วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

2551-10-11 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี


西元二○○八年歲次戊子九月十三日
วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านไคลู่เซียนฟง

เงินไม่อาจซื้อความสุขแก่ชีวิต เงินไม่อาจปิดบังความผิดใครได้
เงินไม่อาจเปลี่ยนแปลงหัวใจใคร เงินไม่อาจสร้างใครให้ดีจริง
เราคือ
ไคลู่เซียนฟง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา แล้ว ถามทุกท่านว่าง่วงหรือเปล่า

อย่าหลงโลภไขว่คว้าจนทุกข์ไป ฝึกเพียงพอในความธรรมดานี้
รู้พึงได้รู้เรียบง่ายชีวี จะเปรมปรีดิ์สุขเห็นง่ายกว่าใคร
หมั่นอภัยในใจน้อมนำมั่น หมั่นเข้าใจความสามัญอ่อนแอไฉน
ลดทิฐิละอัตตาลดฟืนไฟ ไฟได้น้ำกั้นทิฐิชีวิตดี
เพียงหนึ่งใจปันจนยุ่งลำบาก มีมากแบ่งมากใจวุ่นทวี
ยึดสุขทุกข์มีล้นพ้นทวี ทั้งชีวีถึงต้องเหนื่อยระทมใจ
ทำอะไรไหนแค่ยากก็ยุติ ตั้งสติสู้ชีวิตคิดให้ได้
พลิกชะตากับใจตนดวงขวนขวาย ทำวันนี้ฟ้าหรือใคร่กำชับกำชา
คนอยากดีไม่อยากกระทำดี คนแกล้งดีคนแกล้งรวยปัญหา
ติดดีนี้มั่นคงไปอัตตา คนดีพาใจก้าวตามสามัญ
ธรรมหอมฟุ้งไม่ไปสังคมยุ่ง จิตวุ่นวายไม่ปรุงรู้หยุดนั่น
ออกช่วยคนอารมณ์ตนต้องประกัน สติทันเป็นใหญ่ใจเท่าเทียม
สงบมีสติมีไปกว่าสมอง จิตครอบครองให้ปัญญาสะอาดเอี่ยม
กิเลสราบเรียบคุณธรรมสร้างเต็มเปี่ยม สำคัญเตรียมจิตใจให้พร้อมเผชิญ
ฮิ  ฮิ  หยุด

หมายเหตุ กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมแต่ง
พระโอวาทท่านไคลู่เซียนฟง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายหนึ่งคน และนักเรียนหญิงหนึ่งคนร่วมเล่นเกม)
ให้นักเรียนชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน เดินมาสุดห้อง เราจะนับหนึ่งถึงสิบ ให้ท่านสามารถมารับผลไม้เท่าไรก็ได้ แต่เมื่อหยิบผลไม้ที่โต๊ะแล้วต้องวนรอบห้องหนึ่งรอบกลับมาหาเราโดยที่ผลไม้ไม่หล่นเลย แล้วผลไม้นั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด ดีไหม (ดี)  และถ้าผลไม้นั้นมีสิ่งพิเศษอย่างหนึ่งคือ จะสามารถรักษาโรคได้ เพียงหนึ่งโรคเท่านั้น ด้วยหนึ่งใจ แล้วต้องกลับมาทันเวลา ให้เวลาโดยนับหนึ่งถึงสิบก็พอ คนนับก็นับไปเรื่อยๆ
(นักเรียนที่ร่วมเล่นเกมไม่สามารถวิ่งกลับมาทันเวลา)
เราอย่าลืมว่าเวลาเรามีจำกัด อยากได้แค่ไหนแต่ถ้าเวลาเรามีจำกัด สิ่งที่อยากได้ก็ไม่คุ้มเหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์หากันแทบเป็นแทบตายในเวลาอันจำกัดนี้ หาไปแทบแย่คุ้มเหนื่อยไหม (ไม่คุ้ม)  คุ้มที่ได้ลิ้มรสในชีวิตนี้ คุ้มไหม คิดออกไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกมอีกหนึ่งรอบ)
เราอยากบอกว่า ฟ้ามีตา คนที่ลักไก่ ฟ้าเห็น วนครบรอบไหม (ไม่ครบ)  เพราะฉะนั้นอดได้ผลไม้
ผลไม้นี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะท่านทำตัวไม่ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นจะโทษเราไม่ได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทำอะไรแล้วต้องยอมรับผลของการกระทำของตัวเอง หรือพูดง่ายๆ ใครทำสิ่งใดต้องได้รับอย่างนั้น อย่าบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ แล้วคนที่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือ ตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  ฟ้าประทานดีขนาดไหน แต่ถ้ามนุษย์ไม่ซื่อตรง ขาดคุณธรรมในหัวใจ สิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นสิ่งที่ธรรมดาในมือมนุษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“เงินไม่อาจซื้อความสุขแก่ชีวิต” ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ซื้อได้แต่วันต่อไปสิ่งที่ซื้อมากลับกลายเป็นความรู้สึกธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้สุขอาจจะได้เพราะเงินก้อนนี้ แต่ต่อไปความสุขนี้อาจจะกลายเป็นความทุกข์ จริงหรือเปล่า (จริง)
“เงินไม่อาจปิดบังความผิดใครได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์มักจะบอกว่าขอให้มีเงิน มีเงินแล้วเดี๋ยวทุกอย่างก็จะมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้กระทั่งจากคนผิด ถ้ามีเงินแล้วก็กลับกลายเป็นคนถูกได้ จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)
“เงินไม่อาจเปลี่ยนแปลงหัวใจใคร” จริงไหม (จริง)  ใครที่เลี้ยงลูกด้วยเงิน ใครที่ซื้อมิตรด้วยเงิน แท้จริงแล้วไม่อาจซื้อหัวใจเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบางคนก็คิดว่าเงินอาจเปลี่ยนคนได้ แต่แท้จริงแล้ว เปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนเรามีเงินกับตอนเราไม่มีเงิน หัวใจเราต่างกันไหม (ต่าง)  ทำไมต่างกัน แล้วตอนเราไม่มีเงินหัวใจเราเป็นอย่างไร ตอนมีเงินหัวใจเราเปลี่ยนไปไหม (เปลี่ยน)  แล้วเปลี่ยนได้ตลอดไหม (ไม่ตลอด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เงินไม่อาจสร้างใครให้ดีจริง” อย่าคิดว่า ใช้เงินแล้วจะสร้างความดีให้กับตัวเอง บางทีไม่ได้หรอก บางคนคิดว่าขอให้มีเงินเยอะๆ แล้วจะเอาเงินนี้ไปทำบุญทำกุศล ทันไหม (ไม่ทัน)  บางคนคิดว่าขอให้มีเงินเยอะๆ แล้วจะเอาเงินไปทำดี แต่จริงๆ ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองสร้างชื่อจนเหม็นโฉ่แล้วค่อยคิดจะมาทำความดี ก็สายเกินไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นมีน้อยแล้วรู้จักให้ ดีกว่ามีมากแล้วเพิ่งมาให้ ไม่ทันหรอก ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะน้ำใจของคนมีน้อยแล้วยังรู้จักให้ ย่อมยิ่งใหญ่กว่าคนมีมากแล้วคิดจะให้เสียอีก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนมีน้อยแต่ยังแบ่งปันเรารู้สึกดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกชื่นชมในน้ำใจเขา แต่มีมากแล้วมาให้เรากลับรู้สึกกระแหนะกระแหนอยู่ในใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประกาศพระนาม)
เราคือ ไคลู่เซียนฟง  รู้จักเราไหม ห้องพระนี้ชื่อว่า “เจิ้งซิน” แปลว่าอะไร “เจิ้ง” แปลว่า “เที่ยงตรง”  “ซิน” แปลว่า “จิตใจ” คนที่เป็นญาติธรรมและประชุมธรรมที่ห้องพระเจิ้งซินต้องมีจิตใจที่เที่ยงตรง ไม่เช่นนั้นจะเป็นเหมือนสองคนเมื่อสักครู่ คือ ลักไก่แล้วก็อดได้ จากที่จะได้ไก่ทองก็กลายเป็นไก่ธรรมดา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถามทุกท่านว่าง่วงนอนไหม (ไม่ง่วง)  เห็นตาโตก็เชื่อแล้ว แต่มีบางคนตาโตแต่แอบดมยาดม เพราะอากาศร้อนใช่ไหม ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  เมื่อสักครู่เราบอกว่าวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ใช่ว่าให้ท่านหยุดความอยากทั้งหมด แต่ให้รู้จักความอยาก และมีสติในการอยาก แล้วความอยากนั้นจะได้ไม่พลิกกลับมาทำร้ายตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเวลาที่เราเขียนหนังสือ เขียนไปสักครู่ยังต้องรู้จักหยุดพัก เมื่อเวลาเขียนหนังสือเราต้องรู้จักเว้นวรรค เวลาเรามองตัวหนังสือ เห็นตัวหนังสือติดกันไม่มีเว้นวรรคเลย เราอยากอ่านไหม (ไม่อยาก)  คำพูดก็เหมือนกัน ถ้าพูดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเลย เมื่อยและน่ารำคาญไหม (เมื่อยและน่ารำคาญ)  เวลาเรามอง มองก็ต้องรู้จักไม่มองบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเรากิน ถ้าเรากินไม่หยุด เราก็จะกลายเป็นชูชกท้องแตกตาย ยังไม่ทันอ้วนหรอกเพราะกินไม่หยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตหนึ่งที่มนุษย์เกิดมาเป็นคน สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการต้องรู้เดินและรู้หยุด รู้อยากได้อยากมี แต่ก็ต้องรู้จักพอในความอยากได้อยากมี แล้วสิ่งที่เราปรารถนาหรือสิ่งที่เราไขว่คว้าก็จะได้ไม่กลับมาทำร้ายเราอีกใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนซอยเท้า โดยเริ่มจากซอยเท้าช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็ว)
เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แต่ทำไมมนุษย์เหนื่อยแทบแย่แล้วหยุดไหม (ไม่หยุด)  ไม่หยุดแถมยังเดินไปอีก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนซอยเท้า โดยเริ่มจากซอยเท้าช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็ว แล้วก็ปรบมือด้วย)
ลำบากไหม (ลำบาก)  เท่านี้พอไหม (ไม่)  เท้าก็เดิน มือก็ขยับ สมองก็คิด ปากก็พูด หยุดไหม (ไม่หยุด)  จะหยุดอีกทีก็ต่อเมื่อฟ้าบังคับ มืดแล้วนอนได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือบางคนฟ้ามืดแล้วหยุดไหม (ไม่หยุด)
ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ การรู้จักหยุด รู้จักพอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ผู้ที่รู้จักหยุดรู้จักพอ ผู้นั้นจะสามารถพบความสุข ความฟุ้งเฟ้อจะไม่ทำให้เป็นเรื่องน่ายินดี และการรู้จักสมถะจะทำให้ตัวเองมีชีวิตไม่น่าเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักพอเป็น และมีสุขได้ แต่ถ้าพอไม่เป็น สุขไม่ได้ การฟุ้งเฟ้อจึงเป็นเรื่องที่ยังน่ายินดี การสมถะจึงไม่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าถ้าตัวเองต้องสมถะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่รู้จักคำว่าพอและมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนมนุษย์ขยันแสวงหาเพื่ออะไร เพื่อเก็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าแสวงหาเพื่อเก็บมากจนเกินไป จะกลายเป็นคนไม่รอบคอบ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักจำกัดสิ่งที่เก็บเราจะเป็นคนรอบคอบ รู้จักลดการแสวงหาจะทำให้เราเป็นคนที่มีสิ่งที่พึงได้พึงมีในความจำเป็น ไม่กลายเป็นสิ่งที่พึงได้พึงมีเกินจำเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์รู้จักพอเป็นหรือยัง (ยัง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนปรบมือ โดยเมตตาว่าถ้านักเรียนท่านใดปรบมือจนเหนื่อยแล้วก็ให้หยุดปรบมือ)
ใครเหนื่อยแล้วจงหยุด ทำไมเราถึงรู้จักเหนื่อย  ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่าเมื่อไรที่เราควรพอ เมื่อไรที่เราควรหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้ให้ท่านยืน เมื่อยเมื่อไรก็นั่ง ถ้าไม่เมื่อยก็ยืนต่อไป ดีไหม (ดี, ไม่ดี)  เราไม่สามารถรู้ความอดทนอดกลั้นของแต่ละคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และความอดทนอดกลั้นของแต่ละคนเราก็ไม่สามารถที่จะจำกัดได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านบอกว่าเท่านี้ท่านพอแล้ว แต่คนบางคนกลับยืนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์มีหัวใจที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าใจสู้แม้จะยากลำบากก็ไปได้ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ฟันฝ่าจนหาความสุขได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นใจจึงอยู่เหนือการควบคุมทั้งมวล
เคยเป็นไหมอยากได้อย่างหนึ่งแล้วพยายามแสวงหาสิ่งที่ตัวเองอยากได้ แต่พอไปจนถึงที่สุดกลับกลายเป็นไม่ได้ เคยไหม (เคย)
พอไปๆ มาๆ นึกว่าจะได้กลับเสียยิ่งกว่า เคยไหม (เคย)  มนุษย์พยายามจะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าสิ่งหนึ่ง แต่กลายเป็นว่า ยิ่งหลีกเลี่ยงกลับยิ่งต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเรื่องๆ หนึ่ง ง่ายๆ มีคนหนึ่งอยากจะออกไปข้างนอก แต่ด้วยความที่ตนเองไม่อยากที่จะต้องเจอฝน เพราะกลัวว่าจะไม่สบาย ปรากฏว่าถึงเวลาฝนเกิดตก สิ่งที่เขาเตรียมมาก็คือร่ม แต่กว่าที่เขาจะหยิบร่มออกมาได้ กว่าจะหาร่มเจอก็เปียกไปเกือบครึ่งตัวแล้ว และสิ่งที่เขาไม่อยากเจอคือ การไม่สบาย ก็กลายเป็นต้องไม่สบาย
ฉะนั้นมนุษย์เราก็เหมือนกัน ปรารถนาที่จะได้สิ่งที่ต้องการ แต่บางครั้งพอไปถึงแล้วกลับกลายเป็นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนชายคนหนึ่ง ชอบทองมาก เห็นทองที่ไหนเป็นต้องอยากได้ อยากนำมาเป็นของตนเอง วันหนึ่งเดินผ่านไปเห็นบ้านๆ หนึ่งเขาหยิบทองมาวางไว้บนโต๊ะ “ฉันอยากมีทอง ฉันอยากได้ทอง” แล้วก็เดินไปหยิบของเขามา เมื่อหยิบมาแล้วก็รีบวิ่ง ผลเป็นอย่างไร (ถูกจับ)  แทนที่จะได้ทองกลับกลายเป็นไม่ได้ทอง แล้วทำร้ายชีวิตของตนเองเพราะทอง
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์อีกอย่างก็คือ ความอยากที่พอมีมากแล้วกลายเป็นความไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เมื่อเวลามีความอยากมากเกินไปแล้ว ความอยากนั้นก็จะทำให้กลายเป็นความอับปัญญา  เวลามีความอยากมากๆ เรากังวลไหม พอกังวลมากๆ ปัญญาเราจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  พอปัญญาไม่เกิด ความกล้าเรามีไหม (ไม่มี)  มีกล้าแบบบ้าบิ่น กับกลายเป็นไร้ความกล้าไปเลยก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นความอยากจึงเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักระมัดระวัง และความอยากนี้ก็สามารถให้ผลได้ ๒ กรณี คือ สมอยาก กับ ไม่สมอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้กับไม่ได้  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราปรารถนา สิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังให้ดีคือ ความพลิกผัน อย่าคิดว่าปรารถนาแล้วจะได้สมปรารถนา เพราะไม่แน่ในชีวิตก็พบจุดพลิกผันเสมอ อยากได้สิ่งหนึ่งแสวงหาสิ่งหนึ่ง แต่ผลสุดท้ายกลับไปได้อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่คิดอยากจะได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนในที่นี้ ปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์ แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็หนีไม่พ้นต้องทุกข์ก่อนจึงรู้จักสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนปรารถนาความโชคดี แต่เมื่อไรที่คาดหวังโชคดี เมื่อนั้นเรากำลังเปิดประตูแห่งความทุกข์ เมื่อไรที่เราจะทำการค้าขายเพื่อหวังผลกำไร เมื่อไรที่คิดถึงผลกำไร เมื่อนั้นเรากำลังเปิดประตูสู่ความทุกข์
ฉะนั้นเมื่อเรียนรู้ที่จะมีความอยาก สิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ในหัวใจและลืมไม่ได้คือ อยากได้ ก็ผิดหวังได้ และก็สมหวังได้ สามารถพลิกกลับไปกลับมาได้เสมอ เมื่อไรที่เราอยากแล้วเราไม่ลืม ๒ กรณีนี้ ความอยากนั้นก็ไม่ก่อให้เราทุกข์และกลุ้มใจจนเกินไป  ฉะนั้นอย่าลืมว่าถ้าไม่อยากต้องทุกข์ ไม่อยากต้องขาดทุน ไม่อยากต้องเจ็บปวด ก็หยุดความอยาก ดีไหม (ดี)
ถ้าชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุข แล้วจะมีอะไรที่ทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นสุดยอดของการดำเนินชีวิตก็คือ การไม่ดำเนินชีวิต สุดยอดของผู้ชนะในใต้หล้าก็คือ ผู้ที่ไม่ยอมรบกับใคร สุดยอดของพ่อครัว แม่ครัวก็คือ คนที่ไม่ยอมทำกับข้าวให้ใครกิน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราบอกว่าเราเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ แต่เราไม่เคยทำเลย ใครจะปราบเราได้ไหม ฉะนั้นสุดยอดของคนเก่ง คนฉลาดคือ คนที่ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วถ้าเราไม่รู้จัก แล้วเดินมาอย่างนี้ ท่านก็มองว่าคนนี้ต้องมีอะไรดีแน่ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราอ้าปากออกมาพูด ท่านก็เริ่มรู้แล้วว่า เราไม่ดีจริง ขี้คุย ขี้โม้ แล้วพอได้กระทำจริงๆ เราถึงได้รู้ว่าไม่มีอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการดำเนินชีวิตที่แท้จริงคืออะไร ถ้าเรารู้จักปรับให้ดีเราจะได้ข้อคิดที่ว่า ไม่มีอะไรในโลกที่เราพึงพอใจ และไม่มีอะไรในโลกที่เราไม่พึงพอใจ ความสุขและความทุกข์จะทำให้ใจหวั่นไหวได้ แต่มนุษย์ยังต้องสุขและทุกข์ ก็เพราะยังมีสิ่งที่พึงพอใจ และสิ่งที่ไม่พึงพอใจ เราจึงต้องวิ่งวนกลับไปกลับมาไม่จบ
แต่ถ้าเมื่อไรเรายอม ไม่มีอะไรในโลกที่เราชอบ ไม่มีอะไรในโลกที่เราเกลียด แล้วเราจะทุกข์อะไร แล้วเราจะสุขตรงไหน เราก็กลายเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ทุกข์ ไม่สุข ดีไหม (ดี)  แต่มนุษย์กลับไม่ชอบความธรรมดานี้ ใช่ไหม (ใช่)  เราถามท่านว่า เมื่อก่อนบอกว่าถ้าชีวิตนี้มีบ้าน, มีรถ, มีคนรัก, มีเงินเต็มกระเป๋า ก็จะมีความสุข แล้วมีหรือยัง (มีแล้ว)  มีทุกอย่างแล้วสุขไหม สงบไหม (ไม่สุข,ไม่สงบ)  ฉะนั้นอยากจะเริ่มต้นแก้ปัญหาของความทุกข์ จึงต้องรู้จักเริ่มต้นที่อะไร (จิตใจ)  เริ่มต้นที่จิตใจแบบไหน (จิตใจดี, ใจพอเพียง)  ใจที่รู้จักพอ รู้จักหยุดบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ามีชีวิตไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักหยุดบ้างเลย เราจะสามารถเป็นคนบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ผู้ที่รู้จักพอจึงรู้จักแบ่งปัน ผู้ที่ไม่รู้จักพอจึงรู้จักแต่ชิงชัยประหัตประหาร” ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจิตใจที่พอจึงจะสามารถมีใจแห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรม และเกิดจิตเมตตาได้ แต่จิตใจที่ไม่รู้จักพอ จะเป็นจิตใจที่วันๆ จะอยากได้ อยากเอาของเขาอยู่ร่ำไป จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นการที่รู้จักพอบ้างจะทำให้เราสามารถเปิดจิตใจแห่งเมตตา เปิดจิตใจแห่งบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ แต่ผู้ที่ไม่รู้จักพอก็ง่ายที่จะแก่งแย่งชิงดีชิงชัย แล้วก็อยากมีอยากได้ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่เราเริ่มต้นคือการหยุดอยากได้ ก็คืออย่ามองอย่างไม่เลือก ไม่อย่างนั้นการมองอย่างไม่เลือกจะทำให้เราขาดศีลธรรม จริงไหม (จริง)  โน่นก็อยากมอง นี่ก็อยากมอง แต่งตัวอย่างไรก็อยากดู ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พูดไม่หยุดปาก มีอะไรพูดได้ไม่หยุด ไม่รู้จักเก็บไว้เลย ไม่รู้จักหยุดพูดบ้าง การพูดนั้นจะทำให้เกิดปัญหาและทำให้ชีวิตวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหูสองหู แต่อยากจะมีสักสี่ห้าหูหรือสิบหู อยากฟังไปหมดทุกเรื่อง การฟังไม่รู้จักหยุดฟังบ้างจะทำให้ชีวิตนั้นสับสนแยกไม่ออก อะไรจริงอะไรเท็จ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเรามีใจไว้เป็นนายของ ตา หู ปาก และการกระทำ อย่าปล่อยให้ใจนั้นตกเป็นทาสของตา หู ปาก และการกระทำ เพราะว่าตานั้นไม่รู้จักเลือกว่าอะไรดีไม่ดี ต้องมีใจมาคอยควบคุม ถูกหรือไม่ (ถูก)  หูไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ จึงต้องมีใจมาควบคุม
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปากนี่ถ้าเกิดมีอะไรใส่ได้ก็ใส่ ถ้าใจเราไม่ควบคุมเราก็จะตายเพราะปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำอย่างไรในเมื่อมีจิตควบคุม ตาควบคุมหู ควบคุมปากแล้ว แต่กลับกลายเป็นคนไม่เที่ยง เพราะใจมันไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจมนุษย์เอียงเพราะอะไร เพราะยังติดในสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ชัง เมื่อไรที่มีสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ชังติดอยู่ในหัวใจ ใจก็เลยมองแบบว่า ฉันชอบขาวๆ ดำๆไม่ชอบ อย่างนั้นขาวๆ คงดีกว่าดำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันชอบคนในบ้านมากกว่าคนนอกบ้าน เมื่อเวลามีเรื่องคนในบ้านต้องถูกกว่าคนนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันรักตัวเองมากกว่ารักผู้อื่น เวลาเกิดเรื่องฉันเป็นคนถูกเธอเป็นคนผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถึงมีใจควบคุมแต่ถ้าใจไม่เที่ยงแล้ว ตาจะมองอย่างไรก็เอียง หูจะฟังอย่างไรก็เอียง ปากจะรู้จักพออย่างไร แต่ใจก็อยากจะพูดต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่จะคอยควบคุมใจและบังคับใจให้เราสามารถกลับมาเที่ยงตรง และไม่เผลอเอียงจนเกินไป นั่นก็คือการรู้จักเอาธรรมะมาข่มใจ แล้วเราจะเอาธรรมะมาได้อย่างไร ก็ด้วยการฟังสิ่งที่ควรฟัง ไม่ใช่ว่าสิ่งดีๆ ยังไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ดีๆ ควรทำก็เดี๋ยวค่อยทำ พอไม่ทำบ่อยๆ ถึงเวลาจะทำ จะจับตรงไหนดี อะไรเรียกว่าดี อะไรเรียกว่าไม่ดี แยกไม่ออก
ฉะนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในหัวใจ ใจนี้จะคอยไปควบคุมตา หู จมูก ลิ้น หรือการกระทำได้ ก็ต่อเมื่อใจนั้นรู้จักศึกษาธรรมให้กับตัวเอง ใจคอยประคับประคองให้บริสุทธิ์ยุติธรรม แล้วเมื่อนั้นการมีและการหยุดจะทำให้เราไม่เกิดปัญหา การได้และการให้จะทำให้เราไม่ถูกติฉินนินทา การรักและการชอบจะทำให้เราเป็นคนมีเหตุผล มิใช่รักชอบอย่างไร้เหตุผล และอะไรเรียกว่าสุขอะไรเรียกว่าเศร้า ก็จะไม่ทำร้ายชีวิตเราให้กลายเป็นคนจมอยู่กับความทุกข์หรืออารมณ์จนเกินไป ฟังดูแล้วยากไปไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำได้หรือเปล่านี่สิเป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
การรู้พอ ก็คือ การรู้จักประมาณตน ผู้ที่รู้จักประมาณตน ไม่ว่าจะเป็นการประมาณในเรื่องการพูด คิด ทำ จะสามารถเป็นคนที่มีระเบียบวินัยให้กับตัวเอง สิ่งที่ปรารถนาหรือสิ่งที่ต้องการ จะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองมาก แต่มนุษย์ยังไม่ทันมีสติก็คิดแต่จะอยากไปโดยที่ไม่ยอมตรองสติให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำอะไรไปตามอารมณ์อยากมากๆ ตามใจปรารถนาหรือกิเลสมากๆ จิตวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมจะถูกทำลายโดยไม่รู้ตัว เคยเห็นคนที่แต่งตัวแต่ภายนอก แต่ลืมภายใน คนที่พยายามสวยภายนอก แต่เผลอทำร้ายจิตใจภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่พยายามปกปิดสิ่งภายนอกให้ตัวเองดูดีไว้ แปลว่ามีภายในที่บกพร่อง
ถ้ามนุษย์ดำเนินชีวิต รู้จักใช้ความซื่อตรงในการดำเนินชีวิต มนุษย์จะไม่สูญเสียจิตอันดีงาม แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ดำเนินชีวิต ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย เมื่อนั้นจิตอันดีงามมักจะเสื่อมถอยลงไปได้ง่าย เพราะฉะนั้นเราควรเน้นด้านนอกหรือด้านใน (ด้านใน)  เน้นในอะไร (ในใจ)  เราควรสวยภายนอกหรือภายใน (สวยภายใน)  ฉะนั้นถ้าข้างนอกน่าเกลียดไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อใดที่อยากให้ภายนอกสวยก็อย่าได้ลืมภายในให้สวยด้วย เมื่อใดที่อยากมุ่งไปตามภายนอก อย่าลืมดูจิตใจภายในด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ทำร้ายตัวเราเองก็คือ ตัวเรานั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังคำกล่าวว่า “ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ นอกจากตัวเราคิดให้ทุกข์เอง ไม่มีใครทำให้เราเจ็บ นอกจากเราคิดให้เจ็บใจเอง”
เราถามท่านก่อนที่เราจะกลับว่าอยากอะไรที่ต้องควบคุมและระมัดระวังให้ดีก่อนที่จะปล่อยให้อยากนั้นออกมา ใครตอบได้บ้าง (จิตใจ)  จิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะจิตใจนั้นเวลาคิดอย่างไรจึงน่ากลัว  (ถ้าเราคิดอยากได้เราต้องทำให้ได้ แต่เมื่อไม่ได้ขึ้นมาก็เป็นทุกข์)  คิดอยากได้แล้วจะต้องให้ได้ ขอให้ตรองก่อนว่าสิ่งที่อยากได้ ถูกต้องในทำนองคลองธรรมหรือเปล่า จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราทำเต็มที่หรือไม่
ความอยากอะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว จะสามารถทำร้ายเราได้ อย่างเช่น อยากขี้เกียจโดยไม่สนใจใครว่าจะเหนื่อยขนาดไหนใช่ไหม อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ท่านบอกว่าอยู่เฉยๆ นี่แหละเก่งที่สุดแล้วฉะนั้นอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วปล่อยให้คนอื่นทำ ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้เรียกว่าถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  เราเป็นคนไม่อยากไม่ทำอะไรเลย ต้องปล่อยให้คนอื่นเหนื่อยคนเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  อย่างนี้เรียกว่าไม่อยากแบบเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะไม่อยากทำอะไรเลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ท่านบอกว่าอยากแล้วผิดก็เลยไม่อยากเลยก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วอยากอะไรที่เกิดขึ้นมา ก็สามารถทำร้ายจิตเราได้ทันทีเลย (อยากได้มากๆ)  อยากมากๆ อยากอะไรมากๆ (อยากได้ทุกอย่าง)  อยากที่มนุษย์พึงจะมีพึงจะได้ ใช่หรือไม่ (อยากได้บ้าน อยากได้รถ อยากได้มากๆ)  เหมือนอยากได้ผลไม้ไหม (อยาก)
เราอยากบอกท่านว่า คนที่อยากมากไม่รู้จักจำกัด ไม่รู้จักพอ ความอยากนั้นจะทำให้เกิดอันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยากอะไรอีกที่ทำให้เราอยากเมื่อใดก็เจ็บปวดเมื่อนั้น อย่างเช่น อยากโกรธ พอโกรธขึ้นมาแค่คิดก็เจ็บแล้ว แต่ยังโกรธอีกไหม ก็โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงที่สุดของความอยากคืออะไร คือหมดอยาก ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีอะไรที่เราต้องการอยากอีกแล้ว เพราะอยากเมื่อใดก็ต้องเดินไปสู่ความทุกข์เมื่อนั้น ฉะนั้นบางครั้งรู้จักหยุดอยากแล้วรู้จักพึงมี พึงได้ ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางทีอยากแล้วอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อยากอะไรอีกที่มีแล้วทำร้ายตัวเราและสามารถทำร้ายผู้อื่นได้ง่าย อยากอย่างเห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ส่วนรวม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากแบบต้องได้และต้องเป็นของตนเองคนเดียว ไม่เคยแบ่งปันให้ผู้อื่น อยากอย่างนี้ก็ทำอันตรายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อใดที่เราอยากมี อยากได้ อยากเป็น ขอให้อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยู่ในทำนองคลองธรรม และไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นของเราก็จะไม่ทำร้ายเราให้เจ็บปวด และไม่ก่อปัญหาใดให้เกิดความรำคาญ
เมื่อไรมนุษย์จะพ้นความอยากได้ เมื่อหยุดอยากก็หยุดการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไรที่มนุษย์ไม่หยุดอยาก มนุษย์ก็ยังตัดวัฏฏะของการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากหยุดเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักหยุดความอยาก อย่างที่เราบอกไว้ตั้งแต่ต้น ไม่มีอะไรที่เรียกว่า พึงใจ และไม่มีอะไรที่เรียกว่า ไม่พึงใจ  ฉะนั้นชีวิตนี้สุขทุกข์ก็ยากทำร้ายหัวใจได้ นั่นแหละคือ ใจแรกเดิมที่เราอยากให้ท่านกลับคืนแล้วหาให้เจอ จิตนั้นเป็นจิตประภัสสรยิ่งนัก แต่เพราะความอยากไม่รู้จักพอ จึงทำให้มนุษย์ต้องกวัดแกว่งอยู่ในฝุ่นธุลีของโลกใบนี้ไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ ในนี้มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ มีทั้งคนที่ฟังสิ่งที่เราพูด และก็ไม่ฟังเพราะใจไม่สงบ ใช่ไหม (ใช่)  เราอยากให้ท่านรู้อย่างหนึ่งว่า ความอยากของมนุษย์เป็นเหตุแห่งทุกข์ รู้จักพอ รู้จักหยุดได้ ความทุกข์นั้นก็จะเบาบางลงได้ แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักหยุดได้ หัวใจนี้ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในสุขและทุกข์ไม่จบสิ้น การรู้จักพอ รู้จักหยุดไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามนุษย์ตั้งใจจะทำ เรื่องยากๆ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ พอใจในความธรรมดาสามัญ จะทำให้มนุษย์มีสุขง่าย มีทุกข์ยาก แต่มนุษย์กลับกลายเป็นว่า เมื่อนั่งตรงนี้ก็คิดถึงที่บ้าน พออยู่ที่บ้านก็คิดอยากไปข้างนอก พออยู่ข้างนอกก็อยากกลับไปอยู่บ้าน เลยวิ่งวนและหาความสุขไม่เจอสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยากมีสุขก็จงพอใจในสิ่งที่มี และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ได้นั่งก็ดีแล้ว ออกมาบ้างมาฝึกความอดทนบ้างก็ดี ฉะนั้นอยู่ตรงนี้ก็จะมีความสุขที่อยู่ตรงนี้ กลับไปบ้านก็จะมีความสุขที่ได้กลับไปบ้าน แต่มนุษย์นั้นแปลก เมื่อทำงานก็อยากกลับบ้าน พอกลับบ้านไม่ได้ทำงานก็กลุ้มใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วต้องวิ่งวนแบบนี้ไปถึงเมื่อไร
ฉะนั้นจงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ โดยยอมรับกับปัจจุบันที่เป็นและที่ได้ แม้จะน้อยไปกว่าเดิมก็ไม่เสียใจ อย่างน้อยยังดีที่มีชีวิตที่ได้มาและเป็นไป ฟังมากก็งงมาก ฟังพอประมาณดีกว่า มีโอกาสคงกลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ถึงเวลาก็ต้องดูแลตัวเอง และช่วยเหลือตัวเองกันบ้างนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นาวาธรรมแพร่ไปทั่วสี่ทิศ ธรรมสะกิดเตือนใจผู้หลงหนา
นาวาเกิดจากร่วมแรงใจประชา ทองคำกล้าดุจหัวใจผู้พายเรือ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยกันหรือเปล่า

บำเพ็ญธรรมฝึกจิตใจ มีสุขสดใส เป็นคนหัวไวแกล้วกล้า คนอ่อนน้อมเป็นหัวใจขวัญแห่งประชา ศรัทธาชี้ปัญญาชวน
บำเพ็ญธรรมฝึกจิตใจ เพียรที่ความหมาย บางสิ่งหลงไปแล้วป่วน เก็บกวาดหัวใจทุกส่วน มิให้เรรวน เชิญชวนถอนหญ้าในใจ
ชัดเจนแจ่มแจ๋ว ใครว่าแล้วยั๊วะ จับหัวใจเราซะได้ คนบำเพ็ญรู้สึกถึงข้างใน เอะใจเรายังไม่บำเพ็ญ
บำเพ็ญธรรมต้องตั้งใจ ไม่ใช่ทำไป ลวกลวกหยวนไปไว้ก่อน มีสุขทุกข์ใจชักอ่อน เพราะไม่วิงวอนที่ใจนี้ให้ปล่อยวาง

ชื่อเพลง : ฝึกจิตใจ
ทำนองเพลง : เขมรไล่ควาย

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กว่าเรือลำนี้จะสำเร็จก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของทุกคน แต่อย่าให้เรือลำนี้ไปทดสอบหัวใจของคนเลย มีเรือไว้เพื่อช่วยคน ไม่ใช่มีเรือไว้เพื่อทดสอบใจคน มีเรือเพื่อนำพาคนให้พ้นทุกข์ แต่ไม่ใช่มีเรือแล้วทำให้ศิษย์ยิ่งทุกข์ เป็นอย่างนั้นกันไหม มีเรือลำหนึ่งกว่าจะสร้างสำเร็จได้ บางคนต้องปาดเหงื่อปาดน้ำตาไปเท่าไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นมีเรือลำหนึ่งต้องเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่มีเรือลำหนึ่งเต็มไปด้วยความหวานอมขมกลืน สถานธรรมก็เหมือนเรือที่คอยฉุดช่วยเวไนยให้ขึ้นจากทะเลทุกข์ โลกใบนี้เหมือนทะเลทุกข์อันกว้างใหญ่ที่มนุษย์หลงเวียนว่ายในโลภ โกรธ หลง ไม่จบไม่สิ้น การขึ้นเรือก็คือ การยอมตัดกิเลสให้เบาบางจนเหลือน้อยเท่าที่น้อยได้ และเอาเวลาที่ตนเองตัดกิเลสได้ สละได้นั้นไปช่วยคนที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ แม้ว่าตนเองทุกข์ขนาดไหนแต่ยังมีใจช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้ นี่แหละคือฐานะของคนที่กำลังต้องพายเรือลำนี้
เรือลำนี้ใหญ่ไหม (ใหญ่)  จิตใจต้องใหญ่ตาม เรือลำนี้กว้างไหม (กว้าง)  ฉะนั้นจิตใจของคนที่อยู่บนเรือหรือพายเรือนี้ต้องกว้างตาม อย่าให้ใหญ่แต่เรือ แต่จิตใจคับแคบ อย่าให้ห้องพระกว้างแต่หัวใจมืดและคับแคบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราอยู่ที่กว้างใจเราก็รู้สึกปลอดโปร่ง ถ้าเราอยู่ที่คับแคบ ใจเราก็รู้สึกอึดอัด แต่มนุษย์หลายคนก็แปลกอยู่ที่กว้างแต่ใจกลับคับแคบ บางคนอยู่ที่แคบแต่หัวใจกลับ (กว้าง)  แสดงว่าสภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจ หรือจิตใจสามารถอยู่เหนือสภาวะแวดล้อม
ถึงแม้เราจะร้อนแต่ใจเราจะ (เย็น)  ถึงข้างนอกจะเย็นแต่ใจเราจะ (เย็น)  นึกว่าจะบอกว่าร้อน ใจของมนุษย์เป็นสิ่งประเสริฐสามารถอยู่เหนือสภาวะแวดล้อมได้ สามารถอยู่เหนือการถูกบีบคั้นได้ ถ้าเราจะสู้เสียอย่าง ถึงจะทุกข์ขนาดไหนแต่ถ้าหัวใจเราสู้ อะไรก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงใครจะทำให้เราต้องเจ็บปวดขนาดไหน แต่ถ้าใจเราบอกว่าเรายังไหว เรายังสู้ได้ใครก็ทำให้เราเจ็บปวดไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)
ฉะนั้นวันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อทวนกระแสจิตใจ หรือตามกระแสจิตใจ (ทวนกระแสจิตใจ)  อาจารย์ถามคำหนึ่งว่า “ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ” แปลว่าอะไร ลองใช้ปัญญาที่ได้ศึกษามาลองพินิจพิจารณาสำนวนนี้ ใครพอเดาได้บ้างว่าแปลว่าอะไร นั่งมาตั้งนานไม่ได้พูดเลยไม่ใช่หรือ เห็นออกไปกินข้าวก็กินๆ ยังไม่มีโอกาสได้พูดเลยใช่ไหม หรือว่าอยู่ห้องพระทั้งวัน พอกลับบ้านก็พูดเอาๆ แปลได้ไหม (ถ้าเราโกรธก็ต้องลดความโกรธลงไป เพื่อจะทำให้ใจนั้นมีความสุข)  ฉะนั้นแปลว่าต้องใฝ่โกรธอยู่เป็นประจำใช่ไหม เป็นคนชอบโกรธใช่ไหม แต่โกรธอย่างไรก็ไม่ควรเอาความโกรธออกมา ควรจะใจเย็นไว้ อาจารย์ว่าอาจารย์พอเดาความหมายคร่าวๆ ว่าเขาเหมือนคนที่อยู่ข้างนอก ร้อนรุ่ม พอมาอยู่ห้องพระก็เย็นลงไม่ใช่หรือ (ใช่)
“ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ”  ขอถามศิษย์ของอาจารย์ในที่นี้ ระหว่างสุขกับทุกข์ เราจะเลือกอะไร (สุข)  ความลำบากกับความสบาย เราเลือกอะไร (ความสบาย)  คนส่วนใหญ่เลือกความสุขและความสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์พูดแค่นี้ใครพออธิบายได้บ้างว่าคล้ายๆกับ “ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ” (กว่าเราจะพบความสุข เราก็พบความทุกข์ก่อน)  ตอบได้ใกล้เคียง (ถ้าเราใจร้อน ก็ต้องระงับด้วยน้ำ)  อย่างนั้นถ้าคนที่กำลังโมโหอยู่ ศิษย์เอาน้ำไปสาดเขาเลยจะได้เย็นดี ได้ไหม (ไม่ได้ ต้องระงับที่ตัวเราเอง)  เขาบอกว่าคนที่อารมณ์ร้อนต้องฝึกให้ใจเย็นๆ ใช่ไหม (ใช่)
“ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ”  คือ มนุษย์ส่วนใหญ่เลือกความสุขความสบาย เมื่อไรที่เราเลือกความสุขความสบาย ก็เหมือนคนที่ใฝ่เย็นมักจะต้องพบกับความลำบากในที่สุด แต่คนที่กล้ายอมทุกข์ก่อนยอมลำบากก่อน คนนั้นจะเป็นคนที่ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ศิษย์ก็เคยได้ยินว่า ลำบากตอนต้นสบายตอนปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรากลัวทุกข์ ถ้าสมมติว่าศิษย์กล้าเผชิญทุกข์ และเอาชนะทุกข์ จนหาทางออกแห่งทุกข์ได้
ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้จะกลัวอะไร ถูกหรือเปล่า (ถูก)  มนุษย์กลัวความลำบาก แต่ถ้าสมมติว่าเราสามารถเอาชนะความลำบากในใต้หล้านี้ได้ทั้งหมด แล้วจะมีอะไรให้ต้องลำบากอีกหรือ
ฉันใดฉันนั้นอยากว่ายน้ำเป็นก็ต้องยอมเจ็บตัวเพราะน้ำก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องยอมรู้จักการจมน้ำให้เป็นก่อน แต่ถ้าเอาแต่กลัวศิษย์จะต้องหนีไปถึงไหน แล้วเมื่อไรจะพ้นทุกข์ได้ แล้วเมื่อไรจะมีสุขอันแท้จริง ถ้าไม่กล้าเผชิญความทุกข์และความลำบากในชีวิต คนที่ไม่กล้าเผชิญความทุกข์และความลำบากในชีวิต เอาแต่เลือกสุขเอาแต่เลือกสบาย คนนั้นคือคนที่รักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะสุขที่ตัวเองเจอก็จะเป็นสุขที่ไม่ยั่งยืน ถึงเวลาก็ต้องวนกลับไปทุกข์ใหม่
ฉะนั้นถ้าเราเอาชนะทุกข์ได้ เอาชนะความลำบากได้ รับความลำบากได้ โลกนี้ก็จะไม่มีอะไรน่ากลัวให้ศิษย์ต้องหวั่นวิตกอีกต่อไป แต่มนุษย์เราอยู่ด้วยความหวาดวิตก วิตกทั้งสิ่งที่ยังไม่เกิดและวิตกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จึงอยู่ด้วยความกลัว กลัวไปหมด กลัวว่าข้างหน้าจะรอดไหม แล้วอยู่ด้วยสภาวะจิตใจอย่างนี้ จะเป็นสภาวะที่ต่อสู้กับอะไรได้ ชนะตัวเองยังชนะไม่ได้ แล้วจะไปชนะปัญหาอุปสรรคในโลกนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจหรือยังคำว่า ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ
ฉะนั้นถ้าฟังธรรมะเพิ่มอีกสามวันไหวไหม ไม่ต้องสามวันอีกหนึ่งวันไหวไหมนักเรียน (ไหว)  แค่บอกสองวันนักเรียนก็หายไปเกือบครึ่งอย่างน้อยวันนี้ที่ท่านตัดสินใจอยู่เป็นสองวันก็ถือเป็นคนที่ ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ
อาจารย์ได้ยินมาว่ากินข้าวเหนียวแล้วจะทำให้มีเรี่ยวมีแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่คนกรุงเทพฯ ที่บอกว่ากินข้าวเหนียวแล้วจะง่วงเหงาหาวนอน  ฉะนั้นคนอีสานมื้อนี้กินข้าวเหนียวไปหรือยัง (ยัง)  ยังไม่ได้กินหรือ ผู้ปฏิบัติงานธรรมทำไมมีแต่โต๊ะอาจารย์แต่โต๊ะนักเรียนไม่มี หรือบำรุงผิดคนแล้วนะบำรุงคนกรุงเทพฯ เลยยืนอย่างง่วงนอน
สงสัยอาหารจะไม่อร่อย เพราะตอบเหมือนคนที่ไม่ได้ทานข้าวหรืออดข้าวมาหลายมื้อ ทานข้าวหรือเปล่า วันนี้ทานข้าวกับอะไรบ้าง (ซุบหน่อไม้,ส้มตำ)  จำได้แต่อาหารที่อร่อยๆ ทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  อาหารที่อร่อยจะทำให้เกิดทุกข์ เพราะทานอย่างไม่บันยะบันยัง ก็จะทำให้ทุกข์กายทุกข์ใจ
ฉะนั้นอย่ากลัวสิ่งที่น่ากลัว เพราะสิ่งที่น่ากลัวบางทีก็ไม่ได้ทำให้เราเจ็บปวด อย่างนั้นใครทำให้เราเกลียด ใครทำให้เรากลัว เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็คิดว่าเหมือนกับอาหารจานหนึ่งที่ไม่อร่อย เราก็พยายามหลับหู หลับตาอย่าไปมอง เพราะมองแล้วจะทำให้ (น่าทาน)  แต่รู้ไหมว่าเมื่อเวลาป่วย สิ่งที่ไม่อร่อยที่สุด เราจะต้องกินให้มาก เพราะกลายเป็นสิ่งที่บำรุงเราในที่สุด เราได้ขาดแคลนสิ่งนั้นไป เหมือนกับเราไม่ชอบกินของขม พอป่วยอย่างแรกสิ่งที่เราต้องทานคือ ความขม ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์มาด้วยรอยยิ้ม แม้ศิษย์ยิ้มไม่ออกแต่ก็หวังว่าอยู่ไปนานๆ แล้วจะยิ้มออกบ้าง
ฟังธรรมให้จบทั้งสองวันเป็นเรื่องที่ต้องลำบากศิษย์รักหน่อย เคยได้ยินไหมเห็นผู้อื่นเป็นพุทธะ พุทธะก็อยู่ใกล้เรา แต่เห็นผู้อื่นเป็นยักษ์เป็นมาร ยักษ์มารก็อยู่ใกล้เรา ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์อยู่ร่วมกับคนเห็นเขาเป็นพระหรือเห็นเขาเป็นมาร (เห็นเขาเป็นพระ)  เห็นพระยังเกลียดพระเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้ดีไม่ดีแต่เคยได้ยินข่าวพระว่าไม่ดี พอไม่ดีองค์หนึ่งเลยบอกว่าทั้งหมดไม่ดี ได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนเราผิดสักครั้งหนึ่ง คนเขาหาว่าเราทั้งชีวิตไม่มีอะไรดีเลย เราเสียใจไหม (เสียใจ) เพราะฉะนั้นคนผิดสักครั้งหนึ่ง ก็อย่าไปพูดว่าคนอื่นผิดไปด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) หรือเขาดีสักครั้งหนึ่ง ก็อย่าไปพูดว่าชีวิตนี้เขาจะไม่เหลือดีไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ยังต้องให้โอกาสเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ถ้ามีดีไม่มากก็น้อย
อย่ามองอาจารย์แค่รูปลักษณ์ภายนอก ถ้านับอายุแล้วอาจารย์ก็แก่กว่าศิษย์มาก การเป็นเด็กดีนั้น มนุษย์มักจะพูดว่าการเป็นคนดีหรือเป็นเด็กดีนั้นต้องประกอบไปด้วยศีลและธรรม
มนุษย์ถึงเรียกว่าบุคคลใดมีศีลมีธรรม คนนั้นเรียกว่าคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  บุคคลใดอยู่ในกรอบของจารีตประเพณีอยู่ในกรอบของกฎระเบียบแห่งสังคม บุคคลนั้นเรียกว่า เป็นคนดี แล้วในสังคมเต็มไปด้วยคนดีแบบนี้ไหม มีทั้งมีดีและมีทั้งไม่ค่อยดี มีทั้งดีพร้อมจะแปลเป็นไม่ดี และมีไหมที่ไม่มีดีแปลเป็นดี มีไหม (มี)
ยกตัวอย่างง่ายๆ  อาจารย์เห็นบ่อยเวลาศิษย์จะเดินข้ามถนน หรือเวลาศิษย์ขับรถยนต์ มองซ้าย มองขวามีรถไหม (ไม่มี)  ถนนว่างแต่เกิดมีไฟแดง ถามว่าคนขับรถยนต์คันนั้นจะฝ่าหรือไม่ฝ่า ซ้ายก็ไม่มีรถ ข้างหน้าก็ไม่มีรถ ฝ่าไหม และถ้าเกิดเป็นคนเดินถนน มองซ้ายก็ไม่มีรถ มองขวาก็ไม่มีรถ แต่ตอนนี้ไฟแดง จะเดินข้ามถนนหรือไม่เดิน (เดิน)  ศิษย์จะเป็นคนดีที่พร้อมจะแปรพรรคแปรพวกเป็นคนไม่ดี พออันตรายเกิดขึ้นก็โทษคนอื่น
ฉะนั้นเป็นคนดีศิษย์เป็นง่าย แต่เป็นคนดีแล้วให้ยั่งยืนมั่นคง หรือรักษาความดีให้ตลอดรอดฝั่งกลับเป็นเรื่องยากกว่าการเป็นคนดีให้ตลอดรอดฝั่ง และมั่นคงได้ ก็คือการคำนึงถึงอะไร นอกจากทำดีแล้ว นั่นก็คือเกิดเป็นคน ศีลก็ต้องรักษา คุณธรรมก็ต้องประพฤติ ให้มี กฎระเบียบของสังคมก็ต้องอยู่ให้ได้ แต่คนบางคนกฎระเบียบสังคมก็มี ศีลธรรมก็มี แต่ทำไมชอบฝ่าไฟแดง นั่นเพราะเขาคิดถึงอะไรมากกว่าอะไร ไม่มีสติหรือ สติก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักลืมไป
มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบคิดถึงส่วนตนมากกว่าส่วนรวม จึงทำให้ความดีนั้นมักจะแปรเปลี่ยนผัน ฉะนั้นถึงเราจะเป็นคนดีมากเท่าไร แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคิดถึงตนเองมากกว่าคิดถึงผู้อื่น คนดีก็พร้อมจะแปรเปลี่ยนผันได้ เกิดเป็นคนคิดถึงส่วนรวมให้มากหน่อย คิดถึงส่วนตนให้น้อยๆ หน่อย คนดีคนนั้นก็จะสามารถเป็นคนดีที่ยั่งยืนได้  ลองมองดูธรรมชาติรอบๆ ตัวเรา มีธรรมชาติไหนบ้างที่สอนให้เราเห็นแก่ตัว มีไหม (ไม่มี)
ยกตัวอย่างง่ายๆ ต้นไม้เห็นแก่ตัวไหม (ไม่เห็นแก่ตัว) เมื่อไรที่มันจะใช้ประโยชน์จากดิน แผ่รากให้ขยายแผ่กว้างขนาดไหนแล้วดูดเอาประโยชน์จากดินมากเท่าไร แต่รากยิ่งแผ่กว้าง รากนั้นก็กลับยิ่งช่วยยึดเหนี่ยวดินให้ยิ่งแน่น ต้นไม้จะเหยียดสูงขนาดไหน จะแย่งเราสูดอากาศขนาดไหน แต่ในอากาศนั้นเขาก็ยังรู้จักให้อากาศที่ดีให้มนุษย์ได้สูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังรู้จักแปรสิ่งที่ไม่ดีให้เกิดเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเกิดเป็นคนเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ผู้อื่นไม่ต้องสนใจ ดีเฉพาะตน เราก็สู้ไม่ได้แม้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะต้นไม้ต้นหนึ่งบางทียังให้ผลตั้งแต่หัวถึงราก แต่ตัวเราให้ผลตั้งแต่ศีรษะถึงเท้าไหม
ฉะนั้นเกิดมาเราสู้ต้นไม้ต้นหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  เกิดเป็นคนอย่าบอกว่าดีแค่ตัวเองก็พอแล้ว ไม่ได้ เพราะธรรมชาติมักจะเตือนให้เรารู้เสมอว่าคนที่ดีแท้จริง ต้องรู้จักเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่นด้วย เมื่อได้รับประโยชน์จากคนอื่น ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณคนที่เอื้อประโยชน์ให้ตัวเองด้วย ต้นไม้ตอบแทนบุญคุณแล้ว ยังรู้จักแบ่งสรรประโยชน์ของตนเองเพื่อมวลชนด้วย มนุษย์เรามีอย่างนั้นไหม
เวลาเรากินข้าวอะไรที่อร่อยจะมาอยู่ที่ตรงหน้า หรือเลื่อนไปอยู่ที่ผู้อื่น อะไรที่อร่อยเรากินคนแรกและกินจน (หมด)  แล้วเคยคิดถึงคนอื่นไหม ก็ไม่เคย ฉะนั้นแค่ตอนกินก็รู้แล้วว่าดีจริงหรือดีปลอม เวลาเราดื่มน้ำเราเคยขอบคุณคนให้น้ำไหม (เคย)  รับน้ำมาสิบรอบ ขอบคุณคนให้กี่รอบ (สิบรอบ)  เวลาเราเดินอยู่บนทางเรารู้จักเดินริมถนนหรือเดินกลางถนน (ริมถนน)  เวลาเดินก็ทำให้รู้แล้วว่า เราเดินอย่างที่คิดถึงผู้อื่น หรือคิดถึงแต่ตนเอง
เวลาที่ศิษย์ทำเงินตก ศิษย์อยากให้คนเก็บไหม (ไม่อยาก)  อยากให้เงินอยู่อย่างไรก็ให้อยู่อย่างนั้น เวลาอาจารย์เห็นศิษย์ทำเงินหาย ศิษย์รีบบนบานบอกว่า ขอให้เงินอยู่ที่เดิม แล้วเงินเคยอยู่อย่างที่ศิษย์คิดไหม (ไม่เคย)  ไม่อยากเจอสิ่งใดก็อย่าทำ อย่าบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี โทษคนอื่นไม่ได้ เพราะตอนที่เราทำดี เรายังดีไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ชอบเข้าห้างตากแอร์ ใช่ไหม (ใช่)  ผลไม้เขาวางไว้ขาย แต่อาจารย์เห็นศิษย์ลองชิมทุกพวงเลย ซื้อไหมก็ไม่ซื้อ อย่างนี้เรียกว่า คิดถึงแต่ตนเองมากกว่าคิดถึงผู้อื่น เมื่อเข้าห้างทีไรก็ขอจับไว้ก่อน จับเสร็จเอาไหม (ไม่เอา)  อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  เสื้อขาวๆ วางเมื่อไรดำเมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงต้องรู้จักคิดถึงส่วนรวมให้มากกว่าส่วนตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่รู้จักคิดถึงผู้อื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง ไปที่ไหนใครๆ ย่อมรัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เอาง่ายๆ ศิษย์ทำแกงหม้อหนึ่ง แต่ศิษย์เลี้ยงทั้งซอย ให้แค่ถ้วยเล็กๆ แค่นี้เขาก็ปลื้มแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์ทำแกงหม้อหนึ่ง ศิษย์กินคนเดียว อร่อยไหม (ไม่อร่อย)  ถ้าศิษย์ทำแกงหม้อเดียว ศิษย์สามารถเลี้ยงได้ทั้งซอย เชื่อไหมว่าเวลาศิษย์ไปที่ไหน ก็ไม่มีใครทอดทิ้งหรอก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการเป็นคนดี ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำไหม (ทำ)
ตอนนี้ศิษย์ทุกคนก็อยากจะเป็นคนดีกันแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ที่แล้วมา อาจารย์ให้แล้วไป อย่ากลับไปทำนิสัยเดิมได้ไหม (ได้)  แต่ทำไมคนบางคนพอบอกว่า จะทำดีแล้ว กลับท้อที่จะทำ เพราะเวลาทำดีแล้วมักจะโดนคนตำหนิและต่อว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจะดีหรือไม่ดี ต้องอยู่ที่คนว่าหรือไม่ว่าด้วยหรือ เราจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำต่างหาก ใครว่าหรือไม่ว่า เป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีอย่างไรก็ต้องโดนว่า ไม่ดีอย่างไรก็โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าตอนที่โดนว่า เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราทำอย่างที่เขาว่าไหม ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งที่เขาว่า เราก็ไม่ต้องทุกข์ร้อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราทำอย่างที่เขาว่า และเขาบอกว่าผิดเราควรที่จะต้องกลับมาใส่ใจ และสำรวจตัวเองเพื่อแก้ไขให้ดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่พอทำแล้วโดนว่าก็น้อยใจไม่ทำ พอไม่ว่าสักคำก็บอกว่าเอาอย่างไรกันแน่ พอว่ามากๆ ก็ไม่ทำเลย ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ใครว่าไม่ว่าแต่อยู่ที่ว่าเราทำจริงหรือไม่ทำจริงดังที่เขาว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เหมือนนิทานเรื่องหนึ่งอาจารย์ยกตัวอย่างคนสมัยก่อนเขาชอบวาดรูป แต่เขาจะวาดอะไรดีที่จะขายให้คนได้ มองดูและก็มองดู วาดหน้าคนดีกว่า รับจ้างวาดหน้าให้เหมือนคน คนไหนจ้างเขาก็วาด แต่เชื่อไหมว่าเขารับวาดมาสิบคนมีไหมที่จะไม่โดนติ (ไม่มี)  ตั้งแต่คนที่หนึ่งถึงคนที่สิบก็ต้องถูกติ วาดสวยเกินไปเขาก็ว่าไม่เหมือนจริง วาดน่าเกลียดเกินไปเหมือนที่เขาน่าเกลียดก็โดนว่าๆ อัปลักษณ์กว่าตัวจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วาดแบบกลางๆ เลยก็โดนว่า ว่าไม่เหมือนจริง จนแล้วจนรอดถามว่าคนวาดรูปคนนี้อยากวาดรูปเหมือนอีกไหม (ไม่)  เขาก็เลยไม่วาด แล้วไปวาดอะไรดีรู้ไหม คราวนี้ไม่มีใครติเขาได้เลย
ศิษย์ทายสิว่าเขาวาดอะไร (วาดรูปธรรมชาติ)  อาจารย์ถามคำถามง่ายๆนะ (วาดรูปตัวเอง)  อาจารย์จะถามว่าวาดรูปตัวเองขาย ใครจะเอา มีคนเอาอยู่คนเดียวคือภรรยากับลูกตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะเอาตอนไหนตอนเราใกล้ตาย ศิษย์คิดว่าเขาวาดรูปอะไรวาดสิ่งรอบข้างที่อยู่รอบตัวเราที่เป็นธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  (วาดใกล้เคียงธรรมชาติแต่ไม่ใช่ธรรมชาติ)  แล้วเขาจะวาดเป็นรูปอะไร
(วาดภาพตามจินตนาการ, วาดภาพพระ)  ถ้าวาดด้วยใจไม่นิ่งพระก็ไม่นิ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าใจไม่สงบ วาดพระอย่างไรก็ไม่สงบ (วาดวิมาน)  วาดวิมานในอากาศหรือ  (วาดรูปสิงสาราสัตว์)  แน่ใจหรือว่าวาดรูปสิงสาราสัตว์แล้วจะไม่โดนตำหนิ (วาดโลกที่สวยงาม,วาดรูปฟ้าดิน,พระอาทิตย์,รูปผลไม้,วาดความดี,วาดดอกไม้,วาดรูปพ่อแม่)  ตอนนี้โลกใบนี้มีอะไร ศิษย์บอกมาให้หมด อาจารย์ให้ทั้งนั้น (วาดรูปคน)  วาดรูปคนเหมือนเดิม แล้วไม่กลัวโดนตำหนิหรือ (ไม่กลัว)  เพราะอะไรถึงไม่กลัวโดนตำหนิ (เพราะมีความมั่นใจในตนเอง)  มั่นใจในตนเองมากๆ ก็อาจจะโดนตำหนิได้ (วาดฝันแห่งความดี,ไม่วาดรูปอะไรเลย,วาดรูปดวงจันทร์)  อาจารย์อยากรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์วาดจะขายได้ไหม (วาดพระพุทธรูป)
(วาดรูปกามเทพ)  ใช้ศัพท์ไทยคำ อังกฤษคำ ตามคนสั่งใช่ไหม แล้วจะทนคนติได้ไหม (ได้)  แน่ใจไหม (แน่ครับ)  อย่างนั้นหลังจากนี้ไปไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหน ถ้าโดนใครติใครว่า เราจะไม่ท้อ อย่างนี้ดีมากกว่าผลไม้ใช่ไหม (ใช่ครับ)  (วาดรูปคนตายไปแล้ว)
อาจารย์ให้สิ่งที่มากกว่าให้ดีกว่าไหม นั้นคือการไร้การให้ จริงไหม (จริง)  ให้ที่ยิ่งกว่าให้ก็คือไม่มีอะไรจะให้ เพราะสิ่งนั้นอยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ใช่หรือไม่ เพราะนั่นคือคุณค่าที่อยู่เหนือการให้ (วาดรูปแม่น้ำ, วาดรูปอะไรก็ได้)  วาดรูปอะไรก็ได้แต่รูปนั้นต้องออกมาด้วยใจจริง (วาดรูปที่อยู่อาศัย, วาดรูปนางกวัก)  วาดรูปนางกวัก เป็นคนเชื่อถือเรื่องโชคลางใช่ไหม (วาดรูปหัวใจ)  ระวังหัวใจจะโดนคนวิเคราะห์ (วาดรูปสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น กรุงเทพมีพันธมิตร) ศิษย์อย่าพูดดังไป เดี๋ยวมีคนเกลียด
(วาดรูปล้อเลียน)  อาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนดี คิดถึงผู้อื่น ฉะนั้นให้คนอื่นตอบบ้าง (วาดรูปการ์ตูน, วาดรูปสัตว์)  อาจารย์อยากบอกว่า มีคนตอบได้ใกล้เคียงกับที่อาจารย์คิดแล้ว เขาวาดรูปผี แต่ถามว่าพอเขาวาดรูปผีแล้วมีบ้านไหนเอาไหม (ไม่มี)  ศิษย์เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วใครตำหนิเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร เพราะผีในจินตนาการของเขา ใครก็แย้งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ถูกต้องหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นเวลาศิษย์ทำดี โดนใครตำหนิ โดนใครว่า ไม่ใช่ให้ศิษย์เลิกล้มทำดีแล้วไปทำชั่ว เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นศิษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับจิตรกรคนนี้ ที่จะพยายามทำดีแต่พอโดนตำหนิต่อว่า สิบครั้งสิบคราก็ท้อถอยไม่ทำ เลยหันกลับไปทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อไรที่เรากระทำดี ขอให้ศิษย์พึงระลึกไว้เสมอว่า การอยู่ร่วมกับคน การเกี่ยวเนื่องกับผู้อื่น ศิษย์อย่าเอาอัตตามาอยู่ร่วม ไม่อย่างนั้น ศิษย์จะถูกลากให้ลงต่ำได้โดยง่าย จำไว้นะ เวลาอยู่กับใครก็ตาม ทำงานกับใครก็ตาม หรือแม้แต่อยู่กับครอบครัวก็ตาม อย่าเอาอัตตาตัวตนมาอยู่ร่วมกับเขา เพราะเมื่อไรที่เราเอาอัตตาตัวตนมาอยู่ร่วมด้วย ทำงานร่วมด้วย เราง่ายที่จะถูกลากลงต่ำ ทำด้วยใจว่างๆ อะไรก็ได้ ถ้าเขาพูดหนึ่ง แล้วเราบอกว่าพูดอีกหนึ่ง แล้วเขาไม่เชื่อ พูดสักสองครั้งแล้วเขาไม่เชื่อ ก็หยุดซะเถอะ ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ดื้อดึงไป ยึดมั่นไป ได้อะไรไหม (ไม่) มีแต่เจ็บทั้งคู่ ปวดทั้งคู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเราต้องอยู่ในสังคม จำไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์ อยากเป็นคนดีในสังคม ต้องลดอัตตาตัวตน ความเป็นตัวตนออกให้หมดเวลาต้องคุยกับใคร อย่าบอกว่า ไม่ได้ ฉันชอบฟังหวานๆ เธอต้องพูดหวานๆ เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บเพราะอะไร เพราะเราจำกัดตัวเอง เมื่อเราจำกัดตัวเอง เวลารับอะไรก็รับได้จำกัด พอรับได้จำกัดก็ง่ายที่จะถูกกระทบกระแทก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่ออยู่ในสังคม จงเปิดใจให้กว้างและไร้อัตตาตัวตน เราจะถูกใครตำหนิติเตียนไม่ได้ เหมือนช่างวาดรูป วาดรูปที่ไม่มีตัวตนเลย จะได้ไม่มีใครตำหนิ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในสังคมและไม่ต้องทุกข์เจ็บปวด อย่าลากเอาอัตตาตัวตนไปอยู่ร่วม ศิษย์ก็จะได้ไม่เจ็บปวดเวลาโดนตำหนิติเตียน พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนออกมานำร้องเพลง “ฝึกจิตใจ”)
ร้องยากไหม (ไม่ยาก)  บำเพ็ญธรรมต้องฝึกที่จิตใจ ชื่อเพลง “ฝึกจิตใจ”  อาจารย์ก็มาพอสมควรแล้ว แต่หลักสำคัญที่อาจารย์จะพูดกับศิษย์ยังไม่ได้พูดเลย เราบำเพ็ญธรรมเราบำเพ็ญที่ไหน (ที่ใจ)  เราบำเพ็ญที่ใจ มีตาไม่ใช่ไว้มองคนอื่น แต่มีตาไว้มองตัวเอง มีหูไม่ใช่เอาไว้แต่ฟังผู้อื่น แต่หูเอาไว้ฟังเสียงของหัวใจตัวเอง มีหัวใจไม่ใช่คิดแต่จะเข้าใจผู้อื่น แต่ไม่เคยเข้าใจตัวเอง ฝึกที่จิตใจ เห็นที่จิตใจและเข้าใจที่จิตใจ คนเราถ้ารู้จักเข้าใจตนเอง รู้ทุกขณะว่าตัวเองคิด ตัวเองกำลังทำอะไร กิเลสก็ยากที่จะทำร้ายหัวใจเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาเราก็สงบใจได้ ไม่ใช่ไปวุ่นวาย เราควรดับที่ใจเราก่อน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีคนที่พูดถูกใจ มีคนที่พูดไม่ถูกใจ แต่สำคัญหัวใจเราคุมใจเราให้เป็นหรือยัง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่หวังไปควบคุมคนอื่น แต่ให้ท่านหันกลับมาควบคุมตัวเองให้ดีและให้เป็น ตามให้ทันใจของตัวเอง เมื่อไรที่เรามีสติตามทัน กิเลสก็เข้ามาคุมกายและคุมใจของเราไม่ได้
ศิษย์อยากรู้ไหมว่าตอนนี้กิเลสคุมใจศิษย์หรือไม่ (อยากรู้)  อาจารย์ลองทดสอบดูดีไหม (ดี) คนที่กิเลสคุมใจอยู่คนนั้นยังอยู่ห่างไกลการบำเพ็ญ คนที่กิเลสไม่สามารถคุมใจได้คนนั้นคือคนที่เข้าใกล้การบำเพ็ญ แต่มนุษย์ชอบที่จะทำบุญทำทานมากกว่าที่จะมีศีล มีธรรม พอบอกว่าให้มีศีล มีธรรมก็ดูจะมีง่าย ก็ให้ขัดเกลาใจตัวเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์รู้ไหมว่า คนทำบุญทำทานแม้จะเป็นพันๆ ครั้ง ร้อยๆ ครั้ง ก็ไม่สู้ถือศีลหนึ่งครั้ง คนถือศีลร้อยครั้งพันครั้งไม่สู้สามารถสงบจิตใจไม่ให้ฟุ้งไปตามกิเลสได้หนึ่งครั้ง คนที่สามารถคุมใจตัวเองไม่ให้มีกิเลสเข้ามาทำร้ายใจได้ร้อยครั้งพันครั้ง ไม่สู้เท่ากับรู้เท่าทันหัวใจตนไม่ให้เกิดกิเลส หรือรู้แจ้งเห็นจริงในตัวตนรู้ไหม ถ้าคนทำได้ถึงขนาดนี้แม้ตายเขาก็ตัดกรรมได้ ตัดกรรมก่อนที่จะตายด้วย
รู้ถึงสรรพคุณอย่างนี้แล้ว อย่างนั้นลองดูหน่อยว่าศิษย์ในห้องนี้มีกิเลสครองใจไหม ศิษย์ในชั้นนี้น่ารักทุกคน จริงไหม (จริง)  นั่นไงกิเลสครองใจแล้ว ศิษย์ในชั้นนี้ยังเป็นคนไม่ดีมากๆ วันนี้ดี แต่ออกไปพ้นจากอาจารย์แล้วก็พร้อมจะไม่ดีและกะเรกะราดได้เสมอจริง หรือไม่ (จริง)  ศิษย์ในชั้นนี้ยังเป็นคนขี้โมโหเอาแต่ใจใช่หรือเปล่า (ใช่)
ผู้ที่สามารถพ้นกิเลสครอบครองในหัวใจได้ คือผู้ที่ไม่ยินดีในคำชม และไม่เสียใจในคำตำหนิต่อว่า เมื่ออะไรมากระทบสามารถตามเท่าทันและอยู่ได้ทัน ไม่ปล่อยให้ใจนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง เมื่อนั้นแหละกิเลสครองใจไม่ได้  ศิษย์ไม่ลุ่มหลงไปกับกิเลสอารมณ์ที่เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวขึ้นสวรรค์ เดี๋ยวตกนรก ศิษย์จะสามารถเป็นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วตัดกรรมได้
แต่เราอยู่บนโลกนี้เจอเรื่องดีใจ เราก็ดีใจด้วย เจอเรื่องเสียใจเราก็เสียใจด้วย ได้เงินก็ดีใจ เสียเงินก็เสียใจ ฉะนั้นจึงหนีไม่พ้นกรรมแม้จะทำบุญร้อยครั้งพันครั้งแต่ถ้ายังตัดกรรมตรงนี้ไม่ได้ ศิษย์ก็ยังต้องคงเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นเราจะตัดกรรมได้อย่างไร พระพุทธะท่านตัดกรรมได้ ท่านไม่ตกนรกก็เพราะว่าท่านไม่หลงอบาย แล้วอบายที่ทำให้ท่านไม่หลงคือ กิเลสอารมณ์ที่แม้จะจรมาในชีวิต ก็ไม่ทำให้ท่านกระเพื่อมสั่นไหวหรือเดือดร้อนไปกับอารมณ์ที่จรมา พออารมณ์มา อ้อ อย่างนี้เรียกว่าดีใจ อย่างนี้เรียกว่าเสียใจ พอเรามองเห็น เราเท่าทัน อารมณ์นั้นจะคุมใจเราไม่ได้ กิเลสนั้นจะมาตบหน้าศิษย์ไม่ได้เลย
แต่เราอยู่ทุกวันนี้ให้กิเลสมันตบซ้าย ตบขวาไม่เจ็บไม่เข็ดสักที ถูกไหม (ถูก) ใครชมก็ยิ้ม  ใครว่าก็โกรธ แล้วอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ที่แท้จริงของศิษย์ไหม มีใครหัวเราะได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง (ไม่มี)  มีใครร้องไห้ตลอดวัน (ไม่มี)  อารมณ์พวกนี้เป็นเหมือนลมพัดผ่าน แล้วเราวิ่งตามอารมณ์ไม่เหนื่อยหรือ ฉะนั้นเมื่อไรที่อารมณ์จรมา ศิษย์ลองมองให้เห็น ตามให้ทัน พอมีสติแล้วใจจะเต็มไปด้วยสติ กิเลสอารมณ์จะครองใจเราไม่ได้
ศิษย์ก็เหมือนคนที่อยู่บนโลก แต่เอาชนะกิเลสในโลกไม่ได้ สามารถเป็นคนที่ตัดภพตัดชาติ นี่แหละเรียกว่า “บำเพ็ญใจ” คือมีสติเท่าทันตัวเอง คิดอะไรตรองดูความคิดนั้นเป็นอย่างไร ดีไหม ดีก็ไปทำ ไม่ดีก็หยุด รู้เท่ารู้ทันใจย่อมสามารถเอาชนะกิเลสแล้วตัดบุญได้  ก็เป็นการตัดกรรมที่ยอดยิ่งกว่าการทำบุญเป็นร้อยๆ ครั้ง พันๆ ครั้งอีก
เราบำเพ็ญธรรมลงแรงที่จิตยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้ามีสติเราจะไม่มีวันเผลอไผล เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เราจะสามารถครองความเป็นปกติของชีวิตได้ มนุษย์ไม่วุ่นวายก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตปกตินั้นมีค่าขนาดไหน สังคมไม่วุ่นวายเราก็ไม่รู้ว่าสังคมร่มเย็นเป็นอย่างไร ฉะนั้นทำไมต้องรอให้ชีวิตวุ่นวายจึงเห็นค่าความปกติสุขหรือ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “ความปกติสุข”)
ได้คำว่าอะไร “ความปกติสุข”  เป็นสิ่งที่ตอนนี้ศิษย์ทุกคนปรารถนา  แล้วได้หรือยัง (ยัง)  ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ว่ายังเลย เขายังทำให้ศิษย์วุ่นวายใจอยู่ อาจารย์บอกแล้วว่า ควบคุมคนอื่นไม่ได้แต่เราต้องควบคุมตัวเราเองให้ได้ ฉะนั้นใครวุ่นวายไม่สำคัญเท่าเราอย่าวุ่นตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรานิ่งได้ เราสงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย คนเขาเห็นว่านิ่งแบบนี้ สงบแบบนี้ดี มีหรือใครจะไม่เลียนแบบ
ศิษย์ดูง่ายๆ แม่ค้าในตลาดศิษย์เคยเห็นเขาทะเลาะกันไหม (เคย)  แต่ถ้าวันนี้มีคนเดินมาจากไหนก็ไม่รู้ เดินมาว่าศิษย์ ศิษย์เดินไปทางซ้ายหรือเดินไปทางขวา เขาก็ตามมาว่า  ศิษย์อยากจะเหมือนคนว่าหรือไม่เหมือนคนว่า (ไม่เหมือน)  อย่างนั้นควรทำอย่างไร (อยู่เฉยๆ)  ใช่ อยู่เฉยๆ ถ้าเรารู้เท่าทัน เราควรอยู่เฉยๆ ให้เขาว่าให้หนำใจก็ได้  ถ้าวิ่งหนีอย่างไรก็เจอ อย่างนั้นเจอตรงนี้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แต่ถ้าเขาว่ามาแล้วศิษย์ว่ากลับ ศิษย์จะต่างอะไรกับเขาไหม (ไม่ต่าง)  เขาวุ่นวาย ศิษย์ก็วุ่นวาย แล้วไปโทษว่าเขาทำให้วุ่นวาย ได้ไหม (ไม่ได้)  คนไม่อยากกินเหล้า เหล้าจะมาทำให้คนเมาได้ไหม (ไม่ได้)  ฉันใดก็ฉันนั้น คนเขาจะวุ่นวายขนาดไหนแต่ถ้าใจเราไม่วุ่นวาย ใครจะทำเราวุ่นวายได้ คนเขาจะชวนให้เราโกรธขนาดไหน แต่ถ้าเราใจเย็นใครจะทำให้เราโกรธได้  คนเขาจะเอากิเลสเอาทรัพย์สินมาล่อขนาดไหน แต่ถ้าเราพอใจในความพอดี เราจะถูกเขาหลอกไหม (ไม่)
การบำเพ็ญธรรม ก็คือการรู้เท่าทันจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่ไปรู้เท่าทันผู้อื่น แต่รู้เท่าทันตัวเอง ไม่ใช่มีตาเพื่อไปเห็นผู้อื่น แต่ผู้บำเพ็ญมีตาเพื่อหันมามองตัวเราเอง มีหูไม่ใช่ฟังคนนินทา แต่หันมาฟังใจตัวเอง มีหัวใจ ไม่ใช่ไปเข้าใจผู้อื่นทั้งหมด แต่ไม่เคยเข้าใจตัวเอง แล้วตอนนี้เข้าใจตัวเองแล้วหรือยังว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่ เป็นคนอ่อนแอ หรือเป็นคนเข้มแข็ง คนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองหรือต้องพึ่งคนอื่นอยู่เสมอไป
คำที่ศิษย์ออกมาช่วยอาจารย์วงนั้นยังมีความหมายในคำนั้นๆ ด้วย ก่อนอาจารย์จะกลับ อาจารย์ขอฝากห้องพระใหญ่ๆ ห้องพระนี้ให้ศิษย์ช่วยสานต่อ
“หัวใจดุจทองคำกล้า” คือ หัวใจที่ไม่กลัวการหล่อหลอม ไม่กลัวการทุบตี ไม่กลัวการเผาไหม้นะศิษย์ กลอนนำอาจารย์ให้ไว้เตือนใจ ที่นี่เหมือนนาวาธรรม นาวาทอง ทองอะไร ทองคำในหัวใจ ใจนี้ที่ไม่กลัวการทุบตีหล่อหลอม และอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างจะเป็นได้อย่างศิษย์ที่อยู่ที่นี่
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลสถานธรรม และญาติธรรม อ.ตระการพืชผล)
ต้องได้รางวัลจากอาจารย์ไหม อาจารย์ให้รางวัลหน่อย ไหนผู้ดูแลที่นี่ ออกมาให้อาจารย์เห็นหน่อย หลบหน้าหลบตา ชอบปิดทองหลังพระเสมอเลย ฉะนั้นศิษย์ที่อยู่ที่นี่ ศิษย์ที่เป็นญาติธรรมตระการ อาจารย์ฝากช่วยกันดูแลคนที่นี่ด้วย และคนที่นี่ฝากดูแลน้องๆ ที่นี่ด้วย อาจารย์ไม่อยู่ขอให้ดูแลกันให้ดีๆ สมัครสมานกลมเกลียวกันให้ดีๆ
ตอนนี้ทัพหลังสู้ทัพหน้าไม่ได้แล้ว คลื่นลูกหลังแซงคลื่นลูกหน้าแล้ว ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นต้องสมัครสมานกันไว้ สักหนึ่งถ้อยคำก็ไม่พูดให้เจ็บใจ ไม่พูดให้เจ็บปวด ทำได้ไหม พูดน้อยๆ คิดให้มากๆ  อย่าพูดไปเล่นไป เดี๋ยวจะเจ็บกันเปล่าๆ
อาจารย์ ฝากเรือลำนี้ไว้ในใจของศิษย์ทุกๆคน มีโอกาส แม้จะไม่เคยเป็นคนที่เข้ามาช่วย แต่หลังจากฟังวันนี้ มีโอกาสเปลี่ยนตัวเองเป็นคนช่วยดูแลบ้างดีไหม (ดี)  หัวใจของคนดี คือหัวใจที่พร้อมเสียสละส่วนตนเพื่อส่วนรวม ยินดีสละความสุขของตนเองเพื่อความสุขของส่วนรวม ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่า บำเพ็ญ
อาจารย์รู้ในโลกนี้ใครๆ ก็รักสบาย แต่ศิษย์อย่าลืมว่า “ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นชีวิตจะเข็ญใจ”  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ากลัวลำบาก เกิดเป็นคนอย่ากลัวความทุกข์ยาก ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์เดินหน้าก็คือเดินหน้าต่อไป แม้ภาระจะหนักขนาดไหน อาจารย์หวังไว้ว่าศิษย์ทุกคนจะไม่หวาดหวั่น แม้งานจะลำบากขนาดไหน อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกคนจะไม่ท้อถอย ได้ไหม (ได้ไหม)
อาจารย์รู้ว่าบำเพ็ญธรรมก็คือการทำให้ศิษย์ต้องลำบาก ต้องฝืนใจ แต่ถ้าไม่ฝืนใจ ไม่ลำบาก ศิษย์จะกลับไปหาอาจารย์ได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  แม้จะต้องบังคับให้เดินในที่ๆ ลำบาก แม้จะต้องบังคับให้ไปสู่ความยาก แต่ฟากฝั่งของความยากและความลำบากคือ สิ่งที่ศิษย์เคยสัญญากับอาจารย์ว่า ศิษย์จะกลับไป จำไว้ให้ดี
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมอย่ากลัวความทุกข์ ความลำบาก ถ้าไม่ชนะทุกข์ ศิษย์จะไม่มีวันพบสุขอันนิรันดร์  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก อาจารย์กลับก่อน ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่าให้อะไรมาสอบใจเรา เปิดใจให้กว้างๆ  แล้วศิษย์จะเข้าใจความหมายของอาจารย์
อาจารย์ไม่เคยคิดที่จะมาหลอกลวง ถ้าหลอกศิษย์แล้วศิษย์ได้เดินขึ้นสู่ฝั่งนิพพาน อาจารย์ก็อยากหลอกนะ ฉะนั้นนานๆ จะได้มีโอกาสพบหน้ากันทีขอให้รักษาโอกาสให้เต็มที่ ถ้าเราเข้มแข็งเราก็สามารถช่วยคนอื่นได้ แต่ถ้าเราไม่เข้มแข็งแม้แต่ตัวเราเองเราก็ช่วยไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ฉะนั้นแม้ตัวจะอยู่ไกลแต่หัวใจอาจารย์อยู่ใกล้กับศิษย์นะ ขอเพียงศิษย์ศรัทธา เชื่อมั่น มุ่งมั่นบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อให้ศิษย์จะได้พ้นทุกข์ ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่ออาจารย์

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ความปกติสุข”
รู้พอในความเรียบง่าย เห็นสุขในความสามัญ
อ่อนน้อมลดทิฐิกัน น้ำใจแบ่งปันมากมี
ถึงต้องเหนื่อยยากแค่ไหน สู้กับใจตนดวงนี้
ฟ้าหรืออยากแกล้งคนดี ใจนี้มั่นคงก้าวไป
ไม่ฟุ้งไปตามสังคม ไม่ปรุงอารมณ์เป็นใหญ่
ใจตนรู้เท่าทันไป มีสติครองให้ปัญญา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา