วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2549

2549-06-24 สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร


西元二00六年  歲次丙戌五月廿九日     大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙  สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพมหานคร
                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
     ปลูกต้นไม้สิบปีอาจเห็นผล                   แต่สร้างคนใช้เวลามากกว่านั้น
จงให้ความสำคัญกับสิ่งสำคัญ                    และความไม่สำคัญอย่างพอดี
                    เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
                                  ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

     ธารศรัทธาไหลหนุนเนื่องไม่ขาดสาย        ความตั้งใจที่ปฏิบัติจึงเห็นผล
อย่าเอาแต่คิดเข้าข้างให้กับตน                   ความกังวลต้องยิ่งลดจึงจะดี
ใช้ความเครียดที่มีให้เกิดประโยชน์              ไม่ปล่อยวางเป็นโทษกับชีวิต
การกระทำและปวงเหล่าความคิด                ต้องใช้จิตที่มีธรรมเข้าควบคุม
แสวงหาความสำเร็จให้กับตน                     ต้องอดทนในสิ่งที่ทนยาก
เกิดเป็นคนอย่าได้กลัวลำบาก                    เพื่อท้องปากอย่าลืมดูแลจิตใจ
จงศึกษาในสิ่งที่ไม่รู้                                บากบั่นดูความสำเร็จไกลแค่ไหน
การสร้างความสำเร็จเป็นเรื่องง่าย               แต่รักษาให้คงไว้ยากยิ่งกว่า

รู้จักล้มคนใช้ธรรมไม่เจ็บนาน                    พยายามอย่าชั่วกาลก็หมดสิ้น
ศิษย์น้องต่างอยู่ในโลกแดนราคิน[๑]             ใช้ชีวินอย่างรอบคอบแลระวัง
สองวันนี้ประชุมธรรมศึกษาธรรม                รู้จักฟังรู้จักนำไปปฏิบัติ
คนทำได้ต้องดำเนินอย่างเคร่งครัด              อย่าเที่ยววัดสั้นยาวให้หมางใจ
ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง                        คนรู้จริงในโลกนี้มีไม่มากหนา
ต่างไม่อาจทนได้หลายเวลา                        จงหันมาใช้ความกล้าในทางดี
จงศรัทธาความว่างเปล่าสองมือตน              คนฝึกฝนย่อมทำได้ดีมากกว่า
จะต้องให้เวลากับตนนา                            สร้างคุณค่าแห่งจิตใจสู่ปวงชน
ในวันนี้เป็นวันแรกอาจว่าแปลก                   อย่าแบ่งแยกภาวะธรรมล้วนเป็นเอก
ชีวิตนี้อย่าแขวนไว้กับตัวเลข                     การบำเพ็ญเป็นปัจเจก[๒]แต่ร่วมกัน
หวังศิษย์น้องจงตั้งใจฟังธรรมะ                  การลดละอยู่คู่ตนไม่ไกลห่าง
วนเวียนว่ายเพราะตามใจตนไม่วาง               อย่าได้สร้างบาปกรรมไว้ติดตน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป                    ศิษย์พี่ได้รับบัญชาคุมชั้นเรียน
หวังศิษย์น้องเมื่อเข้าใจได้แปรเปลี่ยน           ตนเองเพียรตนเองได้เท่านั้นเอง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                      ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙   สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

     มีความรู้ถ้วนทั้งทางโลกและทางธรรม      ไม่อาจนำพ้นเหตุแห่งทุกข์ได้
รู้กับทำดั่งกระจกขวางจิตใจ                      แม้รู้ดีสุดท้ายใจพ่ายเหมือนเดิม
                    เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนมายา  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านอยากสนทนาธรรมกับเราหรือเปล่า
     จงมีฝันที่พาชีวิตสูงค่า                   ฝันลืมตาตื่นโลกแปลกยวนใจ
ปลุกให้ตื่นใจหลับยังรุกไล่                    ทุกข์ใหม่ใหม่ไม่ปลงตามไม่ทัน
คนตื่นคนปลงใจคนไม่ลง                      พิจารณาคนต้องหลงไม่อาจมุ่งมั่น
ในประโยชน์มีทุกข์ตื่นในประโยชน์นั้น       ครองตนโดยธรรมในกันเป็นปรัชญา
ค่ำคืนไม่ฝืนเพียรต้องพักผ่อน               คนเมืองร้อนแดดแจ้งสู้งานหนา
เก่าชะรอยในใหม่คนรู้สร้างค่า               บทเรียนเก่าหยุดตนช้าแต่แม่นยำ
ปัญหาชีวิตหยอกคนนิ่งไม่แท้แน่            ไม่คิดกลับแจ้งแต่แน่ใจช้ำ
ความทุกข์ไม่นอกใจอย่าปล่อยนำ            จิตกวัดแกว่งแต่เอาธรรมปลอบประโลม
มีปัญญาเหนือความเขลาด้วยทบทวน       บำเพ็ญส่วนหยุดใจยังเราเปลี่ยนโฉม
นักปฏิบัติลัดมาพบนักพูดโน้ม               ทักษะโคมตนในตนถือนำทาง
มีอะไรเป็นของตนก็หาไม่                     คนอยู่เป็นตนเอาใจละเอียดย่าง
ซ่อนละโมบพ้นทางธรรมแม้นเยื้องย่าง     คนพูดอย่างทำอย่างกรรมหนักเกิน
                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

มีคำกล่าวว่า มีแขนมีขาแต่ไร้ใจ แขนขาก็ทำงานไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะลุกก็ยังลุกไม่ไหว จะเดินก็ยังเดินไม่ไหว เขาบอกว่าถ้าเรามีใจแม้ขาจะพิการเราก็สู้ได้จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลก บางครั้งต้องถามตัวเราเองว่ากายป่วยหรือใจป่วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่ชอบพูดว่าทำไม่ได้นั้น กายทำไม่ได้หรือใจไม่เอา (ใจไม่เอา)
แล้วเคยได้ยินไหมว่า มีทั้งกายที่เข้มแข็งและก็หัวใจที่มั่นคง แต่กลับทำอะไรไม่ได้เพราะอะไร (ขาดความมั่นใจในตัวเอง)  กายเราก็ปกติ ใจเราก็ปกติ แต่ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้ เพราะอะไร (ขาดความมุ่งมั่นศรัทธา, พลังจิตไม่เข้มแข็ง)  เพราะขาดการสนับสนุนใช่ไหม (ใช่)  บางทีเรามีทั้งแรง มีทั้งหัวใจที่อยากจะทำนั่นทำนี่ แต่บางทีขาดพลังคนช่วยหนุนนำและผลักดันถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเกิดว่าเรามีปัญญา เราย่อมหาทางออกได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยได้ยินคำว่าเล็กพริกขี้หนูไหม แล้วเคยได้ยินไหมว่าพริกขี้หนูเม็ดนิดเดียว แต่โดนตรงไหนทำให้คนตัวใหญ่ล้มลงได้ ท่านมีทั้งกาย หัวใจ และมีปัญญาที่ดี เราถามคำถามง่ายๆ พริกขี้หนูเม็ดเล็กๆ โดนตรงไหนของคนแล้วทำให้คนล้มตึงได้ (ตาแล้วมดตัวเล็กๆ โดนตรงไหนที่ทำให้คนตายได้ ไม่ต้องถึงตายก็ได้อาจจะพิการได้ (ช่องหูเห็นไหมว่าความคิดหรืออะไรที่เราคิดว่าเล็กน้อยไม่น่าจะมีพลัง แต่ถ้าเกิดอยู่ถูกที่อยู่ถูกจุดและอยู่ถูกทาง ก็สามารถแปรเปลี่ยนพลังเล็กๆ ให้กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ล้มคนบางคนได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกันเราเป็นคนอยู่ในโลกนี้ ถ้าถามท่านในที่นี้ระหว่างดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนดิน ดอกไม้ที่ปักอยู่บนหน้าอกของบิดามารดาเรา กับดอกไม้ที่ถวายพระ ถ้าเปรียบเทียบท่านเป็นดอกไม้ ท่านอยากเป็นดอกไม้ที่เลือกอยู่ที่ใด (บนพื้นดินเพราะอะไร (เพราะดอกไม้ที่อยู่บนพื้นดิน เราก็สามารถนำไปอยู่บนหน้าอกของบิดามารดา หรือนำไปถวายพระก็ได้) เพราะยังสามารถที่จะคิดเอาไปสร้างสรรค์ตรงไหนก็ได้ใช่ไหม การอยู่กับเราไม่มีอะไรที่ตอบว่าผิดหรือถูกทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน ไม่ใช่การกระทำของเรา  ฉะนั้นท่านมีความคิดอะไรก็ไม่ผิด กลัวหรือ หรือว่าเกร็ง หรือว่ากังวล  ความกลัว ความเกร็ง ความกังวล ก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้มดตัวเล็กก็เป็นมดวันยังค่ำจริงไหม พริกเล็กๆ ก็กลายเป็นพริกที่ไม่มีวันสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นอย่ากลัว เรามีอะไรน่ากลัวหรือ  (อยากอยู่บนอกพ่อแม่) เพราะอะไร (เพราะอบอุ่นเพราะอบอุ่นได้ดูแลได้ใกล้ชิดใช่หรือไม่ (ใช่ไม่มีใครอยากอยู่บนหิ้งพระบ้างหรือ ทุกคนสามารถเป็นดอกไม้ เป็นบุคคลที่น่าเคารพได้ถ้าประพฤติดีประพฤติถูกต้องจริงไหม (จริง)
ตัวท่านเองพร้อมจะเป็นดอกไม้ที่อยู่บนดิน ดอกไม้ที่อยู่บนอก และดอกไม้ที่อยู่บนหิ้งพระ แล้วแต่ว่าในช่วงขณะที่มีชีวิตอยู่หรือในหนึ่งวันนั้นเลือกกระทำสิ่งใด ในหนึ่งวันเราอาจจะเป็นดอกไม้ที่อยู่บนดินธรรมดาก็ได้ ในหนึ่งวันเราก็อาจจะเป็นดอกไม้ที่อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่ชื่นบานได้ และในหนึ่งวันนั้นเราก็อาจจะสามารถเป็นดอกไม้ที่น่าเคารพรักจนคนยกมือท่วมหัวได้ อยู่ที่ว่าตัวเราเลือกจะอยู่ที่ใด เคยได้ยินปราชญ์โบราณพูดไหมว่า ถ้าคนเรารู้จักเลือกที่อยู่ให้เป็นประจำ คนที่เป็นคนธรรมดาก็อาจจะกลายเป็นคนที่มีค่าได้ คนที่รู้จักเลือกที่จะหาคนคุยสนทนาเป็นประจำ คนที่ไม่มีความรู้ก็กลายเป็นคนที่มากความรู้ได้
เคยรู้จักคำว่า เล็กพริกขี้หนู แต่เคยคิดมากกว่าเล็กพริกขี้หนูไหม เคยคิดแต่เพียงว่าอย่าดูถูกคนตัวเล็กๆ คนตัวเล็กถ้าแสดงอานุภาพออกมาอาจจะแสบร้อนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวทุกท่านก็เหมือนกันอย่าดูถูกว่าตัวเองเป็นเพียงพริกเม็ดเล็กๆ แต่ถ้าพริกเม็ดเล็กๆ ทุบแล้วก็ขยี้ให้เกิดน้ำ เหมือนกับกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งหวาน ชีวิตของมนุษย์ทุกคนก็เหมือนกัน ไม่ลองลำบากก็ไม่รู้ว่าชีวิตมีค่าขนาดไหน ไม่ลองเจ็บปวดก็ไม่รู้ว่า ตัวเองเข้มแข็งหรืออ่อนแอเพียงใด เรารู้จักทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ แต่ทำไมเราไม่รู้จักฝึกใจให้เข้มแข็ง  ทำอย่างไรเราถึงจะมีใจที่เข้มแข็งก่อนที่เราจะเจ็บปวดแล้วไม่มียาใดรักษา นั่นก็คือ อย่าเลือกแต่สิ่งที่ชอบ อย่ามองแต่สิ่งที่อยากมอง แต่บางครั้งต้องมองสิ่งที่ไม่อยากมองบ้าง ฟังในสิ่งที่ไม่อยากฟังบ้าง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับหูและก็หัวใจถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าฟังสิ่งที่อยากฟังบ่อยๆ ก็คงเป็นนกติดปีกที่วันใดปีกหักแล้วก็เจ็บปวด
เรายิ้มจนแก้มปริแล้ว พวกท่านยังยิ้มไม่ออกอีกหรือ ตั้งแต่เรามาจนถึงเดี๋ยวนี้ เรายิ้มตลอดไม่เคยบึ้งใส่ท่าน แต่ทำไมกระจกสะท้อนถึงบึ้งตลอดเลยนะ เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราตรวจสอบแล้วว่าเราทำถูกและดีแล้ว แต่คนข้างๆ ก็ยังไม่เห็นดีก็อย่าสนใจ แต่ถ้าเกิดเราทำดีแล้วคนข้างๆ เป็นคนดีแต่ไม่เห็นดีด้วย เราต้องปรับปรุงเปลี่ยนนิสัยใช่ไหม (ใช่)
ในชีวิตเราอะไรบ้างที่เป็นเหมือนมด ที่กัดเราทีก็ทำเราล้มตึงหรือเป็นเหมือนพริกที่โดนนิดนึงก็เจ็บปวดรวดร้าว (ปัญหาและอุปสรรค)  ทุบกระท้อนกระท้อนถึงจะหวานหรือ ต้องรอคนมาบี้พริกแล้วพริกถึงจะรู้ว่ามีพิษสงหรือ เราปลุกตัวเองได้หรือไม่ (ได้)  ชีวิตของเราจะคิดพึ่งพาใครตลอดมันเป็นไปไม่ได้ ตัวเราเองต้องพึ่งตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นถึงเวลาเราต้องอยู่ตัวคนเดียวแล้วจะเอาตัวไม่รอด คนที่รักที่สุดสักวันก็ยังต้องจาก คนที่ใกล้ชิดที่สุดสักวันก็ต้องพลัดพราก ของที่ศักดิ์สิทธิ์มีค่าที่สุดสักวันยังสูญหาย  ฉะนั้นจงหาความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธาเริ่มต้นที่ตนเองก่อนดีไหม (ดี)  อย่ามัวแต่ไปหาแต่ภายนอกแล้วลืมคุณค่าหรือดูแคลนตัวเองภายในเลย
เมื่อยหรือยัง (ยังไม่เมื่อย)  ยืนได้กี่ชั่วโมง เราบอกท่านเป็นชั่วโมงแต่ท่านบอกเป็นนาที การประเมินตัวเองสูงๆ กับการประเมินตัวเองต่ำๆ อันไหนดีกว่ากัน (สูงๆ)  เมื่อสักครู่นี้ทำไมถึงบอกห้านาที การเลือกอยู่ที่สูงย่อมปลอดภัยกว่าการเลือกอยู่ที่ต่ำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถึงเวลาทำไมเราชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี  เพราะอะไรทั้งที่บางทีคิดดีก็สามารถทำให้เราสบายใจ แล้วคนคิดร้ายก็อาจจะเปลี่ยนใจได้ แต่ถ้าคิดระแวง คิดร้ายแล้ว คนที่ไม่สบายใจและทุกข์ใจที่สุดก็คือ (ตัวเราเอง)  ฉะนั้นอะไรหรือที่แสบทรวงมาก (ความคิดตัวเอง)
ตอนนี้จะประเมินตัวเองว่ายืนได้กี่นาที (หนึ่งวันมีคนบอกว่าหนึ่งวัน เราเห็นดูคอนเสิร์ต สามชั่วโมงยังยืนกันได้ ยืนกันจนลืมเมื่อยไปเลย ความคิดแรกที่เราจะพูดถึงคือความอยาก คนเราถ้ามีใจอยากหรือมีใจชอบ สังเกตไหมว่าเหนื่อยแค่ไหน ลำบากแค่ไหนก็ไปถึงได้ถูกไหม (ถูกและยิ่งถ้าเป็นสุขกับสิ่งที่ทำแม้เจ็บแม้ปวดกัน ยังพยายามดั้นด้นไปทำจนได้ และการคิดอยากเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดีคนที่ตอบว่าดียืนต่อไป ใครที่ตอบว่าไม่ดีก็ยืนต่อไป แต่ใครที่ตอบว่าทั้งดีและไม่ดีได้นั่งลง เพราะคนที่ตอบได้อย่างนี้แปลว่าเข้าใจถึงความอยากและเคยเจอความอยากทำพิษมาแล้วถูกไหม (ถูกและเคยเจอความอยากที่ให้ผลดีมาแล้ว
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนนั่ง พิธีกรให้นักเรียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่งก่อน) ทำไมเขาถึงบอกว่าต้องเชิญให้เรานั่งก่อนรู้ไหม ใครเคยได้ยินคนที่นับถือศาสนาอิสลาม เขาจะมีช่วงหนึ่งที่ให้งดทานข้าวเพื่อให้คิดถึงว่าวันนี้เรามีกิน วันหนึ่งเราอาจไม่มีกิน ฉะนั้นการที่เขาชวนเรานั่งก่อนก็เพื่อให้ท่านได้รู้ว่า วันนี้เราได้นั่งคนอื่นก็ต้องได้นั่งด้วย สิ่งนี้ลืมไม่ได้เมื่ออยู่ในสังคม ส่วนใหญ่เราจะคิดว่าเราต้องได้ก่อนคนอื่นที่หลัง แต่เคยคิดไหมว่าขอแบ่งครึ่งได้เท่าๆ กัน ถ้าคิดได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นคนดีระดับหนึ่ง แต่ถ้าคิดได้ถึงขนาดฉันไม่นั่งคนอื่นนั่งก็ดี นี่แปลว่าฝึกจิตใจได้สูงขึ้น ฉะนั้นชั่วขณะหนึ่งสามารถวัดความเป็นคนของตัวเราได้
แลกเปลี่ยนภูมิปัญญาธรรมกับเราเอาไหม ถ้าเอาต้องกล้าๆ ตอบหน่อย  เมื่อสักครู่เราพูดค้างเรื่องความคิดอยากซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าอยากแบบใจเร็วด่วนได้ อยากแบบทางลัดดีหรือไม่ (ไม่ดี)  เราอยากเปรียบเทียบว่าคนที่อยากได้อะไรไวๆ เร็วๆ โดยที่ไม่อาศัยเวลาและประสบการณ์ในการสั่งสมความรู้ทีละเล็กทีละน้อย จึงมีคุณค่าเปรียบเหมือนต้นหอม ซึ่งออกผลไวก็ตายไว คนที่อยากได้อะไรเร็วๆ และทางลัด โดยเฉพาะการพนันเป็นสิ่งที่ผิด มักจะเป็นอย่างไร ผลของคุณค่านั้นก็เหมือนกับต้นหอมที่อยู่ได้ไม่ยั่งยืน แต่ถ้าความอยากนั้นเป็นอยากที่ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ เรียนรู้ด้วยความอดทน เรียนรู้จากความลำบากแล้วสำเร็จมาได้ ความอยากนั้นก็จะมีคุณค่าเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่ยิ่งมีความอยากที่ดีอันยิ่งใหญ่เท่าไหร่คนก็ยังรักษาคุณค่า
ความอยากของเราอย่าเป็นอยากที่ตัดตอน ใครเข้าใจคำว่า ตัดตอน บ้าง อย่างเช่นอยู่กับเพื่อนด้วยกัน เพื่อนสำเร็จเรายังไม่สำเร็จ เราเลยคิดว่าอยากสำเร็จเหมือนเพื่อน เลยถามเพื่อนว่าสำเร็จได้อย่างไร เราบอกว่าลำบากไม่เอา เอาแต่สำเร็จอย่างเดียวได้ไหม คนส่วนใหญ่มักเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากสอบได้ที่หนึ่งแต่ไม่ขยันอ่านหนังสือ อยากมีชีวิตที่บั้นปลายสุขสบายแต่ตัวเองกลับไม่ขยันขันแข็งทำงาน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อย่าเป็นคนอยากที่ตัดตอน เลือกแต่สิ่งที่มีคุณค่า เลือกแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่ยอมลำบากมาก่อนแล้วค่อยได้ดี เช่นนี้จะทำให้ความอยากนั้นเป็นพิษ และความคิดที่อยากนั้นจะทำร้ายใจเรา
ความรัก เป็นพิษที่แสบไหม (แสบ)  อยากให้เขารักอย่างเดียว แต่ไม่เคยปลูกฝังความรักที่ดี เขาจะรักเราอย่างยืนนานไหม (ไม่)  เขาจะอยู่กับเราโดยไม่เปลี่ยนใจไหม (ไม่)  ฉะนั้นเมื่ออยากได้อะไรในโลก อย่าตัดตอนเห็นแต่สิ่งที่สมหวัง สิ่งที่สวยงาม แต่ต้องเป็นความอยากที่เกิดจากการสั่งสมความลำบากมานักต่อนักแล้วประสบผลสำเร็จ ความอยากนั้นจะเป็นอยากที่ไม่มีใครรังเกียจท่านเลย เคยไหมว่าทั้งที่พยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมเขาไม่รักตอบ อย่างนั้นต้องมาดูอีก อยากอย่างไรที่ทำให้เกิดพิษได้อีก อยากรู้ไหม (อยาก)   นั่นก็คือ มนุษย์ถนัดที่จะมองออก พอมองออกแล้วเราเห็นอะไรดี และก็เห็นอะไรไม่ดี แต่ส่วนใหญ่เห็นดีมากกว่าหรือไม่ดีมากกว่า (ไม่ดีมากกว่า)  พอเห็นไม่ดีมากกว่า เราเลยอยากควบคุม พอควบคุมแล้ว ใครในโลกอยากให้ท่านเป็นลูกไก่ในกำมือบ้าง เอาไหม (ไม่เอา)  เป็นคนรักของฉันต้องอย่างนี้ต้องอย่างนั้น ต้องแบบนี้ต้องแบบนั้น ต้องมีฉันคนเดียว ต้องมีฉันตามไปทุกหนทุกแห่ง พอเราถนัดที่จะมองออกแล้วชอบมองผิดมากกว่ามองถูก นอกจากมองผิดหรือมองถูกแล้วก็ชอบมองแล้วครอบงำ ทั้งที่เราเองยังไม่ชอบให้ใครครอบงำ แต่เราก็ชอบครอบงำคนอื่น ความคิดที่เป็นทุกข์ก็คือ คิดอย่างครอบงำ ถนัดที่จะมองออกแต่ลืมมองเข้าว่าตัวเองก็ไม่ชอบ ฉะนั้นอย่าไปทำแบบนั้นกับคนอื่น พอเราไม่สามารถควบคุมเขาได้ ใจเราก็เริ่มคิดว่าสิ่งนี้ก็ไม่ดี คนนี้ก็น่าเบื่อ คนนี้รักแล้วก็ไม่รัก เริ่มหงุดหงิดกลายเป็นคนที่เบื่อง่ายๆ แล้วก็มองโลกในแง่ร้าย
ฉะนั้นโลกร้ายไม่เท่ากับใจร้าย จะไปโทษโลกร้ายไม่ได้ โทษใจเราเองต่างหาก พอผิดหวังกับการควบคุมคนให้เป็นอย่างที่ต้องการ แล้วควบคุมไม่ได้  ก็เริ่มเบื่อ เซ็ง ท้อ มองอะไรก็พาลไม่ดีไปหมด  ฉะนั้นจึงเห็นใจคนยาก   อภัยคนไม่เป็น และสงสารคนไม่ขึ้น พอจะเห็นใจ ไม่แน่ใจว่าเขาอาจจะเก็บเงินไปทำอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า หรือจะเชื่อที่เราพูดก็ไม่แน่ใจ ช่างท่องได้ชำนาญเหลือเกิน คล่องเหลือเกิน ดีเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  เลยไม่กล้าเชื่ออย่างสุดใจใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นลองคิดว่าดูละครฉากหนึ่ง แล้วในละครนั้นสามารถให้แง่คิดที่นำไปใช้ในชีวิตได้ แล้วก็มีอีกเหตุผลหนึ่งคือ ชอบคิดว่าตัวเองเป็นพระเอก แล้วคนอื่นเป็นตัวประกอบ คิดว่าต้องมีเราเป็นจุดศูนย์กลาง แต่เราลืมมองออกไปว่า ถ้าเกิดคนทุกคนในโลกคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง โลกนี้ไม่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัวหรอกหรือ แล้วโลกนี้ไม่เต็มไปด้วยคนที่เอาแต่ใจแล้วมีแต่พระเอก ไม่มีใครเป็นนางโกงหรือใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสำคัญ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความสำคัญใดๆ ให้คนรักคนเห็น บางครั้งต้องคิดว่าเราเป็นตัวรองบ้าง เป็นตัวเสริมบ้าง เหมือนคนเล่นฟุตบอล ถ้าเกิดว่าลูกบอลมาอยู่ใกล้เราแล้วคิดว่าฉันต้องเป็นคนทำแต้ม ไม่สนใจว่าตัวเองอยู่กลางสนาม หรืออยู่ไกลสนามขนาดไหน จะยิงเข้าประตูอย่างเดียว คนนั้นก็สร้างความเดือนร้อนให้กับทีมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราขอให้เป็นตัวผ่านส่งลูกให้กับคนอื่นได้ยิงใกล้ๆ ไม่ดีกว่าหรือ
บางครั้งเราอยู่ในโลก แม้เขาไม่รักเรา ขอเพียงเรามีสุขที่ได้รักใครก็พอแล้ว นั่นถึงจะเป็นความรักที่แท้จริง แม้เขาจะไม่เข้าใจเรา แต่ขอเขาเป็นคนที่ถูกต้องและทำตัวดีงามก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าต้องตามเราตลอด คบกับใครเขาเป็นตาเถร ท่านก็คงรำคาญถูกไหม (ถูก)  เขาว่าหนึ่งเราก็หนึ่ง ตอนแรกก็ชอบแต่นานๆ ไปก็เบื่อถูกไหม (ถูก)  แต่แปลกพอเขาฉลาดมากหน่อยก็ว่าเขาสู่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าพริกหนึ่งเม็ดอย่างไรก็กลายเป็นหนึ่งเม็ด บางครั้งพริกหนึ่งเม็ดอาจจะฉลาดรู้จักขยี้ และเอาเม็ดเพาะพันธุ์เพื่อช่วยคนอื่นก็ได้ จริงไหม (จริง)  เราบอกความคิดที่สามารถทำพิษไปกี่อย่างแล้ว จำได้ไหม  (อย่าตัดตอน, อย่าครอบงำ , อย่าเห็นแก่ตัว, อย่าเป็นตัวเอก)
ท่านเป็นอย่างนั้นทั้งสี่อย่างเลยหรือ พอโดนทีไรก็เลยแสบทุกทีเลย โดนทีไรก็เหมือนไฟเผารนในใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นต่อไปอย่าไปโทษคนอื่น หันมามองตัวเราเองก่อนว่า เราเผลอมีความคิดแบบนั้นหรือเปล่า แล้วเราก็จะได้ไม่เป็นคนที่ทำอะไรดีแต่โทษคนอื่นแต่ไม่มองตัวเอง ลองนึกสภาพนะ ถ้าในสังคม ทุกคนเวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หันมามองตัวเองก่อน แล้วก็พูดพร้อมๆ กันว่า ผมผิดเอง ฉันผิดเอง เราผิดเอง โลกนี้จะไม่น่ารักหรอกหรือใช่ไหม (ใช่)  แต่ก็น่ากลัวอย่างหนึ่ง พอรับผิดแล้วคนกลับมองอย่างตายตัวยึดติด ทำให้คนไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นคนผิดจริงไหม (จริง)
โลกเปลี่ยนแปลงทุกวันไหม (เปลี่ยน)  คนเปลี่ยนทุกวันไหม แล้วเราชอบยึดติดกับความคิดว่าแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ เคยมองเขาเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างไหม (ไม่)  ทุกครั้งที่มองจะต้องเอาไปประเมินในขั้นพื้นฐาน จึงทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเอาข้อดีของคนอื่นมาเสริมข้อด้อยของเรา และสามารถเป็นผู้นำที่ขยายสิ่งที่ดีของผู้อื่นให้มากยิ่งขึ้นเพื่อลดข้อด้อยของตัวเอง หลายคนมักจะคิดว่าคนนี้นิสัยแบบนี้ แล้วก็เชื่อมั่นว่าต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่น หมูหนึ่งตัวจะเป็นหมูหนึ่งตัวตลอดไปไหม เป็นถ้ามันเป็นตัวผู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดตัวผู้รู้จักหาตัวเมีย หมูหนึ่งตัวยังเป็นสองตัวได้ ฉะนั้นสัตว์ที่ขี้เกียจที่สุดยังสามารถเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง ฉะนั้นในความคิดของมนุษย์เราอย่าได้ยึดติดถือมั่น ว่าเราจะไม่สามารถกลั่นกรองสิ่งต่างๆ ในโลกมาเสริมปัญญาเราได้
มนุษย์ยังมีทุกข์อะไรอีก นอกจากทุกข์จากความคิดที่ผิดๆ ทุกข์จากความยึดมั่น แล้วมีทุกข์อะไรอีก คำถามนี้ไม่น่ายากใช่ไหม
(ทุกข์จากความโลภ, ทุกข์จากความไม่รู้จักพอ, ความไม่พอดี, ทุกข์จากโรคภัย, ทุกข์จากความผิดหวัง, ทุกข์จากความคิดตัวเอง, ทุกข์จากความคิดคนอื่น) แต่เคยได้ยินไหมว่าทุกข์จากคนอื่น หรือทุกข์จากสิ่งอื่นแต่ถ้าเกิดรู้จักคิดเดี๋ยวเราค่อยเฉลย
(ทุกข์ใจ) ทุกข์ใจคือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด แล้วอะไรที่ทำให้ใจทุกข์บ่อยๆ เชื่อมั่นในตัวเองเกินไปไหม
(ทิฐิ, ความยึดมั่นถือมั่น)  มนุษย์เรามีความทุกข์ใจเยอะ แต่ต้องหาให้เจอไม่อย่างนั้นเราจะทุกข์ไม่จบสิ้น (ทุกข์จากสิ่งที่ตัวเองไม่ก่อ)  เราอาจจะไม่ก่อชาตินี้แต่แน่ใจหรือว่าชาติที่แล้วเราทำเขาไว้หรือเปล่า เคยไหมว่าบางทีในกลุ่มคนหลายๆ คน ทำไมอยู่ๆ คนนี้เราถึงรู้สึกถูกชะตา แต่อีกคนหนึ่งเห็นแล้วรำคาญหูรำคาญตา
(ความโกรธ)  ความโกรธเป็นอะไรที่ง่ายมากนะ ขอเพียงอภัยเยอะๆ เข้าใจเขามากๆ แล้วเคยได้ยินไหม พระพุทธองค์สอนไว้ว่าอย่าระงับความโกรธด้วยการโกรธตอบ แต่จงแผ่เมตตาตอบ
(ทุกข์จากความอิจฉาริษยา และความยากจนแร้นแค้นในชีวิต)  คนเราจะจนก็เพราะว่าใจจนมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  มั่งมีขนาดไหนแต่ถ้าเกิดว่าไม่รู้จักพอ คนนั้นแหละคือคนที่จนจริงๆ สวยขนาดไหนยังบอกว่าตัวเองอัปลักษณ์ ก็แย่แล้วนะ คนทุกคนต้องมีความงามไม่มุมซ้ายก็มุมขวา ไม่มุมหน้าก็อาจจะเป็นมุมหลังก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ในเมื่อมองตรงๆ ทำดีตรงหน้าเขาไม่เห็นคุณค่า เขาไม่เห็นความสวยจนกระทั่งเราไปแล้ว เขาถึงเห็นคุณค่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นคุณค่าเราอาจจะอยู่ด้านหลังก็ได้
(ทุกข์จากคำพูดของคนอื่น)  ในโลกนี้มีใครบ้างไม่ถูกนินทา มีใครบ้างมีแต่ชมไม่มีต่อว่า
(ทุกข์จากความรัก, ทุกข์จากสังคมเลวร้าย)  สังคมเลวร้ายมีอิทธิพลต่อใจเราไหม (มี)  แน่ใจหรือ ทำไมเห็นบางครั้งคนใต้ถูกฆ่า แต่วันนี้เราถูกลอตเตอรี่ยังหัวเราะได้ร่วนเลย
ปีศาจภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับปีศาจที่สิงอยู่ในใจจริงหรือไม่ (จริง)  มนุษย์พยายามป้องกันอันตรายจากข้างนอก แต่ลืมป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากในใจเรา
(ทุกข์เพราะเพื่อนร่วมบ้าน)  เคยได้ยินไหมว่าถ้าทำดีกับเพื่อนร่วมบ้าน เพื่อนร่วมบ้านกลับน่ารักกว่าลูกที่อยู่ห่างไกลอีกใช่ไหม
(ทุกข์เพราะกรรม)  อย่างนั้นเวลากรรมมาก็พยายามทำบุญแล้วก็แผ่อุทิศส่วนกุศล ไม่ต้องแก้กรรมหรอก ให้ชดใช้กรรมไปเถอะ เราอยากบอกว่ามนุษย์ชอบหนีกรรม หลบกรรม เราอยากบอกว่ามีกรรมเท่าไรจงใช้ไป วันนี้ท่านหลบได้แล้วพรุ่งนี้ล่ะ ถามจริงๆ นะ คนที่ท่านเกลียดมากที่สุดท่านแก้กรรมกับเขาได้ไหม ถ้าท่านไม่โดนจนสะใจเขาแล้วเขาถึงจะเลิกใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ทุกข์เพราะฝังใจในอดีต)  เมื่ออดีตผ่านไปแล้ว เก็บเป็นประสบการณ์ดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้อนาคตและปัจจุบันไม่ได้ดีเลย
(ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ)  แล้วต่อไปจะรู้จักพอไหม (รู้)
(ทุกข์เพราะความไม่รู้)  บางทีรู้แต่เหมือนไม่รู้
(ทุกข์เพราะห่วงลูกหลาน) ท่านเคยได้ยินไหมว่าทุกชีวิตมีชะตาเป็นของตัวเอง เราขีดเส้นชีวิตให้เขาเดินตลอดไม่ได้อย่างที่เราบอก อยากบังคับใคร บังคับไม่ได้
(เราทำให้เขาแต่เขาไม่เอา, ไม่ประสบความสำเร็จ)  แล้วจะทำไปทำไม แล้วถ้าขาดท่านไปวันหนึ่งเขาไม่ต้องตายหรือ สู้ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วให้เขามีหนทางในตัวเองไม่ดีกว่าหรือ
(ทุกข์ที่ไม่สามารถเริ่มต้นได้)  เรื่องบางเรื่องมีทั้งเรื่องที่ทำได้แล้วก็ทำไม่ได้ เรื่องที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราลงแรงจนถึงที่สุด มันไม่สำเร็จเราต้องยอมรับกับความจริง แต่ถ้ายังไม่ลงแรงแล้วเราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นแปลว่าเราแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น  ฉะนั้นมองให้ออกว่าทุกข์ที่ท่านเป็นอยู่ เป็นทุกข์ที่แก้ได้หรือแก้ไม่ได้ เป็นทุกข์ที่ควรทำใจปล่อยวาง หรือเป็นทุกข์ที่ควรจะมุ่งมั่นหาทางออกและเอาชนะให้ได้ ทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บปวด ความพลัดพราก ความตาย ความสูญเสีย ความผิดหวัง เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ ไม่มีใครในโลกหนีพ้นเรื่องนี้ถูกไหม (ถูก)  แต่เมื่อพบแล้วขอให้คิดให้ดี แล้วคิดให้เป็น ความทุกข์นั้นจะกลายเป็นมุมกลับที่ให้สิ่งที่ดีและแง่คิดที่ดีได้ จะคิดอย่างไร นั่นก็คือคิดอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้วท่านก็ต้องเปลี่ยนตามไป ไม่ใช่ไปรั้งให้อยู่กับเรา เหมือนตอนนี้ร่างกายแต่ก่อนเคยเข้มแข็งแล้วต้องเจ็บปวด ต้องเป็นโรค เราก็ต้องรับให้ได้และมองให้เห็นว่าเป็นโรคอะไร เข้มแข็งได้ไหม มนุษย์ไม่ได้ตายเพราะโรคแต่ตายเพราะความคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางครั้งโรคยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายก็ตายก่อนแล้ว  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเป็นโรคที่ไม่เห็นต้องตายเลย แต่กลับแทบเป็นแทบตายใช่ไหม (ใช่)  ผิดหวังนิดหน่อยแทบตายเลย บางครั้งมดกัดนิดหน่อยก็แทบเป็นแทบตายแล้ว  ท่านมองให้ดีๆ แล้วท่านจะเข้าใจว่า บนโลกใบนี้ท่านจะตัดตอนกินแต่ด้านสวย แล้วไม่กินด้านไม่สวยได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนชายที่อยากสร้างปราสาท แต่เบื่อแล้วพื้นชั้นล่าง ชอบยอดก็เลยบอกช่างให้สร้างแต่ยอด อย่างนั้นท่านจะเป็นคนตลกที่ดำเนินชีวิตในโลกอย่างน่าขำใช่หรือไม่ (ใช่)  มีสุขต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แต่ถ้าเราคิดเป็นคิดได้ ทุกข์นั้นจะกลายเป็นสุข แล้วสุขนั้นจะกลายเป็นความเข้าใจที่แท้จริงในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่กลายเป็นความหลงถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นขอให้ท่านมองโลกให้ดี อย่าตัดตอน อย่าตายตัว บางทีโลกเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนหน้าตา เหมือนผม อยากผมดำแต่ตอนนี้ผมขาว ก็เลยต้องหาเงินวิ่งเข้าร้านเป็นประจำเพื่อเปลี่ยนผมขาวให้เป็นผมดำ ตอนนี้หน้าเหี่ยวไปแล้วก็อยากให้หน้าตึงเหมือนเดิม ฉะนั้นควรยอมรับความจริง ให้งามแบบธรรมชาติ ดูที่หน้าท่านก็ได้ ถ้าให้ตาเหมือนคิ้ว ให้จมูกเหมือนตา แล้วให้ทั้งคิ้วจมูกตาเหมือนกันหมด จะเป็นอย่างไร แต่เรามองกระจกทุกวันคิ้วยังแบบหนึ่ง ตายังแบบหนึ่ง จมูกยังแบบหนึ่ง แต่ละแบบมีคุณประโยชน์ต่างกัน ฉะนั้นแต่ละอย่างที่ชีวิตต้องเจอ มองให้ดีก็มีค่าต่างกัน ไม่ใช่จะให้ทุกข์ ในทุกข์ก็มีสุขได้ สำหรับคนที่คิดเป็นคิดได้นะ
ฉะนั้นยิ่งมีชีวิตอยู่ ต้องรู้จักเอาประสบการณ์ของชีวิตและประสบการณ์ของคนรอบข้างมาสอนเรา เห็นเขาเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ต้องอย่าลืมเตือนเราว่า เราก็ไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นวันนี้เขายิ้มแล้วพรุ่งนี้เขาร้องไห้ ก็อย่าลืมเตือนเราว่า วันนี้เราร้องไห้ ไม่แน่พรุ่งนี้เราอาจได้ยิ้ม แล้ววันนี้เราได้ยิ้ม ไม่แน่พรุ่งนี้เราอาจจะร้องไห้ ฝึกความเข้มแข็งในหัวใจไว้นะ เพราะไม่มีใครช่วยปลอบประโลมใจท่านได้ดีเท่ากับตัวท่านเองที่คิดเป็นคิดได้ และดึงตัวเองพ้นทุกข์เป็น พ้นทุกข์ได้  เคยไหมเรื่องที่เราพูดท่านก็รู้อยู่ แต่เพราะอะไร พอมันจุกอกเราแล้วกลับแก้ไม่ได้ เรากลับทำใจไม่ได้ ก็เพราะว่าเราไม่เคยเตรียมตัวมาก่อนถูกไหม (ถูกวันนี้และนับจากนี้จะเตรียมใจทุกข์ให้เป็น และเป็นทุกข์ที่ไม่ทำให้เราตายทั้งเป็นเอาไหม (เอามีทั้งเอาและทั้งที่ยังนั่งเฉยๆ อยู่นะ
มีอะไรเป็นของตนก็หาไม่
ถึงที่สุดแล้วแม้แต่ร่างกายท่านเอง เฝ้าทะนุถนอม เฝ้าประคบประหงมรักษา อย่าให้ใครมาว่า อย่าให้ใครทำลาย แต่ถึงเวลาธรรมชาติก็ต้องทำลายเราใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเมื่อโดนคนว่า โดนคนทำลาย ก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้จักเข้มแข็งขึ้น การรู้จักเตือนตัวเองให้ตัวเองไม่ประมาท และหมั่นทบทวนย้อนมองตน เพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยก่อนที่ตัวเองจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เรารู้ว่าทุกคนในที่นี้รักสุขเกลียดทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าเกลียดทุกข์จนไม่มองให้เห็นชัดเจน และเอาแต่หนีมันจะพ้นหรือ ไม่มีวันพ้น ดั่งคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นต้องถีบให้ตกน้ำ กลัวอะไรหนักหนากับความทุกข์ ฉะนั้นผลักลงไปเลย แล้วกระโดดลงไปช่วย แต่ก็น่ากลัวพอผลักลงไป คราวนี้ยิ่งว่ายไม่เป็นแล้วกลัวสุดใจอีก  ฉะนั้นอย่ารอให้ธรรมชาติหรือเคราะห์กรรมมาผลักให้ท่านตกน้ำทั้งที่ยังว่ายไม่เป็น มันเจ็บนะ ใจที่ไม่รู้จักทำใจไม่มีใครช่วยได้  ฉะนั้นเราทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ ดีไหม (ดีฟังจนถึงขนาดนี้ ถ้าคิดว่าเรามาหลอกอีกก็จนใจแล้วนะ วันนี้เวลาผ่านไปเร็วนะ ใครรู้สึกว่าเร็วบ้าง คนรู้สึกว่าเร็วแสดงว่าฟังธรรมะอย่างมีความสุข  แต่ถ้าคนที่รู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสดงว่าวันนี้นั่งฟังอย่างทุกข์ทรมานใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราก็คงมาเพียงเท่านี้ ทุกข์สุขอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด อย่าให้ใครกำหนดชีวิตเรา จำไว้นะ ไม่มีใครทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง
(มีญาติธรรมในชั้นเรียนถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า บางครั้งสิ่งของที่ถูกยืม ทวงแล้วไม่ได้คืนมา ทำอย่างไรถึงจะได้คืนมาถ้าเราบอกว่าไม่มีวันได้คืนจะทำใจได้ไหม ถ้าอยากคิดให้เป็นสุขให้คิดว่าเขายืมไปชั่วขณะ  (แต่มันเยอะต้องทำใจนะ บางอย่างเหมือนอ้อยเข้าปากช้างแล้ว ฉันจะทวงบางทีก็ยาก แล้วบางทีช้างนั้นดันไม่เคยกินอ้อยมาก่อนด้วย  ฉะนั้นในโลกนี้ขอมองให้ดีและทำใจให้ได้ ไม่มีใครในโลกไม่สูญเสีย เราอยู่ในโลกเสียไปเพื่อได้มา และได้มาเพื่อเสียไป  มีอะไรในโลกได้มาเปล่าๆ โดยไม่ลงแรงบ้าง (ไม่มีเลยแล้วมีอะไรในโลกที่เป็นสุขที่แท้จริงบ้าง (ไม่มีเข้าใจให้ดี มันมีแต่ทุกข์น้อยเท่านั้นเอง
อย่าปล่อยให้อารมณ์ความอยากบดบังตา อย่าปล่อยให้ความเชื่อมั่น ยึดมั่นปิดบังหัวใจจนมองไม่เห็นความจริงในโลกนี้ เรามาไม่ใช่ให้ท่านมายึดติด แต่เรามาเพื่อประจักษ์หลักฐานให้ท่านรู้ว่า ทุกข์ในโลกที่มนุษย์ทุกข์หนักหนา  พ้นได้ด้วยใจเราเอง พ้นได้ด้วยคนที่รู้จักคิด คิดอย่างคนที่มองความเป็นจริง อย่าคิดอย่างเพ้อฝันและตายตัว อย่าคิดอย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่าจะตัดตอนเอาแต่ตอนดี ตอนไม่ดีไม่เอา เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ตัวเรายังมีดีมีไม่ดี ในโลกนี้ก็มีทั้งสิ่งที่มีคุณและมีโทษใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้โชคดีได้เจอคุณ แต่แน่ใจหรือว่าวันต่อไปจะไม่ได้รับรู้โทษของมัน เหมือนของที่เรากินอร่อยที่สุด แล้วก็ชอบกินแล้วก็กินมันบ่อยๆ วันนี้ยังให้คุณ แต่นานๆ ไปโทษมันก็อยู่ข้างในรอวันปริออกมา ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ เราคงต้องไปแล้ว คนเรามาตัวเปล่า กลับก็กลับตัวเปล่า มีแต่ใจที่รู้แจ้งเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเปล่านี้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกใช่หรือไม่ (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
     จะตัดบัวต้องไม่เหลือเยื่อใย                 จะตัดใจตัดให้ขาดอย่าให้เหลือ
แต่ตัดใจไม่ขาดไม่น่าเชื่อ                          ดั่งตัดเนื้อชิ้นร้ายอย่าเสียดายเลย
           เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมฉือหัง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามศิษย์รักทุกคน มาตัดใจดีไหม
     อาจวัดคนได้ด้วยพฤติการณ์[๓]              ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจ
ในบางสิ่งที่ตั้งใจมากเกินไป                        จะกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม
แต่ไม่ใช่เรียกศิษย์ให้เหลาะแหละ[๔]            ให้ศิษย์ยั้งใจและอย่ามองข้าม
โลกใบนี้มีทั้งรูปมีทั้งนาม                          ศิษย์หาความพอดีให้ตนเอง
เป็นคนดียังต้องมีบารมี                           เป็นคนที่ไม่ได้มีแค่ความเก่ง
มีเหตุผลมีสติน่ายำเกรง                          ภายใต้ภาวะเร่งย้อนมองตน
ใช้ตาในสัมผัสมองสิ่งนอก                         ความทุกข์บอกสอนตัวเองได้ทุกหน
ศิษย์รักเอยอย่าเป็นคนแก่กังวล                 จงอดทนเหนือชีวิตของตนเอง
                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าหากว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่เห็นตัว ได้หรือไม่ (ได้ไม่ต้องหันหลังมาดู ไม่เห็น ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงได้หรือไม่ (ได้คนมักอยากใช้ตา อยากใช้หู อยากใช้ปากจริงหรือเปล่า (จริงมีวันไหนบ้างเราไม่ใช้ตา ไม่ใช้หู ไม่ใช้ปาก (ไม่มีแล้วทุกๆ อย่างก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะหู เพราะตา เพราะปาก ของเราจริงหรือไม่ (จริงหากว่าเราใช้ตาใน หากว่าเราใช้หูด้านใน หากเราเป็นคนที่คิดแล้วเก็บไว้ด้านใน จะทำให้ชีวิตนี้มีปัญหาน้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่ทำได้ไหม (ได้)
เราลองพิจารณาดูว่า ตอนนี้เรามีปัญหาชีวิตมากมาย ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่โดยรวมแล้วทุกคนมีปัญหาเหมือนๆ กัน จริงไหม (จริงทุกคนอยากจะลดปัญหาเหมือนๆ กัน ใช่หรือเปล่า (ใช่แล้วเราก็เอาตัวของเราแยกออกไปจากปัญหา เวลาเราอยากแก้ปัญหา ถามว่าเราอยากแก้ตัวเราไหม (ไม่)  เราเอาตัวของเรา และปัญหาแยกออกจากกัน ตัวเราส่วนตัวเรา ปัญหาส่วนปัญหา ถึงเวลาเราอยากแก้ปัญหา หรืออยากแก้ตัวเรา (อยากแก้ปัญหา)  เราอยากแก้ปัญหา เราหาวิธีการมากมายเพื่อแก้ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ใคร (ตัวเราปัญหาอยู่ที่ตัวเรา เรามีปัญหา และปัญหาอยู่กับเราไหม เพราะฉะนั้นถ้าอยากแก้ปัญหา ต้องแก้ที่ไหน (ตัวเราเพราะฉะนั้นถ้าอยากแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่ตัวเรา แต่ทำอย่างไรดี ที่ตัวเองจะแก้ได้มากขึ้น การไม่สนองตอบความอยากของตัวเอง เป็นเรื่องยากหรือไม่ (ยากการไม่สนองความต้องการของตัวเองเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ฉะนั้นคนที่ฝึกฝนจึงทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้เสมอ เมื่อขึ้นชื่อว่าการฝึกฝน  ย่อมมีเรื่องยากอยู่ในนั้น จริงหรือไม่ (จริงย่อมลำบากมากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหนึ่ง จริงไหม (จริงทุกครั้งที่ผ่านมาในชีวิตเรา เราลำบากอยู่แล้ว ลำบากมากด้วย แต่การลำบากในครั้งนี้ที่อาจารย์พูดถึง มิใช่ลำบากเดียวกับที่จิตใจของศิษย์มี ถ้าวันนี้ตามใจตัวเอง ยิ่งตามใจตัวเองก็ยิ่งลำบากจริงหรือไม่ (จริง)
การมานั่งฟังธรรมะสองวันนี้ ธรรมะกับเราเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า (เรื่องเดียวกันเราส่วนเรา ธรรมะส่วนธรรมะ เรามักมองธรรมะอยู่นอกตัวเรา เหมือนเราบอกว่าเราฟังธรรมะ อาจารย์บอกว่าฟังธรรมะคือการฟังตัวเอง ธรรมะอยู่ในตัวของเรา เพราะฉะนั้นหากอยากบำเพ็ญธรรมก็ต้องบำเพ็ญที่ตัวเราเอง ทุกวันนี้สภาพแวดล้อมที่เราเป็นอยู่ เป็นสภาพแวดล้อมที่ให้ความเครียดกับเรา จริงหรือไม่ (จริงเรายิ่งเครียด เรายิ่งเห็นแก่ตนมากขึ้น เรายิ่งเครียดเราก็ยิ่งทำเพื่อตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าความเครียดของตัวเองมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริงฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรม มาฟังเสียงของตัวเอง มาบำเพ็ญคือการแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง วิทยาการก้าวล้ำนำสมัยเท่าไร ไม่มียาเข็มไหนเป็นจิตสำนึกที่ฉีดเข้าไป แล้วเดินทั่วร่างกายให้คนนั้นมีจิตสำนึกมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่มียาประเภทนี้ แต่อาจารย์ทำไมพูดถึงยาสำนึก ทำไมพูดถึงยาหลอดนี้ เพราะว่าถ้าหากว่ามนุษย์มีจิตสำนึกที่สมบูรณ์ ทุกคนจะสามารถเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ได้ เพียงแต่วันนี้ ยาหลอดนี้จำเป็นที่จะต้องฉีดให้กับทุกคน เพราะว่าทุกคนนั้นมีจิตใจที่ไม่สบาย มีวันใดที่อยู่ในโลกนี้อย่างจิตใจเบาโปร่งโล่งสบาย มีไหม   (ไม่มีความสุขที่เรามีเป็นความสุขที่มหาศาลและอยู่ในใจจริงหรือไม่ (ไม่จริงฉะนั้นการที่อยู่บนโลกนี้ การที่บอกว่ามีความทุกข์จึงเป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าความทุกข์ที่เรามีเป็นเรื่องธรรมดาหรือยัง (ธรรมดาโลกนี้มีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  มีใครเกิดมาบนโลกไม่มีทุกข์มีไหม (ไม่มี)  แล้วเราเป็นทุกข์ธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  คนที่อยู่บนโลกนี้ทุกคนดำเนินอยู่ด้วยรอยเท้าอันหนักอึ้ง มีความทุกข์อยู่ทุกๆ อณูของร่างกาย เพราะฉะนั้นการที่เกิดบนโลกนี้ เราอยู่บนโลกนี้เรามีความทุกข์จึงเป็นเรื่องธรรมดา
หากศิษย์ไม่ยอมรับความจริง ว่าการที่ศิษย์นั้นมีความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ความทุกข์ที่เกิดบนโลกนี้ธรรมดา แต่ความทุกข์ที่เกิดกับฉันไม่ธรรมดา ถ้าไม่ยอมรับความจริงเช่นนี้ ถามว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขขึ้นได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นการที่จะมีความสุขมากขึ้น มีความสบายมากขึ้น คือการที่ต้องยอมรับความจริงกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แต่จงอย่ายอมรับความขี้เกียจของตัวเอง อย่ายอมรับความโลภของตัวเอง อย่ายอมรับความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง อาจารย์ถามว่ามีความสุขมากกว่านี้ได้ไหม (ได้)  มีสุขมากกว่านี้ก็ได้ หากเรายอมรับความจริง และรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี มีทุกข์มากกว่านี้ได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าเราไม่ยอมฉุดจิตใจของเราขึ้นมาเลย ปล่อยให้จมไปเรื่อยๆ เรามีก็ย่อมมีความทุกข์มากกว่านี้ ที่แน่แท้คือบุคคลผู้ดำรงตนอยู่ในโลกนี้ด้วยความเห็นแก่ตนนั้น จะต้องมีความทุกข์แน่นอน
ทุกวันนี้ชีวิตที่อยู่ในเมืองกรุง แก่งแย่งแข่งขันจริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วถ้าเราไม่แข่งกับเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วการแข่งที่แข่งไปชนะหรือไม่ชนะ  (ไม่ชนะ)  อาจารย์บอกให้ศิษย์นั้นไม่ต้องชนะผู้อื่นได้หรือเปล่า แต่หากว่าถึงคราวยอมต้องรู้จักยอม รู้จักเย็น รู้จักหยุดตัวเอง ศิษย์เอ๋ยชนะแน่ ชนะอะไร ชนะใจตัวเอง แต่อยากชนะใจตัวเองไหม (อยาก)
ใจอยู่ไหน ใจอยู่กับตัวถามว่าทำอะไรกับใจตัวบ้าง ตามใจตัวเอง ใจอยู่กับตัวก็ต้องให้อยู่กับตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกครั้งที่เราคิด เราจะคิดอย่างไม่รู้ตัวได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกครั้งที่เราพูด เราพูดอย่างไม่รู้ตัวได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกครั้งที่เราทำ เราทำอย่างไม่รู้ตัวได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทุกวันนี้ที่ทำอยู่รู้ตัวหรือเปล่า ทุกวันนี้ที่พูดรู้ตัวหรือเปล่า ทุกวันนี้ที่คิดรู้ตัวหรือเปล่า (รู้)  แน่ใจหรือเปล่า แสดงว่าเวลาพูดว่าคนอื่นก็จงใจว่า เวลาคิดร้ายกับคนอื่นก็จงใจคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาทำออกมา ทำแล้วตอนคิดก็ดีอยู่แต่มือมันไปอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนทำอยู่ก็รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นคนที่ไม่ดีด้วยความจงใจหรือเปล่า (ใช่)
เราชอบอยู่กับคนดีหรือชอบอยู่กับคนไม่ดี (คนดี) ถามว่าตอนนี้เราเป็นคนดีไหม มีดีมากกว่าไม่ดี ใช่ไหม (ใช่ทุกวันนี้เราบอกว่าเราเป็นคนดี อาจารย์ก็ไม่เถียงศิษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่ว่าถ้าหากว่าไปแล้ว เราเป็นคนดีที่เป็นคนดีแบบคนกรุงเทพฯ มีโลกส่วนตัวและมุมส่วนตัวของเราเอง มีซอกเล็กๆ ในจิตใจที่เป็นแบบเฉพาะของเราเอง คนที่บำเพ็ญธรรมฝึกฝนต้องเป็นผู้ที่เปิดเผยจริงใจ เป็นผู้ที่ไม่กลัวต่อความยากลำบาก คนเปิดเผยจริงใจไม่มีมุมส่วนตัวของตัวเอง ทุกอย่างที่ทำให้คือ ความดีและจริงใจออกไป
ถ้าหากทุกคนสามารถพยายามที่จะทำดีมากขึ้นคือ การพยายามทำให้สังคมนี้ดีมากขึ้น สังคมนั้นสำคัญกับเรามากมายเท่าไร ทุกวันนี้เราอยู่ในสังคม เราเป็นลูกของสังคม จริงหรือเปล่า (จริงต้นไม้ต้นหนึ่งงอกขึ้นมา ต้นไม้ต้นนี้มีรากมีต้นเป็นแม่ ออกกิ่งก้านใบเรียบร้อย เราเป็นใบ เราเป็นลูกของต้นไม้ เมื่อใบไม้ร่วงลงๆ ต้นไม้อาศัยปุ๋ยจากใบที่ร่วงหล่น ใบที่ร่วงหล่นก็คือเรา เมื่อเราร่วงหล่นแล้ว เราไปบำรุงรากให้ต้นไม้นี้เจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น เราเป็นแม่ของต้นไม้และก็เป็นลูกของต้นไม้ เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสังคมเป็นส่วนหนึ่งของเราด้วย แต่เพราะทุกคนคิดถึงแต่ตัวเอง ทุกคนพูดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ทุกๆ อย่างก็เลยแย่ลง อยากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ถามว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ต่อให้เราทำดี ๒๔ ชั่วโมง สังคมนี้ก็ไม่ดีขึ้น จริงหรือเปล่า
กะละมังน้ำเน่าใบหนึ่งที่อยู่ในมือ มีกลิ่นเหม็นมากกลิ่นโชยมาก เอาน้ำสะอาดแก้วหนึ่งใส่ลงไป ช่วยให้สะอาดได้ไหม (ไม่ได้เอาน้ำสะอาดใส่ลงไปหนึ่งกะละมังเท่ากัน ช่วยได้ไหม มีคนบอกว่าให้เททิ้ง  ถามว่าสังคมในครอบครัวปัญหาชีวิตเททิ้งได้ไหม (ไม่ได้ต้องทำอย่างไร ต้องแก้ไขเท่านั้น มีแต่ทางเดินหน้า ไม่มีทางถอยแล้ว เราไม่เอาก็ไม่ได้ ฉะนั้นน้ำเน่ากะละมังนี้อาจารย์เททิ้งไม่ได้ ใส่น้ำเท่ากับน้ำเน่าหนึ่งกะละมังเข้าไปแล้ว ดีขึ้นไหม (ดีขึ้น)
ถ้าหากว่า เราทำดีวันละ ๒๔ ชั่วโมง หนึ่งวันช่วยไม่ได้ ทำแล้วไม่ดีก็ยังต้องทำ  ถ้าคนดีทุกคนคิดอย่างนี้ดีขึ้นไหม (ดีถ้าหากว่าคนดีคิดว่าทำดี ๒๔ ชั่วโมงไม่ช่วยอะไรขึ้นมาอย่างนี้ไม่ต้องทำดีกว่า คนดีทุกคนในห้องนี้คิดอย่างนี้หมด ดีขึ้นไหม (ไม่ดีแน่นอนปัญหาชีวิตทุกๆ อย่างไม่มีทางออก แต่เราต้องพยายามหาทางออกด้วยการแก้ไข ทุกอย่างต้องค่อยๆ ระบายออก ทุกๆ เรื่องต้องให้เวลากับมันเอาไว้
ทุกวันนี้ให้เวลากับชีวิตตัวเองหรือยัง หาทางออกให้กับปัญหาชีวิตที่ไม่มีทางออกหรือยัง  เมื่อสักครู่เราพูดกันว่าข้างหลังไม่มีทาง ห้ามถอยเด็ดขาด
เมื่อสักครู่นี้เราพูดว่า น้ำเน่ากะละมังนี้ต่อให้เน่าอย่างไรก็ต้องเอา  เพราะฉะนั้นเราจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยการให้เวลากับตัวเองมากขึ้น หันมามองจิตใจตัวเองมากขึ้น สัมผัสและรู้สึกกับจิตใจตัวเองมากขึ้น  มองทุกอย่างอย่างคนที่มีโลกทัศน์และวิสัยทัศน์  มองทุกอย่างอย่างคนที่คิดไปในทางสร้างสรรค์ มองทุกอย่างอย่างคนที่คิดดี แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น อย่างน้อยจิตใจตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อใจรู้สึกดีขึ้นทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่เมื่อกลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว การจะทำให้จิตใจดีขึ้นโดยที่ไม่มีคนไหนมาดึง ยากไหม (ยาก) อย่าใช้เพลงดึง อย่าใช้หนังดึง อย่าใช้ความบันเทิงดึง อย่าเอากิเลสมาดึง  ทุกวันนี้ที่เราหาทางออกเพื่อให้ชีวิตผ่อนคลายนั้น เราผ่อนคลายเพียงแค่ชั่วครู่จริงหรือไม่ (จริง)  หนังจบละครจบ ความบันเทิงจบก็กลับมานั่งจมปลักกับชีวิตตัวเองอีก เพราะฉะนั้นการที่จะดีขึ้นนั้นจึงต้องมาฉุดจิตใจตัวเอง แต่การที่คนหนึ่งคนจะสามารถฉุดจิตใจตัวเองนั้นเป็นเรื่องยากมาก เวลาศิษย์มีปัญหาอาจารย์แนะนำว่า
ข้อแรก อย่าคิดวนเวียนซ้ำซากกับเรื่องนั้นๆ
ข้อสอง ถ้านั่งอยู่นอนอยู่จงลุกขึ้นมา
ข้อสาม ถ้าอยากแก้ปัญหาให้ตนเอง ให้ไปแก้ไขปัญหาให้คนอื่น
ข้อสามแปลกไหม (แปลก)  และทำง่ายกว่าการแก้ไขปัญหาตนเองหรือไม่ ทุกครั้งเวลาเมื่อเราแก้ไขปัญหาให้คนอื่นเพียงเล็กน้อย เราจะได้สติมากขึ้นเรื่อยๆ และเราจะเห็นว่าทุกคนในโลกนี้ก็มีความทุกข์  เราจะมองเห็นว่าทุกข์ของเขาจะแก้อย่างไร และหันมามองปัญหาของตนเอง จะพอรู้ว่าปัญหาของตนเองแก้อย่างไร
ถ้าปัญหาในบ้านของเรามันยุ่งมาก แล้วเราแก้ปัญหาคนอื่นโดยการที่เรานั้นจูงคนตาบอดคนอื่นข้ามถนนไป ถามว่าสองเรื่องนี้เหมือนกันตรงไหน ไหนดูสิว่าความคิดของใครจะช่วยแก้ปัญหาของตนเองได้บ้าง
คนตาบอดข้ามถนน เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นเพียงแม้เล็กน้อย ในขณะที่ปัญหาของเรามองเห็นไหม เรามองเห็นปัญหา และบางทีเราก็รู้ด้วยซ้ำว่าปัญหานั้นแก้ตรงไหนที่จะดีขึ้น เพียงแต่เรานั้นตัดใจไม่ลงในการที่เรานั้นจะแก้ปัญหาให้ตัวเอง
ถ้าหากว่าห้านิ้วนี้ มีนิ้วหนึ่งที่ร้าย ทำอย่างไรเมื่อนิ้วหนึ่งเป็นนิ้วร้ายต้องตัดใจที่จะตัด ก่อนที่นิ้วอื่นๆ จะกลายเป็นเนื้อร้ายไปด้วยจริงหรือไม่ (จริง)  ตัดใจได้ไหม (ได้)  ชีวิตนี้มีเนื้อร้ายอยู่ เกาะกินหัวใจ ตัดใจได้ไหม (ได้,ไม่ได้)  ไม่ตัดมันจะกินหัวใจ ตัดบัวอย่าเหลือใย ตัดใจก็ตัดเลย ทำได้ไหม (ได้) ในโลกการที่ศิษย์นั้นตัดใจไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในทางธรรมไม่เหมือนกัน คนตัดใจไม่ได้เป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยส่วนใหญ่คนที่มาทางธรรมจึงเป็นคนที่จะต้องหัดตัดใจให้ลงใช่หรือไม่ (ใช่มาตัดใจดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ยังตัดใจไม่ได้อยู่)
โลกนี้ประหลาดแท้ใช่หรือไม่ (ใช่คนตัดใจได้กลับไม่ให้ผลไม้ คนตัดใจไม่ได้ให้เขาทำไม ใช่ไหม (ใช่ก็เพราะว่าคนที่ตัดใจไม่ได้คือ บุคคลที่ต้องการกำลังใจ คนที่ตัดใจได้ต้องการกำลังใจหรือไม่ ต้องการน้อยกว่าเพราะว่าตัดใจได้ คนตัดใจไม่ได้เป็นสภาวะจิตใจที่ไม่ปกติ คือเป็นคนที่คิดได้ยากกว่า  ฉะนั้นเวลาศิษย์เห็นคนอื่น ถึงแม้ว่าหน้าเขาจะไม่ได้แสดงความทุกข์ออกมาแต่ว่าเขามีทุกข์ไหม (มี)
เมื่อใดที่ศิษย์รู้ว่าเขาทุกข์ เราต้องเป็นคนที่ไปให้กำลังใจผู้อื่น ในขณะเดียวกันเราอาจจะมีความทุกข์เหมือนๆ กัน ในขณะเดียวกันเราอาจจะยังมีความระทมขมขื่น เป็นหน้าชื่นอกตรม เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับความทุกข์นั้นเช่นเดียวกัน แต่เรามีสติมากกว่า เรารู้มากกว่า และเรารู้ว่าการตัดใจนั้นเป็นสิ่งที่เรานั้นจะต้องทำ ในขณะที่คนที่ตัดใจไม่ได้เขาไม่สามารถที่จะทำได้ คนที่ตัดใจไม่ได้แล้วกล้ายอมรับว่าตัวเองตัดใจไม่ได้เป็นคนที่น่ายกย่อง เพราะรู้จักจิตใจของตัวเองดี ในขณะเดียวกันคนที่นั่งลงไปอาจจะไม่รู้จักจิตใจตัวเองดี ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าจิตใจของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงและพลิกไปอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถสงบนิ่งอยู่ได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งเรานั่งอยู่นิ่งๆ ตรงนี้โดยที่ไม่ได้ลุกไปไหน แต่เราก็อาจมีใจที่ปั่นป่วนได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นความทุกข์นั้นไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า คนที่กระวนกระวายอยู่เท่านั้นเป็นทุกข์ ทุกๆ คนสามารถที่จะมีภาวะของความทุกข์เข้ามาในจิตใจได้อยู่เสมอ
การที่มานั่งฟังธรรมะ การที่เข้ามาสู่การบำเพ็ญธรรม สิ่งที่แตกต่างนั้นไม่ได้มองที่รูปร่างผิวพรรณหน้าตา ไม่ได้มองที่เสื้อผ้าและทรงผม แต่ต้องมองที่จิตใจของตนเอง  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเรียกให้รู้จักตัวเองมากขึ้น มองย้อนตัวเองมากขึ้นและคิดที่จะหาทางออกมากขึ้น ในตอนนี้ยังบอกว่า ปัญหาของเราไม่มีทางออกไหม มีหรือเปล่า ทางออกเราอยู่ตรงไหน ปัญหาแก้ได้ที่ใจของตน แม้ทางออกของปัญหาในชีวิตจริงไม่มีทางออก แต่ทางออกของจิตใจย่อมมีเสมอ เพราะว่าจิตใจเป็นสิ่งที่มีทางออกเสมอ เพียงแต่ว่าศิษย์ต้องรักษาจิตใจของตัวเองนั้นให้ดี ให้เป็นจิตใจที่งดงาม ให้เป็นจิตใจที่คิดในสิ่งที่ดีเสมอ ถ้าหากว่าเราไม่รักษาจิตใจของเราเอง เมื่อถึงคราวที่เราจะใช้จิตใจของเรา จิตใจของเราจะสามารถคิดดี ได้ไหม (ไม่ได้เพราะฉะนั้นจิตใจเป็นสิ่งที่จะต้องรักษาไว้อย่างสม่ำเสมอ
ตอนนี้ถามว่า จิตใจของศิษย์ได้รับการรักษาไว้หรือยัง ถ้าไม่พูดถึงสองวันก่อนหน้านี้ โดยส่วนใหญ่เรารักษาจิตใจของเราหรือเปล่า (ไม่รักษา)
ทำไมอาจารย์ถึงถามก่อนหน้าสองวันนี้ เพราะว่าหลังไปจากสองวันนี้ เมื่อยามที่เราไม่ได้มานั่งฟังธรรมะ เราอาจจะรักษาจิตใจของเราไว้ไม่ได้  แม้กระทั่งมีคนเดินเข้ามาพูดในสิ่งที่ดีๆ กับเรา เราอาจจะยังคิดดีตามไม่ได้ด้วยซ้ำ อาจจะไล่เขาไปไกลๆ เลยด้วยซ้ำ จริงหรือไม่ การรักษาจิตใจทำได้อย่างไรบ้าง ทำได้โดยอย่าใช้อารมณ์ ทำได้ไหม (ได้)  มีคนเดินมาตบหัว อย่าโมโหนะ มีคนมาขโมยโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งซื้อมาสองวัน อย่าโมโหนะ ทำไมถึงบอกว่าห้ามโมโห ถ้าเขาตบหัวเรา เราเจ็บไหม (เจ็บ)  แต่ถามว่าเขาเกิดเปลี่ยนเป็นไม่ตบได้ไหม (ไม่ได้)  เจ็บตัวหรือยัง (เจ็บแล้ว) แต่เจ็บแล้วให้แล้วกัน  มีคนขโมยของๆ เราที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ เรารู้สึกเสียดายไหม (เสียดาย)  เสียดายอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ใจเป็นแผลใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาใจทำอย่างไร อย่าเจ็บใจเพราะว่าของหายไปแล้ว  ถ้าหากว่าเราทำได้ จิตใจของเราดีไหม (ดี)  มีคนนินทาเราอยู่ข้างหลัง ได้ยินแว่วๆ ด้วย ถามว่าเราโกรธดีไหม เดินเข้าไปลุยดีไหม (ไม่ดี)  มีคนพูดถึงเราแม้จะนินทาเราก็ดีกว่าไม่มีคนพูดถึงเราเลยใช่ไหม
ทุกวันนี้เราอยู่ในกรุงเทพฯ คนแออัดยัดเยียดตลอดเวลา แต่คนที่เดินไปเดินมาอยู่มากมาย เราไม่ค่อยรู้จักจริงหรือเปล่า (จริง)  เรานั่งอยู่บนรถเมล์โดยไม่มีใครคุยกับเรา อยู่ที่บ้านอย่างไม่มีใครคุยกับเรา เราเดินออกไปตามท้องถนนโดยไม่มีคนรู้จักเราเลยสักคน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้กระทั่งที่บ้านที่เรานั้นรักแทบตาย ยอมทุกอย่าง  แต่เขาก็ไม่สนใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ทุกคนต่างมีโลกส่วนตัว ทุกคนต่างมีเวลาเป็นของตัวเอง ทุกคนมุ่งแต่ธุระและการงานของตัวเอง ไม่มีใครสนใจเราเลย
วันนี้มีคนพูดถึงเราแต่เขานินทาเราดีหรือเปล่า (ดี)  จงมองให้ดี อย่าได้มองว่าการนินทาทุกๆ ครั้งเป็นเรื่องไม่ดี คนอื่นนินทาเราไม่ว่ากัน แต่เราอย่านินทาคนอื่น เขานินทาเราเยอะๆ แสดงว่าเขาคิดถึงเราทุกวันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
การคิดโลกนี้มีหลายแง่หลายมุมหลายด้าน คิดให้มีความสุขเราก็มีความสุข ใจเราก็เป็นสุข มองโลกในแง่ร้าย คิดร้ายๆ จิตใจเราก็เป็นทุกข์และตกต่ำ จริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้คนอื่นนินทาเรายังมีคนบอกว่าเราไม่ดีอยู่  แล้วเรามองว่าเขานินทาเราไม่ดี ถามว่าเราไม่ดีตามที่เขาพูดหรือเปล่า เราเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่ ในร้อยเปอร์เซ็นต์เราเป็นอย่างที่เขาพูดมากมาย ฉะนั้นเขาพูดถึงเราอย่างมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราไม่รู้ว่าจะแก้ไขตัวเองอย่างไร อย่างนั้นไปฟังในวงนินทาว่าเขานินทาเราอย่างไร หรือวันไหนมีพูดปรารถนาดีเดินมาบอกว่า คนนั้นนินทาเราว่าอย่างนี้  ศิษย์เอ๋ยให้ขอบคุณ แทนที่จะโมโห
(เวลานี้คนโน้นทำไม่ดี แล้วเราพูดถึงว่าเขาทำไม่ดี เขากลับโกรธแค้นเรา แต่ทำไมเขาไม่คิดปรับปรุงตัวเอง เขากลับโกรธแค้นที่เราเอาเรื่องของเขามาพูด)  ถามว่าตอนนี้ศิษย์ที่ทุกคน เมื่อฟังอย่างนี้แล้วพร้อมที่จะแก้ไขตนเองไหม (พร้อม)
วิธีการสั่งสอนคนง่ายมาก เมื่อเราจะต้องพูดกับผู้อื่นด้วยการสั่งสอน จงพิจารณาหันมามองตัวเองก่อนว่า เราเป็นผู้ที่มีคุณธรรมในจิตใจของเขาไหม หากเราเป็นผู้ที่ไม่มีคุณธรรมในจิตใจเขา เราเป็นผู้ที่เขาไม่นับถือ ศิษย์อย่าพูดใดๆ  แต่หากว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม แล้วเขานับถือเราอย่างจริงใจ ศิษย์เอ๋ยพูดให้น้อยคำ เพราะว่าผู้มีคุณธรรมนั้นพูดน้อย แต่ไม่ต่อยหนัก  และที่สำคัญการสอนที่ดีที่สุดไม่ได้เกิดจากการพูด การสอนที่ดีสุดเกิดจากการที่เราทำออกมา  เป็นแบบอย่าง ทำออกมาเป็นปรกติวิสัย ทำออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และทำออกมาอย่างผู้ที่มีธรรมะอยู่ภายใน นั่นเป็นวิธีการสอนที่ดีที่สุด ทุกวันนี้มีปัญหาเพราะว่าอะไร เพราะว่าเราชอบพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าพูดน้อยลง ปัญหาก็น้อยลง ถ้าหากว่าเรามีความคิดในแบบของเราน้อยลง คิดในลักษณะที่ อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้น้อยลง ปัญหาก็น้อยลง มีความคิดเห็นเป็นของส่วนตัวน้อยลง ปัญหาก็น้อยลง ไม่ว่าที่ใดปัญหาก็จะน้อยลง  กับตัวเอง กับที่บ้าน กับที่ทำงาน กับสังคมรอบข้าง หากเราเป็นคนที่พูดน้อย เราเป็นคนที่มารยาทมาก เราเป็นคนที่คิดก่อนพูด เราเป็นคนที่รู้ว่าเรากำลังจะพูดอะไร ไม่พูดเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ
ตอนนี้อาจารย์กำลังฉุดศีลธรรมในใจศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วทุกคนยอมให้อาจารย์ฉุดหรือเปล่า (ยอมทุกคนมีศีลธรรมมากขึ้นได้ แต่ศีลธรรมต้องใช้เวลา จงให้โอกาสคนอื่น และมองคนอื่นอย่างที่ว่าเขาเป็นคนที่ดีกว่าเรา มองคนอื่นว่าเขาดีกว่าเรา ทำได้ไหม (ได้ทุกวันนี้มองคนอื่นว่าดี แต่ว่าดีน้อยกว่าตัวเราจริงหรือไม่ (จริงทุกคนทำอะไร เราสามารถบอกเขาได้หมดเลยว่าเขาควรจะทำอะไรให้ดีมากขึ้น เขาควรจะคิดอย่างไรจึงดีมากขึ้น เขาควรจะพูดอย่างไรจึงดีมากขึ้น เราคิดว่าเราดีกว่าเขา จึงเกิดเป็นปัญหาทุกอย่าง เราคิดเปรียบเทียบกันจึงเป็นปัญหา เรายึดติดความคิด เรายึดติดในวัตถุ เรายึดติดในค่านิยมของเรา จึงมีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นการที่เราจะเปลี่ยนแปลงตนเอง ถ้าศิษย์ยิ่งพูดอีกหลายๆ คำ ศิษย์ทั้งห้องนี้ก็ต้องเปลี่ยนอีกมาก แต่อาจารย์ไม่ได้อยากให้ศิษย์เปลี่ยนทุกๆ อย่าง  จากหน้ามือเป็นหลังมือ จนขาดความเป็นตัวของศิษย์เอง พูดและสรุปง่ายๆ คิดง่ายๆ คืออาจารย์อยากให้ศิษย์เปลี่ยนจิตใจของตนเอง เปลี่ยนความเป็นจิตใจของศิษย์เดิมทีที่ผ่านมา  ถ้าศิษย์ยังมองเห็นว่าตัวเองมีทุกข์ ถ้ายังมองเห็นว่าเรานั้นยังมีทางออกได้บ้าง เปลี่ยนแค่จิตใจพอ ทุกอย่างเริ่มที่จิตใจ ทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจของศิษย์แค่นั้น ทำได้ไหม (ได้สิ่งที่ยิ่งพูดก็ยิ่งยาว ทุกปัญหามีปัญหาเพราะใจเรามีปัญหา  เพราะฉะนั้นเปลี่ยนที่ใจของเรา อย่าเปลี่ยนใคร
โลกนี้สอนให้คนรู้มาก โลกนี้ชื่นชมคนรู้มาก แต่ยิ่งรู้มากก็ยิ่งงง ใช่หรือเปล่า (ใช่เหมือนที่อาจารย์บอกว่าทุกอย่างไม่ต้องพูด แค่แก้ที่ใจตัวเองเท่านั้น จำไว้เท่านี้ใจก็อยู่กับเรา ใจก็ตื่น ใจก็คิดได้ ใจก็อยู่เป็น แล้วใจก็เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่ทุกข์กับสุขเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า (เดียวกัน)
เชือกเส้นหนึ่ง เชือกเส้นนี้มีหัว มีท้าย หัวคือความสุข ปลายคือความทุกข์ ตอนนี้ศิษย์อยู่ที่ไหน (ปลายศิษย์เอ๋ยความทุกข์ไม่ได้อยู่อย่างขนานกับความสุข ความทุกข์และความสุขเป็นเนื้อก้อนเดียวกัน ความทุกข์และความสุขเป็นสิ่งที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน  ฉะนั้นในวันนี้หากว่ามีความทุกข์มาก แต่ถ้าหากว่าคิดได้ก็เป็นความสุขมาก คิดได้ยามใดเป็นความสุขมาก แต่ทุกข์มาก สุขมากก็ล้วนแต่ดีหรือไม่ (ไม่ดีล้วนไม่ดีทั้งนั้น  เพราะว่าถ้าหากยังอยู่บนสุขและทุกข์ วันหนึ่งก็จะกลายเป็นทุกข์และสุข ฉะนั้นตอนนี้ถ้าหากว่าทำได้ ทำใจให้ไม่ทุกข์ และให้ไม่สุข
อยู่ในกรุงเทพฯ ศิษย์ทุกคนเอ๋ย ศิษย์เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เหมือนกับว่าได้ถูกเลือกคนฉลาดมาอยู่รวมกันแล้ว แต่การที่คนฉลาดมาอยู่ร่วมกัน มันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเครียด ยิ่งเบื่อยิ่งรำคาญ มีอารมณ์สารพัดแบบที่อยู่ในนี้ นี่เรียกว่า เมืองหลวง  แต่การที่อยู่ร่วมกันอย่างนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนรักษาสุขภาพ ด้วยเพราะเป็นเมืองที่มีมลภาวะเป็นพิษสูงมาก อากาศก็ไม่สบาย ชีวิตก็ไม่สบาย จะนอนก็นอนไม่ได้ จะกินก็กินไม่อิ่ม แต่ด้วยความเป็นคนไทย ทุกคนก็ชอบที่จะพักผ่อนมากกว่าทำงาน ในขณะเดียวกันเวลาทำงานก็ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วศิษย์ก็แทบตาย ความที่เป็นคนฉลาดก็ทำให้ทุกๆ คนนั้นเป็นคนที่มีความคิดเห็นไม่ไปในทางเดียวกัน ไม่คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกัน การทำงานก็ยิ่งยาก ขึ้นชื่อว่าสังคมแล้ว  ได้ชื่อว่าสังคม ในฐานะสังคมแล้ว ทุกๆ ที่ต้องมีปัญหา แม้กระทั่งในการที่จะบำเพ็ญธรรมร่วมกันศิษย์ก็มีปัญหา ฉะนั้นจงเอาการบำเพ็ญธรรม และเอาธรรมะใส่ไปในชีวิต
ศิษย์คนไหนที่ชอบเป็นโรคไอ โดยที่เหมือนเสลดพันคออยู่อย่างนั้น เหมือนเสียงไม่ออก ไอโดยที่ตัวเองไม่เป็นหวัด อาจารย์อยากให้แก้ด้วยการกินน้ำอุ่น ขอให้ไปกินน้ำอุ่น อากาศร้อนอาจารย์ยังให้กินน้ำอุ่นอีกนะ แต่การกินน้ำอุ่นทำให้ศิษย์สามารถปรับข้างในได้ดีกว่า เพราะว่าข้างในของศิษย์แต่ละคนนั้นไม่แข็งแรง เป็นร่างกายที่พร้อมจะป่วย อาจารย์หวังแต่ว่าศิษย์ไม่ป่วยหนักมากเกินไป
โรคเอาเข้าทางปาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลากินก็ตามใจตนเอง การหลับ การนอน การตื่น การเดิน ไม่ปรกติทั้งนั้น ยิ่งรถติด ยิ่งไม่ค่อยมีเวลา ก็ยิ่งชอบนั่งรถไป ยิ่งรถติดก็ยิ่งหงุดหงิดแล้วก็ยิ่งเสียเวลา  แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เวลาทำอะไรต้องรู้จักเผื่อเวลาให้ตัวเอง แล้วบางทีลงเดินบ้าง อย่าพึ่งแต่รถ อย่าพึ่งแต่ไฟฟ้า อย่าพึ่งแต่ความสะดวกสบาย เพราะว่าชีวิตที่สะดวกสบายมากเกินไปนั้นทำร้ายคน ให้ดูแลเวลาหลับเวลานอนของตัวเองด้วย บางคนใจก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้มีเรื่องอะไรเยอะแยะ แต่ก็นอนไม่หลับ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามีความเคยชินในเรื่องการนอนดึก ให้นอนอย่างคนที่รักษาสุขภาพ นอนและตื่นให้เป็นเวลา คิดให้เป็นระบบ อย่าใช้อารมณ์ อย่าพูดอะไรโดยไม่คิด ดูแลอารมณ์ของตัวเองให้อยู่ในระดับที่ปกติ โดยเป็นคนอารมณ์เย็น อย่าเป็นคนหัวเสีย คนนั้นจะมีเฉพาะความดีไม่ได้ แต่จะต้องมีบารมีด้วย บารมีได้แก่อะไรบ้าง  อาจารย์พูดให้ทันสมัยเข้ากับคนปัจจุบัน คนปัจจุบันบอกว่าต้องมีความรู้  บารมีนั้นสร้างอย่างไรบ้าง ศิษย์เอ๋ยในเมื่อเจ้าชอบเรียนรู้ ขอให้เรียนรู้และเรียนรู้อย่างคนที่รู้จริง รู้จริงจึงสามารถจะพูดได้คล่อง อย่าพูดแบบใช้อารมณ์  บารมีเกิดจากความคิด คือ คิดอะไรให้เป็นระบบ คิดอะไรเหมือนคนที่เรียงลำดับแล้วทั้งก่อนและหลัง อย่าคิดเหมือนคนที่คิดแป๊บๆ ขอให้คิดอย่างคนที่มีสติอยู่เสมอๆ ให้สมองของเรานั้นโปร่ง คำว่า สมองโปร่งไม่ได้หมายว่า ไม่ให้คิด แต่ให้คิดในสิ่งที่ควรคิดและคิดอย่างคนที่มีระบบแล้ว ไม่ควรคิดก็อย่าคิด เรื่องยังแก้ไม่ได้ก็คิดแค่พอประมาณ อย่าคิดหลายรอบวนซ้ำซาก ย้ำคิดย้ำทำกับตัวเองทำให้ตัวเองมีปัญหาเรื่องประสาท  บารมีเกิดจากการพูด ต้องรู้จักพูดให้เป็น ทุกคนมีปาก ทุกคนใช้คำพูด แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนมีคำพูดที่ดี บางคนก็มีคำพูดที่ฟังไม่ได้ บางคนก็คิดดีแต่พูดไม่ดี  เพราะฉะนั้นคนที่จะพูดต้องมีวาทศิลป์อย่างมาก นักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมในสมัยโบราณจึงพูดน้อย เพราะว่าการพูดให้เป็นและพูดให้ดีนั้นเป็นเรื่องยาก พูดให้ถูกใจคนและพูดให้คนทำตามนั้นเป็นเรื่องยาก พูดให้ตรงใจคนอื่นเป็นเรื่องยาก ยากไหม (ยากยากทุกอย่าง ฉะนั้นจงพูดให้เป็น คนพูดเป็นก็คือ คนคิดเป็น บารมีเกิดจากการกระทำ สิ่งที่เราทำนั้นต้องผ่านทั้งการคิดและการไตร่ตรองอย่างน้อยสามรอบจึงทำ สังเกตไหมวันๆ เรามีกิจกรรมให้ทำมากมาย  แต่สิ่งที่ทำแล้วไม่เสียใจทีหลังนั้นมีอยู่น้อย เพราะว่าเรานั้นยังคิดไม่ดีก่อนที่จะทำลงไป การทำด้วยอารมณ์ การทำด้วยการไม่คิด การทำด้วยเสียงที่ยุแยง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำลายคนทั้งนั้น
ฉะนั้นต้องหัดที่จะทำสิ่งใดก็แล้วอย่างคนที่มีสติ  การเป็นคนดีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องเป็นคนที่มีบารมีด้วย คนมีบารมีเป็นอย่างไร คนไม่มีบารมีชอบเรียกให้คนอื่นนั้นมาเคารพตัว คนมีบารมีไม่ทันเรียก คนอื่นก็ยกมือไหว้  ฉะนั้นหากเราเดินไปไหนมาไหนไม่มีคนยกมือไหว้ ก็ไม่มีบารมี แล้วอย่าถามว่า ทำไมเขาไม่ไหว้เรา เราดีกว่าเขา เราใหญ่กว่าเขา เรามีหน้าที่การงานมากกว่า ถ้าหากคนไหว้เราเพราะหน้าที่การงานแสดงว่าเขาเกรง ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเขาไหว้เราเพราะเราเป็นคนที่ชอบพูดแล้ว หากไม่ไหว้เขา เขาจะเสียหน้า แสดงว่าเขากลัว แต่จงให้คนอื่นนั้นเคารพตัวเองด้วยความเคารพอันนี้จึงสร้างบารมีให้ตัวเองอย่างแท้จริง
คนมีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา) ถ้าคนอื่นตอบว่าธรรมดา แต่เราตอบว่าไม่ธรรมดา แสดงว่าเราไม่อยู่กลุ่มเดียวกัน มีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มองให้เป็นเรื่องธรรมดา เอาความทุกข์ออกไปจากใจ แม้ว่าเรามีทุกข์แต่ความทุกข์ไม่เกาะใจ
อาจารย์จะบอกให้อยู่เมืองนอกมีโอกาสจะเจริญปณิธานมาก อย่าเหงา ขอให้เอาโอกาสของตัวเองมาใช้ให้เป็นโอกาสที่ดี ทำได้ไหม ปัญหามีทุกที่ ทุกคนมีปัญหาหมดแต่ว่าใจอย่ามีปัญหา ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า ปัญญาดั้งเดิม  และให้นำบทพระโอวาทที่ซ้อนออกมาได้ไปแยกเพื่อครอบพระโอวาทซ้อนอีกครั้ง)
ในที่นี้ทุกคนมีความรู้ในทางโลกมากมาย  ความรู้สามารถช่วยศิษย์ในการที่ศิษย์จะทำงานหรือทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ฝึกฝนจนชำนาญเป็นความรู้ ร่ำเรียนจนชำนาญเป็นสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ แต่วันนี้มาที่นี่ อาจารย์เรียกให้ศิษย์อยู่ทางธรรม เพราะฉะนั้นไม่ได้พูดถึงความรู้ที่ศิษย์มี แต่ว่าพูดถึงปัญญา คนเราเมื่อร่ำเรียนก่อนที่จะรู้มากๆ ความรู้หนึ่งก้อนสิ่งที่อยู่ในความรู้เราเรียกว่า ปัญญา คือ การแยกแยะ ถูกผิด ดีชั่ว ปัญญาคือ สิ่งที่ทำให้ศิษย์นั้นตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดดีและไม่ดี  ตอนนี้ทุกคนเติบโตขึ้นมาและอยู่ในโลกศิวิไลซ์ ทุกคนเรียนรู้มากมายแต่ลืมหน้าตาดั้งเดิมของตัวเอง  ลืมปัญญาอันดั้งเดิมที่อยู่ภายในของตัวเอง  ถ้าหากว่าทุกคนสามารถที่จะระลึกถึงปัญญาอันดั้งเดิมได้สม่ำเสมอ ทุกคนจะสามารถอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา  ขอให้มองไปถึงความดั้งเดิมของตนเอง  อย่างเช่น พ่อแม่ของเราหัวโบราณกว่าเรา ในตอนนี้เราเป็นคนหัวโบราณของลูก จริงหรือไม่ (จริงแต่เราบอกว่าสิ่งที่เรารู้นั้นดีกว่าลูก ลูกมีความรู้มากกว่าเรา ให้ไปเปิดคอมพิวเตอร์ได้หมด ลูกเก่งกว่าเรา ให้ไปทำอะไรก็ทำได้ แต่ลูกขาดสิ่งหนึ่งที่เรานั้นมี จริงหรือเปล่า (จริงแต่ว่าคนสมัยใหม่มองเป็นคนหัวโบราณ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็เป็นคนหัวโบราณของศิษย์เหมือนกัน อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์นั้นอย่าลืมว่าในความรู้ที่ศิษย์มีนั้น หัวใจของความรู้คือปัญญา ศิษย์อย่าลืมสิ่งใดที่คนอื่นเขาบอกศิษย์ ถึงแม้ศิษย์จะมองว่าเป็นเรื่องของคนโบราณ เป็นเรื่องเก่าๆ เป็นเรื่องของคนแก่พูด จงฟังเพราะยิ่งฟังยิ่งได้ประโยชน์ หากไม่ฟังย่อมไม่ได้ประโยชน์  คนอายุมากกว่าเราเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง จงเปิดเขาอ่านด้วย ทุกบ้านมีคนแก่ เราไม่เคยที่จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างคนที่ขอความรู้เลย  เราบอกว่าเราไปนั่งคุยเป็นเพื่อนคนแก่ เราต้องบอกว่าเราเข้าไปนั่งคุยกับเขาเรายิ่งได้ความรู้จากเขา เขาเป็นครูเรา เขาเป็นหนังสือของเรา จงอย่าเบื่อฟังในสิ่งที่ซ้ำๆ คนแก่สมัยนี้บางคนก็ไม่ขี้บ่นแล้วก็ไม่น่าเบื่อ  ฉะนั้นอย่าเอาสายตาอันซ้ำซากชินเคยจำเจของเราไปมองทุกๆ เรื่อง  จงมองทุกๆ เรื่องด้วยสายตาคู่ใหม่เสมอ  เพราะว่าทุกๆ เรื่องย่อมเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์เสมอ  ตาคู่ใหม่อยู่ในตาคู่เก่าของศิษย์ ใจดวงใหม่อยู่ในใจดวงเก่าของศิษย์ คนใหม่อยู่ในคนเก่าของศิษย์  เพียงแต่ว่าศิษย์มองตัวเองก็จะเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่ทางออกอยู่ที่ไหน  (ใจทางออกอยู่ที่ปัญหา คำตอบอยู่ที่คำถาม ถ้าหากว่าเรามีปัญหาก็มองปัญหาของตัวเอง ดีหรือไม่ (ดีแต่อย่าลืมว่าถ้ามองมากเกินไปอาจจะหน้ามืด ตาลาย วิงเวียนและเบื่อ  เพราะฉะนั้นมองมาก ดีไหม (ไม่ดีมีอีกคำหนึ่งอยู่ในปัญญาดั้งเดิม  อาจารย์มีวงกลมอยู่ ๓ วง
(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปวงกลม ๓ วงบนกระดาน)








 






วงนอกคือความรู้  วงกลางคือปัญญาดั้งเดิม  วงในสุดคือโพธิ
โพธิ  หมายถึง สภาวะญาณอันรู้ตื่น รู้แจ้ง เห็นธรรมในตน  ฉะนั้นทุกคนมีโพธิคือ มีความรู้ตื่น รู้แจ้ง ถ้าหากศิษย์ไม่มีความรู้ตื่น รู้แจ้ง ศิษย์จะฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่อง  วันนี้ทุกคนฟังอาจารย์รู้เรื่องมากน้อยต่างกัน  สภาวะจิตแต่ละคนมืดสว่างไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบุญกุศลสั่งสมและขึ้นอยู่กับการฝึกฝน  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีโพธิปัญญาและมีองค์ความรู้อยู่มากมาย ขอให้กลับไปมองย้อนเข้าไปเห็นตัวเอง  ใช้ตาในสัมผัสใจที่อยู่ในส่วนลึกของตัวเอง  อย่าปล่อยให้ใจดวงนี้แปดเปื้อนเหมือนอย่างที่นักเรียนร่วมชั้นได้พูดไว้คือ ขอให้เก็บแต่ดอกไม้อย่าเก็บขยะ  เมื่อสักครู่อาจารย์ถามไว้บอกว่าส่วนลึกที่อยู่ข้างในที่สุดคืออะไร (โพธิเวลาเรารู้แล้วสิ่งที่สำคัญมากกว่า สิ่งที่เรารู้คืออะไร (การกระทำ)  คนมักชอบฟังธรรมะลึกๆ มักชอบฟังเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ เรื่องปาฏิหาริย์ แต่เรื่องปาฏิหาริย์นั้นไม่สามารถช่วยศิษย์ได้ ปาฏิหาริย์ที่สุดในชีวิตของคนคือ การช่วยเหลือตัวเอง เหมือนที่อาจารย์บอก อาจารย์ไม่มียาหลอดที่เรียกว่า สำนึก แล้วฉีดให้ศิษย์ทั่วร่างเป็นคนที่มีสำนึกขึ้นมาได้
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่ศิษย์มานั่งฟังคืออะไร คือเมื่อรู้ต้องปฏิบัติ เมื่อไม่ปฏิบัติก็ไม่มีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ไม่มีปาฏิหาริย์มาให้ศิษย์ มีแต่ศิษย์นั้นสร้างปาฏิหาริย์ให้กับตัวเอง ความพิสดารความแปลกใหม่ไม่ได้ช่วยให้ศิษย์นั้นดีขึ้น เหมือนเรามีตาที่ตื่น แต่ไม่มีใจที่ตื่น หลังจากวันนี้กลับถึงบ้าน ที่บ้านก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ศิษย์เอ๋ย คนที่เราเบื่อก็ยังเบื่อ บางทีคนเบื่อกับคนรักเป็นคนเดียวกัน ทุกๆ อย่างที่เป็นปัญหาก็ยังเหมือนเดิม แต่จะไม่เหมือนเดิมก็ตรงที่เรานั้นเปลี่ยนแปลงตนเอง ในขณะที่สภาพแวดล้อมเหมือนเดิม สมมติว่าศิษย์อยู่ในห้องที่มีกำแพงสีเทา ในสังคมที่ศิษย์อยู่เป็นกำแพงสีเทา ศิษย์เข้าไปอยู่ในห้องสีเทา แต่ใจศิษย์ต้องเป็นสีขาว เราจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนตัวเอง ในขณะที่ทุกคนยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่เรากลับต้องมีจิตใจที่มีสำนึกมากขึ้น เราต้องมีจิตใจที่สะอาดมากขึ้น พูดดีมากขึ้น คิดดีทำดีมากขึ้น ทำดีให้กับคนที่เรารู้สึกว่าไม่ชอบ ไม่โกรธคนที่เราเกลียดต่อไป และแกล้งทำเป็นรู้ไม่ทันในบางที มันยากไหมถ้าหากพูดรวมๆ อย่างนี้ยาก แต่ศิษย์ค่อยๆ ทำ ความสำเร็จนั้นวันนี้เราแค่อยากที่จะไปทำให้คนที่เราเบื่อกลายเป็นคนที่เรารัก ไม่เบื่อ เราเบื่อเขาความเบื่อนั้นอยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่ใจเรา เราโกรธเขาความโกรธอยู่ในใจเรา เราเพียงแต่แค่ตัดความเบื่อและความโกรธจากใจเราเท่านั้น เป็นเป้าหมายในการที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง บ้านอาจจะเป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่จงแบ่งการเปลี่ยนแปลงที่บ้าน กับความสำเร็จในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองกับคนในบ้าน เป็นเป้าหมายเล็กๆ แบบที่เราทำได้ วันนี้แค่อยากคุยกับคนที่เราเคยทะเลาะด้วย เรามีเป้าหมายแค่อยากคุยกับเขาเท่านั้น ถ้าคุยอย่างที่เคยคุยคราวที่แล้วไปรอดไหม (ไม่รอด)  แต่คำพูดออกจากไหน (ปากคำพูดออกจากปากก็ทะเลาะกัน คำพูดออกจากใจ พูดให้น้อยลง และมีใจขอโทษให้มากขึ้น  เรามักคิดว่าเราไม่ผิด จริงไหม (จริงขอโทษคนอื่นในขณะที่เราไม่ผิดทำได้ไหม (ทำได้เป็นเรื่องยากสำหรับคนหยิ่ง แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่อ่อนน้อม อยากเป็นคนหยิ่งหรือเป็นคนอ่อนน้อม (อ่อนน้อมอยากเป็นอะไรก็ต้องทำแบบนั้น บ้านเรายังเป็นสนามอันดีที่ทำให้เรานั้นได้ฝึกความเป็นพุทธะเสมอ คนที่ขัดเราเสมอๆ เป็นเสมือนผู้มีพระคุณ เราไม่เคยมองใครด้วยความรู้สึกปรารถนาร้ายเลยจริงหรือไม่ (จริง) เราไม่เคยที่จะไม่หวังดีต่อผู้อื่นเลยจริงหรือไม่ (จริงเราไม่เคยคิดจะด่าเขาให้จมดินในขณะที่เราสามารถจะฉุดเขาได้จริงหรือเปล่า (จริงแต่ว่าการกระทำของเรามักตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคิด เรามักคิดว่าเราอยากจะเป็นคนดี แต่ในขณะเดียวกันเราก็ทำในสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่ในเมื่อชีวิตนี้ได้ทำในสิ่งที่ตามใจตัวเองมามาก ในเมื่อชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราชนะคนมามาก ชนะในขณะที่เราก็พูดว่าเราแพ้ อย่างนี้วันนี้เป็นต้นไปเรามาแพ้เพื่อชนะดีไหม (ดีเรามาแพ้เพื่อชนะตัวเอง เรามาเริ่มต้นใหม่ ทำในสิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำหรือทำในสิ่งที่เรายังทำไม่สำเร็จให้สำเร็จ
ชั่วชีวิตคนเป็นเวลาที่สั้นมาก วันนี้อาจารย์ไม่ใช่แค่อยากให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในชีวิตของตัวเอง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในการที่จะเอาชนะจิตใจตัวเอง  เพื่อผลแห่งการบำเพ็ญและการฝึกฝน เพื่อผลแห่งการหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิดไปอย่างถาวร นี่เป็นเป้าหมายที่อาจารย์มาหาศิษย์เสมอ และอาจารย์ก็แบ่งเป้าหมายเป็นช่วงเล็กๆ เสมอ อาจารย์ต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าอาจารย์จะได้มีกำลังใจในการที่จะให้ศิษย์ลุกขึ้นมาด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง คราวนี้ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งในหลายๆ เป้าหมายใหญ่ของอาจารย์เพื่อปลุกให้ศิษย์นั้นตื่นขึ้นจากความฝันในโลกนี้ ศิษย์เรียกว่าชีวิตจริง แต่อาจารย์เรียกว่าความฝัน จงอยู่ในโลกนี้อย่างคนที่มีเป้าหมาย บำเพ็ญให้ดี ทำจิตใจให้งดงาม กินอย่างระมัดระวัง นอนอย่างระมัดระวัง ใช้เงินทองที่หามาอย่างระมัดระวัง ศิษย์ไม่ต้องรวย ความรวยไม่ใช่สิ่งที่แน่แท้ถาวร มันเป็นสมบัตินอกกาย หากว่าศิษย์ใช้เงินอย่างประหยัดอยู่ง่าย กินง่าย ศิษย์ก็ไม่ต้องไปพึ่งใคร  ไม่ต้องไปง้อใคร ไม่ต้องไปก้มหัวให้ใครเพราะเรื่องเงิน แม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ขอให้ทำตัวให้เรียบง่ายมากขึ้น ทำใจของตัวเองให้เรียบง่ายมากขึ้น
อาจารย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อาจารย์อาจจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากไม่สามารถที่จะปลุกแม้เวไนยไม่กี่คนให้ตื่นขึ้นจากความฝัน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ศิษย์มีโอกาสที่จะปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากความฝันเสมอๆ มองอย่างนี้แล้วเห็นไหมว่าศิษย์นั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าอาจารย์ โอกาสในการที่จะทำบุญสร้างกุศลนั้นมีมากมายยิ่งกว่าอาจารย์มากนัก  เราต้องทำตัวเราให้ดีถึงจะกล้าเรียกร้องคนอื่น
สถานธรรมอาจจะไกลสำหรับคนบางคน การทำงานธรรมะก็อาจจะยากสำหรับคนบางคน แต่คนที่มีใจแล้วไม่มีอะไรยาก
อาจารย์มีแต่ความห่วงมากมาย อาจารย์ไม่ได้กลัวว่าศิษย์ทุกข์ แต่อาจารย์กลัวว่าศิษย์บำเพ็ญไม่เป็น ธรรมะและการบำเพ็ญเป็นเรื่องธรรมชาติ อาจารย์กลัวศิษย์เกร็งจนเบลอ ห่วงศิษย์ว่าถึงเวลาควรทำอะไร กลับไม่รู้ว่าตัวเองนั้นควรไปทำ ห่วงว่าศิษย์คิดไม่เป็นปลงไม่ได้ วันนี้อาจารย์ไม่ได้ลงไปข้างล่าง อาจารย์ก็ลาศิษย์ที่อยู่ข้างล่าง แล้วก็ลาศิษย์ที่อยู่ข้างบน ขอให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญ ชีวิตนี้โชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาเป็นคน  ไม่เกิดมาเป็นหมู หมา กา ไก่ที่ชีวิตนั้นไม่สามารถกำหนดตัวเองได้ วันนี้นั้นทุกคนสามารถกำหนดตัวเองได้ เพียงแต่รู้จักตัวเองให้มากขึ้น การศึกษาธรรมยังคงต้องมีต่อเนื่องไป เพื่อเปิดจิตใจให้สว่างอย่างต่อเนื่อง
อาจารย์หวังว่าศิษย์ที่มาเป็นนักเรียนที่นี้วันนี้ทุกคนให้เวลากับตัวเอง เราไม่ได้ทำสิ่งที่เล่นๆ  ไม่ใช่อยากที่จะมาหาศิษย์ในลักษณะเช่นนี้ อาจารย์เรียกร้องในสิ่งที่ศิษย์ทำได้แล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย  หลายคนในที่นี่เป็นคนที่มีบุญ มองง่ายๆ บางคนหน้าตาดีมาก คนหน้าตาดีนั้นบ่งบอกถึงเป็นผู้ที่มีบุญวาสนา  แต่มิได้หมายความว่าคนที่หน้าตาไม่ดีไม่มีบุญ  แต่จงทำวิกฤตในตอนนี้ในขณะที่เภทภัยมากมาย ในขณะที่โลกร้อนเป็นไฟ ก็เป็นเวลาเดียวกับให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรม อย่ามัวห่วงบางเรื่องจนมากเกินไป จนไม่สามารถที่จะบำเพ็ญได้ การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องของการบำเพ็ญจิตใจ ขอให้ศิษย์นั้นเข้มแข็ง อย่าท้อ เหนื่อยได้ แต่ถามตัวเองว่าเหนื่อยง่ายเกินไปหรือเปล่า
อาจารย์คงต้องไปแล้ว หวังว่าศิษย์ทุกคนรักษาตัวให้ดี เมืองกรุงเมืองใหญ่กิเลสยั่วเย้ามากมาย เข้มแข็งหน่อยนะศิษย์ บำเพ็ญตัวเองอยู่กับกองกิเลสก็บำเพ็ญ อยู่กับผู้ที่มีบุญ อยู่กับอาวุโสก็บำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อตัวเองไม่ได้ทำเพื่อคนอื่น อย่าไปให้เสียงใดๆ มาทำให้เราจิตใจแกว่งระรัวจนไม่สามารถที่จะยืนให้อยู่ได้



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  ปัญญาดั้งเดิม
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   โพธิ
       ตาตื่นใจหลับยังหลง             คนปลงใจตื่นคืนแจ้ง
คนนิ่งแต่ใจยังแกว่ง                     แต่แจ้งไม่พบนอกตน


[๑] ราคิน           ความมัวหมอง  มลทิน
[๒] ปัจเจก          เฉพาะตัว  เฉพาะผู้เดียว
[๓] พฤติการณ์         เหตุการณ์ที่เป็นไป
[๔] เหลาะแหละ       เหลวไหล, ไม่จริงจัง, ไม่แน่นอน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2549

2549-06-17 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก


西元二〇〇六年嵗次丙戌 五月二十二日     大衆恭求仙佛慈悲指示
วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙        สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

 อันพรานป่าล่ากวางไม่เห็นขุนเขา           ประมงเล่าจับปลาไม่เห็นสายน้ำ
รักประโยชน์เฉพาะหน้าทั้งเช้าค่ำ            ไม่อาจนำค้นพบญาณแท้จริง
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธี น้องชายหญิง   เกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

                มองผ่านจากความทุกข์อ่านชีวิต          ทุกความคิดบังเกิดเป็นทุกข์ได้
ความทุกข์ไม่อาจสิ้นดั่งปลิดขั้วไป      แต่คนที่ทำใจหายทุกข์เอง
ปัญหาแห่งชีวิตไม่หยุดหย่อน              คนใจร้อนจะยิ่งคิดไม่ออก
อันคำตอบไม่ใช่อยู่ปลายทางออก       ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอกแห่งตนเอง
เจริญธรรมในชีวิตแห่งตนนี้ เปลี่ยนแปลงตนทำความดีสม่ำเสมอเป็นมนุษย์อย่าได้บ่อยพลั้งเผลอ              สิ่งที่เจอทุกสิ่งย่อมแฝงคุณ
ในทางที่ตีบตันใจกลับกว้าง เพราะหนทางอยู่ที่ใจใช่ไหมท่าน
การไม่ยึดติดไปเรื่องสำคัญ  ให้ของขวัญกับตนด้วยการคิดเป็น
น้องชายหญิงในวันนี้มาพร้อมหน้า     สามวันก่อคุณค่าให้ชีวิต
จงฟังธรรมด้วยจิตใจที่มิปิด จงลิขิตชีวิตนี้ด้วยตนเอง
ฟื้นฟูจิตดวงเดิมให้สว่าง       ดำเนินทางธรรมก็เดินอยู่บนโลก
แต่แยกแยะด้วยปัญญาไม่เศร้าโศก      คนเบื่อโลกรู้ทันโลกจักสบาย
ในวันนี้เป็นวันแรกฟังธรรมะ              การลดละกิเลสจงมีตามขึ้น
อย่าปล่อยให้ชีวิตดั่งฉุดไม่ขึ้น             ใจเมามึนตั้งสติธรรมนำทาง
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                 และเคารพระเบียบแห่งสถาน
จงสำรวมกายใจให้ชื่นบาน   นั่งนานนานก็ต้องมีความอดทน
ธรรมแยบยลอยู่ที่คนปฏิบัติ เดินทางลัดแต่จิตใจต้องซื่อตรง
จงซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นมั่นคง             สำรวจตรงกายใจแก้ไขเป็น
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน        หวังน้องเปลี่ยนตนเองเป็นคนใหม่
คนมีบุญอย่าทำดั่งคนบุญไร้ ขยับใกล้แสงสว่างบำเพ็ญเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป          ความสงสัยจงแปรเป็นศรัทธาเถิด
ศิษย์น้องต่างเป็นผู้ที่ประเสริฐ              ขอจงเกิดความมานะชำระญาณ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

                                                ฮวา ฮวา หยุด

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระนาจา

                กินบุญเก่าหลงเพลินจนน่ากลัว            เงาสลัวแห่งกรรมคอยจ้องทวงถาม
รอเวลาประจวบเหมาะเข้าคุกคาม        ถึงยามหามหวังสร้างบุญสายเกินไป
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานผู่ถี   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคน อิ่มไหม

                บำเพ็ญตัวจากเริ่มต้นเสมอปลาย          รู้สึกเองทำให้ดีมากกว่า
แต่ลำเอียงแฝงทุกข์ใจหลายเวลา          ยากมั่นหากวันกว่าวันลำเอียง
รู้สติเป็นบุญญาแห่งผู้บำเพ็ญ                อจิตติ[๑]คลุ้งนับโดยเห็นกิริยาเพลี่ยง
คิดต่อคิดไร้สิ่งใดลำเลียง      คนแข็งเข้มใจเจรียง[๒]ทบทวนตน
หนุนเนื่องธรรมสู่คนด้วยเมตตา          อัตถะ[๓]หนาบำรุงปวงใจเบื้องต้น
เสียงจะสามารถชวนคนแทบกมล        ชีวิตบนดีงามธรรมชั้นดี

รักษาจิตที่มีก่อนจะสาย        คนเรียงรายแต่ธรรมเป็นหน้าที่
เวียนอยู่ทุกข์ไยไม่ปลงชีวี    สายวารี[๔]ไม่ไหลกลับน้ำตาปน
พยายามดั่งเคยทำไมท้อใจ    ไม่รู้ตนชาญอย่างไรทำลายผล
ตระหนักเชาวน์[๕]นั้นยอมผิดสะกิดตน              คนอาจฝึกฝนรับบ่มปัญญา
บุคคลคิดดีหนึ่งใจดีหนึ่ง      บำเพ็ญถึงปราชญ์ถ้าเพียรก้าวหน้า
อาภัพไม่ธารสายทองพ้องศรัทธา         ถดถอยเพราะไปเนื่องมาด้วยโลกีย์
บำเพ็ญขาดช่วงไปใจไม่อยู่  ปฏิบัติดูธรรมในตนขยาดหนี
จึงไม่สู้ปฏิบัติตนให้ดี           พัฒนาจากจิตที่ไม่มีเรา

                                                ฮิ  ฮิ  หยุด





พระโอวาทพระนาจา
กินข้าวอิ่ม อยากเล่นหรืออยากฟังธรรมะ (อยากฟังธรรมะ,อยากเล่น) วันนี้มาเล่นหรือมาฟังธรรมะ (มาฟังธรรมะ)  มาฟังธรรมะแล้วได้ธรรมะอะไรไปบ้างแล้ว (ความกตัญญู, กฎแห่งกรรม, ไม่เบียดเบียนสัตว์, ความหมายของการกินเจ) อยากฟังธรรมะกับเราไหม อยากรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร (อยากรู้)  อยากรู้อะไร (รู้ธรรมะ) ในตัวคนทุกคนมีธรรมะไหม ในตัวเราที่นั่งอยู่นี้มีธรรมะไหม (มี)  เรามีธรรมอะไรในหัวใจ (เป็นคนดีในหัวใจ)  ในหัวใจเรามีอะไรที่สามารถเรียกว่าเป็นธรรมะได้บ้าง ในความเป็นตัวตนเรา มีอะไรที่สามารถเรียกว่า เป็นธรรมะที่ดี ที่เป็นคนดีคนหนึ่งได้บ้าง (ช่วยเหลือผู้อื่น, มีคุณธรรมประจำใจ, มีความเมตตา, มีความกตัญญู, มีใจเมตตาบริสุทธิ์, กรุณา, มุฑิตา, อุเบกขา)  มีหมดเลยหรือ มีจริงหรือ มีความเป็นกลางจริงนะ ถ้าลูกเรากับลูกเขาทะเลาะกัน เข้าข้างลูกใคร (ให้ความยุติธรรม) จริงหรือ ถ้าเงินเราไปอยู่กระเป๋าคนอื่นแล้วเขาบอกเป็นเงินเขา เราจะบอกว่า (มันเป็นธรรมชาติ)  กระเป๋าก็เป็นกระเป๋าเขาแล้วใช่ไหม ในโลกนี้คุณธรรมพูดเท่าไรก็พูดได้  แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
เอาแค่ง่ายๆ ทุกคนอยากเป็นคนดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วทุกคนถ้ามีโอกาสก็อยากเลือกทำสิ่งที่ดีมากกว่าทำสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แต่จนแล้วจนรอดถามสิดีแค่ไหน เพราะว่าบางทีดีกับชั่วห่างกันแค่นิดเดียวเอง จริงไหม (จริง)  สมมุติมีคนมาทำร้ายเรา  เราคิดเสียว่าไม่เป็นไรคงเป็นกรรมของเรา แต่ถ้าเราคิดว่ามาตีเราทำไม ความอดทนเราหายไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าตาที่ผ่องใสเปลี่ยนไปทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าวันนี้ฟ้าสวย เป็นเพราะว่าฟ้าสวยหรือว่าใจเราดี (ใจเราดี)  วันนี้ฟ้าไม่สวยเป็นเพราะจริงๆ แล้วฟ้าไม่สวยหรือใจเราไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  จริงไหม (จริง) ฉะนั้นภาวะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับใจของเราต่างหากว่ากำลังคิดอย่างไรอยู่ และตอนนั้นหัวใจเราถูกอะไรครอบงำอยู่ทำให้เราคิดดีไม่ขึ้น  มีแต่ดึงให้ตัวเองต่ำลง
ฉะนั้นเราอยากจะบอกว่าโบราณสอนไว้ว่า เวลาเราพบเรื่องราวที่ดี จงพยายามมอบสิ่งที่ดีให้กับคน แต่เมื่อใดที่ใจเราย่ำแย่ หรือพบเรื่องที่ไม่ดี จงพยายามรักษาความดีให้อยู่คู่กับตน ทำได้ไหม (ได้)  ชีวิตจริงๆ มีอยู่สองเรื่องเอง  ฉะนั้นเมื่อไรที่รู้สึกดีจงแจกจ่ายความดีให้เขาไป รู้สึกดีอย่างไร ก็แบ่งปัน รู้สึกวันนี้มีความสุขยิ้มให้เต็มที่ ใครเห็นจะได้ยิ้มตาม หากวันไหนที่มีความทุกข์หรือพบเรื่องแย่ พยายามรักษาความดีให้อยู่กับตัว อย่าให้ความดีหายไป ทำได้ไหม (ทำได้)  ยากไหม (ไม่ยาก)
เหมือนคำว่า เวลาเรามั่งมีให้รู้จักแบ่งปัน แต่เวลาเรายากจนต้องอย่าสูญเสียความเป็นคน ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้ในโลกนี้ความดีความชั่วไม่ใช่เรื่องยาก อย่างนั้นพูดจบแค่นี้เอาไหม (ไม่เอา)
ถ้ารักษาสองสิ่งที่เราบอกได้ การเป็นคนดีในโลกก็ไม่ใช่เรื่องยาก และการทำดีในโลกก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราจะต้องอดทนได้ ถ้าสมมติว่ามีคนๆ หนึ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินมาว่าเราว่า ไอ้โง่ อดทนได้ไหม โกรธไหม เพราะเรื่องราวในโลกนี้อะไรเกิดก็เกิดทันที บางทีเราตั้งสติไม่ทันด้วยซ้ำ ชั่วครู่หนึ่งอะไรที่อยู่กับเราล่ะ  แล้วเราจะรักษาอะไรหรือจะปล่อยอะไรทิ้ง เราจะเอาแต่อารมณ์อยู่หรือจะเอาความดีเก็บไว้ ถ้าตอนนั้นถูกว่านิดหนึ่งก็เอาอารมณ์มาก่อน ความดีช่างมัน เราดีไม่ได้แน่ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าช่วงที่ถูกว่านั้น เรานึกว่าเราต้องดี ต้องสูงส่ง ต้องยิ่งใหญ่ เมื่อมีสิ่งใดมากระทบใจ ให้จำไว้ว่าต้องเป็นเหมือนบันไดที่ทำให้เราต้องสูงขึ้น  ไม่ใช่เป็นหุบเหวที่ทำให้เราตกไปในนรก  ถ้าทำได้เช่นนี้การมีชีวิตของการเป็นคนจะทำให้เรายิ่งดีขึ้น ยิ่งสูงขึ้น  แต่ถ้าถูกคนว่าจนลากเราไปลงเหว เราก็ลงเหว ว่าให้เจ็บช้ำเราก็เจ็บช้ำลงไปด้วย แปลว่าการดำเนินชีวิตมีแต่ทำให้เราแย่ลงๆ  อย่างนั้นตอนนี้ท่านอยากจะคิดสูงขึ้นหรือคิดแย่ลง แล้วอยากให้เราเป็นบันไดหรืออยากให้เราเป็นลูกถีบ
ฉะนั้นเมื่อถูกคนว่าก็คิดเสียว่าเขาเป็นบันไดให้เราอดทนยิ่งขึ้นเป็นคนดียิ่งขึ้นดีไหม (ดี)  แต่ว่าในความเป็นจริงของมนุษย์นั้นมีเรื่องราวมากกว่านี้มากมายอย่างที่เราได้ยินบ่อยๆ คิดดีก็เป็นกุศล คิดชั่วก็เป็นอัปมงคล
ใครที่มีชีวิตที่สบายไม่ต้องลำบาก แปลว่าชาติก่อนนั้นได้สร้างผลบุญผลกรรมที่ดีไว้  แต่อย่าลืมว่าผลบุญก็มีวันหมดได้  แล้วเวลาผลบุญหมดไม่มีอะไรมาบอกนะ พอบุญหมดกรรมมาแทนที่ทันที ฉะนั้นคนที่จะทำให้รู้ได้ว่าบุญหมดเมื่อไร ก็คือตัวเราเอง จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราไม่มีสติทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิดหรือทบทวน ต้องรอให้กรรมมาถึงที่ก่อน แล้วตอนนั้นคิดสร้างบุญทันไหม  (ไม่ทัน)
ฉะนั้นก่อนที่กรรมจะมา เราจงรู้จักสร้างบุญเข้าไว้มากๆ เราพูดแบบนี้ไม่ใช่ให้ท่านเกิดมาเป็นคนแล้วเอาแต่หนีกรรม  กรรมมาจงยินดีรับแล้วก็แผ่เมตตาจิตไป เพราะเราไม่รู้ว่าชาติปางก่อนหรือกี่ชาติเราได้ทำร้ายเขามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้เขามาทวงท่าน ฉะนั้นกรรมมี เราใช้คืนด้วยใจที่ยินดีและไม่ผูกใจเจ็บ พอเขามาทวงก็จบสิ้นกัน  แต่ถ้าเขามาทวง เราให้เขาด้วยความรู้สึกที่เจ็บแค้นเคืองโกรธ กรรมนั้นก็จะไม่หมดสิ้น ก็จะตามทบไปอีกเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่ถูกใครทำร้าย ขอให้ใจแผ่ความเมตตาไว้มากๆ  ถูกคนเข้าใจผิด ถูกว่ากล่าว ขอให้คิดเสียว่าดีแล้วเราจะได้ชดใช้กรรมไป ไม่อย่างนั้นกรรมไม่หมด เราจะต้องกลับมาเวียนเกิดอีกกี่ครั้ง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตขอให้วันนี้จบแล้ว ไม่เป็นการผูกต่อไปทุกวันๆ  ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็จะเป็นเหตุให้ ผูกต่อไปชาติหน้า ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถูกไหม (ถูก)  และจงก่อแต่กรรมดีอย่าก่อกรรมชั่ว ดีหรือไม่ (ดี)  แล้วทำให้คนโกรธนี้เรียกว่ากรรมชั่วไหม อาจจะไม่ชั่วแต่เป็นการเกี่ยวกรรมกันต่อ ฉะนั้นจงทำให้ทุกคนมีความสุข เราจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวกรรมทะเลาะกันอีก ดีหรือเปล่า อะไรยอมได้ก็ยอม อะไรอภัยได้ก็อภัย ได้ไหม (ได้)  ทำแบบนี้ให้ตลอดนะ
เรานึกอะไรสนุกๆ ได้อย่างหนึ่ง บางครั้งสิ่งที่เรารู้ เราคิด เราเข้าใจ ก็ไม่เป็นอย่างที่เรารู้ เราคิด เราเข้าใจเสมอใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะโลกกลมๆ ใบนี้ มีเรื่องหลายเรื่องที่เรายากจะคาดเดาได้ เคยเห็นไหม ฟ้าแม้จะสูงขนาดไหนแต่เราก็ไม่กล้าจะเชิดหน้าชูคอ ดินแม้จะหนาขนาดไหนแต่เราก็ไม่กล้าประมาท มนุษย์บางทีระวังภัยอันตรายข้างนอกมากมาย ระมัดระวังเต็มที่แล้ว แต่ผลสุดท้ายก็ยังเกิดความผิดพลาด และเกิดอันตรายต่อชีวิตได้เสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ความหมายคืออะไร ทำไมฟ้าสูงขนาดไหนก็ไม่กล้าเชิดหน้าชูคอ หมายความว่าแม้ฟ้าจะสูงขนาดไหนก็ไม่กล้าเย่อหยิ่งทะนงตนอวดตน แม้ดินที่เรายืนจะหนาขนาดไหนก็ไม่กล้าที่จะดำรงชีวิตอย่างประมาท เพราะอันตรายเกิดได้รอบด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดไหมว่าเราระวังภัยภายนอกมากมายแต่เราลืมระวังภัยที่อยู่ใกล้ตัว ดั่งคำว่า ปราบโจรข้างนอกนั้นปราบง่าย แต่ปราบโจรที่อยู่ในใจนั้นปราบยาก และโจรอะไรในใจที่น่ากลัวที่สุด ให้คิดก่อนนะ
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตา แล้วทายว่าผู้ปฏิบัติงานธรรม 4 คน ที่ออกมานั่งย่อตัวบนเก้าอี้ คนไหนสูงที่สุด)
เรื่องราวในโลกไม่ได้มองง่ายเสมอไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งการที่เราใช้แต่ตาดูแล้วเราพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นจริง เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ลองดูซิว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะเดาถูกไหม (พระนาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนขึ้นพร้อมกันเพื่อเฉลย)  มีทั้งถูก มีทั้งผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันนี้แค่เกมแรก ให้เดาเฉยๆ นะ  ฉะนั้นคนที่ถูกตอนนี้อย่าเพิ่งย่ามใจ นับคะแนนไปก่อนว่าเล่นเกมกับศิษย์พี่นี่เล่นเดาผิด เดาถูกไปกี่ครั้ง
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนออกมา 3 คน ยืนหันหลังให้ชั้นเรียน แล้วให้แต่ละคนถือผลไม้คนละชนิด คนที่หนึ่งถือแอปเปิล คนที่สองถือลิ้นจี่ คนที่สามถือแก้วมังกร แล้วให้นักเรียนที่เหลือในชั้นทายว่าใครถือผลแก้วมังกร โดยให้นักเรียนที่ยืนอยู่หน้าชั้นให้แค่บอกลักษณะ)
เดาได้หรือยังว่าคนไหนมีผลแก้วมังกรเหมือนที่เราถือ  ท่านถืออะไรให้บอกแค่เพียงลักษณะด้วยคำๆ เดียว  เพราะเขาไม่รู้ว่าท่านถืออะไร  (ท่านที่ 1 กลมๆ  ท่านที่ 2 แดง  ท่านที่ 3 แหลม)  เดาได้หรือยังว่าท่านไหนมี  คนไหนมีสิ่งนี้  ท่านทั้งสามหันกลับมาเฉลยหน่อยนะ (ท่านที่สาม)  บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ใช้แค่เดาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะการเดาอาจจะผิดพลาดได้ หรือบางครั้งใช้แค่สิ่งที่เรารู้เล็กๆ น้อยๆ แล้วไปเดาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บางทีก็ไม่แน่ว่าจะถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวนี้หลับตาอีก
(พระนาจาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนำผ้ามาบังผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกสามคนที่ยืนอยู่หลังผ้า)  ลืมตา คราวนี้ให้เดาอายุ  ให้สามคนที่อยู่หลังผ้าบอกลักษณะรูปร่างตอนนี้ของตนเป็นอย่างไร แล้วให้นักเรียนที่นั่งอยู่เดาว่าในสามท่านนี้ใครอายุมากที่สุด (ท่านที่ 1 ผอม มีลูกสามคน ท่านที่ 2 อ้วน มีลูก 2 คน ท่านที่ 3 สูง ของปลอมทั้งนั้นเลย)  ท่านนี้บอกของปลอมทั้งนั้นเลย ท่านนี้ลงพุง  ท่านนี้บอกว่ามีลูก 3 คน ใครเดาอายุได้บ้าง  (52 ,เกิน 60, 55 ,60กว่า)  ไหนใครที่เดาข้อแรกถูก ลองเดาข้อนี้ซิ ดูซิจะถูกอีกไหม (30 กว่า)  ไหนเมื่อกี้ใครเดา 30 กว่า อย่าพึ่งเดาอายุดีกว่า เดาว่าใน สามคนนี้ใครอายุมากที่สุด  เฉลย เอาผ้าลง (ท่านแรกอายุ 80 ท่านที่ 2อายุ 59 ท่านที่ 3อายุ 73)  ตบมือให้ 3 ท่านหน่อย  ไหนใครยังถูกอีก แต่โชคมาบ่อยๆ ไหม (ไม่บ่อย)  ไม่บ่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราจะเสี่ยงโชคอีกหรือไม่ (เสี่ยง)  เสี่ยงหรือ
ศิษย์พี่อุตส่าห์ให้เล่นเกมส์เช่นนี้ เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องเล่นเสี่ยงโชค เพราะว่าบางทีมันผิดมากกว่าที่จะถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะจริงๆ แล้วตัวเลือกในการเสี่ยงจะมีให้น้อยขนาดนี้ไหม แล้วใครจะบอกใบ้ซื่อๆ ตรงๆ ขนาดนี้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรื่องราวที่ศิษย์พี่จะเอามาคุยในวันนี้นั้น มีอะไรมากกว่านั้นตรงที่ว่า เรื่องราวบนโลกใบนี้เราเฝ้าระแวดระวังภัยจากภายนอก ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่เกิดจากภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะภัยภายในที่เกิดจากความคิด ใช่ไหม (ใช่)
ความคิดอะไรที่สามารถก่อภัยให้มนุษย์บ่อยมากที่สุด (ความโลภ)  จริงไหม เมื่อความโลภเกิดขึ้นกับตัวเรา เราก็จะต้องวิ่งวนไปดิ้นรนแสวงหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะของมีจำกัดแต่ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่จำกัด จึงเกิดการแก่งแย่งและชิงดีชิงเด่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาที่เกิดจากความรัก โลภ โกรธ หลง อันนี้เรารู้กันอยู่ทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่วันนี้สิ่งที่ศิษย์พี่จะมาพูดนั้นไม่ใช่แค่รัก โลภ โกรธ หลง แต่ยังมีจิตใจอีกอย่างหนึ่งสามารถทำร้ายตัวเองและคนอื่นได้ คือความคิดอะไร  เคยได้ยินนิทานเรื่อง กบในบ่อ ไหม (ไม่เคย)  คนที่ไม่เคยฟังก็ลองฟังดูนะ
กบตัวหนึ่งรู้สึกว่าในบ่อที่ตัวเองอยู่ช่างกว้าง ว่ายน้ำไปทางไหนก็สบาย แล้วตัวเองก็เป็นเจ้าอยู่ในบ่อนี้อยู่ตัวเดียว ไม่มีกบตัวอื่นมา จนกระทั่งมีเต่าทะเลเดินทางผ่านมาพบบ่อน้ำ จึงคุยกับกบ กบก็บอกว่ามาอยู่กับเราไหม บ่อเรากว้างนะ พอเต่าทะเลเอาเท้าซ้ายแหย่เข้าไปก็ติดขอบบ่อด้านซ้าย เอาขาข้างขวาแหย่ไปก็ติดขอบบ่ออีก พอเอาเท้าหน้าแหย่ลงไปอีก มันลงไม่ได้ เต่าทะเลก็เลยถอยออกมา แล้วถามว่าบ่อนี่กว้างแล้วหรือ กบก็บอกว่ากว้าง เต่าก็บอกว่าฉันลงไปไม่ได้  กบก็ยังยืนยันว่าบ่อนั้นทั้งกว้างทั้งลึกและแสนสบาย เต่าทะเลถามกบว่า กบเคยได้ยินไหมว่าทะเลนั้นกว้างสุดลูกหูลูกตา  เมื่อเอาเท้าหลังแหย่ลงไปก็ยังหาที่สุดไม่เจอ เอาเท้าหน้าแหย่ลงไปก็ยังหาที่สุดของมันไม่พบ แล้วเต่าก็ถามกบว่าจะไปทะเลไหม กบบอกว่าไม่ไป เพราะบ่อนี้กว้างที่สุดแล้ว ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว ความคิดที่น่ากลัวของกบ เหมือนกับเราอย่างหนึ่งคือ ความเชื่อมั่น ใช่ไหม (ใช่)  ความรู้สึกที่ว่าสุขแค่นี้ของชีวิตพอแล้ว มีเงินมีเกียรติยศ เคยรู้ไหมว่าที่ยิ่งใหญ่กว่าการมีเงิน ที่ยิ่งใหญ่กว่าการมีคนหนึ่งคนรักแทบเป็นแทบตายคืออะไร  เราเคยคิดไหมว่ายังมีอะไรที่ถูกต้องกว่านี้อีก
แล้วบางครั้งเราเถียงกับคนอื่นแทบเป็นแทบตายเพื่อให้เขาบอกว่า เราถูกเขาผิด เขาผิดเราถูก เราจริงเขาปลอม เราเหมือนกบหรือเหมือนเต่าทะเล ศิษย์พี่แค่ยกตัวอย่างให้ดูนะ  ถ้าความคิดเหล่านี้อยู่ในใจของคน อย่างเช่นเชื่อมั่นว่าฉันเก่งแล้ว ฉันแน่แล้ว คนอื่นเป็นไปได้ไหม ที่จะเก่งกว่า ไม่มีทางหรอก โลกใบนี้ฉันรู้มาหมดแล้ว อย่ามาพูดเลย พูดแล้วก็เหมือนเดิม ธรรมะไม่ฟังแล้ว รู้มาหมดแล้ว จริงหรือ (ไม่จริง)  เหมือนศิษย์น้องท่านนี้ ถ้าเรามั่นใจว่าชีวิตนี้ฉันสูงแล้ว ฉันสวยแล้ว ฉันแน่แล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  มีคนสูงกว่าเขาไหม (มี)  มีคนสวยกว่าเขาไหม (มี)  แต่ก็ไม่ใช่คิดว่า ฉันแย่แล้ว ฉันเตี้ยแล้ว ฉันไม่สวยแล้ว คิดอย่างนั้นได้ไหม อยู่ในโลกถ้ากดตัวเองต่ำเกินไปก็พยายามดึงขึ้นมาบ้างเพื่อให้มีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าหลงตัวเองสูงเกินไปก็กดลงมาบ้าง เพื่อตัวเองจะได้ไม่เหมือนกบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกขาดไม่ได้ซึ่งการหมั่นทบทวนตัวเองและการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  โดยเฉพาะการว่าหรือด่ารับให้มากๆ จะทำให้เราเห็นจริง คำชมจะเอาไปทำไม  ชมว่าสวย เก่ง ดี กลับยิ่งหลง ฉะนั้นต้องรู้จักรับฟังนะ จะได้ไม่ทำให้เราประมาทใช่หรือไม่ (ใช่)
มีเพียงความคิดยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวไหม ที่ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตผิดพลาดได้ ยังมีอย่างอื่นไหม (มี)  อะไรบ้าง (ความทะนงตัว, ความหลง, ความทะเยอทะยาน, ความไม่รู้จักพอ, ความโง่เขลา, รูปลักษณ์ภายนอก, ความมีทิฐิ) ความดื้อรั้นของเราก็เป็นเหมือนกบในกะลา เหมือนกันใช่หรือไม่ เป็นเหมือนกบในบ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอะไรอีก (แพ้ใจตัวเอง, ไม่มีธรรมะในใจ, ลืมตัวตั้งสติไม่อยู่)  วันนี้เราจะพูดถึงความคิดล้วนๆ เลยนะเพราะชั่วขณะเดียวก็อาจขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบว่า (หลงตัวเอง, ความงมงาย, ความไม่รู้ทันอารมณ์ตน,ความอิจฉาริษยา) เรื่องนี้น่าคิดใช่ไหมอย่างเช่นเห็นเขาได้ดีแล้วเราไม่ได้ เราไม่ยอมใช่หรือเปล่า เห็นครูชมแต่คนโน้น ครูไม่ชมเราเลย เราก็คิดว่าครูลำเอียงแน่ๆ เลยใช่หรือเปล่า แม่รักคนโน้นไม่รักหนูเลย  แต่ก็อดคิดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
(เพราะมีมารอยู่ในตัว) แล้วตัวนั้นใช่เราไหม (ไม่ใช่) ขจัดมารด้วยการเพิ่มพลังความดีมากๆ แล้วพลังแห่งมารจะได้อ่อนแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หลงอำนาจ, แก่งแย่งชิงดีกัน, การไม่รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น, ความพลั้งเผลอ)
นอกจากความยึดมั่นถือมั่นที่เราชอบมีแล้วยังมีความกลัว ทำให้เราไม่สามารถเอาชนะทุกข์ ความกลัวไม่สามารถทำให้เราเอาชนะตัวเองได้จริงไหม (จริง)  อย่างเช่นมีหญิงคนหนึ่งต้องจากบ้านจากเมืองเพื่อไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่ตอนที่กำลังจะไป รู้ข่าวว่าตัวเองต้องไป เขาร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด จนกระทั่งไปถึงแล้ววันแรกก็ยังร้อง วันที่สองวันที่สามเขากลับหัวเราะ ฉันไม่น่าร้องไห้เลย ใครจะไปรู้ว่าที่กลัวตอนนั้น แต่จริงๆ แล้วตอนนี้สบาย สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ หรือเอาชนะความทุกข์ในโลกได้ เป็นเพราะกลัวอะไรบ้าง ที่พบเมื่อไรแพ้ทุกที (กลัวตาย) หัวหน้าตอบได้ดี จริงๆ แล้วใครๆ ก็กลัวตายจริงไหม (จริง)
แต่ใครจะรู้ว่าถ้าปัจจุบันเราทำดีที่สุดการตายอาจจะไปสู่ที่ๆ ดีกว่าก็เป็นได้ แล้วเคยได้ยินไหมว่าการตายคือการหลับพักผ่อนที่ไม่ต้องรับรู้อะไรแล้วในโลกนี้ โลกนี้วุ่นวายได้ยินก็ยังปวดหัว ได้เห็นก็น่ากลัวไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการตายอาจจะดีกว่าการอยู่ก็เป็นได้ ถ้าตอนมีชีวิตอยู่ทำดีที่สุดและรักษาความดีจนถึงที่สุดแล้ว ถูกไหม (ถูก) เรากลัวอะไรอีกนอกจากกลัวตาย (ความจริง, กลัวตัวเองกลับมาเกิดอีก) อย่างนั้นก็จงตายก่อนตาย ดับก่อนดับ เคยได้ยินไหม ฉะนั้นเราจงรู้จักมีชีวิตอยู่ ยิ่งมีชีวิตต้องรู้จักลดละอารมณ์ให้มากๆ  อยากให้น้องๆ สมถะและครองชีวิตให้เรียบง่าย  นั่นก็คือเรารู้จักดับอารมณ์ ดับกิเลสได้ก่อนที่เราจะตาย
กลัวความจริงใช่ไหม (ใช่)  ความจริงอะไรที่เรากลัว การพลัดพราก การสูญเสีย การผิดหวัง การล้มเหลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวไหม (กลัว)  แต่เราอยากจะบอกว่าตั้งแต่สมัยก่อนเขาก็สอนกันว่า เกิดเป็นคนจงอย่าเลือกสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่าสิ่งที่เป็นจริง ไม่อย่างนั้นความรักจะทำร้ายเรามากกว่าความเป็นจริง แต่มนุษย์ส่วนใหญ่พอถึงเวลาเลือก มักเลือกสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่าเลือกสิ่งที่เป็นจริง แล้วประสบการณ์ชีวิตก็สอนให้เรารู้ว่ายอมเลือกสิ่งที่เป็นจริงดีกว่า แล้วจงรับสิ่งที่เป็นจริงให้มีความสุข แต่เราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ก็ต้องพยายาม
โลกนี้มีสิ่งน่ากลัวมากมาย แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราเอง กลัวไม่มีเงินเลยหาเงินมากๆ แต่ยิ่งงกยิ่งหาก็ยิ่งไม่มี ฉะนั้นอย่าได้กลัว เมื่อใดที่มีความกลัวมาอยู่ตรงหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมีสติ สุขุมและใจเย็น บางครั้งสิ่งที่กลัวที่สุดอาจจะทำร้ายเราไม่ได้ แต่เป็นแรงผลักดันให้เราเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริงบนโลกนี้ได้มากกว่า คนเรานั้นอยู่บนโลกต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ต้องกล้ามองเห็นทั้งโลกขาวและดำ คนดีและคนไม่ดี อยากจะรู้จักโลกใบนี้แท้ๆ ต้องเปิดตามองโลกให้ชัด ต้องยอมรับด้านหน้าและด้านหลังของทุกๆ อย่างให้จงได้ เมื่อเข้าใจทั้งสองด้านก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว จริงไหม (จริง)
หากว่าผลไม้ด้านหนึ่งสวยแต่ด้านหนึ่งเน่า จะเอาไหม (ไม่เอา) ทุกๆ สิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรไม่มีข้อด่างพร้อย ถ้าวันนี้กล้าปฏิเสธแค่ผลไม้ลูกนี้ได้ วันหน้าก็ทุกข์เพราะการเลือกหาลูกที่สมบูรณ์เป็นแน่แท้นะศิษย์น้อง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้กล้าเลือก กล้ารับ กล้าสู้ ต่อไปเมื่อพบเรื่องหนักกว่านี้จะกลัวอะไร แต่ถ้าแค่ผลไม้ใบเดียวยังไม่เอา กลับไปทุกข์อย่าโทษกันนะ
ตัวท่านเองยังมีสิ่งที่เรียกว่าดีและไม่ดี ถ้ามัวแต่กังวลสิ่งที่ไม่ดีแล้วทำลายสิ่งที่ดีในตัวตนเสียหมดก็น่าเสียดาย บ่อยครั้งที่มนุษย์ทำผิดนิดหนึ่งแล้วบอกว่าฉันคงดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว อย่าทำให้รอยเน่ารอยผิดพลาดในชีวิตหนึ่งรอยทำให้เราไม่สามารถเป็นคนดีได้ตลอดชีวิต อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ดีไปครั้งหนึ่งก็จงทำดีเพิ่มขึ้น ให้ความรู้สึกดีนั้นลบล้างให้จงได้ ดีกว่าหรือเปล่า (ดี)  อย่าปล่อยให้รอยเน่านิดหนึ่งแล้วเน่าไปทั้งลูก น่าเสียดายจริงๆ
เคยฟังเรื่องคนขโมยขวานไหม (ไม่เคย) เรื่องมีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งไปตัดไม้แล้วทิ้งขวานไว้พอจะกลับไปเอาปรากฏว่าหาขวานไม่พบ แล้วก็ไปเห็นเด็กข้างบ้านคนหนึ่งใช้ขวานถากไม้อยู่ เขาก็คิดว่าขวานนั้นเหมือนของเขาเลยทั้งด้ามทั้งเหล็ก จากนั้นเขาก็เดินไปถามเด็กว่าขวานนั้นของหนูหรือ เด็กตอบว่า ใช่ของหนู อยู่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเขาขอขวานมาดูพบว่าเหมือนของเขามากๆและคิดว่าเด็กคนนี้ขโมย แต่จะไปว่าได้อย่างไร ก็เลยปล่อยไป นับจากนั้นมาทุกครั้งที่เห็นเด็กคนนี้เดินไปไหน ก็คิดว่า เด็กจะต้องขโมยของแน่เลย หน้าตาก็ให้ ท่าทางก็เหมือน พูดจาฟังไม่ขึ้นเลย ดูไม่ดี แต่พอวันหนึ่งที่เขาต้องเข้าป่าเพื่อไปเอากิ่งไม้ ปรากฏว่าเขาเห็นขวานของเขาที่หายไป เมื่อเขาเดินถือขวานกลับมาก็สบายใจที่ได้ขวานคืนแล้ว  เมื่อเห็นเด็กคนนั้น ก็มองเห็นว่าเด็กก็ดูดี น่ารักดีเหมือนกันนะ ความคิดเปลี่ยนไปทันที เหมือนพวกเราไหม (เหมือน)  ความคิดอะไรในใจเราที่เกิดขึ้นมาแล้วจะทำให้มองคนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย (ความคิดไม่ดี, อคติ, ความเห็นแก่ตัว, เห็นผิดเป็นถูก, ความเข้าใจผิด)
เราเกิดความเข้าใจผิดกับคนในโลกมากไหม อะไรในชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้เรามองผิดเป็นถูกได้ ความรักได้ไหม (ได้)  (ความคิดไม่รอบคอบ, อกุศล, เข้าข้างตัวเอง)  ฉะนั้นคิดอะไรต้องคิดให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะมองสิ่งถูกเป็นสิ่งที่ผิด และมองสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก (ความคิดของตนเอง, อารมณ์ชั่ววูบ, ความเกลียด)  บางทีรักก็ทำให้เรามองเห็นอะไรดีไปหมด แต่เมื่อเกลียดก็ทำให้เรามองเห็นความไม่ดีของเขาใช่ไหม (ใช่)  อย่างที่ศิษย์พี่บอกไว้ ตอนแรกมองอะไรขอให้มองให้ดี มองให้ชัดและมองให้ถึงที่สุด คนที่เราเกลียดก็อาจมีบางมุมที่ดี และคนที่เรารักก็อาจมีบางมุมที่ไม่น่ารักก็เป็นได้ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความคิดรักหรือเกลียดครอบงำจนเรามองไม่เห็นสิ่งที่ดีที่เราควรจะเห็น ทำได้ไหม (ได้)
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นจับหัว ไหล่ เอว เข่า)
แล้วความคิดอะไรอีกที่ทำให้เราคิดร้ายมากกว่าคิดดี สามารถทำร้ายเราได้ เช่น ความประหยัด ถ้ามีพอดีก็เป็นผลดีต่อเรา แต่ถ้ามีมากเกินไปก็กลายเป็นคนใจคอคับแคบตระหนี่ถี่เหนียว ความใจกว้างดีไหม (ดี) แต่เมื่อให้กับคนที่มีเหลือเฟือก็เรียกว่าประจบเอาใจ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นคนใจกว้าง
ใครๆ ก็อยากขึ้นสวรรค์ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์น้องไม่เริ่มต้นตั้งแต่ตัวเอง จิตใจยังคิดร้ายจะขึ้นสวรรค์ก็ไปไม่ถึง ฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีได้ต้องเริ่มจากรากเหง้าในตัว ซึ่งก็คือจิตใจ
การปฏิบัติภายนอกนั้นไม่ยาก รักษาศีลห้าให้ครบ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่ยุให้เขาฆ่า พูดดีคิดดีทำดี อย่าบอกว่าอายุมากค่อยบำเพ็ญ จะบำเพ็ญไหวไหม แก้อารมณ์นิสัยทันไหม ยากนะ เคยได้ยินไหมว่า น้ำเน่าทำให้สิ่งของเปลี่ยนธาตุแปรสี ความเคยชินเปลี่ยนแปลงความเป็นคนของเราทุกวันคิดอย่างนี้ ทุกวันทำแบบนี้ความเป็นคนดีจะเปลี่ยนไป ทำไมไม่หัดยอมรับ จะได้ไม่เหมือนกบ ยิ่งเกลียดเราก็ไม่ต่างอะไรกับกบ ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าใจผิดที่ว่าเด็กคนนั้นขโมย ทำไมไม่เปิดใจกว้าง อยากอยู่ในโลกให้มีความสุขและเอาชนะทุกข์ในใจของตัวเองให้ได้ก็คือ รับได้ทุกเรื่องราว ด้วยจิตใจที่สุขุมอดทน และรับฟังสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะโลกใบนี้ เป็นอย่างที่ศิษย์น้องต้องการทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีบทเรียนที่เราไม่ชอบเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้เห็นและเข้าใจให้ได้ จะมีอะไรในโลกที่น่ารังเกียจบ้าง  ง่ายๆ นะศิษย์น้อง ถ้าทุกคนตัวเท่ากันหมด สิบคนก็เท่านี้เหมือนกันหมด สวยไหม (ไม่สวย)  แต่ถ้าในสิบคนมีสูง มีต่ำ มีสูงกว่าเป็นอย่างไร  มนุษย์นี้แปลก เหมือนกันเกินก็ว่าน่าเบื่อ ต่างกันเกินก็รับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ดีเกินก็รำคาญ  ฉะนั้นถ้าในสามอย่างนี้ เมื่อเห็นแล้วก็ควรคิดว่าเหมือนกันเกินก็ดี มองก็เพลินตา ต่างกันเกินก็ได้อรรถรส ดีกับเราเกินก็ภูมิใจที่เขารักเรา  แล้วในโลกนี้จะมีอะไรยากเกิน จะมีอะไรทำให้เราทุกข์ไหม พอเขาสุดขั้ว ความคิดต่างก็รับไม่ได้และเกลียด ใช่ไหม  พอเขาทำอะไรเป็นตัวของตัวเองไม่เป็น ตามเราต้อยๆ เราก็รำคาญ หัดคิดเองบ้างสิ  แต่พอเขาดีกับเราเกินไป เห็นแล้วก็หงุดหงิดทุกที แล้วเราก็ผ่านสามเรื่องนี้ไม่ได้ทุกที  แต่ถ้ารู้จักคิดและทำความเข้าใจให้ได้ มันจะทุกข์ตรงไหน ใช่ไหม (ใช่)  ฟ้ายังมีฟ้ากับดิน ถ้าฟ้ารังเกียจดิน ฟ้าคงหนีดินไปแล้วใช่ไหม โลกยังมีขาวมีดำ แปลว่าโลกจะสอนให้เรารู้ว่าความเป็นจริงของชีวิตต้องรับให้ได้ในมุมมองที่แตกต่าง และต้องอยู่ให้ได้กับความเหมือน ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ นะศิษย์น้อง ถ้าอยากจะหมดทุกข์และเอาชนะทุกข์ในโลกนี้ให้ได้ แล้วเดินไปสู่ความสุข  สาเหตุของทุกข์ก็คือการมีตัวตน บางครั้งถ้าเราลืมตัวตนได้ ทุกข์ก็คงน้อยลง  เพราะมีใจให้คิด เพราะมีตัวตนแห่งใจ ทุกข์จึงมาสถิตอยู่  แต่ถ้าเมื่อใด เราบำเพ็ญเหมือนคนที่ไร้ตัวตน ทำตัวลืมตนบ้างก็ดี จะได้ทุกข์น้อยลง ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาทั้งหมดนี้ก็คือสาเหตุแห่งทุกข์ และหนทางที่เราจะดับทุกข์
ฉะนั้นอยากอยู่ในโลกนี้แล้วผิดพลาดน้อย และทุกข์น้อย  ง่ายๆ จงเป็นคนที่รู้จักมีน้ำใจ รู้จักยอม คนที่มีน้ำใจแม้ทำผิด คนอื่นก็ยังรู้สึกให้อภัย ใช่ไหม  ฉะนั้นอยู่กับใคร เอาความมีน้ำใจในตัวเราไปเติมให้เขา อย่าบอกว่าตนเองไม่มีน้ำใจ เป็นไปได้ไหมที่น้ำใจจะแห้งแล้ง (ไม่ได้)  น้ำใจมีอยู่ในตัวของศิษย์น้องทุกคน ขอเพียงมีใจที่ดี น้ำใจจะเต็มทุกครั้งที่เรารู้สึกดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าวันหนึ่งแม้ใจเรารู้สึกไม่ดี น้ำใจก็ยังให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงใจเราสู้ เคยไหมคนที่ยากไร้ขนาดไหน แต่ยังรู้จักให้ กลับประทับใจเรามากกว่าคนที่มั่งมีแล้วจึงให้ ถูกหรือไม่  ฉะนั้นอย่าคิดว่าต้องมีก่อนถึงให้เป็น ไม่จำเป็น  ยิ่งไม่มีแล้วยิ่งให้เป็น กลับยิ่งน่ารักน่าประทับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์ในโลกไม่สามารถทำร้ายเราได้ถ้าใจเราไม่คิดตาม ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เคยเห็นคนป่วยไหม แต่ไม่ได้ตายเพราะป่วย แต่ตายเพราะใจคิดมาก ปลงไม่ตก ถูกหรือไม่  ฉะนั้นสำคัญที่ใจ ถ้าใจเราสู้ อะไรก็ไหว ถ้าใจเราไม่กลัวอะไรเราก็เอาชนะได้ แต่ขอเพียงใช้ปัญญาแล้วมองอะไรให้ดี ให้รอบคอบ ชะตาชีวิตก็อยู่ในมือเรานี้เอง
บางครั้งที่ทุกข์ก็เพราะว่ามีตัวมีตน บางทีต้องลืมตัวตนบ้างจะได้ไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่ศิษย์น้องมักจะเป็นกันก็คือความใจร้อน วู่วามและก็ดื้อรั้น ใช่ไหม (ใช่)  เคยได้ยินไหมว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้า ฉะนั้นฝึกความใจเย็นให้อยู่กับตัว ฝึกจิตเมตตาให้มากๆ จะได้ไม่โกรธใคร ดีไหม (ดี)  แล้วเชื่อไหมว่าความเมตตาของเราถ้าหยั่งลงสู่ที่ใดจะสามารถแปรเปลี่ยนคนร้ายให้กลายเป็นคนดี ด้วยจิตใจของท่านนั่นเอง ดังคำกล่าวว่า หนึ่งความซื่อตรงจริงใจสามารถเอาชนะร้อยพันความคดของคนแต่ในทางกลับกัน หนึ่งความคดของคนก็สามารถทำลายหมื่นพันซื่อตรงในใจของคนได้แล้วเราจะเลือกตรงหรือคดละ (ตรง) ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ขอให้เลือกสิ่งที่ดีและมีคุณค่า นำพาใจให้สูงส่งไม่ใช่นำพาใจให้ตกต่ำ คิดให้ดีนะ ชีวิตอยู่แค่ชั่วขณะคิด จะทำดีหรือทำชั่ว ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ศิษย์พี่ก็มาเพียงแค่นี้ งานนี้ห้องพระนี้กว่าจะสำเร็จได้ต้องมีคนเตรียมงานก่อน ศิษย์พี่ฝากแอปเปิลให้คนที่มาช่วยก่อนวันงานนะ
อย่าให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยมาแก้ จงเตรียมตัวรับให้ดี เรากลัวอะไรชอบคิดอะไรที่ร้าย แก้เสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นกับเราแล้วค่อยหาทางแก้ สายไปใช่หรือไม่ (ใช่) เอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะความทุกข์ ศิษย์พี่พอแค่นี้นะ
ไม่ใช่ว่าฟังจบแค่วันนี้ก็พอนะ ธรรมะต้องเติมบ่อยๆ นะ เติมวันเดียวไม่เข้าใจหรอก มีโอกาสหลังจากสามวันก็ต้องหมั่นมาเติมนะ ธรรมะเหมือนพลังในการปฏิบัติบำเพ็ญตัวเอง ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดี วันนี้ศิษย์พี่พูดเพียงส่วนหนึ่งไม่สามารถพูดได้หมดนะ มีโอกาสกลับมาศึกษามากๆ อย่าคิดว่ามาหลอกนะไม่สนุกเลย

วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

                มาขัดเกลาตัวเองอย่างละเอียด             ทั้งโกรธเกลียดรักโลภขจัดหนา
จงตามทันจิตใจใช้ปัญญา     ศิษย์เดินมาถึงยามนี้ก้าวต่อไป
                            เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา           ลงสู่ สถานธรรม แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคน หิวข้าวหรือเปล่า

                เคยทำไม่สู้คนทำอยู่              บุรุษรู้จริงก็ทำจริงเข้า
อารมณ์ตัวเก็บอย่าทอดเป็นเงา             เชาว์ไปเชาวน์สู่ในงานสรรพางค์
ชีวิตที่มีงานเปี่ยมคุณค่า         จิตปรีดาด้านรอบรายฉายสว่าง
อยากแก้ไขปูมหลังวันนี้ฟัง  คนกล้าหวังผลักดันตนวัฒนา
ก้าวเป็นก้าวตนต้องมีมานะ  จิตรัตนะถะมัดถะแมงดุจเอ็นแขนขา
รู้จังหวะสามารถพางานเดินหน้า          การล้าล้าฝึกจับกำลังใจ
ละก็ไม่ลำบากคิดเหตุผล       พื้นฐานคนกิเลสซะที่ไหน
ปลูกรากใจสู่ธรรมอย่างขวนขวาย       ยามสบายจะคงมั่นแสนลำเค็ญ
สำทับผู้ในมั่นคงอย่าสำรวย  อุปสรรคได้ช่วยบำเพ็ญกว่าที่เห็น
ทัศนะหลายกลมเกลียวด้วยหลีกเป็น  หลากบำเพ็ญหลากวิธีหลักเดียวกัน


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
การนั่งฟังธรรมะเป็นเรื่องง่ายไหม ไหนใครว่าไม่ง่ายยกมือขึ้น นั่งฟังธรรมะเป็นเรื่องไม่ง่ายเพราะว่ามันเมื่อย ที่จริงแล้วการนั่งฟังธรรมะเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปฏิบัติ จริงหรือเปล่า (จริง) การที่เราไปปฏิบัตินั้นย่อมยากกว่าที่เรานั่งฟัง  ถึงแม้ตอนนี้เราบอกว่าเรานั่งฟังอยู่นี่  เรารู้สึกว่าเราเมื่อย เราเหนื่อย แต่ว่าการให้ไปทำนั้น เมื่อยและเหนื่อยกว่านี้ เมื่อยที่ใจแล้วก็เหนื่อยที่ใจด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นการที่พูดว่าเกิดเป็นคนเป็นเรื่องลำบากจริงหรือเปล่า (จริง)  การเป็นคนนั้นลำบาก แต่เราสามารถทำให้ชีวิตของเราสบายยิ่งกว่านี้ได้ไหม (ได้)  การที่เรานั้นตามใจตัวเองในทุกเรื่องที่เรารู้สึกพึงพอใจนั้น ทำให้เราสบายขึ้น การที่เราได้ในสิ่งที่เรานั้นอยากจะได้มาก อยากจะได้เงินไปหาเงิน อยากจะได้ทองไปหาทอง อยากจะได้ความสบายไปหาความสบาย  เมื่อเราสนองตอบในสิ่งที่เราต้องการทั้งหมดแล้ว เราสบายยิ่งขึ้น จริงหรือเปล่า (จริง)  การที่เราได้สนองตอบในกิเลสทำให้เรานั้นสบายขึ้นจริงหรือไม่ (ไม่จริง)  แต่ว่าทุกวันนี้เราก็เพียรพยายามที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างมากจริงหรือไม่ (จริง)  ทำอย่างไรให้เรานั้นรู้ว่า ทำอย่างไรเราจะสบายขึ้นจริงๆ
วันนี้อาจารย์มาพูดเรื่องที่อยากให้ศิษย์ขัดใจตัวเองมากขึ้น  เราไม่ต้องไปขัดใจใครแต่ให้ขัดใจตัวเองมากขึ้น  เวลาที่เราเดิน ถ้าเดินโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเลย ทางราบรื่นตลอด  เราก็เดินได้เร็วจริงหรือไม่ (จริง)  แต่ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นเดินบนทางโลกีย์  และเดินไปตามความต้องการของตัวเองอย่างไม่มีอะไรมาขัดขวางเลย แล้วก็เดินอย่างรื่นไหล  แต่ใจนั้นก็ตกต่ำลงมาก
จิตใจนั้นตกต่ำลงไปเพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้จักขัดใจตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  เราจะขัดใจตัวเองทำไม เราชอบให้คนอื่นมาขัดใจเราไหม (ไม่ชอบ)  ทุกวันนี้เราไปขัดใจคนอื่นหรือไม่  เวลาที่เราขัดใจคนอื่นแล้ว เรามีความสุขมากขึ้นไหม (ไม่มี)  เวลาที่ขัดใจคนอื่น  จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีความสุขมากขึ้นเลยจริงหรือไม่ (จริง)  การขัดใจคนอื่นคือ การที่เราอยากให้คนอื่นทำตามในสิ่งที่เราคิด แล้วเราสามารถที่จะควบคุมคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใครได้เลย เพราะฉะนั้นจึงต้องหันมาเปลี่ยนในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือ การเปลี่ยนตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)  การเปลี่ยนตัวเองนั้นทำให้เราก้าวขึ้นไป มีจิตใจที่สูงส่งมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องใช้การขัดเช่นเดียวกัน  เพราะว่าการตอบสนองความต้องการทุกๆ อย่างที่เราต้องการ  การได้มาซึ่งสิ่งที่ทำให้ต้องการทั้งสิ้น ทำให้เรานั้นรื่นไหลและเอาแต่ใจ ดื้อรั้นในการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้  โดยที่ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองนั้นยังทุกข์ แต่เรานั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้ดีกว่านี้ เพราะฉะนั้นวันนี้มาพูดถึงเรื่องที่เรานั้นต้องมาขัดใจตัวเองบ้าง
คนหลายๆ คนนั้นเป็นคนที่มีธรรมะ ชอบธรรมะ บำเพ็ญธรรมะ แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ  การที่เรานั้นมีใจให้ธรรมะ รู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงการที่เราขัดตัวเอง  สมมุติว่าวันนี้เห็นสามีไม่ค่อยชอบมาพากล แล้วปกติเราก็แสดงความรู้เท่าทัน  ถ้าหากวันนี้เราจะทำตัวแกล้งโง่บ้างเป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)  แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้แกล้งโง่แล้วพรุ่งนี้ฉลาดผิดปกติ  การที่เรานั้นบางทีรู้ไม่ทันคนอื่นบ้าง เพื่ออะไร  เพื่อโง่ลงบ้าง ยอมถอยลงบ้าง ปกติเวลาพบเรื่องราวอะไรก็ลุยอย่างเดียวเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคนสู้ไม่ถอย เป็นคนอารมณ์ดี  แต่ถ้ามีอะไรขัดใจ ก็สู้ไม่ถอย จริงหรือไม่ (จริง)  ตอนที่เราสู้ไม่ถอย ตอนนั้นเราเป็นคนอารมณ์ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แล้วเราบอกว่าเราเป็นคนอารมณ์ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หลายๆ คนเป็นคนที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เราชมตัวเองมาก แต่เวลาชมคนอื่นชมจริงใจหรือเปล่า
วันนี้มาพบกันต้องมาด้วยความสุขใจ จริงหรือไม่ (จริง)  แม้ว่าชีวิตของคนเรานั้น ยังมีหลายๆ เรื่องที่ยังมีความทุกข์อยู่ แต่เราต้องอยู่ด้วยความสุข จริงหรือเปล่า (จริง)  สมมุติว่าจิตใจของเรานั้นมีความทุกข์อยู่แต่เวลาพบเจอคนอื่น เรายิ้มให้ เราทำท่ามีความสุข  แสดงว่าเราเป็นคนที่หน้าไหว้หลังหลอก    เสแสร้งแกล้งทำหรือเปล่า (ไม่ใช่)  การที่เรามีความทุกข์ แต่ว่าเรายิ้มให้ผู้อื่นก็ไม่ได้เป็นการเสแสร้งแต่อย่างใด จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ใช่หมายความว่าเมื่อยามเรามีทุกข์ เราต้องแสดงออกอย่างคนที่ทุกข์ใจเสมอ  เมื่อยามเรามีทุกข์เราต้องรู้จักขจัดความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้จักว่าควรเอาความทุกข์ไว้ตรงไหน แล้วเอาความสุขไว้ตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าความทุกข์ทำให้เราตื่นตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าหากว่าเราไม่เคยป่วย เราจะหันมาดูแลสุขภาพตัวเองไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่เคยเจ็บจากการถูกมีดบาด เราจะระวังมีดไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่เคยทุกข์จากการถูกคนอื่นทำร้าย เราจะรู้จักที่จะไม่ทำร้ายคนอื่นหรือไม่ (ไม่รู้จัก)
วันนี้ถ้าสิ่งที่เราเจอทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ  เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่ต้องการสิ่งใด เราต้องไม่ให้สิ่งนั้นกับคนที่อยู่รอบตัวเรา จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ได้เราก็เป็นคนที่ดีมากขึ้น  แต่การที่เราจะปฏิบัติธรรมนั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำบ่อยๆ ทำทุกวัน  อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นว่าการปฏิบัติธรรมคือการที่เราต้องขัดใจตัวเอง เพราะถ้าเลือกได้ เชื่อแน่ว่าไม่มีใครเลือกขัดใจตัวเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ไม่มีใครเลือกที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองไม่ปรารถนา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ทำไมเราจึงยังต้องทำในสิ่งนี้ ทำไมเราต้องขัดตัวเอง ทำไมเราต้องมาขัดเกลาตัวเอง (เพื่อลดกิเลสตันหา)  ทุกๆ ที่ที่มีบันไดคือที่ๆ พาไปในที่สูงขึ้น  บันไดที่ต่อเป็นเนินขึ้นสูงมากขึ้น คือที่ๆ พาเราสูงมากขึ้น สมมุติว่าทุกคนมีบันไดขาขึ้น ถ้าเปรียบไปแล้ว บันไดที่อยู่ตรงหน้าศิษย์มีความชัน เราต้องออกแรงก้าวขึ้นมา จริงหรือไม่ (จริง) บางคนเป็นก้าวที่สูง บางคนเป็นก้าวที่เตี้ย ไม่เท่ากัน
ฉะนั้นการที่เราจะก้าวขึ้นไปสู่ที่ๆ ดีกว่าจึงจำเป็นต้องมีอะไรมาขัด แล้วให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ก็เหมือนเอาความสูงนั้นมาขัดเราไว้ แล้วเราจำเป็นต้องออกแรงมากกว่าเดิมจริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเราออกแรงมากกว่าเดิม เราก็จะได้ในสิ่งที่ดีกว่าเดิม  เมื่อเราออกแรงในการที่จะไปแก้ไขตัวเอง เราก็จะได้ในสิ่งที่ดีขึ้น  ถ้าเราออกแรงในการที่จะตามใจตัวเองทุกเรื่องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ถ้าเราออกแรงในการตามใจตัวเองทุกเรื่องเราก็จะไม่ได้สิ่งที่ดีมากขึ้น
เพราะฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะ อาจารย์ถึงบอกว่าการฟังเป็นเรื่องง่าย แต่การกลับไปทำเป็นเรื่องยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนมีชีวิตที่เปรียบเสมือนสนามสอบตัวเองอยู่แล้ว  เราแพ้ชนะทุกๆ วันเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ส่วนใหญ่ก็จะแพ้ด้วยซ้ำ เราแพ้นี่แพ้อะไร (แพ้ใจตัวเอง)  เราแพ้นี้ให้กับจิตใจของตัวเอง เราโกรธจนไปว่าคนอื่น เราก็แพ้ตัวเอง  เราเกิดความรู้สึกเกลียดเขา ไม่ชอบเขาเราก็แพ้ตัวเอง  เรารู้สึกรักคนนี้มากเลย รู้สึกชอบใจมาก ทุกอย่างดีไปหมด เราก็แพ้ใจตัวเอง  มิได้แพ้สิ่งอื่นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคิดว่าเราควรที่จะเอาชนะจิตใจตัวเองไหม (ควร)  เอาชนะเพื่ออะไร (เพื่อความสุขในใจ, เพื่อลดละกิเลส, เพื่อให้จิตใจสะอาด)  สังเกตว่าทุกๆ คนก็ตอบเหมือนๆ กันคือเอาชนะจิตใจตัวเองเพื่อจิตใจตัวเอง แสดงว่าใจของเรามีอยู่สองใจ คือใจที่ตามใจตัวเอง ใจที่เห็นแก่ตน ใจที่ดื้อรั้น ใจที่มีอารมณ์  อันนี้เป็นใจหยาบใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นใจอย่างหยาบ คือเกิดขึ้นทันใดแล้วก็เป็นใจดวงนั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในโอวาทกลอนนำอาจารย์ให้ไว้ว่า
มาขัดเกลาตัวเองอย่างละเอียด
แสดงว่าในคนทุกคนนั้นมีความละเอียดอยู่ อันที่จริงแล้วหลายๆ คนที่บำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี่เป็นคนที่บำเพ็ญธรรมได้ดี เป็นคนที่รู้จักตัวเอง และเป็นคนที่รู้จักแก้ไขตัวเองอยู่เสมอ  เพียงแต่ว่ากิเลสอย่างหยาบก็ขัดไปแล้ว แต่ยังมีกิเลสอย่างละเอียดอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เอาชนะยากมาก  การจะเอาชนะกิเลสอย่างละเอียดก็ต้องมีจิตใจที่ละเอียดมากขึ้น  ถามว่าตอนนี้จิตใจเราละเอียดหรือยัง (ยัง)  แต่เวลาคิดมาก ก็คิดจนละเอียดยิบเลย  ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากว่าวันนี้อาจารย์อยู่เลยเที่ยงไปถึงบ่าย หิวข้าวหน่อยได้หรือเปล่า (ได้)  อยู่กับอาจารย์ดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วอาจารย์อยู่กับศิษย์ดีหรือเปล่า (ดี)  แต่อาจารย์มีลูกศิษย์เป็นปุถุชน สามร้อยหกสิบห้าวันไม่มีวันไหนไม่มีอารมณ์ ไม่มีวันไหนที่รู้สึกว่าพอใจในตัวเอง ไม่มีวันไหนที่มีความสุขอย่างแท้จริง  ที่เป็นอย่างนี้เพราะใคร (เพราะตัวเอง)  เราขัดเกลากิเลสนั้นเพื่ออะไร เราเอาชนะตัวเองเพื่อตัวเอง
เราต้องมาขัดเกลากิเลสที่มีอยู่อย่างละเอียดในตัวของเรา ในบางคนที่บำเพ็ญธรรมแต่ยังไม่ปฏิบัติธรรม การขัดกิเลสก็คงจะต้องมากเพียงพอ แต่ในบางคนที่บำเพ็ญธรรมและปฏิบัติธรรมแล้วแต่ยังมีกิเลสอยู่ ต้องหัดที่จะมาเอาชนะกิเลสอย่างละเอียดของตัวเอง
อารมณ์ที่อาจารย์เขียนไว้บนกระดานมีอยู่สี่อย่างก็คือ โกรธ เกลียด โลภ รัก ทั้งสี่อย่างนี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เกือบทุกวันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  โกรธ เกลียด โลภ รักเป็นอารมณ์ที่หยาบ แต่บางคนนั้นก็ตัดไปพอประมาณแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดไป
ก่อนที่จะเกิดเป็นอารมณ์โกรธคืออะไร คือความหงุดหงิด ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่บำเพ็ญผ่านไปสิบปีแล้ว แต่ตัวเองยังชอบหงุดหงิดบ้าง  แล้วก่อนที่จะมาเป็นอารมณ์เกลียดคืออะไร เมื่อสักครู่บอกว่าก่อนอารมณ์โกรธคือหงุดหงิด  ก่อนอารมณ์เกลียดคือรำคาญ เป็นหรือไม่เป็น (เป็น)
วันนี้อาจารย์จะพูดกลับตาลปัตร ปกติแล้วอาจารย์มักบอกศิษย์ว่าให้ศิษย์นั้นตัด รัก โลภ โกรธ เกลียด อันนี้ศิษย์ได้ยินประจำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้พูดย้อนกลับมาหน่อยหนึ่ง คือก่อนที่จะเป็นโกรธ ก่อนที่จะเป็นเกลียด  เพราะว่าศิษย์อาจารย์หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่รู้จักตัด ตัดแต่อารมณ์อย่างหยาบไปแล้ว แต่อารมณ์อย่างละเอียดที่เกิดก่อนหน้าไม่ตัด  คือตัดแล้วเหลือราก ถอนหญ้าเหลือรากไว้ ในที่สุดแล้วความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเกลียดก็กลับเข้ามาแทนที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในยามที่ศิษย์จิตตก ยามใดที่ท้อแท้ เจอเรื่องที่หนักกว่าที่เจออยู่ทุกวัน อารมณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์เรียกร้องศิษย์มากกว่าเดิมไหม อาจารย์เรียกร้องศิษย์มากกว่าเดิมว่า ถ้าหากว่าศิษย์ยังเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดขี้รำคาญ  วันหนึ่งเมื่อการบำเพ็ญของศิษย์นั้นหย่อนลง ในที่สุดศิษย์ก็จะกลายเป็นคนที่มีความโกรธและมีความเกลียดจริงหรือไม่ (จริง)
แต่เราชอบให้ใครมาเตือนไหม มนุษย์โลกไม่ชอบให้ใครมาเตือน ไม่ชอบให้ใครมาเป็นกระจกเงาส่องตัวเอง  เราทนฟังคำที่คนอื่นนั้นบอกว่าเราผิดไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อไรที่คนอื่นบอกเราว่าเราผิด เราจะมีความรู้สึกว่าดิ้นรนและทุรนทุราย เราจะมีความไม่ชอบใจ และเราจะมีความคิดเข้าข้างตัวเองและปฏิเสธจริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถามศิษย์เอ๋ย ผิดมากกว่านี้นิดหนึ่ง คนอื่นเข้าใจผิดเรามากขึ้นหน่อยหนึ่ง ถูกคนอื่นว่ามากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่เราดีขึ้นได้ไหม (ได้)  การถูกคนอื่นว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่การที่ศิษย์นั้นไปว่าคนอื่น (ไม่ดี)  การที่เราไปว่าคนอื่นไม่ดี แต่การที่ถูกคนอื่นว่าเป็นสิ่งที่ (ดี)  การที่เราถูกคนอื่นว่านั้นมีอะไรให้เราฟัง มีอะไรให้เราแก้  แต่การที่เราไปว่าคนอื่นมีอะไรให้เราแก้ไหม (ไม่มี)  สิ่งที่เราไปว่าคนอื่นส่วนใหญ่ไม่ได้ไปว่าคนอื่นเพื่อมาแก้ตัวเอง แต่ว่าคนอื่นเพื่อแก้คนอื่น ที่นี้มาย้อนคำถามว่า ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี้มีใครไม่เคยว่าคนอื่นไหม (ไม่มี)  ทุกคนเคยว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นคนอื่นว่าเราเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า (ปกติ)  ทุกคนที่อยู่ที่นี้เคยถูกคนอื่นเข้าใจผิด  วันนี้เราถูกเข้าใจผิดเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  หากคิดได้อย่างนี้แล้วจะเกิดความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจหรือเปล่า (ไม่)  การถูกเข้าใจผิดก็เป็นธรรมดาของโลก ขอเพียงแต่ว่าวันนี้ศิษย์ถูกคนอื่นเกลียด แล้ววันหลังถูกคนอื่นรักเพราะว่าเราดีขึ้น แต่ถ้าวันนี้เราถูกคนอื่นรักแล้ววันหลังเราถูกคนอื่นเกลียดดีไหม (ไม่ดี)  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะได้มาก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติจริงไหม (จริง)  ทุกวันนี้ทุกคนนั้นรักเราไหม ทุกวันนี้มีคนที่รักเราและเกลียดเราจริงหรือไม่ (จริง)  เป็นธรรมดาของชีวิตหรือเปล่า (เป็น)  แล้วชีวิตนี้มีทุกข์เป็นธรรมดาหรือเปล่า ความทุกข์เป็นของดีหรือไม่ (ไม่)  แสดงว่ายังไม่แจ้งใจในอนิจจัง ถึงบอกว่าความทุกข์เป็นของไม่ดี
คนหนึ่งคนมีชีวิตที่สมหวังมาก มีครอบครัวที่ดีพร้อม มีลูก มีภรรยา มีสามี มีทรัพย์สมบัติพร้อมมูล  คนๆ นี้โชคดีไหม เราอยากเป็นอย่างนั้นไหม  แต่วงกลมนั้นวาดเป็นวง เมื่อมีดีย่อมมีไม่ดี  เมื่อวันหนึ่งเขาสูญเสียทุกอย่าง  ลูกที่เคยดี สามีที่เคยดี อาจจะจากกันไปด้วยโรคภัย อาจจะจากกันไปด้วยการที่ไม่มีเงินทอง หรืออาจจะจากกันไปด้วยมีใครสักคนหนึ่งหลงผิด  แล้วความสมบูรณ์แบบนี้กลายเป็นลมไป ถามว่าคนๆ นี้รับได้ไหม (ไม่ได้)  คนๆ นี้รับไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  แต่อีกคนหนึ่งบ้านลำบาก ทุกอย่างที่ต้องใช้ ต้องขวนขวาย ต้องออกแรง แล้วจึงได้ทุกอย่างมา  ลูกได้เรียนก็เพราะเรายังทำงาน ภรรยาและสามียังมีข้าวกินก็เพราะเรานั้นยังทำงาน ทุกคนยังมีความสุขก็เพราะว่ารู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน  แล้ววันหนึ่งค่อยๆ รวยขึ้นมา หรือค่อยๆ มีฐานะ ค่อยๆ มีความสมบูรณ์แบบขึ้นมา ถามว่าคนๆ นี้เกิดความรู้สึกหยิ่งผยองกับสิ่งที่ได้มาหรือไม่ (ไม่)  เขาก็คงไม่หยิ่งผยองเพราะว่าเขาค่อยๆ สั่งสมมาใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในวันนี้สิ่งที่ทุกคนคาดหวังก็คืออยากที่จะได้สิ่งที่เป็นความสุขอย่างสมบูรณ์  แต่ถามว่าความสุขอย่างสมบูรณ์แบบที่อยากจะได้นั้นเป็นความสุข  แต่ความสุขเมื่อพังทลายลงกลายเป็นอะไร (ความทุกข์)  แต่ความทุกข์เมื่อพังทลายลงไปกลายเป็นอะไร (ความสุข)  ถามว่าเอาอะไรดี ไหนใครเลือกความทุกข์ยกมือขึ้น ไหนใครเลือกความสุขยกมือขึ้น (ให้ปล่อยวางให้วางเฉย)  เวลามีคนมาตบหน้าเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ไหม  ถึงบอกว่าพูดง่ายทำยาก คนที่เลือกความทุกข์อาจารย์บอกให้ ทุกวันนี้ทุกข์อยู่หรือเปล่า (ทุกข์)  นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์เลือกแล้ว แปลว่าอะไร อาจารย์กำลังจะบอกว่าชีวิตของศิษย์ทุกวันนี้เป็นชีวิตที่ดีอยู่แล้ว เป็นชีวิตที่เหมาะสมกับการเริ่มต้น เพราะว่าทุกคนไม่ได้เกิดมา บนกองความสุข เพียงแต่ว่าอย่ามองความทุกข์เป็นความทุกข์  อย่ามองความทุกข์มันขมใจ อย่ามองความทุกข์มันเหนื่อยใจ อย่ามองความทุกข์แล้วหนักใจ อย่ามองความทุกข์เป็นยาขม ให้มองความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีที่มีอยู่  แค่มองเท่านี้ศิษย์ก็มีความสุขมากขึ้นจริงหรือไม่ (จริง)  เป็นความสุขที่ดียิ่งกว่าตอนที่ศิษย์สุขอีก จริงหรือเปล่า (จริง)
ถามว่าตอนนี้เรามีชีวิตที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราไม่ได้เจ็บป่วยจนอาการหนักลุกไม่ไหว วันนี้เราไม่ได้กินข้าวไม่ลง วันนี้เราไม่ได้เป็นคนที่นอนไม่หลับ วันนี้เราไม่ได้เป็นคนที่เจ็บป่วย  วันนี้เราเป็นคนที่มีอาการครบบริบูรณ์ วันนี้ยังพูดได้ ยังฟังได้ ยังมองเห็น วันนี้ดีที่สุดหรือยัง (ดี)  สมบัตินอกกายเป็นสิ่งที่หาเมื่อไรก็ได้ แต่สมบัติภายในที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง คือความรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้ เพื่อต้องการให้ทุกคนพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใครแม้แต่คนเดียว  แม้เราโง่ เราก็โง่อย่างคนที่มีความสุข  เราจน ก็จนอย่างคนที่มีความสุข เราหิว ก็หิวอย่างคนที่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องพอใจในชีวิตของตนเองที่มีอยู่ เราจึงจะสามารถที่จะยืนอยู่  ทุกวันนี้เวลาลุกขึ้นยืนก็ยืนอยู่ แต่ใจยืนอยู่หรือเปล่า  ใจถูกคนว่าหน่อยก็โยก ใจถูกทำให้ทุกข์หน่อยก็โยก จริงหรือเปล่า (จริง)
พื้นที่ใต้เท้าเราที่มีประโยชน์ที่สุดคือพื้นที่อยู่ตรงไหน  พื้นดินที่เหยียบอยู่ตรงไหนมีค่าที่สุด พื้นที่อยู่ใต้เท้าเรามีประโยชน์ที่สุด  แต่จะบอกว่าขุดพื้นตรงที่ไม่มีประโยชน์ทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  ในที่สุดแล้วเราจะยืนไม่อยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นในการที่เกิดเป็นคน หลายๆ เรื่องทำลงไปอย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไร บางที่การที่เราอยู่กับบ้าน อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนรอบข้าง การพูดคำว่า ขอบคุณ  ทั้งๆ ที่เขาทำให้เรานิดเดียว มีประโยชน์ไหม (มี)  การพูดว่า เหนื่อยไหม หิวไหม  คำบางคำเราพูดไม่ใช่พูดเพราะเราเสแสร้ง แต่คำบางคำนั้นจำเป็นต้องพูด เพื่อเติมเต็มในสภาพจิตใจของทุกคน  ต้องพูดคำที่ไม่มีประโยชน์เพื่อให้เกิดประโยชน์  แม้ตัวเราเองก็เหมือนกัน วันนี้เราอาจจะมองว่าเราเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เราตายไปก็ไม่มีอะไร เรามักจะเห็นตนเองไม่มีคุณค่า ชอบประณามและต่อว่าตนเอง  แต่อาจารย์มองศิษย์ว่าเป็นคนไม่มีประโยชน์ที่มีประโยชน์ที่สุด
การทำงานธรรมะ บำเพ็ญธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ไม่มีแรงก็เดินหน้าไม่ได้  การบำเพ็ญนั้นบำเพ็ญที่ใจ การปฏิบัติธรรมนั้นปฏิบัติที่บ้าน ลองนึกไปซิว่าบ้านของเราเป็นที่ปฏิบัติธรรมหรือเปล่า หรือว่าบ้านของเราเป็นสนามรบ  ทำอย่างไรดีจึงจะเปลี่ยนสนามรบมาเป็นสนามหญ้าไว้สำหรับการนั่งสนทนาธรรม (ทำเป็นสนามรัก) สนามรักก็ไม่ดี รักกันมากๆ ก็ทะเลาะกันจริงหรือไม่ (จริง)  ทุกวันนี้ทะเลาะกันก็เพราะว่าบางทีรักมากไปจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนได้ เราไม่ได้เกิดมาลำพังในโลกนี้แต่เพียงผู้เดียว ทุกๆ วันทุกๆ เวลาเราต้องออกไปเผชิญผู้คน  ถ้าหากเป็นคนที่แต่งงานแล้ว เราต้องเจอหน้าคนอื่นตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาเลย ทุกๆ วันเราต้องเจอหน้าคนไม่ต่ำกว่าสองคนขึ้นไป จริงหรือไม่ (จริง)  คนสองคนเมื่ออยู่ด้วยกันถามว่าเราให้เขายอมหรือเรายอม (เรายอม)
มีคำอยู่สามคำเป็นคำใกล้ๆ กัน แต่ความหมายต่างกันมาก คือ หลบ หลีก เลี่ยง
หลบ หมายถึงอะไร ทุกๆ วันเราต้องเจอคนมากกว่าหนึ่งคน แต่ส่วนใหญ่มักมีอย่างน้อยหนึ่งคน ถ้าเราอยู่กับคนอื่นจะให้เขายอมหรือให้เรายอม  ถ้าหากว่าให้เขายอม เราก็ต้องไปคุมเขา ในขณะที่เราก็ยังคุมตัวเองไม่ได้เลยจริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นการที่เราคิดที่จะไปคุมคนอื่นจึงเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก  ถ้าอยากมีชีวิตที่เหนื่อยน้อยกว่านี้ต้องหัดที่จะไปคุมคนอื่นน้อยๆ แม้กระทั่งการคิดแทนคนอื่น  บางทีเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเปลี่ยนเขา บอกให้เขาทำเขาก็ไม่ยอมทำตาม แม้กระทั่งคิดแทนคนอื่นยังเหนื่อย  ถ้าต้องพูด ต้องทำแทนคนอื่นยิ่งเหนื่อย จริงหรือไม่ (จริง)  คำสามคำนี้ การหลบเป็นเรื่องทำได้ง่ายมาก แต่ไม่สามารถหลบตัวเองพ้น  เมื่อไรที่เราเจอสิ่งที่เราหลบ อารมณ์ของเราก็จะเหมือนกับระเบิดลง เพราะฉะนั้นการหลบจึงเป็นการที่เรายังเป็นผู้ที่ทำใจไม่ได้ จึงใช้คำว่าหลบ
คำว่า หลีก นี้ อาจารย์จะยกนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีคนอยู่คนหนึ่งเดินไปเก็บน้ำผึ้งป่ามาจากในป่า แล้วเขาต้องการเดินไปขายน้ำผึ้งป่าในเมือง  ส่วนผู้ชายอีกคน บ้านอยู่แถวๆ ชานเมือง ต้องการจะไปเก็บฟืนในป่า ในระหว่างทาง ทั้งสองคนเดินไปเจอกันที่สะพาน  ทำอย่างไร จะให้ใครยอมก่อน (ให้คนเก็บน้ำผึ้ง, ให้คนเก็บฟืน)  ที่ศิษย์ตอบมานี้แปลว่าเรากำลังคิดแทนคนอื่น  จริงๆ แล้วในนิทานเรื่องนี้ใครจะเป็นคนยอมก่อนเราก็ไม่รู้  แต่อาจารย์แค่สมมุติให้ฟังว่า เมื่อปะทะเจอหน้ากันต้องมีการหลีก หลีกคือเจอกันแต่ต้องรู้จักที่จะหลีกตัวเองออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่ามนุษย์มักมีความคิดซับซ้อนกว่านั้น เรามักมีความคิดว่าคนขายน้ำผึ้งต้องรีบไปก่อนที่ตลาดจะวายใช่ไหม หรืออาจจะคิดแทนคนตัดฟืนว่า คนตัดฟืนต้องรีบไปก่อนที่ฟ้าจะมืดเสียก่อน เพื่อให้เขาไปตัดฟืนได้มากๆ เขาจะได้หาเงินได้มากๆ  อันนี้คือการที่เราใช้ความคิดมากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนอยู่ในภาวะที่ใช้ความคิดมากเกินจำเป็น บางทีบางเรื่องไม่ต้องคิดแต่เราก็คิด อันนี้เรียกว่าคิดมาก  แล้วคิดมากดีไหม (ไม่ดี)  คำพูดบอกว่า คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ  ถ้าหากว่าใครเป็นคนที่ชอบคิดมากแล้วเข้าเนื้อก็แสดงว่าเป็นคนฉลาด แต่คำว่าฉลาดในประโยคนี้มักจะเป็นคนที่เสียเปรียบ
อีกคำหนึ่งคือคำว่า เลี่ยง เป็นอย่างไร  เมื่อเราต้องเจอกับบุคคลอื่น สมมุติว่า เรามีความไม่ชอบใจในตัวเขาอยู่ เวลาที่เราเจอหน้าเขา เราจะทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เราอาจจะทำใจไม่ได้ จึงสอนคำว่าเลี่ยงไว้ด้วย เลี่ยงนี้ก็คือการไม่เจอ คล้ายกันกับคำว่าหลบ แต่คำว่าเลี่ยงเป็นการได้เจอแต่เราไม่อยากเจอ
ไหนใครว่า หลีก หลบ เลี่ยง การยอมให้คนอื่นทำได้ยาก ยกมือขึ้น  ถามว่าที่บอกว่ายากลองทำหรือยัง ส่วนใหญ่คนมักยอมคนเพราะว่าถูกบังคับให้จำยอม ถูกหรือไม่ (ถูก)  คนจะเลี่ยง คนจะหลีก ก็ต่อเมื่อสุดวิสัยเท่านั้นเอง  แต่ว่าถ้าหากว่าเลี่ยงหลบหลีกตั้งแต่ก่อนที่เกิดปัญหาขึ้น โดยส่วนใหญ่นั้นเราไม่ยอม จริงหรือไม่ (จริง)  การที่เราไม่เคยทำ แล้วเราบอกว่าเราทำไม่ได้ เป็นการขาดทุนไหม เป็นการขาดทุนตั้งแต่คิดเลย
เพราะฉะนั้นศิษย์ลองทำดู ถ้าหากว่าสิ่งที่เป็นการเรียกร้องให้ศิษย์ปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องยากเกินไป  อาจารย์จะบอกให้ว่า ปุถุชนในโลกนี้มีเยอะ คนที่เป็นพุทธะในคราบปุถุชนนั้นมีน้อย และอาจารย์ก็หวังว่าจะเพิ่มผู้ที่มีจิตใจเมตตาและเป็นพุทธะในโลกนี้ให้มีมากยิ่งขึ้น  อย่างน้อยศิษย์ก็เป็นคนที่รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดียิ่งกว่าคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเป็นคนที่รู้มากกว่าคนอื่นแต่ทำน้อยกว่าคนอื่น คนๆ นี้ไม่ได้เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้มากกว่าคนอื่นและทำมากกว่าคนอื่น คนอื่นเขาไม่รู้ เขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่า เรารู้แต่เราไม่ทำ แสดงว่าเราใช้ไม่ได้  เรารู้มากกว่าแต่เราอดทนน้อยกว่า เรารู้มากกว่าแต่เรายอมคนอื่นน้อยกว่า อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะรู้มากกว่าคนอื่น จริงหรือไม่ (จริง)
โลกนี้ดำเนินไป ทุกๆ วันเวลาเท่าเดิม แต่เราเหมือนมีเวลาน้อยลงจริงไหม (จริง)  เราเหมือนมีงานมากขึ้นทำงานมากขึ้นแต่ไม่ค่อยมีคุณภาพ ทำงานมากคุณภาพน้อยลงความสุขทางใจน้อยลงจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าเวลาน้อย เราจงใช้เวลาทุกๆ เสี้ยวนาทีให้มีค่า ให้เวลามีค่ามากกว่าเดิม  เมื่อเรามีเวลากินข้าวแค่นี้ ก็ขอให้กินข้าวอย่างมีความสุข เมื่อเรามีเวลาที่จะทำอะไรเท่านี้ ก็ขอให้ทุกๆ อย่างที่เราทำ ทำด้วยความตั้งใจ ดีหรือไม่ (ดี)  ทำให้ชีวิตของตนเองมีคุณค่ามากขึ้น ทำจิตใจของตัวเองนั้นให้มีค่ามากขึ้น ทำได้ไหม (ได้)  อาจารย์รับประกันว่าทุกๆ อย่างที่พูดไม่ได้พูดเรียกร้องเกินกำลัง แต่ทุกๆ อย่างที่พูดเรียกร้องศิษย์ในสิ่งที่ศิษย์นั้นทำได้ ปัญหาคือมีคนที่รู้แต่ไม่ทำอยู่มากมาย ซึ่งหวังว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่รู้แล้วทำ
เราต้องเป็นคนที่มีความหยุมหยิมกับคนอื่นให้น้อยลง เราต้องเป็นคนที่จู้จี้น้อยลง  ถ้าหากว่าเรานั้นไปหยุมหยิมกับคนอื่น เราจะหาเรื่องใส่ตัว เราจะเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวมาก  เพราะฉะนั้นอย่าหยุมหยิมกับคนอื่น  แต่ให้รู้จักหันมาเอาใจใส่ในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของชีวิตตัวเอง เพราะว่าการที่เราไปหยุมหยิมกับคนอื่นทำให้คนอื่นรำคาญและหาเรื่องเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักที่จะหยุมหยิมกับตัวเอง เรื่องใหญ่จะกลายเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าเราหยุมหยิมกับคนอื่นเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่  อยากให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายต้องหันมาหยุมหยิมกับตัวเองสักหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)
บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยที่อยู่ในชีวิตของเรา ความเคยชินบางเรื่องของเรา  ความเคยชินนั้นสามารถกำหนดอนาคตของเราด้วย เพราะว่าเราทำสิ่งใดจนเป็นนิสัยความเคยชินจะทำให้เราเป็นคนที่มีชะตาชีวิตอย่างนั้น อย่างเช่น เราบ่นคนอื่นจนเป็นเรื่องความเคยชินปกติ  ศิษย์คิดว่าคนขี้บ่นชะตาชีวิตเป็นอย่างไร มีคนอยากเข้าใกล้ไหม (ไม่มี)  มีคนชอบฟังไหม (ไม่ชอบ)  คนๆ นี้โดดเดี่ยวหรือไม่ (โดดเดี่ยว)  แล้วตอนนี้เราโดดเดี่ยวไหม
ความขี้บ่นตอนนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะคนที่เป็นคนแก่ แต่เดี๋ยวนี้ทุกเพศทุกวัยก็เป็น ความจู้จี้ทุกคนเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงหัดที่จะจู้จี้กับใคร (ตัวเราเอง)  เรามาสังเกตตัวเอง จู้จี้กับตัวเองสักนิดว่าทำไมเราต้องไปบ่นเขา แทนที่จะมาคิดว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น  ชีวิตของตนตนต้องกำหนด ต้องกำหนดด้วยความเข้มแข็ง อย่าเป็นคนที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล  อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่อ่อนไหวมาก  เคลื่อนไหวไม่มีทิศทาง หาหลักการไม่ได้ เราควบคุมไม่ได้  แต่ถ้าหากว่าเรามีสติมากขึ้นเราก็จะควบคุมชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น เราชอบที่จะชี้ขาดคนอื่น  บางคนไม่ชอบใช้นิ้วชี้ก็ใช้ตา ไม่ชอบใช้ตาก็ใช้ปาก เราชอบที่จะชี้ขาดคนอื่น ชอบที่จะติและชมคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมุติว่าวันนี้มีคนฉลาดมากๆ เป็นคนของเรา คนนี้ชอบติและก็ชมเรา  บอกว่าเราทำสิ่งนี้ผิดสิ่งนั้นผิด ดีหรือไม่ดี (ดี)  ถ้าหากว่าศิษย์คิดได้ ย่อมเป็นคุณ แต่โดยส่วนใหญ่คนนั้นคิดไม่ได้  เพราะฉะนั้นอาจารย์จะสอนว่าอย่าเป็นคนที่ไปชี้ขาดใคร  หากว่าศิษย์มีลูกมีหลาน มีคนที่บำเพ็ญร่วมกัน อย่าเที่ยวไปชี้ขาดใครบ่อยๆ เพราะว่าการชี้ขาดคน ทำให้คนนั้นไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความสร้างสรรค์ ทำให้เป็นคนที่คิดอะไรไม่ออก ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกอยากให้ลูกโตก็ต้องปล่อยให้ผิดบ้างถูกบ้าง ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยพูดว่าผิดหรือถูก เพราะว่าผิดหรือถูกนั้นขึ้นอยู่กับการมองของคนเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไว้ใจ หู ตาสองข้างของเรามาก เราไว้ใจอายตนะของเรามากว่า  ทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  แต่แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดถูกและไม่มีสิ่งใดผิดตลอดเวลา
บนโลกอันหลากหลาย บนจิตใจอันซับซ้อนของมนุษย์ ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นในทุกที่  หากว่าบางวันศิษย์มีเรื่องที่สมปรารถนา อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่านั่นเป็นเรื่องวาสนา  คนนั้นไม่สามารถที่จะสมหวังได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ผู้บำเพ็ญธรรมต้องหัดทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เนื่องด้วยทุกคนมีบุญและกรรมไม่เท่ากัน ธรรมะมีหลายรูปแบบ ธรรมะสามารถให้วิธีการมากมาย  ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ธรรมะก็ให้ประโยชน์แก่ศิษย์ได้  ขอเพียงแต่ว่าต้องมองเป็น ต้องรู้จักคิด รู้จักมอง  ด้านกลับของสัจธรรมก็ยังเป็นสัจธรรมอยู่  ขอให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองให้มาก อย่าเสียทีที่เกิดมาหนึ่งชาตินี้ แล้วใช้ชีวิตวันๆ ไปอย่างเปล่าประโยชน์  คนหลายคนเกิดมาอย่างไม่ธรรมดา มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ คนหลายๆ คนเกิดมาอย่างคนที่พร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่มาทำลายสิ่งที่เป็นบุญในชาตินี้ บางคนเกิดมาพร้อมกับกรรมมากมาย  แต่อาจสร้างบุญได้ในชาตินี้  อย่าหมดหวัง อย่าท้อแท้ อย่าทุกข์ใจ
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท บำรุงธรรมสู่คน เชาวน์สู่งาน
อันนี้เป็นโอวาทที่ศิษย์วงไปเมื่อครู่นี้  ทำไมอาจารย์ให้คำนี้  บำรุงแปลว่าอะไร บำรุงแปลว่าต้องเพิ่ม อาจารย์มองเห็นศิษย์ที่นี่ทุกๆ คนเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมีธรรมะ แต่ศิษย์ยังรู้จักธรรมะที่มีอยู่ในตัวเท่านั้น การที่จะนำธรรมะไปให้ผู้อื่น ยังต้องเสียสละมากกว่านี้ ยอมเหนื่อยมากกว่านี้ ธรรมจึงจะสามารถออกจากจิตของเราไปสู่จิตคนอื่นได้  ธรรมะจึงจะสามารถมองเห็นได้ในตัวเราด้วย การมอบธรรมะให้ผู้อื่นเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด  แต่การที่เราจะไปให้ผู้อื่นได้ ศิษย์คิดว่าสิ่งที่ดึงมาจากข้างในแล้วนำไปให้ผู้อื่นยากไหม  คนรู้หน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นการที่เราจะนำสิ่งที่ดีๆ ที่อยู่ในใจของเราออกไปให้ผู้อื่นจึงเป็นเรื่องลำบากมาก  ในขณะที่เรานำสิ่งที่ดีๆ ของเราไปให้ผู้อื่นอย่าได้ติดในสิ่งที่ไม่ดีออกไปด้วย  อย่าขยันใช้กิเลสอย่างละเอียดของตัวเองให้มันหลุดออกไปด้วย
เชาวน์สู่งาน อาจารย์มองว่าศิษย์มีใจ แต่ศิษย์ทำงานไม่ค่อยเป็น  งานธรรมะก็เหมือนกับงานหลายๆ งาน ต้องคิด ต้องวางแผน ต้องบริหาร ฉะนั้นคำว่า เชาวน์ นี้หมายถึงอะไร  หมายถึงปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ มีเชาว์อีกตัวหนึ่งที่ชอบใช้ผิดบ่อยๆ หมายถึงว่าเร็ว หมายถึงว่าไว แล้วศิษย์ก็ชอบใช้แต่ไวด้วย แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ใช้เชาวน์อันหมายถึงปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ  เพราะฉะนั้นในโอวาทซ้อนโอวาทนี้มีอยู่สองเรื่อง หนึ่งเรื่องคน สองเรื่องงาน  อาจารย์อยากให้สามารถที่จะบำรุงธรรมไปสู่คนด้วย และในงานที่ตัวเองทำก็ให้มีเชาวน์ด้วย
อาจารย์บอกแล้วว่าศิษย์หลายๆ คนนั้นมีใจ แต่ยังทำงานไม่เป็น  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นพิจารณาให้มากกว่านี้ ตั้งแต่สมัยก่อน กษัตริย์ในสมัยโบราณ หากว่ากษัตริย์องค์ใดมีคนที่อยู่ข้างกายเป็นผู้ที่ตักเตือนพูดถึงข้อบกพร่องของท่านอยู่บ่อยๆ กษัตริย์องค์นี้จะประสบความสำเร็จง่ายขึ้น  ฉะนั้นในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์หากว่าศิษย์อยู่ข้างหน้าแล้วไม่มีใครบอกศิษย์เลยว่าศิษย์นั้นไม่ดีตรงไหน แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่ไม่รับฟังผู้อื่น แล้วเราจะก้าวหน้าได้อย่างไร  การทำงานธรรมะให้เดินไปข้างหน้า ศิษย์ต้องออกแรงทั้งภายใน ออกแรงทั้งภายนอก คิดพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ริ้วรอย ตีนกา ความเครียด เกาะกินจิตใจศิษย์ทุกคน แต่อย่ามึน อย่าเมา อย่างง
วันนี้อาจารย์อยากจะพูดอีกสักนิดหนึ่งก็กลัวว่าศิษย์นั้นจะหิวข้าว สังขารของมนุษย์นั้นมีความจำกัดมาก  รักษาสังขารนี้ให้ดีและรักษาใจนี้ให้ดีด้วย วันนี้เราศิษย์อาจารย์ในที่สุดก็ต้องจากกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นให้โอกาสตัวเอง ไม่ว่าศิษย์จะเคยทำผิดมามากมายแค่ไหน ให้อภัยตัวเอง ไม่ว่าชีวิตศิษย์จะทุกข์ยากแค่ไหนต้องสู้  ทุกๆ ช่วงจังหวะในชีวิตที่ดำเนินไปอย่างยืดยาว ทุกๆ ช่วงของศิษย์ขอให้ศิษย์มีกำลังกับทุกๆ ช่วงที่ผ่านไป และทุกๆ ช่วงที่ยังมาไม่ถึง  ฝนไม่ได้ตกอยู่ทั้งวัน ไม่ได้ตกอยู่ทุกวัน คนไม่ได้มีทุกข์อยู่ทุกวัน  เวลาที่ทุกข์ก็คิดถึงอะไรดีๆ เวลา ที่มีความสุขก็ขอให้เผื่อแผ่ความสุขนั้นให้กับผู้อื่น  คนที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ คนที่ยิ่งคิดได้ก็ยิ่งมีความสุข
ศิษย์เป็นคนที่มีบุญทุกๆ คน ขอให้ความมีบุญของศิษย์ส่งผลให้ศิษย์ได้บำเพ็ญราบรื่น  ศึกษาธรรมะให้มากๆ อย่าพูดว่าเรารู้แล้วหรือที่ใครๆ พูดก็รู้แล้ว  คนรู้แล้วทำไม่ได้ น่าสงสารกว่าคนที่ไม่รู้  อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคนมาก อยากให้บำเพ็ญได้อย่างธรรมชาติ อยากให้บำเพ็ญได้อย่างสบายใจ แต่ศิษย์เอ๋ยต้องเพิ่มความสบายใจให้กับตัวเองก่อน อย่าได้เป็นคนที่หน้าอมทุกข์เหมือนอาจารย์ รักษาตัวเองให้ดีทุกๆ คนนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  บำรุงธรรมสู่คน  เชาวน์สู่งาน

          เริ่มจากตัวเองทำให้ดีทุกวัน  หากมั่นคงนับเป็นบุญญา  โดยจิตใจเข้มแข็งต่อเนื่องหนา  จะสามารถบำรุงธรรมสู่ปวงชน
          จิตที่ดีงามมีอยู่ทุกราย  แต่ไยทำดังไม่เคยรู้ตน  ชาญเชาวน์นั้นอาจฝึกฝน  ยอมรับผิดตน  คนปราชญ์คิดดีหนึ่ง 
* ถ้าสายธารไม่เนื่องไป  พระธรรมขาดช่วงไป  รู้จริงก็อย่าเก็บตัวไป  เชาวน์สู่ในงานรอบด้านปรีดา
          **กล้าหวังผลักหลังตนก้าวเป็น  สารัตถะดุจเอ็นล้าล้าก็ไม่ลา  ฝึกคิดการละจับสู่ใจ  รากฐานคงมั่นใน ผู้บำเพ็ญช่วยได้หลากหลายกลมเกลียว (ซ้ำ *,**)


ชื่อเพลง : บำรุงธรรมสู่คน เชาวน์สู่งาน
ทำนองเพลง : เชื่อฉัน

 








[๑] อจิตติ                  ความขาดสติ, ความมัวเมา
[๒] เจรียง                  ขับลำ, ขับกล่อม, ร้องเพลง
[๓] อัตถะ                  เนื้อความ, ประโยชน์, ความต้องการ
[๔] วารี                      น้ำ
[๕] เชาวน์                  ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา