห็นการยืมร่าง ไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าจริงหรือเท็จ แต่บางครั้งความเท็จก็มีความจริงอยู่ ความจริงก็มีความเท็จอยู่ แต่ถึงที่สุดไม่ว่าเท็จหรือจริงก็คือความว่าง คิดก่อนนะ คิดให้ออกนะ ใจที่ยากควบคุมนี้มีสิ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมใจที่ยากจะควบคุมได้ ใจเหมือนม้าเหมือนลิง จริงไหม (จริง)  นั่งอยู่ตรงนี้แต่คิดไปถึงไหน ญี่ปุ่น อเมริกา โทรทัศน์ กลับบ้าน ไปเที่ยวแถมยังคิดถึงสงกรานต์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นอะไรที่จะสามารถควบคุมใจเราได้ แล้วอะไรที่จะสามารถทำให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้อีกต่อไปได้ (ต้องใช้สติปัญญาควบคุมใจ)  ใจนี้ต้องใช้อะไร (ใช้สติมาควบคุมใจ)  ใจใช้สติคุม ใช่หรือไม่
ยินดีต้อนรับเราไหม (ยินดี)  เห็นนั่งจนเหนื่อยแล้ว เมื่อยแล้ว เบื่อแล้ว  เราเลยมาปลุกความมีสติให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า  ใจที่เรายากหยั่งถึง ยากเดาควบคุม แต่อะไรที่เราสามารถควบคุมได้และรู้เท่าทันใจเราได้  สิ่งที่จะจับใจเราได้อยู่และรู้เท่าทันใจเราดีที่สุด ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติถ้ามั่นคงแล้วจึงเกิดปัญญา หรือ ที่มนุษย์กล่าวว่ามีสติ เกิดสมาธิแล้วจึงเกิดปัญญา ถ้าเรารู้เท่าทันสติและมีความมั่นคงในสติ รักษาจิตให้ปกติ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ร้อนไม่หนาว  ไม่ยิ้มจนเกินไป ไม่เศร้าจนเกินไป รักษาจิตให้ปกติคือการรักษาจิตให้มั่นคง เจอใครมากระทบไม่โกรธ เจอใครด่าไม่น้อยใจ ไม่เสียใจ รักษาจิตให้ปกติด้วยความมั่นคง นี่แหละเรียกว่ามีสมาธิ แล้วเราจะตัดอย่างไรล่ะ ก็ตัดด้วยความรู้แจ้งแห่งปัญญา เมื่อตัดได้ เรามั่นคง เราปกติไม่ผูกใจเจ็บ เราก็ตัดการจองเวรจองกรรม ผูกเวรผูกกรรม นี่เรียกการทำงานของสติ สมาธิและปัญญา ทำให้เราสามารถดับทุกข์และสามารถดับการเวียนว่ายตายเกิดได้ เวลาทุกข์ เวลาลำบากหนีมันไป พ้นไหม (ไม่พ้น)  ไปนั่งนิ่งๆ เป็นก้อนหิน เดี๋ยวกลับมาเจอทุกข์ใหม่ คิดจะหนีอีก ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นเราสามารถรู้เท่าทันตัวเราได้ เวลาเขาด่า เวลาเขาชม เวลาเขาขโมยของเรา เรียกสติเราให้อยู่กับตัว ใจเย็นๆ เขาด่าเราแล้วได้อะไร เราจะเศร้าไปทำไม เขาชม ชมแล้วดีใจไปทำไม ถ้าชมแล้วเราไม่รักษาความดีไว้ เราจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็โดนด่าอีก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น ถ้าเรามี สติ รักษาจิตให้ปกติด้วยความมั่นคง และทำปัญญาให้ถึงแจ้ง เราจะตัดทุกข์และตัดการเวียนว่ายได้แค่ชั่วขณะหนึ่งที่เขาว่าเราเลยนะ แต่ถ้าชั่วขณะหนึ่งที่เขาว่าเรา ความคิดเราจบเสร็จสรรพ โกรธจนจำได้ พรุ่งนี้เห็นหน้าเขายังโกรธไม่รู้ลืม นี่เรียกว่าสร้างทุกข์ แล้วก่อเวรก่อภัยผูกการเวียนว่าย
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ฝึกควบคุมคนอื่น แต่บำเพ็ญธรรมคือหันกลับมารู้เท่าทันตนโดยอาศัยสติ (สมาธิ ปัญญา)  ในขณะที่ตาเห็น หูฟัง ใจสัมผัส ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วก็ค่อยทำใจ บางทีก็ช้าเกินไป ทุกวันนี้กว่าเราจะเดินทางไปนั่งสมาธิ เราอาจจะแอบว่าใคร ผูกใจเจ็บกับใครก่อนจะไปถึงสถานที่ก็ได้ การพูดไม่ระวัง การมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง เราอาจจะก่อกรรมโดยไม่รู้ตัว ภัยในโลกน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  แต่พุทธะอยากบอกทุกท่านว่าภัยที่เกิดจากการจองเวรจองกรรมที่มนุษย์เป็นผู้สร้างน่ากลัวยิ่งกว่า ทำให้เราต้องกลับมาเจอภัยไม่จบสิ้น เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้น เราควรระวังอะไร มนุษย์กลัวแต่ระวังภัยภายนอก แต่ลืมระวังภัยภายในที่ตัวเองก่อ คือ (ปาก) และใจที่อยาก เพราะสิ่งนี้ก่อภัยให้เราไวกว่าภัยที่จะเกิดในอนาคตเสียอีก ภัยระเบิดอาจจะตูมเดียวตายแล้วจบกัน แต่ปากถ้าด่าเขาแล้วอาจโดนตบแล้วตบอีก ฟื้นขึ้นมาก็ตบอีก เพราะว่าเขาแค้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้น คิดให้ดีๆ นะ ภัยในโลกน่ากลัวก็จริง แต่ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่เราสร้างเหตุปัจจัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อยหรือยัง (ไม่เมื่อย)  ไม่เมื่อยก็ยืนต่อไป เพราะท่านพูดเอง คนอื่นไม่มีผลที่จะทำให้เราทุกข์สุขได้นอกจากตัวเราเอง อยากนั่งไหม (อยาก)  รีบเปลี่ยนทันทีเลย บอกไม่เมื่อยแล้วทำไมอยากนั่ง ทำไมคำพูดขัดกันเอง ไม่เมื่อยแต่อยากนั่งตกลงจะให้เชื่ออันไหน เมื่อยไหม (เมื่อย)  อุตส่าห์ถามว่าเมื่อยไหมก็น่าจะชวนเรานั่ง ใช่ไหม (ใช่)  ใครบอกไม่นั่ง เราจะได้บอกตามใจเสียงส่วนน้อย
เสียงเล็กๆ ก็มีพลังได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเสียงเล็กๆ นี้ก็เป็นปัญหาที่ทำให้ปัญหาเล็กกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
นั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง)  บางคนไม่ตอบแปลว่าไม่อยากนั่ง เคยได้ยินไหม รอยรั่วเล็กๆ ก็ทำให้เรือใหญ่ล่มได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาเล็กๆ ที่อยู่ในหัวใจถ้าเราไม่รีบสะกิดออกมันอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ได้ เหมือนเราพยายามทำดีกลบความไม่ดี แต่สิ่งที่ไม่ดีไม่แก้ไข มันจะหายไปไหม (ไม่หาย)  บุญมาขนาดไหน กรรมก็ตามมาขนาดนั้น ทำดีไปมากมายแต่นิสัยไม่ดีไม่ยอมแก้ ความดีก็ยากจะส่งผล ทำบุญตักบาตรมากมายแต่นิสัยขี้โมโห ขี้บ่น บ้าอำนาจยังมีอยู่ ผลก็ยากจะตก เพราะว่านิสัยไม่ดีไม่เคยแก้ ฉะนั้น เราต้องระวัง รอยรั่วเล็กๆ ที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ แม้จะดีขนาดไหนก็ตาม จะถามอีกครั้งหนึ่ง คิดให้ดีๆ หนึ่งเสียงที่ไม่ตอบอาจทำให้หลายๆ คนไม่ได้นั่ง ฉะนั้น อย่าคิดว่าฉันไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำอะไร สังคมก็ไม่เดือดร้อน ไม่แน่เสมอไป เพราะการไม่พูดไม่ทำอะไรอาจจะเป็นเหตุให้สังคมเดือดร้อนได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับเวลานี้ที่ไม่พูดว่าจะนั่งหรือไม่นั่งนั่นล่ะ ทำให้เพื่อนในห้องเดือดร้อน คนอยากนั่งตอบเสียงดังๆ นั่งไหม (นั่ง)  เชิญทุกท่านนั่งลงได้
เมื่อสักครู่เราบอกว่ามีตน วันนี้เราจะมาเรียนกันเรื่องตัวตน อย่าคิดว่าเราสอนนะ คิดว่าพูดคุยกัน เรามีตนภายนอก มีตนภายใน และมีตนที่แท้จริง ตัวตนภายนอกคือกาย ตัวตนภายในคือใจ และตัวตนที่แท้จริงเรียกว่าจิตญาณ กายภายนอกคือร่างกายนี้ กายนี้ขยับเขยื้อนเพราะเกิดจากภายใน จิตสั่งอย่างไรกายก็ไปอย่างนั้น จิตสั่งสมอะไร ตายไปก็ไปตามที่จิตสั่งสมนั้น หากอยากรู้ว่าไปนรก ไปสวรรค์ ให้ถามจิตตอนนี้ว่าเราสั่งสมอะไรไว้ในจิต สั่งสมความไม่ดีของสิ่งนั้น เกลียดสิ่งนี้ เขายืมเงินฉันไป ฉันติดหนี้เขามา ถ้าตายไปแล้วจิตของเรามีสิ่งที่สั่งสมอยู่ไม่รู้ลืมเราก็จะหมุนไปตามจิตที่สั่งสมไว้ กรรมเราก็ไปตามจิตที่เราเก็บสั่งสมไว้ในความจำ
ฉะนั้นไม่ต้องถามว่าจะขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกกับคนอื่น แต่หันกลับมาถามจิตเราเองว่าเก็บอะไรไว้ในจิต ถ้าเก็บความสงบ การปล่อยวาง ความว่าง ท่านคิดว่าท่านจะไปไหน (ไปสวรรค์) แต่ถ้าสิ่งที่เก็บไว้เป็นบุหรี่ เหล้า นารี การพนัน ไฮโล แทงหวย เราจะไปไหน (นรก)  เพราะว่าจิตยังจำได้ไม่รู้ลืม ถ้าตอนมีร่างกายยังตัดไม่ได้ จิตก็ไปตามนั้น ถูกไหม (ถูก)  ถ้าจิตยังจำไม่รู้ลืมว่าฉันมีตัว ฉันมีตน ตายไปก็ยังมีตัวตนให้ต้องเสวยทุกข์และเวียนว่าย แต่ถ้าจิตเข้าถึงความว่าง ไร้ตัวตน เราก็ไปดินแดนแห่งความว่าง ไม่มีทุกข์ทน ฉะนั้นจำไว้นะ ยามมีชีวิตอยู่ ถ้าจิตยังมุ่งแต่แสวงหาสะสม แสวงหาเก็บไว้ แสวงหาจองไว้ แสวงหาจำไว้ จิตก็จะไปตามนั้น แม้จะไหว้พระขนาดไหน บุญก็บุญ กรรมก็กรรม ฟ้าดินชัดเจน แม้ท่านจะไม่กลับมาห้องพระอีกจะไม่กลับมาบำเพ็ญธรรมอีก ตัวท่านจะไปตามจิตสั่งสม ถ้าจิตเข้าถึงความว่าง ท่านก็ไปสู่ความว่าง ถ้าจิตเข้าถึงความแค้น จำได้ไม่รู้ลืม หรือไปสู่ความโลภ อยากได้ อยากมีไม่จบสิ้น เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ดำเนินชีวิตเพื่อตัวเองไม่สนใจใคร ไม่สนใจผิดชอบชั่วดี ท่านก็ไปสู่การเวียนว่ายในภูมิวิถีหก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาเอาแต่ตัวเองรอด คุณธรรมไม่ต้องสนใจ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอยากรู้ว่าตัวเองจะพ้นเวียนว่ายหรือไม่พ้นเวียนว่ายให้ดูที่จิต สั่งสม เราสร้างความเคยชินอะไรสู่จิตใจเรา หาความสงบ หรือมัวเมาการพนัน กินเหล้า ก็เลือกเอา เพราะนี่เป็นชีวิตท่านเอง เรามีแค่หน้าที่บอก ถึงเวลาท่านเชื่อไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ท่าน
เราศึกษาธรรมไม่ใช่แค่บ้าบุญ บ้าเป็นคนดี อย่างนั้นไม่ถูก เราต้องเข้าให้ถึงแก่นแท้ เราต้องเข้าให้ถึงที่สุด  เหมือนถ้าเราบอกว่า ท่านมาถึงสถานธรรม เราให้ท่านอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแค่นี้ ไม่ต้องไปไหน เอาไหม (ไม่เอา)  อึดอัดใช่ไหม อยากไปดูข้างบนหน่อย หรืออยากลงข้างล่างหน่อย ใช่ไหม (ใช่)  พอเราได้ขึ้นข้างบนได้ลงข้างล่าง คนบางคนอยากอยู่ข้างล่าง ก็สุดแล้วแต่เขา คนบางคนอยากใฝ่สูงก็สุดแล้วแต่เขา แต่ตัวตนในชีวิตของมนุษย์ที่เรียกว่าภายในนั้นมีสองแบบ  หนึ่งคือความคิด สองคืออารมณ์ความรู้สึก อายุน้อยมักจะชอบไปตามอารมณ์ อายุมากมักไปตามความคิด ใช่หรือไม่
สองอย่างนี้ถ้าขาดการควบคุมดูแล ด้วยสติ ก็อาจจะกลายเป็นคิดมากจนหลับไม่ลง สมองมันไม่หยุดคิด อยากหลับแต่มันคิดอีกแล้ว เคยเป็นไหม (เคย)  ตาค้างหลับไม่ได้เพราะมันคิดอยู่นั่นล่ะ คิดจนตาค้างแล้วก็หลับไม่ได้ อยากหลับ แต่หยุดคิดไม่ได้ นี่คือเราเห็นตัวตนแต่เราหยุดตัวตนไม่ได้ เพราะเราขาดพลังแห่งสติ พลังแห่งมโนธรรมที่คอยยับยั้งความคิด ที่จะทำให้เรารู้จักปล่อยวาง ที่จะทำให้เรารู้จักปลงตกคิดได้ ใจนี้มันมีความคิดกับอารมณ์ แล้วความคิดกับอารมณ์บางครั้งมันหยุดไม่ได้ เดี๋ยวคิด เดี๋ยวอยาก วนกันอยู่อย่างนี้ แล้วเพราะอะไรมันจึงหยุดไม่ได้ เพราะลึกๆ ในตัวตนแท้กลัวอะไร หยุดอยากไม่ได้เพราะว่ากลัวอด หยุดหาไม่ได้ หยุดคิดไม่ได้ เพราะกลัวตาย กลัวเจ็บ หยุดรักคนอื่นเขาไม่ได้ อยากหยุดแต่หยุดไม่ได้ก็รักเขาไปแล้ว เพราะกลัวเหงา เพราะอยู่คนเดียวไม่เป็น อยู่คนเดียวแล้วเหงา เบื่อ ไม่มีอะไรทำ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นตัวตนที่แท้จริงและเราไม่ลืมตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ไม่ปล่อยให้มายาปรุงแต่ง ตัวตนที่อยู่ภายในก็จะไม่เดือดร้อนและตัวตนภายนอกก็จะไม่ทุกข์ทน จริงไหม (จริง)  แล้วเรายอมรับตัวตนที่แท้จริงภายในหรือยัง มองเห็นตัวตนที่แท้จริงภายในกันหรือยัง (ยัง)  พูดมาจนถึงขนาดนี้ยังไม่เห็นอีกหรือ อุตส่าห์ค่อยๆ ลากตามมาแล้วนะ เราถึงได้เป็นอย่างนี้ไง เปิดตาแต่จริงๆ บอด หูได้ยินแต่จริงๆ ชอบหนวก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวตนที่แท้จริงที่มนุษย์เฝ้าอยาก เฝ้าคิด เฝ้าแสวงหาจนหยุดไม่ได้ จนไม่รู้จักพอ จนเวียนว่ายในความทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะลึกๆ เรากลัวอด ลึกๆ เรากลัวเจ็บ ลึกๆ เรากลัวตาย ลึกๆ เรากลัวอยู่คนเดียวแล้วเอาตัวไม่รอด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ท่านลืมไปหรือเปล่า มนุษย์ถ้ามีปัญญาไม่มีวันอดตาย ถ้ามนุษย์รู้จักขยันไม่มีวันจน อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ความสุขของท่านคือการมีคู่ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ท่านต้องมองให้ดีๆ มีสัจจะความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่งคือ คนเรามาคนเดียวก็ไปคนเดียว มาตัวเปล่าก็กลับตัวเปล่า จริงไหม (จริง) ถึงเวลาเราเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)  หามาได้ ถึงสุดท้ายต้องทิ้งมันไปอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหามาเยอะๆ เพื่อเสียดายตอนจะตาย ตอนนั้นทำใจทิ้งได้ไหม ทิ้งไม่ได้ก็กลับมาเป็นตุ๊กแกเฝ้าสมบัติ อย่างนั้นหรือ
ถ้ามนุษย์ไม่ลืมตัวตนที่แท้จริง ไม่ลืมความเป็นจริงของตัวตนที่แท้จริง เราจะไม่ดิ้นรนกับการแสวงหาอย่างไม่รู้พอ แต่เราจะรู้จักพอได้ หยุดได้ มีสติได้ และปัญญาก็เกิดได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าปล่อยให้ความเป็นจริงของโลกบีบคั้นจนทำให้เราต้องรู้ว่า ไม่มีก็ได้ คนเดียวก็ได้ ไม่เหลือก็เอา ตอนนั้นท่านทำใจไหวไหม ดูง่ายๆ ตูมเดียวที่ญี่ปุ่น เหลือใคร บ้านเหลือไหม เงินเหลือไหม (ไม่เหลือ)  แล้วทำใจไหวไหม เห็นเขาแล้วหันกลับมามองเราสิ ห่วงจังเลยสามี ลูก เงิน ถึงเวลาตูมเดียว ตัวใครตัวมัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าเพียงแค่เห็นแต่ต้องหันกลับมาสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของชีวิต ให้บังเกิดธรรม
เราศึกษาธรรมเพื่อปรับความคิดให้ตรง เปิดมุมมองให้กว้าง และกล้าที่จะยืนอยู่บนความจริงบนโลกนี้ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมเพื่อจะได้รวย บำเพ็ญธรรมเพื่อจะได้ดี บำเพ็ญธรรมเพื่อจะได้ไม่ต้องทุกข์ แต่เมื่อบำเพ็ญธรรมแล้วจนก็ได้ ทุกข์ก็เป็น ลำบากก็ไม่กลัวนี่แหละเรียกว่า ผู้บำเพ็ญธรรม ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมลำบากไม่ได้ ทุกข์ก็ต้องไม่มี เจ็บป่วยก็อย่าเป็น อย่างนี้เรียกว่าหลอกลวง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมเจ็บป่วยก็ได้ แต่สามารถสร้างจิตใจให้เข้มแข็งกว่าร่างกาย ตายก็ไม่กลัวเพราะรู้แล้วว่าจิตสั่งสมแต่กรรมดีเราก็ไปตามสิ่งที่ดี แต่มนุษย์ไม่ยอมแค่นั้น เพราะความคิดของมนุษย์นั้นน่ากลัวอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเห็นสิ่งหนึ่งคิดสูงหรือคิดต่ำ มองดีหรือมองร้าย มองกว้างหรือมองแคบ ระวังหรือระแวง อยู่ร่วมกันกำไร ขาดทุน หรือว่าเมตตาให้อภัย แค่หนึ่งความคิดก็สามารถดลบันดาลจิตของคนให้ทุกข์หรือต้องเวียนว่าย แค่หนึ่งความอยากถ้าไม่รู้จักยอม ไม่รู้จักอภัย ไม่รู้จักเสียเปรียบ ก็ดลให้มนุษย์ต้องทุกข์และเวียนว่าย
บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่เข้าวัด แต่บำเพ็ญธรรมคือการดำเนินชีวิตทุกขณะจิตอย่างมีสติรู้เท่าทัน สร้างความมั่นคงให้กับจิตใจ แล้วปัดเหตุแห่งทุกข์ด้วยปัญญา
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาหยิบสับปะรด ส้ม แอปเปิ้ล แล้วให้นักเรียนในชั้นบอกสีของผลไม้นั้น)
อันนี้ (เขียว)  อันนี้ (ส้ม)  อันนี้ (แดง)  เรียกว่า (สับปะรด, ส้ม, แอปเปิ้ล)  เห็นไหมว่า ในความจริงบางสิ่งบางอย่าง สิ่งหนึ่งอาจจะเรียกได้อีกสิ่งหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เรียกว่าตัวตน อาจจะเป็นได้มากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง ฉะนั้น อย่ามองแค่เห็นสิ่งหนึ่งแล้วเป็นแค่อย่างนั้น เหมือนที่พระพุทธะเคยกล่าวไว้คำหนึ่งว่า “เห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นภูเขาไม่เป็นภูเขา แล้วก็กลับมาเห็นภูเขาเป็นภูเขา” เข้าใจคำนี้ไหม
เหมือนกับตอนแรกเราเห็น เราเรียนรู้ว่านี่เรียกว่าสับปะรด แต่ต่อไปเวลาเรามองสับปะรดเราก็จะคิด ไม่ชอบ ขี้เกียจปลอก น่าจะเปรี้ยว เริ่มเห็นสับปะรดไม่เป็นสับปะรด พอพูดถึงสับปะรดก็ไม่ชอบ เพราะเราเห็นสับปะรดไม่เป็นสับปะรด แต่ต่อไปถ้าเราข้ามพ้นความรู้สึก ความคิด เราก็จะเห็นสับปะรดกลับมาเป็นสับปะรด นั่นแหละธรรม
เหมือนกัน ตอนแรกเราเห็นตัวตน เริ่มค่อยๆ รู้จักตัวตนและเริ่มเป็นตัวตน และถึงที่สุดเราก็หลงตัวตน แต่เมื่อไรที่เรารู้แจ้งด้วยปัญญา เราจะกลับมาเป็นตัวตนที่เป็นตัวตนเดิมแท้ ตอนแรกเราเห็นตนแล้วก็ไม่เห็นตน แล้วสักวันหนึ่งท่านจะกลับมาเห็นตน ถ้าท่านสามารถอยู่เหนือพ้นความดีความชั่ว สิ่งที่เห็นว่ามี ถึงที่สุดแล้วก็คือไม่มี เมื่อเราลิ้มรสมันจนถึงที่สุดแล้วมันก็คือความว่าง ชีวิตก็เหมือนกัน ใช้ให้ถึงที่สุดแล้ว รู้จักคุณค่าของตัวเองแล้วก็ปล่อยไปสู่ความว่างบ้างนะ อย่ายึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นจะตายทั้งเป็น
อย่างนั้นเราถามนะ โซ่อะไรที่รัดมนุษย์ กรงอะไรที่ขังมนุษย์ให้อยู่แล้วก็เหมือนไม่ได้อยู่ เป็นโซ่ที่มองไม่เห็น เป็นกรงที่ขังคนแล้วไม่มีรูปลักษณ์ คืออะไร
(กรรม)  กรรมที่เกิดจาก (การกระทำของตัวเอง)  เป็นโซ่ที่ล่ามเราไว้ จะเอาส้มหรือเอาสับปะรดไม่เป็นสับปะรด (แล้วแต่ศิษย์พี่จะเมตตา)  รับส้มไปแล้วกันนะ ถ้าจะรับสับปะรดต้องแบกรับภาระหนักหน่อย
อะไรที่ชอบล่ามมนุษย์ไว้ (ความหลง)  หลงตัวเอง หลงลูก หลงสามี หลงเงินทอง ใช่หรือเปล่า ขังเราแน่นยิ่งกว่ากรงจริงๆ ที่ขังคน ล่ามเราแน่นยิ่งกว่าโซ่จริงๆ ที่ล่ามตัวตน คือโซ่อะไร ตำแหน่งหน้าที่หรือเปล่า
(ความห่วง)  ห่วงอะไร ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงเงิน ห่วงไปหมดเลย คนทุกคนล้วนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง วันนี้ของได้มาแต่ไม่แน่ อย่าลืมว่าสมบัติผลัดกันชม เงินหนึ่งร้อยผ่านมากี่พันมือก็ไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)
(กิเลสตัณหา)  กลัวอะไรความจริงสิ่งที่เป็นไป
(ความทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเอง)  อย่างเช่นคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด คิดที่จะเปลี่ยนคนอื่นแต่ลืมเปลี่ยนความคิดตัวเอง ใช่หรือเปล่า
(ไม่ยึดติด)  ไม่ยึดติดความคิดของตัวเองว่าถูกต้องเสมอไป บางครั้งต้องยอมรับเป็นผู้ผิดบ้าง
(ความกลัว)  กลัวนั่นกลัวนี่กลัวไปไม่มีประโยชน์ สู้ผลักให้ตกน้ำเลยจะได้ว่ายน้ำเป็น ใช่ไหม
กลัวทุกข์ไหม กลัวตายไหม (กลัว)  กลัวทำไม กลัวแล้วอย่างไรก็ต้องตาย จริงหรือเปล่า กลัวทุกข์ไหม กลัวอกหักไหม แล้วแน่ใจหรือว่าจะไม่อกหัก ถ้าเราฝึกใจของเราให้เข้มแข็ง ในโลกนี้มีใครบ้างได้แล้วไม่เสีย สมหวังแล้วไม่ผิดหวัง ฉะนั้นเราจะต้องกล้าที่จะสู้กับความจริง และการกล้าที่จะสู้กับความเป็นจริงก็จะทำให้เราผ่านความกลัวไปได้
(ความโกรธ)  ความโกรธล่ามเราไว้อย่างดีเลย ใช่หรือไม่
เป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่ อะไรๆ ก็ต้องรับให้ได้ เพราะนั่นคือความจริง คนที่ไม่กล้าสู้กับความจริงคนนั้นหนีไม่พ้นทุกข์ แต่คนที่กล้าสู้กับความจริงคนนั้นจะมีวันพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตามอบผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้นที่ตอบคำถาม)
เอาไม่เอา ให้ดีไหม ให้เขาดีไหม (ดี)  การตามใจจนเคยตัวอาจจะบ่มเพาะนิสัยที่ผิดหวังไม่เป็นนะ ฉะนั้นศิษย์พี่ก็ต้องฝึกศิษย์น้องให้เข้มแข็ง ไม่ปล่อยตามใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาก็ได้ไม่เอาก็ได้) อย่างนี้สิค่อยน่าให้ (แล้วแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)  มีปัญญายิ่งขึ้น แต่ศิษย์พี่อยากได้แบบ “ไม่เอาก็ได้” ต้องฝึกให้ได้นะ เพราะถ้าถึงเวลาจริงๆ อยากได้ขนาดไหน ถ้าเขาไม่ให้ เราเปลี่ยนใจเขาไม่ได้นะ เราต้องหันกลับมาเปลี่ยนใจเราเอง อยากให้เขารักขนาดไหน เราหวังดีขนาดไหน แต่ถ้าเขาไม่รักเรา เราต้องหันกลับมามองตัวเอง สร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจ ฝึกธรรมะ บำเพ็ญธรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจ กล้าที่จะอยู่บนความเป็นจริงของโลกใบนี้ แม้ว่าโลกใบนี้มีความจริงที่โหดร้ายเพียงใดก็ตาม แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่โหดร้ายที่ต้องเจอ อาจจะเป็นการได้ละลายหนี้กรรม บางคนเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด เขาทำเราเจ็บปวด เขาทำเราหมดตัว เขาทำเราเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ ตอนนั้นศิษย์น้องอยากจะละลายกรรมหรืออยากจะผูกกรรมต่อ จะจบกรรมกับเขา หรือก่อกรรมต่อ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราคิดว่าช่างมันเถิด เราคงทำกับเขาไว้เยอะ ลูกไม่ดี สามีไม่รักเรา ก็คิดเสียว่าหมดกรรมกันสักที ใช่ไหม เงินหามาแทบตายอยู่ในธนาคาร ธนาคารระเบิดตูมเดียว ก็หมดตัวแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น ต้องฝึกไว้นะ เชื่อศิษย์พี่เถิด ฝึกใจให้เข้มแข็ง ฝึกใจให้รับกับความจริงในโลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ขออย่าปรุงแต่ง มองตามความเป็นจริง เพราะยิ่งปรุงแต่งยิ่งฆ่าตัวเอง เหมือนเขาด่าเราครั้งเดียว แต่เรายิ่งปรุงแต่งเหมือนโดนด่าสิบครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่กับความจริงนะ
ศิษย์น้องไม่อยากเสียใจภายหลัง ทำอะไรขอให้ใจเย็นๆ ช้าสักนิดคิดให้รอบคอบจะได้ไม่เสียใจ มนุษย์เราหนีไม่พ้น จะต้องเจ็บป่วย ต้องแก่ ต้องตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีไว้เพื่อปลง มีไว้เพื่อเห็นแจ้ง ไม่ใช่มีไว้เพื่อยึดติด ใจของเราไม่มีวันแก่นะ ใจหลุดพ้นจากกายได้หรือเปล่า ไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าหากทำไม่ได้ต้องลากกายไปทนทุกข์ต่อไป เมื่อหมดจากกายนี้อาจจะไม่ได้กายนี้ต่อก็ได้ อาจจะได้เป็นกายอย่างอื่น เอาหรือเปล่า ฉะนั้นถึงเวลาตัดทิ้งก็ต้องตัดทิ้งให้ได้ กายนี้ไม่ได้ไปกับเราตลอดนะ แต่ถ้าเรายึดติดถือมั่น เราก็ต้องเวียนไม่จบสิ้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ต้องรู้จักตน”  ทำนองเพลง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม”)
ศิษย์พี่ไปแล้วนะ อย่าลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง อย่ากลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว คนเราเกิดมา ถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องตาย เราก็ต้องหมดตัว ใช่ไหม (ใช่)  จำที่อาจารย์จี้กงบอกได้หรือเปล่า อาจารย์จี้กงเคยบอกว่าถึงที่สุดศิษย์ต้องหมดตัว ศิษย์ต้องอยู่คนเดียว ศิษย์จะไม่มีบ้านให้อยู่ นั่นคือความจริงนะ วันเดียวอาจจะไม่ทำให้รู้แจ้งได้ทั้งหมด แต่จริงๆ ถ้าไปให้ถึงที่เราพูด ท่านก็จะสามารถเข้าถึงปัญญาที่รู้แจ้งได้ แค่ชั่วขณะหนึ่งเองนะ แต่ชั่วขณะหนึ่งถ้ารู้จักครองสติให้ดี เราก็สามารถตัดทุกข์ตัดการเวียนว่าย ได้ จริงหรือไม่ (จริง)



วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนมีความหลงอยู่ในความสด ในความใหม่ไม่มีหมดไม่มีสิ้น
แต่ต้องมีทรัพย์เงินทองจึงได้กิน เช่นลิ้นได้สัมผัสใจไม่ได้อะไร
ธรรมไร้รูปยิ่งตระหนักความไม่เที่ยง ใจที่เอนเอียงไปกลับคืนใส
มองเข้าโลกที่แท้คืออะไร ห่างจากใจไม่เข้าใจสัจธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตอบคำถามอาจารย์ได้ไหม

เหนือพันโลกธาตุใหญ่เป็นผู้อิสระ สยบเวียนหมุนที่ขณะใจดวงนี้
โลกเปลี่ยนไปเป็นการเตือนศิษย์เมธี ความพลิกผันยังมีอีกมากมาย
อันกองทุกข์ซึ่งกองอยู่ตรงหน้า ใจที่ว่างไร้อัตตาย่อมต้านไหว
คนที่เคยเห็นโลกจึงเข้าใจ ใหญ่กว่าโลกเห็นใจตนพ้นคืน
ภัยเห็นไม่หนักหนาคนไม่สร่าง ติดยึดหวังเป็นหนานิ้วตะคริวกลืน
ตื่นจากฝันยืมกายปลอมบำเพ็ญคืน ใช้ไปใช้มายื่นโอกาสให้คน
จิตขณะพ้นมายาได้ดังวัฏฏะหยุด แม้ชั่วคราวข้ามสมมติได้ก็เปี่ยมล้น
เกิดแล้วดับดับก่อนดับชีวิตตน จึงหลุดพ้นไม่เวียนว่ายอย่างแท้จริง
ฮา  ฮา   หยุด

หมายเหตุ : กลอนวรรคสุดท้าย พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมแต่ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจที่ได้เจออาจารย์หรือดีใจที่ได้จบชั้นแล้ว (ดีใจที่ได้เจออาจารย์) อยากเจอจริงๆ หรือ อาจารย์ไม่ได้มาให้ยึดติดรูปลักษณ์นะ แต่มาเพื่อชี้แจงหลักธรรมแท้จริงที่มีอยู่ในตัวศิษย์เอง ไม่ใช่มีอยู่ในตัวอาจารย์
อาจารย์อยากให้ศิษย์เคารพตัวเอง ถ้าทุกคนรู้จักเคารพตัวเอง รู้หน้าที่ตัวเอง สังคมจะมีความวุ่นวายไหม (ไม่มี)  เพราะคนที่เคารพตัวเอง รู้จักหน้าที่ตัวเองคงไม่ทำอะไรผิดให้ตัวเองต้องเดือดร้อนและเสื่อมเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันคนสมัยนี้มักจะเป็นอย่างไร มัวแต่ห่วงคนอื่นแต่ไม่ห่วงตัวเอง มัวแต่ดูแลคนอื่นแต่ไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีก่อน แล้วสิ่งที่ศิษย์ห่วงมักจะเป็นพวกจับผิด นินทา ต่อว่า ซึ่งจริงๆ แล้วเราควรจะหันมาจับผิด (ตัวเอง)  ต่อว่า (ตัวเอง)
ในโลกนี้ใครว่าศิษย์ได้บ้าง ใครเปลี่ยนศิษย์ได้บ้าง (ไม่มี)  ไม่มีใครว่าศิษย์ได้เลยสักคนเดียว แม้ตัวเองจะว่าตัวเอง ก็ยังบอกว่าตัวเองก็ไม่ผิดนะ ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองก็ยังมีดีนะ เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย ไปไม่เคยถึงแล้วก็ไม่เคยแก้ได้ เมื่อตัวเองไม่แก้ คนอื่นให้แก้ก็ไม่แก้ แล้วอย่างนี้จะมีอะไรดีขึ้นไหม คนดีที่แท้จริงคือคนที่พยายามจะไม่ผิดเลยดีกว่า เพราะแม้จะทำดีมาร้อยครั้ง แต่ถ้าทำผิดสักครั้ง ความดีก็พร้อมจะหายไปในทันที ใช่หรือไม่
ฉะนั้น อยากเป็นคนดี สู้พยายามไม่ทำผิดก็เรียกว่าดีแล้ว ดีกว่าพยายามทำดีแล้วยึดติดยึดมั่น อย่างนี้กลายเป็นคนดีที่หลงตัวเอง เป็นคนดีที่โดนต่อว่าไม่ได้ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) คนดีที่หลงตัวเองแล้วใครว่าอะไรไม่ได้ เพราะถือว่าฉันก็ดีอยู่แล้ว กับคนนิสัยไม่ดีแต่ยอมรับว่าเราไม่ดี สองคนนี้ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร ต่างกันไหมศิษย์ (ไม่ต่าง)  มีอะไรที่ไม่ต่าง เพราะไม่ยอมแก้ไขตัวเอง เพราะมีทิฐิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็เลยว่าดูแล้วไม่ต่างกันเลย อีกคนสุดโต่งด้านซ้าย อีกคนสุดโต่งด้านขวา ส่วนเราอยู่ตรงกลางเราเป็นอย่างไร ดีก็ไม่เอา ไม่ดีก็ไม่เอา เราเลยอยู่ตรงกลางเลย เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดีอย่างนั้นก็ไม่ดีเหมือนกัน เช่นนั้นอะไรหรือคือความดีที่แท้จริง อะไรหรือคือความดีที่สามารถนำพาให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใน โลกนี้ บางทีก็ว่ากันไปให้ถึงที่สุด ศิษย์ก็ยังอดงงและสงสัยไม่ได้
ถ้าอาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ความดีที่แท้จริงคืออะไรก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่อาจารย์กลัวอย่างเดียวว่าบอกไปแล้วเดี๋ยวศิษย์ก็ลืม จะลืมไหม (ไม่ลืม)  ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ทดสอบภูมิศิษย์ได้ไหม เมื่อวานศิษย์พี่พูดเรื่องอะไร พระนาจาท่านสอนให้รู้จักตัวตนของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่วันนี้อาจารย์จะคุยกับศิษย์ก็เป็นเรื่องใกล้ตัว อะไรเรียกว่าความดีที่แท้ และอะไรที่จะทำให้ศิษย์นั้นพ้นจากทะเลทุกข์
เราอยู่ในโลกแห่งทะเลทุกข์ ศิษย์คิดว่า ศิษย์จะจมอยู่ในโลกแห่งทะเลทุกข์นี้ต่อไป หรือว่าศิษย์จะหาทางพ้นทุกข์ (หาทางพ้นทุกข์) ศิษย์อยากจะจมอยู่ในทะเลทุกข์นี้ต่อไป หรือจะพยายามฝึกฝนอบรมจิตเพื่อละทุกข์ให้หมดสิ้น คำตอบนี้มีผลต่อศิษย์นะว่า ศิษย์กับอาจารย์จะอยู่ศึกษากันต่อไหม หรือว่าเจอกันแล้วก็ไปเลย
อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในตัวตน  ความรู้ของตนก็อาจเป็นผลให้เราไม่พ้นเวียนว่าย อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ศิษย์จะบำเพ็ญต่อหรือไม่บำเพ็ญต่อขึ้นอยู่กับความคิดในจิตของศิษย์ว่า ศิษย์จะกลับไปจมในทะเลทุกข์หรือศิษย์จะอบรมฝึกฝนจิตให้พ้นทุกข์ วันนี้อาจจะเป็นแค่วันสุดท้ายแต่ไม่ใช่ท้ายสุด อาจจะเป็นวันสุดท้ายเพื่อศิษย์จะพร้อมกลับมาเริ่มต้นศึกษาต่อ ฉะนั้นอาจารย์ถามคำถามนี้จึงเป็นคำถามเพื่อให้ศิษย์ตอบเอง ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งตอบ ถ้าศิษย์ตอบใจตัวเองได้ ศิษย์ก็ฟังอาจารย์ต่อไปได้ แต่ถ้าศิษย์ตอบใจตัวเองไม่ได้ ศิษย์ฟังต่อไปก็ไม่เข้าใจ เพราะถ้าหากศิษย์คิดว่า ศิษย์ยังชอบและหลงสุขในโลกใบนี้อยู่ ศิษย์ก็ไม่ต้องฝึกฝนให้พ้นทุกข์ เพราะใจของศิษย์ยังขวักไขว่อยู่ แต่การเข้าสู่ประตูแห่งการฝึกฝนอบรมให้ตัวเองพ้นทุกข์ไม่ใช่การทิ้งทุกอย่าง แล้วเข้าป่าเข้าวัด แต่อาจารย์ให้โอกาสศิษย์ในการฝึกฝนบำเพ็ญจิตอีกอย่างแบบคือ อยู่ในสังคมแต่ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลีในสังคม เหมือนเช่นดอกบัวอยู่ในโคลนตมแต่สามารถชูช่องดงามได้ เหมือนตัวเราอยู่ในโลกแต่ใจเราหาแปดเปื้อนโลกไม่ เหมือนที่พระพุทธองค์ที่ศิษย์นับถือ พระพุทธองค์ท่านเลือกเดินทางไหน ระหว่างทางที่มีเงิน มีตำแหน่ง มีหน้าที่ หรือว่ายอมปลีกตัวเองออกมาไม่มีเงิน ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าที่ แล้วมาอยู่กับความทุกข์ยาก จนสามารถพ้นทุกข์ ท่านกลับมายืนในฐานะที่เท่ากับตัวศิษย์เลย ไม่สูงส่ง ไม่มีเงินเยอะ เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ท่านลำบากกว่าศิษย์ด้วย แต่ท่านยอมลำบากเพื่อหาทางพ้นทุกข์ และท่านก็หาทางพ้นทุกข์พบแล้ว แล้วศิษย์เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธได้ถึงแก่นแท้ไหม เรามักเลือกปฏิบัติ อะไรถูกจริต อะไรถูกใจก็ทำ แต่อะไรไม่ถูกจริต ไม่ถูกใจก็ไม่ทำ แล้วแบบนี้เรียกว่าฝึกอะไร
อาจารย์ถามต่อนะ เด็กที่พ่อแม่เลี้ยงแบบตามใจ ศิษย์คิดว่าจะเป็นเด็กอย่างไร เสียนิสัย เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์เหมือนกันหรือไม่ อะไรที่ไม่อยากฟัง ไม่ฟัง อะไรที่เกลียด ไม่มอง อะไรที่ไม่ชอบ ไม่เอา เอาแต่อะไรที่สบาย ชอบแต่อะไรที่ได้เปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์บอกว่าไม่ใช่นะอาจารย์ ศิษย์ทำไปเพราะว่าศิษย์ยังต้องมีภาระ ศิษย์ทำเพราะว่าศิษย์เลือกในสิ่งที่ดีก่อน สิ่งที่ไม่ดีเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง สะสมจิตสำนึกแบบนี้แล้วต่อไปจะกลายเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่ยอมรับ นิสัยตน แล้วอย่างนี้จะพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการมาฝึกฝนบำเพ็ญธรรม คือการกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่ศิษย์ไม่ชอบ รังเกียจและหวาดกลัว เพราะสิ่งเหล่านั้นส่งผลให้เราต้องทุกข์ทนและพยายามหาความสุขอันจอมปลอม
มนุษย์ถึงที่สุดแล้วทุกข์เพราะอะไร คำตอบของทุกคนต้องไม่เหมือนกันแน่ๆ รู้ไหมว่า ถ้าศิษย์สามารถค้นหาคำตอบในตัวเองได้ ศิษย์จะเป็นคนปิดประตูนรกและไม่ก้าวไปในทะเลทุกข์ แต่ศิษย์จะสามารถก้าวพ้นทะเลทุกข์แล้วเปิดประตูสวรรค์ และก้าวผ่านจากสวรรค์ไปสู่แดนที่เรียกว่าแดนนิพพานได้ ถ้าศิษย์สามารถหาต้นเหตุของประตูนรกเจอ หาต้นเหตุของทุกข์ในใจตัวเองเจอ
ใคร ตอบคำถามของอาจารย์ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นไม่มีใครช่วยศิษย์หรอกนะ
เรื่องของสังขารบางทีลืมๆ มันบ้างก็ดี ยิ่งยึดติดยิ่งเจ็บมาก ยิ่งติดมากยิ่งทุกข์มาก ยิ่งรักมากยิ่งเจ็บปวดมาก บางทีก็ต้องลืมๆ บ้าง เพราะถึงที่สุดแล้วร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของศิษย์ สักวันก็ต้องคืนไปกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ เจ็บปวดแล้วได้อะไร ได้แต่ความเห็นใจใช่หรือไม่
อาจารย์ถามว่า ประตูนรกจะเปิดรับเพราะเหตุใด (ตัณหา ราคะ ความโลภ โกรธ หลง) ถูกไหม คำตอบนี้ถูกกับจริตตัวเองไหม
เหมือน เหล้าไม่เคยกวักมือเรียกเรา เรานั่นล่ะไปกวักมือเรียกเหล้า ผู้หญิงเขายั่วไหม (ไม่ยั่ว)  ผู้ชายยั่วไหม (ไม่ยั่ว)  ถ้าใจเรานิ่งเขายั่วอย่างไรเราก็ไม่หวั่นไหว แต่เพราะใจเรามีกิเลสตัวนั้นอยู่ พอเขายั่วเราก็เลยหวั่นไหว ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนสำนวนที่ศิษย์ชอบพูด ผีมักเห็นผี ฉะนั้นถ้าผู้หญิงยั่วก็เพราะข้างในใจเรามีผีผู้หญิงอยู่ เห็นสามียั่วโมโหก็เพราะข้างในใจเราโกรธสามีอยู่ ถ้าเรารักเขาเขาทำอย่างไรก็ไม่โกรธ จริงไหม (จริง)  ศิษย์สังเกตดูง่ายๆ เวลาอารมณ์ดีใครด่ายังยิ้มเลย แต่เวลาอารมณ์ไม่ดีเขาชมก็ยังยิ้มไม่ออก ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นทุกข์อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจเรา)  ทุกข์อยู่ที่ใจ ใจแบบไหนล่ะที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ เป็นตัวที่เปิดประตูนรกให้เราต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น
(ยึดติดสังขาร, ใจไม่เปิดกว้าง)  ชอบมองอะไรแคบๆ ชอบเข้าข้างแต่ตัวเองแต่ไม่ฟังใคร
(ใจที่ชอบปรุงแต่ง)  เห็นเขาสวยเห็นเขาดี เราก็คิดว่า ถ้าฉันสวยฉันดีนะ รับรองฉันต้องสวยต้องดีกว่าเธอแน่นอน ปรุงแต่งแล้วแถมเข้าข้างตัวเองเข้าไปอีก เป็นอย่างนั้นไหม
(ใจที่ยึดมั่นถือมั่น, ความต้องการอยากกระทำ)  อยากกระทำอะไร (อยากทำเรื่องไม่ดี)  ต้นเหตุแห่งทุกข์คืออยากทำเรื่องไม่ดี
(เพราะความอยากได้, ความไม่รู้จักพอ, ความเห็นแก่ตัว, จิตตัวเอง, ความเคียดแค้นพยาบาท, ความโลภ ความโกรธ ความหลง, ความกลัว, อิจฉาริษยา, ลาภ ยศ สรรเสริญ, ไม่รู้จักตน)
ไม่มีใครมีปัญญาที่ตอบแล้วจะพ้นทุกข์ได้เลย ถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์ถ้าศิษย์ตอบได้นะ ขอให้ทุกคนได้นั่งได้ไหม” เพียงเท่านี้ศิษย์ก็ช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์แล้วยังสามารถสะท้อนช่วยคนอื่นให้ พ้นทุกข์ได้ด้วย แต่มีใครเล่าที่จะคิดเผื่อคนอื่น คิดที่จะให้ เพราะคนในโลกนี้คิดแต่เอาตัวรอด แต่ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อไรที่ตัวเองดำเนินชีวิตได้ดี รู้จักอดทนอดกลั้น ศิษย์ก็จะสามารถทำให้สังคมดีได้ แต่ถ้าศิษย์ทำตัวเองได้ไม่ดี ไม่อดทน ไม่อดกลั้น ไม่รู้จักอภัย ศิษย์ก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถทำให้สังคมวุ่นวายได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หนึ่งหยดน้ำสะเทือนทั้งโลกา หนึ่งความคิดสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ทั้งใบ ฉะนั้นหนึ่งความอดทนอดกลั้นและให้อภัยสามารถยังโลกให้สันติสุขได้ นับจากนี้ใครตอบได้จะสามารถช่วยเพื่อนทั้งชั้นได้ (ความคิดเห็น ความต้องการที่ต่างกัน) มาตรฐานของคนนั้นแตกต่างกัน แปลว่าเหตุแห่งความทุกข์นั้นเกิดจากการที่มนุษย์มีมาตรฐานที่ไม่เท่ากัน (ต้นเหตุแห่งความทุกข์เกิดจากตัวเราเอง)
(ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง) ต้นเหตุแห่งทุกข์คือบางครั้งรู้ว่าตัวเองไม่ดี แต่อย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยน ยังยืนยันว่าอยากตกนรกอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือดีแล้วไม่ยอมแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
(กิเลสตัณหา) กิเลสตัณหาที่มารุมเร้าตัวเราเอง อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าอาจารย์ด่าศิษย์ในขณะที่ศิษย์กำลังถูกลอตเตอรี่ ศิษย์จะโกรธอาจารย์ไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าปัญหามารุมเร้าแต่ถ้าใจเราตอนนี้เต็มอิ่ม ปัญหานั้นจะทำร้ายอะไรเราได้ไหม เป็นเพราะเราพร่อง ปัญหาจึงเข้ามาได้ง่าย จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ให้นั่งแล้วนะ อาจารย์จี้กงชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ใช่หรือเปล่า นิสัยมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ไม่ยอมอะไรง่ายๆ ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก จะยอมก็ไม่ยอม ตั้งท่า ตั้งแง่ เราเป็นแบบนั้นหรือไม่ อันที่จริงยอมไปตั้งนานแล้วแต่ทำท่าไปอย่างนั้นล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เริ่มต้นด้วยเรื่องยากทั้งๆ ที่ความจริงเป็นเรื่องง่ายที่สุดเลย
มนุษย์ทุกข์เพราะอะไรหรือศิษย์ ง่ายๆ เลย ทุกข์เพราะไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนเองได้ แล้วให้เหตุผลในการเวียนว่ายหาความโลภ โกรธ หลง ความอยาก สนองกิเลส ตัณหา เพียงเพราะว่าอยากดีกว่านี้ ศิษย์ไม่พอใจทุนเดิมที่ศิษย์มี ศิษย์เห็นทุนเดิมเป็นศูนย์ ทันทีที่เริ่มต้น ศิษย์ก็มองเห็นว่า ทุนเดิมนั้นไม่มีค่า ปัญญาก็อับจนตั้งแต่ต้น ฉะนั้น พอไปแสวงหาอะไรก็เหมือนทุกข์ตั้งแต่ยังไม่มีแล้ว หรือทุกข์ตั้งแต่มี ธรรมดาก็ไม่พอใจแล้ว ที่ศิษย์วิ่งวนหาทุกวันนี้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วก็ไม่ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ แล้วให้เหตุผลในการวิ่งแสวงหาทุกๆ วันเพื่อฉันต้องดีกว่านี้ แล้วบอกว่านั่นคือ ความก้าวหน้าของชีวิต นั่นคือการพัฒนาของปัญญา แต่จริงๆ แล้วจะเริ่มต้นปัญญาได้ต้องเริ่ม จากการชอบในสิ่งที่มี แล้วสร้างสรรค์คุณค่าให้สูงยิ่งขึ้น ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ ถึงจะแปรเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองได้เป็นพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่อๆ ไป แต่มนุษย์ทุกข์ตั้งแต่ต้นเพราะไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ ฉะนั้น ทุกครั้งที่แสวงหา กลับกลายเป็นลดค่าในสิ่งที่มี แต่ถ้าเรารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ ค่าที่มีอยู่ธรรมดาก็จะยิ่งสูงขึ้น พอจะเพิ่มอะไรมาเราก็จะมองว่า สิ่งที่สูงขึ้นนี้มันทำให้ต่อยอดได้ ค่ามันก็กลับยิ่งสูงขึ้นในสิ่งที่ตัวเองมีใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นความดีที่แท้ในความหมายของพระพุทธะก็คือ สิ่งที่มีแล้วสงบเย็น ไม่นำความโง่เขลามาให้เกิดขึ้นในชีวิต ไม่นำพาความร้อนรนมาให้เกิดในตัวตน มีแล้วสงบ มีแล้วเย็น นั่นล่ะคือความดีอันแท้จริง แต่ทำไมทุกครั้งที่ศิษย์แสวงหาให้ต้องดีกว่านี้ ดีกว่านี้ ดีกว่านี้ แต่ยิ่งมีกลับยิ่งร้อน ยิ่งมีกลับยิ่งโง่ ยิ่งมีกลับยิ่งกังวล อาจารย์ว่าศิษย์แรงไปไหม คงไม่แรงนะ แต่อาจารย์พูดตรงๆ ใช่ไหม ฉะนั้น ศิษย์ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นให้ถูก ถ้าชีวิตเริ่มต้นไม่ถูก ศิษย์ก็คือคนที่กำลังเปิดประตูนรก และก้าวเข้าสู่นรก และเวียนว่ายอยู่ในวังวนแห่งวัฏฏะไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วสิ่งที่ทำให้เราก้าวไป แล้วจมลงไปในทะเลทุกข์คืออะไร คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความกลัว ความวิตกที่เผาจิตใจเราโดยที่เรา ไม่เคยคิดจะดับมัน ผูกขังเราไว้โดยที่เรายอมตกเป็นทาสของมันโดยไม่รู้ตัว โลภ โกรธ หลง ใครบ้างไม่มี อิจฉาริษยา หวาดกลัว กังวล ชีวิตนี้ศิษย์โกรธครั้งเดียวแล้วมันไม่เคยออกลูกออกหลานเลย มีไหม (ไม่มี)  มันออกเป็นอะไร ออกเป็นแค้น ออกเป็นจำฝังใจ ออกเป็นผูกใจเจ็บ ออกเป็นทำร้าย มันมีอำนาจทำร้ายจิตใจของศิษย์ได้น่ากลัวมาก อาจารย์จะบอกว่ามารพวกนี้ เจ้าตัวร้ายๆ พวกนี้ มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งศิษย์รู้ไหม ถ้าศิษย์ตามจุดอ่อนนี้ได้ มันจะทำอะไรศิษย์ไม่ได้ รู้ไหมจุดอ่อนของมันคืออะไร พระพุทธะหาจุดอ่อนมันเจอ มันเลยทำอะไรพระพุทธะไม่ได้ แล้วเรารู้ไหมมันมีจุดอ่อนอะไร
(ถ้าจิตเราไม่เคยฝึก จิตจะไม่ยอมไปทางดี)  ศิษย์หมายความว่าถ้าจิตเข้มแข็ง เราจะสามารถกำจัดจุดอ่อนของโลภ โกรธ หลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ และตอนนี้ผมก็เริ่มมีจุดแข็ง)  แข็งแต่อย่ากลายเป็นแข็งแบบดื้อดึงนะ คำตอบดูเหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่ (พระอาจารย์เมตตาจะประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม) รับไหม (ขอสับปะรดได้ไหมครับ)  ขอสับปะรดเลยหรือ อาจารย์ว่าหนามเจ็บไม่ต่างกันเลยนะ สับปะรดมีความหมายนะ ความหมายคืออะไรรู้ไหม (ที่อยากได้เพราะว่าต่อไปจะได้ทำอะไรให้มันเป็นสับปะรด) ความหมายของสับปะรดคือ ช่วยคนเท่าที่ตาเห็น เผยแพร่ธรรมะให้กว้างไกลเท่าที่ตาเห็น ตาสับปะรดมันเห็นเยอะนะศิษย์ จะรับไหม แน่ใจนะ มันหนักพอๆ กับรับน้ำหนักลูกนี้เลยนะ
ใครตอบอาจารย์ได้อีก อาจารย์ถามว่า โลภ โกรธ หลง มีจุดอ่อนอะไร ถ้าเราสามารถเห็นจุดอ่อนมันได้ เราจะสามารถตามเท่าทันโลภ โกรธ หลง และทำให้โลภ โกรธ หลงนั้นไม่มีพิษสงต่อใจได้ (ปัญญา)  การไม่ยึดติด, การวางเฉย, การมีสติและปล่อยวาง, มีสติและปัญญา, ใจที่รู้จักปล่อยวาง เพราะมีอัตตา) เราจะกำจัดได้อย่างไร เราต้องรู้จักลดละอัตตา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(มีสติปัญญาและดำรงอยู่ในศีล, การไม่ปล่อยวาง) ถ้ารู้จักปล่อยวาง เราจะสามารถกำจัดโลภ โกรธ หลงได้ (ความคิดของเรา)  ถ้าเรารู้จักระมัดระวังความคิด
(ความรู้เท่าทันโลก)  ตอบได้ดี แล้วเท่าทันบ้างหรือยัง (ทันครับ)  ทันใคร (ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง) ทันใคร (ทันกิเลสตัณหา)  กิเลสตัณหาในไหน (การมีตัวเรา)  ตามให้ทันนะ (ทำจิตใจให้ว่างเปล่า)  แล้วว่างได้หรือยัง ยังอยากอยู่เลยมิใช่หรือ น่าจะบอกว่าทำจิตใจเผื่อไว้บ้าง ได้ก็ได้ไม่เป็นไร ไม่ใช่เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าต้องได้ๆ  อย่างนี้ทุกข์แน่ๆ โลภ โกรธ หลงเต็มหัวแน่ๆ
(ความพอใจในตัวเรา)  ความพอใจในตัวเราทำให้เราหยุดโลภ โกรธ หลงได้ แต่พอใจแล้วอย่ากลายเป็นหลงตัวเองก็พอ หลงจนไม่ฟังใครก็น่ากลัว ตั้งจิตให้มีสมาธิ เวลาเจออะไรกระทบต้องตั้งสมาธิให้มั่น เวลาเจออะไรมากระทบต้องสงบนิ่งก่อน ต้องไม่โกรธ เขาพูดอะไรต้องไม่โกรธ
(การกำจัดออกไปจากตัวเราเอง)  เราจะกำจัดอย่างไร เคยไหมยิ่งบอกว่าอย่าโกรธ มันก็ยิ่งอยากจะโกรธ แล้วปล่อยวางได้หรือเปล่า (ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้า, ไม่อยากได้ในสิ่งที่คนอื่นเขามี, ทำจิตให้ว่าง) ทำได้จริงหรือ (ต้องมีธรรมะอยู่ในใจ) (ไม่คิดริษยาใคร พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่) ตอบไม่ดีระวังจะขังตัวเองในคำตอบ (ความคาดหวังให้เขาเป็นอย่างที่เราคิด) ถ้าหากหวังแล้วต้องเผื่อใจไว้เพราะโลกนี้มีชมก็มีด่า มีสมหวังก็ผิดหวัง (ต้องระมัดระวังอารมณ์ของตัวเอง, ไม่ยึดติดกับคำพูดของคนอื่น, มีสติ, เตือนตัวเองและบอกตัวเองว่าช่างมันเถอะ) ถ้าหากศิษย์รู้จักสัจธรรมความเป็นจริงของโลก ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
(เราต้องรักตัวเองก่อน) เราต้องรักตัวเองก่อน อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง คำพูดนี้ก็ดีแต่บางครั้งก็เหมือนเห็นแก่ตัวนะ ฉะนั้นต้องคิดให้ดีๆ นะ รักคนอื่นจนทำร้ายตัวเองนั้นไม่ถูก ต้องรู้จักรักตัวเองให้เท่าๆ กับที่รักคนอื่นๆ แต่อย่ารักตัวเองมากเกินจนทำร้ายคนอื่นก็ไม่ดี
(พอใจในสิ่งที่ตัวเอง มี, พอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว, มีสติและควบคุมจิตใจของเราเองไม่หวั่นไหวกับสิ่งเร้าอื่นๆ )  แน่ใจนะว่าไม่หวั่นไหว ถ้าใจเราเต็มเปี่ยมมีความสุขเสมอก็ยากหวั่นไหว แต่ใจของมนุษย์มักจะพร่องแล้วหวังให้คนอื่นมาเติมให้เต็ม แล้วเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าทำได้อย่างนั้นศิษย์จะรักทุกคนได้ ไม่หวังให้ใครคนใดคนหนึ่งมารัก จริงหรือเปล่า เดี๋ยวถึงเวลาเจอใครรักหน่อยก็เขวแล้ว
(อยู่ที่อารมณ์ของเราทำจิตใจไม่ให้วอกแวกคิดในทางอื่น รักษาอารมณ์ของเราให้ปกติ
(จุดอ่อนของความรัก โลภ โกรธ หลง น่าจะอยู่ที่ตนเอง ถ้าเราสามารถคุมจิตได้ เราก็จะไม่เกิดความโลภ โกรธ หลง)  อย่างนั้นระวังจุดอ่อนของตัวเองนะ
(จิตใจของเรามีสองใจ อีกใจหนึ่งโมโห ต้องรั้งใจไว้ไม่ให้โมโห เวลาเขาด่าเราต้องทน เราต้องสู้กับตัวเราเอง เขาทำเราเราก็ต้องทน)  ไหวไหมศิษย์ (ทนได้เพราะโดนด่าหลายครั้งแล้ว)  เราอาจจะเคยไปด่าเขามาก่อนก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีกรรม มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ที่เคยเกี่ยวเนื่องกับคนอื่นมา ถ้าวันนี้ได้ชดใช้กรรม ได้ละลายหนี้บาปเวรกรรม แค่ทนให้เขาด่า ดีกว่าเขาทำให้เราตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ใช่)  คำด่าเป็นแค่ลมเท่านั้นนะศิษย์ ลมมันไม่ทิ่มเราเจ็บเท่ากับมีดนะ เขาด่าเราครั้งเดียวอย่าเอาคำด่าเป็นมีดเสียบทิ่มใจเรา
(มีสติรู้เท่าทันความโกรธ โลภ หลง เคยโดนยิงก็ไม่ตาย ก็อโหสิกรรมไปเลย การอโหสิกรรมคือรู้เท่าทันว่าเราคงจะต้องทำกรรมกับเขามาก่อน ก็ยกให้เขาไป ชีวิตเลยดีมามีวันนี้ได้ กรรมหมดไปแล้ว ถึงได้มาเจอท่านอาจารย์)  ยังไม่หมดซะทีเดียวนะศิษย์ ถ้าหมดจริงๆ ศิษย์คงไม่ได้อยู่ตรงนี้ ยังไม่หมด ตอนนี้เหลือแต่ว่าพยายามทำดีให้มากเพื่อไม่ให้กรรมที่ไม่ดีวิ่งตามทันมาอีก พยายามคิดให้ดีๆ ทำในสิ่งที่ประเสริฐไว้นะ (สิ่งใดที่จะช่วยมนุษย์ได้บ้างต่อจากนี้ไป)  คำพูด การกระทำ (ที่เรียนมากฎหมายใช้ได้ไหม)  กฎหมายบางทีไม่ได้ เวลาศิษย์คุยกับเขา ศิษย์รู้ได้อย่างไรว่าเขาพูดจริง ศิษย์จะช่วยเขาให้พ้นคดี เขาอาจจะมีบางอย่างที่บอกศิษย์ไม่หมด (ปิดบังเราไว้ก็ได้)  ใช่ แล้วอาจจะกลายเป็นผูกกรรมต่อ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ธรรมที่แท้จริงคือ ไม่มีอะไรที่ต้องพิพากษานั่นแหละคือธรรมที่ประเสริฐ ช่วยในด้านอื่นดีกว่านะ ถ้าศิษย์เชื่ออาจารย์อย่าเกี่ยวกรรมเรื่องกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่เคยพิสูจน์ว่าใครจริงใครเท็จได้ เพราะว่าความจริงมักจะซ่อนเร้นอยู่ใน (จิตใจ)  เหมือนเวลาศิษย์คุยกับอาจารย์ ศิษย์ยังพูดได้ไม่หมดเลย ยังมีบางอย่างที่อยู่ลึกๆ ในใจที่ศิษย์ไม่บอกอาจารย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเขาอยากให้ศิษย์ช่วย บางทีเขาก็พูดไม่หมด แล้วถ้าเกิดเขาพูดไม่หมดแล้วเป็นกรรมชั่ว เท่ากับศิษย์เกี่ยวกรรมกับเขา ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ทั้งที่จริงๆ เขาควรรับทุกข์หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ
(การยอมรับผลจากต้นเหตุที่เราก่อ)  จะมีใครตอบคำถามอาจารย์อีกไหม ถ้าไม่ตอบแล้วอาจารย์จะได้เฉลย (ยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยวางและให้อภัย) โลภ โกรธ หลง จะได้ไม่มาทำร้ายจิตใจ
(การรู้จักตน ต่อให้ใครจะมาว่า แต่ถ้าเรารู้จักตนเองก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนอื่น) ตอบได้ดีนะ มีใครจะตอบอีก (ไม่มีความโลภ ไม่มีความอยากได้)  จริงหรือ ทำอย่างไรให้ไม่โลภ ไม่อยากได้ (พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  พยายามตอบก็เก่งแล้วนะ (จิตใจของเรา เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยากได้ของคนอื่นนำมาเป็นของตัวเราเอง)  โลภ โกรธ หลงมีจุดอ่อนอะไร มีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน (ที่จิต)  อยู่ที่จิตหรือ (อย่าตกอยู่ในห้วงของอารมณ์ ถ้าจิตใจของคนเราเข้มแข็ง เราก็จะไม่หลงในโลภ โกรธ หลง)  โลภ โกรธ หลงก็จะทำอะไรเราไม่ได้ (ทำจิตใจของตัวเองให้เข้มแข็ง, เข้าวัดฟังธรรม)  ตอบแล้วต้องหันมามองตัวเอง เวลาเราโกรธ เราหลง เวลาเราโลภทีเข้าวัด ทันไหม ไม่ทัน แล้วแถมวิ่งไปเข้าวัดไม่ได้ด้วย ใช่หรือไม่ อย่าตอบโดยที่ตอบไปเรื่อยๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าตอบแบบไม่มีสตินะ
(ไม่เก็บคำพูดของผู้อื่นเป็นอารมณ์, เราต้องมีสติ ปล่อยวาง ละวาง)  ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งเร้า แล้วถ้าอาจารย์ตีศิษย์หนึ่งที อาจารย์บอกเอาแอปเปิ้ลคืนมา ขอกระเป๋าด้วยจะโกรธไหม
(อยู่ที่ตัณหา จิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน)  แต่ถ้าเราฝึกฝนแล้ว เราจะมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับ โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์สามารถแต่งตัวเรียบร้อย ยืนข้างๆ กับคนที่แต่งตัวดีได้ โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ เราถือกระเป๋าย่ามโทรมๆ ยืนข้าง ๆ คนถือกระเป๋าหลุยส์วิตองส์ เราตัวไม่หอม แต่คนข้างๆ ฉีดน้ำหอมฟุ้ง ยืนด้วยได้ไหม (ได้)  ถ้าศิษย์สามารถยืนได้ และมั่นคงได้โดยไม่หวั่นไหว โลภโกรธหลงก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ พระพุทธะท่านก็มีโลภโกรธหลง แต่เมื่อเกิดโลภโกรธหลงแล้วท่านไม่เอา เพราะท่านรู้เท่าทันโลภ โกรธ หลง เหมือนที่เวลาพญามารมาหลอกล่อ พระพุทธะตอบคำเดียวว่า “เราเห็นเจ้าแล้ว เรารู้จักเจ้าแล้ว” มารก็หายไปทันที
จำไว้ว่า โลภ โกรธ หลง กลัวคนรู้เท่าทัน โลภ โกรธ หลง กลัวคนเห็นเท่าทัน ฉะนั้นเวลาโดนคนตบ เวลาโดนคนด่า เวลาโดนคนเอาของเราไปแล้วไม่คืน ศิษย์โกรธ ศิษย์โมโห ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่โกรธ เมื่อไรที่โมโห ศิษย์บอกไปเลย ฉันเห็นเธอแล้วแต่ฉันไม่เอาเธอ ฉันไม่เป็นเธอ ความโกรธที่อยู่ในตัวจะหายไปทันที แต่คนเราไม่ใช่อย่างนั้น โดนตบก็จะโกรธเลย โดนตบก็ตบตอบเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องมีสติรู้เท่าทัน สิ่งที่ความโลภ โกรธ หลง กลัวที่สุดคือ กลัวคนรู้เท่าทัน กลัวคนตามทัน เหมือนใจเราเองถ้าหากเรารู้ว่า เราโง่แล้วนะ เราบ้าแล้วนะ แล้วเราจะบ้าอีกไหม ถ้าหากรู้จริงเราก็คงไม่บ้า เราก็คงไม่โกรธ ถ้าตัดได้จริงเราก็ไม่เอา ฉะนั้นเมื่อเรารู้แล้ว และจะตัดได้ต่อเมื่อเรามีปัญญาหยั่งถึง ศิษย์ต้องคุมใจตัวเองให้อยู่ ใจตัวเองคุมไม่ค่อยอยู่ รู้ดีไปหมด พอถึงเวลาไม่เห็นทำได้ดีสักคนเลย
อาจารย์บอกว่า “โลภ โกรธ หลง มีจุดอ่อนอยู่ที่กลัวคนรู้เท่าทัน” ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทัน โลภ โกรธ หลงก็ครอบงำจิตใจไม่ได้ มีสติรู้เท่าทันอย่างเดียวไม่พอ สิ่งที่จะไม่ทำให้เราเตลิดไปผิดทางด้วยก็คือ ต้องมีมโนธรรมสำนึก ละอายเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งต้องคู่กับความรู้เท่าทันด้วย รู้เท่าทันแต่ขาดมโนธรรมสำนึกก็อาจจะทำผิดได้เช่นกัน
โลกใบนี้เป็นโลกที่มีสองด้าน มีด้านในกับด้านนอก มีสิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าเราหลงไปกับสิ่งภายนอกก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสและถูกกิเลสชักจูง แต่ถ้าเรามองเห็นด้านใน เราจะมองเห็นต้นเหตุแห่งทุกข์และสามารถหยุดยั้งกิเลสไม่ให้กิเลสนั้นทำร้าย จิตใจเราได้ อาจารย์พูดแค่นี้พอกระจ่างไหม (กระจ่าง)  ถ้าเรามองเห็นด้านนอกก็ง่ายที่จะถูกกิเลสชักพา ตกเป็นทาสของกิเลส แต่ถ้าเรามองเห็นด้านในเราจะมองเห็นต้นตอของกิเลสและไม่ถูกกิเลสชักนำ (พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกสาลี่)
เพราะเราเห็นด้านในหรือเห็นด้านนอกของผลไม้ เราจึงอยากได้ผลไม้นี้ ด้านนอกหรือด้านในที่ทำให้เราตกเป็นทาสของมันได้ง่ายกว่ากัน คิดให้ดีๆ (นอก) คิดให้ดีๆ อาจารย์ถามฝ่ายชายก่อน นอกเรียกว่า (เปลือก) ในเรียกว่า (เนื้อ)  เราจะตกเป็นทาสของผลไม้แล้วอยากกินมัน หรือโกรธมัน หรือโลภ หรือหลงกับมัน เพราะเราเห็นด้านนอกหรือเห็นด้านใน (เห็นด้านใน เพราะด้านในทานได้) แต่เปลือกนี้ (ก็ต้องเอาเปลือกออกก่อนครับ) แต่อาจารย์ได้ยินว่าเปลือกสาลี่ก็กินได้นะ (เห็นนอกก่อนจึงรู้ใน เห็นด้านนอกเพราะสีสันสวยงาม) เพราะเห็นด้านนอกจึงอยากกินด้านใน (เพราะยังไม่เห็นภายใน) เพราะของบางอย่างในโลกนี้สวยนอก แต่ข้างใน (เน่าเฟะ)  ศิษย์จะตกเป็นทาสกิเลสขึ้นอยู่กับสัญญาความจำในจิตของ ศิษย์ ถ้าสัญญาในความจำของศิษย์เคยเจอผลไม้สวยๆ แต่ข้างในเละๆ  ศิษย์ก็จะบอกว่า ข้างนอกสวยแต่ข้างในไม่แน่ แต่ถ้ามีสัญญาความจำว่า สวยหรือไม่สวยไม่เป็นไรแต่ถ้าเป็นลูกสาลี่มันกรอบดี จำข้างในได้ จำรสชาติได้ ก็หลงด้านใน ฉะนั้น ไม่ว่าด้านนอกหรือด้านในก็สามารถทำให้ศิษย์นั้นตกเป็นทาสของกิเลส ถ้าเรายังมีความจำได้รู้อยู่ในจิต หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สัญญา” สัญญาก่อให้เกิด “เวทนา” ที่ทำให้รู้สึก หรือตีกลับกันว่า รู้สึกจึงเกิดสัญญา เวทนาตามด้วยสัญญา เมื่อรู้สึกและจำได้จึงเกิดตัณหา
เห็น ก็แค่เห็น โลภไหม (ไม่โลภ)  อยากไหม (ไม่อยาก)  หลงไหม (ไม่หลง)  ตัวตนอยู่ที่ไหนก็ไม่มี แต่ถ้าเมื่อไรเห็นแล้วรู้สึก เห็นแล้วจำได้ว่ารสหวาน กรอบ เมื่อนั้นจึงเกิดตัณหาคือความอยาก ตัณหาตามมาด้วยอุปาทาน แล้วเกิดมีตัวตนเกิดเป็นภพชาติ แค่มองเห็นอย่างเดียว เห็นภายนอกแต่ไม่เห็นภายในตน ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้เท่าทัน มีแต่ไม่เอา มีแต่รู้พอ ต้นเหตุแห่งความทุกข์มันเริ่มต้นตั้งแต่ตัวเรา ว่าเราพอใจหรือยัง ยินดีหรือยัง ถ้าเราพอใจได้ ทุกข์ที่เกิดจากการเห็น การได้ยิน การได้ลิ้มรส จะไม่มีผลต่อจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อศิษย์ยังต้องหาเงิน ยังต้องกิน กินแบบเรียบง่ายก็ไม่ได้ ต้องร้านเป็ดปักกิ่ง นั่งรถเมล์ไม่ได้มันทรมาน นี่แหละกินตามตัณหากินตามความหลง กินง่าย ก็คือ มีอะไรก็กินได้ แล้วหากคิดแบบพุทธะที่ว่าต้องไม่กินแล้วก่อกรรม นี่เรียกว่าอยู่เหนือคิดให้เหนือกว่าคน ถ้ากินอะไรก็กินได้ แต่ถ้าหากกินแล้วก่อกรรมก็ไม่เอา บำเพ็ญกับอาจารย์จี้กงยากไหม แค่รู้ให้เท่าทันในตนนี้ ไม่ว่าตาจะเห็น หูจะได้ยิน ถ้าเราตามเท่าทัน โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เราจะสามารถกำจัดจุดอ่อนในใจเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกสิ่งทุกอย่างศิษย์ต้องมองให้ดีๆ มองเห็นนอกต้องสามารถเห็นใน ถ้ามองเห็นนอกแล้วไหลไปตามภายนอกศิษย์ก็จะง่ายที่จะตกเป็นทาสความโลภ โกรธ หลง แต่ถ้ามองเห็นนอกแล้วสะท้อนในใจและหยุดยั้งโลภ โกรธ หลง ได้ก่อน เห็นแล้วไม่เอา อยู่อย่างคนพอมีพอกิน ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ แต่ตอนนี้เราพอใจในสิ่งที่ตนมีบ้างหรือยัง อายุปูนนี้แล้วยังบอกว่ายังอีกหรือ ศิษย์เอ๋ย ผมจากดำเป็นขาวแล้วนะ รุ่นนี้แล้วพอได้ก็ต้องพอแล้ว อาจารย์เคยบอกไว้ที่นครศรีธรรมราชแล้ว ครั้งนี้อาจารย์จะบอกที่นี่และทุกที่เลยว่า เตรียมใจไว้นะศิษย์ วันหนึ่งศิษย์จะหมดตัว วันหนึ่งศิษย์จะไม่มีบ้านให้อยู่ และวันหนึ่งศิษย์จะเหลือตัวคนเดียว กลัวไหม (กลัว)  เตรียมใจหรือยัง คนที่ตั้งตัวเองอยู่ในความไม่ประมาท ก็ยังไม่ตาย แต่ถ้าคนมีชีวิตแล้วยังตั้งตัวเองอยู่ในความประมาท คนนั้นคือคนที่ตายทั้งเป็น อาจารย์พูดน่ากลัวไหม ไม่ต้องคิดไกลไปถึงภัยพิบัติ อาจารย์ไม่ไปไกลขนาดนั้น อาจารย์แค่ให้ศิษย์เตรียมพร้อม ขึ้นชื่อว่าศิษย์อาจารย์จี้กง ทุกๆ ที่ก็คือบ้าน ขึ้นชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงจำไว้ว่า “สิ่งที่มี แท้ที่สุดก็คือไม่มี” ฉะนั้นตีความหมายอาจารย์ให้ถูก ถึงที่สุดทำอะไรก็ตาม แม้จะมีญาติพี่น้องมากมายเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลา ศิษย์ก็ต้องไปคนเดียว ฉะนั้นเตรียมพร้อมหรือยัง เตรียมใจตัวเองหรือยัง อย่ารอให้ความตายเป็นตัวตัดสินจึงค่อยปลง เจ็บขานิดเดียวแต่ร้องเหมือนเจ็บทั้งชีวิต อกหักนิดเดียวแต่แทบตาย เงินหายไปพันล้าน เหมือนหมดชีวิตเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับหน่อย “ก่อนจะมีพันล้าน ศิษย์มีกี่บาท” ไม่มีสักบาทไม่ใช่หรือ ฉะนั้นการได้กลับมาอยู่กับความเป็นคนเดิม ทำไมไม่ดีใจ จำไว้นะศิษย์ วันนี้ศิษย์ต้องรู้จักฝึกจิตใจตัวเองให้พ้นทุกข์ อบรมจิตใจตัวเองให้เอาชนะและรู้เท่าทันใจของตัวเองให้ได้ ภัยในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่เกิดจากจิตของเราสั่งสมสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกรรมกับคนที่ไม่น่าเกี่ยวกรรม จองเวรกับสิ่งที่ไม่น่าจองเวร แล้วศิษย์จองเวรไหม ศิษย์เกี่ยวกรรมไหม (ไม่)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  กินเข้าไปกี่ตัว แน่ใจหรือว่าเขาจะไม่เกี่ยวกรรมกับเรา กินเข้าไปแล้วเขายอมให้เรากินไหม เอาชีวิตเขาแล้วคิดว่าเขาไม่กลับมาเอาชีวิตเราหรือ ต่อว่าเขาไปแน่ใจหรือว่าเขาจะไม่ผูกใจเจ็บ เคยไหมด่าเขาผิดแค่คำเดียว หรือแซวเขาผิดแค่คำเดียว เขาโกรธเราแล้วตัดเพื่อนกันเลย เคยไหมล่ะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ผู้เห็นภัยในสงสาร”)
“สงสาร” ถ้าเป็นคำนามแปลว่า การเวียนว่ายตายเกิด “ผู้เห็นภัย” ศิษย์เป็นคนที่เห็นภัยในโลกไหม เห็นแต่ภัยภายนอก แล้วเคยเห็นภัยภายในลึกๆ  ไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่งออกมายืนหน้าชั้น) เห็นภัยอะไรในศิษย์คนนี้ไหม มองให้เห็น เห็นไหม (สังขารไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เหี่ยว เดี๋ยวก็แห้ง) อาจารย์อยากจะบอกว่า “ผู้เห็นภัยในสงสาร” นั้นแปลว่า แม้ว่าศิษย์คนนี้จะมายืน หรือศิษย์คนนั้นจะมายืน จริงๆ แล้วมีภัยแอบแฝงซ่อนอยู่ ภัยนั้นก็คือภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเรามองเห็นภัยในตัวเองหรือยัง เรารู้จักภัยในตัวเองหรือยัง ภัยที่เป็นต้นเหตุทำให้ศิษย์ทุกข์แต่ไม่มีวันพ้นทุกข์ นั่นก็คือ ตัวเราที่มีเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินทองทำให้มีภัยไหม ภัยตรงไหน (ความหลงเงินทองก็เป็นภัยกับตัวเอง) ศิษย์เห็นแค่เพียงว่า ถ้าอยากได้แบบผิดกฎหมาย อยากได้แบบไม่ถูกมโนธรรมสำนึกมันมีโทษ แต่พุทธะบอกว่า เงินก็คือ อสรพิษ เพราะว่ามันสามารถพ่นพิษได้ ทรัพย์ในโลกมีสองประเภท เรียกว่า ทรัพย์ทางโลก กับอริยทรัพย์ ทรัพย์ทางโลกสามารถเป็นพิษ ทำเรื่องราวให้เราต้องทุกข์เข็ญ ถ้าศิษย์มองให้ดีๆ เมื่อมีได้ก็มีเสีย มีได้มาก็ย่อมมีหมดไป มีเสียไปก็กลับเป็นได้มา แล้วศิษย์ชอบไหม (ชอบ) แล้วยังอยากวนอยู่ในได้มาเสียไปไหม (อยาก) นี่แหละเรียกว่า “ไม่เห็นภัยในสงสาร”
เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิดของเงิน ยังตัดมันไม่ลง เพราะมีตัวตน แต่ถ้าหากเราเห็นทั้งภัยในตัวตน ภัยในเงิน ภัยในสิ่งของ ศิษย์จะรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ายึดจับ เพราะยึดจับแล้วมีแต่ภัย มีแต่การเวียนว่าย มีแต่ทำให้ศิษย์ทุกข์ ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อยืมเขาใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนเขาไปแค่นั้นเอง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่อย่างนั้น มีอะไรก็ติด ได้เงินมาก็ติด มีอัตตาตัวตน ใครด่าก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่าก็ช่างเขา ตัวกูจะได้หายไปซะที แต่ไม่ใช่ยิ่งด่า กูยิ่งรักตัวกู อย่างนี้เรียกว่าโง่ มีแล้วอย่าโง่ ถ้ามีแล้วโง่ไม่ใช่ศิษย์อาจารย์จี้กง มีแล้วต้องสงบแล้วเย็น มีแล้วโง่มีแล้วร้อน นี่เรียกว่ามีไม่ดี ถ้ามีดีแล้วคือสงบเย็น ไม่เศร้าโศก ไม่เป็นทุกข์ แล้วมีอะไรที่สงบเย็น ไม่เศร้าโศก ไม่เป็นทุกข์นั่นคือมีความรู้เท่าทันและเห็นแจ้งในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ว่าไม่มีอะไรน่ายึดแม้กระทั่งตัวเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นภัยในสงสาร เป็นภัยที่ก่อเหตุให้เกิดการเวียนว่าย เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ทำได้ไหม พูดให้อาจารย์ชื่นใจหน่อย ทำได้ด้วยการไม่ติดของยี่ห้อดัง ไม่ติดการแต่งตัวโก้หรู แต่งธรรมดาก็ได้ ไม่วิ่งตามสมัยนิยม
ฉะนั้นถ้าหากเรารู้จักปรับความคิดของเราให้ถูกต้อง เราจะเห็นโลกอีกด้านหนึ่งที่เรามองไม่เห็น ดูเหมือนต่างแต่จริงๆ แล้วมีความเป็นหนึ่งเดียวกันคือ เป็นกองทุกข์ เป็นความว่าง เป็นอนัตตา ฉะนั้นศิษย์จะกอดกองทุกข์กี่กองก็สุดแล้วแต่ศิษย์นะ อยากมีเงินเยอะก็กอดกองทุกข์ไว้เยอะๆ อยากโลภเยอะก็กอดกองทุกข์ให้เยอะๆ เพราะถึงที่สุด กองทุกข์ที่ศิษย์กอดก็เอาไปไม่ได้ เพราะเป็นความว่าง เรายืมมาใช้ชั่วคราว เป็นแค่เพียงมายาสมมติ
ทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ประเสริฐ แต่สิ่งสำคัญต้องรู้จักฝึกฝนอบรมจิตให้ได้ด้วย ไม่อย่างนั้นจะทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์ เข้าใจไหม อาจารย์ดีใจที่ศิษย์ยังกลับมาและอาจารย์ก็ดีใจที่ศิษย์ยังบำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆ อย่างผู้ไม่ยอมแพ้ ไม่แพ้ใจตัวเอง ไม่แพ้กิเลสของตนและไม่แพ้กับคำพูดของคนในโลกนี้ รู้จักประคับประคองใจตัวเองด้วยหนทางที่ถูกต้อง อย่าอ่อนแอต้องเข้มแข็ง ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “จิตใจ” เราบำเพ็ญเพื่อละวาง ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น เราบำเพ็ญเพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่เพิ่มพูนอัตตาตัวตน เราบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้น ไม่ใช่เพื่อเวียนว่ายวน เราบำเพ็ญเพื่อธรรมในตน ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อหลงตัวตน เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เห็นศิษย์อาจารย์ก็ห่วง แต่อาจารย์ช่วยศิษย์ได้จำกัด ศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเองด้วย อะไรไม่ดีรีบเลิกก่อนที่มันจะนำภัยมาสู่ตน อะไรที่ดีจงรีบกระทำ อย่าปล่อยให้ภัยมาถึงตนแล้วตอนนั้นคิดอยากทำดี มันก็สายไป มีโอกาสทำ ทำไมไม่เร่งรีบทำ อย่ามัวพะว้าพะวังเลย แน่ใจหรือว่าชีวิตนี้ยังอีกยาว อย่าลืมนะว่า ผมดำไปก่อนผมขาวก็มี อาจารย์ไม่ได้แช่ง แต่ถ้าศิษย์ไม่รู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกทาง ตัวเองก็คือคนที่กำลังตัดทอนบุญกุศลของตัวเอง ตัดทอนชะตาชีวิตให้สั้นลง
มีความรู้ที่ดีแต่บางครั้งก็เชื่ออะไรยาก ใช่หรือไม่ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเชื่ออาจารย์ แต่เชื่อคุณธรรมในหัวใจของตัวเองและเอาคุณธรรมในหัวใจมาช่วยคน บุญกุศลที่ใหญ่ที่สุดคือช่วยคนให้มีปัญญา ทำบุญเป็นร้อยเป็นพันก็ไม่เท่ากับช่วยคนหนึ่งคนให้มีปัญญาธรรม ปัญญาธรรมที่รู้จักคิดและนำตนให้พ้นทุกข์ ประเสริฐยิ่งกว่าทำบุญให้เงินให้ทานอีก ใช่หรือไม่ แต่อาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่ให้ทำบุญ แต่เริ่มต้นศิษย์ต้องรู้จักอดทนอดกลั้นและรู้เท่าทันตัวเอง อย่าปล่อยให้โลภ โกรธ หลงมันฆ่าตัวเองแล้วฆ่าคนรอบข้าง อย่าปล่อยให้โลภ โกรธ หลงมันนำพาให้เราเดินไปสู่นรกแล้วปิดประตูสวรรค์
วันนี้อาจารย์ต้องไปแล้ว เวลาหมุนเวียนไปเรื่อย กลัวอย่างเดียวศิษย์หลงในโลกใบนี้จนไม่รู้จักตื่น ความสวยงามช่วยอะไรเราไม่ได้เท่ากับความงามจริงแท้ในจิตใจ เชื่ออาจารย์เถิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีวันเปลี่ยนแปลง แม้แต่คนที่เรารักมากยังเปลี่ยนได้เลย แม้แต่ตัวศิษย์เองวันนี้รักอาจารย์แต่พรุ่งนี้ยังรักหรือเปล่า อาจารย์ก็ไม่มั่นใจเลย ช่วยตัวเองและนำพาผู้คน ที่สำคัญต้องเข้มแข็ง ต้องมั่นคงแล้วอย่าดื้อ ถ้าเดินกับอาจารย์แล้วอย่าปล่อยมืออาจารย์นะ กลัวอย่างเดียวกลัวศิษย์แพ้ภัยตัวเอง ไปกับอาจารย์ต้องไปให้ถึงที่สุดนะ ได้ไหม รับปากอาจารย์แล้วนะ บำเพ็ญธรรมต้องยอมลดอัตตาตัวตน ลดจนไม่มีอะไรจะลด ลดจนไม่มีตัวตนนั่นแหละประเสริฐที่สุด ทำให้ได้นะ เข้มแข็ง อดทน และหมั่นให้อภัย อย่าผูกใจเจ็บ
อาจารย์ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองกันดีๆ อย่ายอมแพ้กับกิเลส อย่าปล่อยให้โลกมายาสมมติมันหลอกลวงใจเราได้ อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ขอให้หายและดูแลตัวเองให้ดี อาจารย์ไปก่อนนะ อบรมจิตใจของตัวเองให้ดี จะได้พ้นจากโลกใบนี้ โลกที่เป็นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายน่ากลัวกว่าภัยพิบัติที่ศิษย์มองเห็นอีกนะ เพราะมันทำให้ศิษย์ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก เจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บจนศิษย์ไม่อยากจะเจ็บ จำจนไม่อยากจะจำ เพราะเวรกรรมที่เกิดจากแค่โลภ โกรธ หลง เองนะ
พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม
อาจารย์เคยบอกศิษย์ไว้อย่างหนึ่งที่นครศรีธรรมราช ถ้าว่างไม่มีงานทำ ให้นั่งสงบ ไม่ใช่นั่งพูด เพราะว่าศิษย์ต้องรู้จักมีสติ การมีสติที่แท้จริงคือหันกลับมาย้อนมองส่องตน ไม่ใช่หันกลับไปมองคนอื่นแล้วคอยจับผิด
การมีสติคือหันกลับมาย้อนมองตัวเอง ย้อนมองตัวเองเยอะๆ อย่ามัวแต่เอาไปเปิดเน็ต แล้วก็ตั้งกระทู้ถามคนอื่น ทำไมไม่หันกลับมาถามตัวเอง ปัญหาอยู่ที่เขาหรือปัญหาอยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  ฉะนั้นถ้าปัญหาอยู่ที่เรา ศิษย์ต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ เมื่อศิษย์ตอบคำถามตัวเองได้ ต่อไปใครมีคำถามอะไร ศิษย์ก็จะสามารถตอบคำถามเขาได้ แต่กลายเป็นว่า ศิษย์ก็ตอบไม่ได้ เพราะศิษย์ก็ตอบปัญหาตัวเองยังไม่รอด ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมศิษย์จะรู้ว่า ต้องหันกลับมาที่ตัวเอง ภัยพิบัติมีเยอะแยะ แต่เพราะจิตของศิษย์แตกกระสานซ่านเซ็น วันนี้เราบำเพ็ญธรรมเพื่อหันกลับมามองตัวเอง สงบจิต แล้วหาคำตอบด้วยจิตของตัวเอง ด้วยปัญญาของตัวเอง
ศิษย์ฟังธรรมะมากี่รอบแล้ว ทำไมธรรมะถึงไม่เข้าไปในใจของตัวเองสักทีจริงๆ แล้วมันมีอยู่แล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยนิ่งให้ถึงที่สุด ไม่เคยฟังเสียงลึกๆ ในจิตใจของตัวเอง เสียงลึกๆ ในจิตใจของตัวเอง จะตอบปัญหาทุกคำถามได้นะศิษย์ ขอเพียงศิษย์นิ่งให้พอ แล้วยอมรับตัวเองให้เป็นว่าตัวเองเป็นอะไร อ่อนแอตรงไหน ขาดอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนอาจารย์พูดเรื่องไข่ ศิษย์ก็คุยกันเป็นคุ้งเป็นแคว แต่จริงๆ แล้วปัญหาของศิษย์คืออะไร ขาดไข่ไม่ได้หรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ปัญหาที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ในวันนั้นที่หัวหินคืออะไร ปัญญาที่จะสามารถนำพาศิษย์ไปได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าศิษย์จะยากดีมีจน มีหรือหมดตัว ปัญญานั่นแหละจะนำพาศิษย์ไปได้ ทำไมศิษย์ไม่เอาคำนี้มาคุย
ปัญญาอยู่ไหน ปัญญาเป็นสิ่งประเสริฐที่มีอยู่ในตัวศิษย์ ไม่ใช่อยู่ที่อาจารย์ อยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ไม่ว่าศิษย์จะลำบากยากเข็ญขนาดไหน ขอเพียงมีปัญญา ศิษย์ก็จะพ้นทุกอย่าง ไม่ว่าศิษย์จะแพ้ใจตัวเอง คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ปัญญาก็จะดึงศิษย์กลับขึ้นมาให้สู้ขึ้นใหม่ ใช่ไหม อาจารย์ฉุดศิษย์ได้กี่ครั้ง ถ้าศิษย์ไม่เจอหน้าอาจารย์ ศิษย์จะฉุดตัวเองได้ไหม และฉุดได้ด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่ปัญญาของศิษย์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็เคยบอกแล้ว ทุกอย่างมีคุณและโทษ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เล่น สิ่งที่ศิษย์ติดมันก็มีทั้งคุณและโทษไม่ต่างกัน
เมื่อวานพระนาจาบอกศิษย์ว่าอะไร ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามจิตสั่งสม แล้วตอนนี้จิตของศิษย์เป็นอย่างไร สั่งสมแต่เรื่องอะไร ความสงบไหม หรือความวุ่นวาย ฉะนั้นตอนนี้เภทภัยมี ไม่ใช่มัวแต่ห่วงตนแล้วนะศิษย์ ทิ้งทุกข์ของตัวเองแล้วรีบไปช่วยคนอื่น เอาปัญญาอันน้อยนิดนี่แหละ ไปนำพาคน ไม่ใช่เราเอาแต่กลัว จงลืมตัวเอง แล้วฉุดช่วยคนประเสริฐกว่านะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ผู้เห็นภัยในสงสาร
ปรับความคิดแปรจิตใจก็เปลี่ยนโลก
จิตที่เปลี่ยนเห็นโลกผิดจากที่เห็น
เห็นความจริงถึงที่สุดในสิ่งที่เป็น
ใช่เพียงเห็นแต่ใจตนรู้สึกเช่นไร
ในความต่างมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์
เป็นทั้งหนึ่งและหมื่นพันโลกธาตุใหญ่
เป็นเรื่องราวที่หมุนเวียนผันเปลี่ยนไป
เป็นกองทุกข์ที่ว่างไร้ซึ่งอัตตา

เห็นโลกกว่าที่เคยเห็น ไม่ยึดหวังเป็นหนักหนา

ยืมมาใช้ไปชั่วครา ข้ามพ้นมายาสมมติ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา