西元二0一0年 歲次庚寅九月九日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ผลจากเหตุทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น หว่านเมล็ดพันธุ์กรรมตนก่อย่อมตกผล
ไม่กลัวบาปกลัวแต่ต้องยากจน สนองกิเลสอารมณ์ตนทุกข์ท่วมใจ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
จงช่วยตนอย่ารอให้ใครสงสาร สงบเพื่อทำการพร้อมให้เป็นหนึ่ง
ขาตนที่สุดคือสิ่งได้พึ่ง คิดได้พึงหยุดตัดพ้อรอเมตตา
บำเพ็ญเพื่อเรื่องตัวเองหวังบุญคลาย ปัญหาเร่งจังหวะที่ใจหาที่คว้า
การบำเพ็ญผู้เป็นต้องจริงใจมา เกิดปัญญาดีร้ายมีธรรมคุ้มครอง
ตื่นในสติต้องไม่เป็นแค่ชั่วคราว กลัวคนดีย้อนรอยเก่าอนุสัยคล่อง
จังสิ่งดูมองฟังแล้วบารมีหมอง ทำสิ่งใดที่รู้ต้องอย่าเผลอผิด
คนบำเพ็ญอย่าเอารูปมาเป็นภาระ จริยะและปัญญาอันกลั่นดุจสายโลหิต
ปัญญาความฉลาดนั้นต่างตั้งแต่จิต คนหลงนั้นมองคนผิดมีอคติ
อยู่เป็นเชิงชั้นซ่อนเงื่อนระแวงกัน ในแก่นสารการยอมต้องใช้สติ
ใช่โลกนี้จะสุขด้วยคนชำนิ ชีพด้านแปดมืดเพราะมิรู้จักตน
ขัดข้องหากมุ่งมั่นตนเองเป็นใหญ่ ผู้อยู่กับตนไม่ได้ย่อมสับสน
พูดไปผิดนั้นคือไม่อดทน เงียบไปผิดเพราะจนแล้วซึ่งปัญญา
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมร้องเพลง เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เมื่อยก็ไม่เมื่อย)
พูดได้แต่ทำยากนะ บอกไม่เหนื่อยไม่เมื่อยแต่พอร้องสองสามรอบ ก็เหนื่อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งถ้าจะฝืนก็ต้องฝืนให้พอประมาณ อย่าฝืนจนเกินกำลัง ช่วงนี้ใครที่ขายอาหารเจเหนื่อยก็เหนื่อยกันอย่างที่สุด เห็นแล้วก็ขำ นานๆ จะได้เงินสักที หากันจนหน้ามืดตามัวเลยนะ มีใครทำให้เราเหนื่อยทำให้เราเมื่อยได้ไหม (ไม่ได้) แล้วมีใครบังคับจิตใจเราได้ไหม มีแต่ตัวเราเองนั่นแหละที่บังคับตัวเราเอง คนอื่นบังคับก็ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว พอถึงเวลาเราไม่อยากเอาแล้ว เราไม่อยากสนใจแล้ว ปัญหาทุกปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่ท้ายที่สุดก็อยู่ที่ตัวเราเอง เราว่าคนอื่นว่าเขาทำให้เราทุกข์ ทำให้เราเจ็บปวด แต่ถ้าเราไม่หน้ามืดตามัวไปหลงรักเขา เขาจะทำให้เราทุกข์และเจ็บปวดไหม ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุและมีผล ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุดก็คือไม่อยากเสียใจภายหลังว่าไม่น่าเลย ทำทำไมนะ เราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าไม่อยากต้องมาถอนหายใจและเสียใจในภายหลัง ก็จงคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำ
“ผลจากเหตุทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น หว่านเมล็ดพันธุ์กรรมตนก่อย่อมตกผล
ไม่กลัวบาปกลัวแต่ต้องยากจน สนองกิเลสอารมณ์ตนทุกข์ท่วมใจ”
คนบางคนทำทุกอย่างได้ ผิดบาปไม่กลัว เวรกรรมตามสนอง ไม่กลัว กลัวอย่างเดียว กลัวไม่มีกิน กลัวตัวเองอด ฉะนั้นแม้เราจะทำร้ายชีวิตกี่ชีวิต เราก็ฆ่าได้ คนตาดำๆ เราก็หลอกลวงได้ ขอเพียงตัวเองมีเงินอย่ายากจนก็พอ คนอื่นยากจนคนอื่นตายไม่เป็นไรแต่ขอให้ตัวเองไม่ตายถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)
ใครมีอาชีพปลูกข้าว พอใช้ยาฆ่าแมลง แม้ยังไม่ถึงวันเก็บเกี่ยว แต่เผอิญว่าถ้าเก็บเกี่ยวช่วงนี้แล้ว จะได้เงินดี มีสารเคมีตกค้างก็ไม่เป็นไร เก็บเกี่ยวไว้ก่อน ใครเคยทำบ้าง ข้าวยังตากไม่ได้ที่ ยังชื้นๆ อยู่ยังแอบเอาไปขายเลยใช่หรือไม่ จะได้น้ำหนักเยอะๆ ทำอะไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจต้องซื่อตรง หลอกลวงตัวเองได้ ก็แปลว่าหลอกลวงคนอื่นได้ หลอกลวงคนอื่นได้ก็แปลว่าต้องหลอกลวงตัวเองมาก่อน เพราะคิดว่าเขาไม่เห็นหรอก เขาไม่รู้หรอก ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าทำอย่างนั้น ถ้าไม่อยากให้
เวรกรรมมันกลับมาสนองตัวเรา ตัวเราก็อย่าสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดผลร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เวรกรรมมันกลับมาสนองตัวเรา ตัวเราก็อย่าสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดผลร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่หมั่นทำดีย่อมไม่กลัวบาปกรรม แต่คนที่แอบคิดคดทำร้ายไม่ซื่อตรง ย่อมกลัวบาปกรรม ถูกหรือไหม (ถูก) แล้วตอนนี้เรากลัวบาปกรรมไหม (กลัว) นั่นก็แปลว่าแอบคิดคดทำร้าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แล้วเมื่อก่อนทำดีไหม ถ้ามีตาชั่ง วัดระหว่างความดีหรือความไม่ดีของท่าน อันไหนเยอะกว่ากัน (ดีเยอะกว่า) จริงหรือ (จริง) ท่านเคยได้ยินไหมว่าชะตาชีวิตนั้น ถ้าสิ่งใดเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเรา แม้จะบอกว่าจะดีขนาดไหน แต่บางทีถ้ามันไม่ได้เป็นของเรา มันก็ไม่ได้เป็นของเรา ฉะนั้นชะตาชีวิตบางครั้งขัดหูขัดตาขัดใจ นั่นเป็นเพราะเกิดจากการกระทำของเราเป็นผู้ก่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่อยากให้ชะตาชีวิตพ่ายในภายภาคหน้า ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ทำอย่างคนที่รู้จักยั้งคิดและละอายบาปกรรมบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วเราต้องมานั่งเสียเวลาเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่อยากเจอแต่ต้องเจอ แต่บ้างครั้งความทุกข์ก็มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือทำให้คนที่หลงผิดได้ตาสว่าง ทำให้คนที่ลุ่มหลงในโลกใบนี้ได้มองเห็นความเป็นจริงและมีจิตสำนึก จริงไหม (จริง) คนบางคนไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม แต่วันหนึ่งทุกข์ท่วมตัวความทุกข์ท่วมใจ จึงได้สำนึกว่า โอ้บาปกรรมและเวรกรรมมันมีจริงๆ นะ ฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงในโลกใบนี้ ไม่ว่าขาวหรือดำ ก็ล้วนมีคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามานั่งฟังธรรมะ ธรรมะคือรากฐานของชีวิตและสรรพสิ่ง การเข้าใจธรรมะจะทำให้เราเข้าใจชีวิตและสรรพชีวิต เหมือนเราอยากจะเข้าใจต้นไม้สักต้นหนึ่ง ถ้าเราเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของต้นไม้หรือความเป็นจริงของต้นไม้ การที่เราจะปลูกต้นไม้ให้ได้ดั่งใจเราก็เป็นเรื่องง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมนุษย์นอกจากจะอยู่กับชีวิต อยู่กับสรรพสิ่งแล้ว มนุษย์เรายังหนีไม่พ้นต้องอยู่กับผู้คน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราสามารถเข้าใจผู้คนได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเข้าใจไม่ได้มองไม่ทะลุ เราก็เลยเกิดอารมณ์เสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) น่าแปลก
ถ้าเราถามท่านว่า ดอกไม้เก็บตอนไหนถึงจะสวยงาม ผลไม้เก็บตอนไหนถึงจะได้กินอย่างหอมหวาน เรารู้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์อยู่ร่วมกันตอนไหนถึงจะเป็นสุข เรากลับตอบไม่ได้ แปลว่าเราเข้าใจธรรมชาติของผลไม้และดอกไม้มากกว่าเข้าใจชีวิต เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นที่ตอบคำถามเลือกระหว่างดอกไม้ ผลไม้ และคน โดยให้ผู้ดำเนินรายการเป็นตัวอย่าง)
ระหว่างดอกไม้ ผลไม้ และคนๆ นี้ ท่านเลือกใคร (ดอกไม้, ผลไม้, คน) ถ้าถามว่าผลไม้กับดอกไม้เรารู้ว่าตอนไหนควรเก็บผล ตอนไหนควรหยั่งให้เกิดผล ใช่หรือไม่ (ใช่) ดอกไม้ใช้ตอนใดถึงจะเหมาะสม แต่กับคนตอนไหนล่ะจะออกดอกตกผล เราบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันท่าน บางทีไม่ออกดอกไม่ออกผล แต่ออกหนามทิ่มอีก ไม่ใช่หนามทิ่มแทงอย่างเดียว ยังออกทุกข์ให้เราเจ็บปวดอีก” ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถามจริงๆ ถึงเวลา เราเลือกอะไร (เลือกคน) ก็ยังเลือกคน น่าแปลกใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่เราสามารถมองสรรพสิ่งได้ อย่างเช่นผลไม้ดอกไม้เรามองได้ชัด แต่กับคนมองไม่ออก พอมองไม่ออกก็อารมณ์เสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็พูดเสียงดังว่ามันไม่ดี แต่เลือกเขาไหม (เลือก) แต่จริงๆ แล้วพระพุทธะบอกว่า ถ้าสามารถมองออกแล้วมองได้ทะลุเห็นหน้าแล้วเห็นหลัง เห็นหัวแล้วเห็นก้อย เห็นหัวแล้วเห็นท้าย เราจะสามารถอยู่กับเขาและช่วยทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วอะไรละที่มันบดบังตาเรา (กิเลส) อะไรอีก เราให้คิด อะไรที่ทำให้เรามองเห็น ผลไม้แจ่มชัด ดอกไม้ชัดเจน ปลูกตอนไหน ได้ตอนไหน ลงแรงตอนไหน ทำยังไงถึงจะได้ผลได้ดอก เรารู้ แต่กับมนุษย์ที่เราต้องผจญอยู่ทุกวัน มองยังไงก็ไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่) ทำอย่างไรละเขาจะตกผลให้เราได้กิน ทำอย่างไรละเขาจะออกดอกให้เราชื่นใจ อยู่กันไปก็เราก็รู้สึกว่าเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรละที่มันบดบังตาทำให้เรามองคนคนหนึ่งได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง อยู่ร่วมกับเขาทั้งที่น่าจะเป็นสุขแต่กลับกลายเป็นทุกข์ท่วมใจ เห็นแล้วเหมือนไม่เห็น ฟังแล้วเหมือนไม่ได้ยิน รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ รู้ใจแต่มองไม่เห็นหน้าเป็นไหม (เป็น) แล้วอะไรละมันบดบังตา (บุญสัมพันธ์, ขาดสติปัญญา,) บุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ก็ไม่รู้นะ ตอนแรกก็ว่าเหมือนมีบุญสัมพันธ์กันแต่พออยู่ไปอยู่มาก็กรรม ใช่หรือเปล่า อยู่กับเขาหนึ่งวันไหวไหม นี่แหละสิ่งที่บดบังตา (ความอยาก) ความอยากบางทีมันอยากมากเกินไปจนลืมคิดถึงความถูกต้องและเหมาะสม ไปเอาเขามาแล้วดูแลเขาไหวหรือ ใช่ไหม (ใช่) นี่คือเหตุผลอย่างหนึ่งที่บดบังใจของเรา เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม ถึงสุดท้ายก็ต้อง (คืนเขาไป) ฉะนั้นอยากได้ในสิ่งที่ควรอยากดีกว่านะ
(ศิษย์พี่เมตตานักเรียนในชั้นท่านหนึ่ง) ไม่ได้ฟังเลย นี่แหละเรียกว่ามีหูแต่เหมือนไม่ได้ยิน มีตาแต่เหมือนมองไม่เห็น เพราะว่าฟังแต่หัวใจตัวเองจนลืมฟังเสียงรอบข้าง ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่บดบังหัวใจของมนุษย์ทำให้เราไม่สามารถมองคนได้ทะลุปรุโปร่งนั่นคือ ความอยาก อันดับหนึ่งเลยที่น่ากลัวที่สุด บดบังใจแล้วทำให้เรามองคนแล้วเห็นไม่ชัดเจน ผิดถูกไม่สนใจ ก็หนูรักเขาแล้ว อย่างนี้ได้ไหม (ได้)
(ศิษย์พี่เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่าจะเลือกผลไม้หรือเลือกคน)
(คน) ถึงว่า ชีวิตคนจึงไม่หยุดเลย ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้พาเขาไปกินข้าวด้วย เขาอยากอาบน้ำพาเขาไปอาบน้ำด้วย เขายังไม่นอนท่านก็ห้ามนอนด้วยนะได้ไหม ลองแค่วันเดียวดูสิจะดูแลรอดไหม คืนนี้นอนกับท่านด้วย กินน้ำกับท่านด้วย ไปกินข้าวกับท่านด้วย เข้าห้องน้ำกับท่านด้วย ตอนนี้เลือกอะไร (ดอกไม้) อะไรบดบังใจ (กรรม, ใจ, ความไม่รู้, ความไม่รู้จักพอ)
(ความโลก ความโกรธ ความหลง) ทำให้บดบังตาเรา ทำให้มองคนได้ไม่ทะลุ ใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรบดบังใจ (กรรม) แล้วกรรมอะไรล่ะ ที่บังใจเรา ใจแบบไหนล่ะ มีอะไรอีก ศึกษาหรือเรียนรู้แบบผิวเผิน ไม่ใช่หยั่งรากลงลึก ใช่หรือไม่ (ใช่)
(รู้หน้าไม่รู้ใจ) อะไรบังตาเพราะว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ ตอบว่า (อยู่ด้วยกันแล้วถึงรู้ว่าคนนี้เป็นอย่างไร) บางทีตอนแรกสิ่งที่เรารู้นั้น รู้ชัดแล้ว แต่พออยู่ไปนานๆ ตายล่ะเพิ่งรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในตอนแรกเราได้หยกมานะ แต่ที่ไหนได้มันเป็นก้อนกรวด ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนแรกเราคิดว่าเป็นทองล้ำค่า ที่ไหนได้มันเป็นแค่ก้อนหิน แล้วอะไรที่มันบังตาเรา ตัวสำคัญเลย
(อคติ) ก็มีส่วนใช่ แต่ส่วนใหญ่ที่เราเลือกคนคนนี้แล้วทำให้เราเห็นคนคนนี้ไม่ทะลุปรุโปร่ง นอกจากอคติแล้วอะไรละ
(ตัณหา) ตัณหาความยากหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า (ความคิด, ขาดความคิด, ความหลง, รูปลักษณ์ภายนอก) เพราะมัวสนใจรูปลักษณ์ภายนอกจึงลืมมองเนื้อแท้ภายใน ถ้าจะรักคนคนหนึ่ง เขาต้องรักที่จิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่ถึงจะเรียกว่ารักแท้ แล้วตอนนี้เรารักตัวเองแท้หรือเทียม (รักจริง) รักจริงก็ต้องไม่เปลี่ยนตัวเอง ต้องยอมรับในสิ่งที่ต้องเป็นถึงจะเรียกว่ารักจริง ถ้าจะรักคนคนหนึ่ง แล้วจะต้องให้เราเปลี่ยนทั้งตัวอย่างนี้เขารักเราจริงไหม (ไม่จริง) ใช่หรือเปล่า
จริงๆ แล้วสิ่งหนึ่งที่มาบดบังใจของมนุษย์มากที่สุดก็คือความรู้สึกดี พอรู้สึกดีกับใครแล้วอะไรที่ร้ายๆ ก็มองไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่) ใครจะพูดว่าเขาไม่ดีอย่างไร เราก็บอกว่าไม่จริงหรอก เขาดี จะพูดมากขนาดไหนเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) เพราะคิดว่าเขาดี ใช่หรือไม่ ฉะนั้นบางครั้งความรู้สึกดีก็บดบังใจทำให้เราตาบอดได้ ในทางตรงกันข้าม ความรู้สึกเกลียดก็บดบังใจเราทำให้เราไม่อยู่กับความเป็นจริงได้ ไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเพราะว่าพอเกลียดแล้วเอาไหม (ไม่เอา) จะมองเห็นได้ชัดไหม ก็ไม่ยอมมอง พอเกลียดมากๆ เข้า อยู่ร่วมกันก็เลยกลายเป็นคนขาดคุณธรรม เกลียดเขาแล้ว ไม่เห็นต้องดีกับเขา ด่าเขาเลย นินทาเขาเลย แต่ในทางตรงกันข้าม พอรักแล้วเราลืมตัวไหม (ลืม) เราเผลอผิดไหม (เผลอ) เรายอมอะลุ้มอะล่วยจนกลายเป็นคนไม่มีกรอบในตัวเอง รักหรือชอบจนทำให้เขาเสียคน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันแล้วมองกันไม่ได้ทะลุปรุโปร่ง นอกจากรัก โลภ โกรธ หลงแล้วก็คือ ความรู้สึกดีๆ และความรู้สึกแย่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะความรู้สึกดีก็ทำเราตาบอด ก็กลายเป็นคนพลั้งผิดง่ายๆ ความรู้สึกแย่ก็ทำให้เราไม่ยืนอยู่บนความเป็นจริง
ฉะนั้นจึงไม่สามารถใช้ชีวิตที่ฟ้าให้มาได้อย่างเหมาะสมควรค่าแก่การมาจากฟ้า ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ทุกข์บ้างสุขบ้าง มองอะไรไม่เคยทะลุปรุโปร่ง เราจึงอยากบอกว่า อยู่กับคนในโลก เมื่อไหร่ที่ท่านสามารถมองได้ทะลุ จะไม่มีคนใดที่น่าโกรธ น่าเกลียด แต่เพราะเรามองคนไม่ทะลุ เราจึงยังมีคนที่เกลียดและคนที่รัก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อมีโทสะแล้วไม่บันดาลโทสะคนนั้นถึงจะสลายเภทภัย เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นแล้วเจอภาวะบีบคั้นทำให้รู้สึกแย่ ถูกใส่ร้ายป้ายสีทำให้รู้สึกหดหู่ใจ แต่เราไม่ตอบโต้ คนคนนั้นจะสามารถสลายหนี้กรรม เพราะได้สร้างคุณธรรมให้เกิดในชีวิตของตนเอง แค่ชั่วขณะหนึ่งเองนะ เราอยู่กับคน ถ้าเราไม่รัก ไม่โกรธ รู้จักให้อภัย และมองให้ทะลุ จะสามารถสลายเภทภัย ชำระหนี้กรรมและค้นพบคุณธรรม นี่คือการอยู่ร่วมกัน แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่สามารถมองคนได้ทะลุ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นสร้างกรรม ก่อเวรและเภทภัยที่นำไปสู่ความทุกข์อันไม่จบสิ้น
เห็นไหมว่าบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แค่มองคนให้ทะลุ เราก็สามารถเข้าถึงธรรม ชำระบาปหนี้เวรกรรม และสลายเภทภัยได้ แค่นี้เองยากไหม (ไม่ยาก) ขอเพียงรู้จักมีสติยั้งคิด อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยู่ในโลกหนีไม่พ้นมีคนที่เรารักและมีคนที่เราเกลียด แล้วเรามีคนรักหรือคนเกลียดมากกว่ากัน (รัก) นับได้เลยว่าคนรักกี่คน คนเกลียดนับไม่ถ้วน แต่เราอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วคนที่ท่านเกลียดนั่นแหละต้องขอบคุณ แต่ก่อนเกลียดเคยขอบคุณเขาไหม (ไม่เคย) แค่หางตายังไม่อยากมอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมเราบอกว่า คนที่เราเกลียดมากที่สุด เราต้องขอบคุณมากเท่านั้น เพราะเมื่อเรายิ่งอยู่ใกล้คนที่เราเกลียดมากเท่าไรเรายิ่งเห็นความแตกต่างมากเท่านั้น ขึ้นชื่อว่ามนุษย์พออยู่ในโลกย่อมมีการแบ่งแยกใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่เมตตาวาดรูปสี่เหลี่ยมบนกระดาน แล้วแบ่ง ๒ ส่วน)
ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อแบ่งแยกด้านสีดำคือ ด้านที่เราไม่ชอบ ด้านสีขาวคือด้านที่เราชอบ ด้านสีดำคือด้านคนที่น่ารังเกียจ ยิ่งเขาน่ารังเกียจมากเท่าไรนั้น เรากลับก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกด้านหนึ่งเรายิ่งรักเขามากขึ้น ใช่หรือไม่ หรือถ้าพูดอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราบอกว่ายิ่งเขามืดมากเท่าไหร่ เลวร้ายกับเราและไม่ดีมากแค่ไหน ด้านนี้ก็ยิ่งขาวขึ้นโดยทันที แต่ถ้าคนนี้เขาเป็นคนธรรมดาที่เราไม่เกลียด เขาก็ไม่รู้ว่าเรามีดีอะไร จริงหรือไม่ (จริง) จนกระทั่งเขาทำอะไรที่เรารู้สึกรังเกียจ ยิ่งเขารังเกียจมากเท่าไหร่ ยิ่งเขาทำไม่ดีกับเรามากเท่าไหร่ แต่ถ้าเราประคองรักษาใจไม่ให้ตามเขาไปเราก็ยิ่งขาวขึ้น ขาวขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไร ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเจอคนที่รังแกเรามากเท่าไหร่ เจอคนด่าเรามากเท่าไหร่ เจอคนดูถูกเรามากเท่าไหร่ อยู่เฉยๆ อดทนไว้ ขันติไว้ เราจะยิ่งขาว ใส บริสุทธิ์ แล้วสักวันหนึ่งเราจะบอกว่า ขอบคุณ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นจำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำผิด แล้วมีเรื่องขัดเคือง ทำดีแล้วมีคนบ่นต่อว่า อดทนและแบกรับให้ได้ นอกจากจะทำให้เรายิ่งขาวแล้ว กลับจะทำให้เรามีวาสนาที่ยิ่งใหญ่ เวลาทำดีแล้วไม่ได้ดีตอบ แต่เรายังทำดีต่อไปเรื่อยๆ แม้จะโดนคนว่า โดนคนด่า แม้ไม่ได้บุญกลับมา แต่ฉันก็ยังพากเพียรทำไปเรื่อยๆ คนนั้นจึงจะได้ชำระหนี้บาปเวร ฉะนั้นจำไว้เลยว่า คนที่น่ารังเกียจ คนที่เป็นมารในชีวิต คนที่ชอบทำร้ายจิต ทำร้ายใจ ขันติไว้ อดทนไว้ เสียเปรียบไว้ ท่านจะได้วาสนา ท่านจะได้ชำระหนี้กรรม และท่านจะได้ขาวอย่างที่ไม่เคยขาว ฉะนั้นควรขอบคุณเขาไหม (ควร) ฉะนั้น เราอยู่ในโลก เจอคนไม่ดีขอให้อดทน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราต่อกรกลับ เมื่อนั้นวาสนาไม่มีวันได้ กรรมไม่มีวันชะล้าง แล้วความขาวไม่มีวันกลับคืนสู่หัวใจ คิดให้ดีๆ นะ เจอคนไม่ดีอย่าทำแบบนี้ รู้จักถอยไหม รู้จักยอมไหม ถ้าถอยได้ยอมได้ บุญวาสนาก็เกิดได้ หนี้กรรมก็ชำระล้างได้ ความขาวความใสก็เกิดได้ จริงหรือเปล่า (จริง)
ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะ มาเพื่อเรียนรู้เข้าใจชีวิตอีกด้านหนึ่งที่ท่านไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์น้องทุกคนไม่อยากเป็นคนเสียเปรียบ ไม่อยากเป็นคนที่ต้องยอมคน แต่ศิษย์พี่อยากจะบอกว่าการยอมเสียเปรียบและรู้จักยอมคนนั่นแหละ ทำให้คนเป็นยอดคน ทำให้คนได้ค้นพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริง หรือเรียกว่าบำเพ็ญธรรม พบธรรมในตน แต่มนุษย์ไปไม่ถึงธรรมะเพราะรู้สึกว่าการยอมทำให้ตัวเองต่ำเตี้ย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำไมต้องให้ยอมเรื่อยเลย เหนื่อยแล้วนะ ยอมทีก็โดนก็กดเอาๆ ไม่เคยได้โผล่หัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) ก็ทนหน่อยเถอะ เพราะกดจนถึงที่สุดแล้ว อย่าลืมว่าสิ่งที่ต่ำหนุนนำสิ่งที่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งสูงยิ่งหนาว แม้นิสัยของมนุษย์อยากอยู่เด่นๆ แต่ยิ่งมีเกียรติยิ่งเด่น คนก็นินทาว่าร้าย พอมีเกียรติมีความเด่นคนก็อิจฉาตาร้อน ดังนั้นเป็นคนบำเพ็ญธรรมรู้จักอยู่ต่ำก็ได้สูงก็ดีไม่ดีกว่าหรือ ไม่ใช่สูงได้แต่ต่ำไม่เป็น อย่างนั้นน่ากลัวยิ่งนัก แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ฉันแก่แล้วฉันอายุมากแล้วเรื่องอะไรฉันต้องยอมเด็ก ใช่หรือเปล่า ยอมบ้างจะเป็นอะไรไป เพราะการรู้จักยอมจะทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อเราลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน อัตตาไม่มี ความทุกข์ก็ยากจะบังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการที่มนุษย์บำเพ็ญธรรมไม่ถึงธรรมก็เพราะไม่ยอมลดความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน
เหมือนการมานั่งฟังแล้วรู้สึกว่าข้าใหญ่ เราเป็นอย่างนั้นไหม ไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่รู้ แต่ฉันรู้แค่อย่างเดียวว่า ฉันก็แน่เหมือนกัน แล้วจิตใจอย่างนี้จะน้อมนำให้เกิดคุณธรรมในหัวใจได้ไหม ไม่มีทางได้ แต่จิตใจที่รู้จัก อะลุ้มอล่วย รู้จักอ่อนน้อมผ่อนปรนต่างหาก จึงจะสามารถเข้าถึงธรรมได้อย่างถ่องแท้ แล้วการจะเข้าถึงธรรมได้ยังมีอีกอย่างหนึ่ง คือต้องรู้จักลดความอยากบ้าง เพราะใจของมนุษย์เป็นเหมือนทะเลที่ถมไม่มีวันเต็ม อยากไม่มีวันหยุด เมื่ออยากเรื่อยๆ เราจะรู้จักยอมคนได้ไหม (ไม่ได้) ในเมื่อฉันก็ยังอยากชนะ ทำไมฉันต้องแพ้อยู่เรื่อย ฉะนั้นต้องรู้จักลดอยากบ้าง
การจะเข้าถึงธรรมจึงมีสองอย่าง คือยอมต่ำเป็น และยอมหยุดอยากบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่มีวันเข้าถึงธรรม หรือดังคำกล่าวที่ว่า “สละทรัพย์เป็นทานไม่สู้สละกายเป็นทาน สละกายเป็นทานไม่สู้สละหัวใจเป็นทาน สละใจเป็นทานไม่สู้สละชีวิตเป็นทาน สละชีวิตเป็นทานไม่สู้สละจิตวิสัยเป็นทาน” จิตวิสัยก็คือจิตที่เต็มไปด้วยกิเลส อนุสัย อารมณ์ที่นอนเนื่องอยู่ในหัวใจ ศิษย์น้องทุกคนชอบทำบุญทำทาน ทำทานแล้วหวังบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้ไม่ค่อยมีบุญหรอกนะ แต่ถ้าทำทานแล้วลดความตระหนี่ ลดความเห็นแก่ตน ลดความอยาก นี่แหละได้บุญบริสุทธิ์ แถมได้กุศลไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ช่วงที่ทำท่านลดตระหนี่ ลดอัตตาตัวตน ลดความเห็นแก่ตนเพื่อปล่อยวาง นั่นแหละคือช่วงที่สามารถสละทานแล้วได้สละใจ สละกาย สละชีวิต และสละจิตวิสัย
ฉะนั้นจะทำทานทั้งทีต้องให้ไปถึงที่สุด ทำทานอย่าหวังผล ทำทานเพราะอะไร การทำทานเพื่อลดความตระหนี่ ลดความอยาก ลดความเห็นแก่ตน เพราะพอมีเงินก็อยากได้นั่นอยากได้นี่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าไม่มีเงินไม่เป็นไร สละแรงกายเป็นทานได้ เพราะว่าถ้าเอากายไปหาเงินก็เห็นแก่ตัว ต้องกลายเป็นคนที่ไม่เห็นใคร แต่ถ้าเอาเวลาสละแรงกายนั้นมาช่วยเหลือคน ก็ทำให้เราลดความเห็นแก่ตัว ลดอัตตาที่พอกพูนในใจ เพื่อให้จิตใส ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำงานไป จนคนอื่นบ่น ทำแบบนี้แบบนั้น อย่างนั้นอย่างนี้สิ อย่างนี้ไม่ลดจิตวิสัยในหัวใจ แต่ถ้าทำไปแล้วโดนคนว่า ดีแล้วที่เอากิเลสออกไปบ้าง เอาความโกรธออกไปเลย สลัดไป ทำไปก็ไม่โมโห ไม่โกรธ มีแต่ยิ้มแย้ม ใครด่าฉันก็ยิ้ม ยิ่งด่าฉันยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งด่าฉันยิ่งได้ใช้กรรม ยิ่งด่าฉันยิ่งได้วาสนา ฉะนั้นจำไว้ เพราะเมื่อเราจะทำอะไรจะต้องไปให้ถึงที่สุดจริงไหม (จริง)
วันนี้เราก็กลับแล้วนะ เรารู้ว่าพูดไปจนถึงที่สุด ย่อมมีคนไม่รู้เรื่อง ทำไมเราต้องบำเพ็ญ เพราะการบำเพ็ญ คือการเข้าใจชีวิต และจิตใจของตน นอกจากจะเข้าใจชีวิตจิตใจของตนแล้ว เรายังสามารถเข้าใจชีวิตจิตใจของผู้อื่น แล้วสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว มนุษย์หนีไม่พ้นต้องอยู่ร่วมกับคน แล้วเราจะอยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นสุขได้อย่างไร ถ้าเรายังมองเขาได้ไม่ทะลุ เมื่อมองไม่ทะลุ ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ แล้วมองอย่างไรล่ะ ถึงจะทะลุ ก็ต้องมองอย่างคนที่ไม่มี ความอยาก ไม่มีความรัก และต้องไม่มีความเกลียดมาบดบังใจ แต่ทำไมเราทำไม่ได้ ก็เพราะมนุษย์ยังอดที่จะอยากไม่ได้ ยอมไม่ได้ก็เลยไปไม่ถึงธรรมเสียที ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เราก็มาพูดเพียงเท่านี้ เรามาอย่าหวังว่าเราจะให้เลขสองตัว อย่าหวังว่าจะมารักษาโรค เพราะจริงๆ แล้วความเจ็บป่วยทำให้เรารู้จักปลงและปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่) เจ็บป่วยเพื่อปล่อยวางและปลงสังขาร กายเจ็บใจไม่เจ็บ นั่นถึงจะเรียกว่ามีโรคแล้วโรคทำให้เกิดความพ้นทุกข์ พ้นทุกข์ทางใจประเสริฐกว่าพ้นทุกข์ทางกาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีโรคมาไม่ต้องกลัว ถึงเวลามันก็ทำให้เจ็บได้ ถึงเวลาฉันก็ต้องปลงได้ ถึงเวลารักษาเต็มที่แล้วมันไม่หายก็ต้องทำใจปล่อยวางใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตด้วยหัวใจแห่งผู้มีธรรมะ แล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตที่ฟ้าให้มานั้นท่านทำเต็มที่และกลับคืนฟ้าได้อย่างเต็มที่ กลัวอย่างเดียวมนุษย์เกียจคร้าน แม้จะมาจากฟ้าก็กลายเป็นคนที่ไม่สมควรจะกลับคืนฟ้าเลย เพียงเพราะว่าเกียจคร้านแค่นั้นเอง รักแต่ตนแต่ไม่เคยรักใคร น่าเสียดายนะ เกิดเป็นคนทั้งทีคุณค่าที่ประเสริฐที่สุดคือการเดินไปให้ถึงซึ่งคุณธรรมอันประเสริฐ ที่ไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่อยู่ในตัวเรา หาใช่ที่อื่น อย่ามัวแต่จับผิดคนอื่น อย่ามัวแต่ว่าคนอื่น ไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ 
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
หลงตัวเองคนเขาก็รังเกียจ ทำหน้าเครียดคนเขาก็ไกลห่าง
เห็นแก่ตัวคนเขาก็เกลียดชัง ชอบเบียดบังคนเขาก็ประณาม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานอิ่มไหม
คนอ่อนน้อมมีสัมมาคารวะ รู้จังหวะจะโคนยามปราศรัย
คิดก่อนที่จะกล่าวคำสิ่งใด ไม่ทำร้ายน้ำใจใครสักที
ทักทายคนก้มน้อมสักเจ็ดสิบองศา ใช้วาจาสุภาพดังเบาพอดี
มีรอยยิ้มประทับใจยามพาที ไม่เลือกที่ปฏิบัติกับผู้ใด
จะหน้าหลังอย่างไรไม่ต่างกัน ไม่ใช่การแสดงให้สุขสันต์
ฝึกอ่อนน้อมสุภาพชนด้วยตั้งใจ โดนยั้งไม่ตอบโต้ด้วยความไม่ดี
คนอ่อนน้อมไม่พูดจาอ้อมค้อม คนอ่อนน้อมไม่พูดเร็วพูดถี่
ทั้งไม่พูดช้าจนเกินพอดี เนื้อความมีสาระความจริงใจ
เว้นคำพูดหยาบกระด้างไร้แก่นสาร พูดบีบคั้นใจใครคนทั้งหลาย
พูดโกหกพกลมชวนวุ่นวาย คำพูดปลายธงไร้สัจธรรม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กินข้าวอิ่มไหม (อิ่ม) อิ่มจริงหรือเปล่า (จริง) กินไม่เลือกเลยหรือเปล่า น่ากลัวนะ มีคนเขาบอกว่าลิ้นของมนุษย์สั้นๆ แต่ตวัดได้ทั่วโลกเลย บนฟ้าก็ตวัดลงมาได้ ใต้น้ำลึกขนาดไหนก็ยังคว้าขึ้นมาได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เกิดเป็นคน บุญก็ไม่ค่อยจะสร้างแต่บาปและเวรกรรมสร้างเอาสร้างเอา ใช่ไหม (ใช่) กลัวไหม (กลัว) พุทธะโบราณจึงกล่าวไว้ว่า “เกิดเป็นคนสิ่งที่ต้องระวังให้จงหนักก็คือการดำเนินชีวิต” ควบคุมกายใจของตนให้ดี เพราะอารมณ์ชั่วแล่นก็ทำให้คนตายทั้งเป็นมาได้หลายครั้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะความคิดผิดแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ได้หลายครั้งเฉกเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” เราจะพูดเราจะทำอะไรโดยไม่ระวังไม่ได้ นึกอยากจะพูดก็พูด นึกอยากจะทำก็ทำโดยไม่สนใจใคร คนอื่นช่างประไร ชีวิตของฉัน สนใจแค่ให้ตัวเองมีความสุข ได้ไหม (ไม่ได้)
เมื่อวานพระนาจามาบอกว่าคนอื่นปฏิบัติต่อเราไม่ดีขนาดไหน แต่ถ้าเรารู้จักให้อภัยไม่ถือโกรธ เรายังสามารถละลายหนี้บาปเวรกรรมได้ สามารถสร้างบุญวาสนา แปรเภทภัยให้เป็นบุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่วันนี้อาจารย์จะมาพูดอีกอย่างหนึ่ง เขามาทำเรา เราให้อภัยไม่จองเวร นี่เป็นธรรมอันเก่าแก่ แต่สิ่งที่ศิษย์ไปทำเขา เคยคิดไหม (ไม่) สิ่งที่ตัวเราพูดแล้วไปทำร้ายเขา เราบอกว่าฉันจบแล้ว ฉันลืมไปแล้ว ช่างมันเถอะ แล้วคนอื่นเขาช่างมันกับเราไหม (ไม่) อาจารย์ถามง่ายๆ นะ มีคนๆ หนึ่งเดินมาด้วยความโมโห แล้วตบหน้าศิษย์ หน้าหันเลย แล้วก็ไป จะโกรธไหม (โกรธ) ศิษย์บอกโกรธ ถ้าเกิดวันหนึ่งเขากลับมาแล้วเขาบอกว่าขอโทษนะ อย่าถือสา จบกันนะ เราอภัยไหม (อภัย) จริงหรือ ทั้งที่สองสามวันมันยังชา วันนี้ก็ยังชาอยู่เลย ใช่ไหม (ใช่) แต่ไม่ต้องทำถึงขนาดต้องเจ็บตัวหรอก แค่เขาด่าไอ้หัวล้าน โกรธไหม (โกรธ) พูดดูถูกเหยียดหยามว่าไอ้ยาจก ฉันรวยกว่าแก เราโกรธไหม (โกรธ) ถ้าเขาบอกว่าขอให้แล้วกันไป ช่างมันเถอะ ฉันก็พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ ให้อภัยไหม
แล้วอะไรเรียกว่า “ก่อเวร” และอะไรเรียกว่า “จองเวร” ศิษย์เคยรู้ไหม ว่าเวรเกิดขึ้นได้อย่างไร คนบางคนคิดว่าพูดแล้วทำไปแล้วช่างมันเถอะ ขอโทษคำเดียวก็จบ แต่ศิษย์แน่ใจหรือว่าศิษย์จบแล้วเขาจะจบด้วยไหม แล้วคนก็ผูกเวรก่อเวร เพราะบางคนไม่จบ บางคนที่ศิษย์ไปทำเขาหรือบางอย่างที่ศิษย์ไปทำเขา ศิษย์ก็ไม่ได้ขอด้วยนะ แต่ฝืนใจเขาด้วยการเอามาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาชีวิตเขาด้วย แล้วเขาจะให้อภัยศิษย์เพียงแค่ขอโทษไหม จะยอมจบกับศิษย์แค่ขอโทษไหม เกิดเป็นคนนะศิษย์ไม่ใช่แค่คนอื่นมาทำกับเราแล้วเรารู้จักให้อภัยไม่ถือโกรธ ไม่ใช่มีแค่นี้ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนยังมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งก็คือ การที่ตัวเราไปกระทำกับผู้อื่น แล้วเขาจบกับเราไหม ถ้าเขาไม่จบศิษย์ก็ต้องมาชดใช้ แล้วถ้าเขาไม่จบแค่ชาติเดียว ศิษย์ก็ต้องใช้แล้วใช้อีกจนเขาสาแก่ใจ ศิษย์ตบหน้าเขาทีหนึ่ง อะไรเรียกว่าเวรและอะไรเรียกว่าผูกเวร เรารู้หรือยัง เรารู้บุญ เรารู้บาป แต่เรารู้เวรรู้การผูกเวรหรือยัง วันนี้อาจารย์จะมาคุยตรงนี้ ดีไหม (ดี)
อย่าคิดว่าชีวิตนี้จบแล้วจบกัน ถ้าศิษย์ไปก่อเวรก่อกรรมกับใคร แค่พูดเท่านั้นนะศิษย์ บางคนแค้นฝังใจเลย ชาตินี้ชาติไหนฉันก็ต้องเอามันกลับ แล้วศิษย์อยากเจอเขาไหมล่ะ ศิษย์ไม่อยากเจอหรอก แต่เขาอยากเจอศิษย์ ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าศิษย์ทำเขา แต่เขาจำได้ อย่าคิดว่าเกิดเป็นคนจบแล้วก็จบกัน ทำบุญก็พอแล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือการมีชีวิตอยู่เราสร้างเวร ผูกเวรก่อกรรมกับใครไว้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องมาชดใช้ในสิ่งที่ศิษย์ไม่อยากชดใช้เลยก็ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ยิ่งทำบุญน้อยๆ อยู่ จะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกไหม
“หลงตัวเองคนเขาก็รังเกียจ ทำหน้าเครียดคนเขาก็ไกลห่าง
เห็นแก่ตัวคนเขาก็เกลียดชัง ชอบเบียดบังคนเขาก็ประณาม”
เราชอบทำหน้าเครียดไหม (ไม่) เราหลงตัวเองไหม (ไม่) ที่กล้าพูดว่าคนอื่นไม่ดีแล้วนินทาว่าเขา เพราะคิดว่าตัวเองดี ใช่หรือไม่ (ใช่) คนเราถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ดี จะไม่มีวันว่าคนอื่นไม่ดีเหมือนกัน เพราะรู้ว่าเขาก็ไม่ดีเราก็ไม่ดี แต่เมื่อไหร่ที่พูดนินทาคนอื่นว่าไม่ดี แปลว่าหลงตัวเองว่าดี คนดีเขานินทาคนอื่นไหม (ไม่นินทา) แล้วคนดีเขาเอาเรื่องของคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ไหม (ไม่) แต่เราทำไหม (ทำ) คิดให้ดีๆ นะ ตัวเราเองยังไม่ชอบเลยให้ใครมาว่าเราลับหลัง แล้วทำไมเราถึงชอบว่าคนอื่นลับหลังเมื่อรู้สึกผิด ก็ยังอยากให้คนให้อภัย ไม่อยากให้จำฝังใจ ใช่ไหม (ใช่) แต่เราล่ะจำฝังใจใช่หรือเปล่า ฉะนั้นในใจเราจึงมีแต่ขยะของคนอื่น
ศิษย์พี่นาจาทิ้งเรื่องอะไรไว้ให้ใครจำได้บ้าง (การไม่จองเวร, การไม่เบียดเบียน) การไม่เบียดเบียน การให้อภัย ยังมีคนจำที่อาจารย์พูดได้ไหม (ได้) อาจารย์บอกไว้ว่า คนในโลกนี้เขาปฏิบัติไม่ดีต่อเรา ถ้าเรารู้จักสลายสิ่งที่ไม่ดี เราก็สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเราให้กลายเป็นไม่โกรธ เปลี่ยนเป็นสลายเภทภัย เปลี่ยนเป็นบุญวาสนา และเปลี่ยนเป็นการชำระหนี้กรรมแทนได้ ถ้าเขาปฏิบัติไม่ดีต่อเรา แต่เราอดทนไม่โต้ตอบ ให้อภัยไม่ถือโกรธ เราจะแปรสิ่งร้ายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่อยู่แค่นี้ สิ่งที่น่ากลัวที่มนุษย์ต้องพึงระวังมากที่สุดนั่นก็คือ การที่เราปฏิบัติตัวต่อเขา แล้วปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะไม่ให้เป็นการจองเวรจองกรรม อะไรเรียกว่า “เวร” อะไรเรียกว่า “ผูกเวร” เวรมีอยู่ห้าประการ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิด ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุรา ถ้าเราสามารถรักษาศีลทั้งห้านี้ได้ เราก็จะได้ไม่ต้องก่อเวร ถูกหรือไม่ (ถูก) คนถ้าไม่รู้จักเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มีเมตตาอยู่ภายในหัวใจ เราจะว่าใครให้เจ็บปวดไหม จะเอาของใครมาเพื่อความสุขของเราไหม (ไม่) แต่มนุษย์เพียงเพื่อมีเงินเยอะๆ เรายอมโกหกคน เพียงเพื่อได้กินตามใจลิ้นเรายอมเบียดเบียนฆ่าสัตว์ เพียงเพื่อตัวเองขายได้มากกว่าคนอื่นเรายอมโกหกเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดว่าเราทำแค่นี้ เดี๋ยวเอาเงินนี้ไปทำบุญ อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์ทำกับเขา ศิษย์บอก โอ๊ย อาจารย์เขาลืมไปแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งเขารู้ แล้วเขารู้สึกว่าจำได้ เมื่อเขาจำได้แล้วเขาบอกว่าเขาผูกใจเจ็บ ศิษย์จำได้ไหมในหัวใจศิษย์ ใครทำดีกับศิษย์มีเท่าไหร่ มักจำไม่ค่อยได้ แต่ใครด่าว่าศิษย์กี่ครั้งศิษย์จำได้ เขาเรียกว่าผูกใจเจ็บหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าผูกเวรกรรม ฉะนั้นศิษย์เข้าใจหรือยัง อะไรเรียกว่าเวร อะไรเรียกว่าผูกเวร แล้วผูกเวรนั้นแม้ศิษย์จะทำดีกับเขาอีกสักเท่าไหร่ แต่ถามว่าในหัวใจศิษย์นั้น ยังจำที่เขาด่าศิษย์ได้ไหม (ได้) ยังจำที่เขาเหน็บแนมศิษย์ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกว่า อาจารย์ “ศิษย์ผิดไปแล้ว ศิษย์ขออภัยเขาแล้วคงจบกัน” ไม่ใช่ ในหัวใจศิษย์ยังลืมไม่ลง แล้วในหัวใจของคนที่ไปทำกับเขา เขาลืมลงหรือเปล่า โดยเฉพาะชีวิตที่ศิษย์ไปเอาเขามา ไปกินเขามา ไปเบียดบังทำร้ายเขามา ไปฆ่าลูกพรากแม่เขามา เอาเขามาทั้งชีวิต เอาทั้งเลือด เอาทั้งกระดูก เอาทั้งเนื้อ เอาทั้งหนัง เขาจะจบกับศิษย์ง่ายๆ ด้วยคำว่า “ขอโทษ ผิดไปแล้ว” ไหม (ไม่) ฉะนั้นพุทธะจึงบอกว่า พุทธะเกิดได้ตอนความคับขัน แต่ปีศาจพญามารเกิดได้ตอนความราบรื่นสะดวกสบาย
ศิษย์บอกว่า อาจารย์ให้ศิษย์ไม่กินเนื้อสัตว์ กินเจ กินหญ้า กินลำบากหากินยาก แต่ถ้ายอมผ่านความลำบากคนนั้นแหละเรียกว่าพุทธะ แต่ถ้าปล่อยตัวเองตามสะดวกสบายคนนั้นแหละเรียกว่าปีศาจในคราบมนุษย์ คนที่มีหัวใจมาร จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเราอย่าคิดว่ามีชีวิตอยู่ คิดจะพูดก็พูด คิดจะทำก็ทำไม่เป็นไร เพราะถ้าเกิดคนที่ฟังศิษย์พูด เขารู้สึกผูกใจเจ็บไม่ยอม และจำศิษย์ได้ ศิษย์จะต้องกลับมาชดใช้กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอำนาจของกรรมเหนือกว่าอำนาจของสติปัญญา พลังแห่งกรรมนั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเท่ากับแรงแห่งกรรมในโลกนี้
มนุษย์บอกว่าสามารถมีสติปัญญาเหนือกรรมได้ ไม่จริงหรอก ถ้าสติปัญญาสามารถเหนือกรรมได้ ศิษย์คงไม่เห็นปราชญ์บัณฑิตต้องมีชีวิต
อาจารย์ยังต่ออีกว่า เมื่อเวลาเราอยู่ร่วมกับคน พูด ทำ คิด ต้องระวัง ไม่เช่นนั้นจะก่อเวรก่อกรรมโดยไม่รู้ตัว แล้วพูด ทำ คิดอย่างไรล่ะ นึกจะพูดก็พูด พูดไปไม่ต้องสนใจว่าตัวเองทำหรือเปล่า เช่นนั้นไหม นี่แหละเรียกว่ายังเป็นมนุษย์ อยากจะโลภ อยากจะโกรธ อยากจะหลง ก็ปล่อยไปตามใจ ไม่ต้องสนใจใครขอตัวเองมีความสุข นี่ก็ยังเรียกว่าก่อเวรกรรมไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเปลี่ยนได้อย่างไรล่ะ เปลี่ยนได้ด้วยการเปลี่ยนที่หัวใจเรา มั่นคงใฝ่ดีไหม พูดแล้วรักษาคำพูดหรือเปล่า เมื่อจะทำอะไรขอให้คิดถึงเหตุผล ที่จะไม่ก่อให้เกิดกรรมทั้งแก่ตนและแก่เขา ถ้าทุกขณะชีวิตศิษย์คิดอยู่สามอย่างนี้ คำพูด พูดแล้วต้องทำให้ได้ ทำแล้วต้องระวังคำพูดด้วยเสมอๆ แล้วมีชีวิตใฝ่ดีอย่างมั่นคง ทุกขณะที่กระทำไม่ก่อเหตุให้เป็นกรรมเกี่ยวกับใคร และกับตนเอง นี่แหละศิษย์สามารถหยุดยั้งเวร ไม่สร้างเวรกรรมต่อได้ ยากไหม (ไม่ยาก)
อย่าลืมนะ อาจารย์บอกไว้ พุทธะเกิดใต้ภาวะฝืนขัด พญามารเกิดใต้ภาวะสะดวกสบายราบรื่น อยากเป็นพุทธะหรืออยากเป็นพญามาร (อยากเป็นพุทธะ) อย่างนั้นก็ยอมฝืนขัดตัวเองบ้าง ยอมไหม (ยอม) พูดน้อยหน่อย ทำอะไรคิดมากหน่อย ย่อมไม่ก่อเวรก่อกรรมกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์จะเริ่มหันมาไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ใช่ไหม (หัวเราะ) หัวเราะอย่างนี้แปลว่าอะไร
อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามศิษย์หน่อยนะ แล้วอยู่ในโลกนี้ฆ่าอะไรแล้วเป็นผู้ประเสริฐ (ฆ่าใจตัวเอง) อาจารย์บอกว่าอย่าฆ่าเพราะการฆ่าเป็นการก่อเวร แต่มีฆ่าอย่างหนึ่งที่ฆ่าแล้วประเสริฐทำให้คนเป็นคนประเสริฐขึ้น (ฆ่ากิเลส) กิเลสตัวไหนอยากฆ่าก่อนที่สุด (ความหลง) หลงตัวเองหรือว่าหลงเงินหรือหลงแฟน (หลงตัวเอง) (ฆ่าความโลภ) อยากได้ไม่เคยพอสักทีใช่หรือไม่ (ฆ่ากิเลส, ตัณหาและราคะ) วัยนี้ยังมีราคะอีกหรือ ยังมีตัณหาอยู่ใช่ไหม ความอยาก ฆ่าอะไรดี (ฆ่าความเกลียด, ความโกรธ, ความหลง) แต่ต่อไปจะเปลี่ยนเป็นความเมตตาแทน ใช่หรือไม่ (ฆ่าความโกรธ) ฆ่าความโกรธทิ้ง ฆ่าแล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีก (ฆ่าความอยาก, ความโลภ, ความหลง, ฆ่าในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง) เยอะจนไม่รู้จะเลือกตัวไหนดีใช่หรือเปล่า เลือกมาแค่ตัวหนึ่งก่อนก็ได้ (ฆ่ากิเลสที่ทำให้เราทุกข์) ฆ่าความคิดฟุ้งซ่านดีกว่านะ (ฆ่ากิเลสในใจของมนุษย์) กิเลสในใจของมนุษย์ กิเลสตัวไหนที่อยากจะฆ่าเร็วที่สุด ฆ่าก่อนสุด (ฆ่าความอยาก) แล้วอยากได้แอบเปิ้ลจากอาจารย์ไหม (อยากได้) อย่างนั้นฆ่าทิ้งดีไหม ฆ่าความอยากที่ไม่เคยพอใช่ไหม (ฆ่าความหลง) หลงตัวเองไหม หรือว่าหลงเงิน หรือว่าหลงแฟน (ฆ่าความไม่รู้จักพอ) ให้เปลี่ยนเป็นรู้จักพอบ้าง (ฆ่าความโกรธ, ความโลภ, ความหลง) เอาตัวเดียวก่อนที่ศิษย์เป็นบ่อยๆ ฆ่าความขี้บ่นใช่ไหม ฆ่าความหงุดหงิดดีไหม (ฆ่าความอยากออกจากใจ) รู้จักพอบ้างหรือยัง ตอนนี้กินกันยังไม่ค่อยจะพอกินเลย ใช่ไหม ก็ต้องรู้จักขยันปลูกผักสวนครัวในบ้าน แม้ข้าวจะปลูกไม่ได้ผลก็ยังมีผักกินในบ้าน ใช่ไหม
(ฆ่ากิเลสที่มันมีอยู่ในใจ) กิเลสตัวไหนละตัวร้ายสุด (ตัวที่รักลูก) ตัวห่วงใช่ไหม ทุกคนมีวาสนาเป็นของตัวเอง แต่ก็ได้แค่ช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น ถึงเวลาก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรมของเขา (ความน้อยใจ) ขี้น้อยใจ น้อยใจลูก น้อยใจสามี ไม่ได้ดั่งใจ สร้างความเจ็บปวด, (ฆ่าความโกรธแค้น) แผ่เมตตานะ ต้องอดทนให้ได้ หยุดโกรธนะ (ฆ่าความเกียจคร้าน) เอาเกียจคร้านก่อนนะ ตัวสำคัญเลย (ฆ่าความอิจฉาริษยา) เวลาเห็นใครได้ดีก็อดไม่ได้ จริงหรือเปล่านะ (ฆ่ากรรม) กรรมเกิดจากการกระทำของตัวเอง จะฆ่าได้อย่างไร ฆ่าความเชื่อมั่นในตนเอง รู้จักฟังคนอื่นบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ฆ่าความเบียดเบียนผู้อื่น, ความไม่มีสติ, ชอบทำอารมณ์เสีย, ชอบความโกรธง่าย) ผู้ชายต้องอดทนหน่อยนะ
(ขี้โม้ ขี้เล่น แล้วก็ขี้เกียจ ความกังวล ความโลภ)
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ฆ่าสิ่งที่ไม่ดีในตัวศิษย์ก่อน เพราะโลกปัจจุบันนี้วุ่นวายเพราะคนมัวแต่จะไปฆ่าความไม่ดีของคนอื่น แต่ไม่เคยคิดฆ่าของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ฆ่าความเป็นคนให้เหลือความเป็นมนุษย์) แล้วมนุษย์ล่ะ เรามีอะไรที่ทำให้เราเป็นสัตว์ประเสริฐได้ (ความดี ความมีเมตตา) ฉะนั้นจงหมั่นรำลึกอยู่เสมอเวลาจะทำสิ่งใด
(ความคิดร้ายคิดไม่ดี, ฆ่าความโลภ, ฆ่าใจตนเอง, ฆ่าความเห็นแก่ตัว, ฆ่าคนน้อยใจ, ฆ่าความไม่ยุติธรรม) แล้วศิษย์ยุติธรรมหรือยัง ระหว่างคนรักกับคนเกลียด ศิษย์สามารถยุติธรรมได้ไหม ถ้าศิษย์ยุติธรรมได้ เห็นชัดว่าคนรักมีอะไรที่น่าเกลียด เห็นคนเกลียดมีอะไรที่น่ารัก ศิษย์ก็สามารถหาความยุติธรรมในโลกได้ แต่สิ่งที่สำคัญศิษย์หาความยุติธรรมในตัวตนเองเจอหรือยัง ก่อนที่จะไปหาคนข้างนอก ถ้าตัวเองยังหาได้ยาก หาในโลกก็ยากเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)
ฆ่าอะไรดี ฆ่าเหล้า ฆ่าบุหรี่ดีไหม ๆ (ดี) ฆ่าแล้วมันจะกลับมาหาศิษย์อีกไหม (ไม่หา)
“พุทธะเกิดได้ในภาวะขัดฝืน พญามารเกิดได้ในภาวะราบรื่น จำไว้น่ะศิษย์”
ใครจะตอบอาจารย์อีก (ฆ่าทิฐิในใจของตัวเอง, ฆ่าความชั่ว) อะไรที่ชั่ว (รัก โลภ โกรธ หลง ความอิจฉาริษยา, ความชั่วร้ายในตัวเรา) แล้วอะไรที่เรียกว่าชั่วร้ายที่สุดที่อยู่ในตัวเรา (ความเบียดเบียน) ห่วงตัวเองไม่ค่อยห่วงผู้อื่น (ฆ่าความเกลียดชัง, ฆ่าความอิจฉา, ฆ่าความแค้นความพยาบาท, ฆ่าความน้อยใจที่มีทิฐิ, ฆ่าไฟในใจ) ไฟที่ขี้โมโห ขี้บ่น ใช่หรือเปล่า (ฆ่าความอยากในตัวของเรา, ฆ่าความเกียจคร้าน, ฆ่าความไม่ประมาท, ฆ่าความไม่มีสัจจะ, ฆ่าความไม่ดีทุกสิ่งทุกอย่าง)
การฆ่าคือดับไม่ให้เกิดด้วยสติ ไม่ใช่ใครมีความโกรธศิษย์ก็เดินไปฆ่าเขา อย่างนั้นไม่ได้นะต้องเริ่มที่ตัวเราเอง ดับที่ตัวเราเอง ฆ่าอะไรดี (หนทางนำไปสู่ความทุกข์) แล้วอะไรล่ะที่นำไปสู่ความทุกข์ (การฆ่าสัตว์, การดื่มของมึนเมา) แล้วรู้ไหมว่าสิ่งที่นำไปสู่ความทุกข์นอกจากศีลห้าที่ไม่รักษาแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว แล้วทำให้ศิษย์ทุกข์บ่อยที่สุด (ความหลง) หรือเรียกอีกอย่างว่า ความรัก ความใคร่ พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า ความโศก ความกลัวเกิดได้เพราะมีสิ่งรัก ฉะนั้นสิ่งที่ยินดี สิ่งที่รัก ของอันเป็นที่รัก และของอันเป็นที่ใคร่ ใจที่ใคร่ชอบ ใจที่ปรารถนา ล้วนทำให้ศิษย์เกิดความโศกและความกลัวได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์สามารถพ้นจากสิ่งที่รัก พ้นจากสิ่งที่ยินดี ศิษย์จะสามารถพ้นโศก พ้นความกลัวในโลกได้ และพ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ความโง่เขลาหลอกตัวเอง) รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ดีแล้วยังทำ นี่แหละเรียกว่าโง่ ใช่ไหม (ใช่)
(ฆ่าการลักทรัพย์) ลักทรัพย์ทางตาใช่ไหม สิ่งที่ไม่ควรดูก็ชอบดู สิ่งที่ไม่ควรฟังก็แอบฟัง สิ่งที่ไม่ควรพูดก็ชอบพูด นั่นแหละเราแอบลักขโมยทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ฆ่าความห่วง, กลัว) เพราะเรารัก เรายินดี เราเลยห่วง เราเลยกลัว ใช่ไหม มีใครตอบอีก (ฆ่าความโง่เขลา, ฆ่าความอยากได้อยากมี) อยากได้อยากมีไม่เคยพอสักที มีแล้วก็อยากอีก มีใครบ้างที่ในตัวมีเหรียญบาทแค่เหรียญเดียว มีแบงค์ร้อยแค่ใบเดียว เงินมันเรียกให้ศิษย์เป็นทาสมัน ใช่ไหม (ใช่) มีหนึ่งเหรียญแล้วต้องมีเหรียญที่สอง มีเหรียญที่สองแล้วมีเหรียญที่สาม เหมือนกับความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะศิษย์เรียนรู้ที่จะมีจะเป็น ทั้งที่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ล้วนนำมาให้เกิดทุกข์ ถ้าคว้าไม่ดีมันก็กัดแล้วก็ทำให้เราเจ็บปวดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องรู้จักโลภ รู้จักโกรธให้เป็น (ไฟในใจ) ไฟที่หวังจะให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจ แต่ไม่เคยเป็นได้ดั่งใจ ใช่หรือไม่ เป็นอย่างนั้นไหม
ฆ่าอะไรดี (ฆ่าการพนันทุกชนิด, ฆ่าความเป็นคนของมนุษย์) ฆ่าความเป็นคนของตัวเองก็พอ (ฆ่าความไม่รู้จักพอ, ฆ่าความขี้เกียจในตัวเอง, ฆ่าความวุ่นวายในใจ, ฆ่าความโลภ ความโกรธ ความหลงของตัวเอง)
(ผู้ดำเนินรายการพูดถึง การมีสติปัญญาไม่สามารถคลี่คลายบาปเวรได้ต้องใช้จิตสำนึกขอขมา)
ต้องเติมคำว่ามุ่งมั่นสำนึกขอขมาด้วยนะ ถ้าขอขมาครั้งเดียวไม่พอ ต้องมุ่งมั่นด้วยถึงจะเอาชนะหนี้บาปเวรกรรมได้ ถึงจะเอาชนะคนที่ผูกใจเจ็บได้ ฆ่าอะไรถึงประเสริฐที่สุดแล้วทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ที่สุด (ฆ่าความอยากออกจากใจ, ฆ่ากิเลสที่ทำให้ตกนรก) แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เราตกนรกบ่อยๆ คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ทำให้เราตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจที่เกียจคร้านไม่ค่อยชอบทำบุญสุนทาน บุญไม่ค่อยทำ แต่บาปขยันก่อเหลือเกิน คราวหน้าหมั่นทำบุญสุนทานนะ ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้จะไปสู่ที่ใดล่ะ หลับตาก็กลัวตื่นมาก็กลัว เพราะไม่มีความดีให้เรารู้สึกปลอดภัยโล่งใจ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เราเป็นคนดีได้ ถ้าไม่รู้จักสร้างบุญ ไม่รู้จักให้ อาจารย์ให้โอกาสใครจะตอบ (ฆ่าความรู้สึกของตัวเอง) ฆ่าอารมณ์ดีกว่านะ อารมณ์ที่ชอบนำชีวิตนำใจ
ไม่มีคนตอบแล้วอาจารย์เฉลยดีไหม (ดี) ฆ่าอะไรประเสริฐที่สุด ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ นั่นก็คือ ฆ่าอัตตาตัวตน เพราะมีตัวตนจึงทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดกิเลส ) แล้วแท้จริงแล้วในโลกนี้มีตัวตนจริงไหม (ไม่จริง) อาจารย์จะยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามนุษย์เราเข้าใจสัจจะความเป็นจริงของชีวิต เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวตนหาได้เป็นตัวตนไม่
(พระอาจารย์เมตตาเชิญหัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)
สิ่งที่เรียกว่า ตัวตน นี้คือตัวตนของเขา และนี้คือตัวตนของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิด ขึ้นชื่อว่าสรรพชีวิตย่อมหนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์ซึ่งมีอยู่สามอย่างคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไร้ตัวตน ผลส้มนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) ไร้ตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วส้มมีทุกข์ไหม (ไม่มี) แต่มาอยู่กับเรากินแล้วเปรี้ยวก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่กับเราแล้วถูกคนขโมยไปทำให้เกิดทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ส้มก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ถ้ามาอยู่กับเรา นี้คือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ตัวตน” แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าหามีตัวตนไม่ ขึ้นชื่อตัวตนคือสิ่งที่ต้องคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
อาจารย์บอกว่าฆ่าตัวตนประเสริฐที่สุด เพราะขึ้นชื่อว่าตัวตนจึงเป็นต้นเหตุของความทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งความโลภ โกรธ หลง มีที่ให้ทุกข์ มีที่ให้เจ็บปวด มีที่ให้พลัดพราก และมีที่ให้สูญเสีย แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ศิษย์เรียกว่าตัวตนนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าหาใช่ตัวตนไม่ แต่มนุษย์มักจะบอกว่า นี้แหละคือตัวตน ถ้าเกิดเป็นตัวตนที่แท้จริงต้องคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่มนุษย์เรียกว่าตัวตนนั้น เรียกว่า ขันธ์ทั้งห้า ขันธ์ทั้งห้าหรือกองธาตุขันธ์ทั้งห้า เกิดจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ หู ตา จมูก กาย ใจ แยกออกมาแล้ว หูมีตัวตนของหูไหม (ไม่มี) ตามีตัวตนไหม (ไม่มี) จมูกมีตัวตนไหม (ไม่มี) แต่มารวมแล้วเป็นกองขันธ์กองหนึ่ง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากองแห่งทุกข์
ฉะนั้นเมื่อใดที่เรายึดมั่นว่านี่ “ของฉัน” เมื่อนั้นเราก็กำลังกอดกองทุกข์ แล้วเรากอดกองทุกข์ตัวเดียวไหม (ไม่) กอดหลายๆ ตัว เพราะเวลาใครมาพูดเข้าหูเราก็กอดเขามาด้วย แล้วตัวเราโง่หรือฉลาด (โง่) เพราะทั้งที่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ก็ยัง (กอด) ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เรียกว่า “ตัวตน” แต่แท้จริงหามีตัวตนไม่ เพราะถึงเวลาก็เปลี่ยนรูปไป พอเปลี่ยนรูปไปแล้วหายไปไหม (หายไป) แน่ใจหรือโลกนี้มีอากาศไหม (มี) เมื่อร่างกายนี้แปรเปลี่ยนคืนไปสู่ ดิน น้ำ ลม นั่นเรียกว่าหายไปไหม ไม่ได้หายไป แต่แปรเปลี่ยนไปตามกรรม กรรมที่ศิษย์สร้างเมื่อยามมีรูปนี้อยู่
ฉะนั้นฆ่าอะไรประเสริฐที่สุด ฆ่าตัวตนเองประเสริฐที่สุด แล้วเราจะฆ่าตัวตนเองได้อย่างไร นั่นก็คือ รู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในความคิด เพราะความคิดเราที่ไปเถียงกับคนอื่นว่าฉันพูดถูก ฉันคิดถูก ถึงเวลาก็สามารถผิดได้ เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือเรายังมีตัวตน แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้จักยอมไม่ยึดมั่นถือมั่น เราก็คือไร้ตัวตน เรามีชีวิตต้องรู้จักบำรุงบำเรอพอประมาณ แต่อย่าบำรุงบำเรอจนเกินประมาณแล้วก่อเวรก่อกรรม รู้ว่าบำรุงบำเรอจนตัวเองไปผูกเวรผูกกรรมอย่างนั้นเรียกว่า สร้างตัวตนและก่อเวรกรรม
ฉะนั้นศิษย์พอเข้าใจไหมว่า บำเพ็ญอย่างไรถึงจะไม่เกิดทุกข์ให้กับตัวเอง แค่ได้ยินเสียงฝนตกใจก็แล่นไปกับฝนแล้ว ฉะนั้นธรรมชาติหรือฟ้าจึงต้องการสอนให้มนุษย์รู้อยู่เสมอว่า ตัวตนที่ศิษย์เรียกว่าของตน ตัวนี้แท้จริงไม่มี แล้วเอาอะไรมาเป็นสิ่งเตือนใจให้ศิษย์รู้
จดหมายฉบับที่หนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากเด็กก็เริ่มเป็นหนุ่มสาว จากหนุ่มสาวก็เป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็เริ่มเป็นคนแก่ ตัวตนที่เรียกว่าของศิษย์นั้นมันไม่ใช่ของศิษย์ มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ นะอย่าไปยึดมั่น ยึดมั่นเมื่อไหร่ก็หาทุกข์ใส่หัว
จดหมายฉบับที่สอง ที่ฟ้าส่งมาคือ ความเจ็บปวด รู้จักปลง รู้จักวางบ้างนะ ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อเจ็บป่วยเงินที่หามาเยอะๆ ก็เอาเงินมารักษาร่างกายที่ไม่มีตัวตน เพราะศิษย์พยายามยึดให้มันมีตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วถึงที่สุดจดหมายฉบับสุดท้ายที่ต้องการให้ศิษย์รู้นั่นก็คือ ความตาย หรือความว่างเปล่า เข้าใจที่อาจารย์พูดบ้างไหม (เข้าใจ)
มีชีวิตต้องรู้จักมีสติปัญญาในการดำเนินชีวิต จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน รู้จักสร้างบุญแล้วก็ต้องรู้จักระมัดระวังไม่ให้ตัวเองก่อเวร บางคนเกิดมาวาสนาดีแต่ไม่ค่อยรู้จักถนอมวาสนาของตัวเองให้ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “บำเพ็ญปัญญา”)
“บำเพ็ญปัญญา” รู้จักบำเพ็ญคำหนึ่ง แล้วก็ต้องรู้จัก “บำเพ็ญอย่างคนมีปัญญา” อย่าบำเพ็ญอย่างคนโง่งมงายไม่เห็นแจ้งอะไร บำเพ็ญคือขัดเกลานิสัยที่ไม่ดี ปัญญาคือการเรียนรู้ชีวิตจิตใจอย่างถ่องแท้ ว่าชีวิตและจิตใจนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากสรรพสิ่งที่มีวันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จงมีปัญญารู้แจ้งความเป็นจริงในโลกนี้ ว่าโลกนี้หามีตัวตนไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ได้ ถ้าเรียนรู้ชีวิตแล้วใช้ชีวิตไม่เป็น ก็เท่ากับเรามีชีวิตแล้วกอดกองทุกข์ไว้
อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ทำจิตใจให้สงบบ้างดีไหม ส้มลูกนี้อาจารย์จะให้ใครดี ให้คนใหม่ที่ไม่เคยได้มาศึกษาดีไหม แบ่งกันดีๆ นะ อยู่กับอาจารย์ต้องรู้จักแบ่งปันและช่วยเหลือนะ
ศิษย์เอ๋ยชีวิตนี้สิ่งสำคัญที่สุดในการเกิดเป็นคน นั่นก็คือ การรู้จักดำรงตน เวลาเราอยู่ร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตัวอย่างไรล่ะ รู้จักยอมไหม รู้จักมีขันติหรือเปล่า รู้จักเสียเปรียบบ้างหรือไม่ เวลาพูดหรือทำอะไร ได้ก่อเวรก่อภัยกับใครหรือเปล่า คนๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเอง ได้ด้วยการรู้จักมุ่งมั่นใฝ่ดีอย่างคงทน พูดและทำอะไรขอให้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองต้องเกี่ยวกรรมกับใคร หรือแม้แต่ตัวตน ถึงจะเกิดมาแล้วคุ้มค่าที่ได้เกิดมา ยากไหม เอาเวลาที่เหลือรู้จักไปช่วยเหลือคน เพื่อจะได้ลดความเห็นแก่ตัวในตน ดีไหม (ดี) เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ เงินไม่สามารถทำให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่สิ่งที่สามารถทำให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ได้ นั่นคือจิตใจที่มุ่งมั่นใฝ่กระทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ก่อเวรก่อภัยกับใคร มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกดีไหม ศึกษาธรรมเพื่อตัวเอง มุ่งมั่นบำเพ็ญแล้วไปให้ถึงที่สุดนะ อย่าล้มกลางคันนะศิษย์เอ๋ย เข้าใจไหม ยังเป็นเด็กดื้อใช่ไหม เชื่ออะไรยากแต่ลองศึกษาดู ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินเข้าใจ บำเพ็ญธรรมแล้วอย่ากลัวยากลำบาก ศิษย์เอ๋ย ตื่นขึ้นมาจากความฝันมาสู่ความจริงนะ สิ่งใดผ่านไปแล้วก็จงผ่านไป อยู่กับตัวตนเอง
มีโอกาสกลับมาศึกษาธรรมอีกนะ ศิษย์ฟังแค่สองวันจะให้รู้ และตัดกิเลสคงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าศิษย์มีความมุ่งมั่นเพียรพยายาม สิ่งที่ยากก็อาจเป็นสิ่งที่ง่ายได้ กลัวอย่างเดียวศิษย์ของอาจารย์มักจะดื้อ จริงไหม อาจารย์ต้องไปแล้วนะ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์รู้ว่าตัวเองมาจากไหน แล้วกลับที่ใด แต่ตัวศิษย์เองล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อเสวยสุข เพื่อชดใช้สุข หรือว่าสร้างสุขอันแท้จริง อะไรประเสริฐกว่ากัน เกิดเป็นคนสู้หาสุขอันแท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสุขอันแท้จริงเกิดได้ด้วยการรู้จักเสียสละตนเพื่อผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จึงสามารถน้อมนำผู้คนให้เดินทางถูกได้ คนที่สามารถทำตัวต่ำเตี้ยได้ จึงสามารถหนุนนำคนให้สูงส่งได้ คนเช่นนั้นแหละจึงเรียกว่าคนประเสริฐ
ทำตัวสูงส่งจะช่วยใครได้ มีแต่ทำตัวต่ำเตี้ยแล้วหนุนนำคนให้สูงส่งประเสริฐกว่ากันนะ ใช่ไหม (ใช่) ไปแล้วนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “บำเพ็ญปัญญา”
การทำเพื่อตนที่สุดคือหยุดตัวเอง
เพื่อที่จะเร่งเป็นผู้บำเพ็ญดี
ในสติต้องมีธรรมเป็นคนดี ย้อนมองดูสิ่งใดที่รู้จงทำ
อันปัญญาและความฉลาดนั้นต่างกัน
คนหลงนั้นมองชั้นเชิงเป็นแก่นสาร
การอยู่ในโลกนี้จะมืดแปดด้าน
หากมุ่งมั่นชีพของตนนั้นผิดไป