วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

2549-05-05 สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย


西元二〇〇六年嵗次丙戌     四月初八日      大衆恭求仙佛慈悲指示训
วันศุกร์ที่  ๕  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๙  สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
                                         สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  สายหมอกขาวเคลื่อนคลายไม่โอบล้อม  คนตรมตรอมในจิตใจอันเปลือยเปล่า
สายลมใสสามารถคลายอากาศอ้าว       แม้เรื่องราวคับใจย่อมมีทางไป
            เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธีน้องชายหญิง  เกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา ฮวา

  ชีวิตคนใช้ยากลำบากเหลือ              ทุกทุกเมื่อจึงต้องมีสติหนา
เตือนตนเองดีกว่าให้ใครเตือนนา         แต่หากว่ายังไม่รู้ฟังคนเตือน
จงมีจิตที่เที่ยงตรงเพราะฝึกฝน           จงอดทนในสิ่งที่ยากทนหนา
เป็นมนุษย์ต้องมีสัจจะนา                  คำวาจาเป็นเครื่องวัดจิตใจหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญจึงต้องระมัดระวัง               ทำสิ่งใดต้องชั่งใจให้ลึกซึ้ง
ใช้ปัญญาหลายแง่มุมมาคะนึง             อย่าดื้อดึงอยู่ในความเคยชินตัว
อาจจะมีอายุถึงร้อยปี                     ถูกกดทับความทุกข์มีพันปีได้
หากว่ามีโอกาสเบิกบานใจ                 ไยน้องจักปล่อยผ่านไปน่าเสียดาย
ประชุมธรรมฟื้นฟูจิตของน้องท่าน        ต่างสำคัญอย่าวัดกันลาภยศถา
อันเงินทองกองจมดั่งไร้ค่า                หากมีแล้วไม่รู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร
เชิญน้องมาย้อนมองตนค้นหาตน         ความสับสนในทางโลกวางชั่วครู่
รับธรรมแล้วไม่รู้ธรรมน้องตรองดู        ดั่งนกรู้พูดเป็นแต่ไม่รู้ความ
จากวันนี้จงศึกษาธรรมะเถิด              คนประเสริฐดูที่สิ่งปฏิบัติ
อยู่ในโลกภายใต้ความจำกัด               จงเคร่งครัดเอาจริงแก้ไขตน
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                เมื่อเรียนจบยังต้องศึกษาเพิ่ม
ศิษย์พี่ดูน้องทุกท่านดั่งเพิ่งเริ่ม            เพียรเพิ่มเติมไม่ปฏิบัติก็เพิ่งเริ่มเหมือนกัน
ในวันนี้เป็นวันแรกมาฟังธรรม            ขอให้นำจิตสะอาดมองให้ชัด
อย่าได้เฝ้าจับผิดกันถนัด                  รู้ปรมัตถ์[๑]เข้าใจจึงบำเพ็ญดี
สามวันนี้เป็นเพียงก้าวแรกเริ่ม            ขอเพิ่มเติมตักเตือนน้องตั้งใจหนา
อันความรู้ไม่สำคัญเท่าความเพียรนา      หากแม้ว่ายังไม่รู้ยิ่งพยายาม
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน              
 
                                                                    ฮวา  ฮวา  หยุด





วันศุกร์ที่  ๕  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๙                                  
  พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลีต้าเซียน        

ปากพูดแต่ยุยุ  จิตไม่อาจพบสุข  ความที่คอยลูบคมใครใครย่อมหลอนผวา        ตาเหลือบมองลับลับแกล้งหลักธรรมพูดจา  เรื่องที่เข้าหูมาไม่เป็นเรื่องดีต่อใจของตน คอยตัดช่องน้อยไปให้กับตนทุกครา  วันที่ใครก็ลาไม่มีหน้าไปทวงถาม
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลีต้าเซียน              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานหงเต้า แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                              ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ชะตากรรมเล่นงานปลุกชีวิตตื่น         สูงสุดคืนสู่สามัญฝันสลาย
คนยึดมั่นจนพลั้งพะเรอไป                เตือนท่านอยู่สามัญได้เหนือโลกีย์
อวิชชาพาลืมตนหลงผิดผิด                กมลติดรูปนามเพียงปัจจัยสี่
อย่าแสวงจนค่าตนไม่มี                    บำเพ็ญดีไม่ได้ถ้าไม่เข้าใจ
พ้นหลงแล้วครองสติเรียกปัญญา         โลกตัณหารูปมายาต่างรักใคร่
เพราะไม่ครองจึงไม่เกิดวุ่นวาย           เพราะไม่มีคติไม่แบ่งแยก
ชนะใจผู้คนด้วยความดี                    พูดกระทำต้องมีธรรมสอดแทรก
ตั้งชีวิตตรงเที่ยงเป็นข้อแรก              ปัญญารู้แยกแยะแม้กรุ่นอารมณ์
ด้วยความเย็นสุขุมจนสัมผัสได้            ด้วยความงามจริงใจแฝงผสม
ยืนหยัดการบำเพ็ญถูกเพาะบ่ม            แม้ต้องขมผ่านคอหวานอุรา
กล้าแกร่งต้นไม้ใหญ่บำรุงราก             กิ่งใบมากลิดเกินจนปัญหา
อุปถัมภ์กันมาเป็นความรู้ค่า               เจริญช้าแจ้งเมื่อไปย้อนทบทวน                                                                 ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลีต้าเซียน
นั่งฟังธรรมะกันมาคงเหนื่อยกันแย่ใช่หรือไม่  (ไม่เหนื่อย) ไม่เหนื่อยหรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากี่รอบก็ถามแบบนี้ทุกรอบ แล้วนักเรียนก็ตอบว่าไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ แต่ให้เพิ่มจากสามเป็นสี่วันเอาไหม ทำไมเงียบล่ะ นั่งฟังอย่างนี้เหนื่อยหน่อยใช่ไหม (ใช่) บางครั้งปัญหาก็เกิดได้เพราะเราปากกับใจไม่ค่อยตรงกัน จริงไหม เรื่องที่ควรพูดก็ไม่ยอมพูด เรื่องที่ไม่ควรพูดกลับช่างพูด ถูกหรือไม่ (ถูก)
ยังไม่ต้องสนใจว่าเราเป็นพุทธะจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นการแสดง แต่เราลองมาคุยสนทนากันดูในเรื่องที่เราต้องพบทุก ๆ วันดีไหม (ดี) เรื่องที่พบนั้นถ้าเราสามารถผ่านไปได้ด้วยดี จบด้วยความแช่มชื่น ชื่นบานก็สามารถทำให้ชีวิตเป็นสุขได้ ถูกไหม (ถูก) ถ้าเกิดว่าเราอยู่ร่วมกับใครก็ตามแต่เรามีความระแวง เรามีการจับผิด เรามีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ เวลาอยู่ด้วยกันความรู้สึกเราเป็นอย่างไร อย่างแรกใจก็ย่อมไม่สงบสุข ถูกหรือไม่ (ถูก) อย่างที่สองทำอะไรไปก็ไม่กล้าทำเต็มที่ใช่ไหม (ใช่) อย่างที่สามไม่สงบสุขแล้วเรายังเป็นอย่างไร สร้างความทุกข์เล็ก ๆ ขึ้นในใจ ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในสังคมเราจะเลือกคิดแบบไหนเมื่ออยู่ร่วมกัน คิดอย่างดีมีสุขแล้วจบอย่างแช่มชื่นหรือคิดร้ายให้ทุกข์จบไปอย่างหม่นหมอง สามวันนี้จะคิดอย่างไรใช่หรือไม่ 
มีหลายครั้งไม่ใช่หรือที่การมองด้วยสายตาของเราก็อาจจะมองผิดพลาดได้ ความรู้ที่เราเชื่อว่าเรามีก็อาจจะวัดและประเมินคนผิดได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง) แล้วตอนนี้มั่นใจดีอยู่หรือ เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจอะไรลองคิดและก็ลองฟังดูสักนิดใช่ไหม ถ้าอยากฟัง เราก็จะพูดต่อ แต่ถ้าไม่อยากฟัง เราก็กลับดีไหม (ไม่ดี)
ถามอะไรง่าย ๆ ดีกว่านะ อะไรในร่างกายหรือตัวเราที่น่ากลัวที่สุด คิดก่อนนะ จะตอบทันทีเลยหรือ (ความคิด) ท่านอื่นล่ะ  หรือว่าทั้งตัวเราสวยไปหมด หรือว่าทั้งตัวเราดูดีไปหมด ไม่มีอะไรเลยที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุด (ใจ) ใจน่ากลัวที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอะไรดีที่สุด (ใจ) ใจน่ากลัวที่สุด แล้วก็ใจดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  มีแค่ใจแล้วก็ความคิดหรือ ความคิดนั้นดีที่สุดและก็ความคิดนั้นน่ากลัวที่สุดใช่หรือไม่ คนเราบางทีก็ไม่ต้องกลัวผีหลอก ตัวเองนั่นแหละที่เป็นผีหลอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นไปอยู่ในที่มืดหากใจเราคิดว่านั่นเป็นผี ไม่มีผีก็เกิดผีได้เพราะใจเราสร้างผีขึ้นมาก่อนถูกหรือไม่ (ถูกเพราะความคิดเราปรุงแต่งใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นเงาตะคุ่มดำ ๆ ก็คิดว่านั่นเหมือนหัว เหมือนผม กำลังแลบลิ้นใช่ไหม (ใช่) ทั้งที่ยังคิดไม่ทันเสร็จก็วิ่งหนีไปแล้วใช่หรือไม่
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าใจ และความคิด คืออะไร (กิเลส) กิเลสหรือ? อะไรเอ่ยแค่พลิกนิดเดียวก็ทำให้คนยิ้มได้ พลิกอีกนิดหนึ่งก็ทำให้คนร้องไห้ได้ (อารมณ์) ก็มีส่วนถูกนะ อารมณ์ดีก็ทำให้คนรอบข้างยิ้มได้ วันนี้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าทำให้คนหัวเราะได้ ใช่หรือไม่  แต่ถ้าวันนี้อารมณ์แย่ถูกเขาด่ามา ถูกเขาทวงหนี้มาจะมองหน้าใครก็มองได้ไม่เต็มที่ แถมชอบเอะอะหาเรื่องคนอื่นอีกใช่ไหม มีอะไรอีก (ปาก) มีปากแต่ไม่มีลิ้นพูดได้ไหม ลิ้นนี่แหละเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดและดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ลิ้นพลิกไปด้านซ้ายคนก็สามารถเอียงไปด้านซ้ายได้ พลิกไปด้านขวาคนก็สามารถเอียงไปด้านขวาได้
ถ้าหากมีแต่ลิ้น แล้วปราศจากสิ่งหนึ่งไปลิ้นนั้นก็จะไม่สามารถพลิกไปได้ดั่งใจนึก สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นเป็นอาวุธ (ปาก)  ปากหรือ (ปัญญา)  ถูกต้อง มีลิ้นก็สามารถพลิกไหวได้ แต่ไร้ปัญญาลิ้นนั้นก็ไม่สามารถเป็นอาวุธที่คมกล้า มีแต่ลิ้นที่ทื่อ ๆ นั้นก็อาจจะไม่สามารถทำร้ายคนได้ ถ้าขาดปัญญาเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าในตัวเรามีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมนุษย์เราดีร้ายไปตามพลังอำนาจของอะไร.
ท่านมาฟังธรรมะตามพลังอำนาจของใคร ของตัวเองหรือว่าความเชื่อในศรัทธาคนสนิทชิดเชื้อ ท่านมาฟังธรรมะเพราะพลังอำนาจของความมุ่งมั่นที่จะมีความดีในตัวตนหรือท่านมาฟังธรรมะตามพลังอำนาจของการบีบบังคับของคนที่เหนือกว่า (ศรัทธา) ศรัทธาในอะไร (ฟังคำสั่งสอน) ทุกคนน่าจะมาด้วยเหตุผลที่ต่างกันใช่หรือไม่ คนทางเหนือเป็นคนขี้อายใช่ไหม แต่เราก็เห็นว่ามีคนทางภาคกลางมาผสมอยู่ด้วย คำตอบไม่ได้ตัดสินว่าของใครถูกของใครผิด ทุกคนมีทางของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน กระทั่งทางของชีวิตมาพบกันแล้วต้องเดินร่วมกัน ตอนนั้นจึงตัดสินว่าใครถูกใครผิด แล้วควรจะเลือกของใครใช่ไหม (ใช่ทุกท่านจึงเหมือนกับเดินทางพบทางแยก แล้วทางแยกนั้นบังเอิญมาพบเรา แล้วพอพบเรา ท่านจะเดินกลับไปเหมือนเดิม หรือท่านจะเดินไปอีกทางที่เรากำลังจะแนะนำ แต่ก่อนที่จะเดินไปหรือก่อนที่จะถอยหลังให้ลองยืนแล้วฟังสักนิดจะเสียเปล่าไหม (ไม่เสีย) ก็ไม่เสียเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่และการแลกเปลี่ยนพูดคุยนั้นมันก็ทำให้ไม่น่าเบื่อด้วย ไม่ใช่หรือ (ใช่)   ท่านอยากจะเป็นคนที่ฟังอย่างเดียวโดยไม่มีการโต้ตอบเอาไหม (ไม่เอา) ถ้าเอาแบบนั้นเราก็จะได้เชิญคนอื่นเขามาพูดต่อ แล้วเราก็หลบถอยไปเอาไหม (ไม่เอา)
เรื่องที่คนบนโลกนี้ใคร่รู้และปรารถนาจะรู้มากที่สุดก็คือเรื่องความผิดความไม่ดีของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราชอบขยายความผิดและความไม่ดีของคนอื่นให้มากยิ่งขึ้นไปถูกหรือไม่ (ถูก) มีบ้างไหมที่มนุษย์ในโลกจะพูดสิ่งที่ดีของคนอื่นมากกว่าความไม่ดีของเขา ส่วนใหญ่จะน้อยใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมีไหมที่คนในโลกจะพยายามสรรหาฟังแต่เรื่องที่ดีมากกว่าเรื่องที่ไม่ดี ก็น้อยลงไปอีก ทำให้ทัศนคติที่เรามองโลกใบนี้มองอย่างติดลบ เราจึงมองคนในสังคมจึงมองด้วยความที่รู้สึกย่ำแย่ เพราะว่าหูของเราที่ฟังแต่เรื่องที่ไม่ดี ปากของเราที่พูดก็มีแต่เรื่องที่ไม่ดี มนุษย์จึงพูดกันไปว่า เหตุใดท่านต้องทำดีในเมื่อท่านดีคนเดียว โลกก็ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่านี้ สู้ทำชั่วไปเถอะ ทำไปแล้วโลกก็ไม่ได้เลวร้ายย่ำแย่ไปกว่าเดิม ฉะนั้นจะมาทำดีทำไม เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) เป็นไม่มากก็น้อย ตอนไหนหรือ ตอนที่พลังใจในการทำความดีหดหู่ อำนาจแห่งความดีถูกความชั่วบดบัง จึงถามตัวเองเราจะทำดีไปทำไม ทำไปไม่เห็นดี แล้วก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นดีขึ้นมาเท่าไร แถมถูกว่ากลับมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  “ทำชั่วไปเถอะคนก็มองไม่เห็น แต่ท่านเคยเห็นไหม ถ้ามีใครสักคนทำดีด้วยใจมุ่งมั่นแล้วยืนหยัดอย่างไม่ย่อท้อ ถูกคนว่าก็แล้ว ดีจนลำบากยากจนหมดเนื้อหมดตัวก็แล้ว เขาก็ยังทำดีอยู่ แล้วถามว่าไม่เบื่อบ้างหรือ ไม่เบื่อ ฉันรู้สึกว่าฉันชอบ มีความสุขที่ได้ทำ”  ถ้าได้พบคนทำดีอย่างนี้สักคน ถามใจลึกๆ  จะทำดีตามเขาไหม แล้วรู้สึกไหมว่าพลังเล็กๆ ของเขาที่เขามุ่งมั่นไม่ย่อท้อนั่นแหละเหมือนเป็นการจุดไฟแห่งความดีของเราให้ขึ้นมา จริงไหม (จริง)  ขอเพียงคนนั้นเป็นคนดีจริงๆ เถอะจะจุดประกายความดีของเราให้ลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วบางทีอาจทำให้เราอยากทำตลอดไปด้วย เพราะความดีงามของเขา ฉะนั้นเราอยากบอกท่านว่าอย่าดูถูกพลังอำนาจแห่งความดีในตัว เขาทำดีอย่างไม่ย่อท้อไม่กลัวความยากลำบาก ความดีเล็กๆ นั้นล่ะจะขยายวงแห่งความดีให้ยิ่งใหญ่ได้ เชื่อมั่น ศรัทธาในความดีในตัวเองไหม แล้วคิดไหมว่าพลังแห่งความดี ถ้าเกิดจุดขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไร แค่ยิ้ม แล้วมีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยคน รอยยิ้มนั้นล่ะจะเหมือนไม้ขีดอันเล็กๆ ที่จุดไฟต่อให้คนอยากทำดีต่อได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนเราเอาหินไปโยนในน้ำ ยิ่งหนักมากเท่าไร ยิ่งแน่นเท่าไร วงก็ยิ่งขยายกว้างเท่านั้น  แต่ถ้าเป็นโฟมที่ตกลงไปในน้ำแล้วลอย ก็จะทำให้คลื่นกระเพื่อมน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในพลังอำนาจแห่งความดีที่มีอยู่  คนที่นั่งอยู่ตรงนี้แม้จะธรรมดาสามัญ ก็สามารถสร้างความดีให้บังเกิดในโลกได้ อยู่ที่ว่าท่านจะเปิดใจรับความดีเข้ามาบ่อยๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  บทกลอนหรือบทความที่เราให้ตรงนี้เปรียบเทียบกับจิตใจของคน ถ้าวันๆ เอาแต่จับผิด วันๆ เอาแต่พูดแต่สิ่งที่ไม่ดี วันๆ เอาแต่ดูถูกคนนั้นคนนี้ ชีวิตเขาก็ต้องโดดเดี่ยวไร้คนคบหาสมาคม ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเรามีชีวิตพูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี และเลือกทำแต่สิ่งที่ดีงาม มีหรือจะเป็นคนโดดเดี่ยวในโลกได้ ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านแจ้งพระนาม
ชื่อก็เป็นเพียงชื่อนะ สิ่งสำคัญอยู่ที่การกระทำมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นมนุษย์หรือพุทธะ แต่ถ้าใจไม่สูงส่งก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เดิมเราเป็นคนร่างใหญ่ แต่มาอยู่ร่างนี้เล็กไปหน่อย เคยเห็นรูปเราไหม น่าจะเคยนะ
ฟังเรื่องธรรมะอะไรที่เข้าใจง่ายๆ กันไหม ชอบไปซื้อของกันไหม (ชอบ, ไม่ชอบ) เรื่องที่เราจะเล่านั้นเป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่มีแง่คิดไม่น้อย เป็นเรื่องของคนขายวัว
อยากยืนฟังหรืออยากนั่งฟัง ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ยังมีชีวิตจะไม่ยืนเฉยๆ หรือไม่นั่งเฉยๆ ถ้าได้ชื่อว่าสิ่งมีชีวิตก็ต้องยืนได้นั่งได้ ถ้ายืนเฉยๆ โดยไม่นั่งก็ต้องเรียกว่า ตายแล้ว หรือว่านั่งแล้วไม่ได้ยืนอีกเลย ก็ต้องเรียกว่า ตายเหมือนกัน ในวันนี้ยืนบ้าง นั่งบ้างก็คือชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยากให้ชีวิตนั่งมากกว่ายืน หรือยืนมากกว่านั่ง ให้ใครตัดสินดีว่ายืนมากกว่านั่ง หรือ นั่งมากกว่ายืน (นั่ง) นั่งมากกว่ายืน แต่ตอนนี้ขอยืนก่อนแล้วค่อยนั่งเอาไหม (เอา, ไม่เอา) ชีวิตอยู่ในมือท่านไม่ใช่อยู่ในมือเรา ตอนนี้จะยืนก่อนหรือจะนั่งก่อน ผู้สูงวัยจะยืนก่อนหรือจะนั่งก่อนดี นั่งก่อน แต่นั่งมากๆ ก็เมื่อยไม่ใช่หรือ ฉะนั้นยืนบ้างก็ดีใช่ไหม แล้วตกลงจะยืนจะนั่งดี
ถ้าอยู่ในสังคมหมู่มาก สิ่งที่เราต้องมองและถามความคิดเห็นเป็นบุคคลแรกคือผู้สูงวัย ใช่ไหม (ใช่)  เราจะยืนแล้วมองตัวเองเป็นหลักไม่ได้ ถ้าเราอยู่กับคนหมู่มาก หรือ อยู่กับครอบครัวเราต้องให้ความเคารพผู้สูงวัยเป็นอันดับแรก ถูกไหม (ถูก) ถ้าไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ จะอยู่ จะไป จะเดิน จะนั่ง   หากมีผู้สูงวัยก็ต้องถามผู้สูงวัย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถ้ามีทั้งผู้สูงวัยและหัวหน้า เราจะฟังใครดี ถ้าหัวหน้าอายุน้อยกว่าผู้สูงวัย ฟังใครดี ทุกคนต้องฟังหัวหน้า แต่หัวหน้าต้องฟังผู้สูงวัย นี่เรียกว่าการมีชีวิตแล้วรู้จักผู้น้อย ผู้อาวุโส ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่นี้ เราบอกว่าเราจะเล่าเรื่องคนขายของให้ฟังใช่หรือไม่ ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้ หากเรายกอ้างคัมภีร์โบราณที่กล่าวคำหนึ่งไว้ว่า  ถ้าหากเป็นหมอแล้วยกตำรามารักษาคนทั้งดุ้น โดยไม่พินิจพิจารณาตัวคนไข้ด้วย การรักษาย่อมผิดพลาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นยอดขุนพล แต่เอาตำราพิชัยยุทธของขุนพลมาใช้ในการดำเนินชีวิตจริงๆ ตลอด ก็ย่อมสามารถสร้างความล้มเหลวให้กับกองทัพได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นหมายความว่า การเรียนรู้ศึกษาสิ่งใดก็ตาม เรารู้แล้วอย่ายึดมั่นจนเกินไป และเรารู้แล้วก็อย่ายึดมั่นแล้วหลงตนจนไม่มองสิ่งใดนั้น ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไร เรียนรู้อะไร เราจะต้องอยู่กับปัจจุบันด้วย  ส่วนสิ่งที่เราเรียนรู้นั้นเป็นแค่บรรทัดฐาน พื้นฐาน ในการวัดคร่าวๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนมีความรู้ คนทุกคนมีความเข้าใจ  แต่บางครั้งความรู้ความเข้าใจ ก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจได้ จริงไหม (จริง)
อย่างนั้นเรามาฟังนิทานเรื่องนี้ดูว่าคนรู้กลายเป็นคนไม่รู้ไหม  มีพ่อค้าขายวัวอยู่สามคน คนหนึ่งเป็นคนที่ชำนาญในการขายวัว พูดจาได้เก่งฉะฉาน สามารถพูดจนทำให้คนไม่อยากซื้อก็ซื้อได้ ชักแม่น้ำทั้งห้าเป็นเหตุเป็นผล ทำให้เรารู้สึกว่าวัวตัวนี้น่าซื้อ  แต่คนที่สองเป็นภาวะจำใจที่ต้องเอาวัวมาขาย  ส่วนคนที่สามเริ่มอยากจะขายวัวเป็นอาชีพ แต่ยังไม่มีความคล่องแคล่ว  ถามท่านว่าถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่กำลังมีใจจะมาซื้อวัว มีข้อมูลของสามคนนี้แค่นี้ ท่านจะตัดสินใจซื้อวัวกับใคร  แต่ละคนก็เลือกไม่เหมือนกันใช่ไหม (คนที่สองเพราะว่าเขาจำเป็นต้องขาย แสดงว่าของที่ขายน่าจะเป็นของที่ดี ถ้าไม่จำเป็นเขาคงไม่เอามาขาย, ไม่ซื้อเพราะว่าการซื้อวัวเป็นสิ่งที่ผิดศีล)  ไม่ซื้อก็ไม่ผิด แต่การซื้อวัวไปไม่จำเป็นต้องมองว่าเอาไปฆ่า บางทีซื้อไปใช้แรงงานก็มี ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่ามองด้านเดียว  (คนที่สามเพราะเป็นกำลังใจเพื่อให้ขายต่อไป)  นี่คือการตัดสินใจครั้งแรกที่เรามีความรู้แค่นี้
อย่างนั้นถ้าเราถามต่อไปว่า ถ้าตอนที่ท่านเดินไปซื้อ ท่านได้ยินอีกว่าพ่อค้าทั้งสามคนขายวัวเป็นโรค  แต่พอเดินไปหาพ่อค้าคนแรก พ่อค้าคนแรกบอกว่าวัวไม่ได้เป็นโรค อย่าไปเชื่อเขา สงสัยจะเป็นของสองเจ้านั้น  ส่วนพ่อค้าคนที่สองก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้พูดอะไร  ส่วนพ่อค้าคนที่สามยอมรับว่าใช่ วัวผมเป็นโรค 
ในสามคนนี้ ท่านจะเลือกซื้อกับใคร (คนที่หนึ่ง, คนที่สามเพื่อตอบแทนความซื่อสัตย์)  แต่เราเห็นเวลาท่านทำบุญ พอจับได้ว่าคนนี้โกหกก็รู้สึกเสียดายเงิน  (คนที่สองเพราะเขาอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้ตัดสินใจบอกว่าวัวเป็นโรค เพราะไม่อยากโกหกและถ้าพูดความจริงก็จะขายไม่ได้, ซื้อทั้งสามคนเลย, ไม่ซื้อกับใครเลย, คนที่สามเพราะเขาพูดความจริง ก็น่าจะสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจที่จะค้าขายด้วยความซื่อตรงต่อไป, ซื้อวัวทั้งหมดเพื่อช่วยให้คนอื่นไม่ต้องซื้อวัวที่เป็นโรคไป)  แต่ในความเป็นจริงคนที่สามกลับขายไม่ได้ คนที่สองกลับต้องผูกคอฆ่าตัวตาย ส่วนคนที่หนึ่งกลับกระหยิ่มยิ้มย่องที่ขายได้  นี่คือโลกของความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ร้านสามร้านตั้งเหมือนกัน ร้านหนึ่งขายจนเรารู้จักมักคุ้นดี อีกร้านหนึ่งที่เพิ่งเปิดขาย แต่ใบหน้าคนขายนั้นมีความทุกข์ตรมอยู่ในแววตา ส่วนคนที่สามที่เพิ่งจะเริ่มค้าขายเหมือนกัน ยังไม่มีความชำนาญ  สังเกตคนที่พึ่งเริ่มขายจะยังคงรักษาความซื่อตรง ขายวัวขายได้แต่ขายความซื่อตรงในใจขายไม่ได้ บางคนก็เหมือนกับคนในโลกสามประเภท คนหนึ่งคือคนดี อีกคนคือคนที่ถูกภาวะบีบคั้น ไม่รู้จะดีไหม จะชั่วไหม แต่อีกคนหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว เราอยู่ในโลกเราพบคนสามประเภทนี้ประจำ เมื่อพบคนที่เป็นคนที่สามเราจะไม่ซื้อ พบคนประเภทที่สอง กดได้เป็นกด บีบราคาได้เป็นบีบ เพราะเห็นว่ายังไงเขาจะขาย ฉันต้องบีบให้ตาย ถูกหรือไม่ (ถูก)  และยิ่งได้ข้อมูลว่าวัวท่านมีปัญหา ขายมาเถอะ แค่นี้ขายมาเถอะ ส่วนคนที่สามจะไปขายได้ก็ต่อเมื่อไปขายใกล้กับคนขายที่เป็นคนดีๆ  แล้วซื่อๆ พูดอย่างไรก็มีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ จริงไหม (จริง)
ในโลกความเป็นจริงโหดร้ายยิ่งนักเพราะยิ่งรู้ความจริง ทำไมเราถึงบอกว่าคนที่สองผูกคอฆ่าตัวตาย เพราะว่าในบ้านเขาถูกยึดหมดทุกอย่าง เหลือวัวตัวนี้ตัวเดียวที่จะพอไปไถ่ลูกกับภรรยาออกมาได้ แต่ปรากฏว่าเพราะความจริงของคนที่มาพูด ทำให้เขาขายไม่ได้ พอขายไม่ได้เมื่อกลับไปบ้าน บ้านก็ไม่มี เงินก็ไม่มี จึงผูกคอตาย คนที่พยายามยืนหยัดเรื่องความจริง เอาอะไรมาวัดความถูกต้อง เราวัดแล้วว่าสิ่งนี้ผิดสิ่งนี้ถูก แต่เคยมองเข้าไปลึกๆ ในชีวิตของเขาไหมว่าเขามีมากกว่านั้นหรือเปล่าที่ทำให้เขาต้องทำอย่างนี้ คนที่สองนั้นเราต้องการอยากจะบอกท่านว่าบางครั้งเรายืนหยัดในความถูกต้อง แต่ยืนหยัดจนกลายเป็นคนแล้งน้ำใจและไร้เมตตาโดยไม่รู้ตัว และกรรมนี้แหละที่ทำให้คนที่พูดต้องกลับมาเกิดเป็นลูกของคนที่ผูกคอฆ่าตัวตาย และเป็นคนที่ทำดีประจำแต่ทำไม่ขึ้น และต้องทำเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ที่ตัวเองทำเขาตายด้วย นี้แหละคือชีวิต มนุษย์เป็นอย่างนี้ทุกคน ดังนั้นเราจึงอยากให้ท่านมองให้ดีว่าที่ท่านทำดีไม่ขึ้น อดีตท่านเคยรักษาความถูกต้องจนเกินไปหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) 
ในชีวิตนี้มีคนสามแบบที่เราต้องพบ แล้วเวลาเราพบคนดีทำไมเราไม่สนับสนุน ยอมซื้อก็ได้เห็นท่านซื่อดี เขาได้กำลังใจไหม (ได้)  อยากขายต่อไปด้วยความซื่อ ฉะนั้นชั่วขณะหนึ่งของการดำเนินชีวิตสามารถหนุนส่งให้เราดีได้และผลักดันให้คนดียิ่งขึ้นได้ หรือผลักดันให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดได้
ในการกระทำหนึ่งครั้งนับตั้งแต่ที่เราผ่านมาจนถึงตอนนี้ พบเรื่องดีพบเรื่องไม่ดี เราต่อกรอย่างไรกับชีวิต บางคนพบเรื่องดีก็หลงดีใจ หลงภูมิใจ พบเรื่องไม่ดี ก็รู้สึกแย่ ไม่อยากทำดีต่อไป นี่แหละเรียกว่ามนุษย์ ที่ไม่สามารถเอาชีวิตมาผลักดันให้ตัวเองพัฒนาเหนือชีวิตได้ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้เมื่อพบสิ่งดี เราจะทำอย่างไรให้เราดียิ่งขึ้น เมื่อพบสิ่งร้าย เราจะทำอย่างไรให้เราไม่เลวร้ายลงไปตามไปกับสิ่งนั้น นิทานเราจบแล้วนะ ได้แง่คิดหรือไม่
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้อย่าใช้เพียงความรู้ความเข้าใจที่เรามีอยู่เพียงเล็กน้อยตัดสินอะไรในโลกอย่างเด็ดขาด เพราะเราอาจจะทำผิดพลาดเพราะการตัดสินด้วยความรู้เพียงน้อยนิดก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่เราบอกแล้วตั้งแต่ต้นว่าอย่าปล่อยให้ความรู้กลายเป็นความยึดมั่นและหลงตัวเองผิดๆ 
ร้อนไหม ง่วงไหม เราเห็นใจท่านนะ ฟังธรรมะนี้ต้องใช้ความอดทน ต้องใช้ความรู้สึกฝืนอารมณ์ ถูกไหม (ถูก) ฝืนอารมณ์ตนเองไหม (ฝืน)  เราเห็นท่านหน้ามุ่ย ฟังธรรมะเครียดมากหรือ (ไม่ได้เครียด)  แต่ชีวิตนี้เครียดเหลือเกินใช่ไหม (ใช่)  ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตจะจบด้วยคำเล็กๆถ้าเรารู้จักไตร่ตรองให้รอบคอบ แต่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้หากเราทำอะไรไร้สติไตร่ตรองให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับวันนี้เรื่องเล็กๆ ยังอดทนไม่ได้จะทำการใหญ่ในชีวิตสำเร็จได้อย่างไร ถูกไหม (ถูก)  แล้ววันนี้อดทนไหวไหม (ไหว) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนยืนขึ้น)
ยืนสักนิดหนึ่งนะ ให้ยืนเพื่อผ่อนคลายนะ เพราะชีวิตไม่ใช่ยืนจนเกินไปหรือนั่งจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่อาจเหมือนเซียนเด็กที่มาแล้วทำให้ทุกท่านกระปี้กระเปร่า สดชื่น แต่ในความเรียบง่ายก็มีอะไรให้แง่คิดอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
มนุษย์เราที่วุ่นวายที่สุดก็เพราะความไม่รู้จักพอ การอยู่อย่างความเป็นธรรมดาสามัญไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากวันนี้เราใส่เสื้อที่ดำคร่ำคร่า แล้วต้องมายืนกับคนที่ใส่เสื้อใหม่เอี่ยมสะอาด เราจะยืนได้ไหม วันนี้หากเรากลายเป็นคนที่ไร้เกียรติยศ ไร้ชื่อเสียง แต่ต้องเดินไปในหมู่ของคนมีชื่อเสียง เกียรติยศ อดทนไหวไหม (ไหว)  ที่พูดว่าไหวเพราะเราพยายามไม่เดินเข้าไปให้เราต้องอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็ออกมาดีกว่าที่จะต้องฝืนตัวเองเข้าไป ใช่หรือเปล่า ดังคำว่า เป็นราชาในกระท่อมดีกว่าเป็นกระจอกในวังพระราชา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีเงินมากมายก็ต้องเหนื่อยมาก แต่ถ้าเกิดมนุษย์เรารู้จักพอเสียบ้าง เราก็คงไม่ต้องทุกข์และวุ่นวายในชีวิตจนเครียดเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ใครล่ะที่จะยอมรู้จักคำว่าพอในชีวิตที่แท้จริง บำเพ็ญธรรมใช่บอกให้ท่านพอแล้วไหม ตั้งแต่ฟังมาครึ่งวันหรือได้ยินจากคนรอบข้าง บำเพ็ญธรรมใช่บอกให้ท่านพอแล้ว ใช่หรือไม่ หรือบอกให้ท่านไม่ต้องพอใช่หรือไม่ 
การบำเพ็ญธรรมเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นมีหลายทาง ไม่ใช่ทางเดียวที่ท่านรู้ คือตัดทุกอย่างแล้วไปปลีกวิเวก การแสวงหาทางหลุดพ้นมีอีกทาง และทางหนึ่งที่เรากำลังจะบอกท่านนั้นก็คือการรู้จักพอบ้างในแต่ละวันของชีวิต พอบ้างในแต่ละช่วงอารมณ์ที่ตัวเองมี เพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยไม่ให้ความทุกข์มา กล้ำกลาย เพราะความไม่รู้จักพอและพอดี
ฉะนั้นวันนี้ทางที่เราจะบอกในการบำเพ็ญธรรมเพื่อให้เราทุกข์น้อยหน่อยจนเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ก็คือ การรู้จักพอมีพอกิน ในความสามัญที่ตัวเราเป็นอยู่ในแต่ละวัน ถ้าวันหนึ่งหาเท่าไรวันหนึ่งก็ไม่พอสำหรับชีวิตถูกไหม (ถูก)  พอแล้วกายแต่ใจยังคิดไม่พอ สมองก็เหนื่อยไม่หยุดนิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นคนที่หยุดแต่ตัวแต่สมองคิดไม่จบ ไม่อย่างนั้นก็ตายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อยหรือยัง (เมื่อย) ถ้าเมื่อไรรู้พอเหมือนขาที่รู้เมื่อย ใจก็คงเป็นสุขไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจของมนุษย์นี้เคยเหนื่อยกับการคิดบ้างไหม ไม่เคยเหนื่อยเลยใช่ไหม หากใจสามารถบอกว่าเหนื่อยได้แล้ว พักได้แล้ว ท่านก็คงหยุด แต่ใจไม่เหมือนขา ขาเมื่อมันปวดเราต้องรีบนั่งแต่ใจมันทุกข์ทำไมเราไม่รีบหยุด แต่กลับคิดให้มันยิ่งทุกข์เข้าไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือให้เราเข้าใจในความทุกข์ ใครทำให้เราทุกข์ไม่มีหรอก มีแต่ตัวท่านเองที่ตะบี้ตะบันคิดอยู่นั่นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพยายามยื้อในสิ่งที่ไม่ควรจะยื้อ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เราต้องยอมรับว่าในโลกนี้เราเป็นเพียงผู้มาอาศัย และยืมทุกสิ่งทุกอย่างใช้อย่างชั่วคราว ถึงเวลาเขาก็ต้องไปของเขา ตัวเรายังมีเวลามาเวลาไป เงินทองก็มีเวลามาเวลาไป แฟนที่รักก็มีเวลามาเวลาไป ลูกที่รักก็ยังต้องมีเวลามาเวลาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์ที่คิด ความทุกข์ที่หมกมุ่น วันนี้เข้ามานานๆ  มันก็ลืมไปไม่ใช่หรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นถึงซึ่งแก่นแท้ของชีวิตว่า สิ่งเหล่านี้เรามายืมใช้ชั่วคราวนะ ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อย ไม่ปล่อยวันนี้ ยึดไว้ก็เจ็บปวด เหมือนกำก้อนหินไว้ในมือ อยากหมดทุกข์ก็ปล่อยมือ วางมือ แต่ก็มักปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนคงคิดว่าเราไปท่องเตรียมมา  จนพูดได้ฉะฉานอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าคิดแบบนี้เราก็จนใจที่จะพูดอะไรให้ฟังแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มองธรรมดาให้เป็นธรรมดานั่นล่ะดีแล้วใช่ไหม ถ้าอะไรก็ต้องวิเศษ อะไรก็ต้องเลิศล้ำ อย่างนี้ก็ยิ่งอยู่ลำบากยากเย็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมดาๆ สามัญก็มีสุขแล้ว เราถึงมาแบบธรรมดา แล้วก็คุยแบบธรรมดา เพราะว่าความธรรมดานั่นคือชีวิตจริง แต่ความเลิศล้ำวิเศษคือหลอกลวงชั่วครู่ชั่วประเดี๋ยว  ชีวิตจริงต่างหากคือความธรรมดา ความสุขที่มาหลอกลวงเราทำให้มนุษย์ต้องทุกข์ ไม่ใช่หรือ  ยอมรับและมีชีวิตอยู่กับความธรรมดาแล้วปลงกับมันเถิดนะ  ใช่ไหม
กล้าแกร่งต้นไม้ใหญ่บำรุงราก  กิ่งใบมากลิดเกินจนปัญหา
อุปถัมภ์กันมาเป็นความรู้ค่า      เจริญช้าแจ้งเมื่อไปย้อนทบทวน
เราเชื่อไหมว่ามนุษย์เป็นโรคแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เคยเดินไปพบต้นไม้ที่ใหญ่ๆ ไหม (เคย)  พอมีใบไม้ห้อยมามากเท่าไรก็เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้  ชอบเด็ดใบทิ้งใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันบางทีพอเราพบคนดีก็ไม่ค่อยเชื่อใจ คิดอย่างนี้ คิดตำหนิอย่างนั้น  หาทางจับผิดอย่างโน้น หาทางจับผิดอย่างนี้  แต่พอพบคนที่ไม่ดีจริงๆ กลับเชื่อสนิทใจ จริงๆ นะมนุษย์เป็นอย่างนี้ พบต้นไม้สมบูรณ์แบบในโลกไม่ได้ พบเป็นต้องลิด เป็นต้องเด็ด พบคนดีเราก็ไม่เชื่อใจเป็นต้องเหน็บ เป็นต้องแนม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แถมระแวงอีก คนแบบนี้จึงถูกหลอกสมใจ
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราได้พบพบคนที่ดี จงเร่งรีบสนับสนุน จงให้ความภาคภูมิใจในตัวเขาให้บังเกิดเพื่อเขาจะได้ทำดียิ่งขึ้น  ดั่งคนโบราณสอนว่า ทำดีต้องให้รางวัล ทำผิดต้องลงโทษ   จริงไหม (จริง)  แต่การลงโทษต้องรู้จักลงโทษด้วยความมีเมตตา และการลงโทษนั้นจะทำให้เขาเกิดสำนึก และไม่อยากทำผิดอีก เหมือนชายคนหนึ่งที่เผลอไปทำผิด แต่พอถึงเวลาที่ต้องลงโทษ คนที่ลงโทษก็ถามเขาว่า ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นคนทำผิด เขาก็รับว่า ใช่ ผมทำผิด  ท่านมีเหตุอะไรหรือที่ต้องทำแบบนี้ บอกมา ไม่มี ตอนนั้นหน้ามืดตามัวอยากทำผิด  แต่คนตัดสินรู้สึกอยากจะให้โอกาสเขาตลอดเวลา เวลาจะลงโทษก็เหมือนไม่กล้าที่จะลงโทษ คนแบบนี้จะสามารถทำให้คนที่ผิดแล้วกล้ากลับมาทำดี  แต่มนุษย์เรากลับกันเมื่อพบคนดีก็อิจฉา พบคนชั่วก็สาปส่ง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพอพบคนชั่วเราต้องปลูกเมตตาจิตให้อภัย และความมีเมตตาจิตให้อภัยจะแปรเปลี่ยนคนชั่วให้คิดกลับมาทำดี ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  ขอเพียงลดอารมณ์ให้มาก เห็นใจคนอื่นให้มากได้ไหม (ได้) 
วันนี้เราพูดธรรมะศึกษาธรรมกับท่านเพียงแค่นี้ก่อนได้ไหม หรือจะเอาอีก (เอาอีก)  ใคร่รู้ไหม อยากในสิ่งที่ถูกก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าอยากในสิ่งที่ผิดก็เป็นเรื่องร้ายให้กับตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยากฟังแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่เคยลงมือประพฤติปฏิบัติดีก็เสียเปล่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  เบื่อแล้วหรือ เราเคยได้ยินแต่เพียงว่า น้อยๆ แต่ประทับใจนานๆ ดีกว่าอยู่นานๆ แล้วคนเบื่ออยากขับไล่ ใช่ไหม มนุษย์มักจะเป็นอย่างนี้ มีน้อยๆ แล้วรู้ค่าดีกว่ามีมากๆ แล้วไร้ราคา อย่างนั้นวันนี้เราเติมให้ท่านเพียงเล็กน้อย แต่แง่คิดให้เอาไปใช้ในชีวิตนะ เราต้องพบคนสามประเภทอยู่ตลอด ไม่สามประเภทที่ขายวัว ก็สองประเภทที่เราบอก ไม่ดีก็ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วในตัวเราก็เหมือนกัน ไม่มีดี ก็มีร้าย แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า ให้อภัยผู้อื่นมากหน่อยดีกว่าให้อภัยตัวเองมากหน่อย แล้วเราจะเจ็บปวด ใช่ไหม บ่อยครั้งที่เราให้อภัยผู้อื่นน้อยไป แต่ให้อภัยตัวเองมากไป เราเลยต้องทุกข์เสียใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พูดธรรมะนั่งจนเช้าถึงเย็นก็พูดไม่จบ ถ้าท่านสนใจจริงๆ เราก็มีเรื่องพูดคุยได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นเอาไหม ขอเพียงไม่สนใจกายตัวนี้ สนใจแต่สิ่งที่เราพูด เป็นสัจจะหรือไม่ ถ้าเป็นสัจจะแล้วเอาไปใช้ในชีวิตได้ ไม่ฟังสักนิดหนึ่ง หรือ โลกนี้อย่ากินแต่ของที่ชอบ บางครั้งต้องกินของที่ไม่ชอบบ้างเพื่อประโยชน์ของตัวเอง อยู่บนโลกนี้อย่าเลือกฟังแต่สิ่งที่หูต้องการ  บางครั้งต้องฟังสิ่งที่ขัดหูบ้างเพื่อรู้ใจตัวเอง จริงไหม (จริง)  วันนี้เราก็คงศึกษากับท่านเพียงเท่านี้













วันเสาร์ที่  ๖  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๙
  พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

      มองจากอีกด้านเหรียญ ปรับเปลี่ยนจิตใจให้ได้  ปรับมุมมองแง่ดีสู่ใจค้นให้หนักก็จักพบ  ดีแต่อีกด้านร้าย     อะไรเริ่มก็ต้องจบ 
คิดดีตั้งพุทธะตรงหน้า      เปลี่ยนจริงก็คงได้พบ
         เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามทุกท่านเย็นไหม

      มองโลกแต่แง่ร้าย  ใจไม่มีรู้สุข  คนที่ดีสู้คนไม่เคยต้องใช้คำว่าร้าย  การกระทำทั้งนั้นบ่งบอกคนนั้นนัย  โลกที่งามกว้างไกล  ฝึกหัดมองเห็น  ด้วยจิตแท้  ความผิดพลาดของใคร  ไม่อยากไปรู้มา  ตรองเรื่องการพูดจา  ชั่งใจเรื่องมีความเห็น 

      ฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้ประจักษ์     พลังจากในตนแกร่งนิ่มนวล
ปล่อยชีวิตลอยชายรากขาดด้วน    เดินทางเอกทบทวนดีทุกวัน
ไม่อยากจำไฉนลืมไม่ลง              ชีวิตใช่นิรันดร์จงอย่ายึดมั่น
การทำใจไม่อาจช้าเนิ่นนาน         เลาะเปลือกเข้าถึงแก่นพลันมโนมัย[๒]
สามัคคีค้ำต้นธรรมไม่ออมแรง      สุญตาแฝงถึงยังคงอยู่ไว้
จากต้นกล้าต้นเล็กเจริญใหญ่       แผ่ร่มเงากว้างไกลทั่วทิศา
ความเป็นกลางไม่ยึดมั่นอิสระ      ถือสัมมาเป็นสรณะย่อมคงหนา
ต่างหนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันนา      ต่างคุณค่าสำคัญสร้างสรรค์ไป
                                                                                                            ฮิ  ฮิ  หยุด
















สุญตา                 ความว่างเปล่า
 








พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมติดเครื่องอัดเทปคำพูดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
อะไรเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าช็อตขึ้นมาจะทำอย่างไร แย่เลยใช่ไหม จะช็อตไหม (ไม่ช็อต)  ช็อตก็ไม่ตายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวตายไหม (ไม่กลัว) ลองเปลี่ยนเป็นสัก ๒๐๐ โวลท์เอาไหม (ไม่น่าเอาลองถามคนข้างหลังที่ยังหนุ่ม ๆ เอาไหม เอาไฟฟ้า ๒๒๐ โวลท์มาติดในตัวเรา ทำไมกลัวตายล่ะ กลัวไหม (กลัว, ไม่กลัว) จริงหรือ (ไม่กลัวครับไม่กลัวแต่ยังไม่อยากตาย ทุกคนก็ไม่มีใครอยากตายจริงไหม (จริงมีใครบ้างที่ยินดีเวลาความตายมาถึง มีไหม (ไม่มีเราไม่เห็นมีใครบอกว่ายินดีบ้างเลย ส่วนใหญ่จะบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ถามผู้สูงวัยก็ได้ ตายเลย เอาไหม (ไม่เอา, กลัวตายกลัวทำไม เคยได้ยินไหมว่าถ้าเกิดชีวิตเหมือนเรือลำหนึ่ง การเกิดก็คือการปล่อยเรือให้ล่องไปตามกระแส ไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย แต่ความตายก็คือการที่เรือมาถึงฝั่งจอดนิ่ง ได้พักผ่อนแล้ว ฉะนั้นทำไมทุกๆ คนถึงอยากปล่อยชีวิตไปตามกระแสการเกิด ไม่รู้จักหันมาหยุด แล้วสงบนิ่งกับความตาย ยอมรับบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่เอาง่ายๆ  ถ้าปล่อยให้คนที่เรารักออกไปข้างนอก ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมา เรารู้สึกเป็นห่วงไหม (ห่วงแต่ถ้าเขามาตายคาที่ตรงนี้แล้วเราต้องห่วงอะไรไหม (ยังห่วงยังห่วงอีกหรือ มิฉะนั้นจะกลัวอะไรกับการตายจริงไหม (จริง) ใครมีไฟ ๒๒๐ โวลท์ นักเรียนท่านนี้จะเป็นอาสาสมัครท่านแรกใช่ไหม (ครับผม)  กลัวไหม (ไม่กลัวครับ)
อย่ากลัวตายสิ คนที่ไม่กลัวตายคือคนที่มีชีวิตถึงพร้อมด้วยความดีแล้ว ถึงพร้อมซึ่งการดำเนินชีวิตครบสมบูรณ์แล้ว แต่คนที่ยังกลัวตายอยู่คือคนที่ยังไม่ได้ทำความดี ใช่ไหม ยังไม่พอใจในชีวิต ใช่ไหม (ใช่ยังรู้สึกว่าต้องดิ้นรนไปอีก ยังรู้สึกต้องแสวงหาอีก ยังสุขไม่พอ ใช่ไหม (ใช่) แล้วมีวันไหนที่ฟ้าจะตามหาเราทุกวัน มีไหมชะตาลิขิตบอกว่าวันนี้ฉันจะต้องโชคดีแล้วท่านก็โชคดี มีไหม (ไม่มี) วันนี้ฉันต้องรอดกลับไปบ้าน แน่ใจหรือว่าจะรอด วันนี้อาจจะตายตอนนั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ใช่ไหม (ใช่) เอาไหม ตายในห้องพระภูมิใจดีกว่าไปเที่ยวเธค เที่ยวบาร์แล้วตายคาเหล้า ตายคาวงพนัน อายขายขี้หน้านะ ใช่ไหม (ใช่) หรือซิ่งไปเที่ยวแล้วก็ตาย เรียนมาสูงแทบตายกลับมาตายคารถมอเตอร์ไซด์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคิดให้ดีๆ  นะ ปลงๆ บ้าง ไม่ปลงวันนี้ วันไหนจะปลง ถูกหรือเปล่า ยิ่งอายุปูนนี้แล้ว ใช่ไหม (ใช่ปลงได้ก็ปลง ปล่อยได้ก็ปล่อย อะไรที่ทำให้มีความสุขรีบขวนขวาย และอะไรที่ทำให้ความสุขนั้นขยายยิ่งใหญ่ไปสู่คนอื่นได้รีบมอบให้ แล้วเราจะรู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าไม่น้อยใช่ไหม (ใช่)
อย่าเอาค่าชีวิตมีแค่ตัวเองคนเดียว แต่เราต้องรู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อให้กับคนอื่นด้วย ด้วยการพูดเพราะๆ  ได้ไหม (ได้) ลองดูนะ
ทำอย่างไรให้คนๆ  หนึ่งยิ้มได้ คนที่รู้สึกยิ้มยากท่านนี้ทำอย่างไรให้เขายิ้มได้ (ไม่รู้จะพูดอย่างไรลองดูว่าเขาจะยิ้มไหม ใครสามารถคิดแล้วทำให้คนนี้ยิ้มได้เร็ว คิดอย่างไรให้คนมีความสุขเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  ไหนลองสิ (พรุ่งนี้จะร่ำรวย)  ยิ้มไหม ไม่สำเร็จ ใครสามารถทำให้ท่านนี้ยิ้มได้ มีความสุขได้ อิ่มใจได้ ง่ายจะตายทำไมท่านคิดยากกันเหลือเกิน เร็วคิดออกไหม (เจ๊สวยจังเก่งมากๆ  เห็นไหม ไม่ยากเลยใช่หรือเปล่า ไหนลองท่านนี้ดูนะ ใครพูดให้ท่านนี้มีความสุขได้ อู้คำเมืองก็ได้ พูดภาษากลางเขาอาจจะไม่รู้เรื่อง ใครทำให้ท่านนี้ยิ้มได้บ้าง ไม่ยาก คิดง่ายๆ  คิดได้ไหม อย่าทำให้ท่านยืนนาน ไม่อย่างนั้นยิ้มจะกลายเป็นทุกข์แล้วนะ
การทำให้คนอื่นมีความสุขไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่แค่คิดแล้วพูดคำพูดหวานๆ  อย่างเช่น เห็นคนตัวอ้วนๆ  ก็บอกว่าท่านเป็นคนที่มีบุญจริงๆ  เลยนะ ใช่ไหม (ใช่) เห็นคนตัวผอมๆ  ก็บอกว่า  ทำอย่างไรนะถึงได้หุ่นเพรียวอย่างนี้สอนหน่อยสิ ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดอย่างไรทำให้เขามีความสุข ห้ามลอกเลียนแบบเรา อย่ารอแต่ให้คนอื่นทำให้เรามีความสุข เราต้องรู้จักคิดและทำให้คนอื่น ถ้าเกิดชมคนนี้ว่าถึงจะอ้วนก็น่ารักดี แต่ทุกคนกลับโห่ บรรยากาศก็จะแย่ลงทันทีเลย เพราะฉะนั้นมีคนชมก็ต้องมีคนสนับสนุน ไม่ใช่มีคนชมแล้วเราก็โห่ แทนที่เขาจะได้ปลื้มใจกลับรู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่โลกเราแปลกนะ ถ้ามีใครได้รับการชื่นชมยินดีก็จะมีคนบอกว่าไม่จริงหรอก ใช่ไหม (ใช่อีกท่านหนึ่งในห้องนี้ใครยิ้มยากๆ  บ้าง เราเลือกท่านนี้ดีกว่านะ นั่งเก๊กนานเหลือเกิน ไปข้างหน้าหน่อยนะ บุคลิกก็ดี ความสูงก็ได้ หน้าตาก็ดี เห็นไหมกลัวอะไร ใครสามารถพูดแล้วทำให้เขารู้สึกแย่ได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาพูดกับนักเรียนที่ออกมาว่าขอเพียงคนเรามีความมั่นใจใช่ไหม ใครว่าอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่ไม่มีนักเรียนท่านใดกล้าพูดให้เขารู้สึกแย่ได้)
ในโลกนี้คนทุกคนชอบคำชม ไม่ชอบคำติ ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วรู้ไหมว่าชีวิตเดี๋ยวนี้ที่ยุ่งยากและไม่สามารถมองอะไรได้ชัดเจน เพราะว่าเรามักคิดว่าตัวเองดีแล้ว และไม่รับฟังคำติเตียนของผู้อื่น จะเอาแต่ฟังคำชมอย่างเดียว จึงทำให้ชีวิตนั้นต้องวุ่นวายเสมอๆ  เพราะความหลงตัวเอง คนเราบางคนมีความเก่ง มีความรู้ มีความสามารถ แต่ถ้าขาดการรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความเก่ง ความรู้ ความสามารถ ก็อาจจะเดินไปสู่ความผิดพลาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นในหัวจิตหัวใจท่านชอบคำชมมากกว่าคำติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเวลาจะติใครต้องรู้จักพูดให้เป็น ชมอย่างไรให้รู้ว่าแอบว่าเล็กๆ  ใช่ไหม ถ้าเราว่าเขาตลอด เขาก็ไม่มีกำลังใจ แต่ถ้าชมตลอดเดี๋ยวก็เหลิงเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่เราอยู่ด้วยกันเราก็ควรที่จะช่วยกันประคับประคองให้แต่ละคนนั้นดีขึ้น ไม่ใช่มีแต่แย่ลง จริงไหม (จริง)
หัวหน้าขอสตางค์หน่อยสิ แบงก์มีกี่หน้า (สองหน้ามีทั้งข้างหน้าและทั้งข้างหลัง ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งชีวิตพัดพาทำให้เราต้องพบแต่ด้านหน้า แต่บางครั้งก็ทำให้เราได้พบด้านหลัง บางทีเรารู้หน้าไม่รู้หลัง รู้หน้าไม่รู้ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะมองอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถมองแล้วทะลุหน้าเห็นถึงเบื้องหลังของคนๆ หนึ่ง เป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับชีวิตถ้าเราอยากได้หลังแต่ได้หน้า เราอยากได้หน้าแต่ได้หลัง เราจะปรับเปลี่ยนได้ไหม บางครั้งเราก็เปลี่ยนไม่ได้  ต้องปรับเปลี่ยนที่จิตใจของเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนบางครั้งเราอยากมีสุขแต่กลับกลายเป็นทุกข์ เราอยากพ้นทุกข์แต่กลับทุกข์หนักไปเรื่อยๆ เราเปลี่ยนปัญหาตรงนี้ได้ไหม ปัญหาบางเรื่องแก้ได้ บางเรื่องแก้ไม่ได้ ที่แก้ไม่ได้ต้องแก้ที่ใจของเรา ถูกหรือเปล่า (ถูก)
วันนี้ใครปรุงอาหารปรุงเท่าไรก็ไม่อร่อยบ้าง ใส่น้ำส้มก็แล้ว ใส่พริกก็แล้ว ทำไมไม่อร่อยเสียที กินเท่าไรก็ไม่อร่อย เป็นไหม (เป็น,ไม่เป็น)
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่นเกมส์กับนักเรียน)
อยากรู้ไหมว่าตัวเรามีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน (อยากรู้)  รับรู้ด้วยการเล่นเก้าอี้ดนตรี ขออาสาสมัครหน่อยนะ เตรียมเก้าอี้เตี้ย ๑ ตัว  เก้าอี้หัวโล้น ๑ ตัว เก้าอี้มีพนัก ๑ ตัว ขอคนเล่น วัยรุ่นหนึ่ง  วัยกลางคนหนึ่ง วัยชราหนึ่ง (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทั้งสามคนเลือกเก้าอี้แต่ละตัว)
(วัยรุ่นเลือกเก้าอี้ตัวเล็ก) ทำไมถึงเลือกตัวเล็ก (เพราะว่าเวลานั่ง เหมือนกับว่าต้องใช้ความยากลำบาก เพราะต้องนั่งและคุกเข่า เปรียบเทียบในสังคม เราก็ควรเสียสละให้ผู้สูงอายุก่อน เราพอที่จะพยุงตัวเองไหว คนแก่เวลานั่งต้องพยุงหลังเพราะว่าจะปวด) เรายอมลำบากหน่อยให้คนอื่นนั่งสบาย
(ท่านเมตตาถามนักเรียนวัยกลางคน)  ทำไมท่านถึงเลือกตัวนี้ (ไม่รู้)
(วัยชราเลือกเก้าอี้มีพนัก)  แล้วท่านล่ะมีเหตุผลไหมที่เลือกตัวนี้ (แก่แล้วนั่งต้องมีที่พิง)  ไม่ผิดใช่ไหม คนเราต้องรู้สภาพตัวเอง  ถ้าไม่รู้สภาพตัวเอง นั่งเก้าอี้ตัวเล็กก็อาจจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บและเป็นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่ทุกท่านเลือกเหมือนกันไหม
คำโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่มีคุณธรรมให้ดูจากอะไรบ้าง
๑.      เข้าข้างตัวเองมากเกินไปไหม
๒.      เห็นแก่ตัวมากหรือเปล่า
๓.       ลำเอียงหรือไม่
๔.      เห็นประโยชน์อยู่ตรงหน้า เอาประโยชน์เป็นหลักหรือเปล่า
๕.      รักสบายไหม
ถ้าไม่มีห้าอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นคนมีคุณธรรมแล้ว แม้จะรักษาศีลห้าไม่ค่อยครบก็ตาม  ฉะนั้นถ้าตัวเลือกเพิ่มขึ้น สมมุติว่าวันหนึ่งมีคนแก่ มีคนกลางคน แล้วก็มีเราเดินมากับเด็ก แต่เก้าอี้มีสามตัวเหมือนเดิม ท่านจะทำอย่างไร (ให้คนสูงอายุนั่งเก้าอี้มีพนักพิง ให้คนกลางคนนั่งเก้าอี้หัวโล้น ผมนั่งตัวเล็กแล้วให้ลูกนั่งตัก, ผมยอมยืน แล้วให้ลูกนั่งเก้าอี้ตัวเล็ก)  แล้วถ้าเปลี่ยน สมมุติว่าเป็นเรือลำหนึ่งกำลังจะจม ในเรือลำนั้นมีเพื่อนที่เรารัก มีพ่อแม่ของเพื่อนอีกคนหนึ่ง มีลูกที่เรารักแล้วก็มีตัวเรา  ถ้าเราต้องเป็นผู้ตัดสินทิ้งคนใดคนหนึ่ง เราจะทิ้งใครก่อนดี (ทิ้งเพื่อน พ่อแม่เพื่อนทิ้งไม่ได้, ทิ้งตัวเรา)  แต่ถ้าตอนนั้นเราทิ้งตัวเราไม่ได้ เพราะตัวเราต้องเป็นคนบังคับเรือ แล้วเพื่อนก็บังคับไม่เป็นด้วย (ไม่ทิ้งใครเลย)  ยอมจมไปทั้งหมดเลย
นำสิ่งที่เราบอกไปประกอบการคิดด้วย คนเราต้องไม่คำนึงถึงตัวเองเป็นหลัก ไม่เข้าข้างตน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่เห็นประโยชน์เป็นหลักใหญ่ แล้วก็ไม่รักสบายจนเกินตัว (ให้พ่อแม่ของเพื่อนและเพื่อนจับไม้สั้นไม้ยาว ให้ฟ้าลิขิตว่าจะต้องทิ้งใคร ส่วนลูกไม่ทิ้งแน่นอนเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้อง, ไม่ทิ้งใครเพราะลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้ารอดก็รอดด้วยกัน ถ้าตายก็ตายด้วยกัน, ทิ้งลูกตัวเองเพราะคนอื่นยังมีคนข้างหลังที่ต้องเป็นทุกข์)  ตอบดีมาก แต่ตอบได้เพราะว่าไม่มีลูก ถ้าคนที่มีลูกแล้วจะไม่ตอบอย่างนี้ 
เหมือนกับชีวิต ชีวิตกับผลประโยชน์ ชีวิตกับการอยู่ร่วมกับคนรอบข้าง  จริงๆ แล้ว ถ้าเราบอกว่าทิ้งลูก ท่านรับไม่ได้ใช่ไหม  แต่เราจะบอกว่าการที่เรายอมทิ้งลูก เพราะถ้าเรายังอยู่ เราก็ยังมีลูกใหม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราไม่ทิ้งเพื่อนที่เป็นคนดีและเป็นเพื่อนแท้ ซึ่งบางทีหาไม่ได้ในโลก มีคนเดียวเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าท่านทิ้งลูกก่อนแล้วไม่ทิ้งเขา เชื่อไหมว่าท่านจะได้เพื่อนที่หาไม่ได้ในโลกนี้อีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนพ่อแม่นี้ ทิ้งไม่ได้เลย เพราะว่าหมดแล้วหมดกัน พ่อแม่คนที่สองหาใหม่ไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งเป็นพ่อแม่ของเพื่อนด้วย  ที่เรายกตัวอย่างอย่างนี้ ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด  แต่เราแค่บอกให้ฟังถึงความนัยว่า ถ้าเราทิ้งลูกเพราะภาวะจำเป็น  เหมือนเราเลือกที่จะไม่ฟังลูกเวลามีปัญหาเกิดขึ้น เราฟังเพื่อน เราฟังพ่อแม่ของเพื่อน  การปิดหูปิดตาและเข้าข้างลูกจนเกินไปก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเรา ถูกไหม (ถูก)  เคยมีเพื่อนที่สนิทกันมากไหม แต่ต้องมีปัญหากันเพราะลูกเราคนเดียว (เคย)  เคยมีไหมที่มองหน้าไม่ติดก็เพราะลูกเราคนเดียวนั่นเอง  ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในสังคม เราต้องมองให้ดี  ลูกตายไปแล้วหาใหม่ได้ ดูเหมือนโหดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าหัวอกพ่อแม่มักจะทิ้งลูกไม่ได้ แต่ถึงเวลาเราต้องปล่อย เพราะคนทุกคนมีชะตาชีวิตเป็นของเขาเอง วันนี้ปล่อยไม่ได้ สักวันท่านก็ต้องทำใจปล่อย
ระหว่างเวลามืดกับเวลาสว่างท่านชอบเวลาไหน  ระหว่งความร้อนกับความเย็น ท่านชอบสิ่งไหน ใครชอบความร้อนบ้าง ยกมือขึ้น ใครชอบความเย็นบ้าง ยกมือขึ้น  ใครชอบความหอม ยกมือขึ้น ใครชอบความเหม็น ยกมือขึ้น  คนที่ชอบความมืด มีน้อยใช่ไหม (ใช่)  ความมืด ความร้อนและความเหม็นจะมีอะไรคล้ายๆ กัน แต่ความสว่าง ความเย็น และความหอมก็จะมีอะไรคล้ายๆ กัน
มนุษย์ส่วนใหญ่รักทุกข์เกลียดสุข ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ส่วนใหญ่จะรักสุขเกลียดทุกข์ ท่านเคยไหมเวลาเดินไปในที่สว่างมากๆ พอเราเงยหน้ามอง รู้สึกตาพร่าไหม (พร่า)  แล้วเวลาเราเดินอยู่ท่ามกลางความสว่างแต่เคยไหมที่ใจเรารู้สึกมืดมน และโดดเดี่ยว (เคย)  แล้วเวลาที่เรายืนอยู่ตอนกลางวันกับเวลาที่เรายืนหรือเดินอยู่ตอนกลางคืน ช่วงไหนที่เราเจอภัยพิบัติมากกว่ากัน (กลางคืน)  ส่วนใหญ่เวลาเจอปัญหาก็เจอกลางวัน ตอนกลางคืนส่วนใหญ่จะนอนไม่ใช่หรือ (ใช่)  นอกจากคนที่ออกไปเที่ยวกลางคืนจึงจะมีปัญหามาก ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราจะเปรียบเทียบให้ฟัง ชีวิตคนเราความทุกข์เหมือนตอนราตรีมืด สังเกตไหมว่า ยิ่งมืดกลับทำให้คนยิ่งรู้จักระมัดระวังและเพ่งมองสิ่งต่างๆ ให้แจ่มชัด ไม่เหมือนกลางวัน สว่างอย่างไรก็เดินไป แต่พยายามมองอะไรให้ชัดเจนไหม ไม่หรอก เพราะมองเห็นอยู่แล้ว ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แต่เวลามืดมองไม่เห็น ก็ต้องถ่างตาให้เห็นให้ชัด ว่าคืออะไรเป็นอย่างไร เหมือนน้ำกับไฟ ยิ่งร้อนมาก เรายิ่งระวังมาก แต่ยิ่งเย็นมาก เรากลับยิ่งปล่อยปละหละหลวมมาก เหมือนความเหม็นกับความหอม ยิ่งหอมมากเรายิ่งรู้สึกติดใจ เสียเงินกับสิ่งนั้นทุกครั้ง หลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งนั้นทุกครั้ง แต่เหม็นเท่าไร เราก็จะไม่เข้าไปใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราหมายความว่ามนุษย์เราเจ็บเพราะความสุขมากกว่าความทุกข์ จริงไหม (จริง)  ถ้าชอบอะไร สิ่งนั้นก็ทำให้เจ็บที่สุด เกลียดอะไร สิ่งนั้นทำให้ทุกข์มากไหม (มาก)  มากเท่าที่คิด แต่ก็หายไปทันทีเมื่อเราไม่คิดและไม่โผล่มาให้เห็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่สิ่งที่รัก ทุกข์อยู่ทุกวัน เจอหน้าสามีคนเดิมหรือเปล่า นิสัยอย่างเดิมอีกแล้ว รักไหม ทั้งรักทั้งเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลูกบางครั้งก็รัก บางครั้งก็เกลียด รำคาญนิสัยดื้อจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าได้กลัวความทุกข์ ความทุกข์เหมือนไฟ เหมือนของมืดที่ลองเดินเข้าไปมองให้ชัดๆ แล้วดูให้ดีๆ มีทางออกสามารถแก้ได้และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แล้วถ้าเดินผ่านไปได้เราจะพบแสงสว่าง
เหมือนน้ำ  ความสุขที่เราหลงใหลได้ปลื้มกับคนที่เรารักหนักหนา ทำเราช้ำใจจมน้ำตายเกือบทุกรอบ ใช่ไหม (ใช่) เขาจึงบอกว่าไม่มีอะไรร้ายในวันที่ใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่ใจเราเลวร้าย ฉะนั้นพลังของจิตใจเป็นพลังที่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในกำมือได้ ฉะนั้นเราอย่ายอมแพ้ ขอให้เชื่อพลังในจิตใจ เราจะสามารถเอาชนะโลก ไม่ว่ามืดหรือสว่าง ไม่ว่าร้อนหรือเย็น ด้วยกำมือของเราเอง ด้วยจิตใจของเราเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นใจเราเป็นอย่างไร มีสี่ตัวเลือก แก้วว่าง แก้วมีน้ำครึ่งแก้ว แก้วมีน้ำเต็มแก้ว น้ำที่เป็นขวดน้ำ เป็นอะไรดี ครึ่งแก้ว เพราะว่าอย่างไรก็ยังมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว ถ้าเราจะไปหวังน้ำเต็มแก้วคงจะไม่มีอะไรสมบูรณ์ในชีวิตของเรา)  ยิ่งคิดเรายิ่งได้คำตอบที่ดีๆ สู่ตัวเรานะ (ครึ่งแก้วจะกินก็ได้จะไว้ก็ได้, ขอเป็นขวดน้ำที่เอาไว้ให้ความรู้กับผู้อื่น, แก้วที่เต็มเพราะจะได้เต็ม) เต็มแล้วถ้ามีคนมาเติมจะรับไหม (ไม่รับ)  เต็มแล้วถ้ามีความรู้เติมก็ไม่รับเลยหรือ (แก้วเปล่า เพราะสามารถรองรับน้ำได้มาก, เลือกครึ่งแก้ว) คือมีน้ำตั้งเท่านี้ หรือมีน้ำแค่นี้ คำว่า ตั้ง กับ แค่ ให้ความหมายต่างกัน กับน้ำครึ่งแก้วต้องบอกว่ามีตั้งเท่านี้ ถูกไหม ถ้าไม่พอใจบอกว่ามีแค่นี้ (แก้วว่าง เพราะว่าการกราบรับธรรมวันนี้พรุ่งนี้ตายก็ไม่เสียดาย ไม่มีน้ำก็ไม่เสียดาย) ก็คือความว่างนะ (แก้วเปล่า เพราะว่าได้รับความรู้สามารถเติมอะไรได้เต็มไปหมด, ครึ่งแก้ว เพราะว่าทำใจให้เป็นกลางๆ  รับฟังปัญหา, แก้วเปล่า เพราะว่าเราสามารถเติมสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เต็ม, เต็มขวด เพราะว่าจะได้แบ่งไปให้ผู้อื่น, ครึ่งแก้ว เพราะว่าเราพร้อมที่จะรับความคิดจากภายนอกมาผสมปรับใช้กับตัวเองถ้าไม่มีเราก็สามารนำออกได้ เหมือนกับว่าเรามีฐานอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแก้วเปล่าเหมือนจิตใจที่ว่างเปล่าใครพูดอะไรเข้ามาเราก็รับเต็มๆ แต่ถ้าเป็นแก้วเต็มความคิดของเราเต็มเปี่ยมเวลาลมพัดเข้ามาน้ำกระฉอกไปจะเหลือน้อย ถ้าเป็นขวดปิดฝาเรียบร้อยแล้วคือไม่พร้อมจะรับอะไรแล้ว, ครึ่งแก้ว เรามีความรู้เราไม่เต็มแก้ว นำความรู้คนอื่นมาใช้, น้ำเต็มขวด เพราะว่าความพร้อมที่สุดเราจะเก็บไว้ให้ผู้ใดก็ได้ ถ้าต้องการจะใส่เพิ่มก็เทออกและก็มีจุกสำหรับปิดรับเรื่องราวสิ่งไหนขึ้นกับว่าจะรับหรือไม่รับ, เต็มแก้วเพราะไม่มีน้ำก็ดับกระหายไม่ได้ ถ้าครึ่งแก้วมันก็น้อยเกินไปดับกระหายไม่ได้ถ้าเต็มขวดก็เกินความจำเป็น) ก็คือรู้ความพอดีในตัวเอง (เลือกน้ำครึ่งแก้ว เพราะชีวิตเปรียบเสมือนสุขและทุกข์)  สมมติว่าถ้าสี่อย่างนี้คือใจของมนุษย์ เราจะเป็นใจแบบไหน เป็นใจที่ว่าง หรือจะเป็นใจที่มีอยู่แล้วครึ่งหนึ่ง หรือจะเป็นใจที่เต็มเปี่ยม หรือจะเป็นใจที่เป็นแบบขวด เข้าใจใจที่เป็นแบบขวดไหม เรายังไม่อธิบายนะเพราะถ้าเราอธิบายเดี๋ยวท่านก็ตอบได้สิใช่ไหม (ขอเป็นครึ่งหนึ่ง)  ถ้าเรามีอารมณ์เต็มเปี่ยมไปคุยกับสามี คุยกับลูกก็ไม่รู้เรื่อง บางทีเราต้องลดความเห็นของเราครึ่งหนึ่ง  ยิ่งคิดยิ่งตอบได้ดีอย่าดูเบาตัวเอง (เป็นครึ่งแก้ว เพราะว่าจะได้รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย) คือยอมเป็นครึ่งหนึ่งพร้อมที่จะเติมรับ (ขอเลือกครึ่งแก้วเพราะน้ำสามารถที่จะถ่ายให้กับผู้ที่ยังขาดแคลนได้ ในขณะเดียวกันพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นได้ จึงขอเลือกครึ่งหนึ่ง, ขอเลือกเป็นขวดเพราะสามารถแบ่งให้ทุกแก้วเท่ากันได้)
แต่ละท่านตอบได้ดีทีเดียว ที่จริงแล้วใจของมนุษย์จริง ๆ มีแค่นี้ (แก้วน้ำ ๓ ใบ) แต่เราเพิ่มอันนี้มา (ขวดน้ำ) เพราะว่ามันแปลกดี แปลกตรงที่ว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนตอนแรกจะเป็นแก้วเปล่าในตอนเป็นเด็ก ๆ พอเรียนรู้ไปก็จะเป็นแก้วที่มีน้ำครึ่งแก้ว พอโตมากขึ้นก็เป็นแก้วที่มีน้ำเต็มแก้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งมีความรู้มากก็จะเป็น (แก้วน้ำที่เติมน้ำลงไปเท่าไรก็ล้นออกหมด) ไม่พร้อมที่จะรับอะไร รับอีกนิดหนึ่งมีแต่หกและก็ทะลัก
ความเป็นคนของมนุษย์ คนบางคนเหมือนแก้วว่างเติมเท่าไรก็ไม่เต็ม เพราะเป็นแก้วที่มีก้น แต่เหมือนก้นที่หาที่สุดประมาณมิได้ เปรียบกับขณะมีความอยาก มีความโกรธ โกรธพอไหม ไม่เคยพอ มีความหลง มีความโลภ เราเป็นเหมือนคนที่เหมือนเติมความโลภเท่าไรก็ไม่เคยเต็ม แล้วก็หยุดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วก็เป็นคนที่อยากจะมีคนรักให้มาก ๆ แต่เติมเท่าไรพอไหม อยากมีเงินมาก ๆ เติมเท่าไรพอไหม ก็บอกตัวเองว่ายังไม่พอใช่ไหม (ใช่) ยังชอบอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกแบบหนึ่งคนในโลกมักเป็นแบบนี้ เป็นแก้วมีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วรอใครอีกสักคนมาเติมให้เต็ม ใครคนนั้นจะเติมฉันได้ไหม เลยเป็นคนที่มีความสุขด้วยตนเองไม่ได้ ต้องรอใครสักคนมาเติมให้ชีวิตมันเต็ม ไม่ได้บอกว่าครึ่งไม่ดี เราบอกตามความเป็นจริงของมนุษย์ มนุษย์มักจะบอกว่าเรามีครึ่งหนึ่งแล้ว รอใครสักคนมาเติมให้เต็ม แต่ที่ตอบว่าขอมีครึ่งหนึ่งที่เป็นความรู้ เพื่อจะให้ใครนำความรู้มาถ่ายเทให้อีกครึ่งหนึ่ง หรือมาผลัดเปลี่ยนความรู้นั่นก็ดี แต่โดยส่วนใหญ่ชีวิตของคนช่วงวัยรุ่นจะเป็นแก้วที่มีน้ำครึ่งหนึ่ง วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคนจะเป็นเช่นนี้ รอเขามาเติมให้เต็ม เมื่อได้เต็มแล้วก็เป็นเต็มที่อย่ามีใครมาทำให้หกและอย่ามีใครมากระเพื่อมให้หวั่นไหวเพราะมั่นใจในตัวเองสูง
เราจึงอยากบอกว่าจริง ๆ แล้วใจของมนุษย์เป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นให้ถูกเวลา เป็นใจว่างขณะที่ทุกข์ ทุกข์หนักๆ ทำใจว่าง ปลงเสีย ทำเหมือนแก้วว่างไม่มีอะไรได้ไหม (ได้) ก็คือทำใจให้เป็น เมื่อใดควรจะว่าง เมื่อใดควรจะระดับกลาง และเมื่อใดควรจะเต็ม และเมื่อใดควรจะมั่งมี แล้วรินไหลสู่ผู้อื่น
ที่จริงแล้วเราชอบขวดที่มีน้ำเต็มเพราะหมายความว่าเป็นคนที่พร้อม สมบูรณ์ที่จะเอื้อความสุขให้กับคนอื่น เป็นคนที่มีความสุขเต็มเปี่ยม เพราะพร้อมจะรินความสุขให้คนอื่นที่ขาดแคลน เช่นนี้ถือว่ามีปัญญาเหมือนกัน แต่คำตอบอื่นๆ เราก็ถือว่ามีปัญญาทุกคน ไม่ใช่ไม่มีปัญญา แต่อยากจะบอกว่าบางครั้งใจเราต้องเปลี่ยนสภาพให้ถูกต้อง เมื่อพบคนทุกข์เราต้องเป็นขวดน้ำเต็ม ที่พร้อมจะมอบความสุขให้กับเขา เมื่อพบความโกรธเราต้องเป็นแก้วว่างที่โกรธไม่ลง ไม่มีอะไรที่จะโกรธ เมื่อพบความอยากเราพร้อมไหมที่จะเต็มแล้วไม่อยากอีกต่อไปแล้ว  พอแล้วใช่หรือไม่ และเมื่อบางครั้งเวลาที่เราต้องฟังความคิดเห็นของคนอื่น  บางครั้งเราต้องอยู่ร่วมกับเพื่อน ฉลาดเกินเขาก็รำคาญ โง่เกินเขาก็ว่าเกะกะ ก็ต้องเป็นแก้วที่อยู่ระดับกลางใช่ไหม บางทีแสดงความร่ำรวยเกิน คนก็ไม่อยากคบ ยากจนเกินคนก็ดูถูก จึงควรเป็นคนพอมีพอกินใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักดำรงชีวิตให้เป็น หรือสับเปลี่ยนจิตใจให้ได้ เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
ไม่ต้องขอบคุณเราหรอก เพราะถ้าไม่มีท่านนั่งฟัง จะมีคำพูดดีๆ มาให้เล่าสู่กันฟังไหม เราต้องขอบคุณทุกท่านต่างหากใช่หรือไม่ ที่มาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
(บรรยากาศนอกสถานธรรมฝนกำลังจะตก และมีลมแรง)
อากาศภายนอกจะเป็นอย่างไร จิตใจเราต้องสงบระงับให้ดีนะ อย่าปรวนแปรไปตามสภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อกี้ร้อน ตอนนี้เย็น ชีวิตสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรแน่นอน ใช่ไหม (ใช่)   วันนี้เราอยู่ พรุ่งนี้ไม่แน่เราอาจต้อง (ตาย)  ปลงๆ ไว้บ้าง สังขารห่วงมาก กลุ้มมาก หามาแทบตายแต่ก็เอาอะไรไปไม่ได้  สักบาทเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เอาไปได้ก็มีแค่ความดีกับความชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงรู้จักสร้างสรรค์สิ่งดีให้เกิดขึ้นกับตัวเรา และพยายามแบ่งปันสู่ผู้อื่น  ความดีนั้นจะยิ่งใหญ่และทวีคูณ  อย่าเป็นคนที่มีความดีอยู่แต่ในตัว แต่ไม่เคยแบ่งปันเอื้อเฟื้อใคร โลกนี้จะน่าอยู่ได้เมื่อทุกคนมีใจเมตตาให้อภัยผู้อื่น ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ถ้ามีใครว่าเรามาเล่นละครให้ดู เราก็ไม่ว่าหรอก แต่ละครเรารู้จักเริ่มต้นแล้วก็จบ แต่ละครชีวิตของคนบางคนถึงเวลาต้องลงจากเวทีแล้วก็ยังแสดงไม่จบ จริงไหม (จริง)  แล้วละครชีวิตของเรา เรากำลังติดอยู่กับอะไร  เช่นคนที่มีชื่อเสียงเกียรติยศ เคยเป็นหัวหน้าเขา ถึงวันหนึ่งไม่ได้เป็นหัวหน้าแล้วเรายังติดนิสัยบทบาทนั้นอยู่ เราจะเป็นตัวละครที่กลายเป็นตัวตลก เช่นเดียวกันถึงเวลาตอนนี้เราควรเศร้า เศร้าแค่ระดับหนึ่ง อย่าเศร้ามากเกินไป ถ้าเศร้ามากเกินไปชีวิตนั้นก็เท่ากับว่าแสดงเกินบทบาท  ความทุกข์นั้นทำให้เศร้า แต่เศร้าพอประมาณ อย่าเศร้าจนทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักหยุดเป็น
ฉะนั้น หน้าที่ ตำแหน่ง วิชาชีพเปรียบเหมือนหัวโขน เปรียบเหมือนบทบาทในการแสดงเมื่อเรามีชีวิตอยู่ เมื่อถึงเวลาเราต้องรู้จักปล่อยวาง อาชีพ ตำแหน่งหน้าที่การงาน แล้วกลายเป็นคนธรรมดาให้เป็นด้วย  เคยได้ยินไหมว่าสูงสุดก็ต้องกลับมาสู่สามัญที่สุด  แล้วไม่ใช่คนสามัญหรือที่กลายเป็นคนที่อยู่สูงสุด  ฉะนั้นเราเป็นคนจะยืนอยู่ที่สูงก็ต้องไม่ลืมรากเดิมแท้ของความเป็นคนที่ไม่ต่างกับเขา แค่ตอนนี้สวมหัวโขน สวมตำแหน่งให้เรายิ่งใหญ่ชั่วครู่ พอถึงเวลาหัวโขนตำแหน่งก็ต้องถูกถอดไป เราก็คือคนธรรมดาไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้มนุษย์ทุกข์ได้แต่บางอย่างก็กลับทำให้เรามีสุขได้ถ้ารู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น
อย่าลืมนะ ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็มาจากเล็กกระจ้อยร่อย เล็กกระจ้อยร่อยขนาดไหนก็สามารถกลายเป็นยิ่งใหญ่ได้ อยู่ที่เราเลือกเอง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่นเกมส์กับนักเรียน)
วันนี้มีมาก็ต้องมีไป มีพบก็ต้องมีจากเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นเวลามีชีวิตอยู่กับใครจงอยู่กับเขาให้มีความสุข สร้างแต่สิ่งที่ดีให้กับเขา เวลาจากไปเขาจะได้อาลัยอาวรณ์และคิดถึง  แม้ไม่เคยรู้จัก ก็อย่าทำให้เขาเจ็บปวดแล้วก็จากไปแบบโกรธแค้น อย่างนี้ไม่ดี  ผูกกรรมใช่ไหม  อยู่กับใคร จงถือคนข้างหน้าเป็นคนที่สำคัญที่สุด แล้วทำให้ดีที่สุด เมื่อจะจากไป เราก็จะไม่เสียดายชีวิตเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เพราะฉะนั้นตอนนี้เรามีชีวิต  ใครล่ะกำลังอยู่เบื้องหน้า คือพ่อแม่จงรักท่านให้มากที่สุด ถ้าเป็นเพื่อน จงเป็นเพื่อนที่มีความจริงใจและดีที่สุด  ถ้าเป็นน้อง จงมีความสมัครสมานและรับไมตรีเขา  ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่ต้องทุกข์กับสิ่งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ด้วยจิตใจที่คิดดี พูดดี แล้วก็ทำดีนะ



ปากพูดแต่ยุยุ  จิตไม่อาจพบสุข    ความที่คอยลูบคมใครใครย่อมหลอนผวา  ตาเหลือบมองลับลับแกล้งหลักธรรมพูดจา  เรื่องที่เข้าหูมาไม่เป็นเรื่องดีต่อใจของตน คอยตัดช่องน้อยไปให้กับตนทุกครา  วันที่ใครก็ลาไม่มีหน้าไปทวงถาม
      มองจากอีกด้านเหรียญ ปรับเปลี่ยนจิตใจให้ได้  ปรับมุมมองแง่ดีสู่ใจค้นให้หนักก็จะพบ  ดีแต่อีกด้านร้าย       อะไรเริ่มก็ต้องจบ 
คิดดีตั้งพุทธะตรงหน้า        เปลี่ยนจริงก็คงได้พบ
      มองโลกแต่แง่ร้าย  ใจไม่มีรู้สุข  คนที่ดีสู้คนไม่เคยต้องใช้คำว่าร้าย  การกระทำทั้งนั้นบ่งบอกคนนั้นนัย  โลกที่งามกว้างไกล  ฝึกหัดมองเห็น  ด้วยจิตแท้  ความผิดพลาดของใคร  ไม่อยากไปรู้มา  ตรองเรื่องการพูดจา  ชั่งใจเรื่องมีความเห็น 

ทำนองเพลง ปากไม่ตรงกับใจ
ชื่อเพลง  : เหรียญสองด้าน







วันอาทิตย์ที่ ๗  พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๙
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  จับตรงก้านดอกพุ่มที่ชูช่อ             จับความคิดต้นตอของปัญหา
หลายหลายสิ่งมีเหตุเดียวกันนา         สีบุปผาพาหลงผิดอย่าติดใจ

          เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักทุกคนสามวันนี้เข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือไม่

  กล่าวคำพูดให้สมกับฐานะ             ปฏิบัติภาระให้สมกับหน้าที่
คุณธรรมให้สมตนศิษย์เมธี              จงคิดดีเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจ
เอาชนะตนเองแก้ไขตน                 การฝึกฝนทำให้เป็นคนใหม่
ผ่านเตาหลอมได้ด้วยกำลังใจ           ความเข้าใจทำให้ปฏิบัติไม่หมดแรง
อย่าจมอยู่ในห้วงทุกข์ของตนเอง       ศิษย์คนเก่งกระดูกเจ้าต้องแกร่ง
มีปัญญาอ่อนน้อมช่วยพลิกแพลง       อย่าคลางแคลงในกำลังก้าวของตน
การศึกษาธรรมะต้องใช้เวลา            ปฏิบัติใส่ปฏิปทาไม่ท้อบ่น
การบำเพ็ญเป็นเรื่องต้องมุ่งและอดทน         การเป็นคนประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด
เกิดเป็นคนอย่ายึดมั่นอย่ายึดติด       อย่าทำผิดศิษย์เอ๋ยอย่าลืมแก้ไข
อย่าเกียจคร้านอย่าลืมว่าต้องตั้งใจ     อย่าพูดว่าทำไม่ได้ทำไม่เป็น

                                                                       ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ความจริงใจกับไม่จริงใจต่างกันตรงไหน คนมองสามารถรู้ไหมว่าเราจริงใจหรือไม่จริงใจ รอยยิ้มที่จริงใจกับไม่จริงใจก็ต่างกันตรงที่ใจมันจริงหรือเปล่า ใช่ไหม(ใช่เพราะฉะนั้นใจสำคัญหรือการยิ้มสำคัญ (ใจ)  แล้วคนที่บอกว่ามีใจยิ้ม มีใจดีแต่ไม่รู้จักยิ้มให้คนอื่น ได้หรือไม่ (ไม่ได้รอยยิ้มเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง หากว่าวันไหนเรายิ้มออกแสดงว่าวันนั้นเรามีความสุข หากวันไหนยิ้มไม่ออก แสดงว่าวันนั้นเราไม่มีความสุข มนุษย์จึงมีใจอันสำคัญมาก ใจเป็นตัวบ่งชี้ทุกอย่าง แต่มีหลายคนบอกว่า ใจดีแต่พฤติกรรมออกมาไม่ดี ขัดกันเองไหม ใจดีแต่ทำออกมาไม่ดีอย่างนี้ขัดกันในตัว คนๆ  นี้เป็นคนที่เราคิดว่าเขาใช้ได้หรือยัง ยังใช้ไม่ได้ เราเป็นคนประเภทนั้นไหม ดีเป็นบางครั้ง สามวันดี สี่วันไข้ เป็นไข้ตั้งสี่วัน ดีอยู่สามวันแสดงว่าดีมากกว่าร้าย หรือร้ายมากกว่าดี เราเป็นประเภทที่ร้ายมากกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นการที่เราเป็นอย่างทุกวันนี้ ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ตอนนี้ทุกคนได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ถามว่าเราดีในระดับที่มนุษย์เป็นหรือยัง เราดีพอสำหรับการเป็นมนุษย์ในชีวิตหนึ่งของเราหรือยัง (ยัง)  มีอะไรบางอย่างที่เราอยากจะทำแล้วเรายังไม่ได้ทำหรือเปล่า (มี)  มีความตั้งใจดีบางอย่างที่เราอยากจะแสดงออกแต่ยังไม่ได้ทำหรือไม่ (มีเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไรดี
คนก็เป็นแบบนี้ มีหูก็หูไม่ค่อยดี มีตาก็ตาไม่ค่อยดี มีปากก็ปากไม่ค่อยดี มีใจก็ใจไม่ค่อยดี มีมือก็มือไม่ค่อยดี มีตัวก็มีตัวไม่ดี   ใช่หรือเปล่า (ใช่)      ทำอย่างไรดีปล่อยให้มันแย่ๆ อยู่แบบนี้หรือ สมมุติว่าชามที่บ้านของศิษย์แตกอยู่ครึ่งหนึ่ง เราจะใช้ชามครึ่งเสี้ยวนี้ไหม (ไม่ใช้ถามว่าวันนี้ถ้าเก้าอี้ขาขาดไปครึ่งหนึ่งเราจะใช้เก้าอี้ตัวนี้ไหม (ไม่ใช้)  แต่วันนี้ตัวเรายังมีความไม่ดีอยู่เยอะ อันได้แก่ตัวเรารู้สติทั่วทุกๆ อย่างที่เราทำไป จริงหรือไม่ (จริงเคยหลับตากินข้าวไหม (ไม่เคย) เคยที่จะขับรถโดยไม่ใช้มือใช้ขาไหม (ไม่เคย)  เคยเดินโดยที่เราไม่มองทางเลยไหม (ไม่เคยเพราะฉะนั้นในเมื่อตัวของเราดีครบถ้วนคืออาการครบสมบูรณ์ แต่ถามว่าอาการครบสมบูรณ์แต่ตัวเราดีไหม ตัวเราดีครบสมบูรณ์แต่ในด้านของความเป็นจริงแล้วตัวเราไม่ค่อยดี อันได้แก่ตาชอบมองในสิ่งที่ผิด ปากชอบพูดในสิ่งที่ไม่ระวัง เอาใจไปคิดแต่เรื่องร้ายๆ เป็นต้น ถามว่าเมื่อตัวของเราเป็นอย่างนี้ เรายังทนใช้ตัวของเรา อยู่หรือไม่ (ใช้อยู่)  ในตอนนี้ เรายังทนใช้ตัวของเราอยู่ถามว่าเราเป็นผู้มีความสามารถซ่อมตัวตนนี้ไหม (มี) แต่ถามว่าเราซ่อมหรือไม่ซ่อม (ซ่อม)  แล้วซ่อมอย่างไรบ้าง (เรียนรู้สิ่งที่ไม่ดี แล้วดูว่าไม่ดีอย่างไรแล้วก็นำไปแก้ไขตอบถูกหรือเปล่า (ถูก)  การโต้ตอบบ่งบอกถึงภูมิธรรม
วันที่ศิษย์ไม่ได้พบอาจารย์นั้นยาวกว่าวันที่ศิษย์พบอาจารย์ เพราะฉะนั้นจงมองเห็นคนข้างๆ เป็นอาจารย์ ลองหันไปยิ้มให้เขาหน่อย ไม่รู้เขายิ้มจริงใจหรือเปล่า ยิ้มสวยงามหรือเปล่านะ ถ้าหากว่ามีคนบอกศิษย์ว่า เข้าใจทุกอย่างแล้วแต่ทำไม่ได้ คนๆ นี้เข้าใจหรือเปล่า (ไม่เข้าใจ)  ความเข้าใจนั้นอยู่ภายในใจ ความเข้าใจอยู่ภายนอกได้อย่างไร ความเข้าใจอยู่ภายนอกต่อเมื่อศิษย์นั้นทำออกมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  การกระทำนั้นสอนคนได้ดีกว่าคำพูด เชื่อหรือเปล่า (ถูก)  พ่อสูบบุหรี่ แม่เล่นการพนัน แล้วบอกว่า ลูกอย่าเล่นการพนันได้หรือเปล่า  ถ้าหากว่าเราสอนด้วยคำพูดอาจจะดูไม่จีรังยั่งยืนเท่าการที่เราสามารถสอนเขาด้วยการกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้บางคนไม่ได้เป็นพ่อแม่คน ไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์ บางคนเพียงแต่มีชีวิตไปวันๆ เสวนาและสังคมกับคนน้อยคนเหลือเกิน แต่ถามว่าเราจำเป็นต้องเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นหรือไม่ (จำเป็น)  การทำดีไม่หวังผลตอบแทน ฉะนั้นการทำดีของศิษย์จึงทำดีเพื่อใคร (เพื่อตัวเรา)  ศิษย์จงรักตัวเองและทำดีเพื่อตัวเอง อย่าทำดีให้ใครชม อย่าทำดีให้ใครดู อย่าทำดีเพราะมีผลประโยชน์ อย่าทำดีเพราะอะไร แต่จงทำดีเพราะมีสำนึกที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
บางทีการช่วยคนนั้นไม่อาจรอเวลาได้ บางทีการที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่อาจจะรอเวลาได้เช่นเดียวกัน  หากคิดว่าจะเปลี่ยน ศิษย์จงเปลี่ยน หากคิดว่าจะแก้ไข จงแก้ไข หากคิดว่าตัวเองทำไม่ได้เมื่อตัวเองพร่ำดูถูกตัวเองแล้ว  จะมีใครที่จะชมตัวเองได้ไหม (ไม่ได้) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง)
ถ้านั่งช้าก็ต้องถูกเหล่ การเหล่ของคนเป็นการทำโทษไหม เคยถูกใครเหล่ไหม (เคย) อย่างนี้ก็ถูกทำโทษทุกคนแล้วใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนบางทีต้องทำหลับตาข้างหนึ่ง ต้องเลือกที่จะรู้จักหลับตา และหลับตาให้ถูกกับสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เขาผิดเราทำหลับตาข้างหนึ่งเป็นไม่เห็น  แต่ว่าไม่เป็นผลดีต่อเขาและส่วนรวม แต่หากเราเตือนเขาไปแล้วเขาไม่ฟัง เราเตือนไหม (ไม่เตือน,เตือน)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบว่า เตือน ยกมือขึ้น และผ้ที่ตอบว่า ไม่เตือน ยกมือขึ้น)
คนที่ไม่ยกมือ ยกมือขึ้น  มนุษย์โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ชอบให้ความร่วมมือใดๆ รอดูท่าก่อน รอดูใครทำผิด ใครทำสำเร็จ หากสิ่งใดเราไม่ลงทุนเราจะได้มาไหม (ไม่ได้)  ทำการค้าต้องลงทุนถึงได้กำไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การบำเพ็ญต้องลงทุนถึงจะได้กำไร จริงหรือเปล่า (จริง)  กำไรของการบำเพ็ญคือเมื่อผิดครั้งหนึ่งแล้วย่อมไม่ผิดอีก คนที่ไม่เคยทำอะไรเลยก็คือคนที่ไม่ทำผิดอะไรเลย (จริง)  ใครว่าถ้าหากเราเตือนเขาไปแล้วเขาไม่ฟังเราเลยเราก็จะไม่เตือน ยกมือขึ้น  ไหนใคร ถ้าเราเตือนเขาไปแล้ว เขาไม่ฟังแต่เราก็ยังเตือนเขาไป ยกมือขึ้น คนประเภทแรกเป็นคนที่มีความอดทนมากในการที่จะทนเก็บปากเก็บคำตัวเอง  คนประเภทที่สองเป็นคนที่ขี้บ่นมาก แต่ว่าที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าคนประเภทแรกดีหรือไม่ดี คนประเภทที่สองดีหรือไม่ดี นี่เป็นความผิดพลาดของมนุษย์อยู่อย่างหนึ่งที่ชอบพูดแต่เรื่องผิดกับถูก อะไรก็แล้วแต่ที่เราพูดว่าผิดหรือถูก ถ้าหากว่าเราไปว่าคนอื่นผิด แล้วเราถูกหรือเปล่า ทุกเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในโลกนี้รอบตัวเราและเป็นความผิดพลาดของเรา และเป็นความผิดพลาดของผู้อื่นนั้น ล้วนมีเราเป็นส่วนหนึ่งด้วย ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องฝึกฝนความเมตตาให้มากเพราะว่าความเมตตานี้ ทำให้เรามีดวงตาใสสว่างมากขึ้น ไม่มองโลกอย่างสีขาวและสีดำ และไม่มองโลกอย่างมีสีสันมากเกินไป รู้จักสำรวมสุขุม และรู้จักทำตนให้ดี หากว่าเราทำตนแล้วคนอื่นยังว่าเราไม่ดี ถามว่าเราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ศิษย์จงอย่าโกรธผู้ที่เดินมาว่าศิษย์ เพราะว่าคนที่เดินมาว่าคือคนที่รักศิษย์ที่สุดในโลก ทุกวันนี้มีคนว่าเรามากไหม (มาก)  ยิ่งสนิทยิ่งว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งเป็นคนในบ้านยิ่งว่ามากเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าศิษย์อยู่ในโลกนี้โดยปราศจากคนรัก ดีไหม (ไม่ดี)  แต่อาจารย์บอกว่าคนที่รักศิษย์คือคนที่กำลังว่ากล่าวตักเตือนศิษย์อยู่ทุกวี่ทุกวัน อย่างนั้นศิษย์รำคาญเขาดีไหม (ไม่ดี)  เบื่อคนที่ว่าเราดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นวันนี้กลับไปเปิดประตูบ้านปุ๊บ เจอแล้วคนบ่น เห็นเงามาแต่ไกลก็รู้เลยว่าใคร ใช่หรือเปล่า ที่นี้แทนที่จะเดินหนีไปเหมือนทุกครั้งหรือแสดงอาการไม่พอใจ จงทำอย่างไร (ยิ้ม)  จงนึกถึงอาจารย์ แล้วจงยิ้ม ทำได้ไหม (ได้)  สามวันให้หลังเขายังบ่นอยู่เลย ยิ้มไม่ยิ้ม ใครยิ้มยกมือขึ้น หนึ่งเดือนให้หลังคนนี้ยังบ่นอยู่เลย ยกมือขึ้น ต่อไปหนึ่งปีให้หลังคนนี้ยังบ่นอยู่เลย ยกมือขึ้น
ทำไมอาจารย์ถึงพูดอย่างนี้ ถามว่าคนในครอบครัวอยู่กันมากี่ปีแล้ว ถามว่าเขาเคยเปลี่ยนอะไรตัวเองไหม เคยไหม (ไม่เคย)  ส่วนใหญ่ไม่เคย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามกลับใหม่ เราเคยเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม (ไม่เคย)  นั่นแหละคำตอบ เพราะว่าเราเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วคนอื่นจะเปลี่ยนอะไรตัวเองไหม (ไม่เปลี่ยน)  เราผู้มีสติเหนือทุกๆ อย่างในเรือนกายของเรา เราผู้รู้ถ้วนเท่าทุกอย่างที่เราทำทั้งผิด ทั้งถูก  เรายังไม่เคยเปลี่ยนตนเองสักครั้ง รู้ว่าผิดแต่ว่าต้องทำนิดหน่อย รู้ว่าผิดแต่ก็ยังจะต้องทำไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่น มนุษย์มักมีเหตุผลให้กับตัวเองอยู่เสมอๆ เหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้ฉลาดนั้นใช้ แต่ถามว่าเราฉลาดแบบนี้กลายเป็นคนที่โง่ที่สุดหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  เราอาศัยเหตุผลมาทำร้ายตัวเองอยู่เนืองนิตย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าการมีเหตุผลของเราทุกครั้งๆ แสดงถึงความฉลาดของเรา ใช่หรือเปล่า การมีเหตุผลทุกครั้งๆ ของศิษย์นั้นแสดงถึงความเฉลียวฉลาดในตัวของศิษย์มาก แต่มันแสดงถึงความมืดบอดในทางธรรมของศิษย์เช่นเดียวกัน ฉะนั้นการมีเหตุผลให้กับตัวเองอยู่ทุกเมื่อ ก็เพื่อไปถกเถียงกับคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งเถียงยิ่งเป็นอย่างไร  ยิ่งเถียงยิ่งแพ้ เพราะว่าเราเถียงเขาแต่เราด่าตัวเอง ยิ่งเถียงจึงยิ่งแพ้
คนไทยเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่ไม่ชอบถูกการบังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชอบให้คนอะลุ่มอล่วยให้กับตน แต่เรานั้นเติบโตอย่างคนที่ไม่มีทิศทาง เพราะว่าขาดวินัยมากเกินไป เราไม่ให้ใครบังคับ แต่เราบังคับตัวเองไหม (ไม่)  เราก็ไม่ชอบให้ใครบังคับเรา พ่อแม่บอกว่าสิ่งใดนั้นไม่ดี ครูบาอาจารย์สอนว่าสิ่งใดไม่ดี หรือคนรู้จักบอกว่าสิ่งนี้ไม่ดี เรามองว่าเขามาวางกฎกับเรา บังคับเราไม่เห็นใจเรา แต่ถามว่าเราเคยบังคับตัวเองหรือเปล่า เราก็ไม่บังคับตัวเอง เพราะฉะนั้นถามว่าเราจะเจริญเติบโตไปทางไหน
ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์ของจิตแห่งความเป็นพุทธะเหมือนกันเท่ากัน แต่เมื่อเติบโตมาด้วยความรู้สึกชอบอิสรภาพมาก ก็โล้ซ้ายโล้ขวา มีไม้มาปักสักอันหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นความยากลำบากในชีวิต รู้สึกเป็นความทุกข์ที่จะต้องถูกเกาะกับกิ่งไม้นี้ วินัยนี้ ระเบียบอันนี้ แต่ถ้าเราทนเกาะกิ่งไม้นี้เจริญเติบโตไป เราจะเป็นลำต้นที่ตั้งตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเห็นต้นไม้บางต้นขึ้นมาแล้วเอียงๆ ไหม ถามว่าต้นไหนดูสวยงามมากกว่ากัน ต้นไหนจะเจริญมาสมบูรณ์มากกว่ากัน (ต้นตรง)  เพราะฉะนั้นเราจงตั้งจิตใจของเราให้ตรง เพื่อเรานั้นเติบโตมาแบบตรงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดว่าเติบโต บางคนบอกว่าแก่แล้วไม่โตแล้ว จิตใจมีแก่มีเด็กหรือเปล่า (ไม่มี)  จิตใจไม่มีความแก่ จิตใจไม่มีความเด็ก จิตใจเป็นสิ่งที่อยู่เหนือภาวะทั้งสอง แต่ศิษย์ฉุดจิตใจให้ต่ำและตกอยู่ภายใต้ภาวะของโลกที่ศิษย์นั้นบอกว่าดีและไม่ดี ใช่และไม่ใช่ ได้และไม่ได้ ขาวและดำ วันไหนศิษย์ฉุดจิตใจของศิษย์ลงไปในโคลนดำวันนั้นความดีของศิษย์ยังคงอยู่ไหม ความดีของศิษย์ยังอยู่ เพราะฉะนั้นมนุษย์เป็นสิ่งพิเศษที่เมื่อกลับใจเมื่อไรไม่มีสาย แต่หากว่าใจของศิษย์เป็นใจที่ชั่วร้ายเป็นใจที่ไม่ดี ศิษย์จะถูกกรรมต่างๆ  ทำลายล้าง ความชั่วร้ายนี้ไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะฉะนั้นเมื่อวันใดที่ศิษย์หลงไปทำกรรมไปสร้างบาปเวรกรรม ไม่ใช่สิ่งต่างๆ ไปทำลายศิษย์ แต่คือความไม่ดีในใจศิษย์ทำร้ายตัวเองอย่างถึงที่สุด ถามว่าเมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ศิษย์ควรขจัดอะไร ขจัดคนรอบข้างที่เลวร้ายหรือขจัดจิตใจที่ไม่ดีของตนเอง (ขจัดจิตใจที่ไม่ดีของตนเอง)  เราจึงควรขจัดจิตใจที่ไม่ดีของตัวเองถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  มองไปรอบข้างทั่วทั้งโลกนี้เท่าที่ตาของศิษย์เห็น ถามว่าสิ่งใดที่ศิษย์ควรขจัดบ้าง เพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี บ้านที่ไม่อบอุ่น หรือสังคมที่เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ หรือคนรอบข้างของศิษย์ที่ทำร้ายศิษย์ทั้งกาย วาจา ใจ  อะไรที่ศิษย์ควรขจัดไหมในโลกนี้ (ไม่มี)  ทั่วโลกนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่ศิษย์ควรขจัด มีอย่างเดียวที่ควรขจัดคือจิตใจของศิษย์เอง ด้วยการมองเห็นแล้วว่าทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดที่แย่เกินจิตใจของเราที่เป็นอยู่ จิตใจเราแย่ที่สุด จริงไหม (จริง)  อย่าคิดว่าความผิดเพียงเล็กน้อยที่เราเป็นนั้นแล้วบอกว่า อาจารย์ผิดแค่นี้ถึงต้องมาขจัดตัวเองเลยหรือ มีบาปใดๆ บ้างที่เล็กอยู่อย่างนั้นตลอดไป    ทุกอย่างนั้นเจริญเติบโตเหมือนกับศิษย์ที่เจริญเติบโต ความรู้สึกผิดใจกับใครเล็กๆ  น้อยๆ  ย่อมนำมาซึ่งการไม่มองหน้าใครเลยในวันข้างหน้า ความรู้สึกที่ไม่ชอบใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมนำมาซึ่งความไม่ชอบใจในสิ่งใดเลยในวันข้างหน้า
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงที่สุดคือจิตใจของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่เปลี่ยนแปลงจิตใจของตนเองอยู่ทุกเมื่อ ระวังคำพูด ระวังการกระทำ และเปลี่ยนแปลงจิตใจของตัวเองให้ดีขึ้น ถึงจะเรียกว่าผู้บำเพ็ญ หลายๆ คนจึงยังเป็นผู้บำเพ็ญที่ยังก้ำกึ่ง เพราะว่าถึงแม้จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญมานาน แต่จิตใจของเรา ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่กล้าพูดออกมา แต่ตัดพ้อคนอื่นอยู่ในใจ  ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเป็นอย่างไร ลงเมล็ดพันธุ์แห่งอคติความไม่ดีไว้แล้ว ลงเมล็ดพันธุ์แห่งอกุศลไว้แล้ว ถามว่าเมล็ดพันธุ์นั้นไม่เจริญเติบโต ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  หากลงเมล็ดพันธุ์แห่งกุศลกรรมไว้แล้วเจริญเติบโตได้หรือไม่ (ได้)  หากแต่ว่าทำด้วยต้องการให้คนอื่นชมนั้นเป็นความหลงผิดอย่างยิ่ง สมมุติว่าเราทำโดยที่ไม่มีใครเห็นเลย มีความสุขหรือไม่ (มี)  หากว่าเราทำโดยไม่มีผู้อื่นเห็นเลยเราก็ย่อมมีความสุข แต่หากว่าเราหวังให้คนอื่นเห็น เราก็ยังมีความสุขไม่เต็มที่
ถามว่า ความสุขที่เต็มที่กับไม่เต็มที่อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจของศิษย์เอง โลกนี้จักรวาลนี้ จึงไม่มีอะไรที่เราต้องใส่ใจมากกว่าจิตใจของเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)  ต้องอยู่ร่วมกับคนโกรธด้วยความไม่โกรธ จงอยู่ร่วมกับความชังด้วยความไม่ชัง จงอยู่ร่วมกับผลประโยชน์ด้วยความไม่อยากได้ผลประโยชน์ใดๆ จงอยู่ร่วมกับความดี คนดี ด้วยความสุขใจ ทำได้ไหม (ได้)  อาจารย์พูดวนไปวนมางงหรือไม่ (ไม่งง)  ไม่งงแสดงว่าเมื่อกลับไปจะสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น อย่างน้อยเราต้องได้รับสายตาชื่นชมจากใครบ้าง เมื่อเราเปลี่ยนไป ให้เวลาตัวเองสักเท่าไรดี ห้าวันพอไหม ใครจะเปลี่ยนแปลงอะไรตนเองบ้าง กี่วัน (อยากเปลี่ยนแปลงความไม่มีอคติอยู่ในใจ หนึ่งอาทิตย์, อยากเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนพูดเพราะขึ้น, อยากเปลี่ยนแปลงความโลภของตนเอง, เปลี่ยนแปลงตนเองเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้)  อย่างนี้เรียกว่าคนใจถึง แต่การกระทำถึงหรือไม่ต้องหมั่นทบทวนตนเอง
คนนั้นมีกิเลสอย่างหยาบ และกิเลสอย่างละเอียด สิ่งที่ศิษย์พูดมานั้นเป็นกิเลสอย่างหยาบ บางอย่างเป็นกิเลสอย่างละเอียด สิ่งใดที่ไปผูกกับจิตใจมากจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ เพราะจิตใจมนุษย์นั้นเป็นจิตใจที่ซับซ้อน อย่างใดที่เป็นกิเลสอย่างหยาบนั้นสามารถขจัดโดยง่าย ปกติเราบอกว่าหยาบไม่ดี แต่กิเลสหยาบดีไหม กิเลสหยาบกลับเป็นผลดีต่อเรา เราสามารถขจัดง่าย เป็นกิเลสอย่างละเอียดจะขจัดยาก อย่างเช่นบอกว่า ขี้บ่น ขี้บ่นนี่หยาบหรือละเอียด ขี้บ่นนั้นเป็นกิเลสที่ละเอียดยิ่งเสียกว่าความโกรธ ถามว่าบ่นเพราะอะไร  บ่นเพราะใจมันคัน มันต้องเกา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เกาไม่ถึงที่คันไม่มันสะใจ ไม่เลิก ใช่ไหม”(ใช่แต่ถามว่าทำไมความโกรธจึงเป็นกิเลสที่หยาบกว่า เพราะว่าเมื่อมีคนๆ หนึ่งมาว่าเราในคำที่เราไม่ชอบ คนๆ นี้ว่าเรา ถ้าเราโกรธจนกลั้นไม่ไหวเราจะทำอย่างไร เวลาเราโกรธเราอาจจะออกมือ ออกเท้า และก็พูดโต้ตอบไป พูดโต้ตอบไปต้องใช้ความคิดไหม (ไม่ออกมือออกเท้าต้องใช้จังหวะ เพราะฉะนั้นความโกรธเป็นเรื่องที่โต้ตอบยากหรือง่าย (ง่ายยาก อาจารย์ถามว่าโต้ตอบยากหรือง่าย ไม่ได้ถามว่าตอบกลับยากหรือง่าย โต้ตอบคือการใช้ปฏิกิริยา ใช้ร่างกายปฏิกิริยาตอบกลับไป แต่ศิษย์นั้นมีสนามสอบบ่อยๆ อยู่แล้ว ใช่หรือไม่(ใช่ความโกรธนั้นต้องการสนามหรือเปล่า กิเลสทุกเรื่องที่ศิษย์พูดมาอยากขจัดนั้นมีสนามทั้งสิ้น แต่หากศิษย์มองให้ดีสนามต่อสนามเลยนะ ทั้งวันทั้งคืน มีสนามสอบอารมณ์ สนามสอบความประพฤติ สนามสอบจิตใจทั้งวันทั้งคืน สนามต่อสนาม หลุดจากเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น จากเรื่องนั้นไปเรื่องโน้น จากเรื่องโน้นไปเรื่องนี้วนกลับมาใหม่เป็นวงกลม  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องมีสติตามทันทุกๆ อย่าง ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตนเองแม้ว่าเราจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เปอร์เซ็นต์ทำได้ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่หากถ้าเราหมดกำลังใจในตัวเองแล้ว เราปล่อยตัวเองไปวันๆ  แล้ว มันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ  เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าสอบครั้งหนึ่งอยากจะได้ที่ ๑ ต้องเตรียมตัวของตัวเอง ต้องเตรียมใจตัวเอง
เมื่อใดที่ศิษย์อยากจะเปลี่ยนแปลงคนอื่น ศิษย์จงไปปลุกสำนึกของเขาให้ตื่นขึ้น สำนึกจะทำให้เขารู้ว่าสิ่งใดถูกและผิด สิ่งใดบาปและบุญ เหมือนดังที่อาจารย์กำลังปลุกสำนึกของศิษย์เดี๋ยวนี้เช่นกัน ไม่มีข้อธรรมข้อใด ที่สรุปได้ว่าศิษย์ควรจะทำอะไรได้บ้าง มีแต่ตัวของศิษย์เท่านั้นที่รู้ว่าศิษย์ควรจะทำอะไรได้บ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การปลุกสำนึกของคนเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการที่ศิษย์อยากจะปลุกสำนึกผู้อื่น  ศิษย์จะต้องทำงานเดียวกับพุทธะ แต่แปลว่าหากศิษย์กำลังจะเปลี่ยนแปลงใครสักคนหนึ่ง ศิษย์กำลังทำงานแห่งพุทธะ ฉะนั้นเวลาเปลี่ยนผู้อื่น ถามว่าพุทธะเกลียดเขาไหม (ไม่เกลียด)  แต่ความเมตตา ปรารถนาดี เข้าใจเห็นอกเห็นใจเท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนผู้อื่นให้งดงามขึ้นได้
วันนี้หากกลับไปแล้วพบใครไม่ถูกใจ ศิษย์อยากจะเปลี่ยนเขา ศิษย์ต้องทำงานเดียวกับพุทธะ ต้องปลุกจิตสำนึกแห่งเขาให้กลับคืนมา  ฉะนั้นคนที่ไปโปรดผู้อื่นต้องเป็นพุทธะก่อน ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เป็นพุทธะหรือไม่ ทุกวันตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ๒๔ ชั่วโมง เราทำตัวเหมือนดั่งมนุษย์  หรือเหมือนดั่งพุทธะ (มนุษย์)  ทำตัวเหมือนอย่างมนุษย์ เราจึงโปรดใครไม่สำเร็จ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราช่วยใครไม่รอดเพราะเราเอาตัวเองไม่รอด ศิษย์เอ๋ยการที่จะช่วยคนอื่นต้องเอาตัวเราเป็นต้นทุน เงินซื้อใจคนได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เงินซื้อใจคนไม่ได้แต่ความรู้สึกที่เขาเคารพเรา เราจึงจะสามารถซื้อใจเขาได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เราหลับหูหลับตาดีกับคนอื่นหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเขาทำผิดเรายังต้องทนหรือเปล่า ไม่ใช่นะ  ถ้าเขาทำผิดเราไม่ใช่ทน  แต่จงใช้การกระทำของเราแทนคำพูด ศิษย์จึงต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาอย่างล้ำเลิศ ในการที่จะพูด ในการที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ หรือแม้กระทั่งถ้าจำเป็นต้องพูดเพื่อให้คนอื่นเข้าใจ ศิษย์ยังต้องรู้จักพูด จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าดุๆ เอ็ดๆ ว่าๆ ไม่มีใครฟัง จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะมนุษย์ทุกคนดื้อดึง จริงหรือไม่ (จริง)  ยอมรับความจริงนะ
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ทำกันตลอดทั้งวันทั้งคืน บางทียิ่งตกดึกยิ่งทำบ่อยเลยคือ การพูด ยิ่งมีเวลาว่างก็ยิ่งพูดบ่อยมากขึ้น ยิ่งตกดึกว่างจากงานก็ยิ่งพูดบ่อยมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะสอนศิษย์เรื่องการพูดคร่าวๆ
พูดมากเกินไปไม่ดี ใช่หรือไม่  (ใช่)  พูดน้อยเกินไปก็ไม่ดี  เคยเห็นคนถามคำตอบคำหรือเปล่า แต่ในใจมีหลายคำเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตรงกลาง ความพอดี ในมนุษย์หายากมาก ความพอใจในมนุษย์นั้นก็หายากมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เป็นผู้นำต้องระงับความรู้สึก ดีใจ และพอใจ ในสิ่งใดๆ เพราะเมื่อไรที่เรามีความพอใจในสิ่งใด  จะมีผลกระทบไปยังผู้ที่เดินตามเรา ให้เขาพยายามทำให้เราพอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
พูดมากเกินไปไม่ดี
พูดน้อยเกินไปไม่ดี
พูดกำกวมเกินไปไม่ดี
พูดชัดเจน (ตรง) เกินไปไม่ดี
พูดเรื่องไม่มีมูลไม่ดี
พูดเรื่องที่ยังไม่แน่นอนไม่ดี
ไม่รู้แล้วพูดก็ไม่ดี
เรื่องยาวพูดเป็นสั้นก็ไม่ดี
เรื่องสั้นพูดเป็นยาวก็ไม่ดี
พูดโกหกไม่ดี
พูดนินทาไม่ดี
พูดคำหยาบไม่ดี
สำรวมวาจาคิดก่อนพูดจึงดี
พูดนินทาไม่ดี
ถามว่ามีใครชอบถูกนินทาไหม (ไม่มี)  ถามว่ามีใครเคยพ้นถูกคนอื่นนินทาไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นการถูกนินทา เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า (ปกติ)  การถูกนินทาจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเห็นใครแอบพูดอยู่ข้างหลังเรา ให้ทำอะไรดี (ทำใจ)  วันนี้อาจารย์พูดถึงเรื่องใจเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นถามว่าถ้าหากถูกคนนินทาก็ให้ทำ (ใจ)  ทำใจอะไร (ทำใจให้เยือกเย็น)  เวลาอยากฟังเขานินทาต้องทำอย่างไร ต้องใช้หูอย่างแรง เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  อาจารย์ว่าเหนื่อยกว่าไปยกน้ำอีกนะ  เพราะฉะนั้นถ้าพบใครนินทาว่าร้ายจงทำใจปล่อยวาง เรื่องราวในโลกนี้จะผิดหรือจะถูก เวลาเป็นผู้พิสูจน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้คนผิดกลายเป็นถูก แม้คนถูกยังกลายเป็นผิด ฉะนั้นเราจึงไม่ใช่คนที่ถูกตลอดไป เราจึงไม่ใช่คนที่ผิดตลอดไป ต้องรู้ว่าเรานั้นถูกหรือผิด จึงจะเป็นอันที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงธรรมะ ชื่อเพลง เหรียญสองด้าน)
เหรียญสองด้าน หมายถึงอะไร หมายถึงการพูดดีหรือร้ายนั้นอยู่บนปากอันเดียวกัน คิดดีหรือคิดร้ายอยู่บนความคิดอันเดียวกัน ทำดีและไม่ดีนั้นอยู่ในคนเดียวกัน ฉะนั้นตัวเรานี้คือเหรียญสองด้าน เรานี้มีทั้งดีและร้าย ขอศิษย์นั้นจงเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีมอบให้ตัวเองและผู้อื่น ทำได้ไหม (ได้)  รอวันใดวันหนึ่งศิษย์ไม่ได้เป็นเหรียญสองด้านแต่เป็นคนที่มีเอก มีหนึ่งเดียว มีแต่ด้านดี จิตใจก็จะเบาใสและลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จิตใจก็จะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ การกระทำเมื่อสูงส่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูงส่งขึ้น อย่าถามว่าทำไมโชคชะตาไม่ค่อยดี อย่าถามว่าทำไมวันนี้ยังมีเคราะห์ ยังมีโศก ลองถามตัวเองว่าศิษย์ของอาจารย์วันนี้เป็นคนที่คิดดี พูดดี หรือยัง คนที่มีความทุกข์ถึงแม้จะตกอยู่ในความทุกข์ก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะจิตใจนั้นไม่มีความทุกข์ด้วย ขอให้จิตใจศิษย์ก็เช่นเดียวกัน
(พระอาจารย์ให้วงพระโอวาทครอบพระโอวาท)
วงคำว่าเตือนนี่ต้องเตือนตัวเองบ่อย ๆ ยิ่งอยู่ในโลกที่ก้าวหน้ามากเท่าไร ยิ่งต้องเตือน
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมไปนำดอกหญ้ามา)  
ชีวิตทุกคนมีปัญหา ปัญหานี้เหมือนดอกไม้ที่มีดอกอยู่บนนี้ แต่ก้านมีกี่อัน (หนึ่งอัน) ก้านตรงนี้แตกมาจากก้านตรงนี้  อาจารย์ให้ไว้ในกลอนนำ ไม่รู้ว่าศิษย์จะเข้าใจหรือเปล่า จึงขออธิบายไว้ตรงนี้
จับตรงก้านดอกพุ่มที่ชูช่อ        จับความคิดต้นตอของปัญหา
หลายหลายสิ่งมีเหตุเดียวกันนา   สีบุปผาพาหลงผิดอย่าติดใจ
ปัญหาที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่างของศิษย์มีเหตุมาจากต้นตออันเดียวกัน อย่างเช่นเมื่อยามที่ศิษย์โกรธ  เมื่อศิษย์มีอารมณ์ อารมณ์ก็ทำให้ศิษย์วุ่นวายใจ เป็นทุกข์กลัดกลุ้มใจ อารมณ์ความโกรธก็ทำให้ศิษย์ไปสร้างเรื่องต่างๆ นานา อารมณ์ก็ยังทำร้ายสารพัด แล้วแต่อารมณ์นั้นจะพาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อเราโกรธ เรานั้นก็เปลี่ยนเป็นเกลียด เปลี่ยนเป็นแค้น เปลี่ยนเป็นอะไร เปลี่ยนจากคนเดิมไปอีกหลายหน้า จริงหรือไม่ (จริง)
เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าหลายๆ สิ่งมีสาเหตุอันเดียวกันปัญหาบางเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้มีสาเหตุมาจากอันเดียวกัน บางทีเรามีอยู่สามปัญหาแต่สามปัญหานี้มีเหตุอันเดียวกัน  ศิษย์เอ๋ยมนุษย์มักคิดว่าปัญหาต้องแก้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีบางปัญหาให้เวลาเป็นตัวแก้ มีบางปัญหาแก้ตัวเอง มีบางปัญหาเรานั้นไม่สามารถที่จะแก้ได้ตลอดชีวิต เพราะไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา แต่มีปัญหาเดียวที่ศิษย์นั้นเปลี่ยนได้ คือปัญหาที่เกิดจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าปัญหาของศิษย์เหมือนดอกไม้ตรงนี้ ปัญหามีมากมาย มีหลายสี มีหลายอารมณ์  แต่ปัญหาทั้งหลายบางทีมาจากอย่างเดียวกัน บางทีปัญหาที่ศิษย์ทะเลาะกับคนในบ้านทุกวันเกิดจากสาเหตุอย่างเดียว บางปัญหาที่ศิษย์ไม่สามารถทำงานร่วมกับใครได้ เกิดจากปัญหาเดียว ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยผู้บำเพ็ญธรรมจึงย้อนมองส่องตน แล้วอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหลักใหญ่ ถ้าเรายอมรับว่าเราเป็นผู้ที่ผิดก่อน เมื่อเรายอมรับว่าเราผิด เราจึงแก้ได้ อาจารย์บอกในบทสุดท้ายบอกว่า
สีบุปผาพาหลงผิดอย่าติดใจ
เพียงแต่อาจารย์ไม่มีดอกอื่น ดอกนี้ไม่มีสี เหมือนกับดอกเข็มเห็นไหมมีก้านอันเดียว แตกออกมาเป็นสี สีของดอกเข็ม เวลาศิษย์มองดอกไม้มองที่ไหน (สี)  ศิษย์มองสีของดอกไม้ ไม่ได้มองก้านเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อกิเลสมันยวนตา ศิษย์มองอะไร ศิษย์ก็มองที่กิเลสก่อน ศิษย์ไม่ยอมมองที่ต้นตอของมันก่อน วันนี้การบำเพ็ญธรรมสอนให้ย้อนกลับ ย้อนกลับไปสู่ต้นตอของปัญหาแล้วย้อนกลับเข้าไปในตัวเอง จับที่ก้านจับที่ต้นตอของปัญหา ศิษย์จะรู้ว่าปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นที่เรา เพราะมีเราจึงมีทุกข์ ไม่มีเราไม่มีทุกข์ แต่ถามว่าตอนนี้ไม่มีเราได้ไหม ตอบว่าได้ ก็ใช่ ตอบว่าไม่ได้ ก็ใช่ ตีตัวเองทีไรก็เจ็บ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถามว่าว่าไม่มีเราที่ไหน  ไม่มีเราคือไม่ยอมมีอัตตากับสิ่งนั้นๆ อย่ามีอัตตา อย่ายึดติด อย่าถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย ทำได้ไหม
ถ้าศิษย์ทำได้ปัญหาของชีวิตศิษย์จะเบาลง อยากปัญหาเบาลงไหม (อยาก) ปัญหาเบาลงพูดจาก็ดีขึ้น ความประพฤติก็ดีขึ้น แล้วถามว่าศิษย์จะห่างไกลความสุขไหม เจ้าจะมีความสุขมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้ แต่อย่าได้วางมาตรฐานความสุข ว่าคือการที่ได้ดั่งใจเรา เรื่องอาจจะไม่ได้ดีที่สุดสำหรับเรา อาจจะดีที่สุดสำหรับผู้อื่น แต่นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เพราะฉะนั้นจงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี และจงทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด ทำได้ไหม (ได้)  อย่าบอกว่าจิตใจของเราดี แต่ความประพฤติของเราไม่ดี อย่าบอกว่าโอกาสของเรามี เราเลยผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
ผู้มีคุณธรรมไม่จงใจในการแสดงคุณธรรมออกมาอย่างจงใจ คนที่มีคุณธรรมต่ำเขาจะพยายามแสดงออกมาเพื่อให้ผู้อื่นเห็น หรือทำคุณธรรมนั้นให้ปรากฏตามรูปแผนแบบอย่าง แต่จริงๆ คุณธรรมนั้นสามารถสร้างได้ทุกเมื่อ ดังเช่นว่าศิษย์อยู่ในบ้าน หากยังมีพ่อแม่อยู่ วันนี้ตักข้าวให้พ่อแม่กินหรือยัง วันนี้ยกน้ำให้กับคนที่กระหายหรือยัง วันนี้พี่น้องของเราไม่ทะเลาะกับเขาได้ไหม วันนี้เราทำตัวเองให้ดีมากขึ้น ทุกๆ วันของศิษย์นั้นจะดีขึ้นเรื่อยๆ อยากมีชีวิตที่ดีงามไหม (อยาก)
อยากมีชีวิตที่ดีงามศิษย์ต้องใส่ใจชีวิตของตัวเอง ทุกวันนี้ตามองออก ใส่ใจชีวิตของคนอื่น หู ใส่ใจฟังเรื่องราวของคนอื่น แต่ไม่เคยย้อนเข้า ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยมองเข้า เพราะฉะนั้นวันนี้มองกลับเข้ามา คนอื่นคือกระจกให้เรา
สมมติว่าวันนี้ให้เจ้าวิจารณ์ตัวเองหนึ่งอย่างให้กับคนที่ศิษย์นั้นไม่ชอบที่สุดฟัง วิจารณ์ตัวเราให้กับคนที่เราเกลียดที่สุด วิจารณ์ออกไหม ทำยากนะ แต่ว่าคนที่เขาเกลียดเราที่สุด เป็นกระจกที่ชัดเจนที่สุดที่จะบอกว่าเรายังผิดพลาดบกพร่องอะไรหรือเปล่า เพราะว่าเขาเกลียดเรา เพราะว่าเขาเห็นหน้าเราหรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ใช่คนเกลียดเราเพราะว่าเราทำตัวน่าเกลียด คนจึงเกลียดเรา คนชอบเราเพราะเราทำตัวน่ารัก ถูกไหม (ถูก) คนที่เกลียดเราที่สุดเป็นกระจกที่ชัดที่สุดในการส่องเรา จงไปขอให้คนอื่นอภัยให้ด้วยการแก้ไขตัวเอง อย่าพูดอภัยกันแต่ปาก
(พระอาจารย์เมตตาให้แสดงภาพพระโอวาทซ้อนพระโอวาท )
เป็นรูปอะไร (ต้นไม้) เป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้นไม้ต้นนี้เหมือนการเติบโตของการบำเพ็ญธรรมของที่นี้ ต้นนี้หมายถึงการเจริญเติบโต พื้นดินหมายถึง รากฐานอันมั่นคง รากหมายถึง อาวุโส เพราะฉะนั้นใบทุกใบ ที่เจริญเติบโตขึ้นไป ก็ในที่สุดก็ต้องล่วงลงสู่พื้นดินเพื่อบำรุงราก แล้วก็มีปุ๋ยขึ้นไปบำรุงเลี้ยงต้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าใครสำคัญกว่าใครหรือไม่ (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นจึงต้องเกื้อกูลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ตรงนี้มีต้นเล็กๆ อยู่ต้นหนึ่ง อาจารย์มีไว้ให้เพื่อให้รู้ว่าต้นใหม่ๆ ที่งอกขึ้นมา ก็เหมือนกับรุ่นน้องที่ตามขั้นมาได้  ต้นใหญ่แผ่ร่มเงาให้ต้นเล็ก แท้จริงแล้วต้นใหญ่และต้นเล็กเหมือนกันหรือไม่ (เหมือนกัน)
เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นต้นใหญ่ เรามีอำนาจ เรามีความยิ่งใหญ่ จงอย่าลืมว่าภายในของเรานั้นเหมือนกับต้นเล็กๆ เรามีภาวะที่อ่อนแออยู่ในนั้น  เมื่อเราเป็นต้นเล็กก็ขอให้รู้ว่า สักวันหนึ่งเราจะกลายเป็นต้นใหญ่ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นทุกๆ คนจึงต้องไม่แบ่งแยก รัก และร่วมมือร่วมแรงกันให้มากเข้าไว้ ทำได้ไหม (ได้)  อาจารย์ขอให้ศิษย์ทุกคนเติบโตเหมือนต้นไม้ในด้านการบำเพ็ญธรรม  แผ่ร่มเงาให้ผู้อื่น ไม่ใช่สามวันดี สี่วันไข้ แผ่บ้าง ไม่แผ่บ้าง  เมื่อเรามีเมตตา เราจะเปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ เมื่อเมตตาของเราขาด ถึงแม้ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ไม่มีใบเลย เป็นร่มเงาได้ไหม (ไม่ได้)  ต้นไม้ใหญ่ไม่มีใบก็ไม่มีร่มเงา ไม่มีใครชอบใจที่จะมาอยู่กับเรา เราก็กลายเป็นต้นไม้ที่ขาดใบ จริงหรือไม่ (จริง) 
อาจารย์ร้องเพลงไม่ดี แต่หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ฝึกหัดฝึกฝนแล้วก็ค่อยเป็นค่อยไป ดีหรือไม่ (ดี)  เพลงจะเพราะขึ้นเอง ถ้าหากศิษย์ไปหัดร้อง  แต่ถ้าไม่หัดร้อง ก็ไม่เพราะอยู่วันยังค่ำ 
วันนี้อาจารย์มานานแล้ว อาจารย์อยู่กับศิษย์ทีไร อาจารย์ก็ลืมเวลาทุกที ศิษย์รู้ไหมว่าอาจารย์รักศิษย์ แล้วศิษย์รู้สึกไหมว่าศิษย์นั้นรักตัวเอง  อาจารย์ไม่รู้ว่าคำว่ารักตัวเองของศิษย์ กับคำว่ารักตัวเองของอาจารย์นั้นจะเหมือนกันหรือเปล่า ถ้ามีความเห็นแก่ตัว ศิษย์จะไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย  แต่กับคนที่มีความเมตตา เป็นผู้ให้ คนที่รู้จักพูด มีวาทศิลป์ รู้จักสื่อสารเป็น คนพวกนี้จะได้รับในสิ่งที่ใครๆ ก็ไม่ได้รับ  โลกนี้มีเวลาสั้นมาก แม้จะยืดยาว เป็นความทุกข์ที่ยาวนานสำหรับศิษย์ แต่มันสั้นมาก สิบปีที่แล้ว ยี่สิบปีที่แล้ว มันผ่านไปเร็วใช่ไหม
ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่แถวหน้านี้ รากบุญดีทุกคน  แม้ว่าจะไม่ได้เลือกที่จะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง  แต่บุญก็ชักนำให้ศิษย์นั้นอยู่หน้าใครๆ  ไม่ใช่ว่าศิษย์ที่อยู่ข้างหลังบุญน้อยกว่าใคร  แต่ศิษย์นั้นยังบำเพ็ญไม่เท่า สั่งสมบุญกุศลมาไม่เท่า  เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น สำหรับการก้าวไปข้างหน้า อย่าดูถูกตัวเอง ไม่มีอะไรที่เมื่อยามมีร่างกายเป็นมนุษย์แล้วทำไม่ได้ มีแต่ไม่ยอมทำเท่านั้น  เมื่อก้าวไปข้างหน้า เมื่อวันใดเห็นคนเดินตามเรา ศิษย์เอ๋ย อย่าหลงตัวเอง  ความหลงตัวเอง ทำให้สิ่งที่สร้างมาทั้งหมดพังทลาย  ความหลงตัวเองเป็นกิเลสอย่างร้ายแรงของผู้บำเพ็ญ  ทำจิตใจให้สว่างเป็นเนืองนิตย์  ขอให้เป็นคนรู้จักคิด รู้จักปรึกษาหารือ รู้จักพูด รู้จักฟัง  ใครที่บ้านอย่ใกล้ๆ สถานธรรมที่นี่ ก็มาบ่อยๆ
อาจารย์ไม่ลืมศิษย์ทุกคน ยิ่งศิษย์ทำงานธรรมะมากเท่าไร อาจารย์ยิ่งลืมศิษย์ไม่ได้  แต่ศิษย์เวลายุ่ง เวลาไม่ว่าง อย่าลืมอาจารย์
ผ่านไปปีหนึ่ง ปีหน้า ปีไหน ขอให้ศิษย์กลับมา ถ้าหากว่าศิษย์นั้นท้อไป  ขอให้ศิษย์ศึกษาอย่างปะติดปะต่อ หากว่าศิษย์นั้นมีกำลังใจ มีเวลา  ธรรมะอาจจะเข้าใจยาก แต่หากศิษย์ให้เวลา ศิษย์ย่อมได้ในสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเวลา     ลาก่อนนะ












โอวาทพระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม
ศิษย์ที่นี่บำเพ็ญธรรมแล้วทุกข์หรือไม่ทุกข์  (ทุกข์,ไม่ทุกข์)  บำเพ็ญธรรมแล้วต้องมีความทุกข์ที่เบาลงเรื่อยๆ  ความทุกข์กับความกลุ้มเหมือนกันไหม ต่างกันตรงไหน  ทุกวันนี้บอกว่าเราไม่ทุกข์แต่เรากลุ้มใจใช่หรือเปล่า  ความกลุ้มมีบ่อยๆ  เมื่อรวมๆ กันก็กลายเป็นความทุกข์เหมือนกัน  เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่จะเอาความกลุ้มออกไปจากตัวเราด้วย  เรากลุ้มเพราะอะไร ส่วนใหญ่ที่กลุ้มใจอยู่เพราะว่าเอาชนะตัวเองไม่ได้ เอาชนะบางความคิดในจิตใจของเราไม่ได้ มีเรื่องที่ไม่สมหวังดังใจ  เวลาที่มาสถานธรรม มีหลายๆ สิ่งไม่เป็นอย่างที่เราคิด ใช่หรือเปล่า แต่อาจารย์จะบอกให้ จะบอกว่าอาจารย์ปลอบก็คงใช่ จะบอกว่าอาจารย์สอนศิษย์มองโลกในแง่ดีก็คงใช่  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นคิดในสิ่งที่ดีมากขึ้น เพื่อรอเวลาให้ทุกสิ่งนั้นดีขึ้นตามความคิดเรา  ถ้าหากว่าเรามัวแต่ผูกปมไว้ในใจ  ไม่มีวันดีขึ้นใช่ไหม
แล้วจงให้ตัวเองนั้นยิ้มบ่อยกว่าบึ้ง  ยิ่งยิ้มให้กับคนอื่นยิ่งเป็นเหมือนการแผ่เมตตา  อย่าให้คนมองออกว่าเรากลุ้ม อย่าให้คนมองออกว่าเราทุกข์  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าคนมองออกว่าเราทุกข์ คนมองออกว่าเรากลุ้ม แล้วเขาสงสารเรา  เขาเวทนาเรา เขาอยากจะช่วยเรา  แล้วเรามองเห็นคนอื่นกลุ้ม เราก็อยากจะช่วยคนอื่น  ทุกคนอยากจะช่วยกัน  แต่ทุกคนช่วยตัวเองไม่รอดใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้ยังทุกข์ยังกลุ้ม จงยิ้มให้กับผู้อื่น  อย่าให้คนอื่นเวทนาในตัวเรา  ขอให้เรานั้นสิ้นจากที่จะให้คนอื่นเวทนาเราอยู่เป็นประจำ  ให้เรายิ้มเหมือนโพธิสัตว์ที่ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสรเสรีด้วยหัวใจอันเสรี ด้วยการปล่อยวางที่ดี เข้าใจไหม
ใครที่เด็กที่สุดในตรงนี้  เด็กๆ มีเยอะส่งเสริมให้ดี  สร้างโลกที่สดใสให้เขาเติบโตในวงการธรรมนี้  แล้วสร้างโลกที่สดใสให้กับทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่
(พระอาจารย์เมตตาโยนแอปเปิลให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรม) 
เห็นไหมว่าธรรมชาติของคน เวลาอะไรตกลงมาตรงหน้าแล้วต้องยื่นมืออกไปรับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าความทุกข์มันตกลงมาตรงหน้าต้องรับไหม (ไม่รับ)  ถามว่าความทุกข์อยู่ที่ไหน (ใจ)  ความสุขอยู่ที่ไหน (ใจ)  ความทุกข์และความสุขเป็นสิ่งเดียวกัน  เมื่อทุกข์สิ้นสุขจะมา เมื่อสุขสิ้นทุกข์จะมา  ถ้าหากว่ากลัวทุกข์จะไม่ได้รับสุข  เพราะฉะนั้นจงอย่ากลัวทุกข์  แล้วก็ไม่ผยองใจที่ได้รับความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์มาก็รับทุกข์  โรคภัยไข้เจ็บ การงาน ความขัดแย้งใดๆ รับให้หมด  แต่รับแล้วจงมองเข้ามา  ย้อนมองตัวเอง
สิ่งที่ดีที่สุดในการบำเพ็ญ สำหรับคนที่บำเพ็ญนาน คือ 
๑. การย้อนมองตนเอง 
๒. ความอ่อนน้อมถ่อมตน 
สองเรื่องนี้ห้ามขาดเด็ดขาด  เพราะถ้าขาดเมื่อไหร่ เราจะสูงไปชนิดที่ไม่มีคนฉุด  เมื่อสูงเกินไปเป็นอย่างไร  เมื่อคนไม่ใช่อริยะจึงมีวันตก  ตกเมื่อไหร่เจ็บยิ่งกว่าตอนที่เราคิดว่าเราสุขแล้วอีก เข้าใจไหม (เข้าใจ)


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  รูปต้นไม้ และต้นกล้า

         จากต้นกล้าต้นเล็กเจริญใหญ่       แผ่ร่มเงากว้างไกลทั่วทิศา
ไม่อาจลืมรากเดิมแท้ความเป็นมา             ต้นแกร่งกล้ารากหยัดยืนด้วยความตั้งใจ
เพราะไม่หลงลืมตนจนพลั้งผิด                 เตือนชีวิตสูงสุดคืนสามัญได้
เพียงรูปต่างไม่แบ่งแยกจนเกินไป              เมื่อแจ้งในเอกนิรันดร์เข้าถึงสุญตา
ความเป็นกลางไม่ยึดมั่นอิสระ                  ถือสัมมาเป็นสรณะย่อมคงหนา
ต่างหนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันนา                  ต่างคุณค่าสำคัญสร้างสรรค์ไป





[๑] ปรมัตถ์                               ความจริงอันเป็นที่สุด
[๒] มโนมัย                                สำเร็จด้วยใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา