วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2549

2549-12-09 สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา


西元二○○六年歲次丙戌十月               大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๙      สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  มุ่งหมายมีชีวิตที่ดีขึ้น                         อย่าเมามึนกับกิเลสอบายมุข
จึงต้องรู้อย่าเอาแต่สนุก                       อยากพ้นทุกข์ต้องยอมทุกข์เกิดสุขเอง
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง    ฮวา  ฮวา

  อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ลำบาก           สงบปากระวังคำกระทำตน
ภัยที่มีเกิดจากเรื่องบุคคล                     ขอจงทนและรู้จักประพฤติตัว
ความหวาดกลัวระงับได้ในใจปราชญ์      อย่าฉลาดโดยรู้แต่จะพูดกล่าว
จงเข้าใจตนเองทุกเรื่องราว                   ใช้ธรรมะทุกคราวชีพผาสุก
เกิดเป็นคนนับว่าโชคดีแท้                     จงหัดแก้ในสิ่งที่ตนผิด
อยากจะมีชีวิตดั่งผู้พิชิต                        ต้องหัดคิดอย่าเลือดร้อนอย่าวู่วาม
บำเพ็ญธรรมท่ามกลางความยากลำบาก ต้องขอฝากทนในสิ่งที่ยากทน
ยิ่งฝ่ายากอริยมรรคสูงเทียมตน             พลิกวิกฤติเป็นโอกาสตนคือพลัง
จงชำระจิตใจตนให้สะอาด                    เรื่องผิดพลาดในอดีตอย่าตกหลุม
ปัจจุบันต้องมาหัดควบคุม                     อนาคตอันสุขุมรอคนบุญ
ในวันนี้น้องชายหญิงมาฟังธรรม             ขอให้นำปฏิบัติมากที่สุด
แม้อยู่โลกแต่จิตใจใฝ่วิมุติ[*]                    บริสุทธิ์ในเรือนใจย่อมอาจอง
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน                         หวังน้องเปลี่ยนความเคยชินได้สำเร็จ
ความทุกข์สุขรุมเร้าอย่าได้เข็ด               จิตใจเพชรอย่ากลัวการเจียระไน
หวังสองวันรักษาพุทธระเบียบ               การเปรียบเทียบเลี่ยงให้พ้นจะดีไหม
คนทำได้ยิ้มออกสบายใจ                      คนเข้าใจความยากเป็นแค่ทางเดิน
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                    บำเพ็ญสบความดีอยู่เสมอ
จงตั้งใจแน่วแน่อย่าเผอเรอ                   สิ่งที่เจอย่อมดีหากจะคิดเป็น
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป               อวยพรให้ต่างมีชีพที่ผาสุก
เมื่อเคราะห์กรรมอยู่ตรงหน้าขอให้บุก     อย่าเฉยชาล้ารอสุขนักเลย
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                    ฮวา   ฮวา   หยุด



วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙           สถานธรรมจือเจวี๋ย   จังหวัดสงขลา
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

  แม้ภายนอกวุ่นวายสักเพียงไหน           แต่ภายในต้องสงบไม่รุ่มร้อน
ยิ่งในใจโลเลไม่แน่นอน                         ย่อมง่ายถูกภายนอกคลอนเอนไหวตาม
                        เราคือ
  เสี่ยวเซี่ยวฝอถง                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกแฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามทุกท่านง่วงนอนหรือเปล่า

  ไม่รู้ไม่เห็นใช่ไม่ดี                               การไม่มีสามารถอยู่ไม่ลำบาก
ต้องเข้าใจว่ารู้เสียใจยิ่งมาก                  รู้ทำไมเท่าทันหากค้นเจอ
เมินเหตุเอาว่าไปล้วนปัญหา                  ยกผลมาเป็นข้ออ้างเสมอ
ใจใหญ่ไม่ทบทวนชวนละเมอ                 ต้องทุกข์ใจซะเผลอน้ำตาครวญ
ชีวิตให้เยื้องย่างอย่างระวัง                    แฝงพลังทุกคำพูดนิ่มนวล
ถามแค่เป็นถามใครไม่กระอักกระอ่วน     ตอบพอถามคำล้วนผ่านพิจารณา
รอดพ้นก็เข้าใจเรื่องเรียงร้อย                ตามใจปล่อยอาจโล่งสมองหนา
อะไรแต่อย่าเพียงอย่างมีอัตตา              ฝึกความคิดพัฒนาสร้างสรรค์ไป
ความรู้สึกไขในที่ใดระวัง                       จงผ่อนคลายข้างชังไม่ขยาย
เปลื้องเซื่องซึมวันผิดหวังทั้งหลาย           วันนี้พรุ่งนี้ไวความเปลี่ยน


แม้จะอยู่สภาพใดเข้าใจคิด                    แม้ชีวิตพลั้งพลาดอย่าปวดเศียร
แปรพลาดเปลี่ยนแพ้เป็นบทเรียน           ทุกบทเรียนให้ใจใฝ่อดทน
มากอย่าใคร่หรืออย่าบำเพ็ญผิด            ไปรู้มากเกินคิดยิ่งสับสน
ลำดับในความคิดติดตัวตน                    ชนะวังวนเรื่องวันต่อวัน
                                                                                             ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ใครคิดว่าวันนี้จะมานั่งแล้ว นั่งสบายๆ ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ยกมือขึ้น  แล้วสบายสมใจไหม     เขาถึงบอกว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราสมหวังดั่งใจคิดเสมอ   แต่อยู่ที่ว่าเราเอาใจเรานั้นไปอยู่กับสภาพการณ์อย่างไร ทำให้มีความสุขดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดว่านั่งร้อนก็ร้อน เมื่อยก็เมื่อย เหนื่อยก็เหนื่อย  นั่งแล้วลำบาก แต่ถ้าเราคิดว่านั่งตรงนี้ก็ดีนะ กับข้าวก็ไม่ต้องทำ จานก็ไม่ต้องล้าง เงินก็ไม่เสียสักบาท พรุ่งนี้มาอีกวันดีไหม เห็นไหมว่า ถ้าเราคิดได้คิดเป็น แม้ภาวการณ์จะย่ำแย่ขนาดไหน ก็สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขได้ ดีหรือไม่ ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ไกลมือ แต่อยู่ตรงหัวใจเรานี้ จะคิดได้คิดเป็นหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)
เราอยู่ในโลกเราควรจะกลัวตายไหม (ไม่กลัว) เพราะอะไรจึงไม่กลัวตาย  ไหนลองบอกข้อดีของการที่มีความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว  เพราะอะไร (กลัวลงนรก)  เรากลัวตายไหม งั้นไปอยู่ปัตตานีเอาไหม (ไม่เอา)  เอ้าพูดไม่จริงนี่นา ทำไมล่ะ ก็ยอมไปช่วยคนไง เคยเห็นไหมคนบางคน ถึงยอมกล้าหาญ จะไปอยู่ภาคใต้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น จิตใจเช่นนี้ถือว่าคิดได้ประเสริฐนักแล คิดให้ตัวเองมีความสุข แล้วยังเอาความสุขนั้นไปช่วยคนที่ตกทุกข์ ถามท่านว่า ท่านยอมตกนรกไหมเคยได้ยินไหมว่ามีพระพุทธะองค์หนึ่ง[†] ยอมตกนรก เพราะอะไร ท่านคิดว่าถ้าท่านไม่ยอมตกนรกแล้วใครจะช่วยคนในนรก เหมือนกันถ้าเราไม่ยอมทุกข์ ไม่ยอมตาย เราจะเอาชนะความตาย ความทุกข์ ได้อย่างไร
บางครั้งการยอมกล้าที่จะตาย อาจจะทำให้เราตายแล้ว ตายอย่างมีคุณค่า จริงไหม (จริง) เราบอกง่ายๆ เลยนะ ข้อดีของการมีความตายในโลกนี้คืออะไรรู้ไหม  ๑. ทำให้เรารู้คุณค่าชีวิต  ๒. ทำให้เรารู้คุณค่าของเวลาที่ว่าเมื่อไหร่มันจะจบสักทีวันนี้  ความตายทำให้เวลาเรามีคุณค่ามากขึ้นถูกหรือไม่ และ ๓. ความตายทำให้คนรู้จักคิด ว่าอันที่จริง ถ้าคนอย่างท่านไม่ตายจะมีลูกหลานให้อยู่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าคุณปู่ ย่า บรรพชนเราไม่ยอมตายสักคนหนึ่ง อาจจะไม่มีเรายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้จริงไหม (จริง) เราอาจจะกลายเป็นคนไม่มีที่ดินทำกิน เพราะปู่ ย่าครอบครองหมด  ต้องไปหาที่อื่น
เพราะความตายจึงทำให้เรามีศาสนา  และมีมนุษย์ที่ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม แล้วรู้จักคำว่า มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ ไหม เราจะบอกให้ว่า มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร ความตายมักจะเกิดกับผู้ใดต้องทำลายล้างจนหมดสิ้น แต่ท่านเคยเห็นไหมว่า ความตายเมื่อมาสู่พระพุทธเจ้า มาสู่พระโพธิสัตว์กวนอิน กลับทำให้ท่านยิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งน่าเคารพนับถือ
ความตายทำลายชีวิตได้ ร่างกายได้ แต่ทำลายคุณงามความดีที่เราทิ้งไว้บนโลก หรือทิ้งไว้ในใจใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะไม่กลัวตายก็ต่อเมื่อเรามีความดีทิ้งไว้ให้คนเคารพรัก ใช่หรือไม่ แต่คนปัจจุบันนี้กลัวตายเพราะยังไม่มีอะไร กลัวไปหาท่านยมบาล ตอนนี้ความตายไม่รู้ห่างเราแค่คืบ หรือห่างเราแค่เป็นเมตรเป็นวา ฉะนั้นเราจงเร่งขวนขวายทำดี ดีไหม (ดี) แล้วทำดีอย่างไรล่ะ คิดออกไหม
ตามหลักพุทธศาสนาสอนง่ายๆ เป็นคำสั้นๆ สามวรรคเล็กๆ ไม่ทำชั่ว หมั่นทำดี และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์  ถ้าคนทำได้สามอย่างนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีและมีพุทธศาสนาทั้งตัวและหัวใจ แต่ถามท่านว่าทำชั่วทำไหม (ทำ) เลิกได้ไหม ทำดีไหม ไม่ค่อยได้ทำ เพราะรู้สึกเขินจะทำก็อาย ใช่หรือเปล่า แล้วรักษาใจให้บริสุทธิ์ได้หรือเปล่า เห็นอะไรนิดหน่อยก็มองเป็นแง่ลบมากว่าเป็นบวก
ถ้าทั้งสามอย่างนี้รักษาได้ การเป็นคนดีหรือการเป็นคนที่มีศาสนาประจำใจและปฏิบัติตามศาสนาอยู่ทุกวันก็ไม่ได้ไกลจากตัวเราใช่ไหม ดั่งคำว่า คนดีผีคุ้ม ทำไมมนุษย์ถึงกลัวผี ก็ต้องถามตัวเองนะ
ภายในต้องสงบไม่รุ่มร้อน  ภายนอกวุ่นวายไหม สังคมภายนอกชั่วร้ายไหม คนชั่วร้ายไหม คนชั่วร้ายหรือสังคมชั่วร้ายกว่า (คนชั่วร้ายกว่า) คนชั่วร้ายกว่าจึงทำให้สังคมวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เปรียบเทียบง่ายๆ สมมติว่ามีขนมปังสองก้อนมาแปะติดกัน อย่างสนิทแนบแน่น ไม่มีรอยเว้า ไม่มีรอยแหว่ง เวลาดึงก็ย่อมหามุมฉีกได้ยาก แต่ถ้าเกิดว่าเป็นสองก้อนที่แตกตัวกันและเห็นรอยแยก เคยเห็นขนมปังกะโหลกไหม เวลาดึงจะดึงได้ง่าย เพราะมีรอยประกบอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนกับจิตใจของมนุษย์ถ้าดีอยู่แล้ว แม้ภายนอกจะวุ่นวายขนาดไหน เราก็ยากจะเปลี่ยนแปลงไปตามภายนอก
สมมติว่าเหล้าตั้งอยู่ตรงนี้ ล็อตเตอรี่วางอยู่ตรงนี้ หวยสองตัววางอยู่ตรงนี้ ถ้าใจไม่อยากได้ อยากกิน มันจะมาหาเราไหม (ไม่มา) แล้วเหล้ามันจะมาควบคุมเราไหม (ไม่) ฉะนั้นจะบอกว่าเหล้าชั่วหรือว่าตัวเราไม่รักดีกันแน่ (ตัวเรา) เราจะพูดว่าเหล้ามันไม่ดี กินทีไรทำให้ฉันเมาทุกทีเลย ได้ไหม (ไม่ได้)
ความชั่วก็เหมือนกัน ความชั่วไม่มีมือ ไม่มีตัวตน แต่มาสถิตย์อยู่ในมนุษย์เมื่อไหร่ น่ากลัวเมื่อนั้น ฉะนั้นอยากดับความวุ่นวายภายนอก เราต้องสกัดกั้นความวุ่นวายในจิตใจเสียก่อน เมื่อเราสกัดความรุนแรงในจิตใจได้ สันติภาพภายนอกย่อมเกิดขึ้นได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าความรุนแรงภายในใจเรายังขจัดไม่ได้ ยังครุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นธรรมดาที่เรายากจะผ่านโลกวุ่นวาย
ท่านเคยคิดไหมว่ามือที่สามจะทำลายครอบครัวเราให้วุ่นวายไม่ได้ ถ้าเรากับสามีไม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรากับสามีรักกันแน่นแฟ้น มือที่จะมาแย่งใครไปจากครอบครัวเราได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกัน ถ้าในหมู่บ้านเราต่างรักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วเกิดมีคนหนึ่งยอมทุจริตกับคนในบ้าน สังคมนั้นก็ย่อมเกิดความวุ่นวายได้ และถ้าอยากจะหลอกให้คนกลุ่มนี้เชื่อ เราก็ต้องซื้อใจสักคนหนึ่งก่อน ถูกไหม (ถูก) ให้เขาเห็นพ้องต้องกันกับเรานะ แล้วก็กลับเข้าไปหมู่บ้าน พอคนนี้เชื่อหนึ่งคน เราก็พูดว่านี่คนในหมู่บ้านเราเขายังเชื่อ ฉะนั้นเราก็เชื่อ ดีไหม เช่นนั้นก็ง่ายที่จะถูกหลอกตาม ถูกหรือไม่
มีคำกล่าวว่า มีคนน้อยก็ปัญหาน้อย แต่เราอย่ายอมแพ้ ถึงมีคนเยอะก็ปัญหาน้อยได้ใช่ไหม คนเราผิดครั้งแรกก็ยอมให้อภัย แต่พอครั้งสองครั้งสามบางทีก็ยากเกินจะเข้าใจ คนเราเมื่อผิดแล้วชอบอ้างเหตุผล เมื่อพูดมากๆ ก็ว่าขี้บ่น พูดน้อยเกินไปก็ว่าพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ใช่หรือไม่ อย่างนี้แล้วจะพูดมากดีหรือพูดน้อยดี พูดพอดีๆ ดีกว่าใช่ไหม แล้วพูดอย่างไรจึงเรียกว่าพอดี พูดเมื่อเขาอยากฟังแล้วจึงพูด ถ้าเขาไม่อยากฟังพูดไปก็โดนว่าพูดมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าตอนนี้เขาอยากฟังแต่เรายังพูดน้อย เขาก็ว่าพูดน้อยต่อยหนัก
เราขอถามอะไรท่านแปลกๆ อย่างหนึ่งว่า ระหว่างเป็นคนดีกับเป็นคนบ้า ท่านอยากจะเป็นคนแบบไหน คนบ้าที่เราบอกนี้ อะไรที่เหม็นเขาก็ว่าหอม  อะไรที่สกปรกเขาก็ว่าสะอาด  เป็นคนบ้ากับเป็นคนที่ดูดีเป็นปกติ เราอยากเป็นคนแบบไหน (เป็นคนดูดี) เป็นคนดูดีใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า ระหว่างคนบ้ากับคนดูดีใครจะทุกข์ใจกว่ากัน (คนดูดี)
เราเคยเห็นแต่มนุษย์ชอบบ่นในใจว่า เป็นคนบ้าก็ดีนะ วันๆ ไม่ต้องทุกข์ใจอะไรเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่เห็นมีใครอยากบ้าสักที แต่บ่นดังๆ ได้ยินไปถึงข้างบนทุกครั้งเลยว่า บางทีเราก็อยากจะเป็นคนบ้า จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไร ใช่ไหม (ใช่) ถ้าบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ ทุกเรื่องเราต้องได้เห็น ทุกเรื่องเราต้องได้ยิน ทุกเรื่องเราต้องสัมผัส กับอีกคนหนึ่งที่มีบางเรื่องเห็น บางเรื่องไม่เห็น มีบางเรื่องได้ยิน บางเรื่องไม่ได้ยิน มีบางเรื่องสัมผัสได้ บางเรื่องสัมผัสไม่ได้ จะเอาแบบไหน แบบที่ ๑ หรือแบบที่ ๒ (แบบที่ ๒) ถ้าเอาแบบที่ ๒ คือยอมเป็นทั้งคนดีและก็พร้อมจะเป็นคนบ้า ใช่ไหม (ใช่) เพราะคนบ้าเขารู้ไม่หมดทุกเรื่อง แถมบางทีไม่รู้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แม้หูเขาจะได้ยิน แต่อีกฝั่งหนึ่งเขาก็เหมือนไม่รับรู้ แม้มือเขาจะสัมผัส แต่อีกฝั่งหนึ่งใจเขาก็สัมผัสไม่ถึง ใช่ไหม (ใช่) แล้วเป็นคนประเภทที่ ๒ นั้นไม่ดีหรือ (ดี) เพราะอะไร เพราะโลกนี้ถ้าทุกอย่างต้องรู้หมด ทุกอย่างต้องเห็นหมดและทุกอย่างต้องสัมผัสหมด จะไม่ทุกข์ที่สุดจะรู้จักทุกข์หรือ
วันนี้คนนี้ก็ตาย พรุ่งนี้คนนั้นก็ตาย ทำไมถึงตายบ่อยจัง เคยไหมเดือนหนึ่งต้องแบกภาระจนรู้สึกว่าแบกไม่หวาดไม่ไหว  บางทีเรารู้มากๆ เราก็ทุกข์  เห็นมากๆ เราก็เศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตามนุษย์เราบางครั้งเปิด บางครั้งปิด หูเราเปิดแล้วปิดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราจะทำอย่างไรให้รู้จักปิดหูบ้าง นั่นก็คือบางครั้งแม้เสียงนั้นเราจะได้ยิน เราก็ทำเป็นหูทวนลมบ้าง ท่านเห็นโทรทัศน์ไหม โทรทัศน์ดีตรงที่เปิดปิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่พอใจเราก็เปลี่ยนช่อง แล้วเราจะเอาอะไรเป็นรีโหมดหรือเป็นสวิตช์เปิดปิดดี ก็คอนโทรลให้เป็นสิ ในเมื่อโทรทัศน์เรายังสร้างได้ แล้วนับประสาอะไรกับใจดวงน้อยนี้เราจะควบคุมมันไม่ได้ จริงไหม (จริง) ถามท่านว่าคนขี้เกียจแม้จะอยากได้ยิน แต่พอเดินผ่านหูเขาก็ไม่ฟัง แต่คนที่รับแม้หูจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่อยู่ไกลๆ ก็ยังได้ยิน ถูกหรือเปล่า (ถูก) แล้วนับประสาอะไรกับการควบคุมใจเราล่ะ ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงกลไกให้เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ชีวิตคือการแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าเดิม ถูกไหม (ถูก) แล้วอะไรที่ทำให้เราดีกว่าเดิมได้ทำไมเราไม่เดินไปหา ใช่ไหม (ใช่) เงินทำให้เราดีกว่าเดิมไหม เงินดีไหม (ดี,ไม่ดี) ที่จริงแล้วไม่มีทั้งดีและไม่ดี  แต่คนที่ใช้ต่างหากที่กำหนด ฉะนั้นเงินดีไม่ดีอยู่ที่ใคร (อยู่ที่เรา) ถูกหรือเปล่า (ถูก) ใช้ไปในทางที่ดีเงินนั้นก็เรียกว่า (ดี) การได้เงินมาอย่างถูกต้องเหมาะสมก็เรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ขึ้นชื่อว่าแสวงหาเพื่อก้าวไปสู่สิ่งที่ดี อย่าปล่อยให้เพียงเพราะว่าเพื่อเงินแล้วยอมทิ้งสิ่งที่ดีไป เช่นนี้เรียกว่าหาเงินแบบผิดทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรก็ตามที่สามารถเป็นสะพานให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความดีได้เราจึงต้องรู้จักขวนขวายและสร้าง ใช่ไหม (ใช่) ใช่ทุกคนต้องหาเงิน แต่ถ้าเงินทำให้เราประพฤติไม่ดีก็ต้องหยุดหา แล้วยอมประหยัดหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือยอมลำบากหน่อยแต่หาเงินได้ช้าหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงให้เงินเป็นสะพานเพื่อเราเดินแล้วข้ามไปสู่สิ่งที่ดี แต่อย่าให้เงินเป็นคานเอามากดไว้แล้วเราก็เดินตาม ตอนแรกเราเป็นเจ้าของเงินไปๆ มาๆ เรากลายเป็นทาสเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราขอเพียงว่าในใจรู้จักพอแม้เล็กน้อยก็ยังภูมิใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และในความภูมิใจเล็กน้อยหากรู้จักแบ่งปันเพื่อผู้อื่น เสียสละให้คนอื่น ความภูมิใจเล็กน้อยยังสร้างคุณธรรมภายในใจด้วย เห็นไหมว่าการแสวงหาสิ่งที่ดีนอกจากจะทำให้เราสมบูรณ์ภายนอกแล้วยังสามารถสมบูรณ์ภายในใจได้ด้วย ด้วยการที่มีแล้ว ได้มาแล้วรีบแบ่งปัน ยากไหม (ไม่ยาก) แล้วการร่ำรวยมั่งมีของท่านก็จะมีแต่คนชื่นชมไม่อิจฉาตาร้อนเพราะมีแล้วยังรู้จักให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตอย่าหาแต่ความสมบูรณ์ภายนอกจนบกพร่องความสมบูรณ์ภายใน อย่าลืมว่าการที่เราแสวงหาเงินแล้วเรายังรู้จักให้เงินต่อ คือสามารถสมบูรณ์ภายนอกแล้วสมบูรณ์ภายในได้ ให้น้อยก็ไม่เป็นไรดีกว่าไม่ให้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์มักอ้างว่ายังมีไม่มากพอเลยให้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) เคยได้ยินไหมว่าบางทีมีร้อยเราก็ดีใจ แต่พอเห็นเสื้อตัวหนึ่งแปดสิบเราก็ยอมซื้อทันที แต่พอทำบุญแปดสิบคิดหนัก ใช่ไหม (ใช่)
เวลาเห็นคนรวยแล้วไม่บริจาคอย่าไปโกรธเขาเลยนะ เพราะบางครั้งเรามีแค่ร้อย แปดสิบยังไม่ให้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเห็นตัวเราเป็นพื้นฐานก็จะมองคนอื่นได้เข้าใจ เคยได้ยินไหมว่าไม่ต้องออกไปรับรู้โลกภายนอกแต่ถ้าเข้าใจตัวเองก็ง่ายจะเข้าใจผู้อื่น เคยไหม (ไม่เคย) มีแต่ว่าคนที่ใกล้ที่สุดก็ไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งพยายามมอง ยิ่งพยายามดู ยิ่งพยายามเสาะหา ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งไกลจากความเป็นจริง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ถามง่ายๆ ตัวเราเป็นอย่างไรสรุปได้ไหม (ไม่ได้) แต่พอหมอดูมาพูด ใช่เลยหมอดูแม่น แต่ถามว่าตัวเราเป็นอย่างไรรู้ไหม รู้แต่พูดออกมาไม่เป็น ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนใจดีไหม ดีแต่ปากไวไปหน่อย ใช่ไหม (ใช่) ไม่โมโหง่ายแต่ถ้าโมโหทีก็สุดๆ ไปเลย แต่หายก็หายไวนะ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราต้องเข้าใจตัวเอง ถ้าเราเข้าใจตัวเองได้การจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็เป็นเรื่องง่าย ถูกไหม (ถูก) แต่ทำไมบางครั้งเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นยาก เอาง่ายๆ ถ้าวันนี้เราตีช่องให้ท่านเดินแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนสุดลูกหูลูกตา ท่านจะเดินตามช่องโดยที่ไม่คิดออกนอกช่องเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) บางทีเราก็อยากปีนขึ้นไปดูหน่อยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าทำดี จงทำดีเพื่อดี ทำดีเพื่อถึงที่สุดของความดี แล้วที่สุดของความเป็นคนดี ก็จะดึงความดีเข้ามาหาเอง
เคยเห็นไหม น้ำก็ต้องอยู่ร่วมกับน้ำ สิ่งสกปรกก็ต้องอยู่ร่วมกับสิ่งสกปรก แม้วันนี้น้ำจะไหลผ่านดิน แต่สักพักก็ต้องรวมกลับไปสู่น้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเรามุ่งมั่นทำดีถึงที่สุด มีหรือจะไม่ได้ดี กลัวแต่เพียงใจมนุษย์จะล้าเสียก่อน ทำให้ความดีส่งพลังไปไม่ถึง แล้วก็หมดแรง ถูกไหม (ถูก)
คนนั้นใจแก่จริงๆ  มีไหม ไม่มีใช่หรือไม่ ตัวเราแก่ แต่ใจไม่แก่ ตัวเราทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ ตัวเราเจ็บแต่ใจไม่เจ็บ ฉะนั้นอยู่ในโลกจะกลัวอะไร ถ้าคิดเป็น ลูกเลวแล้วเราพยายามทำดีที่สุด ไปยื้อไว้ ไปรั้งไว้ก็เหมือนจัดเขาให้เดินตามแถว มีหรือเขาจะเดินตามแถวรอด เราทำดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม
ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาจะโดนคนว่า คนนินทาเราก็ปล่อยไปเถอะ เราดีเราก็ได้ดีของเรา มีความสุขใจ ถ้าเราคิดชั่วความทุกข์ก็อยู่ในใจเราใช่หรือไม่ ฉะนั้นคิดดี ดีกว่าใช่หรือไม่
ตัวเมื่อยแต่ใจไม่เมื่อย ถ้ามีความเจ็บมาถึงตัวแล้วคิดแบบนี้บ้าง ก็จะทำให้บรรเทาความเจ็บไปไม่น้อย เคยไหมบาดแผลนิดเดียว ร้องเหมือนจะเป็นจะตาย แล้วอะไรนะที่ทำให้ผู้ชายเจ็บปวดได้ง่ายที่สุด เจ็บใจเพราะโดนเขาหักอกหรือเปล่า โดนคนหยามก็ยังพอทน แต่โดนหักอกมันทนไม่ได้ เขาบอกว่าผู้ชายอกสามศอกแม้จะแข็งแกร่งปานใดก็ยังแพ้ผู้หญิงวันยังค่ำใช่ไหม (ใช่) จงจำไว้ว่าเสน่ห์ของผู้หญิงอยู่ตรงความนิ่มนวล เมื่อไหร่หมดความนิ่มนวลก็หมดเสน่ห์เมื่อนั้น เมื่อไหร่ที่แข็งกระด้างชี้หน้าด่า เมื่อนั้นก็หมดสภาพ
เคยไหม ยิ่งอยู่กับเขา ผู้หญิงคนนี้ยิ่งสวยลึกล้ำ ยิ่งน่าค้นหายิ่งน่าติดตาม อยากเป็นอย่างนั้นไหม อย่าเป็นผู้หญิงใจง่าย เปิดเผยหมด เขาได้แล้วเขาก็ทิ้ง ไม่มีคุณค่าเลย ผู้ชายก็ต้องรักษาคุณธรรม อย่าใช้ความเข้มแข็งข่มเหงความอ่อนแอ คนเช่นนี้หาใช่บุรุษไม่ บุรุษที่ดีต้องเอาความเข้มแข็งช่วยประคับความอ่อนแอ ไม่ใช่ข่มเหงคน เราถึงบอกว่าอยากหาความสันติสงบสุขในตัวเราหรือในครอบครัวเรา ต้องเริ่มที่ตัวเราเป็นพื้นฐานก่อน
เราศึกษาธรรมแล้วอะไรคือความรุนแรงภายในใจ ที่สามารถก่อให้เกิดความวุ่นวายภายนอกได้
ความรุนแรงภายในมีอยู่สามตัวเป็นมารร้ายคือ โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ รักอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็เรียกว่าหลง ตัวเรามีโลภ โกรธ หลง ระดับไหน
ถ้าเป็นคนเวลาโกรธแล้ว มีอะไรไม่พอใจ ผิดหูผิดตา นิดหนึ่งต้องเอาให้ถึงตาย นี่คือโกรธถึงที่สุด ดูซิว่าเราเคยโกรธแล้วเป็นอย่างนี้ไหม
อย่างที่สอง เวลาอยากได้แล้วไม่สนใจว่าถูกหรือผิดกฎหมาย ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน คือที่สุดของความอยาก
อย่างที่สามคือ คือความหลง ถ้าหลงแล้วไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ก็น่ากลัว
ถ้าเราอยากหาความสงบภายนอก เราต้องขจัดความเลวร้าย หรือวุ่นวายสามตัวนี้ก่อนนะ ถ้าสามตัวนี้ขจัดไม่ได้ ก็เป็นการง่ายที่จะปล่อยให้มันแผลงฤทธิ์ และไปทำร้ายคนอื่น ถ้าโกรธได้หนึ่งระดับ เราก็รู้จักระดับที่สอง พอรู้จักระดับที่สองก็ไประดับที่สาม แล้วไปจนถึงที่สุดก็เคยมี แล้วก็กลับมาใหม่สำนึกผิด แล้วก็มาเกิดระดับหนึ่งใหม่ ถูกไหม (ถูก)
ความโกรธยังแปลกอย่างหนึ่ง มันมีนิสัยอย่างหนึ่งถ้าจับจุดได้นะ ก็ไม่ยากหรอกโกรธนะเหมือนบูมเมอแรง ถ้าขว้างไปแล้วมีคนรับ สบายใจ เวลาโกรธก็ต้องหาที่ลง ถ้าไม่ได้ที่ลงก็ไม่สบายใจ แต่อย่าลืมนะว่าใครมันจะโง่รับทุกรอบ ถูกไหม (ถูก) ถ้าหลบปุ๊ป บูมเมอแรงมันตีกลับ แล้วใครล่ะที่เจ็บกับความโกรธ ฉะนั้นความโกรธเหมือนลูกไฟ อยู่กับเราก็ร้อน ส่งให้ใครก็ร้อน
ความโกรธมีพื้นฐานมาจากอะไร ไหนลองคิดซิ  กระทบอย่างไรถึงโกรธ ตีครั้งเดียวพอทน ตีครั้งสองพออภัย แต่ครั้งสี่ครั้งห้า ทนไม่ไหว ฉะนั้นอยากจะดับความโกรธและอยู่ร่วมกับความโกรธได้ต้องมีความอดทนเป็นเลิศ ใช่ไหม แต่ตอนนี้เรากำลังจะหารากฐานของความโกรธ อะไรทำให้เราโกรธ (ไม่สมหวังไม่ได้ดังใจ) หรือผิดคาดจากที่ควรจะเป็น ใช่ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องรู้รากฐานของความโกรธก่อน ถ้าเราไม่รู้เราจะดับได้อย่างไร ถูกไหม
บางคนก็เป็นเหมือนดิน บางคนก็เป็นหุบเขา บางคนเหมือนน้ำนิ่มนวล แต่บางคนก็แข็งกระด้างเหมือนหินผา แต่ที่มองรวมกันแล้วมันก็เหมือนธรรมชาติ ถ้าทุกคนใส่เหลืองหมดทั้งบ้าน แล้วก็ทำผมเหลืองหมดทั้งประเทศ รองเท้าก็เหลืองเหมือนกันหมด แถมทาคิ้วทาหน้าเหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย มองแล้วสวยไหม
ฉะนั้นอย่าโกรธในความต่างของคน เพราะคนเรามีการสั่งสมความรู้ความเข้าใจที่ต่างกัน จึงทำให้มีนิสัยคิดถึงคนอื่นน้อยกว่าที่เราเป็น นิสัยที่เมตตาคนอื่นอาจจะน้อยกว่าที่เราเป็น ก็ให้อภัยเสีย ดีไหม
ใช่ไหม (ใช่) เพิ่งดับตัวร้ายได้ตัวเดียวก็หลับแล้ว ฉะนั้นความขี้เกียจก็เป็นอุปสรรคใหญ่ในการที่จะพาเราให้พ้นจากความทุกข์ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) ง่วงแล้วใช่ไหม ถ้าง่วงเราให้นอน เดี๋ยวเรากลับ ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะแล้วต้องได้ธรรมะกลับไปสักข้อหนึ่งก็ยังดี ไม่ใช่ฟังธรรมะ แล้วได้หลับเต็มอิ่มเลย กับกินฟรีดีจังเลย มาเอาทำไมแค่นี้ ใช่หรือเปล่า มาฟังแล้วก็ต้องให้ได้ ได้แล้วก็ต้องเอาไปเผื่อแผ่คนอื่นด้วย
การที่เราไม่รู้จักโกรธนั้น ทำให้ดีกับคนที่อยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาโกรธมาแต่เราไม่โกรธตอบ เราก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ถูกไหม แต่ถ้าเกิดเขาโกรธมา เราโกรธตอบ จบแน่เลย ใช่ไหม (ใช่) แก้วพอมันแตกแล้วผสานอย่างไรมันก็ไม่เหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก) จะมองหน้ากันอีกทีติดไหม (ไม่ติด) ฉะนั้นบางทีที่เขาโกรธก็เพราะรักเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหม พอรักมากมันก็โกรธมาก (เคย) ก็เป็นบ่อยกับสามี ใช่ไหม (ใช่) เป็นบ่อยกับลูก ใช่ไหม (ใช่) ลูกเขายังไม่เข้าใจจนกระทั่งเขารักใครสุดหัวใจก่อน แล้วเขาจะรู้ว่าเวลาที่คนที่เขารักสุดหัวใจทำให้เขาผิดหวังนั้น เขาจะโกรธมาก ทำไมต้องรอให้ตัวเองเป็นนะ ถึงเข้าใจผู้อื่น เขาถึงบอกว่าอยากรู้เรื่องราวในโลก บางครั้งใช้ตาดู หูฟังอย่างเดียวไม่ได้ บางทีต้องใช้ใจไปสัมผัสถึงจะเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ อย่าวัดแค่ตาดูกับหูฟัง แต่ต้องใช้ใจไปสัมผัสเขานะ ดีไหม (ดี) แล้วต่อไปนี้ เราจะได้เป็นคนที่ไม่รู้จักความโกรธ ดีหรือเปล่า (ดี) เป็นคนไม่ค่อยโกรธคนดีไหม (ดี) อย่าลืมนะว่าคนเราถ้าใจเย็นตลอด เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นคนแบบนี้ ท่าทางจะโกรธยาก ใช่ไหม (ใช่) แล้วเคยเห็นไหมคนที่โกรธบ่อยๆ หน้าเขาจะไม่ค่อยเป็นรูปหน้าเท่าไหร่ เหมือนอะไรก็ไม่รู้ ถูกไหม ผู้ชายเดี๋ยวนี้เขาพกกระจกแล้ว รู้หรือเปล่าผู้หญิง เขาไม่ได้พกเพื่ออะไรหรอก เอาไว้ดูตอนตัวเองโกรธ ฉะนั้นผู้ชายเมื่อพกกระจกก็จำไว้ว่า เวลาจะโกรธให้หันมามอง ปรับใหม่ ดีไหม (ดี) เวลาโกรธมันจะได้ไม่กลายเป็นยักษ์นะ ท่านลองคิดดูนะง่ายๆ เลย ไปที่ไหน ถ้าเป็นคนใจเย็น ยิ้มง่าย ใครๆ ก็รัก ถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าเกิดกลายเป็นเสือยิ้มยาก ใครจะต้อนรับ บึ้งมาแต่ไกลเลย ใครจะกวักมือเรียกเข้ามาร่วมวงด้วย ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นยิ้มง่ายๆ ใจเย็นๆ ไม่ดีกว่าหรือ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ตัวร้ายตัวที่สองคือความโลภ มีใครบ้างในที่นี้ไม่โลภ บอกว่าชีวิตนี้แค่นี้ก็พอแล้ว มีเสื้อสองตัว กางเกงหนึ่งตัวก็รอดแล้ว ยากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นความโลภนำชีวิตมนุษย์ไปสู่ความวุ่นวายหนึ่ง แก่งแย่ง สอง ชิงดีชิงเด่น สาม หาความสงบสุขไม่ได้เลย สี่ ง่ายที่จะทุจริตทำผิด ห้า หก เจ็ด แปด นับไม่ถ้วนเลยเพราะความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราอยากน้อยหน่อย แล้วพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไม่ดีกว่าหรือ แต่มันเป็นการยากเหลือเกิน ถูกไหม (ถูก) เราจะถามท่านหน่อยนะ เรามีเสื้อเปลี่ยนสิบตัว แต่หน้ามันหงิกอยู่ทุกวัน เปลี่ยนกี่ตัวมันก็ไม่ดีขึ้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราสู้เปลี่ยนหน้าเลยดีไหม ให้มันยิ้มตลอดถาวร หุบไม่ลงเลยดีไหม เอาไหม ก็ไม่เอาใช่หรือไม่ เราอยากบอกท่านว่าจงอยากในสิ่งที่ควรอยาก และขอให้อยากนั้นไม่เป็นอยากที่ทำร้ายความดีในหัวใจ และขอให้อยากนั้นเป็นอยากที่ไม่ได้ยืนอยู่บนน้ำพักน้ำแรงของใคร ความอยากนั้นก็ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าอยากโดยเอาเปรียบคนอื่น คนอยากอย่างนี้ไม่น่าคบ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์เรามีความอยากอย่างหนึ่งที่แก้ไม่ได้ และมักจะให้ผลร้ายเสมอ คืออยากสบาย ใช่ไหม (ใช่) ก็เพราะคำว่าสบายคำเดียวนั่นแหละที่ทำให้มนุษย์ต้องเดือดร้อนตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) แต่ถามจริงๆ ไปถึงความสบายหรือยัง (ยัง) แล้วไปได้ถึงที่สุดไหม (ไม่)  แล้วมีที่สุดของความสบายไหม (ไม่)  แล้วหาทำไมนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงรู้จักเพียงพอบ้างนะ แล้วความพอจะทำให้เราไม่เดือดร้อน แล้วความพอจะทำให้เรามีมิตรมาก ความอยากจะทำให้เรามีมิตรน้อยลงๆ จริงไหม (จริง) อย่าปล่อยให้อยากจนกระทั่งลืมนึกถึงคนอื่น นึกถึงแต่ตัวเอง ความอยากนั้นเป็นอันตรายโดยแท้ จริงไหม (จริง) เพราะมีหลายคนพออยากนิดหนึ่งคิดถึงตัวเอง ยังนึกถึงความดีชั่ว แต่พออยากไปมากๆ ความดีชั่วไม่เอา นึกถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวพอ จริงไหม (จริง) แล้วเคยเห็นไหมอยากแทบเป็นแทบตาย ถึงเวลาสิ่งที่ได้มาก็ต้องกองไว้กับพื้นดิน ใช่ไหม (ใช่) เหนื่อยมาแทบตายบางทีใช้ยังไม่หมดเท่าที่มีเลย ถูกไหม (ถูก) มีเสื้อในตู้วนใช้หมดทุกอาทิตย์ไหม วนใช้หมดทุกตัวไหม (ไม่) แต่ก็ยังซื้ออีก ใช่ไหม (ใช่) เงินได้จับทุกใบไหม บางใบยังฝากไว้ธนาคาร ใช่ไหม (ใช่) แล้วถึงเวลาตายไป ที่ฝากธนาคารไว้ก็แป้ว เสร็จเขาไปเลย ถูกไหม ฉะนั้นรู้จักแบ่งเวลามาสร้างสรร ความดีที่อยู่ในชีวิตที่ช่วยทั้งยามเป็นและยามตายไม่ดีกว่าหรือ มนุษย์รู้จักสรรหาทรัพย์สมบัติแต่ทำไมไม่รู้จักสรรหาอริยสมบัติบ้าง ใช่ไหม แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เรามีอริยสมบัติ แล้วกลับคืนขึ้นไปอย่างสบาย ไม่ใช่ความดีหรือ ไม่ใช่จิตใจที่รู้จักเสียสละ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้น ยืนขึ้น -นั่งลง)
ตอนนี้มีคนบอกท่านตลอดนะ ว่าให้ท่านทำอย่างไร แต่ต่อไปไม่มีใครบอกท่านอีกแล้ว ถูกไหม ในชีวิตมีตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดและกุมชะตาถูกไหม (ถูก) ผิดพลาดไปก็อย่าไปโทษคนอื่น แต่ต้องหันมาตรวจสอบตัวเราเอง

เหลืออีกอย่างหนึ่งคือ ความหลง อย่าปล่อยให้ความรู้สึกชอบกลายเป็นรัก แล้วรักจนหน้ามืดมาจนกลายเป็นหลง ฉะนั้นเวลารักแล้วต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี มองให้ออกว่าดีและไม่ดี
วันนี้ท่านเก่งไม่ใช่น้อยเลย นั่งฟังอยู่ได้เกือบค่อนวันแล้ว ความอดทนนี้จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อครบ 2 วัน ฉะนั้นทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด อย่าเป็นคนที่ทำอะไรแล้วล้มเลิกกลางคัน ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พยายามมาค่อนวันก็จะสูญเปล่า ใช่ไหม (ใช่) ลองนำไปคิดดูสิว่า สิ่งที่เราพูดนี่เป็นจริงไหม แล้วใช้ได้หรือเปล่า นำเอาสิ่งที่ดีไปก็พอ สิ่งที่ไม่ดีและไม่แน่ใจก็ไม่จำเป็นต้องมาคิด ในโลกนี้มีสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่เห็น สิ่งที่รู้ได้และสิ่งที่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนำสิ่งที่รู้ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่ามัวแต่กังวลกับสิ่งที่ไม่รู้แล้วพลอยทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีก
วันนี้เรามาเรียนรู้ศึกษาหลักธรรมเพื่อนำไปใช้ในชีวิต ไม่ใช่เพื่อไปข่มคนอื่นหรือนำไปเป็นคำอ้าง แก้ตัวเมื่อเวลาทำผิด เราเรียนรู้หลักธรรมเพื่อลด ละ กิเลส เพื่อขัดเกลากิเลสที่อยู่ในตนให้มีความเป็นคนที่ถูกต้องและดีงาม เป็นสิ่งที่ไม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เวลาไหนที่ทำให้เราคิดอย่างคนมีธรรมตลอดเวลา แล้วจะคิดได้ในแบบของคนมีธรรมแล้วรู้จักคิด ก็คือต้องเอาหลักธรรมะ มาคอยกล่อมเกลาจิตใจ ยิ่งยุคนี้เป็นการฉุดโปรดยุคสาม หวังให้มนุษย์ใช้หลักธรรมเพื่อไปปลดทุกข์และหาทางพ้นทุกข์ให้เจอ และช่วงที่กำลังหาทางปลดทุกข์และพ้นทุกข์นั้น ยังมีใจเมตตาเพื่อช่วยคนอื่นด้วย นี่คือการโปรดในยุคนี้นะ ช่วยตัวเองแล้วยังช่วยคนอื่นด้วยแม้ตัวเอง ไม่รอดก็ยังมีใจที่จะช่วยคนอื่นให้รอดด้วย ถ้าทำได้ก็แสดงว่าประเสริฐแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่รู้จักว่าเมื่อตัวเองหิว แล้วยังนึกถึงคนอื่น คนนี้ก็ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนในโลกส่วนใหญ่ ขอให้ตัวเองอิ่มก่อนแล้วค่อยช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะทันไหม
เคยไหมที่ตัวเองก็หิว เขาก็หิว แต่ถ้าได้อาหารมาก็แบ่งกัน คนแบบนี้น่ารักกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเองก็อยากให้พวกท่านทำได้ นี่แหละเรียกว่า การขัดเกลาตนเอง  ตัวเองยังไม่รอดแต่ก็ยังช่วยให้คนอื่นให้รอดก่อน เมื่อยามอยู่จงใช้ชีวิตให้ดีที่สุด และเวลาไปชีวิตเราก็จะเป็นชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ ทำไม่ยากใช่ไหม (ใช่) ละชั่ว บำเพ็ญดี ทำจิตใจให้ดี ทำให้ได้นะ
บำเพ็ญธรรมเริ่มต้นที่ตัวเราเป็นอันดับแรก แก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไหน ก็แก้ไขที่ใจ เปลี่ยนแปลงที่ใจ  คิดให้ดี คิดให้ถูก คิดให้รอบคอบ คิดให้สุขุม แล้วความคิดภายในจิตใจก็จะไม่เกิดความวุ่นวายไปสู่ภายนอก ใช่หรือใหม่ (ใช่)
ถึงเวลาเราต้องไปแล้วนะ รักตัวเองให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญธรรมเป็นคนดีของสังคม และเป็นคนดีที่น่ารักของพระอาจารย์จี้กงนะ  เราทำดีเพื่อให้มีดี เพื่อไปให้ถึงที่สุดของความดี และอย่ายอมแพ้ใจตัวเองเสียก่อนนะ เรามาอยู่บนโลกนี้ยืมร่างกายใช้ ยืมวัตถุใช้ ยืมเงินใช้ ถึงเวลาก็ต้องไป  ฉะนั้นยืมใช้แล้วก็ต้องใช้ให้ดี ไม่ใช่ใช้แล้วกลายเป็นคนชั่ว






วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙        สถานธรรมจือเจวี๋ย   จังหวัดสงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คุณธรรมปัดเป่าภยันตราย                 จิตใจไร้กังวลไม่อ่อนล้า
สะสมซึ่งกุศลคุณธรรมปัญญา               วาสนาเกิดด้วยการสละเป็น
                        เราคือ
  จี้กง                                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่โลกแสนวุ่นวายแฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนงงหรือเปล่า

  ปลงทุกข์ได้เดิมต้องบำเพ็ญมา             ปวารณารับยอมหัดโดยมุ่งมั่น
อันที่แท้ทุกข์เป็นสิ่งสามัญ                     คนอยู่นั้นทุกข์อยู่เสมอไป
หลงจึงแย่ไปกว่าอุปสรรคฉุด                 พะวงตามคอยต้องผุดอุปสรรคใหม่
ฉลาดแต่ไม่รู้แง่หลากหลาย                   แก้อะไรรู้สึกที่ศิษย์ชินมา
ซื่อฉลาดในข้างหน้าพัฒนาได้                ซื่อไม่อยู่สุขไกลหัวใจหนา
ต่างทึกทักวุ่นวายเมื่อขับไล่นา               ปัญญามองไปโลภลาจากชีวี
คนเดิมต่างไปฝึกบำเพ็ญหน่อย              ทำใจเรื่องใหญ่น้อยมีภาษี                 
ชัยชนะซ่อนอยู่ในความดี                      ชัยชนะที่มีอุปสรรคจึงแข็งแรง

                                                                                             ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่ชอบความทุกข์ แต่ไม่ชอบแล้วมีหรือเปล่า มีเพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นหาทุกข์มาใส่ที่ใจเอง ถ้าหากไม่มีทุกข์ ไม่มีใจ ดีหรือเปล่า  ทุกวันนี้ก็มีใจมากเกินไป มีใจให้สามี ให้ลูก ให้หลาน ให้ทรัพย์สิน ให้เพื่อนบ้าน ทุกอย่างเกิดจากความมีมากเกินไป อย่างนี้ไม่มีใจดีไหม (ไม่ดี)
แต่ใจที่อาจารย์พูดถึงนี้เป็นใจที่ศิษย์นั้นเอาไว้รับรู้อารมณ์ต่างๆ เป็นใจที่อยู่ข้างในใจของศิษย์อีกทีหนึ่ง เดิมทีใจนั้นขาว สะอาด บริสุทธิ์  ตอนเด็กๆ ใจเราใสกว่านี้จริงไหม ตอนเด็กๆ เราคิดอะไรง่ายดายกว่านี้จริงไหม ตอนเด็กเราพูดถึงผลประโยชน์น้อยกว่านี้ พูดถึงความอยู่รอดน้อยกว่านี้ พอเราโตขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตนี้ต้องอยู่รอด เราจึงไขว่คว้าหาๆ ๆ ๆ ๆไปไกลแล้ว หาจนมีมากแล้ว แต่เราสูญเสียจิตใจ อันบริสุทธิ์ใสสะอาดไป จริงหรือไม่
จิตใจอันบริสุทธิ์สะอาดอันนี้ ยังอยู่ข้างในหรือเปล่า อยู่ไหนล่ะ อยู่ลึกๆ ใช่หรือเปล่า ทุกครั้งที่ใจบริสุทธิ์นั้นสำแดงออกมา เราก็บอกว่ามันเป็นความโง่มากเกินไปที่จะคิดอะไรแบบนั้นอย่างตื้นๆ แค่นี้
เวลาคนทำดีกับเรา เราก็ไม่เชื่อว่าเขาทำดีกับเราจริงหรือไม่ (จริง) เพราะคิดว่าเขาทำดีกับเราเขาต้องหวังผลประโยชน์แน่เลย เวลาเราทำดีกับคนอื่นเราหวังผลประโยชน์ไหม เราต้องมองคนอื่นประดุจมองเห็นตนเอง เราต้องมองเห็นซึ่งกันและกันประดุจเดียวกัน อะไรที่เราหวังดีต่อตัวเอง ก็ต้องหวังดีต่อผู้อื่นเช่นกัน ใครที่หวังดีกับผู้อื่นก็ต้องหวังดีกับตัวเองเช่นกัน เราต้องลดความเป็นตัวตนของเราให้น้อยลง  จิตใจบริสุทธิ์นั้นจึงสามารถที่จะปรากฏออกมาได้
ถามจริงๆ ว่าวันนี้ถ้าเรายอมเสียเปรียบไปหนึ่งครั้งเราจะตายไหม จะไม่รอดไหม เพราะฉะนั้นเราจะรอดแบบคนที่มีคุณธรรมดี หรือเราจะรอดอย่างคนที่มีความชั่วร้ายในจิตใจ เราจะรอดแบบคนดีหรือคนชั่ว (คนดี) เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวเป็นคนดี ถ้าหากว่าคนอื่นมาหวังดีกับเรา เราอย่าคิดมากดีหรือไม่ (ดี) เวลาที่คนอื่นเขาใส่ร้าย เราก็อย่าคิดมากดีหรือไม่
เรามีปากทุกคนหรือเปล่า ปากเราพูดทุกวันหรือเปล่า เคยพูดผิดไหม (เคย) แต่ไม่ยอมรับกับคนอื่นเด็ดขาด ใช่หรือเปล่า ยอมรับกับตัวเอง แต่ไม่ยอมรับกับคนอื่น คนอื่นก็ไม่รู้ว่าเราสำนึก เพราะเราไม่มีคำสำนึกออกจากปากเลย ผิดก็ไม่ยอมรับผิด ถูกก็ต้องให้คนอื่นรู้ทั่วกัน ไม่ได้มีไมโครโฟน หรือโทรเข่งติดตัวเลย แต่คนอื่นต้องรู้เรื่องเราที่ดีๆ ทุกอย่างจริงหรือไม่ แล้วเรื่องไม่ดีล่ะ ปิดเท่าไหร่ก็ปิดไม่มิด เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ต้องทำอย่างสง่าผ่าเผย จริงหรือไม่ (จริง) ทำอะไรก็รับอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นคนเปิดเผยจริงใจ การกระทำของเราก็ดุจเดียวกับอริยะปราชญ์ การกระทำของเราจะยิ่งใหญ่ แต่หากว่าเราทำอะไรลับหลังคนอื่น ไม่ให้คนอื่นรู้หรือเป็นความลับ แสดงว่าเราเป็นคนที่ (ไม่ดี) เราเป็นคน เมื่อทำอะไรก็จะมีคนมอง เป็นเรื่องปกติไหม (ปกติ) เพราะฉะนั้นคนอื่นรู้เห็นเรื่องของเราเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา) ถ้าเราเดินไปไหนมาไหนไม่มีคนสนใจเลย เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา) ตกลงอยากเป็นคนธรรมดาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำอะไร คิดอะไร มีคนรู้เห็นว่ากล่าวตักเตือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าอย่าทำผิดโดยไม่ละอาย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนกล้าว่าเราเพราะเราเป็นนักฟังที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ตั้งแต่เด็กโดนพ่อแม่ว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) โตมาเจอครูว่า โตขึ้นมาอีกเจอเพื่อนว่า เจอพี่น้องว่า เจอญาติว่า เจอเพื่อนบ้านว่า เจอคนที่ทำงานว่า สุดท้ายแต่งงานแล้วเจอคนที่บ้านว่า พอแก่แล้วเจอใครว่า (ลูกว่า) เราเจอการโดนว่ามาตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกครั้งที่โดนว่าเราชอบหรือไม่ชอบ (ไม่ชอบ) เราต้องฟังหรือเปล่า (ต้องฟัง) ถ้าเรายิ่งทำหน้าบึ้งไม่ชอบใจ เราก็ยิ่งโดนว่า เพราะฉะนั้นกลับไปหลังจากวันนี้เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ เวลาโดนว่าต้องทำอย่างไร (ยิ้ม) ปกติหน้าเราเป็นชามคว่ำ หลังจากวันนี้ไปหงายชามดีไหม (ดี) คว่ำชามใส่อะไรได้หรือเปล่า (ไม่ได้) หงายชามใส่ของได้ไหม (ได้)
กรองคำพูดของเขาที่เป็นสิ่งที่ดีมาฟัง ไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะฉะนั้นเมื่อเรากรองคำพูดก็เหมือนเราได้อ่านหนังสืออยู่ทุกวันเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
เราทำผิดอะไรปุ๊ป ก็มีคนว่าเราปั๊ป เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อเขามากเลย จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ว่าเราจะผิดตรงไหนนิดหน่อย มีคนเดินมาบอกเรา มีคนเอากระจกมาให้เราส่องดูจิตใจของเรา ว่าเราผิดแล้วนะ อย่างนี้ดีไหม (ดี) ชีวิตนี้จะมีคนสนใจเรามากเท่านี้อีกไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเจอคนที่สนใจเรื่องของเรา ติเรา ไม่เคยชมเราเลย อย่างนี้ถือว่าเราโชคดีไหม
การก้าวขึ้นบันไดเหนื่อยมากกว่าเดินลง จริงหรือไม่ (จริง) การก้าวขึ้นแปลว่าเราต้องออกแรง การที่มีคนมาว่าเราก็เพื่อให้เราได้ออกแรงกับชีวิตตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ถ้าเราเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองอยู่เสมอ ชีวิตเราจะดีขึ้น จริงหรือไม่ (จริง) แต่หากว่าเรานั้นอยู่เฉยๆ เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ชีวิตก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ เราพอใจในชีวิตตัวเองหรือเปล่า (ไม่พอใจ) เคยเห็นคนที่ได้ดีกว่าเราไหม (เคย) เขานั่งเฉยๆ เหมือนเราหรือเปล่า (ไม่) คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ เขาจะต้องลงทุนอะไรบ้าง เราก็ลงทุนง่ายๆ ลงทุนเอาหูไปฟัง เอาตาไปดู เอาใจมาคิด ต้นทุนทุกอย่างมีในตัวอยู่แล้ว เป็นคนโชคดีหรือเปล่า อยู่แค่ว่าเราคิดอย่างไร
เราจะเปลี่ยนพ่อแม่, พี่น้อง, ลูกหลานได้ไหม (ไม่ได้) เปลี่ยนบ้าน, เปลี่ยนรถได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เปลี่ยนบ้านเปลี่ยนรถต้องใช้อะไร (เงิน) เมื่ออยากได้เงินก็ยิ่งทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งท้อแท้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่คิดจะเปลี่ยนสมบัตินอกกายนั้น เป็นเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ใครอยากเปลี่ยนก็ขึ้นอยู่กับคนนั้นว่าจะใฝ่หาแสวงหา มีความโลภในชีวิตมากน้อยแค่ไหน หรือถ้าเหมาะสมที่เปลี่ยนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนโดยที่ไม่ต้องลงทุนเลยคืออะไร (ตัวเอง) ในเมื่อเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเราเอง
คนที่บ่นคนอื่น ว่าคนอื่นอยู่ทุกวัน ถามว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า เขาก็เป็นคนดีเพราะเขาไม่ได้เบียดเบียนใคร เพียงแต่ขี้บ่นจุกจิกจู้จี้ไปหน่อย จริงหรือเปล่า (จริง) แสดงว่าเราอยู่กับคนดีหรือเปล่า เราควรที่จะสำนึกรู้ตัวว่าเรานั้นเป็นคนที่โชคดี ถ้าศิษย์คิดว่าศิษย์โชคร้าย ศิษย์ก็จะโชคร้าย ถ้าศิษย์คิดว่าโชคดี ศิษย์ก็จะโชคดี ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองจน ศิษย์ก็จะ (จน) ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองรวย ศิษย์ก็จะ (รวย) เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ) อาจารย์เห็นว่าเวลาศิษย์คิด คิดแต่ว่าเงินน้อย แก้ปัญหาโน้นแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะว่าเงินน้อย ปัญหาทุกอย่างแก้ด้วยเงิน จริงหรือเปล่า (ไม่จริง) ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ที่ตัวเราเอง เงินเป็นสมบัตินอกกายที่ใครๆ ก็พร้อมจะสละได้ แต่คนที่คิดไม่ได้ก็จะสละไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ถามว่าถ้าศิษย์เห็นคนๆ หนึ่งไม่มีข้าวกิน ศิษย์พร้อมที่จะควักเงินออกมาซื้อข้าวให้เขากินไหม พร้อมหรือไม่พร้อม (พร้อม) แค่จานเดียวพร้อม ถ้าหากว่าหลายๆ จานแต่เรามีเงินไม่ถึง เราจะทำได้ไหม เราทำไม่ได้แต่ความมีน้ำใจของเรา ทำได้หรือยัง (ได้) เราชนะตัวเองหรือยัง (ชนะแล้ว) อาจารย์ไม่ได้ต้องการให้ศิษย์มีเงินสิบบาทแล้วทำหนึ่งร้อยบาท แต่อาจารย์ต้องการให้มีสิบบาทแล้วช่วยเหลือคนอื่นเท่าไหร่ (ห้าบาท)เหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งเอาไว้ช่วยตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วช่วยตัวเองรอดหรือไม่รอด(ไม่รอด)
           เวลาที่เราเดือดร้อนจริงๆ แล้วคนอื่นช่วยเราครึ่งหนึ่ง พอใจไหม (พอใจ) อาจารย์บอกให้ จะให้ช่วยบาทเดียว ห้าบาท สิบบาทไม่เป็นไร แต่ถามว่าใจน่ะออกมาแล้วกี่ส่วน ถามว่าใจที่ออกมาพร้อมเงินห้าบาทน่ะกี่ส่วน มือที่ควักลงไปแล้วให้คนอื่นไปนั้นเราให้มากี่เปอร์เซ็นต์ของใจ เพราะฉะนั้นเงินทองของนอกกายสำคัญหรือไม่ (ไม่) ถ้าศิษย์บอกว่าเงินสำคัญตลอด ชีวิตนี้ศิษย์ก็จน เพราะไม่เคยมีใครพอใจกับเงินจำนวนที่ตัวเองมีอยู่ จริงหรือเปล่า (จริง)
          จะจนหรือรวยขึ้นอยู่กับว่าเราต้องมีเงินมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า จะจนหรือรวยขึ้นอยู่กับที่ใจนั้นจนหรือรวย ใจของศิษย์เป็นใจจนหรือใจของศิษย์เป็นใจรวย (ใจรวย) ถ้าหากว่าใจรวยแล้วต้อง (แบ่งปันให้ผู้อื่น) คนรวยต้องแบ่งปัน จริงหรือไม่ (จริง) ไม่มีเงินไปซื้อน้ำให้เขากินก็ตักน้ำจากในบ้านแก้วหนึ่งให้คนอื่นกิน เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)
          วันนี้มาพูดเรื่องใจ เราไม่พูดเรื่องสมบัตินอกกาย เราไม่พูดเรื่องอื่นที่นอกจากใจ เราพูดถึงใจล้วนๆ คนที่มีจิตใจที่ดี คนที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ย่อมอยู่ในคนทุกหมู่เหล่า ทุกชาติ ทุกประเทศ ฉะนั้นในวันนี้ใจของศิษย์นั้นลึกๆ ยังมีใจที่ดีอยู่ จริงหรือไม่  (จริง)  แต่มันประหวั่นพรั่นพรึงกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าจะเอาใจดีๆ อันนี้ออกมา จริงหรือเปล่า (จริง) ยิ่งเกิดความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเท่าไหร่ตัวของเราก็ย่อมที่จะมีราคะ[‡]มากเท่านั้น คนที่มีความเห็นแก่ตัวมากคือคนที่มีกิเลสมาก ฉะนั้นในวันนี้เราต้องการที่จะบำเพ็ญใจจึงต้องเอาจิตใจออกมาขัดเกลา จริงหรือไม่ (จริง)
           ใจอยู่กับเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไหม (อยู่) ใจอยู่กับเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสามารถที่จะสังเกตดูแลจิตใจ สามารถที่จะขัดเกลาได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเวลาไหน ไม่ว่าจะวันไหน ยิ่งในสถานการณ์ที่ลำบาก ในสถานการณ์ที่ชวนให้ว้าวุ่นและสับสนใจ ศิษย์ยิ่งเห็นใจตัวเองชัดมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งกำลังถูกบ่น ยิ่งกำลังถูกว่าถูกติ ยิ่งกำลังถูกประณามหยามเหยียด ยิ่งถูกคนดูถูกได้เท่าไหร่ศิษย์ยิ่งเห็นใจตัวเองชัดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่เราเกิดในวาระนี้ยุคนี้ ยิ่งเราเจอเรื่องที่ไม่ดีมากขึ้นเท่าไหร่ขอให้ศิษย์แค่คิดเป็น เอาใจของเราอยู่เหนือความคิดของเรา ขอให้แค่คิดเป็นแล้วศิษย์จะได้โอกาส แล้วศิษย์จะได้ตัวศิษย์ซึ่งเป็นคนใหม่เกิดขึ้นมาในคนเดิม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมมากแค่ไหน ไม่ว่าถึงคราวต้องเสียชีวิต เจ็บป่วย ดับสูญ สูญสิ้น พรากจาก ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่รำคาญใจ หงุดหงิดใจ เบื่อหน่ายใจ ขอให้ศิษย์แค่คิดเป็นศิษย์ก็จะอยู่เป็น ทำได้ไหม (ทำได้) ความคิดของเราที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความคิดของเราที่กระจัดกระจายฟุ้งซ่านออกไป ความคิดของเราที่หยุดไม่อยู่ ทำได้ไหม (ทำได้) ฉะนั้นความคิดของเราที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความคิดที่กระจัดกระจายฟุ้งซ่านออกไป ความคิดที่หยุดไม่อยู่ เราต้องมาปรับเปลี่ยนใหม่ ต้องมารู้จักความคิดของตัวเองจริงหรือไม่ การคิดไปเรื่อยๆ ได้ประโยชน์ไหม มีประโยชน์อยู่เพียงนิดเดียว การคิดอย่างคนขี้อิจฉาตาร้อน คิดอย่างคนที่อยากได้ผลประโยชน์ มีความโลภ คิดอย่างเผลอสติ คิดอย่างไม่มีความตั้งใจ ไม่มีกำลังใจ ความคิดประเภทนี้หาประโยชน์ไม่ได้ เราจะต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น
เวลาเราส่องกระจกเราทำหน้าบึ้งโกรธใส่กระจกไหม เวลาที่เรามองกระจกบ่นตัวเองสักหน่อยดีไหม รู้สำนึกผิดต่อหน้ากระจกดีไหม จริงๆ แล้วทุกคนต่อให้หน้าตาเป็นเช่นไร เวลายิ้มแล้วสวยทุกคนจริงไหม ฟันหลอยิ้มก็สวยจริงหรือเปล่า ใส่แว่นก็สวย มองอย่างไรก็หล่อ เพราะฉะนั้นเราทำหน้าหล่อๆ  สวยๆ  เวลาเจอคนอื่นดีหรือเปล่า
สามีที่เคยเลือกเรามาเป็นภรรยาเพราะเขามองเราสวยที่สุดถูกไหม ถามว่าวันนี้เรายังสวยที่สุดหรือเปล่า เราก็ว่าเรายังสวยอยู่นะ แต่ว่าคนอื่นเห็นเราสวยไม่สวย เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรารู้เยอะเลยพูดเยอะใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นบางครั้งไม่รู้อะไรบ้างดีไหม (ดี) แล้วเวลาที่คนอื่นเขาไม่ให้เรารู้ เขาปิดเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องเลือกเอาแล้ว รู้เยอะก็ต้องพูดเยอะ อย่างนั้นเราไม่รู้เราจะได้ไม่พูด เวลาเราไปรู้ทีหลังเราอย่าบ่นดีไหม ก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะเขาห่วงเรา รักเรา ไม่อยากให้เรารู้ จริงหรือไม่ เพราะรู้แล้วมันระคายหู รู้แล้วมันรำคาญใจ
ฉะนั้นวันนี้ สิ่งที่ได้กลับไป อย่างแรกต้องรู้จักคิดให้ตก อย่างที่สองต้องบ่นให้น้อยลง ทำได้ไหม บ่นน้อยลงก็น่ารักมากขึ้นใช่หรือเปล่า มากกว่าครีมแพงๆ มากกว่าการทาหน้าทาปาก รอยยิ้มทำให้คนเป็นสาวขึ้นนะ บางคนบอกว่ายิ้มมากเดี๋ยวตีนกาขึ้น  แต่จริงๆ แล้วยิ้มมากๆ ทำให้คนดูสาวขึ้น เชื่อไหม ถ้าเชื่องั้นกลับไปยิ้มทุกวัน เจอสามีก็ยิ้มหน่อย เจอเพื่อนก็ยิ้มหน่อย เจอลูกกวนใจมาก็ยิ้มหน่อย เจอคู่อริคู่อาฆาต คู่แค้นมาก็ยิ้ม
วาสนาเกิดจากการสะสม จริงหรือเปล่า คนจะมีวาสนาด้วยการทำอะไร เรารู้สึกไหมว่าคนอื่นเขามีวาสนามากกว่าเรา บางคนเกิดมาสวยกว่าเราจริงไหม บางคนเกิดมารวยกว่าเรา บางคนเกิดมาโชคดีกว่าเรา บางคนเกิดมาก็มีพ่อแม่ดี แล้วเรามีพ่อแม่ไม่ดีจริงหรือเปล่า  (จริง) ไม่จริง อาจารย์พูดไปเรื่อยๆ ก็จริงไปเรื่อยๆ เหรอ การคิดอย่างนี้ทำให้เรานั้นเป็นคนที่เหนือคนไม่ได้ เราต้องมองโลกในแง่ดี ในแง่บวก เราจึงจะเหนือคนอื่นนะศิษย์ ถ้าหากเรามองในแง่ลบเราจะเหนือคนอื่นได้อย่างไร คนที่มีพลัง คนที่มีบารมี อำนาจ แม้ว่าอยู่ในยามที่ตกอับที่สุดก็ยังสามารถที่จะพลิกให้ตัวเองนั้นถีบตัวเองขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเขามีบารมีสูงส่งกว่า ไม่ใช่ดวงเขาดีกว่าเรา แต่เขาคิดเป็นมากกว่าเรา
กรรมในอดีตชาติทำให้เราลำบาก แต่วันนี้กำหนดอนาคต ในอดีตนั้นกำหนดศิษย์ ณ วันนี้เท่านั้น อนาคตนั้นอยู่ที่เรากำหนดตัวเองจริงหรือไม่ (จริง) อนาคตอยู่ที่เรา แม้ว่าวันนี้ตกอับ อับจน แม้ว่าวันนี้สิ้นไร้ไม้ตอก แม้ว่าวันนี้รู้สึกว่าภาวะที่ตนเองเป็นอยู่นั้นเป็นภาวะที่เหลืออดเหลือทนจริงๆ ถ้าหากวันนี้เราเริ่มได้ดีเราก็ก้าวไปในทางที่ดี ขอเพียงแต่อย่าตั้งลำตั้งต้นผิดที่
บางคนมาบำเพ็ญธรรมะใจก็คิดแต่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ขอๆๆๆ อันโน้นก็ต้องดี อันนี้ก็ต้องดี อันนั้นก็ต้องได้ แต่ว่าไม่ยอมสร้างเอง ไม่ยอมคิดให้เป็น เวลาที่ศิษย์เลี้ยงลูก ศิษย์จะโอ๋เขาทุกอย่างไหม (ไม่) แล้วคิดว่าจะให้อาจารย์โอ๋ศิษย์ทุกอย่างไหม (ไม่)
วาสนาเกิดด้วยการสละเป็น อยากมีวาสนาใช่ไหม อาจารย์ให้แต่วิธีนะคือ สละเป็นสละปุ๊บได้ปั๊บเลยหรือเปล่า (ไม่) สละปุ๊บก็อย่าคิดว่าตนเองก็จะต้องได้ปั๊บ ทำบุญสิบบาทแล้วก็คิดว่าขอให้ถูกหวยสักตัว
คนในโลกนี้ทุกคนรวยหรือไม่ (ไม่รวย) ธรรมดาคนในโลกนี้ไม่ได้รวยทุกคนใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นศิษย์ก็เป็นคนปกติธรรมดาแล้ว เพราะว่าเราก็ไม่ได้รวยเท่าไรใช่หรือไม่ ไม่รวยนี่สิดี คนไม่รวยบำเพ็ญธรรมะได้ดี ส่วนคนรวยเวลาบำเพ็ญธรรมะมักจะคิดถึงหน้าตาหรือคิดถึงผลที่จะได้มา เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นคนจนเราก็จะไม่ได้คิดว่าเราทำไปแล้วจะต้องได้หน้าถูกไหม เพราะเรามักจะคิดว่าเราทำน้อยไม่มีหน้าตาหรอกจริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์จะบอกให้ ศิษย์นั้นไม่มีหน้าตาก็จะทำให้ลดกิเลสไปได้หนึ่งอย่าง ลดอุปสรรคภายในจิตใจไปได้อีกหนึ่งอย่าง เพราะฉะนั้นผลแห่งกุศลก็จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งกว่า เทียบกับคนทีทำบุญก็คิดอธิษฐานขอมากมาย กลับไม่ใช่กุศลนะ กลับออกมาเป็นบุญ บุญซึ่งตอบแทนในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นคนทำบุญกับคนสร้างกุศลจึงต่างกัน คนทำแล้วได้บุญเพราะเขาอยากจะได้รับการตอบแทน เขาก็จะได้รับเป็นบุญ วันหลังก็จะตอบแทน แต่คนที่ทำแล้วจิตใจบริสุทธิ์สะอาด เขาก็จะได้วาสนา ฉะนั้นทุกวันนี้เมื่อศิษย์ทำบุญแล้วศิษย์ได้อะไร แล้วแต่ศิษย์จะเลือกนะ
ชีวิตนี้ทำอะไรช้าๆ ได้หรือเปล่า หุงข้าวตั้งแต่ 6 โมง 7 โมง ไปกินข้าวบ่ายสองได้ บางอย่างต้องทันเวลา บางอย่างก็ทิ้งเวลาการบำเพ็ญธรรมการฝึกใจนั้น ต้องใช้เวลาหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรม ต้องใช้เวลาอย่างยิ่ง แต่ว่าถ้าเราไม่ให้เวลาได้หรือเปล่า
คนมองว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากชีวิตประจำวัน แยกการบำเพ็ญธรรมออกจากชีวิต การที่เป็นคนดีก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ให้ชีวิตอยู่รอดก่อน เงินทองก็เป็นเรื่องสำคัญมาก นี่เป็นความคิดของคนสมัยนี้
ถามว่าชีวิตนั้นอยู่ได้ด้วยตัวเองจริงหรือไม่ วันนี้ศิษย์อยากทำให้ชีวิตตายไปทำได้หรือเปล่า ทำได้ไหม เราอยากให้ชีวิตนี้ตายไปทันทีก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่เรามีชีวิต เราเบื่อชีวิต แล้วอยากไปให้พ้นความเบื่อ เราจึงต้องเป็นคนที่มีความใจเย็นมากกว่านี้ เราจึงต้องใช้สติกับชีวิตนี้ให้มากขึ้น
ถ้าหากว่าเรายังมีความโลภ เราก็แสดงความโง่ของเราออกมาเสมอๆ ความโลภนั้นผู้บำเพ็ญมองว่าเป็นความทุกข์แต่มนุษย์มองว่าเป็นความสุข ผู้มีปัญญาจึงมองเห็นว่า ควรที่จะหนีเสีย การที่จะมีเยอะๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้ เพราะว่าที่เรามีอยู่นั้นมันน้อยเกินไป จริงหรือไม่ มีสถานธรรมก็อยากมีสถานธรรมใหญ่ๆ เยอะๆ มีคนรับธรรมะ ก็อยากมีคนเยอะๆ ถามว่านี้เป็นกิเลสหรือเปล่า กิเลสทางโลก อยากมีเงินเยอะๆ กิเลสทางธรรมก็มีเช่นเดียวกัน คนเรามีกิเลสเพราะยึดติดที่รูปธรรม รูปธรรม แปลว่า สิ่งที่มีรูป ก็ย่อมทำให้คนนั้นเห็นว่ามีปริมาณมากขึ้น แต่หากว่าเป็น นามธรรม ล่ะ ความดีเรามีเยอะๆ ไหม แต่ความดีเป็นนามธรรม ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือวัดปริมาณได้ หากเรามีจิตใจที่ดีแม้ทำความดีนิดหนึ่งแต่ความดีนั้นยิ่งใหญ่ แต่หากว่าเรานั้นทำลงไป แต่ใจของเรานั้นไม่บริสุทธิ์แม้ทำลงไปเยอะมาก แต่ก็เป็นเพียงความดีน้อยนิด
ความดีเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่งแบ่งปันยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ ความดีที่มีอยู่บอกว่าเราต้องได้ความดีคนดี ได้อานิสงส์นี้คนเดียว เรายิ่งคิดหวงมากเท่าไหร่ ความดีก็ยิ่งน้อยลง แต่ถ้าหากว่าแม้ว่าเราจะทำออกมากับมือ เช่น เรือลำนี้เราลงทุนสร้างเอง แต่เราบอกคนโน้น คนนั้นช่วยกันสร้าง ความดีของเรานั้นกระจายออกไป และ ความดีที่เราก็ไม่ได้ลดลง
ในวันนี้เรามีธรรมะเอากลับไปใช้ที่บ้านได้หรือเปล่า วันนี้ถ้าหาก
ว่าเราทำความดีอย่างหนึ่ง อยากให้เจ้านายเห็น คนที่บ้านเห็น แต่ว่าทำเท่าไหร่ๆ คนที่บ้านยังไม่เห็น ทำเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่ชม ก็ต้องกลับมามองตัวเองว่า เราเคยชมคนอื่นหรือเปล่า
ภัยภายนอกไม่สู้ภัยภายใน





เวลาเราชมคนทีดอกพิกุลเกือบร่วงใช่ไหม เราเป็นคนที่ปากหนักชมคนอื่นยาก ถ้าอยากให้คนอื่นชมเรานั้นง่ายหรือเปล่า เราอยากจะได้อะไรต้องหันมามองตัวเองให้มาก ถ้าเราอยากจะได้สิ่งที่ดีต้องส่งสิ่งที่ดีออกไป
ทุกวันนี้จุกจิกรำคาญใจมากมายทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรให้ความทุกข์อันนี้หมดไป อยากจะหายหรือเปล่า (อยาก) อยากหายต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าอยากหายจู้จี้จุกจิกรำคาญใจต้องเปลี่ยนอะไรที่ตัวเอง (อย่าไปยินดียินร้าย) ถ้าหากว่ามีภรรยาเดินมาบ่นแล้วเราบอกว่าเราไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ทำตัวประหนึ่งเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ตรงนั้น เกิดอะไรขึ้น บ้านแตกไหม  ถ้าหากว่าเรากำลังบ่นแต่คนตรงข้ามทำเป็น ไม่ยินดียินร้ายบ้านแตกหรือเปล่า (แตก)
อย่างหนึ่งที่คนไม่ควรทำเวลาที่โดนบ่นคือนั่งเฉย เวลาดูทีวีจะนั่งเฉยๆ ก็ได้ เวลาทำงานเหนื่อยหน่อยอยากนั่งเฉยๆ ก็ได้ แต่เวลาโดนบ่นห้ามนั่งเฉยๆ เป็นอันขาด ขอให้พยักหน้า แสดงการฟังหรือเห็นด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เราโดนบ่นห้ามหัวเราะผิดเวลาอย่างยิ่ง หัวเราะ หึๆ ๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ที่สำคัญที่สุด เวลาโดนบ่นห้ามเถียงเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จำเป็นต้องเก็บทุกคำพูดของผู้อื่นไปคิด
อาจารย์บอกแล้วเราอาจจะอ่านหนังสือไม่คล่อง เราอาจจะอ่านหนังสือไม่เป็น เราอาจจะไม่ฉลาด แต่หากว่าเราฟังผู้อื่นมากๆ เราจะทั้งฉลาดทั้งรอบรู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มีคำพูดของคนสองประเภทที่ศิษย์ต้องฟัง  หนึ่งคือผู้มีปัญญา สองคือผู้มีประสบการณ์  ผู้มีปัญญานั้นมีมากมายอยู่ในโลกนี้ ยิ่งในภาวะวิกฤต ยิ่งในภาวะตกยาก ผู้มีปัญญายิ่งมาก เพราะผู้มีปัญญาย่อมออกมาในยามที่คับขันเสมอ แต่คนนั้นก็ย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ เห็นผู้มีปัญญานั้นเหมือนไม่เห็น
เราจะยกยอผู้อื่นนั้นไม่เคยทำด้วยความจริงใจ เพราะฉะนั้นการที่เราจะนับถือใครเป็นผู้มีปัญญานั้นเป็นเรื่องยากมาก ยิ่งถ้าใครมีผู้มีปัญญามาเกิดในบ้านแล้ว เรายิ่งไม่เห็นเลย เพราะว่าถูกสายตาอันหมองมัวของเรานั้นบดบัง อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์มองว่า ผู้มีปัญญานั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ทุกที่ อยู่รอบๆ ตัวศิษย์ ตั้งใจฟังเขาศิษย์จะได้สิ่งที่ดีกลับมา
สองผู้มีประสบการณ์ ศิษย์นั้นเกี่ยงไม่ได้ เพราะผู้มีประสบการณ์นั้นมีอยู่มากมาย คนที่เคยทำงานชิ้นนี้มาก่อนเรา คนที่มีอายุมากกว่าเรานั้นย่อมเป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่าเราจริงหรือไม่ คนที่รู้มากกว่าเราย่อมเป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่าเราจริงหรือไม่ (จริง)
แต่ความรู้ในโลกนี้คืออะไร คนรู้มาก อ่านมาก ฟังมากก็คิดว่าตนนั้นมีความรู้ แต่ความรู้ที่แท้จริงคืออะไร คือการเข้าใจตามข้อเท็จจริงนั้นๆ เรียกว่าผู้มีความรู้ ผู้มีความรู้ที่เลิศประเสริฐคือผู้ที่สามารถนำความรู้นั้นไปแก้สิ่งต่างๆ แล้วหากเราสามารถแก้ปัญหาได้ เป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา แต่หน้าตานั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ เพราะว่าหน้าตานั้นมาภายหลัง เรานั้นสามารถที่จะเข้าใจตัวเอง เอาชนะตัวเอง และแก้ปัญหาได้ ฉะนั้นผู้ที่มีความรู้มีปัญญาจึงไม่เป็นผู้ที่มีความทะนงตนใดๆ ทั้งสิ้น  ในวันนี้เราก็ไม่มีความทะนงตนอยู่แล้ว แต่ที่เราไม่มีความทะนงตนเพราะเรานั้นวิตกกังวลและหวาดกลัว ฉะนั้นความไม่อวดทะนงตนของเราและความไม่อวดทะนงตนของผู้มีปัญญาต่างกัน ความไม่อวดทะนงตนของเรานั้นเพราะเรายังรู้ไม่จริง เราจึงไม่ทะนงและเมื่อใดที่เรากลายเป็นผู้ที่รู้มากขึ้น ต้องตรวจทานตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ที่ทะนงตนหรือเปล่า
วันนี้หากศิษย์ของอาจารย์เริ่มมีคนติเตียนว่าลับหลัง อย่าไปโกรธเขาที่ว่าลับหลัง เราต้องหันมาพิจารณาตัวเองให้มาก วันนี้หากมีคนเริ่มไม่ชอบขี้หน้าเราแล้ว เราต้องหันมาดูตัวเองให้มากว่าเรานั้นน่าคบหาสมาคมหรือไม่ บางทีความผิดทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งคนอื่นทำผิดต่อเรานั้น เพราะว่าเราทำผิด การคิดอย่างนี้ไม่ใช่การโจมตีตัวเองแต่เป็นการแก้ไขให้ตัวเองนั้นดีขึ้น
ไม่มีวันไหนที่ศิษย์นั้นไม่ผิด แต่การที่ผิดนั้นก็ไม่ใช่ความผิดปกติใดๆ ความผิดที่เกิดอยู่ทุกวันนั้น เพราะว่าศิษย์นั้นใช้ชีวิตทุกวัน ศิษย์ไม่ได้อยู่เฉย ทำผิดมามากมาย แต่เราต้องเห็นความผิดตัวเองแล้วต้องแก้ไขตัวเองให้ได้ จึงจะสามารถเป็นคนที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เราเป็นคนดีแล้ว แต่เรายังเป็นคนดีมากกว่านี้ได้อีก จริงหรือเปล่า (จริง)
เวลาที่เจอเรื่องน่าคร่ำเครียดแต่ใจของเรานั้นอิสระเสรีเราจึงยิ้มออกมาด้วยความไม่มีความทุกข์ แต่อย่าไปยิ้มต่อหน้าคนอื่นจะกลายเป็นช้ำเติมคนอื่นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็แค่อมยิ้ม เวลาที่มีเรื่องแก้ไม่ตกมีปัญหาปลงไม่ตก แต่หากว่าเราคิดได้ แล้วเรายิ้มออกมา รอยยิ้มแบบนี้น่าปิติที่สุด อย่ากลัวว่าเป็นคนบ้า เพราะคนบ้าในโลกนี้มีไม่กี่คนใช่หรือไม่ เราจะเป็นคนที่มีอยู่ไม่กี่คนในโลกนี้
คนเราไม่ต้องเก่งในทุกๆ เรื่อง แต่เราต้องเก่งในบางเรื่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่) โลกนี้มีผู้ชำนาญ ชำนาญแปลว่าเก่งในเรื่องนั้นๆ จนได้ชื่อว่าชำนาญ อย่างเช่นล้างจานสะอาด อย่างเช่นนักวิชาการในด้านต่างๆ ที่ทำงานในแต่ละแขนง ส่วนเราก็สามารถหาความชำนาญได้เช่นเดียวกัน ทุกๆ คนอาจมีความชำนาญแต่ศิษย์นั้นน่าจะเป็นผู้ชำนาญในการบำเพ็ญที่สุด เพราะการบำเพ็ญนั้นไม่ต้องลงทุนใดๆ จริงหรือไม่ (จริง) ต้นทุนก็คือหัวใจ การออกแรงก็คือการแก้ไขตัวเอง และการคิดพิจารณาก็คือที่ปรึกษาของตัวเอง ทุกๆ อย่างล้วนอยู่ภายในทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
           หากสามารถแก้ไขตัวเองได้ เราจะมีความสมบูรณ์มาแต่ภายใน ความสมบูรณ์ที่มีอยู่แล้วและได้รับการฟื้นฟูเท่านั้นเอง ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีความสมบูรณ์อยู่แล้วหรือไม่ (มี) ทุกคนมีความสมบูรณ์อยู่แล้วเพียงแต่ทุกคนนั้นสามารถที่จะมองเห็นความสมบูรณ์อันนี้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
         ฉะนั้นเวลาที่มาสถานธรรมศึกษาธรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ฟังธรรมบางเรื่องก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่ารู้อยู่แล้วแต่เรายังไม่ได้ทำ จริงหรือไม่ (จริง) ยากก็ตรงที่นำไปปฏิบัติไม่ใช่ยากตรงที่เรามานั่งฟัง แต่การฟังธรรมนั้นมีข้อดีอย่างยิ่ง คนที่มาบำเพ็ญธรรมแม้กระทั่งบำเพ็ญไปสามปี ห้าปี สิบปีก็แล้วแต่ หากว่าห่างไกลการฟังธรรมจะทำให้ตัวเองนั้นเป็นคนที่ท้อง่าย จะทำให้ตัวเองนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองนั้นเห็นหรือเป็นอยู่ ฉะนั้นการฟังธรรมนั้นจึงไว้สำหรับให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้น ละ เลิก ความเบื่อหน่ายในการบำเพ็ญธรรม
          บางคนนั้นบอกว่าไม่มีเวลามาฟังธรรมแต่เวลาประชุมธรรมก็มา อาจารย์บอกได้เลยว่าพบอาจารย์สองชั่วโมงแม้ว่าศิษย์จะรู้สึกดีแต่การฟังธรรมจากมนุษย์ด้วยกันนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากหรืออาจจะดีกว่า ขอให้ศิษย์นั้นมีความอดทนในการฟังธรรมทุกคนไม่มีเวลาอย่างไรก็ขอให้เจียดเวลากลับมาฟังธรรม ฟังในสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้วดีกว่าเรานั้นอยู่เฉยๆ ที่บ้านแล้วบอกว่าเรารู้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทครอบ) 
การใช้ชีวิตของคนนั้น คนมีชีวิตแต่ใช้ชีวิตไม่เป็น คนเป็นเจ้าของชีวิตแต่ไม่ดูแลชีวิตตัวเอง ฉะนั้นเวลาที่เราอยู่จะสักแต่อยู่ไม่ได้ เราจะต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายนี้ให้สมบูรณ์ด้วย ถ้าเมื่อใดที่ร่างกายไม่สมบูรณ์อารมณ์ของเราก็จะขุ่นมัวทันที สังเกตว่าคนที่เป็นโรคคนที่ป่วยนั้นมักจะมีอารมณ์ที่ขุ่นมัวโดยไม่มีสาเหตุ แล้วอารมณ์ที่ขุ่นนี้ทำให้คนอื่นยิ่งตีตัวจากเราไปไกลง่ายๆ จริงหรือเปล่า
คนที่ป่วยนั้น มักจะมีอารมณ์ที่ขุ่นมัว โดยไม่มีสาเหตุ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วอารมณ์ที่ขุ่นมัวนี้ ก็จะทำให้คนอื่นยิ่งจากเราไปไกลยิ่งขึ้น จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นเราไม่ใช่แค่จะใช้ชีวิต เรายังต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายนี้ อย่าปล่อยให้เป็นโรคแล้วค่อยมาดูแล เราต้องดูแลร่างกายก่อนที่จะเป็นโรค จริงหรือไม่ (จริง) หากเรามีวิธีการตรวจสอบตัวเอง ลองบีบๆ ดูว่าตรงไหนขัด ตรงไหนยอก ตรงไหนไม่ดีแล้ว ก็แสดงว่าร่างกายของเราไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่การสะบัดมือทุกๆ วัน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แล้ว อย่าได้มองข้าม อย่าบอกว่าเราถูบ้านทุกวันแล้ว ไม่ต้องสะบัดหรอก แค่ถูบ้านก็จะแย่แล้ว แต่อาจารย์จะบอกให้ การทำอะไรท่าเดิมนานๆ ท่านั้นจะเป็นท่าที่ก่อโรค เพราะฉะนั้นต้องไม่หยุดที่จะเคลื่อนไหวร่างกายนี้ ไม่ว่ามือหรือเท้า ที่สำคัญที่สุดคือหัวใจศิษย์นั่นแหละ หัวใจของเรานั้นถ้าหากมีอารมณ์บ่อยๆ หัวใจก็จะก่อเกิดโรคมากมายที่หาสาเหตุได้ยากยิ่ง เพราะว่าอารมณ์ ความโกรธ ความเครียดนั้น ทำให้เกิดโรคที่รักษาได้ยาก แม้การแพทย์ในปัจจุบันนั้นก็ยังรักษาได้ไม่หมดไม่สิ้น คือเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะเราเป็นโรคแล้ว แต่จริงๆ แล้วเกิดจากจิตใจ จิตใจที่ไม่สะอาด จิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ก็ย่อมที่จะเกิดโรคได้ง่ายกว่าจิตใจที่สะอาด อยากเป็นโรคไหม (ไม่อยาก) ทางเข้าของโรคคือปาก ทางออกของภัยก็คือการพูด เวลาทำอะไรก็แล้วแต่ ให้ดูหน้าดูหลัง ให้ระวัง จะพูดจะทำอะไรก็ต้องระวัง จะลุกนั่งหรือยืนขึ้นก็ต้องระวัง ต้องมีท่าทีมีจังหวะจะโคน แม้ว่าเร็วก็ต้องเร็วอย่างมีจังหวะไม่ใช่เร็วไปเรื่อยๆ มิเช่นนั้นเดินไป ขาก็อาจพลิกได้ นั่งๆ อยู่ก็ยังทรุดได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นคนบำเพ็ญธรรมยิ่งคนที่ทานเจแล้ว จำเป็นต้องดูแลร่างกายตนเองให้ดีมากยิ่งขึ้น ต้องออกกำลังกายให้มาก ต้องรู้จักการควบคุมจิตใจและอารมณ์ ควบคุมความคิดของตัวเอง สิ่งที่พูดนั้นบ่งบอกถึงตัวเรา สิ่งที่เราทำนั้นคือคุณค่าของตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งใดที่ดี ก็ย่อมเป็นคนที่มีคุณค่า หากทำสิ่งใดที่หาแก่นสารไม่ได้ก็เป็นคนไร้สาระหรือชอบพูดเพ้อเจ้อ เราก็เป็นคนที่หาสาระไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
คนใต้เป็นคนที่หน้าคมเข้มใช่ไหม (ใช่) ต้องรู้จักพูด ในเมื่อเราเป็นคนหน้าคมเข้ม เราต้องหัดที่จะยิ้มบ่อยๆ เพื่อเป็นการผูกมิตร คำพูดต้องพูดให้ดีๆ แต่ไม่ใช่ตอนต้นพูดดี พอสุดท้ายเริ่มมีอารมณ์ เริ่มพูดหยาบคายแล้ว อย่างนี้ถือว่าการพูดมาทั้งหมดล้มเหลว หรือไม่ (ล้มเหลว) การพูดนั้นจะต้องคงเส้นคงวา เราต้องแสดงความสุภาพออกมาในด้านการพูด สุภาพด้วยการกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเป็นผู้สุภาพ เราจึงได้ชื่อว่าเป็นสุภาพชน ถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้ภาคใต้ความรุนแรงเกิดไปทั่ว แต่ยิ่งความรุนแรงมีมากขึ้นเท่าไหร่ ผู้กล้าก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง) เราอยากสร้างความสงบและสันติ เราก็ต้องระวังการพูดและการกระทำของเรา ดูว่าตัวเองนั้นอยู่ภายใต้สถานการณ์ไหน ขอให้ปรับตัวไปตามนั้น ดีหรือไม่ (ดี) การศึกษาธรรมก็เช่นเดียวกัน
ในสังคมของคนดี ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนดี แต่แค่มีคนที่มีความคิดร้ายอยู่เพียงคนเดียวที่ตั้งใจมาป่วน ศิษย์ทั้งหมดก็แย่แล้ว จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นวันนี้ที่ศิษย์เจอคือภัยภายนอก ภัยภายนอกยังพอรับได้ แต่ศิษย์ทั้งหลายอย่าทะเลาะกัน อย่างนี้เรียกว่าภัยภายใน จะรับมือยากมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันเพียงหนึ่งครั้ง อาจไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยคำพูดที่ดีๆ แม้ร้อยคำก็ยังซื้อใจคนกลับมาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจึงเป็นการหาโอกาสที่จะสามัคคีกัน แม้ว่าสิ่งที่เกิดยากที่จะรับมือ ก็ยังจำเป็นต้องหาทางที่จะรับมือกับปากและใจของตัวเองให้ได้ เมื่อเราทำอะไรหรือแสดงอะไรออกไปต้องมีความจริงใจ ถ้าหากว่าสิ่งที่เราทำออกไปไม่ดี ไม่งาม คนอื่นรับไม่ได้ เราก็จะเป็นคนที่ไม่สามารถดูแลคนอื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้ขี้ลืมกว่าคนแก่อีกจริงไหม (จริง) แต่คนแก่ก็ความจำดีไปหน่อย อะไรกลุ้มๆ ก็ยิ่งจำจริงหรือเปล่า (จริง) เรื่องกลุ้มๆ ต้องพยายามที่จะลืมไปบ้าง ส่วนเรื่องน่าจำก็ต้องจำใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเด็กอย่าพูดว่าลืม ถ้าลืมมากๆ แล้วภาษาสมัยใหม่เขาเรียกกันว่าสมาธิสั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สมาธิสั้นก็แปลว่าไม่มีสมาธิใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเด็กแล้วก็ต้องความจำดีๆ เป็นคนแก่ก็ต้องหัดลืมเรื่องที่กลุ้มๆ ไปบ้าง ไม่ใช่ว่าเก็บไว้หมด เพราะถ้าเก็บไว้หมดแล้วหัวใจก็จะเป็นถังขยะใช่หรือเปล่า (ใช่) อะไรที่คนอื่นเขาอยากจะลืมแต่เรากลับเก็บมาจำ ไม่ใช่เก็บไว้หมด เก็บไว้หมดหัวใจเป็นอะไร (ทุกข์) หัวใจเป็นถังขยะ คนอื่นเขาอยากลืม เราเก็บมาจำ
มีอยู่คำถามหนึ่งอาจารย์ยังไม่ได้คำตอบจากศิษย์เลย ว่า ถ้าไม่อยากเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกกวนใจ ต้องเปลี่ยนอะไร (แก้นิสัย,อารมณ์,ความคิด) แม้จะบอกว่าถ้าหากบำเพ็ญธรรมแล้วจะเบางานทางโลกไปบ้างแต่ อันที่จริงแล้วเวลาที่ศิษย์นั้นอยู่ทางโลก ศิษย์นั้นมีเวลากับเรื่องไร้สาระใช่หรือเปล่า ใช้เวลาคิดเป็นวันวันเลย งานที่ทำออกมานั้นจริงๆ มีน้อย เวลากลุ้มใจมีเยอะ เวลาทำมาหากินมีน้อย อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์นั้นรู้จักเจียดเวลา กลุ้มใจให้น้อยลง ว่างให้มากขึ้นแล้วใช้เวลาเหล่านี้มาฟังธรรมะดีหรือเปล่า(ดี) ถ้าดูตามนี้แล้วศิษย์จะเสียเวลาไหม ไม่เสียเวลานะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นบทเพลง)
คนภาคใต้นี้ชอบฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่าลืมเอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ธรรมะในทุกข้อสามารถใช้ในชีวิตประจำวันของตนได้ คนอื่นอาจจะพูดเรื่องความโลภในอีกแบบหนึ่ง แต่ความโลภที่เหมาะสมกับเราก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ธรรมะนั้นสามารถปรับเปลี่ยน ธรรมะนั้นเปรียบเสมือนน้ำที่ชำระความสกปรกที่อยู่ในจิตใจ หากใจเรามีมุมใดที่สกปรกน้ำก็จะเข้าไปชำระในซอกมุมนั้น
ภาคใต้คนชอบฟังธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าลืมเอาธรรมไปใช้กับชีวิตประจำวันด้วย ธรรมในทุกข้อสามารถที่จะใช้กับชีวิตประจำวันของตนได้ คนอื่นอาจจะพูดเรื่องความโลภอีกแบบหนึ่งแต่ความโลภที่เหมาะสมกับเราก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ธรรมนั้นสามารถปรับเปลี่ยน ธรรมเหมือนน้ำชำระความสกปรกที่อยู่ในจิตใจ น้ำที่เข้าไปชำระหากใจเรามีมุมใดเหลี่ยมใดก็เข้าไปชำระล้างจิตใจในซอกมุมนั้น ฉะนั้นทุกคนถ้าเอาธรรมไปใช้จิตใจย่อมสะอาดได้ บริสุทธิ์ได้ และความบริสุทธิ์นี้ก็มีมาแต่เดิม เป็นความสมบูรณ์ที่มีอยู่ภายในอยู่แล้ว
          ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่มีเวลาบำเพ็ญธรรม ไม่มีเวลาฟังธรรม ไม่มีเวลามาช่วยงานสถานธรรม ธรรมนั้นอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลาเพียงแต่เรานั้นรู้จักที่จะย้อนมองส่องตนย้อนมองเมื่อใดก็เห็นธรรมเมื่อนั้น เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
          อาจารย์หวังว่าศิษย์คนที่เดินอยู่ข้างหน้า รับธรรมบำเพ็ญธรรมก่อนคนอื่น รู้มากกว่าคนอื่นก็ต้องเดินมากกว่าคนอื่น อย่าบอกว่าเราเป็นอาวุโสโดยที่เรานั้นไม่เคยทำอะไร มีแค่วัน เดือน ปี ที่ผ่านไปแล้วทำให้เราเป็นอาวุโสแค่เฉพาะเวลาเท่านั้นไม่ได้ เราจำเป็นที่จะต้องเป็นอาวุโสด้วยการปฏิบัติให้คนอื่นเห็นยิ่งได้ชื่อว่าเป็นอาวุโสยิ่งต้องทำตนเป็นแบบอย่าง
           คำว่าอาวุโสนั้นจริงๆ แล้วเป็นคำที่น่าจะกดดันใจหลายๆ คนเพื่อที่จะควบคุมตัวเองให้มากขึ้น แต่หากว่าเรานั้นถอยหลัง มีคนตำหนิติเตียนว่ากล่าวเราบ่อยแสดงว่าเรานั้นยังทำได้ไม่ดี แต่ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ใช่ให้ศิษย์สนใจคำพูดคนอื่น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นทบทวนแล้วก็ย้อนมองส่องตนแก้ไขตนเองให้มาก เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
          คนบุญทางใต้มีมากแล้วก็เป็นคนบุญมากๆ ในขณะเดียวกันเมื่อคนบุญมีมากภัยก็มีมาก ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่มีการเผยแพร่ปฏิบัติงานธรรมจึงจำเป็นที่จะต้องระวังตัวให้มาก เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) อย่าบอกว่าเราบริสุทธิ์ใจ เราบริสุทธิ์ใจอยู่ท่ามกลางคนที่เราไม่รู้ใจ ไม่รู้หน้า ไม่รู้เขาคิดอะไรเราจำเป็นที่จะต้องระวังมาก แต่หากว่าสิ่งนั้นดีถ้วนพร้อมไม่ว่าศิษย์จะอยู่กับใครอาจารย์ก็วางใจ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท)
การร้องเพลงเป็นเรื่องของการฝึกฝน เพลงนี่ค่อนข้างยากเพราะว่า ทำนองค่อนข้างไม่ค่อยชัดเจน  แต่ว่าเหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ที่นี่  ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นฝึกฝนร้องเพลงบ่อยๆ ตอนนี้ก็นำร้องเพลงได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เป็น ฝึกฝนแล้วก็เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าไม่เป็น ไม่ฝึก ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าบำเพ็ญธรรม ไม่ฝึกก็ย่อมไม่ได้ ใครฝึกก็ใครได้ ใครไม่ฝึก เราจะไปสนใจไหม คนอื่นไม่ฝึกก็ไม่ได้ เราไม่ฝึกเราก็ไม่ได้เอง เพราะฉะนั้น
เวลาเห็นคนอื่นไม่ยอมทำงานขัดหูขัดตาเหลือเกิน เห็นคนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขัดหูขัดตาเหลือเกิน อาจารย์บอกให้ ใครทำใครได้ ยิ่งบ่นมากก็สร้างวจีกรรมมาก  กรรมล้างยากแต่บ่นระงับได้ เพราะฉะนั้นอย่าว่าคนอื่นมาก เวลาพูดเมื่อตอนเริ่มแรกเราพูดดีๆ พูดไปพูดมาพูดแย่ขึ้นเรื่อยๆ อย่ายิ่งพูดยิ่งแรง ขอให้ยิ่งพูดยิ่งสามารถโน้มน้าวให้ผู้อื่นคล้อยตามได้คำพูดรุนแรงไม่สามารถโน้มน้าวใครให้คล้อยตามได้สักคนเดียว
เหมือนกับวันนี้อาจารย์มาหาศิษย์ อาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์นั้นเป็นอย่างไร แต่การว่าศิษย์ให้เสียๆ หายๆ หรือบอกว่าศิษย์ผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ศิษย์อยากฟังไหม ไม่มีใครอยากฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะโน้มน้าวคนอื่นจะต้องใช้วาจาที่นุ่มนวล จึงเหมาะสมสำหรับผู้บำเพ็ญธรรม การใช้วาจาที่รุนแรงดุเดือดจะไม่เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญธรรม
ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นคนเก่า การที่จะเข้าใจธรรมะมากขึ้น มีโอกาสต้องมาฟังถ้าหากว่ามาฟังธรรมะแล้วจิตใจผ่องใส ปลอดโปร่ง และเบา การฟังธรรมะจำเป็นต้องให้โอกาสตัวเองมาฟังธรรมะมากขึ้น ก็ย่อมเข้าใจได้มากขึ้น ถ้าเรายืนอยู่เฉยๆ  คนอื่นจะเดินแซงหน้าเราไป เรายิ่งอยู่เฉยๆ คนที่แซงหน้าก็ยิ่งมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องหัดที่จะต้องพัฒนาตัวเอง และพยายามที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็สามารถที่จะสอบถามได้ การที่เราเป็นคนเก่าคงไม่ใช่เก่าแบบลายครามตั้งไว้เฉยๆ แต่ขอให้เราเก่าอย่างมีคุณค่าคือเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น เป็นสิ่งที่คนอื่นนั้นสามารถที่จะเลียนแบบได้ จึงจะมีคุณค่ามากกว่า
ศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกจากโชคดีแล้ว ยังเป็นคนที่มีโอกาส เป็นคนโชคดีคือเกิดมาครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้พิการ ยังมีโอกาสที่จะพ้นจากความทุกข์ไป ศิษย์อยากได้ไหม ทุกวันนี้มีทุกข์อยู่ก็แย่อยู่แล้ว ไม่เข้าใจชีวิตอยู่ บำเพ็ญแล้วก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ แต่ถ้าหากเราพยายามที่จะเข้าใจธรรมะ เราจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น มองเห็นความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ให้ศิษย์จำไว้ทุกวันนี้มีข้าวกิน มีน้ำดื่ม อย่าพะวงเรื่องความสุข และความทุกข์ ทำได้อย่างนี้ ปล่อยวางมากขึ้น ทำได้ไหม    เห็นไหมว่าการที่อาจารย์แจกผลไม้หรือลูกอมแบบนี้ก็ไม่ทั่วถึงศิษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นเวลามาสถานธรรม เวลาที่ผู้อื่นเขาดูแลเราขาดตกบกพร่องไปบ้าง อย่าเคืองใจ
วันนี้ก็หลายชั่วโมงแล้ว อาจารย์ก็มีแต่ความรักและความปรารถนาดี
(พระอาจารย์เมตตาแจกลูกอมให้แก่นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องพบทุกวัน ไม่จำเพาะคนที่อยู่ภาคใต้คือภัยภายใน คนที่ใจคอโลเลไม่หนักแน่น พอเจอภัยอันเกิดจากคนทำก็ดี ภัยธรรมชาติก็ดี ภัยอันเกิดจากความไม่สมหวัง ความผิดหวัง อันเกิดจากสัจธรรมชีวิตต่างๆ ทำให้ศิษย์รู้สึกผิดหวัง ศิษย์ก็นิ่งไป ที่นิ่งไปไม่ใช่เพราะว่าศิษย์ทำใจได้ แต่ศิษย์นิ่งไปเพราะด้วยความผิดหวังและปลงไม่ตก อาการภายนอกดูแล้วเหมือนคนปลงตกคิดได้ แต่จริงๆ แล้วยังคิดไม่ได้ อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ระวังภัยภายในของตนเอง เพราะว่าภัยภายนอกเวลาที่ศิษย์ออกนอกบ้านศิษย์จึงจะพบ แต่ภัยภายในต่อให้ศิษย์อยู่ในห้องนอนภัยภายในก็ทำร้ายศิษย์ได้ทุกที่ ยิ่งอยู่คนเดียว ยิ่งคิดอย่างคนที่คิดไม่เป็น ยิ่งเหงา ยิ่งท้อ ภัยภายในก็จะยิ่งทำร้ายศิษย์อย่างคาดไม่ถึง และทำลายศิษย์ทั้งชีวิตอย่างเลือดเย็น ฉะนั้นวันนี้ที่อาจารย์มาที่นี่ก็อยากให้ศิษย์ต่อสู้กับตนเอง ภัยภายนอกนั้นเป็นเคราะห์กรรมรวม ที่ศิษย์เคยสร้างมาซึ่งกันและกัน ทำไมศิษย์จึงเกิดมาเป็นคนใต้ ทำไมบ้านของศิษย์จึงอยู่แถวๆ ที่เขาก่อการร้าย  ทำไมบางคนชั่วชีวิตถึงไม่โชคร้าย แต่ทำไมศิษย์ถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะโชคร้ายสักแค่ไหน อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เพื่อจะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า คนจะหมดกรรมได้ต้องชำระกรรม ไม่ใช่วิ่งหนีกรรม อยู่ร่วมกับมันและชนะมันได้ตรงที่ชนะความทุกข์ยากลำบากนั้นเอง
เกิดเป็นคน สู้ชีวิตหน่อยนะ ธรรมะเป็นตัวนำชีวิต อย่าบอกว่าวันนี้ขอพัก พูดคำนี้ไม่ได้นะ เมื่อไหร่ศิษย์พัก เมื่อนั้นกรรมจะเพิ่มทันที จนศิษย์อาจจะเดินงานธรรมะไม่ได้ ศิษย์รู้ไหมว่าเราเผชิญอะไรอยู่ ทำงานธรรมะที่ภาคใต้ต้องรู้จักใช้ปัญญาพลิกแพลง เวลาที่คนอื่นแรงมา เราต้องรู้จักเบา ต้องใช้ปัญญาในการพลิกแพลงและมีกำลังใจที่ดี วันนี้เรื่องราวเป็นอย่างนี้ เราบอกว่าทำไมไม่เปลี่ยน วันหนึ่งพอเหตุการณ์เปลี่ยน ศิษย์รับไม่ทันเลย อย่าบอกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่ดี การเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี
วันนี้แม้ความอาลัยอาวรณ์ของอาจารย์หรือคำพูดมากมายก็ไม่สามารถที่จะพูดกับศิษย์ แต่อาจารย์ขอให้ศิษย์ใช้ชีวิตให้เป็น ขอบิณฑบาตความทุกข์ ความกลัดกลุ้มกลัดหนอง ความแค้นเคืองในใจของศิษย์นั้นไปด้วย วันนี้อาจารย์สัมผัสมือกับศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ศิษย์นั้นรู้สึกอบอุ่นใจได้บ้างว่าอาจารย์นั้นสัมผัสศิษย์อยู่ เพราะว่าหลังจากวันนี้แม้แต่อาจารย์ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ศิษย์ทำ ต่อให้จะพูดจนเสียงแหบแห้ง ศิษย์ก็คงไม่ได้ยิน แท้จริงอาจารย์ไม่เคยอยากจะมายืมร่างแบบนี้ เพื่อให้ศิษย์ทั้งหลายนั้นติดในรูปลักษณ์ที่เป็นอยู่ แต่จำใจเหลือเกิน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ ศิษย์ของอาจารย์ก็ตื่นยากเหลือเกิน มีคนชอบพูดบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดคำเดียว ศิษย์ฟังทุกอย่าง อาจารย์อยากบอกว่าทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างศิษย์นั้น เขาก็เป็นผู้ที่มีความเมตตา มีความห่วงใยในตัวศิษย์ ศิษย์อย่าเจตนาร้ายมองเขาไม่ดี ทุกคนที่อยู่รอบข้างศิษย์นั้นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น คนย่อมเป็นผีหรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ทุกเมื่อ ฉะนั้นในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ถ้าบำเพ็ญได้ดี ก็ไม่ต่างกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ได้หวังให้คนชม ไม่ได้หวังให้คนเอาใจ ฉะนั้นเมื่อมีคนว่ากล่าวตักเตือนเรา ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี พ่อแม่ บรรพชน ปู่ ย่า ตา ยาย เขาไม่มีร่างกาย ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เตือนศิษย์ แต่ศิษย์นั้นไม่ได้ยิน ฉะนั้นวันนี้คนที่อยู่รอบข้างตัวเรานั้นจงรักษาไว้ให้ดี ถนอมน้ำใจกันให้มาก บางทีศิษย์ทะเลาะกันด้วยเรื่องขัดเคืองกันเพียงนิดเดียว อาจารย์อยากจะบอกว่ามันนิดเดียว ทำไมไม่ให้อภัย ใช้ชีวิตให้เป็นนะ อยู่ให้เป็น จึงจะมีความสุขได้ ความสุขนั้นปะปนอยู่ในความทุกข์ ทำที่สุดแห่งทุกข์ อยู่กับทุกข์ให้พอ แล้วศิษย์จะเป็นสุขขึ้นมาเอง อย่าไปหาความสุขที่เป็นความสุขล้วนๆ มันไม่มีในโลก
ระวังตัวให้ดี ระวังใจตัวเองให้ดีด้วย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
ไม่เข้าใจว่ารู้เท่าทัน  ทำไมเสียใจ  หากว่าเอาเหตุผลมาเป็นใหญ่ ทุกข์ใจซะเอง
จงให้คำถาม เป็นแค่คำถาม พอพ้นก็เข้าใจ   อาจปล่อยใจคิดแต่อย่าเพียรไข รู้สึกผ่อนคลายข้างใน
เซื่องซึมวันนี้พรุ่งนี้จะอยู่สภาพใด  เข้าใจความแพ้พลาดพลั้งเปลี่ยนบทเรียนให้ใจ  อย่าใคร่รู้มากเกินหรือคิดมากไป  อย่าติดในวังวนเรื่องเดิมได้ทุกวัน
ต้องหัดยอมรับที่แท้ทุกข์อยู่จึงแย่ไป  ต้องคอยตามรู้ที่รู้สึกอะไรข้างใน ฉลาดไม่อยู่สุขทึกทักวุ่นวาย  เมื่อขับไล่หัวใจโลภไปมองเรื่องเดิม
ต่างไปคอยหยิบยกเหตุผลของตนเอง ไม่ได้ฟังเสียงใคร คนใกล้ตัวคาดหวังซะยกใหญ่ ช้ำใจซะเอง
ชื่อเพลง : ข้างใน          ทำนองเพลง : ไม่มีใครรู้










[*]วิมุติ หมายถึง หลุดพ้น ความพ้นจากกิเลส
[†] หมายถึง  พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ที่ทรงตั้งมหาปณิธานฉุดช่วยวิญญาณในนรกภูมิให้หมดสิ้น
[‡]หมายถึง ความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ , ความใคร่ในกามคุ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

2549-11-18 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น


西元二○○六年歲次丙戌九月二十八     大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  องค์ความรู้คือศึกษาและลงมือ            ประธานคือจิตใจสว่างใส
คุมชีวิตละอัตตาให้สิ้นไป                      สอบคนผู้มีใจสู่ทางธรรม
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง          ฮวา ฮวา

  ด้วยจิตใจใสสะอาดแต่เดิมที               อันความดีในโลกนี้ยังมีอยู่
การบำเพ็ญจิตใจให้ต่อสู้                      กับตนเองที่เป็นผู้รู้มากมาย
มีชีวิตแต่ยังไม่สร้างชีวิต                        ใช้ความคิดแต่ยังไม่ควบคุมไว้
มีคำพูดที่ยังพูดแต่ตามใจ                      การบำเพ็ญต้องใส่ใจในวิญญาณ
ใช้ปัญญาอันขัดเกลาไร้กิเลส                 ทุกทุกเจตจำนงรู้ธรรมร่วม
ชีวิตนี้อย่าปล่อยปละให้หละหลวม          ความสำรวมอยู่ในทีทุกเวลา
ชีวิตนี้มีค่ายิ่งกว่าเคยรู้                         พินิจดูอย่าสงสารตนเองนัก
สิ่งที่มีว่าไม่ดีแท้ดีนัก                            จงรู้จักเพียรพยายามย้อนมองตน
ศึกษาธรรมสองวันฟื้นฟูจิต                   ปฏิบัติมุ่งพิชิตวัฏสงสาร
ลงสู่ห้วงทรมานเพื่อพ้นทรมาน               ใจชื่นบานเกิดด้วยรู้ธรรมแท้จริง
จะสุขใจสบายกายรู้ปล่อยวาง               เดินหนทางแห่งธรรมบนโลกนี้
ต้องมั่นคงซื่อตรงต่อความดี                   แม้นานปีไม่เผลอใจอวิชชา
น้องคนบุญวันนี้อยู่ร่วมสถาน                 ประชุมธรรมจิตเบิกบานตื่นหลับไหล
จงตั้งใจเรียนธรรมเพื่อเข้าใจ                 จงมีใจแยกแยะฟื้นดวงญาณ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป               จงรักษาระเบียบไว้ให้เคร่งครัด
ทำได้ดีอยู่ในความจำกัด                       หากรู้หัดที่ว่ายากก็ง่ายคืน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                                                                           ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่าน อว๋า อวา เซียนหนวี่

  ทำอย่างไรให้ฟ้าดินร่วมสู้                   ต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์การเคลื่อนไหว
หากเข้าใจกฎเกณฑ์สรรพสิ่งได้              ย่อมจะใช้ประโยชน์ได้ไม่สิ้นสุด
                        เราคือ
  อว๋า อวา เซียนหนวี่                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว                              ถามทุกท่านเบื่อศึกษาธรรมหรือเปล่า

  คุณธรรมเติบโตดีในใจปราชญ์            โดยฝึกหัดปฏิบัติอย่างแน่แน่ว
หัวใจซื่อท่ามกลางต่างรู้แกว                  บำรุงธรรมรากแก้วต้นไม้ใจคน
ปัญญาใจดุจหัวใจของจิตธรรม              คิดพูดทำดุจมนุษย์ผู้กุศล
วัดระดับรากฐานในใจตน                     รู้ตั้งต้นแต่รากยอดยิ่งนา
แม้อดีตบอบช้ำกรีดแทงใจ                    ประคองให้จิตใจสุจริตแกร่งกล้า
โลกมนุษย์ที่สุดแล้วแค่มายา                  แก้ปัญหาจนอับไม่เหมารวม
พึงลดความซับซ้อนวาจาติดยึด              รักษาความประพฤติไม่ใจใหญ่ร่วม
การดำรงเรียบง่ายไม่ใช่หละหลวม          กิเลสร่วมซุกซ่อนผลจิตแบกคอน
อย่าได้คอยหวังสำนึกไม่แก้ไข                ปล่อยสบายบ่งเป็นคนวินัยหย่อน
ปะทะบ่อยบอกความชอบต่อกร             คนตื่นก่อนพาชีวิตอย่าอาลัย

ทั้งลมฝนให้ฝึกรับปัญหา                      มีปัญญาสู่ทางดีไม่สงสัย
ฟ้ามีฝนคนลำบากยิ่งเข้าใจ                   รู้สติยากง่ายกล้ารับมือ
                                                                                               ฮิ ฮิ หยุด





       พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่
ชอบชั่วโมงร้องเพลงใช่ไหม (ใช่)  ร้องเพลงกับฟังธรรมะชอบชั่วโมงไหนมากกว่ากัน (ชอบชั่วโมงพัก)  ชอบชั่วโมงพัก แล้วอยากพักตลอดชีวิตไหม เขาบอกว่าความตายคือการพักตลอดชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราชอบความตายไหม (ไม่ชอบ)  แล้วอยากพักตลอดชีวิตไหม (ไม่อยาก)  คนเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกคนต้องเดินไปสู่ความตาย กลัวไหม (กลัว)  แต่เราก็ต้องตาย ทุกคนต้องเดินไปสู่ความว่างเปล่าและไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อยากว่างเปล่า แต่ถึงที่สุดเราก็ต้องว่างเปล่า อย่างนั้นเรามาเตรียมตัวตายดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ตัวอย่างง่ายๆ แต่ก่อนเราไม่รู้คุณค่าของชีวิตว่าสำคัญขนาดไหน เราลองมาทำตัวตายกันดีไหม เอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบไปที่จมูก ดูสิว่าเราจะอดทนต่อความตายได้นานแค่ไหน เรารู้สึกว่าการไปสู่ความตาย การไปสู่ความว่าง เป็นเรื่องที่ลำบาก แต่ถึงที่สุดแล้วทุกคนก็ต้องไปถึงที่นั่นใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการรู้จักเตรียมตัวพร้อมไว้เสียแต่เนิ่นๆ จะทำให้เรานั้นทุกข์น้อย ลำบากน้อย  การฝึกฝนปล่อยวางบ้าง การฝึกฝนตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาทบ้างเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือ แต่ถึงเวลาทำไมเราถึงเอาแต่หนีล่ะ เคยเห็นผึ้งไหม เวลามันบินเข้ามาในห้องเรา เราวิ่งหนีผึ้ง ผึ้งยิ่งบินตาม เหมือนเวลาต่อบินเข้ามาในห้อง ยิ่งวิ่งหนี มันยิ่งบินตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวความตาย อย่ากลัวความว่างเปล่า เพราะที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนมีความทุกข์เป็นของธรรมดา มีความตายเป็นที่สิ้นสุด และมีความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่แน่นอน มองทะลุเนื้อก็เป็นกระดูก มองทะลุกระดูกก็เป็นอะไร ถึงที่สุดร่างกายเราก็ต้องกลับคืนสู่ฟ้าดิน ใช่ไหม (ใช่)
การมาศึกษาหลักธรรมก็เพื่อเรียนรู้ในสิ่งที่รู้แล้ว แต่ให้เข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป  ฉะนั้นมาตรวจสอบว่า เรารู้จริงหรือรู้ไม่จริง แล้วเรารู้เราเคยได้เอาไปปฏิบัติจริงหรือไม่ ฉะนั้นการฟังจะต้องมีความกระปรี้กระเปร่า ไม่ใช่ฟังอย่างห่อเหี่ยว แปลกนะเวลาแดดเปรี้ยงๆ เรายังรู้จัก (กางร่ม)  ฝกตกก็ยังรู้จัก (กางร่ม) โดนคนด่าเราก็ยังรู้จักยิ้ม แล้วเวลาโดนคนด่าเรามากๆ เราทำอย่างไร บางคนก็เดินหนี บางคนก็ทนฟัง บางคนก็โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรล่ะที่ดีที่สุด (วางเฉย)  เราถามท่านหน่อยนะ มีสามสิ่ง ความสุข ความแข็งแรงของร่างกาย และความร่ำรวย  ถ้าเราให้พรสามอย่างนี้ แต่ให้เลือกแค่อย่างเดียว แล้วท่านจะเลือกอะไร ใครเลือกความสุขยกมือขึ้น ถ้ามีความสุขแต่ร่างกายไม่แข็งแรงสุขไหม (ไม่สุข)  ใครเลือกความแข็งแรงยกมือขึ้น ร่างกายเราก็แข็งแรง แต่ทำไมนั่งตรงนี้ไม่มีความสุข น่าแปลกนะ แข็งแรงไหม วันนี้เจ็บป่วยเป็นไข้อะไรไหม (ไม่เป็น)  ทำไมแข็งแรงแล้วไม่มีความสุขล่ะ ใครอยากได้ความร่ำรวยบ้าง แล้วถ้าเกิดมีสามสิ่งนี้ ร่ำรวยก็จริงแต่ท่านเคยเจอไหมคนร่ำรวย ที่ป่วยเป็นโรครักษาเท่าไรก็รักษาไม่หาย เงินมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นสามสิ่งนี้แท้จริงแล้วอะไรที่สำคัญกันแน่
ส่วนใหญ่มนุษย์ก็จะบอกว่าขอแข็งแรงไว้ก่อน ถ้าใจเราแข็งแรงการจะคิดและทำอย่างไรให้มีความสุขก็เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าใจอ่อนแอสภาพร่างกายก็ย่ำแย่ แม้จะมีความสุขก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นตอนนี้ท่านแข็งแรงมากทำไมจึงยิ้มไม่ออก มีความสุขไม่ได้ แล้วความสุขเป็นเรื่องหายากไหม (ไม่ยาก)  แล้วเพราะอะไรเราจึงนั่งตรงนี้อย่างไม่มีความสุข
(คนที่จะมีความสุขได้ต้องประกอบด้วยกายกับใจ ถ้ากายกับใจไม่สมบูรณ์ก็มีความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นความสุขน่าจะสมบูรณ์กว่า) แต่ท่านเคยเห็นไหม บางคนนั้นไม่มีแขน แต่เขาสามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัวและมีความสุขได้ และเป็นคนที่ยิ้มง่ายกว่าคนที่ปกติอีก (เขามีความพอใจ มีความพอดี เขาถึงมีความสุข ร่างกายดีขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเขายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็หาความสุขยาก ร่ำรวยขนาดไหนก็แล้วแต่ ความเพียงพอก็ยังไม่มี)
อย่างนั้นเราถามว่าความสุขของมนุษย์คืออะไร (ความพอดี ความพอใจของแต่ละคน) บางเรื่องพอใจแต่ไม่พอดี แล้วเราจะหาความสุขได้ไหม บางเรื่องพอดีแต่ไม่พอใจ (ถ้าสมดุลกันก็เป็นความสุขได้) ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ
ท่านอื่นคิดว่าความสุขคืออะไร (ความพอเพียง) พอเพียงเมื่อไรก็มีความสุข แล้วพอเพียงหรือยัง (ยัง) อย่างนั้นความสุขก็ยังอยู่ไกลนะ บางทีเราอยู่ในโลกเราแสวงหาความสุข แต่เราเคยกลับมาถามตัวเราไหมว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่ บางครั้งเราพูดว่ามีเงินคือความสุข ประสบผลสำเร็จคือความสุข ได้คนที่รักเรามีความสุข แต่ทำไมพอได้คนที่รัก ประสบผลสำเร็จ มีเงิน กลับมีทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร (ความสงบ การปล่อยวาง) คือบางครั้งได้ปล่อยวางในเรื่องที่มันกลุ้มมากๆ หาที่สงบๆ ใช่ไหม (ใช่)  คนที่เข้าใจสิ่งนี้ได้ต้องเคยวุ่นวายมาก่อนแล้วจึงอยากหาความสงบ คนที่เคยไขว่คว้ามาก่อนแล้วจึงอยากปล่อยวางถูกไหม ถ้าถามเด็กที่อายุยังน้อย ยังไม่เคยวุ่นวายก็ยังต้องบอกว่า ไม่หรอกความสงบคือสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขใช่ไหม (ใช่)  บางคนบอกว่าความสุขของข้าพเจ้าคือการได้กินข้าวครบสามมื้อ วันไหนไม่อดวันนั้นดีที่สุด หรือเด็กที่อายุน้อยๆ ความสุขของเขาคือการถึงวันที่ได้รับเงินของพ่อแม่ แล้วเอาไปซื้อขนม อย่างนั้นความสุขของท่านคืออะไรล่ะ (ความสุขคือการพอ พอทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ยึดติด ไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้จักการวางเฉย) เห็นทุกคนชอบทำตามคำพูดของกษัตริย์ของท่าน กษัตริย์ท่านบอกว่าขอให้ดำเนินชีวิตไปสู่ความพอเพียง แต่บางคนพอเพียงแล้วกลับหาความสุขไม่เจอ และไม่อยากกลับไปสู่คำว่า  พอ  เพราะรู้สึกว่าชีวิตนี้ยังพอไม่ได้เลยสุขไม่เป็นสักทีใช่ไหม (ใช่)  (การนอนหลับ แล้วไม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น แต่ยังไม่อยากจะตาย)  แล้วท่านนอนตลอดเวลาได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นพอตื่นแล้วก็ต้องกลับมารับรู้เรื่องราวใหม่ เหมือนคนอยากหมดทุกข์ ก็เลยกินเหล้า อยากหมดทุกข์ก็เลยกินเหล้า แล้วมันจะหมดไหม ไม่หมดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่า หนีความจริง ก็หนีได้ชั่วขณะ เท่ากับเรากำลังหลอกตัวเองถูกไหม (ถูก)  เพราะว่าเราไม่สามารถหลับแล้วลืมความทุกข์ได้ เราบอกความสุขง่ายๆ ของเราให้ฟังเอาไหม (เอา)  เราขอถามท่านนะ วันนี้เดินไปซื้อของ แล้วปรากฏว่าเราให้ไป ๑๐ บาท สมมติว่าของนั้นราคา ๒๐ เขาทอนกลับมา ๔๘๐ คนแรกไม่คืนเงิน แต่กลับไปอย่างมีความสุข สุขใจเหลือเกินใช่ไหม คนที่สองให้ไป ๑๐ ต้องเสียค่าของ ๒๐ บาทเหมือนกัน แต่เขาทอนมา ๘๘๐ คนนี้กลับบอกว่า คุณให้เกิน เอาคืนไป แม่ค้าบอกว่า ให้เกินหรือ ขอบคุณมากนะที่เอามาคืน คนนี้กลับไปอย่างมีความสุข ความสุขของเรามีอยู่สองอย่าง ท่านว่าคนไหนน่าจะมีความสุขมากกว่ากัน (คนที่สอง)  ทำไมท่านจึงบอกว่าคนที่สองล่ะ เพราะเราไม่โกงเขา เราไม่เอาเปรียบเขา แล้วเขายังขอบคุณเรากลับมาด้วย เราก็เลยรู้สึกมีความสุข
อีกเรื่องหนึ่ง การนั่งรถ พอรถมามีที่นั่งว่างๆ เราก็รีบนั่ง สักพักหนึ่งมีคุณยายมา คิดในใจเราอุตส่าห์ได้ที่นั่งแล้วนะ ทำไมคุณยายมาช้าจัง แต่อีกคนหนึ่งลุกทันที แล้วให้คุณยายนั่ง ยายบอกว่า ขอบใจนะหลาน วันนั้นกลับบ้านไปเรามีความสุขไหม (มีความสุข)  แล้วเราทำให้คนที่ไม่ยอมลุกนั้นสะท้อนใจได้บ้างไหม (ได้)  ไม่ได้มากก็ได้น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกัน เราลุกช้าแต่คนอื่นลุกก่อน เรารู้สึกละอายใจไหม (ละอายใจ)  หรือเราแกล้งหลับไปเลย ไม่ต้องมอง ไม่ต้องรับรู้ ฉะนั้นความสุขที่แท้จริง ก็คือการทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาอันเหมาะสมจริงไหม (จริง)  หรืออีกเรื่องหนึ่ง เผอิญเราเดินไปชนแจกันตกแตกดังโพละ แยกออกเป็นสองเสี่ยง แต่กลัวพ่อแม่รู้ เราก็จับแจกันมาประกบใหม่แล้ววางที่เดิม พอคราวนี้น้องมาชนเปรี้ยงอีกเหมือนกัน น้องตกใจ ทำอย่างไรดี พอแม่มาตีน้องใหญ่เลย เราจะบอกพ่อแม่ไหมว่าเราทำแจกันแตกเอง ไม่ใช่น้องทำแตก (บอก)  เหมือนกันเราอยู่ในสังคม บางครั้งการทำดี การทำสิ่งที่ถูกต้อง ในเวลาเหมาะสมคือความสุข ในกรณีกลับกัน มันเป็นความผิดของเรา ถ้าเราทำถูกต้องและเหมาะสม แม่ พ่อ หนูทำเอง ไม่ใช่น้อง เราโดนตี แต่ในใจลึกๆ เรารู้สึกเป็นอย่างไร สุขใจไหมที่ได้ปกป้องน้อง แล้วน้องจะไม่ปลื้มพี่หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีน้องที่ไหนจะแก้แค้นไหม พี่รอให้ผมถูกตีจนตายก่อนแล้วค่อยบอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่ารอให้น้องถูกตีแล้วค่อยบอก ไม่อย่างนั้นน้องจะไม่ปลื้มใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นความสุขก็คือการทำอะไรก็ได้ที่ถูกต้องและเหมาะสม
เรามาก็อย่าคิดว่าเรามาเล่นละครเลยนะ คิดว่าเรามาแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมะกันดีไหม (ดี)  จะได้รู้สึกอยากฟัง อยากคุยกับเรา
(นักเรียนในชั้นเรียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่ง)
การมีพิธีรีตองมากอย่างนี้ ก็เพื่อให้เรานึกถึงอกเขาอกเราใช่ไหม (ใช่)  เราได้นั่งคนอื่นก็ต้องได้ (นั่ง)  บางครั้งความสุขก็คือ การยอมเสียสละนะ ถ้าไม่เสียก็ไม่มีวันได้ถูกหรือเปล่า  (ถูก)  ถ้าเอาแต่ได้แล้วไม่ยอมเสีย ใครเล่าจะชอบเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มนุษย์เราอยากเข้มแข็ง  แต่ความเข้มแข็งของมนุษย์ อะไรเรียกว่า  เข้มแข็ง  (จิตใจเข้มแข็ง)   จิตใจอย่างไรเรียกว่า เข้มแข็ง  อย่างเช่นเราต่อสู้กับคนอื่นแล้วเราชนะ เรียกว่าเข้มแข็งไหม (ไม่ใช่)  เราแพ้ทุกทีเรียกว่าเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ความเข้มแข็งที่แท้จริงคืออะไร (หัวหน้าชั้น : คือการรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา)  ปรบมือให้หัวหน้าชั้นหน่อยนะ   รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา  ถ้าสมมติ เราทำงานอยู่กับเพื่อนแล้วเพื่อนดูถูกดูแคลนเรา เราอดทนได้ และเรายังรู้จักคุยกับเขาอีก  ถ้าหากว่าเขามีอะไรที่ดี เราก็ยังส่งเสริมคนที่ดูถูกดูแคลนเราให้ได้ดีด้วย อย่างนี้เรียกว่า เข้มแข็ง ไหม  (เข้มแข็ง)
คนที่รู้จักอดทนต่อสิ่งที่ยากทน สามารถฝืนรับและทนต่อความยากลำบากได้ รู้จักแยกแยะผิดชอบดีร้ายได้ เป็นคนเข้มแข็งที่แท้จริง เมื่อไรที่เราอดทนต่อคนที่ร้ายที่สุดต่อเราได้ และเรายังอยู่ร่วมกับเขาได้ คนนั้นนอกจะแปรศัตรูเป็นมิตรแล้ว เขายังเป็นคนที่มีใจกว้างยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราอยากจะเข้มแข็งอย่างแท้จริง เราต้องฝึกฝนกับคนที่เราเกลียดที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอคนที่เกลียดที่สุด แต่เรายังมองเห็นสิ่งที่ดีที่สุดของเขาได้ เราก็คือคนที่ทั้งใจกว้างและเข้มแข็งอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การอยู่ในโลกนี้สอนให้มนุษย์เข้มแข็งคือ   ห้ามใครดูถูก    ฉันต้องเป็นผู้ชนะแท้ที่จริงใช่ไหม (ไม่ใช่)   ชนะครั้งหนึ่ง ต่อไปเขาก็ต้องอยากเอาชนะเราอีก แล้วเราต้องต่อกรกับคนเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่ สู้ยอมแพ้แต่ชนะใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อีกเรื่องหนึ่ง มนุษย์ทุกคนอยากรวยไหม  (อยาก)  แต่ถ้าร่ำรวยแล้วไม่รู้จักพอ อย่างนั้นเรียกว่าร่ำรวยไหม (ไม่)  ถ้าเรามีน้อย แล้วรู้จักพอ รู้จักแบ่งปัน ไม่ใช่เรียกว่าร่ำรวยหรือ  ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักจัดการเรื่องความสุข ความเข้มแข็ง และความร่ำรวยได้ถูกต้อง การมีทั้งสามอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเรามีแค่นี้  แต่เรารู้จักแบ่งปัน รู้จักเก็บและรู้จักใช้ ใครจะว่าเรายากจนได้ แต่ถ้าเรามีเยอะ ในธนาคารก็มี ในบ้านก็มี แต่ในใจเรากลับบอกว่าไม่พอ ใครมาขอก็ไม่ให้ อย่างนี้เรียกว่า รวยหรือจน (จน)  จนใจใช่หรือไม่  เคยเห็นไหม คนที่รวยแต่ขี้เหนียว  กับคนที่มีน้อยแต่ใจกว้าง เรารู้สึกว่าเขารวยน้ำใจ ใช่ไหม (ใช่)   มีเงินแต่แล้งน้ำใจ มีเงินน้อยแต่ใจกว้าง ท่านรักคนไหนมากกว่า (คนใจกว้าง)  แล้วทำไมอยากรวยอีกล่ะ
ถ้าเราอยู่บนโลกนี้และเข้าใจหลักการดำเนินสามอย่างนี้ได้  ความสุข ความเข้มแข็ง และความร่ำรวย ไม่ได้อยู่ไกลเลย แต่ทุกวันนี้เราได้แต่จุดธูปขอหวย ขอให้แข็งแรง ขอให้ลูกเรียนเก่ง ลูกแข็งแรงหรือเราแข็งแรง  ฟ้าเสกให้แข็งแรงไหม (ไม่)  ถ้าทุกวันทานแต่ของไม่สุก จะไม่มีพยาธิได้อย่างไร ผักก็ไม่ทาน แล้วจะถ่ายลำบากไหม  ถ้าทานอาหารครบห้าหมู่  ร่างกายจะอ่อนแอไหม  แม้อากาศจะหนาว แดดจะร้อน จะป่วยไหม (ไม่)  แต่ถ้าวันๆ เอาแต่นอน ขอให้รวย จะรวยไหม (ไม่รวย)  ฉะนั้นเราถึงอยากจะบอกว่า คนฉลาดเท่านั้นที่รู้จักกฎของฟ้าดิน และทำให้ฟ้าดินส่งเสริมให้เรามั่งมี อย่างเช่นวันนี้ฝนตก ทำอย่างไรให้เรามั่งมี  ต้องรู้จักเพาะปลูก พอปลูกเยอะ ต้นไม้เติบโต เราจะได้กินผลกินใบ ไม่ใช่อากาศดีก็นอน  แดดร้อนก็นอน ขอฟ้าให้ร่ำรวย จะรวยไหม (ไม่รวย) 
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ช่วงฤดูฝนก็รู้จักเพาะปลูก ช่วงฤดูหนาวรู้จักเก็บเกี่ยวและทำงานอย่างอื่นด้วย เช่นถักผ้า ทอผ้าขายได้ ไม่ว่าร้อนหรือหนาวหากเรารู้จักหาเลี้ยงชีพ เราจะยากจนไหม (ไม่)  ถ้าเราขยันทำมาหากิน รู้จักประหยัด ซื่อตรงไม่คดโกง ใช้จ่ายก็รู้จักมัธยัสถ์ รู้จักแบ่ง รู้จักให้ รู้จักเก็บ รู้จักออม แม้ฟ้าหรือใครก็ไม่สามารถทำให้เรายากจน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาหารห้าหมู่กินให้ครบไม่ใช่เลือกกินแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ กินแต่เปรี้ยว หวานไม่กิน หรือกินแต่หวาน เปรี้ยว ขม ไม่เอา โรคถามหาไหม (ถาม)  ถ้ากินอาหารครบห้าหมู่และออกกำลังกาย ใครจะมาทำให้เราเจ็บป่วยได้ไหม (ไม่ได้) 
อีกกรณีหนึ่ง ถ้าเรารักษาศีลห้าให้ครบ  พูดอะไรทำอย่างนั้น  ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท จะมีผีตนไหนเข้าบ้านคนนี้ไหม มีแต่จะคุ้มครอง ไม่หลอกหลอนถูกไหม (ถูก)  ดังคำพูด คนดี ผีคุ้ม แต่ทำไมกลัวผีกันนัก เพราะเรายังไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศีลห้ารักษาให้ครบ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่พูดอย่างทำอีกอย่าง ชอบนินทาคน ถ้าเรารักษาศีลห้าได้ ความอัปมงคลโชคร้าย เคราะห์ร้าย จะมาสู่ชีวิตไหม (ไม่มา)  ไม่ต้องขอฟ้า ไม่ต้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ อย่างนั้นต่อไปเวลาไหว้ฟ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สู้เรียนรู้แบบอย่างจากฟ้าดิน และเรียนรู้คุณงามความดีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วนำแบบอย่างท่านมาใช้ไม่ดีกว่าหรือ พุทธะที่ท่านกราบไหว้อยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นคนที่มีเมตตามาก อดทนก็เก่ง ทำไมเราไม่เรียนรู้หลักสำคัญของท่านมาใช้ มีแต่ไหว้แล้วขอสามตัว ถ้าเราอยากขอให้โชคมาหา ทำไมเราไม่สร้างสรรค์โชคให้กับตัวเอง รู้จักทำสิ่งที่เหมาะควร และบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่งให้เจริญเติบโต  เช่นนี้แล้วเงินจะไม่เข้ามาสู่กระเป๋าเราหรือ  ดังนั้นการดำเนินชีวิตอย่ากลัวความยากจน  เราย่อมอยู่ได้ถ้าเรารู้จักดำรงชีวิตเป็น
แต่เป็นเรื่องยากอย่างหนึ่งเพราะมนุษย์รักความสบายใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้อะไรมาง่ายๆ แต่เรื่องง่ายๆ กว่าจะมาถึงเราต้องรอนานหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  สู้เอาเวลาที่รอนั้นมารีบๆ ขวนขวายมองสิ่งที่มีค่าในตน แล้วสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ  เรามีสมองไว้ทำอะไร (ไว้คิด)  มีขาไว้ทำอะไร (ไว้เดิน)  ถ้าไม่คิด ไม่เดิน ไม่ทำงาน ง่อยเปลี้ยไหม (ง่อยเปลี้ย)  เสียแรงไหม (เสียแรง)  วันนี้มาฟังธรรมะครึ่งวันแล้ว รู้สึกมือเป็นง่อย หรือสมองเป็นง่อยไหม (ไม่)  เราใช้มือกับสมองให้เกิดประโยชน์ดีไหม (ดี) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนปรบมือ และทำท่าประกอบ ท่าโยก ท่าตีปีก)
มือก็มือของเรา หัวก็หัวของเรา ทำไมจะควบคุมไม่ได้ ถ้าตัวเองยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำไมชอบไปควบคุมคนอื่นให้ยุ่งยากใจ
ขนาดตัวเราเองยังคุมยากเลย แล้วคุมคนอื่นไม่ยิ่งยากใหญ่หรือ ก่อนจะคุมใคร ก่อนจะสอนใคร ต้องสอนตัวเองและคุมตัวเองให้ได้ดีก่อนถูกไหม (ถูก)
การบำเพ็ญธรรมนั้น เริ่มต้นจากการเป็นคนดีก่อน ถ้าเป็นคนดีแล้วค่อยฝึกฝนขัดเกลาให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเรายังเป็นคนดีได้ไม่มั่นคง เราจะฝึกฝนเรียนรู้การเป็นพระพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แล้วการเป็นพระพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยากกว่าการเป็นคนดีไหม (ยาก)  ยากหรือ มนุษย์มักจะพูดว่ายากทั้งที่ยังไม่ได้ลองเรียนรู้หรือลองฝึกทำถูกไหม (ถูก)  แต่ทำไมเป็นเช่นนั้น เรารักลูกไหม (รัก)  แต่ลูกทำให้เจ็บใจกี่ครั้งเสียใจกี่ครั้ง ทำไมเรายังรักและอดทนได้ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะอดทนได้ แล้วสามีล่ะน่ารักไหม ไม่คิดว่าจะทนได้แต่ทำไมทนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์เราสามารถอดทนในสิ่งที่ยากอดทนได้ ถ้าเรารักทุกคนเหมือนลูก รักทุกคนเหมือนสามี ลองคิดสิว่าครอบครัวเราจากที่มีเท่านี้ จะกลายเป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น เพราะแค่เราอดทนให้ได้และยอมให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยได้ยินไหมว่า อยากได้สิ่งใดจากคนในโลก จงรู้จักให้สิ่งนั้นกับเขา เราอยากได้ชีวิต จงเรียนรู้ที่จะให้ชีวิต เราอยากมีอายุยืนยาว เราจงเรียนรู้ที่จะให้อายุยืนยาวกับผู้อื่น ทำได้ไหม (ได้)  นั่นแปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์ ทำได้ไหม ท่านเคยได้ยินไหมว่า ปล่อยปลาหนึ่งตัวด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่คิดหวังผลตอบแทน เราจะได้ผลบุญคือการมีชีวิตอยู่ที่ยืนยาวขึ้น  ทำไมเขาถึงบอกว่าทำบุญแล้วต้องปล่อยนกปล่อยปลา แต่ถึงเวลามือปล่อยแต่ปากเคี้ยว อย่างนี้เรียกว่าปล่อยจริงๆ ไหม (ไม่จริง)
ท่านเกลียดนกเค้าแมวไหม (เกลียด) เกลียดงูไหม (เกลียด)  มนุษย์ชอบบอกว่านกเค้าแมวเป็นสัตว์แห่งความตาย แต่ท่านรู้ไหมว่านกเค้าแมวมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ มันชอบกินหนู มนุษย์ไม่ชอบหนูและพยายามกำจัดหนู เจองูทีไรก็ฆ่า เจอนกเค้าแมวก็ไล่ไป ท่านรู้ไหมว่าสิ่งที่ท่านเกลียดนั้นมีประโยชน์เหมือนกันนะ นกเค้าแมวช่วยจับหนู งูก็ช่วยกินหนูใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์พอหนูเยอะๆ คนกินหนู  เราถามต่อว่าตั๊กแตนกินอะไร (หญ้า)  ตั๊กแตนบางทีมันช่วยกินจักจั่น บางทีมันกินน้ำค้าง ถ้าไม่มีอะไรกินจึงจะไปกินยอดหญ้ายอดข้าวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ชอบเอาจักจั่นมาเล่นตีกันใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่มนุษย์ก็ชอบกินตั๊กแตน ทำให้จักจั่นเยอะใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตั๊กแตนบางตัวมันกินหนอนด้วย ฉะนั้นมนุษย์ชอบกินตั๊กแตน จักจั่นเลยเต็มบ้านเต็มเมืองถูกไหม (ถูก)  หนอนเลยมีเยอะแยะจนต้องซื้อยาฆ่าหนอนถูกไหม มนุษย์ชอบกินนกเลยจับนกมากิน แท้จริงแล้วหนอนมีตั๊กแตนช่วยกินใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนกมากินตั๊กแตนอีกทีหนึ่งถูกไหม มนุษย์ยังมากินตั๊กแตนอีก แล้วมนุษย์เวลากิน กินแบบบันยะบันยังไหม กินแล้วตากแห้งนก ตากแห้งตั๊กแตน กินแล้วทำให้ธรรมชาติเสียสมดุลใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์ก็เลยเสียเงินไปซื้อยาฆ่าแมลงมาใช้ถูกหรือไม่ แล้วเงินซื้อยาฆ่าแมลงแพงกว่าเงินจับนกไหม (แพงกว่า)  แพงกว่าอย่างนั้นอย่าจับนกดีไหม ปล่อยนกให้จับตั๊กแตน ปล่อยตั๊กแตนให้จับจักจั่นและกินหนอนถูกไหม (ถูก)  ถ้ามนุษย์มีความอยากที่มากเกินจะทำให้โลกนี้เสียสมดุล และมนุษย์จะเป็นผู้สูญเสียในที่สุดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นหากเรามองให้ดี มีแต่มนุษย์แต่ไม่มีตั๊กแตน ไม่มีนก ไม่มีหนอนเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  สรรพสิ่งเรียกว่าสรรพสิ่ง โลกมนุษย์เรียกว่าโลกมนุษย์ก็เพราะว่ามีมนุษย์และมีสรรพสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นกราฟของโลกมนุษย์ไหม ต้องมีแมลงเยอะๆ มีตั๊กแตนเยอะๆ มีนกเยอะๆ ถึงจะมีคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้กราฟสรรพสิ่งมันกลับกัน กลายเป็นคนเยอะๆ แมลงน้อยๆ สมดุลไหม (ไม่สมดุล)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์ทำตามใจตัวเองอย่างมากเกินควร มนุษย์นั่นแหละเป็นผู้ทำลายล้างโลก หาใช่ตั๊กแตนบุกโลกใช่ไหม ที่หนูมันเยอะ ตั๊กแตนหรือเพลี้ยเยอะ เป็นเพราะมนุษย์เป็นผู้ทำลายใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราสังเกตให้ดี ธรรมชาติสอนให้มนุษย์รู้ว่า เมื่อเอาสิ่งหนึ่งมาต้องรู้จักตอบแทนและคืนสิ่งที่ให้เรามาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็คือเมื่อเราเอาสิ่งหนึ่งมา เราก็ต้องรู้จักยังผลประโยชน์ให้สิ่งนั้น แล้วก็ตอบแทนสิ่งนั้นต่อไปด้วย ท่านเคยเห็นผึ้ง แมลงปอหรือผีเสื้อไหม เวลามันกินน้ำหวานของดอกนี้ มันยังติดเกสรของดอกนี้เพื่อไปแพร่พันธุ์ให้ดอกไม้นี้เจริญเติบโตที่อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ผีเสื้อพอมันกินน้ำหวานของดอกนี้แล้วมันยังช่วยผสมเกสรจากดอกหนึ่งไปสู่ดอกหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์กินทั้งตั๊กแตน หนู นก เคยช่วยอะไรบ้างไหม (ไม่)  อย่างนั้นเราก็สู้อะไรกับผึ้งกับผีเสื้อไม่ได้เลย  เรากลายเป็นผู้ที่ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตในโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเขาจึงกล่าวว่าอย่าดูถูกสิ่งเล็กๆ สิ่งเล็กๆ นั้นก็อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ยิ่งใหญ่ได้ เราถึงบอกว่ามนุษย์ไม่ว่าจะรวย จน ผิวขาว หรือผิวดำ ทุกคนต่างมีคุณค่า ขอเพียงสร้างสรรค์คุณค่าของตัวเองให้ถูกต้องและเหมาะสม เราก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับสรรพสิ่งที่คอยเกื้อหนุนให้โลกนี้ดำรงอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากของเรา หรือความรังเกียจของเรา ทำลายโลกให้เสียสมดุลเลยจริงไหม (จริง)  อย่าเกลียดนกเค้าแมว เดี๋ยวนี้ท่านเคยเห็นนกเค้าแมวไหม (ไม่) แทบจะไม่เห็นแล้ว
เช่นเดียวกันอย่าเกลียดใครคนใดคนหนึ่งจนมองไม่เห็นประโยชน์ของเขา เพราะคนทุกคนหรือทุกๆ สิ่งในโลกล้วนมีทั้งคุณและโทษ อย่าเห็นโทษจนมองไม่เห็นคุณ และอย่ามองเห็นคุณจนลืมนึกถึงโทษ เราจะได้ไม่หลงระเริงเกินไป
เราอยากบอกท่านที่อายุยังน้อยๆ ว่าอย่าคิดว่าอายุมากๆ ค่อยมาศึกษาธรรม บางทีอายุมากแล้วสังขารก็ไม่ไหว หูก็ตึง ตาก็มองไม่เห็น ศึกษาธรรมตอนนั้นจะได้อะไรไหม  ถึงได้แต่ก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเหลือน้อยแล้วเรากลับได้น้อยเข้าไปอีก ไม่ยิ่งเสียเปล่าหรือ ยิ่งเวลาเหลือน้อย ยิ่งต้องรู้จักขวนขวายทำดีให้มาก เพราะสิ่งที่เราจะเอาไปได้ตอนเราตายก็คือความดีเท่านั้น  ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอย่างนั้นเราขอถามท่าน การทำดีนั้นทำได้อย่างไรบ้าง (ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)  อย่างเช่น (ช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างถึงแม้เขาจะประพฤติผิด และช่วยเหลือยามที่เขาเจ็บป่วย)  เมื่อเขาประพฤติผิดเราไปช่วยเหลือเขา ช่วยให้เขาเห็นความถูกต้อง (ช่วยเตือนสติเขา) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส่งผลไม้เมื่อหยุดที่ใครให้ตอบคำถามว่าทำความดีได้ด้วยวิธีใดบ้าง) 
(ทำความดีแล้วเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ทุกคน)  รู้จักคำว่ามีแล้วก็แบ่งปัน ไม่มีก็รู้จักพูดแต่สิ่งที่ดี แบ่งปันให้คนอื่นมีกำลังใจ (รู้จักทำบุญ)  เจอคนขอทานให้เขาไหม (ให้)  ให้ไปไม่คิดอะไรในใจใช่ไหม การทำดีคือ (รู้จักไปวัด หมั่นทำบุญทำทาน, การเอาชนะจิตใจตนเอง)  การที่ไม่เป็นคนขี้โมโห เป็นคนใจเย็นเรียกว่าทำดีไหม ศีลห้าเราลองเลือกมาตอบสักข้อหนึ่ง เป็นคนดีได้ไหม (ได้)  ทำความดีคือ (ตั้งใจเรียน)  เรามีหน้าที่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ตั้งใจเรียน  (หมั่นช่วยคนที่เขาตกทุกข์ได้ยาก)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อย มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนดีแต่พอถึงที่สุดเราถามว่าความดีคืออะไร กลับตอบไม่ได้น่าแปลกไหม ฉะนั้นในศีลห้าข้อนี้ถ้าเราพยายามรักษาให้ครบ เราก็เป็นคนดีได้ระดับหนึ่งแล้วใช่ไหม (ใช่)  ทำงานรู้จักรับผิดชอบไม่กินแรงคนอื่นเป็นคนดีไหม (เป็น)
ถึงเวลาใครโกรธใครด่า เราใจเย็น ไม่โกรธให้อภัยนี่เรียกว่าคนดีหรือไม่ (ดี)  (เมตตาสงสารและให้โอกาสคนที่ทำผิดถ้าเราไม่ลักเล็กขโมยน้อย เรียกว่าการทำดีใช่หรือไม่  (รู้จักช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากการทำดีคือ (ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังความอยากถ้าอยากได้ในสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง ความอยากนั้นก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ (ใช่แต่ถ้าเราอยากได้ แล้วกล้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความอยากความกล้านั้นเป็นสิ่งที่ผิดไหม (ผิด)  (ทำใจให้ปกติเขาบอกว่าที่มนุษย์กลายเป็นคนไม่ดีเพราะผิดปกติใช่หรือไม่  แต่ก่อนเรามีความโกรธหรือไม่ (ไม่มีแต่พอโกรธเมื่อไหร่ผิดปกติเมื่อนั้นถูกหรือไม่ (ถูกเพราะผิดปกติจากความเป็นคน ความโกรธ ความอยาก ความโลภ ความหลง ล้วนไม่ใช่รากฐานของมนุษย์ มนุษย์นั้นแต่เดิมมาไม่มีความโกรธ ความอยาก ความโลภ ความหลง มาก่อน แต่มาอยู่ในโลกถึงอยากโกรธ ถึงอยากโลภ ถึงอยากหลง ฉะนั้นรักษาความปกติให้อยู่นานๆ นะ (ไม่ดื่มสุรา)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อย แล้วถ้าเพื่อนชวนดื่มนิดหน่อยเอาไหม  ถ้ากินแล้วควบคุมไม่ได้ก็ต้องบอกว่า วันนี้ถือศีลห้า ห้ามดื่ม”  แต่ถ้าดื่มไปนิดหน่อยแล้วต้องดื่มไปเรื่อยๆ อย่างนั้นไม่ดื่มดีกว่า   (รู้จักเมตตาและไม่เบียดเบียนผู้อื่น, ไม่ทำให้ผู้ปกครองหรือแม่เสียใจ มีแต่ให้คนอื่น ถ้าจะเป็นคนดีต้องมี ๔ อ.อดทน  ๒.อดออม
.อดกลั้น ๔.อภัย  และช่วยกันและกันไม่ทำให้คนที่เรารักเสียใจอยากอดทน  อยากอดกลั้น อยากให้อภัย สิ่งสำคัญก็คือต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วย  ถึงแม้เราจะมี ๔ อ. แต่ถึงเวลาเราไม่ทำสัก อ. ก็ไม่มีประโยชน์  (กตัญญูรู้คุณดูแลคุณพ่อคุณแม่, ไม่พูดปด, การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าความดีเป็นเรื่องแปลก
ยิ่งนึกถึงและยิ่งพยายามใช้มันบ่อยๆ ความดีและสิ่งดีนั้น ก็จะมีอยู่ในตัวเรา แต่ถ้าไม่นึกถึงไม่ใช้เลย ความดีนั้นก็รู้สึกว่าจะอยู่ห่างไกล
ยิ่งนึกถึงและยิ่งพยายามใช้มันบ่อยๆ ความดีและสิ่งดีนั้น ก็จะมีอยู่ในตัวเรา แต่ถ้าไม่นึกถึงไม่ใช้เลย ความดีนั้นก็รู้สึกว่าจะอยู่ห่างไกล


ฉะนั้นขอให้กวักมือเรียกความดีบ่อยๆ คิดถึงบ่อย ๆ และปฏิบัติบ่อยๆ เราก็จะกลายเป็นสิ่งที่ดีโดยปริยาย  แต่ถ้าเกิดไม่เคยทำ ไม่เคยคิดถึง เวลาลนลานแล้วอะไรเรียกว่าดี วันนี้เรามาสะกิดเตือนใจให้ท่านรู้ว่า มนุษย์มีความดีอยู่ในตัวเรา  อย่างเช่น ตอนนี้มีคนกำลังโมโห ใครล่ะจะคอยเป็นโล่ที่บดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังแรงกล้า เขาโมโหเราเดินไปบอกเขาดีไหม หรือเราจะถอยห่างออกไปดี  เขากำลังต่อว่าเราอยู่ เราจะอดทนรับฟังเขาหรือไม่ ใจเย็นๆ ฟังเขาไปก่อน พอเขาอารมณ์เย็นแล้วเราค่อยอธิบายก็ยังได้ การทำดีหรือการปฏิบัติดีก็คือ สามารถช่วยขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีที่มีอยู่ในตัวเรานั้นให้หมดไป และมีในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าเรามีดีนั้น ให้มีดียิ่งขึ้น นี่แหละเรียกว่าการปฏิบัติบำเพ็ญตน  ทำได้ไหม (ได้สิ่งที่ทำยากที่สุดนั่นก็คือ เมื่อเจอเรื่องโกรธเราไม่โกรธตอบได้หรือไม่  เมื่อเจอเรื่องน่ายินดีเรารู้จักแบ่งปันสิ่งที่ยินดีให้ผู้อื่นบ้าง ไม่เก็บไว้คนเดียวได้หรือไม่ (ได้เมื่อดำเนินชีวิตรู้จักตั้งตนไม่ประมาทได้หรือไม่ (ได้พอถึงเวลาขอให้มีสติปัญญาคิดให้ทัน
ตั้งแต่มาเรายังไม่ได้บอกวิธีเอาชนะความทุกข์เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่งอยู่ที่นี่ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้านั่งอยู่ที่นี่มีสุขได้การเอาชนะความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถามท่านหน่อย ระหว่างอ้อยกับมะระ ชอบกินอะไร คนส่วนใหญ่มักจะชอบกินอ้อย แล้วระหว่างอ้อยกับมะกอกชอบอะไรมากกว่ากัน อ้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อ้อยพอกินจนหมดรสหวานเราก็ต้องคายทิ้ง แต่มะกอกยิ่งกินยิ่งเคี้ยวยิ่งหวานยิ่งมัน และช่วยขัดฟันให้ปากเราสะอาดด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนมะระยิ่งกินตอนแรกยิ่งขม แต่ยิ่งกินก็ยิ่งหวาน พอกินมะระขมๆ แล้วไปกินกับข้าวอะไร เราก็รู้สึกอร่อย แต่พอกินอ้อยหวานๆ แล้วคายกากทิ้ง ไปกินกับข้าวอะไรก็รู้สึก (ไม่อร่อย)  ความสุขก็เหมือนกับอ้อยที่หากเรารักษาไม่ดี ความสุขบางครั้งก็ถูกวางทิ้ง ถูกปล่อยวาง แต่ถ้าหากความทุกข์เรามองดูให้ดีแล้วเข้าใจให้ถ่องแท้ อย่าเอาแต่ตื่นตระหนก ตั้งสติให้ดี ความทุกข์นั้นยิ่งเราเข้าไปแก้ยิ่งเราเพ่งมอง กลับยิ่งมีทางออกและพบความสุข  แล้วถ้าหากเราคิดว่า เรามีความสามารถที่จะเอาชนะปัญหาได้ ทุกข์นั้น ปัญหานั้นก็จะยิ่งลดลง เล็กลง  เมื่อไรที่เจอความยากลำบากเจอปัญหา จงคิดเหมือนกินอ้อย กับกินมะระ  อย่ามัวแต่ลนลานแล้วไม่มีสติ ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบาก  ฉะนั้นเจอความทุกข์อย่ากลัว เพราะท้ายที่สุดของทุกข์ก็คือความสุข
วันนี้เรามาศึกษาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้กันเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้นะ ถ้าวันนี้นั่งตรงนี้แล้วยังไม่มีความสุข ยังมีทุกข์ เรื่องทุกข์ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอะเจอในภายภาคหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากนั่งตรงนี้แล้วมีความสุขได้ มีรอยยิ้มได้ ความทุกข์ในเบื้องหน้าก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย  เรื่องยากๆ ก็แปรเป็นง่ายได้ เรื่องลำบากเรายังคิดให้มีสุขได้ แล้วโลกนี้ยังมีความทุกข์อะไรให้เราต้องต่อกรอีก  ฉะนั้นการมาฝึกฝนบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจชีวิตให้เดินไปสู่ทางแห่งความสุขที่ดี ไม่ใช่มาฝึกฝนบำเพ็ญธรรมแต่เป็นอันธพาลครองเมืองก็ไม่เอา เป็นเด็กดื้อ พูดยากเข้าใจยากอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง  ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือ การรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และรู้จักแบ่งเวลาในการผ่อนคลายเอาไปช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง อย่าลืมว่าวันนี้เราได้รับ เพราะมีผู้อื่นเสียสละ  วันนี้เราได้รับแล้วก็จงเสียสละแบ่งสิ่งที่ได้รับไปให้คนอื่นบ้างดีไหม (ดี)  อย่างที่เราบอก สรรพสิ่งในชีวิต ไม่ใช่มีคนหนึ่งแล้วคนอื่นไม่มี แต่มีคนหนึ่งเพราะช่วยอีกคนหนึ่ง  คิดให้ดีๆ นะ อย่ามานั่งฟังธรรมะให้เสียเปล่า
เป็นผู้หญิงต้องมีความอ่อนโยนเป็นหลัก เข้มแข็งเป็นรอง เป็นผู้ชายต้องมีความเข้มแข็งเป็นหลัก อ่อนโยนเป็นรอง แต่ถ้าเมื่อไรผู้ชายมีความอ่อนโยนเป็นหลัก เข้มแข็งเป็นรอง นั่นก็เรียกว่าไม่ใช่ผู้ชาย  เหมือนกันถ้าผู้หญิงเข้มแข็งเกินไป ขาดความนิ่มนวลก็ย่อมขาดความเป็นหญิงที่น่ารักถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเป็นหญิงนุ่มนวลเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ขาดเข้มแข็งไม่ได้
มีโอกาสลองมาศึกษาให้เยอะๆ มาศึกษาหลักธรรมเพื่อตัวเราเอง เดินไปสู่หนทางที่ดี และแนวความคิดที่ประเสริฐ ไปแล้วนะ



วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หัวสมองปลอดโปร่งและแจ่มชัด           จะสลัดปัญหาเป็นเปลาะเปลาะได้
จะรวบรัดปัญหาบางอย่างทำไม่ได้         จะเยิ่นเย้อบางเรื่องไปก็มีดี
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่  สถานธรรมฮุ่ยอวี้ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                              ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า

คนอีสานไปแห่งไหน  ความร่วมใจก็เพียบเข้าถึงแทน  ศึกษาธรรมวนเข้าหาถึงแก่น  ใจยึดแกนผลักดันช่วยกัน
มีธรรมะเป็นสื่อใจ  และน้ำใจเรียบง่ายเสนอนำ  เรื่องหยิบยืมพาเสียมิตรยันค่ำ  ใจชัดเจนกระทำมั่นคง
โอ้ละเน้อโอ้ละเน้อมาดู สู้ต่อไปคนขอนแก่น  คลอเสียงแคน ตะแล่นแตร..............
มองออกไป ง่ายง่ายเพราะเป็น  มองย้อนต่างคนมองต่างมุมเห็น  ปัญหาเช้าเย็น  แม้ยากเข็ญก็ผ่านกันไป
เพียงศิษย์รักคอยช่วยกัน  ความทุกข์พลันพลอยสิ้นสลายไป  แค่ชีวิตคิดแก้ไขเสียใหม่  ลมหายใจแห่งธรรมยั่งยืน (ซ้ำ *)
                             เพลง : ฮักศิษย์ขอนแก่น
ทำนองเพลง : ฮักสาวขอนแก่น
               พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ร้องเพลงเบื่อหรือยัง (ยังไม่เบื่อ)  ร้องเพลงรอเบื่อหรือยัง (ยังไม่เบื่อ)  นั่งรอเบื่อหรือยัง (ยังไม่เบื่อ)  ฟังธรรมะเบื่อหรือยัง (ยังไม่เบื่อ)  มีอะไรที่เบื่อบ้าง เบื่อตัวเองใช่หรือเปล่า ใครเบื่อตัวเองบ้าง ทำไมเราคิดอย่างหนึ่งแล้วเวลาทำกลับทำอีกอย่าง เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  คิดว่าจะไม่ทะเลาะกับคนที่บ้านแต่พูดไปพูดมา ทำไมทะเลาะกันเรื่อยเลย แสดงว่าเราปากไม่ตรงกับใจ ใช่ไหม (ใช่)  ทำอย่างไรล่ะ ปากไม่ตรงกับใจก็ต้องทำให้ตรง แต่ทีนี้ปากตรงกับใจ แล้วใจตรงหรือเปล่า (ตรง)  วันนี้ยังคิดตำหนิใครอยู่ในใจไหม ตอบยากมากใช่หรือเปล่า
ไหนลองเอาฟันบนกระทบฟันล่างซิ เอาปากมาหรือเปล่า ถ้าได้ยินเสียงแสดงว่าเอามาด้วย ฉะนั้นวันนี้ตอบหรือไม่ตอบ มานั่งยิ้มเฉยๆ ไม่เอานะ มานั่งแล้วต้องนั่งให้คุ้มค่าคุ้มเวลา ถ้านั่งแล้วเสียเวลาจะนั่งทำไม ถ้าฟังแล้วต้องฟังให้รู้เรื่อง เมื่อทำอะไรแล้วต้องทำให้ดี ให้สำเร็จ
ชีวิตนี้เบื่อไม่เบื่อ (เบื่อ) ชีวิตนี้ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์) ชีวิตนี้เครียดไม่เครียด (เครียด) ชีวิตนี้กังวลหรือเปล่า (กังวล) ถ้าบอกว่าชีวิตนี้ไม่ทุกข์ไม่เบื่อไม่เครียดไม่กังวลนี่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว แต่ว่าเราเป็นมนุษย์พิเศษ เพราะว่าเรารู้เท่าทันตัวเอง เมื่อไรดี เมื่อไรไม่ดี เมื่อไรที่เราเผลอ เมื่อไรที่เรามีสติ เมื่อไรที่เราดีใจ เมื่อไรที่เราเสียใจ เมื่อไรที่มีความสุข เมื่อไรที่มีความทุกข์เราต้องรู้ตัว ดีใจอย่าดีใจเพราะว่าทำคนอื่นเสียใจแล้วดีใจ เสียใจอย่าเสียใจเพราะว่าเราทำผิดเลยเสียใจ ทุกคนผิดพลาดได้ ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ทำบ่อย ยิ่งทำอะไรบ่อยมากเท่าไร ความผิดก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จริงหรือไม่ (จริง) คนไม่เคยทำก็คือคนที่ไม่ทำผิดจริงหรือเปล่า (จริง) คนที่ทำก็ย่อมมีสิ่งที่ทำผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นอย่าทุกข์ใจเสียใจเพราะว่าเรานั้นทำผิด แต่จงทุกข์ใจเสียใจที่เรานั้นแก้ไขตัวเองไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าหากว่าอยากเป็นมนุษย์พิเศษต้องรู้จักแก้ไขตัวเองให้เป็น ถ้าหากว่าอยากเป็นคนที่เหนือคนเราต้องมีดีกว่าคนอื่น จริงหรือไม่ (จริง) ดีอย่างไรล่ะ ดีกว่าคนอื่นกับเหยียดหยามคนอื่นเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) ต่างกันตรงไหน สมมติว่าวันนี้เราเกิดหาเงินได้มากกว่าคนอื่น เผอิญว่าคนนั้นวันทั้งวันยังหาเงินเข้าบ้านไม่ได้สักนิดเดียว แล้วเผอิญว่าเราไปคุยกับเขาว่าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงได้เงินมาเยอะ เรากลายเป็นคนที่เหยียดหยามคนอื่นหรือเปล่า (เป็น) ทั้งๆ ที่เราเจตนาหรือไม่ (ไม่) เพราะฉะนั้นการที่เป็นคนเหนือคนอื่นกับเป็นคนที่เหยียดหยามคนอื่นต่างกันตรงไหน
(การที่ดีเหนือคนอื่น น่าจะเป็นคุณลักษณะพิเศษที่ผู้อื่นทำไม่ได้ หรือทำดีได้ไม่เท่า แต่การที่ดีกว่าแล้วเหยียดหยามผู้อื่นเป็นการเอาสิ่งที่ดีของตนไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง, ดีเหนือคนอื่นคือเราจะไม่พูดเหยียดหยามคนอื่นโดยที่เอาความดีของเราไปคุยข่มเขาทั้งที่เขาทำอย่างเราไม่ได้ ไม่พูดทับถม และพูดแต่สิ่งที่ดีให้เขาฟัง, การที่ดีกว่าคนอื่นแล้วไปดูหมิ่นคนอื่นหรือไปอวดอ้างเป็นการไม่สมควร, ไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ)
ในปัจจุบันนี้คำว่า ความดี ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้รู้อย่างแจ่มชัดว่า อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรคือการที่เรานั้นดีเหนือคนอื่น อะไรคือการเหยียดหยามคนอื่น สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองสิ่งนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังเห็นไม่ชัด สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองสิ่งนี้ คือสิ่งที่เราพูดและทำ เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมาจนถึงก่อนเข้านอน ทั้งวันของเราคือการพูดและทำใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่คนอื่นสัมผัสและรับรู้ได้คือการพูดและทำทั้งวันจนกว่าเราจะนอน ฉะนั้นการที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี แต่บอกว่าดีที่ไหน ดีที่ใจ ใจดีไหม ใจดีทุกคน แต่ว่าปากก็ไม่ตรงกับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  การกระทำออกมาก็ไม่ได้ดั่งใจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต่างกันระหว่างสองสิ่งนี้คือ การพูด และการทำ การจะบอกว่าเราเป็นคนดี แต่การพูดและการกระทำของเรานั้นไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่ได้ระมัดระวังเลยนั้น ทำให้เราเป็นคนดีกว่านี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถามว่าวันนี้มีคนชมว่าเราดีไหม ตั้งแต่เกิดมามีคนชมว่าเราเป็นคนดีไหม (มี)  ถามว่าให้เราชมตัวเองว่าเราเป็นคนดี ได้ไหม (ได้, ไม่ได้)  ให้ชมตัวเองว่าดีก็รู้สึกเขินปากจริงหรือไม่ (จริง)  และก็กระดากใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าบางทีทำดีไป แต่ใจยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยใช่ไหม (ใช่)  จะทำอย่างไรให้สมบูรณ์กว่านี้ ทำอย่างไรที่จะทำให้เราเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่ดีกว่าคนอื่น จะทำเหมือนที่แล้วๆ มาจะดีกว่านี้ได้หรือเปล่า ถ้าหากว่าวันนี้ไม่มีข้าวสารอยู่ในหม้อ ถ้าไม่เดินออกไปซื้อ ไม่ออกไปหา ไม่ออกไปยืม ไม่ออกไปทำอะไรเลย วันนี้จะมีข้าวกินไหม (ไม่มี)  วันนี้ใจของศิษย์ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อใจนี้แล้ว ทำอย่างไร ทำเหมือนเดิมก็เป็นเหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องทำชีวิตนี้ให้ดีกว่าเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีเราเห็นคนๆ หนึ่ง  เราบอกว่า โอ้ คนนี้มีชีวิตชีวาจริงๆ เลย แสดงว่าเขานั้นขยับเขยื้อน กระตือรือร้น ทำงานทำการ เขาส่งสายตาที่เป็นประกายและเป็นพลังชีวิตออกมาจริงหรือไม่ (จริง)  คนนี้มีชีวิตชีวากระตือรือร้นจังเลย แล้วเรามีไหม เรามีเป็นบางทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีก็มีบางทีก็ไม่มี บางทีก็ดีบางทีก็ไม่ดี ดีบ้างไม่ดีบ้างไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน สวรรค์ชั้นดีบ้างไม่ดีบ้างมีไหม (ไม่มี)  แล้วตกลงจะไปไหนกัน เวลาเราก้าวขึ้นมาข้างบนนี้เรียกว่าชั้นบนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเราอยู่ข้างล่างก็เรียกว่าชั้นล่างจริงหรือไม่ (จริง)  เราจะอยู่ระหว่างกึ่งกลางชั้นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราอยู่ระหว่างกึ่งกลางชั้นเราก็เป็นคนครึ่งๆ กลางๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นเทวดาดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช่หรือ อย่างนั้นอาจารย์ให้นั่งดอกบัวครึ่งดอกก็แล้วกันนะได้ไหม (ไม่ได้)  ฐานบัวมีอันหนึ่งให้ศิษย์นั่งคนละครึ่ง ศิษย์คนนี้นั่งครึ่งซ้าย ศิษย์อีกคนนั่งครึ่งขวาดีไหม (ไม่ดี)  คนไหนทะเลาะกันจับไปนั่งดอกบัวดอกเดียวกันเลยดีหรือเปล่า ดีไม่ดี คนไหนเป็นคู่อริกันให้ทะเลาะกันจนหล่นมาจากดอกบัวเลยดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงชีวิตนี้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนมีชีวิต ต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเราไม่เริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ อีกสิบปีข้างหน้าถามว่ามีอะไรดีขึ้นไหม (ไม่มี)  ศิษย์หลายคนอาจจะคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน เราไม่ดีแค่ไม่กล้าชมตัวเอง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ ฮุ่ยอวี้ แปลว่าอะไร แปลว่า ปัญญา แล้วเรามีปัญญาหรือเปล่า คนรู้มากบอกว่าไม่มี คนรู้น้อยบอกว่ามีแล้วเมื่อสักครู่ใครตอบอะไรไปก็ทบทวนดู
โลกนี้มีร้อนมีเย็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าร้อนเป็นธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  ถ้าเย็นก็เป็นธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  แล้วใจของเรามีร้อนมีเย็นไหม (มี)  ถ้าใจร้อนก็ไม่ธรรมดา ถ้าเย็นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าเย็นอย่างหลังดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าใจเย็นไม่ธรรมดาก็หมายถึงดี จริงหรือเปล่า (จริง)
มาสถานธรรมก็กระฉับกระเฉงดีหรือไม่ (ดี)  ฟังธรรมะก็กระฉับกระเฉง นั่งฟังตาแป๋วเลยดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่ใช่นั่งตาเซื่อง จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่
ไม่รู้คนช่วยอาจารย์คิด คิดออกหรือยัง (ไม่ทันการ)  นี่แหละเป็นความคิดศิษย์ ให้คิดนี่เครียดไหม ต้องระวังเพราะอายุมากขึ้น ทำอะไรไม่ทันใจ ยิ่งมองยิ่งเครียดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เร่งตัวเราได้เร่งคนอื่นไม่ได้ บางเรื่องช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม บางเรื่องไวเกินไป รีบเกินไป ก็สะดุดล้มเสียการ บางเรื่องก็ต้องช้าบางเรื่องก็ต้องเร็วใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับศิษย์ทุกคนในที่นี้ ทุกคนก็มีข้อดีของแต่ละคนต่างกันไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้กระทั่งบอกว่ากินข้าวเก่งเหมือนกัน สองคนกินเร็วเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน)  ทำกับข้าวอร่อยเหมือนกัน สองจานรสชาติเหมือนกันไหม (ไม่เหมือนกัน)  เพราะฉะนั้นคนตรงนี้ทุกคนล้วนมีข้อดีจริงหรือไม่ (จริง)  บางเรื่องต้องช้า บางเรื่องต้องเร็ว การเก็บมะม่วงที่อยู่บนต้น ถ้าหากเก็บช้าเกินไปก็สุก เก็บเร็วเกินไปก็ไม่ได้เรื่องใช่ไหม (ใช่) 
จะรวบรัดปัญหาบางอย่างทำไม่ได้  จะเยิ่นเย้อบางเรื่องไปก็มีดี
ในวรรคหน้าความหมายคือให้ช้า ในวรรคหลังความหมายก็คือให้ช้า แล้วก็ช้า ที่บอกให้ช้า ไม่ใช่หมายความว่าไม่ให้เร็ว แต่เราต้องเร็วอย่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าให้ตามกันไป ศิษย์ของอาจารย์ที่นี่หลาย คนเดินมาพร้อมกัน คนหน้าเดินไปไกล คนหลังก็เดินตามอยู่ไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ช้าไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ทำ แต่คำว่า ช้า หมายความว่าให้รอๆ กัน บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คือ ความรู้สึก เร็วหรือช้าเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เป็นเรื่องของการให้หยุด การหยุดแต่บางทีหมายถึงว่า กำลังหยุด แต่กลายเป็นรีบๆ  ก็มี  เพราะฉะนั้นการที่ให้ช้าไม่ได้หมายความว่าให้หยุด  แต่การให้ช้าคือให้รู้จักมองหน้า มองหลัง เหลียวหน้า เหลียวหลัง ดูพี่ดูน้องให้ดีๆ ความรู้สึกของคนเป็นเรื่องสำคัญมาก บางทีอากาศร้อนแทบตาย แต่หากว่าคนนั้นมีความรู้สึกใจเย็น ไม่มีความเครียดใดๆ ก็เกิดความเย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีอากาศก็เย็นอยู่ในห้องแอร์ แต่เกิดความเครียดขึ้นมาก็เหงื่อแตกเลยอย่างนี้ก็มีใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ เป็นคนที่มีปากไว้พูด มีสมองไว้คิด แล้วก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา ขอให้รู้จักประมาณว่าบางทีควรช้ากว่านี้ไหม บางเรื่องควรรวบรัดให้เร็ว บางเรื่องก็ทำให้เยิ่นเย้อให้ช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม เพราะว่าบางคนนั้นยังมีความรู้สึกตามไม่ทันเลยก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องที่ว่า เราจะทำตนให้ดีเหนือกว่าคนอื่น กับการที่เรายกตนข่มท่านต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่การกระทำและคำพูดของเรา  อาจารย์พูดกับศิษย์คนเก่าหรือคนใหม่ก็พูดในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าด้วยระยะเวลาการบำเพ็ญแล้ว ทำให้การปรับใช้ธรรมะข้อนี้ไม่เหมือนกัน ถ้าหากว่าเปรียบทะเลมีความกว้างใหญ่ไพศาล และทะเลนั้นรองรับสายน้ำทุกสาย คนที่อยากเป็นคนพิเศษเหนือคนอื่น ต้องเป็นดุจดั่งทะเล ต้องรู้จักที่จะถ่อมตน และยอมรับทุกอย่าง อาจารย์ย้ำต้องยอมรับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำติ ถ้าเป็นคำชมเรายิ้มแก้มปริเลย ทั้งที่รู้ว่าเขาชมแบบขอไปที ก็ยังยิ้มจริงหรือเปล่า (จริง)  คำติก็ต้องรับเช่นเดียวกัน รับให้เหมือนกับตอนที่รับคำชม  แต่หากว่าคนติมากๆ แล้วยังยิ้มแก้มปริ เขาจะว่า คนนี้ฟังไม่รู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการจะดำรงตนเป็นคนที่บำเพ็ญธรรมได้ดี เมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น เราจำเป็นที่จะต้องทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เราฟังรู้เรื่อง อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าเมื่อใดที่เขารู้สึกว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็จะยิ่งย้ำใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนพ่อแม่ที่บ่นเราเช้าค่ำ เพราะเขาคิดว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยบ่นเราอยู่นั่น แต่การที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราฟังรู้เรื่องไม่ใช่แค่การพยักหน้า การพยักหน้าเป็นเพียงพฤติกรรมหยาบๆ ที่ทำแล้วคนอื่นเข้าใจได้ทันที แต่เราต้องทำให้ละเอียดมากขึ้น ด้วยการที่เราต้องรู้จักประพฤติตนตามนั้นจริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งที่เขาพูดแล้วเป็นสิ่งที่ดี เราต้องทำตามไหม (ทำตาม)  แต่หากว่าสิ่งที่เขาพูดแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราต้องทำความเข้าใจก่อน เพราะบางทีคนที่พูดแล้วเราต้องฟัง ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าเรา อย่างเช่นพ่อแม่ พี่ ญาติ อาจารย์อาวุโส หรือนักธรรมผู้บำเพ็ญมาก่อนหน้า การอยู่ร่วมกันจึงเป็นเรื่องที่ทำยาก แต่ก็ทำอยู่ทุกวัน เราก็อยู่ร่วมกับคนที่เราทะเลาะอยู่ทุกวันเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  บางทีก็เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นแฟน เป็นลูก เป็นคนที่เรารู้จักมักคุ้นในสังคมของเรา เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นทุกๆ วันจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นการที่เราเปลี่ยนตัวของเราเอง เป็นการเอารัดเอาเปรียบตัวเราเองหรือไม่ คนอื่นไม่เปลี่ยน ทำไมเราต้องเปลี่ยนเพราะอะไร (เพราะว่าเราเป็นคนพิเศษ)
ตอบได้ไหม อยากได้หรือเปล่า (ถ้าเรายังเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะเปลี่ยนคนอื่นได้อย่างไร, เพราะว่าเราอยากเป็นคนดี ถ้าไม่มีใครจะทำให้เราดีได้ เราต้องทำตัวเองให้ดีกว่าคนอื่น ให้คนอื่นเห็นเราเป็นตัวอย่างในการทำดี, ทุกวันนี้เรายังไม่ดีเราก็อยากได้ดีเหมือนคนอื่น, ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น, ต้องมองตัวเองว่าเราจะเข้ากับเขาได้ไหม ต้องมองว่าในขณะนี้เขาทำอะไรกันอยู่ เราจะเข้ากับเขา เราก็ต้องปรับสภาพตัวเอง เราต้องเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม พูดอะไรต้องทำจริง เหมือนกับจิ้งจกอยากจะกินแมลง ทำอย่างไรถึงจะปรับสีได้ ถ้าไม่ปรับสียังเป็นสีขาวอยู่แมลงก็มองเห็น เราต้องเปลี่ยนให้เข้ากับคนอื่น ต้องรู้เขารู้เราด้วย)  ตอบมากให้ลูกเล็กกว่าดีไหม (อาจจะเป็นสองลูก)  ชาวโลกคิดถึงแต่กำไรจริงหรือไม่ (จริง)  แต่เวลาพูดไม่กลัวขาดทุนเลย  ถ้ายิ่งฟังก็ยิ่งกำไรถูกหรือไม่ (ถูก)  ยิ่งพูดก็ยิ่งขาดทุน ถ้าไม่พูดเลยเป็นอย่างไร ถ้าไม่พูดเลยก็ขาดทุนมากที่สุด เพราะต้องฟังคนอื่นพูดอย่างเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)  (คนเราต้องปรับตัวเข้ากับผู้อื่น เพราะเราต้องการเป็นมิตรกับคนทุกคนทั่วโลก, เราต้องปกป้องสภาพตัวเราเองว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว ถ้าเป็นสิ่งที่ดีเราก็เปลี่ยนแปลงให้เป็นตัวอย่างของคนอื่น, เราต้องปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมและสถานการณ์ที่เป็นอยู่เหมือนกับภาษิตที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม, โลกเราต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา, คนอื่นเขาดี ตัวเรายังไม่ดี เลยต้องเปลี่ยนให้ดีเหมือนคนอื่น) 
(นักเรียนลุกขึ้นจะตอบคำถามพระอาจารย์ แต่กลับนั่งลง)  อย่างนี้เรียกเขินอายหรือไม่กล้า (ถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงมาหาเราก่อน เราต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีไปหาเขาก่อน เขาถึงจะมาหาเรา)  มนุษย์มักจะไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการทำสิ่งใด แต่ว่าเวลาที่โดนยั่วโมโหปุ๊บ ทำได้หมดทุกอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำก็ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การยั่วโมโหเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการรบในสมัยก่อน คือการยั่วคนอื่นให้มีแรงกระตุ้นเกิดขึ้น แต่ว่าศิษย์ต้องระวังตัวด้วย หลายคนชอบไปยั่วคนอื่นแต่ไม่รู้จักวิธีการรับมือ ยั่วจนเขาโมโห เสร็จแล้วตัวเองโดนเขาว่ากลับ ก็มานั่งซึม เพราะว่าไปยั่วเขา เพราะฉะนั้นความโกรธก็พอจะมีข้อดีอยู่บ้างคือ ทำให้ศิษย์มีแรงกระตุ้น มีแรงผลักดันไปข้างหน้า คนที่จะใช้กลวิธีนี้ต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง จึงจะสามารถใช้วิธีนี้ได้ หากเป็นคนที่มีคุณธรรมไม่พอ อาจจะโดนศรย้อนมาปักอก ฉะนั้นเวลาที่เราอยากจะกระตุ้นใครให้เดินหน้า หากเราคิดว่าเราจะกระตุ้นเขาด้วยการทำให้เขารู้สึกตื่น เราเองต้องเตรียมรับมือให้ดีก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) 
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทและเมตตาประทานเพลงชื่อเพลง ฮักศิษย์ขอนแก่น ทำนองเพลง ฮักสาวขอนแก่น)
ทุกวันนี้ก็มองออกไปตลอดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าการบำเพ็ญธรรมต้องมองเข้า มองเข้าที่ไหน มองเข้าหาตัวเอง ตำหนิตัวเองได้ไหม ถ้าหากใครที่ตำหนิตัวเองได้ คนนั้นจะเป็นคนที่ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ไม่ใช่ติเพื่อเป็นเรืออับปาง ไม่ใช่การติแบบนั้น แต่เป็นการติเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีมากกว่าให้เกิดขึ้น เราโกรธคนอื่น เราติคนอื่น เราว่าคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ แต่หากว่าเรามองตัวเอง ติตัวเอง ว่าตัวเอง แก้ไขตัวเอง อันนี้จึงเป็นเรื่องสร้างสรรค์ จริงหรือไม่ (จริง)
เราเดินอยู่ทุกวัน แม้ขาเราจะไปข้างหน้าแต่จิตใจถอยหลังอย่างนี้ใช้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ขาต้องเดินไปข้างหน้า ใจก็ต้องไปข้างหน้าด้วย มีความก้าวหน้าพัฒนาตัวเองมากขึ้น อย่างนี้จึงจะเหมือนผู้ที่ใฝ่ความก้าวหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลง)
ม่วนหลายๆ ก็ร้องบ่อยๆ มาสถานธรรมก็มาบ่อยๆ ฟังธรรมะก็ฟังบ่อยๆ บ่นคนอื่นก็บ่นน้อยๆ หน่อย ว่าคนอื่นก็ว่าน้อยๆ หน่อย คิดอะไรกับใครก็คิดในแง่ดี มองเขาในแง่ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี) เราชอบให้ใครทำอะไรไม่ดีกับเราหรือเปล่า (ไม่ชอบ) เพราะฉะนั้นอย่าทำไม่ดีกับคนอื่น ดีหรือไม่ (ดี) เป็นเรื่องง่ายๆ เวลาคนอื่นดีกับเรา เราต้องดีกับคนอื่น เมื่อคนอื่นทำไม่ดีกับเรา เราต้อง (ดีกับคนอื่น) เราต้องเอาความดีชนะใจคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ดูแล้วเหมือนกับว่าเราไม่มีทางจะเป็นคนไม่ดีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ในหนึ่งวันมี ๒๔ ชั่วโมง เราทำดีกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า (ทำ) ส่วนใหญ่เราทำดีให้ผู้อื่นเพียงเล็กน้อย เราไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ส่วนมากเรามักทำดีให้แค่ตัวเองเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำความดีให้แค่ตัวเองเท่านั้นแล้วผลจะเป็นอย่างไร เราก็เป็นแค่คนดีคนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเราทำความดีให้คนอื่น เราก็จะเป็นคนดีของทุกๆ คน ใช่ไหม (ใช่)
มีคำพูดบอกว่าคำชมไม่อยากได้แค่อย่าว่าก็แล้วกัน แต่ถ้ามีคนมาชมเราเมื่อไรเราก็ชอบใจ เพราะฉะนั้นการที่จะได้มาซึ่งคำชมหมายความว่าเราต้องทำตัวให้น่าชมด้วย ไม่ใช่ว่าคนอื่นอยู่เราก็ทำดีอวดไป เวลาลับหลังคนอื่นเราก็ทำตามใจตัวเอง ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
การที่จะบำเพ็ญธรรมให้สำเร็จและไม่อยากอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด จำเป็นจะต้องทำเบื้องหน้าและเบื้องหลังให้เหมือนๆ กัน ไม่ใช่อยู่ข้างหน้าทำอย่างอยู่ข้างหลังทำอย่าง ถ้าทำอย่างนี้ยังเป็นคนที่ไว้วางใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)
คนบางคนชีวิตดูจืดชืดเรียบง่าย แต่เมื่อไรที่อยากหาสีสันเติมให้กับชีวิตมักจะไปทำอะไรที่ลับๆ ล่อๆ เห็นได้อยู่คนเดียว เรื่องใดที่เปิดเผยให้กับผู้อื่นไม่ได้ เรื่องนี้มักจะเป็นเรื่องที่มีปัญหาในวันหลัง เพราะฉะนั้นเรามีแต่ทำดีเท่านั้น เราจึงเปิดเผยได้ทุกเรื่อง จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าหากว่าเราทำในสิ่งที่ดี เราย่อมไม่กลัวว่าผีจะหลอก  ถ้าเราไม่ได้แอบภรรยาไปทำอะไร ก็ไม่ต้องกลัวว่าภรรยาจะมาเห็น ถ้าไม่ได้แอบครูไปทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวว่าครูเห็น ถ้าไม่แอบเพื่อนไปทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวเพื่อนเห็น จริงหรือไม่ (จริง)
เพราะฉะนั้นการที่อยู่เป็นคนต้องเป็นคนที่มีชีวิตชีวา มีความกระตือรือร้น เป็นผู้กล้าต้องรู้จักยืดหยุ่นและพลิกแพลงให้กับชีวิตตัวเอง ธรรมะแต่ละข้อเป็นธรรมะที่เหมือนๆ กัน เรียบง่ายแต่เมื่อลงไปสู่รายละเอียดในชีวิตของศิษย์แล้วไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งพูดว่าทำดีเฉยๆ แต่พอลงไปในชีวิตของศิษย์แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เป็นผู้ชายเป็นคนที่มีความหยาบมาก เป็นผู้หญิงเป็นคนที่มีความละเอียดมาก แต่ในความเป็นผู้ชายก็มีความละเอียดเหมือนกัน ถ้าละเอียดมากเกินไปก็ดูหยุมหยิมเหมือนผู้หญิง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงดูแข็งกระด้างมากเกินไปก็เหมือนผู้ชายจริงหรือเปล่า แต่ศิษย์ที่ยืนอยู่ที่นี้ทุกคน ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่แข็ง ในความแข็งของเราอาจจะมีข้อดี แต่ข้อเสียคือการทำให้ตัวเองนั้นเสียใจที่สุดที่เราเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม  บางทีเราก็อยากจะมีความนุ่มใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราดูนุ่มนิ่มก็จะกลายเป็นคนเหยาะแหยะ เราก็รู้สึกว่าอย่านุ่มนิ่มดีกว่า
ฉะนั้นในความนิ่มนวลละเอียดของเรา ความละเอียดก็มีข้อเสียของความละเอียด ความกระด้างก็มีข้อเสียของความกระด้าง ฉะนั้นเราต้องเป็นคนที่มีความนุ่มนวล นิ่มนวล และละเอียดอ่อน แต่ในขณะเดียวกันเราต้องไม่ละเอียดเกินไปจนกลายเป็นหยุมหยิม จู้จี้ ในขณะเดียวกันเราก็มีความอยากอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องเพิ่มความรู้สึกคิดพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ตัวเอง ระวังพฤติกรรมของเรา เพราะว่าความอยากนั้นสัมพันธ์กับความประพฤติของตัวเอง ถ้าหากรู้จักที่จะหย่อนลงบ้าง ไม่หยาบมากเกินไปชีวิตก็จะไม่มีปัญหาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ผู้ชายมักมีปัญหาตรงที่คิดน้อยเกินไป ส่วนผู้หญิงมักมีปัญหาตรงที่คิดมากเกินไป เราจึงต้องแยกหญิงชายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมเดินทางสายกลาง เราต้องอุดรูรั่ว ข้อบกพร่องต่างๆ แล้วนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า สุจริตธรรม)
สุจริต แปลว่าอะไร (ซื่อตรง, ซื่อสัตย์, บริสุทธิ์, ความประพฤติที่ดีงาม)  มีความประพฤติที่ดีงาม มีความประพฤติชอบทั้งต่อหน้าคนอื่นและลับหลังคนอื่นดีหรือไม่ (ดี)  เราทำดีก็ไม่ได้ทำดีเพราะว่าอยากอวดใคร ดีแล้วก็ไม่เที่ยวคุยจนมากเกินไป ดีแล้วก็ขอให้ความดีนั้นอยู่คู่ตัว ให้คนอื่นมองแต่ไกลแล้วเกิดความชื่นชม อย่าให้เขาเห็นมาแต่ไกลแล้วเขารีบหลบไปเลย อย่างนี้แปลว่าเราเป็นอย่างไร น่ากลัวหรือน่ารัก (น่ากลัว)  บางคนแค่ระยะสามเมตร เจ้าตัวเป็นคนสายตาสั้น แต่ว่าคนอื่นมองเห็นเราในระยะสามเมตรรีบวิ่งหายไปเลย น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ศิษย์ทุกคนล้วนเคยเจอ เพราะฉะนั้นแต่ละคนมีความน่ากลัวอยู่ในตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาคนอื่นน่ากลัวกับเรา เราชอบไหม (ไม่ชอบ)  ถ้าเช่นนั้นอย่าน่ากลัวกับคนอื่นดีหรือเปล่า (ดี) มิตรภาพที่สร้างง่ายที่สุดคืออะไร (รอยยิ้ม)
โดยปกติแล้วคนที่เป็นสุจริตชน ปัญญาชน หรือผู้มีคุณธรรม ชอบความอ่อนโยน ในวันนี้หลายๆ คนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นสุจริตชนเป็นผู้มีคุณธรรม ฉะนั้นเวลาที่อยากจะได้รับความร่วมมือจากผู้อื่นจำเป็นต้องเคารพคนอื่น แล้วคนอื่นจะให้ความเคารพตอบจริงหรือไม่ (จริง)  เรื่องที่เราพูดไปหรือสิ่งที่เราทำไปแม้ว่าเราจะไม่เจตนา คนอื่นถือไม่ถือ (ถือ)  แต่คนไม่เจตนาก็ยังดีกว่าคนที่เจตนาใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ก็ยังมีดีอยู่ เพียงแต่ว่าแม้กระทั่งยามหลับก็อย่าลืมว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่งเสริมและให้กำลังใจกันให้มาก ที่นี่เป็นแดนอีสาน ที่นี่มีคนบุญเยอะแยะ เพียงแต่คนบุญทางนี้ก็เป็นคนไม่ค่อยพูดมากใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนยิ้มยาก แต่ถ้าหากศิษย์สนิทกับเขาได้ เขาจะเปิดใจทุกห้องให้ศิษย์เลย
อาจารย์เข้าใจศิษย์ทุกคนที่นี่ดี อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่มีรากภูมิธรรมที่ดี แต่จำเป็นจะต้องได้รับการส่งเสริมที่ดี ซึ่งอาจารย์หวังว่าฐันจู่ที่นี่จะลงแรงมากกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม (ได้)   อย่าขี้เกียจนะ มีความท้อประเภทหนึ่งที่ช่วยไม่ได้เลย และช่วยไม่ไหวด้วย คือความท้อที่เกิดจากความขี้เกียจ เป็นเรื่องที่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรใช่ไหม หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นลงแรงเต็มที่เต็มกำลังของตนเอง เรามีแรงเท่าไหร่เราก็ทำเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งที่ควรระวังมากในการดำเนินทางธรรม ทุกอย่างที่เราทำเพื่อผู้อื่น เพื่อความสบายใจของผู้อื่น ไม่เกี่ยวกรรมกับผู้อื่น เรียกว่า กุศล แต่หากว่าเราเกิดการยึดติดในกุศลนั้นๆ กุศลก็อาจกลายเป็นอกุศลในใจ
เมื่อไรที่กลายเป็นอกุศลในใจของเราแล้ว แม้งานที่ทำจะเป็นกุศล ก็กลายเป็นอกุศลเสียสิ้น ถามว่าผลตอบแทนของกุศลผลบุญนั้นมีไหม   มี ผลตอบแทนของบุญกุศลที่สร้างไปทุกเม็ดทุกหน่วยต้องมีตามนั้น แต่จะเกิดความอับจนทางด้านปัญญา จะเห็นว่าบางคนเป็นผู้มีวาสนาสูงส่งมาก ทั้งที่เขาก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไร พูดธรรมะอะไรก็ไม่ค่อยเป็น แต่เขากลับเป็นคนที่ดวงดีมาก อันนี้เป็นผลตอบแทนของกุศล แต่ผลตอบแทนของกุศลนั้นไม่กลายเป็นกุศลแท้จริง เรียกว่าก่อนมะม่วงจะสุกก็เน่าเสียก่อน แต่ถามว่ามีมะม่วงลูกนั้นอยู่ไหม (มี)  มะม่วงลูกนั้นมีอยู่แต่ไม่สามารถที่จะนำมากินได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อทำกุศลผลบุญใดๆ อย่าเกิดความโลภอยากจะทำมากๆ อยากจะทำให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะถ้าหากเกิดการยึดติด ในใจแล้วจะกลายเป็นอกุศลทันที ไม่สามารถที่จะไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้เลย
อาจารย์มาเพียงแค่นี้ดีไหม ใจลึกๆ นั้นอาจารย์อยากจะอยู่กับศิษย์อีกนานๆ แต่อาจารย์อยู่นานแล้ว เดี๋ยวตอนกลับบ้านศิษย์ก็จะห่วงบ้านอีก และอีกอย่างหนึ่งศิษย์ที่นี่หลายคนมาไกล เวลานี้อาจารย์มีความหนักใจในศิษย์แต่ละคน เปรียบไปแล้วเหมือนศิษย์ยืนอยู่ที่บันไดคนละก้าว วิสัยทัศน์ ความคิดความอ่านไม่เหมือนกัน ทำอย่างไรจะลดบันไดนี้ลงมาให้ศิษย์ยืนระนาบเดียวกันได้ ถ้าศิษย์ทำได้ ศิษย์จะรักคนทุกคน จะเห็นคนอื่นเหมือนกับที่เห็นตัวเอง ศิษย์จะมีความเมตตาไม่หมดสิ้นได้ ศิษย์ต้องเข้าใจคนอื่น แต่ความเมตตานั้นมีทั้งเข้มงวด มีทั้งผ่อนคลาย ศิษย์ต้องเลือกใช้ให้เป็น ฝากศิษย์ที่เป็นรุ่นพี่ให้ดูแลรุ่นน้อง งานธรรมะกว้างไกล คนที่ยังไม่เปิดปัญญานั้นมีอีกเยอะ แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่มี เพียงแต่รอวันและรอศิษย์ ศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ ศิษย์ดีกว่าอาจารย์เพราะว่าศิษย์มีร่างกาย มีกายเนื้อที่จะช่วยใครก็ได้ เพียงแต่ศิษย์ยังเลือกที่รักมักที่ชัง อาจารย์หวังว่าความเป็นโพธิสัตว์จะอยู่ในคำพูด อยู่ในความคิด และอยู่ในการกระทำของศิษย์ ลดอัตตาตัวเองให้มากๆ และเพิ่มความเมตตาให้มากๆ แล้วศิษย์จะรู้เลยว่าแม้จะอยู่ในโลกเหมือนๆ กัน แต่ฟ้าสว่างไม่เท่ากัน
มีเวลากลับมาสถานธรรมนะ ฟังธรรมะบ่อยๆ แล้วอย่าเบื่อ รักษาตัวให้ดีๆ ให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ลาก่อน



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท สุจริตธรรม

  รากแก้วดุจหัวใจของต้นไม้                 จิตใจดุจรากฐานในมนุษย์
ต้นบอบช้ำแต่รากดียอดแทงสุด              จิตใจสุจริตแล้วไม่อับจน
ความประพฤติเรียบง่ายไม่ซับซ้อน          วาจาใจไม่ซุกซ่อนคอยหวังผล
จิตสำนึกบ่งบอกความเป็นคน                ชอบฝึกฝนพาให้สู่ทางดี



                    พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัว)
กำลังใจแปลว่าอะไร กำลังใจแปลว่ากำลังที่มาจากใจ ถ้าใจเรามันไม่มีกำลัง กำลังใจก็ไม่มีจริงหรือเปล่า บำเพ็ญธรรมหลายปี ยิ่งหลายปีก็ยิ่งมีกำลังถูกไหม คนที่เดินประจำ ขาจะแข็งแรงใช่หรือเปล่า คนที่ไม่เดินประจำขาก็ไม่แข็งแรงถูกไหม เพราะฉะนั้นเวลาทำงานธรรมะ เหนื่อยก็เป็นธรรมดา ท้อก็มีได้ อาจารย์พูดอย่างนี้เพราะว่าบางทีศิษย์ท้อจริงๆ ไม่ได้ท้อกับงานธรรมะ แต่ท้อกับชีวิตทางโลกจริงไหม ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เราทำงานธรรมะได้อย่างที่เราต้องการ แต่งานธรรมนั้นมีอยู่สองเรื่อง มีอยู่สองคำ คือคำว่า งาน กับคำว่า ธรรม คำว่างานก็คือสิ่งที่ศิษย์นั้นให้แรง ใช้แรงทำตอนนี้ แต่คำว่า ธรรม มันอยู่ข้างในใจ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำให้คำว่า ธรรม มันมีรูป เมื่อไรที่ทำคำว่า ธรรม ให้มีรูป มันจะบำเพ็ญลำบาก แต่คำว่า กฎเกณฑ์ ก็มีความสำคัญคือทำให้ศิษย์อยู่กันได้ดี คำว่า กฎ  ย่อมเป็นสิ่งที่คนกำหนด เพราะฉะนั้นพยายามที่จะอะลุ่มอล่วยผ่อนปรนกัน
วันนี้คนที่นี่ทำงานอยู่ตรงนี่ส่วนใหญ่เป็นคนมาจากกรุงเทพฯ เป็นคนที่อยู่ส่วนกลางเป็นส่วนมาก เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องรู้ว่าตัวเองจะเหนื่อย เราก็ต้องมองไปไกลๆ เราเหนื่อยแล้วเรามีผลกระทบต่อเขาหรือเปล่า แน่นอนศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ทุกคน พอศิษย์เหนื่อยปุ๊บมีผลกระทบมากมายเป็นลูกคลื่น เพราะฉะนั้นเราอย่ามองว่าเราไม่สำคัญ ทุกคนสำคัญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ตรงนี้หลายคนเป็นแม่ครัว แต่แม่ครัวนี้ก็เป็นเจี่ยงซืออยู่หลายคน เจี่ยงซือมีหน้าที่บรรยายธรรมต้องไม่ลืม ความสามารถในการทำงานของเรามีพรั่งพร้อมอยู่แล้ว ทุกคนทำอาหารอร่อย ทำอาหารได้ดี แต่บรรยายธรรมก็ต้องบรรยายได้ดีด้วย ถ้าท้อใจเหนื่อยใจเวลาเราบำเพ็ญมากๆ อาจารย์แนะนำคนที่บำเพ็ญธรรมมานานๆ ขอให้ศิษย์ยิ่งท้อ ยิ่งฟังธรรมะ
มีสามอย่างที่ห้ามห่าง แต่ในนั้นอาจารย์อยากจะเน้นว่า อย่างหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือ ยิ่งท้อยิ่งต้องฟังธรรมะ เราต้องไม่อวดโอ้ หรือรู้สึกลำพองตนในความสามารถของเราที่มี เราต้องยิ่งฟังธรรมะให้มากๆ ถ้ามีคนรุ่นน้องเราที่เขาพูดธรรมะยังไม่เก่ง เราก็ฟังและให้กำลังใจเขาใช่หรือเปล่า ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเราต้องบรรยายธรรมเราก็ต้องทำให้ดีใช่ไหม แต่ก่อนที่เราจะขึ้นไปพูดให้ใครฟัง เราต้องตอบตัวเองก่อนว่าสภาวะจิตใจของเรามันไปถึงไหนแล้ว เพราะฉะนั้นกำลังใจนี่ กำลังจากใจ กำลังที่อยู่ข้างใน ทำอย่างไรให้กำลังที่อยู่ข้างในมันออกมาเป็นกำลังที่อยู่ข้างนอก ต้องไม่ตึงมากเกินไป ต้องไม่หย่อนมากเกินไป อาจารย์พูดกลางๆ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนไปปรับใช้กับชีวิตตนเอง อาจารย์เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลย อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคน และก็รักศิษย์ทุกคน ยิ่งบำเพ็ญนานก็ยิ่งน่าห่วง น่าห่วงนี่คือ หมดกำลังใจ ท้อใจ ถ้าท้อเพราะเหนื่อย เราก็ต้องพัก ถ้าท้อเพราะว่าเรารู้สึกว่าใจทางธรรมของเราตกลงไป เราต้องฟังธรรมะ ทำได้ไหม

(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
บำเพ็ญธรรมะต้องไม่ลืม เราจะมีความสุขได้เมื่อจิตใจของเรานั้นเบิกบาน เคยเห็นดอกไม้ไหม ตอนนี้เราเหมือนดอกไม้เหี่ยว หรือเหมือนดอกไม้บาน ตอนนี้เราเป็นดอกไม้เหี่ยวคอตก หรือเป็นดอกไม้บาน หรือดอกไม้ของเราเดี๋ยวเหี่ยว เดี๋ยวบาน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนบำเพ็ญแล้วมีโรคภัยเยอะแยะ ห่วงตัวเองไหม โรคเกิดที่กาย แต่วันนี้เราบำเพ็ญธรรม เราบำเพ็ญใจ ก่อนที่จะห่วงโรคทางกาย ช่วยดูโรคทางใจด้วยดีไหม โรคทางใจมีอาการหนักหนาสาหัสแล้ว ศิษย์มักจะยิ้มแต่ไม่มีความสุข มักจะหัวเราะแต่ว่าใจยังร้องไห้ ที่สำคัญอารมณ์ก็แปรปรวนเหมือนที่เขาบอกว่า อายุมากแล้วอารมณ์แปรปรวน จริงๆ ก็เริ่มแปรปรวนกันแล้วใช่หรือไม่ ยิ่งรู้จักใครมากๆ ยิ่งรู้ท่ารู้ทีรู้แกวเขาเยอะๆ ยิ่งแปรปรวนใหญ่เลยใช่หรือเปล่า
ในสังคมที่คนดีๆ อยู่ร่วมกัน อันได้แก่ศิษย์ทั้งหลาย ศิษย์เป็นคนดีมากศิษย์อยู่ร่วมกัน วันนี้เพียงแต่ส่งคนที่มีความไม่ดี เป็นคนที่มีทัศนคติบิดเบี้ยวเพียงนิดเดียวลงมา ศิษย์ก็จะป่วนกันไม่จบไม่สิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นเราเป็นคนดีจำนวนมาก เราต้องมีพลังเพื่อที่จะโอบอุ้มคนที่ปั่นป่วน เวลาเขาเดินเข้ามา ถูกต้องไหม เป็นฐานที่แข็งแรงหรือยัง พร้อมจะรับการโยกไหวหรือยัง พร้อมจะให้อาจารย์ร่อนตะแกรงหรือยัง ถ้าร่อนศิษย์จะร่วงก่อนเลยหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นมีแค่คนที่ปั่นป่วนเข้ามาเพียงคนเดียว เราก็แย่แล้ว แสดงว่าฐานของเรายังไม่มั่นคงใช่หรือเปล่า ฐานนี้เป็นฐานอะไร ฐานในจิตใจของตัวเอง อารมณ์ในจิตใจตัวเองและฐานในการที่เราจะจับมือคนรอบข้าง เราลองดูสิว่า คนรอบข้างเรา เราจับมือได้ทุกคนไหม เราจับมือร่วมมือกับเขาได้ทุกคนหรือเปล่า อย่ามีเรื่องค้างคาใจ อย่าอยู่กันอย่างคนที่รู้แกว ขอให้อยู่กันด้วยหัวใจอิสระ ทุกคนมีธรรมะ ทำงานธรรมะคือทำงานที่มันเป็นธรรมะที่อยู่ในหัวใจออกมาด้วยเข้าใจไหม ธรรมะอยู่ในใจเราทุกคนนะอย่าลืม

(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อายุหลายแล้วก็ต้องรีบบำเพ็ญธรรม ไม้ที่ใกล้ฝั่งก็ขอให้ไปใกล้ฝั่งนิพพานดีไหม (ดี)  ต้องทำงานธรรมะ ต้องบำเพ็ญธรรมทุกๆ วันทำได้ไหม (ได้)  

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา