西元二○○八年 歲次戊子 二月二十九日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ตัดสินใจจากความรู้และความคิด ทำชีวิตของตนให้มีทางเลือก
ผิดหรือถูกไม่ใช่อยู่สิ่งที่เลือก แต่อยู่ที่ใจที่เลือกตัดสินใจ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา ฮวา
คนเกิดมามีพร้อมทุกทุกสิ่ง แต่ความจริงนั้นขาดอยู่สิ่งหนึ่ง
คือความแจ้งในญาณอันตราตรึง วันนี้ถึงสถานธรรมแล้วฟังธรรมา
อันมนุษย์ต่างก็หวังพ้นทุกข์ยิ่ง แต่ความหวังและความจริงคอยขนาน
แท้มนุษย์ไม่โง่เกินเข้าใจกัน ความรู้แจ้งในญาณอันอยู่ภายใน
ความแตกต่างในตัวของบุคคล รูปแบบการครองตนใช้ชีวิต
ไม่เป็นซึ่งอุปสรรคการเข้าถึงจิต ขอเพียงแกะความยึดติดเห็นสัจธรรม
ใช้ชีวิตพิจารณาที่ชีวิต เปิดนิมิตหมายใหม่ให้ตนนั้น
แก้ไขและฟื้นฟูปัจจุบัน สู่ดวงญาณที่ตนไม่เคยใส่ใจ
เห็นความทุกข์จากความอยากได้มาก เห็นความอยากเพราะปล่อยใจกระเจิงหนัก
รวบรวมเข้าสู่จิตใจธรรมเป็นหลัก ขอแค่รักชีวิตตนบำเพ็ญธรรม
สามวันนี้น้องคนบุญฟังธรรมะ ต้องชำระจิตใจตนตามไปด้วย
แม้สงสัยให้ศึกษาธรรมอำนวย รักษาป่วยในจิตใจด้วยรู้ตน
เป็นคนดีแค่นั้นยังไม่พอ จงวอนขอพ้นไปจากวัฏสงสาร
อย่าเวียนว่ายวิ่งวุ่นทรมาน จงตั้งมั่นศึกษาธรรมบำเพ็ญจริง
ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง พึ่งตนหวังแต่ตนนั้นทาสหรือไท
มีกิเลสเป็นเจ้าหรือเป็นไพร่ จงเข้าใจตนเองเดินถูกทาง
จงหมั่นเพียรสุภาพต่อผู้อื่น ให้ผู้อื่นไม่รู้สึกว่าต่ำต้อย
ผู้บำเพ็ญนั้นจงหมั่นเจริญรอย มีไม่น้อยคนทำได้แค่บางคราว
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน หวังน้องเปลี่ยนตนเองให้ดีขึ้น
ปัญหาชีวิตนั้นทำให้เมามึน แม้กล้ำกลืนต้องบำเพ็ญควบคู่ไป
อะไรจะดีขึ้นเพราะทำใจได้ และคนที่ทำใจได้ต้องรู้จิต
รู้เท่าทันวาระแห่งความคิด ไม่ยึดติดทางสว่างไม่หนีตน
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
ฟังธรรมะอย่างคนที่ใส่ใจ ประตูใจต้องเปิดเองต้องเดินเอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
ทุกสิ่งที่ขึ้นลงและดีร้าย อยู่ที่ใจกล้าไหมเผชิญสู้
รับความจริงแม้ยากเกินเรียนรู้ ทุกสิ่งคู่ต้องเรียนรู้ความเป็นกลาง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
มีเริ่มต้นสักวันต้องสิ้นสุด ทุกสิ่งจากหนึ่งรุดสู่เรื่อยได้
มุมมองทุกข์นี้ใครกล้ารับไป สะกิดหวังตื่นใจไม่หลงหลอกตน
ไยเพิ่มพูนยิ่งสูญเสียเมตตาไป คนเป็นมากล้นไปโลภประโยชน์ผล
ทำลายเพื่อสร้างเพื่อทำลายตน แล้วไม่แล้วมีจนรอบข้างกลัว
เกลียดโกรธเหมือนจุดไฟเผาใจนี้ รับผลไม่สุขฤดีพาลไปทั่ว
อารมณ์มีต่างมีเหตุผลส่วนตัว เพราะเท่านี้อาจยั่วเหตุบานปลาย
สันโดษแค่บ้างน้อยคงสุขคืนใจ อภัยนี้สุขใจตัดทุกข์โกรธได้
รู้สึกเหมือนมีไม่พอไว้เต็มไป อารมณ์ล้วนหนึ่งนี้ใจคุมให้ทัน
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับผู้ร่วมฟังที่นั่งดูทีวีวงจรปิดชั้นล่าง)
เป็นอย่างไรบ้างนั่งฟังธรรมะตรงนี้ เห็นคุณค่าแห่งความอดทน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาปิดทีวี)
ทีวีน่าสนใจกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ทั้งที่เราก็รู้ว่าโลกแห่งมายา เป็นโลกแห่งความไม่จริงแท้ มีทุกข์ มีสุข มีสมหวัง มีไม่สมหวัง มีได้ และก็มีเสีย แต่ถามว่าเรายังหวังไหม ก็ยังหวังใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความหวังเรายังกลัวทุกข์ไหม (กลัว) เราก็กลัว แต่เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะยึดติดมันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแล้วเราจะอยู่ในโลกอย่างไรละ ที่อยู่แล้วเราสามารถอยู่ระหว่างกลางได้อย่างเป็นสุข ไม่ทุกข์จนเกินไป แล้วก็ไม่สุขจนเกินไป ฉะนั้นเมื่อไรที่มีสุข จงคิดเผื่อไว้ยามทุกข์ เมื่อไรที่เราต้องเผชิญทุกข์ อย่าลืมใบหน้าที่ยิ้มแย้มตอนมีความสุข ชีวิตก็จะได้ไม่ทุกข์จนเกินไป
อะไรคือธรรมชาติของตัวเรานั้นก็คือ ความปกติ ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วร่างกายของเราคือธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรมีโกรธมากเกินไปหรือมีโกรธเข้ามา เราผิดปกติไหม (ผิดปกติ) มีรักขึ้นมาเราผิดปกติไหม (ผิดปกติ) ฉะนั้นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ก็คือ ความเป็นปกติ ถูกหรือไม่ (ถูก) มองหาธรรมชาติแทบตาย หาธรรมชาติตั้งไกลแต่เราลืมความเป็นธรรมชาติที่ธรรมดาสามัญในตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเราหาได้เจอและมีความสุขกับความธรรมดาสามัญได้ โลกนี้ไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์หรอก แต่มนุษย์อยู่กับธรรมชาติตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็รับความเป็นปกติของตัวเองได้ไม่ค่อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้สึกว่าเวลาปกติเฉยๆ ไม่มีอะไร “ก็รู้สึกน่าเบื่อจัง เหงาจัง เดียวดายจัง ว่างเปล่าจัง” ทั้งที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือสิ่งที่อยู่กับเราแล้ว เราน่าจะรักษาให้เป็นปกติให้นานที่สุดไม่ใช่หรือ ความวุ่นวาย ความรัก ความโกรธ ความโมโห ความไม่พอใจที่มาสู่ชีวิต สู่จิตใจทำให้เราไม่ปกติแล้วทำให้เราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องอยู่กับความปกติให้เป็นสุข เมื่อไรอยู่กับความปกติได้เป็นสุข เมื่อมีอะไรเข้ามาเราก็สามารถที่จะรับมือได้
เคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งไหมว่า ถ้าข้างในไม่มีความสุข แม้จะหาข้างนอกได้มากเท่าไร ก็ไม่มีความสุขถูกไหม (ถูก) เคยไหมข้างในไม่มีอะไร แต่พยายามหาข้างนอกให้เต็มที่ ยิ่งหาก็กลับยิ่งทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)
นั่งฟังธรรมะมาเกือบวันแล้วเหนื่อยไหม เราเห็นคนบางคนมีรอยยิ้มออกมาบ้างก็แสดงว่าไม่เหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนบางคนยิ้มไม่ออกก็แปลว่า เหนื่อยจนพูดไม่ออกแล้ว ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ก่อนจะคุยเรื่องธรรมะ เราขอถามอะไรสักอย่างหนึ่ง วันทำงานกับวันหยุดพักผ่อนท่านชอบอะไรมากกว่ากัน (ชอบวันหยุดพักผ่อน) แล้วนิยามของวันหยุดพักผ่อนคือ สบายๆ ผ่อนคลายไม่ซีเรียส ไม่ต้องทำอะไรก็มีคนเอานั่นเอานี่มาให้กิน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วนั่งตรงนี้ได้พักผ่อนไหม (ได้) เหมือนกับพักผ่อนไหม ไม่ต้องห่วงเรื่องกินสามมื้อ กินเสร็จแล้วไม่ต้องล้างจาน เงินในกระเป๋าไม่มีก็มีข้าวทาน แล้วแบบนี้ไม่เหมือนมาพักผ่อนหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมบางคนถึงได้ดูทรมานจังเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) สู้ไปเที่ยวพักผ่อนข้างนอกไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ เราเชื่อว่าบางคนเชื่ออย่างนั้น แล้วคิดว่า “ไม่น่าตกปากรับคำมาฟังเลย ไปเที่ยวดีกว่า ไปพักผ่อนดีกว่า” ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าลืมนะไปพักผ่อนยังต้องดูเงินในกระเป๋า พอค่าพักผ่อนสบายๆ ไหม ยิ่งสบายมากยิ่งซื้อรอยยิ้มหวานๆ ก็ต้องใช้เงินมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ที่นี่คนที่นั่งข้างๆ ท่านยิ้มไหม ท่านเสียเงินไหม แล้วอย่างนี้ สามวันนี้ไม่เรียกว่าพักผ่อนหรือ ท่านเคยหรือไม่ว่าหาเงินมาแทบตายหมดไปกับการพักผ่อนแค่สองวัน แล้วที่ท่านกำลังพักผ่อนเป็นสิ่งที่คนอื่นกำลังทำงานใช่หรือไม่ เคยไหมที่ท่านกำลังทำงานอยู่กลับมีคนกำลังพักผ่อนอยู่ แล้วเคยไหมเสียเงินมากมายเพื่อไปพักผ่อน แต่กลับเจอคนทำงานหน้าตาบูดบึ้ง เคยหรือไม่ (เคย) ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมเราถึงได้พูดเช่นนี้ ถ้าเราทำทุกวันที่เป็นวันทำงานให้เป็นวันหยุดพักผ่อน ทำให้เหมือนกับว่าตัวเราพักด้วย แล้วคนที่มาปฏิสัมพันธ์กับเรา เขาก็รู้สึกว่าได้พักด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเราทำงานอยู่แต่เราทำเพลิน โดยมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ใครเดินผ่านไปผ่านมา ก็คิดว่า “คนนี้มีความสุขเนอะเรามองแล้วก็รู้สึกชื่นใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ใครทำงานไปด้วยแล้วเครียดไปด้วย มีวันอาทิตย์วันเดียวเป็นวันผักผ่อน นอกนั้นลำบากเกือบทุกวัน งานที่ทำไม่เสร็จบางครั้งอาจจะต้องทำถึงเจ็ดวัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ขอให้ท่านคิดให้ดีๆ ว่าทำงานก็คือพักผ่อน ถ้าเราทำได้แล้วทุกวันก็คือวันพักผ่อนที่ได้เงินเต็มกระเป๋าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่เป็นการพักผ่อนที่ต้องเสียเงิน แล้วยังต้องเสียอารมณ์ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เสียเงินด้วยกลับมาก็เหนื่อย เที่ยวแล้วบางครั้งก็ได้โรคกลับมาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการพักผ่อนหรือการทำงานอยู่ที่อะไร อยู่ที่ใจคิดยึดติดแบ่งแยกเกินไปหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนนั่งตรงนี้ถ้าคิดว่าคือบ้าน เราก็สามารถที่จะสบายๆ ได้ แต่เมื่อไหร่ที่คิดว่าไม่ใช่บ้านเรา เป็นบ้านคนอื่น ไม่รู้จัก จะอึดอัดนั่งแล้วไม่เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคิดว่าเป็นบ้านมากเกินไปก็ทำตัวได้ไม่น่ารักก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งตามสบายไม่สนใจคนข้างๆ เลยอย่างนี้ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คราวนี้พอจะคุยกับเราได้หรือยัง รู้สึกว่าเราเป็นตัวแปลกประหลาดไหม (ไม่) เราเป็นสิ่งผิดปกติในชีวิตท่านไหม (ไม่) แล้วอะไรคือสิ่งผิดปกติในชีวิตท่าน ถ้าผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนข้างๆ ยืนอย่างยึดมั่นถือมั่น ยิ่งยืนก็จะยิ่งเมื่อย แต่ถ้ายืนอย่างปล่อยวาง เบาสบาย ยืนเป็นชั่วโมงก็ไหว การนั่งก็เหมือนกันถ้านั่งแล้วรู้สึกว่า “นานจังเลย ตัวเรานั่งนานอย่างนี้เลยหรือ เริ่มจะรู้สึกเมื่อยแล้ว เห็นคนข้างๆ เมื่อยมากๆ เลย” ใช่หรือไม่ (ใช่) คนข้างนอกทำให้เราเป็นหรือเราเป็นเอง (เราเป็นเอง) อย่าลืมนะเหล้าไม่ทำให้คนเมา แต่คนไปกินเหล้าแล้วเมาเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ใจ ถ้าเราไม่ไปยึดเกาะผูกติดกับคำพูด คำๆ นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาว่าท่านบ้าจะไปกลัวอะไรกับคำว่าของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราถามว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์จากคนที่ปกติ กลายเป็นคนที่ไม่ปกติ แล้วอะไรที่ผิดปกติ แล้วท่านเคยถามตัวเองหรือไม่ อะไรที่ทำให้เรามักจะเป็นคนผิดปกติทุกที
ความโกรธทำให้มนุษย์ผิดปกติ ธรรมชาติถ้ารวมเป็นหนึ่งเรียกว่า “ปกติ” แต่ถ้าเมื่อไรแผ่นดินแยก นั่นเรียกว่า (ผิดปกติ) ใจของเราก็เหมือนกันเมื่อแบ่งเป็นสอง โกรธดีหรือไม่โกรธดี นั่นผิดปกติไหม (ผิดปกติ) แล้วอะไรในตัวเราที่เรียกว่า “ธรรมชาติ”
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ผิดปกติก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงและความรัก ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตที่ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้เรียกว่า “จิตปกติ” แต่เมื่ออารมณ์ต่างๆ เหล่านี้เข้ามาอยู่ในตัวเรามักจะทำให้มนุษย์ผิดปกติกว่าที่เป็นอยู่เสมอๆ ใช่ไหม (ใช่)
แล้วอะไรที่เรียกว่า “ธรรมชาติของมนุษย์” เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีสภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติอยู่ ตอนนี้โกรธไหม (ไม่โกรธ) ตอนนี้โลภไหม (ไม่โลภ) เราอยากโลภอะไรไหม การปล่อยวางก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อใดที่คิดจะปล่อยวาง เมื่อนั้นแสดงว่า เรามีความผิดปกติอยู่ข้างใน มีอะไรที่เรายึดอยู่ เราจึงต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ก็คือ ตัวเรานี่ล่ะคือความเป็นธรรมชาติ มนุษย์เรามีความเป็นธรรมชาติอยู่ แต่เรากลับลืมไป เราชอบใส่อารมณ์ ใส่ความเป็นตัวตนลงไป จึงกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างจากธรรมชาติเดิม มากยิ่งขึ้น ถูกไหม (ถูก) ตัวเรามีความเป็นดินและความเป็นน้ำอยู่ไหม (มี) มีสิ่งที่เรียกว่าของแข็งและของเหลวอยู่ไหม (มี) มีธาตุไฟ มีธาตุไม้อยู่ไหม (มี) แล้วสักวันจะกลับคืนไปสู่สรรพสิ่งนี้ไหม (กลับ) เรามาจากธรรมชาติสักวันเราก็ต้องกลับสู่ธรรมชาติ ฉะนั้นอย่าลืมความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเรา
นักเรียนท่านนี้ตอบว่า ความสงบคือธรรมชาติ แต่มนุษย์กลับอยู่กับความสงบไม่ได้ เพราะมนุษย์กลัวที่จะสงบ เห็นความสงบเป็นความเหงา โดดเดี่ยว อ้างว้าง
เราจึงต้องหาหนึ่งแล้วก็ต้องมีสองใช่หรือไม่ พอมีสองแล้วพอไหม (ไม่พอ)
มนุษย์มีทั้งสิ่งที่เห็น และสิ่งที่ไม่เห็น ท่านอยากเรียนรู้การเป็นปราชญ์ไหม (อยาก) ปราชญ์สามารถมองเห็น และก็สามารถเห็นในสิ่งที่ไม่เห็นได้เอาไหม (เอา) สามารถเลือกเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น และสิ่งที่ตัวเองไม่อยากเห็นก็ได้ ดีไหม (ดี)
แล้วธรรมชาติของมนุษย์พูดหรือไม่พูด (พูด) ถ้าเงียบๆ แสดงว่า (ผิดธรรมชาติ) ผิดธรรมชาติเพราะพูดไม่ได้ หรือถูกบังคับไม่ให้พูด แล้วอย่างนี้ท่านเป็นปกติหรือไม่ (ปกติ) วันนี้เกือบจะไม่ปกติเพราะไม่ได้พูดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นอยู่กับเราก็ชดเชยให้ท่านได้พูดบ้างนะ เวลาเราถามท่านก็ลองตอบ ผิดหรือถูกเราไม่ว่า ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาความรู้กัน มนุษย์ทุกคนต่างมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่มีทางเหมือนกัน แม้จะฟังเรื่องๆ เดียวกันก็ตาม ฉะนั้นเรามีชีวิต เรียนรู้ธรรมเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับจิตใจ เรามีชีวิตเรียนรู้ทางโลกเพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต และการอยู่รอดของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราเรียนธรรมะวันนี้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันป้องกันจิตใจของเราไม่ให้อ่อนแอจนเกินไป หรือเข้มแข็งจนเป็นคนตายด้าน หรือดื้อดึง หลายต่อหลายครั้งที่พอเรามีความรู้ เราก็กลายเป็นคนที่ยึดมั่นไปโดยไม่รู้ตัว
(นักเรียนยืนขึ้นเพื่อกราบรับการมาของท่านหลันต้าเซียนและท่านเมตตาถามว่า เมื่อยไหม เหนื่อยไหม)
เวลาเหนื่อยๆ มีคนมาเห็นใจ เราก็รู้สึกดีใจ มีคนเห็นใจดีกว่ามีคนมาทับถม ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อสักครู่นั่งมาพักใหญ่แล้ว ลองยืนดูบ้างได้หรือไม่ (ได้) ความเป็นปกติธรรมชาติของมือคือไม่ใช่กางออกแล้วหุบไม่ลง หรือหุบแล้วกางออกไม่ได้ เหมือนกับ ความเป็นปกติของมนุษย์ต้องมีนั่งและมียืน ไม่ใช่นั่งอย่างเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะได้รักษาความสมบูรณ์ของชีวิต เมื่อสักครู่นั่งไปกี่ชั่วโมง ใครพอจำได้ (ห้าชั่วโมง) ฉะนั้นต้องยืนกี่ชั่วโมง (ห้าชั่วโมง) มีบางท่านตอบว่านั่งห้าชั่วโมง แต่ขอยืนห้านาที สมดุลหรือไม่ (ไม่) ไม่สมดุลหรือ แล้วยืนกี่ชั่วโมงดี
เราจะถามท่านคำถามหนึ่ง ดูว่าความรู้ของท่านสามารถทำให้ท่านทลายกรอบแห่งความรู้ความเข้าใจได้หรือไม่ เราถามว่า ในตัวเรามีอะไรที่เป็นจริงและอะไรที่เป็นเท็จ ใครตอบได้จะได้นั่ง
(ร่างกายคือความเท็จ จิตใจคือความจริง) ตอบได้ถูกนะ แต่หากจิตใจไปหลอกลวงคนอื่น กระทำดีแต่ในใจคิดหลอกลวง อย่างนั้นกลายเป็นว่าร่างกาย และการกระทำคือสิ่งที่เป็นจริง แต่หัวใจกำลังเป็นเท็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นอะไรที่เป็นจริง อะไรที่เป็นเท็จ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาว่า ถ้าใครตอบได้ นักเรียนที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกันจะได้นั่งด้วย)
เราเรียนรู้ธรรมะเพื่อช่วยตนเองแล้วยังต้องสามารถช่วยผู้อื่นได้อีกด้วย เหมือนเราเรียนรู้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง คนรอบข้างก็มีผลกระทบกับเราด้วย และก็ได้ผลกระทบของการเรียนรู้ของเราด้วย ถ้าเราช่วยตัวเราเองได้ เราก็สามารถช่วยคนอื่นได้ด้วย ในตัวเรามีอะไรที่เป็นจริง และอะไรที่เป็นเท็จ
(ความเมตตากรุณาที่มีต่อประชาชนทั่วไปเป็นจริง ร่างกายเป็นเท็จ) ความเมตตากรุณาที่เราสละช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่จริง แต่ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่เท็จ ถูกไหม ร่างกายของเราบางทีก็มีหัวใจที่อยากจะช่วยคน แต่ถ้าร่างกายเราไม่ขยับเขยื้อน ใจนั้นก็เป็นเท็จ จริงไหม (จริง) มีหลายคนพูดว่า ฉันมีใจที่ดีอยากจะช่วยคน แต่ขาไม่เดินไม่ลงมือกระทำ ใครจะเชื่อว่าท่านจะทำจริง เพราะจริงแค่หัวใจแต่กายไม่จริง
(สิ่งที่เรามองเห็นทั่วไปเป็นเท็จ สิ่งที่เราเรียกว่า คุณธรรมหรือบางอย่างที่เป็นสิ่งดีๆ เราเรียกว่า เป็นจริง) ท่านนี้ตอบว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือว่าวัตถุสิ่งของเป็นของเท็จ แต่คุณธรรมความดีเป็นของจริง ถูกไหม (ถูก)
ความจริงคือ สิ่งที่จริงแท้แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือความเป็นจริงของชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกๆ สิ่งก็เป็นทั้งสิ่งที่จริงและสิ่งที่เท็จ ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะใช้อย่างไร และนำไปทำอะไร เหมือนตัวเราเป็นได้ทั้งจริงและเป็นได้ทั้งเท็จ หัวใจเราก็เป็นสิ่งที่จริงและสิ่งที่เท็จได้ อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติหรือผลของการกระทำ เหตุที่นำไปสู่ผลของการกระทำนั้น
มนุษย์ส่วนใหญ่พอเห็นการยืมร่างก็จะบอกว่าอันนั้นคือเท็จ แต่ตัวฉันคือของจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราว่าคนที่ดูการยืมร่างแล้วก็แสร้งไหว้ แต่ในใจกลับบอกว่าสิ่งที่ไหว้นั้นเป็นของปลอม คนนั้นคือคนที่กำลังหลอกลวงตัวเองอยู่ เขาก็คือของปลอม มองคนอื่นว่าหลอกแต่ตัวเองก็ยังไปไหว้คนที่หลอก ทั้งๆ ที่ใจไม่เชื่อ แบบนี้ใครกันแน่ที่หลอก เขาหลอกท่านหรือว่าท่านกำลังหลอกเขาด้วย
ในที่นี้บางท่านกำลังคิดว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี จะจริงหรือไม่จริง ถ้าท่านจะตอบว่าตัวท่านนั้นแหละคือสิ่งที่จริงและเท็จ ก็ไม่ผิด แล้วถ้าท่านชี้มาที่ตัวเรา (สิ่งศักดิ์สิทธิ์) แล้วบอกว่าคือสิ่งที่จริงและเท็จก็ไม่ผิด ท่านตอบได้ถูก ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ไม่มีใครคิดได้เลย เพราะมนุษย์ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมมองเห็นธาตุแท้ภายใน มีบางครั้งเราเห็นธาตุแท้ภายในจนลืมมองรูปลักษณ์ภายนอก อย่าให้ปรากฏการณ์ภายนอกบดบังธาตุแท้ภายใน เคยไหม ที่เราเอาแต่มองภายนอกจนลืมนึกถึงหัวใจเขาคิดอย่างไร หรือบางครั้งอยู่กับคนใกล้ตัวเห็นนิสัยเขามากเกินไปจนลืมเห็นสิ่งภายนอกที่เขากระทำ
อยู่ใกล้กับพ่อแม่มากก็บอกว่า “ท่านดูน่ารำคาญ ทำไมท่านช่างขี้บ่น” แต่เราลืมดูจุดมุ่งหมายของการกระทำว่าท่านทำเพื่ออะไร เหมือนเรามองบางคน คนที่เรารักกับคนที่เราชัง เราเห็นอะไรเราถึงรัก เราเห็นอะไรเราถึงชัง เราเห็นทั้งนอกทั้งใน หรือเห็นในจนลืมนอก หรือเห็นนอกจนลืมสนใจภายใน คนที่ยืนยันว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้เลว แต่หารู้ไม่ว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะ เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่ดี แต่ตอนนี้เขาอาจจะดีขึ้นมาแล้วก็ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราเอาแต่ตัวเราเป็นมาตรฐาน ฉันว่าฉันสูงแล้ว พอวัดกับคนนี้ หากเรามองแต่ตัวเองไม่มองเขาก็จะบอกว่า ความสูงก็พอๆ กัน แต่หากรู้จักมองเขาบ้าง ก็จะรู้ว่าเขาสูงกว่าเราหรือไม่ แต่หากมองเขามากเกินไป จนไม่เห็นคุณค่าของตัวเรา เราก็จะคิดว่าเขาใส่รองเท้าอะไรหรือเปล่าถึงได้สูงแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกแห่งความแตกต่าง เราจึงต้องรู้จักรักษาสมดุลของชีวิตให้ดี อย่ามองนอกจนลืมมองใน หรืออย่ามองในจนลืมมองนอก อย่าสนใจตนเองจนลืมสนใจคนรอบข้าง หรืออย่าสนใจคนรอบข้างจนลืมความเป็นตัวของตนเอง ตอนนี้เราอาจกำลังเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย แต่หากไปเทียบกับคนที่ยิ่งสูงไปอีก เราก็หมดความมั่นใจไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากไปวัดกับคนที่เตี้ยกว่า เราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสวยงามเสียนี่กระไร
ฉะนั้นทุกข์ สุข ดี ร้าย ได้ เสีย มองกันให้จริงๆ เรากำลังเปรียบเทียบ หรือเรากำลังมองอะไรมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าเราไม่สามารถรักษาความสมดุลในชีวิตได้ ความแตกต่างก็จะทำให้เราทุกข์ หรือความแตกต่างจะทำให้เราสุข แล้วก็กลับมาทุกข์ใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอให้มองชีวิตให้ดี เรียนรู้อย่างคนที่เข้าใจและเปิดกว้าง การศึกษาหนทางแห่งวิถีธรรมนั้น ก็เหมือนเราที่ยืนตรงนี้ ท่านคิดว่ามีกี่ทางที่จะเดินมาหาเราได้ (หลายทาง) ซ้าย ขวา หน้า หลัง เอียงกี่องศาก็มาหาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าทางนี้ตายแล้ว ก็ต้องตายอยู่แค่นี้ ยังมีทางออกอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น ปราชญ์คือผู้ที่เห็นและไม่เห็น แล้วสามารถที่จะเลือกไม่เห็น และเห็นได้ ด้วยปัญญาและความรู้ความเข้าใจของตัวเรา เราถามท่านว่าสิ่งนี้ท่านสามารถมีได้หรือไม่ (ได้) แล้วตอนนี้ท่านก็มีอยู่ วันนี้อารมณ์ดี อะไรๆ ก็สวย เห็นอะไรก็ชัดเจน แต่หากวันนี้มีอะไรกลุ้มใจอยู่ข้างใน เดินไปก็ไม่เห็นว่าเดินผ่านใครไปกี่คน ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นไหมว่าท่านสามารถทำให้เห็นและไม่เห็นได้ ท่านที่อยู่แล้วสามารถมองเห็นได้แต่กลับมองไม่เห็น ก็ไม่ผิดนะ เขาตอบว่าไม่เห็น ก็คือ อยู่กับเราไม่มีคำตอบอะไร ตายตัวนะ เราอยากบอกท่านว่าอยู่ในโลกนี้ ถ้าวันนี้โดนเขาว่าร้ายแต่ต่อไปซักวันเขาอาจจะรู้ว่าเราดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้สิ่งที่ท่านว่าเขาร้ายแต่ต่อไปมองนานๆ เขาอาจจะมีดีก็ได้ ฉะนั้นหัวใจของผู้ที่ศึกษาธรรม หรือเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง คือหัวใจที่เปิดกว้างไม่ยึดติดนะ ผู้ที่จะศึกษาธรรมเพื่อเดินไปสู่การรู้แจ้งแห่งชีวิตคือผู้ที่ไม่มีอะไรที่รับและไม่มีอะไรที่ปฏิเสธ ทุกสิ่งสามารถเป็นจริงได้และไม่จริงได้ ไม่ยึดมั่นบทเรียนอะไรอย่างตายตัว แต่ไม่ใช่ลื่นเป็นปลาไหลนะ ต้องบอกไว้ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราชวนให้ท่านทดสอบอะไรกับเราสักอย่างหนึ่ง แม้ว่าตาเราเปิด แต่ก็มีสิ่งที่เห็นและไม่เห็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วในสิ่งที่เห็นและไม่เห็น เราสามารถกลับกลายเป็นยิ่งเห็นได้ อยากลองเล่นไหม (อยาก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนสี่ท่านออกมาเล่นเกม และให้เตรียมน้ำสี่แก้ว โดยให้เดินถือแก้วน้ำที่มี่น้ำเต็มแก้วไปสุดห้อง โดยไม่ให้น้ำหก ในระหว่างที่เดินไปให้นับด้วยว่าคนที่อยู่ด้านขวามือของเรานั้น ใส่เสื้อคอมีปกกี่คน เสื้อคอไม่มีปกกี่คน)
รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ถือไปด้วยแล้วต้องระวังน้ำไปด้วย และก็ต้องดูคนรอบข้างไปด้วยเป็นอย่างไร
(เดินไปก็นับไปดูว่ามีกี่คน) สรุปว่าห่วงทั้งน้ำและห่วงคนที่เราต้องดู รู้สึกว่ายากลำบาก แล้วชีวิตของทุกท่านเหมือนอย่างนี้ไหม (เหมือนกัน) ห่วงตัวเองก็ห่วง ห่วงคนอื่นก็ห่วงด้วย เหนื่อยไหมกับภาระที่ต้องห่วงทั้งน้ำหรือชีวิต และห่วงทั้งรอบข้าง เคยได้ยินไหมว่าไม่ต้องไปห่วงคนรอบข้าง รักษาน้ำตัวเองให้ดีก็พอ บางทีคนรอบข้างเขาอาจจะรู้สึกสบายใจกว่าก็เป็นได้ ถ้าเรารักษาตัวเองได้ดี ไม่สร้างความทุกข์ เขาก็สบายใจ การถือน้ำของเราถ้าถือได้ดีไม่เคยหกเลยและเรามีความสุขในการถือน้ำ คนรอบข้างก็อยากเรียนรู้วิธีการถือน้ำในแก้วของเรา โดยที่เราไม่ต้องสอนให้เหนื่อยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของมนุษย์ตอนนี้เป็นแบบนี้ ตัวเองก็อีกแบบ คนอื่นก็คอยจับผิด ฉะนั้นถ้าเราปล่อยสิ่งหนึ่งเราควรปล่อยอะไร ควรปล่อยน้ำในแก้วของเราแล้วไปจับเขา หรือว่าควรปล่อยเขาแล้วมาจับน้ำในแก้วของเรา อะไรจะดีกว่า ชีวิตเราก็ไม่ต่างกับสี่ท่านนี้ ฉะนั้นถึงเวลาเราควรจะปล่อยการมองเขาหรือว่าปล่อยตัวเราดี เราต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง บางครั้งต้องปล่อยเขาและรักษาตัวเราให้ดี แต่คนบางคนมองตัวเองมากเกินไป ก็ต้องรู้จักที่จะปล่อยตัวเองบ้าง อะไรก็ตัวเองและก็มองเห็นตัวเองมากกว่าเห็นคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีต้องรู้จักปล่อยตัวเองและมองให้กว้างๆ บ้าง
ฉะนั้นถึงที่สุดในการคุยธรรมะกับเรา ไม่มีอะไรที่เป็นแบบเรียนเบ็ดเสร็จหรอกนะ เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต พลิกแพลงได้ 24 ชั่วโมง วันนี้เราให้ท่านบทหนึ่ง แต่ต่อไปท่านต้องนำบทนี้ไปพลิกให้รอบเพื่อจะได้ใช้ชีวิตได้ถูกทาง มนุษย์มักชอบพูดว่า “ทำดี ต้องได้ดี” แต่อย่าลืมว่า วิถีของการไปถึงความดีที่สุดไม่ใช่การยึดมั่นในความดี แต่คือการปล่อยวางดีไว้และให้คนอื่นสืบดีต่อๆ ไปต่างหาก
เงินเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ (จำเป็น) จำเป็นแต่ไม่ใช่จำเป็นที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์สามารถหาเงินได้ง่าย แต่ให้รู้สึกว่าตนเองมีเงินนั้น (ยาก) ใช่หรือไม่ (ใช่) หาเงินง่ายแต่จะรู้สึกว่ามีเงินจริงๆ นั้นยาก หามาแล้วยังบอกว่ายังไม่มีเงิน ได้มาล้านบาท ก็บอกว่า (ไม่มีเงิน) ถูกหรือไม่ (ถูก) อย่างนั้นเงินเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)
บางท่านเริ่มเบื่อแล้ว อย่างนั้นเราคุยกันแค่นี้แล้วจบดีหรือไม่ (ไม่ดี) เราขึ้นอยู่กับผู้ฟังนะ หากพูดแล้วไม่มีคนฟังเรียกว่า พูดมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ควรมองตนเองแต่เราควรมองคนฟัง หากคนฟังไม่ฟังแล้วเราต้องหันกลับมามองตนเอง ว่าเราพูดมาก อย่ารอให้เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะได้ไม่เจ็บ ฉะนั้นหากคนฟังเบื่อหน้าเราแล้ว เราพูดมากจริงๆ เราก็ต้องยอมรับ ถูกหรือไม่ (ถูก) อยู่ในโลกนี้อย่าลืมว่าอย่าโทษกระจก ถ้ากระจกส่องแล้วมองเห็นเราไม่งาม ต้องโทษตัวเราเองต่างหากที่หน้าไม่งาม ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ร่วมกันแล้วเขาไม่มีความสุขจะไปโทษใครได้หรือไม่ ต้องหันมามองเรา ว่าทำอะไรแล้วทำให้เขารู้สึกอยากจะหนีไปไกลๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉันใดก็ฉันนั้น หากเรามายืนตรงนี้แล้วท่านคิดว่าเมื่อไรจะไปสักที เราก็คงจะหยุดแค่นี้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ต้องถามคนที่กำลังเบื่อเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ไม่ผิดนะหากท่านจะรู้สึกเบื่อ รู้สึกเหนื่อย เพราะวันนี้ท่านฟังมาเกือบค่อนวันแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านอดทนได้ถึงขนาดนี้ เราว่าท่านเก่งไม่เบา เพราะปรกติทั้งเดิน ยืน นั่ง ไม่เคยนั่งเป็นชั่วโมงได้ขนาดนี้ อยากฟังต่อไหม (อยาก)
ถามเรื่องเงินก่อน แล้วต่อด้วยความรักดีหรือไม่ (ดี) เงินเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไหม (ไม่) แต่ทำไมพอมีใครมีเงินมากๆ เรารู้สึกเกลียด (อิจฉา) ใช่อิจฉา ทำไมเขาใช้เงินได้เยอะขนาดนี้ ทำไมเราใช้ไม่ได้เยอะแบบเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หัวใจของผู้มีเงินต่างหาก ได้เงินมาอย่างน่ารังเกียจหรือไม่ ครอบครองเงินแล้วใช้เงินได้อย่างน่ารังเกียจหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมอยากมีเงินกันทุกวัน เพราะบางครั้งเงินก็ทำให้สุข เราต้องจับประเด็นให้ได้ เงินไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่คนที่กำลังจับเงินไม่เป็นนั่นแหละจะ (ทุกข์)หาเรื่องทุกข์ใส่ตัว เงินไม่ได้ทำให้ทุกข์แต่หัวใจที่กำลังมีเงิน และครอบครองเงินและกำลังหาเงินอยู่ต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกันความรักเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่ใช่จำเป็นที่สุดแล้วขาดไม่ได้ แต่ทำไมขาดทีไรตายทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นสิ่งจำเป็นแต่พอมีแล้วทำให้เราทุกข์ แล้วความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจหรือไม่ (ไม่) แต่หัวใจของคนที่มีรักอย่างเห็นแก่ตัวและรักอย่างไม่รู้พอคือคนที่มีรักแล้วน่ารังเกียจ แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่) พอเขาให้ความรักเราเท่านี้ เราก็บอกว่าน่าจะมากกว่านี้นะ แต่พอเขาให้น้อยกว่านี้เราก็คิดว่าทำไมให้น้อย พอให้ต่ำกว่านี้น่าจะให้บ่อยๆ นะ ให้เท่าเดิมก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
รักคือทุกข์หรือสุข ทั้งทุกข์และสุข แต่หัวใจของคนมีรักนั้นแหละที่หาเรื่องมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) รักผู้อื่นเท่าไหร่ก็ได้นะแต่อย่าลืมรักตัวเอง อย่าลืมนะว่าเราเรียกร้องผู้อื่นไม่ได้ตามที่เราปรารถนาหรอก สมใจได้เพียงวันหนึ่งแต่อีกวันไม่สมใจเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกับเราได้วันหนึ่ง อีกวันหนึ่งทำไมไม่ดีล่ะ ถูกหรือไม่ (ถูก) คิดจะมีเงิน คิดจะมีรัก คิดให้ดีๆ นะ
ฉะนั้นเราอยากจะสรุปว่า อยู่ในโลกนี้มนุษย์เกิดมาเพื่อจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อแสดงให้ผู้คนหรือคนรุ่นหลังได้ชื่นชมว่า เราคือความก้าวหน้าของชีวิตหรือของโลก แต่อย่าสร้างสรรค์แล้วหยุดไม่ได้
มีอะไรที่เราสร้างแล้วหยุดไม่ได้แล้วทำให้เราทุกข์ตลอดกาล เราสร้างมาแล้ว เราควบคุมไม่อยู่ ที่เราสร้างปุ๊บ ทำให้เราทุกข์หรือกลุ้มกังวลเมื่อมีสิ่งนี้ นั่นก็คือความรักกับเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้แต่สร้างสรรค์มันขึ้นมากับมือตัวเราเองแต่ถ้าเมื่อไรที่เราสร้างแล้วควบคุมไม่ได้ เราคือผู้ที่ต้องแบกรับทุกข์นี้ไปตลอดชีวิต เพราะเราเป็นผู้สร้าง แล้วในชีวิตนี้เราสร้างกี่อย่าง สร้างตัวเรา สร้างความอยาก สร้างอารมณ์ สร้างนิสัย สร้างความเคยชิน แล้วก็สร้างลูกสร้างหลาน ใช่หรือไม่ (ใช่) สร้างลูกสร้างหลานหนึ่งคน คือสร้างความทุกข์ไปตลอดชีวิต อะไรที่สร้างแล้วควบคุมไม่ได้รับรองทุกข์ทั้งนั้น แม้กระทั้งความคิดในหัวใจ จริงหรือไม่
ตอนนอนอยากนอนแล้วแต่หัวสมองมันคิดอยู่นั่นแหละ คิดๆๆ เมื่อไหร่จะนอนสักที เห็นแล้วก็สงสารนะ ไม่ใช่มีแค่ท่านนี้ท่านเดียวหรอก ในที่นี้มีหลายท่านเลย เวลากลุ้มไม่มีเรื่องอะไรจะคิด “กลุ้มใจจังพรุ่งนี้จะได้เงินไหม พรุ่งนี้จะได้เงินมากกว่าเดิมไหม” แล้วคิดตอนไหนไม่คิด คิดตอนนอน คิดทำไมก็ไม่รู้ คิดแล้วหยุดไม่ได้ พอหยุดไม่ได้ก็นอนไม่หลับ วันรุ่งขึ้นจะทำงานเลยไม่มีแรงทำงาน แทนที่จะได้อะไรเลยไม่ได้เรื่องได้ราวเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก็ระมัดระวังหน่อยนะ
ฝนตกมากก็น้ำท่วม ตกน้อยก็เรียกว่าแล้ง ไม่ตกเลยก็เรียกว่าแล้ง ชีวิตเราก็เหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับฝน ถ้ามีมากเกินไปเราก็หาเรื่องลำบากตัว คิดมาก รักมาก ทุกข์มาก โกรธมาก กลุ้มมาก ใช่ไหม (ใช่) เอาแบบน้อยๆ ดีไหม (ดี) ไม่คิดเลยได้ไหม(ไม่ได้)
ฉะนั้นเห็นฝนเห็นฟ้าร้องก็อย่าลืมหันมามองตัว อะไรมันมากเกินไปไหม หรือน้อยเกินไปหรือเปล่า อย่าลืมรักษาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วชีวิตจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม จะอยู่ข้างๆ ตัวเราเสมอ ขอเพียงรู้จักยินดีในความเป็นปกติสุขของชีวิต นี่คือสุขที่สุดแล้ว มีร่างกายครบก็ดีหนักหนาใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ไม่มีเรื่องกลุ้มใจก็ยิ้มได้ วันนี้มีเรื่องกลุ้มใจก็ยังยิ้มได้ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวเดี๋ยวลงไปได้กินกับข้าว มีความสุข สุขง่ายๆ ทุกข์ยากๆ ทำให้เป็นสิ แล้วชีวิตนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากในการที่จะดำรงและมีและเป็นอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับนักเรียนที่ถามคำถามท่าน)
ยังไม่ได้ตอบปริศนา คำถามมีอยู่ในคำตอบ สิ่งที่เห็นหรือไม่เห็นต้องถามตัวเรา เห็นแต่ไม่มี มีแต่ไม่เห็น โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ ที่มีก็คือที่เห็น ที่ไม่มีก็คือไม่เห็น แต่บางครั้งเราเห็นและมีก็กลายเป็นไม่มีได้เหมือนกันจริงไหม (จริง) สิ่งที่เห็นว่ามี แท้จริงก็คือไม่มี สิ่งที่ไม่มีแท้จริงก็คือความมี เรากำลังพูดสับสนในตัวเองไหม ท่านคิดให้ดีๆ เหมือนวันนี้ท่านก็สามารถเป็นปราชญ์คนหนึ่ง สามารถมองเห็นทั้งสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ไม่เห็น และสามารถมองเห็นสิ่งที่เห็นสิ่งที่ไม่เห็นให้เห็นได้ เช่นเวลาเรามองคนๆ หนึ่ง เราเดาไม่ออกหรอกว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร เราไม่รู้หรือว่าจะเอาอะไรมาเสริมและทำให้เรามองเห็นคนๆ นี้ให้ชัดยิ่งขึ้น เหมือนการดำเนินชีวิต เราทำอย่างไรถึงจะราบรื่น ทำอย่างไรถึงจะมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ามัวแต่หาภายนอกจนลืมหาคุณค่าภายใน คุณค่าภายในที่มนุษย์ควรจะรักษาและมีอยู่คืออะไรรู้ไหม ทรัพย์สมบัติภายนอกไม่สู้ทรัพย์สมบัติภายใน ทรัพย์สมบัติภายนอกหาก็ยากเก็บก็ยาก แต่คนก็ยังอยากมี แต่ทรัพย์สมบัติภายในไม่ต้องหา ไม่ต้องจดยังไงก็มี อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเองใช่หรือไม่
แล้วทรัพย์สมบัติภายในคืออะไร
(ความคิดและปัญญาที่อยู่ภายใน,ผู้บำเพ็ญพัฒนาตนเองให้เข้าสู่สภาวะที่สูงสุด) คำพูดสวยไม่ใช่คำพูดที่กลั่นออกมาจากใจ
(จิตใจที่ดีงามและจิตใจที่เป็นพุทธะอยู่เดิม, ความเมตตา การกระทำ ความจริงใจทุกอย่างต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน) เรารู้แต่สมบัติภายนอก แต่สมบัติภายในรู้ไหมว่ามีอยู่
(นอกจากศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว การเคารพบูชาในสิ่งที่ควรเคารพคือบิดา มารดาเป็นต้นและเทพทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า) ท่านเคารพไม่สู้กับการปฏิบัติให้ได้ดั่งที่ท่านเคารพนะ(ปฏิบัติไม่ได้ ได้แต่บูชาอย่างเดียว) ปรบมือให้กับความกล้าหาญในการยอมรับหน่อยนะ มนุษย์หลายคนพูดได้แต่ทำไม่ได้ พอทำไม่ได้แล้วไม่ยอมรับด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่นักเรียนท่านนี้รู้ว่าทำไม่ได้ แต่กล้าที่จะยอมรับ แต่อย่าหยุดอยู่แค่นั้น ลองพยายามดู อย่าลืมว่าหนทางลำบากนั้นสบาย หนทางสบายนั้นคือความลำบาก ถ้าวันนี้ท่านปล่อยปละกับชีวิตไปเรื่อยๆ ท่านก็คือคนที่เดินไปสู่ความลำบากนั่นเอง แต่ถ้าวันนี้ท่านยอมลำบากก่อน เข้มงวดกับตัวเอง ท่านก็คือผู้ที่เดินไปสู่ความสบาย
(ทำให้นิ่งจิตของเราจึงจะเกิดสมาธิ ใจไม่นิ่งสมาธิก็ไม่เกิด)
พยายามมีสติอยู่กับปัจจุบัน แล้วเราจะสามารถรักษาความนิ่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สมบัติคือจิตใจ) แค่จิตใจเป็นสมบัติหรือ สมบัติคืออะไรล่ะ (ความดีคือทรัพย์สมบัติภายใน) ความดีคือการกระทำเช่นไร (คือการทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดีกว่าคำสอน, สมบัติคือความดี, ให้รักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม, ความดีเปรียบเหมือนสมบัติที่ไม่มีวันหมดไป, สมบัติภายในได้แก่จิตใจที่มีความเอื้ออาทร พอเพียง, คือการพูดดี คิดดี ทำดี, ความจริงใจ, การทำจิตใจแน่วแน่กับสิ่งที่ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้คนที่ตอบทุกคน)
ไม่มีผลแต่ได้ดอกไม้เอาไหม ให้ไปตกผลเองดีไหม (ดี) เอาดอกเดียวหรือเอาทั้งตะกร้า (ดอกเดียว) ดอกไม้ก็แทนความสดชื่นได้ อิ่มใจแต่ไม่อิ่มท้องนะ
สมบัติภายในคือ การที่พยายามทำให้ทุกชีวิตไม่มีทุกข์ และพยายามช่วยขจัดทุกข์ให้ทุกชีวิต นี่คือสมบัติภายในทำได้หรือไม่ (ทำได้) ทำให้ทุกชีวิตไม่มีทุกข์ไม่เป็นตัวต้นเหตุที่สร้างทุกข์ให้กับชีวิตใดๆ แล้วพอเห็นใครเป็นทุกข์เราก็พร้อมที่จะไปช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้ นี่แหละคือสมบัติภายในของตัวเรา บอกว่าทำดีนึกไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำอย่างไรให้เขามีสุขล่ะ นั่นคือ สมบัติภายในของตัวเรา บอกว่าทำดีนึกไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่) ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) วันไหนไม่เคยกอดแม่ วันนี้ลองไปกอดดู วันไหนไม่เคยพูดหวานๆ กับผู้มีพระคุณลองไปพูดดู วันไหนไม่เคยเอาใจคนในบ้านลองนึกเอาใจดู เริ่มจากภายในแล้วค่อยสื่อสารไปภายนอก เริ่มต้นจากหัวใจเราแล้วค่อยออกไปสู่ผู้คน
วันนี้แค่นี้ก่อนนะ เสียดายที่เรายังให้กลอนไม่จบ มีโอกาสคงกลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ ขอให้รักษาโอกาสนะ เรามีโอกาสก็อยากมาผูกบุญกับท่านแต่เสียอย่างเดียวท่านไม่ค่อยรักษาโอกาสเมื่อเจอหน้าเราเลย พอถามว่ามาฟังธรรมะไหม (ไม่เอา) แต่พอบอกว่าไปเที่ยวไหม (เอา) อย่างนั้นวันนี้ก็ถือว่าเหมือนมาพักผ่อนนะ
วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
เห็นแก่ที่บำเพ็ญอยู่นี้ ถึงไม่มีทิ้งทวนสวนใคร ถึงผิดที่เรามีของใคร โต้ไปไยยิ้มคือบำเพ็ญ
รู้หมดสิ้นจะดินจะฟ้า ทุกเรื่องในสายตานี้ชัดเจน ทุกข์อยู่เรื่อย
แต่ยังยิ้มเป็น ก็บำเพ็ญชัดเจนขึ้นไป
แต่ยังยิ้มเป็น ก็บำเพ็ญชัดเจนขึ้นไป
* หน้าไม่ยิ้มไม่แย้มไม่น่าชม หน้าบึ้งขมมะระยังจะอาย ขอให้ยิ้ม
ยิ้มกันเข้าไว้ ชอบไม่ยิ้มตาเขียว (ตาแข็ง) คนเบื่อดู
ยิ้มกันเข้าไว้ ชอบไม่ยิ้มตาเขียว (ตาแข็ง) คนเบื่อดู
เขาชอบศอกบอกเราบ่อยครั้ง เหมือนโชคยังล้อมเราเอ็นดู ยิ้มจนแห้งก็ยังน่าดู แค่อยากดูยิ้มใครที่จากใจ (ซ้ำ *)
ชื่อเพลง : ยิ้ม
ทำนองเพลง : รักไม่รู้ดับ
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง (小笑佛童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะทุกท่านสบายดีไหม
ทุกสิ่งต่างมีคุณโทษในตัว ยึดดีไว้เกี่ยวทั่วแต่ตัวฉัน
มองที่เรื่องแค่ไหนจ้องโทษกัน เป็นคนดีร้ายนั้นอย่าเป็นใจ
สว่างมืดต่างใจเช่นชอบชังมี ต่างอยู่ร่วมได้นี้สัทธรรมกว้างใหญ่
ราตรีทั่วสว่างด้วยผู้เห็นธรรมใน มายาจากเกิดหนึ่งใจเห็นตายตัว
กิเลสถ้วนโลกีย์ทั้งรูปนามไม่มี ศูนย์จากหนึ่งมีดั่งไร้ไม่สลัว
แม้ครองหมดทั่วเช่นนั้นยังกลัว เพราะจริงแท้หล้านี้ตนจักรพากแล
อัตตายึดมาตลอดจนยากปล่อยวาง ใจแบ่งรักชังขวางภาพจริงแท้
ปัญญากล้าทวนจริงใจฝึกรู้แพ้ จิตยากแจ้งรู้ชนะแพ้ไม่เป็น
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญต้องพร้อมที่จะลำบากและเสียสละ ถ้ามัวแต่ยังยึดมั่นถือมั่นตน เห็นแก่ตัวเองแล้วจะไปช่วยใครได้ แล้วเมื่อไรจะปล่อยวางตัวตนได้เสียที หากเรายังมัวแต่ห่วงตนยึดมั่นถือมั่นก็จะทำให้ทุกข์มาก เพราะมีรูปจึงเกิดเงา เพราะมีหูจึงมีเสียง เพราะมีตัวตนจึงมีทุกข์ การบำเพ็ญจะต้องปล่อยวางตัวตน ให้มองเห็นตัวตนน้อย และเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ในขณะที่เรามีทุกข์แล้วช่วยผู้อื่น ในขณะที่เรามีทุกข์แล้วช่วยผู้อื่นก็จะสามารถลืมทุกข์ของตนเองได้
หาเจอไหมพุทธะอยู่ไหน อยู่ด้านหน้าหรืออยู่ด้านหลัง หรือว่าอยู่กลางใจของท่าน ถ้าใจมีพุทธะ อยู่ที่ไหนก็มีพุทธะ แต่ถ้าใจมีความคิดร้าย อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนคิดร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ใจเรามีพุทธะ แล้วเห็นพุทธะในตัวเองบ้างไหม (เห็น) เห็นหรือ รู้สึกเห็นแต่ความมืด ใช่ไหม (ใช่)
หัวใจเราแบกไปด้วยอะไรมากมาย บางครั้งก็ต้องรู้จักปล่อยออกไปบ้างใช่ไหม (ใช่) ชีวิตนี้เราแบกโน่นแบกนี่ ทุกวันหยิบกระเป๋ามาได้ก็เดินๆ เคยตรวจดูในกระเป๋าไหมว่า ในกระเป๋ามีอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็นบ้าง (เคย) แต่นานๆ ทีใช่ไหม (ใช่) รู้อย่างเดียว พอหิ้วกระเป๋าเสร็จ ก็เดินไปแล้ว พอลองเอากระเป๋าไปชั่ง หนักเหมือนกันนะ ใช่ไหม (ใช่)
อะไรที่ควรจะแบกไว้ต่อไป และอะไรที่ควรจะเอาออกไป บางทีเราแบกไว้แล้วนะยิ่งแบกก็ยิ่งทุกข์ยิ่งรู้สึกว่าเจ็บปวด แต่ทำไมเรายังสร้างกรงขัง ขังหัวใจให้แบกสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราไม่ปล่อยมันออกบ้าง
เราเคยหันดูหัวใจเราบ้างไหม เหมือนหันกลับมาเปิดกระเป๋าดูบ้างไหม กระเป๋าดูง่าย แต่หัวใจดูยากหรือเปล่า (ยาก) เราเคยมีเวลาดูใจของเราหรือเปล่า มัวแต่ไปดูใจคนอื่น ใช่ไหม (ใช่) แต่ไม่เคยดูใจตัวเองถูกหรือเปล่า (ถูก) ใจเขาไม่เคยมีฉันเลย แต่ก็มีแต่ขยะในใจใช่หรือไม่ ขยะที่เป็นของเขาที่มีเต็มหัวใจเราไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรามาศึกษาธรรมะก็เพื่อหวนกลับมาดูแลจิตใจของตัวเราเองให้เป็น และนำพาชีวิตของเราให้ถูกต้องถูกทาง เมื่อเรานำพาหัวใจ จิตใจ ร่างกาย และชีวิตได้ การจะนำพาผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้เรายังนำพาตัวเองไม่เป็นแถมยังคิดจะไปหาเรื่องนำพาคนอื่นอีกใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นลองหันกลับมาดูใจแล้วถามใจสิว่า ตอนนี้อยากเอาอะไรออกไป
(เอาความทุกข์ออกจากใจ, เอาความห่วงออกจากใจ, เอาความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ออกจากใจทุกเรื่อง, เอาเรื่องไร้สาระออกจากใจ, เอาความกังวลออกจากใจ) พูดแล้วเอาออกจริงๆ นะไม่ใช่ยังกองอยู่นะ
(เอาการงานออกจากใจในสามวันนี้) เอาความกังวล เอาความเครียดออกจากใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเชื่อว่าทุกท่านมี มีกันทุกคนด้วย ไม่เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่มีขยะอยู่ในใจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่าลืมนะ ถ้าขยะพอเก็บมากๆ มันเหม็น แล้วหน้ามันบูด บูดแล้วหน้ามันไม่สวย จะไปอัพหน้ายังไงมันก็อัพไม่ขึ้น เพราะใจมันหมองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราต้องพยายามเอาออก ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ในการที่เสียเงินอัพหน้ามา
(ความเห็นแก่ตัว) อะไรที่ทำให้เราแขวนไว้แล้วทำให้เราทุกข์
(ความอยากได้อยากมี, ความโกรธ ความโลภ ความหลง) แล้ววันนี้ถ้าเอาออกแล้วฉันจะไม่อยากอะไร ฉันจะไม่โกรธอะไรใช่หรือไม่ และไม่มีอะไรที่ฉันจะหลงอีกต่อไปใช่หรือไม่
เราถามท่านหน่อยนะ ถ้าเรานั่งอยู่อย่างนี้ดีๆ แล้วมีคนตบเรา โกรธไหม หรือเดินอยู่ดีๆ มีคนมาตีที่แขน โกรธไหม (งง) งงด้วยโกรธด้วย ใช่ไหม (ใช่) แล้วถามจริงๆ มีสัตว์ตัวไหนบ้างไหม ที่เดินมาบอกว่า “ฆ่าฉันเลย ฆ่าฉันเลย ฉันยอมตาย ทุกตัวเรายิงเขาตอนเผลอทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเวลาใครทำท่านตอนเผลอ ท่านแค้นไหม (แค้น) ไม่มีสาเหตุอะไรเลย แต่อยู่ๆ ก็มาฆ่าฉัน แต่ยุงสิ อยู่ๆ เราตบเขาเลย ใจเขาใจเรานะ ฉะนั้นเวลาโดนใครตบโดยที่ไม่มีสาเหตุ สมแล้วล่ะ จริงไหม (จริง) บางคนอยากลองเพียงเพราะว่าสะใจที่ได้ทดสอบความแม่นยำของหนังสติ๊ก ยิงเสร็จก็บอกว่าสมควรแล้ว ดังนั้นอย่าถามว่าทำไมเราจึงโดนแบบนี้ แต่ต้องถามว่าเพราะเราไปทำอะไรมา เราถึงได้โดนแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังนั้นมองอะไรให้มองให้ถึงที่สุด ดูอะไรให้ดูจนถึงสุดท้าย อย่าดูแค่สั้นและอย่าดูอย่างลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าในห้องนี้มีใครยอมรับว่าตัวเองผิดบ้าง แล้วในคนที่ผิดมีใครยอมรับว่าตนเองเลวร้ายบ้าง (ไม่มี) ต่างกันตรงไหน คนที่ผิดไม่ใช่คนที่เลวร้ายหรือ บางทีผิดแต่ก็ยังมีดีใช่หรือไม่
คนผิดก็ต้องยอมรับผิด แม้จะถูกว่าเลวว่า ว่าเลวร้ายก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หัวใจเรารู้ว่าเราเลวร้ายจริงแบบที่เขาพูดหรือไม่ เคยได้ยินไหมว่า ยอมรับการประณามหยามเหยียดชั่วครู่หนึ่ง แต่จิตใจเช่นนั้นกลับเป็นจิตใจที่ประเสริฐนักแล เหมือนพระพุทธองค์ที่ท่านนับถือ ถูกเขาใส่ไคร้ก็ไม่ตอบโต้ ไม่เถียง ไม่ต่อว่า ไม่แอบหนีด้วย ยังอยู่ที่ตรงนั้น รอความจริงปรากฏชัด ส่วนบางคนพอเจอความจริงก็หนีอย่างเดียว หนีตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างนั้นได้หรือไม่ เราหนีไม่ได้หรอก หนีก็หนีได้แค่ช่วงหนึ่ง ถึงเวลาเราก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง การบำเพ็ญธรรมคือการที่สอนให้ท่านรู้ว่า ยืนอยู่บนความเป็นจริงด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญ เรามาศึกษาธรรมเพื่อสอนให้ท่านรู้ว่าความเป็นจริงเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญและฟันฝ่าให้ได้ ไม่ใช่เรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อหนีความจริง เข้าใจนะ (เข้าใจ)
ฉะนั้นศึกษาบำเพ็ญธรรม ไม่ง่ายนัก พร้อมหรือไม่ (พร้อม) แค่นั่งฟังธรรมสามวันนี้ ก็ยังนั่งได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหนทางที่ดีมักจะลำบากเสมอ แต่สุดท้ายคือความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การนอนสบายตีพุงอยู่บนบ้าน ไม่อย่างนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปนอนตีพุงไม่ลงมาดีกว่า ลงมาแล้วเดี๋ยวก็คนขอนั่นขอนี่ ไม่รู้จะให้อย่างไรแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เอาสิ่งที่ไม่ดีออกหมดหรือยัง (ความเกียจคร้าน, ความมุ่งมั่น, ความรักความห่วงลูกหลาน, ความไม่เบียดเบียนผู้อื่น, ความเห็นแก่ตัว, เอาความฟุ้งซ่านในจิตใจออกไป, โรคภัยไข้เจ็บ, ความชั่วและความโลภ, ความกังวลและความเครียดที่ผ่านมาและที่ยังมาไม่ถึง, ความไม่เข้าใจตนเอง, เป็นคนไม่รักษาคำพูด, ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน)
(ความง่วง) จริงนะเขาพูดได้ถูก เพราะชีวิตเรามีแค่ตอนนี้ขณะนี้ สิ่งที่ต้องขจัดออกไปจากหัวใจทำให้เราไม่สบายใจและเป็นทุกข์มากที่สุด ก็คือง่วง นั่งอย่างไรก็ง่วง ความกังวลอื่นๆ จึงไม่มีประโยชน์เพราะยังไม่เกิดขึ้น ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเราต้องเอาชนะใจตรงนี้ให้ได้มากที่สุดและไวที่สุด แล้วเราจะได้ประโยชน์จากการนั่งฟังตรงนี้ได้มากที่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะท่านอุตส่าห์เสียเวลามาสองวันแล้ว ฉะนั้นได้อะไรบ้างนิดหน่อยก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ชอบไม่ยิ้มตาเขียวคนเบื่อดู”
บางทีเจอเรื่องยากๆ เจอเรื่องลำบากลองยิ้มไว้ก่อน แล้วคนก็อยากจะเดินมาช่วย เพราะเจอเรื่องดีไม่ดีก็ยิ้ม หัวใจที่ยิ้มยากเอาออกไปก่อนก็ดีนะ ใช่ไหม เป็นหัวใจที่ยิ้มง่าย มองโลกให้กลับมาสดใสเหมือนเดิมได้ไหม (ได้) อายุยังน้อยเรายังเชื่อ แต่อายุมากๆ ต้องถามหน่อยว่าโลกสดใสไหม
ท่านตอบว่าอะไร (ความกลัว) พออายุมากแล้วใครๆ ก็กลัวทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ยากที่จะให้เผชิญความจริง เพราะถึงที่สุดแล้วมนุษย์เราก็คือการมีชีวิตเพื่อเดินไปสู่ความตาย เวลาแห่งชีวิตคือเวลาแห่งความตาย ทุกวันก็คือวันที่เราตายไปหนึ่งวันนะ ฉะนั้นอย่ากลัวความตาย แต่จงพร้อมที่จะเข้มแข็งและเผชิญหน้ากับการตายอย่าง (มีความสุข) ใช่ไหม (ใช่) เพราะถ้าเรามีความทุกข์กับความตายเราจะยิ่งทรมานใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จงมีความสุขแล้วก็ยิ้มสู้ แล้วจะทำให้เรามีสติเข้มแข็งที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ได้อย่างคลี่คลาย
ไม่เชื่อเรา ไม่เคารพเรา เราไม่ว่านะ แต่วันนี้ลองฟังสิ่งที่เราพูดบ้างสักนิดได้ไหม (ได้) เรารู้ว่าบางคนก็ยังรู้สึกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อดี ไม่เป็นไรไม่ผิดเพราะทุกเรื่องต้องมีสิ่งที่เชื่อดีหรือไม่เชื่อดีทั้งนั้น เพราะในสิ่งที่จริงกับสิ่งที่ปลอมบางทีเราแยกกันไม่ออก และยิ่งในโลกปัจจุบันนี้ของจริงกับของปลอมปนเปกันจนบางทีเราก็สับสน ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนที่จะปฏิเสธไปทั้งหมด ลองฟังสักนิด ดูให้เห็นเต็มที่ มีตาก็ใช้ตาให้เต็มที่ มีหูก็ใช้หูให้เต็มที่ มีหัวใจก็คิดพิจารณาให้เต็มที่ เมื่อทำจนเต็มที่แล้วเราจะปักใจว่าไม่เชื่อก็ไม่ผิด เพราะเราได้ทำเต็มที่แล้ว ดีกว่ามีตาแต่มองไม่เห็น แล้วก็ไม่ใช้ให้เต็มที่ ถึงเวลาก็จะมาเสียใจทีหลัง แล้วตอนนั้นก็คิดว่าทำไมไม่ดูให้เต็มที่ ฉะนั้นมีตา มีหูก็ใช้ให้เต็มที่ มีใจก็ใช้พิจารณาให้เต็มที่แล้วจะเชื่อไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ท่าน เราไม่ว่า
ฟังธรรมะศึกษาธรรมะย่อมทวนกระแสแห่งความรู้สึก ใช่หรือไม่ (ใช่) เหนื่อยอย่างไรก็ต้องทน เบื่ออย่างไรก็ต้องฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทวนร่างกายก็ต้องทวนจิตใจด้วย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม โดยถ้าท่านบอกให้นั่งก็ให้ยืน ถ้าท่านบอกให้ยืนก็ให้นั่ง)
ความจริงแล้วอยู่ในโลกนี้ประมาทไม่ได้สักชั่วขณะหนึ่ง ประมาทหนึ่งครั้งชีวิตเราก็อันตรายไปหนึ่งครั้ง พอผิดพลาดไปครั้งหนึ่งแล้วเราจะแก้กลับมาก็ยาก เพราะสายน้ำก็ไม่เคยไหลกลับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทำอะไรขอให้มีสติคิดให้ทัน ตามให้ทัน
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนศึกษาธรรม หรือดำเนินชีวิตแล้วอยากจะหนีไปให้พ้น หรือสิ่งที่ทุกคนอยากจะเอาออกจากใจ แล้วให้ใจสบายสดชื่นแจ่มใส นั่นก็คือ ความทุกข์กังวล แล้วเราคิดว่าทุกข์มาจากไหน (ใจเราเอง) ทุกข์มาจากใจ แล้วใจเป็นอย่างไรจึงเกิดทุกข์ (ใจที่มีกิเลส, ใจที่วุ่นวาย, ใจที่ไม่ยึดติด, ใจที่กังวล) ใจที่กังวล ใจที่คิดว่าเราจะไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นหวย ไม่เที่ยวดึก เราจะไม่ขับรถไวด้วยความประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่) เพื่อนชวนดื่มหนึ่งแก้วเอาหรือไม่ (ไม่เอา) หากเราเดือดร้อน ชีวิตเราไม่ใช่เราเดือดร้อนคนเดียว แล้วคนอื่นจะไม่ได้รับผลกระทบ คนที่ทุกข์หนักก็คือคนที่รักเราที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ใจเป็นทุกข์เพราะใจยังมีหนี้อยู่) ทุกอย่างที่มนุษย์ทุกคนชอบ และเจอกันบ่อย ก็คือใจที่ไม่รู้จักพอ เมื่อไรที่ไม่รู้จักพอ เราจะมีวันหนึ่งที่เราได้ไม่คุ้มเสีย เคยหรือไม่ที่ทำแทบตายเพื่อจะให้ตนเองมีความสุข ตัวเองสบาย แต่กลายเป็นยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ เพราะความไม่รู้จักพอนี่เอง เราจึงได้ไม่คุ้มเสีย ถูกหรือไม่ (ถูก)
(ใจที่แพ้ใจตัวเอง, ใจที่ว้าวุ่นกับเรื่องต่าง, ใจที่ยึดติด, ใจที่ไม่สงบ, ใจที่ไม่รู้จักปลง, ความคิดที่ทำให้ใจเราทุกข์, ใจที่ไม่ดี, ใจที่วุ่นวาย, ใจที่แพ้ใจตัวเอง, ใจที่ไม่สามารถรวมเป็นหนึ่ง) ใจที่ไม่สามารถรวมเป็นหนึ่ง คอยแตกแยกตลอดนะ
(ใจที่อยากได้แต่ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ใจที่อยากจะเป็นอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้เป็นก็เป็นทุกข์ ใจที่ไม่อยากไปเป็นอะไรแล้ว ต้องเป็นก็เป็นทุกข์) ตอบได้ดีนะ จริงหรือไม่ (จริง) บางทีเราทุกข์เพราะว่าไม่อยากได้ แต่กลับได้ แล้วถึงเวลาน่าจะได้กลับไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจเราชอบเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราเผชิญ อย่างนั้นเราจะแก้สิ่งเหล่านี้อย่างไรดี
ทุกข์อีกอย่างที่เราต้องเจอก็คือ ไม่สามารถมีปัญญาแยกแยะเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องอดทนยอมรับ หรือว่าพยายามฟันฝ่าให้ดีขึ้น โลกนี้มีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือแก้ไขไม่ได้ กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อดทนนิดหนึ่งฟันฝ่าไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้วเราจะแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ใช่ไหม (ใช่)
แล้วอะไรในโลกที่จะทำให้เรามีปัญญาแยกออกว่า เมื่อทุกข์อันนี้มาเราต้องนั่งเฉยๆ แล้วอดทน ยอมรับชะตากรรม หรือทุกข์เรื่องนี้มาเราต้องไม่อดทนแล้ว เราต้องรีบมุ่งฟันฝ่ากล้าหาญเดินต่อไป ปัญญาอะไรที่จะทำให้เรารู้ได้ แล้วปัญญาที่ทำให้เราต้องเจอเรื่องทุกข์แล้วเราต้องอดทน ขอให้เป็นจิตใจที่อดทนแล้วไม่สูญเสียหัวใจไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ปัญญาที่ทำให้เราสามารถสู้กับเรื่องนี้แล้วฟันฝ่าต่อไป ก็ขอให้เป็นปัญญาที่เข้มแข็งและกล้าหาญที่จะเดินฝ่าออกไปให้รอดด้วย
แล้วท่านว่าทุกข์สองอย่างในโลกนี้ ทุกข์อันไหนที่เราควรจะอดทนแล้วก้มหน้ารับ แต่จิตใจต้องเข้มแข็ง (ทุกข์ใจทุกข์กาย) ทุกข์ใจต้อง (อดทน) ทุกข์กายต้อง (เข้มแข็ง) ฟันฝ่าต่อไปใช่หรือไม (ใช่) ตอบได้ดีนะ อย่างเช่นการเจ็บป่วยนี้ถือเป็นเรื่องทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางกายแล้วอย่าให้ทุกข์ทางใจ ถ้าทุกข์กายด้วย ทุกข์ใจด้วยหายไหม (ไม่หาย)
แล้วอะไรที่ทำให้เราทุกข์ใจบ่อยๆ (ความไม่สมหวัง, ทุกข์ของพ่อแม่) ทุกข์ของพ่อแม่เป็นทุกข์ที่เราต้อง (รักษา) ช่วยกันแก้ไขแล้วทำให้พ่อแม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ใกล้ๆ ท่านปลอบประโลมท่าน ยิ้มให้ท่านบ่อยๆ นะ
ทุกข์เพราะไม่มีเงิน เป็นทุกข์ที่ต้องอดทน นั่งทำตาปริบๆ อดทนๆ หรือว่าเป็นทุกข์ที่ต้องฟันฝ่า แล้วพยายาม (ต้องฟันฝ่า) เราต้องมีปัญญาแยกให้ออกว่าทุกข์นี้เราจะรอเงินให้ตกมาจากฟ้า หรือเราจะเข้มแข็งฟันฝ่า พยายามอดทนอย่าเกียจคร้าน แล้วเราแยกออกไหม
เวลาเราทำผิด เราควรจะอดทนหรือเราควรจะแก้ไขดี (แก้ไข) ต้องทั้งอดทนและแก้ไข อดทนต่อคำต่อว่า และพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น
ทุกข์ในความต้องการที่มากเกินจำเป็น เป็นทุกข์ที่เราควรจะ
ปล่อยวาง ควรจะหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปล่อยวาง ควรจะหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ทุกข์เพราะร่างกายสังขาร) ทุกข์เพราะร่างกายสังขาร ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรที่จะดูแลตัวเราเองดีๆ ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต
(ทุกข์เพราะไม่ได้ดั่งหวัง, ทุกข์เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น) แต่ก็ยังอดหยุดอยากไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่เราไม่ปล่อยวางความอยาก เมื่อนั้นเรากำลังสร้างกรงขังให้ตนเองอยู่กับความทุกข์ไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์รู้เหตุแห่งทุกข์และรู้วิธีดับทุกข์แต่หยุดตัวเองไม่ได้ ดั่งคำว่า “สร้างสรรค์เป็นแต่หยุดไม่เป็น” ใช่ไหม
(ทุกข์จากความเกียจคร้าน, ทุกข์จากการถูกกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย, ทุกข์ที่เกิดจากความกังวล, ทุกข์เพราะชนะใจตัวเองไม่ได้, ทุกข์เพราะความไม่เข้าใจตัวเอง, ทุกข์เพราะเราคิดว่าทุกข์, ทุกข์เพราะเวรกรรม, ทุกข์เพราะพ่อแม่ญาติพี่น้อง) ทุกข์เพราะพ่อแม่ญาติพี่น้องบางครั้งถ้าเราช่วยไม่ได้ เราก็ต้องยอมปล่อยวางแล้วก็บอกเขาไปว่า “ช่วยได้แค่นี้จริงๆ” อย่าเอาเขามากลุ้มกังวลด้วย
(ทุกข์เพราะความอยากได้ ไม่พอเพียง, ทุกข์เพราะปฏิบัติกับพ่อแม่ไม่ดี, ทุกข์เพราะความเจ็บป่วย, ทุกข์เพราะความหมกมุ่นและตัดใจไม่ได้สักที) แล้วเมื่อไรจะตัดใจได้สักที (ทุกข์เพราะตนเองทำผิดพลาดและไม่ได้ดั่งที่หวัง, ทุกข์เพราะความอิจฉาริษยา)
ทุกข์มีหลายแบบดังที่เราบอก แต่ท่านต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะให้ออกว่าทุกข์ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นทุกข์ที่เราต้องอดทน ยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นผู้แพ้หรือเปล่า มนุษย์ไม่อยากเป็นผู้แพ้ แต่บางครั้งชีวิตสอนให้เราต้องรู้จักแพ้ให้เป็น แพ้อย่างผู้ที่ไม่เสียกำลังใจ แต่ได้ความเข้มแข็งกลับมา อยู่ในโลกนี้อย่าเป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว แต่ต้องเป็นผู้แพ้เป็น บางครั้งยอมแพ้เพื่อให้เขามีความสุข ถ้าเขาอยู่กับเราไม่สุขเราก็ต้องปล่อยเขาไป แม้ว่าเราจะต้องเจ็บปวดใจก็ตาม ฉะนั้นเราต้องกล้าหาญที่จะยอมรับความเป็นจริงในโลกใบนี้ แม้บทเรียนในโลกนี้จะมีทั้ง มีด ค้อน ขวาน และหมอนนิ่มๆ ใช่หรือไม่
มีวิธีแก้ทุกข์อีกวิธีหนึ่งสนใจไหม ยอมรับความทุกข์คือความสุข เพราะมนุษย์รู้สึกแบ่งแยก เพราะรู้สึกว่าทุกข์คือสิ่งที่น่ารังเกียจ สุขคือสิ่งที่น่าชื่นชมใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพอมีทุกข์มาเราก็เลยยิ่งทุรนทุราย แต่ถ้าเมื่อใดเราสามารถยืดอกรับว่าทุกข์ก็คือสุข สุขก็คือทุกข์ เราจะมีสติรับกับสิ่งที่แม้จะเป็นปัญหาก็สามารถฟันฝ่าไปได้อย่างพบสุขในบั้นปลายถูกหรือไม่ (ถูก) ดังนิทานเรื่องหนึ่ง มีนกกาตัวหนึ่งบินมาหิวน้ำมากๆ บินมาตั้งไกลทะเลก็กินน้ำไม่ได้ จะหาน้ำสักนิดก็หาไม่เจอ จนแล้วจนรอดไปเจอน้ำในเหยือกเก่าๆ เหยือกหนึ่ง ดีใจๆ เจอน้ำแล้วๆ แต่ปรากฏว่าพอก้มลงไปในเหยือกน้ำ มีน้ำอยู่ก้นเหยือก คอเราก็สั้น มือเราก็ไม่มี คอก็แห้งแทบตาย แล้วจะกินน้ำอย่างไร เหมือนเวลาเราเจอทุกข์ โน่นก็ลำบาก นี่ก็ไม่ได้ โน่นก็ไม่ดี แต่ชั่วครู่คิดๆ ว่า “อย่างน้อยตอนนี้ พอจะมีทางรอดแม้จะริบหรี่ก็ตามต้องฟันฝ่าให้ได้ ต้องเอาน้ำมากินให้ได้ก่อนที่จะต้องตายอยู่ตรงนี้ ไม่ยอมหรอก นกกาทำอย่างไรรู้ไหม คีบเอาหินทีละก้อนๆ มาใส่เหยือก จนได้ดื่มน้ำในเหยือก ฉันใดก็ฉันนั้น เวลาเจอทุกข์ แม้จะเป็นหนทางสว่างแค่ริบหรี่ ขอเพียงพยายามทีละนิดๆ เราอาจจะเจอหนทางที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องคีบหลายก้อน แต่ผลสุดท้ายของความพยายามและการไม่ยอมแพ้ปัญหาก็คือความสบายในที่สุด การได้ดื่มน้ำในที่สุด ชีวิตก็เหมือนกันอย่าให้เป็นแค่นิทานที่เอาไว้สอนเด็กแต่ลืมสอนตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามจริงๆ นะว่าในโลกนี้คนทุกคนรักสุขแต่เกลียดทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากได้สุขแต่อยากตัดทุกข์ทิ้ง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราอยากเจอแต่หน้าไม่เจอหลังเป็นไปได้ไหม เราเลือกสิ่งหนึ่งและตัดทิ้งสิ่งหนึ่งได้ไหม เพราะอะไรล่ะ เพราะสิ่งๆ นั้นก็คือสิ่งเดียวกัน ทุกข์ก็คือสุข สุขก็คือทุกข์ แต่เพราะอะไร เราถึงไม่สามารถมองเห็นสองสิ่งให้เป็นสิ่งเดียวกันได้ (ปัญญายังไม่มี) ปัญญาน่ะมี แต่เพราะธรรมชาติของโลกใบนี้มักมีสิ่งที่แตกต่างอยู่เสมอ แต่สิ่งที่แตกต่างนี้เอื้ออาศัยซึ่งกันและกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ มีสูงก็ต้องมีต่ำ มีดีก็ต้องมีชั่ว มีใหญ่ก็ต้องมีเล็ก มีชายก็ต้องมีหญิง ฉะนั้นในความแตกต่างนี้ ถ้าเรายึดมั่นกับการเปรียบเทียบ เราก็จะเห็นว่าอันนี้เยอะกว่า ใหญ่กว่า ดีกว่า อันนี้เล็กกว่า น้อยกว่า ต่ำกว่า เมื่อใดที่เรายึดมั่นความเปรียบเทียบ เมื่อนั้นเราจะเห็นสิ่งหนึ่งมีคุณค่า สิ่งหนึ่งด้อยคุณค่า แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยวางการเปรียบเทียบ ทุกสิ่งก็เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรสูง ไม่มีอะไรต่ำ หรือเป็นกลางนี่เอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอดไม่ได้ เห็นอย่างนี้ยิ่งอดเปรียบไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นที่เกิดสุขและกลายมาเป็นทุกข์ก็เพราะว่า อย่างนี้ต้องเรียกว่าสุข ตรงกันข้ามคือทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ยึดมั่นว่าสิ่งนี้คือสุขจะมีทุกข์ไหม ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเราไม่คิดว่าอย่างนี้คือเยอะอย่างนี้จะเรียกว่าน้อยไหม
ฉะนั้นทุกข์สุขเกิดจากการเปรียบเทียบและแบ่งแยกอย่างยึดติด ถ้าหัวใจเราไม่เปรียบเทียบแบ่งแยกอย่างยึดติด ทุกข์และสุขจะทำให้เราเจ็บปวดไหม (ไม่เจ็บปวด) แต่หัวใจของทุกคนมักจะชอบแบ่งแยก อันนี้คือสิ่งที่ฉันชอบอันนี้คือสิ่งที่ฉัน (ไม่ชอบ) พอมีสิ่งที่ชอบ อะไรที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ชอบก็จะรู้สึกรังเกียจ ทั้งที่จริงๆ แล้วชอบกับเกลียดก็คือสิ่งเดียวกัน เหมือนนิทานเรื่องหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่กับต้นหญ้าเล็กคุยกัน ต้นหญ้าเล็กบอกว่า “เป็นต้นไม้ใหญ่ดี ท่านแผ่ร่มเงาให้สรรพสัตว์อาศัย ไม่เหมือนฉันมีแต่คนอยากจะเหยียบ ย่ำ ขยี้ แล้วก็ดึงทิ้ง” ต้นไม้ใหญ่บอกว่า “ช่วยไม่ได้เธออยากเกิดมาเล็กเอง” คราวนี้ต้นไม้ใหญ่ก็ยิ่งภูมิใจ แผ่ขยายกิ่งก้านยิ่งขึ้นๆ คนที่ได้รับผลกระทบคือ (ต้นหญ้า) พอต้นไม้ใหญ่แผ่ขยายมากขึ้น ต้นหญ้าเล็กไม่ได้รับแสงแดดก็เหี่ยวเฉาตาย มีวันหนึ่งฝนตกหนัก มีอะไรเกิดขึ้นรู้ไหม (ต้นไม้ใหญ่ก็ล้ม) เพราะว่าเล็กก็มีคุณค่าของเล็ก ใหญ่ก็มีคุณค่าของคนใหญ่ ไม่ว่าเล็กหรือไม่ว่าใหญ่ ฉะนั้นทุกๆ สิ่งในโลกเกิดขึ้นมาได้ สำเร็จขึ้นมาได้ ไม่ใช่เกิดจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่งแต่ต้องเป็นทุกคนร่วมกัน ทุกสิ่งร่วมกัน เราถึงจะเกิดและเจริญเติบโตได้ คนทุกคนล้วนเกิดจากทุกสรรพสิ่งที่รวมตัวกันจึงทำให้เรามีตัวตนเช่นนี้ แล้วถึงที่สุดทุกคนก็ต้องกลับไปสู่ที่เดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราจะเกลียดกันทำไม เราจะแบ่งแยกกันทำไม สรรพสิ่งให้ความแตกต่างแต่ไม่ได้สอนให้มนุษย์ยึดติด เมื่อมนุษย์แบ่งแยกและยึดติดจะทำให้เรามองสรรพสิ่งอย่างไม่เป็นจริงและลำเอียง ไม่สามารถเป็นกลางได้เลย ฉะนั้นพอจะเข้าใจว่าทุกข์มาจากไหนหรือยัง (การแบ่งแยกยึดติด)
เมื่อโลกยังมีความแตกต่างมนุษย์ก็เลยยังอดไม่ได้ที่จะมีสายตาแบ่งแยกถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่ในความแบ่งแยกเราต้องรู้จักมองให้เห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วจะทำให้เราถึงแม้จะเกลียดแต่ก็แยกแยะเป็นว่าเขาก็มีดี ถึงแม้ว่าจะเห็นเขาดีแต่ก็แยกแยะออกว่าเขามีอะไรน่ารังเกียจ เพราะการคิดอย่างนี้จะทำให้เราไม่หลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกินไป และไม่โกรธจนไร้เหตุผล ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ารู้จักฟังจะได้อะไรไปเยอะนะ แต่ถ้าเอาแต่เบื่อก็น่าเสียดายจริงๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)
การปล่อยตามใจตัวเองเสมอก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้เหมือนกัน อย่างนั้นเราเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคน ภรรยาคนหนึ่งเป็นภรรยาแก่ อีกคนเป็นภรรยาสาว ในความรู้สึกของคนที่เป็นสามีก็อยากจะเอาใจภรรยาก็เลยต้องแบ่งเวลา วันนี้อยู่กับคนนี้ อีกวันก็ไปอยู่กับอีกคน ใครขออะไรก็ตามใจ เพื่อจะได้ไม่สูญเสียทั้งสองคน แต่ความที่เขามีภรรยาสองคน ภรรยาคนสาวก็อิจฉาภรรยาคนแก่ ภรรยาคนแก่ก็อิจฉาภรรยาคนสาว ทำอย่างไรดีให้สามีอยู่กับเราแล้วไม่ไปหลงอีกคนหนึ่ง พอถึงเวลานอน หากสามีมีผมเส้นไหนที่เป็นผมขาว เวลามาอยู่กับภรรยาสาวจะถูกดึงออกให้หมด “สามีฉันจะได้ดูหนุ่มตลอดเวลา” ส่วนเวลาที่อยู่กับภรรยาที่เป็นคนแก่ ผมเส้นไหนที่ทำให้ดูเป็นคนหนุ่ม ก็จะถูกดึงออกให้หมด ผลเป็นอย่างไร (ไม่มีผม) เรื่องนี้ให้อะไรกับท่านรู้ไหม ท่านรู้ว่ามีทุกข์ไม่ดี รู้วิธีแก้ทุกข์ แต่ก็อดรักพี่เสียดายน้องไม่ได้ ถึงเวลาก็เลยเสียตลอดเวลา เสียใจ เสียความรู้สึก เสียอารมณ์ เสียเงิน เสียเวลาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอย่าปล่อยตามใจตัวเอง บางครั้งต้องรู้จักทวนกระแสจิตใจของตัวเองดูบ้างนะ
เมื่อไรยังยึดติด อันนี้ฉันชอบ อันนี้ฉันเกลียด อันนี้ฉันรัก อันนี้ฉันไม่รัก เมื่อนั้นท่านก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้สึกว่าอันนี้ฉันก็ได้ อันนี้ฉันก็ทนไหว อันนี้ฉันก็รับได้ เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งได้อย่างเป็นกลางและเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรที่ทำให้เราต้องทุกข์ เราทุกข์เพราะรัก เพราะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่อยากเปลี่ยนแปลงให้เป็นสิ่งที่ตัวเองหวังใช่ไหม (ใช่) ถ้าเมื่อไรมนุษย์พยายามยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองมี ย่อมประเสริฐกว่ามนุษย์ที่พยายามรับในสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างคำว่า “ยอมรับสิ่งที่เป็นก็จะไม่ลำเค็ญที่ใจ” อย่ามัวแต่สนใจในสิ่งที่หวัง ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับเรื่องๆ หนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งไปรีดนมวัวมาได้ถังหนึ่ง พอรีดเสร็จก็เอาวางเทินไว้บนศีรษะ แล้วก็เดินไปคิดไปว่า ถ้าเอาที่รีดได้ไปขาย “ถ้าฉันขายได้นะ ฉันจะเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ฉันจะเอาเงินไปแต่งตัว ฉันจะเอาเงินไปเที่ยวกับคนนั้น เที่ยวกับคนนี้ เดี๋ยวไปทำแบบนั้น เดี๋ยวไปทำแบบนี้” แล้วหญิงสาวก็เกิดสะดุด ฝันสลายเพราะอะไร (เพราะนมหก) เพราะเราไม่ยอมอยู่กับปัจจุบันความเป็นจริง มัวแต่วาดฝันอนาคตเลยไม่ยอมทำตอนนี้ให้ดี กลายเป็นคนที่ประมาทกับปัจจุบันเลยทำให้สูญเสียอนาคต เหมือนเรานั่งตรงนี้ไม่เป็นสุขเลย กลับบ้านดีกว่า อยู่บ้านสบายกว่า นั่งตรงนี้เลยสุขไม่ออก ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ฉะนั้นทำปัจจุบันให้ดีนะ เพราะเวลาและชีวิตของท่านคือมีแค่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้นมหกแล้วฝันสลาย แล้วตอนนี้ก็ไม่มีความสุขด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานชื่อเพลง “ยิ้ม”)
บำเพ็ญให้ยิ้มมาจากใจ แม้จะโดนว่าก็ยังยิ้มใสๆ ออกมาได้ คนที่อดทนแล้วสามารถยิ้มได้กับทุกเรื่องราว คนนั้นคือคนที่บำเพ็ญหัวใจได้ดีมากๆ โดนว่าก็ยิ้ม แต่ไม่ใช่ยิ้มแบบไม่มีความสุข ขอให้ยิ้มด้วยความเข้าใจว่า “อ้อ เขาเป็นห่วงนะ” “เขาหวังดีนะ ไม่ห่วงเราเขาก็ไม่บ่นหรอก” ไม่สนใจก็ไม่เอามาอยู่ในสายตาหรอก มีแต่จะบอกให้ไปไกลๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นยิ้มให้ได้กับทุกเรื่องทุกราว
มะระขมอย่างไรยังต้องกลืนได้ อ้อยหวานอย่างไรยังต้องคายทิ้ง ฉะนั้นอย่ากลัวที่จะต้องเจอความยากลำบาก ความสุขสบายมีแต่จะทำให้เราทุกข์ ทำให้เราพลั้งผิดได้ง่ายกว่าความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเคยได้ยินไหมว่า คับที่อยู่ได้ แต่คับใจอยู่ยาก ถึงแม้สภาวะแวดล้อมดี แต่หากหัวใจเราไม่สู้ก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือหัวใจเราไม่เอา ดีอย่างไรเราก็อยู่ไม่ได้ ฉะนั้นความอบอุ่นของจิตใจก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในครอบครัว ทำไมครอบครัวเราไม่มีสุข เพราะใจเราไม่มีสุข ที่ครอบครัวเราอยู่แล้วทำไมร้อนรุ่ม เพราะหัวใจของเราร้อนรุ่มด้วยหรือเปล่า เราไม่ยอมปล่อยวาง เราไม่ยอมทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ้มนั้นใครๆ ก็ยิ้มได้ แต่ยิ้มออกมาจากใจ ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่เคืองโกรธ ไม่แอบตัดพ้อต่อว่า ไม่แอบน้อยใจ นั้นหายาก ยิ้มที่สดใส คงไม่ยากเกินไปที่เราจะยิ้มได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทำอย่างไรให้เรามีสุข ใครตอบได้ให้รางวัล แล้วก็ทำให้คนรอบข้างได้สุขของเราด้วย เราฝึกฝนบำเพ็ญอย่าคิดถึงแต่ตัวเองนะ แต่ให้รู้จักคิดถึงตัวเองและมีผลประโยชน์เกื้อกับผู้อื่นด้วยดีไหม (ดี)
คิดไปทางบวกจะได้สวยข้างนอกสวยข้างใน (ความจริงใจ,พูดให้กำลังใจตัวเอง,ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง, ทำอะไรทำด้วยใจจริง, ช่วยเหลือผู้อื่นในยามทุกข์, มีปิยะวาจา, รักใครรักด้วยใจจริง, ทำใจให้เป็นกลาง) ฉะนั้นต้องไม่แบ่งรักชังมากเกินไปนะ (ให้มากกว่ารับ, การช่วยเหลือคนอื่นแล้วเห็นคนอื่นมีความสุขเราก็มีความสุข)
(การให้อภัยซึ่งกันและกัน)
(รู้จักรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง)
(รู้จักการให้) การให้เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องดูผู้รับด้วย ถ้าให้บ่อยเกินไปก็กลายเป็นทำให้เขาเสียนิสัย จะกลายเป็นเราสอนให้เขาเป็นคนรับเป็นอย่างเดียว แต่เสียสละไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการให้ต้องรู้จักให้อย่างมีคุณค่าและให้อย่างพอเหมาะพอควร
(ให้อภัย) ให้อภัยผู้อื่นน่าจะให้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ให้ความบริสุทธิ์ใจกับคนอื่น) ให้ความบริสุทธิ์ใจยังไม่ต้องให้กับคนอื่นหรอก ให้กับพ่อแม่ก่อนนะ
(ทำตัวเบิกบานสนุกสนาน) แต่อย่าเบิกบานเพราะเหล้านะ
(ให้ทาน) ให้ทานก็มีสุข ผู้ชายทำได้ง่ายนิดเดียว คือไม่พูดปด เป็นคนซื่อตรง ไม่กินเหล้าเมายา แค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนรักเดียวใจเดียว รักษาให้ได้ ใจเดียวแต่ตาเหล่ซ้าย เหล่ขวา ไม่ดีนะ
(ทำดีต่อตนเองและผู้อื่น) เริ่มต้นที่ครอบครัวก่อนดีหรือไม่
(ทำตามใจของตนเอง และไม่ทำให้คนอื่นมีความทุกข์) มีใครบ้างไหมที่ตามใจตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นมีความทุกข์ ฉันอยากร้องเพลงฉันก็ร้องดังลั่น แน่ใจหรือว่าคนอื่นไม่รำคาญ ถึงว่าคนไทยถึงมีคำพูดว่า “ตามใจได้คือไทยแท้” คนไทยชอบตามใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ระวังจะหัวล้านนะ จำนิทานเรื่องที่เราเล่าให้ฟังได้หรือไม่ คนนี้เราก็ตามใจ คนนั้นเราก็ตามใจ ตัวเราเราก็ตามใจ แล้วเราเหลืออะไร บางครั้งต้องดูด้วยว่ารู้จักให้ แต่หากการให้แล้วทำให้เสียนิสัย เราก็ต้องเลือกที่จะให้ด้วย เหมือนตามใจตัวเราเอง หากตามแล้วเรากลายเป็นคนเสียนิสัย ใครขัดใจไม่ได้ อย่างนี้ควรตามใจหรือไม่ (ไม่ควร) ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมแกะลูกอมส่งต่อๆ ไป)
ส่งไปอย่างไรต้องกลับมาอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ถูกไหม เกิดมาแล้วไป แล้วกลับมาไม่ค่อยเหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นลองดูนะว่าส่งไปแล้วจะกลับมาเหมือนเดิมหรือว่าเยินยิ่งกว่าเดิม แถวไหนช้าที่สุดแถวนั้นเต้นทั้งแถว ความเป็นมนุษย์ที่ยากที่สุดก็คือไม่สามารถรักษาสิ่งเดิมๆ ให้เหมือนเดิมได้ใช่ไหม (ใช่) เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเปลี่ยนแปลงเรายังมีสิ่งหนึ่งที่รักษาได้นั่นคือจิตใจอันดีงามใช่หรือไม่ ถึงเราจะอยู่ในโลกของความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรรักษาให้อยู่กับตัวเราเสมอคือ จิตใจอันดีงามที่มีมาแต่เดิมแท้ จิตใจอันบริสุทธิ์ที่มีมาแต่เดิมแท้ ฉะนั้นไปอย่างไรกลับอย่างนั้น
เรานั่งฟังอย่างนี้เราได้รับอะไรเยอะแยะใช่หรือไม่ (ใช่) มีผู้ปฏิบัติงานธรรมช่วยยกข้าว น้ำ เคยเดินไปดูคนยกน้ำส่งผ้าทำครัว เคยเดินไปแล้วบอกขอบคุณเขาบ้างไหม (เคย, ไม่เคย) เรามักจะบอกท่านบ่อยๆ ว่าที่ไหนที่มีคนสบายแปลว่าที่นั้นต้องมีคนลำบาก ฉะนั้นวันไหนที่เราสบายเราต้องหันไปมองและขอบคุณคนที่ยอมลำบากแทนเราบ้างนะ (นักเรียนกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา) ไม่เป็นไรครับ ขอให้ท่านยิ้มได้เราก็พอใจแล้ว กลัวแต่เพียงยิ้มไม่ออก ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นอ่านกลอนบนกระดานพร้อมๆ กันและเมตตาอธิบายกลอน)
ได้คำว่าอะไร “ความเป็นหนึ่งเดียว” เคยได้ยินไหมว่า “โลกเป็นเอกภาพจึงเกิดสันติสุข” ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นคือจุดประสงค์ของการศึกษาอนุตตรธรรม หรือวิถีของอนุตตรธรรม มนุษย์พูดบอกว่า “ให้โลกนี้เป็นหนึ่งเดียวเป็นสิ่งที่ยากใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอยากจะบอกว่าแท้จริงแล้วโลกนี้เป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่ไหน จนกระทั้งตอนนี้โลกก็เป็นหนึ่งเดียวตลอดมา แต่หัวใจของมนุษย์กลับไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวได้ ยังติดอยู่ในความแตกต่างและยึดมั่นในการแบ่งแยก จึงไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้สักที
“ทุกสิ่งจากหนึ่งนี้ ใจตน
หวังเพิ่มเป็นมากล้น ยิ่งสร้าง”
มนุษย์มาจากศูนย์ ศูนย์แล้วมีหนึ่งใช่ไหม พอหนึ่งแล้วเราก็ต่อสอง สาม สี่ ห้า หก แต่ที่สุดของการต่อสอง สาม สี่ ห้า หก ก็กลับมาหนึ่งแล้วก็ศูนย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเคยไหมที่มีตั้งเยอะแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่มี มีเงินตั้งเยอะแต่ไม่มีสักที (ใช่) แต่พอวันไหนไม่มีกลับรู้สึกมี ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนที่เราให้นี้เลย ทุกสิ่งจากหนึ่งนี้ใจตน และอยากที่จะมีมากล้น แล้วเราก็สร้างไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีแล้วเราไม่สุขมันก็เหมือนไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดมีแค่น้อย แต่เรารู้สึกเราสุขใจนั่นก็คือมีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่ใจแล้วก็ต้องจบที่ใจถูกหรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์ทุกคนตัดทุกข์หวังสุขเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
“ตัดทุกข์คงสุขไว้ ไม่มี
เหมือนกับต่างล้วนหนึ่งนี้ เกี่ยวไว้
ข้างหน้ากับข้างหลังเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) ก็เพราะมีรูปจึงเกิดเงา เพราะมีลิ้นจึงเกิดรส เพราะมีหูจึงเกิดเสียง เพราะมีตัวมีตนจึงเกิดทุกข์ เมื่อใดที่เราปล่อยวางความยึดมั่น ปล่อยวางตัวตน ทุกข์จะไปอยู่ที่ไหน ใจนี้คืออะไร ใจนี้จริงๆ แล้วไม่มีเลยนะ แต่มนุษย์ใส่นิสัยใส่อารมณ์ ใส่ความเป็นตัวตนลงไปใช่หรือไม่ จึงเกิดเป็นตัวตนและที่ให้ทุกข์อยู่ แต่ถ้าใจนี้เราอะไรก็ได้ ไม่มีการปฏิเสธ และไม่มีการรับ ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะสามารถมองเห็นได้อย่างเป็นจริงและหัวใจเราจะเป็นกลาง แต่ถ้าเมื่อใดเรามี “ดี รัก ชัง” หมายความว่า เมื่อไหร่ที่บอกว่า “อันนี้ฉันเกลียด อันนี้ฉันชอบ” สิ่งที่เราบอกว่าเกลียดเราจะไม่มีทางเห็นความเป็นจริงแท้ถูกไหม (ถูก) ท่านว่าจริงไหม สิ่งที่ท่านชอบท่านจะไม่สามารถเห็นความเป็นกลางได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นหนึ่งเกิดจากถ้วนทั่วโลกีย์ ตัวเราเกิดจากสรรพสิ่ง สรรพสิ่งทำให้มีหนึ่ง แล้วหนึ่งก็คือสรรพสิ่ง ในโลกนี้มีอะไรไหมที่ไม่เกิดจากหนึ่งก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อมีอย่าลืมนะว่า อะไรในโลกที่เรียกว่ามี ที่เห็นอยู่นี้ก็ไม่มี ถึงที่สุดมองให้สุดของตัวเรา มองให้สุดของใจเรานั่นก็คือความว่าง และตอนนี้เรากำลังหาอะไรใส่อะไรลงไปในความว่าง และเรากำลังทุกข์กับความว่างใช่หรือไม่ (ใช่)
เรากำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่เป็นมายาถูกหรือไม่ (ถูก) เราเจ็บปวดกับเขา เขาไม่ใช่มายาหรือ มายาเป็นสิ่งที่มีรูปลักษณ์และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ มองให้ดีๆ แล้วเราจะรู้ว่าแท้จริงไม่มีอะไรที่น่ารักและไม่มีอะไรที่น่าชัง ถึงที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนต้องกลับไปสู่ความว่างเปล่า แต่ช่วงที่กำลังจะเดินกลับไปสู่ความว่างเปล่า เราสามารถทำให้หัวใจแบกภาระแล้วบริสุทธิ์สดใส มีรอยยิ้มในหัวใจได้ไหม แบกอะไรที่ทำให้เราสามารถเป็นสุขและกลับคืนได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่คุณงามความดีหรือที่แบกเท่าไรเราก็ไม่เคยรู้สึกหนักสักที แต่ถ้าแบกอย่างยึดมั่นถือมั่นก็ต้องหนักเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่) เหมือนมีใครมาชมว่าดี ฉันต้องดีๆ พอโดนใครด่า ว่า รับไม่ได้ไม่อยากฟังเพราะฉันเป็นคนดี ถูกไหม (ไม่ถูก) คนดีต้องกล้ารับคำติและคำชม ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นวันนี้คงแค่นี้ ให้ยาวไหม ไม่สั้นและไม่ยาว ทั้งได้และไม่ได้ ใช่ไหม ทุกสิ่งมีที่มาแล้วก็มีที่ไป อย่าสงสัยว่าเรากลับไปไหน แต่น่าจะถามตนเองว่าท่านมีที่ไปหรือยัง พอเราจะกลับอยากรู้ใหญ่เลยใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ามัวแต่มอง อย่ามัวแต่ห่วงคนอื่น ห่วงตนเองบ้าง แต่ก็อย่ามัวแต่ห่วงตนเองจนไม่สนใจคนอื่น ไม่ได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านขึ้นชื่อว่าผู้ฟังธรรมะมาสามวันแล้วอย่ากลับไปแล้วโดนเขาว่า “ฟังมาตั้งสามวันแล้วไม่ได้อะไรเลย ยังเหมือนเดิมอยู่อีก” ขายหน้านะ ฉะนั้นมีดีแบบไม่โชว์ดีกว่า เขาจะว่าเราไม่ได้ เก่งขนาดไหนก็อย่าบอกว่าตนเองเก่ง ไม่อย่างนั้นจะโดนเขาว่าโง่ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญต้องรู้จักเก็บงำความฉลาด รู้จักเปิดเผยความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมาให้มากๆ แล้วจะดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
เดินตามเราไม่ง่ายเลยนะ กว่าจะไปถึงที่สูงเหลือไม่กี่คนทุกที พอถึงแล้วก็เหลือไม่กี่คนทุกทีที่อยู่ได้ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากกลับลงไปสู่นิสัยเดิมเหมือนเดิมทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญก็คือ การเข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ขัดเกลาตัวเอง ไม่มีเวลาไปขัดเกลาใคร
วันจันทร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ทำอะไรไม่คิดหน้าไม่คิดหลัง อารมณ์ช่างทำลายได้ทุกสิ่ง
โพธิสัตว์ตัวศิษย์เองเมตตายิ่ง รู้ตนจริงอย่าปล่อยตัวตกต่ำลง
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนเป็นโรคใจหรือเปล่า
ฟังธรรมะสามวันแจ้งมากขึ้น ปฏิบัติใจให้ใสขึ้นนะศิษย์เอ๋ย
ละกิเลสความโลภอันคุ้นเคย อย่าละเลยเรียนธรรมะชำระใจ
สำรวมตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ให้ได้
เพียรพยายามเป็นผู้สูงส่งไว้ เพื่อเข้าใจต้องลงทุนศึกษาธรรม
ดูศิษย์แล้วอาจารย์คงมีหวังอยู่ หวังศิษย์สู้พิจารณาใจอยู่ย้ำย้ำ
กลับไปทำในสิ่งที่ศิษย์ควรทำ ชีวิตล้ำค่านักอย่ามองเมิน
ฟังอะไรก็ให้ลองไปทำดู ยิ่งทำจะยิ่งรู้ไม่ขัดเขิน
คนจะยิ่งก้าวหน้าเพราะยิ่งเดิน ศิษย์อย่าเพลินกับชีวิตอนิจจัง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมที่อยู่ชั้นล่าง ผู้ร่วมฟัง ผู้ปฏิบัติงานธรรม)
การที่จะมีความวุ่นวายในใจให้น้อยลงเราจะต้องจำกัดการดูทีวี การคุยโทรศัพท์การพูดคุยกัน ครึ่งหรือชั่วโมงหนึ่งโดยที่ไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับธรรมะเลย ทำกันบ่อยไหม ทำอย่างนี้บ่อยๆ ยิ่งเราทำอย่างนี้บ่อยๆ จิตใจของเราจะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว ตาเราก็ต้องสำรวม ใจเราก็ต้องสำรวม การกระทำของเราก็ต้องสำรวม เพราะฉะนั้นนับประสาอะไรกับแค่คุยโทรศัพท์นานๆ ดูทีวีเป็นชั่วโมงๆ นับประสาอะไรกับการคุยกันในเรื่องไร้สาระนินทากาเลกันเป็นชั่วโมงๆ เรื่องเหล่านี้เราก็ควรจะบั่นให้มันน้อยลงๆ จริงหรือไม่ (จริง) หากว่าศิษย์คนใดทำได้ความสงบก็จะคืนมาสู่จิตใจทีละนิดๆ ชอบอ่านข่าวไหม (ชอบ) ดูละครชอบไหม (ชอบ) แทบจะกินทีวีเป็นอาหารอยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักที่จะจำกัดตัวเองให้ดี จำกัดภายนอกมาจำกัดภายใน จำกัดภายในเราจะไม่รู้สึกอึดอัดกับภายนอก ทุกวันนี้อึดอัดกับโลกภายนอกมาก เพราะว่าเราไม่เคยจำกัดจิตใจของเราให้ดี เมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรม ตั้งใจที่จะมีความสุขอันแท้จริง เราจึงจำเป็นที่จะต้องหัดจำกัดใจ จำกัดคำพูด จำกัดความคิด จำกัดการกระทำของเราลง เหลือทำแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ใครบ่นใครว่าต้องฟังไหม เราควรจะฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด แต่ไม่ควรจะรู้สึกมาก ให้มีความรู้สึกเหลือน้อยที่สุด ถ้าทำได้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะสิ่งที่ศิษย์รู้สึก ควรตัดทิ้ง โดยเฉพาะความรู้สึกพอใจมากเท่าไรต้องตัดสิ่งนั้นเป็นสิ่งแรก
(พระอาจารย์เข้ามาให้โอวาทกับนักเรียนในชั้น)
คนที่อยู่ข้างล่างโดนให้เต้นเหนื่อยหรือว่าผู้ดำเนินรายการข้างบนเหนื่อย ใครเหนื่อยมากกว่ากัน เราเหนื่อยหรือเขาเหนื่อย เราก็ทำตามที่เขาบอก เราเป็นคนที่เขาบอกให้เราเต้นอย่างนี้ เต้นอย่างนั้นเรากับคนที่นำอยู่ข้างหน้าใครเหนื่อยกว่ากัน วันนี้ทำไมถึงบอกว่าเขาเหนื่อยกว่า เพราะว่าเรากับเขาไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นเขาทำโน่น ทำนี่ทำนั้นเพื่อเรา เราบอกว่าเขาเหนื่อยใช่หรือเปล่า (ใช่) .ส่วนคนที่อยู่ที่บ้านก็เหมือนคนเมื่อครู่นี้ เรารู้จักกับแฟนเราเป็นการส่วนตัว แล้วเวลาที่เขาบอกว่าให้เราทำโน่น ทำนี่ทำนั่นเราบอกว่าใครเหนื่อย (เรา) เราก็พูดว่า “เราเหนื่อยนะ” ถามว่าแฟนเราพูดว่าอะไร เขาจะพูดว่า “เขาเหนื่อยกว่า” ถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นโลกนี้มีแต่คนต้องการคนเห็นใจทั้งนั้นจริงหรือเปล่า (จริง) เพราะฉะนั้นเรากลับออกไปแล้วเราต้องเห็นใจทุกๆ คน เราจะได้ไม่เป็นโรคดีหรือไม่ (ดี) เรากลับไปเห็นใจใครบ้าง (พ่อแม่ พี่น้อง) ไม่มีแฟนเลย เห็นไหมว่าแค่คนที่เราพูดก็ไม่มีแฟนเราอยู่แล้ว อย่างนั้นจะแต่งงานทำไม ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวได้เพราะมีเราและมีสามีหรือภรรยาใช่หรือไม่ ส่วนที่ต้องมีความสุขที่สุดของเราคือ ที่บ้านของเราเองถูกหรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วส่วนที่มีทุกข์ที่สุดของเราอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านของเราเหมือนกัน เพราะว่าเราทำใจไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ทำใจกับนิสัยบางอย่างไม่ได้ ทำใจกับคนบางคนไม่ได้ ทำใจกับเรื่องที่เจอบางเรื่องไม่ได้ ฉะนั้นเราเลยกลายเป็นผู้ที่มีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์กับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเปล่า และความสุขกับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่ ความทุกข์กับความสุขอะไรมาบ่อยกว่ากัน (ความทุกข์) ความทุกข์มาบ่อยกว่าแสดงว่า ความทุกข์เป็นของที่แน่กว่า เป็นของเที่ยงกว่าถูกหรือไม่ (ถูก) เราทำใจรับความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) แล้วรู้ไหมว่าวิธีการทำให้เกิดความสุขคืออะไร (เอาชนะใจตน, ยอมรับความทุกข์ที่เกิดขึ้น) พูดง่ายไหม ทำยากไหม (ยาก) พูดง่ายทำยาก แต่ว่าถูกไหม (ถูก) พูดง่ายทำยากแต่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำไม่บ่อยเราก็ทำไม่ได้ ถ้าหากว่าเราทำบ่อยๆ เราก็ทำได้
ความสุขนั้นเกิดขึ้นที่ไหน ความสุขนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เรานั้นทำใจได้หรือหมดทุกข์ไปแล้ว พูดมาทั้งหมดทั้งสิ้นนี้แปลว่า ความสุขอยู่สุดปลายทางของความทุกข์นั่นเอง แปลว่าเราต้องมีทุกข์ก่อนแล้วเราจึงจะมีสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าให้ยืนนานๆ พอได้นั่งก็มีความสุข ถ้าหากว่านั่งนานๆ ให้ออกไปเดินหน่อยก็มีความสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นความสุขอยู่สุดปลายทางของความทุกข์
ตอนนี้ทุกคนมีความทุกข์หมุนเวียน มีความทุกข์นอนด้วย มีความทุกข์กินด้วย มีความทุกข์อยู่ในใจตลอดเวลา ทุกคนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเรามีความทุกข์เล็กๆ สมมุติว่าเรามีความทุกข์เล็กๆ นิดเดียวเราบอกว่า ทุกข์จังเลย ทุกข์นี้ไม่ทำให้สูญเสียเงินทอง ไม่ทำให้สูญเสียสิ่งใดไปเลย แต่เรามีความทุกข์ เราก็มองว่ามันเป็นทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว แต่ความทุกข์ใหญ่กำลังมาเป็นความทุกข์ที่เรานั้นเสียเงินด้วย เสียใจด้วย เสียเวลาด้วยใหญ่กว่าไหม (ใหญ่กว่า) ตอนแรกความทุกข์เล็กๆ ทำให้เราเสียใจ แล้วก็ถอนหายใจจนไม่รู้จะถอนหายใจอย่างไร เบื่อไหม (เบื่อ) ความทุกข์เล็กๆ รับไม่ได้ พอความทุกข์ใหญ่เข้ามาทำให้เสียเวลา เสียใจ เสียเงินด้วย แล้วความทุกข์เล็กๆ เรารับได้ไหม (ได้) ความทุกข์ที่ทำให้เราแค่เสียใจ หงุดหงิดใจรับได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นคนเราจะหมดทุกข์ก็เพราะว่ามีทุกข์ถูกหรือไม่ (ใช่) ตอนนี้มีทุกข์อยู่ เป็นทุกข์เล็กๆ ที่ทำให้เสียใจต้องรอให้ทุกข์ใหญ่มาไหมถึงจะทำใจกับทุกข์เล็กนี้ได้ (ไม่ต้อง) ตอนนี้มีเรื่องเสียใจหรือเปล่า (ไม่มี) แน่ใจหรือเปล่า ทุกคนที่นั่งอยู่นี่มีเรื่องเสียใจ เสียใจกับลูก เสียใจกับแฟน เสียใจกับบ้าน เสียใจกับเรื่องที่เราไม่คิดว่าจะเจอเลยชีวิตนี้ ทำไมต้องมาทำให้เราเสียใจด้วยใช่ไหม (ใช่) บางความทุกข์ใช้เวลาแค่ชั่วโมงหนึ่งหาย บางความทุกข์ใช้เวลาแค่ครึ่งวันหาย บางความทุกข์ใช้เวลาสามวันหาย บางความทุกข์ใช้เวลาห้าวัน หนึ่งปี ห้าปี สิบปีหาย หรือมากกว่านั้น แต่ความทุกข์นั้นจะไม่หมดไปเลยถ้าเราไม่รู้จักทำใจใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการที่มนุษย์ “ลืม” เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า ไม่ชอบโรคขี้ลืมหรือเปล่า (ไม่ชอบ) ไม่ชอบโรคขี้ลืม แต่ว่าก็ลืม ใส่แว่นตาไว้ที่ตาหาแทบตายแว่นตาอยู่ไหนใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้ก็เลยไปยิงเลเซอร์ ไม่ต้องหาแว่นตาเลย เสร็จแล้วการที่จะสวยหน่อยใช้เงินเท่าไหร่ (เป็นหมื่น) เสร็จแล้วอยากจะได้เงินหมื่นทำอย่างไร อยากจะได้เงินหมื่นต้องหาด้วยกำลังถึงสองหมื่นแล้วจะได้เงินหมื่นหนึ่ง ตอนนี้อยากได้เงินกี่ล้าน ถ้าเราอยากมีเงินหนึ่งล้านเราต้องลงแรงกายถึงเท่าไหร่ (สองล้าน) ถ้าเราอยากจะเป็นเศรษฐีสิบล้าน เราต้องใช้กำลังเท่าไหร่ (ยี่สิบล้าน) กำลังกายศิษย์ดีไหม (ไม่ดี) ศิษย์เป็นคนแข็งแรงหรือเปล่า (ไม่แข็งแรง) ไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองแข็งแรงเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีโรคหมด มีโรคเล็กโรคน้อยโรคกวนใจ แล้วก็มีโรคใหญ่ แต่โรคอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับโรคอะไร มีคนบอกโรคทรัพย์จาง โรคอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับโรคอะไร (โรคใจ) อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับโรคใจ ถ้าโรคใจหายร่างกายก็จะดีขึ้น ถ้าโรคใจไม่หายร่างกายดีๆ อยู่ก็ไม่มีแรง โรคใจกับโรคจิตเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) เป็นโรคใจก็พอ ไม่ต้องถึงขนาดต้องเป็นโรคจิตนะ “เป็นโรคใจหรือเปล่า” (เป็น) ถ้าหากว่าบอกว่าตัวเราเป็น เราก็จะเป็น ถ้าหากบอกว่าเราไม่เป็น เราก็ไม่เป็น
เรื่องราวในโลกมีเรื่องอะไรบ้างที่เราไม่รู้ โดยส่วนใหญ่เราจะรู้จนเยอะแยะไปหมดเลยรู้เรื่องของตัวเราเอง เพียงแต่ว่าเราชอบสีอะไร เราคิดอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอะไรเรารู้หมด แต่ว่าใจของเราเป็นอย่างไรตอบถูกไหม (ไม่ถูก) สับสนเหลือเกินถูกหรือไม่ (ถูก)
เรื่องที่เราไม่รู้คือเรื่องของตัวเราเอง ฉะนั้นเราควรที่จะมารู้จักตัวเอง โดยปกติแล้วเราก็รู้จักตัวเองประมาณหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เรารู้จักตัวเองในเรื่องความต้องการที่เราอยากจะมีอยากจะได้ เรารู้หมด แต่เรายังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะไปสู่ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็นและไม่อยากได้
ทุกวันนี้แน่นอนเรามีทุกข์กับความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) เราเห็นคนอื่นเขาเรียบง่าย เราก็อยากเรียบง่าย แต่เรากลับง่ายไม่ลงเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เราก็จะไปสู่ความไม่อยากมี ไม่อยากได้ ได้สำเร็จ
บางคนไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้รู้เรื่องธรรมะ ไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่ได้รับคำสั่งสอนจากใครเลย แต่เขาสามารถที่จะเรียบง่ายได้ บวชใจได้ บวชตัวได้ และรู้จักที่จะปล่อยวางเป็น อันนี้คงต้องยกยอดให้เป็นบุญเก่าของเขา แล้วเราล่ะเป็นคนที่มีบุญไหม สังเกตตัวเองปล่อยวางเป็นไหม (ไม่เป็น) คิดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเรานั้นเรียนธรรมะไหม (เรียน) แล้วเรานั้นปฏิบัติธรรมะไหม (ปฏิบัติ) ช่วยเหลือผู้อื่นไหม (ช่วยเหลือ) ช่วยเหลือบางครั้งบางคราว มีบ้าง ไม่มีบ้าง แสดงว่าเป็นคนบุญประเภทมีบ้างไม่มีบ้าง เป็นคนบุญประเภทบางครั้งบางคราวใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราแน่ใจไหมว่าเรานั้นจะกลายเป็นคนมีบุญได้ (ไม่ได้) เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าเป็นคนบุญอยู่เลย ตอนนี้ถามว่าบอกว่ามีบุญไหม บอกว่าไม่มีบุญเสียแล้ว
เหตุการณ์ในโลกมักจะมีคนที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเรา ถ้าเราเป็นคนเดียวในห้องที่ไปอยู่ในสังคมตรงนั้น เราอยากทำความดีเราต้องปรบมือคนเดียว ตรงนั้นไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเราเลย คือไม่มีใครที่จะเห็นชอบ หรือเห็นความดีของเราเลย เราออกแรงมาก แล้วเราก็รู้สึกว่าเราทำความดีเพื่ออะไร เราทำความดีอยู่คนเดียวเลิกดีกว่า
หลายๆ สิบปีนี้เราเลิกทำความดีบางอย่างไป เพราะเรามองคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการมองมีประโยชน์ไหม (มี) เราเอาตาไปมองย่อมมีประโยชน์ ถ้าเราเอาตาไปมองสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ตาก็ไม่มีประโยชน์ทันที เราเป็นผู้เห็น ฟัง รู้ทุกอย่าง แต่ในขณะที่เราไปฟัง ไปรู้เห็น มาทุกอย่าง แล้วเราจะไม่ยอมให้เราเป็นคนเดียวตรงนั้นที่ไม่รู้ เราต้องรู้ทุกอย่าง นี่เป็นนิสัยของศิษย์ เป็นนิสัยของมนุษย์
เราฟังทุกอย่างแต่บางสิ่งก็ไม่มีประโยชน์ เช่นเราฟังคนอื่นนินทาอยู่ ไม่ให้ฟังเรื่องที่เขานินทาคนอื่นพอไหว แต่หากรู้ว่าเขานินทาเราต้องฟังไหม (ฟัง) เราต้องฟังให้ได้เลย ถามว่าเราฟังการนินทาคนอื่น กับฟังคนอื่นนินทาตัวเรา อะไรมีผลมากกว่ากัน (ตัวเรา) ฟังคนอื่นพูดถึงเรา นินทาเรา มีผลต่อเรามากที่สุด เราจะโกรธ เกลียด ไม่ชอบ แล้วเมื่อเราเจอคนที่นินทาเรา เราจะทำหน้าอย่างไร (ทำหน้าไม่พอใจ)
เราไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าคนที่เขานินทาเราเขารู้ไหมว่าเรารู้แล้ว เขาก็ไม่รู้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราชอบใจไหม เราไม่ชอบใจซะแล้ว ถามว่าถ้าหากเรารู้ว่าเขานินทาเรา แต่เราทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีหรือไม่ดี (ดี) หรือถ้าหากว่าเขาไม่ได้โกรธเราแต่เขาเผลอไปนินทาเรา แล้วสมมุติว่าเรารู้เรื่องแล้วเราไปโกรธเขา เราก็กลายเป็นคนที่โกรธกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากเราทำท่าไม่รู้เรื่องแล้วจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่โกรธเรา ดีไม่ดีเขาก็พูดดีกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าทำตัวเป็นไม่รู้เรื่องกับไม่ฟังเลยอันไหนดีกว่ากัน (ไม่ฟังเลยดีกว่า) แล้วทำได้หรือไม่ คนที่ชอบนินทาเราบ่อยที่สุดคือใคร คือคนใกล้ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เสร็จแล้วเราก็เลยมีเปอร์เซ็นต์โกรธกับคนใกล้ตัวมากที่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก) ถามว่าเวลาเราโกรธกับคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นสามี เพื่อน เพื่อนบ้าน ถามว่าเรามีความสุขไหม อยากมีความสุขไหม ต้องทำอย่างไร (ไม่รับรู้ ปิดตาปิดหูปิดปาก) ใช่หรือไม่ วิธีที่ดีและถูกต้องกว่าคือให้รู้จักสำรวมตา มองประหนึ่งไม่มอง สำรวมหู ได้ยินแต่สิ่งที่ควรจะได้ยิน ได้ยินประหนึ่งไม่ได้ยิน และควรสำรวมอะไรมากที่สุด สำรวมปากของตัวเอง พูดแต่สิ่งดีๆ พูดประหนึ่งเราเป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ว่าคนได้ไหม (ไม่ได้) นินทาได้ไหม (ไม่ได้) ให้พูดประหนึ่งโพธิสัตว์ ผู้ชายก็ให้พูดประหนึ่งพระพุทธะพูด บ่นได้ไหม (ไม่ได้) ทำหน้าบึ้งได้ไหม (ไม่ได้) เคยเห็นพระโพธิสัตว์บึ้งหรือเปล่า พระศรีอาริย์ยิ้มหรือว่าบึ้งอยู่ (ยิ้ม) พระศรีอาริย์ยิ้มเรากลับบึ้งอยู่ ไหนยิ้มกว้างๆ ให้เท่าพระศรีอาริย์สิ มานั่งตั้งสามวันแล้วก็มีความสุขมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ก่อนมานี่ทรมานไหม อยากมาไหม (อยาก) ตอนให้มาฟังธรรมะไม่อยากมาเลย รู้สึกห่วงไปหมดเลย ห่วงนั่นห่วงนี่ แล้วก็เป็นทุกข์ไปทุกอย่าง แล้วก็คิดว่าไปฟังธรรมะช่วยอะไรไม่ได้หรอก จริงๆ ธรรมะก็ช่วยศิษย์ได้ ธรรมะสามารถเปิดประตูให้ศิษย์ได้ ธรรมะสามารถนำแสงสว่างลงมาให้ศิษย์ได้ให้ใจที่อับชื้นของศิษย์นั้นมีแสงสว่างรอดลงมา แล้วทำความสะอาดตัวของมันเองด้วยแสงสว่างนั้น ฉะนั้นลูกศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็เหมือนกัน ใจของศิษย์นั้นอับ มืด ชื้น แล้วโทรมกับการปิดกั้น เพราะว่ากลัวโดนหลอก กลัวโดนเอาเปรียบ กลัวโดนที่จะเอาอะไรๆ ของศิษย์ไป วันนี้มาฟังธรรมะไม่มีอะไรสูญเสียไปจากตัวของศิษย์เลย ไม่มีอะไรสูญเสียไปจากใจของศิษย์เลย ธรรมะนั้นช่วยให้แสงสว่างกับศิษย์ เพียงแต่ศิษย์จะมองตามแสงสว่างไปหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับว่า หลังจากสามวันนี้ผ่านไป ศิษย์จะทำให้ใจของตัวเองสว่างอย่างนี้ได้หรือเปล่า หรือว่าศิษย์จะทำให้ใจของศิษย์อับลงเรื่อยๆ อีกครั้ง ขึ้นอยู่กับเรา เพราะว่าเรื่องบนโลกนี้มีอีกมาก ตั้งแต่เรื่องรอบตัว เรื่องนอกตัว เรื่องในตัว เรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นประจำ ความทุกข์ที่คนอื่นมอบให้เรา ความทุกข์ที่เกิดจากข้างในตัวของเราออกมา ความทุกข์ที่เกิดจากความรับไม่ได้ ทนไม่ได้ ทำให้เรานั้นเป็นทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์ต้องการพ้นทุกข์อันนี้หรือไม่ (ต้องการ) หากเราต้องการพ้นทุกข์อันนี้เราไม่จำเป็นต้องหนีไปจากทุกอย่าง ณ วันนี้ในวิธีการบำเพ็ญที่อาจารย์จะสอนศิษย์นี้ ศิษย์ไม่ต้องหลีกหนีใดๆ จากชีวิตศิษย์เลย
ขอให้แฟนศิษย์เป็นคนเดิมและเป็นแฟนคนเดียวตลอดไปด้วย ขอให้พ่อแม่พี่น้อง คนที่น่าเบื่อของศิษย์ก็ยังคงน่าเบื่ออยู่ตรงนั้น ขอให้คนน่ารักของศิษย์ยังคงน่ารักอยู่อย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดรอบข้างที่เปลี่ยนเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนคืออะไร (จิตใจตัวเอง) สิ่งเดียวที่เราต้องเปลี่ยนคือเปลี่ยนจิตใจตนเอง สิ่งนี้จะเปลี่ยนเมื่อศิษย์ยินดี ยินยอมลงแรงและเกิดความเข้าใจธรรมะ ศิษย์จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเอง
วันนี้มานั่งฟังธรรมะเป็นวันที่สาม รู้สึกตัวเองมีความสุขมากขึ้น เพราะได้ฟังสิ่งที่ดีๆ กลับไป จากนี้อีกอาทิตย์สองอาทิตย์เขาเรียกมาใหม่ ตอนนั้นจะทรมานไหม (ไม่)
หลายๆ คนมีความเบื่อ ไม่พอใจเมื่อมีคนมาเรียกเรามาฟังธรรมะบ่อยๆ อาจารย์หวังว่าศิษย์จะไม่เบื่อกับการฟังธรรมะ และคนที่เรียกเรามาฟังธรรมะ ธรรมะต้องฟังบ่อยๆ ไม่ฟังบ่อยๆ เราก็จะลืม นานๆ ฟังทีเหมือนเข้าใจ แต่แท้จริงแล้วเราก็จะไม่เข้าใจ ฉะนั้นธรรมะต้องฟังบ่อยๆ เหมือนกับแสงของตะเกียง ถ้าเราไม่เติมน้ำมันไว้จะจุดติดไหม (ไม่ติด) ถ้าหากว่าเราไม่สนใจ ปล่อยทิ้งไว้จนตะเกียงจะดับ เราต้องทำอย่างไร (เติมน้ำมัน) ตอนนี้ใจของศิษย์สว่างเท่านี้ คราวหน้ามาฟังธรรมะขอให้แสงอย่างมากแค่หรี่ๆ ก็พอ อย่าถึงขนาดต้องจุดตะเกียงใหม่ ได้ไหม (ได้) อย่างมากคือเกือบดับแล้ว แต่อย่าให้ถึงขนาดต้องมาจุดใหม่ เพราะว่าฉุดคราวนี้ยาก เพราะแรงอาจารย์อาจไม่พอ คนที่เก่งมากยิ่งฉลาดมาก เป็นคนดียิ่งมาก ยิ่งฉุดยาก จริงไหม (จริง) เราเป็นคนดี คนเก่ง คนฉลาดไหม (เป็น) อย่างนี้ฉุดยาก เราเป็นคนที่ฉุดยากเพราะว่าเราถือว่าเราดี เราฉลาด เราเก่ง เรานั้นรู้ นั่นเป็นสาเหตุต่างๆ ที่เราฉุดยาก แต่คนที่ดูซื่อๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เขาฉุดง่ายไหม ศิษย์เคยฉุดมาหลายคนแล้ว สอนเขาทำอะไรเขาก็ทำ เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกเขาไปบรรลุพุทธะ เขาก็ไปบรรลุพุทธะแต่ของศิษย์ไปบรรลุพุทธะไหม
เครื่องเสียง อัดเอาไว้ทำโอวาทเพื่อจะได้แจกคนอื่น แต่ที่แจกไปก็ไม่อ่าน เสร็จแล้วให้เตี่ยนฉวันซือไป ก็ไปกองไว้ไม่มีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นหากว่าเตี่ยนฉวันซือท่านไหนเอาไปแล้วไม่แจกก็ไม่ต้องเอาไป ถ้าใครรู้ตัวว่าเอากลับไปบ้านแล้วไม่อ่านก็ไม่ต้องเอาไป จะได้ไม่เปลืองเงินสร้างกุศลของญาติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ประหยัดได้เป็นคุณธรรมชนิดหนึ่ง
กินข้าวหมดจานหรือเปล่า อยู่บ้านกินหมดจานหรือไม่หมด (หมด) กินข้าวกินทิ้งกินขว้างก็กลายเป็นคนไม่มีวาสนา เพราะว่าข้าวเป็นสิ่งที่ฟ้าส่งมาเพื่อให้มนุษย์กินแล้วการที่จะปลูกขึ้นมาได้ต้องใช้ความลำบาก ในเมื่อศิษย์ไม่เห็นความลำบากของผู้อื่น ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนไม่มีวาสนา ถ้าหากศิษย์คิดว่าศิษย์หามาแล้วศิษย์มีสิทธิ์ใช้ทุกๆ อย่าง อย่างนั้นบุญกรรมของศิษย์ก็จะหมดไปเรื่อยๆ เพราะว่าเรานั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เราสร้าง
ฉะนั้นสิ่งใดก็ตาม คนใดก็ตาม อะไรก็ตามที่อยู่กับเรา ขอให้เรารู้จักรักษาและแบ่งปัน ถ้าหากรู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่นบุญกุศลและวาสนาของเราจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้คนในโลกทำอย่างไร ให้เก็บรักษา แปลว่าให้เก็บไว้เป็นของเราคนเดียว กลัวพัง กลัวเสื่อม กลัวเสีย ฉะนั้นเราก็เลยไม่เคยแบ่งของๆ เราให้ผู้อื่นเลย เมื่อเราไม่ได้แบ่งของให้ใครเราก็ไม่ได้ฝึกการเสียสละ ตัวของเราจึงกลายเป็นผู้ไม่มีความเสียสละ เมื่อเสียสละแล้วย่อมไม่มีบุญกุศลวาสนามาเกิดกับตัวเรา ฉะนั้นเราควรรู้จักแบ่งปัน เราแบ่งปันได้เท่าที่เราทำ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เราแบ่งปันไม่ได้และเรายังพยายามจะแบ่งปัน แสดงว่าเราเป็นผู้มีคุณธรรม หากว่าเราให้ในสิ่งที่เราหวง เราให้ในสิ่งที่เรายึดไว้ ให้ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น แสดงว่าเราเป็นผู้ที่บำเพ็ญและเป็นอริยะในคราบคน
ขอให้เรานั้นรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองออกมาจากข้างใน ขอให้อริยะนั้นอยู่ในคราบแห่งคน แห่งเรา ทำได้ไหม (ได้) อย่าให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีคราบเป็นคน แต่ภายในของเรานั้นเหมือนลิง เหมือนม้า เหมือนวัว เหมือนอีกหลายอย่าง เหมือนลิงคืออะไร ซน ไม่นิ่งใช่ไหม เหมือนม้า เหมือนวัว เหมือนอีกหลายอย่างเพราะว่าเรานั้นมีสัญชาติญาณแห่งความเป็นสัตว์อยู่ข้างในด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องขัดเกลาให้หมด แล้วเอาไว้แต่คราบของอริยะ เอาไว้แต่อริยะภายใน ทำได้ไหม (ทำได้) เวลาอะไรที่อยู่ในมือลิง เขาปล่อยไหม (ไม่ปล่อย) ยิ่งถ้าคนอยากได้ปล่อยไม่ปล่อย (ไม่ปล่อย) ถามว่าตอนนี้เรามีอะไรที่ถือไว้ไม่ปล่อยไหม (มี) ใจของเราถือของบางอย่างไว้ เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เปลี่ยนมาจากข้างใน ให้ออกมาจากข้างในทำได้ไหม (ทำได้) ถ้าบอกว่าตัวเองทำไม่ได้เราจะทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าเราบอกตัวเองว่าทำได้ เราก็จะทำได้ อย่างเช่นพ่อแม่บอกลูกว่าไม่ฉลาดเลย ทำไมลูกไม่ฉลาดเลย เรียนไม่ทันคนอื่น ถามว่าลูกจะฉลาดไหม (ไม่ฉลาด) แต่ถ้าหากว่าพ่อแม่บอกลูกว่าเรียนเก่งๆ นะลูก ลูกจะฉลาดขึ้นไหม (ฉลาด) แล้วใช้วิธีการไหนในการอบรม ส่วนใหญ่เราจะใช้วิธีการบอกว่า “ไม่ฉลาดเลย ไม่เก่งเลย” อย่าใช้วิธีการอันดุ อย่าใช้วิธีการอันหยาบในการเพาะเลี้ยง บ่มเพาะลูก และคนที่อยู่รอบตัว ขอให้เราเป็นคนที่รู้จักชมคนอื่นบ่อยๆ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่มีอะไรดีๆ ให้เราชมเลย เรายังต้องหาเรื่องดีๆ ชมเขาให้ได้ ถ้าหากว่าเราทำได้ ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นคนดีหรือไม่ เราจะเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉะนั้นจงใช้วิธีการอันละเอียด และวิธีการอันสุภาพในการพูด ทำ คิดจะมีประโยชน์ต่อตัวเองอย่างยิ่ง เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
มาหาวิธีการแก้โรคใจดีหรือไม่ (ดี) ใครเป็นโรคใจบ้าง ถามว่าเวลาเราทำงาน งานเกือบทุกอย่างเราลงไปทำด้วยตัวของเราเองทุกอย่าง ถ้าเราเป็นโรคใจอยู่เราจะทำงานนั้นๆ ได้ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราทำงาน เรามองงานแล้วไม่เป็นที่พอใจ เราจะแก้งานหรือเราจะแก้ใจของเรา (แก้งาน) การที่ทำงานไม่ดีบางทีเป็นเพราะว่าอารมณ์ไม่ดี
หรือว่าตอนที่เราทำออกมาไม่ดีเป็นเพราะว่าเราสุขภาพไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าเราคิดไม่ดี หรือเรารู้ไม่จริง หรือเป็นเพราะเราทำไม่เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดจากการที่เราไม่รู้จักตัวของเราเองแล้วเราไปทำงานชิ้นนั้นๆ จึงเกิดความผิดพลาดขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ก็มักจะแก้ด้วยการไปทำใหม่ เวลาไปทำใหม่แล้วก็ยังออกมาไม่ดี เพราะว่าเรายังไม่ได้แก้ให้ตรงจุดใช่หรือไม่ (ใช่) ปัญหาจึงไม่อยู่ที่ว่าเรารู้ไม่จริง ทำไม่เป็น หรือว่าเราไม่มีเวลา หรือเราง่วงนอน หรือเราร่างกายไม่ดี แต่อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจของเรานั้นไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราไม่รู้ตัวจริงๆ หรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ตัวแล้วจะขยับมือไปทำได้อย่างไร แต่คำว่า “ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” คือเรายังไม่ได้มองภาพรวมของชีวิตของเราเลยว่าตอนนี้เราต้องการอะไร สิ่งที่เราต้องการคืออะไร สิ่งที่เราต้องการคือเงิน สิ่งที่เราต้องการคือสิ่งของ คือวัตถุ คือความสุข แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันให้ความสุขหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ความสุขนั้นเงินซื้อได้ไหม (ไม่ได้) คนหาเงินเพราะว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อของ ของกินของใช้ทุกอย่างเงินซื้อได้หมด เพราะฉะนั้นคนวิ่งไปหาแต่เงิน แล้วเงินสามารถให้ทุกอย่างไหม เงินให้ความสุขได้ไหม (ไม่ได้)
เพราะฉะนั้นระหว่างสิ่งของที่ได้มา ของกินของใช้ที่ได้มา กับความสุข กับจิตใจอันแท้จริงของตัวเราเองอะไรสำคัญกว่า เราอย่าพยายามที่จะแสวงหาจิตใจอันมีความสุขของตัวเองด้วยการที่เราออกไปหาทุกอย่าง ตื่นเช้ามาวิ่งออกไปที่ประตูเลย “ลูก เดี๋ยวไม่ทัน รถติด” ใช่ไหม เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราวิ่งออกไปจากบ้านรีบๆ เลย แต่เรารู้ไหมว่าว่าที่เราขาดที่สุดนั้นคืออะไร ไม่ใช่เงินนะ สิ่งที่เราขาดที่สุดคือจิตใจของตัวเอง จิตใจอันสมบูรณ์ของตัวเองที่มีอยู่แล้วภายใน อยู่กับเราทั้งในยามตื่นและยามหลับ อยู่กับเราทั้งในยามกิน อยู่กับเราทั้งยามที่เรานั้นทำกิจกรรมทุกๆ อย่าง ใจของเราอยู่กับเราตลอดเวลา แต่เราได้ชื่อว่าเป็นคนใจลอยใช่ไหม (ใช่) แสดงว่าเรามีใจหรือเปล่า (มี) ใจอยู่กับเราเสมอ แล้วที่ให้ความสุขแก่เราก็คือใจ แต่เราก็ยังวิ่งออกไปหาข้างนอก เพื่อที่จะตีวงกว้างมาก เป็นกิโลๆ แล้วก็ย้อนกลับเข้ามาข้างในของเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่) อยากมีความสุขเปิดทีวี หรือหยิบโทรศัพท์มาโทร เสร็จแล้วยิ่งทำก็ยิ่งวุ่นวายใหญ่เลยใช่หรือ
เปล่า (ใช่) คุยตั้งแต่ไม่มีเรื่องจนมีเรื่อง วุ่นหรือไม่วุ่น ทีวีดูตั้งแต่ห้านาที สิบนาทีไปยันดูจนนอนเลย หรือไม่ก็ทีวีดูเรา นั่นคือความสุขหรือเปล่า (ไม่ใช่) ถ้าหากศิษย์อยากมีความสุขไม่ต้องเปิดทีวี ให้นั่งลงเงียบๆ ในมุมหนึ่งที่ศิษย์คิดว่าสบายพอสมควร ไม่ต้องถึงขนาดเลื้อยนอน นั่งให้เป็นนั่ง นั่งเงียบๆ แล้วพิจารณาดูว่า วันนี้เราทำผิดอะไร วันนี้เราพูดอะไรไม่ดี วันนี้มีอะไรที่เราต้องทำแต่เราไม่ได้ทำ
ความทุกข์ของเราที่มีอยู่ตอนนี้เป็นความทุกข์ที่ควรทุกข์หรือเปล่า เป็นทุกข์ล่วงหน้า เป็นทุกข์อนาคต หรือว่าเป็นทุกข์อดีต เรื่องเก่า เราลองถามใจตัวเอง นั่งนิ่งๆ ลองพิจารณาคิดเรื่องนี้ ด้วยสารัตถะแล้วให้มันผ่านไป พอคิดเรื่องพวกนี้เสร็จ จิตก็เริ่มนิ่งลงเรื่อยๆ เหมือนการนั่งสมาธิแต่ยังไม่ถึงสมาธิ เพียงแต่ให้ศิษย์นั้นใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มาก แล้วจะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง การเข้าใจตัวเองแบบนี้เพื่อให้ตัวเองไม่เป็นโรคใจมากขึ้น ที่เป็นโรคนั้นเป็นอยู่แล้ว เผอิญถ้าวันนี้นั่งแก้ไขตนเอง ทำความเข้าใจกับตัวเอง ถ้าเป็นเรื่องเก่าผสมด้วยก็แก้ไปพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่ โรคเก่ายังเป็นโรคเก่าไม่เพิ่มใหม่ หากศิษย์เป็นโรคใจนานๆ ศิษย์จะป่วยเป็นโรคกายด้วย คนที่เครียดมากๆ จะป่วย ทุกวันนี้ก็เครียดจนป่วยไปหลายครั้งแล้วก็เอาเงินไปให้หมอ เข้าโรงพยาบาลหลายวัน หายไม่หาย (ไม่หาย) ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจตนเอง รู้จักตัวเอง ไม่สับสน ที่พูดมานี้เป็นวิธีการใช้ชีวิต แต่ศิษย์จะเข้าใจจริงๆ ก็คือให้ศิษย์เห็นชีวิตตนเองด้วยการกลับไปพิจารณาชีวิตตัวเอง พิจารณากับของจริง อาจารย์อยากสอนศิษย์ว่ายน้ำ บอกว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ศิษย์รู้ว่าว่ายน้ำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่หากศิษย์ไม่กระโดดลงไปว่ายน้ำจะเป็นไหม (ไม่เป็น) กระโดดลงไปจมน้ำรอบหนึ่งแล้วจะว่ายน้ำเป็นไหม (ไม่เป็น) ให้ลองตายเพราะลองลงไปว่ายน้ำดีหรือไม่ เพราะว่าทุกวันนี้ก็ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว อยากพ้นทุกข์ให้กระโดดลงไปในความทุกข์แล้วถามตนเองว่าที่ทุกข์อยู่เพราะอะไร มีเหตุผลอะไรที่เราควรทุกข์ เขียนออกมา แล้วเราจะเห็นว่าเหตุผลที่เราเขียนออกมาเป็นสิ่งไร้สาระทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วจะรู้สึกว่าเราควรที่จะดีขึ้น เราควรที่จะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการบำเพ็ญใจชนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการอยู่กับตัวศิษย์เอง ทุกเวลา ทุกนาที แล้วบำเพ็ญได้กับทุกคน คนนี้เราไม่ชอบเราไม่บำเพ็ญธรรมกับเขาด้วย ได้หรือไม่ (ไม่ได้) แบบนี้เรียกว่าบำเพ็ญธรรมหรือไม่ ก็ไม่ใช่ ฉะนั้นเราต้องบำเพ็ญธรรมในทุกๆ ที่ กับคนทุกๆ คน กับวันทุกๆ วัน กับเวลาทุกๆ นาที ทำยากหรือไม่ (ไม่ยาก) ให้ลองกลับไปทำดีหรือไม่
เงินสำคัญหรือไม่ (สำคัญ) และแล้วคำตอบที่ถูกต้องก็ออกมา จะบอกว่าไม่สำคัญก็กระไรอยู่ เงินเป็นของจำเป็นแต่เป็นของจำเป็นที่สุดหรือไม่ คนที่มีเงินน้อยแต่รู้สึกมีเงิน คนนั้นรวยหรือไม่ (รวย) ถ้าหากว่าคนนั้นรู้สึกพอ คนนั้นก็รวย ถ้าหากว่าเงินไปใช้งานที่ถูกต้องคนนั้นก็รวย ความสุขความทุกข์ไม่ได้ใช้เงินแลกมา ฉะนั้นเงินไม่ได้ทำให้คนสุข แต่ความสุขอยู่ที่ไหน (ที่ใจ) คนนั้นมีอารมณ์ มีความรู้สึก มีชีวิต มีจิตใจ ทำไมอาจารย์ถึงยกตัวอย่างเรื่องนี้มา เพราะว่าเรื่องเงินนั้นเป็นเรื่องที่ศิษย์นั้นเข้าใจได้ลึกซึ้งที่สุด เวลาที่เรารู้สึกว่าเรามีเงิน ไม่ใช่ว่าไปหามาให้พอแล้วรู้สึกว่าเรามีเงิน แต่ต้องรู้สึกพอเพราะว่าเงินที่เราก็ไม่ได้เยอะ มีนิดเดียว แต่ถ้าหากเรารู้สึกพอแล้ว ถามว่าเรามีกระเพาะเท่านี้แล้วเรากินข้าวเข้าไปสี่จานได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าทานเข้าไปสี่จาน สามจาน ไม่ได้ แล้วถ้าสองจานพอไหวหรือไม่ (พอไหว) ถ้าอย่างนั้นเรามีเงินเท่านี้เรากินสองจาน ได้หรือไม่ (ได้) หนึ่งจานอิ่มไหม ครึ่งจานได้ไหม เรามีกระเพาะเท่านี้เรากินได้เต็มที่ก็สองจาน เราดูสิว่า คำว่าพอดีสำหรับเรามันคืออะไร
ทุกวันนี้ถามว่าเรามีถุงใส่เงินเท่านี้ เราทำอย่างไร ถามว่าถ้าเป็นกระเพาะของเงิน ศิษย์ใส่ข้าวก็คือเงินสี่จานได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเอาไหมให้เป็นเงินสี่จานเอาไหม (เอา) อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร (งก) หรือก็คือโลภนั้นเอง เป็นข้าวสี่จานไม่ไหวแต่เป็นเงินไหวไหม นี่คือความเกินพอดีของเรา เราต้องมีอะไรที่พอดีๆ กับชีวิตของเรา จริงๆ แล้วเราหามากกว่านี้ก็ได้นะ แต่ว่ามันเกินพอดีของเราหรือเปล่า เราต้องพิจารณาด้วย อยากได้เงินหมื่น ใช้แรงเท่าไร (สองหมื่น) ทำงานจนตาย แถมทำไปใช้ไปด้วย แล้วใช้อย่างไม่มีสาระด้วย มีเท่าไรพอไม่พอ (ไม่พอ) ถ้าหาน้อยกว่านี้หน่อย แล้วใช้น้อยกว่านี้หน่อย พอดีไหม (พอดี) ไม่ใช่ทำเท่าไหร่ แล้วก็ป่วยเข้าโรงพยาบาล
ใครยังไม่ได้ผลไม้เลยวันนี้ แล้วเรายังไม่ได้เลยนี่เสียเปรียบไหม (ไม่) ใครอยากได้บ้างยกมือขึ้น เบื่อจริงๆ เลยคนกรุงเทพนี่ ขี้เก็กก็เท่านั้น มั่นใจในตัวเองก็เท่านั้น พอถามว่าอยากได้ไหมนี่ “มันก็อยากแต่ไม่อยากยกเลย มันเสียฟอร์มหมด” ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นธรรมะเข้ากับคนฉลาดนี่ยากไหม (ยาก) ธรรมะกับคนฉลาดก็เลยกลายเป็นของเข้ากันยากไปเลย ทั้งๆ ที่เราเป็นคนฉลาดมีความมั่นใจในตัวเอง เรียนรู้ รู้มาก เราก็ควรที่จะมีทุนมากกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง เราน่าจะไปไกลกว่าคนอื่นเขานิดหนึ่ง เข้าใจอะไรเร็วกว่าคนอื่นเขานิดหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าเรามัวแต่เก็กอยู่ เราก็เลยไปช้ากว่าคนอื่นหน่อยหนึ่ง เหมือนกับเรื่องอะไร เหมือนกับเรื่องเต่ากับกระต่าย ใช่ไหม (ใช่) เพราะเรามั่นใจในตัวเองมากเกินไป เราก็เลยกลายเป็นกระต่ายที่มีดีแต่ว่าแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาบำเพ็ญธรรมก็สอนให้ศิษย์รู้จักถอนอัตตาตัวตนนั้นทิ้ง อย่าเอาอารมณ์และโลกส่วนตัวไปผสมปนเปการบำเพ็ญธรรม อย่าเป็นคนคิดอะไรมาก อย่าเป็นคนคิดๆ อะไรไปเรื่อยๆ
อย่าเป็นคนคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เพราะว่าถ้าเราเป็นอย่างนี้อยู่ ทางโลกเราก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้กระทั่งเวลาบำเพ็ญธรรม เวลาทางโลก สมมุติว่าหนึ่งอาทิตย์เจ็ดวันศิษย์บอกให้ทางโลกห้าวัน ทางธรรมศิษย์เข้ามาฟังธรรมะบำเพ็ญธรรม เข้าใจธรรมะ ทำความเข้าใจอยู่สองวัน แต่พอเข้ามาก็คิดๆ สรุปว่าไม่ได้ฟังคนพูด กำลังฟังตัวเองอยู่ ส่วนเวลาทำงานก็ไม่ได้ฟังตัวเองอยู่เหมือนกัน คือ ฟังคนอื่นแล้วใจลอยไป ไม่รู้ว่าตกลงใจอยู่ที่ไหน เพราะว่าอยู่ทางธรรมก็ไม่มีใจ พอไปอยู่ทางโลกทำงานก็ไม่มีใจอีก ไม่รู้ว่าศิษย์เอาใจไปไว้ไหน แล้วศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นโรคใจ สงสัยใจไปอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้นตามใจของตัวเองให้กลับมา ทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ ถ้าอยากมีความสุขไม่ใช่ห่วงสามร้อยหกสิบองศาไปทุกเรื่อง ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยว เล่น แล้วก็คบเพื่อนทำอะไรก็ได้เยอะแยะไปหมดเลยเพราะว่าตัวเองมีความสุข แต่ว่าความสุขอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) จริงๆ ศิษย์นั่งเฉยๆ ศิษย์ก็มีความสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอยากจะมีความสุขบ้างต้องทำอย่างไรก่อน ถ้าอยากมีความสุขต้องมีความทุกข์ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าเราเป็นผู้ที่มีต้นทุนทำความสุขอยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทุกคนนั้นมีเปอร์เซ็นต์ที่จะมีความสุขอยู่แล้วสูงมากด้วย ฉะนั้นให้รู้จักตัวเองให้มากขึ้น การรู้จักตัวเองได้ก็ต้องทำความเข้าใจกับตัวเอง ให้เวลากับตัวเอง อย่าใช้ชีวิตตัวเองแบบนี้ อย่าใช้ชีวิตของตัวเองแบบที่ทำทุกวันนี้ บางเรื่องสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ถ้าศิษย์จะทำ อาจารย์สอนมาเท่านี้แล้ว กลับไปจากสามวันนี้ศิษย์ต้องไปลองกระโดดน้ำดูถึงจะว่ายน้ำได้ โลกนี้ขึ้นชื่อว่าทะเลทุกข์ ปกติศิษย์ก็อยู่ในน้ำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายน้ำไม่เป็น ศิษย์อยู่ในทะเลแห่งความทุกข์อยู่แล้ว แต่ว่ายน้ำไม่เป็นวันนี้อาจารย์เจอศิษย์ อาจารย์บอกว่า “ว่ายน้ำอย่างนี้” ถ้าศิษย์อาจารย์รู้แล้วว่ายน้ำอย่างไร ศิษย์ยังกลับไปทำท่าว่ายน้ำไม่เป็นอีกได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์ยังไปทำท่าว่ายน้ำไม่เป็นไม่ได้อีกแล้ว ศิษย์ต้องกลับไปลองใช้ชีวิตของตัวเอง พิจารณาชีวิตของตัวเองและเข้าใจชีวิตของตัวเองให้ถ่องแท้ อย่าพูดแต่ว่า “สับสนมากชีวิตนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลย ไม่เข้าใจคนรอบข้างเลย” อย่าพูดซ้ำๆ แบบนี้
เพราะว่าวันนี้อาจารย์ให้แสงสว่างศิษย์แล้ว อาจารย์นำทางศิษย์แล้ว ขอให้ศิษย์นั้นเดินในทางที่อาจารย์บอกทำได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นตอนนี้จะตั้งคำถามง่ายๆ แล้วก็ตอบเท่าที่ศิษย์ตอบ จากวันนี้กลับไปจะทำอะไรดีที่ทำให้ชีวิตของตัวเองใจเย็นๆ ที่ทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น ใครอยากตอบยืน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)
(ศึกษาธรรมะ, ชมคนอื่นมากขึ้น) ทำได้หรือเปล่า คนน่าหมั่นไส้ชมได้ไหม ได้ทุกคนมีข้อดีทั้งนั้น (นักเรียนท่านหนึ่งขอให้พระอาจารย์รักษาโรคเบาหวานให้) อาจารย์จะบอกให้ เรื่องบางอย่างทำมาตั้งนานแล้วจะให้หายยาก เพราะฉะนั้นคนเราถ้าอยากดีขึ้น เราต้องให้วิทยาทานกับคนอื่น ถ้าอาจารย์รักษาโรคให้ อาจารย์จะได้แต่ศิษย์ที่อยากมารักษาแต่โรค ไม่ใช่มาเพื่อบำเพ็ญธรรม
คนสมัยนี้ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ พออายุมากก็ป่วย ไม่รู้ว่ามีบุญหรือมีกรรมเพราะการแพทย์ก้าวหน้ามาก จะตายก็ไม่ได้ตาย เพราะฉะนั้นอยากจะดีกว่านี้ต้องรักษาสุขภาพร่างกายตั้งแต่วันนี้ ทุกวันนี้ร่างกายของเรามีความป่วยไข้ ถ้าหากว่าความป่วยไข้ลดน้อยลงก็พยายามอย่าให้ป่วยมากขึ้น ถ้าป่วยมากแล้วก็อย่าให้มากกว่านี้ ให้รู้จักรักษาสภาพของเดิมที่มีอยู่ให้ดี ณ วันนี้จะเปลี่ยนอะไรเปลี่ยนเลยอย่าไปคิดมาก ถ้าอยากเปลี่ยนอะไรของตัวเองให้ดีขึ้นก็เปลี่ยนทันที ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน สภาพจิตใจ สภาพแวดล้อม อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน ถ้าหากไม่เปลี่ยนยังทำอย่างเดิมไปเรื่อยๆ เราก็จะแย่ไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่าอยากจะทำอะไรให้ดีขึ้น
วันนี้ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์หลายๆ คนตอบมาเป็นคำตอบที่เหมือนกับการฟังธรรมะสามวันนี้ ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าเดิมเท่าไร ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า คนทุกคนก็เหมือนกัน ฟังธรรมะไปมากมาย แต่เวลาตอบคิดอยู่ในใจเพียงประโยคเดียว ฉะนั้นประโยคเดียวของศิษย์ก็คือสิ่งที่ศิษย์ต้องกลับไปทำ ถึงจะซึมซับธรรมะได้ แต่ประโยคเดียวที่อยู่ในใจของศิษย์ ศิษย์ต้องทำให้ได้ดี แล้วตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ไม่ได้ทำดีหรือ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจธรรมะให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ เรื่องของธรรมะยังมีอะไรอีกตั้งมากมาย เห็นไหมแค่นี้ยังตอบว่าไปทำดีอย่างเดียว (กลับไปจะทำดีให้มากกว่านี้) จริงหรือเปล่าทำให้รอด (พาลูกเมียญาติพี่น้องเข้ามารับธรรมะ)
หวังว่าศิษย์ทุกคนกลับไปทำในสิ่งที่ศิษย์พูดไว้ ไม่ว่าจะเป็นความดีเล็กๆ น้อยๆ หรือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ศิษย์ตอบ ถึงแม้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่อาจารย์ถือว่าสิ่งที่ศิษย์พูดและทำ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เราจะเขียนว่าหลังจากวันนี้เราควรจะทำอะไร เพราะว่าศิษย์จะเห็นได้อย่างชัดเจนดีไหม (ดี) สิ่งที่หลังจากฟังธรรมะแล้วควรจะกลับไปปฏิบัติคือ
๑. แก้ไขปรับปรุงนิสัยความเคยชินที่ไม่ดี
๒. ตรวจดูจิตใจของตนเอง
๓. บำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม
๔. กลับมาสถานธรรม ฟังธรรมะบ่อยๆ
๕. ไหว้พระทำบุญกุศล
๖. รักษาศีลกินเจ
๗. ชวนคนรับธรรม
๘. ดำเนินรอยตามอริยะ
ชวนคนมารับธรรมะ สถานธรรมกับการไหว้พระคือของคู่กัน ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นข้อห้าคือไหว้พระ ไหว้พระแล้วต้องทำบุญ ส่วนใหญ่ศิษย์จะได้ยินคำว่าทำบุญไหว้พระ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์จะสอนศิษย์ให้ไหว้พระแล้วทำบุญ เพราะไหว้พระเป็นการที่ฝึกฝนที่เรากราบพระ เมื่อเรากราบพระบารมีแห่งพุทธะ แล้วจิตญาณที่สว่างไสวจะเกิดขึ้นเมื่อศิษย์ฝึกไหว้พระบ่อยๆ ยิ่งไหว้พระยิ่งเกิดปัญญา ปัญญาเกิดบารมีเกิด
การทำบุญคือการที่เราเจอใครเราก็รู้จักยิ้มให้ ไม่ชอบใจก็รู้จักยิ้มได้ อันนี้เรียกว่าการทำบุญชนิดหนึ่ง การทำบุญจึงมีหลายประเภท อย่าคิดว่าเราเอาเงินไปสร้างกุศลนั้นเรียกว่าการทำบุญอย่างเดียว เรามีวิธีการทำบุญด้วยการปฏิบัติธรรม อย่างเช่นเราแจกรอยยิ้มก็เป็นการทำบุญ เจอคนอื่นในเรื่องน่าว่าแต่เราไม่ว่าก็เป็นการทำบุญเช่นเดียวกัน ถ้าเราทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์เรียกว่ากุศล เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกวันนี้จึงทำแต่บุญ คือเสียสละกันออกไป แต่ไม่ได้ทำกุศลเพราะว่าจิตใจยังไม่สะอาด ทำเพราะเป็นมารยาท ทำตามกันไปอย่างนั้นๆ
ไม่กล้าขัดก็เลยยิ้มๆ อย่างนี้ก็ยังไม่เป็นกุศล ไม่เป็นบุญ ไหว้พระทำบุญกุศล แปดข้อก็พอนะ แปดข้อก็จะแย่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นละอัตตา ไม่ว่าจะเป็นตัดกิเลส ไม่ว่าจะเป็นไรก็ขอให้เป็น เก้า สิบ สิบเอ็ด สิบสองต่อไป เพราะถ้าเป็นข้อๆ ก็คงจะให้ศิษย์ละกิเลสแล้ว ละอัตตา ซึ่งก็คงจะยากไปสำหรับนักเรียนใหม่ใช่ไหม (ใช่) วันนี้มาเป็นนักเรียนใหม่ วันนี้อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ทำข้อง่ายๆ สักแปดข้อ ได้หรือไม่ (ได้) เวลามีคนไปเรียกมาศึกษาธรรมมาไหว้พระ ขอให้เรานั้นอย่าพูดว่าเรานั้นไม่มีเวลา ก่อนที่เราจะพูดว่าไม่มีเวลานั้นขอให้เราดูก่อนว่าเรามีเวลาหรือเปล่า และมีเวลาตรงไหนที่เรานั้นสามารถจะเบียดออกมา สามารถทำให้เรามีเวลามาไหว้พระ มาศึกษาธรรมได้ไหม เพราะว่าเรายิ่งศึกษาธรรมก็ยิ่งมีความสุข วันนี้ถึงให้เรานั่งอย่างทรมานที่สุด นั่งทรมานกว่าอยู่ที่บ้าน ทรมานกว่าอยู่ที่ทำงานอีกหรือเปล่า แต่เรามีความสุขไหม (มี) มีความสุขที่ใจ เรารู้สึกอิ่ม ใจของเราได้รับอาหารใช่หรือไม่ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี้ ศิษย์ได้รับอาหารทางใจ วันหลังถ้ามีคนเรียกศิษย์มารับอาหารทางใจอีก ศิษย์จะพูดว่าไม่มีเวลา อย่างนั้นใจของศิษย์ก็หิวแล้ว แล้วรู้ไหมว่าใจหิว ก็ไม่รู้ เพราะว่าเราไม่เคยจะมองใจตัวเองเลยว่าใจของตัวเองไปถึงไหนแล้ว ฉะนั้นแปดข้อนี้ให้ศิษย์นั้นเก็บไว้ไปปฏิบัติ
อันว่ามนุษย์นั้นหลายครั้งไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยสติ แต่ต้องมีเหตุการณ์รอบข้างมาบีบบังคับเราให้เราเปลี่ยนโดยที่ เรานั้นถูกบังคับเปลี่ยน วันนี้ศิษย์ยังไม่ถูกบังคับใจอะไรทั้งสิ้น ยังไม่มีความทุกข์อันไหนมาบังคับให้ศิษย์เปลี่ยน แต่อาจารย์หวังว่าให้ศิษย์เปลี่ยนตัวเองก่อนที่จะถูกบังคับดีหรือไม่ (ดี) ก่อนจะจากอาจารย์จะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ท่านยมบาลตรวจดูคนๆ หนึ่งที่ลงไปยมโลก คนๆ นี้ในดวงชะตาของเขามีดวงที่จะได้เงิน เป็นคนที่ทำบุญเก่า ควรจะได้เงินทองก้อนหนึ่ง แต่คนนี้ตายลงมาด้วยอะไรรู้ไหม อดตาย เสร็จแล้วยมบาลก็เลยไปถามกับเทพแห่งโชคลาภว่าทำไมคนๆ นี้จุดจบของเขาถึงได้ตายแบบไม่มีเงินทอง หิวตายอย่างนั้น คนๆ นี้นี่เวลาที่พระเจ้าจะประทานโชคลาภมาก็ยังต้องดูว่าเขาทำอะไรก็ให้เขาอย่างนั้น เหมือนศิษย์ทำการค้า ก็ให้ศิษย์รวยด้วยการค้า ศิษย์ทำงานก็ให้ศิษย์รวยด้วยงาน แต่คนๆ นี้เป็นคนที่มีความสามารถในการเขียน ก็ให้เทพแห่งความสามารถในการขีดเขียนไปดูแล พอไปถาม ท่านก็บอกว่าเขาไม่ยอมเขียนเลย ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถ เขาไม่ทำ เพราะฉะนั้นก็ยกไปให้เทพเจ้าที่ เจ้าที่ก็รับมาแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร คนๆ นี้ขี้เกียจมากๆ ขี้เกียจจนบอกไม่ถูก เทพก็ฝังเงินไว้ในดิน ถ้าเขาเพียงแต่ข้ามไปขุดดิน เขาก็จะเจอเงิน แต่คนๆ นี้จนแล้วจนรอด แม้จะอดตายแล้วยังไม่ยอมไปขุดดินปลูกผักเองยังไม่ทำ สุดท้ายผู้ชายคนนี้ตายโดยที่เงินฝังอยู่หลังบ้าน
อันนี้ก็เป็นนิทานไม่ใช่เรื่องจริง บางคนฟังอาจารย์ไปก็นึกว่าเรื่องจริง อาจารย์ยกตัวอย่างให้ฟังว่า เกิดเป็นคนไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำอาชีพอะไร ไม่ว่าจะเป็นคนที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร คนที่มีความเกียจคร้านมากจนเกินงาม ย่อมได้รับผลร้ายจากความขี้เกียจของตน ฉะนั้นจงอย่าเป็นคนขี้เกียจ หลายครั้งเวลาที่ให้ศิษย์ทำอะไร ศิษย์มักจะพูดว่าขี้เกียจ ใช่ไหม (ใช่) เราขี้เกียจทำ ก็เลยไม่ได้อะไร ทั้งเงินทอง โชค วาสนา ความสามารถใดๆ สูญหายไปกับความขี้เกียจของเรา ไม่บำเพ็ญธรรมเพียงแค่ขี้เกียจ อนาคตของพุทธะโพธิสัตว์สูญหายไปกับคำว่า “ขี้เกียจ” อย่าขี้เกียจในการทำมาหากิน แต่ถ้าทำมาหากินแล้วอย่าคิดว่าตัวเองต้องรวยเท่านั้น อย่าขี้เกียจในการที่จะพูดในสิ่งที่ดีๆ เหมือนเวลาที่เราควรจะพูดอะไรแล้วเราพูดว่าขี้เกียจพูด แค่เราขี้เกียจพูดดีๆ แค่เราไม่อยากพูด คนก็ทะเลาะกันแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าขี้เกียจพูด อย่าขี้เกียจทำ ของให้เรานั้นเป็นคนขยันแล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ
อาจารย์ต้องกลับแล้วแต่ศิษย์จะบอกได้ไหมว่า ตัวเองเป็นผู้ที่มีอนาคตไหม (มี) ศิษย์ทุกคนเป็นผู้ที่มีอนาคตอยู่แล้ว ศิษย์ทุกคนเป็นผู้เก่ง ฉลาด รอบรู้ และเท่าทันอยู่แล้ว อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์นั้นเอาใจใส่กับชีวิตตัวเองให้มาก แต่ไม่ใช่เอาใจใส่อย่างคนที่เห็นแก่ตัว ศิษย์จะคิดอะไร ถ้าหากว่าใจมันห้ามไม่ได้ คิดอะไรก็คิดได้ แต่ว่าอย่าถึงขนาดคิดจนเป็นผลเสียกับตัวเองหรือเป็นผลเสียกับผู้อื่น
วันนี้อาจารย์รับรู้ทั้งศิษย์คนเก่า คนใหม่ ศิษย์รักอาจารย์เหมือนดังที่อาจารย์รักศิษย์ อาจารย์อยากให้ศิษย์เก็บใจของศิษย์ไว้ที่ตัวของศิษย์เอง เพราะการที่ศิษย์นั้นเอาใจของศิษย์ฝากไว้ที่อาจารย์ กำลังใจทั้งหมดของศิษย์อยู่ที่อาจารย์ เวลาที่ศิษย์ไม่เจออาจารย์ ศิษย์ก็ไม่มีกำลังใจ ไม่คิดมาสถานธรรม ไม่คิดที่จะบำเพ็ญปฏิบัติ เพราะว่าเงาของอาจารย์นั้นไม่มีในโลกเลย ศิษย์ไม่สามารถพบเงาของอาจารย์ได้ แม้กระทั่งเงาอาจารย์ยังไม่มีให้ศิษย์พบ อาจารย์จึงขอเข้าไปอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนแทน ขอให้ศิษย์ทุกคนเก็บใจตัวเองไว้ที่ตัวเอง รักษาธรรมะในตัวเอง หวังว่าศิษย์ทุกคนทำได้
สุดท้ายศิษย์ของอาจารย์หลายคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ เมืองใหญ่น่าเป็นห่วง มีภยันตรายเยอะ มีกิเลสมาก มีสภาพแวดล้อมที่บ่มเพาะศิษย์ให้หลงลืมและลืมตัว ลืมสิ่งที่ควรจะทำ อาจารย์นั้นก็เป็นห่วง ห่วงแล้วก็ห่วงเล่า ศิษย์ผู้หญิงอย่าได้ห่วงสวยงามมากเกินไป อย่าได้ห่วงนั่นพะวงนี่ อย่าได้คิดไร้สาระจนเกินไป ส่วนผู้ชายอย่าได้หมกมุ่นกับอบายมุขมาก ยิ่งเป็นคนมีเงินก็ยิ่งน่ากลัว แล้วศิษย์คนไหนที่ไม่มีเงิน ทุกคนมีเงินพอสำหรับการจะกิน จะเที่ยว จะเล่น ทั้งนั้น ยิ่งน่าเป็นห่วง อาจารย์ห่วงไม่ใช่ห่วงอะไร อาจารย์ห่วงว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นยิ่งวันจะยิ่งบำเพ็ญยากขึ้น คนไหนที่อาจารย์จับมือไม่ถึง ก็ขอให้จับมือคนข้างเคียง กำลังใจจากอาจารย์ก็ส่งผ่านศิษย์ทุกคนเสมอๆ เช่นเดียวกัน เราจะกลับมาเจอกันอีกนะศิษย์
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมที่เป็นแม่ครัวและเมตตาให้ผลไม้)
วันนี้ทำเยอะไป ทำเยอะไปโดนบ่นไหม ถ้าใครไม่เคยโดนบ่นแสดงว่าคนนั้นไม่เคยทำงาน จริงหรือเปล่า (จริง) ถ้าทำงานแล้วต้องโดนบ่นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องโดนบ่นจึงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากเขาบ่นเราอยู่นั่น แล้วเราไม่รู้จักมองตัวเอง อย่างนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าบ่นที่สุดจริงหรือไม่ (จริง) ทุกคนต้องรู้จักย้อนมองส่องตนเองถึงจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักมองตนเองก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมถูกหรือไม่ (ถูก) ทำงานเป็นร้อยคนไม่ค่อยทะเลาะกันจริงหรือเปล่า (จริง) คนมาเป็นร้อยคนไม่ได้ทะเลาะกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนอยู่ไม่กี่คนทะเลาะกันจังเลย ทำไมล่ะ เป็นเพราะว่าคนอื่นไม่รู้เรื่องแล้วเรารู้เรื่องอยู่คนเดียวใช่หรือเปล่า เวลาอยู่กันเยอะๆ ไม่ค่อยมีเรื่องกันส่วนใหญ่จะคุยดีใช่หรือไม่ แต่เวลาคนอยู่น้อยๆ ส่วนใหญ่จะทะเลาะกันใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นเพราะอะไร
คิดได้หรือยังว่าทำไมคนอยู่กันตั้งเยอะโอกาสที่จะชนกันมันเยอะแต่ทำไมถึงไม่ทะเลาะกัน ไม่มีเวลาทะเลาะใช่หรือเปล่า หรือว่าทำงานอยู่ไม่มีเวลาทะเลาะใช่หรือเปล่า (ใช่) ว่าไปแล้วก็เหมือนว่าจะใช่แต่ว่ามีเหตุมากกว่านั้นนิดหนึ่ง เวลาอยู่กันมากๆ ไม่ได้ทะเลาะกันเพราะทุกคนกำลังมีเป้าหมายทำงานชิ้นนั้น เพราะทุกคนมีความตั้งใจมากใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราอยู่ร่วมกันเยอะๆ ทุกคนพยายามที่จะเอางานเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่รู้สึกว่าเราอยากทะเลาะกัน แต่เวลาที่คนอยู่กันน้อยๆ เราเอาอะไรเป็นที่ตั้ง เราเอาอารมณ์ของเราเป็นที่ตั้ง ฉะนั้นเวลาคนอยู่กันน้อยๆ ก็ทะเลาะกัน ที่เราทะเลาะกันก็เพราะว่าเราเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง อารมณ์ของเรานั้นหมายถึงอะไร หมายความว่าเรานั้นมีความเป็นส่วนตัว คือต่างคนต่างมองเรื่องส่วนตัวกันมากเกินไปเพราะว่าเห็นชัดมากเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลามีคนน้อยๆ คนนี้ก็รู้จักคนนี้ดี คนนั้นก็รู้จักคนนี้ดี เวลามองไม่ได้มองเหมือนคนร้อยคน คนร้อยคนมันลายตาไปหมด พอคนน้อยๆ แล้วมีกันอยู่แค่นี้ชนกันเปรี้ยงปร้างกันใหญ่เลยใช่หรือไม่ (ใช่) สรุปว่าเป็นเพราะว่าต่างคนต่างมองแต่เรื่องส่วนตัว ไม่มีความเป็นธรรมะ ไม่เอาธรรมะมาคิด ไม่เอาธรรมะมาบำเพ็ญ เพราะฉะนั้นก็เลยทะเลาะกันใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมแม้แต่คนที่สนิทกัน คนที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน คนที่อยู่ในสถานธรรมเดียวกัน จำเป็นที่จะต้องไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากเกินไป ถ้าเรายิ่งยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น มองเรื่องส่วนตัวคนอื่น คิดแทนคนอื่น บอกว่าเขาควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ เขาควรเป็นอย่างนั้น ควรเป็นอย่างนี้ อย่างนี้เสร็จไหม (เสร็จ) เสร็จเลย เสร็จตรงที่เรานั้นมองเรื่องคนอื่น คิดแทนคนอื่น เหมือนเรานั้นเป็นคนอื่น แต่เรานั้นเป็นใคร เราก็เป็นตัวของเราเอง ส่วนเขาก็เป็นตัวของเขาเอง ในที่สุดแล้วไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้
อาจารย์ขว้างผลไม้ไปยังไม่เห็นเลย เห็นไหมว่าเวลาที่เราสนใจอีกเรื่องหนึ่งในขณะที่เราอยู่กับอีกเรื่องหนึ่งมันอันตรายแค่ไหน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ใครเป็นแม่ครัวบ้าง คนใส่เอี้ยมเป็นแม่ครัว เอาผลไม้หรือเปล่า จับยึดสายทองให้ดีๆ ให้แน่นๆ บำเพ็ญธรรมผ่านมาถึงสิบปีแล้ว เพราะฉะนั้นต้องเลิกคิดมาก ต้องเลิกสับสน ต้องเข้าใจเส้นทางของตัวเองได้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราไปเดินเราต้องทำอย่างไร เราต้องมองทางที่เราจะเดิน หากว่าเรามัวมองซ้ายมองขวาเดินช้าไหม (ช้า) ศิษย์เองก็เหมือนกัน สิบปีผ่านมา สิบกว่าปีผ่านมา ยี่สิบปีผ่านมา บางคนมัวแต่มอง มองมากเดินน้อย เดินมากไม่มองอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี) เดินมากไม่มองอะไรเลยก็ไม่ดี แต่ว่าต่างมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ทุกวันนี้ศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่บำเพ็ญมาเก่าแล้ว เนกไทก็ใส่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ผมก็ขาวแล้ว ภาระหน้าที่เต็มบ่าแล้ว สายตาก็เปรียบประหนึ่งนกอินทรี มองสูง มองไกล มองยาว มองเก่ง มองดี แต่ไม่ได้ใช้ใจมอง เรียกว่าบำเพ็ญธรรมตามที่เรียนมาได้อย่างถูกต้อง แต่ไม่ได้ใช้ใจมอง เมื่อไม่ได้ใช้ใจมองแปลว่าอะไร ยังไม่มีสัญชาตญาณของผู้บำเพ็ญธรรม กลายเป็นคนที่บำเพ็ญแล้วยังทุกข์อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนมีก็สัญชาตญาณของความเป็นคน เป็นสัตว์ก็มีสัญชาตญาณของสัตว์ เราเป็นผู้บำเพ็ญเราต้องมีสัญชาตญาณของผู้บำเพ็ญด้วยใช่หรือไม่ เราพูดอะไรที่ทำให้ผู้อื่นนั้นบาดเจ็บ เราทำอะไรที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุข เราคิดอะไรที่เป็นความก้าวหน้าหรือถอยหลัง เราอยู่ในสภาวะที่ส่งเสริมผู้อื่นหรืออยู่ในสภาวะที่ผู้อื่นส่งเสริมเรา เราต้องรู้ตัวว่าเรายืนอยู่ตรงไหน ไม่ใช่สับสนไปเรื่อยๆ
วันนี้หลายๆ คนบอกว่าอาจารย์จะมาหรือเปล่า เพราะว่าดูๆ แล้วคนที่มีประสบการณ์สูงอย่างศิษย์บอกว่าวันนี้สงสัยไม่แน่ ใช่ไหม อาจารย์ถามหน่อยว่าประสบการณ์ของศิษย์แล้วอาจารย์จะต้องมาวันนี้ถูกไหม (ถูก) ศิษย์พูดถูกทุกคน แต่ว่าอาจารย์ยังต้องมาไหม (มา) แล้วถามว่าโดยประสบการณ์ของศิษย์ ศิษย์มองว่าศิษย์ไม่ต้องมาทำอะไรที่สถานธรรมแล้วแต่ถามว่าศิษย์ต้องมาไหม (มา) อาจารย์และศิษย์เราก็เหมือนกัน อาจารย์อาจจะไม่ต้องมาวันนี้ก็ได้ แต่อาจารย์ก็ยังมา เพราะฉะนั้นศิษย์มาสถานธรรมไม่มีหน้าที่ หาหน้าที่ทำ ไม่มีที่ยืนหาที่ยืนดู ไม่มีที่นั่งหาที่นั่ง ไม่มี ไม่รู้ ไม่เป็นอะไร ก็หารู้ หาเป็น หาเรียน หาทำ แล้วศิษย์ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของสถานธรรม แล้วศิษย์ก็จะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่มีที่จะสร้างกุศล ไม่เช่นนั้นศิษย์อยู่ที่บ้านสบายๆ วันนี้อยู่ที่นี่ขยันทำงานมากแต่ตอนอยู่บ้านอย่าให้พูด บ้านใครบ้านมันวิมานใครวิมานมันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นออกมาสถานธรรมให้มาก ทำงานธรรมะให้มาก ให้รู้จักที่จะพลิกแพลงชีวิตและหาทางที่จะก้าวหน้าในการบำเพ็ญธรรมมากกว่านี้ ที่สำคัญความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา อุปสรรคเป็นเรื่องที่ต้องเกิด ใครมีอุปสรรคถือว่าความสำเร็จกำลังให้เกียรติทุกคน ไม่มีอุปสรรคไม่มีความสำเร็จ ไม่มีอุปสรรคแปลว่าความสำเร็จไม่ให้เกียรติศิษย์ที่จะเชิญเข้าไปสู่ความสำเร็จนั้นๆ เลย
ไหนใครมีอุปสรรคเรื่องอะไรก็ได้ให้ยกมือขึ้น ใครมีความทุกข์ยกมือขึ้น เอามือลงได้ ใครมีความสุขยกมือขึ้น เห็นไหมว่าคนที่มีความสุขนั้นมีน้อย แต่ว่าเวลาเขายกมือว่าเขามีความสุขไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นจงรู้ว่าเราก็เป็นเหมือนดั่งทุกคน ทุกๆ คนก็เป็นเหมือนดั่งเรา เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา ต่างคนต่างบำเพ็ญทำหน้าที่ภาระปณิธานของตนเองให้ลุล่วงและบรรลุธรรม นี่คือสิ่งที่ศิษย์ต้องจำใส่ใจ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแบบเช้าชามเย็นชาม
อยู่ในโลกถ้าหากรู้ว่าตัวเองจะไม่มีเงินใช้ก็รีบๆ ออกไปหาเงินใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าตอนนี้บำเพ็ญธรรมอยู่แล้วตัวเองไม่มีกุศลเลย ถามว่ารู้ไหมว่าต้องรีบๆ ไป รู้ไหม ไม่รู้ เพราะว่ารู้ส่วนรู้ ทำส่วนทำ รู้และทำยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใช่หรือเปล่า (ใช่) โดยเฉพาะคนที่อยู่สถานธรรมไท่อิน รับผิดชอบที่นี่ บำเพ็ญที่นี่ อาจารย์ขอให้พัฒนาตัวเองให้มาก อันชื่อว่าเรานั้นเป็นผู้ที่อยู่ศูนย์กลาง ส่วนกลางอยู่ที่นี่เป็นความน่าภาคภูมิใจ อย่าให้อยู่แล้วเสียเวลาเปล่าเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมเจี่ยงซือ)
เป็นเจี่ยงซือแล้วการที่จะก้าวหน้ามากที่สุดต้องทำอย่างไรรู้ไหม อะไรที่ทำให้ศิษย์ก้าวหน้ามากที่สุดในการเป็นเจี่ยงซือ ใช่การบรรยายธรรมหรือเปล่า การบรรยายธรรมก็ใช่ ศิษย์ยิ่งบรรยายก็ยิ่งก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แต่เป็นเจี่ยงซือแล้วอะไรที่ทำให้ก้าวหน้ามากที่สุด ก็คือการบุกเบิก ใครที่เป็น
เจี่ยงซือไม่เคยออกไปบุกเบิกเลย ไม่รู้รสชาติของการทำงาน วันนี้อยู่สถานธรรม มาช่วยงานสถานธรรม ถามว่าทุกคนกำลังปฏิบัติงานธรรม และผู้ปฏิบัติงานธรรมกำลังปฏิบัติงานธรรมหรือเพียงแค่ทำงานธรรมะ หรือเพียงแค่กำลังทำงานเท่านั้น ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย ถามตัวเองมากๆ ว่าเรานั้นปฏิบัติธรรมในการทำงานด้วยหรือเปล่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมในการทำงานด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่คิดแค่ว่าหน้าที่เราทำอะไรเราทำให้ดี ทำให้ดีแต่ใจของเราไม่ได้ทำอะไรเลย อันนี้ไม่เรียกว่าปฏิบัติธรรมด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นทำงานและปฏิบัติธรรม
เจี่ยงซือไม่เคยออกไปบุกเบิกเลย ไม่รู้รสชาติของการทำงาน วันนี้อยู่สถานธรรม มาช่วยงานสถานธรรม ถามว่าทุกคนกำลังปฏิบัติงานธรรม และผู้ปฏิบัติงานธรรมกำลังปฏิบัติงานธรรมหรือเพียงแค่ทำงานธรรมะ หรือเพียงแค่กำลังทำงานเท่านั้น ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย ถามตัวเองมากๆ ว่าเรานั้นปฏิบัติธรรมในการทำงานด้วยหรือเปล่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมในการทำงานด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่คิดแค่ว่าหน้าที่เราทำอะไรเราทำให้ดี ทำให้ดีแต่ใจของเราไม่ได้ทำอะไรเลย อันนี้ไม่เรียกว่าปฏิบัติธรรมด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นทำงานและปฏิบัติธรรม
ใครต้องการกำลังใจบ้างยกมือขึ้น ไม่เห็นมีใครถามเลยว่าอาจารย์ต้องการกำลังใจไหม ขอให้ศิษย์ทุกคนตั้งใจดีๆ และก็ราบรื่นที่สุดเท่าที่จะราบรื่นได้
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ความเป็นหนึ่งเดียว”
ทุกสิ่งจากหนึ่งนี้ ใจตน
หวังเพิ่มเป็นมากล้น ยิ่งสร้าง
มีแล้วไม่สุขผล เหมือนไม่ มีต่าง
มีเท่านี้อาจน้อยบ้าง แค่นี้ สุขใจ
ตัดทุกข์คงสุขไว้ ไม่มี
เหมือนต่างล้วนหนึ่งนี้ เกี่ยวไว้
ดีร้ายแค่เรื่องที่ ใจต่าง
มืดสว่างอยู่ร่วมได้ เช่นนี้ สัทธรรม
หนึ่งเกิดจากทั่วถ้วน โลกีย์
ทั้งหมดจากหนึ่งมี ทั่วหล้า
แท้จริงดั่งเช่นนี้ ตลอดมา
ยึดแบ่งรักชังกล้า ยากแจ้ง รู้จริง