วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2550

2550-04-21 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช


西元二○○七年歲次丁亥三月初五日    娃娃仙女慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

    ยามสงบยากมองเห็นซึ่งนิสัย    พอกระทบเรื่องใดจึงได้เห็น
รู้ระวังด้วยสติสุขุมเย็น    ไม่ควบคุมอารมณ์เป็นภัยแก่ตัว
        เราคือ
    อว๋าอวาเซียนหนวี่    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามทุกท่านยินดีต้อนรับเราไหม

    อันเงินทองกองตรงหน้ายากสละ    อันฐานะเมื่อแต่งตั้งใครย่อมหลง
จงเตือนตนครั้งอยู่นานบรรทัดตรง    การบรรจงที่คิดร้ายพิษซ่อนใน
หวังพะวงก็ในข้างหน้าทางชีวิต    คิดไม่เป็นเหมือนทางปิดสิ้นสงสัย
เงาตะคุ่มเดินซุ่มตันอกตันใจ    เดาเรื่อยเปื่อยติดอะไรไม่รู้ตน
ใจยามนั้นในวันที่เป็นทุกข์    แม้แต่ฝันยังทุกข์ฟากฟ้าหม่น
หวังมีสุขมีไม่ให้ยินยล    จะครวญจะใคร่เหมือนสับสนเหลือกำลัง
จงอย่าไปฉุนเฉียวก็แค่ทำใจ    เรื่องมากมายเหลือที่ขัดที่ขวาง
ขัดเกลานั้นฝึกใจเกิดธรรมสว่าง    ปัญญาจางยิ่งในภยันตรายรู้รัดกุม
คนยิ่งฝึกยิ่งลดยิ่งเอาจริง    สภาวธรรมเรื่องไร้ยิ่งคนแตกกลุ่ม
ถูกใครเข้ามาก่อกวนพึงสุขุม    วาจานุ่มเท่ากันที่พูดรู้ความ
ในความคล้ายก็แท้เทียมเวียนรำพึง    ความคิดคลึงกันเปลี่ยนใครไม่ห้าม
เปลี่ยนมุมมองใหม่ความจริงเปลี่ยนตาม     ห่วงทำอยู่ทนทุกข์ลามดั่งไฟ
คุณธรรมใจครบแต่รู้ทำไม่ครบ    ใจบรรจบแบบนี้ไม่อาจยิ่งใหญ่
หนักเท่าเดิมเท่าหนักวานนี้ไหม    ความเกียจคร้านทำอะไรไม่เคยเหมาะ
ฮิ ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
มีคำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ต้องฟังเสียงสะท้อน” ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเรายอมรับไหมเวลาเสียงสะท้อนกลับมา ใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้โมโห ใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ขี้บ่น  ใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ถูกเสมอไม่เคยผิดเลย  การยอมรับก็เป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะถ้าเรากล้ายอมรับก็แปลว่าเรากล้าที่จะแก้ไขและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
มนุษย์เรานั้น  การจะให้ยอมรับก็เป็นเรื่องยาก พอยอมรับแล้วให้เดินไปสู่การแก้ไขยิ่งยากกว่า แต่พอเดินไปยอมรับแล้วแก้ไขได้แล้ว แล้วรักษาสิ่งที่ตัวเองแก้ไขได้ให้อยู่กับตัว จากคนโกรธก็เปลี่ยนเป็นคนไม่โกรธ และไม่โกรธตลอดไปก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เราบอกว่าเราอดทนได้ เราไม่โกรธได้ เราไม่โมโหได้ แต่ตลอดชีวิตเราอดทนได้ไหม  การเป็นคนที่พอโกรธก็โกรธทันที พอเศร้าก็เศร้าทันที พอดีใจก็ดีใจทันที คนแบบนี้ดีไหม สมมติมีใครมาว่าอย่างนี้ ไม่พอใจโกรธทันทีเลย ด่าทันทีเลย ไม่ต้องเก็บแล้วอารมณ์ ไม่ต้องควบคุมแล้ว พอมีใครมาทำให้ชอบ มีใครมาทำให้รัก ก็ดีใจทันทีเลยดีไหม
สมมติมีคนบอกว่าลอตเตอรี่ใบนี้ถูกรางวัล แต่ว่าขี้เกียจไปแลก เราเอาเงินจากท่านแค่ครึ่งเดียว แล้วเอาลอตเตอรี่นี้ไปเลยเอาไหม (ไม่เอา)  หรือถ้าสมมติมีคนบอกว่าวันนี้ลงทุนหนึ่งร้อยให้เก็บไว้ที่ฉันก่อน อีกสองวันจะได้เป็นหนึ่งพัน แล้วพอสองวันผ่านไปได้หนึ่งพันจริงๆ  คราวนี้เขาก็เลยเสนอต่อว่าถ้าทิ้งไว้หนึ่งหมื่นจะได้เป็นแสน คนที่ตอนแรกทิ้งไว้หนึ่งร้อยแล้วได้หนึ่งพันเขาอยากได้ไหม  
สิ่งที่เราพูดนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ถ้าคนรู้จักเรียนรู้สังคมก็รู้จักที่จะเอาตัวรอด แต่ถ้าเกิดคนที่ไม่รู้จักเรียนรู้สังคมก็ง่ายที่จะถูกหลอก  จึงมีคำกล่าวว่า “อย่ารอให้สังคมมาเข้าใจเรา แต่เราต้องรู้จักเข้าใจและเรียนรู้สังคม”  อย่ารอให้สังคมมาเรียนรู้เรา แต่เราต้องรู้จักเรียนรู้สังคม แล้วเราจะได้ไม่ถูกหลอก ไม่ต้องทุกข์ เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาหรือความอยากได้อยากมี
แต่ในความเป็นจริงเมื่อเราเริ่มต้นมีชีวิต เราก็ไม่สนใจใคร เราบอกว่าสิ่งสำคัญเขาต้องเข้าใจเรา  แค่เริ่มต้นก็บอกก่อนแล้ว  การมีชีวิตอยู่แล้วเราจะเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในสังคมนั้น เราต้องรู้จักเรียนรู้สังคมให้เป็นด้วย ไม่ใช่อยู่ๆ เข้าไปแล้วก็โดนหลอก โดนหลอกไปกี่ครั้งแล้ว (หลายครั้ง)  เพราะปล่อยให้สังคมมาสอนก่อนแล้วถึงจะจำใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงจำไว้นะ เราจะไปอยู่กับใครก็ตาม โดยเฉพาะคนที่เราไม่เคยรู้จัก อย่ารอให้เขามารู้จักเราก่อนแล้วเราค่อยบอกว่าไม่น่าเลย แต่เมื่อเราจะเข้าไปอยู่ที่ใดก็ตามจงรู้จักเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นก่อนให้เข้าใจ แล้วเราจะได้ไม่ถูกหลอก เช่นถ้าเราอยากจะได้คนนี้เป็นแฟน เราก็ต้องเรียนรู้เขาก่อน มิเช่นนั้นก็จะถูกเขาใช้โดยไม่รู้ตัว  เพราะอะไร (เพราะความรัก)  เอาง่ายๆ เวลาเรารักใคร เขาว่าอะไรเราก็เชื่อ เห็นเขาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เขาว่าซ้าย ฉันก็ซ้าย เขาว่าขวา ฉันก็ขวา แล้วถ้าเกิดว่าคนๆ นั้นเขาไม่ได้รักเราจริงๆ เรามิต้องโดนจูงจมูกไปตลอดชีวิตหรือ  กว่าจะตาสว่าง เราก็รักเขาไปแล้ว แล้วคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ไม่รู้จักเรียนรู้เขาให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกแบบหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือโกรธง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็หงุดหงิด เคยไหมที่ถูกเขาเสี้ยมให้ชนกัน ไม่เคยโกรธแต่ก็ต้องมาโกรธกับคนนี้ ก็เพราะว่าโดนคนอื่นพูดยุแยง แล้วมารู้ทีหลังว่ามือที่สามนั่นแหละตัวดี ใช่ความผิดของเขาไหม (ไม่ใช่) เพราะเราโง่เองที่ไปเปิดประตูหัวใจให้เขาเห็นหมด เกลียดอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สังเกตไหมว่าถ้าเรารู้ว่าคนๆ หนึ่ง ชอบอะไร เกลียดอะไร และไม่พอใจอะไร การที่จะดึงเขาไปซ้ายไปขวาก็ง่าย ใช่ไหม (ใช่) เราจึงควรเป็นคนที่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองหรือไม่ควบคุมอารมณ์ตัวเองดี (ควบคุมตัวเอง) ฉะนั้นเราก็ต้องยอมอึดอัดหน่อย จะแสดงอารมณ์อะไรออกมาให้คนอื่นเห็นง่ายๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าจะโกรธก็โกรธไม่ได้ ถ้าโกรธออกมาชัดเจน เดี๋ยวคนเขาจะรู้ว่า คนนี้โกรธง่ายๆ เพราะเรื่องนี้นะ
การโกรธง่าย ยินดีง่าย รักง่าย ควรทำที่ไหนจึงจะปลอดภัยที่สุด (ทำในบ้าน) อยู่ข้างนอกอย่าทำเพราะอันตราย แต่อยู่ในบ้านทำไปเถอะ  สมมติว่าภรรยาบอกสามีว่าทำอย่างนี้ ฉันไม่ชอบ ฉันจะโกรธนะ ต่อไปเขาจะทำไหม หรือภรรยาบอกสามีว่าเธอทำแบบนี้ฉันชอบ เธอทำนะ แล้วเขาจะรู้จักทำเอาใจเราไหม (เอาใจ) เราจับจุดได้ไหมว่าสามีภรรยาหรือลูกชอบอะไร เกลียดอะไร แล้วถ้าในครอบครัวเรายังหาความสุขให้กันไม่ได้ ยังหลีกทุกข์ต่อกันไม่ได้ก็ลำบากแล้วนะ ฉะนั้นการอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะในครอบครัวชอบอะไร เกลียดอะไร บอกให้ชัดเจน เขาจะได้ไม่ทำอย่างนั้นกับเรา จริงไหม (จริง) ง่ายนิดเดียว แค่พอคุณเปิดประตูมาเจอหน้าฉัน แล้วบอกว่าสวยจังเลย  แล้วสามีต้องการอะไรจากภรรยาล่ะ แค่รอยยิ้ม  แล้วถามว่า เหนื่อยไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องรู้จักควบคุมและบังคับบัญชาให้เป็น ถ้าปล่อยให้มันพลุ่งพล่าน เรานั่นแหละจะเป็นคนที่นำภัยมาสู่ตัวเอง แล้วคนที่สามารถควบคุมอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงได้ จะอยู่กับใครก็สามารถวางตัวได้อย่างเหมาะสม พูดอะไรก็ดูน่ารับฟัง น่าเชื่อถือ
“ยามสงบยากมองเห็นซึ่งนิสัย พอกระทบเรื่องใดจึงได้เห็น”
เวลาปกติเราไม่รู้หรอกว่าคนนี้นิสัยอย่างไร คนนั้นนิสัยอย่างไร จะรู้จักนิสัยคนๆ นั้นก็ต่อเมื่อมีอะไรมากระทบตัวกระทบหัวใจ ฉะนั้นเวลาเราอยู่กับใครทุกคนดูดีไปหมด แม้เขาจะบอกว่าเขาเป็นคนขี้โมโห ก็ไม่เชื่อ จะเชื่อก็ต่อเมื่อเห็นกับตาว่าเวลาเขามีอะไรมากระทบแล้วเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“รู้ระวังด้วยสติสุขุมเย็น  ไม่ควบคุมอารมณ์เป็นภัยแก่ตัว”
เราเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ถ้าไม่มีอารมณ์โกรธ ก็ต้องมีอารมณ์รัก แล้วรักมากก็ทุกข์มาก ใช่ไหม (ใช่) ไม่พอใจก็ย่อมนำความทุกข์มาให้ แล้วเราหยุดรัก หยุดโกรธ หยุดเกลียดได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา อยากรู้วิธีที่จะควบคุมอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ของตัวเองไม่ให้เดือดร้อนมากเกินไปไหม อารมณ์เป็นภัยแก่ตัวใช่หรือไม่ เวลาจะรักจะโกรธใครขอให้มีสติดึงใจกลับมาสักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยอารมณ์ออกไป และก็ลองมองดูซิว่าเขาสมควรที่เราจะรักตอบไหม สมควรที่เราจะเชื่อในความรักเขาไหม วันที่เรารักกันอยู่ ขอให้มีสติ เมื่อมีสติ ปัญญาย่อมเกิด แต่ถ้าในชีวิตเราทำอะไรใช้อารมณ์เป็นตัวนำ สติจะมีไหม แล้วปัญญาจะตามมาหรือเปล่า เหมือนวันนี้จะนั่งฟังโดยไม่สนใจอะไรเลยก็ไม่ได้ ก็ยังต้องมีสติ คอยคิดพิจารณาสิ่งที่เราพูดอยู่ทุกขณะ จะได้ไม่ถูกเราพัดพาความคิดไปใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่กับใครก็ตามระวังได้แต่อย่าระแวง เคยไหมความใจดีของเราก็สามารถนำภัยมาสู่เราเหมือนกัน ใจดีกับคนไปทั่วก็กลายเป็นว่าเปิดประตูเอาภัยเข้ามาสู่บ้าน เพราะความที่เชื่อคนมากเกินไป ฉะนั้นระวังได้แต่อย่างระแวง ถ้าอยู่ด้วยความระแวงเกินไปก็กลายเป็นทุกข์
วันนี้สิ่งที่ท่านจะศึกษาเรียนรู้ไม่ใช่ร่างกายตัวนี้ ไม่ใช่การยืมร่างแต่คือหลักธรรมะที่พูดออกไปจากเรา ลองฟังสิ่งที่เราพูดแล้วเอาไปคิดพิจารณา เวลาเราอยู่ด้วยกันเราสนใจกันแค่เพียงเปลือกนอกหรือเปล่า (ไม่ใช่) สิ่งที่ทำให้เรากับคนอื่นอยู่ร่วมกันได้ยืดยาวคือความประพฤติที่ดีงามต่อกัน การปฏิบัติที่ถูกต้องต่อกัน ที่จะทำให้เราลืมเขาไม่ลง หรือที่ทำให้เรารักเขาจนตัวตาย ไม่ใช่เพราะรูปร่าง แต่เพราะความประพฤติการแสดงท่าทางคำพูดคำจาต่างหาก
ฉะนั้นเวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ตามหรือเวลาเราปฏิบัติกับใครก็ตามอย่ามองแค่เพียงเปลือกนอกแต่ต้องมองให้เห็นการประพฤติคุณงามความดีข้างในของเขา เหมือนเราจะกินผลไม้เรายังต้องรู้จักแกะเปลือกเพื่อเอาเนื้อใน ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกับคน เราก็ต้องรู้จักกะเทาะเปลือกเพื่อมองให้เห็นเนื้อแท้ข้างในด้วย ไม่เช่นนั้นสายตาและหูของท่านอาจจะถูกหลอกได้ง่ายๆ
ท่านรู้ไหมว่าบางครั้งสิ่งที่ท่านชอบก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เกลียดได้ในบัดดล และสิ่งที่เกลียดก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ชอบในทันที เราพูดมีความหมายว่าบางเรื่องในโลกที่เรารู้สึกชอบ แต่บางครั้งถ้าเปลี่ยนภาวะรอบกาย เปลี่ยนคนควบคุม เรื่องที่ชอบก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ชอบจริงไหม (จริง)
ถ้าให้ร้องเพลงชอบไหม (ชอบ) เราจะให้ส่งผลไม้ไปเรื่อยๆ พอเพลงหยุดที่ใคร คนนั้น ก็ต้องออกมาเต้น
เห็นไหมว่าเพลงสนุกๆ แต่ถ้าเพลงหยุดผลไม้ไปอยู่ที่ใคร คนนั้นก็ทุกข์เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราตกลงกันไว้ว่าผลไม้ไปอยู่ที่ใครคนนั้นจะต้องออกมาเต้น จำได้ไหมเราบอกว่า บางครั้งสิ่งที่เราเกลียดที่สุดก็อาจจะพลิกผันกลายเป็นสิ่งที่เราชอบ   บางครั้งสิ่งที่เราชอบที่สุด
ก็อาจจะพลิกผันกลายเป็นสิ่งที่เราเกลียด
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนำนักเรียนออกมาทำท่าตัวตลกหนังตะลุง)
การทำให้คนอื่นมีความสุขไม่ใช่เรื่องยากเลย   ขอให้กล้าแสดงออกบ้างเท่านั้นเองใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างเช่นในบ้านกำลังเครียดไม่มีใครยิ้มเลย เราลุกขึ้นมาแล้วทำท่าตัวตลกในหนังตะลุง หายเครียดเลยใช่ไหม(ใช่) บางทีทุกข์มากๆ แก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้ ลองลุกขึ้นมาแล้วทำท่าอย่างนี้สิ บางทีอาจจะหายเครียดและปัญญาอาจจะเปิดก็ได้ ใช่หรือไม่  (ใช่)
เคยไหมทุกข์ถึงที่สุดก็คือความสุขได้ ถ้าเรารู้จักพลิกโอกาสของเรา ถ้าเกิดว่าตอนนี้เรารู้จักควบคุมอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้ปล่อยออกมาง่ายๆ แล้ว แต่บางครั้งก็มีเรื่องที่ทำให้ต้องกระทบกระทั่งกับคนอื่นได้ เราสมมตินะว่าการกระทบกระทั่งของคนในโลกก็เปรียบเหมือนคนที่กำลังเดินอยู่ แล้วบังเอิญคนที่เราไม่คิดว่าจะต้องมีเรื่อง เขากำลังยืนขวางสะพานที่เราจะเดินข้ามสะพานไป เคยไหม จริงๆ  แล้วเขาไม่น่าจะมามีปัญหากับเราได้ แต่ทำไมเราต้องมาเจอกับคนๆ นี้แล้วทำไมคนๆ นี้ต้องมาเจอกับเรา โลกนี้กว้างใหญ่แต่บังเอิญเราสองคนใจตรงกันแล้วกำลังจะเดินข้ามสะพาน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งยืนขวางสะพาน อีกคนหนึ่งกำลังเดินข้ามสะพาน  สมมติเหตุการณ์ครั้งแรกให้นักเรียนที่ยืนขวางสะพานอารมณ์ดี นักเรียนอีกคนหนึ่งขอเดินผ่าน ก็ให้ผ่านไปโดยดี  ครั้งที่สอง  ให้นักเรียนที่ยืนขวางสะพานอารมณ์ไม่ดี  แล้วมีนักเรียนอีกคนพูดดีๆ  ขอเดินผ่านยังไงก็ไม่ให้ผ่าน)
ในโลกปัจจุบันนั้นแปลกถ้าเราเจอคนที่เขากำลังอารมณ์ดี ไม่มีปัญหาอะไรกับเรา เขาก็ให้ผ่านไป แต่ถ้าเกิดว่าตอนนี้เราเจอคนที่อารมณ์ไม่ดี เห็นหน้าแล้วเหม็นขี้หน้าจริงๆ ไม่ให้ผ่านไปง่ายๆ เราจะทำอย่างไร ถ้าเจอคนแบบนี้ให้ถอยก่อน เพราะว่าถ้าพูดอะไรไปบางทีอาจจะเป็นการทำให้เขายิ่งไม่พอใจ แต่ถ้าเกิดตอนนี้รีบ ท่านจะทำอย่างไร (พี่ขออนุญาตหน่อยนะผมจะรีบไปทำงาน)  สักวันหนึ่งเราไปเจอกับคนที่ไม่มีเหตุผลเลย  ชักแม่น้ำทั้งห้าแล้ว พูดแล้วพูดอีก ยังไงก็ไม่ยอม เพราะอะไรถึงไม่ให้ผมไป เคยเจอไหม (หาสะพานใหม่)  สะพานที่ไหนสร้างเสร็จในวันเดียว แล้วถ้าเกิดว่าสะพานอีกอันหนึ่งมันอยู่ไกลจะทำอย่างไร ใครคิดออกบ้าง  
ในโลกของความเป็นจริง เราเจอทั้งคนที่ดีและคนที่ร้าย  เราจะหลีกเลี่ยงให้สังคมเรามีแต่คนดีถูกใจเราหมดเป็นไปได้ไหม ฉะนั้นเราอย่าหลีกหนีบทเรียนที่เลวร้าย ยิ่งบทเรียนใดเลวร้ายมากเท่าไหร่ เรายิ่งศึกษาและเข้าใจให้มากๆ เพราะว่าบทเรียนที่เลวร้ายนี่แหละจะเป็นครูที่ดี ที่ทำให้เราสามารถเอาไปใช้ในชีวิต ในเมื่อเราเกลียดเขาก็ไม่ได้ เพราะถ้าเกลียดเขาก็ไม่ให้ไป ฉะนั้นก็พยายามทำความคุ้นเคยไว้ คนเราเวลาคุยอะไรมากๆ เข้า เราย่อมรู้จุดอ่อนจุดแข็งใช่ไหม (ใช่)  
ยิ่งคุยมากเข้าเราก็จะรู้ว่าเวลาเราพูดอะไรแล้วเขายิ้มแบบหุบไม่ลง
เราต้องจับจุดตรงนั้นให้ได้ พอจับจุดเสร็จก็ยืมเอาจุดตรงนั้นมาทำให้เขาตามเราไป พอคราวนี้เขาตามเราแล้ว เราจะซ้ายเขาก็ต้องซ้าย เราจะไปขวาเขาก็ต้องไปขวาได้ตามใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วิธีที่จะจับจุดคนในโลกให้ออก มีไม่กี่วิธีอยากรู้ไหม (อยากรู้)  ง่ายๆ เลย ข้อหนึ่ง ในโลกนี้ใครๆ ก็ชอบคำชม ฉะนั้นเห็นเขายืนเราก็ถามเขาว่าพี่เมื่อยไหม ผมจะนวดให้ พี่ยังไม่ให้ผมไปไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เราก็เล่าความน่าสงสารของเรา คนเรายิ่งทำให้ตัวเองต่ำแล้วเขาสูงมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งรู้สึกภูมิใจแล้วก็ดีใจใช่ไหม (ใช่)  เมื่อภูมิใจดีใจเขาก็เริ่มชอบแล้ว คนนี้มันเข้าใจพูดนะ พอเราเริ่มผมนี่น่าสงสารชีวิตลำบาก แม่ป่วยวันนี้ผมเพิ่งว่างจะได้ไปดู เขาจะเริ่มคล้อยตามเราไหม พี่นี่เป็นคนโชคดีจริงๆ นะร่างกายก็กำยำ หุ่นก็ดูดี มองก็สมาร์ท พี่ทำได้อย่างไรบอกผมบ้างซิ เขาชอบไหม (ชอบ)  เมื่อชอบแล้วคราวนี้เมื่อเราพูดอะไรแล้ว เขาก็ต้องเริ่มเชื่อ แต่อย่าเพิ่งพูดขอเขาทันที งั้นขอผมข้ามสะพานเลยนะ เขาไม่ให้หรอกต้องใจเย็นๆ  จำไว้นะ  คนในโลกชอบให้คนอื่นเรียกเขาเป็นครู เรียกเขาเป็นอาจารย์  หรือชมว่าเขาดี อย่าไปตำหนิ ตำหนิเมื่อไหร่จบเมื่อนั้นจริงไหม (จริง)  ทำไมพี่ไม่ให้ผมข้ามสะพานพี่ใจดำจริงๆ ไม่เห็นใจผมบ้างเลย รับรองไม่ได้ไปแน่ถูกไหม (ถูก)  
ฉะนั้นจำไว้นะถ้าเราอยากจะให้เขารักเรา เข้าใจเรา เราจะต้องรู้จักเห็นเขาเหมือนครูอาจารย์ พอเขาเป็นครูอาจารย์เขาก็ย่อมภาคภูมิใจ พอเขาภาคภูมิใจเขาก็เริ่มเชื่อถือและไว้วางใจเราแต่ในทางกลับกัน โดยทั่วไปคนเราชอบให้คนเคารพ ไม่ชอบให้คนดูถูก แต่ตัวเราต้องรู้จักรับคำเคารพและรับคำดูถูกให้เป็น เพราะอย่าลืมว่าคำหวาน คำชมมากๆ จะทำให้เราเหลิงและทำให้เรามองตัวเองได้ไม่ชัด และในน้ำตาลนี่แหละที่จะฆ่าเราให้ตาย ฉะนั้นคนอื่นชอบคำชมก็ไม่เป็นไร แต่ตัวเราต้องชอบทั้งคำชมและคำติ เพราะการที่เรากล้าที่จะรับฟังคำติ จะทำให้เรามองเห็นทั้งส่วนดีและส่วนเสีย เวลาโดนชมมาก เราจะได้ไม่เหลิง
ข้อที่สองก็คือ นิสัยของมนุษย์โดยทั่วไปมักจะมองเห็นคนอื่นได้แจ่มชัด แต่มองตนเองได้ไม่ชัด นิสัยอีกอย่างที่มนุษย์แสนฉลาดมักเป็นก็คือ มองคนอื่นได้ทะลุปรุโปร่ง เห็นหมด รู้ใจเขาไปหมด แต่ถามว่าตัวเองเป็นอย่างไรกลับไม่รู้ แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า คนที่มองคนอื่นได้ทะลุปรุโปร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอันตรายต่อตัวเองมากเท่านั้น ถ้ารู้มากแล้วพูดมากก็อันตรายใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นรู้มากก็ต้องรู้จักพูดให้ถูกเวลา ไม่อย่างนั้นการรู้มากนั่นแหละจะเป็นการฆ่าตัวตาย อย่างที่รู้ๆ กันว่าปลาหมอตายเพราะปาก ถึงเราจะรู้ดีขนาดไหนก็อย่าพูดมาก แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีคนรู้เรื่องเรามาก เราชอบไหม (ไม่ชอบ) ถ้ารู้ใจน่ะชอบ แต่ถ้ารู้ดีเกินไปก็รำคาญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยพื้นฐานไม่มีใครอยากให้ใครมาเปิดใจเราทั้งหมด พอเปิดมากๆ เราก็ต้องจัดการเพราะเขารู้ดีมากไปหน่อย แต่ในทางกลับกันถ้าเรามีคนรู้ใจและรู้ดี อย่ารำคาญ เพราะคนรู้ใจและรู้ดีจะช่วยเตือนสติเรา ไม่ให้รักอย่างบ้าคลั่ง ไม่ให้โกรธอย่างวู่วาม ไม่ให้ทำอะไรที่ไม่มีมารยาท หรือไม่ให้หลงอะไรอย่างงมงาย ฉะนั้นต่อคนอื่นกับต่อตัวเองต้องตรงข้ามกันนะ ต่อคนอื่นถ้าเขาไม่ชอบเราก็อย่าทำ แต่ต่อตัวเองถึงไม่ชอบอย่างไร เราก็ต้องพยายามทำแล้วก็ฟังเขาไว้ เพราะเป็นข้อดี ใช่ไหม (ใช่) หูเลือกฟังแต่สิ่งที่ชอบได้ไหม (ได้)
ตาเลือกมองดูแต่สิ่งที่อยากมองได้ไหม (ได้)
ข้อสาม เคยเห็นไหมคนที่พูดอะไรกับเราแล้วเขาก็บอกว่าฉันเป็นคนสุดโต่ง รักใครรักสุดๆ เกลียดใครมันต้องตาย ถามจริงๆ อยู่กับคนแบบนี้กลัวไหม (กลัว) แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะไม่ทำให้เขาเกลียด (ไม่ได้) แล้วคนนี้จะมีเพื่อนไหม (ไม่มี) ฉะนั้นเมื่ออยู่ในสังคมอย่าเป็นคนสุดโต่ง ชอบความดีแต่เกลียดความชั่ว แต่เมื่อไหร่ใครทำผิด ฉันจะด่าและฆ่ามันให้จมธรณี คนที่กล้าพูดแบบนี้ ใครจะอยู่ด้วยไหม (ไม่อยู่) เพราะไม่มีใครในโลกที่จะดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกัน เวลาที่เราชอบอะไรหรือเกลียดอะไรก็อย่าให้สุดโต่ง ไม่อย่างนั้นความชอบหรือความเกลียดของเรา จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบ และไม่สามารถเปิดโลกได้กว้างและมองคนได้ชัด ยกตัวอย่างง่ายๆ ถามว่ารัฐบาลชุดนี้กับชุดนั้น ชอบชุดไหนมากกว่ากัน ถ้าพูดเรื่องนี้เมื่อไหร่
ก็ไม่รอดทั้งนั้น จะเกลียดหรือชอบอะไรก็ต้องระวัง อย่าเกลียดถึงขนาดไม่รับฟังใครหรือไม่มองเหตุผล ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตราย
ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากก้าวเดินอยู่ในโลกนี้ทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างมีความสุข ขอให้เป็นคนสุภาพ เวลาพูดก็รู้จักพูด เวลากระทำอะไรก็ตามให้รู้จักสำรวม รู้จักระมัดระวัง ก็จะสามารถเดินอยู่ในโลกนี้ได้อย่างปลอดภัย คนที่ไปไหนก็อ่อนน้อมถ่อมตน ไปไหนก็รู้จักยกมือไหว้ พูดอะไรก็รู้จักพูดแต่คำพูดที่ดี เคยได้ยินไหมว่า วาจาดีก็เหมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่ในตัว แต่ในทางกลับกันตัวเราเกิดดื้อดึง แข็งขืนเชื่อมั่นในตัวเอง ยิ่งคิดว่าตัวเองแน่ตัวเองเก่ง ถึงจะพูดมากขนาดไหนก็ไม่มีใครรัก เพราะความไม่สุภาพ ไม่รู้จักอ่อนน้อม คำพูดห้วน ย่อมไม่น่ารักใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้นอยากเดินอยู่บนโลกนี้ อยากเป็นที่รักของทุกคนก็พูดให้ไพเราะ อ่อนน้อมให้เป็น วางตนให้เหมาะสม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทำท่าตามที่กำหนดเมื่อนับหนึ่งปรบมือ นับสองขยับแขนตีปีก นับสามกระทืบเท้า)
ผิดแล้วทำอย่างไรดี (เต้น) เต้นอะไร (เป็ด) เราบอกแล้วอยู่ในโลกต้องมีสติ ถ้าเผลอสติเมื่อไรอันตรายย่อมเกิด แล้วคนที่ทำให้อันตรายเกิดกับชีวิตเราไม่ใช่ใครอื่น ตัวเราเองทั้งนั้น
คนเรามักไม่ชอบการถูกลงโทษ แต่บางครั้งก็ต้องมีบทลงโทษเพื่อทำให้คนรู้จักอยู่ในกรอบ ฉะนั้นบางครั้งก็อย่ากลัวบทลงโทษ เพราะบทลงโทษก็ให้คุณประโยชน์เหมือนกัน ใครทำดีเราชื่นชม ใครทำไม่ดีเราอย่าได้ประณามหยามเหยียด เพราะคนทุกคนผิดพลาดได้ เราต้องรู้จักให้อภัยเขา ทุกคนในที่นี้รักตัวเองไหม (รัก) การรักตัวเองคือการทำให้ตัวเองมีสุขหรือมีทุกข์ (มีสุข) การรักตัวเองก็คือการทำอะไรก็ได้ที่ดลบันดาลให้เราพบความสุข  แล้วสุขนั้นต้องเป็นสุขที่สงบไม่ใช่สุขที่กลับกลายเป็นทุกข์
ฉะนั้นการที่เราสบายแต่คนอื่นลำบาก เรียกว่าทำให้ตัวเองมีสุข เรียกว่ารักตัวเองใช่หรือไม่ (ไม่) อย่างเช่นเรานอนตีพุงสบายรอแม่ทำกับข้าวให้กิน อย่างนี้เรียกว่ารักตัวเองแต่ไม่รักคนอื่น  ฉะนั้นการรักตัวเองที่ถูกต้องก็คือ การกระทำอะไรก็ได้ที่ผลสุดท้ายคือความสุขแล้วไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ หรือความสุขนี้ไม่ยืนอยู่บนการเบียดบังทำร้ายใคร นี่ถึงจะเรียกว่ารักตัวเองอย่างถูกต้อง ถ้าเกิดว่าเราเอาดีเข้าหาตัวเอาชั่วให้คนอื่น เช่นนี้ไม่เรียกว่ารักตัวเอง
คนเราเวลามีผลงานเกิดขึ้นเอาดีเข้าตัวเอาชั่วสาดคนอื่น เช่นนี้ไม่เรียกว่ารักตัวเอง  กับอีกแบบหนึ่ง รักสบายเกี่ยงงานลำบากให้คนอื่น อย่างนี้เรียกว่ารักตัวเองไหม คนที่รู้จักสบายตอนต้นย่อมลำบากตอนปลาย แต่ในทางกลับกันคนที่รู้จักยอมลำบากตอนต้นย่อมพบความสบายตอนปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์ทุกคนบอกว่าฉันรักตัวเองฉันห่วงตัวเอง แต่วิถีทางที่ทุกๆ ท่านทำนั้นหาใช่เรียกว่ารักตัวเองแท้จริงไม่ คนที่รักตัวเองอย่างแท้จริงย่อมไม่นำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ และย่อมไม่นำพาชีวิตไปเบียดบังทำร้ายใครเพื่อให้ตัวเองมีสุข
ฉะนั้นคนรักตัวเองที่แท้จริง ย่อมเป็นคนที่ไม่ก่อความทุกข์ให้แก่ผู้ใด และไม่เอาเปรียบใคร จึงจะเรียกว่ารักตัวเองอย่างจริงแท้ แล้วในที่นี้มีใครบ้างที่รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง บอกว่ารักพ่อแม่มากกว่าตัวเอง แต่ถึงเวลาพ่อแม่ป่วย จ้างคนอื่นมาดูแล รักตรงไหน ฉะนั้นเวลารักท่านยามทุกข์เราต้องทุกข์กว่า ยามท่านมีสุขเราต้องยอมมีสุขกว่าได้ไหม ไม่ได้ ฉะนั้นเป็นสิ่งที่ดีการที่รักพ่อแม่ยิ่งกว่าตัวเอง หากเลือกจะมีชีวิตอยู่ได้ ยอมเสียสละชีวิตตัวเองนี้ให้พ่อแม่ ถ้าคนที่ทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นคนที่ประเสริฐน่ายกย่อง แต่คนในโลกมักจะรักลูกมากกว่าพ่อแม่ตัวเอง จริงไหม อย่าลืมนะว่าลูกหากี่คนก็ได้ แต่พ่อแม่หาใหม่ไม่ได้ ถึงเวลาถ้าขึ้นเรือแล้วเราต้องทิ้งคนใดคนหนึ่ง เราทิ้งพ่อแม่ใช่ไหม ไม่มีใครยอมทิ้งลูกใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นชีวิตกับคุณธรรมจะเลือกอะไร คนๆ หนึ่งเป็นพุทธะได้ คือเขายอมสละชีวิตเพื่อรักษาคุณธรรม แต่มนุษย์ในสังคมกลับกัน หากชีวิตกับคุณธรรมฉันขอรักชีวิต ฉันไม่ยอมตายเพื่อธรรม ฉันไม่ยอมอด ฉันยอมทิ้งคุณธรรม อย่างนี้เรียกว่ารักชีวิตไหม ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกก็คือ ทุกขณะเวลาที่เรากระทำ ขอให้เราคิดให้ดีๆ จะเลือกเก็บอะไร จะเลือกทิ้งอะไร
การฝึกฝนดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็คือ ฝึกฝนว่าเราจะทิ้งอะไรแล้วเหลืออะไร หรือเราจะเก็บอะไรแล้วทิ้งอะไร ถ้าหากเราเก็บสิ่งนี้แล้วเราทิ้งคุณธรรม สมควรแล้วหรือ บางคนเงินทองกับความซื่อสัตย์ ยอมทิ้งความซื่อสัตย์เพื่อเอาเงินทอง ถามว่าผักปลอดสารพิษไหม  ไม่มีหรอกยาฆ่าแมลงใช่ไหม (ใช่) แต่จริงๆ มีไหม (มี) ฉะนั้นขายของเราก็ต้องบอกว่าความซื่อสัตย์ขายไม่ได้  มีก็ต้องบอกว่ามี ถ้าเราบอกว่ามียาฆ่าแมลงแล้วร้านอื่นบอกว่าไม่มี เป็นไปได้ไหม เราจะบอกว่าทุกร้านมันก็มียาฆ่าแมลงเหมือนกันหมด เท่ากับฆ่าตัวเองตายทั้งเป็นเลย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพูดไปตามตรง มันก็มีแต่ถ้าคุณล้างให้สะอาด แช่น้ำให้ถูก ยามันก็ออก ฉะนั้นจำไว้นะ ความดีขายไม่ได้ ทอดทิ้งไม่ได้ เมื่อใดทอดทิ้งเมื่อนั้นเราย่อมพบความยากลำบากเป็นแน่แท้     
สิ่งที่มนุษย์กลัวกันมากที่สุดก็คือ ความตาย แต่เราอยากบอกว่า สิ่งที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลัวมากที่สุดก็คือ การเกิด
ตรงข้ามกับมนุษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรพุทธะจึงกลัวการเกิด เพราะเมื่อไรที่มีการเกิดอยากได้ เกิดอยากมี  พอเราได้สองอย่างแล้ว เราก็กลัวผิดหวังในความอยาก ผิดหวังในความมี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสู้เรารู้จักลดความอยาก ลดความหวังดีไหม (ดี)   
มนุษย์มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือชอบฟังสิ่งดีๆ แต่พอถึงเวลาไม่เอาดีมาใส่ตัว ปล่อยความดีนั้นแขวนไว้อยู่ที่เขาพูดเท่านั้นเอง หรือเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า  “เมื่อไรที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่น เมื่อนั้นจะไม่ทุกข์ไม่เกิดภัยนั้นไม่มี” แล้วอะไรที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นกันล่ะ ความรัก ความชอบจริงไหม (จริง) อยากพ้นภัย อยากพ้นโศก อยากพ้นเคราะห์จงรู้จักเบาบางในความรัก ความชอบ ความเกลียดทำได้ไหม
ดูตัวอย่างง่ายๆ มีคนๆหนึ่งไม่เคยคิดจะปล่อยวางในการรักตัวเอง อะไรที่ทำให้ตัวเองสวยก็บำรุงเต็มที่ ได้ยินสูตรไหน จะไปหามาบำรุง แต่มีอยู่วันหนึ่งเขารู้สึกปวดท้องปวดจนทนไม่ไหว ก็เลยไปหาหมอ หมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง คราวนี้ถามจริงๆ ครีมที่มีเป็นร้อยกระปุกสวยๆ อยู่ตรงหน้าเขาอยากประทินอีกไหม (ไม่) เขาอยากหวังสวยอีกไหม (ไม่) ตอนนั้นเขารู้อย่างเดียวทำอย่างไรให้ตัวเองหาย
ทำอย่างไรให้ตัวเองรอดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเชื่อไหมว่าจากที่เป็นคนห่วงสวยที่สุดในชีวิต กลายเป็นคนปล่อยวางเรื่องสวยงามได้ สามารถเปลี่ยนตัวเองจากที่แต่ก่อนปลงไม่ได้คิดไม่ตกก็ต้องรู้จักปลง เพราะสาเหตุของมะเร็งคือความเครียด เครียดมากๆ จะทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ กับสาเหตุที่สองคือกินอะไรผิด อย่างเช่นชอบกินของย่างๆ เผาๆ ปิ้งๆ ทอดๆ ต้องรู้จักลด จากที่ทั้งชีวิตคิดว่าตนเองทำไม่ได้ แต่พอความตายมาจ่ออยู่ที่คอ ลดไม่ได้ก็ต้องลด ปลงไม่ได้ก็ต้องปลง วางไม่ได้ก็ต้องวาง แล้วตัวท่านในที่นี้ต้องรอให้ความตายมาจุกอกหรือ ถึงคิดที่จะปลงและปล่อยวางและรู้จักพอในโลกนี้ อย่าลืมนะว่าคนที่คิดได้แบบนี้ไม่ใช่ทุกคนจริงไหม พอรู้จะเป็นมะเร็งตาย จากที่บอกว่าจะตายพรุ่งนี้ก็ฆ่าตัวตายเลย เพราะทำใจไม่ได้ เพราะไม่เคยเตรียมใจ
ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกท่าน การที่ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐก็ใช่ แต่อย่าลืมนะว่ายาขนานเอกที่ช่วยทำให้เราป้องกันโรคและป้องกันอันตรายก็คือง่ายๆ ละเว้นสิ่งที่เป็นโทษ และรู้จักพอประมาณในสิ่งที่เป็นคุณ โทษมนุษย์รู้จักละเว้น แต่คุณประโยชน์นั่นแหละตัวดีที่ทำให้กินมากเกินไปแล้วทำให้เกิดโทษใช่ไหม (ใช่) แล้วโรคที่น่ากลัวที่สุดคือโรคที่ตัวเองกระทำ ใครชอบกินหวาน แล้วหวานแบบหยุดไม่ได้เบาหวานย่อมตามมาแน่ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่ชอบเป็นคนวิตกทุกข์ร้อน ปัญหายังไม่เกิดก็กลัวแล้ว จะรอดไหม จะอยู่ได้ไหม
จะดีไหม จะร้ายไหม รับรองเป็นโรคแน่ เคยไหมถ้ากายปกติแต่ถ้าใจคิดมากก็อาจจะเกิดโรคได้ แล้วยาขนานเอกที่ดีที่สุดในการรักษาโรคอีกอย่างหนึ่งก็คือ “กำลังใจ” ฉะนั้นถ้าเกิดบอกท่านให้ลด ให้พอ
ให้หยุด ให้อยากน้อยๆ แต่ยังทำไม่ได้ สักวันหนึ่งฟ้าหรือชะตาชีวิตจะสอนให้เราต้องทำให้ได้จริงไหม (จริง) เวลาโรคมาเตือน หรือเวลาทุกข์มันมาสะกิด คิดมากไปทำให้ทุกข์ก็ยังคิด เลิกคิดได้ไหม เลิกไม่ได้แล้วใครจะทุกข์ ก็คนที่คิดนั่นแหละใช่หรือไม่ (ใช่)  
การมาฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือ สอนให้มนุษย์รู้จักลดละในสิ่งที่ควรลดละ รู้จักเสพ รู้จักใช้ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นคุณอย่างพอประมาณ  ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เป็นคุณนั่นแหละจะทำให้เกิดโทษ เพราะเราเสพมากเกินไป เหมือนเงินโลภมากเกินไป เงินก็ทำให้เกิดภัย ความรักถ้ามากเกินไป รักก็ทำให้เกิดทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะอายุขนาดนี้แล้ว ปล่อยวางได้ไหม แต่อย่าลืมนะว่าคนอายุน้อยๆ ก็อาจตายก่อนคนอายุมากก็ได้  ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกก็คือ ขอให้พยายามตั้งตนอยู่ในกรอบแห่งความชอบธรรม เกิดเป็นคนศีลสัตย์ต้องรักษา ไม่ใช่ศีลก็ถือไม่ได้ สัตย์ก็ไม่มี คนเช่นนี้ไม่เรียกว่าคนดี อดีตที่แล้วมาเป็นอย่างไรเราไม่ว่า ขอปัจจุบันนี้ไปจนถึงอนาคตทำให้ดีที่สุด รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่สร้างเหตุและภัยให้กับตัวเองและคนรอบข้าง
ถ้าอยากมากแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็อยากน้อยหน่อย ถ้าโกรธแล้วไปทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ก็โกรธน้อยหน่อยดีไหม (ดี)
ขึ้นชื่อว่ามาฟังธรรมะ ลดได้ก็ลด เลิกได้ก็เลิก เบาได้ก็เบา ไม่มีใครหรอกที่จะดีเพราะคนพูด แต่ดีได้เพราะตัวทำเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนถึงพร้อมความบริสุทธิ์ด้วยตัวเองหาใช่คนพูด แล้วคนที่จะไปถึงความดีได้ก็ด้วยคนนั้นทำดีเอง หาใช่คนพูดชี้นำไม่  ฉะนั้นสิ่งที่เรามาพูดวันนี้ก็เพื่อหวังให้ท่านเดินไปสู่หนทางที่ถูกต้องและมีทางที่สว่างในชีวิตบั้นปลายดีไหม (ดี)  
ยิ่งอายุมากแล้วปลงได้ก็ปลง อย่าห่วงสวย ห่วงเงินทองอีกนะ อย่าลืมว่าในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง แม้กระทั่งร่างกายเรา เอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ห่วงขนาดไหนถึงเวลาก็ต้องทิ้งไว้ ถึงเวลาสิ่งที่ห่วงที่หวงนี้ไม่ใช่ที่สะสมแห่งความทุกข์หรือ ห่วงกายแต่มันทำให้เกิดทุกข์ไหม  มันเป็นแผลก็เจ็บ มันเหี่ยวก็เศร้า  ฉะนั้นปล่อยมันบ้างดีไหม (ดี)  อย่าลืมว่าสิ่งที่รักสิ่งห่วงนั้นแหละทำให้เกิดทุกข์มากที่สุด และเป็นสิ่งที่เหม็นที่สุด ร่างกายที่ว่าหอมนั้นจริงๆ แล้วเหม็น
ขี้มูกไหล น้ำตาไหล ใครจะเอาเราใช่หรือเปล่า ฉะนั้นอย่า เห็นใครสวยก็หลงรัก ลองมองดูให้ดีๆ รักก็ต้องรักอย่างมีสติ ทำอะไรขอให้มีสติปัญญาคิดให้รอบคอบ อย่าลืมว่าในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าลูก ไม่ว่าตัวเราเอง หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงเงินทองเราสามารถครอบครองได้ตลอดไหม ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนกันชม ผลัดกันชมใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าลืมว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันไม่เที่ยง อย่าคิดว่าฉันยังอายุน้อย เรื่องธรรมะเอาไว้แก่ๆ แล้วค่อยปลง
ลองถามผู้ที่แก่แล้วสิว่าปลงได้ไหม ยังห่วงหลานอยู่เลย แล้วหลานจะไปสวรรค์กับเราไหม ไม่ไปหรอกนะ ฉะนั้นหลาน ลูกก็เลี้ยงไปสิ แม่จะไปทำบุญ เพราะมีแต่บุญกับกุศลเท่านั้นที่พาเราชีวิตไปพบความสุข ฉะนั้นพูดดี คิดดี ทำดีไว้นะไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)
“คุณธรรมใจครบแต่รู้ทำไม่ครบ”
ถามว่าใจของทุกท่านเป็นใจที่ดีงามไหม เป็นใจที่บริสุทธิ์ไหม เราบอกว่าดี เราบอกว่าบริสุทธิ์ แต่บางครั้งอารมณ์มีมากกว่า ความคิดร้ายมันไปไวกว่าก็เลยทำให้สิ่งที่ควรจะดีกลับกลายเป็นไม่ดี สิ่งที่ไม่ควรทำก็เผลอทำไป แต่จำไว้นะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อภัยเสมอถ้ารู้จักกลับมาแก้ไขให้ดีขึ้น  อายุยังน้อยมีโอกาส ระวังไฟอารมณ์ของตัวเองให้มาก ๆ อย่าปล่อยให้มันพลุ่งพล่านง่ายๆ ไฟของอารมณ์มีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นไฟอารมณ์รัก ไฟอารมณ์โกรธ ต้องระวังให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นมันจะเผาตัวเองได้
ฝึกฝนได้ทำได้ก็ได้กับตัว แต่ถ้ายังฝึกฝนไม่ได้ทำไม่ได้ คนที่ทุกข์ก็คือตัวเรา  ดิ้นรนไปถึงที่สุด ถึงแม้จะมีเงินมากกว่าเขาแต่ก็ต้องตายเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยได้ยินไหมว่ามีเงินมากมายแต่ถึงเวลาก็ทำให้เรามีสุขไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักทำใจตัวเองให้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เราควรแสวงหาคืออะไรกัน ถ้าไม่ใช่คุณงามความดีที่ควรมาประดับชีวิต แล้วคุณงามความดีอะไรที่มนุษย์สามารถทำได้ ไม่ยากเลย รู้จักมีเมตตากับผู้อื่น รู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันให้กับคนอื่นทำได้ไหม (ได้) ไม่ยากเลยใช่ไหม (ใช่)  ใครทำผิดคิดร้าย แม้จะต้องเป็นตัวเราเจ็บก็รู้จักให้อภัย แต่อภัยให้ถึงสุดหัวใจนะ ไม่ใช่ยอมก็ได้ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเพื่อให้คนเป็นคนที่ดีและตั้งตนอยู่ในทางที่เหมาะที่ควร
วันนี้เรามาก็นานพอสมควรแล้วนะ มีทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็ฟังรู้เรื่องแต่จำอะไรไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้แต่เพียงว่าก็ดีเหมือนกันนะแต่ได้อะไรบ้างไหม ไม่เป็นไรนะพรุ่งนี้ยังมีอีกวันถ้าวันนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ พรุ่งนี้ตั้งต้นใหม่ก็ได้ ถ้าที่ผ่านไปฟังไม่รู้เรื่องตอนนี้ทำให้ดีก็เริ่มได้นี่ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมาฝึกฝนบำเพ็ญธรรม มาเพื่อสอนตนให้เป็นคนดีและทำตนให้ถูกต้อง ไม่ทำให้ความดีของเรานั้นหมดไปเพราะอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจบ้างไหม
อย่ามัวแต่สนใจตัวนี้ ตัวนี้ไม่ใช่ของจริงนะ ถึงเวลาก็ต้องไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่จะนำไปได้คือหลักสัจจะ ความเป็นจริงเท่านั้น
เกิดเป็นคนศีลห้ารักษาให้ครบ สิ่งที่ล่วงละเมิดมากที่สุดก็คือโกหกใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าละเว้นการโกหกได้ ศีลห้าก็ถือได้ครบแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนมีศีลมีสัตย์ สุภาพอ่อนน้อมและรับผิดชอบหน้าที่ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งแล้วทำได้ไหม (ได้)  
แล้วขั้นต่อไปก็คือรู้จักควบคุมอารมณ์ตน จำได้ไหมตอนต้น อย่าปล่อยให้โกรธหรือรักหรือเกลียด มาทำให้เราต้องพินาศไปทั้งชีวิตนะ  คงจำได้นะ แล้วอยากแก้ปัญหาก็ต้องรู้จักสามอย่าง เมื่อเวลาเจอปัญหาต้องรู้จักทำอย่างไร เคารพปัญหาใช่ไหม (ใช่) อย่ารังเกียจปัญหา
จำไว้ว่าเมื่อเจอปัญหาจงรู้จักเคารพปัญหา เมื่อเราเคารพปัญหาต้องรู้จักใช้คุณค่าของปัญหาให้เป็นใช่ไหม (ใช่) เหมือนเมื่อครู่ที่เขาเดินข้ามสะพานจำได้ไหมจะแก้อย่างไร จำให้ได้นะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ 

วันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมฉือฮุ่ย ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีฯ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

    คนทุกคนไม่รู้ต้องทุกข์เท่าไหร่  ที่ทำก็ทนไป  คนทุกคนก็คิดก็ค้นวุ่นวาย
ข้างในตนเป็นล้านครั้ง  คนทุกคนก็คล้ายผิดพลาดบางอย่าง  จากการไม่ฟังกัน
วันที่ใจได้คิดหน้าหลัง เข้าใจสัจจะของคน

        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา            ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    แม้มั่งมีแต่เกียจคร้านสักวันสิ้น    ถึงยากจนขยันทำกินย่อมดีกว่า
สำนึกดีสร้างคนสร้างคุณา    ชะตาฟ้าหรือสู้คนกำหนดไป
โลกน่ากลัวเพราะคนไม่กลัวบาป    จิตสำนึกที่ดีขาดคนใส่ใจ
เพียงตัวรอดไม่คำนึงถึงใครใคร    อวิชชาหลงซัดหัวใจให้มืดพลัน
คนทำผิดคิดร้ายโกงใครเขา    รอดตัวเบาแต่ที่สุดทุกข์หวาดหวั่น
ปิดใครมิดแต่ปิดฟ้าไม่พ้นกัน    ระวังผลสนองทันตาพามืดมน
เมื่อถึงคราวกรรมเวรมาทวงถาม    อย่าประณามโทษใครให้ขื่นขม
รู้สำนึกขอขมาน่าชื่นชม    หมั่นพร่างพรมเมตตาจิตคิดอภัย                                       ฮา ฮา  หยุด

คนทุกคนไม่รู้ต้องทุกข์เท่าไหร่  ที่ทำก็ทนไป  คนทุกคนก็คิดก็ค้นวุ่นวาย ข้างในตนเป็นล้านครั้ง  คนทุกคนก็คล้ายผิดพลาดบางอย่าง  จากการไม่ฟังกัน วันที่ใจได้คิดหน้าหลัง เข้าใจสัจจะของคน
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่คิดร้าย ข้างในก็เป็นเหมือนทางตัน ซุ่มเดินติดวนในนั้น ยามฝันยังทุกข์ไม่มีสุขเหมือนใคร จะไปฉุนเฉียวก็แค่นั้น ฝึกใจเกิดธรรมที่ภายใน ยิ่งฝึกยิ่งลด ยิ่งรู้ยิ่งไร้เรื่องเข้ามาก่อกวน
คนเท่ากันที่แท้ก็คล้ายคลึงกัน เปลี่ยนความคิดมองใหม่ ความทุกข์ทนอยู่ครบแต่รู้ทำใจ ไม่หนักเท่าเดิม       

                    ชื่อเพลง : คิดร้ายรัดแน่น
                     ทำนองเพลง : ฉันเองก็เสียใจ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ใครว่ากับข้าวไม่อร่อยบ้าง (ไม่มี)  อร่อยทุกอย่างใช่ไหม  อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ก็อร่อยได้เหมือนกัน อยู่ที่คนปรุงอยู่ที่คนดัดแปลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามบางคนก็บอกว่าอร่อย บางคนก็บอกว่าไม่อร่อย บางคนยังไม่ทันกินก็เริ่มปรุงเสียแล้ว  ฉะนั้นรสชาติอร่อยหรือไม่อร่อยอยู่ที่ใคร (แม่ครัว)  บางคนก็บอกว่ามีส่วนนะ ถ้าแม่ครัวทำเก่งรู้จักประยุกต์ใช้ของที่ไม่คิดว่าอร่อยก็กลับเป็นอร่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ของที่บางอย่างเราคิดว่าไม่น่าเอามาทำกินได้ก็กลับเอามาทำกินได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ชีวิตเหมือนการปรุงรสอาหารไหม ถ้ารู้จักปรุงให้ดีชีวิตก็มีรสชาติ ถ้าไม่รู้จักปรุงให้ดีชีวิตก็ไร้ซึ่งรสชาติ  แถมคนที่ปรุงแล้วก็ต้องฝืนกินให้หมดจริงไหม (จริง)  แล้วเราเคยปรุงชีวิตให้เค็มเกินไปไหม (เคย)  ถ้าเราบอกว่าความเค็มเหมือนความตระหนี่ เคยไหมบางครั้งเวลามี  เราก็บอกว่าไม่มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วเคยไหม  บางครั้งเราปรุงรสเปรี้ยว เปรี้ยวหมายความว่าอย่างไร คนที่เปรี้ยวมีลักษณะอย่างไร แต่งตัวจัดจ้านใช่ไหม (ใช่)  อายุมากแต่ยังแต่งหน้าจัด อายุมากแล้วแต่ยังทำตัวหล่อไม่ยอมแก่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตเราก็ต้องปรุงให้เป็นปรุงให้พอดี จะได้ไม่ทำให้คนข้างๆ รู้สึกเข็ดฟัน หรือรู้สึกเค็มเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากเค็ม เปรี้ยว แล้วยังมีอะไรอีก หวาน แต่อย่าเป็นหวานซ่อนเปรี้ยว หรือหวานอมเปรี้ยวใช่หรือเปล่า  
วันนี้ที่ท่านยอมเสียสละเวลามาสองวันก็เพื่อมาศึกษาหลักธรรม แล้วหลักธรรมสอนให้เราทำอย่างไร  ถ้าวันนี้เราจะบอกเอาแค่ง่ายๆ อย่างแรก สอนให้เรารู้จักคำนึงถึงหัวอกเขาหัวอกเรา อย่าเป็นคนที่อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง แต่ให้รู้จักคิดถึงผู้อื่นบ้าง  เพราะอะไรถึงเรียกร้องให้ท่านทำแบบนี้ ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”  ในทางกลับกันถ้า “ให้สุขแก่เขา สุขนั้นย่อมถึงตัว”   ฉะนั้นถ้าเกิดเราเป็นคนมีชีวิตอยู่รู้จักคำนึงถึงหัวอกเขาหัวอกเรา เมื่อเรากินเขาก็ได้กิน เมื่อเราสนุก เขาก็ได้สนุก ต่อไปเขาจะทิ้งคนอย่างเราไหม (ไม่ทิ้ง)  แล้วถ้าทุกคนทำอย่างนี้โลกจะวุ่นวายไหม (ไม่วุ่นวาย)  แต่ทำไมโลกปัจจุบันนี้ถึงได้วุ่นวาย  เข่นฆ่ากันได้โดยไม่เกรงฟ้ากลัวดิน  พอรู้ไหม  เอาง่ายๆ บางทีห่วงตัวเองจนลืมนึกถึงใคร  คิดถึงตนเองจนลืมว่าตัวเองนั้นได้เบียดเบียนใครหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นสิ่งที่วันนี้เรามาฟังธรรมแล้วเราขอเรียกร้องจากท่านก็คือ หนึ่งแค่ให้รู้จักคิดถึงอกเขาอกเรา เมื่อเรามีกินเขาก็ต้องมีกิน   หรือรู้จักคิดถึงส่วนตนให้น้อยหน่อย คิดถึงส่วนรวมให้มากหน่อย  ถ้าเกิดเรารู้จักคิดได้เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก  แต่คนโดยส่วนใหญ่บางทีเราได้กิน ลูกก็ต้องได้กิน คนอื่นช่างปะไรใช่ไหม (ใช่)  เอาง่ายๆ เหมือนกินข้าว พอกินอะไรอร่อยแล้วรู้สึกตักแล้วตักอีกไหม แล้วเคยมองคนข้างๆ ไหมว่าเขามีหรือไม่  ที่เราตักแล้วตักอีก เคยคิดจะตักให้เขาไหม หรือคิดจะเหลือให้เขาหรือเปล่า เอาแค่ง่ายๆ นะ ถ้าเริ่มต้นกินข้าว ไม่สนซ้ายไม่สนขวา มาครบไม่ครบฉันขอกินก่อน  อะไรที่อร่อยก็ย้ายมาอยู่ตรงหน้า  ถ้าอย่างนี้แสดงว่าคิดถึงตัวเองมากกว่าคนอื่น ส่วนอะไรชอบกิน เหมาหมด อะไรไม่ชอบกินเขี่ยทิ้ง ให้คนอื่นกินอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  เห็นไหมว่าการคิดถึงผู้อื่นถ้าเรารู้จักคิดได้คิดเป็น เราก็เริ่มทำได้ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ แล้ว  ถ้าเล็กๆ เราไม่ละเลย เรื่องใหญ่เราจะละเลยไหม (ไม่ละเลย)  เวลาจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงคนอื่นถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เป็นธรรมดาของมนุษย์เล็กๆ มองไม่เห็น ใหญ่ๆ ก็เลยมองข้ามใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือความคิด ทำไมถึงพูดว่าให้ปลูกฝังเรื่องความคิด เพราะความคิดเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถทำดีและทำชั่วได้ในชั่วขณะหนึ่ง และความคิดนั่นแหละที่เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนจากสุขเป็นทุกข์ และจากทุกข์กลับกลายเป็นสุขได้ก็ด้วยหนึ่งความคิดเอง
ฉะนั้นเราไม่ควรละเลยความคิดในตัวเราเองนี้ ถ้าคิดดี คิดเป็น คิดได้ด้วยสติ ความคิดก็นำพาเราให้ไปถูกทิศถูกทาง แต่ถ้าคิดไม่เป็นคิดไม่ได้ ใช้อารมณ์เป็นหลัก วู่วามเป็นใหญ่ การกระทำของเราก็ง่ายที่จะผิดพลาด จะทำอะไรขอให้มีความคิดที่ถูกต้องก่อน และทำอย่างไรเราถึงจะสามารถจัดระเบียบความคิดของเราได้ถูกต้อง แล้วไม่ผิดพลาด ทำได้ง่ายๆ ด้วยการวางหัวใจให้บริสุทธิ์ มีความคิดที่ถูกต้อง ยากไหม (ไม่ยาก) ถ้าหัวใจเราบริสุทธิ์ ความคิดเราถือความถูกต้องเป็นหลัก คนเช่นนี้ยากที่จะนำทุกข์นำภัยให้แก่ใคร หรือแม้กระทั่งตนเอง แต่ทำอย่างไรเราจึงจะควบคุมความคิดนี้ได้ เพราะความคิดเรานั้นห้ามยาก คิดแล้วหยุดคิดยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นต้องรู้จักมีสติกำกับอยู่เสมอ สติจะช่วยยับยั้งและควบคุมเราให้เรายั้งคิดให้ดีก่อนไม่ว่าจะไปซ้ายหรือขวา ยากไหม (ไม่ยาก) เริ่มต้นขอแค่สองอย่าง หนึ่งคือให้รู้จักคิดถึงผู้อื่น เช่น เวลาเราเดินอยู่บนท้องถนน ถนนกว้างแต่เราเดินเต็มถนนเลย คนอื่นเดินได้ไหม (ไม่ได้) สมมติว่าเจอหิน แล้วเพื่อนเดินมาอีกคนจะแซงไป เราทำอย่างไร เราจะบอกเขาไหมว่าระวังหิน ส่วนใหญ่จะระวังตัวเองไม่สนจะระวังใคร ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมขอให้ละเอียดอ่อนในความคิด เมื่อรู้จักความปลอดภัยของตัวเองก็ขอให้รู้จักความปลอดภัยของผู้อื่น ถ้ารู้จักรักตัวเองก็ขอให้รู้จักรักผู้อื่น แล้วคนเช่นนี้ก็ยากที่จะทำร้ายใคร และคนเช่นนี้แหละจะเป็นคนที่น่ารักของใครๆ
เราอยู่สองคน เราอยากเป็นคนที่รักหรือน่ารังเกียจ (คนที่รัก) ถึงเวลามีภัยมา เอาตัวรอดอยู่คนเดียวไม่สนใจคนอื่น ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าอย่างนั้นลองเทียบง่ายๆ ดูนะ ให้รู้จักคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรา อย่างที่สองคือ ให้วางความคิดให้ถูกต้องเวลาทำอะไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนว่าเรามีผลไม้อยู่สามลูก มีลูกใหญ่ ลูกกลางและลูกเล็ก ถึงเวลาจะเลือกลูกไหน)
ไม่เป็นไร สังเกตว่าคนเลือกลูกใหญ่เพราะจะเผื่อแผ่คนอื่น แต่คนที่เราคิดถึงคนแรกคือลูกหลานใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนคนที่บอกว่าเลือกลูกกลางเพราะว่าเอาตรงกลางปลอดภัยดี ใช่ไหม เล็กเกินไปก็รู้สึกว่ามันน้อย ใหญ่เกินไปก็เดี๋ยวมีเรื่อง เอากลางๆ ไว้ดีกว่า  ส่วนคนที่เลือกลูกเล็ก ถึงเวลาจริงๆ  แล้วเลือกลูกเล็กหรือเปล่า
เรายกตัวอย่างเรื่องนี้เพราะอยากจะบอกให้ท่านรู้ว่า ในอดีตมีเด็กคนหนึ่งเขามีโอกาสได้เลือกผลไม้ก่อนคนแรก และในผลไม้นั้นก็มีทั้งลูกใหญ่ลูกเล็กคละกันไป  แต่มีมากกว่าสามลูก แต่เด็กคนนั้นเขาขอเลือกที่จะเอาลูกเล็ก  แล้วผู้ใหญ่ที่เป็นคนให้ผลไม้ก็ถามเขาว่า  เพราะอะไรจึงเลือกลูกเล็ก  เขาตอบว่าอะไรรู้ไหมถ้าเกิดคนที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะรู้ เรื่องนี้เขาเอาไว้สอนเด็กๆ นะ เด็กตอบว่าผมตัวเล็กลูกแค่นี้ก็พอสำหรับผมแล้ว แต่ถ้าเกิดเป็นลูกหลานของเรา ทำอย่างนี้เราจะชมลูกว่าดีหรือเราจะบอกลูกว่าโง่  ที่ไม่ตอบแปลว่าโง่ใช่ไหม (ใช่) เพราะคนปัจจุบันคิดต่างกับเด็กคนนี้ แล้วเชื่อไหมว่าเรื่องของเด็กคนนี้ก็ยังตกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเพราะก็เพียงคิดว่าเขาตัวเล็กเอาเล็กยังมีพี่ยังมีคนอื่นที่เหมาะกับลูกใหญ่ๆ มากกว่าแต่ในทางกลับกันคนปัจจุบันกลับสอนลูกว่าทำไมลูกไม่เอาใหญ่ๆ  ลูกโง่จังเลย แต่ทำไมไม่สอนเขาล่ะว่านี่เป็นข้อดีในการสอนลูก ลูกจงรู้จักพอเพียงเพราะตั้งแต่เด็กก็รู้จักพอเพียง รู้จักประมาณตัวเองโตไปเขาก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ถ้าตอนนี้แม่พ่อสอนให้ลูกโลภตั้งแต่เด็กแล้ว โตไปเขาจะโลภมากกว่านี้ จริงหรือไม่ (จริง)
มีอีกเรื่องหนึ่งมีลูกคนหนึ่งเดินผ่านสวนแตง เห็นแตงลูกหนึ่งสุกน่ากินเขามอง ซ้าย ขวา หน้า หลัง พอเห็นไม่มีใคร เขาก็เก็บแตง  หิ้วกลับมาบ้าน  แม่กับพ่อจะพูดว่าอย่างไร ถ้าลูกเอามาจากข้างบ้าน (ไปเอาของเขาทำไม)  ไปเอาของเขามาทำไม “ผมเห็นว่ามันสุกดีเลยเอามา” (มันต้องซื้อลูก ไม่ต้องเอาของเขา) มันต้องซื้อนะ “ผมเอามาแล้วจะทำยังไงดีครับ” (ต้องสั่งซื้อเขา) ตบมือให้ทั้งสองท่านนี้หน่อย
แต่เรื่องนี้พ่อแม่กลับไม่พูดว่าอย่างนั้น พ่อแม่บอกว่าเก่งจริงๆ เลยลูก
ฉะนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆเราอย่าได้มองข้าม  เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ปลูกฝังความคิดที่ผิดๆ ให้กับลูกให้กับเด็กก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  คนที่ใกล้ชิดนั่นเอง ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามาศึกษาหลักธรรมแล้ว  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ควรมองข้าม  ถ้าเราเล่าต่ออีกว่า  วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งอยากเดินเข้าไปในป่า  แต่ด้วยความที่เข้าไปในป่าแล้วเขาไม่รู้ว่าป่านี้กว้างขนาดไหน เสบียงที่เตรียมมาก็เลยหมด บังเอิญได้ไปเจอต้นส้มต้นหนึ่งเขาเห็นผลดกจังก็เลยเก็บมากิน พอกินเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าส้มนี้อร่อยจริงๆ ไม่เคยกินส้มไหนที่หวานขนาดนี้ เดี๋ยวเขายังต้องเดินไกลทำอย่างไรดี  เขาก็เลยริดกิ่งออกมาหนึ่งกิ่ง  แล้วก็เก็บส้มออกมาอีกหนึ่งลูก  พอเขาเดินไปได้สักระยะหนึ่งเม็ดส้มที่เขากินเขาก็ทิ้งแล้วก็เอาดินกลบ  เดินไปอีกสักระยะหนึ่งทิ้งเม็ดส้มแล้วก็เอาดินกลบอีก เขาก็เอากิ่งอันนี้แหละไปแพร่พันธุ์แล้วก็แจกให้ทุกๆ คน แต่พอคนที่สองเดินผ่านมาหิวเหมือนกันพอเจอส้ม กินแล้วหวานเก็บมันไว้แล้วไม่พอเอาหมดต้นเลย แล้วก็ยินดีปรีดา เดินกลับบ้านไป ส่วนคนที่สาม กินส้มแล้วรู้สึกอร่อย คราวนี้ปักป้ายชื่อเลย ของข้า ชื่อนี้ ใครเอาไปตาย ถามว่าสองท่านนั้นท่านคิดว่าเขาทำถูกไหม (ไม่ถูก) คนที่สองที่เก็บหมดถูกไหม (ไม่ถูก) คิดแค่นี้ก็สรุปว่าไม่ถูกแล้วหรือ พอเราทักหน่อยรีบบอกถูกทันทีเลย คนที่สามถูกไหม (ไม่ถูก) ข้อเสียของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งก็คือชอบด่วนสรุปจริงไหม (จริง) ถ้าเกิดเขาเก็บไปหมด แต่เก็บไปพอกลับมาถึงหมู่บ้านแจกทุกคนได้กิน การเก็บส้มมาหมดก็ไม่ผิด แม้จะทำให้คนข้างหลังไม่ได้กิน แต่ก็ทำให้คนในหมู่บ้านเขาได้กินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ร่วมกันในสังคมอย่ามองมุมแคบ อย่ามองอะไรอย่างตายตัว เพราะบางครั้งอาจมีอะไรมากกว่าที่เราคิดก็ได้จริงไหม (จริง)
แล้วคนที่สามผิดหรือไม่ พอรู้ว่าส้มนี้อร่อยก็เลยล้อมรั้วปักป้ายชื่อ ของข้าใครอย่าแตะ คิดว่าผิดไหม (ผิด) เพราะอะไรถึงผิด (ไม่ใช่ของเรา) ไม่ใช่ของตัวเองแล้วก็ไปตีตราจองว่าเป็นของตัวเอง ใครว่าไม่ผิดยืนขึ้น เพราะอะไรถึงไม่ผิด (เพราะเขาน่าจะนำไปแพร่พันธุ์ได้) ตรงนั้นยังไม่มีใครระบุว่าเป็นเจ้าของ การที่เขาจะจองก็ไม่ผิด สวนนั้นอาจจะเป็นของเขาก็ได้ (ล้อมรั้วไว้พวกข้างหลังจะมากินได้) เพราะ  เราบอกว่าคนที่สามถ้าเกิดว่าเขาเจอส้มแล้วอร่อย เขาล้อมรั้วแล้วก็ปักป้ายชื่อผิดหรือไม่ผิด (ไม่ผิด)  รู้ไหมว่าเขาจะเอื้อเฟื้อหรือเปล่า  แล้วคนที่ไม่ตอบว่าผิดหรือถูกหมายความว่าอย่างไร ก็ไม่มีใครผิดและไม่มีใครถูกนะ  จะรู้ว่าคนดีหรือไม่ดีอย่าตัดสินแค่เพียงความประพฤติเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำแค่นิดๆ หน่อยๆ แต่มองอะไรต้องมองให้ถึงที่สุด  คนที่ตีตราจองนั้นอาจจะบอกว่าเก็บไว้  สงวนพันธุ์ไว้เพราะพันธุ์นี้ดี เผื่อเอาไว้จัดเก็บเอาไว้ให้คนอื่นต่อ หรืออีกทางหนึ่งก็คือ ฉันเก็บไว้คนเดียว คนอื่นไม่ต้องเอา แล้วคนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้จริงไหม (จริง)  เวลาที่เจอสิ่งของใดที่พึงประสงค์ต้องตาต้องใจ เราตีตราจองถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ถ้าคนที่ตอบว่าไม่ถูกน่าจะไม่มีแฟนนะ แล้วก็ไม่มีของอะไรที่จดชื่อเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเกิดคนที่บอกว่าถูกนี่แปลว่ามีแฟนไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  งั้นคนที่ตัดสินว่าคนอื่นผิด คนอื่นถูกต้องหันกลับมามองตัวเองแล้วนะ ว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกที่ตีตราจองสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ไว้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเคยไหมว่าพอตีตราจองแล้วเราต้องรับผิดชอบเขาทั้งชีวิต  ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ พอเขาสุขเราก็ดีไปด้วย แต่พอเขาทุกข์เราเหมือนทุกข์สองเท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ขยันตีตราจองของในโลกนี้เหลือเกินใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วยังอยากตีตราจองอีกไหม  ถ้าเกิดคนนั้นสวยต้องตาต้องใจล่ะ คนอายุน้อยว่าอย่างไร อยากไหม พอรักแล้วมีใครบ้างไม่ห่วง ห่วงแล้วมีใครบ้างไม่หวง พอห่วงพอหวงแล้วมีใครบ้างไม่กลุ้มกังวล มีสุขเมื่อไหร่ก็ต้องมีทุกข์อิงแอบมาเสมอๆ แต่เราก็ยังอดที่จะหวังให้มีไม่ได้ ใครตีตราจองเงินบ้าง  ใครตีตราจองทั้งบ้านทั้งรถบ้าง แล้วก็ไปไหนไม่ได้เพราะห่วงทั้งบ้านและรถ ห่วงลูก ห่วงหลาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นความทุกข์ความสุข ไม่ต้องขอฟ้าให้ช่วยประทานให้หน่อย แต่ต้องบอกตัวเองให้รู้จักประทานและคิดให้เป็น  เพราะไม่มีใครทำให้เราทุกข์นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครทำให้เราห่วงนอกจากเราสร้างห่วงขึ้นเอง
เรารู้ว่าการนั่งสองวันนี้เป็นการยากลำบากและเป็นความอดทนอย่างแสนสาหัส แต่ถ้าผ่านความอดทนสองวันนี้ได้ ต่อไปก็ถือว่าเป็นคนเก่ง เคยคิดไหมว่าตัวเองจะนั่งแล้วอดทนได้ขนาดนี้ (ไม่คิด) ถ้าเรื่องนี้เราอดทนได้ แล้วเรื่องอื่นล่ะอดทนได้ไหม (ได้) ถึงเวลานัดเขา แต่เขาไม่มาหงุดหงิดไหม อดทนไหวไหม เคยได้ยินไหมว่า “ชะตาฟ้าหรือจะสู้คนลิขิตเอง” ใช่ไหม (ใช่) ในโลกนี้มีทั้งคนไม่ดีกับคนชั่ว คำไหนฟังดูแล้วสบายใจกว่า (คนไม่ดี) ถ้าบอกว่าเราไม่ดี เรายังสบายใจหน่อยใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าบอกว่าชั่ว รับไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นให้คิดถึงอกเขาอกเรา อะไรที่เราไม่ชอบอย่าพูดให้คนอื่นได้ยิน ดีไหม (ดี) ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังคำหนึ่งที่กล่าวว่า “ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม” ถ้าอย่างนั้นถ้ามีใครทำผิด เราควรประณามเขาไหม
คุณให้อภัยเขาไหม (ให้)  แม้เขาจะขโมยเงินเราไปให้อภัยไหม มนุษย์นั้นแปลก  ใครทำไม่ดีกับคนอื่นเราให้อภัย แต่ถ้าเกิดใครทำไม่ดีกับเรา เราให้อภัยไหม เขาต่อยคนอื่นเราไม่โกรธ แต่ถ้าเกิดเขาต่อยเรา เราโกรธไหม  ลองถามฝ่ายชายโกรธไหม (ไม่โกรธ)  โกรธได้แต่ต้องใจเย็นๆ แล้วถามเขาว่าต่อยฉันทำไม แต่ถ้าถามแล้วถูกต่อยอีกรอบหนึ่ง ทนไหวไหม  สองครั้งแล้วไม่ไหว แล้วเราจะทำอย่างไร เคยเห็นไหมโดนคนเมาต่อย คุยอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง  ทำอย่างไรดี เดินหนีใช่ไหม (ใช่)  เรื่องบางอย่าง ปัญหาบางอย่างต้องรู้จักแก้ แต่ถ้าปัญหาบางอย่างแก้ไม่ได้ก็ต้องหนี แต่จะเอาการหนี มาแก้ทุกปัญหาได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเกิดหนีแล้วยังตามมาก็ตั้งมือรับ ตั้งสติรับดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกมีทั้งคนดีและคนไม่ดี  และในความเป็นคนดีในบางครั้งก็เผลอทำผิดคิดร้ายจริงไหม (จริง)  
ใครไม่เคยทำผิดคิดร้ายยกมือขึ้น ชีวิตนี้ไม่เคยคิดร้ายกับใครใช่ไหม (ใช่) ไม่เคยทำผิดเลยใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดรู้ว่าตัวเองมีดีก็เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจที่บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ดีนะ ถึงแม้ว่าจะเคยทำผิดก็ลืมไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร เคยไหมตัวเราทำดีอะไรจำได้หมด แต่ทำชั่วกี่ครั้งจำไม่ได้ ใครทำดีแค่ไหนจำไม่ได้ แต่ทำชั่วเล็กน้อยจำได้แม่นยำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรักษาความดีให้ตลอดนะ
ใครทำผิดวันนี้รอดตัว วันนี้ไม่โดนทำโทษ อย่าคิดว่าตะแกรงแห่งฟ้านั้นรูใหญ่ แต่อยากจะบอกว่า ตะแกรงแห่งฟ้าถึงจะรูใหญ่ แต่ก็ครอบคลุมทุกๆ คน ใครทำผิดไม่ว่าจะเล็กขนาดไหนหรือใหญ่ขนาดไหน ฟ้าจดไว้หมดแล้ว กฎแห่งกรรมนั้นเที่ยงตรงยุติธรรม ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ขอเพียงเกิดเป็นคน ดีชั่วผ่านไปแล้วไม่เป็นไร แต่นับจากนี้ไปทำดียิ่งๆ ขึ้น และเมื่อเจออุปสรรคความยากลำบาก ก็รักษาความดีนั้นดุจเกลือรักษาความเค็มไม่ยอมทิ้งคุณธรรมความดีในหัวใจ เช่นนี้ฟ้าก็ยกย่องเช่นนี้ฟ้าก็อยากจะเชิดชู แต่กลัวอย่างหนึ่ง คือพอทำดี พบเจออุปสรรคก็ยอมทิ้ง เจอความยากลำบากก็ไม่แบกแล้ว ไม่อยากดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเคยเห็น หินไหม เราอยากรู้ว่า ขาวหรือไม่ขาว เราต้องทำอย่างไร มองข้างนอกอาจจะไม่ขาวจริงใช่หรือไม่ (ใช่)   ถ้าเราอยากรู้ว่าขาวจริงหรือไม่จริงเราต้องทุบ หรือเอาไปเผา เอาไปเจียระไนใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหินที่ขาวจริง ทุบแล้วแตกแล้วก็ยังขาว ไผ่ที่ตั้งตรงอย่างแท้จริง แม้จะผ่ากี่ซีกๆ ลำต้นก็ยังตรง ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์ถ้ามีดีอย่างถ่องแท้อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ากลัวอุปสรรค เพราะถ้าเกิดเจออุปสรรคความยากลำบาก ยังรักษาดีได้ ถึงจะเรียกว่าดีอย่างแท้จริง คนจะดีจริงไม่ดีจริง อย่ากลัวฟ้าหรือคนทดสอบ
จำไว้นะ ถ้าวันหนึ่งฟ้าทดสอบความดีของท่าน อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะวันนั้นแหละคือวันที่พิสูจน์ว่าท่านดีจริงหรือไม่จริง และจะก้าวจากคนธรรมดาเป็นคนดีได้หรือไม่ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ พอทำดีไปได้สักพักหนึ่งก็ยอมแพ้ เพราะกลัวความยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลแห่งความดีจึงไม่ตกผล และขออีกอย่างหนึ่งคือ ทำดีอย่าหวังผลตอบแทน นี่ถึงจะเรียกว่าความดีที่บริสุทธิ์
อยากฟังเราพูดต่อไหม (อยากฟัง) ความเกียจคร้านเป็นอุปสรรคในการฟังธรรมได้เหมือนกัน และความเกียจคร้านก็เป็นอุปสรรคในการที่จะทำให้คนเดินไปสู่ความสำเร็จได้ยากเช่นกันถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นเราต้องต่อสู้และเอาชนะใจตัวเองให้ได้
มนุษย์กลัวอะไรมากที่สุด (กลัวความเจ็บใจ, กลัวตาย) แล้วเราหนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) บางครั้งการเดินไปสู่ความตายด้วยความยินดี อาจจะมีสุขกว่ากลัวตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) กลัวอะไร (กลัวการพลัดพราก) แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะหนีพ้น (เป็นไปไม่ได้) บางทีพบเพื่อจาก แต่จากเพื่อกลับมาพบก็ได้ใช่ไหม (ใช่)
(กลัวถูกทอดทิ้ง) ถ้าเราทำตัวน่ารักมีอัธยาศัยดี รู้จักเผื่อแผ่ ถึงลูกไม่เอา สามีไม่เอา แต่เพื่อนบ้านก็อาจจะเอา ก็ได้ใช่ไหม (ใช่) ต้องเป็นคนมีน้ำใจ
(กลัวความทุกข์) กลัวทำไมใครๆ ก็มีความทุกข์กันทั้งนั้นใช่หรือเปล่า  ยิ่งกลัวเมื่อไหร่จะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร กลัวตัวเองเผลอใช่หรือไม่ คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดและทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ต้องพยายามมีสติ คบเพื่อนดีเพื่อนก็ช่วยเตือนได้ (กลัวพิการ) ทำไมกลัวพิการล่ะ เคยเห็นคนพิการมีความสุขไหม (มีความสุข) อย่ากลัวเลยนะพิการกายได้แต่อย่าพิการทางปัญญา
(กลัวทำความดี) น่าจะอายตอนทำความดีมากกว่าที่จะเรียกว่ากลัว หรือเวลาทำดีก็กลัวเพื่อนล้อใช่ไหม เริ่มทำจากคนในครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ทำทุกๆ วันก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปที่เพื่อน และคนที่เรารัก  
(กลัวบารมี) กลัวบารมี แปลว่าอะไร กลัวบารมีของคนอื่นใช่ไหม ที่เขามีอำนาจใหญ่กว่ากฎหมายสังคมใช่ไหม แล้วเราจะเลือกอะไร เอาชนะความกลัวหรือว่าแพ้ใจตัว (แพ้ใจตัว) อันนี้ต้องคิดแล้วนะ บางทีมีคนที่มีบารมี คนยิ่งใหญ่ในสังคมที่ชอบขู่ให้คนทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) จะทำอย่างไรดีล่ะ ก็ต้องหลีกเลี่ยงได้ให้มากที่สุด ถ้าเลี่ยงไม่ได้ทำอย่างไร (ไม่รู้) แต่จริงๆ เราอยากให้ลองหนีให้ถึงที่สุด ถ้าไม่อยากทำรู้ว่าทำแล้วเป็นสิ่งที่ผิดหนีดีกว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุดเพราะถ้าทำเราก็ขัดกับหัวใจเรา ทำแล้วก็รู้ว่าเป็นบาปด้วยฉะนั้นหนี ถ้าหนีไม่ได้ก็ยอมให้ตัวตายแต่ไว้ชื่อดีกว่า
(กลัวศัตรู, กลัวคำสาปแช่ง) กลัวทำไมถ้าเราไม่ทำร้ายใคร ใครจะแช่งเรา ในโลกไม่มีใครไม่ถูกนินทาในโลก ไม่มีใครที่จะมีคนรักแล้วไม่มีคนเกลียด เคยไหมวิธีง่ายๆ ถ้าจะโกรธให้นับหนึ่งถึงร้อย ถ้าก็ยังโกรธอยู่ วิธีที่จะเอาชนะความโกรธคือแผ่เมตตาจิต คนทุกคนมีมุมมองแตกต่างกันจริงไหม บางทีเราคิดซ้ายเขาคิดขวา แต่เคยมองไหมว่าบางทีทั้งซ้ายทั้งขวาก็ไม่ได้ผิดแตกต่างกัน ไม่มีใครถูกใครผิดมากกว่ากัน ถ้าเราเปิดกว้างเราก็จะไม่โกรธในมุมมองที่แตกต่าง
(ความคิดฟุ้งซ่าน) ถ้าเมื่อไรที่คิดตามสติทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นเวลาที่รู้ว่าเรามีความคิดอะไรขึ้นมา มองให้เห็น แล้วพิจารณาให้รอบคอบ ถ้าพิจารณารอบคอบแล้ว ไม่ต้องสนใจ ถ้ามันไม่ดีเดี๋ยวมันก็ตกไปเอง แต่ถ้าเราเอาใจจดจ่อมันก็จะคิดไปเรื่อยๆ เหมือนเวลานอนเคยสังเกตไหม ถ้ามีอะไรคิดขึ้นมา ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น หยุดได้ไหม ฉะนั้นเราจะตัดอะไรต้องมีสติ (กลัวความจริง)  ถ้ากลัวความจริงก็ต้องทุกข์แน่เลย กลัวทำไม จะต้องมองให้ออก แล้วแก้ให้เป็น ถ้าตอนนี้ความจริงเกิดกับเรา เรากลัวแล้วเราจะแก้มันได้ไหม ก็ไม่ได้
(กลัวความผิดหวัง, กลัวความตาย, กลัวทรมาน) อย่างนี้ก็แปลว่ากลัวเจ็บไข้ได้ป่วยที่จะทำให้ทรมานแล้วต้องตาย  เราถามหน่อยนะ ในโลกนี้เราหนีความตายพ้นไหม เราหนีความเจ็บพ้นไหม (ไม่พ้น)  แล้วเราหนีความจริงได้ไหม (ไม่ได้)  ความจริงที่สุดของมนุษย์ก็คือการเดินไปสู่ความตาย ยิ่งกลัวจะยิ่งทรมาน แต่ถ้าไม่กลัวแล้วไปด้วยความสงบ วิญญาณจะออกไปอย่างสบายจำไว้นะ ฉะนั้นถ้าความตายมาอยู่ตรงหน้าอย่ากลัว จงมีสติแล้วตั้งจิตนั้นให้สงบ แล้วเราจะสามารถออกไปได้อย่างสบาย เพราะทุกคนมีทางออกของตัวเองแล้ว  รับธรรมะจุดที่ชี้นั้นคือทางออก ฉะนั้นถ้าเรามีทางออกอย่ากลัว  เพราะยิ่งกลัวทรมานแน่ๆ
(กลัวบาป) กลัวตกนรกใช่ไหม คนสมัยก่อนที่ไม่กล้าทำผิดไม่กล้าคิดร้ายก็เพราะว่ากลัวนรกใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนสมัยนี้ไม่กลัวบาปไม่กลัวกรรม  ก็เพราะว่าไม่คิดว่ามีนรกจริงๆ  หรือพูดง่ายๆ คือจิตสำนึกแห่งความละอายเกรงกลัวต่อบาปนั้น จางไปในหัวใจเขาแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่เราควรปลูกฝังให้มนุษย์มีก็คือ สำนึกแห่งการผิดชอบชั่วดี แต่ถ้าคนไม่กลัวบาปไม่กลัวตาย ต้องลองให้ตายดูสักตั้ง เคยได้ยินไหมคนที่ไม่กลัวบาปมักมีชีวิตเสี่ยงตายวันละร้อยหนพันหนเชื่อไหม (เชื่อ) คนที่ขี่มอเตอร์ไซด์เห็นไหม ยิ่งซิ่งเท่าไหร่คนยิ่งแช่งทุกวัน แล้วคนที่ทำผิดคิดร้ายอีก มีแต่คนแช่งอยากให้ตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(กลัวไม่มีงานทำ) คนขยันไม่มีวันที่จะไม่มีงาน แต่ถ้าขี้เกียจแล้วจะหางานไม่เจอ ถ้าหนักก็เอาเบาก็สู้จะไม่มีงานให้ทำหรือก็มีใช่หรือไม่ ต้องมีปัญญา คนมีปัญญาไม่มีวันอับจน  คนไร้ปัญญาต่างหากย่อม
อับจน
(กลัวโดนใส่ร้าย, กลัวความแตกแยก, กลัวความลำบาก, กลัวการเวียนว่ายตายเกิด, กลัวบาป, กลัวความคิด, กลัวจะปฏิบัติตัวตามที่ต้องการไม่ได้ทุกอย่าง, กลัวความดี, กลัวโรคภัยไข้เจ็บ) แปลกนะคนที่นี่ทำไมกลัวความดี กลัวทำดีไม่รอดดีกว่าใช่ไหม)  ถ้าเราเป็นคนที่มีน้ำใจกับเพื่อนบ้าน รักทุกๆ คน ไม่แบ่งว่านี่ลูกเรา นี่ไม่ใช่ลูกเรา เรารักเท่ากันหมด เวลาเราเป็นอะไรจะมีใครทอดทิ้งไหม (ไม่มี)  ถ้าเกิดเราเป็นคนมีน้ำใจ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครทอดทิ้ง แล้วอีกอย่างถ้าเราเป็นคนสู้ชีวิต ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันอดตาย  จริงหรือไม่ (ใช่)  กลัวก็แต่เจ็บนิดหน่อยก็บอกว่าผมไม่ไหว ฉันไม่ไหว  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเกิดอยู่คนเดียวไม่ไหวก็ต้องไหว ไม่อย่างนั้นอดตายแน่ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
“ความทุกข์ทนอยู่ครบแต่รู้ทำใจไม่หนักเท่าเดิม”
มนุษย์กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวพลัดพราก แต่ทุกข์ทั้งแปดนี้ เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น) ถึงที่สุดแล้วทุกคนก็ต้องเดินไปสู่ความเจ็บแล้วก็ความตาย บ้านไหนไม่มีคนตาย หรือตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีอะไรตายไปจากชีวิตเรา มีไหม (ไม่มี) ขนาดผิวหนังยังหนีเราไปเลย ใช่หรือไม่ ขนาดผมก็ยังจากเราไปได้เหมือนกัน ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมว่าในโลกนี้ไม่มีการตาย (ไม่ได้) เป็นไปได้ไหมว่าในโลกนี้จะไม่มีคนเจ็บ (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่ากลัวการเจ็บ อย่ากลัวการตาย เพราะบางทีการตายหนึ่งคนอาจจะทำให้เกิดอีกหนึ่งคนก็ได้ แต่สิ่งที่มนุษย์น่าจะกลัวกันมากที่สุดคือ ความเปลี่ยนแปลง จากสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีแต่เปลี่ยนเป็นไม่มี ก็รับไม่ได้ จากสิ่งที่ตัวเองคิดว่าควรตั้งอยู่แต่กลับดับไป เรากลับทนไม่ไหว สิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงในโลก กลัวสิ่งที่รักเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เราหยุดได้ไหม หยุดให้โลกเป็นดั่งใจเราคิดได้ไหม (ไม่ได้)
แล้วที่สุดในหัวใจของมนุษย์ทุกคนคือ กลัวความเหงา กลัวการต้องอยู่คนเดียว กลัวความว่างเปล่าจริงไหม (จริง)  ถามว่าที่พยายามหาเงินมาแทบแย่ ที่พยายามหาคนมาครองคู่ เพราะไม่อยากเดียวดาย เพราะไม่อยากอ้างว้าง หรือเป็นประเภทอยู่คนเดียวแล้วอยู่ไม่นิ่ง ต้องออกไปทำอะไรๆ วันไหนที่วุ่นวายรู้สึกนอนหลับ แต่วันไหนที่อยู่เฉยๆ นอนไม่หลับจริงไหม (จริง)  แล้วเราถามกลับนะว่า สิ่งที่พยายามดิ้นรนไขว่คว้ามาแล้วอยากหนีให้พ้น จะหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  
เรามีที่สุดของชีวิตคือความว่างเปล่า มนุษย์เริ่มต้นก็คือความว่างเปล่า เริ่มต้นก็คือความโดดเดี่ยว และที่สุดของมนุษย์ก็คือความว่างเปล่าและโดดเดี่ยว ฉะนั้นเราจะหนีพ้นความจริงข้อนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจงกล้าที่จะอยู่กับสิ่งนี้ แล้วถ้าอยู่กับสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้แหละจะแปรทุกข์ให้เป็นสุข และกลายเป็นมิตรภาพที่ดีในการดำรงชีวิต ถ้าเราอยู่คนเดียวอย่างว่างเปล่าได้ กลัวอะไรกับโลกใบใหญ่นี้ แต่เพราะอะไรมนุษย์ถึงต้องทุกข์ เพราะว่าทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี และไม่ยินดีกับสิ่งที่ตัวเองมี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
พบทุกข์ใช้ปัญญา”)
ฉะนั้นเวลาเจอทุกข์ขอให้ใช้ปัญญาคิดให้ดีๆ ขาดเงินขาดทองเรื่องเล็ก แต่ขาดปัญญาในการนำตัวเองพ้นทุกข์เป็นเรื่องใหญ่
วันนี้มีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่านในที่นี้แทนพระอาจารย์จี้กง แม้จะมีคนยินดีแค่ครึ่งหัวใจก็ไม่ว่าอะไร มีชีวิตอยู่อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความเจ็บ อย่ากลัวความป่วย อย่ากลัวความตาย สิ่งที่ต้องกลัวก็คือ กลัวใจตัวเองตามไม่เท่าทันโลก หรือตามไม่เท่าทันหัวใจต่างหาก หัวใจที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะคิดร้ายได้ขนาดนี้ หรือหัวใจที่ตามไม่ทันความคิดของโลกใบนี้ต่างหากใช่ไหม โลกเปลี่ยนทุกขณะ ตามไม่ทัน แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถเอาชนะและหยุดโลกได้ก็คือ หัวใจตัวเราเอง รู้จักพอหรือยัง และเอาเวลาที่รู้จักพอนั่นมาช่วยคนอื่น ให้เงินให้ทองไม่สู้ให้เขาได้รู้จักคิดให้เป็น และนำพาชีวิตให้ถูกต้องดีงาม ลองคิดดูว่าหากเราให้เงินเขาไป เขาก็อาจจะไปทำร้ายผู้อื่นได้ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าให้คุณธรรมความดี ให้ความคิดที่ถูกต้อง นอกจากเขาจะสามารถนำพาตัวเองได้แล้ว ยังสามารถไปนำพาผู้อื่นได้ด้วย ฉะนั้นสู้เอาคุณธรรมในหัวใจให้เขา และให้เขาเอาคุณธรรมไปให้คนอื่นต่อไม่ดีกว่าหรือ
อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองไม่เคยคิดห่วงใคร อย่ามัวแต่คำนึงถึงร่างกายตัวเองจนไม่คิดช่วยเหลือใคร เคยไหมว่าแม้ร่างกายจะเจ็บจะป่วย แต่หัวใจสู้ที่จะไปช่วยคน เชื่อไหมว่าฟ้าเตรียมฐานของพุทธะให้เขาได้กลับคืนเบื้องบน แต่คนที่กลัวร่างกายเจ็บ กลัวเงินไม่มี กลัวลูกหลานยังไม่รอด คนนั้นเบื้องบนไม่มีที่ให้อยู่ เพราะเขาไม่เคยคิดช่วยเหลือใคร ถูกหรือไม่ (ถูก) คนที่จะไปอยู่เบื้องฟ้าได้คือคนที่รู้จักคิดถึงผู้อื่นบ้าง และทำเพื่อผู้อื่นบ้างโดยที่ไม่กลัวความยากลำบากของตัวเอง ลองคิดดูคนที่สบายอยู่แล้วไปช่วยคน กับคนที่ลำบากอยู่แล้วแต่มีใจไปช่วยคน ฟ้ายกย่องคนใดมากกว่ากัน (คนลำบาก) ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นช่วงใดที่ลำบากช่วงใดที่แย่ เป็นช่วงที่ทำให้เรานั้นได้มีตำแหน่งอยู่เบื้องบน ฉะนั้นอย่ากลัวความยากลำบาก พุทธะกลัวสบายแต่ไม่กลัวลำบาก แต่มนุษย์รักสบายแต่กลัวลำบาก นี่จึงทำให้มนุษย์กับพุทธะแตกต่างกันไม่มีวันได้เจอกันสักที ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากพ้นเวียนว่ายตายเกิดไหม (อยาก) อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก) และจะเอาชนะตัวเองได้อย่างไร ถ้ายังห่วงแต่ตัวเอง แต่ไม่เคยคิดห่วงคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) เคยไหมความสุขที่ยิ่งใหญ่ไม่สู้เท่ากับการช่วยเหลือคน สุขในการมีเกียรติยศ มีเงินทอง มีคนรัก ยังกลับเป็นทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) และเป็นทุกข์แสนสาหัสสากรรจ์ด้วย แต่ทุกข์ในการช่วยคนทุกข์แค่นิดเดียว แต่บั้นปลายคือความสุขทำไมไม่ลองก้าวเข้ามาเดินกัน
วันนี้เราก็คงต้องจากกันด้วยเวลาอันเท่านี้ อย่างที่เราบอกไปแล้วในโลกนี้ไม่มีใครเจอแล้วไม่จาก แต่จากแล้วต้องจากให้เขาคิดถึง การอยู่ของเราถึงมีคุณค่า ไม่ใช่จากแล้วเขาบอกไปเถอะ อยู่ในโลกนี้อยู่แล้วต้องให้เขารัก จากแล้วต้องให้เขาคิดถึง อย่ามานั่งจนเบื่อแล้วเบื่ออีกเลย เห็นท่านทุกข์ในการนั่งฟังนานๆ เราก็อดสงสารไม่ได้ นานๆ จะเข้ามาในห้องพระ ไม่มาผูกบุญสัมพันธ์กันก็เสียดาย ถ้าอยู่ข้างนอกจะเจอท่านได้ไหม (ไม่ได้) เจอได้เหมือนกันแต่ท่านไม่เชื่อว่าเป็นพุทธะมาโปรด ท่านมักคิดว่าเป็นคนข้างนอกเป็นพญามารมาโปรดทุกทีใช่ไหม (ใช่)
เวลาโดนเขาต่อยหน้า เชื่อไหมว่าเป็นพุทธะได้ด้วยหัวใจเรา รู้จักคิด ต่อยมาต่อยกลับ กงกรรมกงเกวียนไม่จบไม่สิ้น ต่อยมาแล้วเราไม่ต่อยกลับ กงกรรมกงเกวียนหยุดได้ด้วยมือเรา แค้นมาไม่แค้นตอบ ให้อภัย กรรมเวรเราไม่รู้ว่าชาติก่อนเราทำมาแค่ไหน ฉะนั้นถ้าเกิดวันนี้เราต้องรับผลจงยินดีรับ และสำนึกขอขมา เวรจะได้หยุดแค่ตรงนี้ไม่ลากต่อไปอีก แต่ถ้าเกิดเวรกรรมมาถึงที่ตัว เรายังโกรธเรายังแค้น ไม่มีวันจบสิ้นหรอกจริงไหม (จริง) ฉะนั้นร้ายมาดีตอบเท่านั้นเอง ชีวิตก็มีแค่นี้นะ ทำดีให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะชีวิตรอดมาได้แล้วก็จงเข้มแข็งและเลือกหนทางที่ถูกต้องนะ 


  พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "พบทุกข์ใช้ปัญญา"

      ตั้งแต่เมื่อครั้งที่คิดร้าย ข้างในก็เป็นเหมือนทางตัน ซุ่มเดินติดวนในนั้น ยามฝันยังทุกข์ไม่มีสุขเหมือนใคร จะไปฉุนเฉียวก็แค่นั้น ฝึกใจเกิดธรรมที่ภายใน ยิ่งฝึกยิ่งลด ยิ่งรู้ยิ่งไร้เรื่องเข้ามาก่อกวน
    คนเท่ากันที่แท้ก็คล้ายคลึงกัน เปลี่ยนความคิดมองใหม่ ความทุกข์ทนอยู่ครบแต่รู้ทำใจ ไม่หนักเท่าเดิม       

 ชื่อเพลง:คิดร้ายรัดแน่น
    ทำนองเพลง: ฉันเองก็เสียใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา