วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

2549-11-11 สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี


西元二○○六年歲次丙戌九月二十一日     大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  หนทางที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่               ไม่อาจนำย้อนสู่ใจอันสว่าง
ความสว่างในโลกมีไม่เลือนลาง              ไม่อาจให้เส้นทางพ้นทุกข์ใด
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  ในชาตินี้โชคดีเกิดเป็นมนุษย์                อย่าได้หยุดการแสวงหามรรคผล
การเป็นทุกข์คือครูอันแยบยล                การอดทนทำให้สำเร็จสิ่งยากเย็น
ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง                  ต้องดูหน้าดูหลังให้ถี่ถ้วน
กระทำตนในสิ่งที่สมควร                      แม้กิเลสมายั่วยวนรู้อดใจ
ทำจิตใจให้สว่างด้วยฝึกฝน                   อย่าเป็นน้ำล้นแก้วฟังให้ตรง
จิตสว่างปัญญาจะมั่นคง                      สายทองส่งลงสู่โลกช่วยเวไนย
ใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า                          วันเวลาไม่อาจเรียกกลับได้
แต่อดีตบางเรื่องย่อมสอนใจ                  เลือกเก็บและเลือกทิ้งไปให้ผลดี
ปฏิบัติธรรมใช่เรื่องยากลำบากเกิน         การดำเนินทางธรรมต้องรู้ชัด
ทั้งธรรมชาติและการรู้จำกัด                 คนสันทัดไม่วายระวังใจ
ทั้งภายในภายนอกหนึ่งเดียวกัน              เมตตานั้นอยู่แห่งใดไม่ทุกข์เศร้า
ตนในตนต้องมาหมั่นขัดเกลา                 แม้ยังเยาว์ความเข้มแข็งมีพอกัน
รักษาความอ่อนไว้ได้คือเข้มแข็ง             หากคนแกร่งปัญหาย่อมลดลงเอง
ในที่นี้มีมากมายหลายคนเก่ง                 จงหัดเพ่งพิจารณาย้อนสู่ใน
ใช้เวลาสองวันประชุมธรรม                   ขอให้นำความตั้งใจความมุ่งมั่น
ฟังธรรมะด้วยจิตใจมีให้กัน                   อยู่ร่วมกันดั่งพี่น้องใช่อื่นไกล
ชีวิตนี้มีค่าหากบำเพ็ญจริง                    ท่ามกลางนิ่งให้สยบจิตเคลื่อนไหว
อันกังขามีอยู่มาสอบใจ                        ความเข้าใจเกิดจากฟังพอบรรเทา
ในชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย                หยุดเวียนว่ายไปด้วยบำเพ็ญเน้นปฏิบัติ
ทั้งการพูดการกระทำใจเคร่งครัด           เดินทางลัดอย่าได้กลัวขวากหนามใด
รักษาซึ่งระเบียบให้เรียบร้อย                คนไม่น้อยต่างควบคุมตนเองไว้
หลังจบชั้นยังศึกษาต่อต่อไป                  ยิ่งเข้าใจบำเพ็ญก็ง่ายทวี
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้              น้องคนดีจงตั้งใจอยู่ให้ครบ
คนเก่าและคนใหม่ร่วมบรรจบ               ใช้ธรรมะสงบร่วมเรือธรรม
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                                     ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  พฤติกรรมอาจเลียนแบบกันได้ง่าย       แต่เจตนาแท้ภายในไม่อาจโกหก
เพราะคาเรื่องผลประโยชน์คิดไม่ตก        อุบายรกความคิดทำร้ายตน

                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ชีวิตคนทุกวันถูกเคี่ยวกรำ                  คนฝึกธรรมใจเข้าหาแจ่มใส
หากเพียรมากไม่รู้เพื่ออะไร                   จิตเมามายหลายเชิงชั้นนิวรณ์[๑]
อย่าฉลาดแต่นำกันเทียวชีวิต                 คนทุกทิศร่วมปฏิบัติที่ซับซ้อน
วิถีเปลี่ยนนิดน้อยเพียงอุปสรรคอ่อน       แต่สังวร[๒]การประชิดเข้ายังมี
ฟ้าย่อมเห็นในจุดยืนประสงค์                 วิสัยส่งผิดเกิดแล้ว บ่ ยั่นหนี
สิ้นอัตตาที่เป็นเราคือเมธี                      ธรรมชาติที่มีสิ่งอยู่สิ่งไป
บำเพ็ญธรรมเช้าค่ำทุกที่ก้าว                 ผู้ไม่ติดยึดเราอภัยง่าย
คนที่ถือคนอื่นทรมานใจ                       ผู้เชื่อมั่นในสิ่งใดพิจารณา

รู้ใจตามทำและพูดประมาณ                 เลิกข่มกันจงรู้ทันปัญหา
ทำไมเอาใจตัวไม่อยู่นา                        เหลิงวิชาอวิชชาทาสเป็นนายตัว
                                                                                        ฮา  ฮา   หยุด



    เป็นทุกข์เป็นร้อนแค่ไหน ก่อนอื่นเลิกไปจ้องมองที่คน การเห็นเรื่องราวกับตา นำความทุกข์มาหน้าตาว่าทน เดินตกไปเหวใจไร้ก้น ยังหนักใจถึงทำหน้าย่น ตรองแต่ส่วนตนวกวนหัวไม่ไป การเดินทางของชีวิตง่าย อาจลุ่มหลงเรื่องใดได้ง่าย อย่าคิดแต่ไกลใกล้ใกล้ก็ควรทบทวน
    จิตใจถูกรมปัญหา ยิ่งหยิบยกมายิ่งพาจะผวน โลกยังแข่งขันคึกคัก ปัญญาทักทายช่วยได้ดังควร ลงแรงเองหรือต้องชักชวน ใจที่จวนสิ้นแรงจนถ้วน กิเลสฉนวนลดละไม่หลงตา จงเตรียมใจรับวันข้างหน้า ยากเท่าไรไม่ยอมสิ้นท่า หากทุกข์ผ่านมา ผ่านทุกข์เบื้องหน้ามองใจ


ชื่อเพลง : มองใจผ่านทุกข์
ทำนองเพลง : นัดพบที่หน้าอำเภอ
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
มีท่านในที่นี้มองเราด้วยสายตาแปลกๆ นะ เราต่างจากมนุษย์ทั่วไปไหม (ไม่)  ก็ไม่ต่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อะไรที่ทำให้มนุษย์ทั่วไปกลายเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่จิตใจธรรมดาดวงนี้หรอกหรือ แต่ทำอย่างไรให้ใจดวงนี้กลายเป็นคนที่น่านับถือน่าเคารพ เราลองยกตัวอย่างนิทานง่ายๆ ให้ท่านฟังเอาไหม (เอา)  จะเรียกว่านิทานหรือเรื่องจริงก็ได้นะ มีชายคนหนึ่งถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม เขาอยากจะจัดงานเลี้ยงวันเกิด เป็นอันรู้ว่าคนที่เขารักที่สุดและสนิทที่สุดต้องชวนไหม (ชวน)  โดยเฉพาะเพื่อนที่รักที่สุด ที่สนิทที่สุดต้องชวนคนแรกแน่นอนถูกหรือไม่ (ถูก)  ส่วนคนที่สนิทน้อยหน่อยก็ชวนด้วยเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  บังเอิญว่างานวันเกิดนี้ เพื่อนที่รักที่สุดและสนิทที่สุดเป็นที่หนึ่งในใจ เขากลับไม่มา พอเขามาถึงงานแล้วเพื่อนที่สนิทน้อยก็พยายามถามว่า เพื่อนสนิทเธอไม่มาด้วยหรือ ไหนว่ารักมากที่สุด วันสำคัญของเธอทำไมไม่มา ใช้ไม่ได้เลย แย่จริงๆจนกระทั่งจบงานไป เพื่อนที่รักที่สุดสนิทที่สุดก็ไม่มา เขาต้องพยายามตอบคำถามคนที่ถามว่า เพื่อนที่รักที่สุดสนิทที่สุดทำไมไม่มาเขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเขาก็ไม่รู้ ได้แต่ยิ้ม หลังวันเกิดผ่านไปแล้ว เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้โทรศัพท์มาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ผลสุดท้ายจนแล้วจนรอด ตัวเขาเองต้องเป็นคนที่โทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนนี้ และคำแรกที่หลุดจากปากเขา ท่านคิดว่าเขาจะต่อว่าเพื่อนไหม ถ้าตามนิสัยของเรา เราจะต่อว่าเพื่อนไหม (ต่อว่า)  แต่ชายคนนี้กลับไม่พูดต่อว่า กลับถามว่า เธอเป็นอะไรหรือ ไม่สบายหรือเปล่า หรือทางบ้านมีปัญหาอะไรถึงมาไม่ได้เพื่อนคนที่ไม่ได้มางานวันเกิดรู้สึกอย่างไร จะรักเพื่อนคนนี้ยิ่งขึ้นไหม (รัก)  ถ้าเกิดเขาไม่ได้อยากมา และจริงๆ แล้วก็ไม่ได้รักเพื่อนคนนี้ ก็จะเปลี่ยนใจเป็นเริ่มรักเพื่อนคนนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบางคนเรานับเขาเป็นเพื่อน แต่เขาไม่ได้ให้ความเป็นเพื่อนตอบ แต่คนนี้ก็ยังคงให้ความเป็นเพื่อนสม่ำเสมอ แม้ตอนนั้นเพื่อนเขากำลังปฏิบัติไม่ดีตอบเขา แต่สิ่งที่เขาให้คือการดีด้วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนคนนั้นจะรักตอบกลับไหม (รักตอบ)  เขากลับพูดว่า ขอโทษ วันนั้นไม่สบายจริงๆ ไปไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยถ้าเขารักอยู่แล้วเขาจะรักเพื่อนคนนี้ยิ่งขึ้นไหม (รักยิ่งขึ้น)  นี่แหละดวงจิตดวงใจเล็กๆ น้อยๆ การคบกับใครสักคน หรือการจะเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม ถ้าคิดถึงกำไร ขาดทุน หรือคิดว่าทำไมฉันต้องเสียเปรียบตลอด คนนั้นไม่มีวันเป็นคนดีที่แท้จริงได้ และคนนี้จะไม่มีวันมีเพื่อนแท้เลยในโลกแม้หนึ่งคนจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความเป็นพุทธะ หรือดวงจิตดวงใจที่ดีงามของท่านกับของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือของคนดีคนหนึ่งในสังคมแตกต่างจากเราไหม (ไม่)  แล้วเราจะไม่มีความคิดตรงนี้หรือ มีแต่ว่าเราขุดค้นแล้วหาเจอไหม ฉะนั้นความเป็นพุทธะ หรือความเป็นคนดีที่แท้จริง มีอยู่ในใจของทุกๆ คน แต่อยู่ที่ว่าเราจะมีดวงตาเห็นธรรมในจิตใจเราไหม
ใช่ไหม (ใช่)  เราจะมีดวงตาขุดค้นความดีที่เราคิดว่าเราไม่เคยคิดจะมี แต่เราก็มีได้ ได้ไหม (ได้)  แค่นิดเดียวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
คนรวย มนุษย์คิดว่า รวยแล้วจะมีความสุข จริงไหม (จริง)  มนุษย์ยังคิดว่า การรวยคือ การได้มาซึ่งความสุขที่เราต้องการทุกๆ อย่าง  ท่านเคยได้ยินสำนวนไทยที่พูดว่า มีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหวไหม แล้วคนที่มีทองเป็นร้อยๆ ล้านหรือเงินเป็นร้อยๆ ล้านเขาจะมีสุขหรือ เคยสังเกตไหมว่า คนที่จนพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย วันนี้ไม่มีอะไรจะสุขเท่ากับนอนบนหมอนใบนี้  ส่วนคนที่มีเงินมากๆ หัวถึงหมอนหลับไหม (ไม่หลับ)  เราถามหน่อยว่า ความสุขที่เราคิดว่ามันจะมีได้ คิดว่ารวยแล้วจะมีสุขเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ต้องถามคนที่มีจริงๆ เขาจะรู้  ฉะนั้นอย่าคิดว่า ความสุขที่เราคิดว่า เป็นรูปเป็นร่างจะเป็นความสุข ไม่ใช่หรอก สุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจเราต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรับเปลี่ยนให้ดี ปรับมุมองศาให้ได้ ไม่ว่าจะเผชิญอย่างไร เราก็มีสุขได้ ถูกไหม (ถูก) และอะไรที่ทำให้มนุษย์เสียดุลอีก
ในฉลาดก็มีความซื่อ ในความแข็งก็ต้องมีความอ่อน เพิ่งจะพูดกันไปไม่ใช่หรือว่าจะต้องมีสมดุลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะยึดอย่างเดียวแล้วไม่ยึดอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะในโลกสองอย่างนี้มีคุณค่าด้านกลับเสมอ เราต้องมองให้เห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  และอีกอย่างหนึ่งคือ ในฉลาดก็ต้องมีซื่อ ในแข็งแกร่งก็ต้องมีอ่อนน้อม ถ้าอย่างนั้นในร้ายก็ต้องมีดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไว้สำหรับมองคนอื่นนะ แต่ไม่ใช่เพื่อเอามาอ้างแล้วอภัยตัวเอง ฉันร้ายอย่างไรฉันก็ยังมีดีอยู่นะแบบนี้เลยไม่ยอมแก้ไขตัวเอง เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ในร้ายก็ต้องมีดี ใช้สำหรับในการให้อภัยคนอื่น แต่ไม่ใช่ให้อภัยแล้วไม่ยอมแก้ไขสิ่งที่ตัวเองมี แต่คำว่าในร้ายก็ต้องมีดี ยังใช้ได้อีกกรณีหนึ่งก็คือ ในบางครั้งคนดีมักจะชอบเป็นคนที่ให้ พอให้บ่อยๆ จะทำให้คนรอบข้าง (เคยตัว)  เขาพูดได้ถูกนะ ลูกที่ถูกตามใจมากๆ จะกลายเป็นคนที่เสียคน และไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ เพราะถูกพ่อแม่ประคบประหงมจนเคยชิน คนที่ตามใจตัวเองบ่อยจะเป็นคนที่ไม่สู้ชีวิต แต่จะเป็นคนที่กลายเป็นทาสของชีวิตและกิเลสตัณหาจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกบางครั้งต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ และบางครั้งก็ต้องยอมรับที่จะเป็นผู้รับ เพื่อให้คนอื่นเขามีคุณค่าในการยื่นให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปันส่วนเวลาของตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเพื่อผู้อื่นอย่างคนที่คิดมีธรรมแล้วคิดเห็นทำการเพื่อผู้อื่นนั้น ก็จะเป็นการปูทางไปสู่หนทางอันงดงามหรือเรียกว่าแดนนิรพาน[๓]ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)


 ความพยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ

ถ้าเป็นเรื่องของเพื่อนอีกคนหนึ่งล่ะ ยืมเงินท่านมาสิบหนแล้ว ไม่เคยคืนสักหน ทุกครั้งที่มายืมก็บอกว่าเดือดร้อนๆ คราวนี้มายืมเป็นหนที่สิบเอ็ด ท่านจะให้หรือไม่ให้ ถ้าอย่างนั้นมาดูไหมว่าชายคนนี้ตัดสินใจให้หรือไม่ให้ เขาตัดสินใจ ให้ แล้วพูดอย่างไรว่าการให้ครั้งนี้จะทำให้เขารู้สึก ถ้าท่านไม่ให้ท่านก็จะไม่มีวันสอนคนผิดให้ได้รู้ดีถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าท่านให้แล้วรู้จักให้เป็น ท่านจะสามารถเปลี่ยนคนไม่ดีให้รู้จักสำนึกดีได้ เขาบอกว่า นายยืมฉันไปสิบหน ทั้งสิบหนไม่คืน ฉันไม่เคยว่า แต่ครั้งนี้ขอเป็นครั้งสุดท้ายนะ เพราะฉันเชื่อมั่นในตัวนาย ว่านายเดือดร้อนจริงๆ ถึงแม้ว่าครั้งนี้นายจะโกหกฉัน ฉันก็ไม่ว่า แต่ฉันให้ความซื่อตรงกับนาย แต่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วคนที่รับไปรู้สึกอย่างไร (ละอาย)  ละอายใจใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็รู้สึกสะท้อนใจจริงๆ ว่าเพื่อนก็รู้นะไม่ใช่ถูกปิดหูปิดตา ไม่ใช่เป็นคนโง่ให้เราหลอกตั้งสิบหน แต่เขารู้อยู่แก่ใจทั้งสิบหน แล้วหนที่สิบเอ็ดก็ยังเชื่อใจอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในการทำดีและในการเปลี่ยนแปลงคน ทุกขณะจิตเราสามารถที่จะเอาเขามาสอนเรา และเอาเราสอนเขาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการกระทำดีกว่าคำพูดถูกไหม (ถูก)  พูดให้เพื่อนฟังว่า เธอดีสักทีสิเขาจะดีไหม ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  สู้เอาการกระทำสะท้อนสะเทือนใจดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  นิทานสองเรื่องนี้พอฟังได้ไหม อย่างนั้นอยากฟังหัวข้อศึกษาธรรมหรือฟังเราพูดดี (ฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)  ท่านกำลังพูดให้คนที่จะพูดหัวข้อศึกษาธรรมต่อไปน้อยใจไม่อยากพูด ถูกไหม  มนุษย์เราถ้าเกิดทุกขณะจิตคิดถึงอกเขาอกเราอยู่เสมอ แม้สักน้อยหนึ่งคำพูดท่าน ก็จะไม่ทำให้ใครเจ็บใจเลยถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคิดสักนิดนะ เราควรพูดว่า ท่านพูดก็ดีเขาพูดก็ดีใช่หรือไม่(ใช่)  แต่ทำไมเมื่อสักครู่ไม่คิดล่ะ เพราะเราไม่ได้อยู่บอกท่านตลอดเวลา ท่านต้องมีสติตรึกตรองเรื่องราวในชีวิตให้ถ่องแท้ด้วยตัวเอง ดังคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เรามีสุข แล้วเราดีใจในความสุข บางทีต้องคิดถึงคนที่ทุกข์บ้าง เราจะได้ไม่เหลิงตัวเอง เมื่อไรที่เราประสบผลสำเร็จ และเราดีใจเที่ยวป่าวประกาศ อย่าลืมนะว่าช่วงที่เรากำลังป่าวประกาศ ว่าเรากำลังประสบผลสำเร็จ เราอาจจะทำร้ายใจใครที่ยังไม่สำเร็จก็ได้ใช่ไหม เมื่อเราดีใจก็ให้นึกถึงคนที่ต่ำกว่า ช่วงที่เราเสียใจก็อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่สูงกว่า จะได้เป็นตัวหักล้างและดึงกันไม่ทำให้เรานั้นหลงระเริงหรือทุกข์จนย่ำแย่ เรื่องนี้ท่านรู้ไหม ไม่ยากหรอกทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่า ในท่ามกลางเราดำรงชีวิตอยู่นี้มีคนที่เหนือกว่าและมีคนที่ต่ำกว่า แต่เราต้องมีสติดึงตัวเองให้ตลอดเวลา  เราถามท่าน เราตัวสูงที่สุดไหม (ไม่)  เราเตี้ยที่สุดไม่ (ไม่)  เพราะอะไรจึงบอกว่าไม่ใช่  ต้องมีคนที่สูงกว่าเราและมีคนที่ต่ำกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่คิดอย่างนี้เสมอๆ เพื่อไม่ให้ดูเบาตัวเองและไม่ให้หลงตัวเอง
พฤติกรรมอาจเลียนแบบกันได้ง่าย
แต่เจตนาแท้ภายในไม่อาจโกหก
เพราะคาเรื่องผลประโยชน์คิดไม่ตก
อุบายรกความคิดทำร้ายตน
ฉะนั้นถ้าอยู่ร่วมกันอย่าคิดถึงกำไรขาดทุน ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนที่แล้งน้ำใจ เสียเปรียบสักเล็กน้อยแต่บางทีอาจจะได้น้ำใจเพื่อนกลับมาก็เป็นได้ และคุณค่าน้ำใจเพื่อนบางทีตีเป็นราคาไม่ได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมเสียเปรียบวันนี้ดีกว่าต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ตอนนี้เรากำลังศึกษาหลักธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษาหลักธรรมต้องยืมร่างกายปลอมเพื่อบำเพ็ญตัวจริงแท้ วันนี้เราก็มาขอยืมของปลอมอันนี้เพื่อค้นหาความจริงแท้ ในตัวเราหรือในตัวท่าน (ในตัวเรา)  แต่เคยได้ยินไหมว่า ของตัวเราอาจจะสะท้อนให้เห็นของตัวท่านได้  เคยเห็นไหมว่า ฟ้าสว่างๆ ใจเราก็พลอยรู้สึกสดชื่นแจ่มใส แต่พอฟ้ามืดครื้มอึมครึม ใจเราก็รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่  ฉะนั้นความจริงแท้ในตัวเราก็สามารถส่องสะท้อนความจริงแท้ในตัวคนอื่นได้เหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาอึมครึมเหมือนกับเวลาอะไร ทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกอึมครึมและหดหู่ด้วย (อารมณ์เศร้า,โกรธ,เกลียด, เครียด,แค้น)  แล้วตอนนี้อยู่ร่วมกันแล้วรู้สึกอึมครึมไหม เราเข้ามาในห้องนี้รู้สึกว่า บรรยากาศอึมครึมมากเลย  เพราะใจท่านตอนนี้มีทั้งเกลียด ทั้งแค้น ทั้งเศร้า ใช่หรือไม่ รู้สึกได้เลยว่าเข้ามาในห้องนี้อึมครึม มาก ถ้าเกิดว่า ภายในใจท่านมีความสดชื่น รู้สึกยินดี ปรีดา คนเข้ามาในห้องก็จะรู้สึกสดชื่น ถูกไหม (ถูก)  ในห้องนี้บรรยากาศจะเกิดได้ ไม่ใช่เกิดจากใจของใครดวงใดดวงหนึ่ง แต่เป็นการรวมของทุกๆ ใจ  และใจหนึ่งจะมีผลต่ออีกใจหนึ่งได้ ก็ต่อเมื่อ ใจนั้นรุนแรงและมีค่าสง่างาม แต่ตอนนี้รู้สึกว่า ใจอึมครึมจะชนะใจสดชื่น  ฉะนั้นใครดึงเราก็ไม่เท่ากับตัวเรานั้นดึงตัวเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปลี่ยนใจให้เป็นท้องฟ้าปลอดโปร่ง ได้ไหม (ได้)  ทำไมเศร้าหมองอะไรนักหนา เราเคยได้ยินเซียนน้อยบอกว่า ถ้าเกิดพูดธรรมะให้กับมารให้กับปีศาจ มารกับปีศาจจะยิ่งหงอลงแย่ลง ถ้าพูดให้กับพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอฟังธรรมแล้วก็ยิ่งเบิกบาน แจ่มใส วันนี้อะไรอยู่ในตัวเอาออกจะดีไหม สดชื่นแจ่มใสดีกว่าไหม (ดี)  ยังมีคนยิ้มไม่ออกอีกนะ  อย่ากลับไปห่อเหี่ยวเหมือนเดิม
มาถึงที่นี่แล้วรู้ไหมห้องพระที่นี่ชื่อว่า (ฉงเต๋อ)  มาทำอะไรรู้ไหม (มารับธรรม)  มารับธรรมหรือ มาทำอะไรบางทีก็ยังไม่รู้แต่ถูกหัวหน้าบังคับให้มา ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถูกใครบังคับให้มาหรือเปล่า ถ้ามาด้วยความยินดีปรีดาใบหน้าก็คงยิ้มแย้มกว่านี้
เป็นทุกข์เป็นร้อนแค่ไหน
มาฟังด้วยความเป็นทุกข์เป็นร้อนไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่าเมื่อยหรือยัง)  (ยัง) ท่านตอบว่ายังเราก็ยังไม่ให้นั่ง ถ้าเราเผลอลืมถามขึ้นมาก็อย่าว่ากันนะ  เมื่อยหรือยัง การเมื่อยอาจไม่จำเป็นจะต้องนั่งเก้าอี้ก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  การจะเข้าใจสิ่งใดให้ถูกต้อง ต้องถามเขาให้ชัดเจนอย่าเดาส่งๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)   เดี๋ยวกลายเป็นสิ่งที่ให้เขาไป เขากลับไม่อยากได้ แล้วก็ไม่ต้องการ แถมรำคาญอีก ใช่ไหม (ใช่)   เราต้องถามให้ชัดเจนเมื่อยอยากนั่งไหม (อยาก)  เสียงเบาแปลว่ายังไม่ต้องการมาก ถูกหรือไม่ (ถูก)   แล้วเสียงก็ยังไม่เด็ดขาดแปลว่าความต้องการยังแค่เล็กน้อย ถ้าบอกว่าอยากแล้วเต็มที่เต็มเสียงแปลว่าถึงที่สุดแล้ว  อยากนั่งหรือยัง (อยาก)  โดนเราหยอกเย้านิดหน่อยเองนะ ถ้าโดนหยอกเย้านิดหน่อยไม่พอใจแล้วอย่างนี้จะอดทนอะไรได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   เกิดเป็นคนขาดไม่ได้ซึ่งความอดทนอดกลั้น โดนแหย่นิดแหย่หน่อย ทนไม่ได้แล้วหรือ
ระหว่างคนดีกับคนไม่ดีท่านชอบคนประเภทไหนมากกว่ากัน (คนดี)  แล้วคนที่อยู่รอบข้างเราดีหรือไม่ดี มนุษย์มักพูดอะไรไม่ตรงตามความเป็นจริงจากหัวใจ ถูกไหม (ถูก)   คนไม่ดีทุกท่านไม่ชอบ แต่คนดีทุกท่านชอบ แต่ไม่ชิดใกล้ ใครยิ่งดีกับเรามากๆ บางทีเรากลับรำคาญ น่าเบื่อ เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  เพราะถ้าท่านชอบคนดีจริงๆ แปลว่าสังคมปัจจุบันที่ท่านอยู่ต้องมีแต่คนดี ถูกไหม (ถูก)  แต่กลายเป็นว่าสังคมปัจจุบันที่เราอยู่ หรือในหมู่เพื่อนที่ใกล้ชิดเรา มีทั้งดีน้อยดีกลางและก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ดีมากๆ ไม่ค่อยมี  ทำไมเราจึงบอกเช่นนี้ ถ้าเราถามว่าคนๆ หนึ่งมีความดี 99% แต่ไม่ดีอยู่ 1% ท่านยังจะคบไหมและจะว่าเขาไหม จะบ่นไหม กับอีกคนประเภทหนึ่ง 99.99% ไม่ดีเลยแต่ดีอยู่แค่ 0.01% คบไหม ทำไมเราชอบถามอะไรที่ตอบยากหรือลองใจท่านเหลือเกิน โดยส่วนใหญ่ เพื่อนเราอะไรๆ ก็ดีหมดพอมีข้อเสียสักหนึ่งอย่าง เราบ่นแล้วบ่นอีกรำคาญแล้วรำคาญอีก ถูกไหม (ถูก)  ลูก ภรรยาเรา อะไรๆ ก็ดีหมดแต่เสียอย่างเดียวแก้ไม่ได้สักที แล้วพอมาเจอทีไรเราก็หงุดหงิดรำคาญใจ แต่อีกคนประเภทหนึ่งเสียเกือบหมด แต่ดีอยู่แค่นิดเดียวเรากลับคบได้นานกว่า ใช่ไหม (ใช่)  เราอยากบอกท่านว่าคนในโลกนี้ทุกๆ คนไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่ทองคำที่ท่านว่าสวยและเอามาใส่ยังมีความเป็นทองแค่ 99% ใช่ไหม (ใช่)  เสื้อผ้าบอกว่าคอตตอน 100% “ฉันจะใส่แต่คอตตอน 100%” ถามจริงๆ ใน 100% จะไม่มีส่วนอื่นผสมเลยเป็นไปได้ไหม อะไรที่เพียวๆ บริสุทธิ์บางครั้งมนุษย์เรากลับไม่ชอบรับไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถามคนขาย น้ำส้มคั้นสดๆ แท้ไหม” “แท้ แต่พอดื่มไปแล้วไม่หวานก็บ่นเขาอย่างกับอะไรดี แต่ถ้าหวานก็บ่นเขาว่า ใส่น้ำตาลแน่นอน ถูกไหม (ถูก)  ทำไมเราจึงพูดอย่างนี้เพราะเราต้องการบอกท่านว่าจริงๆ แล้วใครที่อยู่กับตัวเราแล้วสามารถดำรงตนได้อย่างเหมาะสมและไม่ทำให้ท่านรำคาญใจ หาได้ง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ไม่มีหรอก ดีเกินไปก็กลายเป็นเรารู้สึกแย่ แต่พอเขาแย่เกินไป เราก็รู้สึกดี เพราะรู้สึกเราเป็นคนดีเขาไม่ดีเลย จริงไหม (จริง)  กลายเป็นว่าทั้งที่ความดีน่าจะชิดใกล้ ความชั่วน่าจะไกลห่าง แต่มนุษย์ปัจจุบันกลับกลายเป็นความดีไกลห่างแต่ความชั่วชิดใกล้  เราต้องการบอกท่านว่าในโลกนี้แม้เขาจะดีทุกอย่างแต่เสียอย่างหนึ่งก็จงยอมรับให้ได้ และในด้านกลับกัน แม้เขาจะเสียหมดทุกอย่างและมีดีแค่หนึ่งอย่างเราก็ต้องรู้จักเคารพในหนึ่งที่ดีนี้ของเขา ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาเห็นธรรมและมองเข้าใจชีวิตอย่างทะลุปรุโปร่ง เราต้องอยู่ระหว่างสังคมที่มีทั้งคนไม่ดีและคนดี ถ้าท่านไม่รักษาดุลยภาพในการดำรงให้ถูกต้องก็ง่ายที่จะไม่เที่ยง ถูกไหม เมื่อเราไม่เที่ยงแล้วการมองอะไรจะแจ่มชัดไหม (ไม่แจ่มชัด) เมื่อใจเราบิดเบี้ยวแล้วการฟังอะไรจะชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน)  แล้วใจเราจะตัดสินอะไรว่าจริงเท็จถูกต้องได้อย่างไร ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงต้องรักษาดุลยภาพของความเป็นคนให้ดี อะไรที่ทำให้เราเสียดุลที่สุด  (ความรัก)  ความรักทำให้เสียดุลไหม เสียดุลการค้าเพราะต้องจ่ายไปหลายบาทถึงจะได้รักมาหรือเปล่า หรือเสียดุลตรงที่มีตาแต่ก็เหมือนคนตาบอด มีอะไรอีก (ความอิจฉา)  ถ้าต่อไปมีคนได้ดีเกินหน้าจะอิจฉาไหม (ไม่อิจฉา)  น่าจะยินดีกับเขาถูกไหม (ถูก)
(ให้นึกคิดก่อนทำ,ความโมโห,ความเบื่อหน่าย,สมาธิไม่ค่อยดี,ความง่วง)  ความง่วงก็เป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญธรรมได้ ความเกียจคร้านและความเบื่อหน่ายก็เป็นอุปสรรคในการศึกษาธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือความเกลียด ความง่วง ความเบื่อหน่ายก็เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้คนที่อยู่ตรงหน้าด้วย ทำให้มองคนตรงหน้า ตามองไม่ค่อยชัด หูก็ไม่อยากจะฟังทั้งที่ได้ยินเสียง  มีคำกล่าวว่า มนุษย์ต่างจากพุทธะตรงไหน มนุษย์เห็นมุมหนึ่ง แต่ไม่เห็นอีกมุมหนึ่ง  แต่พุทธะเห็นมุมหนึ่งแล้วสามารถมองทะลุไปทั้งสิบมุมได้
เพราะฉะนั้นวันนี้การที่เราจะสามารถอยู่บนโลกแล้วไม่เสียดุล ไม่ใช่เสียดุลการค้า เสียดุลเรื่องเงิน  แต่ไม่เสียดุลในการเรียนรู้ชีวิตอย่างแท้จริง  เราจะต้องรู้จักมองคุณค่าของด้านตรงข้าม คุณค่าของด้านกลับของทุกๆ สิ่ง มนุษย์เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ เพราะไม่เคยรู้จักทุกข์อย่างแท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เรารู้ทำอย่างไรจึงมีสุข แต่เคยเอาชนะทุกข์ได้หรือไม่  แล้วท่านก็รู้อย่างหนึ่งว่า ถ้ามนุษย์เราเอาชนะทุกข์ได้แล้ว สุขก็ไม่ไปไหนหรอก ทุกวันนี้ที่เราเรียกว่า สุข แท้จริงคือ ทุกข์น้อยต่างหาก  ตามประสาของคนศึกษาธรรมจริงๆ แล้วไม่มีสุขในโลก  แต่สุขที่มนุษย์เข้าใจกันในโลกก็คือ ความทุกข์ที่มีน้อยต่างหาก  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจทุกข์และยอมรับทุกข์อย่างเต็มตัว และเผชิญทุกข์ด้วยการที่มีสติ ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ความสุขกลายเป็นเรื่องยากไปเสียอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเอาชนะทุกข์ได้ ความสุขก็เป็นเรื่องง่าย พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า หากมนุษย์เรามีความสงบอย่างแท้จริงแม้มีความทุกข์ที่เลวร้ายที่สุด แล้วจะพบความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก  พบทุกข์ที่แย่ที่สุดเราสามารถมองเห็นความสุขได้ไหม อย่าลืมว่า ที่สุดของทุกข์คือ สุข ที่สุดของสุขคือ ทุกข์  ฉะนั้นถ้าทุกวันเราเอาชนะทุกข์ได้ บั้นปลายชีวิตของเราก็คือ ความสุข  แต่ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ได้ บั้นปลายของเราก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ อย่าลืมว่า ความสุขที่มนุษย์คิดว่าเป็นความสุขนั้น มีอะไรบ้าง เช่น
เรื่องที่เราจะบอกต่อ นั่นก็คือการคิดถึงคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง หรือการคิดตัวเองมากเกินกว่าที่จะคิดถึงคนอื่นใช่ไหม (ใช่)  ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี คอยเอาไปเปรียบเทียบกับคนโน้น เราเลยรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีความสุข สิ่งที่มีอยู่นั้นไร้คุณค่าถูกไหมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคิดถึงคนอื่นมากเกินไปจนตัวเองด้อยค่า ก็ต้องหัดคิดถึงตัวเองบ้าง ถ้าคิดถึงตัวเองจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแล้วไม่เห็นคุณค่าของคนอื่นก็ต้องรู้จักคิดถึงผู้อื่นบ้างถูกไหม (ถูก)
ระหว่างเป็นคนฉลาดในโลกกับเป็นคนซื่อๆ ในโลกชอบเป็นคนแบบไหน (ฉลาดแล้วต้องซื่อสัตย์ด้วย)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ ตอบได้ดี คนส่วนใหญ่ในโลกสอนให้เรารู้ว่า ต้องฉลาด ต้องแข็งแกร่ง และต้องมั่งมี ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราดำเนินในชีวิต เคยเห็นไหมฉลาดมากๆ คนก็ไม่ไว้ใจ คิดว่าเราเจ้าเล่ห์เอาเปรียบใช่หรือไม่ (ใช่)  แข็งแกร่งมากๆ คนก็ว่าดื้อดึงดันทุรังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราจะบอกท่านว่า
การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้หากทุกอย่างเอาอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก มองแต่อารมณ์ แต่ไม่คำนึงถึงเหตุผล อารมณ์ก็จะทำให้เราเสียผู้เสียคนใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท มองใจผ่านทุกข์)
หน้าตาแบบนี้ให้เพลงอะไรดี เอาแบบกลางๆ แล้วร้องได้ทุกคนดีกว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจไม่ถูกใจคนทั้งหมดแต่อย่างน้อยๆ ก็ร้องได้เกือบทุกคน อยากรู้ไหมทำนองเพลงอะไร (อยากรู้) รู้ก่อนก็ได้ เพราะรู้สึกว่าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่แล้ว ทำนองเพลง นัดพบที่หน้าอำเภอ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเรียนช่วยนำร้องเพลง)
อย่างน้อยก็มีความกล้าในเรื่องที่ถูกต้องใช่หรือไม่ แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ ความกล้านั้นก็ต้องถอยออกมานะ  ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าฝืนทำให้คนอื่นเขาลำบากใจใช่ไหม นี่แหละคนในโลกปัจจุบันนี้บางทีก็ยากตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ได้แล้วไม่ยอมบอกว่าไม่ได้ แต่ยังดันทุรังว่าตนเองทำได้ ก็ทำให้สังคมต้องเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
เราก็มาด้วยเวลาอันควรมากพอสมควร หากจะรักษาสมดุลของคนในโลกต้องรู้จักไปบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนในโลกมีเวลามาก็ต้องมีเวลาไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีเวลาอยู่ก็ต้องมีเวลาจาก  ฉะนั้นเราอยากจากแล้วให้เขาระลึกถึงอยู่เสมอ ตอนอยู่จงเห็นเขาเป็นเหมือนพระเจ้า ทำแต่สิ่งดีๆ ไว้ ตอนจากคนเขาจะได้ระลึกถึง และอาลัยรักใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการคิดถึงแต่ตัวเองจนลืมมองถึงผู้อื่น อย่ามัวแต่หวังผลประโยชน์ส่วนตนจนลืมคิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม คุณค่าของคนในสังคมมิใช่เกิดมาเพียงเพื่อทำแต่ตัวเอง แต่ยังต้องรู้จักแบ่งสรร
เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างคนที่รู้จักสิ้นกิเลสเป็น สิ้นความอยากเป็น ในหนึ่งวันรู้จักอยากได้ก็ต้องรู้จักหยุดอยากเป็น แล้วความอยากนั้นจะไม่ทำร้ายเรา รู้จักโกรธได้ก็ต้องหยุดโกรธเป็น แล้วความโกรธของเราก็จะไม่ไปทำร้ายใคร ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มที่ตัวเรา แล้วเอาความดีนั้นไปสะท้อนสะเทือนผู้อื่น อย่าลืมนะว่า แม้จะทำดีมาเต็มที่แต่พอผิดพลาดครั้งหนึ่งคนก็ไม่ค่อยให้อภัย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจอคนที่ทำไม่ดีจงอภัยเขามากๆ เผื่อผลของการอภัยนั้นมันจะสะท้อนกลับมาเมื่อเราทำผิดดีไหม (ดี) เมื่อไรที่ถูกเขาโกง เขาต่อว่า ให้อภัยเขามากๆ เผื่อว่าผลของการให้อภัยที่ถูกโกงนั้นจะไม่กลับมาทำให้เราต้องรับเวรรับกรรม ขอให้คิดให้ได้นะ ถ้าทุกท่านรู้จักสำนึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ เราก็คงจะไม่คิดโกรธใครที่ทำไม่ดีกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่ ) แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดว่าตัวเองดีแล้วก็เป็นอันง่ายที่จะโกรธใคร เวลาที่เขาทำไม่ดีกับเรา ถูกหรือเปล่า (ถูก) ฉะนั้นคนในโลกไม่มีใครที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในร้อยก็ยังมีผิดหนึ่ง ในผิดทั้งร้อยก็ยังมีถูกหนึ่งเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เราก็มาศึกษาธรรมกับท่านเพียงแค่นี้ อย่าคิดว่ามาเล่นละครตบตาเลยนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากี่ทีก็จะพูดประโยคนี้อยู่ร่ำไป แต่ก็ล้างความกังขาของมนุษย์ไม่เคยหมดสิ้นได้สักทีถูกไหม (ถูก) วันนี้เชื่อ พรุ่งนี้ไม่มั่นใจ วันนี้อยากเป็นคนดี พรุ่งนี้เริ่มไม่เอาแล้ว ใช่ไหม(ใช่) ฉะนั้นทำดีให้ถึงที่สุด ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วความเป็นคนดีก็ไม่ได้จากเราไปไหน ถ้าเราทำได้ใช่ไหม (ใช่) ขอเพียงยอมเสียเปรียบหน่อย ยอมอภัยหน่อย ถึงเราจะขาดทุนในโลก แต่ท่านจะได้กำไร ณ เบื้องบน ยอมขาดทุนหรือเปล่า แค่นั้นเองนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉงเต๋อ  จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้เหมือนขาดอะไรไป         ระลึกไว้ชีวิตคือการทวนกระแส
โดยไม่หยุดไม่หย่อนการเปลี่ยนแปร        เป็นของแท้เป็นของเทียมต้องเลือกเป็น
                        เราคือ
  อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่สถานธรรมฉงเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนนั่งฟังธรรมะเหนื่อยหรือเปล่า

  มองให้ทั่วเป็นเบ้าหลอมสู่โลกทัศน์        ความจำกัดเป็นเบ้าหลอมสู่ไหวพริบ
การระวังเป็นเบ้าหลอมได้เต็มสิบ           ถูกคั้นบีบเบ้าหลอมความคิดสร้างสรรค์
ความดีเป็นเบ้าหลอมสู่พลัง                   ความใจกว้างเป็นเบ้าหลอมแห่งมวลมิตร
สัจจะเป็นเบ้าหลอมแห่งการพิชิต            บำเพ็ญจิตเป็นเบ้าหลอมพ้นว่ายเวียน
ความรู้เป็นเบ้าหลอมแห่งปัญญา            อันความกล้าเป็นเบ้าหลอมสู่ความยิ่งใหญ่
การเรียนรู้เป็นเบ้าหลอมสู่ความใหม่       การรู้ให้เป็นเบ้าหลอมสู่เมตตา
ความขยันเป็นเบ้าหลอมความสำเร็จ       การสังเกตเป็นเบ้าหลอมความฉลาด
บารมีเป็นเบ้าหลอมแห่งอำนาจ              ความประมาทเป็นเบ้าหลอมแห่งความตาย
ความอวดดีเป็นเบ้าหลอมแห่งความพ่าย  ความเบื่อหน่ายเป็นเบ้าหลอมแห่งความเฉื่อย
ไม่อดทนเป็นเบ้าหลอมไม่สิ้นเหนื่อย        ปล่อยเรื่อยเปื่อยเป็นเบ้าหลอมต้องว่ายเวียน
                                                                             ฮา  ฮา  หยุด
               พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
รออาจารย์นานไหม โดยปกติคนเป็นพ่อแม่ต้องรอลูก แต่เรารอใครนานที่สุด รอตัวเองหรือรอความรู้ตื่นแห่งตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)  ถามว่าเราลืมตาในตอนเช้าง่ายหรือเปล่า อดนอนมาทั้งคืนแล้วให้ลืมตาตื่นในตอนเช้าง่ายหรือเปล่า (ไม่ง่าย)  ความยากก็มากขึ้นแต่ก็ยังทำได้จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ให้เราลืมตาตื่นจากความฝันของตัวเองที่ตัวเองนั้นเป็นผู้แต่งไว้ ตัวเองนั้นเป็นผู้วาดหวังไว้ ให้เราลืมตาตื่นจากความฝันของตัวเองยากหรือไม่ยาก (ยาก)  ตอนนี้ชีวิตเราเหมือนความฝันหรือไม่ (เหมือน)
ถ้าเรามีความทุกข์แล้ว ทำอย่างไรจะหายทุกข์ เราทำใจได้ เรารู้จักชีวิตเราได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ทำใจไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เราทำใจได้แต่ในขณะเดียวกันเราก็ทำใจไม่ได้ เข้าใจอารมณ์หลังไหม
ในลักษณะวิถีทางแห่งผู้บำเพ็ญหลายๆ คนที่ทำอยู่ เราอาจทำตัวเรานั้นให้เหมือนผู้บำเพ็ญทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ รูปแบบการแต่งตัว พิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ใดๆ แต่เราไม่อาจทำตัวเราให้เป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงได้ หากเราขาดไปหนึ่งสิ่ง หนึ่งสิ่งนี้คือการยอมรับความจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะกลายเป็นคนที่ทำใจได้เพราะเราทำใจได้ หรือกลายเป็นคนที่ทำใจได้เพราะเราทำใจไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในวันนี้การบำเพ็ญของเรา เรารู้สึกว่าราบรื่นหรือไม่ราบรื่น อาจจะดีขึ้นได้ก็ย่อมอยู่ที่ตนเอง หรืออาจจะไม่ดีวันนี้ไปดีวันหน้า ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง หรือต้องบำเพ็ญอย่างทุกข์ยากทั้งชีวิตเราก็ต้องทำใจตนเอง เป็นเพราะว่าคนนั้นบุญและกรรมทำมาไม่เท่ากัน คนทำบุญมามากเขาก็ย่อมได้รับผลดีจริงหรือไม่ (จริง)  แต่เทวดาก็ตกสวรรค์ได้ เทวดาเสวยสุขอยู่เบื้องบนแดนสวรรค์อยู่ห้าร้อยปี ก็หล่นลงมาได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
เป็นมนุษย์มีความสุขแล้วมีความสุขเล่า ก็ต้องเอาความสุขนี้มาเตือนสติตัวเอง ในขณะที่เราสุขเราต้องนึกถึงความทุกข์บ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นคนอื่นแย่เราต้องยื่นมือเข้าไปช่วยถูกต้องหรือเปล่า (ถูกต้อง)  มีใครบ้างเห็นคนอื่นแย่แล้วซ้ำเติมคนอื่น มีหรือเปล่า บางทีเราไปซ้ำเติมผู้อื่นด้วยไม่เจตนาจริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถ้าหากว่าไม่เจตนาบ่อยๆ แสดงว่าเราจงใจซ้ำเติมคนอื่น แล้วเอาหน้ากากมาบังหน้าตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นคนดีหรือไม่ดี จริงๆ แล้วก็ต้องดูที่ความจริงใจจริงหรือไม่ (จริง)  ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าหากเราเอาหน้ากากมาบังหน้า แล้วเราจะติดหน้ากากนี้ไปจนตาย ก็ย่อมทำได้ แต่บุญกรรมเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงจากความเป็นจริงได้ คนทำดีก็ย่อมได้ดี คนทำชั่วก็ย่อมได้ชั่วจริงหรือไม่ (จริง)
ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้เหมือนขาดอะไรไป
เคยรู้สึกไหม หาเงินมาทั้งชีวิตเรา หาเงินจนผมหงอกผมขาว หาเงินจนหน้าซีด หน้าเครียด หาเงินจนรู้สึกว่าต้องทนแล้วก็ต้องทนอีก ทนแล้วทนเล่า ถามว่าพอหรือไม่พอ (ไม่พอ)  นี่ถึงเรียกว่า มนุษย์ นี่แหละถูกแล้วที่ศิษย์เป็นมนุษย์ มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ แต่เป็นมนุษย์เฉยๆ มนุษย์เรียกอีกชื่อว่า คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนอยู่กับคนเรียกว่าอะไร
อยากพ้นทุกข์สักชั่วขณะไหม (อยาก)  ออกไปเที่ยวที่ไกลๆ ที่เขาบอกว่าอากาศดีๆ แบบที่เราชอบใจ อยู่กับผู้หญิงสวยๆ หรือไปเที่ยวกับแฟนที่เรารักมาก มีความสุขไหม (มี)  ถามว่านั่นเป็นความสุขจริงๆ หรือเปล่า เป็นความสุขที่ไม่มีวันเวียนมาเป็นความทุกข์เลย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)
คนที่เรารักที่สุด เราก็ทะเลาะมาแล้ว คนที่เรารักที่สุดเราก็โกรธมาแล้ว  เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งชีวิตนี้ทำอย่างไรให้มีความสุขแม้ชั่วขณะหนึ่ง ถ้าอาจารย์ตอบศิษย์ก็ตอบแบบง่ายๆ คือ การนั่งสมาธิ การหาความสงบให้จิตใจเป็นการทำให้ตนเองพ้นทุกข์ขณะหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ว่าสมาธินั้นมีเพียงช่วงสั้นอันเกิดจากตอนนั่ง เวลาเจอเรื่องมากระทบจิตใจ ศิษย์ก็ฟุ้งซ่านอีก การที่จะทำให้ตัวเองนั้นพ้นทุกข์ขณะหนึ่ง จึงต้องหันมามองใจของตนเอง เอาสมาธิไปอยู่ในการกระทำ ขณะยืน ขณะนั่ง ขณะทำงาน ขณะที่ใช้ชีวิต คือ ทำให้ใจของตนเองนิ่งลง  นิ่งลงจากความโลภ เมื่อไม่มีความโลภจะรู้สึกว่า การทำงานหาเงินนั้นเป็นเพียงการที่เอาแรงไปแลกเงินมาแค่นั้น มีเงินอยู่ก็พอแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปัญหาของคนก็คือ การหาเงินและการใช้เงิน หามาแล้วใช้มากกว่าที่ตัวเองหา จริงหรือเปล่า (จริง)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าหากว่าชีวิตนี้ไม่สามารถที่จะเหลือเป็นเงินเก็บไว้ได้ อย่างน้อยต้องทำให้รายรับและรายจ่ายมีความสมดุลกัน เท่านี้ถึงแม้ว่าเราไม่รวยแบบเศรษฐีแต่เรารวยแบบพอเพียง จริงหรือไม่ (จริง)  ข้อเท็จจริงก็คือว่า คนนั้นใช้เงินที่หามาอย่างง่ายดายด้วยความสุรุ่ยสุร่าย และหาเงินที่ได้มายากด้วยความประหยัด ฉะนั้นความลำบากย่อมให้คุณยิ่งกว่าความสบาย
ความพร้อมเป็นเรื่องที่ลำบากหรือเปล่า (ไม่ลำบาก)  ถ้าหากว่ามีคนจำนวนมากทำงานแล้วมีใครหนึ่งคนไม่ยอมให้ความร่วมมือทำให้งานนั้นบรรลุผลได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นในวันนี้อาจารย์มาขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ  อย่ามีใครคนใดคนหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือดีหรือเปล่า (ดี)
ขอให้เอาใจมารวมกัน คนอยากจะสามัคคีกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าคาใจบางเรื่อง ความคาใจเป็นเรื่องที่แก้ลำบากหรือไม่ (ลำบาก)  เราไม่สามารถแก้สิ่งที่คาใจของอีกคนหนึ่งได้หมดสิ้น จริงหรือเปล่า
เหมือนกับวันนี้เราเกิดไปรู้เรื่องอะไรของใครเข้า แล้วเกิดสมมติว่าให้เรามองหน้าเขาให้ติด ยิ้มกับเขา จับมือเขา ต้อนรับเขา เลี้ยงข้าวเขา ทำได้หรือเปล่า (ได้, ไม่ได้)  บางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้  คนที่ทำได้ในภาษาของมนุษย์โลกเรียกว่ามารยาทสังคม จริงหรือเปล่า (จริง)  คือทำให้ผ่านๆ ไปด้วยความมีมารยาทที่ถูกต้อง กับอีกคนหนึ่งเขาสามารถทำได้ด้วยน้ำใสใจจริงของเขา แต่เปลือกนอกเหมือนกันหรือไม่ 
คนหนึ่งคนถูกคาใจด้วยคนอีกสองคน หนึ่งในสองคนเดินเข้ามายิ้มให้ จับมือ ต้อนรับ พาไปเลี้ยงข้าว เทคแคร์ดูแล ปูเสื่อให้อย่างดี  ส่วนอีกคนก็ทำเหมือนๆ กัน  สองคนนี้เหมือนกันหรือเปล่า
สองคนนี้ทำเหมือนๆ กัน แต่คนหนึ่งทำด้วยมารยาทสังคม ทำด้วยจิตใจที่คิดว่าทำไปตามมารยาทเท่านั้น ส่วนอีกคนหนึ่งทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และใสสะอาด ถ้าหากว่ามองเปลือกนอกศิษย์จะไม่เห็นเลยว่ามีความแตกต่างกัน แต่ถ้ามองเห็นข้างในก็จะเห็นว่าแตกต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง)  แต่คนสมัยนี้รู้หน้าไม่อาจจะรู้ใจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนทำออกมาจะถือเป็นจริงเป็นจังเป็นบทสรุปของการกระทำนั้นๆ ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ การปฏิบัติตัวของคนจึงมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีเงื่อนไข มีกาลเทศะ มีมารยาท และมีความคิดที่อยู่ในนั้นซ่อนเร้นไว้มากมาย การที่เราเป็นคนบำเพ็ญธรรมจึงจำเป็นที่จะต้องถอดสิ่งเหล่านี้ออก ถอดหน้ากากออก ทำยากไหม (ไม่ยาก)
เมื่อสักครู่เราพูดถึงคนที่ทำตามมารยาท  คนอีกคนหนึ่งทำด้วยจิตใจที่ใสบริสุทธิ์สะอาด คนในโลกนี้บอกว่าคนที่ซื่อเกินไปเป็นคนโง่ ถามว่าถ้าหากหน้าที่ทางสังคมและการทำงานบีบให้ศิษย์ต้องดูแลและต้อนรับคนที่ศิษย์ไม่ชอบใจ กับการที่อีกคนหนึ่งทำออกมาจากใจด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ ถึงแม้ว่าจะรู้เรื่องเขามากมาย ถึงแม้ว่าจะเคยรับรู้ในบางสิ่งบางอย่าง แต่ว่าเข้าไปดูแลเขาเช่นเดียวกัน ถามว่าถ้าบอกว่าการที่เราทำตัวเป็นคนซื่อเป็นการแสดงความโง่ อย่างนี้สองคนนี้โง่เหมือนกันหรือเปล่า
สองคนทำออกมาเหมือนกันแสดงว่าโง่เหมือนกัน แต่คนหนึ่งโง่อย่างบริสุทธิ์กับอีกคนโง่อย่างลึกลับซับซ้อน ฉะนั้นการที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องเป็นคนที่ต้องแสดงความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจออกมาให้ปรากฏ แม้ว่าการแสดงความจริงใจจะเป็นความโง่ในสายตาของคนอื่น เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องแสดงความโง่อย่างนั้นออกมา เพราะว่าการที่ศิษย์ใช้ความเจ้าเล่ห์เพทุบายต่างๆ นั้น สิ่งที่ศิษย์เสียไปโดยไม่สามารถเรียกกลับมาได้คืออะไร สิ่งที่ศิษย์ทุ่มลงไปคือจิตใจของศิษย์เอง เราต้องไปทำในสิ่งที่เหมือนกับอีกคนหนึ่งไปทำ แต่เรากลับทำด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย สลับซับซ้อน สิ่งที่เราเสียออกไปคือจิตใจของตัวเราเอง ซึ่งไม่มีวันเรียกจิตใจที่สะอาดกลับมาได้อย่างง่ายดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนคนที่คิดมาก คนคิดมากจะมีวันคิดน้อยลงหรือเปล่า (ไม่มี)  การเป็นคนคิดมาก เราก็จะคิดมากไปกับทุกๆ เรื่อง วันนี้เราคิดมากกับเรื่องแค่นี้ วันหน้าเราก็คิดมากกับเรื่องที่ใหญ่มากขึ้น จนแก้ไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นเราถึงมาพูดกันว่าการเป็นคนบำเพ็ญธรรมมีแต่ต้องยึดจิตใจของตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์เข้าไว้ การที่จะชำระจิตใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ได้จำเป็นที่จะต้องมามองตนเองในทุกขณะทุกเวลาทุกนาที และแก้ไขตนเองในทุกเวลาทุกนาที ยอมเสียเปรียบบ้างเป็นการได้กำไร จริงหรือไม่ (จริง)
เสียเปรียบเราอาจจะเสียแรง เสียใจ เสียเวลา แต่เราได้จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าอยากที่จะแก้ไข ชำระจิตใจตนเองต้องยอมเสียเปรียบบ้าง ถ้าหากว่าเอาทรายสองกองมากองไว้ หยิบกองหนึ่งออกไปใส่อีกกองหนึ่ง ขาดทุนไหม ถามว่าทรายกองที่ถูกหยิบหายไปจากโลกนี้หรือเปล่า (ไม่)  ทรายกองที่ถูกหยิบก็ไปอยู่ในอีกกองหนึ่ง จริงหรือเปล่า (จริง)
วันนี้เราอาจจะเริ่มยอมเสียเปรียบลูกเรา เงินหามาเหนื่อยแทบตาย ลูกร้องอยากได้ของเล่น ซื้อให้หรือเปล่า (ซื้อ)  เงินหามาแทบตาย ป่วยนิดหน่อยแค่ไอก็ต้องไปหาหมอ เราก็เสียเงินไป จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นทรายกองหนึ่งแบ่งไปสู่กองอื่นก็เป็นการทำให้กองอื่นเพิ่มพูนมากขึ้นไม่ได้หายไปจากโลก
วันนี้เรารู้จักแต่เสียสละให้คนใกล้ๆ ตัวเรา วันหนึ่งเราก็รู้จักเสียสละให้กับคนที่เรารู้จักโดยที่ไม่ได้สัมพันธ์เป็นญาติมิตร วันหนึ่งเราก็รู้จักเสียสละให้คนบนโลกนี้ทุกๆ คน เพราะฉะนั้นทรายที่เกิดจากกองของเราแบ่งไปให้กองคนอื่น ให้คนอื่นเขามีมากหน่อย ให้คนอื่นมีความสุขมากหน่อย ถามว่าความสุขนั้นหายไปจากใจเราหรือไม่ (ไม่) 
สิ่งที่ดีๆ ของเราให้ผู้อื่นไปก็ไม่ได้หายไปจากโลก ฉะนั้นอย่าบอกว่าเกิดมาแล้วทำอะไรทำไมถึงได้โดนเอาเปรียบ เวลาที่เราโดนเอาเปรียบขอให้ถูกเอาเปรียบอย่างเต็มใจแล้วศิษย์จะมีความสุข ความสุขไม่ได้อยู่ที่การไปเที่ยวที่ไกลๆ ที่ศิษย์พอใจ ความสุขไม่ได้เกิดจากการใช้เงินตามที่ศิษย์อยากได้ ความสุขไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ศิษย์ไปหามาจากภายนอก แต่ความสุขเกิดจากภายในของตนเอง อยากมีความสุขจึงต้องหันมาให้ตนเองรู้จักเสียสละไปบ้าง แล้วจะเกิดความสุขมากขึ้น ความสุขเกิดได้จากอะไร (การเสียสละ,การให้)


ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้เหมือนขาดอะไรไป
ระลึกไว้ชีวิตคือการทวนกระแส
โดยไม่หยุดไม่หย่อนการเปลี่ยนแปร
เป็นของแท้เป็นของเทียมต้องเลือกเป็น

กลอนนำอาจารย์เขียนไว้บอกว่า ชีวิตนี้เหมือนขาดอะไร ขาดอะไรไม่รู้ มาดูต่อไป บรรทัดสุดท้ายบอกว่า เป็นของแท้เป็นของเทียมต้องเลือกเป็น อาจารย์สมมติว่าคนสองคนนี้เป็นของสองสิ่ง คนหนึ่งเป็นของเทียม คนหนึ่งเป็นของแท้
คนที่ทำออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นของเทียม ส่วนคนทำออกมาด้วยความจริงใจนั้นเป็นของแท้ ของแท้คือแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมา แสดงความใจดีออกมา แสดงความเมตตาออกมา เป็นของแท้ ส่วนคนที่ทำออกมาด้วยซับซ้อนนั้นเป็นของเทียม สุดท้ายคนที่เป็นของเทียมนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีใจ แต่ว่าเขาก็ทำเหมือนคนที่มีความเมตตา ฉะนั้นเขาจึงดูว่าเป็นของเทียม
อาจารย์บอกว่าเป็นของเทียมเป็นของแท้ต้องเลือกเป็น ศิษย์ของอาจารย์อยากเลือกเป็นคนไหน (เป็นของแท้) ถ้าหากว่าศิษย์นั้นสามารถที่จะเลือกได้ ซื้อของอย่างหนึ่งอยากซื้อของแท้หรือของเทียม (ของแท้)  ตัวเรานี้ถ้าหากว่าเราเป็นคนๆ หนึ่ง เราอยากเป็นของแท้หรือของเทียม (ของแท้)  ถ้าเราเป็นของแท้ เบื้องบนก็เลือกเรา ถ้าเราเป็นของเทียม แม้กระทั่งคนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันอยากเลือกไหม (ไม่อยาก) คนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันยังไม่อยากเลือก
เพราะฉะนั้นของแท้ของเทียมให้ศิษย์เลือกเป็น เลือกเป็นว่าชีวิตนี้มีหลายๆ สิ่งในชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง วันนี้ตำแหน่งนี้เป็นของเรา วันนี้ถูกคนชม อีกสองวันอาจจะถูกคนด่าก็ได้ จริงหรือไม่ ชีวิตนี้เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง เพราะฉะนั้นต้องทวนกระแสของชีวิตนี้ ถึงแม้บางเรื่องเราทำด้วยความไม่เต็มใจ ไม่ได้อยากทำเลยแต่ก็ต้องทำ แต่ในเมื่อศิษย์เลือกที่จะไปทำแล้ว ขอให้เอาใจจริงๆ ของเราไปทำดีไหม (ดี) ไม่ใช่บอกว่าใจจริงๆ ของเราคือความโกรธ แล้วเราเลือกไปทำจริงๆ เหมือนใจเลย เอาความโกรธออกไปเลย ใช่หรือเปล่า
คำว่า ทำใจ กับคำว่า ทำใจของอาจารย์ก็ไม่เหมือนกัน จริงหรือไม่
ฉะนั้นของที่หน้าตาเหมือนกันในความเป็นศิษย์คนเดียวกันมีความโกรธและมีความดีอยู่ในตน ฉะนั้นศิษย์ต้องเลือกที่จะแสดงออกมาโดยที่ใจของเรานั้นต้องดีด้วย แล้วก็เอาความดีออกมา
ถ้าใจของศิษย์ยังเป็นความโกรธ ทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าใจของเรายังเป็นอคติ อันได้แก่ความรักมากเกินไป ความหลง ความกลัว ความชังมากเกินไป เราต้องเปลี่ยนจิตใจของเราก่อน เราต้องเปลี่ยนจิตใจของเราให้ดี แล้วแสดงออกมาให้เป็นสิ่งที่ดี เราจึงเป็นของแท้ทั้งในทั้งนอก บางคนเป็นของแท้เปลือกนอก ข้างในเป็นอย่างไร (เทียม)  ข้างในเป็นของปลอม เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นของแท้ทั้งนอกและในตน ถ้าหากว่าในเราดี นอกเราดีไหม (ดี)  ถ้าในเราไม่ดี นอกเราดีไหม (ไม่ดี)  ในไม่ดีนอกไม่ดี แต่สำหรับสมัยปัจจุบัน ในไม่ดีอาจจะมีนอกที่ดีก็ได้ แต่อาจารย์ก็ยังเป็นคนหัวโบราณ อาจารย์เป็นคนโบราณ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นดีจากข้างในออกมาสู่ข้างนอก ถ้าหากว่าในดี นอกย่อมดี อันนี้ไม่มีปัญหา แต่หากบอกว่าในไม่ดี แล้วนอกดี นี่คือเป็นในลักษณะที่มนุษย์ปัจจุบันชอบทำ ฉะนั้นคนปัจจุบันนี้เป็นคนที่แค่จะหาความสุขธรรมดาก็ลำบาก อยากจะให้บำเพ็ญธรรมก็ยิ่งลำบาก อยากให้บรรลุธรรมยิ่งสุดจะลำบาก
แต่ว่าในวันนี้ศิษย์ทุกคนมาที่นี่ รู้แล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นอยากที่จะพ้นไป ฉะนั้นศิษย์เลือกที่จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรม คือหมดจากความทุกข์ ฉะนั้นจึงต้องมาบำเพ็ญธรรม แล้วทำเรื่องสุดจะลำบากนี้ ทำได้ไหม (ได้)
อาจารย์ชวนมาทำเรื่องสุดจะลำบากทำไหวหรือเปล่า (ไหว)  ชวนมาทำเรื่องสุดจะลำบากเลยนะ ฉะนั้นเรื่องสุดจะลำบากนี้ก็ต้องมีใจที่สุดจะ (อดทน)  อดทนแล้วหรือ ยังไม่ทำอะไรก็อดทนแล้ว  ทำเรื่องสุดจะลำบากก็ต้องมีใจสุดจะเข้มแข็ง สุดจะสะอาด ถ้าหากว่าห้องน้ำที่บ้านเรานี้ เราอยากจะขัดพื้นให้ใหม่เหมือนกับตอนที่เราสร้างเสร็จใหม่ๆ  ไหวไม่ไหว (ไหว)  ถ้ามีคราบมากแสดงว่าเจ้าของเป็นคนที่ขี้เกียจมากนะ ห้องน้ำที่บ้านเรานี้ เราอยากที่จะขัดให้ใหม่เหมือนกับตอนที่เราเพิ่งสร้างเสร็จ ลำบากไหม (ลำบาก)  ห้องน้ำของบางคนใช้มาตั้งแต่เกิด ของบางคนก็มาใช้ทีหลัง เวลาถ้าสิบปี ห้องน้ำเลอะมากไหม (มาก)  เลอะมากเลย แล้วชีวิตเรากี่ปีแล้ว เป็นสิบๆ ปีเลย เพราะฉะนั้นใจของเราสะอาดไหม (ไม่สะอาด)  ถ้าเราไม่ได้ขยันขัดใจของเรา ไม่ขยันขัดเกลา ใจเราก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าไร
คนสมัยปัจจุบันบอกว่า คนมีความคิดคือคนฉลาด เราก็เลยปล่อยใจของเราคิด คิด คิด ไปเรื่อยๆ ไม่รู้คิดไปทางไหน คิดไปทางไหนก็ไม่รู้ คิดจนจะตกเหวแล้วยังไม่รู้ตัวเลย คิดจนเหมือนนรกเร่าร้อน ร่ำร้องอยู่ข้างในใจของตัวเองยังไม่รู้เรื่องเลย เราก็ยังพอใจที่เราได้คิด แต่ว่าเราต้องรู้ว่าความคิดนั้นต้องจำกัดอยู่ในวงที่คิดเป็น คิดดี ถึงจะดี อย่าปล่อยให้ความคิดเรามันไปเรื่อยๆ จะขึ้นสวรรค์ก็ไม่รู้ ตกนรกก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าคิดเป็น อย่างนี้เขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน
ฉะนั้นคนที่บำเพ็ญอยู่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ศิษย์หลายคนนั้นก็บำเพ็ญมานาน ศิษย์เป็นของแท้ของปลอม อาจารย์ยังบอกไม่ถูก บางทีแวบหนึ่งเป็นของแท้ขึ้นมา บางทีอีกแวบหนึ่งกลายเป็นของปลอมไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การที่เรานั้นแต่งตัวออกมาเหมือนผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม เรากินเจและตั้งปณิธานทานเจ การที่เรายิ้มกับใครเป็นส่วนใหญ่หรือมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้บำเพ็ญเป็นส่วนใหญ่ แต่หากว่าเรายังไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญจริงๆ ถึงแม้ว่าเรามีองค์ประกอบครบแต่ขาดหัวใจ หัวใจของผู้บำเพ็ญคือ หัวใจที่บริสุทธิ์และขัดเกลาอยู่เสมอ
หากว่าโดยส่วนใหญ่ศิษย์นั้นเป็นคนที่ยิ้มต้อนรับขับสู้คนอื่น แต่เผอิญวันหนึ่งถูกยั่วโมโหโดยใครไม่รู้แล้วเจอญาติธรรมแล้วก็ดุใส่เขา เรียกว่า ยิ้มมาเก้าหน หน้าบึ้งแค่หนึ่งหน ถือว่าล้มเหลวหรือชนะ (ล้มเหลว)  แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นคนขี้โมโห โดยส่วนใหญ่โมโหๆ ไปสักเก้าหน แต่วันนี้จบท้ายมายิ้มตอนจบเหมือนตอนอวสานของละคร ตอนสุดท้ายมายิ้มก็กลายเป็นตัวเอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็อย่าลืมว่า การที่เราบึ้งมาเก้าหนก็มีผลกับตัวเรา บางคนบอกว่า เราเป็นคนดุ เป็นคนแย่ มากๆ เลย เรายิ่งต้องฟังคนอื่นวิจารณ์ ต้องมารู้จักคนอื่นอย่างถ่องแท้
ศิษย์ต้องอย่าลืมถึงแม้อาจารย์จะบอกว่า คนที่ตอนจบสุดท้ายเป็นตัวเอก แต่อย่าลืมว่าเก้าครั้งที่ทำขึ้นมาเป็นสิ่งที่เรายังบึ้งอยู่ก็ยังต้องได้รับการแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดเมื่อเอาเข้าจริงๆ คนที่ยิ้มเก้าแล้วบึ้งแค่หนึ่งครั้ง เป็นคนที่พัฒนายิ่งกว่า เพราะฉะนั้นอาจารย์ชมทั้งสองฝ่าย  แต่ถ้าให้ดีการบึ้งตึงก็เป็นสิ่งที่ควรจะระงับไป เมื่อใจเราระงับความโกรธได้หน้าตาของเราก็จะยิ้มแย้ม  วันนี้ถูกคนอื่นทำหน้าบึ้งใส่ต้องสำรวจตัวเองว่า เราเคยทำหน้าบึ้งกับใครหรือเปล่า  เรื่องในโลกลึกลับซับซ้อนกว่านั้น บางทีคนเขามาตีโพยตีพายว่าเรา เขาทำหน้าบึ้งตึงกับเราไม่มีสาเหตุ ต้องมาพิจารณาว่า เราเคยไปนินทาใครลับหลังหรือเปล่า คนเรามีปากแค่หนึ่งปาก แต่ว่าพูดตลอดเวลาและพูดในสิ่งที่ดีตลอดหรือเปล่า (เปล่า)  เรายังไม่ใช่คนที่พูดดีตลอด เพราะฉะนั้นการที่เราถูกคนอื่นบึ้งใส่ เราต้องคิดว่า เราเคยพูดว่าคนอื่นหรือเปล่า เวลาคนที่พยายามจะไม่นินทาคน อาจารย์เห็นแล้วทรมานแทน
อาจารย์จะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง  มีศิษย์อยู่คนหนึ่ง ศิษย์คนนี้มีจริงๆ อาจารย์ก็เห็นว่า เขาพยายามจะไม่พูดนินทาว่าร้ายใคร วันนี้ไปนั่งอยู่ในวงสนทนาที่มีแต่การนินทาคนอื่นพอดี เขาก็พยายามที่จะไม่พูด พอนั่งไปนานๆ เข้า เผอิญมาพูดตรงพอดีกับคนที่เขารู้สึก เขาคันปากยิบๆ คนดีที่พูดดีมาตลอด คนนี้เขาจะอดใจอยู่ไหม (ไม่อยู่)  มีอะไรให้ลุ้นไหม อาจารย์นั่งลุ้นต่อไป เขาพยายามพูดแค่นิดเดียว พูดอีกนิดหนึ่งแล้วก็เก็บคำพูด พยายามนินทาคนแบบดีๆ แฝงเจตนาเล็กๆ  อันนี้เป็นแบบที่ศิษย์ชอบทำใช่ไหม  เวลาที่พูดไปเรื่อยๆ สุดท้ายอดใจไหวไหม (ไม่ไหว)  อดทนให้มากๆ อดทนยังไม่ไหวก็อดกลั้น ถ้าอดกลั้นยังไม่ไหวก็อดใจหน่อย  เตือนสติตัวเองให้มากๆ
การที่คนอื่นพูดข้อเสียของเรามีประโยชน์ไหม (มี)  การที่คนอื่นพูดข้อเสียของเรา ถ้าเราได้ยินได้ฟังเราก็ได้แก้ไข  แต่ถ้าหากว่าการที่เราพูดข้อเสียของคนอื่นมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  การที่เราพูดข้อเสียของคนอื่นอยู่บ่อยๆ เป็นการทำให้เรานั้นมีวจีกรรมเพิ่มมากขึ้น บางคนอยู่ดีๆ ก็ปากแตก ลิ้นแตก เหงือกร่น ปากนกกระจอก เป็นหรือเปล่า (เป็น)  ถ้าหากบอกว่า เป็นต้องบอกว่ามีบุญที่ได้มีสิ่งที่เตือนตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
คนที่มีมารยาทออกมาจากความจริงใจนั้น ถ้าหากว่าทำได้จริงๆ อันนี้เรียกว่าสุภาพชน มารยาทง่ายๆ ที่อาจารย์จะสอนในวันนี้บางคนอาจจะรู้อยู่แล้วแต่คนรู้อยู่แล้วก็ต้องเอาไปทำให้บ่อยๆ แล้วก็ฟังไว้เป็นสิ่งที่เรานั้นควรปฏิบัติ ถ้ารู้แล้วก็ฟังให้มากขึ้น
1. เมื่อเห็นคนมีความทุกข์อย่าทำตัวครึกครื้น
2. เมื่อเห็นคนเศร้าอย่าหัวเราะ ทำได้ไหม (ได้)
3. เมื่อคนเขาพูดคุยให้เรื่องส่วนตัวของเขากับคนที่เขาสนิทเราอย่าฟัง
4. เมื่อเข้าบ้านคนอื่นอย่ากวาดตามองสิ่งของๆ เขา
5. เมื่อเดินไปถึงโต๊ะทำงานอย่าแตะต้องสิ่งใดที่เป็นของเขา
6. เมื่ออยู่ในที่ที่เราไม่แน่ใจในสถานะของตัวเองให้ยืนอยู่เฉยๆ ก่อน ทำได้ไหม (ได้)  อาจารย์ให้ง่ายๆ แค่นี้
ฟังธรรมะฟังด้วยจิตใจเบิกบาน แม้ว่าฝืนใจนิดๆ ในการที่จะนั่งสองวันแต่ว่าฟังแล้วก็ได้ดีเข้าตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเรากินเราก็กินแต่อาหารดีๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้ก็ให้ใจรับสิ่งที่ดีๆ เข้าไป ดีหรือเปล่า (ดี)  ให้ใจกินอาหารบ้างอย่าให้ใจเอาแต่ฟังเพลง หรือเที่ยวแล้วก็มองแต่ในสิ่งที่ไม่ดี ใช้อายตนะไปในทางที่แปดเปื้อนทำให้ใจของเราสกปรก
ความอวดดีเป็นเบ้าหลอมแห่งความพ่าย
ความเบื่อหน่ายเป็นเบ้าหลอมแห่งความเฉื่อย
เบื่อหน่ายไหม ทำงานทุกวันจันทร์แล้วศุกร์ เมื่อไรจะเย็นสักที เมื่อไรจะเสาร์ เมื่อไรอาทิตย์ อ้าวจันทร์อีกแล้ว ไม่อยากให้ถึงเลย เป็นไหม ต้องมีความสุขกับงาน ทำงานถึงจะมีความสุข ใช่หรือไม่ แล้วทำไมเราถึงไม่มีความสุขกับงานเล่า งานที่เราทำอยู่เป็นงานที่เราชอบไหม ล้างชามทุกวันเลย งานนี้ชอบไม่ชอบ (ชอบ)  ชอบหรือไม่  ไม่ชอบล้างชามก็ต้องไปซื้อข้าวกินจะได้ไม่ต้องล้างเอง จริงหรือไม่ พอไปซื้อข้าวกินก็เสียเงิน แล้วพอกินแล้วรู้สึกเบื่อแล้วก็ไปเปลี่ยนร้านที่มันแพงกว่าเดิม ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาคนที่บ้านที่เปิดสถานธรรมอยู่ในเมืองของกาญจนบุรี)
เวลาที่สถานธรรมอยู่ที่โน่น ช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนเดียวทำจะเหนื่อยแต่ถ้าทุกคนร่วมมือกัน ความเหนื่อยจะไม่มาก ทุกคนตรงนี้มีความสามารถเป็นของตัว ความสามารถของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าหากว่าเรียกแล้วก็คือมีความชำนาญไม่เหมือนกัน เอาความแตกต่างมาเป็นสีสัน มันจะช่วยให้ทำงานร่วมกันได้อย่างดี อย่ามองความแตกต่างเป็นเรื่องที่แตกแยก ความแตกต่างคือเรื่องที่ไม่เหมือนกันแล้วมาทำงานด้วยกันถือว่าเป็นความชำนาญคนละอย่าง พอมาอยู่ร่วมกัน มันจะกลายเป็นสิ่งที่ดีมาก ฉะนั้นในแต่ละคน ยิ่งพยายามพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะด้านการพูดธรรมะ ไม่ว่าจะด้านความคิด ไม่ว่าจะเป็นด้านความใจกว้าง ทุกอย่างขอเพียงศิษย์มีใจ งานธรรมะจะอยู่กับศิษย์ จะเป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นสามารถที่จะใช้พยุงต่อไปได้ ทำได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาทที่ท่านหลันต้าเซียนให้ว่า มองใจผ่านทุกข์”)
ปกติแล้วเราจะมองความทุกข์ผ่านทางใจของเราใช่หรือไม่ เรามองอะไรก็แล้วแต่ ก็มองตามแต่ใจของเรา ใจของเราจะเอาแต่ใจ ดื้อรั้นไปทางไหน เราก็มองไปทางนั้น มองเท่าไหร่ก็ไม่เปลี่ยนไปจากใจของตัวเองเสียที ใจยิ่งไม่สู้ ทุกข์ก็ยิ่งแย่ ที่นี้ให้มองใจผ่านทางความทุกข์บ้าง ว่าผ่านมาจากทางความทุกข์นี้ ใจของเราเป็นอย่างไร
อันนี้เป็นความหมายของเพลง
วันนี้นั่งกันจนเมื่อยจนเหนื่อยแล้ว อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนเป็นคนที่ดี ไม่ดื้อรั้น ศิษย์ของอาจารย์ภายใต้การบำเพ็ญของฮวั๋งเตี่ยนฉวันซือ ส่วนใหญ่จะเป็นคนเก่ง มีตำแหน่งหน้าที่ มีฐานะ ฉะนั้นความดื้อรั้นของศิษย์มันจะพุ่งพรวดเป็นทวีคูณ บางเรื่องก็ไม่ยอมกันเฉยๆ ไม่มีเหตุผล ไม่ยอมให้ความร่วมมือกันเฉยๆ มันก็เลยไปไหนไม่ได้ อาจารย์พูดอย่างนี้ อาจารย์ไม่ใช่ว่า แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นดีขึ้น ส่วนศิษย์ทางปราณบุรีก็เหมือนกัน อย่าลืมที่อาจารย์เคยตักเตือนไว้ ปัญหานี่มาไม่หยุดไม่หย่อนเลยนะ ก็ยังจำเป็นที่จะต้องสู้กันต่อไป คนเหลือเท่าไหร่ก็สู้เท่านั้น ใครมีเหตุให้ต้องเหนื่อย ให้หยุดพัก ให้ต้องท้อ เราก็ให้กำลังใจ อาจารย์บอกแล้วว่า การพูดเรื่องไม่ดีนี่ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ จะบอกว่าใครไม่เก่ง ไม่สามารถมันก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีชีวิตอย่างทุกข์เข็ญลำบากแล้ว ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดีกว่า ส่วนศิษย์ที่อยู่ที่นี่  (พระอาจารย์เมตตาให้เรียกฐันจู่)  ยังรับแอปเปิ้ลอาจารย์ก็แสดงว่ายังตั้งใจจะดูแล สังขารไม่อำนวยก็ทำเท่าที่แรงมี เข้าใจไหม แต่ว่าอาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์บางคนที่เป็นคนที่อยู่ที่นี่ ก็ขอให้ ถ้าอยู่ใกล้ที่นี่ ก็มาขึ้นเรือธรรมที่นี่ บำเพ็ญที่นี่ แต่ว่าไกลที่นี่ออกไปทางตัวเมือง ก็ให้ไปสถานธรรมที่บ้านสกุลฟัง การบำเพ็ญธรรมอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ขอเพียงแต่ว่าทุกๆ ที่ที่ศิษย์ไปมีธรรมะ ใจของศิษย์มีธรรมะอย่างเต็มเปี่ยม ธรรมะจะอยู่กับศิษย์ การบำเพ็ญธรรมจะเป็นเรื่องที่ศิษย์นั้นสามารถทำได้ตลอดเวลา
หัวหน้าชั้นลองสรุปคำว่า การปฏิบัติบูชา  แปลว่าอะไร  (การบูชาธรรมะโดยการกระทำ)  คำยังไม่ค่อยสวย คนที่สองตอบหน่อย (บูชาธรรมะด้วยการปฏิบัติที่ดี)  (พระอาจารย์เมตตาให้แอปเปิ้ลนักเรียนเบอร์2 จับแล้วท่านเมตตาถามว่า อยู่ไหม ก่อนท่านดึงกลับ แต่นักเรียนท่านนี้ยึดแอปเปิ้ลไว้แน่น)  อาจารย์บอกเพื่อให้ตั้งตัว แต่ก็ยังยึดแอปเปิ้ลอยู่ แต่ถ้าหากว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นเคราะห์กรรมต่างๆ เป็นกิเลสและพญามารต่างๆ เวลาดึงทีไม่บอกเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราประคองก้าวเท้าของเราไว้ให้ดีๆ เราก็ย่อมผ่านพ้นได้ แต่ถ้าหากว่า เราประคองก้าวของเราไม่มั่นคง อย่าคิดว่าเดินแล้วจะไม่สะดุดล้ม ฉะนั้นการสะดุดล้มของศิษย์เป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่ (ธรรมดา)  การสะดุดล้มของเราเป็นเรื่องธรรมดา คนมีร่างกายต้องป่วยต้องไข้ ถ้าคนที่บำเพ็ญอนุตตรธรรมแล้วไม่ต้องป่วยต้องไข้ดูแล้วปกติหรือเปล่า ดูแล้วก็ไม่ใช่ว่าเรานั้นจะเป็นการบำเพ็ญที่ปกติ หากว่าเราไม่ต้องเจออุปสรรคใดๆ เลย ดีทุกอย่าง เราอยากบำเพ็ญไหม มีหลายๆ คนเวลาที่มารับธรรมะก็ต้องพูดบอกว่า ดีอย่างนั้น อย่างนี้  แต่ถามว่าเวลาที่เราได้ดีทุกอย่างเราอยากบำเพ็ญหรือเปล่า เวลาที่ดีทุกอย่างกลับเป็นเวลาที่ไม่คิดถึงธรรมะเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นการที่เรามีความทุกข์บ้างมาจิ้มๆ ไชๆ มีความทุกข์บ้างมาสะกิดตัวเรานั้นเป็นเรื่องดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท)
ปฏิบัติบูชา  หมายถึง การบูชาธรรมด้วยการปฏิบัติ  ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนที่ขึ้นชื่อว่า ยังบำเพ็ญธรรมเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ศิษย์ทั้งหลายมือเท้าของศิษย์ คำพูดของศิษย์ทุกๆ อย่างเป็นการกระทำ สิ่งที่เราทำนั้นจึงได้ชื่อว่า เป็นการบูชาธรรมหรือไม่  ธรรมะมีค่าเพราะมีคนเห็นค่า ธรรมะสูงค่าเพราะคนนั้นปฏิบัติ  ฉะนั้นในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ศิษย์ของอาจารย์ซึ่งกำลังที่จะบำเพ็ญธรรม กำลังก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญธรรม สิ่งที่ศิษย์ปฏิบัติทั้งหมดทั้งสิ้นจึงเป็นสิ่งที่เรานั้นใช้ในการบูชาธรรม  จะบูชาธรรมด้วยการที่เรานั้นโกรธเกรี้ยวบ่อยครั้งไม่ถูกแน่ อาจารย์ยังอยากเรียกร้องให้การปฏิบัติของศิษย์เป็นการปฏิบัติที่ออกจากใจจริงๆ มาจากจิตใจที่สะอาดและทำในสิ่งที่ถูกต้อง บางทีถูกคนว่า โง่ ถูกคนพูดว่า ไม่ฉลาด บางทีสิ่งที่เราทำเป็นความดี แต่กลับไม่มีคนเห็นชอบเลย ก็ถือว่า ให้ศิษย์นั้นรู้และแน่ใจ พิจารณาด้วยธรรมะเป็นเกณฑ์ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องตามครรลองคลองธรรมหรือไม่ พิจารณาว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับเราเพราะอะไร เพราะการฟังมากคือ การได้กำไร คนที่เราเสวนาด้วยแม้ว่าพูดไม่ดีบ้าง หยาบบ้าง หากเราฟังมากๆ เราจะได้กำไร  หากว่าเราฟังน้อย เราจะกลายเป็นคนที่ขาดทุน แม้พูดมาไม่น่าฟัง แต่ฟังแล้วได้กำไร เอาไหม (เอา)  ฟังคำพูดที่ออกมาจากคู่อริเรายิ่งได้กำไร เอาไม่เอา (เอา)  แน่ใจหรือเปล่าว่าจะฟังเขาได้ตลอดรอดฝั่ง แน่ใจหรือเปล่าว่า จะไม่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แน่ใจหรือเปล่าว่าจะฟังรู้เรื่อง ฝึกนะฝึกนี่คือการฝึก  สิ่งที่ไม่ชอบใจยิ่งฝึกมาก ใจของเราก็ยิ่งกว้างออกไปมากยิ่งขึ้น
คนชอบซื้อที่ที่เฉพาะของตัว หารู้ไม่ว่าที่ทุกที่บนโลกนี้เราก็ไปได้ ถ้าหากว่ามีแค่ที่ของตัวก็ดูจะคับแคบ หวงไว้แต่ตรงนั้น  ถ้าหากว่าเราไม่มีที่ ที่ทุกที่ก็คือที่ที่เราเดินได้ จริงหรือไม่ (จริง)  มีคำกล่าวบอกว่า ถ้าหากว่าอยากที่จะได้ชื่อเสียงมาก จะยิ่งเสื่อมเสีย หากอยากได้เงินทองมาก ก็ยิ่งสูญเสีย รู้จักพอก็จะไม่มีอันตราย รู้จักหยุดก็จะไม่มีภัย
อาจารย์ให้ในวันนี้เกือบจะทั้งหมดเป็นคำว่า เบ้าหลอม  คือ เตาหลอม  เอาสิ่งหนึ่งเข้าไปหลอมได้อีกสิ่งหนึ่งออกมา อย่างเช่น เอาความขยันเข้าไปหลอมก็จะได้ความสำเร็จออกมา เอาการรู้จักสังเกตเข้าไปหลอมก็จะได้ความฉลาดกลับออกมา เอาบารมีเข้าไปหลอมจะได้อำนาจออกมา เอาความประมาทเข้าไปหลอมจะได้ความตายออกมา เอาความอวดดีเข้าไปหลอมได้ความพ่ายออกมา เอาความเบื่อหน่ายเข้าไปหลอมได้ความเหนื่อยออกมา เอาความไม่อดทนเข้าไปหลอมได้ความไม่สิ้นเหนื่อยออกมา ความเรื่อยเปื่อยเข้าไปหลอมก็ต้องได้ความว่ายเวียนกลับออกมา
เป็นฐันจู่ศึกษาธรรมให้มากๆ เข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติให้มากๆ ที่นี่ถึงแม้ว่าคนมาน้อยแต่หากว่าศิษย์เป็นคนที่มีความแกร่งก็สามารถช่วยเหลือกันได้เช่นเดียวกัน อาจารย์ฝาก  ขณะนี้อาจารย์รู้สึกห่วงใยในชีวิตจิตญาณของศิษย์ทุกคนอย่างลึกซึ้ง ยิ่งศิษย์บำเพ็ญมานานปีอาจารย์ก็ยิ่งห่วง คนบำเพ็ญมานานก็ยิ่งน่าห่วง คนบำเพ็ญยิ่งดีขึ้นอาจารย์ก็คลายใจได้บ้าง หวังว่าศิษย์ทุกคนคงพอที่จะทำให้อาจารย์โล่งใจได้มากกว่าหนักใจด้วยการดูแลตัวเองให้ดีๆ มีคำพูดกล่าวว่า  ความพอใจนำมาซึ่งปัญหา  การถ่อมตนนำมาซึ่งผลกำไร  อาจารย์หวังว่าศิษย์นั้นถ้าหากอยากหากำไรให้ตนเองก็หาในทางที่ถูกต้อง คิดในแง่ดีต่อกัน ร่วมมือกัน ศิษย์แต่ละคนเป็นคนเก่งมากๆ ศิษย์ก็เป็นคนดีมากๆ เพียงแต่วันนี้พลังยังไม่รวมกัน แต่จะบอกว่าศิษย์ไม่พยายามอาจารย์ก็เห็นว่าศิษย์พยายาม แต่จงไปพยายามลงแรงกับใจของตนให้มากกว่านี้อีกหน่อย ศิษย์ทำได้อาจารย์เชื่อ อาจารย์เห็นแล้วว่าอีกคืบเดียวในความรู้สึกของศิษย์นั้น ถ้าหากว่าศิษย์ลงแรงจริงๆ ศิษย์จะมีจิตใจที่สวยงามกว่านี้มาก เมื่อศิษย์ไม่มีความทุกข์ศิษย์ก็จะมีแรงไปช่วยผู้อื่นได้มากกว่านี้ อย่ามีความทุกข์เพราะกิเลส อย่ามีความทุกข์เพราะความอยากได้ อยากเป็น อย่ามีความทุกข์เพราะความโลภ  ชาตินี้อยากบำเพ็ญเป็นชาติสุดท้ายไม่ใช่หรือ  หมดจากชาตินี้ถ้ากลับไปได้จะกลับไปอยู่กับอาจารย์ไม่ใช่หรือ (ใช่)  อาจารย์ก็รอนะ แต่ในขณะนี้ในความเป็นจริงของหลายคนมันไกล ศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยบุญบารมี วาสนา เพราะว่าศิษย์สั่งสมไว้มาก แต่ศิษย์ไม่มีการขัดเกลาที่ดี ไม่ได้สั่งสมคุณธรรมบารมีไว้เลย ลำพังแค่กุศลพาไปไม่ถึงนิพพาน หากว่าตัวศิษย์ยังมีกิเลสเต็มไปหมด ต้องสั่งสมคุณธรรม ขัดเกลาจิตตนเองให้สะอาดกว่านี้ พุทธะนั่งบนดอกบัวที่ยังมีจิตใจที่มีราคีติดอยู่ด้วยนั่งไม่ได้หรอก มันจะหล่นลงมาเอง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ ณ ปัจจุบันนี้บำเพ็ญตัวเองให้ดี อย่างน้อยมีความสุขในทุกๆ วัน แค่มีความสุขทุกวันก็ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ก็คิดว่าอย่างนั้น



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ปฏิบัติบูชา
    เข้าใจธรรมมากมายหลายเชิงชั้น     แต่นำกันปฏิบัติเพียงน้อยนิด
เปลี่ยนทุกทีที่อุปสรรคเข้าประชิด         การเห็นผิดเกิดแล้วยังยืนยัน
สิ่งที่เป็นเราอยู่ทุกค่ำเช้า                  คือสิ่งที่เรายึดติดถือมั่น
ในสิ่งที่เชื่อและทำตามกัน                 จงรู้ทันไม่เป็นทาสอวิชชา



[๑] นิวรณ์  :  สิ่งห้ามกันจิตไว้มิให้บรรลุความดี มี ๕ ประการ คือ ความพอใจรักใคร่
[๒] สังวร   :  ความระวัง ป้องกัน
[๓]   นิรพาน   นิพพาน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

2549-11-04 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


西元二○○六年歲次丙戌九月十四日          大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙  สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  พึงดำรงชีวิตอย่างผ่อนคลาย               ความโล่งใจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
เพียงทำใจของตนให้เป็นอิสระ               ตื่นอยู่กับขณะปัจจุบัน
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  ยิ่งมองมากกลับยิ่งเกิดอุปสรรค           สรรพสิ่งหากคิดรวมจักยิ่งแตกแยก
ความเห็นคนอย่าได้พึงเข้าจำแนก           อันสิ่งแรกที่ควรทำคือสงบใจ
ชีวิตคนหลีกไม่พ้นความวุ่นวาย               เข้าไม่ได้ออกไม่ได้ก็หลายครั้ง
แม้เข้าใจไม่รู้ทำอย่างไรบ้าง                  ต่างอยู่ผิดที่ผิดทางหรืออย่างไร
แท้ที่จริงทุกชีวิตดีอยู่แล้ว                      เพียงน้องแก้วรู้จักจะใช้ชีวิต
อันเวลาอย่าเอามาเงื่อนไขติด                แต่ถูกผิดต้องแยกแยะอย่างชัดเจน
ใช้ปัญญามองย้อนในตัวตนนี้                 ทำสิ่งที่ควรทำลงไปก่อน
พูดสิ่งที่ควรพูดเท่านั้นไม่ร้าวรอน           เปลี่ยนสิ่งที่ควรเปลี่ยนก่อนเป็นมงคล
คนประกอบด้วยความคิดเป็นที่ตั้ง          ต้องระวังความเคยชินเป็นข้อใหญ่
ละอัตตาที่พาให้ทางตันไป                    ละจิตใจที่คิดร้ายเป็นผลดี
น้องรู้ไหมสามารถพาตนดีขึ้น                 ที่เมามึนไม่ใช่เพราะโลกวุ่นวาย
แต่ลุ่มหลงเพราะจิตใจไม่ผ่อนคลาย        อย่าปล่อยให้สายเกินไปค่อยรู้ตัว
มาฟังธรรมต้องเปิดใจเปิดประตู             การเรียนรู้เป็นเรื่องแห่งบัณฑิต
การปฏิบัติต้องลงมือด้วยชีวิต                มาลิขิตชีวิตตนพ้นทุกข์เทอญ
การก้าวสู่ทางธรรมไม่เบามือ                ความยึดถือต้องค่อยละชนะได้
อย่าเผอเรอตามกิเลสไปหนใด               ความตั้งใจต้องมากมายจึงพ้นบ่วง
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม              ขอให้นำจิตศรัทธาเหนือกังขา
จงมองดูโลกนี้คือมายา                         เข้าใจทันบำเพ็ญหาทางหลุดพ้น
จงตั้งใจรักษาระเบียบให้เคร่งครัด          ข้อจำกัดไม่ใช่ผูกโซ่ตรวน
จิตใจมีความมั่นคงไม่เรรวน                   จงทบทวนรู้แล้วปฏิบัติเป็นหนึ่งเดียว
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป               ศิษย์พี่ได้รับบัญชาคุมชั้นเรียน
หวังศิษย์น้องจะเข้าใจด้วยพากเพียร       การจะเปลี่ยนตนเองต้องรีบทำ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                                     ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙  สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระนาจา

  เสียงอันดังไม่สู้ความสงบเงียบ             ปรุงรสเข้มย่อมยากเปรียบรสธรรมชาติ
ยิ่งแต่งเติมให้โดดเด่นเพราะรู้สึกขาด       แต่ไม่อาจเติมสิ่งที่สมบูรณ์แต่เดิม
                        เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์น้องทุกท่านอยากศึกษาธรรมกับศิษย์พี่หรือเปล่า

  อะไรเกิดในใจไม่ทันเห็น                     ตัวรอดเป็นง่ายใฝ่ไร้ขอบเขต
ยิ่งคนเมืองเรื่องแสวงเก่งพิเศษ               ถูกกิเลสลวงง่ายหมั่นสะกิดตน
ยุ่งยากให้ถูกเรื่องประโยชน์ใหญ่             ตั้งใจทำอะไรง่ายเพราะฝึกฝน
บารมีมากหมู่คนยิ่งเสริมตน                   ไม่สับสนเลยใจยุ่งไม่มี
ช่างไม่ง่ายเมื่อให้แก้ไขซ้ำ                      รู้ง่ายทำไม่ง่ายบำเพ็ญนี้
จิตราบเรียบได้เพราะสติดี                    ครวญใคร่ว่าแต่นี้บำเพ็ญธรรม
ง่ายพยายามดีฝึกง่ายแรงกุศล               อยู่รับผลกินทนและอุปถัมภ์
ทะเลเรียบไม่ใช่ไร้แรงกรรม                   ขณะง่ายแต่ให้สม่ำเสมอไป
หากมักง่ายอยู่เรื่อยเปลี่ยนลิขิต              ทั้งชีวิตนี้คนยากเพราะนิสัย
กล้าอยากได้สิ่งให้คุณทั้งหลาย              ทว่าเกินพอดีไปทำลายตัว

ใจมีเที่ยงสิ่งนี้บ่มปัญญา                       ผู้ประเสริฐใช้ปัญญาไม่มึนหัว
อัตตายังหมดไม่พอชนะตัว                    ใจพร่ามัวใช้ธรรมชำระใจ
                                                                                            ฮิ  ฮิ   หยุด




    คนดีจิตใจไม่ลืมจะดีต่อกัน  หลายหนบ่อยครั้งก็คล้ายจะเฉยเกินไป  เจอกันแต่ไกลรีบเดินมาทัก  เผยยินดีให้ทั่วไป
คนมีรอยยิ้มเพื่อเป็นสะพานผูกมิตร  ไม่ว่าอะไรไม่ว่าใครคิดยังไง  อย่ายอมถอดใจ ศรัทธาเท่านั้น ที่พาตนไปได้ไกล  มั่นในความดี
** เปล่งความจริงใจรัก คำพูดจาอ่อนหวาน ท่าทางธรรมดา ที่ตั้งใจไว้ภายใน   สุขในการได้รับ ไม่สู้การอุทิศไป   เมตตาไว้ใครก็เป็นมิตรกัน
    บำเพ็ญจิตใจมุ่งหวังผ่อนคลายต่อกัน  ในความเกี่ยวพันก็เหมือนว่าถือเกินไป  ยังการอภัยไม่รู้แตกร้าว  เมื่อเห็นใจไม่เห็นผิด
    ซ้ำ  ( * / ** )
    ลองถามใจของตน  อยากมีแต่มิตร ให้ทำอย่างไร   หัดทำหน้าบึ้งน้อยหน่อย  สอนแนวรับคน  สุภาพชนต้องสำรวมหัวใจตนบ่อยครั้ง

ชื่อเพลง : วิถีผูกมิตร
ทำนองเพลง : คนที่ไม่เข้าตา
                        พระโอวาทพระนาจา
ไหนใครมาฟังตรงนี้รู้สึกมีความสุขสองเท่าบ้าง ใครไม่มีความสุขเลย จะยิ้มอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก เมื่อไหร่จะจบเมื่อไหร่จะหมดวัน  เขาบอกว่าเวลาของคนที่มีความสุขนั้นแสนสั้น แต่เวลาของคนที่มีความทุกข์นั้นแสน (ยาว)  ตอนนี้รู้สึกเวลาสั้นหรือเวลายาว (สั้น)
เคยได้ยินคำพระพูดบ่อยๆ อยู่ก็ดี ไม่อยู่ก็ดี นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี มีก็ดี ไม่มีก็ดี  ถ้าเข้าใจตรงนี้จะรู้จักความสุขสองเท่า แต่ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้จะไม่มีความสุขเลยในปัจจุบันทันที แต่จะมีความสุขในอนาคตกาลข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ที่บอกว่านั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี อยู่ก็ดี ไม่อยู่ก็ดี เข้าใจไหม  ท่านพูดอย่างนี้สอนให้เราได้คิดนะ คิดอะไรที่เป็นสุขสองเท่า  ถ้าเราบอกว่า ไม่อยากนั่งเลยกลับดีกว่า กลับไปดูทีวีมีความสุขกว่าเยอะ กับอีกแบบหนึ่ง ฟังก็ดีเหมือนกันนะ ฟังไปเรื่อยๆ ก็น่าสนุก  พอกลับบ้านไปก็มีเรื่องดีๆ เข้าใจไหม  นั่นหมายความว่าอยู่ตรงนี้เราพอใจแล้ว เราเป็นแบบนี้เราก็ดี นั่นคือคนที่สามารถมีสุขกับปัจจุบัน มีสุขกับทุกขณะได้ พอมีอะไรเพิ่มขึ้นมาพิเศษก็กลายเป็นคนที่ได้สุขสองเท่า
เราอยู่บนโลกนี้ถ้าอยากมีความสุขในปัจจุบันขณะนี้เลย ไม่ต้องไปวาดฝันว่าฉันรวยแล้ว ฉันจะมีความสุข ฉันถูกล๊อตเตอรี่แล้วฉันจะมีความสุข แค่คิดว่าวันนี้มีสองบาทก็มีความสุข แม้ไม่ถูกล๊อตเตอรี่เราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าถูกเราก็ได้สุขสองเท่า ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ถ้าหากว่ามนุษย์ทุกคนพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี และมีสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ก็จะอยู่กับเรา แล้วไม่หนีเราไปไหนด้วย
โดยส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยพอใจ  ตาก็ตี่ หัวก็เถิก พุงก็โต ขาก็ใหญ่ ไม่สวยเลย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เคยได้ยินไหมว่า ถึงตาโต พุงใหญ่ หัวล้าน เราก็มีความสุข  พอเราเติมอีกนิดหนึ่ง เขาก็ชม แต่พอเราไม่เติมเขาก็ยิ้มแย้ม นั่นแปลว่าทั้งเติมและไม่เติมเราก็มีสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ถ้าไม่ได้เติมปาก ไม่ได้ทาตา ออกไปไม่มั่นใจ ถ้าไม่แต่งให้ดูดีโดดเด่นจะรู้สึกว่าไม่เชื่อมั่น กลายเป็นว่า เราต้องไปฝากความสุขไว้กับสิ่งที่ต้องเติมขึ้นมา ทำไมเราไม่มั่นใจในตนเอง แล้วเคยไหม เติมมากๆ ก็ไม่มั่นใจ รู้สึกอายตัวเอง ไม่กล้าออกไป มันดูดีเกินไป กลายเป็นว่าไม่สุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
เสียงอันดังไม่สู้ความสงบเงียบ
ปรุงรสเข้มย่อมยากเปรียบรสธรรมชาติ
ถ้าอะไรเราก็คิดว่าดูดี การพูดด้วยความโมโหก็จะไม่เกิด แต่จะกลายเป็นความเห็นใจ และคำพูดที่ทิ่มแทงก็จะไม่เกิดจากเรา เพราะอะไรๆ ก็ดูดีหมด เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่มีคำพูดที่เจ็บปวดไปทำร้ายใคร เพราะหัวใจเรารับได้ทุกสภาวะ แต่เรามักเป็นอย่างไร เรามักจะฝากสุขไว้กับอนาคต มักไม่พอใจกับสิ่งปัจจุบัน ถูกไหม (ถูก)  พอเขาเป็นแบบนี้ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น พอเขาเป็นแบบนั้นก็น่าจะเป็นแบบนี้
ยิ่งแต่งเติมให้โดดเด่นเพราะรู้สึกขาด
ในโลกนี้เพราะมีความสงบเงียบจึงบังเกิดเสียงดนตรีอันไพเราะ เพราะมีความสงบเงียบจึงบังเกิดการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ทั้งมวลขึ้นมา ลองดูสิใจที่วุ่นวาย ใจที่ปั่นป่วน จะคิดอะไรออก แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เรากลับชอบสิ่งวุ่นวายมากกว่าสิ่งสงบเงียบ ทั้งที่ยิ่งนั่งเงียบเท่าไหร่ แล้วสมาธิแน่วแน่เรายิ่งเกิดปัญญาไม่ใช่หรือ (ใช่)  เหมือนกินข้าวมื้อกลางวันนี้ไหม ข้าวขาหมู ไหนขาหมู เห็นแต่ผักกาดดอง เริ่มต้นก็ไม่อร่อยแล้ว พอกินเข้าปาก ทำไมรสแบบนี้ พอปรุงเข้าไปอีก เติมน้ำตาล เติมน้ำส้ม เติมซีอิ้ว มันก็ไม่อร่อย เลยกินข้าวมื้อนี้ไม่อร่อยเลย
เราอยากบอกท่านว่า ถ้าเริ่มต้นก็รู้สึกปฏิเสธแล้ว กินอย่างไร ปรุงอย่างไรก็ไม่อร่อย แต่ถ้าบอกว่าคิดได้อย่างไรขาหมู แปลกดีต้องลองกิน ขาหมูอย่างนี้เอง กินไปก็รู้สึกสร้างสรรค์ บันเทิงใจ ฉะนั้นบางครั้งถ้ารสธรรมชาติเดิมแท้เราว่าอร่อยแล้ว เวลาจะปรุงก็ปรุงง่าย แต่ถ้าเกิดตอนนี้ใจมันกร่อยแล้ว ปรุงอย่างไรก็ปรุงไม่อร่อย ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นต้องพอใจในสิ่งดั้งเดิมที่ตัวเองมีอยู่  เราจึงจะสามารถมีใจสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างงดงาม แต่ถ้าเรายังไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี  แล้วเราจะสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาด้วยความมั่นใจหรือไม่
วันนี้เรามาฟังธรรมะ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามาเพื่อ ลด ละ เลิก สมถะ ปล่อยวาง แต่เราจะบอกท่านว่า การฟังธรรมะไม่ใช่ให้รู้จัก ลด ละ เลิก อย่างเดียว  แต่ยังต้องรู้จักเข้าใจจิตเดิมแท้ หรือรากฐานความเป็นมาเดิมแท้ของตัวเราด้วย ถ้าไม่เข้าใจ เราจะใช้ตัวเรานี้อย่างไร
เหมือนกับเรากำลังจะขึ้นเรือ แต่เราไม่รู้เลยว่าเรือนี้เป็นอย่างไร ต้องใช้อะไร จะพายเรือนี้ไปรอดไหม (ไม่รอด)
ถ้าเรือนี้ติดเครื่องยนต์ ท่านก็ต้องศึกษาเครื่องยนต์ให้ชัดเจน ตัวไหนคันเร่ง ตัวไหนเบรก แล้วอย่าลืมตรวจด้วยว่ามีน้ำมันหรือยัง
เรือก็เหมือนกับชีวิตท่าน บางครั้งมีทุกอย่างพร้อม แต่เราขาดพลังงานแห่งจิตใจ บางครั้งชีวิตเรามีเครื่องยนต์พร้อมเสร็จสรรพ แต่เราขาดน้ำมันเติมใจ บางครั้งเรือท่านก็เหมือนติดมอเตอร์ บางครั้งเรือท่านก็เหมือนเรือแจว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วอะไรที่สามารถดลบันดาลให้เรือลำนี้เป็นเรือติดมอเตอร์หรือเรือลำนี้กลายเป็นเรือแจว เคยรู้ไหม  ทำไมบางครั้งถึงกระตือรือร้น อยากมีชีวิตอยู่สนุกสนาน แต่บางครั้งเบื่อไม่ไปไหน อยากอยู่เฉยๆ อะไรล่ะเป็นพลังงานแห่งจิตใจ พลังใจเกิดจากคนอื่นเติมให้ หรือว่าตัวเราเติมเอง บางคนชอบพลังจากคนอื่นเติมให้ เขาเติมความรักให้หัวใจมันพอง เขาชมเรา เรามีกำลังใจอยากทำงานต่อไป แต่พอเขาด่าเรา ชาร์จเท่าไหร่ ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  แต่บางคนเป็นเรือที่จอดนิ่งหาคนขับไม่ได้เลย ปล่อยชีวิตไปวันๆ อยากอยู่เฉยๆ แล้วก็ถามว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้ แล้วก็ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ก่อนที่เราจะมาฟังอะไรมากกว่านี้  เราจะทำอย่างไรให้รู้ว่าเราเป็นเรืออะไร อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ตอนนี้ท่านรู้ไหมว่าท่านเป็นเรืออะไร  เราพูดเรื่องเรือเพราะตอนนี้น้ำกำลังท่วม ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักมีเรือให้กับตัวเอง ช่วยชีวิตตัวเอง
แล้วเรารู้ไหมว่าเราเป็นเรืออะไร จะรู้ได้อย่างไร ต้องหันกลับมามองตัวเองนะ แล้วลองถามตัวเองว่าตอนนี้เราเป็นคนประเภทไหน เราเป็นเรือแจว หรือเป็นเรือมอเตอร์
อะไรทำให้เรากลายเป็นเรือแจว อะไรทำให้เรากลายเป็นเรือมอเตอร์ได้ มองให้ออก เมื่อมองออกแล้วการจะดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าหากว่าตัวเองยังมองตัวเองไม่ออกแล้วพยายามเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปก็อาจจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่นได้ เพราะทำในสิ่งที่เรียกว่ากลับตาลปัตร สิ่งที่ควรทำกลับไม่ยอมทำ สิ่งที่ไม่ควรทำกลับเผลอไปทำใช่หรือไม่ (ใช่)
มีศิษย์น้องหลายคนในที่นี้ถ้าไม่ใช่ประชุมธรรมก็ไม่มา เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงใช่ไหม ต้องมาชาร์จแบตใหม่ถึงจะมีกำลังใจสู้ต่อไป ถึงจะมีกำลังใจที่จะมาบำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)
(นักเรียนในชั้นร้องเพลงต้อนรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
อยากนั่งหรือยัง ยืนก็ดี นั่งก็ดี ใช้กับตอนที่เขาไม่ให้เรานั่งใช่ไหม คิดอย่างนี้จะได้มีความสุข แต่ถ้าตอนนี้เขาให้เรานั่งเราก็นั่ง นั่งดีหรือยืนดี (นั่งดี)  เบื่อหรือยังเก้าอี้ตัวนี้ พรุ่งนี้นั่งอีกวันเอาไหม (เอา)  ตั้งแต่เล็กจนโตเราตามใจตัวเองมาบ่อยแล้ว วันนี้จะลองฝืนใจแล้วทำในสิ่งที่คนอื่นยากทนแต่เราทนได้ใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าสองวันก็ดี (ดี)  ตกลงเปลี่ยนเป็นประชุมสามวันเอาไหม (เอา)  อย่าพูดเรื่อยเปื่อยนะไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดเรา ตอนนั้นเราเป็นนายของตัวเรา อย่าปล่อยให้คำพูดมากำหนดเรา
วันนี้สิ่งที่เราพูดจะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านรู้ว่าตัวท่านนั้นเป็นแบบที่เราพูดหรือไม่ ออกไปข้างนอกเจอของหลายๆ อย่างที่ทำให้เราอยากได้และไม่อยากได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเคยเห็นของคล้ายๆ กันแต่ราคาต่างกันไหม (เคย)  ถ้าหากเราบอกว่ามีของจริงแต่ราคาสูง กับของปลอมราคาปานกลาง กับของอีกประเภทหนึ่งเหมือนของจริงมากและราคาปานกลาง เลือกของชนิดไหน คิดให้ดีๆ นะ
เราถามเสียงทั้งห้องใครต้องการของจริงแต่ราคาสูงยกมือขึ้น แล้วท่านเคยซื้อของปลอมใช้ไหม (เคย)  ว่าแล้วเชียว ไหนใครยอมรับตัวเองเอาของปลอม ไหนใครเลือกของที่เหมือนจริงมากแต่ราคาปานกลาง แล้วถ้ามารู้ทีหลังว่าเป็นของปลอมจะเสียใจไหม ถูกกว่าของจริงแค่นิดเดียว
อยากรู้ไหมว่าเราพูดอะไร วันไหนที่เราทำของแบบหนึ่งมาแล้วถูกคนอื่นเลียนแบบแล้วตัดราคา เราจะเกลียดเขาไหม โกรธเขาไหม ด่าเขาไหม เราอยากบอกท่านว่าเหมือนคนพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาแล้วดีมากๆ แต่พอทำสำเร็จขึ้นมาได้เป็นรูปเป็นร่าง ปรากฏว่ามีอีกคนทำมาเลียนแบบ แถมยังราคาถูกกว่า เราแค้นเราท้อใจ เราจะไม่ทำดีอีกต่อไปแล้ว เราจะรู้สึกน้อยใจว่าทำไมลูกค้าที่เคยซื้อของเราจึงเปลี่ยนไปซื้อของปลอม
แล้วถ้าเกิดคนที่ทำของจริงเกิดท้อใจแล้วหวังแต่ผลกำไร เลยทำของปลอมบ้าง ทำไปด้วยความเจ็บใจอยากเอาชนะคนทำปลอม ดีไหม (ไม่ดี) เราควรรักษาคุณภาพของดีของเราไว้ เมื่อมั่นใจว่าเราซื้อสิ่งที่ดีเพื่อให้คนทำดีมีกำลังใจ ซื้อแพงหน่อยโดนคนเย้ย เราอย่าท้อใจ เราต้องบอกว่าเราสนับสนุนคนดีให้ได้ดีตลอดไป แล้วถ้าเรายังมั่นใจซื้อของจริงตลอด เราก็คือคนที่สนับสนุนคนดีให้ทำดีตลอด แล้วจะทำให้คนที่ทำดีอยู่นี้รู้ว่ายังมีลูกค้าที่รักเขาและยังเชื่อมั่นในฝีมือเขา
ฉะนั้นซื้อของลองย้อนหันมาดูการกระทำของเราด้วย เหมือนบางครั้งเราทำดีไปได้สักระยะหนึ่ง เราก็คือคนที่ไม่สามารถรักษาศักยภาพแห่งความดีที่มีอยู่ในตัวเราให้มั่นคงได้ ฉะนั้นซื้อของปลอมจงยั้งคิดสักนิดหนึ่ง
ในทางกลับกันถ้าเราคิดอย่างคนที่ไม่ยึดติดแล้ววางกรอบ ไม่ระแวงเกินไป เราจะสามารถสร้างศักยภาพและคุณภาพของคนให้กว้างใหญ่ได้ ลองคิดดูเราทำแบบนี้แทบเป็นแทบตายได้ราคานี้แต่เขาคิดได้อย่างไรแล้วทำราคาต่ำกว่า ถ้าเราเปิดใจกว้างเราจะไม่โกรธเขาแล้วเราจะเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ เมื่อทุกคนต่างเห็นใจกันแล้ว เราก็คิดเสียว่าเราขายราคาระดับนี้ให้คนที่มีฐานะระดับนี้ คนอื่นอยากขายถูกกว่าก็ให้สำหรับคนที่ระดับรองลงมา ฉะนั้นถึงจะมีคนเลียนแบบเรา เราก็จะไม่โกรธ เราคงมีความมุ่งมั่นที่จะทำดี ฉะนั้นเจอคนเลียนแบบ จงภูมิใจ ที่เราบอกแบบนี้เพราะเราอยากให้ท่านได้รู้ว่าในสังคมนี้ เมื่อเราต้องเจอเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่คาดคิดหรือเราไม่อยากให้เป็น จงเปิดใจให้กว้างแล้วเราจะรู้ว่ามีมุมมองที่น่ารักได้ แล้วเราจะไม่ทำร้ายใครและไม่เกิดกิเลสในใจ แต่เป็นการขัดเกลาใจเราให้รู้สึกผ่อนคลายไม่ยึดติดไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายหรือเรื่องดีเรือนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างมีความสุข
เรื่องต่อไปแล้วนะ ขออาสาสมัครสามท่าน เอาคนสูงหนึ่งคน อ้วนหนึ่งคน แล้วก็ตัวเล็กหนึ่งคน  ขอแก้วน้ำสี่ใบ น้ำสองเหยือก เดี๋ยวจะให้สามท่านนี้ถือแก้วน้ำไว้แล้วก็หันหลัง แล้วเราจะถามศิษย์น้องในชั้นนี้ว่าแก้วที่อยู่ในมือเขา เราควรจะเติมน้ำให้เขาเท่าไหร่ถึงจะพอดี
ท่านว่าคนสูงจะเติมน้ำประมาณเท่าไหร่ถึงจะพอดีเขา (ครึ่งแก้ว, สามในสี่, เต็มแก้ว)  เราอยู่ด้วยกันในโลก บางครั้งเรายากจะเดานิสัยอะไรได้ บางทีเราต้องดูองค์ประกอบจากภายนอกแล้วถึงจะทะลุเข้าไปถึงภายใน ถูกไหม (ถูก)  ตอนนี้เราให้ท่านอยู่ร่วมกันแล้วฝึกเดาใจกัน ดีไหม (ดี)  คนแรกมีทั้งเต็มแก้ว และครึ่งแก้ว และสามในสี่ คนที่สอง คิดว่าควรให้น้ำเขาเท่าไหร่ (สองแก้ว, สี่แก้ว)  คนที่สาม (แก้วเดียว)
เฉลย หันหน้ามา โชว์น้ำให้เขาดู ถ้าท่านบอกว่าเติมเต็มแก้ว เขาก็จะล้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เติมสามในสี่ก็กำลังดี แต่ถ้าท่านนี้บอกสี่แก้ว ล้นแน่นอน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วท่านนี้ล่ะถ้าท่านบอกเติมเต็มแก้วก็ยังปริ่มๆ ถูกหรือไม่
ฉะนั้นมาตรฐานหรือความเข้าใจเวลาเราอยู่ในสังคมเราจะเอามาด่วนตัดสินคนทุกประเภทได้ไหม  ความหวังดี ถ้ามากเกินไปเราก็จะรู้สึกอึดอัด หรือความเชื่อมั่นของใครก็ตามที่มีกับเรามากเกินไป แล้วบังคับให้เราต้องทำอย่างนี้ เรารู้สึกอึดอัด เหนื่อยแล้วก็เบื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มาก เราจะเอามาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่งมาวัดคนทั้งร้อยคนได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะเอาการตัดสินแค่ดูภายนอกแล้ววัดใจเขาได้ไหม (ไม่ได้)
อย่าตัดสินเพียงแค่แพ้ชนะ หรือดีเลวตามที่คนอื่นพูด เพราะบางครั้งคนแพ้ก็มีคุณค่าแห่งความพยายามที่น่านับถือ คนที่กลายเป็นคนไม่ดี เขาก็อาจจะมีเจตนาอะไรดีๆ ที่ทำเพื่อใครอยู่ก็ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจเสมอ แม้สังคมจะวัดว่าเขาเป็นคนเลว เราก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
จงจำไว้ว่าอยู่ในโลก อย่าเป็นคนที่ยอมรับอย่างเดียวหรือปฏิเสธอย่างเดียว  แต่ในการยอมรับยังมีปฏิเสธได้ด้วย แล้วในปฏิเสธนั้นก็ต้องพร้อมจะยอมรับด้วย เราถึงจะเป็นคนที่มีเมตตาอย่างกว้างขวางที่สุด แล้วเป็นคนที่ไม่โกรธใครง่าย ดีไหม
เบื่อไหมกับนิสัยของตัวเองที่ชอบโกรธคนเหลือเกิน (เบื่อ)  ใครที่รู้ว่าโกรธแล้วก็จะหงุดหงิดเหนื่อยใจแล้วก็ยังจะโกรธ ใครที่รู้ว่ารักมากๆ แล้วจะต้องเสียใจก็ยังเผลอไปรัก แล้วใครที่รู้ว่าตัวเองทุกข์ขนาดนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย แต่ก็ยังปล่อยให้ตัวเองทุกข์ ฉะนั้นไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากบ่อ หรือผลักเราตกบ่อ เท่ากับตัวเราเอง จริงไหม (จริง)  แล้วถามหน่อย คนติดเหล้าหรือเหล้าติดคน (คนติดเหล้า)  สังคมไม่ดีเลยทำให้คนไม่ดี หรือว่า สังคมเป็นอย่างนั้นแต่เราไม่ดีเอง (เราไม่ดีเอง)  เพื่อนด่าเรา เราก็เลยต้องโมโหเพราะเพื่อนด่า หรือว่าเราอดทนไม่ได้เอง (เราอดทนไม่ได้เอง)
บำเพ็ญจิตใจมุ่งหวังผ่อนคลายต่อกัน  ในความเกี่ยวพันก็เหมือนว่าถือเกินไป  ยังการอภัยไม่รู้แตกร้าว เมื่อเห็นใจไม่เห็นผิด
ถ้าเราอยู่ร่วมกัน เราต่างเห็นใจกัน เราต่างพยายามเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราพยายามเปิดกว้างแล้วพยายามยอมรับให้ได้ สักวันหนึ่งเราจะเข้าใจเอง ถูกไหม (ถูก)  เหมือนตอนแรกเราทำของดี แล้วเจอคนเลียนแบบ แต่เราก็แอบซื้อของเลียนแบบเหมือนกัน เพราะมนุษย์ง่ายในการเผลอไผล ถูกไหม (ถูก)
เราโกรธที่คนอื่นทำผิด แต่เราไม่ค่อยโกรธตัวเองเมื่อตัวเองทำผิด ใช่ไหม (ใช่)  เราเคยอึดอัดเมื่อพ่อแม่บีบบังคับให้เราทำโน่นทำนี่ หรือความหวังดีที่มีมากเกินไป แต่สักวันหนึ่งที่เรารักใครเท่ากับที่พ่อแม่รักเรา เราก็จะเข้าใจหัวอกคนๆ นั้นได้ทันที จริงไหม (จริง)  แต่ตอนนี้เรายังไม่รักใครมาก เราจึงยังไม่ค่อยเข้าใจพ่อแม่ เคยไหมเมื่อรักใครมากๆ แล้วเขาไม่เป็นดั่งหวัง มันทั้งแค้นทั้งเจ็บทั้งโมโหใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีสติยั้งคิดสักนิดหนึ่งนะ เรายังผิดได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นจะไม่เผลอ ไม่ผิดบ้าง
สิ่งที่เรียกว่าหลักธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ตัวเรารู้จักยั้งคิดได้ไหม ใจกว้างได้หรือเปล่า อดทนได้ไหม คำว่า พุทธะบนแดนโลก จึงไม่ได้อยู่ไกล เพราะอยู่ในตัวเรา และเราก็พร้อมจะเป็นได้ อยู่ที่ว่าเราอดทนให้ถึงที่สุดไหวหรือเปล่า ยอมให้ถึงที่สุดได้หรือไม่ เคยไหมที่ยอมเสียเปรียบ ทั้งที่รู้ว่าเขาเอาเปรียบแต่ก็ยอมไปเรื่อยๆ สักวันจะเปลี่ยนคนที่เอาเปรียบให้เป็นคนที่รู้จักให้ได้ แต่เราต้องอดทนให้มากที่สุด
มนุษย์ทุกคนมีเวรกรรมเป็นของตัวเอง มักจะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทำดีมาแทบตาย แล้วทำไมถึงโดนแบบนี้ ก็เหมือนกับท่านทำของดีมาอย่างหนึ่งแต่ลูกค้ากลับไปซื้อของเลียนแบบนั่นแหละ ใช่หรือเปล่า  ทำไมยังซื้อล่ะก็รู้อยู่ว่าอันนี้ก็อร่อย แต่อีกอันเขาทำเลียนแบบก็อยากลองชิมบ้าง บางทีเรารู้สึกว่าก็งบประมาณมีจำกัด  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นก็เหมือนกัน ทำไมเขาจึงทำกับเราแบบนี้  ถ้าคิดให้ดีเราก็จะสบายใจและไม่สร้างศัตรูเพิ่ม แต่จะสามารถเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรได้
การศึกษาบำเพ็ญธรรม ไม่ต้องลดละเลิกอะไร แค่เข้าใจแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ให้ดี  เราก็จะมองแต่ละคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจเลย  เคยได้ยินไหมว่า ชีวิตเหมือนเดินหมากรุกหนึ่งกระดาน ถ้าเดินได้ถูก ก็ปลงได้ชัด เราก็เป็นฝ่ายที่รุกและนำตลอด  และทำให้การเดินหมากกระดานนั้นมีชีวิตชีวา  แต่ถ้าเดินผิดแก้ปมผิด เราก็กลายเป็นฝ่ายที่ต้องถูกกินตลอดเวลา ฉะนั้นอยู่ที่ตัวเราเองนะ เราก็เหมือนหมากรุกตัวหนึ่ง เดินให้ดีเดินให้ถูก เราก็สามารถทำชีวิตนี้ให้มีความสุขและมีชีวิตชีวาในการเป็นคนได้
ในชั้นนี้มีเด็กวัยรุ่นด้วย เรามักจะบอกว่าธรรมะนั้นเป็นของคนสูงอายุ จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  ถ้าเช่นนั้นเราให้ธรรมะที่เข้ากับวัยรุ่นดีไหม (ดี)
เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ยิ้มยาก เราว่าพ่อแม่ไม่ค่อยยิ้ม ตัวเราก็ไม่ค่อยยิ้มเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากรู้จักใครไม่ยากเลย  เราเห็นแต่ไกลแล้วว่าอยากรู้จักคนนี้ ก็ยิ้มให้กว้างๆ ยิ้มให้โดดเด่น แล้วยิ้มมาแต่ไกล  รับรองอย่างน้อยเขาต้องคิดว่าบ้า แต่เขาก็อยากสนใจเราใช่ไหม (ใช่)  พอหันไปคุณน่ารักจังเลย ฉันอยากเป็นเพื่อนกับคุณจังเลย  ไม่ใช่หน้าบึ้งแต่ไกล เขามีแต่เดินหนีถูกหรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง วิถีผูกมิตร ทำนองเพลง คนที่ไม่เข้าตา)
คนทุกคนมีความสามารถแตกต่างกัน ดูกันภายนอก วัดกันภายนอกไม่ได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้นที่ออกมานำร้องเพลง)
ร้องได้ดี อยากดังในโลกธรรมะ หรือดังในโลกข้างนอก (ดังทั้งสองอย่าง)  แต่ถ้าศิษย์พี่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีใครในโลกที่จะดังทั้งข้างนอกและดังทั้งข้างในนะ ถ้าดังข้างนอก ข้างในก็จะไม่มีเวลา แต่ถ้าดังข้างใน ตายไปก็มีที่ให้เทวดาอยู่ มนุษย์ส่วนใหญ่ติดกับความมีชื่อเสียงและมีความโดดเด่น ชอบให้คนชม และอยากเป็นที่รักของใครๆ หรือโดดเด่นกว่าใคร แต่อย่าลืมนะว่าถึงจะเด่นขนาดไหน สักวันหนึ่งก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นธรรมดาสามัญ ถ้าความธรรมดาสามัญยังรักษาให้ดีไม่ได้ ความโดดเด่นก็อยู่ได้ไม่นาน ถ้าเราอยากจะเป็นคนโดดเด่นและดี สู้งามเริ่มต้นตั้งแต่ภายในแล้วก็ค่อยๆ ออกไปสู่ภายนอก เริ่มต้นตัวเองดีกว่านะ ทำให้ดี ทำให้พร้อม แม้ไม่มีอะไรเติมแต่งเราก็งดงามและมีคุณค่าได้ ช้าหน่อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครเห็น
เหมือนศิษย์น้องท่านเมื่อครู่นี้ถ้าดูแล้วก็เหมือนกับคนธรรมดา แต่พอร้องเพลงปุ๊บก็โดดเด่นขึ้นมาเลยใช่ไหม (ใช่)  เสียงดี แต่อย่าให้ดีแต่เสียง ศิษย์พี่ไม่อยากให้ศิษย์น้องเน้นไปข้างนอกมาก ถึงเวลาพอเราออกไปข้างนอกมากๆ แล้วเราจะถามตัวเองว่า เราเคยได้อยู่กับเพื่อน พอวันหนึ่งไม่มีเพื่อนสักคน เราอยู่ด้วยตัวเองคนเดียว มีความสุขไม่เป็น เรากลับเบื่อ ไม่รู้จะทำอะไรดี
คุณค่าของศิษย์น้องมีเยอะแยะ และเราสามารถเสกสรรบันดาลได้ด้วยการที่เราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วรู้จักเอาสิ่งที่ตัวเองมีนั้นเผื่อแผ่ให้คนอื่นบ้าง คุณค่าของมนุษย์ยิ่งใหญ่ได้เพราะรู้จักให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินอย่างเดียว แต่ให้อภัย ให้ความเข้าใจ เหมือนที่น้องๆ ในชั้นนี้ต้องการมากที่สุดคือคนเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่งงานแล้ว นึกว่าภรรยาจะเข้าใจ บางทีคุยกันไปคุยกันมา ไม่เข้าใจฉันเลย แล้วกลายเป็นตัวป่วนที่สุดในชีวิตฉัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้มองตัวป่วนให้เป็นตัวเครื่องจักรกลตัวหนึ่ง ถ้าเกิดเราขาดตัวน๊อตตัวป่วนตัวนี้ เราอาจจะไม่มีความสุขก็ได้ ลองกลับด้านแล้วเราจะรู้ว่า เขาก็มีดีเหมือนกัน
เคยเห็นคนเมาเหล้าหรือคนที่ติดการพนันไหม พอติดมากๆ แล้วรู้สึกเป็นอย่างไร เรารู้สึกว่าเขาเสียคุณค่าความเป็นคนไปเลยใช่หรือไม่ แล้วเรารู้สึกว่าน่ารังเกียจไหม (น่ารังเกียจ)  คุยมาตั้งนานยังบอกว่าเขาน่ารังเกียจอีกหรือ อุตส่าห์บอกว่าให้เป็นคนเปิดใจกว้าง เมาอย่างนี้ก็เดินน่ารักได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่าอยากให้ท่านมองให้ดีเพราะว่าคนที่ติดการพนัน คนที่ติดเหล้า สามารถเป็นกระจกที่สะท้อนเราได้  แต่ก่อนเขาเคยติดเหล้าแบบนี้ไหม เคยติดการพนันแบบนี้ไหม ใครทำให้เราติดเหล้า (ตัวเอง)  เราเดินไปหาเหล้าหรือเหล้าเดินมาหาเรา (เราเดินไปหาเหล้า)  แล้วพอเหล้ามันอยู่ในตัวเรามากๆ เราก็เรียกหาเหล้าตลอดเวลา ใช่หรือไม่
ตอนนี้เรากำลังติดอะไร เดี๋ยวนี้ไม่มีเงินขาดใจตาย เราติดเงินใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราติดความสวย เราติดรัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็ปล่อยให้มันอยู่กับเรา ยอมรับว่ามันคือนิสัยของเรา เอามันออกไม่ดีกว่าหรือ (ดี)  โกรธให้เป็น รักให้ถูก อันไหนง่ายกว่า เอาออกหรือทำตัวให้น่ารัก โกรธอย่างไรให้น่ารัก แล้วรักอย่างไรไม่ให้ความรักกลายเป็นความหลงจนตาบอด อยู่ที่ตัวเราเองแล้วนะ คิดให้ออกแล้วทำให้ได้ ชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดเราก็มีธรรมได้ เข้าวัดเราก็ได้ธรรมกลับมาอีก มีสุขทั้งสองสถาน ถูกไหม (ถูก)
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าการดำเนินชีวิตทุกขณะคือการวัดจิตใจเราว่าเราจะอดทนได้ไหม เราจะให้อภัยได้ไหม หรือเราจะแปรความเกลียด ความโกรธเป็นความเมตตาได้หรือไม่
อย่าได้เป็นคนที่กับคนดีก็ไม่อยากอยู่ใกล้ กับคนชั่วก็ห่างไกลไม่ได้ อย่างนี้ก็จะไม่ต่างกับเนื้อก้อนหนึ่งที่วางอยู่บนเขียง แล้วรอให้เขาเชือดเฉือน เราเป็นแบบนี้หรือเปล่า  อยู่ใกล้คนดีก็อยู่ไม่รอด จะห่างจากคนเลวก็ถอยห่างไม่ได้ กลายเป็นคนไม่รู้จะดีหรือไม่รู้จะเลวกันแน่
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก จะยากก็ตรงที่คนไม่คิดจะกระทำ ขอเพียงฝืนตัวเองนิดหนึ่ง อดทนให้มากหน่อย ยอมให้มากหน่อย ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยากหรอก ทำอะไรคิดถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตัวเล็กน้อย เราก็ยากจะทำร้ายใครให้เจ็บปวดได้ จริงไหม
อยากกลับบ้านหรือยัง  วันนี้กลับบ้านเย็นหน่อยได้ไหม (ได้)  กลับไปเย็นเจอเขาลอยกระทงรู้สึกอยากลอยไหม (อยาก)  เราลอยกระทงเพื่ออะไร (ขอขมาพระแม่คงคง)  ขอแค่อย่าลืมเจตนาของการลอยกระทง  ลอยกระทงก็เป็นการลอยที่มีความหมาย ไม่ใช่อยากลอยกระทงเพื่อที่จะเอาพลุเอาประทัดไปยิงใส่คนให้ตกใจเล่น อย่างนี้ก็เป็นการลอยกระทงเพื่อทำร้ายคน
เราลอยกระทงเพื่ออะไร (ขอขมาพระแม่คงคา)  ขนาดน้ำเรายังมีวันหนึ่งขอขมา แล้วพ่อแม่ที่มีหัวจิตหัวใจ เราเคยมีวันหนึ่งขอขมาบ้างไหม  ถามเด็กๆ หน่อยนะ ขนาดน้ำเรายังรู้จักขอขมาและขอบคุณ แล้วเราเคยมีวันที่ขอบคุณหรือขอขมาคนที่ดูแลและรักเราที่สุดบ้างหรือไม่
วันนี้ใครโดนบังคับให้มาฟังบ้างไหม  เปลี่ยนจากความรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกโดนบังคับเป็นขอบคุณเขาดีกว่านะ ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้ก็คือจิตสำนึกขอบคุณ ถ้าเราไม่มีจิตสำนึกขอบคุณผู้มีพระคุณ แล้วเราจะเป็นคนที่ดีได้อย่างไร  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว แล้วจะดีขึ้นกว่านี้ไหม หรือว่าจะเป็นเหมือนเดิม  รู้เรื่องไหมศิษย์น้อง ศิษย์พี่ไม่อยากให้มานั่งแล้วเสียเปล่านะ เอาอะไรจากศิษย์พี่ไปบ้างก็ดีนะ  แง่คิดดีๆ ความคิดดีๆ เป็นสิ่งที่เป็นจริงนะ แต่ตัวตนนี้เป็นสิ่งปลอม  ฉะนั้นต้องรู้จักเลือกจริงแล้วทิ้งปลอม  ไม่ใช่มัวแต่สนใจของปลอมแล้วไม่เห็นคุณค่าแห่งความจริง  อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีปัญญา ฉะนั้นมองเราแล้วเอาแต่สิ่งที่จริงอย่าไปสนใจแต่สิ่งที่ปลอม
สุขทุกข์ไม่ใช่ใครเป็นผู้กำหนด ตัวเราเองกำหนดได้ ใช่ไหม (ใช่)  คนอื่นให้แต่ถ้าเราใจไม่สุข  การให้นั้นก็ไม่มีคุณค่า แต่ถ้าเกิดว่าคนอื่นให้ทุกข์แต่ตอนนี้เรามีสุข เขาก็ทำร้ายอะไรเราไม่ได้  ฉะนั้นสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเป็นผู้กำหนดเอง  ชีวิตอยู่ในมือเรา ไม่ใช่เราอยู่ในมือของชีวิต ฉะนั้นขอให้ดำรงชีวิตให้ถูกต้องด้วยการที่รู้จักคิดให้ดีแล้วคิดให้เป็น
ดั่งที่ศิษย์พี่พูด เราเหมือนหมากตัวหนึ่งในหมากฮอส เดินดีเดินถูกก็แก้ปัญหาได้ ชีวิตก็อยู่ในกำมือเรา  แต่ถ้าเดินผิด แก้ไม่ถูก เราก็กลายเป็นทาสของชีวิตตลอดไป


วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙          สถานธรรมอิ๋งเซียน กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ข้าวหนึ่งหม้อเลี้ยงคนทุกประเภท          ธรรมวิเศษกล่อมเกลาคนทุกผู้
เฟ้นความเหมือนในความต่างอย่างสุดกู่   ดั่งที่รู้ก็กินข้าวเหมือนเหมือนกัน
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลกใจกลางแห่งความทุกข์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า

  ดูนิ่งนิ่งคล้ายคล้ายว่าปลงตก              ที่คอตกก็เพราะว่าผิดหวัง
ในตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้บ้าง                 ก็ระวังเมื่อได้ทำจะเหลิงไป
เป็นคนกรุงยุ่งยากลำบากหน่อย             คิดก็มากใจก็น้อยอยู่ไม่ไหว
ทำอะไรก็ติดขัดอยู่ร่ำไป                       ทำไฉนให้พ้นทุกข์เป็นสุขเอย
                                                      อยู่ที่ใจของเราเท่านั้นเอง
                                                      ควรแก้ไขในทางดี
                                                      ต้องทำใจปล่อยวางเพื่อสุขเอย
                                                      ลองปล่อยใจปล่อยวางบำเพ็ญตน
                                                      สุขอย่างไรทุกข์ไฉนที่จิตตน
รสชาติแห่งผู้บำเพ็ญคือความสามัญ       ธรรมชาติอันเรียบง่ายไม่ปรุงแต่ง
อยู่แห่งไหนบำเพ็ญได้ทุกหนแห่ง             การยื้อแย่งแบ่งชั้นไกลบำเพ็ญ
ให้เรียบง่ายในเมืองกรุงไม่ยุ่งหรอก         ทั้งในนอกฝึกตนกลางทุกข์เข็ญ
จิตใจเย็นแววตาก็เยือกเย็น                   ถึงตัวเหม็นให้ใจหอมก็ดีพอ
จืดจางจึงรู้รสแท้ชีวิตจริง                     ธรรมดานั้นเป็นสิ่งที่ดีหนอ
พื้นเพแห่งจิตใจไม่ย่นย่อ                       อาจารย์ขอให้ขัดเกลาให้ดีเอย
อันก้าวแรกการบำเพ็ญนั้นอาจยาก        แต่อาจารย์นั้นอยากฝากศิษย์รักเอ๋ย
คนคนเดียวทำได้จำกัดนักเอย                อาจารย์เอ่ยปากฝากศิษย์น้องไว้ด้วยนา

                                                                             ฮา  ฮา  หยุด



(หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง)

               พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ก็ยังมีคนรู้หน้าที่ คนรู้หน้าที่ก็ยังเป็นคนดี คนอยู่ห้องนี้แสดงว่าเก่ากว่าคนอยู่ห้องโน้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้จักการบำเพ็ญมากขึ้นหรือยัง (มากขึ้น)  การบำเพ็ญทำอย่างไรล่ะ บำเพ็ญอย่างไรล่ะ มีใครเห็นเราแล้วรู้สึกว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญมากขึ้นหรือยัง คำถามที่ตรงประเด็นกว่าคือ เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญมากขึ้นหรือยัง (มากขึ้น)  ตอบให้อาจารย์ดีใจแต่กลับไปเศร้าใจเองเป็นการส่วนตัว
บำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเราดีหรือเปล่า (ดี)  ดีคงเส้นคงวาหรือเปล่า หรือสามวันดีแล้วก็ (สี่วันไข้)  ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่าเกือบดี แล้วตกลงจิตใจดีหรือยัง (ดีกว่าเดิม)
อาจารย์มาทุกครั้งก็พูดเรื่องการบำเพ็ญธรรมทุกครั้ง แต่เราทุกคนต้องมีคำตอบที่ตอบได้ว่าการบำเพ็ญธรรมคืออะไร เราต้องตอบตัวเองได้ด้วย เพราะว่าแต่ละคนแต่ละการบำเพ็ญ แต่ละแรงกรรมเหมือนกันหรือไม่ (ไม่เหมือน)  เราบำเพ็ญธรรมอาจจะยังแย่กว่าคนอื่น แต่ว่าดีที่สุดสำหรับเรา ยิ่งเราคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น เราก็ยิ่งบำเพ็ญแย่ลงเรื่อยๆ เพราะการเปรียบเทียบทำให้เรานั้นถอยหลัง หากว่าเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น เมื่อนั้นเราก็ถอยหลังเหมือนกัน เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราแย่กว่าคนอื่น เราก็หมดกำลังใจเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของใคร (ของตัวเราเอง)  เป็นเรื่องของเรา และต้องดีขึ้นในทุกๆ วัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
การที่คนมาทดสอบเราด้วยการยั่วให้เราโมโห ดูว่าเราโมโหน้อยลงหรือเปล่า ถ้าหากว่าน้อยลงเป็นเพราะว่าเรานั้นดีขึ้นหรือเปล่า (ดีขึ้น)  แล้วยังมีดีกว่านี้ไหม (แต่ยังไม่ถึงไหน)  นี่ไง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่การมาเจออาจารย์ การบำเพ็ญธรรมเป็นการฝึกฝนตนเอง เป็นการขัดเกลาตนเอง เอาชนะจิตใจตนเอง  สุดท้ายคนที่ได้รับผลดีนั้นๆ ก็คือตัวเราเอง อยากบรรลุธรรม อยากหลุดพ้นจากความทุกข์ ก็ต้องหลุดพ้นกันตั้งแต่ในโลกนี้
ถ้าหากว่าใจยังขุ่นมัวก็ต้องล้างใจตั้งแต่ขณะที่มีชีวิต ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ทุกคนที่อยู่ภายใต้หลังคาของสถานธรรมที่นี่ ทุกคนที่ยังอยู่ที่นี่ ยังมีจิตใจขุ่นมัวทุกคน เพียงแต่ขุ่นมากหรือว่าขุ่นน้อย ขุ่นมากก็ขัดมากหน่อย ขุ่นน้อยก็ช่วยคนอื่นมากหน่อย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่บอกว่าเหนื่อย เหนื่อยกับใคร เหนื่อยกับตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าต้องเหนื่อยก็ทำให้มันเหนื่อยอย่างถูกทาง ถ้าหากวันนี้ยังโมโห ใครมายั่วอีกสิบหนก็ยังโมโห จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำไมพูดเรื่องโมโหบ่อยจัง เพราะว่าศิษย์ที่นี่ทุกคนยังโมโหคนนั้น โมโหคนนี้จนกระทบการบำเพ็ญของตัวเอง มีใครไหมไม่โมโห (ไม่มี)  อย่างนั้นคนโมโหปกติหรือเปล่า (ไม่ปกติ)  ไปคิดเอาเอง
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
พายเรือเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  พายชีวิตเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ชีวิตเราหนักมากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตที่หนักมากเพราะว่าใจหนักมาก ชีวิตเราหนักมากเพราะว่าเราหาทุกวันเลย ตอนนี้เราหาเพิ่มหรือว่าลดปริมาณลง (หาเพิ่ม)
ไหนใครว่าตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งลด อย่างนี้ศิษย์อาจารย์ที่นี่ทุกคนเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครไม่เคยแกล้งคนอื่นเลย ถ้าหากว่าเราแกล้งคนอื่นเราจะถูกคนอื่นแกล้งถูกไม่ถูก (ถูก)  หรือเราเป็นคนดีที่ถูกคนอื่นแกล้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชักไม่แน่ใจ
ชีวิตของเราหนักเพราะว่าเราหาเพิ่ม ถ้ายังหาเพิ่มก็ยังทุกข์เพิ่ม จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วอยู่อย่างไรโดยไม่หาเพิ่ม ความหมายโดยนัยแล้วคือให้ลดสิ่งที่ควรลด อย่างเช่นกิเลส
สมมติว่าวันนี้หาเงินมาได้ ๑๕๐ บาท ถามว่าใจเราอยากจะได้สัก ๒๕๐ ไหม (อยาก)  วันนี้หาเงินได้ ๒๕๐ บาท ใจเราอยากจะได้ ๓๕๐ บาทไหม (อยาก)  วันนี้หาเงินได้ ๓๕๐ บาท ถามว่าเราอยากหาเงินได้ ๔๕๐ บาทไหม (อยาก)  เราอยากได้เพิ่มทั้งๆ ที่เราก็หาได้แค่ ๑๕๐ บาท จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราทำงานเหนื่อยแลก ๑๕๐ บาทมา เราควรได้ไหม (ควร)  แต่ความรู้สึกที่อยากจะได้มากกว่านี้ควรมีไหม (ไม่ควร)
มีคนในโลกมนุษย์พูดว่า ถ้าหากว่าไม่มีกิเลสเอาเสียเลยจะเป็นคนเฉื่อยชา ถามว่าเราตอนนี้เรามีกิเลสเต็มพิกัด เราเป็นคนเฉื่อยชาไหม (เฉื่อยชา)
จริงๆ แล้วทุกคนมีความเฉื่อยชาอยู่ในตัว แล้วก็มีกิเลสจนชินชาจนไม่รู้ว่านี่คือกิเลส นี่คือชีวิตที่หนักแล้ว  ชีวิตนี้หนัก ชีวิตนี้เหนื่อย แล้วชีวิตนี้ก็ทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยหรือยัง ชีวิตนี้ทุกข์เกินทน เกินรับหรือยัง รู้สึกแย่ทุกสามวันห้าวันหรือยัง (ยัง)  ถ้ายัง แสดงว่าโอ่งนี้ยังมีที่ให้เติม แต่หากว่ารู้สึกเบื่อขึ้นมาแล้ว จะทำอย่างไรกับความเบื่อ ความรู้สึกเหนื่อยเต็มที่นี้  ทำอย่างไรอยู่เฉยๆ อย่างนี้ต่อไป เหตุการณ์นี้เป็นวงจรเวียนมาซ้ำหรือเปล่า เราต้องหันมาดูชีวิตของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกวันนี้เราใช้สองตาของเรามองไปยังสิ่งที่อยู่ด้านหน้าเรา  เรื่องที่เขาไม่อยากให้เราเห็น เรื่องที่เขาไม่อยากให้เรารู้เราก็อยากรู้ เรื่องที่เขาอยากให้เราฟังเราฟังไหม (ไม่ฟัง)
คนกรุงเทพฯ กลัวว่าถ้าเป็นคนดีจะกลายเป็นคนโง่  มนุษย์คิดว่าการเป็นคนดีคือการเป็นคนโง่ การยอมเสียเปรียบคือคนไม่ฉลาด  ตอนนี้บอกว่าไม่ใช่  แต่ถ้าหากว่าให้ยอมเสียเปรียบคนอื่นหน่อยได้หรือไม่ (ได้)  เวลาคนเขาทอนเงินเกินมา มีกี่คนที่กลับไปคืน  คืนทุกหนเลยหรือเปล่า ถ้าหากว่าติดหนี้คนอื่นหนึ่งบาท แล้วต้องเกิดเป็นวัวควายรับใช้คนอื่นเขาหนึ่งชาติ ไหวไม่ไหว บางคนนั่งขอทานอยู่ทั้งวันเพื่อให้ได้เงินไม่กี่บาท เพราะฉะนั้นเงินหนึ่งบาทเป็นเงินไหม (เป็น)  อาจไม่มีความสำคัญกับเราที่หาเงินได้วันละร้อยห้าสิบบาท แต่มีความสำคัญกับคนอื่นซึ่งเขาอาจจะจำเป็นจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะเงินหนึ่งบาท รวมกันก็หลายบาท เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ขอให้สั่งสมกุศลแบบหนึ่งบาท หนึ่งบาทไปเรื่อยๆ แต่อย่าสร้างกรรมแบบหนึ่งบาท หนึ่งบาทดีหรือไม่ (ดี)
ข้าวหนึ่งหม้อเลี้ยงคนทุกประเภท
ธรรมวิเศษกล่อมเกลาคนทุกผู้
เราอยู่บ้านเดียวกันเราก็กินข้าวหม้อเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เราไปซื้อข้าวข้างนอกกิน  บางคนรวย บางคนจน บางคนดี บางคนชั่ว แต่ก็กินข้าวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราแตกต่างจากคนอื่นหรือเปล่า คนอื่นเขามีกระเพาะ เราก็มี
ทุกๆ คนนั้นถ้าหากว่าไม่มองที่ทรัพย์สินเงินทอง ไม่มองที่รูปร่างหน้าตา ไม่มองสิ่งที่ดีกว่าและแย่กว่านั้นดีหรือไม่ (ดี)  หนทางธรรมก็เช่นเดียวกัน หนทางธรรมเป็นทางสายหนึ่งซึ่งทุกคนสามารถที่จะเดินได้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นแบบใดก็ตาม เพียงแต่ว่าความมุ่งหมาย ความมุ่งมั่น ความมั่นคงจุดมุ่งหมายของแต่ละคนนั้นเท่ากันหรือไม่ (ไม่เท่ากัน)
สิ่งที่แตกต่างกันในสายตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ใช่ความรวยและความจน  สิ่งที่แตกต่างของคนแต่ละคนในสายตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือปณิธาน
ปณิธานคือความมุ่งมั่นและตั้งใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ความมุ่งมั่นตั้งใจในชีวิตนี้มีอะไรบ้างที่ว่าจะต้องให้ได้มา (ความพยายามหมั่นเพียร, อยากให้ได้บ้าน, อยากให้ได้ในหลักธรรม)  ใครมีความตั้งมั่นปณิธานอยากได้นิพพานบ้าง (มี)  แค่นี้เองหรือ  ถูกกิเลสขัดที ถูกมารขัดที ถูกอุปสรรคขัดที ถูกกรรมขัดทีเหลือไม่เหลือ อาจารย์หวังว่าจะเหลือ
เฟ้นความเหมือนในความต่างอย่างสุดกู่
ดั่งที่รู้ก็กินข้าวเหมือนเหมือนกัน
เรามีความต่างอะไรกับคนอื่นหรือไม่  ทุกคนไม่ว่าจะแก่หรือเด็ก ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่ว่ามีหรือจน ไม่ว่าจะเป็นคนหน้าตา ผิวพรรณ รูปร่างประเภทไหน เป็นคนที่จิตใจดีอยู่แล้วหรือว่าไม่ดีอยู่เลย ทุกคนสามารถดำเนินบนทางธรรมได้ ทุกคนสามารถบรรลุและสำเร็จธรรมได้ คนที่เดินไปจนถึงที่สุด คนที่ใช้ความอดทนจนถึงที่สุด คนผู้นั้นเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ฉะนั้นต้องย้อนกลับมามองตน ต้องปิดตานอกแล้วเปิดตาใน มองว่าเราเป็นผู้ที่ใช้ความอดทนจนถึงที่สุดหรือยัง ในเมื่อมนุษย์นั้นอยากจะได้ประโยชน์ที่สุด ฉะนั้นเราจึงต้องทำจิตใจของเรานั้นให้สะอาดที่สุด ใช้ความอดทนให้ถึงที่สุดและคิดในแง่ดีให้มากที่สุด ทำจิตใจของเราให้ปลอดโปร่งมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ วันนี้ทำไม่ได้ วันอื่นล่ะทำได้มากขึ้นไหม (มากขึ้น)  เริ่มทำได้มากขึ้น ทุกวันก็ทำได้มากขึ้นอย่างนี้ไม่ทันจะรู้ตัว เราก็ยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น
เราอาจจะยังประณามตัวเองว่ามีข้อเสียเยอะแยะ ไม่ดีเยอะแยะ อาจารย์เห็นใจ แต่คนที่มองเห็นความไม่ดีของตัวเยอะไม่ใช่ไม่ดี แต่แปลว่าเขาพร้อมที่จะเปิดตาดูและแก้ไขตัวเองมากขึ้น ฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเอง อย่าประณามตัวเอง อย่าหยุดที่จะขยัน ควรละความขี้เกียจให้ไกล ขอให้ตั้งมั่นชีวิตนี้ก็จะเบาขึ้น
คนในโลกนี้อยากทำอะไรก็ใช้เงินซื้อ แม้กระทั่งบางทีซื้อใจคนยังได้ ซื้อคนทั้งคนก็ยังได้ คนในโลกนี้ถนัดการใช้เงินซื้อ แต่อาจารย์บอกว่าทางธรรมนั้นต้องใช้ใจซื้อใจเท่านั้น ศิษย์ต้องมีใจลงแรงปฏิบัติจึงจะสามารถซื้อหนทางการหลุดพ้นนี้มาไว้ให้ตัวเองได้ ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ บางคนแรงน้อยก็หันมาขัดเกลาตัวเองให้มาก บางคนแรงมากออกไปก็ขัดกับคนไปทั่ว แต่ถามว่าเวลาที่เราขัดกับคนอื่น เราได้ขัดตัวเราหรือเปล่า ถ้าหากว่าศิษย์ย้อนมองส่องตนเป็นผู้ที่เป็นปราชญ์ในตัว ในขณะที่เราขัดกับคนอื่นเราจะเห็นว่าลึกๆ ของเรานั้นมีความไม่สบายใจอยู่ ให้เอาความไม่สบายใจนั้นมาย้อนมองตัวเองแล้วแก้ไขตัวเอง แต่อย่าเอาความไม่สบายใจนั้นไปโทษว่าคนอื่นนั้นเขาทำให้เราแย่ ใจเราอยู่ในตัวเรา ตัวเราก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง จะดีขึ้นหรือแย่ลงอยู่ที่ตัวเราเอง
มนุษย์นี่ไม่มีความพร้อมเลย ความพร้อมเป็นเรื่องที่ทำยากหรือเปล่า (ไม่ยาก)  บ้านเราพร้อมหรือเปล่า ใจเราพร้อมหรือเปล่า คนอื่นที่นอกเหนือจากเราพร้อมหรือไม่ (ไม่พร้อม)  มีอะไรที่เรากำหนดได้บ้าง (ตัวเราเอง)  ทุกวันนี้ยังมีความทุกข์เพราะว่าชอบกำหนดคนอื่น กำหนดมากก็ทุกข์มาก กำหนดน้อยก็ทุกข์น้อยจริงหรือไม่ (จริง)  แม้จะกำหนดตัวเราก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน  แต่ว่ากำหนดง่ายกว่าหรือเปล่า (ง่ายกว่า)  อยากนั่งหรือไม่ ถ้าอยากนั่งต้องนั่งพร้อมๆ กัน ถ้าไม่พร้อมไม่ได้นั่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลงพร้อมกันตามสัญญาณ ถ้าไม่พร้อมให้ทำใหม่)
เหนื่อยไม่เหนื่อย (ไม่เหนื่อย)  ถ้าคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายก็เหนื่อย ถ้าคนที่ร่างกายแข็งแรงก็ไม่เหนื่อยจริงหรือเปล่า (ใช่)  ถูกหลอกล่อไปมางงหรือเปล่า (งง)  แต่ในชีวิตจริงเวลาที่เราถูกหลอกล่อไปมาเราโมโหหรือเปล่า (โมโห)
ในชีวิตจริงถ้าหากไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยผลประโยชน์จะไม่โมโหเด็ดขาด แต่หากถูกจำกัดไว้ด้วยผลประโยชน์ คือ ถูกใช้ให้ทำโน่นแล้วบอกจะได้นี่ ใช้ให้ทำนี่แล้วบอกจะได้นั่น ถึงเวลาโยกไปโยกมาแล้วสุดท้ายเราไม่ได้อะไรเลย โมโหไหม (โมโห)
ศิษย์รู้ไหมว่าการที่ศิษย์โมโหแค่หนึ่งหนสามารถทำลายอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง คือ ทำลายภายในของตัวเอง เพราะฉะนั้นการโมโหเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  โมโหคนอื่นแล้วเก็บไว้ข้างใน ทำหน้ายิ้มแล้วโมโหอยู่ข้างใน เป็นประทัดระเบิดอยู่ภายใน อันนี้ยิ่งแย่ แต่ถ้าหากว่าโมโหแล้วไประเบิดใส่คนอื่น ก็ไม่ดีทั้งสองอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเก็บไว้ข้างในหรือจะปล่อยไปข้างนอกก็ไม่ดีทั้งนั้น แล้วทำอย่างไรดีล่ะ นั่นคือเราต้องไม่โมโหใช่ไหม
ใครน่าโมโหที่สุดเลย (ตัวเราเอง)  แต่เราเคยโกรธตัวเองไหม (ไม่เคย)  คนที่เราคิดว่าน่าโมโหอันดับหนึ่งคือตัวเอง แต่เราก็ยังไม่เคยโมโหตัวเอง ทุกครั้งถึงเราจะโมโหตัวเองเท่าไหร่ ไม่กี่วันหรือไม่กี่นาทีก็หายไป เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นจะต้องคิดกับคนอื่นเหมือนกับที่คิดกับตัวเราเอง เวลาเราอภัยตัวเอง เราใช้ความคิดใช้อารมณ์ประเภทไหนมาอภัยตัวเอง เราก็ใช้สิ่งนั้นไปอภัยคนอื่นเช่นเดียวกัน
คนที่น่าโมโหที่สุดเป็นคนใกล้ตัวเรา เพราะฉะนั้นการที่เราอภัยคนที่ใกล้ตัวจึงเป็นเรื่องที่สมควรไหม (สมควร)  ฉะนั้นวันนี้กลับไปที่บ้าน คนใกล้ๆ ตัวเราที่เราเคยดูว่าเป็นคนที่น่าโมโหที่สุด ต้องมองให้เป็นคนที่น่ารักที่สุด  ถ้าเป็นสามีภรรยาก็มองเขาเหมือนประหนึ่งว่าเพิ่งเริ่มจีบกัน ทำได้ไหม (ทำได้)  แล้วคนที่แล้งน้ำใจกับเราที่สุดก็เป็นคนใกล้ตัวเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เราส่งน้ำให้เขาดื่ม เขาสนไหม (ไม่สน)  แล้วตอนที่เขาส่งน้ำให้เราดื่มล่ะ เราก็ไม่สนเหมือนกันใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็เป็นขิงกับเป็นข่าใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์พูดอย่างนี้ ไม่ใช่อาจารย์จะมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องทางโลกของศิษย์ แต่ความทุกข์ของศิษย์นั้นมันอยู่รอบๆ ตัวของศิษย์ที่สร้างขึ้นมา เรายิ่งใช้อารมณ์มากเท่าไหร่ ความทุกข์ของเราก็ยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นเท่านั้น เรายิ่งแสวงหาเพิ่มเท่าไหร่ความทุกข์ของเราก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น คนดีทำอะไรต้องได้รางวัล ถ้าหากว่าคนทำดี ไม่ถูกชม ไม่มีรางวัล และถูกเพิกเฉยไป คนดีจะไม่อยากทำดี เพราะฉะนั้น เวลาที่ใครทำดีให้เราก็แล้วแต่ สิ่งง่ายๆ ที่เป็นรางวัลคือ คำชมหรือคำว่า ขอบคุณ พูดได้ไหม (ได้)  เวลาที่คนอื่นทำอะไรให้เราก็แล้วแต่ แม้ว่าคนๆ นั้นเราจะโกรธเขาอยู่ เราต้องพูดอะไร (ขอบคุณ)  แล้วบรรยากาศมืดดำจะคลายลง จริงหรือไม่
คำบางคำนั้นเป็นคำง่ายๆ แต่ว่าเราไม่ยอมพูด ปากเราหนักเพราะว่าเรานั้นมีความรู้สึกค้างคาในใจอะไรบางอย่างอยู่ ทำอย่างไรกับความค้างคานี้ดี (ต้องระบายความในใจ, ต้องให้อภัย, เปิดใจ)  ความรู้สึกค้างคาในใจเป็นอารมณ์หนึ่งในอารมณ์ลึกๆ ของใจ ทำอย่างไรจึงจะปลดออกได้ ถ้าหากว่าเราอยู่เฉยๆ หรือเคยทำหน้าเฉยๆ เหมือนที่เราเคยทำมา เก็บซ่อนความรู้สึกไว้เหมือนกับที่เคยทำมา ถามว่าความรู้สึกค้างคานี้มีทางออกหรือไม่ (ไม่มี)  ความรู้สึกค้างคานี้จะไม่ได้รับทางออก
บางคนใช้ชีวิตแล้วบอกว่าค้างคากับที่บ้านแล้วไประบายออกทางอื่น ค้างคากับที่ทำงานแล้วไประบายออกกับลูกหลานที่บ้าน ความรู้สึกค้างคาหนักบ้าง เบาบ้าง เพราะฉะนั้นเราต้องแก้ต้นเหตุของปัญหา เราต้องรู้จักที่จะฝึกอารมณ์ของเรานั้นให้เย็นขึ้น ให้โปร่งขึ้น เราต้องฝึกอารมณ์ของเรานั้นให้ผ่อนคลายมากขึ้น
อย่าเป็นคนโกรธง่าย แม้เราโกรธง่ายหายเร็วก็ไม่ดี  อย่าเป็นคนเครียดง่าย ใครมาทำอะไรนิดหน่อยก็เครียด  อย่าเป็นคนคิดมาก อย่าเป็นคนจู้จี้จุกจิก  อย่าเป็นคนปากอย่างใจอย่าง  เราต้องเป็นคนที่รู้จักสื่อความให้ตรงกับจิตใจ
คิดอะไร พูดอะไร ทำไมอาจารย์ไม่พูดว่าคิดอะไรพูดอย่างนั้นล่ะ เพราะว่าคิดอะไรพูดอย่างนั้นพังมานักต่อนัก
อาจารย์บอกว่า คิดอะไร พูดอะไร  อะไรที่จะพูดออกมาต้องคิดแล้ว พิจารณาแล้ว ถามว่าโลกนี้มีใครอยากเป็นผู้ผิดไหม (ไม่มี)  โลกนี้ไม่มีใครอยากเป็นคนผิดเลยสักคนเดียว เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดอะไรออกมาบอกว่าคนอื่นผิด คนอื่นจะยอมรับไหม (ไม่ยอมรับ)  เราต้องรู้จักพูดอย่างตะล่อมๆ พูดอย่างอ้อมค้อมและพูดอย่างที่เขานั้นสามารถเข้าใจเรามากขึ้น ในที่สุดแล้วพูดให้เขารับได้ก่อนเราจึงพูดให้ตรงมากขึ้น
ใครเป็นคนพูดตรงบ้าง พูดตรงแล้วได้ดีไหม พูดตรงอาจไม่ค่อยได้ดีเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าอยากจะพูดตรงต้องหาวิธีการพูดอย่างตะล่อมๆ ก่อน พูดตรงอาจจะไม่ค่อยดีแต่ถ้าใจตรงดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าใจนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน เมื่อใจตรง คำพูดจึงตรง
อันที่จริงแล้วอาจารย์เข้าใจชีวิตของมนุษย์ เข้าใจในความทุกข์ของศิษย์  ลึกๆ แล้วทุกคนก็อยากเป็นคนดี  ลึกๆ แล้วทุกคนก็ชอบที่จะช่วยเหลือผู้อื่น  ลึกๆ แล้วจิตใจของทุกคนนั้นมีความรักและความสามัคคีกัน
เดิมทีแล้วใจของศิษย์ก็เป็นใจที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสภาพแวดล้อม โลกมนุษย์ที่ศิษย์อยู่นั้นทำให้ศิษย์นั้นดีไม่ขึ้น
หลายๆ ครั้งเมื่อเรานั้นตั้งใจที่จะทำดี แต่เราก็อดผิดหวังกับคนรอบข้างไม่ได้ ผิดหวังกับชีวิตตนเองอย่างมาก เมื่อเราตั้งใจว่าเราจะทำความดี ก็มีสิ่งที่เรานั้นไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอๆ  บางเรื่องเป็นเรื่องที่พูดยาก ทำไมถึงมีอุปสรรคขนาดนี้ อันนี้เป็นเพราะว่าทุกคนนั้นมีกรรม กรรมคือสิ่งที่ตนนั้นเคยกระทำและมาขัดขวาง
ถ้าหากว่าทุกคนยอมรับว่าตัวเองนั้นมีกรรม ก็จะสามารถยอมรับสิ่งรอบข้างได้ แม้กระทั่งภรรยาที่ไม่ถูกใจเลยวันนี้ สามีที่ไม่ถูกใจเลยวันนี้ ลูกหลานที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเลยในขณะนี้ ญาติพี่น้องหรือเรื่องเงินทองที่ติดขัดในยามนี้ ศิษย์ก็สามารถรับได้มากขึ้น เพียงแต่ต้องหัดที่จะเข้าใจในการที่เราเกิดมาอย่างมีกรรม จะรู้สึกปลงตกได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเอง แต่บางคนนั้นดูนิ่งๆ แต่ใจนั้นยังร้อนรุ่มอยู่ ในใจยังดิ้นรนอยู่ ยังรับไม่ได้กับทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นรอบข้างโดยประหนึ่งแล้วเหมือนคนที่ปลงตก เหมือนคนที่คิดได้ แต่จริงๆ แล้วยังคิดไม่ได้
ถ้าหากว่าเอาคนสองคนนี้มาเปรียบเทียบกัน คนหนึ่งเป็นคนที่บำเพ็ญธรรมแล้วรู้จักคิด รู้จักปลง อีกคนเป็นคนที่ผิดหวังในชีวิต สองคนจะมีอาการนิ่งๆ เหมือนๆ กัน แต่ใจลึกๆ นั้นไม่เหมือนกันเลย  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ควรที่จะทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่การแสดงออกในรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือใจลึกๆ ที่อยู่ข้างใน
อาจารย์พูดว่า พฤติกรรมเป็นสิ่งที่กำหนดให้เห็นว่าคนนั้นทำใจได้หรือเปล่า พฤติกรรมนั้นย่อมมาจากพื้นฐานของจิตใจ  หากเราเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกกับคนอื่นมากเกินไป เราจะกลายเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ เราคาดหวังให้คนอื่นทำได้เหมือนกับที่เราทำได้ แต่ทุกครั้งก็ต้องผิดหวัง
บางคนนั้นมีลักษณะนิสัยที่มองโลกในแง่ร้าย พฤติกรรมก็จะเกิดความร้ายตาม  บางคนอวดรู้ อวดฉลาด พฤติกรรมก็ออกมาทางคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นคนที่มีลักษณะเป็นผู้ที่มีวาสนา จึงเป็นผู้ที่มีพื้นฐานจิตใจดี เคยเจอคนที่มีจิตใจดีไหม (เคย)  เราคิดร้ายแทบตาย ทำไมเขายังคิดดีอยู่ แล้วทำไมเราไม่เลียนแบบเขาล่ะ การที่เป็นคนร้ายจึงเป็นผลลบกับตัวเองเป็นอย่างมาก
ในชาตินี้ถ้าหากรู้สึกว่าเราเป็นผู้ที่มีความทุกข์อย่างหนัก เราต้องแก้ไขตัวเองอย่างหนัก ขอให้เป็นผู้ที่รู้จักสั่งสมบุญกุศลมากกว่าสั่งสมกรรม
กรรม แปลว่า การกระทำ  พูดง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่เราทำทุกวันนี้เป็นสิ่งที่สร้างกรรม  กรรมมีสองอย่าง คือกรรมดีและกรรมชั่ว  ถ้าหากว่าเราทำไปในทางดีก็เป็นกรรมดี ถ้าหากว่าทำไปในกรรมชั่ว เรียกว่าเป็นบาปเป็นกรรมที่ติดตัวเรา เพราะฉะนั้นทุกๆ อย่างที่เราทำตั้งแต่เราตื่นนอนจนเข้านอน เป็นสิ่งที่เรานั้นต้องกำหนดตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากว่าเรานั้นไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไปทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจา ไปทำร้ายคนอื่นด้วยอกุศลทั้งหลาย เราก็ได้ชื่อว่าทำกรรม  ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนจากการที่เราคิดร้าย ทำร้าย โมโหร้าย ไปเป็นการช่วยคนอื่น อันนี้ก็เกิดเป็นกรรมดี ฉะนั้นการที่เราทำกรรมดีทุกๆ วัน ทำให้จิตใจของเราปลอดโปร่งขึ้น อันนี้เรียกว่า การบำเพ็ญธรรม
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องของคนแก่ ไม่ใช่เรื่องของคนบางกลุ่ม แต่การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน คนที่อยากหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย จึงต้องบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญที่ไหน บำเพ็ญธรรมที่ๆ เราทุกข์ที่สุด
มีความทุกข์อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  มีความทุกข์อยู่ที่ใจก็บำเพ็ญใจ มีความทุกข์อยู่ที่สามีก็ต้องบำเพ็ญใจของเราต่อสามี มีความทุกข์อยู่ที่การทำงาน ก็ต้องบำเพ็ญใจของเราต่อการทำงาน มีความทุกข์อยู่ตรงเพื่อนบ้าน ชอบกวาดขยะมาบ้านเราอยู่เรื่อย ทำอย่างไร (ทำใจไม่โกรธ)
บางคนเสียเปรียบนิดหน่อยก็ไม่ได้ ไม่รู้หรือว่าโลกนี้มันมีลม (รู้)  ถ้าหากว่าเขากวาดเลยมาเราทำอย่างไร ขอบคุณนะที่ให้เรามีโอกาสเก็บ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เก็บขยะไปด้วยก็เก็บขยะในใจไปด้วย ขอบคุณนะที่เขาให้เรานั้นมีโอกาสได้ฝึกฝน คิดอย่างนี้ได้ไหม โง่หรือเปล่า (ไม่โง่)  ขยะในโลกนี้ลอยไปก็ลอยมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขยะข้างนอกเรื่องเล็ก ขยะข้างในเรื่องใหญ่
ถ้าเป็นคนจริงจังกับชีวิตมาก ก็จะทำให้มีความทุกข์มากขึ้น ถามว่าจะรักสนุกก็ต้องเป็นคนที่มีมารยาทด้วย รู้จักกาลเทศะด้วย สนุกในที่ที่ควรสนุก ถ้าเขาหัวเราะกันอยู่เราจะร้องไห้ได้ไหม ถ้าเขาพูดเรื่องดีๆ อยู่เราจะพูดเรื่องตัวเองได้หรือเปล่า ต้องรู้จักสนุกให้ถูกเวลา กาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก การบำเพ็ญนั้นมีทั้งเรื่องของทฤษฎีและเรื่องของการปฏิบัติ  มีทั้งเรื่องของกาลเทศะ มีทั้งเรื่องปรัชญาของการดำรงอยู่อย่างแท้จริง แล้วที่สำคัญคือมีจินตนาการ
ทุกวันนี้หลายๆ คนบำเพ็ญอยู่ร่วมกันอย่างเคร่งเครียด เพราะเป็นคนที่ไม่มีจินตนาการ เป็นคนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์
คนที่บำเพ็ญธรรมในช่วงแรกจะเต็มไปด้วยความรื่นเริงสนุกสนาน กระปรี้กระเปร่ากระตือรือร้น พอบำเพ็ญไปบำเพ็ญมากลับเครียด เพราะว่าเราขาดจินตนาการ เราไม่ยอมให้ความคิดสร้างสรรค์นั้นได้พรั่งพรู แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างมีขีดจำกัด อย่าสร้างสรรค์มากไป อย่าจินตนาการมากไป เอาพอให้บรรยากาศที่ดียังคงอยู่ บรรยากาศธรรมดีก็เพราะว่าทุกคนบำเพ็ญดี
แค่ง่ายๆ ถ้าหากว่าทุกคนยิ้มให้กันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีใครคนหนึ่งเกิดความรู้สึกว่ามีปัญหาใหญ่แล้วหน้านิ่วคิ้วขมวด ความทุกข์บางเรื่องนั้นก็จำเป็นที่จะต้องเก็บไว้ในใจ ความทุกข์บางเรื่องนั้นจำเป็นที่จะต้องระบายออก แต่อย่าลืมว่าระบายให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา  ทุกๆ อย่างในโลกนี้ต้องให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา
ทุกวันนี้ในสังคมอยู่ร่วมกันมีคนที่มีความคิดหลากหลาย การที่มีคนหลากหลายรูปแบบอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องดีหรือเปล่า (ดี)  สมมติว่าบ้านนี้สามีชอบกินน้ำพริกกะปิ ภรรยาชอบกินน้ำพริกปลาร้า อีกคนหนึ่ง ลูกชอบกินน้ำพริกตาแดง ดีไม่ดี (ไม่ดี)  มันอยู่ที่แค่มุมมอง จะมองมาจากทางซ้ายหรือทางขวา โลกนี้คนมักจะชอบระบุทุกอย่างอยู่ที่คำว่าถูกกับผิด มีแต่ถูกกับผิด บางเรื่องนั้นมองมาจากข้างซ้ายมันถูก มองมาจากข้างขวามันผิดก็มี
การที่คนเหมือนกันอยู่ร่วมกันเรียกว่ามีวาสนา  ทั้งบ้านก็ทำน้ำพริกกะปิอย่างเดียว แต่คนต่างกันอยู่ร่วมกันเป็นอย่างไร ถ้าในโลกเขาเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ มีผู้เชี่ยวชาญสามคนในบ้านเดียวกัน  คนหนึ่งเชี่ยวชาญน้ำพริกกะปิ อีกคนเชี่ยวชาญน้ำพริกปลาร้า อีกคนเชี่ยวชาญน้ำพริกตาแดง ดีไม่ดี (ดี)  อยู่ที่ว่าเราจะมองให้ดีหรือไม่ดี คนที่อยู่ร่วมกันมีความคิดที่หลากหลายก็เป็นสีสันของบ้าน ถ้าหากว่าคิดให้ดีทุกอย่างก็ดี วันนี้เราทำน้ำพริกกะปิ อีกวันทำน้ำพริกปลาร้า อีกวันก็ทำน้ำพริกตาแดง ก็อยู่ร่วมกันได้ แต่หากคนทำอยากทำแต่น้ำพริกกะปิอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจะต้องยอมอะลุ้มอล่วยให้คนอื่นแล้วเราจะได้รับการอะลุ้มอล่วย  ถ้าวันนี้เราแกล้งคนอื่น วันหลังคนอื่นแกล้งเราไหม (แกล้ง)
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
เมื่อยไหม ไม่ได้ยืนมาตั้งนานแล้วก็เมื่อยหน่อย ทุกอย่างก็ต้องฝึกอย่างต่อเนื่องถึงจะไม่เมื่อย เมื่อยขาไม่เป็นไร อย่าเมื่อยชีวิตก็แล้วกันนะ ขี้เกียจแล้วไม่อยากอยู่แล้ว แต่พอจะให้ตายจริงๆ อยากตายไหม (ไม่อยากตาย)  ป่วยๆ ก็ยังอยากอยู่ ความตายหนีไม่พ้น สักวันทุกคนก็เจอหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความตายเป็นการรักษาโรคทุกโรคหายหมด จริงหรือเปล่า (จริง)  เห็นไหมว่าการที่มีความคิดที่โปร่งโล่ง และมีความแจ่มใสในตนนั้นทำให้อาจารย์สามารถพูดอะไรอย่างนี้ได้ ในขณะที่ศิษย์นั้นมองความตายเป็นเรื่องน่ากลัว มองเป็นเรื่องแข็งทื่อ จริงหรือเปล่า (จริง)
เมื่อครู่นี้อาจารย์พูดถึงเรื่อง พฤติกรรม พื้นเพของจิตใจ ท่าทางหลายคนจะยังไม่ค่อยเข้าใจ อาจารย์จะให้เขียนขึ้นมาจะได้เห็นชัด ๆ

(พระอาจารย์เมตตาเขียนอธิบายบนกระดานดำ)

พื้นเพจิตใจ    ð    พฤติกรรม    ð    ความเคยชิน นิสัย



พื้นเพจิตใจ คือ จิตใจที่ศิษย์มีอยู่โดยเป็นปกติ ไม่ว่าจะในยามที่มีสติ หรือไม่มีสติ จิตใจเหล่านี้จะโผล่ขึ้นมา
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ พฤติกรรม  พฤติกรรมของเราเป็นอย่างไร โดยทั่วไปแล้วเป็นคนดี หรือเป็นคนไม่ดี เป็นกลางๆ ถึงดีใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยทั่วไปทำอะไรลงไปก็ไม่ได้เจตนาที่จะทำให้มันไม่ดี  แต่หลายๆ ครั้งเราก็ทำผิดไปด้วยความไม่เจตนา เพราะฉะนั้นการที่เรามองคนอื่นว่าคนอื่นทำผิดหรือเปล่า เราจึงต้องมาเทียบกับตัวเอง บางทีเราทำผิดโดยที่เราไม่ได้เจตนาจะผิด  เพราะฉะนั้นเวลาคนอื่นทำผิดเขาก็ไม่ได้เจตนาจะผิดเช่นกัน  บางทีเขาอาจจะเป็นคนปากหนัก คือไม่รู้จักพูดออกมาให้ชัดเจน เราเป็นคนชอบความชัดเจน  อาจารย์ถามว่าถ้าเขาว่าออกมาตรงๆ เรารับได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นคิดอย่างนี้แล้วก็หัดอภัยให้ผู้อื่น
พฤติกรรมของเรานำไปสู่ความเคยชินของเรา ความเคยชินของเราคืออะไรบ้าง เช่น เวลาเราเดินเข้าบ้านถอดรองเท้าแล้วไม่เก็บเข้าที่ เป็นความเคยชินไหม (เป็น)  คนที่อยู่ในบ้านเขารับได้หรือเปล่า (ได้) เขาก็ชินกับเราด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  วันหนึ่งมีคนอื่นมาเยี่ยมบ้านเรา เห็นเราถอดรองเท้าระเกะระกะ เขามองว่าเราเป็นคนที่ไม่มีระเบียบไม่มีความเรียบร้อย
สรุปแล้วความเคยชินที่เราทำในสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เช่นเดียวกัน ในตอนนี้ที่ศิษย์หลายคนมีความเคยชินในชีวิตนี้ มีความเคยชินกับกิเลสบางเรื่อง ซึ่งเป็นความเคยชินที่ศิษย์บอกว่าชินแล้ว แต่วันนี้อาจารย์มาเห็นศิษย์ อาจารย์ยังไม่ชิน เพราะฉะนั้นนิสัยของเราบางเรื่องจึงต้องถูกแก้ไข ปรับปรุง  แม้กระทั่งว่าเรารู้สึกว่าเรานั้นชินแล้ว ฉันเป็นคนอย่างนี้นะ ชอบพูดอย่างนี้นะ ผมก็เป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน เป็นยังไง คนหนึ่งถือมีด อีกคนถือสาก มีดฟันสากพังไหม (พัง)  สากเหวี่ยงไปโดนมีด ก็พังทั้งนั้นจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นความเคยชินเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)
ความเคยชินนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องแก้ไข แม้ว่าเราจะเกิดความรู้สึกเคยชินกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือการเคลื่อนไหวของจิตใจใดๆ ก็แล้วแต่ ให้มันออกมาในทางที่ดี ทุกครั้งที่เราต้องทำอะไร แม้กระทั่งเราต้องเคลื่อนไหวความคิดของเรา ก็ขอให้มันออกมาในทางที่ดี เวลาที่คนอื่นทำอะไรไม่ดีเรารับรู้ได้ เราสัมผัสได้ แต่เราโกรธเขาไม่ได้ เรารู้สึกได้แต่ว่าเราเข้าใจไม่ได้ อย่าไปเข้าใจว่า คนนั้นเป็นคนไม่จริงใจ จริงๆ แล้วเขาเป็นคนอย่างนี้ๆ พูดไปมากๆ กลายเป็นนินทา เป็นการสร้างวจีกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นความเคยชินไม่ว่าเรื่องใดก็แล้วแต่ จำเป็นที่จะต้องขัดเกลา ความเคยชิน พฤติกรรมมาจากพื้นเพของจิตใจ บางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาจน คนที่เข้าใจชีวิต ต้องขยันกว่านี้ แต่รู้ไหมว่า มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของศิษย์ดีขึ้นได้ ทำให้ชีวิตของศิษย์นั้นเบาขึ้นได้  ตอนแรกที่อาจารย์ถามว่า ชีวิตหนักไหม มันหนักที่ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้ไขที่ใจ
พื้นเพของจิตใจ คนที่มีวาสนา คนที่เกิดมารวย เกิดมาหน้าตาดี คนเหล่านี้เป็นผู้มีวาสนา แต่ชะตาชีวิตมีขึ้นก็อาจจะตกได้  ฉะนั้นคนที่มีพื้นเพจิตใจที่ดี จึงเป็นลักษณะของผู้มีวาสนา
วันนี้เกิดมาศิษย์ไม่ได้รวยเท่าไหร่ ฐานะปานกลาง แล้วทุกวันก็ยังต้องทำงาน แต่ว่าความที่เราเป็นอย่างนี้ทำให้เรารู้จักความยากลำบาก ความยากลำบากสอนให้เราใช้ชีวิต แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้องย้อนกลับไปดูว่า จิตใจของศิษย์นั้นดีหรือเปล่า คนที่มีจิตใจดีพื้นฐานจิตใจดี ชีวิตก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ คือดีออกมาจากภายใน สว่างออกมาจากภายใน
วันนี้หากว่ารู้สึกว่าชีวิตนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เรื่องอะไรก็ไม่ค่อยสมหวัง เรื่องอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ ถ้าหากศิษย์อยากจะแก้จริงๆ ไม่ต้องสะเดาะเคราะห์ก็ได้ แต่ศิษย์ต้องแก้จิตใจตัวเอง ต้องเป็นคนที่พูดดีกับคนอื่น ต้องเป็นคนที่คิดดีกับคนอื่น ต้องเป็นคนที่ดีออกมาจากข้างใน ไม่ใช่ดีแต่ปาก เสแสร้งพูดออกมา อย่างนั้นจิตใจยังไม่ดี วาสนาก็ยังไม่เกิด อยากมีวาสนาไหม (อยาก)
วันนี้อาจารย์อยากประทานวาสนาให้ศิษย์ แต่อาจารย์ประทานวิธีให้ศิษย์ไปสร้างเองได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากว่าดีกับคนอื่น ตอนแรกเขาก็อาจจะว่าแกล้งทำ เพราะว่าเราไม่เคยทำเลย แต่ว่าเราทำไปเรื่อยๆ เป็นวิสัยของเรา เราเป็นคนดีอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลาย คนอื่นจะรักเราเอง คนที่มีคนอื่นรักมากๆ คือคนที่มีวาสนา ยิ่งถ้าหากว่าทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกเคารพรักเราได้จากใจ คนนี้ยิ่งมีวาสนาใหญ่  เพราะฉะนั้นอันนี้ที่กล่าวมานี้พื้นเพของจิตใจจึงเป็นเรื่องที่จะต้องไปแก้ไขกันในระยะยาว
มีคนกรุงหลายคนบอกว่า ไม่มีเงินทำความดีอะไรก็ติดขัดไปหมด ไม่มีเงินทำความดีอะไรมันก็ดูไม่ค่อยราบรื่น นี่เป็นความคิดของพวกศิษย์ เพราะว่าศิษย์นั้นนิยมในการที่จะซื้อของ นิยมในการที่จะแสดงออกด้วยการให้สิ่งของ ให้เงินทอง  เวลาที่ลูกสอบได้ดี ก็รับปากลูกว่าจะให้เงินรางวัล ลูกจะกลายเป็นคนเห็นแก่เงิน ความรักที่มีให้เขามากๆ กลายเป็นการให้ท้ายเด็กใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ใช้ความเมตตาในการเลี้ยงเด็ก ขอให้ใช้ความใส่ใจ ขอให้ใช้น้ำเสียงที่เมตตา
เงินไม่ได้ทำความดี แต่ศิษย์ต่างหากที่ทำความดี เพราะฉะนั้นจงใช้สิ่งที่ดีๆ ของตัวเอง คิดให้เต็มที่ว่าจะแสดงออกอะไร อย่างเช่นง่ายๆ คำว่า ขอบคุณ คำว่า ขอโทษ ก็เป็นการแสดงออกถึงจิตใจที่ดีของเราเองเช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเงินมันกำลังทำดี ถ้าไม่มีเงินแล้วไม่ราบรื่น อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นลองไม่ใช้สิ่งของในการให้รางวัลคน แต่ว่าใช้คำพูดดีๆ ให้คำชมเป็นการให้รางวัลคน คนดีนั้น ดีทั้งน้ำเสียง สีหน้า แววตา เพราะว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ทำไมบางคนเขาไม่เชื่อว่าเราเป็นคนดี เพราะว่าตาของเรามันไม่ได้เย็น ตาของเรานั้นไม่เมตตา เพราะฉะนั้นคนจึงไม่รู้สึกว่าเรากำลังเมตตา เข้าใจหรือไม่ บางคนบอกว่าเป็นคนที่ตาดุ เป็นคนนิสัยดุอย่างนี้ แล้วศิษย์จะแก้ไหม
มีคนทำสวนอยู่คนหนึ่งเขาทำงานมาเหนื่อยมาก ถึงเวลาตอนพักเขาก็เก็บผักที่เขาปลูกมาทำเป็นผัดผักกิน ไม่ปรุงอะไรเลย เขาบอกว่าเป็นรสชาติที่อร่อยที่สุด สิ่งที่เขาได้รับรสคืออะไร ที่เขาได้นี่คือรสผักตามธรรมชาติเลยใช่หรือไม่ ศิษย์เคยได้รสผักตามธรรมชาติไหม อาจารย์ว่าศิษย์ได้รสของซีอิ้ว น้ำตาล ผงชูรสใช่หรือเปล่า
การที่อาจารย์พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร เปรียบเปรยกับผู้บำเพ็ญธรรม คนที่บำเพ็ญธรรมรสชาติของคนบำเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร  รสชาติของผู้บำเพ็ญธรรมคือรสชาติตามธรรมชาติ รสชาติของผู้บำเพ็ญธรรมคือรสชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่ง รสชาติของผู้บำเพ็ญธรรมคือรสชาติที่เป็นปกติ รสชาติของผู้บำเพ็ญธรรมคือรสชาติที่เรียบง่าย คือชีวิตที่สมถะ  ทำได้ไหม
อาจารย์ให้อย่างนี้สำหรับคนกรุงเทพฯ ยากไปหรือเปล่า  ขอให้เป็นความเรียบง่ายที่ออกมาจากใจ กินให้ง่ายขึ้นมาอีกนิดหนึ่งแต่ไม่ใช่ลวกๆ ไม่สะอาด อยู่ให้ง่ายกว่านี้อีกนิดหนึ่ง ไม่ต้องสรรหาเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย แต่งตัวก็ให้เรียบง่ายกว่านี้อีกหน่อยหนึ่ง แต่ว่าสะอาด  นอนก็ขอให้ง่ายกว่านี้อีกหน่อยดีไหม  เพราะฉะนั้นเมื่อกินง่าย อยู่ง่าย นอนง่ายก็เรียกว่าความเรียบง่าย ทำได้ไหม (ได้)
ความพร้อมเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน ต้องมีผู้นำที่มีความแกร่งกล้าอดทนถึงจะฝึกฝนคนที่เป็นบุคลากรขึ้นมาได้อย่างยิ่งยง คนที่เป็นผู้นำต้องรู้จักที่จะมองคนที่ตัวเองนั้นจะเลือกใช้งาน คนที่ชอบทำอะไรมุ่งไปโดยไม่ค่อยจะมองทิศมองทางนั้น ต้องให้ไปทำงานบุกเบิก คนที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องอย่าให้ไปทำงานฝ่ายต้อนรับ คนที่ชอบจู้จี้จุกจิกอย่าให้ไปทำงานแผนกครัว ควรให้ไปทำงานแผนกอะไรถึงจะดี (การเงิน)
อาจารย์พูดคร่าวๆ แค่นี้ก็คือว่าให้มองคนกับงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนควรมีงาน แต่งานควรเหมาะสมกับตัว แต่คนสมัยนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาสั่งโน่นสั่งนี่ได้ สุดท้ายจึงต้องรู้จักที่จะมองตัวเอง โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาบำเพ็ญ ศิษย์ต้องรู้จักใช้ให้ถูก คนหนึ่งคนมีช่วงเวลาที่ขึ้นที่สุดของเขาอยู่ แล้วเวลาที่กำลังขึ้นอย่าไปกด เพราะเวลาที่เขาตกนั้นต่อให้กระชากเท่าไรก็ไม่ขึ้นจริงหรือไม่
วันนี้เจอกันเป็นครั้งแรก อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์นั้นยึดติดกับการที่อาจารย์ใช้ร่างคนอื่นมาพูดกับศิษย์ แต่อาจารย์จนใจเหลือเกิน ไม่มาศิษย์ก็ไม่รู้จักวิธีการบำเพ็ญ ไม่รู้จักวิธีรู้ตื่น ไม่มาศิษย์เก่าบางคนก็ไม่มา การบำเพ็ญเป็นเรื่องของตัวเอง การบำเพ็ญเป็นเรื่องใช้เวลา ให้เวลา เป็นเรื่องของคนมีใจ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับคนที่มีธรรม อาจารย์สงสารศิษย์ทุกคน ให้กำลังใจศิษย์ทุกคนตลอดเวลา แต่ต่อให้ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง ศิษย์ก็ไม่ได้ยิน
ศิษย์อย่าได้ยินแต่เสียงของตัวเองที่โอดครวญถึงความยากลำบาก คนในโลกนี้มีมากมาย ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่นับว่าเป็นผู้โชคดี ศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ถือว่าเป็นผู้ที่มีบุญ อาจารย์ไม่โกหกศิษย์ ศิษย์เป็นคนมีบุญจริงๆ เพียงแต่ลึกๆ อาจารย์หวั่นว่าไม่รู้ว่าคนมีบุญนั้นรักษาบุญเป็นไหม คนมีบุญนั้นต่อยอดบุญของตนเองเป็นหรือเปล่า จะนำชีวิตของตนเองไปในทางที่ถูกต้องได้หรือไม่
อย่าเห็นสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นเพียงลมปาก อย่าทำเหมือนเราเจอกันสองชั่วโมงแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์นั้นเห็นอาจารย์เป็นเพียงคนที่เจอกันสองชั่วโมงแล้วทิ้งกันไป เข้าใจชีวิตศิษย์ให้มากกว่านี้ รู้จักทางสว่าง แล้วเดินไปตามแสงนั้นให้ถูกต้อง
อาจารย์มาดหมายให้ศิษย์ทุกคนนั้นพ้นทุกข์เป็นที่สุด แล้วมาดหมายให้ศิษย์นั้นเป็นแขนเป็นขา เป็นมือเป็นเท้าแทนอาจารย์ออกไปช่วยคน  อย่ารังเกียจใคร อย่าขี้เกียจในตัวเอง
รอยเท้าทุกย่างเท้าที่ศิษย์ก้าวไปเพื่อช่วยผู้อื่น คือรอยเท้าแห่งอริยะ คือวาสนาแห่งผู้ที่ยังลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้  แต่หากศิษย์ทุกคนเก็บตัวอยู่ในบ้าน หรือว่าเหนื่อยเกินไปไม่ทำอะไรแล้ว ศิษย์อยากที่จะสำเร็จหลุดพ้นไปโดยไม่ทำอะไรเลยนั้นเป็นไปไม่ได้
แผ่ความเมตตานั้นออกมามากๆ เพราะความเมตตานั้นสามารถแผ่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นรัศมีธรรมแห่งคน ยิ่งศิษย์แผ่มาก ใจศิษย์ก็ยิ่งสบายมากขึ้น เปรียบเสมือนโพธิสัตว์ แต่ถ้าศิษย์ไม่ทำอะไรเลย รัศมีอันนี้ก็ไม่ถูกฝึกฝนให้เปล่งประกายได้
งานประชุมธรรมครั้งนี้เป็นงานแรกของครึ่งปีหลังที่อาจารย์นั้นมาหาศิษย์ หวังว่าศิษย์ทุกคนยังคงรักษาสภาพจิตใจของตนเองให้ดี  บางคนเคยเจออาจารย์ทุกๆ ชั้น ตอนช่วงที่ไม่เจอ ศิษย์ได้ไปทำตามใจตัวเอง ความอิสระแบบนั้นที่ทำให้ศิษย์เกเรขนาดนี้ ศิษย์ดูสิว่าศิษย์ดีขึ้นหรือแย่ลง
รักษาตัวให้พ้นจากความโลภอันเป็นภัยแห่งผู้บำเพ็ญ รักษาใจให้สงบและว่างเปล่าสะอาด เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ลาก่อนนะ



 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "จางจืดรู้รสแท้"

   เป็นคนเมืองเรื่องง่ายง่ายถูกให้ยาก คนหมู่มากทำอะไรเลยไม่ง่าย
เมื่อใจยุ่งให้เรียบง่ายทำไม่ได้ แต่ว่าใครพยายามรับผลดี
ฝึกกินง่ายอยู่ง่ายและเรียบง่าย แต่ไม่ใช่ให้มักง่ายชีวิตนี้
คนอยู่ยากอยากได้สิ่งเกินพอดี แต่ไม่ใช่ให้มักง่ายชีวิตนี้
คนอยู่ยากอยากได้สิ่งเกินพอดี สิ่งที่มีใช้ไม่หมดยังไม่พอ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา