วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

2553-11-06 สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร



西元二○一○年 歲次庚寅十月初一日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ในนามจิตใจชอบคิดสนใจ  พลิ้วไหวล่องลอยในนั้น ควบคุมปัญหาโดยการคิดอ่าน  เรื่องผ่านไม่เคยรอดใจ
* เจ้าน้ำตาน่าอ่อนใจ  ชอบน้อยใจยืนไม่แข็ง แค่ลมเป่าปากคอทุกข์ขมจมสิ้นเทือกเถา  มีใจก็ยิ่งเขลา รักหลงมัวเมา ที่จริงแล้วมีดวงจิตก่อนนั้น  ดวงใจก่อนเป็นความรู้อนันต์ ก่อนรูปขันธ์หมุนขั้วกลับ  คือลมหายใจอันเดียวกัน (ซ้ำ *)
ผู้ใดต้องการสยบหัวใจควรไร้อัตตาตัณหา ถอนน้อยเนื้อต่ำใจดั่งต้นหญ้า  แจ่มใสใส่ตาของตน (ซ้ำ *)
ชื่อเพลง : ใจเอย
ทำนองเพลง : ความคิดถึงห้ามกันไม่ได้

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

แสงไฟฉายสว่างในยามมืดมิด แสงอาทิตย์เพราะมีอยู่ไร้คนเห็น
ธรรมไม่มีก็ไม่เป็นผู้บำเพ็ญ ความลำเค็ญดีไม่ทำคนลืมตัว
รู้มากใจได้แก้วเห็นเป็นพลอย ฟังก็เปล่าฟ้ายังคอยญาณสลัว
โลกค่ำแปรเปลี่ยนแน่คนรู้ตัว ลาภเช้ายากเอานอนขรัวประโยชน์ไร
อันใดนามรูปล้วนไม่จีรังยิ่ง อันทุกสิ่งคือเกิดดับเก่าใหม่
ความรู้สมมติสิ่งลวงตางามวิไล ไม่อยากทุกข์จริงรู้ไว้คือสัจธรรม
ละอัตตาทันไหมวางเท่าวางโลก ปราบแค่โลกพลิกใจโลกหงายคว่ำ
อิทธิใจเหนือกาลใดเหนือความจำ แต่คนพลิกเวลาจำเสียน้ำตา

ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ความแน่นอนก็คือความ (ไม่แน่นอน)  พูดไปฟังไปดูเหมือนเรื่องตลก แต่จริงๆ แล้วก็คือความจริงที่เป็นสัจจะ ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนนั้นก็คือความแน่นอน อาจจะเชื่อยากสักหน่อยแต่ลองฟังดูก็ไม่เสียหายกระไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วความเป็นพุทธะกับมนุษย์ก็ไม่ได้ต่างกัน หากจะต่างก็ต่างตรงที่พุทธจิตธรรมญาณ พุทธะรู้ตื่นแล้ว แต่มนุษย์ยังไม่รู้ตื่น ยังหลับใหลและหลงมัวเมา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้มาฟังธรรมะมีความสุขไหม (มี)  มีความสุขจริงๆ หรือ เคยได้ยินคำพูดที่กล่าวไว้ว่า "คนที่โชคดีที่สุดคือคนที่สามารถหาความสุขได้ทุกๆ วัน คนที่โชคดีที่สุดคือคนที่สามารถทำใจให้เป็นสุขได้ในทุกๆ เรื่องราว คนที่โชคดีที่สุดคือคนที่สามารถรักษาความสงบของจิตใจแม้เจอเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต" เรื่องที่เราพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ทุกท่านเคยเจอ แต่กลับหาความสุขได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคือคนที่โชคดี แต่เราไม่เคยทำสิ่งนั้นให้กลายเป็นโชค
ถ้ามนุษย์เรียนรู้ที่จะฝึกจิตใจให้เป็น มองตนให้ออก ทำใจให้ได้ วางใจให้ถูก แม้สิ่งที่ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขได้ แม้สิ่งที่คนอื่นบอกว่าแย่ เราอาจจะบอกว่าก็มีดีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น หากใครบอกว่ามานั่งวันนี้แล้วลำบากจังเลย ทุกข์จังเลย คนนั้นคือคนที่โชคร้าย แต่ใครที่นั่งแล้วรู้สึกดีจังเลย สบายจังเลย แปลว่าเป็นคนที่มีความสุขและสามารถทำโชคดีให้เกิดขึ้นในชีวิตได้ทุกๆ วัน มนุษย์มักพูดว่า "สุขหรือทุกข์เกิดที่ใจ" เริ่มหรือจบก็อยู่ที่ใจ ฉะนั้น เราเปลี่ยนแปลงคนภายนอกไม่ได้ เราเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนอะไรได้ (เปลี่ยนใจ)  เราเปลี่ยนแปลงผู้อื่นไม่ได้ เราห้ามคนอื่นไม่ให้ว่าเรา บ่นเราได้ไหม (ไม่ได้)  แต่เราห้ามใจตัวเองไม่คิดร้ายได้ ถ้าเขาบ่นแปลว่าเขาห่วง แต่ถ้าเขาไม่บ่นแปลว่าเขาไม่ห่วง ฉะนั้น มีคนห่วงที่ชอบบ่นยังดีกว่าไม่มีคนห่วง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามักเรียนรู้ที่จะเลือกเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่น่าแปลกที่กับใจเรา เรากลับไม่ค่อยเลือก มีอะไรมา ทุกข์วันยันค่ำ เสื้อก็ต้องสวยสุด ดีสุด แฟนก็ต้องหล่อสุด เก่งสุด แต่อะไรที่อยู่กับใจเราทำไมกลายเป็นแย่สุด ไม่ดีเต็มหัวใจล่ะ เราเลือกอะไรได้เก่ง ได้ดี แต่กับสิ่งที่มีอยู่กับใจของเรา เรากลับเลือกไม่ได้ มีแต่เรื่องที่ไม่ดีของคนอื่น สิ่งที่อยู่กับตัวต้องดีที่สุด ของต้องดีที่สุด เสื้อต้องดีที่สุด แต่สิ่งที่อยู่กับใจดีที่สุดไหม กลายเป็นความแย่ๆ ของผู้อื่นเต็มหัวใจที่สุด นั่นแปลว่าเรารักกายมากกว่ารักใจเราหรือ อย่างนั้นหรือเปล่า
เมื่อสักครู่เราบอกว่าคนที่โชคดีที่สุดคือคนที่ (คนที่เป็นสุขกับเรื่องที่แย่ที่สุดก็เป็นสุขได้)  ถ้าเช่นนั้นต่อไปนี้จะบอกว่าชีวิตนี้เราเกิดมาแย่จังเลยไหม (ไม่)  อยู่ที่ความคิดนะ แต่ความคิดที่น่ากลัวของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่จมอยู่กับความคิดมากเกินไป ความคิดนั้นมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ความคิดมีข้อจำกัด ความคิดมักเข้าข้างตัวเองและความคิดมักไม่ยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำอะไรตามความคิดก็ง่ายที่จะผิดได้เหมือนกัน อย่าเชื่อว่าตัวเองจะถูกต้อง จริงไหม (จริง)  เวลาเราทำอะไรตามความคิด ความคิดของเราง่ายไหมที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่าเข้าข้างผู้อื่น และมักจะยึดมั่นกับความคิดตนเองจนลืมอยู่บนความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราอยู่บนโลกเชื่ออะไรดี เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ดีไหม (ดี)
เจ้าน้ำตาน่าอ่อนใจ  ชอบน้อยใจยืนไม่แข็ง
แค่ลมเป่าปากคอทุกข์ขมจมสิ้นเทือกเถา
ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในของมนุษย์นั้นอ่อนยวบยาบเลยใช่หรือไม่ ใครพูดถูกใจก็ดีใจหัวใจพองโต ใครพูดผิดหู ก็เสียใจฟูมฟาย ฉะนั้นลมเป่าแค่นิดเดียวมนุษย์ก็สามารถล้มทั้งยืนได้
มนุษย์เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่เคยคิดจะเรียนรู้ ตื่นเช้าขึ้นมาก็พยายามหนีทุกวันคืออะไรรู้ไหม (ความจริง)  ความจริงก็ใช่ โลกใบนี้กว้างใหญ่ขนาดไหนเราเรียนรู้ได้หมด ไกลแค่ไหนเราก็พยายามเสาะหาจนรู้ แต่สิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด เรากลับไม่เคยคิดเรียนรู้และค้นหาความจริงให้เจอนั่นคืออะไรรู้ไหม (ใจ)  ฉะนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องจิตใจดีไหม เพราะใจนั้นเชื่อความคิด ซึ่งไม่ค่อยดี เพราะอย่างที่เราบอก ความคิดมีข้อจำกัด ความคิดชอบเข้าข้างตัวเองและความคิดมักไม่ยืนอยู่บนความจริง ถ้าเช่นนั้นเราจะฝึกฝนใจเราแล้วอยู่บนโลกใบนี้อย่างไรดี เราจะเชื่ออะไรและควรฟังอะไรดี ถ้ารู้จักฝึกฝนจิตใจให้เป็น เราก็สามารถนำความสุขให้กับชีวิตได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าฝึกฝนใจไม่เป็น ใจนั่นแหละคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ดังที่กล่าวไว้ว่าใจคือสิ่งที่ประเสริฐสุดใช่หรือเปล่า
ตอนนี้ถ้าเราเรียนรู้ฝึกควบคุมใจให้เป็น มีหรือที่ความสุขจะไม่อยู่ในมือเรา เราถามคำถามง่ายๆ ความสุขคืออะไร ตอบเราได้ไหม
มนุษย์กลายเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ เพราะพูดแล้วทำไม่ได้อย่างที่พูด มนุษย์ขาดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าพูดอย่างทำอย่าง ฉะนั้นหากอยากกลับไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พูดอย่างไรก็ทำให้ได้อย่างนั้น ทำอย่างไรต้องรักษาคำพูดได้อย่างนั้น แล้วตอนนี้อยากนั่งไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่ท่านไหนที่ไม่อยากนั่งเราให้โอกาสยืนต่อนะ ส่วนท่านที่อยากนั่งเชิญนั่งเลยนะ
(นักเรียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่งและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
มนุษย์นั้นแปลก ไม่มีคนสนใจก็บ่น พอมีคนสนใจก็รำคาญ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมีคนอยู่เยอะๆแต่ ไม่เห็นความสำคัญฉันเลย ก็บ่นแล้ว พอเขาให้ความสำคัญกับเราและเป็นห่วงเรามาก เรากลับรู้สึกรำคาญ จริงหรือเปล่า (จริง)  อย่างนั้นตกลงอยากให้สนใจหรือไม่สนใจ (อยากให้สนใจ)  แต่พอเขาสนใจก็กลัวทันที กลัวว่าจะสนใจต่อไปอีกนานไหม กลัวทุกอย่างเลย จึงทำให้เราสงสัยจริงๆ ว่าความสุขของมนุษย์คืออะไร พอเขาสนใจแล้ววางกลับไปเหมือนเดิม ก็ทุกข์ใจอีก ฉะนั้น ความสุขของมนุษย์คืออะไร คือการที่หาอะไรก็ได้มาดึงใจเราไปแล้วทำให้เราไม่ต้องอยู่เฉยๆ กับตัวเอง หรือที่มนุษย์ชอบพูดก็คือ ความสุขของมนุษย์คือการมีทรัพย์สิน ได้ดูละคร ฟังเพลง ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไกลๆ แต่อย่าอยู่กับตัวเอง เพราะอยู่กับตัวเองแล้วฟุ้งซ่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น นิยามความสุขของมนุษย์ก็คือ อะไรก็ได้ที่มาดึงใจของตัวเองให้ออกไปไกลที่สุด นั่นแหละคือความสุข ความทุกข์ก็คือการต้องอยู่กับตัวเองคนเดียวแล้วสงบไม่เป็น ใช่ไหม
แต่พุทธะให้นิยามความสุขคนละความหมายกัน ความสุขของพุทธะคือ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน, การรักษาจิตใจให้ว่างเปล่าจากอารมณ์)  อย่างนั้นตอนนี้สุขหรือทุกข์ (สุข)  ตอบได้ใกล้เคียงและเกือบจะถูกต้องแล้วนะ ความสุขของพุทธะก็คือการอยู่นิ่งๆ ด้วยความสงบและว่าง ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์สามารถเข้าถึงความสุขอย่างพุทธะได้  แต่เรากลับเข้าไม่ถึง เพราะว่านิสัยของจิตมนุษย์มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคืออยู่นิ่งไม่ได้ พออยู่นิ่งใจมันจะกัดใจตัวเอง  ใจจะลงต่ำมากกว่าขึ้นที่สูง คิดร้ายมากกว่าคิดดี ฟุ้งซ่านมากกว่าสงบ จึงทำให้เรานั้นเหมือนคนที่หาความสุขไม่เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ที่จะหาความสุขนั้นก็คือการเรียนรู้ที่จะต้องเข้าใจตัวเอง อยู่กับตัวเองให้ได้ มองตัวเองให้เห็น ทำใจให้เป็น และวางใจให้ถูก ถ้ามนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองได้ มองตัวเองเห็น ทำใจเป็น วางใจได้ แม้ไม่ต้องไปเที่ยวก็มีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ ความสุขของพุทธะก็คือการอยู่เฉยๆ ก็เป็นสุขได้  แต่มนุษย์บอกว่า ไม่ได้หรอกยังอยากเที่ยวอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ลองถามตัวท่านเองสิ วันนี้เรากลับไปบ้านไม่ดูทีวี ไม่ฟังเพลง ไม่พูดกับใคร สักสิบนาที ดูว่าจะทนได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าสิ่งพื้นฐานอันนี้ท่านทนได้แล้ววันหนึ่งต้องเจ็บป่วย ทีวีก็ดูไม่ได้ เพลงก็ฟังไม่ได้ ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ ต้องอยู่กับตัวเอง ตอนนั้นไม่ทุกข์ทรมานที่สุดหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ยังไม่เจ็บป่วย นี้ยังไม่ชราภาพ ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะฝึกจิตใจให้อยู่กับตัวเองที่ธรรมดาที่สุดให้เป็นสุขให้ได้ จะรอให้แก่แล้วคนพาไปไหนไม่ได้ เปิดทีวีไม่เป็น ฟังเพลงไม่ได้ แล้วค่อยฝึกตอนนั้นทันไหม แล้วทำใจไหวไหม (ไม่ไหว)  คนปัจจุบันนี้พออายุมากๆ แล้วเหงา โดดเดี่ยว อยากฆ่าตัวตาย เพราะลืมเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองให้เป็น ถนัดแต่อยู่กับความสุขภายนอก แต่ไม่ถนัดอยู่กับความสุขที่ตัวเองมี ใช่หรือไม่
ฉะนั้นถ้าผิดหวังจากข้างนอกมา แล้วรับกับตัวเองตรงนี้ไม่ได้ท่านก็มีแต่แย่กับแย่ นับจากนี้ไปอยู่กับตัวเองให้ได้ แม้จะผิดหวังข้างนอกแต่ใจก็เป็นสุข จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนที่เขาพูดว่า แม้จะเสียของภายนอกเป็นร้อยเป็นพันเป็นล้าน แต่สิ่งหนึ่งที่เราเสียไม่ได้คือใจอย่าเสียตาม แม้ร่างกายจะเจ็บปวดเจียนตาย แต่ขอใจอย่าตายก่อนกาย ฉะนั้นถ้าเราอยากจะรู้จักความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องหาจากไหน หาได้ตรงนี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ สุขได้หรือยัง แม้ที่นี่เดี๋ยวนี้และแบบนี้จะทรมานแต่หากท่านสุขได้ ต่อไปวันข้างหน้าท่านก็สุขเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ แบบนี้ ยังสุขไม่ได้สุขไม่เป็น ชีวิตนี้ก็หาสุขยากแล้วนะ คนนั้นหน้าตาแบบนี้ ใส่เสื้อแบบนี้ เรารับได้ไหม (ได้) คนอื่นเขาใส่สีสันหมดแต่ท่านใส่เสื้อสีขาว รับได้ไหม แล้วถ้าเจอคนที่ขาวกว่า เราจะทุกข์ไหม อยากจะเข้าใจและเข้าถึงความสุขจะต้องมองจิตใจของเราให้ออก คนอื่นมีนิสัยอย่างไรเรารู้ดี แต่ตัวเองกลับไม่รู้
นิสัยของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งก็คือความขี้กลัวขี้กังวล แต่กังวลแล้วสามารถแก้ปัญหาได้ไหม (ไม่ได้) เวลาปัญหามากังวลไหม และถ้าปัญหาที่มานั้นแก้ได้ จะมัวกังวลทำไม ทำไมไม่แก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่) และถ้าปัญหานั้นแก้ไม่ได้ ปลงได้ก็ปลงเสีย จะไปกังวลทำไมอีก ฉะนั้นจำไว้ว่า ในโลกมีปัญหาอยู่สองแบบคือแก้ได้และแก้ไม่ได้ แล้วเราจะกังวลอะไร แก้ได้ก็ไม่ต้องกังวลให้รีบแก้เลย หากแก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวล ให้ปล่อยวางเสีย เพราะมันแก้ไม่ได้เราจะกังวลอะไร เรากลัวความจริงจนเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้วใครๆ ก็เสีย ใครๆ ก็ทุกข์ได้ ใครๆ ก็พลัดพรากได้ ใครๆ ก็โดนต่อว่าได้ ฉะนั้นวันนี้เราโดนต่อว่าก็คิดเสียว่าเป็นธรรมดาใครๆ ก็โดน แล้วความสุขจะไกลเกินเอื้อมไหม ขอเพียงเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง มองให้เห็นปัญหาว่าอยู่ที่ไหน ทำใจให้ได้และวางใจให้เป็น ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะเดินเข้าไปถึง จริงหรือไม่ (จริง)  รักตัวเองไหม (รัก)  แต่ถึงเวลาอยู่กับตัวเองแค่สิบนาที กลับอยู่ไม่รอด อย่างนี้เรียกว่า รักตัวเองจริงๆ หรือเปล่า (เปล่า)
คนโบราณมักจะกล่าวว่า คนที่ตื่นเช้าคือคนที่มีโชคมีลาภ แล้วเราตื่นเช้าหรือตื่นสาย นาฬิกาไม่ปลุกก็ไม่ตื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น สิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งในจิตใจของมนุษย์ก็คืออะไร คือไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองมีข้อเสียอะไร แล้วไม่ค่อยยอมรับให้ตัวเองเป็นผู้ผิด ผู้พ่ายแพ้ จึงทำให้ตัวเองไม่เคยได้ก้าวหน้าสักที เพราะไม่เคยผิดสักวันหนึ่ง หรือไม่เคยเป็นคนร้ายสักวันหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมร้ายเพื่อจะได้ดี ดีกว่าเป็นคนดีทุกวัน แต่จริงๆ แล้วร้าย จริงไหม (จริง)
"อันใดนามรูปล้วนไม่จีรังยิ่ง อันทุกสิ่งคือเกิดดับเก่าใหม่"
เราอยู่ในโลกนี้มีพบก็ต้องมีพราก มีดีก็ต้องมีร้าย มีได้ก็ต้องมีเสียเป็นธรรมดา  มีวันเกิดขึ้นก็ต้องมีวันเปลี่ยนแปลงและดับไป ถ้าเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต เราต้องไม่ลืมความคิดอันนี้ อย่าหนีห่างออกจากความคิดที่ว่าทุกสิ่งล้วนมีด้านตรงข้าม เรารักหัวแต่ไม่รักท้าย ได้ไหม (ไม่ได้)  เราชอบต้นแต่ไม่ชอบปลายและกลาง ได้ไหม (ไม่ได้)  เราอยู่ในโลก เรารักที่จะมีคนชมแต่ไม่มีคนติ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เรารักที่จะมีความสุขและไม่ทุกข์เลยยิ่งเป็นไปไม่ได้  ฉะนั้นอย่าหลอกตัวเอง อยู่ในโลกนี้มีคนชมก็ย่อมมีคนว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีได้ก็ต้องมีเสียยิ่งเป็นเรื่องธรรมดาใหญ่  ฉะนั้นถ้าวันนี้พระอาทิตย์ไม่หันมาส่องแสงหาเรา ฝนไม่ได้ตกบ้านเรา ก็อย่าได้ดีใจ  เพราะสักวันหนึ่ง พระอาทิตย์ก็ต้องหันมาส่องแสงสู่เรา ฝนก็ต้องตกใส่เราได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นหัวเราะเพื่อร้องไห้นั้นคุ้มหรือ หรือร้องไห้เพื่อจะกลับมาหัวเราะนั้นถูกหรือ ก็หาใช่ไม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ควรทำใจอย่างไร ควรรับได้กับความเป็นจริงบนโลกใบนี้ด้วยจิตที่นิ่ง ไม่สาดส่าย  ความนิ่งวัดความสุขของคนในโลก คนใดนิ่งได้มากเท่าไร ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าถึง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วเราจะบำเพ็ญธรรมอย่างไรที่เรียกว่าเป็นการฝึกจิต ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าท่านคือดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ในกระถางหรือบนพื้นดิน  แล้วมีวันหนึ่งใครๆ ก็ถูกเลือกไปหมด แต่เราไม่ได้ถูกเลือกเราทำใจอย่างไร แล้วถ้ามีวันหนึ่ง ใครๆ ไม่ถูกเลือก แต่เราถูกเลือกเราทำใจอย่างไร แล้วถ้าวันหนึ่งถูกเลือกแล้วแต่เขาไม่ดูแล เขากลับปล่อยทิ้งเรา ทำใจอย่างไร แล้วปล่อยทิ้งแล้วเขากลับมา เราทำใจอย่างไร ควรดีใจไหมหรือควรเสียใจ อยู่กับดินธรรมดาไม่ถูกเลือกเราก็เสียใจ ถูกเลือกแล้วเราก็ดีใจ แต่ถ้าถูกเลือกแล้วถูกโยนทิ้งล่ะ (เสียใจ)  แล้วกลับมาหยิบใหม่ (ดีใจ)  แต่หยิบใหม่แล้วขยำล่ะ (เสียใจ)  หยิบมาแล้วเอาอันอื่นมาเปรียบเทียบล่ะ (เสียใจ)  เราต้องวิ่งวนไปกับความรู้สึกนี้มากแค่ไหน เมื่อไหร่จะรู้ตัวรู้ใจตัวเองสักที หยุดวิ่งไปกับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวได้ไหม เพราะสิ่งนั้นทำให้มนุษย์ทุกข์ใจมากที่สุด โดนเลือกไม่โดนเลือกใจก็ระทึก พอเลือกมาแล้วใจก็ระทึก พอเลือกมาแล้วทอดทิ้ง ไม่ดูดำดูดีก็หดหู่  แล้วถ้าเปลี่ยนใจกลับมาดูดำดูดีแต่เอาคนอื่นมาเปรียบเทียบอีกก็ห่อเหี่ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ท่านบอกว่าทุกข์ ที่ท่านบอกว่าสุข แน่ใจว่าไปถึงที่สุดแล้วหรือ ใจเราเป็นแบบนี้ไหม ปล่อยหัวใจไปกับเหตุการณ์ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ถ้าเรารู้แล้วมองโลกให้เป็น มองให้รอบ วางใจให้ถูก ทำใจให้ดี เหตุการณ์ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวก็มาเปลี่ยนแปลงใจเราให้เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ไม่ได้จริงไหม (จริง)  ใจอยู่ที่เราทุกข์สุขก็อยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่เขา ไม่ใช่อยู่ที่โรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่อยู่ที่การไปเที่ยวไหน เคยคิดไหมว่าไปเที่ยวแล้วจะมีความสุขหากในคณะที่ไปเที่ยวมีคนที่รังเกียจเราอยู่  วันนี้เราคงไม่มีความสุขเลยทั้งวัน ฉะนั้นอย่าหวังความสุขข้างนอก อย่าฝากความสุขไว้กับผู้อื่น อย่าฝากชีวิตไว้กับสิ่งใด ชีวิตเราใจเราสุขทุกข์เราเลือกได้ เรากำหนดได้เอง ขอเพียงคุมใจตัวเองให้ดี วางใจให้ได้ แล้วมองตัวเองให้ออก จริงไหม (จริง)
คนบางคนแปลกนะหัวใจเหมือนถังใบหนึ่ง พ่อแม่เติมอะไรก็ไม่เคยเต็ม แต่ใครที่ไหนไม่รู้มาเติมแค่ขันเดียวก็ปลื้มใจ เป็นอย่างนั้นไหม พ่อแม่ทำดีสารพัด เราไม่รู้สึกพอ เหมือนใจที่ไม่เคยมีก้นบึ้ง คนที่รัก ดูแลเรา เติมให้เราทุกวันๆ เต็มไหม (ไม่เต็ม) พอใจไหม (ไม่พอใจ) แต่ใครที่ไหนก็ไม่รู้ ยิ้มให้นิดเดียว วันนั้นก็เป็นสุขได้ทั้งวัน จริงไหม (จริง) หรือบางคนเป็นโรคแบบหนึ่งแปลกๆ ใครเติมอะไร ก็ไม่ว่า แต่ถ้าเป็นคนนี้ ต้องแต่งแบบนี้ ต้องใส่อย่างนี้และต้องถือแบบนี้และต้องน้ำแบบนี้ เติมขันเดียวก็เต็ม เราเป็นอย่างนั้นไหม ความสุขของฉันคือต้องแบบนี้ ต้องอย่างนี้และต้องน้ำแบบนี้เท่านั้น น้ำอย่างอื่นไม่ได้ เราเป็นอย่างนั้นไหม เข้าใจการเปรียบเทียบของเราไหม (เข้าใจ) คนบางคนแปลก ใครมาทำอะไรไม่มีผล แต่ต้องคนนี้เท่านั้นนะ  แค่ทำแบบนี้ก็เป็นผลแล้ว หรือใครมาว่าเราก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนนี้ แต่งตัวแบบนี้แล้วทำหน้าอย่างนี้ มาว่าเรา เราเดือดทันที ฉะนั้น ทุกข์สุข ดีร้าย ได้เสีย ไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นแต่ขึ้นอยู่ที่ใจของตัวเราเอง กำหนดให้มันไกลหรือใกล้ กำหนดให้ยากหรือให้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงเวลาตอนนี้ยังเข้มแข็งอยู่ อะไรๆ ก็สู้ไหว แต่พอเจอเรื่องที่แทงใจ ยอมแพ้ทันที ธรรมะก็คิดไม่ออกแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ควรเชื่อแล้วควรเก็บไว้ย้ำเตือนใจเสมอและฝึกใจให้ไม่ควรห่างจากสิ่งนั้นก็คือ “สัจธรรมความเป็นจริง” มีได้ มีเสีย มีทุกข์ มีสุข มีพบ มีพลัดพราก มีสมหวัง มีผิดหวัง ฉะนั้น แม้วันนี้จะต้องผิดหวังกับความรัก แม้วันนี้จะหมดตัวก็คงไม่ฆ่าตัวตายอย่างน่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
หรือพูดง่ายๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่แน่ วันนี้โลกพลิกด้านมืดให้เรา แต่วันหน้าโลกอาจจะพลิกด้านสว่างให้เรา แต่สำหรับคนควบคุมใจเป็นไม่ต้องรอโลกพลิกด้านสว่างให้หรอก เขาสามารถพลิกใจให้พบความสว่างในท่ามกลางความมืดได้ มนุษย์ เวลามืดยังรู้จักหาเทียน แต่ทำไมพอใจมืดเราจึงพลิกให้ตัวเองสว่างไม่ได้ล่ะ อย่าบอกว่ารอเวลาทำใจ ต้องรออีกนานไหมกว่าจะทำใจได้ สู้เราพลิกใจเราตัวเองดีกว่า
ฉะนั้นใจของมนุษย์คือสิ่งที่อัศจรรย์ที่สุดและสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เราสามารถอยู่เหนือกาลเวลาได้ อยู่เหนือทุกข์สุขได้ ขอเพียงเราเข้าใจตัวเอง ทำใจตัวเองให้เป็น และวางใจตัวเองให้ได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงธรรม ชื่อเพลง : ใจเอย  ทำนองเพลง : ความคิดถึงห้ามกันไม่ได้)
ความคิดถึงห้ามกันไม่ได้ จริงหรือ (จริง)  ห้ามไม่ได้แต่ขออย่างเดียวคิดถึงเขาแล้วอย่าเหงาจนเกินไป คิดถึงแล้วมีความสุขก็ดี แต่เห็นยิ่งคิดก็ยิ่งเหงา ใช่หรือไม่ (ใช่)

เรามาเพื่อหวังให้ท่านค้นพบหนทางแห่งความสุขอันแท้จริง อย่าได้เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่ควรเป็น มองให้ออก เข้าใจตัวเองให้ได้ ทำใจให้ดี วางใจให้เป็น แล้วโลกใบนี้จะเป็นโลกที่มีแต่ความสุข ไม่ใช่ความทุกข์  มองใจตัวเองให้ออกนะ
วันนี้คงมีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อเรียนรู้ ฝึกฝน เข้าใจตัวเองหรือเข้าใจจิตใจของตัวเอง เป็นวิชาที่น่าเรียน และเรียนวันเดียวคงไม่มีวันจบ เพราะใจของมนุษย์นั้นเหมือนถ้ำ ลึกลับซับซ้อน ไม่ค่อยยอมเปิดใจง่ายๆ อยากจะเชื่อก็เชื่อไม่หมดใจ อยากจะวางใจก็วางใจไม่หมดสิ้น ฉะนั้น ถ้ามีชีวิตต้องดิ้นกันไป ก็ขอให้ดิ้นให้ถูก หรือการเรียนรู้เข้าใจตัวเองให้เป็นก่อน มีโอกาสคงกลับมาผูกบุญกันอีก








วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ปลุกสำนึกความดีงามให้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประสิทธิ์ประสาทพรมงคลไว้
ตระหนักรู้เกิดมาเพื่อสิ่งใด จรรโลงชีพเกียรติก้องไกลทั่วปฐพี

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักยังสงสัยอยู่อีกไหม

บำเพ็ญก็รู้ตื่นไวก็พ้นไว ใช่รู้อย่างนั้นใหม่นั้นเก่าหนา
ตื่นรู้หนาใช้ปัญญาจึงได้มา ความเดิมกิเลสสิ่งมายาไม่เคยมี
ฉลาดก็คือปัญญาลวงเป็นแค่เปลือก ตาตื่นพาตาเลือกมองนั่นนี่
ชั่วนิจนิรันดร์มุ่งมั่นเลือกความดี จงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่กระทบใจ
ติดสิ่งที่สงบเริ่มติดดีกว่า อารมณ์มากระทบจิตหรือสงบอยู่ได้
ที่จบก็แค่เริ่มในแบบใหม่ ในสิ่งสรรพนั้นใจคงเป็นสำคัญ
ฝึกเกี่ยวเนื่องอย่างสัมพันธ์เมื่อเพียรธรรม มุ่งมั่นย่อมต่างกรรมกับความขยัน
การวางเฉยไม่กลั่นในจิตญาณ ทำนานนานจะนิ่งนอกวุ่นวายใน

ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อาจารย์นั่งรอข้างหลังดีไหม ไม่ต้องไปข้างหน้าได้หรือเปล่า อาจารย์อยากอยู่ข้างหลังหนุนช่วยศิษย์ให้เดินไปข้างหน้า
ขึ้นชื่อว่าชีวิต สิ่งที่เราหนีไม่พ้นก็คือ (ความตาย)  แล้วกลัวไหม (ไม่กลัว)  คนที่กลัวแปลว่ายังดีไม่พอนะ ก็เลยหลับตาตายไม่ลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตเรามาตัวคนเดียวถึงเวลาก็ต้องไปคนเดียว รู้สิ่งนี้สะท้อนสะเทือนใจเราอยู่เสมอ แต่พอเรานึกถึงสิ่งนี้เมื่อไหร่ใจเราก็รู้สึกหวิวๆ ขลาดกลัว เราจะรู้สึกว่าทำอย่างไรดีล่ะ เราเกิดมาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว แล้วตอนมามีอะไรติดมือไหม (ไม่มี)  ความไม่มีคือสิ่งเดิม แต่ความมีคือสิ่งมาใหม่หรือมาทีหลัง นี่คือสิ่งพื้นฐานของมนุษย์ทุกๆ คนที่มีเหมือนกัน
อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรจะลืมไปจากชีวิตนั่นก็คือ "ถึงที่สุดแล้วมีขึ้นก็ต้องมีลง มีเกิดก็ต้องมีดับ" ถ้าเราพึงสังวรณ์อย่างนี้ เราคงไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คงไม่ทำให้ชีวิตเราพบทุกข์มากกว่าความสุข แต่เพราะเราไม่ได้คิดอย่างนั้น เมื่อเรารู้ว่าเราเกิดมาคนเดียว ตายคนเดียว แต่ก่อนเดิมไม่มี ต้องหาถึงจะมี แล้วถึงเวลานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อขึ้นไปอยู่ที่สูงแล้วต้องตกลงมาต่ำ แม้เราจะรู้อย่างนี้ แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งวันใด ศิษย์ของอาจารย์มีโอกาสได้ครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็เรียกสิ่งนั้นว่า "ของฉัน" เราก็รู้สึกภูมิใจเหลือเกิน หัวใจที่ตอนแรกรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง พอได้รู้ว่าอันนี้คือของฉัน เรารู้สึกเป็นสุข หัวใจเรารู้สึกเข้มแข็งและชีวิตเรารู้สึกมีค่าที่สามารถสร้างสิ่งหนึ่งขึ้น มาแล้วเป็นของฉัน ใจที่โดดเดี่ยว ใจที่อ้างว้างกลับกลายเป็นรู้สึกภูมิใจ ปลื้มใจ เป็นสุขใจ หรือเมื่อมีใครมาเรียกว่า "เธอคนนี้ของฉัน" เรารู้สึกว่า "ทำไมฉันจึงสำคัญสำหรับเขาขนาดนี้ เขาจองฉันแล้วนะ" หัวใจที่โดดเดี่ยวของศิษย์รู้สึกพองโต มีความสุข จากที่อ่อนยวบก็กลายเป็นเข้มแข็งขึ้นมา พอได้ครอบครอง พอได้มีคนยึดมั่น พอได้เป็นของใครสักคนหนึ่ง เรารู้สึกว่า เราจะต้องทำอย่างไรต่อแล้วไขว่คว้าให้ได้มากที่สุด เพราะว่าการได้ครอบครองทำให้เราภูมิใจ มีความสำคัญ ทำให้เรามีค่า หัวใจไม่เปล่าเปลี่ยว ไม่เหงาและโดดเดี่ยวอีกต่อไป
แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ยิ่งศิษย์ได้ครอบครองมากเท่าไหร่ หัวใจพองโตมากเท่าไหร่ จิตใจได้เข้มแข็งมากเท่าไหร่ ก็กลับสร้างรูของความบกพร่องของใจกว้างขึ้นตามมากเท่านั้น และรูนั้นก็เกิดขึ้นไม่รู้ตัว คือรูแห่งความกลัวว่ามันจะหายไป กลัวว่าฉันต้องกลับมาโดดเดี่ยว กลัวว่าฉันต้องกลับมาอ้างว้าง เราจึงยึดเหนี่ยวให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าวิธีการนั้นจะมาด้วยการอิจฉา คดโกงหรือเจ้าเล่ห์เพทุบายก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าของๆ เรา เกิดสูญเสียไป ตอนนั้นศิษย์เกิดความรู้สึกอย่างไร ศิษย์ร้องไห้ ศิษย์ดิ้นทุรนทุราย แต่ถ้าศิษย์หันกลับไปมอง ศิษย์เคยถามไหมว่า ตอนที่เสียเขาไป เสียสิ่งที่ยึดเหนี่ยว เสียสิ่งที่ภาคภูมิใจ เราร้องไห้เพราะเขาจากไปหรือเราร้องไห้เพราะกลัวตัวเองต้องกลับไปโดดเดี่ยว เราร้องไห้เพราะคิดถึงเขาหรือเราร้องไห้เพราะเราสงสารตัวเอง ฉะนั้น ถ้าชั่วขณะจิตนั้น ศิษย์แค่เหลียวตาแล้วตามสติมองไป ศิษย์จะได้รู้ว่า ความทุกข์มันเกิดจากความคิด ความทุกข์มันเกิดจากเราเป็นคนสร้าง และ เราจะมองเห็นว่า ธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่าตัวตน ที่ศิษย์รักหนักหนานั้น แท้จริงแล้วเห็นแก่ตัวขนาดไหน ขี้กลัว ขี้กังวลมากเพียงไร เพียงแค่ชั่วขณะจิตนั้นถ้าศิษย์หันไปมอง ศิษย์จะเข้าใจธรรมชาติของตัวตนแล้วมองเห็นว่าทุกข์มาจากไหน
แล้วผลของการยึดมั่นถือมั่นให้โทษอย่างไร เมื่อเราสามารถเห็นแค่ ณ ชั่วขณะนั้น เราจึงมีกุญแจไขพ้นความสิ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเราเอง จบอาจารย์กลับแล้วนะ อาจารย์สรุปแค่ต้นๆ จบลงแค่ตอนนี้เอาไหม (ไม่เอา) เห็นไหมว่า แค่ชั่วขณะจิตที่ศิษย์ได้ครอบครองดีใจเหลือเกิน ฉันสำเร็จฉันได้อันนี้ แต่รู้ไหมว่าช่วงที่ศิษย์เป็นอันนั้น ได้อันนี้มีอันนั้น ภาคภูมิใจ ดีใจ สำคัญกับหัวใจพองโต แต่ศิษย์ก็สร้างหลุมลึกๆ  สร้างหลุมพรางให้กับจิตใจโดยไม่รู้ตัว กลัวความโดดเดี่ยวไหม (กลัว) เรากลัวความไม่มี ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งนั้นคือต้นรากของความเป็นคนที่ต้องกลับมาเจอและต้องอยู่กับมันให้ได้ นั่นก็คือสูงสุดคืนสู่สามัญ มีก็เพื่อไม่มี มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว ห่วงใครมีใครก็เอาไปไม่ได้ ฉะนั้นการถมทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อทำให้เราภูมิใจดีใจและมั่นคงในหัวใจเพื่ออะไรกัน จริงๆ แล้วมั่นคงแค่ภายนอก แต่ใจลึกๆ ศิษย์กลับกลวงโบ๋ จริงไหม (จริง)
รักที่แท้คืออะไร (การให้) รักที่แท้ก็คือการให้สิ่งที่เขามีความสุข แม้ความสุขที่เขายืนอยู่ตรงนั้นจะไม่มีเราก็ตาม นี่แหละเรียกว่ารักแท้ แต่ศิษย์ไม่ใช่ รักของศิษย์ก็คือถ้าเขาสุขฉันต้องยืนสุขด้วย อย่างนั้นไม่เรียกว่ารักแท้แต่เรียกว่ารักตัวเองมากกว่า ศิษย์กลัวการสูญเสีย ศิษย์กลัวถูกทอดทิ้ง ศิษย์กลัวถูกว่า แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าสิ่งที่เรียกว่าทอดทิ้ง สูญเสีย ถูกว่านั้น กลับทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้นและทำให้ศิษย์เข้มแข็งขึ้น ทำให้ศิษย์มั่นคงในใจยิ่งขึ้น แต่การมีสรรพสิ่งที่ศิษย์ภาคภูมิใจกลับทำให้ศิษย์อ่อนยวบ จริงไหม (จริง)  ยิ่งมีมากเราก็ยิ่งอ่อนมาก ยิ่งมีมากเราก็ยิ่งพร่องมากทุกข์มาก เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)
ฉะนั้นเกิดมาเพื่อช่วงใช้และปล่อยวาง หรือช่วงใช้แล้วกอดไม่ต้องปล่อย (ปล่อยวาง)  แต่ตอนนี้ศิษย์เป็นพวกกอดแล้วไม่เคยปล่อย กอดทุกอย่าง ใจเหมือนกาวเหนียวติดได้ทุกอย่าง ใครว่าอะไรนิดหน่อยก็ติดอยู่ในใจไม่ผ่านสักที ใครทำอะไรขัดหูขัดตานิดหน่อยก็โกรธเขา ใจเราจึงเป็นเหมือนกาวเหนียว แต่ถึงเวลาติดแล้ว โกรธแล้ว เกาะไม่ปล่อยสักที ใครล่ะที่ทุกข์ (ตัวเราเอง)  เหมือนศิษย์คิดว่าธรรมะก็ต้องเป็นพระสอน แต่มาเจอสอนแบบนี้ ก็คิดว่าจะจริงหรือเปล่า ฉะนั้นลองเปิดใจให้กว้างๆ แล้วดู ทุกสิ่งสามารถเป็นครูสอนใจเราได้ไม่ใช่หรือ ต้นไม้ยังสอนได้เลยและนับประสาอะไรกับคนๆ นี้
อันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ร้ายที่สุดอาจจะเป็นครูที่ประเสริฐที่สุดก็ได้ สิ่งที่แย่ที่สุดอาจจะให้บทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดก็ได้
ตื่นรู้หนาใช้ปัญญาจึงได้มา    ความเดิมกิเลสสิ่งมายาไม่เคยมี
ฉลาดก็คือปัญญาลวงเป็นแค่เปลือก  ตาตื่นพาตาเลือกมองนั่นนี่
เราอยู่ในโลกอย่าหวังแต่เรียกร้องคนอื่น ตัวเราต้องเริ่มต้นทำก่อนย่อมดีกว่า
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมตอนไหนศิษย์ ไม่ใช่เฉพาะตอนอยู่วัดแต่ตอนไหนล่ะ ตอนหลับตาไหมถึงเรียกว่าบำเพ็ญ ตอนปิดหูเรียกว่าบำเพ็ญ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นคนที่ตาบอดกับหูหนวกคงสำเร็จเป็นอรหันต์ได้ง่าย และเป็นพระพุทธะได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นเราบำเพ็ญตอน ไหนล่ะ ตอนที่กระทบและตาตื่น หูฟัง ใจเปิดกว้างนี่แหละเราบำเพ็ญตอนนั้น ตอนที่มีอารมณ์มา ตอนที่มีเรื่องราวมาเรามองอย่างไร เราจัดการเรื่องราวนั้นอย่างไร ถ้าเราจัดการเป็น จัดการได้เราก็จะสามารถแปรเรื่องราวนั้นให้เกิดเป็นธรรมสู่ชีวิตได้ อย่างนั้นเวลาเราเจออะไรมากระทบเราต้องแยกให้ออก อะไรคืออารมณ์ อะไรคือจิตใจ และอะไรคือตัวเรา ส่วนใหญ่เวลาโดนกระทบเราเอามาปนกันหมด แล้วก็ไหลไปตามอารมณ์ เหมือนเวลาโดนตี ตีฉันทำไม พอเราโดนกระทบแล้วเรามองออกไหมว่าตอนนี้อารมณ์มาแล้วนิสัยของอารมณ์เป็น อย่างไร แล้วตัวเราอยู่ตรงไหน อารมณ์มาแล้วเราไหลไปกับอารมณ์อยู่เสมอ เราก็คือทาสของอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าอารมณ์มาเรามีสติ เอาสติสัมปชัญญะเป็นรั้วรอบป้องกัน ใช้ความรู้เท่ารู้ทันเอาไว้กันเอาไว้แก้ แก้เมื่อเจออารมณ์มากระทบ แล้วเมื่อนั้นธรรมจะบังเกิด
(พระอาจารย์เมตตาใช้แอปเปิ้ลมาเป็นตัวอย่างโดยการโยนแอปเปิ้ล ปล่อยแอปเปิ้ลให้ตกพื้น)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอาจารย์บอกว่ามีแอปเปิ้ลใบหนึ่งมันจะขึ้นมันจะลง ศิษย์ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกว่าแอปเปิ้ลใบนี้เป็นของฉัน พอมันจะขึ้นหรือจะลงเรารู้สึกว่าหัวใจมันถูกบีบทันที จริงไหม (จริง) ถ้าอาจารย์บอกว่าแอปเปิ้ลผลนี้ ไม่มีเจ้าของ มันจะขึ้นหรือจะลง มันจะอยู่หรือมันจะตกศิษย์ก็ไม่รู้สึกอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าเดี๋ยวอาจารย์จะให้ใบนี้กับศิษย์ จากที่รู้สึกเฉยๆ ก็เหมือนโดนบีบทันที ตกพื้นแล้วช้ำไปแล้ว จากแอปเปิ้ลธรรมดากลายมาบีบหัวใจ
ทำไมมันมีผลต่อใจเราทันที เพราะอะไร (เพราะใจเรายึดติด)  ฉะนั้นเวลาอะไรมากระทบใจ ศิษย์อย่ายึดติด มันขึ้นก็ช่างมัน มันตกก็ช่างมัน มันก็เป็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกก็เหมือนกัน อะไรมากระทบใจ เห็นแล้วมองออกไหม เหมือนวันนี้เราได้แอปเปิ้ล เอาไหม (เอา)  แต่แอปเปิ้ลนี้ช้ำนะ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่า "เปลี่ยนใจแล้ว กลับไปให้คนอื่นดีกว่า" ทำไมเราเสียใจทันที เพราะว่าใจเราไม่ได้ยึดติดแค่คน แม้แต่สิ่งของเราก็ผูกพัน อะไรเราก็ผูกพัน แล้วเราก็วิ่งไหลไปตามสิ่งที่มากระทบทุกๆ วัน จะทำอย่างไรดี จึงจะทำให้ใจของเราไม่ไหลไปกับสิ่งที่มันผ่านหูผ่านตา (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางได้ทุกเรื่องไหม (ไม่, ถ้าพระอาจารย์โยน จิตก็รู้ตาม)  "รู้เท่ารู้ทัน เอาไว้กันเอาไว้แก้" แล้วเราจะรู้ตามเราได้อย่างไร ง่ายๆ เลย พอมันมากระทบทันที ถ้าตรงนี้คือแอปเปิ้ลของศิษย์ อาจารย์ว่าดีนะบทนี้ ได้มาก็อย่างนั้น พอเสียไปมันก็เท่านั้น  มองว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าขึ้นชื่อว่ารูปหรือนามล้วนไม่เที่ยง จำได้ไหม ขึ้นชื่อว่าคน ขึ้นชื่อว่าสิ่งของ ขึ้นชื่อว่าของเรา ล้วนอยู่ในความไม่เที่ยง ต้องจำไว้ด้วยว่า ไม่เที่ยงแล้วมันยังไม่มีตัวตน เหมือนจะจับต้องได้ แต่ก็จับต้องไม่ได้ มองให้เห็น ตัวเราก็ตัวเรา อารมณ์ก็อารมณ์
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายหญิงท่านหนึ่งออกมา
ยืนหน้าห้อง)
ยกตัวอย่าง ศิษย์ของอาจารย์คนนี้ เขาเป็นกิเลสของศิษย์ไหม (ไม่เป็น) ฝ่ายหญิงเป็นไหม (ไม่เป็น)  ฝ่ายชายเป็นไหม (ไม่เป็น)  เขาเป็นกิเลสและตัณหาของศิษย์ได้ไหม ถ้าเห็นความสวยของเขาแล้วกระทบใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่กิเลส ล้วนไม่ใช่ตัณหา แต่ใจของศิษย์เอง พอกระทบแล้วรู้สึกว่าสวย น่ารัก แล้วเราก็วิ่งแล่นไปตามมัน แต่ถ้าเกิดเห็นปุ๊บแล้วเราหยุด ความสวยก็เท่านั้น ก็แค่นั้น ก็เหมือนๆ กันมันก็จบ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันก็แค่นั้น เหมือนเห็นเงิน มันก็แค่เงิน ถ้าศิษย์รู้เท่าทันมันก็แค่นั้น แล้วยิ่งมีมาก ยึดครองมาก มันไม่ใช่ต้นเหตุของความทุกข์มากหรือ ศิษย์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบแค่นั้นด้วยใจเราได้
เมื่อเรามองเห็นธรรมในตัวคน มองเห็นธรรมในสิ่งที่มากระทบใจ มันก็เช่นนั้น มันไม่มีตัวตน มันเป็นของว่างเปล่า มองให้ข้าม มองให้พ้น แล้วสิ่งที่ศิษย์เห็นบางทีอยากได้ แต่พอได้จริงๆ อยากให้มันว่างๆ เคยไหม รักเขามาก ตอนแรกเหมือนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกเจ้าเงาะ คนอื่นเห็นเขาน่าเกลียด มีเราอยู่คนเดียวเห็นว่าสวย เห็นว่าหล่อ แต่ถึงเวลาเจ้าเงาะไม่ถอดรูป เรารับสภาพได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้เราเห็นแต่สิ่งดีของเขาเยอะ ต่อไปเราก็จะเห็นธาตุแท้ แล้วเราจะช้ำก่อนแล้วค่อยเห็นธาตุแท้ หรือเห็นธาตุแท้ก่อนใจช้ำล่ะ ถึงตอนนั้นเยียวยาใจไหวไหม (ไม่ไหว)  ที่ให้เขาไปหมดใจก็เพราะต้องการให้เขามาเติมเต็มหัวใจ แต่ยิ่งเติมทำไมกลับยิ่งพร่อง
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตอนไหนล่ะ ตอนที่ตาเห็น หูได้ยิน ใจมันโหยหา เห็นไหมว่ามันคืออะไร เห็นแล้วควรเอาไหม เอามาแล้วเป็นอย่างไร มันล้วนไม่เที่ยง มันไม่แน่ มันไม่มีตัวตน หรือมันมีตัวตนแล้วตนกับตนมาอยู่ด้วยกันมันก็มีแต่เจ็บ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วรับไหวไหมกับการจะต้องเจ็บ เมื่อกระทบกันบ่อยๆ ถ้ารับไหวก็มีไปเถิด อาจารย์ไม่ว่า แต่ถ้ารับไม่ไหวรู้ใจตัวเองว่าไม่เข้มแข็งพอ ก็อย่ามีเลยเดี๋ยวมันจะช้ำใจ ใช่ไหม
ฉะนั้นเราอยู่ในโลก การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องไกล ไม่ใช่เรื่องเอาแต่ปิดตาปิดหู แต่เปิดตาเปิดหูแล้วรู้ให้ทันสิ่งที่มากระทบใจแล้วควบคุมมันให้ได้ นี่แหละเรียกว่านำเรื่องราวทำให้บังเกิดธรรมในหัวใจ หรือเรียกว่านำสิ่งที่ไม่เป็นสาระให้มาเป็นสาระแล้วเกิดปัญญาแจ้งตื่นใจ ไม่ยากเลยใช่หรือเปล่า แต่ยากตรงที่มากระทบแล้วเราเห็นไหมหรือไหลไปเรียบร้อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์เห็นบ่อยๆ แล้วศิษย์สามารถมองสิ่งที่มากระทบบ่อยๆ ศิษย์จะสามารถวางเฉยแล้วเกิดความเบื่อได้ เบื่อในที่นี้ไม่ใช่แปลว่าชังหรือว่าชอบนะ แต่เบื่อในที่นี้คือ สิ่งที่มากระทบทำให้จิตของศิษย์นั้นไม่เกิดความรู้สึกมีโทษหรือมีคุณ เราสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่มากระทบนั้นก็เหมือนๆ กัน ไม่มีอะไรดีกว่าไม่มีอะไรแย่กว่า เท่าๆ กันไปหมด เมื่อเรามองเท่าๆ กันไปหมดได้ ตอนนั้นจิตก็จะเกิดความว่างและไร้การยึดมั่นถือมั่นได้ในฉับพลันทันที จิตก็จะสามารถเดินไปสู่ความว่างแม้ในทุกขณะที่ต้องดำเนินชีวิตก็ตาม นี่คือหนทางคืนสู่ความว่าง ยากไหม สิ่งที่อาจารย์เล่านั้นน่าเบื่อใช่ไหม  (ไม่)  ถ้าเบื่อแล้วสามารถทำให้ไม่เกิดโทษไม่เกิดคุณ วางเฉยได้ มองให้เสมอเหมือนกันได้ก็ดีสินะ แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วก็อดไม่ได้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่าชอบยังมีสิ่งที่เรียกว่า (ไม่ชอบ)  เพราะเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนใช่ไหม แล้วก็ยังมีโลภ หลง เกลียดมากๆ ก็กลายเป็นความโกรธ เคียดแค้น อาฆาต แต่ถ้าศิษย์ไม่มีสิ่งที่รัก แล้วก็ไม่มีสิ่งที่ชัง โลภ โกรธ หลง มันอยู่ไหนล่ะ  เรามองสิ่งทุกอย่างให้มันเท่าเทียมกันได้ไหมล่ะ ศิษย์ไม่ใช่หรือที่เรียกร้องฟ้าว่า "ให้ยุติธรรมหน่อยสิ" คนไม่เคยมีความยุติธรรมเลย แล้วตัวศิษย์เองยุติธรรมหรือยัง (ยัง)  ศิษย์ยังลำเอียงอยู่เลย ถ้าลูกเรากับลูกเขาทะเลาะกัน ศิษย์ให้น้ำหนักใครมากกว่ากัน (ลูกเรา)  บ้านเรากับบ้านเขาทะเลาะกัน ศิษย์ให้น้ำหนักบ้านใครมากกว่ากัน (บ้านเรา)   ศิษย์กับเขาทะเลาะกัน ศิษย์เข้าข้างใครมากกว่ากัน (ตัวเราเอง)  เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะความยึดมั่นและก็รักในตัวเองจนลืมความถูกต้องชอบธรรม แต่ถ้ามนุษย์รู้จักมองว่า แม้แต่ตัวเราก็ยึดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมายืนเป็นตัวอย่าง)
อาจารย์ทำเหมือนทุกที อันไหนเรียกว่า "ตัวหัวหน้า" อันนี้ไหม (ใช่)  ใช่เหรอ ตรงนี้เรียกว่าหู  อันนี้ใช่ตัวหัวหน้าไหม (ไม่ใช่)  ตรงนี้เรียกว่า ผม ตรงนี้ใช่ตัวหัวหน้าไหม ตรงนี้เรียกว่า แขน  แล้วไหนที่เรียกว่าตัวหัวหน้า (รวมกัน)  รวมกันแล้วจึงเรียกว่าตัวหัวหน้า  มีแค่รูปกับนามเท่านั้น  ถ้าศิษย์มีสติรู้ตัวตลอด รู้ว่าสิ่งที่ศิษย์ครอบครองเราแค่ยืมเขามาใช้ ถึงเวลาก็ต้องปล่อยมันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรามีชีวิตเพื่ออะไร สนองตามใจ สนองตามกิเลส หรือมีชีวิตอยู่เพื่อมองให้เห็นแจ้งความเป็นจริงแล้วรู้จักตื่นเสียที เราเกิดมาเพื่อดูการเกิดดับแค่นี้หรือ หรือเราเกิดมาเพื่อ เกิดแล้วดับ แล้วไม่เกิดอีกเลย หรือการเกิดนั้นไม่เป็นมูลเหตุที่ต้องเวียนว่ายอีกต่อไปล่ะ มันยากหรือ การบำเพ็ญธรรม (ไม่ยาก)  แค่รู้จักระวัง แล้วก็ระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ช่วยอะไรศิษย์เลย แต่สิ่งที่ช่วยศิษย์ก็คือคุณธรรมในหัวใจ
คนบางคนเพื่อให้ได้กินเยอะๆ ก็ยอมทำลายคนอื่น เพื่อได้มีเยอะๆ คุณธรรมไม่ต้องสนใจ เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น) อย่างนั้นแปลว่า ถึงเราจะกินเยอะๆ ความซื่อสัตย์เราก็ยังมี ถึงเราจะโลภในการกิน แต่ความเมตตาเราก็ยังมี ใช่ไหม  โกหกทั้งเพ  กินเนื้อเขาอย่างนี้ จะเรียกว่าเมตตาไหม อาจารย์บอกสองที่แล้ว อีกที่หนึ่งที่อยากจะบอกด้วยนั่นก็คือ บางครั้งเราพูดว่า เราทำอะไรกับคนอื่น แล้วขอโทษก็จบกัน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เราบอกว่าเราจบ แต่คนอื่นเขาจบกับเราไหม (ไม่แน่) ใช่ เขาไม่แน่  ตบเขาทีหนึ่ง เราบอกว่า "ขอโทษนะไม่ได้ตั้งใจ ตบอีกทีหนึ่ง อุ๊ยหลอกเล่น อย่าโกรธกัน" เราจบแต่เขาจบไหม แล้วถ้าเขาไม่จบแล้วเขาแค้นล่ะ แล้วเขาตามจองล้างจองผลาญล่ะ ศิษย์ทำอย่างไร
ชีวิตนี้เราไปเกี่ยวกรรมกับใครไว้ไหม แล้วไปเอาชีวิตใครเขามาโดยไม่ขอไหม เขาแค้นไหม แล้วเขาจำไหม แค่ศิษย์บอกว่าขอโทษ กรวดน้ำก็จบกันไหม (ไม่จบ)  เขาด่าศิษย์ทีหนึ่ง ศิษย์ยังจำได้ขึ้นใจ แต่นี่ศิษย์เอาเขามาทั้งชีวิต เขาจะจบกับศิษย์แค่คำขอโทษคำเดียวไหม เดี๋ยวนี้ภัยพิบัติก็มีมากขึ้น ฉะนั้นเวลาเขามาเอาคืนแค่ตีให้เราเจ็บ เขาจะหายไหมล่ะ เอาทั้งทีต้องเอาให้มันสะใจ หมดตัวเลย ตอนนั้นศิษย์รับไหวไหม เพราะตอนนี้ศิษย์ไม่เคยคิดจะฝึกใจเลย สนองไปตามกิเลส อยากกินก็กิน แล้วถึงเวลาชีวิตมีความทุกข์จุกอก ทำใจทันไหม รับไหวไหม เพราะใครทำล่ะ (ตัวเราเอง)  ฉะนั้นศิษย์รู้ถึงขนาดนี้แล้ว เบาๆ บ้างดีไหม อาจารย์ไม่ได้บอกให้หยุดนะ อาจารย์บอกเบาๆ ได้ไหม (ได้)
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่ากิเลสตัวไหนที่ขจัดยากที่สุดในใจของเรา (กิเลสในตัวของเรา)  กิเลสในตัวเราตัวไหนล่ะ (ทุกตัวที่เราอยากจะได้, อัตตา)  อัตตามีเยอะไหม (เยอะ)  เยอะแล้วก็เชื่อมั่นในตัวเองมากด้วย อย่าลืมนะว่าความเชื่อมั่นมากๆ ก็เป็นต้นเหตุแห่งการเกิดปัญหาได้ ใช่หรือเปล่า โดยเฉพาะทิฐิน่ากลัวที่สุด
(ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง, ความอยากได้)  ความอยากได้แอปเปิ้ลอาจารย์หรือเปล่า (อยากได้)  ตอบแล้วอย่ากลับไปเป็นคนช่างโลภ ช่างโกรธ ช่างหลงนะ (ความหลง, ความเกลียด, ความโกรธ)  ขี้บ่นไหม ใจเย็นๆ ดีไหม บ่นไปก็เหนื่อยใจเปล่าๆ (ตอบว่าโกรธเหมือนกัน แรงที่สุด)  อย่างนั้นใจเย็นๆ อยากจะเห็นใจเขา ก็คือลองเอาตัวเราไปใส่ใจเขาดู เผื่อจะเห็น อย่าเรียกร้องมาก
(ความเห็นแก่ตัว, ความไม่รู้จักพอ, ความเห็นแก่ได้, ความลุ่มหลง, ทิฐิ, ความมักมาก, ความอยากได้, ความหลง, ความยึดติด)
อาจารย์ก็หวังว่าแอปเปิ้ลที่ผ่านมืออาจารย์แล้วจะทำให้ศิษย์นั้นเป็นคนมั่นคง ไม่อ่อนแอจนเกินไป
(อารมณ์ของคน)  อารมณ์ไหนล่ะ (น้อยใจ เสียใจ, ความอยากได้, ความโลภ, เกียจคร้าน)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ไว้วันแรก)
บางทีจิตใจของศิษย์ก็อ่อนแอ อาจารย์อยากให้มีความคงมั่นในหัวใจ คงมั่นในหน้าที่การงานศิษย์ทำได้ แต่คงมั่นในหัวใจศิษย์ทำยากเหลือเกิน จริงไหม
เพราะจิตของศิษย์นั้นอาจารย์เห็นได้ว่าเปลี่ยนแปลงบ่อยเหลือเกิน อารมณ์ดีใครพูดอะไรก็ถูกใจไปหมด แต่พออารมณ์ร้ายแค่นิดเดียวก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว ฉะนั้นอย่าปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์แต่จงมีสติยั้งคิดไม่ว่าเจออะไรหยุดคิดก่อน ดีไหม มีสติยั้งใจก่อนดีไหม ช้ากว่าคนอื่นอีกนิดหนึ่งจะเป็นอะไร ช้าแล้วได้เรื่องได้ราว ดีกว่าเร็วแล้วต้องเสียใจภายหลัง ให้เพลงอะไรไป ศิษย์ของอาจารย์ก็ร้องได้หมดเลย แต่ให้ธรรมะอะไรไป ศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยทำได้สักที ลงแรงปฏิบัติจริงจังสักทีนะ ศิษย์จะได้ก้าวหน้า เพราะถึงเวลาแล้ว ปัญญา ทางธรรมต้องเกิดได้ด้วยจิตที่เรารู้ตื่นเอง ไม่ใช่รู้ตื่นจากที่อาจารย์พูดไม่มีประโยชน์ ต้องรู้ตื่นด้วยตัวศิษย์เอง แจ้งด้วยตัวเราเอง คิดได้ด้วยตัวเราเอง
อาจารย์เป็นเหมือนคนที่มาจุดประกายไฟ แล้วศิษย์จะรักษาประกายไฟให้เป็นเทียนแล้วส่องสว่างตลอดชีวิตหรือไม่ อยู่ที่ตัวเราเอง "คุณธรรม" อาจารย์พูดเพื่อส่องสะท้อนให้ศิษย์เห็นในตัวเอง ไม่ใช่เห็นในตัวอาจารย์ "ความรู้ตื่น" อาจารย์บอกให้ศิษย์เห็น ไม่ใช่เห็นในตัวอาจารย์ แต่กลับไปเห็นเมื่อเราลงมือกระทำด้วยตัวเอง ฉะนั้นถึงแม้อาจารย์จะมาแล้วกลับไป ศิษย์ก็ยังคงความรู้ตื่นได้ ถ้าศิษย์เอาสิ่งนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยปัญญาและสติของตนเอง อาจารย์มาไม่ใช่ให้ศิษย์มายึดในเรื่องรูปร่าง หรือแม้กระทั่งตัวอาจารย์ไม่ได้ให้ยึด แต่สิ่งที่ศิษย์ควรจะนำไปใช้แล้วไปยึดไปปฏิบัตินั่นก็คือ หัวใจแห่งธรรมในตัวเอง เรามีไหม แล้วหัวใจแห่งธรรมที่ควรมีในตัวเราคืออะไรบ้างล่ะ อยู่ร่วมกับคน เมตตาเขาไหม อยู่ร่วมกับคนถือใจเราเป็นหลักหรือเปล่า ศิษย์บอกว่ารักเขา แต่ความรักที่แท้จริงคือ ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นไม่ใช่อยากให้เขาเป็น ในสิ่งที่เราอยากได้ อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่ารัก อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่า เมตตา เมตตาคือยอมรับในตัวตนที่เขาเป็นอย่างนี้ ตัวศิษย์เองก็มีดี มีร้าย ทุกคนก็มีดีมีร้าย แต่ทำไมเราจึงมองข้ามไม่พ้น เราจึงเอาแต่ติดกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เรามองคนนี้แล้วรักเขาไม่ได้สักที เพราะเรามองข้ามไม่ผ่านสักทีกับความผิดเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนจะเข้าถึงอาจารย์ แต่เข้าถึงไม่ได้สักทีเพราะว่าติดยึดเป็นร่างทรง แต่ถ้าเรามองข้าม ศิษย์ก็จะได้อะไรมากกว่านั้น เหมือนคนที่ศิษย์เกลียด มองเขาแล้วเมตตาไม่ออกสักที เพราะติดแค่นิดเดียวใช่ไหม แต่ถ้าเรามองข้ามได้ เราก็จะมองเห็นว่าคนทุกคนก็เท่ากันหมด อย่าทำให้จุดเล็กมันกลายเป็นจุดใหญ่ที่น่าเกลียดยิ่งขึ้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยไหม เกลียดเขานิดเดียวเอง แต่พอเรายิ่งเกลียด เขายิ่งขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือเปล่า จากที่เขาจะกลายเป็นคนดีในสังคม ต่อหน้าเราเขาเลยเป็นคนร้ายในสังคม เพราะเราลืมเขาไม่ลงในความเกลียดนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งดีไหม นิทานเรื่องนี้ มีอยู่ว่ามีหญิงคนหนึ่ง ฐานะก็ไม่ได้ดี หวังว่าจะมีสามีสักคนเพื่ออุปถัมภ์ค้ำชูให้ชีวิตดีขึ้น แต่อยู่กันไปแรกๆ ก็ไม่มีอะไร ดำเนินชีวิตกันอย่างพอเหมาะพอควร จนวันหนึ่ง สามีที่เขาแต่งงานด้วย เกิดไปจับงานได้ชิ้นหนึ่งแล้วรวยขึ้นมาอย่างทันที หญิงคนนั้นก็รู้สึกมีความสุข แต่ลึกๆ ก็ยังกลัว พอสามีรวยเราก็น่าจะดีใจ ใช่ไหม อะไรๆ ก็คงดีตาม แต่คนที่เคยอยู่ธรรมดามาก่อนทำตัวให้ฟู่ฟ่ารวย จะแต่งตัวให้หรูหราทำตัวให้มีเกียรติเหมือนคนที่เขาเคยมีเกียรติ ก็ทำไม่ค่อยเป็น ฉะนั้นพอไปออกงานด้วย สามีก็เลยไม่ค่อยภูมิใจในภรรยาคนนี้ เพราะดูธรรมดาไม่โดดเด่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ออกงานด้วยสักครั้งสองครั้ง สามีบอกว่า "คุณไม่ต้องไป คุณอยู่บ้านแหละเดี๋ยวผมไปเอง" พอไปบ่อยๆ เข้า ก็เริ่มเปลี่ยนใจเห็นคนอื่นดีกว่า พอภรรยาเขารู้เรื่องนี้ ก็ทนไม่ได้ สุดท้ายแตกกันเลย "ในเมื่อคุณเห็นคนอื่นดีกว่า อยู่ก็มีแต่ทุกข์ ก็เลยจบไปเลย" พอจบไปกับคนนี้ เขาก็ดำเนินชีวิตต่อ แต่เขาก็คิดว่าการที่มีคู่นั่นแหละดีที่สุด ก็เลยไปหาสามีใหม่อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนยากจน บังเอิญช่วงที่เขาไปทำงานนั้นกำลังจะปลูกผักปลูกหญ้า ขุดดินไปขุดดินมาเจอทอง สามีดีใจ "เรารวยแล้วๆ" แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับเป็นอย่างไรรู้ไหม ยืนร้องไห้ "สามีบอกว่าจะบ้าเหรอร้องไห้ทำไม ดีใจสิ" แต่ผู้หญิงเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่งที่ รวยแล้วเป็นอย่างไร รวยแล้วเกิดอะไรขึ้น คนเราพอช้ำแล้วครั้งหนึ่ง เห็นครั้งหนึ่ง เจ็บครั้งหนึ่ง คนบางคนดีนะจำแต่ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่มันเจ็บก็เลยแต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วถึงจะมารู้ว่าเหตุการณ์แบบเดิม มันจะกลับมาวนใหม่อีกแล้ว มันคือความช้ำใจ
ฉะนั้นศิษย์ก็เหมือนนิทานเรื่องนี้รู้นะว่าอะไรคือต้นเหตุของความทุกข์ รู้นะว่าทำไมเราจึงทุกข์ แต่เรายังหยุดไม่ได้ ห้ามใจตัวเองไม่ไหว ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ยากเลย เกี่ยวกับเขาอยู่ร่วมกับเขาอย่างคนที่ให้อิสระแก่กันได้ไหม เกี่ยวแล้วไม่ผูกพันไม่ครอบครองไม่กอดรัดให้แน่นเกินไปได้ไหม (ได้)  ทำแล้วปล่อยวางได้ไหม (ได้)  เรายึดถืออะไรเป็นความมั่นคงในชีวิต คนบางคนโดยเฉพาะผู้หญิง ยึดติดสามี สามีหมดไปยึดลูก ใช่ไหม (ใช่)  ลูกหมดยึดหลาน หลานหมดยึดใครดีล่ะ แล้วศิษย์ก็มานั่งหงอยหลานก็ไม่มี เหงาเหี่ยวทุกข์แล้วก็ตายไปพร้อมกับความเจ็บปวด น่าเสียดายนะศิษย์ทั้งที่จริงๆ แล้วการได้กลับมายืนอยู่ด้วยตัวเองอย่างมั่นคงแล้วรักษาใจให้เหมือนเดิมนี่ ดีออก ได้กลับมาอยู่กับตัวเองแล้ว
ฉะนั้นศิษย์มีชีวิตอย่างคนมีสติ รู้คุณค่าในการใช้ชีวิตอย่าหลงมัวเมาไปกับอารมณ์กิเลส และความยึดมั่นถือมั่นที่โง่ๆ เลยนะ ฉลาดเท่าทันอารมณ์หน่อยได้ไหม (ได้)  และเราจะอยู่ในโลกอย่างไม่ยึดมั่น หรือไม่ผลักไส เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเอง มันก็แค่นั้น มันก็เท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ในโลกเมื่อศิษย์เห็นสิ่งใดเมื่อไหร่ อาจารย์ให้คำว่า "ช่างมัน" ทุกข์ก็ช่างมัน สุขก็ช่างมัน ในโลกนี้ล้วนไม่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ศิษย์หัวเราะ หัวเราะได้เต็มที่ไหม หัวเราะแล้วรู้สึกเดี๋ยวต่อไปฉันจะร้องไห้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเข้าใจชีวิตแล้วตอนนั้นศิษย์จะรู้ว่า ไม่ว่าอะไรผ่านมาหรือผ่านไปศิษย์ก็จะบอกว่า มันก็แค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดง่ายศิษย์ก็พูดง่ายแต่ถึงเวลาทำให้ได้นะ ศิษย์ถนัดชอบทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก แล้วชอบทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะรู้จักพลิกใจตัวเองกับเรื่องพวกนี้บ้างนะ ได้ไหม (ได้)
ในโลกนี้มีอะไรให้ยึดติดได้ เมื่อเราไม่ยึดติดแล้วจะมีอะไรให้ผลักไสให้ไกลห่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรศิษย์มีอะไรที่ยึดติด ศิษย์ก็ต้องมีขั้วตรงข้ามคือสิ่งที่ผลักไส
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
"ไม่ยึดติด ไม่ผลักไส")
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะสามารถพลิกโลกได้เพียงแค่เรารู้วางใจให้เป็น ไม่ใช่ให้โลกพลิกเราเล่นอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้เราจะสามารถพลิกโลกได้ด้วยตัวเราเอง เมื่อเราพลิกโลกได้ ต่อไปศิษย์ก็จะสามารถพลิกใจให้อยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีคำว่าอดีต ไม่คำว่าอนาคต และก็ไม่มีคำว่าปัจจุบัน มีแต่ที่นี่ เดี๋ยวนี้และตอนนี้เท่านั้นที่ศิษย์รู้ นี่แหละเรียกว่าเหนือกาลเวลา ไม่ยึดติดกับกาลเวลา
"ตื่นรู้ก็รู้อย่างนั้น"
ก็คือเมื่อเรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรให้ยึดติด ไม่มีอะไรให้ผลักไส ฉะนั้นแม้จะมีอะไรมาทดสอบใจ เราก็รู้ว่า มันก็แค่นั้น เท่านั้นเองนะศิษย์นะชีวิตนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์รู้ว่าอาจารย์พูดจนจบแล้วศิษย์ก็ยังทำไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้พูดอะไร จริงไหม อย่างนั้นวันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้ว เสียดายที่ไม่ได้ตอบเลยนะฝั่งผู้ชาย เชื่ออาจารย์ยากหรืออย่างไร
อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง คนทุกคนบำเพ็ญได้ บำเพ็ญเพื่อเป็นคนดีบำเพ็ญเพื่อช่วยผู้อื่น กลัวอย่างเดียวมัวแต่ยุ่งกับเรื่องทางโลก มัวแต่งก เลยไม่อยากจะช่วยใครเลย ก็กลายเป็นตัวเองก็ไม่รอด ช่วยใครก็ไม่ได้ มันน่าเสียดายนะ  ขอให้ศิษย์ทำให้ได้ก็พอ ชีวิตเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ ยากที่จะทำอย่างไรให้เราไม่ต้องตกอยู่ในกิเลสตัณหา ตื่นรู้และหลุดพ้นจากความทุกข์ในโลกทั้งมวล มีโอกาสลองกลับมาอีกดีไหม ความรู้ก็มี มีโอกาสกลับมาช่วยอาจารย์ได้ไหม คนนี้ต้องบอกว่าภาระเยอะเหลือเกิน ศิษย์หัวแข็ง กลับมาหาอาจารย์อีกได้ไหม ศิษย์เคยมีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์นะ ตอนนี้กลับมาแล้วก็ขอให้อยู่ให้มั่นคงนะ
อาจารย์อยากจับมือศิษย์ให้ครบทุกคน ดึงศิษย์กลับมาให้รู้ตื่นแล้วก็ไม่ต้องทุกข์เวียนว่ายอีก มีโอกาสกลับมาอีกได้ไหม น่าเสียดายนะที่มาหาอาจารย์ได้แค่วันเดียว มีโอกาสลองกลับมาดูดีไหม ศึกษาธรรมเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่ศึกษาธรรมเพื่ออาจารย์
มีโอกาสมาช่วยอาจารย์ เข้มแข็งและอดทนกับทุกเรื่องราว และขอให้ผ่านทุกเรื่องราวด้วยสติ เข้มแข็ง มุ่งมั่น และไม่ย่อท้อ ชีวิตลำบากมาเยอะแล้ว รู้จักคิดรู้จักทำ ขอให้ตั้งสติให้ดี ทำดีแล้วก็ดีต่อไป ทำอะไรรู้จักคิด รู้จักไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าเอาแต่ตามใจตามอารมณ์ เข้าใจไหม เรามีหน้าที่เรามีปณิธานทำอะไรคิดให้ดีๆ อย่านำคนไปมั่ว เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ไปแล้วนะศิษย์นะ เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเพื่อจะได้พบปัญญาแห่งการรู้ตื่นสักที ไปแล้วนะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ให้ศิษย์บำเพ็ญก็เพื่อมีปัญญารู้ตื่นนะ
มุ่งมั่นบำเพ็ญแล้วเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ แต่เพื่อจิตญาณของตัวศิษย์เอง จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการเวียนว่ายตายเกิด เราจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร ถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักลดความโลภ ดับความโกรธ ปล่อยวางความหลงบ้าง ถึงบุญจะสร้างแค่ไหนแต่โลภโกรธหลง ศิษย์ไม่เคยตัด บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาปนะ มันชดเชยกันไม่ได้ ฉะนั้นตัวศิษย์เอง ศิษย์ต้องรู้ตื่นด้วยตัวเอง แจ้งด้วยตัวเอง ทำให้ได้นะ อาจารย์ไปแล้วนะ เข้มแข็งนะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ทำงานเสร็จหรือยังหรือคุยเสร็จหรือยัง เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  บางคนยังไม่ได้กินข้าวเลยหรือ อาจารย์ขอเวลานอก เห็นบางคนไม่ค่อยยอมขึ้นไป อาจารย์ก็เลยต้องลงมา ขี้เกียจฟังอาจารย์พูดใช่ไหม (ไม่ใช่)  หรือขี้เกียจยืนมากกว่า
ศิษย์มีความก้าวหน้าทางธรรมบ้างหรือยัง มีความก้าวหน้าทางจิตใจบ้างหรือยัง มีคุณธรรมเพิ่มบ้างหรือยัง กิเลสลดลงไปบ้างหรือยัง เราบำเพ็ญธรรม แต่ก็ยังมีแบบอย่างที่มองภายนอกไม่ค่อยน่าดูเท่าไร ใช่ไหม ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นิ่งไหม (ไม่นิ่ง)  ออกจะวุ่นวายด้วยใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอาจารย์อยากจะเรียกร้องอะไรสักอย่างหนึ่งจะเป็นการลำบากใจศิษย์ไหม (ไม่ลำบาก)  แน่ใจนะว่ารับปากอาจารย์แล้วจะทำได้ (แน่ใจ)  สิ่งที่อาจารย์อยากได้เมื่อเราทำงานร่วมกัน พูดให้เบานิดหนึ่ง ใช้ความสงบให้มากกว่านี้อีกนิดได้หรือไม่ (ได้)
ศิษย์ก็เห็นว่าข้างนอกเขาทำงานกันอย่างไร ทำงานด้วยความสงบ เคลื่อนไหวด้วยความยืดหยุ่น แต่ศิษย์ของอาจารย์ทำงานด้วยความวุ่นวาย เคลื่อนไหวด้วยความกระโตกโวยวาย ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทำงานด้วยความสงบ เคลื่อนไหวด้วยความนิ่ง พูดจาด้วยความระมัดระวัง การทำงานร่วมกันเป็นธรรมดา ที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ คือมีกระทบกระทั่งกัน ใครยอมได้มากก็ลดอัตตาตัวตนได้มาก ใครฟังมากนิ่งมากก็ลดกิเลสได้เยอะ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ในการทำงานจำไว้ว่า หัวมีหลายหัวก็จริง แต่ถึงเวลาทำงานเราต้องเชื่อหัวเดียว ถ้าเราไว้ใจให้เขาเป็นผู้นำ เราก็ต้องเชื่อเขา ตามเขา เพราะเรายอมลดตัวตนเพื่อให้เขานำหน้า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อเราเชื่อเขาแล้ว อะไรที่มันติดในใจ ศิษย์ต้องลดให้ได้หมด เพราะถ้าลดได้ ศิษย์ก็ลืมตัวตนได้ ศิษย์ก็ละตัวตนได้ ศิษย์ก็ขัดกิเลสได้ แต่ถ้าศิษย์ลดไม่หมดศิษย์ก็ยังเหมือนเดิม แล้วเราบำเพ็ญอะไร ข้างนอกเราก็ไม่ได้ทำ
ข้างในเราก็ไม่ได้ลงแรง ทำอย่างเดียวคือช่วยคน แต่ศิษย์อย่าลืม อาจารย์ย้ำตั้งหลายรอบ ถ้ารัก โลภ โกรธ หลง ศิษย์ยังตัดไม่หมด ศิษย์ก็หนีไม่พ้นต้องเวียนว่ายอีก บุญก็บุญ บาปก็บาป แล้วบาปเกิดจากไหน ก็มาจากรัก โลภ โกรธ หลง ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหน แต่ศิษย์หยุดบาปไม่ได้ ศิษย์ก็ยังต้องกลับไปเวียนว่าย ฉะนั้น ศิษย์หยุดได้ หยุดที่ใจเราเอง หยุดด้วยการรู้เท่าทันรู้แก้ เห็นโกรธมาแล้ว เกลียดมาแล้ว นินทาคนมาแล้ว อยากว่าคนมาแล้ว แล้วทำอย่างไรล่ะ วิ่งตามมันไปไหม หรือว่าไม่ต้องสนใจ ปล่อยมันไป วางเฉยแล้วทำปัญญาให้เกิดขึ้น

เมื่อยเข่าหรือยัง เจ็บไหม (ไม่) ลืมบ้างก็ดีนะ เพราะถึงที่สุดแล้ว ตัวเราก็ต้องทิ้งไป เรามาตัวคนเดียว เราก็กลับคนเดียว ฉะนั้นตัวเรากลับ เราก็กลับคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะไปเกี่ยวใครให้ทุกข์อีกล่ะ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราปล่อยไม่ได้หรือ วางไม่ได้หรือ ทำปัญญาให้เกิดขึ้น ใจเรายังเปลี่ยนขึ้นเปลี่ยนลง คนก็มีเปลี่ยนขึ้นเปลี่ยนลง อารมณ์ก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เราไปวิ่งตามมันทำไม วิ่งตามก็คือหลง ก็คือโง่ แต่ถ้าเราไม่วิ่งตามแล้วเรามีปัญญารู้ทัน "อ้อ มันไม่แน่"  "อ้อ มันไม่หลงแล้ว" ได้ไหม อ้อ ฉันรู้แล้ว ฉันไม่เชื่อมันแล้ว ฉันไม่วิ่งตามมันแล้ว ตัวฉันก็ตัวฉัน อารมณ์ก็อารมณ์ ทำได้หรือเปล่า (ได้)  นี่แหละ ฝึกข้างในตัวเรา ไม่วิ่งไปตามอารมณ์ จิตก็จิต อารมณ์ก็อารมณ์ มันคนละอย่างกันนะ แต่เวลามันมากระทบใจเรา ทำไมเราชอบหลงตามมันเสมอ พอเราหลงเราก็ตกเป็นทาส พอตกเป็นทาสศิษย์ก็หนีไม่พ้น แต่ต่อไปนี้พอมันมา เห็นไหม เห็นแล้ว ตามไหม ไม่ตาม มันไม่ใช่ของฉัน มันไม่มีตัวตน มันไม่มีอำนาจอะไร ฉันมีอำนาจใหญ่กว่า ฉันจะไม่เชื่อมัน ได้ไหม (ได้) ทำให้ได้นะศิษย์นะ สุขทุกข์อยู่ที่ตัวเรา แล้วต่อไปนี้เราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเท่า เทียมกันหมด ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใด หรือไม่มีอะไรที่มีคุณมีโทษกับใจเราอีกต่อไป เพราะทุกอย่างเราเห็นเท่ากันหมด ด้วยใจที่รู้ตื่น ต่อไปนี้ ใครจะมากระทบกระทั่ง เราก็คง (เฉย) เฉย แล้วก็บอก แกมาฉันไม่ไปกับแก ใช่หรือเปล่า (ใช่) จำไว้นะ อาจารย์เป็นห่วงศิษย์จริงๆ เมื่อไรจะทำได้สักที (ทำได้) อย่าแค่นิดเดียวก็ไม่ผ่าน พูดหน่อยก็น้อยใจ ใช่หรือไม่ เปลี่ยนใครไม่ได้หรอก เปลี่ยนได้อย่างเดียว "ใจเราเอง" จำเอาไว้ เขาไม่ดีช่างเขา เรื่องของเขา แต่ฉันจะดีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งเขาไม่ดีเรายิ่งต้องดียิ่งขึ้นไม่ใช่หรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ไม่ยึดติดไม่ผลักไส”
ไม่มีก็ไม่เป็นไร ได้มาดีใจก็เปล่า
ฟ้ายังเปลี่ยนแปรค่ำเช้า ยากเอาแน่นอนสิ่งใด
นามรูปคือสิ่งสมมติ รู้ทันยากทุกข์จริงไหม
พลิกโลกแค่รู้วางใจ พลิกใจเหนือกาลเวลา
ตื่นรู้ก็รู้อย่างนั้น ใหม่นั้นก็สิ่งเดิมหนา
กิเลสก็คือปัญญา ลวงตาพาตื่นนิรันดร์

ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบ จิตสงบเริ่มหรือจบก็แค่นั้น
สรรพสิ่งเกี่ยวเนื่องอย่างสัมพันธ์ เมื่อคงมั่นย่อมวางเฉยไม่ต่างกัน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา