西元二○○九年 歲次己丑 九月初七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
สรรพสิ่งในโลกล้วนแปรผัน แต่จิตนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหว
สูงอดทนเลิศอ่อนน้อมกอปรน้ำใจ เมื่อพูดได้ต้องทำได้อย่าคืนคำ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคน หายง่วงหรือยัง
วาจาในวาจาคนอันซับซ้อน เจรจาความตรงย่อมคลอนสะดุ้งไหว
นอกแย่ในจะต้องระวังใจ ในความแฝงไม่ใช้อคติฟัง
รู้อะไรอย่าคดในจึงประเสริฐ รักษากฎคือกฎเกิดระเบียบสร้าง
ปัญญาดูอาจปฏิบัติพลิกแพลงบ้าง วาจาแข็งวาจาสัตย์ยังดั่งละเมอ
คนไม่อาจจะดีตลอดได้ เมื่อลำบากย่อมเปลี่ยนใจอยู่เสมอ
จอมดาบแต่แปลงเป็นจอมละเมอ กิเลสเฟ้อเป็นศิลปะแห่งกาลปัจจุบัน
อารมณ์แกว่งกลับที่เพราะสติครอง โมโหเป็นไฟนั้นลดได้ไหม
ถึงคนมองชวนคิดผิดอะไร อย่าแกว่งกวัดดาบใจไร้กรุณา
ชีวิตไกวตัวเองโลภโกรธรัก อุปสรรคไม่ชวนพิศแทงใจกว่า
ผิดถูกบ้างใจดวงตื่นธรรมดา ปลอมบ้างมาสอนให้ประจักษ์จริง
กระทำผิดน่าสยองถ้ามองผิด บำเพ็ญจิตจะสำเร็จต้องใจนิ่ง
ลักษณะผู้เป็นคนมีบุญจริง อดทนยิ่งนักแม้ยามยากสำรวม
ธรรมปกครองความตรึงตราคุณธรรม มนุษย์สัมพันธ์บกพร่องความหย่อนโทษกว่าหละหลวม
ดูเหมือนว่าอำนาจใช่ศูนย์รวม ไม่วัดใครการร่วมน่าถนอม
ถึงเขาผิดในแบบต่างชนิด สาระคิดของตนมักไม่หอม
แม้ตีความทะลุกลางวงล้อม ทบทวนความเพราะเลาะอ้อมเรียกเกรงใจ
ฐานะจนความผิดใช่ที่จน ความกังวลถูกท่วมแทนที่ใส
ขี้เกียจปลายบานท้นคนไม่ง่าย กินอยู่เรียบง่ายลักษณะผู้บำเพ็ญ
ฮิ ฮิ หยุด
หมายเหตุ : กลอน ๒ บทสุดท้ายที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาประทานให้ในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ และให้นำมาต่อท้ายกลอนพระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
คุณธรรมข้อใดที่ทำให้ทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ไม่กล้าคิดคด ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็ไม่กล้าทำผิด (ความละอายเกรงกลัวต่อบาป)
เมื่อเข้ามาฟังธรรมะ อย่าอยู่แค่นอกประตู แต่ต้องเอาทั้งตัวและหัวใจ และความตั้งใจเข้ามาฟังด้วย เพราะแม้ฟังนิดเดียวแต่ฟังอย่างตั้งใจแล้วนำกลับไปพิจารณาให้ดี จากนั้นเอาไปขยายใช้จนได้ประโยชน์ใหญ่ก็ได้เช่นกัน ถ้าหากตั้งใจฟังดีแล้ว ไม่ต้องฟังจนจบประโยคก็เข้าใจความหมายได้ หรือแม้ได้ฟังสักหนึ่งประโยคก็เข้าใจความหมายได้เช่นกัน
คำตอบของเรา นั่นก็คือ “ความละอายเกรงกลัวต่อบาป” หรือใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี เห็นอกเห็นใจเขา เราไม่ชอบแบบไหนก็ไม่ทำแบบนั้นกับคนอื่น ชอบไหมต่อหน้ายิ้มหวานลับหลังนินทา ต่อหน้าไหว้แต่ลับหลังกลับทำอีกอย่างหนึ่ง เอาไหม (ไม่เอา) แล้วอะไรที่ทำให้มนุษย์นั้น ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ไม่ว่ายามมืดหรือยามสว่างก็รักษาความดีต่อกันได้ตลอดชีวิต นั่นคือ ธรรมะที่กระตุ้นเตือนใจ มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า “ปากเป็นประตูของหัวใจ ถ้าไม่รู้จักควบคุม ปากนี้ก็อาจจะหาเรื่องให้กับใจได้” ความปรารถนาคือแขน ขา ของหัวใจ แต่ถ้าไม่รู้จักควบคุมความปรารถนา แขน ขา นี้ก็อาจจะนำพาให้เราทำผิดคิดร้ายได้
ฉะนั้น เรามาฟังธรรมะเพื่อรู้จักเอาธรรมะไปควบคุมปากและใจ เพราะไม่อย่างนั้นอยู่ทางโลกเอาแต่หาเงิน เอาแต่มีความรู้ แต่ถ้าขาดซึ่งคุณธรรม คนก็อาจจะหลง กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คนพูดเก่งก็อาจจะกลายเป็นคนคะนองปากจนลืมระวังคำพูด คนหาเงินเก่งก็อาจจะกลายเป็นคนโลภแล้วทำลายผู้อื่นโดยผิดทาง ถูกหรือไม่ (ถูก)
วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อกระตุ้นเตือนใจให้เรารู้จักมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความเห็นอกเห็นใจ มีจิตใจดีงามที่ควรประพฤติปฏิบัติต่อกัน ฟังธรรมะไปรู้หรือเปล่าว่าธรรมะเอาไปใช้อะไร (ให้ซื่อสัตย์) ให้ซื่อสัตย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ให้พูดจริงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ให้ทำดีทั้งยามมืดและยามสว่าง ไม่ใช่เป็นคนปากว่าตาขยิบ ปากหวานก้นเปรี้ยว
“สรรพสิ่งในโลกล้วนแปรผัน แต่จิตนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหว”
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ง่ายที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วันนี้ดี พรุ่งนี้แย่ มะรืนก็ทิ้ง มะเรื่องไม่เอาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอยากจะบอกว่าที่ไม่ดีนั้น ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจก็สามารถพลิกจากหน้ามือเป็น (หลังมือ) ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่ง ที่ขาดไม่ได้ก็คือความมุ่งมั่น ใจที่มุ่งมั่นย่อมสามารถแปรเปลี่ยนสรรพสิ่ง ให้เป็นดังใจเราได้ แต่ถ้าขาดความมุ่งมั่น สรรพสิ่งก็สามารถแปรเปลี่ยนใจ เราได้
“สูงอดทนเลิศอ่อนน้อมกอปรน้ำใจ” ถ้าเป็นได้อย่างนี้คงดีไม่น้อย แต่มนุษย์เราความอดทนต่ำ ความอ่อนน้อมเตี้ย น้ำใจแห้งแล้ง จริงไหม (จริง)
“เมื่อพูดได้ต้องทำได้อย่าคืนคำ” นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแดนโลก ท่านคิดว่าท่านเป็นได้ไหม เมื่อเข้ามาห้องพระ เราเห็นพระ เรายกมือไหว้ เมื่อเรายกมือไหว้แล้ว เราเคยเดินเข้าไปให้เห็นถึงหัวใจแห่งพระพุทธะบ้างหรือไม่ เคยมองให้เห็นและทะลุความเป็นพระในนั้นบ้างไหม (ไม่เคย) เราจึงเป็นคนที่ศึกษาแต่เคาะอยู่แค่นอกประตู จริงไหม (จริง) แต่เราเคยเดินเข้าไปในประตู แล้วเอาหัวใจของการเป็นพระพุทธะกลับมาประพฤติปฏิบัติบ้างไหม ไม่เลย
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้เล่นเกม ลุก นั่ง ใครทำผิดให้เต้นเป็ด)
พอมีบทลงโทษเลยต้องรู้จักระมัดระวังตัวเองทันที ทำไมต้องรอให้มีบทลงโทษก่อน ถึงจะรู้จักระมัดระวังควบคุมตัวเอง ชอบให้คนอื่นมาควบคุมไหม (ไม่) ชอบให้คนอื่นมาลงโทษไหม (ไม่) ฉะนั้นไม่อยากให้คนอื่นมาควบคุม ไม่อยากให้คนอื่นมาลงโทษ ไม่อยากให้คนอื่นมาว่า ทำไมไม่รู้จักควบคุมและลงโทษตัวเองให้เป็นก่อน กลัวไหมเวลาโดนเขาชี้หน้าว่า (กลัว) แล้วทำไมไม่ว่าตัวเองก่อน จะได้ไม่ต้องโดนคนอื่นชี้หน้าว่า
ก่อนจะป้องกันภัยภายนอก ต้องรู้จักป้องกันภัยที่เกิดจากตัวเองเสียก่อน แล้วมนุษย์สามารถสร้างภัยอะไรได้บ้าง ภัยเพราะปาก ภัยเพราะตาชอบดูในสิ่งที่ไม่ดี ภัยเพราะ (ใจ) ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักควบคุมให้ดี
เมื่อสักครู่ตอนต้นเราบอกว่า เมื่อเราเห็นพระ เรายกมือไหว้พระ แต่ทำไมเราเดินไปไม่ถึงหัวใจของพระ ลองมองดูว่าในองค์พระนั้นมีอะไรที่ทำให้ท่านเป็นพระ คิดออกไหม (การกระทำของท่านในตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่, ศีลธรรม, ความไม่มีตัวตน, มีความเมตตา, มีวาจาสัตย์, มีคุณธรรม)
เรามองเห็นพระเราเคยมองเข้าไปให้ถึงหัวใจของพระไหม อะไรที่ทำให้ท่านศักดิ์สิทธิ์ (จิตใจที่บริสุทธิ์) เวลาเรามองพระ สิ่งที่เราได้คือความสงบ ความเย็นสบาย การปล่อยวางรูปลักษณ์อันจอมปลอม ฉะนั้นเมื่อเราจะไปให้ถึงพระ อย่าคิดแค่เพียงว่า ฉันดีกว่าอีกหลายคน เพราะคนอื่นไม่ไหว้ ฉันไหว้ก็ดีแล้ว แต่เคยรู้ไหมว่า มากกว่าไหว้ที่ว่าก็ดีแล้ว นั่นก็คือไหว้ด้วยศึกษาด้วย แล้วดีกว่าไหว้ ดีกว่าศึกษาด้วย คือนำสิ่งที่ศึกษามาปฏิบัติ ให้เกิดผลกับตัวเองให้ได้
อะไรเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แสดงอิทธิฤทธิ์แล้วเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ก็คือ สิ่งที่ท่านพูดปฏิบัติและอบรมสั่งสอนเพื่อให้มนุษย์พยายามไปให้ถึงและทำให้ได้ต่างหาก ที่ไม่ว่าจะจนหรือรวย ไม่ว่าจะมีความรู้หรือไม่มีความรู้ ก็สามารถทำสิ่งนั้นแล้วประสบผลสำเร็จได้ และสิ่งที่ท่านพยายามบอกคืออะไร (ความดี ความถูก) แค่ดีเท่านั้นหรือ (คิดดีทำดี, ศีลธรรม, ธรรมะ, ท่านสอนให้เราเป็นคนดีมีธรรมะอยู่ในหัวใจ, มีความจริงจังตามหลักสัจธรรม) แล้วเราเข้าถึงความดีหรือยัง เราเข้าถึงการเป็นคนดีที่แท้จริงหรือยัง (ต้องไม่ยึดติดกับสิ่งของที่เป็นตัวตน, ต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วทำไหม น่าเสียดายที่รู้แล้วไม่ทำ
สิ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พยายามบอก คือ ท่านต้องการให้เราเดินไปสู่หนทางความเป็นพุทธะเพื่อพ้นทุกข์หรือหลุดพ้น ยังไม่ต้องหลุดพ้นก็ได้เอาแค่หมดทุกข์ หรือเพื่อแก้ทุกข์ได้ หัวใจของพระพุทธะที่มนุษย์ต้องพยายามเป็นให้ได้และทำให้ถึงคือความสงบ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความสว่าง ความสะอาด ความบริสุทธิ์ แต่เราสงบไหม (ไม่) เราสะอาดไหม (ไม่) เราบริสุทธิ์ไหม (ไม่) ผู้รักษาศีล ผู้มีศีลมีธรรมจึงจะถึงความสะอาดและบริสุทธิ์ได้ ผู้ประกอบคุณงามความดีอยู่เสมอจะถึงความร่มเย็นได้ แล้วเราดีเสมอไหม (ไม่) มีศีลตลอดไหม (ไม่มี) มีธรรมได้ทุกเมื่อไหม (ไม่มี) จึงน่าเสียดายที่มนุษย์เอาแต่ไหว้แต่เดินไปไม่ถึงหัวใจแห่งธรรม น่าเสียดายนะ เพราะอะไรเราถึงเดินไปไม่ถึง เพราะมนุษย์มักจะบอกว่ากิเลสหนา ยังเลวอยู่ ยังร้ายอยู่ ใช่ไหม (ใช่)
เรามักได้ยินมนุษย์พูดว่าไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี เรื่องร้ายๆ ถ้าจิตใจเราดี เราก็แปรร้ายเป็นดีได้ ถ้ามนุษย์พยายามรักษาจิตให้ดี ก็ไม่มีอะไรร้ายได้ในรอบตัวเรา หรือดังที่เขากล่าวกันว่า “ถ้ามนุษย์มีความสันติหรือมีความสุขจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้อย่างไร” แต่เป็นเพราะมนุษย์มีความทุกข์รุ่มร้อนอยู่ จึงทำให้คนรอบข้างทุกข์และรุ่มร้อนตาม แล้วอะไรที่สามารถทำให้มนุษย์นั้นมีความสุขได้ มนุษย์สามารถเดินไปสู่หัวใจแห่งความสุขได้เมื่อทำแล้วรู้จักพอ ได้แล้วรู้จักอิ่ม
ดูตัวอย่างง่ายๆ เมื่อเรามองไปในทุ่งหญ้า ศิษย์น้องมักจะเห็นสัตว์อยู่สองตัวคืออะไร (วัวกับควาย) แล้วรู้ไหมทั้งสองตัวมีนิสัยที่ไม่เหมือนกันคืออะไร (ชอบอาบน้ำกับไม่ชอบอาบน้ำ) ตัวหนึ่งชอบอาบน้ำอีกตัวหนึ่งไม่ชอบอาบน้ำ ตัวที่ชอบอาบน้ำสีผิวจะดำ ยิ่งอาบก็ยิ่งดำ แต่ตัวที่ขาวไม่ชอบอาบน้ำสีผิวยังไงก็ขาว มนุษย์พยายามอยากที่จะทำให้ตนเองมีความสุข แต่ทำไมยิ่งอยากก็ยิ่งทุกข์ ลองหยุดอยากดูสิ บางทีความสุขอาจจะอยู่ไม่ไกล เคยไหมอยากได้รถ พอได้รถมาก็ทุกข์ เพราะได้รถจักรยาน พอได้รถจักรยานก็ไม่พอใจ เพราะอยากได้รถมอเตอร์ไซด์ พอได้รถมอเตอร์ไซด์ก็ไม่พอใจ เพราะยังอยากได้รถยนต์อีก พอได้รถยนต์ก็ยังอยากจะได้อย่างอื่นอีกไม่มีวันสิ้นสุด
ฉะนั้น ถ้าเราอยากพบความสุข บางครั้งก็จงหยุดอยากและรู้จักที่จะพอใจ ได้เท่านี้ก็พอ ถ้าไม่พอคนที่ต้องทุกข์ก็คือตัวเรา พอเราทุกข์แต่คนอื่นไม่เห็นใจเรา เราก็เดินไปทำให้เขารู้ ทำหน้าให้เขาเห็นว่าฉันทุกข์ แล้วใครจะช่วยใครได้ ตัวเองก็เอาตัวเองไม่รอด แถมยังไปเกี่ยวให้คนอื่นเดือดร้อน ฉะนั้น อยากพ้นทุกข์ไม่ยาก หาแล้วก็จงพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่พึงได้ แล้วเราก็คงไม่ทุกข์กับการอยากจนเกินไป เมื่อเราไม่ทุกข์กับการอยากจนเกินไป เราจะไปเบียดเบียนเขาไหม เราจะไปว่าเขาไหม เราจะไปด่าเขาไหม และเราจะไปแย่งเขาไหม คนเราเมื่อพอแล้วเราก็มีแต่อยากจะให้ เดินไปก็มีแต่รอยยิ้ม แต่เมื่อไม่พอก็เกิดความอิจฉาริษยาที่ผู้อื่นได้ดีกว่าเรา ทุกข์ทั้งตัวเองและทุกข์ทั้งคนรอบข้าง ฉะนั้น ลดความอยากให้น้อยหน่อย จะได้ทุกข์น้อย เหมือนตอนนั่งก็จงพอใจที่ได้นั่ง ไม่ใช่ตอนนั่งก็อยากยืน ตอนยืนก็อยากนั่ง หาเรื่องทุกข์แท้ๆ จริงไหม (จริง) ออกนอกบ้านก็อยากเข้าบ้าน พอเข้าบ้านก็อยากออกนอกบ้าน คิดแบบที่ทำให้ทุกข์ทั้งนั้นเลย
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเดินไปถึงซึ่งหัวใจแห่งการเป็นพุทธะ หรือผู้มีธรรมนั้นก็คือ “ชอบเป็นคนที่ผิดไม่เป็น พลาดไม่ได้ เสียไม่มี ดีจึงไม่บังเกิด” เพราะเราอยู่ในโลกนี้ เราอยากเป็นคนดีโดยที่ไม่ยอมรับผิดไม่ได้ แต่คนที่ดีแท้จริงต้องกล้าที่จะรับผิด กล้าที่จะผิดพลาด กล้าที่จะเสียสละและกล้าที่จะ (ยอมรับ) ถ้าไม่ผิดเลยเราจะไม่มีวันก้าวหน้าและดีขึ้นได้
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของการไปไม่ถึงซึ่งความเป็นพุทธะหรือหนทางธรรม นั่นคือ เราชอบปล่อยให้กิเลสและอารมณ์ครอบงำ เราชอบปล่อยใจ ปล่อยตัวไปตามกิเลส กิเลสบอกให้ทำท่านก็ทำ ทำไมจึงไม่รู้จักปฏิวัติกิเลสบ้าง เพราะว่ามีกิเลสมากเกินไป มนุษย์เราจึงต้องทุกข์จนไม่มีวันเป็นสุข เมื่อเราทุกข์จนถึงที่สุดเราจะไปช่วยใครได้ เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้
ฉะนั้น สิ่งที่ท่านต้องพึงสังวรณ์และไม่ประมาทเพื่อจะไม่ให้ความทุกข์มากล้ำกราย และเพื่อให้เราเดินไปสู่หนทางแห่งพุทธะได้อย่างสำเร็จ เราจึงต้องรู้จักไม่ประมาทในสองสิ่ง นั่นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยและทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเรารู้จักกระตุ้นเตือนใจสองสิ่งนี้อยู่เสมอ เราก็คงไม่ผิดพลาด
เรายกตัวอย่างง่ายๆ มีชายคนหนึ่งอยากปลูกต้นไม้ เห็นข้างบ้านเขาปลูกแล้วออกดอก ตกผล น่ากิน สวยงาม มีเงาร่มเย็น เขาก็เลยคิดว่าปลูกบ้างดีไหม พอเขาปลูกผ่านไป หนึ่งปี สองปี สามปีดอกก็เหม็น ผลก็ไม่ดี ต้นโตมาก็แคระแกรน คนผู้นั้นจะเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์) ทุกข์เพราะคาดหวังว่าเลี้ยงอะไรแล้วต้องโตแล้วได้ดี แต่เราอย่าลืมว่าความเป็นจริงในโลกนี้ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง บางคนประสบผลสำเร็จ บางคนประสบความล้มเหลว เหมือนการที่เรามีชีวิต เราพยายามเลี้ยงดูชีวิตเพื่อจะให้ออกดอก ตกผล และเกิด ความร่มเย็นกับตัวเอง แต่ชีวิตทุกคนสำเร็จดั่งใจทุกคนไหม บางคนออกดอกแต่ไม่ตกผล บางคนออกดอก ตกผล แต่หาความร่มเย็นไม่มี บางคนพยายามเลี้ยงลูกเต็มที่ ไม่ออกดอก ไม่ตกผล แถมเป็นทุกข์ใจอีก
ฉะนั้น เราต้องอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ถ้าปัจจัยเราทำเต็มที่เราไม่ขาดปัจจัยอะไรแล้ว เลี้ยงแล้วไม่ได้ดี เราก็ต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นเอง ถ้ามนุษย์ หนึ่ง รู้จักพอแล้ว สอง เข้าใจชีวิตได้แจ่มแจ้งแล้ว การจะเดินสู่หนทางพุทธะก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะพอเข้าใจชีวิต พอมองชีวิตออก
เหมือนกัน วันนี้อยากทำความสะอาดบ้าน ถูจนเสร็จแล้ว สักพักหนึ่งลมพัดฝุ่นมา ลูกเดินมาด้วยขี้โคลนเต็มเท้า โมโหไหม (โมโห) แต่ถ้าเรามีปัญญาคิดได้ ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสกปรกจึงต้องทำให้สะอาด วันนี้เราทำครัว ทำให้เขากิน แต่ทำให้เสร็จแล้วยังถูกบ่นอีก พอเดินผ่าน ก็บ่นว่า “กับข้าวอะไรไม่น่ากินเลย” เราน้อยใจเวลาทำก็เลยใส่ให้เค็มๆ ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะในโลกนี้ไม่ว่าทำอะไร มีคนชมก็ต้องมีคนติ แม้เราจะพยายามเป็นคนดีอย่างไรก็ต้องมีคนว่าเราไม่ดี ฉะนั้น ถ้าเรารู้ตัวเอง เราจะพยายามไปล้างตัวเองให้ขาวเหมือนวัวทำไม เราจะพยายามแก้ตัวไปทำไม เป็นวัวขาวๆ ยืนเฉยๆ ก็ได้ จะไปล้างไปอาบทำไม เพราะเรารู้ตัวเราดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอะไรก็ตามมีคนชมก็ต้องมีคนว่า เวลาเราจะเป็นคนดีก็ต้องมีคนไม่ดี เป็นธรรมดา ผมหงอกยังอยู่ในผมดำ นับประสาอะไรในคนดีย่อมมีคนไม่ดีจริงไหม (จริง) ฉะนั้น เราจึงต้องรู้จักเรียนรู้และเข้าใจชีวิต เมื่อเราเรียนรู้เข้าใจชีวิต เราก็จะไม่ทุกข์เกินไป
ใครบ้างเกิดมาตลอดชีวิตไม่เคยเจ็บป่วยเลย ใครบ้างเกิดมาไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่ตัวเองรักเลย ฉะนั้น จะมานั่งกลุ้มทำไมว่าฉันป่วย คิดเสียว่าเป็นธรรมดา ฉันแข็งแรง ฉันก็ต้องเจ็บป่วย วันนี้ฉันพบเธอ วันหน้าก็ต้องจากกัน จากให้คิดถึงดีกว่าไม่มีอะไรให้คิดถึง เจ็บป่วยก็ทำให้เรารู้จักที่จะทำให้ตัวเองแข็งแรง เพราะเรากำลังผิดปกติ แล้วจะกลุ้มทำไมให้ทุกข์เปล่าๆ
ถ้ามนุษย์เข้าใจชีวิตและรู้จักพึงพอใจในชีวิต การที่จะพ้นทุกข์ในแต่ละวัน พ้นทุกข์ต่อการเป็นคนย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่รู้จักพอและยังมองชีวิตไม่ออก ความทุกข์ก็เป็นอันต้องเกิดไปตลอดจนวายปราณ ฉะนั้น เราจึงต้องมองให้ออกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเอง และแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่จะเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีปัจจัยหนุนนำ ตบเขาแล้วเขาจะให้เงินเราไหม (ไม่ให้) ตีเขาแล้วเขาจะชมเราไหม (ไม่) ฉะนั้นอย่าเพิ่งมองผู้อื่นแต่ต้องรู้จักหันกลับมามองตัวเอง
เบื่อเราหรือยัง อยากกลับบ้านหรือยัง (ยัง) วันนี้ยังไม่จบท่านก็กลับไม่ได้นะ ต้องอดทนหน่อยนะ คิดเสียว่าตัวเองโชคดีแล้ว คนที่ยืนข้างๆ ก็ยืนจนเมื่อยแล้ว เราจะได้มีกำลังใจนั่งต่อไปใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการมีพี่เลี้ยงก็เพื่อจะทำให้คนนั่งรู้สึกภูมิใจที่ได้นั่ง
มนุษย์เราอยู่ร่วมกันก็อดคาดหวังไม่ได้ อดกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องขอเลขเด็ด ถ้าท่านไม่ให้เลขเด็ดเรียกว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่าลืมนะว่าถึงจะได้เลขเด็ดไป แต่ถ้าท่านไม่มีบุญปัจจัยหนุนนำ ได้ไป ก็ถูกกิน ที่เรียกว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ที่อิทธิปาฏิหาริย์ แต่ศักดิ์สิทธิ์ตรงที่คำพูดท่าน เมื่อเอาไปประพฤติปฏิบัติท่านย่อมสำเร็จได้ และย่อมพ้นทุกข์ได้ นี่แหละสำคัญกว่าและยิ่งใหญ่กว่าใช่ไหม มีเงินก็ทุกข์ เพราะเงิน สู้มีหนทางพ้นทุกข์ไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)
มีสิ่งที่สูงส่งก็ต้องมีสิ่งที่ต่ำเตี้ยใช่หรือไม่ ถ้าไม่มีสิ่งที่ต่ำเตี้ยจะมีหรือสิ่งที่เรียกว่าสูงส่ง ถ้าไม่มีคนร้ายหรือจะมีคนดี ฉะนั้น เราอย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์กัน ถึงจะมาจากต่างที่แต่ถ้ารวมกันเป็นหนึ่งได้ก็น่ามอง ถึงจะมาจากที่เดียวกันแต่ถ้าเป็นหนึ่งได้ก็ดูหนักแน่นและเข้มแข็ง โลกใบนี้มนุษย์ต่างคนต่างมีชีวิต ต่างคนต่างมีปัจจัยที่ทำให้ชีวิตต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรขาดเมื่ออยู่ร่วมกันก็คือ (ความสามัคคี) ใช่มนุษย์ชอบพูดความสามัคคี แต่เราอยากจะบอกว่าความอะลุ่มอล่วยต่อกัน ใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่บอกว่าหนึ่งก็ต้องหนึ่ง สองไม่ได้ อย่างนี้ก็ดูเข้มงวดไป ไม่ใช่บอกว่าสองก็ต้องสอง สามไม่ได้ หรือว่ากลับเป็นหนึ่งไม่ดี
มีโอกาสคงกลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ชีวิตอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด คนอื่นเป็นเพียงผู้ชี้บอกทาง จะเดินหรือไม่เดินก็แล้วแต่ตัวท่าน ทางที่เราบอกนั้นก็ไม่ใช่ทางไกลเกินเอื้อม แต่ทุกคนในที่นี้สามารถทำได้ อยากพ้นจากความทุกข์ พอได้หรือยัง อยากพ้นจากความทุกข์ คลายความยึดมั่นถือมั่นคาดหวังบ้างได้ไหม มองว่าเขาเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเป็นเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ได้สามีกินเหล้าแต่ไม่โกหกก็ยังดี หรือจะเอาชอบโกหกและกินเหล้าด้วย แต่บางทีก็ ต้องเอานะ ถ้าเขาเป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ชอบโกหกด้วย กินเหล้าด้วย พูดปดด้วยก็ต้องทนดีกว่าไม่มี
บางทีต้นไม้ปลูกจนโต แล้วมันแกรนขนาดนี้ ท่านจะทำอย่างไร ตัดทิ้งก็ไม่ได้ วิธีที่ทำให้มีความสุขคือ ปรับใจเราสิ ปรับคนอื่นไม่ได้หรอก เมื่อขึ้นชื่อว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วพ้นทุกข์ อย่าคิดพยายามปรับใจ คนอื่น ปรับใจเราดีกว่า ทนได้ไหมกับสภาพคดๆ ของคนบางคน เพราะอะไร คนอื่นเจอคนดีเราต้องเจอคนคด เพราะอะไรคนอื่นมีลูกน่ารักแต่เรามีลูก น่าชัง เราก็ต้องยอมรับไปตามปัจจัยและยิ้มสู้เข้าไว้ ฉะนั้นทางพ้นทุกข์ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม ไปแล้วนะ มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่ดูถูกคุณค่าความเป็นคน ไม่จำนนต่อชะตาชีวิตนี้
ไม่ยอมแพ้หากไม่สู้สุดชีวี เมื่อได้มีก็พอได้ก็สุขเป็น
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคน ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
* คนต้องบำเพ็ญ เรื่องความจำเป็นก็ยุ่งนัวอยู่ รู้ว่าศิษย์ไม่ไหว ตั้งหลักได้ไหมมาหาทางสู้ จะเรียนธรรมต่อไป ฝึกวาจากับใจ มาเอาเรื่องดีดีมาเด้อ พูดดีเสมอ สมเป็นพวกเฮา
ได้พบธรรม บำเพ็ญธรรม จงอย่าคิดมาก เหนื่อยและหนัก มักทำได้ จริงใจต่อทุกอย่าง หอบหัวใจไม่หดหายตามกาล มาสู้งานวานฝึกใจนี้ ธรรมะฟังอย่างรวบรัดหลายที ความรู้เหมือนมีแท้จริงแล้วน้อย (ซ้ำ *) โอ้...หนอ...หนอ...ไปด้วยกัน
วุ่นว่างว่างวุ่นรูปลักษณ์ไม่มี เจ้าสิย้อนมองตน จะเห็นตัวเองพุทธะน้อยน้อย เจ้ามักหมดแรงข้างในกัน ถึงเดินเดินล้มได้ ธรรมน่าคิดใช้ธรรมง่ายง่าย กำราบความยึดมั่น คิดดีมีแรงจะไม่หนักหนา การนำพาคนส่วนใหญ่นำใจ แม้ธรรมเรียบเรียบพาข้ามฟากไป ปัญหาหมักหมมจงอย่าใช้ตา (ซ้ำ *) โอ้...หนอ...หนอ...ไปด้วยกัน (ซ้ำ __ )
(ไปด้วยกัน บนเส้นทางธรรม)
ชื่อเพลง : ตามองดาวเท้าเหยียบดิน
ทำนองเพลง : คนบ้านเดียวกัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์ว่าระหว่างวัวกับแมลงปออะไรใหญ่กว่ากัน (วัว) แต่ทำไมคนบางคนเห็นแมลงปอใหญ่กว่าวัว แปลกไหม (แปลก) อาจารย์ขอถามว่าเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต) แต่ทำไมบางทีเราเห็นเงินทองใหญ่กว่าชีวิตล่ะ จริงไหม (จริง) อาจารย์เลยรู้สึกตลกๆ คนบางคนถ้าตอนนี้รักแมลงปอเกลียดการดูแลวัว เขาก็จะรู้สึกว่าการมีชีวิตได้เล่นกับแมลงปอเป็นความสุข ดีกว่าจะต้องมานั่งดูแลวัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ในโลกเรานี้อะไรเล็กอะไรใหญ่ขึ้นอยู่กับความสำคัญ ถ้าเราให้อันหนึ่งสำคัญ อีกอันหนึ่งแม้จะใหญ่ขนาดไหนก็อาจจะเล็กกระจ้อยร่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้เราให้ความสำคัญกับเงินทองจนบางครั้งลืมชีวิตที่จริงแท้หรือเปล่า ถ้าถามบอกว่าให้มาฟังธรรมะ มาเข้าใจชีวิต มารู้จักชีวิตเรา บอกไม่เอา เอาเงินก่อน ใช่หรือไม่ แต่ถึงเวลาเงินซื้อชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) เงินทำให้ขึ้นสวรรค์ได้ไหม (ไม่ได้) ใช้เงินดีไม่ดี เงินอาจทำให้ตกนรก แล้วก็ตายทั้งเป็น ฉะนั้นบางครั้งเราอยู่ในโลก อย่าพยายามให้ความสำคัญกับชีวิตผิดไป โดยปล่อยให้เงินนั้นบังตาบังใจไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาแม่ครัวพ่อครัว) เห็นหน้าแม่ครัวหรือยัง มี พ่อครัวด้วยใช่ไหม มากจนนับไม่ถ้วน ทำไมแม่ครัวที่นี่มากเหลือเกิน เพราะเป็นแม่ครัวฝึกหัดใหม่ ยังไม่เคยลองทำ ยังไม่เคยรับผิดชอบใช่ไหม (ใช่) แล้วเป็นอย่างไร งานใหญ่ๆ รับผิดชอบยากไหม (ยาก) ทำงานร่วมกันยากไหม (ยาก) ยากตรงที่ทำอย่างไรให้เขาต้องฟังเราแล้วเชื่อเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะนานาจิตตัง นานาความคิด แต่จะรวมกันอย่างไรให้เป็นหนึ่งแล้วออกมาสำเร็จได้เป็นเรื่องยาก ฉะนั้น อาจารย์อยากบอกว่าอยู่ร่วมกัน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความอะลุ้มอล่วยกัน สามัคคีกันแต่เขาคิดทางเราคิดทาง จะไปด้วยกันได้ไหม (ไม่ได้) ใช่หรือไม่
ศิษย์รู้จักส้มโอไหม ส้มโอจะกินได้ต้องปอกเปลือก แล้วเนื้อมันเป็นอย่างไร มันเป็นเม็ดเกล็ดเล็กๆ รวมตัวกันเป็นหนึ่งแพ แล้วแต่ละแพๆ รวมกันเป็นหนึ่งลูก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนี้ เกล็ดเล็กๆ รวมตัวกันเป็นหนึ่งแพ แต่ละแพรวมตัวกันออกมาเป็นหนึ่งผล ทำให้ได้นะ แต่ก่อนจะทำให้ได้ก็ต้องใช้ความพยายามในการแกะให้ได้ก่อน แต่งานนี้สำเร็จได้ แค่แม่ครัวคนเดียวไหม (ไม่ใช่) ยังมีทั้งคนที่เป็นบุคลากร มีทั้งอาจารย์บรรยายธรรม อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมและก็ตัวศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี้ทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น การจะอยู่ร่วมกันแล้วงานประชุมธรรมจะสำเร็จได้ ย่อมขาดไม่ได้ซึ่งส่วนใดส่วนหนึ่ง ต้องรวมตัวกัน มีแม่ครัว มีบุคลากร มีอาจารย์บรรยายธรรม อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม แต่ถ้าไม่มีศิษย์ งานประชุมธรรมก็คงไม่เรียกว่าสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น อยู่ในโลกนี้จะตาเล็กตาใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้) ต้องให้ความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน แต่เราก็อดตาเล็กตาใหญ่ไม่ได้
ศิษย์ว่าอาจารย์เมาเหล้า แต่ตัวศิษย์เมาอะไร อาจารย์เมาอาจารย์รู้ตัว แต่ศิษย์เมาศิษย์ไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง) บางคนเมาเงินทอง บางคนเมาเกียรติยศ บางคนเมาคำสรรเสริญเยินยอ บางคนเมา (ธรรมะ) มีเมาธรรมะด้วยใช่ไหม พวกที่อ่านหนังสือมากๆ แล้วเมาวิชาความรู้ คิดว่าตัวเองรู้แน่ รู้จริง แล้วฟังใครไหม (ไม่ฟัง) นี่แหละเรียกว่าเมาความรู้ แต่ที่จริงแล้วความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดก็มีถมไป ใช่ไหม (ใช่) แล้วตอนนี้ศิษย์กำลังเมาส้มตำหรือเปล่า กินแล้วติดใจ “เดี๋ยวต้องกลับไปตำอีก แต่ต้องตำให้แซบ กว่านี้” เมาอย่างนั้นหรือเปล่า บางคนติดรสเปรี้ยว พอเขาตำส้มตำก็บ่นใหญ่ว่า “ไม่เปรี้ยวๆ เปรี้ยวอีกหน่อยจะอร่อย เดี๋ยวจะกลับไปตำให้เปรี้ยวๆ” ใช่ไหม (ใช่) นี่แหละเขาเรียกว่าเมาในรสชาติ ติดในรส จึงทำให้กินส้มตำแล้วไม่มีความสุขไม่อร่อย จริงไหม (จริง)
แล้วเราเคยเมากับกาลเวลาไหม อย่างเช่นอยู่บ้านสบายมาก พอมานั่งตรงนี้ อยากกลับไปนอนสบายๆ นี่ล่ะเขาเรียกว่าเมาอดีตลืมอยู่กับปัจจุบัน หรือบางคนเมารูปร่างตัวเอง หรือที่ศิษย์เรียกว่าหลงตัวเอง เมื่อก่อนหล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ สวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ พอดูตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร แก่ก็สวยแล้วกัน ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์บางคนเป็นอย่างนี้ พอใครมาว่าไม่สวย ก็เลยโกรธ รับไม่ได้เลย
ศิษย์เข้าใจแล้วหรือยังว่าเรามาฟังธรรมะ บำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร เราบำเพ็ญธรรมเพื่อมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ความคิด ไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงจนกลายเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ การบำเพ็ญธรรมช่วยทำให้เรามีสติ ไม่หลงไม่เมาในรูปรสกลิ่นเสียงในโลก จนกลายเป็นผู้ที่หาเหตุให้กับตัวเองทุกข์โดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมเพื่อเรียกสติกลับมา มีสติในการดำเนินชีวิตไม่เมาตัวเองหลงตัวเองจนเกินไป หรือไม่เมาหลงผู้อื่นจนมากเกินไป
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็เพื่อย้ำเตือนให้เรามีธรรมมีสติในการดำเนินชีวิต ไม่ปล่อยให้ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นมาลากจิตใจให้หลงฟุ้งเฟ้อไปโดยไม่รู้ตัว แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ดูได้จากตอนทานข้าวว่าทานลงไหม ถ้าติดในการทานเนื้อสัตว์ ทานไปก็บ่นไป ทานไปก็คิดถึงเนื้อสัตว์ไป ถ้าติดในความสบายที่บ้านจะนั่งตรงนี้ได้รอดไหม (ไม่รอด) ถ้าติด ในความรู้วิชาของตัวเองจะฟังใครได้จบไหม (ไม่จบ) เพราะอะไร (ยึดมั่น) ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความเก่งของตัวเองเลยฟังใครได้ไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ศิษย์เลิกเมาแล้วหรือยัง (ยัง) กลับไปบ้านก็ยังไปเมาต่อ เมาสามี เมาลูก เมาเงินทอง ฉะนั้นต่อไปฟังธรรมะแล้วจงมีสติ ก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองเมาจนไม่รู้จักยั้งคิด ได้หรือไม่ (ได้)
ใครคิดว่าตัวเองเก่งบ้าง ใครคิดว่าตัวเองดีแล้วบ้าง ไม่มีเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วใครคิดว่าตัวเองเลวร้ายมาก ทั้งไม่เก่ง ทั้งไม่เลว ศิษย์เป็นพวกก้ำๆ กึ่งๆ ใช่ไหม (ใช่) จะดีก็ดีไม่ถึงที่สุด จะร้ายก็ไม่กล้าร้าย คนเช่นนี้ น่ากลัวไหม (น่ากลัว) จะเป็นอะไรก็ไม่รู้ตัวเองสักที อย่างนี้ได้ไหม
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี) แล้วแสดงความยินดีด้วยการ (ยิ้ม) เอาแค่รอยยิ้มก็พอ ไม่ใช่เจออาจารย์ก็น่าบึ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) บำเพ็ญธรรมง่ายๆ เวลาอยู่กับใครใช้รอยยิ้มเป็นใบเบิกทาง รู้จักไม่รู้จักจะไปทำอะไรหรือใครทำธุระอะไร ต้องเอาใบหน้านี้แหละเป็นใบเบิกทาง ใช่ไหม (ใช่) คิ้วขมวด ปากแสยะ หน้าบึ้ง ใครเขาอยากจะทำงานกับเราด้วย ฉะนั้นเอาใบหน้านี้เป็นใบเบิกทางด้วยการ (ยิ้ม) ยิ้มด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย
วันนี้อาจารย์มา ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์จะ (ยืน) ถ้าอาจารย์ยืนสองชั่วโมง ศิษย์จะ (ยืน) พูดอะไรแล้วอย่าคืนคำ ไม่อย่างนั้นคำพูดของศิษย์นั้นจะทำให้ศิษย์ต้องตายทั้งเป็น ฉะนั้น จะพูดอะไรก็ต้องรู้จักระมัดระวัง อย่ามีปากแล้วเอาแต่พูด ไม่อย่างนั้นปากจะฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น ศิษย์จะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองพูด
ตอนแรกนั่งเก้าอี้นี้เป็นทุกข์ ใช่ไหม ตอนนี้เก้าอี้นี้อาจารย์จะเสกให้มันกลายเป็นความสุข ด้วยการปล่อยให้ศิษย์ยืนสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วเก้าอี้นี้ก็จะกลายเป็นความสุขขึ้นมาทันที ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่นั่งและไม่นอน ย่อมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเลย อยู่แค่เพียงเราจะคิดได้หรือคิดไม่ได้เท่านั้นเอง ในความสุขก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ และในความทุกข์ก็อาจจะกลับกลายเป็นความสุขได้ทันที
วันนี้อาจารย์มาเจอหน้าศิษย์ อาจารย์ก็อยากพูดอะไรดีๆ เป็นของขวัญให้กับศิษย์เอากลับไปคิดที่บ้าน พูดยาวเกินไปก็กลัวศิษย์ได้หน้าลืมหลัง ไม่พูดเลยก็กลัวเสียโอกาส
อาจารย์ถามว่าถ้าพูดถึงเรื่องอาหารการกินศิษย์นึกถึงอะไรกัน เวลาพูดถึงอาหารเวลาหิว ศิษย์ก็นึกถึงว่าต้องมีอะไร มีกับข้าว มีข้าว ใช่หรือไม่ แล้วกับข้าวที่ศิษย์นึกส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งเราติดรสชาติเพียงเพราะลิ้น แล้วเรายอมเบียดเบียนทำร้ายสัตว์เพียงเพื่อให้เราอิ่มท้อง
นิสัยของมนุษย์อย่างแรกต้องกินดี อย่างที่สองต้องอยู่ดี อย่างที่สามต้องนอนแล้วมีความสุข ฉะนั้นพอพูดถึงเรื่องกินเราก็จะต้องนึกถึงรสชาติที่ติดอยู่ที่ลิ้น รสชาติที่อยู่ในความจำของเรา แล้วบางครั้งรสชาติที่อยู่ในความจำของเรา ก็สามารถทำให้เราหลงลืมความเป็นคนมีเมตตาธรรมไป ระหว่างเห็นเขากำลังผัดผักน่ากิน กับเห็นหมูปิ้งกำลังย่างหอมๆ ศิษย์ว่าศิษย์จะเดินไปหาผัดผักหรือหมูปิ้ง (หมูปิ้ง) เพราะจมูกมันได้กลิ่น ฉะนั้นบางครั้งความอยากกินของเรา จึงทำให้เราหลงลืมความเมตตา ทำไมอาจารย์ถึงพูดอย่างนี้
ถ้ามีวัวเป็นๆ ทั้งตัว ศิษย์อยากกินไหม (ไม่อยาก) มีหมูเป็นๆ ทั้งตัว ศิษย์อยากกินไหม (ไม่อยาก) แต่ทำไมพอเป็นลาบ เป็นหมูปิ้ง เป็นเนื้อทอด ทำไมจึงอยากกิน (กลิ่นมันหอม, เพราะมีกลิ่น) นั่นแปลว่าเรายอมลืมความเมตตา เรายอมลืมความน่าสงสารของสัตว์ เพียงเพราะว่าจมูกเรา ได้กลิ่น ความทรงจำที่เราเคยได้ลิ้มรส แต่ก่อนจากหมูตัวที่มีชีวิตจะกลายเป็นหมูปิ้ง ศิษย์มองข้ามอะไรไป ลืมตอนที่มันถูกฆ่า ลืมตอนที่มันถูกน้ำร้อนลวก ลืมตอนที่มันร้องครวญคราง ลืมตอนที่มันเจ็บแสบรวดร้าว ศิษย์ลืมเพียงเพราะว่าจมูกศิษย์ได้กลิ่น เพราะเพียงแค่กลิ่นเท่านั้นเองหรือ ศิษย์จึงลืมความเมตตาในหัวใจ จึงมองภาพเพียงแค่สิ่งที่ตัวเองเห็น แต่ลืมภาพความเป็นจริงก่อนหน้านี้
ศิษย์ว่าก่อนจะเป็นหมูปิ้ง ที่ศิษย์บอกว่าหอม อร่อย เขาต้องเลี้ยงหมูอย่างไร อาหารที่ศิษย์กินทิ้งๆ บ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูก ทิ้งลงไปในอาหารนั้น แล้วเขาก็เอาอาหารนั้นมาสับๆ ให้หมูกิน แล้วหมูถ่ายตรงไหน (ในคอก) นอนตรงไหน (ในคอก) แล้วชอบกินไส้หมูไหม (ชอบ) ก่อนที่หมูมันจะถูกฆ่า เขาต้องทำอย่างไร บังคับลากมันมา ถ้ามันหนี เอาน้ำร้อนสาด แล้วขาที่โดนน้ำร้อนเป็นอย่างไร ร้อนไหม (ร้อน) จับมันขึงไว้แล้วเอามีดแหลมๆ แทงลงไปที่ลำคอ ชอบกินต้มเลือดหมูไหม ต้มเนื้อเปื่อย ชอบไหม (ชอบ) เอาถ้วยมารองเลือด ทั้งที่ตอนได้เลือดมันนั้นมันต้องเจ็บปวด เพียงแค่ว่าจมูกได้กลิ่น ความทรงจำเพียงแค่หมูมันอร่อย แต่เราลืมความจริงข้อนี้ไปไหม ถูกไหม (ถูก)
แล้ววัวที่ศิษย์เลี้ยงเอาตัวใหญ่ๆ เนื้อจะได้เยอะๆ ตัวยิ่งใหญ่ความเจ็บปวดยิ่งมาก ทุบทีเดียวตายไหม (ไม่ตาย) ปลาชอบกินไหม ปลาดุกชอบกินขี้ไก่ ยิ่งเลี้ยงด้วยขี้ไก่ปลาดุกยิ่งตัวโต มันยิ่งดี ศิษย์กินไหม (กิน) เวลาเราเล็บหลุดเจ็บจนน้ำตาเล็ด แล้วตอนถอดเกล็ดปลาดุกล่ะ อย่าเพียงเพราะอยาก จนลืมเลือนความเมตตาในหัวใจ อย่าเพียงเพราะเห็นตรงหน้า จนลืมเลือนฉากที่มันต้องถูกฆ่า ถูกทรมานไป
ศิษย์รักความสบายไหม อยู่เฉยๆ มีข้าวกิน นอนเฉยๆ มีคนเอาโน่นเอานี่มาให้ ชอบไหม (ชอบ) คนอื่นเขานั่งทำงาน เรานั่งไขว่ห้างเฉยๆ ฉันไม่รู้จะทำอะไร นั่งไขว่ห้างมองดู ข้าวมาแล้วกินข้าว ศิษย์รู้ไหมกว่าจะปลูกข้าวได้สำเร็จ คนอื่นเขาทำเหงื่อไหลไคลย้อยขนาดไหน ศิษย์นั่งสบาย แต่คนอื่นลำบาก แล้วเราล่ะมีชีวิตอยู่ในโลก คนที่เป็นลูกแล้วปล่อยให้แม่ทำงานงกๆ “แม่ ข้าวมาหรือยัง กับข้าวอันนี้ไม่น่ากินเลย” จำได้แต่ตอนแม่บ่น แต่เคยนึกถึงตอนที่แม่อาบเหงื่อตากน้ำหาเงินให้เราไหม กว่าจะหาเงินมาได้ ศิษย์รักความสบาย แต่อย่าลืมนึกนะว่ายังมีคนลำบากอยู่ ถ้าเมื่อไรศิษย์เสพสุขโดยตัวเองไม่ต้องทำอะไร ได้กิน ได้มี ได้อยู่ ศิษย์รู้ไหมว่ายังมีคนลำบากกว่าศิษย์อีก อย่าปล่อยให้ความรักสบายทำให้เราลืมเลือนมโนธรรมในหัวใจ
อีกอย่างที่มนุษย์เราชอบทำ คือ “ขอ” เกลียดไหมคนช่างขอ (เกลียด) แต่เราขอไหม (ขอ) “เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอสองตัว ขอให้หายไวๆ ” แต่ถ้าทุกวันเอาแต่หาเงินแล้วไม่พักผ่อน แล้วมาขอให้ร่างกายแข็งแรง ขอให้หายจะหายไหม ชอบกินมากๆ จึงอ้วน เข่าก็เลยไม่ดี ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษาหัวเข่าหน่อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรักษาหายไหม (ไม่หาย) อะไรได้มาฟรีๆ ชอบไหม (ชอบ) อย่าเป็นคนช่างขอจนลืมเลือนจริยธรรม ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จริยธรรมที่ดีก็คือเมื่อรู้จักได้ก็ต้องรู้จักให้ อย่าเป็นคนที่รู้จักแต่ได้แต่ให้คนอื่นไม่เป็น เช่นนี้แล้วท่านก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน
สิ่งที่ศิษย์ชอบเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือเห็นตัวเองมากกว่า (คนอื่น) พอตัวเองเหนื่อยก็เลยบ่น พอบ่นก็เลยหงุดหงิด แล้วคิดว่าคนอื่นไม่เหนื่อยหรือ ฉะนั้น เวลาเหนื่อยมาก็อย่าหงุดหงิดง่าย อย่าพาลง่าย อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียปัญญาธรรมไป เป็นคนที่พูดอะไรปากเร็วเท่าใจคิดไหม เพราะปากไวกว่าใจคิด ทำอะไรก็เลยไม่ค่อยคำนึงว่าควรหรือไม่ควร ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นคนที่สูญเสียสัตยธรรม
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมไม่ว่ากิน อยู่ หลับ นอน จึงไม่ควรทำให้สูญเสียคุณธรรมของความเป็นคนไป เมตตาธรรมมีอยู่ในใจเราไหม (มี) กินหมูมากๆ อาจารย์ถามหน่อยสงสารไหม (สงสาร) เวลากินลองพูดคำว่า “สงสาร” แล้วอาจารย์จะดูว่าศิษย์จะกินได้ลงไหม เมตตาธรรมมีอยู่ในหัวใจของศิษย์ มโนธรรมก็มีอยู่ในใจของเรา ถ้ามีเมตตาธรรม มีมโนธรรม ศิษย์จะเป็นคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ รักสบายโดยไม่สนใจผู้อื่นหรือไม่ แต่เพราะอะไรเราจึงกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ และบางครั้งลืมเลือนความเมตตาความเห็นใจกัน เพียงเพราะจมูกได้กลิ่น ปากติดรส ใจอยากจะสบาย เลยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น คนเช่นนี้อยู่ไปก็ (รกโลก) ศิษย์พูดเองนะ
เรามาฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะเพื่อฟื้นฟูคุณธรรมของความเป็นคน ให้ยังคงอยู่ในหัวใจเรา แล้วสิ่งที่อาจารย์พูดนี้อยู่ที่อาจารย์หรืออยู่ที่ตัวศิษย์ (ตัวศิษย์) ในตัวเรามีจิตใจเมตตาสงสารผู้อื่นไหม (มี) แต่เวลาหิวลืมสงสาร เวลาอยากสบายลืมเห็นใจคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้น อย่าปล่อยให้ปรากฏการณ์เพียงที่เห็นชั่วครู่ชั่วคราว ทำให้เราหลงลืมความเป็นจริงในหัวใจ หลงลืมคุณธรรมของความเป็นคนในตัวตน อย่าเห็นแก่หมูปิ้งๆ จนทำให้เราเป็นคนใจดำ ใจร้าย ฆ่าสัตว์ “ตอนนี้ขอนั่งสบายๆ ก่อนนะ แม่อยากทำก็ทำไป” เช่นนี้เรียกว่า “อกตัญญูแท้ๆ” ฉะนั้นความเป็นคนหายไปเพราะตัวตนเองทำทั้งสิ้น
อาจารย์ขอถามศิษย์ สิ่งใดในตัวเรา เมื่อมีแล้วมักจะทำให้เรากระทำผิด กลายเป็นคนขาดคุณธรรมขาดศีลธรรม มีอะไรหรือที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่ดี (กิเลส) กิเลสตัวไหน (ความโกรธ, ความอยาก, ความโลภ) มีอะไรที่ทำให้เรามักชอบทำผิดทำพลาด กิเลสในใจ รู้ว่าอยู่ในใจ กิเลสตัวไหนที่มีฤทธิ์มีผลกับตัวเรามากที่สุด (ไฟแห่งความโกรธ, จิตใจร้าย) จิตใจร้ายที่สุดเลยหรือ จิตใจอะไรทำไมร้าย จิตใจตัวไหนที่น่ากลัวที่สุด (ใจที่ไม่มีมนุษยธรรม, ความหลงตัวเอง, โทสะ) โกรธง่ายไหม หงุดหงิดง่ายใช่ไหม (ความงก, อิจฉา) อิจฉาใช่ไหม เขาได้แต่เราไม่ได้
(ความกระหาย) กระหายเหล้าหรือเปล่า หรือกระหายบุหรี่ กระหายแบบนี้ไม่ดีมีแต่โทษ แล้วยังเป็นไหม ถ้ากินแอบเปิ้ลนี้แล้วต้องเลิกนะ ต้องทำให้ได้แล้วก็ต้องเลิกให้ได้ด้วย ไม่กลับไปอีก เช่นนั้นศิษย์จะต้องตายทั้งเป็น (อารมณ์ชั่ววูบ, รูปรสกลิ่นเสียง, ความหลง, ขาดสติ, อยากได้อยากรวย) ดังนั้นจงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าขยันขันแข็งก็ต้องรวยแน่ (ขาดธรรมะ, ไม่รู้จักพอ, กิเลสตัณหาที่ทำให้มีความอยาก) ความอยากที่ไม่รู้จักพอ เพราะอะไรที่ทำให้เรากลายเป็นคนผิดคนไม่ดี (ความโลภ, จิตใจไม่ เคยพอ) ต้องรู้จักระมัดระวังมีสติ อย่าห่วงแต่ตัวเองจนลืมเมตตา
(โลภไม่พอดี, ความหลงในรูปรสกลิ่นเสียง, ความโลภ, ความรัก, ความโกรธ, ความโลภต่อตำแหน่งและหน้าที่การงาน) ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเวลาไปแย่งกับเขาแล้วมันเหนื่อย ใช่ไหม (ความโลภ เพราะอยากได้ของ คนอื่น, ความละโมบ, ชอบเอาชนะและขาดวินัย)
ศิษย์เอ๋ยชีวิตนี้สิ่งที่ทำให้ศิษย์จากนางฟ้ากลายเป็นปีศาจ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้อย่างนี้แล้วยังมีไหม (มี) รู้แล้วยังตัดไม่ได้เสียที (ไม่รู้จักประมาณตัวเอง, ไม่รู้จักควบคุมสติ, เพราะคนยังขาดสติ) แล้วเราขาดสติไหม พอเห็นปุ๊บอยากได้ปั๊บ ถูกไหม (ถูก) ถูกหรือ นี่แหละศิษย์ขาดสติจริงๆ (ความอิจฉา) เขาได้แอบเปิ้ล เราไม่ได้แอบเปิ้ลสักทีใช่ไหม หรือเขามีเสื้อสวยๆ เราก็ต้องมีเสื้อสวยๆ ใช่ไหม (ใช่) แล้วต่อไปจะเป็นแบบนี้ไหม (ไม่เป็น) วางใจเป็นกลาง เห็นใครได้ดีต้องยินดีในความสุข (เป็นคนเห็นแก่ตัว) อะไรที่ทำให้ศิษย์กลายเป็นคนไม่ดี (ความงก) ความงกทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) ตอบได้ดี
เรื่องสุดท้ายที่อาจารย์จะบอก ศิษย์ทุกคนอยากเป็นคนดี พอเราเป็นคนดีเราก็เลยอยากให้คนรอบข้างดีด้วย แต่พอเขาไม่ได้ดีดั่งใจ เราก็เลยร้ายใส่เขาเลย เหมือนเรามีน้ำใจกับคนหนึ่งแต่เขาแล้งน้ำใจ ศิษย์ก็เลยแล้งน้ำใจกลับ อย่างนี้เรียกว่าคนดีที่แท้จริงไหม (ไม่) ศิษย์เกลียดคนแล้งน้ำใจ แต่พอเขาแล้งน้ำใจกลับ ศิษย์ก็แล้งน้ำใจตอบ อย่างนี้ศิษย์ต่างอะไรกับเขาล่ะ ฉะนั้น ถ้าศิษย์เป็นคนซื่อตรง เจอคนคดศิษย์ก็เลยโมโหเลยคดกลับเลยได้ไหม (ไม่ได้) คนดีที่แท้จริงต้องเป็นอย่างไร ผู้มีคุณธรรมย่อมไม่สูญเสียคุณธรรมเพราะผู้อื่นไม่ปฏิบัติตอบ
ศิษย์เคยได้ยินนิทานอีสปเรื่องหนึ่งไหม “สุนัขจิ้งจอกกับองุ่นเปรี้ยว” อาจารย์จะเล่าให้ฟัง สุนัขจิ้งจอกเห็นไร่องุ่น พอเห็นปุ๊บก็เดินเข้าไป พอเดินไปก็เห็นองุ่นลูกโตๆ ท่าทางจะหวานน่ากิน แต่ต้นองุ่นอยู่สูง มันอยากจะกินก็เลยพยายามกระโดดงับ แต่กระโดดจนหมดแรงหลายทีก็ยังไม่ได้กิน สุนัขก็เลยบอกว่า “เชอะ ไอ้องุ่นเปรี้ยว” ศิษย์เข้าใจไหม
เหมือนกัน ถ้าเราทำดีแล้วหวังให้คนอื่นได้ดีแล้วเขาไม่ดี ศิษย์อย่าไปปรามาสเขาว่า “ไอ้องุ่นเปรี้ยว” เมื่อเจอคนทำอะไรไม่ถูกตาไม่ถูกใจ ศิษย์เป็นคนดีอยู่ แล้วศิษย์จะเสียอารมณ์กับคนไม่ดีทำไม คนดีจริงต้องไม่สูญเสียความดีแม้จะเจอคนไม่ดีก็ตาม ยังรักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม ไม่สูญเสียความบริสุทธิ์ยุติธรรมไปจากหัวใจ ฉะนั้นเมื่อเราทำดีแล้วหวังให้คนอื่นได้ดี แต่เขาไม่เอาดีศิษย์อย่าโกรธ ไม่อย่างนั้น จะเป็นสุนัขที่อยากกินองุ่นเปรี้ยว ทั้งที่จริงแล้วองุ่นอาจจะหวาน แต่เรากลับบอกว่ามันเปรี้ยว
ศิษย์เคยเห็นสายน้ำไหม (เคย) สายน้ำมีทั้งคดมีทั้งตรง แต่จริงๆ น้ำคดไหม (ไม่) น้ำก็ยังรักษาความเป็นน้ำ คือความอ่อนนุ่มและความลื่นไหล ศิษย์เคยเห็นแม่น้ำไหม (เคย) เห็นไหมว่าเขาตักไปกี่ขันๆ สักพักน้ำก็กลับมาเหมือนเดิม น้ำที่สกปรกพอปล่อยให้นิ่ง ความใสก็กลับมาได้ อาจารย์จึงเห็นน้ำแล้วคิดถึงศิษย์ ถ้าศิษย์ทุกคนบำเพ็ญได้อย่างน้ำก็คงจะดี ศิษย์เป็นคนดี ศิษย์มุ่งมั่นจะบำเพ็ญ ศิษย์มุ่งมั่นจะกินเจ เมื่อเจออุปสรรคเมื่อเจอภาวะบีบคั้น ศิษย์ยังคงรักษาหัวใจเช่นน้ำได้ไหม แม้จะถูกบีบให้คด บีบให้เข้าซอก บีบให้เข้าซอย ศิษย์ยังคงเป็นน้ำที่ยังรักษาความเป็นน้ำได้ไหม แม้จะถูกเขาตักตวง แม้จะถูกเขาเอาเปรียบ แม้จะถูกเขาคดโกง ศิษย์จะยังคงรักษาความเป็นคนดีได้ไหม ให้ดีได้อย่างน้ำนะ
แล้วถ้าวันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์ที่พยายามเป็นคนดีแล้วเผลอเป็นคนไม่ดี ศิษย์จะกลับมาหาอาจารย์แล้วพร้อมเป็นคนดีใหม่ไหม (พร้อม) ฟังแล้วก็ชื่นใจ อาจารย์กลัวอย่างเดียวพอเผลอผิดพลาดกลายเป็นคนไม่ดี ศิษย์จะไม่กลับมาอีก สิ่งที่น่ากลัวในหัวใจของมนุษย์ก็คือ พอผิดพลาดไปแล้ว พอโดนว่าไปแล้ว “แกว่าฉันชั่ว ฉันก็ชั่วให้แกดูเลย” พอพลาดไปแล้วชั่วไปแล้วไม่กลับมาดีให้อาจารย์เห็น ก็น่าเสียใจนะ น้ำสกปรกเมื่อนอนนิ่ง ยังรู้จักสำนึกกลับเป็นน้ำใสได้ จิตที่พลาดผิดไปถ้ารู้สำนึกได้ไยจะกลับเป็นคนดีไม่ได้ ล่ะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนคำว่า “ดาบตรงย่อมไม่คด”)
เหล็กดีต้องไม่กลัวการหล่อหลอม คนดีที่แท้จริงจะมุ่งมั่นบำเพ็ญไม่กลัวภาวะแวดล้อมบีบคั้น เมื่อคิดมุ่งมั่นจะเป็นคนดีขอให้เป็นคนดีให้ถึงที่สุด เป็นคนดีจนหมดลมหายใจสุดท้าย อย่าสูญเสียความดีเพราะความโลภ โกรธ หลง อย่าสูญเสียความดีเพราะความเลวร้ายของผู้อื่น หรืออย่าสูญเสียความดีเพราะแพ้ภัยตัวเอง มุ่งมั่นจะทำอะไรแล้วขอให้ไปให้ถึงที่สุด อย่าล้มกลางคัน ล้มแล้วก็รีบลุก อาจารย์ให้อภัยศิษย์เสมอ กลัวอย่างเดียวศิษย์ไม่ให้อภัยตัวเอง
รักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม ฟังธรรมะเมื่อมุ่งมั่นจะทำแล้วจงทำให้ถึงที่สุด อุทิศเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น ศิษย์ชอบทำบุญไหม (ชอบ) บุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการฉุดช่วยคน ศิษย์เคยได้ยินไหม ช่วยคนๆ หนึ่งเหมือนสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น รู้จักช่วยตัวเองแล้วจงเอาธรรมะไปช่วยผู้อื่น เพราะบุญนี้ประเสริฐยิ่งกว่าการทำบุญอะไรในโลก อย่าคิดว่าอาจารย์มาหลอกลวงเลยนะ เป็นเด็กดีรู้จักเลือกทำแต่สิ่งที่ดีที่ถูกต้อง อย่าเอาแต่ใจ อย่าดื้อได้ไหม มีโอกาสมาประชุมให้ครบนะศิษย์ ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ มีโอกาสกลับมาผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์อีก เข้มแข็งดูแลตัวเอง มุ่งมั่นบำเพ็ญในสิ่งที่ถูกนะศิษย์นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดาบตรงย่อมไม่คด”
ในความตรงย่อมจะไม่แฝงความคด กฎคือกฎปฏิบัติอาจดูแข็ง
วาจาสัตย์ย่อมไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง แต่ดาบแกว่งกลับเป็นศิลปะที่ชวนมอง
คนเป็นดาบกวัดแกว่งไกวไม่ชวนพิศ แทงบ้างถูกบ้างผิดน่าสยอง
สอนใจคนผู้จะเป็นนักปกครอง ความตึงพร่องความหย่อนโทษกว่าคุณ
การวัดว่าใครเขาผิด ในแบบความคิดของตน
ทะเลาะเพราะความถูกจน ความผิดท่วมท้นบานปลาย
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทที่จัดทำผิดพลาด ของชั้นประชุมธรรม ณ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
หน้า ๑๖ กลอนนำวรรคที่ ๔
จาก ผิดพลาดไปไม่มีใครอยากให้อยู่
แก้เป็น ผิดพลาดไปไม่มีใครอยากให้มี
หน้า ๑๖ เพลงบรรทัดสุดท้าย
จาก คลำความจริงไม่ครบ ลบเดียวจำจนตาย
แก้เป็น คลำความจริงไม่พบ รบเดียวกรำจนตาย
พระโอวาทซ้อนบรรทัดสุดท้าย
จาก ไม่ เคย ไม่ ทะเลาะ เรื่อง ช่วย คน
แก้เป็น ไม่ เคย ไม่ ทั้ง ยัง ช่วย คน