西元二○○八年 歲次戊子 九月二十日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมถงซิน อ. ดำเนินฯ จ. ราชบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ตะวันเดือนเคลื่อนคล้อยไม่หยุดนิ่ง ชีวิตยิ่งทียิ่งวิ่งตามกัน
สละให้หรือว่าเฝ้าแข่งขัน เฝ้ายึดมั่นหรือว่าหมั่นปล่อยวาง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
จิตใจคนนั้นไม่สงบนิ่ง แสวงยิ่งในสุขยิ่งทุกข์มาก
ญาณภายในแห่งตนเองไม่รู้จัก กลับไปหนักวัตถุเรื่องนิยม
การเป็นคนนั้นยากหรือว่าง่าย ทำอะไรพูดอะไรใช้สติ
เมื่อสิ่งใดจะชอบชังเข้าดำริ ก่อนจะติต้องรู้จักตนเองพอ
คนนั้นชอบเถียงกันถูกหรือผิด ย้อนมองนิดแม้ตนยังเป็นกลางไม่ได้
ธรรมในคิดธรรมในพูดธรรมในกาย ธรรมในใจรู้ทันด้วยศึกษามี
สองวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต อย่ายึดติดในสิ่งที่ตนเคยรู้
ความรู้แจ้งในตนจงเป็นครู ปัญญาสู่เมธีน้องคนดี
จงตั้งใจอยู่ให้ครบทั้งสองวัน ธรรมสว่างนั้นส่องทางชั่วชีวิต
จงอย่าปล่อยให้ใจนั้นคอยปิด น้องสนิทเบื้องบนด้วยจิตแท้เดิม
อย่าหมกมุ่นสุขทุกข์จนลืมจิตใจ ไม่สุขทุกข์ใจก็อยู่ได้เช่นกัน
แค่ทำใจเห็นทุกสิ่งเป็นสามัญ สิ่งสำคัญขอแค่มีลมหายใจ
อันที่จริงคนเกิดมาเพื่อตายจาก แต่ที่ยากคือวันนี้และวันที่เหลือ
ธรรมแท้จริงหรือไม่สุดแต่เชื่อ แต่ขอเผื่อชีวิตใช้ไว้บำเพ็ญ
ในวันนี้น้องคนบุญฟังธรรมะ จงชำระจิตใจตนให้สะอาด
ตัดกิเลสเสมอเสมออย่าได้ขาด อย่าประมาทคิดว่าตนแน่นักเชียว
จงตั้งใจศิษย์พี่นั้นคุมชั้นเรียน หวังน้องเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนชีวิต
ชะตากรรมให้ความดีเข้าลิขิต จงเป็นมิตรกว่าเป็นศัตรูใคร
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
อยู่ใต้ฟ้าจงอย่าได้กลัวฝน อยู่กับคนจงอย่าได้กลัวปัญหา
อยู่กับทุกข์จงอย่ากลัวเสียน้ำตา อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่ดีที่สุด
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมถงซิน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ปัญหาสร้างคนเข้มแข็งให้แข็งแกร่ง ติดสบายพาอ่อนแรงสู้ไม่ไหว
ประมาทไว้ทำลืมเผื่อเพราะเชื่อใจ มีบ้างอะไรอย่างใจความต้องการ
หลายหลายอย่างได้จริงที่สร้างจริง แลบางสิ่งเสียไปสุดทางฝัน
เรื่องบางอย่างเห็นถึงกล้าปลงกัน เห็นปัญหาเป็นคุณพลันเพราะมองตน
เลือกความจริงความรับผิดชอบไว้ เลือกตามใจล้วนเพราะอารมณ์ส่งผล
คุณธรรมแปดธรรมดาโลกใจของคน ติดรูปนามมิพ้นยืมสังขารเวียน
อกุศลมิเว้นย้ำเตือนเข้ามาไซร้ แบ่งเราเขาของใช้วันหนึ่งเปลี่ยน
ใครเจ้าของไหนคงเข้าสลับเวียน ทรัพย์เสถียรของเรานานเหมาลงดิน
แน่ชีวิตตนว่าแน่หยิบมาตรอง คนดูของเป็นว่าต้องได้สิ้น
หัวใจได้สุขได้มีไม่ถวิล เป็นอาจิณเจ็บใจอะไรแค่ลากัน
มีปัญหาแตะอย่าในของวงปัญหา มีปัญญาเป็นนี้โลกตื่นหรือฝัน
คนนั้นอยู่กับความรู้สึกทุกวัน ปัญหานั้นอยู่ที่คนรู้สึกอย่างไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ฟังธรรมะมาตั้งนานเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) ง่วงไหม (ไม่ง่วง) ไม่เหนื่อยไม่ง่วงจะฟังอีกไหม (ฟัง) นึกว่าจะตอบว่าไม่เอา เหมือนอากาศร้อนๆ ก็อยากให้ฝนตก แต่พอฝนตกจริงๆ ก็บอกว่าไม่น่าตกเลยเพราะฉันไม่ได้เอาร่มมา มนุษย์มักเป็นอย่างนี้ รอให้เกิดปัญหา รอให้เกิดทุกข์จึงคิดหาทางแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกว่าการนั่งนานๆ อย่างนี้เป็นเรื่องทรมาน จนกระทั่งวันนี้ได้นั่งจึงได้รู้ว่าการนั่งนานก็ใช่ว่าจะสบาย แต่ก่อนมนุษย์ชอบพูดว่าอยากอยู่เฉยๆ ก็มีคนเอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน แต่พอถึงเวลาจริงๆ วันนี้มีทั้งคนทำให้กิน ล้างให้ด้วย เก็บให้ด้วย สบายไหม (สบาย) พอถึงเวลาได้จริงๆ ก็บอกไม่อยากได้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มีคำกล่าวไว้ว่า “วันเวลาช่างยาวนานแต่มนุษย์วุ่นวายจึงเห็นเวลานั้นสั้น ฟ้าดินช่างกว้างใหญ่ แต่ใจคอของมนุษย์คับแคบจึงมองเห็นแผ่นดินนั้นเล็กนิดเดียว หลักธรรมนั้นให้ความสงบ ให้ความสุข ให้ความสันติ แต่มนุษย์กลับชอบความอึกทึกครึกโครม จึงมองเห็นหลักธรรมที่สงบเป็นเรื่องไร้สาระ” ถ้าชีวิตไม่วุ่นวายก็คงไม่รู้ว่าความสงบนั้นมีค่าขนาดไหน ถ้าชีวิตไม่ทุกข์ก็คงไม่รู้ว่าสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใด ถ้ามนุษย์ไม่เจ็บปวดก็คงไม่รู้ว่าความปกติสุขของชีวิตล้ำค่าเพียงใด ถูกไหม (ถูก)
หลักธรรมแท้จริงไม่มีรูป ไร้รูป หลักธรรมคือความว่าง คือความสงบ แต่มนุษย์ยิ่งศึกษามาก กลับมองว่าไร้สาระ เพราะชีวิตชอบความอึกทึกครึกโครม จึงเห็นธรรมะที่นำไปสู่ความสงบและความว่างเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไร้สาระ จนกระทั่งปล่อยให้ชีวิตวุ่นวายจึงรู้ค่าของความสงบ จนกระทั่งปล่อยให้ชีวิตทุกข์จึงรู้ค่าของความสุขอันแท้จริง จนกระทั่งปล่อยให้ชีวิตเจ็บปวดจึงเห็นคุณค่าของความเข้มแข็งและความไร้โรคไร้ภัย เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) เรานั่งอยู่เฉยๆ เงียบๆ มีความสุขดี แต่มนุษย์กลับไม่ชอบ ต้องออกไปหาความวุ่นวาย พอวุ่นวายจนถึงที่สุดแล้วความวุ่นวายมาอยู่กับตัว วันนั้นก็เดินหาความสงบไม่เจอ ทั้งที่จริงๆ แล้วอยู่ใกล้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้กลัวที่สุดคืออะไร หนึ่งคือความทุกข์ สองคือเคราะห์ภัย สามคือความตาย หรือความดับ สี่คืออุปสรรคหรือปัญหา ในชีวิตนี้เราไม่อยากเจอเลยแต่ออกไปทีไรต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วมีสิ่งที่มนุษย์กลัวอยู่ในโลกนี้อีกไหม เมื่อสักครู่ท่านบอกว่าการสูญเสียการพลัดพราก แต่สิ่งที่มนุษย์บอกว่ากลัวนั้น เราจะบอกว่าแท้จริงแล้วไม่น่ากลัว ปัญหา ความทุกข์ อุปสรรค การพลัดพราก การตาย ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่มนุษย์ต้องกลัวคืออะไรรู้ไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ นั่งอยู่ตรงนี้มองเห็นคนเดินไปเดินมา ก็คิดว่าถ้าฉันได้เดินไปเดินมาคงมีความสุข แต่พอถึงเวลาตัวเองได้เดินไปเดินมา เห็นคนนั่งเฉยๆ ก็คิดว่าถ้าฉันได้นั่งบ้างฉันคงสุขนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยเห็นผมขาวของตัวเองไหม (เคย) ในที่นี้ใครเห็นผมขาวแล้วไม่เศร้าใจ ไม่เสียใจบ้าง เพราะอะไรถึงไม่เสียใจ (เพราะเป็นธรรมชาติ) แต่คนส่วนใหญ่พอเห็นผมขาวจะถอนหายใจ เส้นเดียวไม่เท่าไหร่พอห้าหกเส้นก็ยิ่งถอนหายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่รู้ไหมว่าคนที่ยังอยู่จนกระทั่งผมขาวได้ น่าจะดีใจเพราะอายุยืน ฉะนั้นปัญหาและความทุกข์จะไม่เกิด ถ้าเรารู้จักใจรู้จักความคิดของตัวเอง
มนุษย์เราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะหัวใจอันยึดติด ทุกข์เพราะไม่ยอมรับความจริง อยู่ตรงนี้ก็อยากได้ตรงนั้น พออยู่ตรงนั้นก็อยากกลับมาตรงนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราสามารถที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไม่ต้องกลัวทุกข์ ไม่ต้องกลัวปัญหา ไม่ต้องกลัวพลัดพราก ไม่ต้องกลัวความสูญเสีย ถ้าเรารู้จักปรับเปลี่ยนหัวใจ ปรับเปลี่ยนความคิดให้เป็น เพราะโลกใบนี้เราห้ามไม่ให้หันมุมในสิ่งที่เราไม่อยากเจอได้ไหม (ไม่ได้) มีมืดก็มีสว่าง มีคนดีก็มีคนไม่ดี มีคนพูดเพราะก็มีคนพูดไม่เพราะ มีคนชมก็มีคนติ ตัวเรายังไม่ชอบ ฉะนั้นอย่าเอาสิ่งที่ไม่ชอบไปให้คนอื่น เพราะเขาก็ไม่ชอบเหมือนเรา ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคำชมมากกว่าคำว่า ชอบคำที่ฟังแล้วรื่นหู ถึงแม้ในนั้นจะแอบทิ่มแทงเล็กๆ ก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)
“อยู่ใต้ฟ้าจงอย่าได้กลัวฝน อยู่กับคนจงอย่าได้กลัวปัญหา
อยู่กับทุกข์จงอย่ากลัวเสียน้ำตา อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่ดีที่สุด”
ถ้าเราอยากหยุดความทุกข์ อยากเผชิญปัญหา อยากจะทำให้ปัญหาหรืออุปสรรคเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัว เราต้องรู้จักวิธีจัดการและรับมือให้เป็น การจัดการและรับมือให้เป็นทำอย่างไร ไม่ว่าชีวิตเราจะเผชิญกับอะไร แม้จะเลวร้ายขนาดไหน แม้จะว่าทุกข์ยากขนาดไหน แต่ถ้าหัวใจเราบอกว่าต้องมีทางออก ต้องมีทางแก้ ปัญหาที่ว่ายากก็ต้องแก้ได้ แต่ถ้าเราคิดว่าไม่มีทางแก้ คนที่ทุกข์ก่อนก็คือเรานั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ร้ายที่สุดยังมีมุมดีๆ สิ่งที่ดีที่สุดยังแอบแฝงมุมร้ายๆ เอาแน่เอานอนอะไรกับผู้อื่นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควรจะเอาแน่เอานอนและควบคุมให้ได้ คือตัวเราเอง แล้วเราจะควบคุมจัดการอย่างไร
เมื่ออยู่ในร่างคนหนีไม่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย แต่สิ่งที่จะทำให้เราหลีกพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายได้นั่นก็คือจิตญาณของเรานี่เอง ถ้าเรารู้แจ้งเห็นจริง รู้จักตัวเอง แม้กิเลสหรือความทุกข์ก็ยากจะทำให้เราหวั่นไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้ ความเป็นพุทธะสามารถนำพาเราให้พ้นทุกข์ได้ อยู่ที่ว่าเรามีสติรู้จักตัวเองหรือไม่ เท่าทันกับกิเลสอารมณ์ที่มากระทบจิตใจหรือเปล่า ถึงกายจะเหนื่อยแต่ถ้าใจไม่เหนื่อยยังไงก็ไหว ถ้ากายเข้มแข็งแต่ถ้าใจไม่ไหว ยังไงก็ไม่สู้หรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่) มนุษย์เราถ้าไม่อดทนไม่อดกลั้นก็ไม่รู้ว่าความสามารถของการอดทนอดกลั้นในจิตใจเรามีมากแค่ไหน และเราจะประเมินได้ว่าชีวิตนี้ฉันก็อดกลั้นได้ไม่น้อย ฉันก็อดทนได้ไม่ยิ่งหย่อน
ชีวิตไม่มีโอกาสให้เลือกบ่อยๆ ฉะนั้นเมื่อเลือกแล้วต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นความจริงที่สุด อย่าเลือกสิ่งที่เราพอใจแต่ไร้ความจริง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พอใจจะทำให้เรารู้จักความจริงอันเจ็บปวด เคยเจอไหม มนุษย์มักเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบใจ พึงพอใจ มากกว่าความจริง และบ่อยครั้งสิ่งที่เราชอบใจและพึงใจ มักสอนให้เราเห็นความจริงอันเจ็บปวด อย่างเช่นเราพึงใจในการออกไปวุ่นวาย และความวุ่นวายก็ให้ความจริงอันเจ็บปวด เขาชอบทรัพย์สินเงินทอง ชอบความรัก แต่ความรักและทรัพย์สินกลับให้ความทุกข์อันเป็นความจริงที่ต้องเจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราอยากควบคุมปัญหา ควบคุมความทุกข์ เราต้องรู้จักควบคุมอะไรก่อน (ควบคุมตัวเอง, ควบคุมจิตใจ, ควบคุมอารมณ์, ควบคุมความอยากความต้องการ, ควบคุมสติ) เราต้องรู้จักควบคุมกาย ควบคุมใจ เคราะห์ภัยหรือโรคภัยล้วนมาจากปากที่ไม่ระมัดระวัง ความวุ่นวายในชีวิตมักมาจากการฟังไม่เลือก ใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดตามหลักของพุทธศาสนา ถ้ามนุษย์เราไม่รู้จักควบคุมผัสสะ ไม่รู้จักประมาณและไม่รู้จักระมัดระวังในอายตนะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดทุกข์แผดเผาทั้งกลางวันและกลางคืน ใครรู้บ้างว่าผัสสะ ไม่รู้ประมาณ และอายตนะมีอะไร ถ้าเคยศึกษาจะรู้ว่า การมองไม่เลือกจะทำให้เราขาดศีลสังวร การฟังไม่เลือกจะทำให้มนุษย์นั้นสับสนแยกแยะจริงเท็จไม่ถูก การพูดไม่ระวังจะทำให้ชีวิตนั้นต้องวุ่นวายไปตลอดชีวิต เคยได้ยินไหมว่าพูดผิดหนึ่งคำ ต่อให้มีม้าดีสี่ตัวก็ลากกลับคืนมาไม่ทัน ฉะนั้นเวลาพูดต้องรู้จักคิด เวลาคิดต้องนึกถึงคำที่ตัวเองพูด แล้วคำพูดของเราก็จะไม่ทำร้ายตัวเองหรือฆ่าเราทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์กลัวนั่นก็คือโชคร้าย ใครบ้างอยากได้โชคดี เมื่อไรที่ปรารถนาโชคดีนั่นก็คือพร้อมที่จะเปิดประตูแห่งเคราะห์ร้าย เมื่อไรเราเปิดประตูแห่งความโชคดี ความโชคดีจะนำพาประตูแห่งความโชคร้ายให้เปิดขึ้นพร้อมกันด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) มนุษย์ชอบการดูดวง การเสี่ยงทาย การมีหมอดูแม่นๆ มาทายฟรีๆ ถ้าหมอดูบอกว่าวันนี้ท่านจะโชคดี แต่ถ้าเราพูดไม่ระวัง ทำอะไรไม่รู้จักคิด จะโชคดีไหม (ไม่) แต่ถ้าวันนี้หมอดูบอกว่าท่านจะโชคร้าย แต่ถ้าออกไปไหนเรารู้จักระมัดระวังคำพูด รู้จักระมัดระวังความคิด จะโชคร้ายไหม (ไม่)
เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายหาได้อยู่ที่ผู้อื่นทำนายทายทักไม่ แต่ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเอง ดั่งคำกล่าวว่าอยากรู้อนาคตเป็นเช่นไรต้องมองดูปัจจุบันนี้สร้างเหตุอะไรให้อนาคต ถ้าทุกวันเอาแต่รักสบาย เกียจคร้าน เอาเปรียบผู้อื่น กินแรงคนอื่น ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ แม้ฟ้าจะกำหนดมาให้โชคดีแต่สักวันหนึ่งต้องเปลี่ยนเป็นโชคร้าย แต่ถ้าชีวิตย่ำแย่แต่รู้จักหมั่นให้อภัย ใจกว้าง เสียสละ รู้จักสำนึกตอบแทนบุญคุณ คนเช่นนี้แม้ตอนต้นจะร้ายแต่เชื่อได้ว่าฟ้าย่อมเห็นใจแปรเปลี่ยนให้เป็นดี ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นจะกลัวอะไรกับเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย เพราะเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายล้วนอยู่ที่การกระทำของเราเอง แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อมนุษย์ยังต้องเกี่ยวพันอยู่ในสังคม เกี่ยวพันอยู่ในโลก เมื่อเกี่ยวพันต้องมีเยื่อใย เมื่อมีเยื่อใยย่อมมีรักและไม่รัก มีสุขและมีทุกข์ เราจะอยู่ในโลกอย่างไร ถึงจะไม่กลายเป็นคนที่อยู่ในโลกแล้วติดในโลกวนเวียนในวัฏฏะทุกข์สุขไม่จบสิ้น
เราสามารถอยู่ในโลกแต่อยู่เหนือโลกได้ไหม มนุษย์ทำได้บ่อยๆ นะ เวลาเราเห็นสองคนทะเลาะกัน และเรากำลังยืนฟังอยู่เรากลับสามารถวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ ว่าคนนี้คิดอะไร และคนนี้พูดอะไร เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ร่วมอยู่ในปัญหา ฉะนั้นเมื่อไรที่เรามีทุกข์ เราสามารถแยกตัวเองออกมาแล้ววิเคราะห์ทุกข์ได้หรือไม่ (ได้) ได้แต่ยากถ้ามนุษย์ยังติดในรักและชังอยู่ เพราะความยินดีในรักพึงพอใจในรัก ความยินดีในชอบหรือพึงพอใจในชอบล้วนเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องทุกข์และโศกเศร้า เราอยู่ในโลกไม่มีสิ่งที่เรายินดี ไม่มีสิ่งที่เรารัก มนุษย์จะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์โศกในโลกนี้ได้ เราอยู่ในโลกโดยที่ไม่รักใครเลยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะจิตของโพธิสัตว์ต้องเรียกว่ารักผู้อื่นยิ่งกว่ารักตัวเราเอง การที่รักผู้อื่นยิ่งกว่ารักตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าเมื่อไรที่เรารักผู้อื่นมากกว่าตัวเอง สิ่งที่เราต้องพึงสังวรและตรองอยู่เสมอ นั่นก็คืออย่ายึดติดในรัก จงมองรักเป็นความไม่เที่ยง จงมองรักเป็นความว่างเปล่า อย่าหวังว่าเมื่อรักแล้วต้องได้รักตอบ อย่าหวังว่ารักแล้วเขาต้องอยู่กับเราไปตลอด ถ้าเราสามารถคำนึงได้ถึงขนาดนี้ เราจะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และเมื่อไรที่สัจจะความเป็นจริงวกกลับเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ก็จะกระทบกระทั่งหัวใจเราให้เจ็บปวดไม่ได้เลย
อยากจะอยู่ในโลกแล้วไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องโศกก็คือ ไม่มีสิ่งใดที่พึงใจ ไม่มีสิ่งใดชอบใจ เมื่อไม่ชอบใจจะมีอะไรที่เกลียดไหม (ไม่มี) เมื่อไม่มีสิ่งที่ชอบและไม่มีสิ่งที่เกลียด อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ก็หาไม่เจอ ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นคนที่อยู่ในโลกแต่ต้องทำตัวให้เหมือนอยู่เหนือโลก การเผชิญชีวิตและเจอปัญหาในทุกๆ เรื่อง จะทำให้เรานั้นเข้าใจชีวิตและเห็นแจ้งชีวิต ท่านเคยเห็นไหมบางคนเจอความทุกข์กี่รอบๆ ก็กลับยิ้มได้ ความทุกข์กลับทำให้เขาเข้มแข็ง แต่ความสุขกลับทำให้บางคนอ่อนแอ ฉะนั้นอย่าได้กลัวความทุกข์อย่าได้กลัวปัญหา เพราะทองยิ่งถูกหลอมจึงพิสูจน์ความบริสุทธิ์แข็งแกร่ง เหล็กถ้าไม่หลอม เพชรถ้าไม่เจียระไนก็ไม่เห็นคุณค่า จิตใจของมนุษย์ก็เหมือนกัน ที่พูดว่าดีนั้น ต้องลองพิสูจน์ พิสูจน์กับความทุกข์และความดี จะพิสูจน์ได้ก็ตอนมีชีวิต ถูกหรือเปล่า (ถูก) เกิดเป็นคนอย่ากลัวปัญหา เกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ เกิดเป็นคนอย่ากลัวอุปสรรค เพราะทุกปัญหาและอุปสรรคพร้อมจะทำให้คนนั้นเป็นคนที่ดีและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
รู้จักคุณธรรมแปดไหม มีอะไรบ้าง (๑. กตัญญู ๒. พี่น้องปรองดอง ๓. ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ๔. ความสัตย์จริง ๕. จริยธรรม ๖. มโนธรรม ๗. สุจริตธรรม ๘. ความละอายบาปและความเกรงกลัวบาป)
แท้ที่จริงเราสามารถมีคุณธรรมทั้งแปดได้ แต่เรามักจะไม่นำออกมาใช้ มนุษย์ถนัดเรียกร้องผู้อื่นมากกว่าเรียกร้องตนเอง ถนัดให้คนอื่นเป็นคนดีแต่ลืมเรียกตนเองให้ดีเสียก่อน อยากทำดีไหม อยากทำแต่ถึงเวลาเลือกที่จะไม่ทำ พอเวลาตัวเองไม่ดีเห็นใครดีก็ประณามหยามเหยียด แต่พอใครไม่ดีแล้วตัวเองดีก็ดูถูกเหยียดหยาม นี่คือวิสัยของมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นเวลาเจอคนไม่ดีเราฆ่าทิ้งเสียให้หมด ดีหรือไม่ (ไม่ดี) ใครไม่ถูกใจปัดแข้งปัดขาชอบทำให้เรารำคาญใจฆ่าให้หมดเลยดีไหม (ไม่ดี) ใครที่ทำปัญหาให้กับสังคมมนุษย์ก็บอกเมื่อไหร่ฟ้าจะเอาตัวไปสักที เอาไปให้พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าเราใช้วิธีการฆ่าจะสามารถหยุดคนไม่ดีให้หมดไปจากโลกได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฆ่าหนึ่งคนก็ทำให้มีตัวตายตัวแทน แล้วเคยได้ยินไหมว่ายิ่งฆ่ายิ่งมีมาก
วิธีที่จะกำจัดคนไม่ดีในสังคมทำอย่างไร (สอนให้มีคุณธรรม) แต่เราสอนทุกคนให้เป็นได้ดั่งใจไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นทำอย่างไร (ใช้ธรรมะ) ใช้ธรรมะกับเขาหรือกับเรา เริ่มต้นที่เขาทำก่อนหรือเราทำก่อน (เราทำก่อน) วิธีปฏิบัติต่อคนไม่ดีคือเริ่มต้นทำดีที่ตัวเราเองและตัวเราเองรู้จักมุ่งมั่นกระทำให้ดี แรงของความดีนั้นจะสะท้อนให้คนรอบข้างนั้นอยากที่จะทำตาม เหมือนหินที่ตกลงไปในน้ำ แล้วเกิดวงกระเพื่อมที่ขยายใหญ่ขึ้น
มนุษย์มักจะยึดติดอยู่ในกรอบของความผิดถูกอย่างตายตัว ใครเคยทำไม่ดีเราก็จะมองว่าเขาไม่ดีไปตลอดชีวิต จะให้โอกาสก็ระแวงไม่ไว้ใจ จึงทำให้คนผิดพลาดแล้วไม่อยากจะดีเลยเพราะว่าเราไม่เคยให้โอกาส ถูกหรือไม่ (ถูก) นี่คืออีกวิสัยหนึ่งที่มนุษย์ต้องพยายามแก้ไขและปรับปรุง แล้วคนไม่ดีก็จะกลายเป็นคนที่เรารักได้เพราะว่าให้โอกาส ให้อภัย อย่าลืมว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถามท่านว่าวันนี้ท่านมีดีกี่เปอร์เซ็นต์ ร้ายกี่เปอร์เซ็นต์ คนที่รู้ว่าตัวเองมีดีขนาดไหนและไม่ดีขนาดไหนจึงเรียกว่าดีแท้จริง แต่ถ้าไม่รู้จักตัวเองเลยนั่นคือคนที่ไม่เคยกระทำดีอย่างมุ่งมั่น จริงไหม (จริง)
ความทุกข์เกิดจากอะไร (ทุกข์เกิดจากความรัก) ถ้าอย่างนั้นรักให้เป็นดีไหม ถ้าอยากให้เขาเป็นแบบที่เราต้องการนั่นเรียกว่าความเห็นแก่ตัว จงรักในสิ่งที่เขาเป็นแล้วความรักนั้นจะไม่ทำร้ายตัวเอง แต่มนุษย์ชอบรักแล้วให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น เหมือนรักลูกอยากให้ลูกต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วคนที่ทุกข์ก็คือคนที่คาดหวังในรัก ยึดมั่นในรักนั่นเอง ทุกข์เพราะความหลง อยากจะทำลายความหลงต้องพร้อมที่จะรับฟังข้อไม่ดีของผู้อื่น แล้วความหลงนั้นจะทำให้เราตาสว่าง
(ทุกข์เพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น) น่าจะบอกว่าไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ (ทุกข์เพราะใจตัวเอง) รู้ว่าใจที่คิดแล้วไม่ดีก็อย่าคิดเลยดีกว่านะ (ทุกข์เพราะความรัก) ถ้ามีสติอยู่เสมอก็จะทำให้เราไม่ต้องเสียใจที่ทำโดยไม่รู้จักคิด (ทุกข์เพราะเกิดจากความคิด) ดั่งที่คนโบราณกล่าวว่าจะทำอะไรขอให้ตรองสามรอบ ใช่หรือไม่ (ทุกข์เพราะปาก) ปากพูดไปก่อนแล้วค่อยคิด (ทุกข์เพราะโลภ) ถ้ารู้จักพอก็จะมีสุขได้ ทุกข์เพราะอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี และอยากมีในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ ทุกข์เพราะอยากได้สิ่งนั้นเป็นของเราแต่ไม่ได้มา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง เผื่อจะได้คลายความเบื่อและความง่วงบ้างดีหรือเปล่า (ดี)
มีหมอดูคนหนึ่ง เป็นคนที่สามารถมองเห็นว่าคนไหนมี “สิริ” รู้จักคำว่า “สิริ” ไหม แปลว่า “มงคล” มงคลไปอยู่กับใครชีวิตนี้ก็มีแต่เจริญ ทำมาค้าขึ้น พูดอะไรคนก็ฟัง หรือที่มนุษย์เรียกว่า “สาลิกาลิ้นทอง” ใช่หรือเปล่า (ใช่) หมอดูคนนี้ก็เดินไปถึงบ้านของเศรษฐีเห็นว่าบ้านหลังนี้มีสิริอยู่ พอเข้าไปในบ้าน มองเห็นสิริอยู่ที่แจกัน หมอดูก็เอ่ยปากขอแจกันจากเศรษฐี เศรษฐีก็ให้ไป คนมีสิริมงคลคือคนที่รู้จักให้ แต่พอแจกันมาอยู่ในมือของหมอดู สิริกลับหนีไปอยู่ที่เสื้อผ้าชุดที่เศรษฐีใส่ หมอดูก็เอ่ยปากขอเสื้อผ้าจากเศรษฐี เศรษฐีเห็นว่าตัวเองมีเยอะแล้ว ก็ไปเปลี่ยนชุดออกมา แล้วก็ยกเสื้อตัวนี้ให้หมอดู แต่ปรากฏว่าสิริหนีไปอีกแล้ว คราวนี้หนีไปอยู่ที่ภรรยาของเศรษฐี ถามว่าหมอดูจะเอ่ยปากขอสิริจากเศรษฐีไหม (ขอ) ไม่ขอเพราะเขาละอายใจ ทำอย่างนั้นเป็นอัปมงคลแน่ เอาภรรยาคนอื่นมาเป็นภรรยาตัวเอง จะมีมงคลไหม (ไม่มี) เราบอกแล้วทำอะไรต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง อย่าเอาสิ่งที่อยากเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นความอยากจะทำให้เราเห็นความจริงที่เจ็บปวด หมอดูคนนั้นก็เลยรู้สึกละอายใจแล้วก็พูดให้เศรษฐีฟังว่า ท่านเป็นคนที่ทำมาค้าขึ้น ทำอะไรมีแต่คนรักคนชอบ ก็เพราะว่าท่านมีบุญสะสมมาก่อน แล้วท่านยังรู้จักต่อบุญของตัวเอง รู้จักเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่น ใครขออะไรท่านก็ให้ บุญของท่านหรือสิริของท่านจึงมีนับไม่ถ้วน
ฉะนั้นจงจำไว้ว่า คนเราเกิดมาทำไมจึงโชคดีมีวาสนา บางทีไม่ใช่เป็นเพราะการกระทำอย่างเดียว แต่ล้วนมีเหตุปัจจัยแห่งบุญกรรมหนุนนำมาด้วย แล้วเราจะหนุนนำต่อหรือตัด ขึ้นอยู่กับการกระทำปัจจุบันนี้ เราจะสร้างต่อหรือจะหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกแล้วว่าเคราะห์ดีเกิดจากอะไร เคราะห์ร้ายเกิดจากอะไร ฉะนั้นเกิดเป็นคน ชะตาชีวิตไม่ได้มองที่ฟ้า ไม่ใช่ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้องหันมามองตัวเอง ทำไมท่านจึงบอกให้เรารู้จักไหว้พระ คนที่ไหว้พระได้ก็คือคนที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ และการไหว้ตัวเองได้นั้นต้องมีอะไรที่น่าเคารพนับถือ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นไหว้พระแล้วอย่าลืมหันมามองตัวเองว่าตัวเองนั้นน่าไหว้หรือยัง ถ้าน่าไหว้ก็แปลว่ามีดีไม่น้อย แต่อย่าเป็นคนที่ดีแล้วดูถูกผู้อื่น แล้วอุปสรรคหรือปัญหาก็จะสามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็นความโชคดีเป็นความมงคลได้ การดำเนินชีวิตให้เป็นก็คือการควบคุมความคิดและจิตใจให้ถูกทาง ไม่ยากเลยใช่หรือไม่
คำถามสุดท้าย วันนี้นั่งฟังด้วยความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข) ด้วยความรู้สึกร้อนหรือความรู้สึกเย็นสบาย (เย็นสบาย) อยู่ที่จิตใจของท่านนะไม่ใช่อยู่ที่เราพูด ถ้าในใจเราคิดว่านั่งตรงนี้ก็ดี นั่งตรงนี้เย็น นั่งตรงนี้ก็สุข เราคือผู้ที่เอาชนะทุกข์ได้ แต่ถ้าเราคิดว่านั่งตรงนี้ก็ลำบาก นั่งตรงนี้ก็เหนื่อย นั่งตรงนี้ทุกข์ เราก็คือผู้ที่ถมตัวเองให้จมลงไปในความทุกข์ โลกใบนี้จะเป็นโลกแห่งความสุข หรือจะเป็นโลกแห่งความทุกข์ขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจของตัวเราเอง และเราจะเป็นผู้พบทุกข์ หรือพบสุขได้ก็ขึ้นอยู่กับการนำพาชีวิตและจิตใจของเราเอง ว่าควรจะเดินไปทางใด อย่าลืมว่า ภูผาแม้จะสูงแต่ใจของมนุษย์กลับสูงส่งยิ่งกว่า นั่นหมายความว่าคนไม่ดีนั้นถ้ามุ่งมั่นจะทำดีก็สามารถเป็นคนดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ก่อน จงจำไว้ว่าความจริงของชีวิตบางครั้งแม้จะให้เท็จเราก็ต้องรับให้ได้ แม้ความจริงแห่งชีวิตจะให้ร้ายเราก็ต้องสู้ให้ไหว เพราะความจริงนั้นมีทั้งจริงและเท็จ ดีและร้าย ความจริงที่เป็นสิ่งที่ดีมนุษย์รับได้หมด แต่ความจริงที่เป็นสิ่งที่เท็จและร้ายมนุษย์กลับรับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าท่านดี ท่านรับได้ แต่บอกว่าท่านเลวท่านรับไม่ได้ ลองรับดูว่า ถึงวันนี้ฉันจะเลว ฉันจะร้ายแต่ต่อไปความเลวความร้ายในตัวฉันจะไม่มีอีกต่อไป ถ้ามีก็ขอให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือรับความจริงที่เป็นเท็จไม่ได้ รับความจริงที่เป็นร้ายไม่ลง แต่ถ้าเมื่อใดเรารับได้ จะกลัวทุกข์ไหม ก็ไม่กลัวอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ทุกข์จะเป็นหนทางที่ทำให้เราเห็นความสุขอันแท้จริง คนที่น่าเกลียดก็เปลี่ยนเป็นคนที่น่ารักในทันที ฉะนั้นแม้ว่าจะเป็นคนที่ทำให้โลกวุ่นวาย คนที่ทำให้ใจวุ่นวาย ท่านก็จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจและฝึกเมตตารู้จักให้อภัยได้ วันนี้คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ อย่าดูถูกดูแคลนตัวเอง และอย่าเผลอดูถูกดูแคลนผู้อื่น เพราะคนในโลกนี้ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก ใช่หรือไม่ (ใช่) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนสร้างบุญสนองด้วยวาสนา ทำบาปหนาสนองด้วยเคราะห์วิบัติ
ศิษย์นึกทำสิ่งใดเป็นเกียรติประวัติ อย่าได้ขัดศีลธรรมอันดีงาม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ดำเนินสะดวก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนกินข้าวอิ่มหรือเปล่า
งานแพร่ธรรมในช่วงคนศีลธรรมตกต่ำ ฟ้ายามค่ำสิ่งเคยง่ายก็กลายยาก
ศิษย์รักเอยในยามนี้ศิษย์ลำบาก จงรู้จักทิวทัศน์ใหม่ทำใจตรง
ถ้าทำง่ายข้าก็ทำเสร็จไปแล้ว หวังศิษย์แก้วสานงานต่อดังประสงค์
ฟ้าเบื้องบนยังต้องการช่วยคนหลง หวังศิษย์ปลงชีวิตนิดช่วยเวไนย
จงเป็นแสงเทียนสว่างแม้ริบหรี่ แต่ศิษย์รักเป็นคนดีย่อมทำได้
สู้กับคนอื่นนั้นมีแต่พ่าย สู้กับใจตนชนะไม่คลาดคลา
ศิษย์ไม่ต้องเป็นคนที่ดูดี ศิษย์ไม่ต้องมีเงินรวยล้นฟ้า
ศิษย์ไม่ต้องว่ายน้ำคล่องดุจเหมือนปลา แค่ศิษย์ข้าพยายามบำเพ็ญใจ
ท้อก็ท้อแต่อย่าท้อจนถึงถอย จะน้อยใจก็อย่าน้อยจนน่าหน่าย
ทำผิดบ้างก็อย่าถึงไม่ละอาย จะวุ่นวายก็อย่าวุ่นถึงในธรรม
ในวันนี้อาจารย์จำต้องลากลับ ทางผ่านนับครั้งไม่ถ้วนก้าวซ้ำซ้ำ
แค่หวังศิษย์เกิดเข้าใจในทางธรรม แค่หวังศิษย์ทำให้ดีที่สุดเอย
ฮา ฮา หยุด
เรื่องปวดเศียรเวียนหัวมากมาย เป็นเพราะใจคนไม่ยอม ผิดถูกนั้นทำพูดเป็นออมออม ใครบ้างยอมด้วยดี
* โลกนี้คนแปลกนัก ไม่ยักรักกันให้ยิ่งดี สร้างมิตรญาติดี สวัสดีมิอาฆาตใคร เจ้าอยู่ไหนบำเพ็ญรอดไหม ปัญหาใจมากมี ข้าแค่ขอดูเจ้าวันได้ดี หวั่นยิ่งทีไม่ดั่งฝัน ไม่อยากมองเจ้าบำเพ็ญกัน กลัวเจ้าทำให้เหนื่อยใจ
ชื่อเพลง : กลัวเจ้าทำให้เหนื่อยใจ
ทำนองเพลง : โลกของผึ้ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลาที่เรานั่งฟังธรรมะ ฟังไปก็คิดโน่นคิดนี่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) อย่างนั้นจะเรียกว่าฟังไหม ฟังพร้อมคิดได้ผลประสิทธิภาพไหม (ได้) พูดพร้อมคิดได้ประสิทธิภาพหรือไม่ (ไม่) แล้วทำอะไรพร้อมกันได้บ้าง อันที่จริงแล้วถ้าให้พูดมีประสิทธิภาพ พูดก็ต้องเป็นพูด ฟังให้มีประสิทธิภาพ ฟังก็ต้องเป็นฟัง คิดก็ต้องเป็นคิด ทุกอย่างถูกแยกออกจากกันถึงจะมีประสิทธิภาพใช่หรือไม่ (ใช่) พูดไปคิดไปทำบ่อยไหม (บ่อย) ฟังไปพูดไปทำบ่อยไหม (บ่อย) คิดไปด้วยทำอย่างอื่นไปด้วยทำบ่อยไหม (บ่อย) เวลาเราทำเช่นนี้แล้วเรารู้สึกว่าการฟัง การพูด การคิด ของเราดูไม่เต็มที่ ถ้าจะทำให้เต็มที่ก็ต้องทำเรื่องเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)
เหมือนกับการมาฟังธรรมะก็ต้องฟังธรรมะ ไม่ใช่ฟังไปก็ฟุ้งซ่านไปด้วย ตัวอยู่ที่นี่ใจอยู่บ้าน ตัวอยู่บ้านใจก็ออกไปนอกบ้านใช่หรือไม่ (ใช่) พออยู่นอกบ้านใจก็กระโดดไปไหนอีก ใจของเราเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเมื่อครู่นี้ แม้ว่าการร้องเพลงอย่างครึกครื้นจะสามารถควบคุมบรรยากาศได้ แต่เป็นบรรยากาศที่วุ่นวาย ใจของเราก็ไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่จริงหรือเปล่า (จริง) นี่คือความต่างกันระหว่างชั้นเยาวชนและชั้นประชุมธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้ว่าอยากจะให้ยิ้มก็ต้อง ยิ้มแบบโพธิสัตว์ยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มจนปากฉีกไปถึงหู ทำได้ไหม (ได้) ยิ้มแบบโพธิสัตว์ยิ้มยังต้องมีใจเดียวกับโพธิสัตว์ด้วยได้หรือไม่ (ได้) โพธิสัตว์ใจดีหรือว่าไม่ดี (ดี) แล้วเราใจดีหรือใจดำ (ใจดี) ไหนใครเป็นโพธิสัตว์บ้าง ใครเป็นมารบ้าง ใจดีบ้างใจดำบ้าง ใจดีบ้างใจไม่ดีบ้างมีไหม (มี) ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะคนอื่นใจดำกับเรา เราก็เลยใจดำใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็ใจดำเหมือนคนอื่น ส่วนพระโพธิสัตว์นั้นมีแค่เพียงหนึ่งเดียว เรายังไม่เป็นหนึ่งเดียวเราก็เลยไม่เป็นโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราทำใจของเราให้เป็นหนึ่งเดียว ใครดีมาก็ดีตอบ ใครร้ายมาเราก็ดีตอบ ทำได้หรือเปล่า (ได้)
ลูกดื้อมาเราก็ดีตอบ ดีตอบถือไม้เรียวได้ไหม ตีได้ไหม การที่เราพูดว่าดี ส่วนใหญ่คนก็จะเข้าใจว่าเราไม่กล้าทำให้เขาเจ็บใดๆ แต่การที่แม่ตีลูกไม่เหมือนกัน แม่ตีให้ลูกเจ็บเพื่อให้ลูกรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะฉะนั้นแม่ตีลูกได้ไหม (ได้) ใครเป็นแม่ไม่เคยตีลูกเลยมีไหม (ไม่มี) อย่างนี้เรียกว่าตีเพื่อให้ได้ดี
เช่นเดียวกันในชีวิตนี้ของเรา บางคนก็มีแม่ บางคนไม่มีแม่ บางคนก็ไม่เคยมีใครสั่งสอน หรือบางคนผู้อื่นสั่งสอนใดๆ ก็ไม่ยอมฟัง แต่ถามว่าในชีวิตของเรา เราเคยถูกตีโดยไม่ใช้ไม้บ้างไหม เราเคยถูกตีด้วยอะไร ถูกตีด้วยคำพูด ด้วยสายตา ด้วยสีหน้า เราเคยถูกตีด้วยสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นไม้มาเยอะ แต่ถามว่าหลังจากเราถูกตีแล้ว เรารู้สึกเจ็บไหม (เจ็บ) เจ็บนี้คือเจ็บเพื่อให้ได้ดี หรือว่าเจ็บแล้วเจ็บแค้น สมมติว่าคนนั้นไม่ใช่พ่อแม่เรา ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของเรา ไม่ใช่ผู้มีพระคุณ คนนั้นตีเราได้ไหม (ไม่ได้) เคยถูกใครค้อนไหม (เคย) เขาก็ค้อนเราได้ เขาก็ใช้สายตาว่าเราได้ แต่เรานั้นยอมรับการสอนจากคนบางคน ไม่ได้ยอมรับการสอนจากทุกคน โดยเฉพาะบางคน พอตัวเองมีอายุ คนอื่นสอนได้ไหม (ไม่ได้) ตอนเป็นเด็กอายุสิบขวบคนสอนได้ไหม (ได้) ตอนอายุยี่สิบขวบคนสอนได้บ้างไม่ได้บ้าง พออายุสามสิบแล้วคนสอนได้ไหม (ได้) พออายุสี่สิบแล้วคนสอนได้ไหม (ได้) ตอนนี้ผมบนหัวหงอกแล้ว คนสอนเราได้ไหม (ได้) จริงๆ อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นทำตัวเป็นเด็ก คือถูกตีได้ ถูกสอนได้ ถูกว่าได้ แล้วก็ถูกมองได้ ขอให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีสำนึกสูง มีความละอาย กลัวบาปให้มากๆ เวลาที่คนอื่นมองเรา เราก็จะรู้สึกได้ว่าเขากำลังตีเรา ตีเพื่อให้ได้ดี เราห่างไม้เรียวมานาน ไม่ถูกใครตีอีกต่อไปแล้ว แต่ในชีวิตก็ยังถูกตีอยู่ ที่สำคัญชีวิตนี้มีสองด้าน สิ่งที่ตีศิษย์ประจำคืออะไร
ถามว่าระหว่างความสุขและความทุกข์มีสิ่งใดมากกว่ากัน (ความทุกข์) สิ่งที่ตีศิษย์เสมอๆ วันหนึ่งไม่รู้ตีกี่รอบคือ ความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากศิษย์มีสุขตลอดเวลา ถามว่าศิษย์จะได้ดีไหม ความสุขทำให้คนขี้เกียจ ความทุกข์ทำให้แข็งแกร่งและมีความขยัน ฉะนั้นถามว่าเรามีสุขน้อยอยู่แล้ว มีทุกข์มากอยู่แล้ว เป็นของขวัญในโลกนี้หรือเปล่า
อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์มีสุขประเภทเดียว ลองเดาสิว่าเป็นสุขประเภทไหน มีใครตอบได้บ้าง (สุขในความทุกข์) เกือบถูกแล้ว (สุขนิรันดร์) เป็นนิรันดร์หรือเปล่ายังไม่รู้ รู้แต่เกิดๆ ดับๆ อยู่ทุกขณะจิตใช่หรือไม่ (ใช่) อยากให้ศิษย์นั้นมีสุขประเภทเดียว คือสุขที่ได้บทเรียนตื่นขึ้นมาจากความทุกข์ หมายความว่าให้ทุกข์ก่อนแล้วสามารถได้บทเรียนจากความทุกข์นั้นๆ แล้วตื่นขึ้นมาเป็นความสุข คือตื่นขึ้นมาจากมายา ตื่นขึ้นมาจากความฝัน ตื่นขึ้นมาจากกิเลส ตื่นขึ้นมาจากความหลอกลวง เพราะฉะนั้นศิษย์ยิ่งมีความทุกข์มากเท่าไรศิษย์ก็จะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เพราะเราสามารถที่จะพลิกด้านทุกข์ของเราให้กลายเป็นด้านสุขได้เสมอ เหมือนการพลิกฝ่ามือ เพียงแต่ว่าเวลาเราไปดูลายมือ เราเอาด้านหงายที่มีเส้นยื่นให้หมอดู ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วความเคยชินความติดยึดความยึดมั่นถือมั่นของเราก็เป็นอย่างนี้ ทุกๆ ครั้งที่จะทำอะไร ก็มองว่ากิจกรรมนี้ต้องทำอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าถูกและอย่างนี้เรียกว่าผิดอยู่เสมอๆ เวลาเห็นสามีเดินมา สามีเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี) เราเกิดความยึดถือยึดมั่นมั่น ว่าคนนี้เป็นสามีเรา คนนี้เป็นลูกเรา คนนี้เป็นภรรยาเรา คนนี้นิสัยอย่างนี้ๆ เรามองข้ามนิสัยเขาไม่ได้ เราก็เลยมีความสุขไม่ได้ เมื่อเรามองข้ามสิ่งที่ตายตัวตรงนั้นไม่ได้ เราก็กลายเป็นของตายอยู่ตรงนั้น ก็กลายเป็นผู้ที่มีความทุกข์มากอยู่ตรงนั้น หรือกลายเป็นผู้ที่มีความสุขมากอยู่ตรงนั้น
ระหว่างยิ่งทุกข์มากยิ่งสุขมาก หรือว่าเอายิ่งสุขมากก็ยิ่งทุกข์มากศิษย์จะเอาอะไร (เอายิ่งทุกข์มากยิ่งสุขมาก) อย่างนั้นตอนนี้ทุกคนมีอะไร (มีทุกข์) แสดงว่าทุกคนมีของดีอยู่ในตัว คือทุกคนมีความทุกข์มาก มีทุกข์หนึ่งเรื่องเท่ากับมีบทเรียนหนึ่งเรื่อง มีครูหนึ่งคน มีตำราดีหนึ่งเล่ม ตอนนี้ถามว่าเรามีตำราอยู่กี่เล่ม ไม่น้อยกว่าสิบเล่ม ใช่หรือไม่ (ใช่) ในหนึ่งวันมีความทุกข์เกิดๆ ดับๆ อยู่กี่ครั้ง หลายครั้ง แสดงว่าเราเปิดตำรานี้หลายครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราเคยเปิดตำรานี้อ่านจนจบไหม (ไม่)
เหมือนเวลาเรามองสามีกลับมาจากข้างนอกแล้วเห็นว่าเขากลับช้า เราเห็นความทุกข์นิดหนึ่งตรงที่ว่าเห็นเขากลับมาช้าและเราก็ฟุ้งซ่านเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เช่นเดียวกัน เรามองความทุกข์นิดเดียวแต่เราก็ทุกข์มาก ถ้าหากเราไม่อยากทุกข์ เราก็ต้องมองให้ทะลุปรุโปร่ง เราอ่านตำราเล่มนี้ เราจึงรู้ว่าตำราเล่มนี้ดีหรือไม่ดี ฟังครูพูดจนจบ ไขโจทย์ได้ เราถึงรู้ว่าคำตอบนี้เป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์ที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ ที่เรามองทีละนิดๆ นั้นไม่มีประโยชน์ เราจำเป็นที่จะต้องกระโจนเข้าไปในความทุกข์นั้น ทำความเข้าใจ ทำความรู้จักกับความทุกข์นั้น เมื่อเห็นความทุกข์นั้นชัดเจนแล้วเราจึงจะเห็นว่าเราควรทุกข์หรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเวลาศิษย์เปิดทีวีดูละคร ศิษย์ก็คิดว่าตัวร้ายไม่ควรจะเป็นตัวร้าย พระเอกไม่ควรเป็นพระเอกเลย นางเอกไม่ควรจะเป็นนางเอก มองดูละครแล้วย้อนมองดูตัวเราเอง ว่าเราไม่ควรเลยที่จะมานั่งดูอยู่ เสียเวลา หลายๆ อย่างในชีวิตก็เป็นอย่างนั้น เราเสียเวลาให้กับความทุกข์เยอะมาก มีความทุกข์ที่ว่าละครที่ดูอาทิตย์ที่แล้วนั้น อาทิตย์นี้จะไม่ได้ดู ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ดูตั้งแต่ต้นเป็นอย่างไร (ไม่ทุกข์) ชีวิตจริงเราก็เป็นอย่างนี้คิดยากให้มันเป็นง่าย แล้วคิดง่ายให้มันไม่มีเรื่อง เพราะเรายิ่งคิดก็เลยยิ่งมีเรื่อง แสดงว่าเรื่องที่เราคิดนั้นไม่มีสาระเลย แล้วเมื่อคิดไม่มีสาระ เราจะทำไหม (ไม่ทำ) เราจะพูดไหม (ไม่พูด) แต่ไม่ใช่ไม่พูดแล้วตาเขียว คอแข็ง จงมองทุกคนรอบข้างให้เป็นครู จงมองความทุกข์ที่เผชิญให้มีประโยชน์ ถ้าเรารู้จักเปลี่ยนตัวเอง ชีวิตก็จะดีขึ้นได้
ถ้าทำให้คนที่บ้านเห็นว่าเราดีขึ้น คนนอกบ้านก็จะเห็นว่าเรา (ดีขึ้น) ถ้าทำให้คนในบ้านเห็นว่าเราแย่ลง คนนอกบ้านต่อให้เขาบอกว่าเราดี จะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี) เพราะว่าศิษย์นั้นเป็นคนที่ติดบ้านมาก ทุกคนต้องมีบ้านอย่างน้อยคนละหนึ่งหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงทำบ้านของตนเองให้เป็นสวรรค์ ธรรมะใดๆ ที่จะใช้ต่อไปจงหัดใช้กับคนในบ้านให้มาก อยากจะอภัยคน ก็อภัยกับคนที่บ้านก่อน อยากจะยิ้มให้คนอื่น ก็ยิ้มให้คนที่บ้านก่อน อยากจะเข้าใจผู้อื่น ก็เข้าใจคนที่บ้านก่อน อยากจะรักคนอื่น ก็รักคนที่บ้านก่อน อยากจะกอดคนอื่น ก็กอดคนที่บ้านก่อน อยากหัวเราะกับคนอื่น ก็หัวเราะกับคนที่บ้านก่อน ท่าจะยาก สงสัยใช้เวลาหลายปีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าหลายปีก็ต้องทำเพราะว่าศิษย์นั้นมีหัวใจเป็นบ้าน ถ้าหากบ้านของศิษย์ไม่เป็นสวรรค์แล้วจะเป็นอะไร เราจะเป็นเซียน บ้านก็ต้องเป็นวิมานของเรา ก็ต้องเป็นสวรรค์ของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรามีบ้านเป็นนรกแสดงว่าเราเป็นอะไร ไปคิดเอาเอง
“คนสร้างบุญสนองด้วยวาสนา” ทุกวันนี้เราหน้าตาดีกว่าคนอื่น เรามีเงินทองหยิบใช้ได้ทั้งๆ ที่เรานั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่น มีเสื้อผ้าใส่ดีกว่าคนอื่น อยู่ในสังคมที่ดีกว่าคนอื่น ทุกวันนี้เราไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่มีเรื่องทุกข์กายทุกข์ใจมากเกินไป นี่เรียกว่าวาสนา จริงๆ แล้วทุกคนในที่นี้เป็นผู้มีวาสนา เราจะเป็นคนมีวาสนาน้อยก็ตอนที่เราชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เปรียบว่าคนอื่นนั้นต่ำกว่าตัวเอง เรียกว่า อวดดี อวดรู้ อวดฉลาด อวดว่ามีมาก อย่างนี้ถามว่าเป็นคนมีวาสนาได้ไหม (ไม่ได้) เปรียบว่าผู้อื่นนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าตัวเอง ถามว่าคนนี้มีวาสนาไหม (ไม่มี) ไม่ว่าเราจะเปรียบขึ้นหรือว่าเราจะเปรียบลง ไม่ว่าจะเปรียบเทียบแล้วคนอื่นดีกว่าเรา เปรียบเทียบแล้วคนอื่นด้อยกว่าเรา ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะของผู้ที่ไม่มีวาสนาทั้งสิ้น แม้ว่าตลอดมาเป็นผู้มีวาสนา แต่ถ้าใจคิดอย่างนี้วาสนาก็จะลดน้อยถอยลงเพราะว่าเราเป็นคนช่างเปรียบเทียบ
เราต้องมีแต่ใจเมตตารู้ว่าคนอื่นด้อยก็ต้องเสริมให้เขาดี รู้ว่าคนอื่นดีก็ต้องยินดีที่เขาดี ถ้าอยากมีวาสนาเหมือนเขาก็หัดสร้างบุญมากๆ จูงคนแก่ข้ามถนนเป็นบุญไหม (เป็น) ยกน้ำให้คนอื่นกินเป็นบุญไหม (เป็น) ทำสิ่งใดๆ ก็ได้ที่เป็นเรื่องดี ไม่ต้องลงเงินก็ได้ ก็ยังนับว่าเป็นผู้ที่มีวาสนา การทำบุญนั้นทำได้ตลอด แม้แต่เรามองผู้อื่นด้วยสายตาอันเอื้ออารีก็เป็นบุญเหมือนกัน ถ้าเรามองคนอื่นด้วยสายตาอันแข็งกระด้าง เกรี้ยวกราดอันนี้ไม่เป็นบุญ เพราะฉะนั้นทุกๆ ขณะจิต สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะเป็นการพูด การคิด การกระทำ สายตา หรือการที่เราพาตัวของเราไปในที่อันสมควรและไม่สมควรก็เกิดบุญและกรรมได้เช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีกรรมใดไม่เกี่ยวกับเรา ทุกๆ กรรมนั้นเกี่ยวกับเราเพราะว่าเรานั้นเป็นผู้กระทำและเราอยู่ตรงนั้นเราย่อมมีกรรม แต่ว่าจะกลายเป็นกรรมดีหรือ
กรรมชั่วนั้น ขึ้นกับเราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้ปฎิบัติและเราเป็นผู้ที่สรุปชีวิตของเราได้ ขึ้นต้นชีวิตของเราได้ เลือกทางเดินชีวิตของเราได้ เราต้องเป็นผู้ที่เลือกชีวิตของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)
กรรมชั่วนั้น ขึ้นกับเราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้ปฎิบัติและเราเป็นผู้ที่สรุปชีวิตของเราได้ ขึ้นต้นชีวิตของเราได้ เลือกทางเดินชีวิตของเราได้ เราต้องเป็นผู้ที่เลือกชีวิตของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)
“ทำบาปหนาสนองด้วยเคราะห์วิบัติ” อย่าไปเรียกความทุกข์ที่เราเจออยู่ทุกวันว่าเคราะห์ คนที่เจอเคราะห์มีอยู่ประเภทเดียวคือคนที่ทำบาป ถ้าเราเป็นคนทำบาปเราก็จะเจอสิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ แต่ถ้าเราไม่ใช่คนทำบาปสิ่งที่เราเจอจะเรียกว่า ต้นทุกข์ปลายสุข สิ่งที่เราเจออาจจะตีให้เรารู้ว่าหลุม ตีให้เรารู้ว่านี้คืออุปสรรค ต้องระวังตัว ถ้าหากว่าปล่อยให้ลื่นไปเลยก็ตกหลุมตกเหว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเจออาจจะไม่ใช่เรียกว่าเคราะห์ แต่อาจจะเป็นการเตือนเราก็ได้ บางทีบุญก็เตือนคนด้วยเคราะห์ ด้วยความโชคร้าย เพราะถ้าหากจะให้มีบุญไปเลย ถามว่าคนรับบุญไปเฉยๆ เป็นอย่างไร เคยเห็นคนอยู่เฉยๆ แล้วถูกหวยไหม (เคย) ดีใจแทบบ้า เรื่องแรกที่จะนำเงินไปใช้ก็เป็นเรื่องความฝันทั้งนั้นเลย แล้วดีหรือเปล่า ได้ตามความฝันทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตจะไร้รสชาติ จะเฉื่อยลงเรื่อยๆ เพราะว่าไม่มีความฝันให้ตามหาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนยุ่งยากหรือเปล่า (ยุ่งยาก) ลำบากหรือเปล่า (ลำบาก) ทรมานไหม (ทรมาน) ทุกข์ไหม (ทุกข์) ต้องกินข้าว ต้องนอนหลับ ต้องหาเงินด้วย อย่างนั้นตอนนี้ให้ทุกคนตายเลย ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) อย่างนั้นถ้ากินยุ่งยากไม่หาเงินได้ไหม (ไม่ได้) คนอยู่บนทางที่ไม่มีทางเลือก และ ไม่มีทางถอย ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางเรื่องเราไม่สามารถเลือกเองได้ เมื่อเราไม่สามารถเลือกชีวิตของเราได้ ชีวิตที่มีอยู่นี้ ต้นทุนที่มีอยู่นี้ จึงเรียกว่าเป็นต้นทุนที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าให้คนเลือก คนก็เลือกไปเรื่อย ของชิ้นที่ดีที่สุด มีคนมาเลือกนับไม่ถ้วนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ของที่มีค่าที่สุด มีราคาที่สุด ดีที่สุด จะมีคนจำนวนมากมายเข้ามาเลือก แต่เรานั้นไม่สามารถที่จะเลือกได้ เรามีสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว สิ่งที่เรามีถึงแม้ว่าจะไม่ดี แต่เราก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การเกิดมา หน้าตาไม่ดี ผิวพรรณไม่ดี เลือกได้ไหม (ไม่ได้) แต่สิ่งที่เรามีน้อยหน้าใครหรือเปล่า (ไม่น้อย) สิ่งที่เรามีได้ชื่อว่าทำให้เรานั้นมีชีวิตที่สมบูรณ์
ชีวิตที่สมบูรณ์ คือมีกายสังขารและมีลมหายใจ ตอนนี้เรามีกายสังขาร มีลมหายใจ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิต สิ่งที่เรามีอยู่ทุกอย่าง ตาคู่นี้ จมูกนี้ ปากนี้ เนื้อหนังมังสานี้ เลือดนี้ กระดูกนี้ น้ำเหลืองนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจจะอ้วนไปบ้าง ผอมไปบ้าง ขี้เหร่ไปบ้าง น้อยไปบ้าง มากไปบ้าง เก่าไปบ้าง ใหม่ไปบ้าง ถามว่าดีไหม (ดี) เรานั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตที่สมบูรณ์แล้ว คือมีกายสังขารและมีลมหายใจ อย่าเกี่ยงงอนเป็นทุกข์กับสิ่งที่อยู่บนกายสังขารนี้ ว่าสิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ไม่งาม สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งนี้อยากจะเปลี่ยน อันนี้เป็นทุกข์ที่ไม่ควรเกิดเลย เพราะว่าเรานั้นได้เลือกมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ผ่านมาชีวิตของเรานั้นไม่ได้เลือก คือหมายความว่าเราเลือกไปเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจึงมีสังขารเป็นเช่นนี้ สายตายาวบ้าง สั้นบ้าง ตาฟาง ตาฝ้าบ้าง คือว่าเราเลือกไว้แล้ว แต่ว่าวันนี้การกระทำของเรานั้นเราได้เลือกอนาคตไว้หรือยัง
ในห้องนี้มีใครทำประกันชีวิตบ้างเราประกันชีวิตจนถึงเราตาย แต่ว่ามีใครทำประกันชีวิตชนิดหลังตายบ้างมีไหม (ไม่มี) อย่างนี้อาจารย์ชวนทำประกันดีไหม อาจารย์อยากให้ทำประกัน ประกันว่าหลังจากตายไปแล้วเราจะมีความสุขมากกว่าตอนที่เรามีชีวิตอยู่ อย่างนี้ดีไหม (ดี) แต่ว่าการจ่ายประกันนี้ไม่ได้จ่ายเป็นเงินแต่จ่ายเป็นการกระทำ คำพูดและความคิดของเราเอง ทำได้ไหม บางคนทำประกันกับอาจารย์เรียบร้อยแล้วแต่ว่าไม่จ่ายเบี้ยประกันเลย ประกันนี้มีผลไหม (ไม่มี) ทำประกันแล้วก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันด้วย จ่ายประกันด้วยการกระทำ คำพูดและความคิดของเรา จ่ายประกันด้วยการไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อันนี้เป็นประกันชั้นเทพ ประกันธรรมดาคือพูดดี คิดดี ทำดี ประกันระดับสูงคือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง คำพูดแบบนี้ฟังมาตั้งนานแล้ว ได้ยินนานแล้วแต่ทำไม่ได้ เพราะว่าเราจับธรรมะเป็นธรรมะ จับตัวเราเป็นตัวเรา ตัวเราและธรรมะไม่ได้สัมพันธ์กันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจับธรรมะออกไป เรียกว่าธรรมะ จับตัวเราออกไป เรียกว่าตัวเรา เวลาโกรธแล้วก็เรื่องของเราเขาไม่เกี่ยว เวลาได้เงินมาก็เงินเรา เขาไม่เกี่ยวอีกเหมือนกัน เวลาตกนรกแล้วตกนรกเองอาจารย์เกี่ยวไหม (ไม่เกี่ยว) เห็นเกี่ยวทุกทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาจะตายแล้วก็เรียกอาจารย์มารับหน่อย เบี้ยประกันก็ไม่ส่งยังบอกให้มารับอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องเกิดเรื่องตายเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนและก็ใกล้ตัวมากๆ เพราะว่าเราเคยเกิดแล้วตอนนี้เรายังไม่เคยตาย แต่วันหนึ่งเราต้องเจอหรือเปล่า (เจอ) เวลาคนจะตายกลัวที่สุดคือกลัวตัวเองจะไปไม่ดี แต่ตอนอยู่ทำอะไรไม่เคยคิดเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ เราจำเป็นที่จะต้องเลือกวิถีชีวิตของตัวเราเอง เราจำเป็นที่จะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเราเอง ทุกวันนี้ให้ความสำคัญกับอะไร ต้องมีเงิน มีทอง สามีภรรยาดี ลูกดี ถามว่ามีอะไรดีบ้าง เงินก็คอยจะหาย สามีก็คอยจะไปที่อื่น ลูกก็คอยจะไม่เชื่อฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ เราไม่สามารถกำหนดสิ่งนอกกายได้ สิ่งที่กำหนดได้ คือตัวเรา กายเรา ความคิดเรา การกระทำและคำพูดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) มีแต่เรากำหนดตัวเราเองได้เท่านั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมาให้ความสำคัญกับชีวิตนี้ แต่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว เพราะว่าการเห็นแก่ตัวนั้นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด เป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด หากต้องการที่จะขึ้นสวรรค์จงหัดปูทางให้คนอื่นเดิน ถามว่าวันนี้เราบริการคนอื่นไหม เราเคยบริการพ่อแม่เราไหม เคยบริการพี่น้องเราไหม เคยบริการญาติเราไหม เคยบริการคนที่เรารู้จักไหม เคยบริการคนที่เราไม่รู้จักหรือเปล่า (เคย)
ถ้าหากว่าอยากที่จะขึ้นสวรรค์ได้ จงหัดที่จะบริการผู้อื่น จงเป็นนักบริการด้วยหัวใจ จงให้สิ่งดีๆแก่ผู้อื่น สิ่งที่ไม่ดีก็จงเก็บไว้ อย่างเช่นได้ยินเขานินทาคนๆ หนึ่ง เราเดินไปบอกคนๆ นั้น ว่าโดนนินทา ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) อาจารย์จะบอกว่าสิ่งที่ไม่ดีก็เก็บเอาไว้แล้วละลายด้วยหัวใจแห่งความสุขุมนี้ คือได้ยินได้ฟังสิ่งใดมาก็จงหนักแน่น ใครพูดอะไรให้ฟัง รู้ว่าเขาคิดอะไร เรารู้ทันก็จงหนักแน่น ให้ละลายสิ่งที่ไม่ดีด้วยความสุขุมของตัวเราเอง เราเป็นผู้ที่มีความสุขุมไหม ให้เรานั่งนิ่งสัก 5 นาทีทำได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำความดีความสุขุมนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเราต้องการที่จะสุขุมแต่บางทีเราก็มีความเมื่อยล้า ความเหนื่อย เราจึงต้องหัดที่จะแก้ปัญหาด้วยปัญญาและมองหาทางออกที่ถูกต้อง
การไม่รู้จักชีวิตตัวเองนั้นน่าเศร้าที่สุด การรู้จักชีวิตของตัวเราเองนั้นน่ายินดีที่สุด อย่ารู้จักตัวเองแค่เป็นคนชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร อย่ารู้จักตัวเองแต่เพียงชอบและไม่ชอบอะไร ขอให้รู้จักตัวเองในจิตใจ คนศึกษาธรรมนั้นมีหลายรูปแบบ หลายๆ คนเป็นคนศึกษาธรรม รู้ลึก รู้มาก รู้จริง รู้ถึงจิตว่ามีกี่ระดับ รู้ถึงธรรมะทุกๆ ข้อ แต่วันนี้ที่อาจารย์มาที่นี่ อาจารย์ไม่ได้หมายมั่นให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีธรรมะลึกซึ้ง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักควบคุมจิตของตัวเอง หัวลิงโผล่ออกมาก็รู้จักที่จะระงับหัวลิง หางลิงโผล่มาก็รู้จักที่จะจับหางลิง หัวม้าโผล่ออกมาก็รู้จักที่จะระงับหัวม้า หางม้าโผล่มาก็รู้จักที่จะระงับหางม้า ทำไมถึงบอกว่าเป็นลิงเป็นม้า ลิงไวไหม (ไว) ม้าไวไหม (ไว) จิตของเราไวเหมือนลิงเหมือนม้าหรือเปล่า (เหมือน) ขอเพียงแต่ทุกๆ เวลานาทีที่จิตใจของเราเป็นอกุศล เป็นอคติ หรือลำเอียงขึ้นมา รู้ปุ๊บจับปั๊บทำได้ไหม (ได้) จับใจของตัวเองให้อยู่แล้วบอกว่าหยุด หากว่าเราทำได้นี่คือการบำเพ็ญ
การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องล้าสมัย การบำเพ็ญนั้นมีมานานแล้ว การบำเพ็ญนั้นบางคนบำเพ็ญได้บรรลุ แต่บางคนนั้นบำเพ็ญได้ไม่บรรลุ เพราะว่าบางคนก็จับจดอยู่กับเนื้อหาสาระของธรรมะ สิ่งที่คนอื่นพูดมานานแล้วตัวเองก็ยังพูดต่อไป แต่ปฏิบัติไม่ได้เลย อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ทุกๆ คนต้องทำในตอนนี้ คือใจของตัวเองขยับคิดทำอะไร จับให้อยู่ก็พอแล้ว หากมีความโลภโผล่ขึ้นมาเราก็บอกตัวเองว่าโลภมากลาภหาย หากมีความโกรธขึ้นมาก็บอกว่าโกรธแล้วเป็นโทษ ถ้าหากว่าเกิดความหลงขึ้นมาก็บอกว่าตนเองนั้นจะวนเวียนไปถึงเมื่อไหร่ ความโลภมีลักษณะเป็นอย่างไร กอบโกยเข้ามา อยากได้เยอะๆ นี่คือความโลภ ความโกรธเป็นอย่างไรคืออารมณ์ที่ระเบิดออกๆ ความหลงเป็นอย่างไร ความหลงก็วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ เรียกว่าความหลง เพราะฉะนั้นก็มีแค่เรื่องเอาเข้าเอาออก วนไปเวียนมาแค่นี้เอง ง่ายไหม (ง่าย) ง่ายแล้วทำได้หรือเปล่า (ได้) ถามว่าเอาเข้า เอาออก กับวนไปเวียนมาอะไรตัดได้ง่ายกว่ากัน
เวลามีเรื่องอยู่ในใจแล้วไม่ได้ระบายเป็นอย่างไร (อึดอัด) เวลาอยากพูดแล้วไม่ได้พูดมันอึดอัดมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนตอนนี้เราโกรธอยู่ข้างใน เหมือนเราอยากพูดอะไรแล้วเราไม่ได้พูดอึดอัดไหม (อึดอัด) จะรับมือกับความอึดอัดนี้อย่างไรดี ขนาดแค่คำถามยังตอบไม่ได้เลยแล้วเวลาเจอของจริงจะจัดการได้หรือ
(ทำใจให้สงบ, ต้องปล่อยวาง, ยิ้มให้กับความทุกข์เสมอ, อึดอัดก็ปล่อยวาง, อันนี้ดีมากเลย อึดอัดก็ไปอาบน้ำ)ดีหรือเปล่า (ดี) วิธีนี้ดีที่สุดเลย แล้วหากตอนไปอาบน้ำ น้ำไม่ไหลทำอย่างไร (หาเหตุของความอึดอัด) เคยยิ่งหายิ่งยุ่งไหม (ยอมรับแล้วทำใจแล้วก็รู้จักปล่อยวาง) ความอึดอัดนั้นมีกันทุกคนเลยเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงแต่การเอาความอึดอัดออกมานั้นอย่าให้ใครบาดเจ็บ อย่าทำร้ายอย่าป้ายสีใคร อย่าให้ร้ายอย่านินทาใคร ให้รู้ว่าสิ่งที่เอาออกมานั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษ เมื่อคิดได้ดั่งนี้แล้ว ศิษย์ก็จงเลือกว่าศิษย์จะเอาความอึดอัดออกมาอย่างไร เอาออกมาแล้วก็หายอึดอัด แต่วิธีการจะเอาออกมานั้นต้องพิจารณาด้วยปัญญาเท่านั้น ทุกคนมีปัญญาอยู่ในตัว ปัญญามากได้แก่ผู้ที่บำเพ็ญมามาก ปัญญาน้อยได้แก่ผู้ที่บำเพ็ญน้อย ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญมามากก็จงอย่าได้ถือสาผู้ที่บำเพ็ญมาน้อย ภูมิธรรมน้อยกว่า
ส่วนผู้ที่บำเพ็ญมาน้อยก็อย่าได้อิจฉาริษยาผู้ที่บำเพ็ญมามาก วิธีการของใครจะดีหรือไม่ดีไม่เป็นไร การออกมาขอเพียงแต่ว่าให้เป็นคุณอย่าได้เป็นโทษ ถ้าหากว่าอาจารย์เอาศิษย์ทุกๆ คนมาเปรียบเทียบกัน ศิษย์คิดว่าศิษย์ที่ยืนอยู่ตรงนี้จะเป็นลำดับที่เท่าไหร่ในใจอาจารย์ อาจารย์จะบอกให้ว่าศิษย์ก็ยืนอยู่บนแนวเดียวกันของคนที่ได้ที่หนึ่ง อาจารย์จะขยายแท่นลำดับที่หนึ่งให้เป็นแท่นใหญ่ๆ อาจารย์คิดว่าศิษย์ทุกคนนั้นเป็นที่หนึ่งและมีความสามารถเสมอ เป็นคนดีเสมอ เพียงแต่ว่าเจออะไรที่ต่างกัน คิดอะไรที่ต่างกัน และทำอะไรที่ต่างกัน
การทำงานร่วมกันในสังคม ก็เพราะว่ามีผลประโยชน์ เวลามีผลประโยชน์มากเราก็ยิ่งตั้งใจทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าวิญญูชนคบกันไร้ของกำนัล ไร้ของขวัญ ไร้งานเลี้ยง แต่ยิ่งคบกันยิ่งสนิทชิดเชื้อ ยิ่งแน่นแฟ้น ส่วนทรชนนั้นคบกันด้วยของขวัญของกำนัล ผลประโยชน์ งานเลี้ยงหรูหรา แต่พอเราหมดประโยชน์ความสัมพันธ์หายไหม (หาย) หายกันหมดเลย
แต่ในสถานธรรมเขาทำอาหารให้ศิษย์กิน เขาก็ไม่ได้บอกว่าคนไหนเป็นแม่ครัว คนที่หาน้ำให้ศิษย์ ซักผ้าให้ศิษย์ ทำสิ่งใดให้ศิษย์ ตระเตรียมสิ่งใดให้ศิษย์ก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้คบศิษย์ที่ผลประโยชน์ เพราะเขาไม่อยากได้หน้า ไม่อยากได้คำชม การที่ศิษย์มาสถานธรรมก็เช่นเดียวกัน มาสถานธรรมยิ่งนานวันยิ่งแน่นแฟ้น ยิ่งสนิทสนม แต่สังคมถ้าเขาจะพาศิษย์ไปเลี้ยงข้าว เขาจะต้องบอกว่าใครเป็นคนเลี้ยง ใครเป็นคนออกเงิน เขาต้องนำเสนอว่าเขาให้ประโยชน์สิ่งใด เพราะเขาหวังอยากได้ประโยชน์จากศิษย์ใช่หรือไม่ การที่มาสถานธรรม คบกับคนในสถานธรรม จึงไม่มีประโยชน์มาล่อใจ ขอให้ศิษย์คบกันยิ่งนานยิ่งแน่นแฟ้น แม้ไม่ได้ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน แต่เมื่ออยู่นานวันไปรักกันยิ่งกว่าพี่น้อง แต่ถ้าศิษย์อยู่ในโลก เขาแสวงหาผลกำไรจากศิษย์ นานวันไปศิษย์ก็จะเหลือแต่กระดูกใช่หรือไม่
คนถ้าถูกจำกัดไว้ด้วยสังขารจะไปไหนก็เป็นเรื่องยากลำบาก เวลาอาจารย์เข้าไปบ้านของศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่กินอยู่ก็นอนอยู่ หรือไม่ก็กำลังว่าใครอยู่ ไม่เห็นจะน่าเข้าบ้านของศิษย์เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งกินสามมื้อ มื้อหนึ่งก็หลายชั่วโมงแล้ว นอนก็หลายชั่วโมง ไปทีไรไม่กินอยู่ก็นอนอยู่ เพราะฉะนั้นเราเกิดเป็นคนต้องทำชีวิตของเราให้มีประโยชน์ โลกนี้มีตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิดมา กระทั่งเราจากไปแล้ว ตอนเรามาก็ไม่ได้เอาอะไรมา ตอนเราไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป แม้เราอยากจะเอาไปก็เอาไปไม่ได้ ฉะนั้นโลกนี้เปรียบเสมือนทางผ่าน คือเราผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ในเมื่อเรารู้ว่าเราไปแล้วเราไม่ได้เอาอะไรไป ตอนนี้เราจะสะสมเยอะแยะทำไม สิ่งที่เราสะสมไว้ มีเงินมากก็มีทุกข์มาก อยากมีเงินหนึ่งร้อย ต้องมีทุกข์สองร้อย อยากมีเงินหนึ่งพัน ต้องมีทุกข์สองพัน อยากมีเงินหนึ่งล้าน ต้องมีทุกข์สองล้าน อยากมีเงินสิบล้าน ต้องมีทุกข์ยี่สิบล้าน แล้วคิดดูว่าเราจะทนไหวไหม (ไม่ไหว)
ฉะนั้นอย่าให้คนพูดว่าอยู่แล้วหนักแผ่นดิน เราตายไปอย่าให้คนพูดว่าตายไปก็ดีแผ่นดินจะได้สูงขึ้น เกิดมาเป็นคนต้องหาความหมายชีวิตให้เจอว่าเกิดมาเพื่ออะไร อยู่ให้มีคุณค่า อยู่เพื่อสร้างค่าให้กับผู้อื่น ถ้าสร้างค่าให้กับตัวเองเรียกว่าไม่มีค่า แต่ถ้าสร้างค่าให้กับผู้อื่นเรียกว่าคุณค่า เราสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นแปลว่าเรายอมขาดทุน แต่สิ่งที่ได้ก็คือกุศลคือบุญที่อยู่ในจิตของเรา ทำไมคนตั้งแต่โบราณกาลจึงพูดถึงเรื่องบุญกุศล ทั้งที่บุญกุศลเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีรูปลักษณ์ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าใจคนจะอยู่ได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ สังเกตว่าใจของศิษย์ที่มีความสุขก็คือจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ ยิ่งให้ผู้อื่นใจก็ยิ่งบริสุทธิ์ สิ่งที่ชำระใจให้บริสุทธิ์ได้ก็คือบุญและกุศล
ฉะนั้นจึงเน้นย้ำให้ศิษย์นั้นสร้างบุญ ส่วนวาสนาที่มาพร้อมกับบุญ หรือวาสนาที่มาหลังบุญนั้นเป็นของแถม ไม่ใช่ของที่ศิษย์จะมายึดถือว่าต้องสร้างเยอะๆ วาสนาเป็นเพียงแค่ของแถมเท่านั้น ทุกวันนี้ศิษย์อยู่กับของแถมไม่ใช่อยู่กับความเป็นจริง คนที่ยิ่งมีวาสนามากถ้าหากว่าไม่อยู่ให้ดีก็จะหลงระเริงกับสิ่งที่ตัวเองมีมากมาย ยิ่งมีก็ยิ่งหลง เราเกิดมาได้กายเนื้อนี้แล้วถึงแม้ไม่ดี ไม่สมบูรณ์ ไม่สวยงาม แต่ก็ถือว่าเป็นต้นทุนที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ล้ำค่ายิ่งกว่าอาจารย์ เพราะว่าตอนนี้อาจารย์ไม่มีสังขารอย่างศิษย์ ทำอะไรก็ทำไม่ได้ แต่ว่าศิษย์มีสังขาร อย่าทำอะไรโดยไม่มองสิ่งรอบข้าง ขอให้ศิษย์เลือกทำ เลือกปฏิบัติ เลือกที่จะเป็น ขอให้เลือกที่จะอยู่ เลือกที่จะคิด ขอให้เป็นชีวิตที่เลือกได้ หันหลังให้กับกิเลส หันหลังให้กับความอยาก ทุกคนที่อยู่ในโลกมนุษย์นี้ยังมีกิเลสอยู่ คนที่ไม่มีกิเลสเลยไม่มี แต่ขอให้มีกิเลสเพียงนิดหน่อยอย่ามีเยอะเกินไป มีเยอะเกินไปจะให้โทษ ขอให้อยู่แบบสมถะ อยู่พอมี อยู่พอกิน อยู่พอใช้ก็พอแล้ว อย่าได้คิดระแวงใคร อย่าได้คิดร้ายกับใคร แต่อย่าลืมระวังตัว เพราะว่าศิษย์อยู่ในยุคที่ศีลธรรมตกต่ำ ทุกวันนี้จงอย่าได้คิดร้ายกับใคร อย่าป้ายสีใคร แต่จงระวังตัว
เวลาผ่านไปเมื่ออาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก เมื่อเราตายจากไป อาทิตย์ก็ยังขึ้นยังตก เพราะฉะนั้นอะไรที่ผ่านไป เวลาผ่านไปหรือว่าเราผ่านไป (เรา) เราเดินมาบนทางผ่านนี้ เรากำลังจะผ่านไป เราตายไปแล้วอาทิตย์ก็ยังขึ้นยังตกอยู่ ในยามที่พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกในโลกนี้ เราก็ยังวนอยู่ในสังสารวัฏนี้ เรายังดิ้นอยู่ในโลกใบนี้ ดิ้นด้วยความทรมาน ดิ้นเพื่อให้ได้ แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ ดิ้นรนเพื่อให้มีสุดท้ายเราก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจงรู้ว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีสิ่งใดก็ต้องเสียสิ่งนั้น ได้สิ่งใดก็ต้องเสียสิ่งนั้น เสียของเก่าไปได้ของใหม่มา เป็นอนิจจัง เพราะฉะนั้นในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่าเสียดายเลย ถ้าจะทำให้ดีหน่อยก็เป็นพี่น้องกันให้ดี เป็นลูกที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นคนที่ดีเพราะว่าเกิดมาเป็นแม่ลูกกัน พ่อลูกกัน เกิดมาเป็นพี่น้องกัน เป็นพี่น้องมากขึ้นไปอีกหนึ่งวันก็แปลว่าเป็นพี่น้องน้อยลงไปอีกหนึ่งวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าเวลาของคนนั้นเดินหน้าไป ตัวเราก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นอยู่ด้วยกันให้รักกัน ให้เข้าใจกัน ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน แม้แต่ตัวเราก็ยังไม่แน่นอน อย่าไปยึดติดถือมั่นใดๆ มากนัก ขอให้ทุกวันจับใจของตัวเองให้อยู่ กิเลสใดอยู่ในใจ สิ่งใดโผล่มาให้จับสิ่งนั้น จับให้อยู่ทุกๆ วันก็คือการบำเพ็ญธรรม
การบำเพ็ญในแบบที่อาจารย์สอนศิษย์เป็นการบำเพ็ญแบบง่ายๆ เป็นการบำเพ็ญพื้นฐาน พูดยากให้ง่ายเพื่อให้ศิษย์ทำได้ง่าย อาจารย์หวังว่าง่ายขนาดนี้แล้วศิษย์จะทำให้ได้ อย่าลืมว่าเรามีโอกาสสร้างบาปมากกว่าสร้างบุญ ในวันนี้เราเป็นผู้มีสติแล้ว เป็นผู้รู้แล้ว เป็นผู้เข้าใจธรรมแล้ว ขอให้รู้จักที่จะสร้างบุญมากกว่าสร้างบาป เพราะว่าบาปต้องอาศัยมือไปกระทำ ต้องอาศัยสมองไปคิด ต้องพิจารณาว่าเรานั้นจะสร้างบุญหรือสร้างบาปมากกว่ากัน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า
“รู้พึงมีพึงได้”)
“รู้พึงมีพึงได้”)
“รู้พึงมีพึงได้” คือรู้พอใจในสิ่งที่ตนมีและพอใจในสิ่งที่ตนได้ ในวันนี้อาจารย์พูดให้ศิษย์ฟัง อย่างน้อยก็ยังให้ศิษย์มีได้ แล้วก็ยังได้ในสิ่งที่ต้องมี ฉะนั้นขอให้ศิษย์พอใจในสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนได้มา โลกนี้ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ดีที่สุด คนที่ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดก็จะถูกคนทั่วไปอิจฉา ฉะนั้นเราได้ในสิ่งที่ไม่ดีเท่าไหร่ก็เพื่อทำให้โลกนี้สมดุลมากขึ้นเท่านั้น ทุกวันนี้ได้สิ่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโลกนี้ก็สมดุลเพราะศิษย์ โลกนี้ก็สวยงามเพราะศิษย์ ถ้าหากว่าโลกนี้มีแต่ดอกไม้ไม่มีกองขยะ เราจะเห็นไหมว่าดอกไม้สวย เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นงดงามก็เพราะว่ามีสิ่งไม่งดงามให้เรามอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามีในสิ่งที่ไม่งามเท่าไหร่ก็เพื่อส่งเสริมให้ผู้อื่นนั้นงามยิ่งขึ้น เมื่อเราคิดได้เช่นนี้เราก็คือโพธิสัตว์
วันนี้อาจารย์มาในโลกใบนี้ด้วยความหวังให้ศิษย์นั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น มีตาที่สว่างขึ้น หวังให้ศิษย์นั้นใส่ใจในเรื่องที่ควรใส่ใจมากขึ้น เพื่อหวังให้ศิษย์นั้นปล่อยวางในเรื่องที่ควรปล่อยวางมากขึ้น มีความสุขตามอัตภาพ หวังศิษย์นั้นฉุดช่วยเวไนยให้มากขึ้น หวังให้ศิษย์คิดได้ ทำดี คิดดี พูดดี สร้างมรรคผลนิพพานให้บังเกิด ก็ไม่รู้ว่าความหวังของอาจารย์มากเกินไปหรือเปล่า แต่อาจารย์บอกเลยในสามโลกนี้ เทวดา ผี และมนุษย์ มนุษย์เป็นปัจจัยที่ดีที่สุดในการที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์ไม่ใช่หรือที่ถูกเรียกว่ามนุษย์ แล้วก็ศิษย์ไม่ใช่หรือที่อาจารย์นั้นต้องพร่ำฉุดช่วยอยู่เสมอ ฉะนั้นศิษย์จึงเป็นผู้ที่มีโอกาสดีที่สุด ศิษย์จึงเป็นผู้มีปัญญาสูงสุด สามารถพัฒนาตนไปได้ถึงโพธิสัตว์ ขอเพียงแต่ศิษย์นั้นมีปัญญาที่มั่นคง อย่าใช้ตาของศิษย์มองแต่ในสิ่งที่มองเห็น อย่าใช้ใจของศิษย์สัมผัสแต่กิเลสให้มัวหมอง อย่าใช้วาจาของศิษย์พูดพล่ามไม่หยุดทั้งที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง ชีวิตเป็นสิ่งดี ชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์
ศิษย์ที่น่าสงสารทั้งหลาย อาจารย์นั้นสงสารศิษย์ยิ่งนัก ความทุกข์ของศิษย์นั้นเหมือนสิ่งที่วนเวียนและหาทางออกไม่ได้ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าคนนั้นอยู่ด้วยกรรม บางเรื่องศิษย์ก็ต้องทนแล้วใช้กรรม ต้องยอมรับ ถึงศิษย์จะเครียดกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงศิษย์จะรู้เท่าทันทุกเรื่องก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์จะพ้นได้ จึงอยากบอกศิษย์ว่าสุดท้ายแล้ว เรื่องทุกเรื่องมีคำตอบทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่ศิษย์จะรู้ว่าคำตอบคืออะไร
อาจารย์จึงหวังให้ศิษย์ทุกคนจะแข็งแกร่ง เพราะถ้าศิษย์ไม่แข็งแกร่งศิษย์ก็ช่วยคนอื่นไม่ได้ บางทีอาจารย์พูดอย่างนี้ก็อาจจะไม่ยุติธรรมเพราะศิษย์บางคนแม้จะช่วยตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้ แต่อาจารย์จะบอกให้ ถึงใจจะทุกข์แต่มือก็ยังว่าง ใจทุกข์ขาก็ยังว่าง ใครๆ ก็รอให้ศิษย์ไปฉุดช่วย เอามือของเราไปฉุดช่วยคนอื่น ก็จะย้อนกลับมาช่วยตัวเอง เมื่อไม่ช่วยคนอื่นตัวเองก็ยิ่งไม่มีทางออก
ขอให้ศิษย์ทุกคนเข้มแข็ง รู้เท่าทันจิตใจของตัวเอง รู้เท่าทันกรรมของตัวเอง สิ่งใดที่ควรเกิดก็จะมาเกิดกับเรา สิ่งใดที่ไม่ควรเกิดก็จะไม่มาเกิดกับเรา เข้าใจไหม (เข้าใจ) ทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ควรจะเกิดกับเราแล้ว เรายังชดใช้อยู่เราจึงทรมาน วันใดชดใช้หมดก็สิ้นทรมาน หากโลกนี้ไม่มีทางออกให้ศิษย์ วันใดศิษย์ละสังขารเรื่องทุกอย่างก็จบลงเหลือแต่เพียงเบื้องหลังเท่านั้น อาจารย์จะบอกให้ว่าไม่นานหรอก เรื่องแบบนี้ทุกคนก็นับเวลาถอยหลังด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นอยู่กับชีวิตนี้ให้มีคุณค่า สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตนี้ สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น เพื่อให้เราเป็นผู้ที่มีคุณค่าสูงสุดเข้าใจไหม ลาก่อน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
“รู้พึงมีพึงได้”
“รู้พึงมีพึงได้”
ทำอะไรอย่าลืมเผื่อใจไว้บ้าง เพราะความจริงได้อย่างเสียอย่างเห็น
ถึงที่สุดกล้ารับความจริงเป็น โลกธรรมแปด ล้วนมิเว้นย้ำเตือนใจ
ยืมเขามาใช้ของเขาไหนของเรา นานวันเข้าเหมาว่าเป็นของตนได้
สุขได้มีไม่ได้มาอย่าเจ็บใจ อะไรในโลกนี้เป็นของตน
โลกธรรมแปด เรื่องของโลก, ธรรมดาของโลก ทางพระพุทธศาสนามี ๘ ประการ คือ
๑. มีลาภ ๒. เสื่อมลาภ ๓. มียศ ๔. เสื่อมยศ ๕. สรรเสริญ ๖.นินทา ๗. สุข ๘. ทุกข์
๑. มีลาภ ๒. เสื่อมลาภ ๓. มียศ ๔. เสื่อมยศ ๕. สรรเสริญ ๖.นินทา ๗. สุข ๘. ทุกข์
ยังคอยศิษย์ ณ ผิงซัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง ทำนองเพลง: จ๋งอิ่วอี้เทียนเติ่งเต้าหนี่
อาจารย์วนเวียนมา สู่สถานพุทธา ศิษย์ดูเลื่อนลอยดั่งเช่นเคยวันนี้ได้พบกัน ใกล้จะเป็นอดีต ศิษย์เอ๋ยเจ้าซึ้งในธรรมเพียงไร อาจารย์มีใจ แต่ศิษย์กลับเฉยเชือน กล้ำกลืนเศร้ายากจะมอบใจ ห่วงศิษย์ยังเล็กนัก เกรงเจ้าจะมัวเมาโลก โปรดรับใจจริงจากอาจารย์ที
อาจารย์เป็นดิน ศิษย์เป็นต้นอ่อน ปลูกเลี้ยงทุกต้นให้เป็นร่มโพธิ์ ศิษย์เป็นลูกๆ อาจารย์เป็นพ่อ ผูกพันจิตพ่อลูกมั่นไม่คลาย ภูผาสูงเพียงไร กระแสน้ำไหลเชี่ยว ศิษย์ดึงดื้อ อาจารย์ไม่ทิ้ง ต่อให้นานแสนนาน ชั่วฟ้าดินสลาย อาจารย์จะคอยศิษย์ยังผิงซัน