วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2549

2549-04-29 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร


西元二○○年歲次丙戌 初二             大眾恭求仙佛慈悲指示
วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙                สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
                                                         สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
  อย่าปิดบังความดีของใครใคร         อย่าอวดโอ้ในความดีอันของตน
อย่าทำร้ายความดีของผู้คน              เพื่อยกย่องบนความดีของตนเอง
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่สถานธรรมจินจง เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  อันชีวิตเกิดมาพร้อมคุณค่า              ใช้เวลาให้คุ้มค่าอย่างที่สุด
แสวงหาการบำเพ็ญสู่วิมุตติ[๑]             จะต้องหยุดซึ่งกิเลสในใจตน
น้องทุกท่านถือว่ามีวาสนา                 ทุกวันพาชีวิตตนไปทางไหน
ยังลอยเลื่อนแม้ตนเองยังไม่เข้าใจ        วันนี้มาเริ่มต้นใหม่นำตนเดิน
พิจารณาให้รอบคอบมองการณ์ไกล       อย่าหวังแต่เฉพาะหน้าใกล้ซึ่งความสุข
ปัญหามีหลายอย่างนำความทุกข์          แต่เหตุจุกส่วนใหญ่มาเรื่องเดียวกัน
ขอจงขึ้นจากทะเลสู่นาวา                 ขอเพียรหนาแก้ไขตนอย่างเอาจริง
ขอจงฉลาดเลือกเก็บและเลือกทิ้ง        ขอจงนิ่งในใจยามเผชิญอุปสรรค
สองวันนี้ฟังธรรมะค้นหาตน              ใครพบตนขอประคองตนเดินหน้า
ขอชีวิตจงสูงล้ำคุณธรรมนา              ขอเวลาให้บำเพ็ญได้ไหมเอย
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                แลเคารพพุทธระเบียบให้ถี่ถ้วน
ใช้ปัญญาฟังธรรมจึงไม่เรรวน            อวิชชา[๒]ชวนออกนอกทางอย่าละเมอ
ศิษย์พี่ย้ำวิญญูชน[๓]ทั้งชายหญิง           อันคนจริงมักเกิดในยุคคับขัน
อันความทุกข์คือบันไดเป็นขั้นขั้น          น้องก้าวผ่านกลางทุกข์เข็ญสุขเย็นใจ
ขอทุกคนสามัคคีเป็นข้อใหญ่              คนเก่านำคนใหม่ต่างศึกษา
อภัยกันอย่าโกรธกันภาพมายา            ให้เวลาเป็นผู้พิสูจน์คน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป            ต่างตั้งใจฟังธรรมะสู่จิตญาณ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                   ฮวา  ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙                                           
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
   หากมั่นใจก็จะมีแรงเดินมิยอมเหนื่อย  หากเข้าใจคงตามหาทางออกยังจุดหมายไม่มีอ่อนล้า  หากตั้งใจกำลังจะแกร่งมาเติมตอกย้ำบนความหวังเดิมไม่มีสร่างซา  อีกก้าวเดินอีกก้าวตาม
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถาน กตัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

   อย่ามั่นใจแต่สื่อความตามใจไม่รู้เรื่อง  อย่าเข้าใจเพียงยังใช้กันแค่มันสมอง ไม่ใช่ศรัทธา  อย่าตั้งใจโดยความฉลาดเกินไป  สุดท้ายแล้วตนก็สูงมากด้วยอัตตา  อย่าก้าวเดินอย่างวู่วาม

  อย่ามีความเห็นผิดชีวิตหนอ           งานที่ต่อจากคนอื่นระวัง
วานคนก้าวใจต้องเผื่อบ้าง               ไม่ทำครั้งนับได้อย่าอารมณ์
โลกสัพยอกสอนมาเดี๋ยวใจรก           ในคราโลกด้านทุกข์คลุกผสม
ไม่รู้เมื่อทนรับปรับอารมณ์               คนระบมว่าง่ายคล้ายรอเวลา
เรื่องโศกเกิดจะต้องสติรับ              เรื่องเศร้าจับทิศจุดหมายไม่ประสา
ปลงให้หนทางสะอาดชัดวิญญา          สำนึกช้าสำลักแล้วแววเศร้าใจ
อยากบำเพ็ญหลุดพ้นแต่ไม่ว่าง          ฤทัยห่างตัวแม้อยู่เสมือนไกล
ศรัทธาแม้ยังจะอยู่เต็มหัวใจ             ตัวห่างไกลห่างใจห่างบำเพ็ญ
                                                                       ฮา  ฮา  หยุด

         





 จับทิศทางแล้วพ้น   แม้ตัวห่างไกล  แม้ยังจะห่างไกล

 





พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ฟังมาค่อนวันแล้วเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยนะ นั่งฟังมาค่อนวันแล้วตอนไหนที่ชอบมากที่สุด  (ร้องเพลง)  แต่เราสังเกตนะว่าช่วงไหนที่มีดนตรีช่วงนั้นจิตใจจะกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ  แต่ช่วงไหนที่มีอาจารย์บรรยายธรรมขึ้นมาบรรยาย ใจก็เหี่ยวแฟบลงทันที รู้สึกไหม (รู้สึก, ไม่รู้สึก)     ถ้าภายในหัวใจตอนนี้มีเสียงดนตรีกำลังขับกล่อมอยู่ หน้าเราจะเป็นอย่างไร รู้สึกเบิกบานแจ่มใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้หัวใจเราเต็มไปด้วยความแค้น หน้าเราจะเป็นอย่างไร (เคร่งเครียด)  ถ้าใจของเราถูกสุมไปด้วยความผิดหวังล่ะ (ซึมเศร้า)  อย่างนั้นแปลว่าหน้าเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับใจมีอะไรฝังอยู่ในนั้น ถูกไหม (ถูก)  เมื่อไรที่ใจมีอะไรฝังอยู่ ไม่ใช่เป็นใจเพียวๆ ใจโดดๆ เมื่อนั้นหน้าเราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บางทีไม่ต้องหน้าก็ได้ สายตาก็มี ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนตอนนี้ถ้าใจท่านปฏิเสธรังเกียจเรา ตาก็เริ่มลอกแลกไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเวลาเราอยู่กับใครก็ตาม เราอยากให้หน้าเราบึ้งตึงเหมือนยักษ์ หรือว่าหน้าเรายิ้มแย้มแจ่มใส (ยิ้มแย้มแจ่มใส)  แล้วควรจะปลูกอะไรไว้ในใจดี (ปลูกดอกรัก)  มีใครจะปลูกอะไรในใจอีก ที่ทำให้เราสามารถยิ้มได้ตลอดเวลา ยิ้มได้แม้มีภัยมา แล้วก็ยิ้มได้แม้เจอสิ่งที่เราไม่อยากจะเจอ ปลูกอะไร (ปลูกธรรมะ) 
ธรรมะข้อไหนที่ปลูกแล้วทำให้เรายิ้มได้ตลอดเวลา (เมตตา)  ลูกเราเรามีความเมตตาไหม (มี)  เราปลูกความเมตตาให้ลูกตลอด แต่ลูกก็ทำให้เราเจ็บช้ำได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปลูกอะไรในใจดี  เมตตาก็ดีนะ แต่เมตตาอย่างไรล่ะ ปลูกอะไรคิดออกไหม  (ปลูกธรรมะ)  ธรรมะข้ออะไรล่ะที่ทำให้เรารับได้แม้คนที่เราไม่ชอบ ทนได้แม้คนที่เรารังเกียจ และสู้ไหวแม้ภัยกำลังจะมา          (ปลูกไมตรี, ปลูกความอดทน) เราไม่ได้บอกว่าคนที่ตอบ ตอบผิด ใช้ได้หมดทุกอย่างที่เขาตอบมา เจอคนที่เราทนไม่ได้ เราอดทนได้ไหม เจอคนที่เรารังเกียจ เราเมตตาได้ไหม เจอคนที่เรารัก เราจะปลูกอะไรดี (ปลูกความรักตอบ, ปลูกไมตรีจิต)  แปลว่าเราต้องปลูกอะไรก็ได้ ที่สามารถนำไปใช้กับคนๆ นั้นได้อย่างถูกต้อง อย่าปลูกอย่างตายตัว  เพราะบางทีเราไม่ชอบคนๆ นี้ แม้เราจะปลูกความเมตตา แต่เมื่อเมตตาจนถึงที่สุดแล้วเราก็ไม่อยากเมตตาอีกแล้ว เราต้องเปลี่ยนจากปลูกเมตตาเป็นให้อภัยเห็นใจ และถึงที่สุดให้อภัยเห็นใจแล้วยังใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องปลูกคำว่า ช่างเขาเถอะ”  ที่เราบอกอย่างนี้ ก็เพื่อให้ท่านมีปัญญาคิดไปเรื่อยๆ อย่าจมกับความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่งอย่างตายตัว เราต้องมีใจที่เปิดกว้าง พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงตัวเองไปตามสภาวะที่มากระทบใจ  
เคยได้ยินพูดกันบ่อยๆ ว่า ถ้าตั้งใจแล้วอะไรก็ย่อมสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดมีแต่ความตั้งใจ แต่ขาดการลงมือ ย่อมไม่มีทางสำเร็จได้ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนพอเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คำแรกที่มนุษย์พูดคือ ขอ”  เราถามหน่อยว่า มีอะไรในโลกนี้ไหม สำเร็จด้วยการวอนขอ (ไม่มี) 
ฉะนั้นแปลว่าเราจะหวังจากการวอนขออย่างเดียว ได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องอาศัยอะไรลงไปเพิ่มเติมด้วย  (จิตใจ, ตั้งใจ, พยายาม, อุตสาหะ, มุ่งมั่น, ลงมือกระทำให้สำเร็จ, อดทนและอดกลั้น)  อดทนและอดกลั้น คำนี้สำคัญนะ มีความเข้าใจ  มีความตั้งใจ มีแรงขนาดไหน แต่ขาดความอดทนอดกลั้นตัวเดียว คนนั้นก็ไม่สำเร็จ ไม่มีทางสำเร็จได้ 
ฉะนั้นไม่มีเรื่องใดในโลกสำเร็จได้ด้วยการวอนขอ หากอยากจะพบความสำเร็จในโลก คนนั้นต้องกล้าที่จะ  (กล้าที่จะทำและปฏิบัติ)  ใครว่าคนทางเหนือขี้อาย วันนี้เราไม่เชื่อแน่ วันนี้คนทางเหนือเป็นคนกล้าได้เหมือนกัน เราอยากจะพบความสำเร็จได้  จำไว้อย่างหนึ่งนะ มนุษย์ทุกคนบางครั้งไปไม่ถึงความสำเร็จเพราะ ไม่กล้าที่จะเดินไปสู่ความล้มเหลว  บางทีถามว่า ทำไม อยากทำแต่กลัวเจ็บ แต่กลัวพ่ายแพ้ อยากทำแต่กลัวนั่นกลัวนี่ จึงทำให้ความอยากความตั้งใจ จบลงด้วยแค่ความกลัว
ฉะนั้นอยากจะทำอะไรให้สำเร็จ สิ่งแรกที่สำคัญและขาดไม่ได้คือความกล้าที่จะยอมรับความเป็นจริง และกล้าที่จะล้มเหลวแม้เป็นสิบๆ ครั้งถึงจะสำเร็จหนึ่งครั้งก็ตาม ถ้ากล้าแล้ว ความกล้านั้นต้องเสริมด้วยปัญญาที่ตั้งบนความถูกต้อง มีความกล้า แต่ไร้ปัญญาในการแก้ไขฝ่าฝันปัญหา ความกล้านั้นก็เหมือนดันทุรัง ล้มแล้วก็ล้มอีก  ถ้าไม่มีปัญญาแก้ไข เราก็จะล้มสิบรอบไม่สำเร็จสักครั้งหนึ่ง ถูกหรือไม่ (ถูก)  มีความกล้า มีปัญญาบนความถูกต้อง ต้องมีหัวใจที่เป็นกลาง จริงไหม (จริง)  ทำอะไรก็ตามถ้าใจลำเอียง ทำอะไรก็ตามถ้าใจมักง่ายไป ไม่สำเร็จหรอก ถูกไหม (ถูก)  ถ้าทำอะไรก็ตาม เลือกที่รักมักที่ชัง เดินไปนิดเดียวเจอความสบายนิดหนึ่ง ความสำเร็จที่อยู่ไม่ไกลก็ไม่เอาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขอเพียงมนุษย์มีความกล้า มีปัญญาและมีใจที่เป็นกลาง ความสำเร็จในโลกไม่ใช่เรื่องยาก อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถฝ่าฝันได้ด้วยน้ำมือเราเอง หรือแม้แต่ โรคภัยไข้เจ็บที่มนุษย์กลัวที่สุด โรคอะไรที่เรากลัวที่สุด (โรคเอดส์)  โรคเอดส์จะไม่เกิดกับคนที่มีใจซื่อสัตย์ ซื่อตรง รักเดียวใจเดียว คนไหนกลัวโรคเอดส์แปลว่าเป็นคนหลายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วมนุษย์กลัวอะไร (กลัวความตาย)  บางทีป่วยนิดๆ หน่อยๆ ถามหมอ ผมจะตายไหม  แต่ถ้าเราคิดว่าเกิดมาทุกคนต้องตาย เราก็จะมีใจสู้ ช่างมัน เล็กๆ น้อยๆ ไกลหัวใจ แม้หมอจะพูดว่ารักษาไม่หายหรอก แต่ผมจะปฏิวัติคำพูดหมอ ผมจะหายให้ได้ หมอทำอะไรได้ไหม ถ้าใจเราสู้ เหมือนนั่งตรงนี้ ปรามาสตัวเองไว้ก่อน ไม่มีทางจบหรอกสองวัน  แต่เราจะปฏิวัติตัวเอง จะจบให้ได้สองวัน
เราอยู่ในโลกนี้เราจะกดตัวเอง หรือเราจะยกตัวเองให้สูง เมื่อมีโรคภัยเข้ามา เราจะเป็นคนอ่อนแอ หรือเราจะเป็นคนเข้มแข็ง เมื่อมีความทุกข์เข้ามา เราจะยอมเป็นคนที่รักษาความดี หรือทำลายความดี เมื่อมีความลำบากเข้ามาในหัวใจ เราจะสู้เพื่อให้ได้ดี หรือจะยอมแพ้เมื่อหมดความอดทน ตอบเราในใจก็พอนะ ฉะนั้นทุกอย่างในโลกเป็นบทเรียนสอนให้เรามีธรรมะหรือมีกิเลสตัณหาอยู่ที่ท่านตัดสินใจ
ฉะนั้นเจอหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าบอกว่าขอความร่มเย็นให้ชีวิต ขอความสุขให้ชีวิต ขอให้เราแข็งแรง แต่กินแต่ละอย่างนั้นชวนให้เป็นโรคทั้งนั้น ทำงานแต่ละอย่างตะบี้ตะบันไม่ถนอมร่างกายทั้งนั้น แล้วจะบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วยไม่ได้นะ
อีกก้าวเดินอีกก้าวตาม  มีใครเดินก้าวหนึ่งแล้วใช้สองเท้าก้าวพร้อมกันไหม (ไม่มี)  ส่วนใหญ่ต้องก้าวทีละก้าว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรขอให้คิดตัดสินใจให้ดีๆ ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวคงมั่น อย่าเป็นคนที่มีหนึ่งกายแต่สองหัวใจ ทำอะไรย่อมไม่สำเร็จ อยากนั่งฟังก็ฟังให้ดี ไม่ใช่ตอนนี้อยากนั่งฟัง แต่อีกใจหนึ่งอยากกลับบ้าน  ย่อมทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง  หรือตอนนี้อยากนั่งฟังให้รู้เรื่อง แต่ในใจก็คิดว่า คืนนี้หนังจะเป็นอย่างไรนะ ก็กลายเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันก็ไม่รอด อนาคตจะสดใสก็ไม่มีทาง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เคยได้ยินสำนวนมนุษย์พูดบ่อยๆ ว่า วันนี้มาฟังธรรมะจะเป็นแก้วว่างหรือเป็นแก้วที่มีน้ำเต็ม เป็นแก้วแบบไหน (แก้วที่ว่าง)  แก้วว่างที่ไม่พร้อมรับน้ำหรือว่าแก้วว่างที่พร้อมจะเติมน้ำ (แก้วว่างที่พร้อมจะเติมน้ำ)  เราเคยเห็นมนุษย์มีสองแบบนะ หนึ่งคือเป็นแก้วน้ำเต็ม ที่ไม่พร้อมจะรับน้ำอะไรเข้ามาเติมหรือเปลี่ยนแปลง แต่อีกแบบหนึ่งคือเป็นแก้วน้ำว่างที่ไม่พร้อมที่จะให้ใครเติมอะไรลงไป ถามว่ารู้ไหม ก็บอกว่ารู้ ถามว่ารู้อะไรล่ะ ก็บอกว่ารู้อย่าถามได้ไหม ใช่หรือไม่ แต่อีกอย่างหนึ่งก็รู้ แต่ก็ไม่คิดที่จะรู้เพิ่มขึ้นอีก ถามว่ามาฟังธรรมะอยากมาฟังไหม (อยาก)  แต่ก็บอกว่ารู้แล้วจะรู้ไปทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีใครบ้างในชีวิตที่จะยอมให้กระเป๋าของตัวเองมีแต่ความว่าง วันไหนออกมาด้วยกระเป๋าว่างๆ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ส่วนใหญ่จะต้องเติมกระเป๋าของตัวเองให้เต็ม แม้เสื้อหรือกางเกงไม่มีกระเป๋าก็จะต้องหากระเป๋าให้จงได้ แล้วเรามีกระเป๋าไว้เพื่ออะไร (เพื่อไว้ใส่ของ)  แล้วถ้าเกิดชีวิตเดินโดยที่ไม่มีกระเป๋าได้ไหม (ไม่ได้,ได้)  มีทั้งตอบได้และไม่ได้ ลองดูสิในตัวเราใครมีกระเป๋าเยอะที่สุด บางทีก็ไม่เคยนับเลยว่ามีกี่ใบ  มีกี่ใบก็ตามแต่ก็ต้องเติมกระเป๋าให้เต็มที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) มีกระเป๋าแล้วทุกข์ไหมกับการที่กระเป๋ามันโล่งๆ (ทุกข์)  ก็เหมือนกันมนุษย์ทุกข์เพราะมีกระเป๋าอย่างนั้น สู้ไม่มีกระเป๋าเลยทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จริงหรือ ไม่มีกระเป๋าแล้วเราจะไม่ทุกข์จริงหรือไม่จริง ถ้าชีวิตนี้ไม่มีกระเป๋าทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์) ทุกข์เพราะว่าอยากมี กับทุกข์เพราะว่าอยากเติมกระเป๋าให้เต็มอย่างไหนเหนื่อยกว่ากัน (ทุกข์เพราะอยากเติมกระเป๋าให้เต็ม)
ฉะนั้นสู้เราไม่มีกระเป๋าเลยได้ไหม (ได้)  ได้เมื่อคนๆ นั้นรู้จักคำว่า พอแต่เพราะอะไรเราถึงไม่พอล่ะ
เราแค่ยกเรื่องง่ายๆ แล้วมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่มนุษย์มีอยู่ บางทีมนุษย์เหนื่อยสายตัวแทบขาดเพียงเพราะอยากให้กระเป๋านั้นเติมให้เต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากดับที่เหตุก็ดับที่กระเป๋าว่าเรามีน้อยหน่อยก็ได้ หรือบางครั้งไปไหนไม่มีกระเป๋าก็อยู่ได้ แต่เรามักไม่กล้าที่จะรับความลำบาก
อย่างนั้นถามเรื่องง่ายๆ ต่อนะ ถ้าเราอยู่บ้านหรือไปข้างนอกเวลาไหนที่เรากลัวมากที่สุด (กลัวการอยู่บ้าน)  เป็นคำตอบที่แปลกนะ ทำไมกลัวการอยู่บ้าน (เพราะออกนอกบ้านไปก็ต้องไปหางานทำ)  กลัวอยู่บ้านอดตายใช่ไหม (ใช่)  เขาไม่ผิดเพราะคนเรามีความกลัวที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่ากลัวการอยู่บ้าน บางคนบอกว่ากลัวการออกไปข้างนอก เราถามต่อไปอีกว่า แล้วเวลาไหนเรากลัวมากที่สุด (กลัวเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่มีเงินไปหาหมอ)  คนเราถ้าเกิดว่าไม่สบายขึ้นมา บางครั้งการรักษาตัวโดยที่ไม่ต้องไปหาหมอก็ทำได้ แต่ต้องรู้จักวิธีและต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าตัวเองเป็นโรคอะไร ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอะไรรักษามั่วๆ กินมั่วๆ ก็อาจจะแย่ลงยิ่งกว่าเดิมก็เป็นได้ เราเชื่อไหมว่าในโลกนี้มียาที่รักษาโดยไม่ต้องเสียเงินได้ (เชื่อ)  จริงๆ มนุษย์กลัวอะไร (กลัวความตาย) กลัวความตาย กลัวเวลามืด กลัวต้องอยู่คนเดียว ใช่ไหม (ใช่)  อดตายกลัวไหม (ไม่กลัว)  ถึงเวลาหิวจัดๆ ก็ต้องออกไปหาอะไรให้ตัวเองกินจนได้ แต่ที่กลัวที่สุดก็คือความตาย
อย่างนั้นเราบอกท่านอย่างหนึ่งว่า มนุษย์กับพุทธะมีความเข้าใจตรงข้ามกัน มนุษย์คิดว่าการเกิดคือความสุข การตายคือความทุกข์ แต่พุทธะมองกลับกัน การเกิดคือความทุกข์ การดับคือความสุข เมื่อมองกลับกันแล้วใช้ชีวิตก็จะเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นสุขเป็นทุกข์ และชีวิตมนุษย์ที่กลัวอีกอย่างหนึ่งคือกลัวความทุกข์ แต่ถ้าเกิดวันนี้เรามาฟังธรรมะ ท่านต้องเปลี่ยนความคิดนะ ความทุกข์สามารถเป็นสุขได้ ความดับสามารถนำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ เราอยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำให้มนุษย์ทุกข์หรือสุขได้ แต่ที่มนุษย์ทุกข์หรือสุขก็เพราะว่าทัศนคติที่มองสิ่งนั้นอย่างยึดติดต่างหาก ที่จะทำให้เกิดทุกข์และเกิดสุขได้  เหมือนถ้าเรามองว่า เราชอบดอกไม้ ใครให้ดอกไม้เราคือความสุข แต่ถ้าเกิดใครให้ขยะสิ่งเน่าเหม็นคือความทุกข์ พอคราวนี้คนให้ดอกไม้แต่เป็นดอกไม้ที่เหม็นๆ เป็นอย่างไร (ทุกข์)  เพราะอะไรล่ะ  เพราะมันแค่เหม็นเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกนี้ไม่มีอะไรทำให้มนุษย์ทุกข์ได้เท่ากับใจที่เกาะเกี่ยว ยึดมั่นความรู้สึกนึกคิด จริงไหม  เขามาตบเราสิบที แต่ถ้าเราคิดว่าเขาตบอย่างเพื่อน เขาตบแบบให้สติ ตบสักสิบทีก็ไม่โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดคนที่มาตบเป็นคนที่ท่านเกลียด ท่านก็จะคิดว่า คุยก็คุยดีๆ พูดก็พูดดีๆ ไม่ต้องตบก็ได้ ใช่หรือไม่ ความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน ความเคยชิน เป็นอารมณ์ เป็นนิสัยอะไรก็ตาม ล้วนทำให้มนุษย์เรียนรู้ทุกข์และสุขทันที  แต่ถ้าเราไม่ยึดติดในความรู้สึกนั้น เราจะทุกข์ไหม อะไรๆ ก็จะทำให้เรามีสุข
เหมือนอย่างเช่นมีเงินร้อยบาท มีความสุขไหม (ไม่มี) เราเทียบกับอะไรจึงบอกว่าน้อย ถ้าเราเทียบว่าฉันมีมากกว่าเด็กคนนี้อีก เราก็มีสุขจริงไหม แต่ถ้าเราเทียบกับเพื่อน เราก็มีทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทุกข์สุขไม่ได้อยู่ที่ใครเลยแต่อยู่ที่ใจเรากำลังยึดติดหรือเปรียบเทียบสิ่งใด ถ้ารู้จักเปรียบเทียบกับสิ่งที่ต่ำกว่า ก็มีสุขได้ไม่ใช่หรือ แต่ถ้าทุกครั้งเปรียบเทียบกับคนที่เลิศกว่าเด่นกว่า ทุกข์ก็เป็นอันมีได้ในทุกๆ วัน หรือเปรียบเทียบกับอดีตกับปัจจุบัน อย่างเช่นวันนี้ทุกข์เหลือเกิน หน้าขึ้นรอยตีนเป็นแถว แต่ก่อนไม่เคยมีสักหนึ่งเลย แต่ตอนนี้มีเป็นสิบเพราะว่าเราเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่) ยังไม่พอ ทุกข์ต่ออีก อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่เป็นร้อยหรือ เคยเป็นไหม (เป็น) ก็ที่ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด ที่ต้องทุกข์ไม่มีวันจบสิ้นก็เพราะเทียบว่าแล้วต่อไปจะมีเงินใช้ในอนาคตไหม ท่านเคยได้ยินไหมว่า รวยขนาดไหนแต่ถ้าไม่รู้พอก็คือคนยากจน จนขนาดไหนแต่ถ้ารู้พอแล้วเขาก็มีสุขและรวยที่สุด
ฉะนั้นตอนนี้ยังกลัวกับความทุกข์อีกไหม (ไม่กลัว) และกลัวกับการตายอีกไหม (ไม่กลัว)  คืนนี้คนที่บอกไม่กลัวต้องพิสูจน์ ไปนั่งในห้องที่เรากลัวที่สุด ห้ามเปิดไฟ อยากรู้ไหมว่าความตายเป็นอย่างไร (อยากรู้, ไม่อยากรู้) คนที่ไม่อยากก็ไม่ต้องทำ แต่คนที่อยาก เราให้เตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ การเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นเราจะไม่เจ็บปวด เมื่อภัยพิบัติมาใกล้เราจะไม่ทุกข์ทรมาน เราจะกล้าสู้ความจริง  จริงๆ เราอยากให้ทุกท่านลองทำดูนะ ไปห้องที่กลัวที่สุดแล้วห้ามเปิดไฟ อยู่คนเดียวแล้วนั่งหลับตา เมื่อนั้นแหละจะรู้ว่าความตายเป็นอย่างไร ถ้าคนที่มีความดีนับไม่ถ้วน สร้างความดีอยู่เนืองนิจ นั่งหลับตา นั่งคนเดียว เขาก็สุขได้ แต่คนที่กลัวจะหลับดีไหม หลับแล้วก็ยังพะว้าพะวัง นั่นคือคนที่ความดีนับครั้งได้ ความชั่วหาประมาณไม่เจอ จริงไหม (จริง) คืนนี้ลองพิสูจน์ดูนะ อยากรู้ไหมว่าการเดินไปสู่ความตาย การเดินไปสู่ความดับ น่ากลัวขนาดไหน  และเตรียมพร้อมเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยการรู้จักกล้ารับกับความจริง
จำไว้นะทุกคน แม้มีรูป แม้มีคนที่รัก แต่ถึงเวลาเราต้องไปคนเดียว และสิ่งที่จะติดตัวไปกับเราได้ก็คือความดีกับความชั่ว ตอนนี้ห่วงอะไร ถึงเวลามัจจุราชมาเอาไปแล้ว ใครล่ะจะรับมือ ไม่ใช่ตัวท่านคนเดียวหรือ และอย่าประมาทว่ายังไกล ผมยังดำอยู่ อายุยังน้อยอยู่ แน่ใจหรือ โลงศพเล็กมีเยอะกว่าโลงศพใหญ่ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นวันนี้เรามาบอกให้ท่านอย่าประมาท มีความพอ และหาความสุขด้วยการใช้คุณธรรมเป็นข้อใหญ่ ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านในที่นี้มักจะดูถูกดูเบาตนเองว่าเป็นคนที่ไม่มีทางจะพ้นทุกข์ได้ เป็นคนที่ทุกข์มากกว่าสุขใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราบอกท่านว่าอยากจะค้นหาความสุขให้กับชีวิตต้องกล้าที่จะเรียนรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร เมื่อเรากล้าที่จะทุกข์ด้วยปัญญาที่ถูกต้องและใจอันเป็นกลาง เมื่อนั้นแม้ทุกข์จะมาจ่อจุกอกอยู่ตรงหน้า ความทุกข์ก็ยากที่จะกล้ำกลายทำร้ายเราได้แม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ ขอเพียงกล้ารับความจริง อย่าแยกความสุขออกจากความทุกข์ ที่ไหนมีสุขที่นั่นย่อมมีทุกข์เป็นธรรมดา  แม้แต่นั่งที่นี่มีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ แต่ถ้าเกิดยกตนคิดให้ถูกก็พ้นทุกข์ได้ แต่ถ้ากดตนคิดฝังตนในทางที่ผิดก็ต้องจมอยู่ในทุกข์อย่างไม่มีวันจบสิ้น
คนทุกคนในที่นี้ไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคิดว่าตัวเองมีดีกี่เปอร์เซ็นต์ หรือว่าใครที่นี่เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์บ้าง คนที่ทำผิดคนที่เคยทำพลั้ง แต่ถ้าเกิดว่ามีวันหนึ่งหรือหลังจากนั้นมาจะสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีแล้วไม่ทำผิดอีกเลย คนนั้นก็ย่อมเป็นที่กล่าวขวัญไม่น้อยหน้าคนอื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรมนุษย์จึงไม่สามารถสร้างสรรค์ความดีจนตัวตายได้ (เป็นเวรกรรมเมื่อชาติก่อน)  อยากได้ดอกไม้ที่เหี่ยวแล้วหรือผลไม้ที่สดๆ (อยากได้สดๆ)   ดอกไม้ดอกนี้เขาก็เคยสดนะแต่ตอนนี้ไม่สดแล้ว รับได้ไหม (ได้)  ลองรับความไม่สวยก่อนนะแล้วจะได้รับความสวยที่แท้จริง ใครเห็นดอกไม้ในตะกร้านี้มีที่เหี่ยวแล้วก็สวยหมด อย่างนั้นก็แปลว่าที่แย่ที่สุดท่านก็ (มีความสุขได้) เราอยากบอกท่านว่าในสิ่งที่แย่ที่สุดเรายังหาความสุขได้  แล้วอะไรในโลกจะเป็นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถทำดีถึงที่สุดหรือทำดีจนตัวตายได้ (มีความโลภ โกรธ หลง,ใจ) แต่ถ้าวันไหนไม่สบายใจก็ไม่อยากทำดี บางทีเราเป็นจริงไหม (จริง)  วันไหนรู้สึกสบายใจก็อยากทำบุญ วันไหนไม่สบายใจไม่ทำแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยได้ยินไหม ยิ่งทำผิดมากเท่าไร ต้องยิ่งทำดีมากเท่านั้น ไม่ใช่ทำผิดหนึ่งครั้งแล้วก็ไม่ทำดีอีกเลย มนุษย์ส่วนใหญ่พอทำผิดหนึ่งครั้ง  รู้สึกแย่หนึ่งครั้งจนไม่อยากทำดี  แต่ถ้าเราบอกท่านว่า เมื่อไรที่ทำผิดให้ทำดีมากกว่าเป็นสองเท่า คนนั้นจะเป็นคนที่น่ารักที่สุด แล้วเคยไหมว่ายิ่งไม่สบายใจ พยายามสวดมนต์เท่าไร ก็ยิ่ง ไม่มีสติ ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเราบอกว่าพยายามสงบใจ ปลง ปล่อยวาง ถ้าไม่สงบใจไม่ปลงไม่ปล่อยวาง วันนั้นเกิดเป็นวันที่ไม่สบายใจแล้วต้องอยู่กลางผู้คนด้วย จะหนีก็ไม่ได้ จะกลับบ้านก็ไม่ได้ ส่วนใหญ่จะบอกว่า  ถ้ารู้สึกดีก็ทำดี ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ไม่ทำ นี่คือข้อบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ที่ไม่สามารถทำให้มนุษย์ทำดีได้ ไม่มีความอดทน และก็ไม่ยอมเสียเปรียบใคร  ฉะนั้นอยากทำดีต้องรู้จักอดทน อยากให้ได้ดีและมีดีในชีวิตต้องยอมเสียเปรียบคน แค่นี้เอง
แต่มนุษย์ก็จะพูดว่าพอยอมเสียเปรียบก็แล้ว อดทนก็แล้ว  แต่คนที่เราดีด้วยชอบเนรคุณ ใช่ไหม (ใช่)   แต่เราจะบอกวิธีช่วยเหลือคน เวลาช่วยเหลือคนหนึ่งคนอย่าคิดว่าเป็นเพราะมีฉัน  ไม่อย่างนั้นเธอหรือนายก็แย่แน่ๆ    เพราะมีฉันเธอถึงรอดมาได้วันนี้ ถ้าช่วยเขาแล้วรู้สึกลำพองใจอย่างนี้ เขาไม่มีทางสำนึกคุณ เราช่วยแล้วต้องทำให้เขาภูมิใจแล้วการช่วยในครั้งนั้นจะทำให้เขารู้จักสำนึกคุณเรา
แล้วช่วยอย่างไรทำให้เขาภูมิใจในความเป็นคน ช่วยเพราะว่าเขามีดี อยากส่งเสริมความดีในตัวเขาเราจึงสนับสนุนช่วยเหลือ เพราะว่าเราอยากเป็นมิตรกับเขา เพราะดูแล้วเขาเป็นคนดีเราจึงช่วย และการช่วยนี้คือการผูกมิตร แล้วเวลาช่วยอย่าช่วยด้วยใจที่รู้สึกหลงลำพอง แต่ช่วยเพราะว่าเราก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ช่วยเพื่อนมนุษย์แล้วใครจะช่วยมนุษย์ด้วยกัน ช่วยเพราะ ถือเป็นหน้าที่โดยธรรมดาแต่ไม่ได้ช่วยเพราะเรายิ่งใหญ่แต่เขาเล็กกระจ่อยร่อย ถ้าช่วยด้วยความรู้สึกแบบนี้ เขาจะไม่มีทางสำนึกคุณ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วช่วยแล้วต้องช่วยให้ต่อไปเขาอยู่ด้วยตัวเองได้ อย่าช่วยแล้วพึ่งเราตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อไรที่เขารู้สึกสำนึกคุณให้รีบตอบกลับเขาไปว่า ให้นำความรู้สึกที่สำนึกคุณไปช่วยคนอื่นต่อ มีหลักการช่วยจึงจะเป็นการช่วยที่ยิ่งใหญ่ แล้วเมื่อไรที่เราช่วย หรือทำดี จงทำเพราะมีดี จงทำเพราะชอบที่จะทำดี ไม่ใช่ทำเพราะหวังผล ได้ไหม (ได้) 
ฟังมาตั้งมากแล้วรู้สึกเหนื่อยล้าใช่ไหม คราวนี้แหละเราจะเป็นคนแรกให้ท่านหลับได้ตามสบายนะ  ทำไมล่ะพอให้หลับตรงๆ เปิดอกเลยทำไมไม่กล้า หรือ ชอบที่จะแอบ ชอบที่จะลักทำ เห็นท่านเหนื่อยท่านล้าแล้วเราจึงให้ท่านพัก เพราะว่าถ้าฟังมากกว่านี้อีกนิดบางครั้งคนก็ล้มคว่ำได้ เคยเจอไหมว่าความอดทนของคนเราไม่เท่ากัน อย่าได้เติมนะถ้าเติมอีกนิดคว่ำแน่ ถ้าเติมอีกนิดหนึ่งแตกแน่ แต่ถ้ามนุษย์มีใจที่เมตตา มีใจที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะไม่มีคนในโลกให้เราเจ็บแค้น จะไม่มีคนในโลกที่ทำให้เราไม่มีความเข้าใจ แต่เพราะอะไรเราอยู่ด้วยกันเราจึงไม่เข้าใจกัน เราจึงทะเลาะกัน เราจึงบาดหมางกัน ก็เพราะว่าเราไม่เคยเข้าใจเขาอย่างจริงจัง เราเอาแต่เขาต้องเข้าใจเรา เขาต้องเห็นใจเรา แต่เรายังไม่เคยเห็นใจใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขอเพียงอยู่ในโลกอย่างคนที่มีสติรู้เท่าทันกับเหตุการณ์ที่มากระทบใจ หลายครั้งที่เรื่องเกิดแล้วทำให้เราต้องมีปัญหาก็เพราะว่าเราไม่เคยมีสติตามทัน ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ฉะนั้นทำอะไรขอให้มีสติเป็นที่ตั้ง แล้วเอาสตินั้นไตร่ตรองมองให้เห็นชัดถึงความเป็นจริง เมื่อเห็นชัดแล้วเราจะรู้ว่าอะไรที่ควรเชื่อ อะไรที่ควรเลือกปฏิบัติ แต่ถ้าตอนนี้สติไม่อยู่กับตัว ปัญญาไม่รู้จักคิดนั่งฟังไปก็เบื่อใช่ไหม (ใช่)
บางทีโลกนี้ก็เหมือนเล่นตลก สิ่งที่เราคิดว่าทุกข์แต่ถ้าเรามีความสุข ทุกข์ในโลกก็ทำอะไรเราไม่ได้ สิ่งที่เราคิดว่ามีความสุขแต่แท้ที่จริงแฝงทุกข์ คนที่เจ็บปวดก็คือเรา อย่ากลัวที่จะทุกข์ เมื่อเจอความทุกข์จงกล้ารับมือ ด้วยปัญญาที่ตั้งไว้อย่างถูกต้อง และจิตใจที่เป็นกลาง เราย้ำสามสี่รอบแล้วนะ เพราะอยากให้มนุษย์มีจิตใจที่เข้มแข็งสามารถเผชิญสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ได้ ทำอะไรก็แล้วแต่ถ้าไม่มีสติรู้จักยั้งคิด ปล่อยไปตามอารมณ์ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่
ที่เราบอกว่าให้ลองไปหลับตาในที่มืดนั้น เราหมายความว่ามนุษย์มีแสงสว่างที่เจิดจรัสอยู่ในตัว และอะไรล่ะที่สามารถจุดแสงสว่างในใจเราให้เกิดในตัวได้ ถ้าไม่ใช่ความดีงามที่ไม่ยอมแพ้แม้อุปสรรคและความยากจน ความดีงามนี้จะเป็นแสงสว่างที่นำทางแม้ยามมีชีวิตและไร้ชีวิต แต่ถ้ามนุษย์เลือกที่จะตามอารมณ์มากกว่าจะตามความดี ความมืดบอดในจิตใจและชีวิตก็ย่อมจะมีได้ ฉะนั้นจงรู้จักสร้างความดีงามให้กับชีวิต
วันนี้เรามาศึกษากับท่านเพียงเท่านี้ รู้ว่าหนึ่งวันกว่าจะฟังให้จบไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าวันนี้ทำได้ และพรุ่งนี้ทำสำเร็จ เราก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน ฉะนั้นความดีไม่ใช่เรื่องยาก จะยากก็ตรงไม่ยอมทำดีต่างหาก มีโอกาสขอให้รักษาคุณงามความดีเยี่ยงชีวิต หรือยิ่งกว่าชีวิตนะ อยู่ที่เราเลือกแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๓๐  เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙                                       
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เห็นความผิดของตนเองในทันใด       ให้แก้ไขตนเองในทันที
อย่าปล่อยไว้เนิ่นนานวันเดือนปี          คนจิตดีไม่เกี่ยงคนสอนเป็นใคร
                   เราคือ
  จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า

  รู้แน่หากไกลศิษย์เป็นอย่างไร           หลงงมงายกระแสคนโลกเหม็นเหม็น
ศิษย์เอยจงเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ               ใจก่อนขึ้นปลุกลำเค็ญอาศัยธรรม
รังแต่กลัวใจปวดหากำบัง                 โดนไม่ยั้งศิษย์ที่กิเลสร่ำ
พูดทำด้วยความสับสนผลระกำ            สติซึมแทรกมานำปัญญาทัน
อารมณ์ยั้งบ้างที่ว่ายกลางทะเล           ศิษย์ลังเลด้วยวูบคิดผ่านผ่าน
ศิษย์เอ๋ยเจ้าทำอะไรรู้ประมาณ            ต่างไม่คุ้นเหมือนกันระวังตัว
เงียบเคยผ่านมามีหลายลักษณะ          เงียบชนะเงียบไปดังในหัว
อาจารย์ลาก็ต่างไปสำรวจตัว              เงียบใจตัวใช่เงียบถือสาความ
                                                                      ฮา   ฮา  หยุด


หากมั่นใจ  ก็จะมีแรงเดินมิยอมเหนื่อย  หากเข้าใจคงตามหาทางออกยังจุดหมายไม่มีอ่อนล้า  หากตั้งใจกำลังจะแกร่งมาเติมตอกย้ำบนความหวังเดิม ไม่มีสร่างซา  อีกก้าวเดิน อีกก้าวตาม
        อย่ามั่นใจแต่สื่อความตามใจไม่รู้เรื่อง  อย่าเข้าใจเพียงยังใช้กันแค่มันสมองไม่ใช่ศรัทธา  อย่าตั้งใจโดยความฉลาดเกินไป  สุดท้ายแล้วตนก็สูงมากด้วยอัตตา  อย่าก้าวเดินอย่างวู่วาม
        ก้าวที่ต่อจากใจ นับครั้งทำได้สักครา   โลกสอนมาด้านเดียว  ทุกข์ทนเมื่อรู้ว่าจะเกิดโศกเศร้าให้ช้าสักหน   จับทิศทางแล้วพ้น   แม้ตัวห่างไกล  แม้ยังจะห่างไกล
        หากแน่ใจ   ศิษย์เอยจงเป็นคนลุกขึ้นก่อน  แต่กลัวใจศิษย์ยังไม่ทำด้วยความสับสนที่ซึมแทรกมา  ที่บ้างยังลังเลด้วยวูบอารมณ์  ศิษย์เอ๋ยเจ้าทำเหมือนคนไม่เคยผ่านมา ต่างเงียบไป  ต่างก็ลา
ชื่อเพลง  :   หาก
ทำนองเพลง  :  อีกไม่นาน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนที่นั่งอยู่ที่นี่มีความสุขหรือมีความทุกข์ (มีความสุข)  มีความสุขทำหน้าบึ้งๆ ทุกข์หรือสุข  (สุข)  ไหนลองทำหน้าคนมีความสุขให้ดูสิ  หันไปให้ความสุขกับคนข้างๆ หน่อยสิ ถ้ายิ้มเองไม่ค่อยมีความสุข ถ้าหันไปให้ความสุขคนอื่นๆ ความสุขจะมากขึ้นทันที ยิ้มเองมีความสุขไหม (มี)  หันไปให้ความสุขแก่คนข้างๆ แสดงว่าการทำดี ต้องทำดีให้ผู้อื่น จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าหากว่าเราทำดีให้ตัวเอง เราจะมีความสุขไหม (มี)  ทำความดีให้เป็นที่พอใจของตนเอง ก็มีความสุขดีอยู่ แต่หากทำความดีให้ผู้อื่น เราจะมีความสุขมากขึ้น ทุกวันนี้เราเป็นนักเสียสละไหม (เป็น)  เราเสียสละให้ใครบ้าง  เราเสียสละให้คนที่ใกล้ตัวเรา จริงหรือเปล่า (จริง)  คนที่เรารู้จักจริงหรือไม่ (จริง)  ยิ่งเป็นญาติสนิทมิตรสหายพ่อแม่พี่น้องยิ่งให้ใหญ่เลย จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ว่าคนที่เราไม่รู้จักเราให้ไหม (ให้)  ตอบแบบตอบไปเรื่อย  แน่ใจหรือเปล่าว่าเราให้ผู้อื่น (แน่ใจ)  ไหนใครคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่เป็นนักเสียสละชอบให้ผู้อื่นยกมือขึ้น
ถ้าหากว่าเราเป็นนักเสียสละเป็นผู้ที่รู้จักที่จะให้ผู้อื่นจริง เราจะเป็นคนที่มีความสุขแบบอิ่มเอมมากขึ้น  ทุกวันนี้มีความสุขที่ไม่ค่อยเต็มอิ่มเท่าไหร่ เพราะว่าจิตใจมีความไม่รู้จักพอสูงอยู่มาก คนที่มีความรู้จักพอย่อมมีความรู้สึกว่าพอแล้ว ดีแล้ว เพราะว่าสิ่งที่เราให้ผู้อื่นไปเราไม่ได้หวังผลตอบแทน เพราะฉะนั้นจึงไม่หวังคำชมใดๆ กลับมา คนประเภทนี้จะเป็นคนที่มีความสุขมาก
แต่ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้ที่มีความทุกข์อยู่มาก มีความสุขเพียงเล็กน้อย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เราเคยคิดไหมว่าทำไมเรามีความสุขน้อยกว่าคนอื่น ทำไมคนอื่นถึงมีวาสนาหรือมีโชดดีกว่าเรา เคยคิดไหม (เคย)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ลองไปถามคนๆ นั้นดู ว่าเขามีความสุขที่สุดหรือยัง ทุกคนในโลกนี้มีความรู้สึกไม่พอใจในตนเองอยู่เป็นนิจ ทำให้อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่ซึมเศร้าเหงาหงอย เบื่อ หน่าย เซ็ง ถามว่าตาของเราที่เคยมองไปกว้างๆ พอเบื่อ หน่าย เซ็งจะมองอยู่ก็แค่รอบๆ ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มองอยู่แค่ตัวเราเอง ยิ่งมองก็ยิ่งเบื่อ ถามว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นจากอารมณ์นี้ (ทำจิตให้ว่างเปล่า, ต้องช่วยเหลือผู้อื่น, ปล่อยวาง) ถามว่าตอนเบื่อๆ จะปล่อยวางก็ดี  จะช่วยเหลือคนอื่นก็ดี  ทำได้ไหม อาจารย์บอกให้ ถึงทำได้ก็ทำได้ไม่ดี เพราะฉะนั้นปัญหาของคนจึงอยู่ที่คน ปัญหาของตัวก็อยู่ที่ตัว แม้คนจะพูดในสิ่งที่ดีขนาดไหนหากใจมันอับเฉาฟังไม่รู้เรื่อง  แม้คนอื่นจะพยายามสร้างสภาพแวดล้อมให้เราอย่างดี แต่หากว่าใจเราอับเฉา ใจเราไม่สบาย จะแก้ไขด้วยการให้คนอื่นทำให้เราดีขึ้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  จิตใจอย่างนี้ต้องหาหมอรักษา หมอคนนั้นคือตัวเราเอง วินิจฉัยได้ว่าความเบื่อมาจากไหน รู้ว่าทำไมตนเองถึงเบื่อ รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นอย่างนี้จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรจึงหาย อยู่เฉยๆ หายไหม ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
อาจารย์จะแนะนำตัวยาตัวนี้ให้คือ ก่อนอื่นไม่ต้องสนใจเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น สังเกตว่าเวลาคนกลุ้มใจก็จะคิดวนเวียนซ้ำซากอยู่แต่เรื่องนั้น  ศิษย์ทำใจได้ไหมที่จะไม่สนใจ  สมมติว่าวันนี้มีเรื่องกลุ้มใจแล้วยังท้องผูก ตอนที่ท้องผูกกลุ้มใจไหม (กลุ้มใจ)  อาจารย์เห็นห่วงแต่ว่าท้องมันผูกอยู่ ไม่เห็นจะห่วงเรื่องที่กลุ้มใจเลย  อาจารย์คิดว่าศิษย์ทั้งหลายนั้นมีความกลุ้มใจอยู่เป็นเนืองนิจ การที่จะต้องทำเป็นไม่สนใจบ้างคือลืมๆ ไปเสียบ้าง จะเป็นการดีต่อตัวเองเป็นอย่างยิ่งทำได้หรือไม่ (ได้)  สมมติว่ากลุ้มใจเรื่องแฟนอยู่แล้วก็ไปมองหน้าแฟน ยิ่งมองก็ยิ่งกลุ้มใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอย่างไร (ปล่อยวางไม่ต้องหันมาพูดกัน)
มนุษย์ชอบพูดว่ารู้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่รู้จริงไหม รู้แล้วแต่ยังรู้ไม่จริง เพราะฉะนั้นตอบว่าไม่รู้ดีหรือไม่ (ดี)  ทำได้ไหม เวลาพูดว่าไม่รู้กลัวคนอื่นเขาว่าเราเป็นคนโง่หรือเปล่า (ไม่กลัว)  ถ้าหากความเป็นคนโง่มีผลกระทบต่อเงินเดือนที่เราจะได้รับทุกเดือน หากว่าความเป็นคนโง่กระทบต่อสายตาคนอื่นที่เขาเล็งๆ เราอยู่ ความเป็นคนโง่กระทบกระเทือนต่อการที่เราจะเดินไปไหนมาไหนทำอะไรก็ตาม ถามว่าเราอยากเป็นคนโง่ไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นคนบนโลกนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นคนฉลาด แต่ฉลาดทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก็ยังโง่อยู่ ถามว่าเราบอกว่าตัวเองฉลาดนั้นแต่จริงๆ แล้วเราโง่ดีหรือไม่ (ดี)  การที่เราเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนฉลาดแต่แท้จริงเป็นคนโง่จึงไม่ดี สิ่งที่ดีคือการยอมรับความจริง ว่าเรานั้นยังเป็นคนโง่อยู่ เพื่อที่สักวันหนึ่งเราจะได้ฉลาดมากขึ้น หากไม่ยอมให้คนอื่นสอน หากไม่ยอมให้ว่า หากไม่ยอมให้คนอื่นนินทา หากไม่ยอมโง่ เราก็ไม่มีวันที่จะดีขึ้น ความจริงจึงย่อมเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ
การเป็นคนโง่เป็นข้อดีของการบำเพ็ญธรรม เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมต้องได้รับการสอนจากผู้อื่น หากว่าใครๆ ก็แล้วแต่เลิกสอนเราแล้ว เขาเลิกต่อว่าเราหมดแล้วแสดงว่าเราเป็นคนที่ฉลาดที่สุดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่น่าเบื่อที่สุด คนถึงเลิกสอน เลิกตำหนิ เลิกว่าเรา คนทุกคนมีข้อเสียทุกคน คนทุกคนไม่มีใครดีมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องอยู่คู่กับคำที่ต้องโดนคนอื่นว่ากล่าวและตักเตือนอยู่เสมอไป ถ้าหากว่าวันใดที่ใครๆ เขาก็เลิกสอนไม่มีใครเดินมาว่าเราแล้ว ไม่มีใครมานินทาลับหลังเรา แสดงว่าเขานั้นเบื่อเราแล้ว
เพราะฉะนั้นศิษย์ทั้งหลายอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ยังมีคนว่าไหม (มี)  แสดงว่าทุกวันนี้ยังมีคนชอบศิษย์อยู่ ดีใจไหม (ดีใจ)  เกิดมาอยากให้คนรักคนชอบหรือเปล่า (อยาก)  ตอนนี้ยังมีคนว่าอยู่หรือเปล่า (มี)  แสดงว่ายังมีคนรักเราอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งว่าแรงเท่าใดแสดงว่าเขายิ่งรักเรามากเลย ทุกวันนี้ในบ้านว่าแรงไหม (แรง)  ยินดีด้วยเขารักเรามาก คิดอย่างนี้มีความสุขไหม (มี)  แต่เวลาศิษย์จะไปว่าคนอื่น รู้ว่าเราไม่ชอบให้คนอื่นว่าแรงๆ เราว่าคนอื่นแรงได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องว่าแบบคนโง่ ต้องว่าอย่างเกรงใจ ต้องว่าแบบรู้จักนิสัยของคนๆ นั้นว่าเป็นอย่างไร แฟนเราขี้โมโหว่าเขาแรงๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  เดี๋ยวเขาก็ทำร้าย ใครโชคร้าย (ตัวเรา)  โชคร้ายนี้ใครหา (ตัวเรา)  ตัวเราเองก็หามาเองจริงหรือไม่ (จริง)  แฟนเราใครหา (ตัวเรา)  ตอนหาชอบใจที่สุดหรือเปล่า (ชอบ) ตอนนี้ยังชอบใจที่สุดอยู่ไหม (ไม่ชอบ)  เพราะอะไรเราถึงไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะว่าเขาว่าเราแรง ไม่ชอบเพราะพูดไม่รู้เรื่อง แต่ถามว่าเขามองเราเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  เพราะฉะนั้นให้เขาแก้ไขก่อนหรือว่าเราแก้ไขก่อน (เราแก้ไขก่อน)  วันนี้เราฟังธรรมะเรากำไรเขามาหนึ่งอย่าง วันนี้เรามีธรรมะการที่ให้คนอื่นแก้ไขก่อนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเหมือนเราทำการค้า ครั้งนี้ยอมขาดทุนก่อน ยอมที่จะแก้ก่อน ทำได้ไหม (ได้)  โดนเตะสองทีเป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)  โดนหยิบเงินไปเป็นอะไรไหม (ไม่เป็นไร)  เขาทำอะไรงุบงิบๆ  ไม่บอกเป็นอะไรไหม (ไม่เป็นไร) ไม่เป็นไร  อย่าทำให้เป็นเรื่อง เพราะว่าอะไร เรามองตัวเราฉลาดที่สุด แต่เขามองเราโง่ที่สุด แต่อาจารย์บอกว่าการโง่นี้เป็นข้อดีของการบำเพ็ญธรรม คนที่โง่ได้คนนั้นฉลาดที่สุด โง่ให้เป็นได้ไหม (ทุกวันนี้โง่อยู่แล้ว) ไหนใครยอมโง่อยู่แล้ว คนที่ยอมโง่เคยว่าเขาหรือเปล่า (เคย)  เราชอบให้คนอื่นว่าไหม  เราไม่ชอบให้คนอื่นว่า เพราะฉะนั้นตอนที่เราว่าเขาเป็นตอนที่เขาไม่ชอบเราที่สุดเลย  เพราะฉะนั้นเราต้องแกล้งโง่ที่จะว่าผู้อื่นไม่เป็น  ถ้ายังยอมกันไม่ถึงที่สุด ยังยอมกันไม่เป็น แสดงว่ายังโง่ไม่เป็น
ศิษย์เคยเห็นคนที่ศิษย์บอกว่าโง่ไหม คนที่ศิษย์บอกว่าเขาโง่เขาเป็นอย่างไร คนที่เขาโง่เวลาพูดอะไรออกมาเป็นอย่างไร ฟังแล้วรู้สึกว่าเขาพูดกับเราไม่รู้เรื่องเลย คนที่โง่คือคนที่แม้เราทำอะไรผิดเขาก็ดูไม่ออกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) แม้ศิษย์จริงๆ แล้วจะดูออก ก็ทำเป็นดูไม่ออกเป็นการแกล้งโง่ เพื่อจะได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดจะดีหรือไม่
 ทำไมทุกวันนี้คนที่ใกล้ตัวเรา ยิ่งใกล้ตัวเรามากขึ้นเท่าไร เรายิ่งรู้สึกไม่ชอบมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่ายิ่งสนิทใกล้ชิดกันมากก็ยิ่งขาดความเกรงใจกันมากขึ้นเท่านั้นจริงหรือไม่ (จริง) ความเกรงใจเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ความมีมารยาทเป็นสิ่งที่คนทุกคนนั้นต้องการ  ขอให้มีมารยาท ขอให้มีความเกรงใจกับคนที่ใกล้ตัว แต่ขอให้มีอย่างพอดีพองามเพื่อไม่ให้รู้สึกว่ามีช่องว่างกันมากเกินไป เข้าใจไหม (เข้าใจ) มีมารยาท พอดีพองาม เพื่อให้คนรอบข้างเรามีความสุข มีมารยาทพอดีพองามไม่ทำให้เกิดช่องว่างกันมากเกินไป แต่ก็ไม่ใช่สนิทจนพูดอะไรแล้วไม่เกรงใจกัน 
ถึงแม้ว่าจะเปิดไฟเท่ากัน คนมีความทุกข์เมื่อมองภาพข้างหน้า ก็จะรู้สึกว่ามัวๆ สลัวๆ แต่คนมีความสุขมองไปทางไหนก็สว่าง เคยไหมที่เรารู้สึกหน้ามืดตามัว แต่ว่าเรานั้นไม่ได้เป็นโรคภัย เคยไหม (เคย) เพราะว่าใจของเรานั้นมีความทุกข์มาก เมื่อใจมีความทุกข์มากทำให้อวัยวะทุกอย่างในร่างกายของเรานั้นสูญเสียสมดุลไปเลย จิตใจนั้นเป็นอะไร จิตเป็น(นายกายเป็น(บ่าวแต่ทุกวันนี้เรายอมให้ความทุกข์ มาสัมผัสกายทั้งหมด ทุกวันนี้เห็นวัตถุภายนอกสำคัญกว่า ทำงานหาเงินมามากมายเพื่อบำรุงอะไร (กาย) บางคนอยากได้บ้าน บางคนอยากได้รถ บางคนอยากได้เฟอร์นิเจอร์ บางคนอยากได้อาหารการกินดีๆ หรือบางคนอยากได้สิ่งที่มาบำรุงบำเรอ เราหาเงินมากมายเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายของเรา บางสิ่งเข้าทางตา อย่างเช่น โทรทัศน์ เข้าทางตา จอใหญ่เท่านี้ไม่พอต้องใหญ่กว่านี้ บางสิ่งเข้าทางหู คืออยากฟังที่ดีขึ้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ บางสิ่งมาทางกาย อยากได้เก้าอี้ที่นิ่มกว่านี้ อยากได้เตียงที่ใหญ่กว่านี้ แล้วเราก็ก้มหน้าก้มตาหาเงิน หาเงินมาไม่ได้ก็มีความทุกข์ที่ใจ พอใจทุกข์แล้วร่างกายดีไหม (ไม่ดีพอจิตใจทุกข์ก็ทำให้ทุกอย่างเสียไปหมด
จิตใจต้องการสิ่งใดบ้าง (ความสะดวกความสบาย,มีธรรมะอยู่ในใจ,ความสุข,ธรรมะ,ความพอดี,ความรัก,ความยุติธรรม,ฝึกกายฝึกใจ) จิตใจต้องการในสิ่งที่ศิษย์ตอบมาทั้งสิ้น แต่เราเคยให้สิ่งเหล่านี้แก่จิตใจหรือไม่ จิตใจต้องการความสงบ เราเคยให้ความสงบกับจิตใจหรือเปล่า จิตใจจะสงบได้ต้องทำอย่างไร (จิตใจจะสงบต้องทำสมาธิ)  จิตใจเราต้องการความสงบ เกิดได้จากการรู้จักที่จะทำใจ บางทีจิตใจเหมือนคลื่นน้ำกระแทกไปกระแทกมา จิตใจจะสงบลงได้ ต่อเมื่อเรารู้จักทำใจเท่านั้น
สมมติว่าเราหาเงินไม่ได้อย่างที่เราคิด แฟนของเราไปมีแฟนใหม่  ทำอย่างไรดี ทำใจได้ไหม (ไม่ได้) ถามว่าทำได้กับทำไม่ได้อะไรดีกว่ากัน (ทำได้) แต่ส่วนใหญ่เราเลือกทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราหยุดความคิดเราไม่ได้ ความคิดของเราเหมือนเครื่องจักรที่เดินไปตลอดไม่ยอมหยุดเลย แต่เครื่องจักรเครื่องนี้ถ้าเดินมากเกินไปเดินตลอดเวลาก็ร้อน ตัวเราร้อนไหม (ร้อน) ตอนนี้เครื่องจักรของเรายังไม่ยอมหยุดทำงาน เมื่อมันร้อนแล้วเป็นอย่างไร  เกิดความรู้สึกฟุ้งซ่าน สับสน อลหม่าน คิดไม่ตกปลงไม่ได้ ทำใจไม่ได้ อยู่ก็ไม่ได้ไปก็ไม่ได้ นั่งก็เป็นทุกข์ ยืนก็เป็นทุกข์ เดินหนีไปยังเป็นทุกข์ ถ้าเรายังอยู่ในสภาพเช่นนี้  ถามว่าเราจะทำอะไรสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้แล้วถามว่าความทุกข์ครั้งนั้นที่เราเจอ เราจะให้ความทุกข์ครั้งนั้นทำชีวิตเราพังใช่หรือไม่ (ไม่) ความทุกข์เพียงเรื่องเดียวที่หนักๆ ทำชีวิตคนพังทั้งชีวิต
ศิษย์ของอาจารย์อยากมีชีวิตที่พลั้งพลาดหรือไม่ (ไม่อยาก) ศิษย์ไม่อยากมีชีวิตที่พลั้งพลาด ศิษย์ต้องรู้จักที่จะหยุดตัวเอง ต้องรู้จักที่จะหยุดความคิด อย่าให้ความคิดเดินไปเรื่อยๆ แล้วหยุดไม่ได้ เรื่องทุกเรื่องมีทางออกของมันเอง เวลาช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ แต่ถ้าหากใจของศิษย์ทำไม่ได้เรื่องทุกเรื่องก็จบไม่ได้ ฉะนั้นจิตใจอันนี้เป็นของเรา จิตใจนี้อยู่ในตัวเรา  จะหยุดจิตใจนี้ต้องใครหยุด (ตัวเรา) แม้อาจารย์ก็หยุดใจศิษย์ทุกคนไม่ได้  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่อยากหยุด แต่ถ้าไม่หยุดชีวิตพัง ถ้าหยุดชีวิตเดินต่อไป  แต่ถามว่าคนใช่เครื่องจักรไหม (ไม่ใช่คนไม่ใช่เครื่องจักร แม้จิตใจพังแล้วก็ยังเดินต่อไปได้ ยังสามารถก้าวอยู่ได้  แต่ก้าวอย่างคนที่ไม่มีหัวใจ ก้าวอย่างคนที่มีความรู้สึกพังๆ เต็มไปหมด ซึ่งเป็นสภาพที่มนุษย์หลายๆ คนเป็น บางเรื่องที่ผิดหวัง ทำลายชีวิตศิษย์มานักต่อนัก เราผิดหวังเพราะเราตั้งความหวัง ฉะนั้นตั้งความหวังให้น้อยกว่านี้สักนิดหนึ่ง  เรายอมมีความสุขน้อยกว่านี้สักนิดได้ไหม (ได้) แล้วมองจิตใจของเราว่าจะช่วยจิตใจของเราได้อย่างไร ดีไหม  (ดี) ศิษย์คงไม่เถียงว่าจิตใจนั้นมีความสำคัญที่สุด แต่จะทำอย่างไรให้มันสำคัญสมกับที่เราเห็นความสำคัญของมัน
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบ)
ผลไม้ได้ไป เก็บแล้วค่อยกินใช่หรือเปล่า บางเรื่องเราทุกข์กับมันมากที่สุดแต่ก็เก็บไว้ตั้งนาน ถามว่าผลไม้เน่าๆ นี้ถืออยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เห็นผลไม้เหี่ยวๆ แล้วยังกำอยู่ในมือได้ไหม ถ้าเหี่ยวก็กิน ถ้าเน่าก็โยนทิ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรารู้จักจัดการผลไม้ แต่เราไม่รู้จักจัดการจิตใจของเรา ฉะนั้นจงจัดการกับชีวิตของเรา ดีหรือไม่ (ดี) วันนี้อาจารย์พูดมาตั้งมากมาย ใจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก สองวันนี้มาฟังธรรมะ เขาพูดตั้งมากมาย เพราะต้องการให้ศิษย์รู้จักการบำเพ็ญธรรม
การบำเพ็ญช่วยพยุงจิตใจของศิษย์ให้อยู่ในครรลองคลองธรรม การบำเพ็ญทำให้ศิษย์รู้ว่าควรทำอย่างไรกับจิตใจของตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ในคนที่รู้จักว่าจะบำเพ็ญอย่างไรจริงๆ คนที่บำเพ็ญแบบขอไปที บำเพ็ญตอนเห็นคนอื่นแล้วแสดงความเป็นนักบำเพ็ญออกมา อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าศิษย์ไม่ได้เอาใจของศิษย์ไปแสดงให้คนอื่นดู จิตใจนั้นบ่งบอกความเป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา หลายๆ คนก็ทำจิตใจได้ดีแล้ว บำเพ็ญมาช่วงหนึ่งจิตใจก็ยกระดับดีขึ้น การประพฤติอะไรก็ดีขึ้นมาก แต่จิตใจนั้นยังหดหู่อยู่ ยังมีอารมณ์เศร้าซึม เพราะอะไรรู้ไหม (มีกิเลส, ไม่ยอมปลง, เพราะกรรมเก่า, เพราะยังโง่อยู่, เพราะยังเห็นแก่ตัวอยู่) สิ่งที่เพื่อนนักเรียนตอบมาคนเก่าๆ ยังเป็นอยู่ทุกเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่) เรายังเป็นอยู่ทุกข้อแสดงว่าเรานั้นก็ยังไม่ต่างกับคนใหม่ที่เดินเข้ามา เพียงแต่ว่าเรามีความเข้าใจมากกว่า มีความรู้ทางธรรมมากกว่า แต่เรายังบำเพ็ญไม่ได้ดีกว่า เพียงแต่รู้จักขจัดความทุกข์หยาบๆ ออกไปบ้าง จึงทำให้เกิดความสุขหยาบๆ บ้างในจิตใจ แต่ความทุกข์อย่างละเอียดมิได้ขจัด ความสุขอย่างละเอียดก็ไม่บังเกิด ฉะนั้นจะทะนงตนว่า เราเป็นพี่แล้วต้องดีกว่าไม่ได้ เรายังต้องฝึกฝน ฝึกฝนด้วยการหักห้ามใจในคำพูด ต้องมีสติทุกเมื่อ รู้จักเลือกฟังบ้าง และหักห้ามใจที่เรายังมีความคิดใดๆ บ้าง ความคิดกระทบศิษย์มากที่สุด เพราะความคิดเป็นสิ่งที่หยุดยากที่สุด คิดไปตั้งมากจึงรู้ว่าตัวเองคิด คิดจนตัวเองไปว่าคนอื่นแล้วยังไม่รู้ว่าเราไม่ควรคิด ฉะนั้นความคิดเป็นสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดและจะต้องพยายามที่จะตัดให้ได้รวดเร็วที่สุด
เมื่ออาจารย์พูดอย่างนี้แล้วศิษย์คิดว่าตัวเองได้บำเพ็ญบ้างแล้วหรือยัง (บำเพ็ญบ้างแล้ว) บ้างเท่านั้น คนมีความเพียรไม่สำคัญว่าตัวเองเป็นคนรู้มากหรือรู้น้อย หากเป็นผู้ที่มีความรู้น้อยแต่มีความเพียรสูง ทำสิ่งที่ตนรู้ให้สำเร็จลุล่วง แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้น้อยก็เป็นผู้ที่น่ายกย่อง แต่ในขณะเดียวกันคนที่มีความรู้มาก แต่มีความเพียรต่ำ ทะนงว่าตนเองฉลาดหรือเก่ง เวลาที่คนอื่นมองเข้ามาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าศิษย์เป็นผู้ที่มีความรู้มากแต่มีความเพียรน้อย ย่อมประสบความสำเร็จในสิ่งใดๆ ยาก จริงหรือไม่ (จริง) ทุกวันนี้ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปรับปรุงตนเองหรือไม่ อาจารย์มองหน้าศิษย์ก็เห็นแต่ละคนมีแววหมองคล้ำ มีความเศร้าซึมแล้วก็หดหู่ เพราะว่าศิษย์ไม่ได้เห็นธรรมะในสิ่งที่เป็นธรรมะไร้รูปลักษณ์ แต่ศิษย์มองธรรมะในลักษณะที่มีรูป ฉะนั้นธรรมะที่ศิษย์แสดงออกมาจึงยังต้องมีรูป ยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านได้ ธรรมะในตนจึงยังไม่ประเสริฐ ขอให้พยายามนะ เอาแววความเศร้าซึมหดหู่ออกไปจากจิตใจ ลบไปจากใบหน้า สามัคคีกันให้มาก
การที่จะพูดว่าอะไรใครสักอย่างจำเป็นจะต้องรู้จักนิสัยของคนๆ นั้นให้ดี จึงจะพูดได้ เพราะว่าศิษย์ไม่ใช่พุทธะ ฉะนั้นการที่ศิษย์จะพูดอะไรออกไป ไม่ใช่ทุกคนอยากฟัง เป็นคนต้องมีความอะลุ่มอล่วยอยู่สูง หากไม่มีเลยก็ไม่ได้ หากมีมากเกินไปก็หย่อน จะไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย เป็นคนต้องรู้จักที่จะผ่อนปรน ผ่อนปรนตนเองให้ไม่ยึดติดตายตัวมากเกินไป แต่ผ่อนปรนมากเกินไปก็ไม่สำเร็จอะไรเลย ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ อย่าเครียด ปัญหาแต่ละคนมีมากมาย บอกไม่ได้ พูดอธิบายกันไม่หมดไม่สิ้น เห็นบางคนเขาบำเพ็ญได้ดี ก็ไม่ใช่เขาไม่เครียด แต่อาจารย์ก็ไม่รู้จะปลอบศิษย์อย่างไร บอกได้เพียงแต่ว่าอย่าเครียด อาจารย์สงสารศิษย์ทุกคน ยิ่งสงสารก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้พูดในสิ่งที่ศิษย์ควรจะทำมากยิ่งขึ้น
ธรรมะเป็นธรรมชาติ บำเพ็ญด้วยความเป็นธรรมชาติ บำเพ็ญด้วยความเข้าใจ บำเพ็ญด้วยความใส่ใจ ทำได้ไหม (ได้)
อาจารย์บอกให้ การบำเพ็ญตนเป็นก้าวหนึ่งของการบำเพ็ญเท่านั้น การที่เราต้องแก้ไขตนก็เป็นก้าวหนึ่งของการบำเพ็ญเท่านั้น แต่หากแก้ไขตนเองไม่ได้ก็ไปช่วยคนอื่นไม่ได้ แต่หากว่าศิษย์พะวงแต่การช่วยตัวเอง แก้ไขตนเอง แล้วศิษย์จะเหลือขาที่ไหน ใจที่ไหน ที่จะไปช่วยคนอื่น แต่หากว่าศิษย์ก้าวไปช่วยคนอื่นก่อนแล้วยังไม่แก้ไขตนเอง ศิษย์ก็จะสร้างสิ่งที่ศิษย์สร้างมาเพื่อทำลายเท่านั้น เข้าใจไหม (เข้าใจ) 
ศิษย์ในชั้นนี้มีความสุขหรือเปล่า (มี)  อาจารย์อยากเอากระจกมาส่องให้ศิษย์ดู จะได้รู้ว่าตนเองหน้าบึ้งมากแค่ไหน แม้ไม่มีเรื่องอะไรยิ้มได้ไหม ไม่มีความสุขยิ้มได้หรือเปล่า (ได้) แล้วจะเป็นคนบ้าหรือเปล่า (ไม่เป็น) ขอให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีใบหน้าที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เหมือนเป็นเกราะป้องกันภัยให้ความทุกข์นั้นไม่เข้ามาหา แม้มีความทุกข์ความกลุ้มเข้ามาหาเรา  หากว่าเรามีรอยยิ้มจะเหมือนมียันต์ป้องกันตัว คนที่อยากจะพูดเรื่องกลุ้มใจกับเรา เขาก็หวังว่าเรานั้นจะมีตบะมากกว่า จะเป็นผู้ที่รับความทุกข์ได้มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้จริงแล้วความทุกข์ทุกเรื่องในโลกนี้ ถามว่ามีทุกข์ไหนใหญ่ทุกข์ไหนเล็กไหม (ไม่มี) ทุกเรื่องคือความทุกข์เหมือนกัน คนที่ล้มละลายเป็นหนี้สิบล้าน คนที่ไม่มีเงินจะกินข้าวมื้อนี้ก็มีความทุกข์เช่นเดียวกัน ใครมีความทุกข์มากกว่า คนที่ล้มละลายมีหนี้สิบล้านแต่ยังมีข้าวกินทุกมื้อ คนที่ไม่มีข้าวกินมื้อนี้ มื้อหน้าและมื้อต่อไป สามมื้อถามว่าอยู่ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เขาก็แทบจะอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นถามว่าความทุกข์ของใครใหญ่กว่ากัน (คนไม่มีข้าวกิน) ความทุกข์ของคนเป็นหนี้อาจจะใหญ่ก็จริง แต่ความทุกข์ของคนที่ไม่มีข้าวกินฉุกเฉินกว่า จริงหรือเปล่า (จริง) ถามว่าใครมีทุกข์หนักกว่ากัน (คนไม่มีข้าว)  ถ้าศิษย์เป็นคนไหนคนนั้นก็ทุกข์หนักล่ะ อันไหนมันเป็นความทุกข์ของเรา เราก็รู้สึกว่ามันทุกข์ จริงหรือเปล่า (จริง)
ศิษย์ที่อยู่พิจิตร ที่บำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี่ อาจารย์จะบอกว่าศิษย์โชคดี ที่บำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี่ มีวงการธรรมที่สงบ มีอาวุโสที่เมตตา เขารักแล้วก็ทะนุถนอม ปกป้องเรามาก บางทีการปกป้องมาก หรือความเข้มงวดมากที่อยากให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น.ก็อาจจะทำให้อึดอัดใจบ้าง แต่อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าโชคดีแล้ว อย่าได้รู้สึกอึดอัดขัดเคืองในความเอาใจใส่ของอาวุโสมาก ฟ้าประทานปากมาให้ศิษย์ทุกคนก็จงรู้จักพูดในเวลาที่ถูกต้อง ออกความคิดเห็นได้ ยิ่งคนที่เป็นนักธรรมอาวุโสแล้วก็ยิ่งต้องช่วยสอดส่องดูแล และจำเป็นที่จะต้องปรึกษาหารือกัน  ต้องมีความคิดทางธรรมที่ถูกต้อง จึงจะสามารถนำงานธรรมได้อย่างรอดฝั่งเข้าใจหรือไม่ 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทครอบ)
วงคำว่าอะไร (ทุกข์)  แล้วเห็นทุกข์ไหมชีวิตนี้ (ยังไม่เห็น)  จริงๆ แล้วเห็นแล้ว รู้จักแล้ว  แต่ยังรู้จักได้ไม่ดี คนเรายิ่งโตก็ยิ่งทุกข์มาก เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมก็เพราะว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ พร้อมจะรับไหม
เบื่อหรือยัง (ไม่เบื่อ) พรุ่งนี้มาอีกวันไหวไหม ถ้าไหว พรุ่งนี้อาจารย์มาอีกวันดีไหม จริงๆ แล้วอาจารย์ก็มาบ่อยอยู่แล้ว  แต่ว่าศิษย์นั้นมองเห็นไหม อาจารย์มาศิษย์ก็มองไม่เห็น อาจารย์ตะโกนเตือน ศิษย์ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเวลาที่อยู่ดีๆ มีใครสอนเรา แม้จะเป็นคนที่ปกติเราไม่ค่อยจะฟังเขาแต่ถ้าเขาสอนเราก็จงฟัง  ขึ้นชื่อว่าเป็นคำสอน ย่อมมีสิ่งที่ดีอยู่ตรงนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นคำสอนหากว่าเราตัดอคติในใจของเราออกไปได้   เราย่อมได้ธรรมะทั้งสิ้น  อคติที่เกิดจากความชอบ จากความชัง จากความกลัวมีหรือไม่  (มี) อย่าได้มีอคติในใจดีหรือเปล่า (ดี) เมื่อเห็นคนไม่ชอบก็ต้องพยายามตัดอคติออกไป เมื่ออคติหมดไป เราก็จะเป็นคนที่มีความเที่ยงธรรมมากขึ้น อยากเป็นคนที่มีความเที่ยงธรรมไหม จะเที่ยงได้อย่างไร เราต้องลงทุนตัดเนื้อ เถือกระดูก เราจึงจะได้แก่น เราต้องลงทุนเสียบางอย่างของเราไป เราจึงจะได้บางสิ่งมา มนุษย์พูดว่าของฟรีไม่มีในโลก อยากให้คนอื่นสอนก็ต้องทนให้คนอื่นว่า แต่ศิษย์เองอย่าไปว่าคนอื่น เพราะว่าศิษย์เป็นคนที่มีสติมากกว่าเขา  บางคนพูดไปใช้อารมณ์ไป  แต่สิ่งที่เขาพูดมานั้นล้วนคือความห่วงใยจริงหรือเปล่า (จริง) เราฟังรู้เรื่องหรือเปล่า  บางคนฟังรู้เรื่อง แต่ก็แกล้งใช้อารมณ์กลับไป เขายิ่งว่าก็ยิ่งแรง จริงหรือเปล่า (จริง) กลายเป็นว่าเราโง่ อันนี้โง่จริงๆ ไม่ใช่แกล้งโง่ เพราะเรายิ่งใช้อารมณ์กลับไป คนอื่นก็ยิ่งว่าเราจริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าเราเงียบๆ หน่อยฟังเขาให้เข้าใจแล้วทำตามเขา เขาจะเลิกว่าเราไปเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
คนฉลาดต้องยอมเงียบ เงียบมีหลายลักษณะ บางคนนิ่งเงียบเพื่อเป็นการเอาชนะ บางคนเงียบแล้วไปดังอยู่ในหัว คือเถียงออกมาไม่ได้แต่ไปเถียงในหัว อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่เงียบในจิตใจของตัวเอง คือเวลาที่คนอื่นว่ามา ในใจของเราอย่ามีเสียง แล้วใจของเราสงบที่จะฟังเขาจริงๆ  แม้ว่าคำพูดของเขาจะไม่น่าฟัง แต่เรายังฟังเพื่อให้ได้ประโยชน์ มนุษย์ชอบประโยชน์ที่สุด แต่สิ่งที่ได้ประโยชน์ที่สุดไม่ได้มาจากการมองวัตถุ สิ่งที่ได้ประโยชน์ที่สุดมาจากคำพูดที่ดีจากนักปราชญ์ แต่สมัยนี้ถามว่ามีปราชญ์สักคนไหม คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็นนักปราชญ์หรือไม่อยู่ที่ตาของเรามอง วันนี้ภรรยาของเราอาจจะเป็นนักปราชญ์ สามีของเราอาจจะเป็นนักปราชญ์ ลูกในบ้านของเราอาจจะเป็นนักปราชญ์ หรืออาจจะมีใครสักคนที่มีความหวังดี เดินมาบอกเรา มาเตือนเราเป็นการเฉพาะ เวลาศิษย์อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือนั้นสอนคนเป็นร้อยเป็นพันคนสุดแท้แต่ใครจะซื้อไปอ่าน แต่ในบ้านศิษย์ คนรอบข้างศิษย์เขามีคำสอนเฉพาะศิษย์คนเดียว เขาเดินมาว่าเราคนเดียวคนอื่นไม่ว่า คำพูดนี้มีแค่ครั้งเดียวต่อให้พูดบ่นซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ถามว่าเกินสามวันห้าวันไหม (ไม่เกิน) คิดดูว่าเขาต้องใช้ความอดทนแค่ไหนในการพูดบ่นซ้ำไปซ้ำมาให้เราฟัง เขายังทนพูดได้ ทำไมเราทนฟังไม่ได้ล่ะ หนังสือยังมีหลายคนอ่าน แต่คำพูดคนอื่นบางคนมีแค่ครั้งเดียวกับเราเท่านั้น เขาพูดกับเราแค่คนเดียวและครั้งเดียวทำไมเราทนไม่ได้ล่ะ ถ้าเกิดว่าเราใช้อารมณ์ตอบโต้เขา  ถามว่านักปราชญ์คนนี้ต่อไปจะมาว่าเราไหม เขาก็ไม่ว่าเราแล้ว ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) หูก็เบามากขึ้นแต่ใจตกต่ำลงไปอีกจริงหรือเปล่า เพราะโดยส่วนใหญ่คนที่ใช้อารมณ์ว่าเราด้วยความหวังดี เขาใช้อารมณ์ว่าเราแต่คำพูดนั้นเพื่อให้เราดีจริงหรือไม่ (จริง) ถ้าวันใดขาดคนว่าแล้วหรือคนว่าเราน้อยลงเรื่อยๆ แสดงว่าคนเขาเบื่อเราหมดแล้ว
ฉะนั้นกลับไปเมื่อมีคนบ่นคนว่าจงนึกว่าดีแล้วที่มีคนรัก และจงปฏิบัติตามในสิ่งที่คนเขาว่าเท่าที่ตัวเราจะทำได้ บางคนบอกว่าทำไม่ได้ แต่ยังไม่ได้พยายาม ศิษย์ลองพยายามในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าทำไม่ได้  ชีวิตที่ผ่านมาทั้งชีวิตประสบความสำเร็จกี่เรื่อง อาจารย์ขอให้การเปลี่ยนแปลงตนเอง ปรับปรุงตนเอง บำเพ็ญตนเองเป็นความสำเร็จเรื่องแรกดีหรือไม่ (ดี) ถ้าทำได้ก็เป็นผลดีกับตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลง ทำนองเพลง อีกไม่นาน”)
เดี๋ยวร้องเพลงจบแล้วค่อยมาคิดชื่อเพลงนะ เห็นไหมว่าชื่อมาทีหลังเพลง ชื่อเสียงของคนก็มาทีหลังการบำเพ็ญ อย่าไปยึดติดกับชื่อ อย่าไปยึดติดกับก่อนหรือหลังมาก อย่าไปยึดติดกับว่าใครทำอะไรเป็นอย่างไร จงยึดว่าตัวเองมีคุณธรรมมากมายแค่ไหนที่จะให้ผู้อื่นยกย่อง หากได้ชื่อว่าอาวุโสแต่มิได้มีความอาวุโส  มิได้มีคุณธรรมมากกว่า ศิษย์เอ๋ยขายขี้หน้า
ร้องเพลงให้มีความสุข ถึงแม้ว่าร้องออกมาไม่ไพเราะแต่ก็กินใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถึงแม้ศิษย์จะร้องเพลงล่ม แต่อาจารย์ก็ยังนิยมฟังนะ อาจารย์ก็ยังรู้สึกมีความสุขที่ยังได้ยินเสียงศิษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นคนมาสถานธรรม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่อยู่ที่เก่ง แต่อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ ทำไม่ประสบความสำเร็จก็ภาคภูมิใจมากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จแต่ไม่ยอมทำ จริงหรือไม่ (จริง) อะไรที่ใช้การคิดเอาอย่างเดียวไม่มีสำเร็จ ทุกอย่างต้องลงมือทำทั้งสิ้น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันอ่านพระโอวาทครอบคำว่า ศรัทธาด้วยปัญญา)
ศรัทธาด้วยปัญญา ศรัทธาแปลว่ามีความเชื่อ ในวันนี้แม้อาจารย์จะใช้ร่างสามคุณในการที่จะมาพบศิษย์ แต่อาจารย์ไม่แนะนำให้ศิษย์ติดในรูปลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งรูปอาจารย์ อาจารย์อยากให้ทุกคนมีความเชื่อ แต่เป็นความเชื่อที่แข็งแกร่งด้วยปัญญาคือคิด อ่าน เห็น และเป็นในสิ่งที่เป็นสัมมาไม่ใช่มิจฉา โดยเฉพาะในวงการธรรมที่มีความยาวนาน มีคนบำเพ็ญมาก่อนและหลังแล้ว ทุกคนจะต้องรู้จักใช้ปัญญาให้มากๆ
อยากให้ศิษย์ทั้งหลายรักษาตัวให้ดีๆ เดี๋ยวนี้โรคภัยวิ่งมารวดเร็ว อยากให้ศิษย์รักษาจิตใจให้ดี ศิษย์นั้นมีจิตใจที่ทรุด เสื่อม ล้มง่ายกว่าเดิม จิตใจนั้นอ่อนไหวแล้วก็อ่อนบางยิ่งกว่าเดิม ไม่มีความเข้มแข็งเหมือนดังคนในอดีต ฉะนั้นแทนที่จะต่อว่ากล่าวอะไรกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกัน เมื่อจะพูดก็เลือกพูดแต่คำดีๆ ถนอมน้ำใจ ให้กำลังใจ เพราะศิษย์ต้องอย่าลืมว่า ทุกคำกล่าวที่เราพูดออกไปเราเป็นผู้รักษาคำพูดนั้นๆ
โลกนี้หากศิษย์คิดว่าไม่มีใครรัก อาจารย์รักศิษย์ทุกคน อยากให้ศิษย์ทุกคนได้ดียิ่งกว่านี้ หวังให้ศิษย์มีสติตื่นขึ้นเร็วกว่านี้ แต่ไม่หวังให้ศิษย์ร่ำรวยยิ่งกว่านี้ ไม่หวังให้ศิษย์หลงมากกว่านี้แล้ว เพราะหลงมากกว่านี้ก็ไม่ไหว วันนี้อาจารย์ขอนำพาความหม่นหมอง เศร้าซึม หดหู่ในใจศิษย์ทุกคนบิณฑบาตกลับไปพร้อมอาจารย์ด้วย อาจารย์ขอให้เหลือไว้แต่เพียงความสดใส ความน่ารักอย่างที่ศิษย์นั้นเคยมีและเคยเป็น ในเวลาที่ศิษย์ยิ้มอาจารย์นั้นยิ่งรู้สึกว่ามีความสุขมากยิ่งขึ้น ในเวลาที่ศิษย์ทุกข์อาจารย์ก็ทุกข์ด้วย แต่ขอให้ศิษย์ทุกข์ในเรื่องที่ควรทุกข์ คิดพูดและทำในสิ่งที่สมควรเท่านั้น ศิษย์จึงเป็นปราชญ์ในโลกให้คนเขามองเห็นว่านี่คือปราชญ์ที่เดินได้ ยังมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของศิษย์ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเอง  
ถ้าหากถามศิษย์ว่าในโลกนี้ยังมีปราชญ์ไหม ศิษย์คงตอบว่าไม่มี แต่อาจารย์อยากบอกว่าศิษย์เคยมองเห็นตัวเองเป็นปราชญ์ไหม เคยสร้างคุณค่าให้กับตนเองที่รู้สึกว่าตัวเองได้มีคุณค่ามาตลอดไหม คุณค่าอยู่ในใจของศิษย์อยู่ในความด้อยค่าของศิษย์ แต่ศิษย์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในความคิดและจิตใจของอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรักถนอมตัวเองให้มากกว่านี้ พาตัวเองขึ้นมาให้เร็วที่สุด อย่าจมปรักกับปัญหาต่างๆ ให้มากมาย ช่วยตนเองขึ้นมาแล้วจึงช่วยคนอื่นได้ ศิษย์จะมีเวลาให้ทุกข์สักกี่วัน ชีวิตหนึ่งสั้นแสนสั้น ศิษย์จะทุกข์สักกี่วัน อาจารย์ขอให้ความทุกข์ศิษย์หมดไปกับอาจารย์วันนี้ แม้มีความทุกข์อย่าหม่นหมองใจ รู้ไหม
โอกาสหน้าเราเจอกันใหม่ ขอให้ศิษย์มีความสดในดวงตามากกว่านี้



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตาให้ผู้ร่วมฟัง ณ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

การมาสถานธรรมบ่อยกับการมาสถานธรรมไม่บ่อยต่างกันไหม  ทำอย่างไรเราจึงจะเป็นญาติ ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นพี่น้อง ทำอย่างไรเราจึงเป็นเจ้าของบ้าน ถ้ามาสถานธรรมเวลาเฉพาะงานประชุมธรรม เราก็จะไม่รู้เรื่อง
วันนี้ผ่านงานประชุมธรรมไปแล้วศิษย์ยังรู้สึกทุกข์ รู้สึกว่ามีเรื่องไม่สบายใจ หรือเปล่า (มี)  ต้องมาศึกษาและกลับไปปฏิบัติ ทุกวันนี้เราบอกว่าเป็นคนดี  เราต้องพยายามที่จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ  ในโลกนี้มีคนที่แย่ลง เราต้องพยายามเอื้อมมือลงไปฉุดช่วยคนเหล่านั้น เราจึงจะได้ดำเนินบนทางที่เป็นทางธรรมะ เราจึงจะได้ดำเนินสู่การเป็นพุทธะอริยะได้  ใจลอยหรือเปล่า (ไม่ลอย)  ใจอยู่ไหน ใจอยู่กับตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตัวอยู่ไหน อยู่บนความทุกข์ หรืออยู่ความสุขเป็นส่วนใหญ่ (ความทุกข์)
ฉะนั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาโทรไปเรียกเรามา เราไม่อยากมาแล้ว ใครจะเรียกเราได้ จริงหรือเปล่า (จริง)   เพราฉะนั้นให้เวลากับการบำเพ็ญดีไหม (ดี)  ศิษย์ของอาจารย์คนเก่าที่อยู่ตรงนี้มีจำนวนมาก หนึ่งคนบำเพ็ญธรรมบรรพชนก็ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลด้วย เพราะฉะนั้นอย่ามองว่าชีวิตนี้เป็นของเรา จะทำอะไรก็ได้ ทุกๆ คนนั้นพ่วงไว้ด้วยบรรพชนของตนเองเยอะแยะมากมาย  และสามารถสร้างสิ่งที่เป็นกุศลได้ แต่ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์เอาเวลาไปทำอะไร ถ้าจะทำเหมือนทุกๆ วันที่ผ่านไป  ถามว่าเรามีโอกาสที่จะเป็นพุทธะไหม (ไม่มี)  แต่ถามว่าความเป็นพุทธะสำคัญกับศิษย์มากไหม  ความเป็นพุทธะอาจไม่สำคัญในความคิดของศิษย์ แต่ถามว่าอยากหลุดพ้นจะทะเลทุกข์นี้ไหม (อยาก)  อยากหยุดทุกข์ไหม (อยาก)  รู้จักว่าหยุดทุกข์สักวันเป็นอย่างไรหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความเป็นพุทธะไม่สำคัญต่อความคิดของศิษย์ แต่ศิษย์อยากพ้นทุกข์ ถ้าเป็นปุถุชนก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้าเป็นพุทธะก็พ้นทุกข์  เพราะฉะนั้นอยากเป็นพุทธะต้องบำเพ็ญ  ต้องเอาใจของศิษย์ไปเปลี่ยนใจดวงหนึ่งเข้ามาแทน  แต่ถามว่าควักออกไปใช่ไหม (ไม่ใช่) หรือว่าต้องไปเปลี่ยนผิวเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ต้องเปลี่ยนตัวเองให้มีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อาจารย์บอกให้ ศิษย์ไม่ต้องเปลี่ยนสิ่งใดเลย  ขอเปลี่ยนอย่างเดียว เปลี่ยนจิตใจ ความเป็นพุทธะไม่สำคัญในความคิดของศิษย์ อาจารย์รู้ศิษย์ทุกคนคิดเหมือนกัน  ความเป็นพุทธไกลเกินเอื้อม จริงไหม (จริง)  ศิษย์เป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่เชื่อว่าตัวเองทำได้ แล้วอาจารย์เชื่อศิษย์คนไหนได้  จงบำเพ็ญด้วยความเชื่อมั่น และเปลี่ยนจิตใจของตนเอง อย่างรวดเร็ว  อย่าปล่อยเวลานานต้องเปลี่ยนจิตใจตนเองอย่างเข้มแข็ง อย่ากลัวคนว่า อย่ากลัวสิ่งที่ตาเห็น  อย่ากลัวสิ่งใดที่ทำให้ศิษย์ทุกข์  เมื่อทุกข์จงอยู่ตรงนั้น แล้วเปลี่ยนจากตรงนั้นให้เป็นความสุข ทุกข์ไม่เคยหมดไปจากโลก ทุกข์อยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ทุกข์มีทุกเวลา  เขาเพียงแต่ไม่พูด ถ้าเขาพูดเมื่อไรศิษย์ก็ทุกข์  จริงไหม (จริง)  ความทุกข์ก็อยู่ตรงนั้น ความสุขก็อยู่ตรงนั้น  แต่ว่ามันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนใจศิษย์ด้วยการมาสถานธรรมบ่อยขึ้น ศึกษาธรรมมากขึ้น และรู้ว่าตัวเองควรปฏิบัติอย่างไร  ดีหรือไม่(ดี) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แก่ผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์จะหาผู้โชคดีสี่คน  ผู้โชคดีมีอยู่สี่คนหาใช่ทุกคนไม่ จงรู้ว่าความโชคดีนั้นเป็นสิ่งที่หายาก ศิษย์ไม่ได้โชคดีก็เป็นเรื่องธรรมดา จริงหรือไม่ (จริง) 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ศรัทธาด้วยปัญญา
ก้าวที่ต่อจากใจนับครั้งทำได้สักครา   โลกสอนมาด้านเดียว  ทุกข์ทนเมื่อรู้ว่าจะเกิดโศกเศร้าให้ช้าสักหน  
หากแน่ใจ   ศิษย์เอยจงเป็นคนลุกขึ้นก่อน  แต่กลัวใจศิษย์ยังไม่ทำด้วยความสับสนที่ซึมแทรกมา  ที่บ้างยังลังเลด้วยวูบอารมณ์  ศิษย์เอ๋ยเจ้า ทำเหมือนคนไม่เคยผ่านมา ต่างเงียบไปต่างก็ลา




[๑] วิมุตติ  ความพ้น,ความหลุดพ้น, พระนิพพาน
[๒] อวิชชา  ความไม่รู้แจ้ง หมายถึง ไม่รู้แจ้งอริยสัจ4; ความเขลา ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
[๓] วิญญูชน  บุคคลผู้รู้ผิดรู้ชอบตามปรกติ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2549

2549-04-22 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ. นครศรีธรรมราช


วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมฉือฮุ่ย นครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านเสี่ยวตงตง

คนไม่คุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจกัน        คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย
คนสนิทมารยาทยังต้องมีด้วย        อย่าได้ฉวยโอกาสบนความชอบพอ
            เราคือ
เสี่ยวตงตง (小冬冬)            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย   แฝงกายกราบ
องค์มารดา             ถามเมธีทุกท่าน อยากคุยกับเราไหม

เห็นสิ่งดีเพราะฤดีแสนประเสริฐ      กุศลเกิดย่อมดีกว่าสิ่งไหน
ชีวิตดีเพราะคนรู้พอได้              อคติย่อมเกิดร้ายไม่เกิดปัญญา
คำว่าร้ายทุกเรื่องล้วน สังเวช[๑]        คะนึงเหตุปัจจัยอยู่อย่างแกล้วกล้า
อย่าสรุปตามที่เห็นด้วยตา           อยากกำหนดอะไรใช้ปัญญาใช่อารมณ์
ปัญญาแยกร้ายดีอย่างเต็มที่          สติมีเกิดขึ้นดับขื่นขม
สติย่อมอยู่ตั้งไปแล้วล้ม             เพียงแจ้งในสัจธรรมบ่มสติทน
ตื่นทุกเมื่ออย่างมีชีวิตชีวา            วิทยา[๒] ไม่ถี่ถ้วนเพียรฝึกฝน
รู้ไม่รู้สองลักษณะหนึ่งบุคคล          กลายเกิดคนโลกีย์วิญญาณมัวเมา

จิตหวั่นไหวในสู่เสรียาก             จดจำเมื่อลำบากไม่สาวเท้า
อุปสรรคจ้องถูกไม่ใช่สบายก้าว       สำนึกก็เรามีไม่เศร้าโศก
ทิฐิอยู่เช่นนั้นมีก็ทรมาน             ตระหนักการเป็นคนเหงื่อชุ่มโชก
มารยาทไม่กั้นเหมือนคนละโลก       เรื่องต่าง อุปโลกน์ [๓] ดำเนินจากจิตดี
สมานรอยแตกแยกทำงานร่วม        กำลังรวมกำหนดทางของพรุ่งนี้
อย่าหลงภาพแต่ตนเท่านั้นดี          เน้นวิถีสร้างคนเรื่องบำเพ็ญใจ
                                                  ฮิ  ฮิ   หยุด

                 พระโอวาทท่านเสี่ยวตงตง
อยู่ในโลกนี้มีความสุขไหม อยู่ในบ้านมีความสุขไหม มาอยู่ที่นี่นั่งแล้วสบายใจขึ้นบ้างไหม  บางทีอยากไปเที่ยวให้สบายใจ พอไปแล้วกลับมาก็ต้องมากลุ้มเหมือนเดิม บางทีบอกว่าอยากไปให้พ้นๆ เผื่อจะได้พบความสุข แต่บางทีไปแล้วยังไม่เท่าไหร่ก็กลับมีความทุกข์เพิ่มมาอีกใช่หรือไม่ (ใช่)
อะไรคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต (ไม่มีโรคภัย)  เคยเห็นคนมีโรคแล้วมีความสุขไหม (เคย)
ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ นะ  มีคนหนึ่งรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีใครรัก จนกระทั่งเขาป่วยมีคนมาเยี่ยมเขาไม่ซ้ำหน้าเลย ใครมาเยี่ยมเขาก็หัวเราะเหมือนคนไม่ป่วย เขาบอกว่า เขาเพิ่งรู้นะว่าตอนเขาป่วยนี้มีคนรักเขาเยอะขนาดไหน ตกลงคนที่ป่วยนี้ดีหรือไม่ดีกันแน่ บางคนตอนดีๆ อยู่มีคนมาเยี่ยมทุกวันๆ แต่พอป่วยไม่มีใครมาเยี่ยมเลย
แปลว่าเรื่องราวในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน วัตถุ สิ่งของ หรืออะไรก็ตามแต่ มันเหมือนเป็นไฟ เรารักเขามากๆ ก็เหมือนเรากำลังเลี้ยงลูกไฟลูกหนึ่ง บางทีก็ทำให้เราอบอุ่น บางทีก็ทำเราร้อนเสียจนเจ็บปวด
เงินเหมือนกันบางทีก็ทำเรายิ้มแก้มปริที่ได้เงินวันนี้ แต่บางครั้งเงินก็เผาไหม้ใจเราได้  บางทีคำชมของคนๆ นี้พูดแล้วทำให้เราสบายใจ แต่พออีกคนหนึ่งเขาไม่ชม เปลี่ยนเป็นด่าเรา เราก็รู้สึกเศร้าใจ
เราจะบอกท่านว่าในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสิ่งของ เป็นบ้านเป็นเสื้อผ้า หรือเป็นคนที่เรารัก เราเหมือนกำลังเล่นไฟอยู่  ไฟนั้นมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้เรามีลูกไฟในตัวกี่ลูก แล้วอะไรเป็นลูกไฟในตัวที่เรารักที่สุดก็จะทำให้เราเจ็บปวดที่สุดจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นจึงอยากจะบอกท่านว่าระวังไฟที่เราสร้างมันขึ้นมาเองให้ดี อย่าให้ไฟมันลนก้น อย่าให้ไฟเผาใจ  แม้แต่ตัวเราเองนี่ก็เป็นลูกไฟที่ใกล้ตัวที่สุด บางครั้งก็ทำให้เราอิ่ม แต่บางครั้งก็ทำให้เราอืด บางครั้งก็ทำให้เราสบายท้อง แต่บางครั้งก็ทำให้เราถ่ายท้องใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนไม่คุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจกัน

คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย
บางครั้งพอเราสนิทมาก ยิ่งสนิทเรายิ่งลืมมารยาทที่ควรมีต่อกัน  เคยเห็นไหม อยู่ในบ้านเอะอะโวยวาย แต่อยู่ข้างนอกบ้านพินอบพิเทา[๔]เขาอย่างกับอะไรดี  อยู่ในบ้านอย่างกับพญาเสือ แต่อยู่ข้างนอกอย่างกับแมวนอนหวด หรือบางคนอยู่ในบ้านเป็นแมวนอนหวด อยู่ข้างนอกเป็นเสืออาละวาด เราเลยกลายเป็นคนสองบุคลิกในตัวเดียวกัน  คนไหนอ่อนหน่อยข่มได้ข่มเอา คนนี้แข็งกว่าเราหน่อยก็เลยยอม อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  คนแบบนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เป็นพวกไม่มีความมั่นคงในตัวเอง  คนเช่นนี้น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ต่อคนดีเขาจะร้าย แต่ต่อคนร้ายเขาจะทำดี เพราะเขาถือว่าคนดีข่มได้ข่มเอา แต่คนที่ข่มไม่ได้ก็ยอม  เราเป็นเหมือนคนอย่างนี้หรือเปล่า (เป็น)  แล้วถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  เราก็จะยิ่งทำให้คนร้ายได้ใจ คนดีหมดกำลังใจใช่ไหม (ใช่)
คนสนิทมารยาทยังต้องมีด้วย

อย่าได้ฉวยโอกาสบนความชอบพอ
พอใครใจดีกับเรามากหน่อย พอข่มเท่านี้น้อยไปต้องเอามากกว่านี้จริงไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกกำลังกายโดยการหันหน้า, หลัง, ซ้าย, ขวา, เงยหน้า, ก้มหน้า)
ทำอะไรก็ตามต้องมีจุดยืนเป็นหลักสำคัญ เวลาจะหันซ้ายหันขวา หมุนไปกี่ทิศอย่าลืมจุดยืน พอเรากลับไปยืนจุดยืนจะเลื่อนซ้ายเลื่อนขวามันก็ง่าย  เหมือนชีวิตของท่าน เดินไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้ว่าบ้านเราอยู่ตรงไหนบางทีก็หลง
เป็นคนก็เหมือนกันถ้าไม่มีจุดยืนว่าจะต้องเป็นคนดี เราก็หลงใหลไปตามความชั่ว  ถ้าเราไม่มีจุดยืนว่าฉันจะต้องดีให้ได้ วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดีที่สุด ไม่แน่เราก็อาจจะกลายเป็นชั่วไปก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าคนในโลกรู้จักยอมรับผิด บ้านเมืองคงสันติสุขมากกว่านี้ แต่คนในโลกส่วนใหญ่ยอมรับไหมว่าตัวเองเป็นคนผิดเป็นคนไม่ดี (ไม่ยอมรับ)
อะไรเอ่ยที่มนุษย์เห็นของตัวเองยากที่สุด แต่เห็นของคนอื่นง่ายที่สุด  สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น ถูกไหม (ถูก)
ดั่งสำนวนที่เขาบอกว่า โทษของผู้อื่นเห็นเป็นภูเขา โทษของเราเห็นเบาเท่าเส้นผม”  เราเห็นความผิดของตัวเองนั้นยาก แต่เห็นความผิดของคนอื่นนั้นทุกวันๆ เห็นจนเบื่อเลย แต่เคยเห็นตัวเองไม่ดีไหม ไม่เคยเลย
ใครว่าตัวเองในที่นี้เป็นคนเลว เป็นคนพาล เป็นคนไม่ดีบ้าง ยกมือขึ้น  ปรบมือให้หน่อย เพราะคนโบราณกล่าวต่ออีกว่า คนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลว คนนั้นแหละคือคนที่ใกล้จะเป็นคนดี คนใดที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอันธพาล คนนั้นแหละใกล้ที่จะเป็นบัณฑิต
สำนวนโบราณแต่ปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ เรามักจะพูดว่าฉันไม่เลวและก็ไม่ดี เป็นพวกกึ่งๆ  แล้วพวกกึ่งๆ เป็นตัวปัญหาใช่ไหม  จะดีก็ไม่ดี จะเลวก็ไม่เลว  คนที่กึ่งๆ นั้นน่ากลัวที่สุด เพราะไม่รู้ว่าลมจะพัดมาเมื่อไหร่ ไต้ฝุ่นจะลงตอนไหน
วันนี้เราจะมาพูดเรื่องการเป็นคนไม่ดี เพราะว่าคนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลวเป็นคนไม่ดี แปลว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดีขึ้นมา
เคยได้ยินคำกล่าวคำนี้ไหมว่า คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี และเมื่อรู้ว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่มันไม่ดี เขาก็ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น และเมื่อพร้อมจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น คนนั้นก็พร้อมที่จะดียิ่งๆ ขึ้นจนถึงดีที่สุดถ้าเขาไม่หยุดนิ่งในการปรับปรุงตัว
แต่ถ้าคนที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว เขาจะเปลี่ยนตัวเองไหม เขาจะเผลอหลงตัวเองง่ายไหม  มีใครบ้างที่ได้รับคำชมว่าตัวเองดีแล้วไม่หลงตัวไม่แก้มบาน
ฉะนั้นคำชมหรือคำว่า ดี ของเรา จะทำให้เราง่ายที่จะแย่ลง แล้วก็แย่ถึงที่สุดได้  สู้พยายามบอกตัวเองว่ายังดีไม่พอดีกว่า ยิ่งทุกวันบอกว่าดีไม่พอ คนนั้นก็พร้อมที่จะดียิ่งขึ้นและก็ดีจนถึงที่สุด
แล้วสังเกตไหมว่าคนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่ดีนั้น จะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพในความคิดเห็นของคนอื่นและรู้จักตัวเองมากที่สุด
แต่ถ้าคนที่หลงว่าตัวเองดี จะเคารพความคิดเห็นใครไหม ไม่ค่อยฟัง เธอจะมาว่าฉันทำไม ฉันว่าฉันดีแล้ว ถูกไหม  กับอีกแบบเธอจะมาว่าฉันทำไม เธอดีหรือยัง  ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้การเป็นคนไม่ดีเพื่อจะเป็นคนดี
ถ้าวันนี้เราไม่เรียนรู้เราก็คงดีไปเรื่อยๆ จนกู่ไม่กลับ เหมือนคนอีกประเภทหนึ่งที่ตรงกันข้าม คือคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด
เราทุกคนในที่นี้เคยทำผิดไม่มากก็น้อย เมื่อทำผิดมีคนจับได้เราทำอย่างไร (ไม่ยอมรับ)  อย่างน้อยต้องตั้งป้อมก่อนว่าไม่ใช่ฉัน เรามักจะรักษาหน้าเราไว้ก่อน รักษาตัวให้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่ใจจะผิดพลาดกี่ครั้งก็ช่าง ขอให้ตัวเองพ้นผิดตอนนั้นไปก่อน
พูดง่ายๆ ว่าจับได้ยังไงก็อย่ายอมรับ ซึ่งจริงๆ แล้วมันถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  ในสังคมจึงเต็มไปด้วยคนถูกที่ปกปิดความผิดในหัวใจ หน้าสวยแต่ใจเหลวแหลกเพราะความผิด
แต่ถ้าวันหนึ่งเรากล้ายอมรับความผิด เราจะเป็นคนที่ถึงแม้หน้าไม่สวยแต่ใจเราสะอาด และจะมีคนยอมรับเรา  คนในโลกรักหน้ามากกว่ารักหัวใจตัวเองใช่ไหม
เพราะอะไรเราจึงปล่อยให้ตัวเองทำผิดบ่อยๆ รู้ไหม (เพราะว่าความโลภและความหลงทำให้เราทำผิด)  มีอะไรอีกที่ทำให้เราขาดสติเผลอทำผิด ตอนทำนั้นใช้อะไรมากกว่าใช้สติ เพราะว่าปล่อยไปตามอารมณ์ใช่ไหม  คนเราทำผิดหลายกรณีหลายเหตุผลใช่หรือไม่ ความโกรธ มีอะไรอีกที่ทำให้คนเราทำความผิด
(ความโกรธ, โมโห, ความอยาก ความหลง, ความรัก, ความเคยชิน, ความเกลียด, ขาดปัญญาแยกแยะถูกผิด, กิเลสตัณหา, ความเห็นแก่ตัว, ความอิจฉาตาร้อน, ความกลัว)  ความอยากความหลง เช่นหลงในรูปที่สวย  ความรักที่เป็นแบบผิดๆ ก็คือรักคนที่มีเจ้าของ รักได้แต่รักห่างๆ  อย่าเอามาใกล้ตัวเพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ผิดจริงๆ  รักที่เขาเป็นคนดี มีแฟนที่ดี แต่อย่ารักเขาที่เขามารักเรา เพราะไม่เช่นนั้นจะมีความผิดบาป เพราะไปแย่งของๆ เขา
ส่วนความเคยชินที่ทำให้เราทำความผิดคือ ชอบเถียงพ่อแม่ พ่อแม่ตามใจจนลูกทำผิด เช่นขอเงินก็ให้เงิน  แต่อย่าหาความผิดที่คนอื่น ให้หาความผิดที่ตัวเราเอง หาออกมาได้มากเท่าไหร่เราก็พร้อมที่ปรับปรุงแก้ไขได้มากเท่านั้น
แต่ถ้าเราเอาแต่มองออกข้างนอกเราจะแก้ไขตัวเองได้ไหม  เอาแต่แก้คนอื่นไม่แก้ตัวเอง ขาดปัญญาแยกแยะถูกผิด บางครั้งความรู้เล็กน้อยเราก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดกันแน่
เคยได้ยินไหมว่าถ้าเราอยากจะมองแอ๊ปเปิ้ลให้รอบทิศอย่าใช้แค่ตามองแต่ให้เราใช้ใจมอง  จริงๆ แล้วเรามีสติปัญญาที่ยากจะหยั่งรู้ได้ แม้ตาจะมองได้จำกัด หูจะได้ยินได้จำกัด ปากจะพูดได้จำกัด แต่เรามีปัญญาที่ล้ำเลิศไม่จำกัด  ใครบอกว่าแอ๊ปเปิ้ลนี้มีเพียงด้านเดียว ทุกคนต้องบอกว่ามีหลายด้าน เพราะความรู้พื้นฐานของเรา ใช่หรือเปล่า
ถ้าอยากรู้จักคนทุกคนให้ชัดจะทำอย่างไร จะตัดสินใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังกระทำมันถูกหรือผิด เราต้องมีใจอย่างไรจึงจะสามารถมีปัญญาที่ลึกล้ำ มีตากว้างยิ่งกว่าตามองเห็น
เคยเห็นน้ำยิ่งใสมากเท่าไหร่ อะไรหล่นลงไปก็มองเห็นได้ชัด  เหมือนกับใจของเราที่ใสสะอาดมากเท่าไหร่ ไม่มีอารมณ์ ความอิจฉา กิเลสมาครอบงำ เราจะมองสรรพสิ่งได้เด่นชัด เหมือนกับเราคิดว่าจะกินแอ๊ปเปิ้ล แต่ตอนนี้ในใจเราเกลียดแอ๊ปเปิ้ล เราจะกินลงไหม แล้วเราจะให้เหตุผลว่าแอ๊ปเปิ้ลนี้ต้องเปรี้ยวแน่นอน อย่าไปกินเลย
เหมือนวันนี้ท่านกินเจ ใครกินเจเป็นมื้อแรกบ้าง ในใจตอนแรกอาจรู้สึกว่าไม่อร่อย แต่พอตักเข้าปากก็อร่อย  เช่นนั้นอย่าให้จิตใจหรือปัญญาเราถูกบดบัง ขาดสติสัมปชัญญะและหลงในอวิชชา เพราะอารมณ์ความรู้สึกเพียงชั่ววูบนะ พูดว่ารู้แต่บางทีก็ไม่รู้
ผิดเพราะอะไรอีก เพราะความอยากได้ เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะความอิจฉาตาร้อน เพราะมีความกลัว เรากลัวมากๆ เราก็เลยทำผิด
กลัวอะไรที่ทำให้เราทำผิดมากที่สุด กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ก็เลยคิดมากไป  สาเหตุที่ทำให้มนุษย์เราทำผิดมีหลายประการ แต่เราอยากบอกเพียง ๓ ประการคือ
๑. รับไม่ได้กับความที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในตัวคนๆ หนึ่ง แล้วเราก็สรุปว่าเขาเป็นคนไม่ดี ก็เลยตั้งข้อรังเกียจเขา ปฏิบัติต่อเขาด้วยการกระทำที่ไม่ดี มารยาทที่ควรจะพูดให้ไพเราะก็กลายเป็นหยาบกระด้าง เพราะรับไม่ได้ในด้านตรงข้ามที่เขาไม่น่าจะเป็น
๒. พยายามที่จะทำดี แต่พอทำดีแล้วโดนคนมองด้วยสายตาดูถูก โดนคนพูดด้วยคำพูดเหยียดหยาม ทำดีเอาหน้า  จากที่ตอนแรกทำดีอยู่ โมโหไม่ทำแล้ว เกลียด แช่งชักหักกระดูก ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีกเลยชาตินี้ ทำดีแล้วกลับทำไม่ขึ้น ดีของเราเลยเป็นดีแตก
๓. ตัวเองเป็นคนธรรมดามีดีก็มีเลวใช่หรือไม่ เลยปล่อยตัวไปตามสบายไม่เป็นคนดีตลอด คนที่ปล่อยตัวตามสบายก็ง่ายที่จะเผลอทำผิดมากเข้าๆ จนคนเขาเริ่มจะมาเตือนก็พูดว่า ถึงฉันจะชั่วอย่างนี้ คนนั้นก็ไม่ดีกว่าฉันสักเท่าไหร่ พอโดนว่า ว่าตัวเองผิดมากๆ แล้วเราจะเป็นคนอย่างไร ก็ยกตัวเองให้สูงขึ้น และบอกว่าอีกคนที่ชมน่ะไม่ได้ดีกว่าฉันหรอก ใช่หรือเปล่า  ตัวเองไม่ดีแล้วยังป้ายให้คนอื่นไม่ดีด้วย
กับอีกแบบหนึ่ง ยอมรับว่าตัวเองสามวันดีสี่วันไข้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่สามารถเป็นคนดีสมบูรณ์แบบได้ พอเผลอทำผิดบ่อยๆ เข้าก็พูดออกมาว่าก็ฉันมันดีได้แค่นี้ ฉันมันเลว แล้วก็ไม่ดีขึ้น ถูกไหม (ถูก)
พูดแบบนี้ก็เหมือนกับคนที่เรายกตัวอย่างไปตอนต้นว่าไม่พยายามแก้ไข แต่ปกปิดและพยายามป้องกันความผิดของตัวเองอย่างเข้มแข็ง ทำไมไม่ยอมรับแล้วพยายามทำดียิ่งๆ ขึ้นไป แทนที่จะมาพูดปกปิดความผิดของตนเองให้เหนื่อยเปล่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่านิทานให้นักเรียนฟัง)
มีครอบครัวๆ หนึ่งมีคุณพ่อคุณแม่ มีคุณลูก แต่ก่อนก็อยู่กันอย่างสงบสุขมีความสุขดี  แต่มีวันหนึ่งแม่เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ตั้งใจไว้ว่าจะซื้ออะไรมาใช้ในบ้าน เพื่อแม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก เพราะทำงานหนักเพื่อลูกเพื่อสามีมาเยอะ
แต่ในวันเดียวกันที่แม่เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งนั้น สามีก็เดินมาพูดกับแม่ว่า แม่เอาเงินนั้นไปซื้อรถดีไหม บ้านเรารถเก่าแล้ว มีรถพ่อจะได้พาแม่ไปโน่นไปนี่ได้ แม่ก็เริ่มคิดสิ่งที่แม่จะซื้อ
พออีกสักพักหนึ่งลูกก็เดินมาบอกแม่ว่า ผมขยันมาถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ยังคะแนนไม่ดีอยู่ ผมขอไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมได้ไหม ทุกคนเหตุผลดีหมดเลย แต่เงินมีก้อนเดียว ก็ยังตัดสินใจกันไม่ได้
แล้วแม่ก็คุยกับพ่อ พอพ่อไปลูกก็มาคุยกับแม่ แม่ก็รับรู้เรื่องทั้งหมด แต่พ่อกับลูกไม่รู้เรื่อง
พอรุ่งขึ้นเช้าอีกวันหนึ่งตกลงกันว่าจะเอาเงินก้อนนี้มาทำอย่างไร ปรากฏว่าเงินก้อนนี้หายไป พ่อกลับได้รถใหม่มา ลูกกลับบอกแม่ว่าผมหาที่เรียนพิเศษได้แล้ว
แม่เป็นอย่างไร แถมเงินก้อนนั้นก็หายไปด้วย แม่ก็ต้องสงสัยพ่อและก็สงสัยลูก ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่คุยกับพ่ออีกเลย พอมีเรื่องอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่ลูกทำผิด แม่ก็จะด่าว่าลูก
หลังจากเงินก้อนนั้นหาย ในบ้านนั้นก็ไม่มีความสุขอีกเลย เพราะอะไรแม่จึงไม่คุยกับพ่อ และเพราะอะไรแม่จึงโมโหลูกง่ายขึ้น เพราะกลัวว่าทั้งพ่อกับลูกรวมกันแล้วเอาเงินแม่ไป ใช่ไหม
หมายความว่าบางทีถ้าหัวใจเรามีไฟอยู่ในตัว เราจะปลูกรอยยิ้มขึ้นกับคนอื่นคงเป็นไปได้ยาก ถ้าในหัวใจเรามีความทุกข์อัดอั้นอยู่ในตัว แต่เราไม่พูดออกมา แล้วพยายามกลบเกลื่อนด้วยการยิ้ม หรือกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึกอื่น เราจะไม่สามารถสร้างสันติในครอบครัวได้
เวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ตาม มนุษย์เราทุกคนเคยชินกับการที่จะอยู่กันด้วยผลประโยชน์ และมองกันด้วยดี ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเคยชินกับการโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  พอมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราง่ายที่จะปรักปรำผู้อื่นมากกว่าที่จะย้อนกลับมาตรวจสอบตัวเรา
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แทนที่เราจะแก้ปัญหานั้นได้ กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ แล้วเราก็อยู่กันอย่างไม่มีความสุขไปเรื่อยๆ
เหมือนเวลาท่านอยู่กับครอบครัว แรกๆ ก็มีความสุขดี อยู่กับคนที่เรารัก แต่พอนานไปเราเริ่มเห็นนิสัย เริ่มเห็นความไม่ดี เริ่มรับไม่ได้ เราเริ่มทุกข์ใจ และพอทุกข์ใจเราไม่พูด เราเก็บความผิดของเขาไว้ในใจทุกวันๆ  พอเก็บมากเข้าเราเริ่มมีความทุกข์
เราสร้างความรุนแรงให้เกิดจากใจแล้วประทุออกไปภายนอก เราเลยเป็นคนที่ปัจจุบันนี้ยิ้มไม่ค่อยออก เพราะในใจสุมไปด้วยความเกลียด ความไม่ดีของผู้อื่นเต็มไปหมด ถูกหรือไม่ (ถูก)
แต่ถ้านับจากวันนี้ไปเราพยายามมองและแก้ไขตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปจับผิดใคร ทำให้ดีจนถึงที่สุด สักวันหนึ่งคนที่ไม่ดีกับเรา เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงแล้วดีได้ก็ได้ ขอเพียงตัวท่านมีความเข้มแข็งในการที่จะกระทำดีก็พอ  ถ้าลูกไม่ฟัง พูดอย่างไรก็ไม่เชื่อ บางครั้งก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม  ถ้าพูดถึงที่สุดแล้วเขาไม่เชื่อ แต่อย่างน้อยเขาผิดกลับมาจงปลอบใจเขา
เราเล่าอีกเรื่องหนึ่งให้ฟังแล้วกันนะ กลับกันกับเรื่องเมื่อครู่ ครอบครัวสามคนเหมือนเดิม พ่อแม่ลูก พ่อมีของรักของหวงอยู่อย่างหนึ่ง เป็นแจกันใบใหญ่ๆ วางอยู่กลางบ้าน
วันหนึ่งลูกพาเพื่อนมาเล่น ปรากฏว่าแจกันแตกเพล้ง ลูกเดินร้องไห้ไปบอกพ่อ ขอโทษครับ ผมทำแจกันแตก ผมไม่น่าพาเพื่อนมาเล่นในบ้านเลย พ่อบอกว่าไม่เป็นไร พ่อไม่ระมัดระวังเอง เอาแจกันมาตั้งไว้ให้ลูกทำแตก
แม่เดินมาบอกว่าไม่ใช่ความผิดพ่อ ไม่ใช่ความผิดลูก เป็นความผิดของแม่เอง  แม่น่าจะเก็บแจกันของพ่อไปไว้ในห้อง ลูกจะได้ไม่ต้องมาทำแตก
ต่างกับครอบครัวแรกไหม (ต่างกัน)  ต่างกันตรงไหน ต่างกันที่ความคิด  อันไหนดีกว่า (อันที่สองดีกว่า)  แล้วส่วนใหญ่เราเป็นอันที่หนึ่งหรืออันที่สองกัน  ส่วนใหญ่เราจะเป็นแบบครอบครัวที่หนึ่ง พอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ หรือไม่ชอบใจไม่พอใจอะไรของคนอื่นเราจะเก็บไว้ในใจ พอเก็บมากๆ เราจะสามารถลดความรุนแรงในใจที่เวลาพูดกับคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรานั้นไม่สามารถจะเข้มแข็งในการทำดีแล้วเผลอทำผิดก็เพราะว่าทำดีแล้วไม่มีใครเห็น ทำดีแล้วไม่ได้ดี พยายามทำดีแล้วแต่คนไม่เห็นก็เลยน้อยใจ ไม่ทำอีกเลย  หรือเป็นประเภททำดีแล้วยังหวังผล ใช่หรือเปล่า
ต่อไปนี้เราจะมีความสุขที่ได้ทำ ส่วนผลจะตอบกลับมาเป็นอย่างไร ให้ถือว่าผลนั้นจะกำไรหรือขาดทุนก็ปล่อยไปตามสภาพ  ถ้าเราทำจนถึงที่สุดแล้วขาดทุนก็ไม่เป็นไรแต่เราสุขใจที่ได้ทำ
ฉะนั้นตราบใดที่มนุษย์ทำดีแล้วยังไม่สามารถยกความคิดของตัวเองให้เหนือดีเหนือชั่ว เมื่อนั้นเราก็ยังต้องตกอยู่ในคำว่า ทุกข์ใจ เป็นธรรมดา  แล้วก็จะตกอยู่วัฏฏะของกิเลสไม่จบไม่สิ้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้พี่เลี้ยงออกมาทำท่าประกอบเพลง ฉันอยู่ที่นี่มีความสุข)
ทำอย่างไรเราจะมีความสุข แล้วทำอย่างไรจะทำให้คนอื่นมีความสุข ที่สำคัญเริ่มต้นที่จิตใจเราก่อน  จิตใจเราต้องมีความสุข ไม่แบกความทุกข์ไว้  จะให้ภายนอกยิ้มต้องเริ่มจากใจยิ้ม  จะให้ภายนอกมีความสุขต้องเริ่มจากใจคิดถึงแต่สิ่งที่มีความสุข
เราจะทำอย่างไรให้บ้านเรามีความสุข เราจะทำอย่างไรให้ตัวเรามีความสุขถ้าใจเรายังสุขไม่เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วจะอายอะไรกับการทำดี เวลาทำชั่วสิเราต้องอาย เวลาทำผิดสิเราต้องอาย  แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์กลับกัน เวลาทำดีเรากลับอาย เวลาทำชั่วเรากลับไม่อาย
ไม่มีใครอยากเป็นคนผิด แต่ถ้าวันนี้เรายอมรับผิดด้วยใบหน้าที่สำนึกและน้อมรับอย่างแท้จริง เราจะมีมิตรมากที่สุดและมีแต่คนอยากจะบอกสิ่งที่ดีกับเรา
แต่ถ้าเราเป็นคนที่ไม่เคยยอมรับผิด เอาแต่โยนความผิดให้คนอื่น เราจะมีคนที่รักเราจริงไหม (ไม่มี)  มีแต่คนที่จะมาโป้ปดมดเท็จ โกหกหลอกลวง
ฉะนั้นวันนี้ท่านต้องการโลกสันติ อยากได้คนดีเริ่มต้นที่ไหน เริ่มต้นที่ตัวเราถูกไหม  (ถูก)
ท่านจะลดความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไรถ้าใจของท่านยังเต็มไปด้วยไฟ ความรังเกียจ ความไม่ชอบคนอื่น  ต่อไปนี้เราจะเริ่มต้นแก้ไขที่ตัวเราเอง  ฉันไม่ดี ฉันจะพยายามให้ดีขึ้นทุกๆ วัน  ใครไม่รับผิด ฉันรับผิดเอง  ฉันกล้าแบกรับความผิดของผู้อื่น
คนที่ทุกครั้งมีเรื่องมีปัญหาแล้วกล้าแบกรับ คนนั้นคือคนที่น่ารัก  ในสังคมเต็มไปด้วยคนที่อยากจะเป็นคนดีแต่ไม่ยอมทำ แต่ตอนนี้เราจะเป็นคนดีที่กล้าทำดีและกล้าแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้นดีไหม (ดี)
ฉะนั้นวิธีการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือทำตัวเองเหมือนฟ้าที่มีแต่ให้ ไม่แก่งแย่งแข่งขัน มีแต่ยอมเสียเปรียบและเป็นผู้แพ้ ไม่เอาแต่ชนะหรือเอาแต่ได้
ถ้ามนุษย์ทุกคนสามารถดำรงจิตใจเช่นฟ้าได้ คนนั้นก็คือคนที่เข้าใกล้แบบอย่างการบำเพ็ญเป็นพุทธะ
เราสามารถอยู่ร่วมกับคนในโลก แล้วรู้จัก ให้ อย่างไม่เหนื่อยไหม  เป็นคนที่ไม่เคยแพ้ไม่เคยชนะเพราะไม่เคยลงแข่งกับใครได้ไหม คงยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความอยากอยู่เราก็ยังต้องลงไปแข่งกับคนที่ยังอยากอยู่เรื่อยๆ
การบำเพ็ญธรรมก็คืออยากอย่างพอประมาณ อย่าอยากอย่างทำร้ายตน
ขอเพียงดวงใจเราอย่าเก็บสะสมความไม่ดีของคนอื่น เริ่มต้นที่ใจเราก่อน  ถ้าใจเรามีสุขมีแต่สิ่งที่ดี การจะหยิบยื่นความสุขความดีงามให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องง่าย
แต่ถ้าตอนนี้ใจเรามีแต่ความทุกข์ อัดอั้นตันใจแต่เรื่องที่ไม่ดี  การจะยิ้มหรือมอบความสุขให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเริ่มต้นที่ตัวท่านก่อนนะ ทำตัวเองให้ถูกต้อง ทำตัวเองให้ดีงาม  แม้บางครั้งต้องเป็นผู้ผิดก็ต้องกล้าที่จะยอมรับผิด และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งๆ ขึ้นนะ
อย่าคิดว่าเรากำลังแสดงละครหลอกลวงเลยนะ เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาทุกรอบแล้วก็พูดแบบนี้ทุกรอบ เพราะเรารู้ว่าในใจของบางท่านบางคนยังไม่เชื่อเรื่องพวกนี้
แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ท่านคุยอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพิสูจน์ได้จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้นทุกข์)  แล้วทำให้ท่านดีขึ้นกว่าเดิมไหม ก็ไม่เห็นดี อย่างนั้นจะมัวเสียเวลาพิสูจน์กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องทำไม สู้ตอนนี้เอาเรื่องที่เราพูดไปทำให้ตัวเองดีแล้วขึ้นไปพิสูจน์ข้างบนไม่ดีกว่าเหรอ
เอาความดีที่ตอนนี้ฟังอยู่แล้วและพยายามตั้งมั่นทำดีแล้วขึ้นไปพิสูจน์ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรไปพิสูจน์ข้างบน ดีไหม (ดี)
ขอให้มีความเข้มแข็งในจิตใจนะ เข้มแข็งที่จะทำดี แล้วก็ขอให้มีจิตใจอันนี้อยู่ตลอด  ไม่ใช่วันนี้ดีแล้ว พออีกผ่านไปๆ ก็แตก ไม่มีประโยชน์เลยนะ  ใช่ไหม (ใช่)
รักษาโอกาสให้ดีนะ  คนเราดีชั่วอยู่ที่การตัดสินใจชั่วครู่ชั่วขณะนั้น  อย่าตัดสินใจผิดเพียงเพราะว่าไม่เอา ไม่อย่างนั้นความดีก็คงยังอยู่ห่างไกล  อย่าดูถูกตัวเองนะ ท่านเป็นคนดีที่หนึ่งได้


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙  สถานธรรมฉือฮุ่ย นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระนาจา

คนที่เอาแต่ได้ไร้สง่า               ให้เวลาเป็นการให้ที่เป็นเอก
ช่วยเหลือคนจึงรู้ทุกข์ของตนเล็ก       คนหนักแน่นใจดั่งเหล็กแสนคงทน
            เราคือ
ศิษย์พี่นาจา           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

ปล่อยชีวิตตามอารมณ์ตามความคิด  ติดชีวิตไร้กรอบไร้แก่นสาร
เกลียดกฎระเบียบข้อบังคับน่ารำคาญ   สุขสำราญไปวันวันเพียงเพื่อตน
น่าสงสารตนเองที่ไม่รู้              หลงมายาสวยหรูแฝงหมองหม่น
ตื่นเถิดหนาค่าชีวิตประเสริฐล้น       อย่าหลงภาพมายาจนติดโลกีย์
เคยคิดถึงหัวอกคนห่วงไหม          ท่านต้องทุกข์เสียใจกับเหล่านี้
แม้ไม่เคยได้ดั่งใจเลยสักที            แต่ยังคงความหวังดีไม่เปลี่ยนแปลง
                                            ฮิ  ฮิ  หยุด



   ท่าทีของใจ ยังขลาดเขลานักต่อปัญหา  แม้สู้ยิบตา แต่การแก้ขาดจริงใจ
   หัวใจเหนื่อยระอา ต่างหาทางออกไป  วิธีทางความคิดใหม่ ล้อมวงให้ดักทางตน
*  สุดจะเปลี่ยนใจ สุดจะหนีไปจากวังวน  งามในความหมองหม่น แลกคนด้วยหัวใจ
   ข่มอัตตาให้ลง พลิกฟื้นพื้นฐานของจิตใจ  สมบูรณ์ขึ้นวันใด ให้ศีลธรรมช่วยปลอบโยน
   ( ซ้ำ  * )

ชื่อเพลง : วังวนของใจ
ทำนองเพลง : ตัดใจไม่ลง

                        พระโอวาทพระนาจา
(นักเรียนในชั้นเดินออกมาขอพรกับศิษย์พี่นาจา)
ทำไมเวลาศิษย์น้องเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงชอบขอพรกันจัง  ขอว่าอะไรกันบ้างล่ะ ขอให้รวย ขอให้ถูกล็อตเตอรี่ ขอให้มีโชคมีลาภมีวาสนา  แต่ศิษย์น้องก็รู้นี่ ชะตาชีวิตถึงแม้ถูกฟ้ากำหนดแต่มนุษย์เป็นผู้กระทำ
เคยได้ยินไหม เจ็ดสิบลิขิตฟ้า สามสิบต้องฝ่าฟัน ถึงฟ้าจะกำหนดมาถึงเจ็ดสิบ แต่สามสิบนั้นอยู่ที่มนุษย์นั้นเป็นผู้กระทำ  ถึงแม้ฟ้ากำหนดมาแล้วให้โชคดี แต่ถ้าศิษย์น้องปฏิบัติตัวเป็นคนไม่ดีตลอดเวลาฟ้าก็เปลี่ยนแปลงได้
ถึงวันนี้ศิษย์น้องจะแข็งแรง แต่ถ้าหากกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่เคยออกกำลังกาย ทำแต่งานหนักๆ นอนก็ดึกตื่นก็เช้า พักผ่อนไม่พอ วันนี้ขอให้แข็งแรงแล้วจะแข็งแรงไหม
วันนี้ให้ความแข็งแรงไป ให้ความสมหวังไป แต่ถึงเวลาศิษย์น้องไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พรนั้นก็เปล่าประโยชน์  ฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องอยู่ที่ตัวเราเองนะ ศิษย์พี่ให้ไปแล้ว แต่ถึงเวลาศิษย์น้องไม่ไปทำตามที่ให้โทษใครได้ โทษว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ไม่ได้)  น่าจะโทษตัวเองมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาศึกษาฟังธรรมะ ไม่ได้ขอให้ศิษย์น้องต้องเป็นคนที่สร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงแต่ให้รู้จักหมั่นทำดีทุกๆ วัน โดยยืนอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจเห็นใจ และหมั่นให้อภัยผู้อื่นเสมอๆ ถ้าอยู่บนพื้นฐานนี้ได้ศิษย์น้องจะสามารถทำได้ทุกๆ วัน
ไม่มีคนไหนที่ศิษย์น้องเกลียดแล้วไม่ต้องแบกความเกลียดของใครคนใดคนหนึ่งไว้ในใจ เพราะว่าพยายามที่จะเข้าใจและพยายามที่จะให้อภัยทุกๆ คน
คนที่แบกความเกลียดความโกรธไว้ในใจ เวลาที่เจอคนที่ปฏิบัติไม่ดี คนนั้นยิ่งผูกมากแบกมากก็เจ็บมาก สู้ให้อภัยเขาดีกว่า และพร้อมจะเข้าใจคนที่เรายากจะเข้าใจ สันติย่อมเกิดขึ้นในโลก ความสุขย่อมเริ่มต้นได้ที่ตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วการให้อภัยเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  ขอเพียงพยายามเข้าใจเขา เพราะคนทุกคนต้องมีภาวะบีบคั้นที่ทำให้เขาเผลอไปทำผิด และทำในสิ่งที่บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วทำพลาดไป
ถ้าเราพยายามเห็นใจคนที่ผิดที่สุดในเรื่องที่เลวร้ายที่สุด เราสามารถมองเห็นแล้วสร้างความดีได้ คนนั้นก็คือยอดคนใช่ไหม (ใช่)
ในคนที่แย่ที่สุด แต่เราสามารถมองเห็นสิ่งที่ดีในตัวเขาเล็กๆ น้อยๆ ได้ นั่นก็คือคนที่มีคุณธรรม แล้วเราทำได้ไหม  ในโลกที่วุ่นวายเราหาความสงบได้ไหม ในโลกที่เลวร้ายเราหาความดีในนั้นได้ไหม  ถ้าหาได้เราก็จะเป็นผู้ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้ผู้อื่นได้ทุกๆ วัน
ฉะนั้นวันนี้ศิษย์พี่มาไม่ได้ต้องการให้สร้างความดีที่ยิ่งใหญ่ แต่ขอให้ทำดีเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น และให้อภัยผู้อื่นทุกๆ เมื่อ ยากไหม (ไม่ยาก)
เคยได้ยินไหมว่า ถ้าทำบุญก็จะได้บุญ ถ้าทำทานก็จะได้กุศล”  พระพุทธองค์เคยสอนไว้ว่า คนที่รู้จักทำบุญ ต่อไปเขาจะได้บุญกุศลของทรัพย์เป็นทานกลับ  แต่คนที่ทำบุญแล้วเรียกคนอื่นทำบุญด้วย เขาจะได้ทั้งทรัพย์เป็นทานและบริวารเป็นทาน เมื่อเขาต้องกลับมาเสวยสุขในชาติหน้า
แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่อยากกลับมาในชาติหน้าอีก นอกจากทำบุญและเรียกคนทำบุญแล้ว เราต้องรู้จักสร้างกุศลเพิ่ม เพราะกุศลจะทำให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดมารับผลบุญ
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์น้องจะแค่ทำบุญทำทานแล้วมารับบุญรับทานเท่านั้นหรือ  วันนี้เราได้ศึกษาเพิ่มแล้วว่า นอกจากทำบุญทำทาน ต้องรู้จักทำกุศลเพิ่มด้วย  แล้วกุศลทำอย่างไรรู้หรือยัง
(ช่วยคนตกน้ำ, สละดวงตา, สละร่างกาย)  สละสิ่งที่เรามีอยู่ให้กับคนอื่นเป็นกุศล ท่านว่าถูกไหม บางครั้งเราแยกไม่ออกระหว่างบุญกับกุศล
บุญก็ทำได้ง่ายๆ นะ ก็อย่างเช่นเราสงสารใครเราก็ช่วย ช่วยไม่หวังผลตอบแทน  เราให้ด้วยใจที่ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ได้ตัดกิเลสตัดความอยากและสร้างความเมตตา  นั่นแหละการทำบุญที่กอปรไปด้วยกุศล ง่ายไหม
บุญเราสร้างมากเท่าไหร่ กุศลเราก็มากตามพร้อมไปด้วย กิเลสในใจที่หนาก็กลับบางลงและน้อยลง เมื่อนั้นแหละใจของเราที่ไร้ความโลภโกรธหลง ไร้กิเลสไร้ตัณหา ไร้อุปทานไร้ทิฐิ นั่นแหละใจเราก็จะเริ่มสะอาดบริสุทธิ์
เมื่อเราสะอาดบริสุทธิ์ได้ ใจนี่แหละที่จะสามารถกลับคืนเบื้องบน นั่นก็คือเอากุศลหรือเอาความดีงามนั้นมาขัดเกลาใจของเราให้กลับเป็นพุทธะภาวะเหมือนเดิม ยากไหม
อย่างนั้นก่อนที่จะไปยากขนาดนั้น  เอาง่ายๆ ตรงที่ว่าทำอย่างไรเราถึงจะชนะทุกข์ได้ก่อน  เมื่อเราเอาชนะทุกข์และรู้เหตุแห่งทุกข์ได้ เราก็ย่อมหลุดพ้นได้ แต่ตอนนี้เรารู้หรือยังว่าอะไรคือทุกข์
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมา ๒ คน)
มีแก้วสองใบ ใบหนึ่งมีน้ำหวานอยู่แต่ในน้ำหวานนี้ศิษย์พี่จะแอบบีบมะนาวใส่ แก้วน้ำอีกใบหนึ่งเป็นน้ำธรรมดาแต่ใส่เปลือกมะนาว  แก้วหนึ่งจะเป็นแก้วที่โชคดี แก้วหนึ่งจะเป็นแก้วที่โชคร้าย ให้ศิษย์น้องเลือกว่าแก้วไหน
ถ้าศิษย์น้องไม่เห็นการเตรียมแก้วน้ำของศิษย์พี่ ส่วนใหญ่จะเลือกแก้วไหน  ถ้าศิษย์พี่ถามว่าแก้วไหนหวานที่สุดศิษย์น้องก็ต้องว่าแก้วที่ใส่น้ำหวาน และคิดว่าแก้วน้ำธรรมดาที่ใส่เปลือกมะนาวไว้นี้น่าจะเปรี้ยวใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่คือความเป็นจริง มนุษย์เรานั้นบางทีตาดีๆ แต่ก็เหมือนคนตาบอด หูเราก็ว่าหูฟังชัดเจนแต่บางครั้งก็กลายเป็นคนหูหนวกได้ ใจเราที่เคยเปิดกว้างรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ บางทีมันก็คับแคบได้
เคยได้ยินไหมว่าน้ำเน่าเปลี่ยนธาตุแปลสีสรรพสิ่งได้ ความเคยชินของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้เหมือนกัน
อย่างเช่นเรารักสุขเราเกลียดทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพูดถึงความสุขเรามักจะพยายามไปหามัน พอรักมากๆ เราก็หลง พอหลงมากๆ เราก็เหมือนคนตาบอดใช่ไหม (ใช่)
ทุกข์เราเกลียดไหม (เกลียด)  พอเกลียดเรารับรู้อะไรของเขาไหม เกลียดแล้วดีหรือร้ายก็ไม่สนใจ ก็มันเกลียดเลยไม่อยากรู้ พอเราไม่รู้เราจะมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างเป็นจริงไหม
ความหลงและความไม่รู้ ความรักและความเกลียดจึงทำให้มนุษย์นั้นมองสรรพสิ่งอย่างบิดเบี้ยว  มีตาแต่เหมือนตาบอดไปข้างหนึ่ง มีใจที่เปิดกว้างแต่บางครั้งก็กลายเป็นคนคับแคบไปโดยไม่รู้ตัว
ถ้าศิษย์พี่ใส่ฉลากลงไปสองอัน อันหนึ่งเป็นฉลากแห่งความโชคดี อันหนึ่งเป็นฉลากแห่งความโชคร้าย  ฉลากที่โชคดีอยู่ในแก้วที่อัปลักษณ์แต่ฉลากที่โชคร้ายอยู่ในแก้วที่สวยงาม  ถ้าศิษย์น้องไม่ได้จับฉลากขึ้นมา ไม่รู้ความจริง ใครก็ต้องเลือกแก้วสวยไว้ก่อนแก้วไม่สวย  แล้วใครจะรู้ละว่าในแก้วที่ไม่สวยนั้นฉาบทอด้วยสิ่งที่ดีงาม แก้วที่สวยนั้นอาจจะแฝงไปด้วยความสกปรกโสมมก็เป็นได้
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ อย่าให้ดวงตาของเราที่เปิดกว้างกลายเป็นคนตาบอด อย่าให้หูที่ดีอยู่ของเรากลายเป็นคนที่หูดับ อย่าให้ใจของเราที่เคยเปิดกว้างรับรู้สิ่งต่างๆ ได้กลายเป็นคนที่ใจคับแคบ  พอฟังแล้วเข้าใจไหม
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม โดยกำหนดเวลาสองนาที แล้วให้นักเรียนสี่คนไปหาน้ำมาให้มากที่สุด  คนที่ ๑ วิ่งไปเอาน้ำขวดได้มาครึ่งขวด  คนที่ ๒ ไม่ได้ออกไปหาน้ำ  คนที่ ๓ และคนที่ ๔ ช่วยกันไปยกถังใส่น้ำมา)
ก็เหมือนกับตัวมนุษย์นะศิษย์น้อง แบกมามากขนาดไหนถึงเวลาก็ต้องกลับไปคืนที่เดิม สรรพสิ่งมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป มาจากตรงไหนก็ต้องไปที่นั่นเป็นสัจธรรม มันเกิดขึ้นก็ต้องดับไป  ฉะนั้นสู้แบกน้อยๆ จะดีกว่าใช่หรือไม่
เหมือนกับตัวศิษย์น้องอยู่ในโลกพยายามแสวงหาให้ได้มากที่สุด คิดว่าหาได้มามากเท่าไหร่แล้วสุขมากเท่านั้น  แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งหามากก็ยิ่งเหนื่อยมาก สู้หาน้อยๆ แล้วสุขวันละน้อยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
พอหามากก็เหนื่อยมากแล้วก็ทุกข์กับสิ่งที่มันมีมาก แล้วเราก็ยอมรับด้วยว่าแม้เราจะได้มากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ แต่พอถึงเวลาเราก็ต้องปล่อย  แม้ว่าเราจะหาได้มากแต่เราก็จะต้องทุกข์กับสิ่งที่เรามีมากขึ้นเท่านั้น
ท่านที่คิดว่ามีเงินมากขนาดนี้ต้องสุขมาก แต่กลับกลายยิ่งกังวลมากกว่าเดิม  ชีวิตที่ผกผันไปร้อยแปดบางครั้งดวงดีบางครั้งดวงตก บางครั้งโชคดีบางครั้งโชคร้าย แต่ถึงที่สุดแล้วมันต่างอะไรกันไหม ถึงจะโชคดีก็ยังต้องทุกข์เหมือนกัน
วันนี้เหยียบอึหมา โชคร้ายจริงๆ ออกไปข้างนอกมีแต่คนทวงหนี้ โชคร้ายจริงๆ ใช่ไหม  ออกไปข้างนอกมีแต่คนให้เงิน โชคดีจริงๆ แต่ถามศิษย์น้องว่าโชคดีนั้นทุกข์เป็นไหม โชคร้ายถึงเวลาบางทีมันมีสุขไหม
ฉะนั้นทุกสิ่งในโลกอย่าปล่อยชีวิตไปตามคำที่เขากำหนดว่าอันนี้ดีอันนี้ร้าย  แท้ที่จริงแล้วในร้ายในดีก็มีทุกข์มีสุขเหมือนกัน อยู่ที่เราจะลิ้มรสช้าหรือเร็ว มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
สรรพสิ่งต้องการสอนให้เรารู้ว่า ถึงเวลาเราต้องเรียนรู้ชีวิตให้เป็น และความเป็นจริงอันนี้จะคอยผลักดันให้เรามองเห็นถึงแก่นแท้ อย่าไปติดเพียงคำว่า ดี ร้าย เท่านั้น
คนโชคดีสักวันก็คงต้องโชคร้าย คนโชคร้ายสักวันก็ต้องโชคดี  แต่คนที่โชคร้ายสุดๆ แล้วยังหัวเราะยังยิ้มได้ คนนั้นคือยอดคน เพราะเขามองเห็นว่า เขาโชคร้ายจนสุดทนแล้ว ยังจะโชคร้ายกว่านี้อีกไหม  ถ้าเรายังหัวเราะได้ มันก็สุขที่ตัวเราไม่ใช่หรือ
ฉะนั้นเวลาเจอสิ่งใดที่ประดังเข้ามา ขอให้ใช้จิตที่สงบและก้มหน้ายอมรับ เมื่อนั้นทุกข์ที่สุดก็ทำร้ายจิตใจศิษย์น้องให้หวั่นไหวไม่ได้
ถ้าใจเรายกสูงแล้ว ทุกข์สุขดีร้ายจะมาพัดพาใจเราให้ไปตามนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  ขอเพียงมองให้ออก บางทีแยกไม่ออกระหว่างดีกับร้าย โชคดีกับโชคร้าย แตกต่างกันอย่างไร
ถ้ายังมองแล้วยังติดในรูปมันก็ทุกข์อยู่ทุกๆ วัน  มองอะไรต้องมองให้ถึงแก่นแท้  มองอะไรแล้วต้องมองให้เห็นทั้งด้านหน้าด้านหลัง แล้วเราถึงจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างเข้าใจชีวิต และทุกสิ่งที่มากระทบใจ ไม่ว่าจะอ้วนหรือว่าเล็กก็ไม่มีผลกระทบต่อจิตใจ
ถ้าเขาคือความทุกข์และเขาคือความสุข เอาอันไหน (เอาทั้งสองอย่าง)  ถูกต้องต้องเอาทั้งสองอย่าง อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ตาจะบอดใจจะแคบ  บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมองอะไรจงมองให้เข้าถึงแก่นแท้ มองใครหรือมองวัตถุหรือมองสรรพสิ่งจงมองให้ทะลุปรุโปร่งเหมือนคนที่เข้าถึงจริง
ได้ธรรมะพอหรือยัง (ยัง)  พอเอาไปดำเนินชีวิตไม่ต้องมีทุกข์ได้หรือยัง (ยัง)  เพิ่มอีกอย่างหนึ่งให้ก็ได้  ให้รู้จักว่าสิ่งที่เราอยากมี สิ่งที่เราอยากได้ มีเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิต มีเพื่อยกระดับจิตใจ  ไม่ใช่มีเพื่อเอาใจไปจมอยู่กับมันแล้วก็ถอนตัวไม่ขึ้น
เคยฟังนิทานของพระพุทธเจ้าไหม ที่ท่านเดินไปกับพระอานนท์แล้วก็ผ่านผืนนาผืนหนึ่ง แล้วท่านก็พูดว่ามีอสรพิษอยู่ใต้ดิน เผอิญมีชาวนาอยู่ตรงนั้น ชาวนาก็ใคร่อยากรู้ว่ามีอสรพิษจริงหรือ
เขาขุดดินแล้วเจอทองลังใหญ่ก็ดีใจ และคิดต่อว่าพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ พระอะไรพูดปด ทองชัดๆ บอกอสรพิษ  เขาก็ดีใจและด้วยความดีใจเขาจึงหิ้วทองกลับบ้าน
แต่พอเขาได้ทองมา เขาก็ถูกพระราชาจับตัวไปสอบสวนว่าเอาทองมาจากไหน เผอิญทองในท้องพระคลังหายไปพอดี  เขาก็บอกว่าไม่ได้ขโมยแต่ก็โดนเฆี่ยนโดนตีหลายรอบ  เขาก็บอกว่าน่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่แรก มันคืองูพิษจริงๆ
เหมือนกับเรามีเงินอยู่ในตัว เราหาเงินเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเงินเพื่อยกระดับจิตใจ ไม่ใช่มีเงินเพื่อมาทดสอบความเป็นคน  เคยไหมที่เราเสียความเป็นคนเพราะเงินตัวเดียว เราเสียความดีเพียงเพราะเงินตัวเดียว เคยไหมโกรธลูกแทบเป็นแทบตายเพราะให้เงินลูกไปแล้วลูกทำเงินหาย
เราแสวงหาในโลก หาเพื่อยกระดับจิตใจ ไม่ใช่หาเพื่อสั่งสมกิเลสให้พอกพูนในใจ  ถ้าหาแบบนั้นถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตที่หลงในโลก
ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เงินมาทดสอบ ตำแหน่งเกียรติยศมาทดสอบ  ถามตัวเองว่าปล่อยวางได้ไหม ทำใจได้หรือเปล่าที่จะยอมเอาความดีที่เรามีอยู่ไปแลกกับเงินแค่ไม่กี่บาท  ฟังเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง วังวนของใจ ทำนองเพลง ตัดใจไม่ลง )
บางทีเราคิดว่าแบบนี้ทำให้เราทุกข์ ห่วงมากเกินไปทำให้เรากลุ้มกังวลใจแต่เราก็ตัดใจไม่ลง  โดยเฉพาะห่วงที่หนักที่สุดคือห่วงลูกห่วงงานห่วงเงินใช่ไหม (ใช่)  ทั้งลูกทั้งงานทั้งเงินทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่เราก็ยังตัดห่วงนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
ได้คำว่า เกิดได้คำว่า ปัญญา ได้ก็เปล่าประโยชน์นะถ้าเราไม่เกิดปัญญาด้วยตัวเอง ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรามีสติใช่ไหม แต่เป็นคนที่ชอบเผลอสติหรือเปล่า  คนที่ได้คำที่มีความหมายดีก็ต้องรักษาความดีให้อยู่ตลอดนะ  เป็นคนดีก็ยากแล้ว แต่รักษาดีให้อยู่กับตัวยิ่งยากใหญ่
วันนี้มาฟังธรรมะที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง สังคมสอนให้มนุษย์ฉลาดแต่ธรรมะสอนให้มนุษย์เป็นคน (ดี)  ฉลาดแต่ไม่ดี ฉลาดแต่ไม่ซื่อตรง ฉลาดแต่เจ้าเล่ห์เพทุบาย  แม้ตอนแรกเขาจะไม่รู้ แต่ตอนหลังถ้าเขาจับได้ก็อยู่ได้ไม่นาน
ฉะนั้นวันนี้เราเอาธรรมะไปใช้กับชีวิต เป็นคนถ้าเรียนเก่งแต่ไม่มีความจริงใจกับเพื่อน ไม่ซื่อตรงกับใคร วันนี้เขาคบกับเรา ต่อไปเขาก็เลิกคบใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วที่ไหนสอนเราล่ะ ที่บ้านสอนไหม พ่อแม่บอกไหม (บอก)  แต่บอกแค่ให้เราเป็นคนดี แต่ดีอย่างไรล่ะ วันนี้ฟังแล้วต้องให้ได้มากกว่านั้นนะ
พ่อแม่ก็เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ ถ้าคนไม่เห็นคุณค่าพระอาทิตย์พระจันทร์ก็เหมือนคนที่ตาดีแต่มืดบอด
ถ้าใครเคยอ่านประวัติของศิษย์พี่ ตอนเป็นเด็กๆ ศิษย์พี่ซนมากๆ  ซนแล้วก็ทำความเดือดร้อนไปทั่ว สนุกไปวันๆ ไม่ได้คิดอะไร  แต่ทุกครั้งที่สนุกไปหนึ่งวัน กลับมาก็มีเรื่องตามหลังมาให้พ่อแม่แก้ปัญหาทุกครั้งไป  ไม่เคยคิดถึงหัวอกพ่อแม่ คิดว่าหน้าที่ของท่านห่วงก็ห่วงไป หน้าที่ช่วยลูกก็ต้องช่วยไป เล่นเสร็จสร้างความเดือดร้อน พ่อแม่เป็นอย่างไรไม่สนใจ
ตอนแรกไม่ทราบยังคิดอะไรไม่เป็น แต่พอวันหนึ่งศิษย์พี่ไปก่อเรื่องใหญ่ ไปฆ่าลูกของมังกรที่อยู่ในแม่น้ำ เพราะว่าเขากำลังทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เลยไปช่วย  คิดว่าเราทำถูก แต่เขากำลังทำผิด แล้วศิษย์พี่ก็ใช้ความเข้มแข็งเอาชนะเขา แต่เขาไม่ยอมแพ้ตามราวีจนถึงที่สุด ศิษย์พี่ก็เลยฆ่าเขาตาย แต่ผลมันไม่จบแค่นั้น
ศิษย์น้อง ในโลกนี้เราไม่สามารถชนะใครได้ด้วยความแข็ง ตัดสินใจใครได้ด้วยกำลัง จะเอาชนะและเปลี่ยนแปลงเขาได้ด้วยความดีเท่านั้น ที่หลอมละลายเปลี่ยนให้เขาเป็นคนดี  ใช้กำลังความเชื่อมั่นในตัวเองเปลี่ยนใครไม่ได้ ชนะเขาได้ครั้งเดียวต้องแพ้เขาเลยตลอดชีวิต
ศิษย์น้องบางคนเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม รู้อะไรดีอะไรไม่ดี แต่เอาความดีไปพยายามบังคับเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นคนดี มันไม่มีทางสำเร็จ  ถึงวันนี้เขาเหมือนจะยอมรับ แต่ต่อไปเขาจะกลับเป็นคนนิสัยที่เหมือนเดิม  ใช้ความอ่อนดีกว่านะ อย่าเอาความแข็งไปชนะเขา มันชนะได้เพียงครั้งเดียว แต่ต่อไปเราจะแพ้ แพ้ทั้งตัวเองและผู้อื่น
เอาความดีไปหลอมละลายหัวใจเขาให้จงได้ เอาความดีไปชนะคนที่เราเกลียดที่สุด คนที่เราว่าไม่ดีที่สุด  อย่าไปเอาความแข็ง อย่าไปเอาข้อบังคับ บังคับใครไม่ได้หรอกในโลกนี้
ขอให้ศิษย์น้องที่อายุยังน้อยทำอะไรคิดถึงหัวอกคนอื่นมากๆ อย่าคิดว่าชีวิตนี้เรารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้  แต่เมื่อไหร่ที่เราทำผิด คนที่ต้องร่วมรับกรรมกับความผิดพลาดของเราไม่ใช่เราคนเดียว แต่เป็นคนที่รักเราที่สุดนั่นคือพ่อแม่ใช่ไหม
ทำอะไรคิดให้มากๆ หน่อย รักคนที่อยู่ในบ้านให้มากๆ  อย่าเป็นคนที่รักคนนอกบ้านมากกว่าคนในบ้าน เข้าใจหัวอกคนนอกบ้านมากว่าคนในบ้าน
ศิษย์น้องหลายคนบางทีรำคาญพ่อแม่ เบื่อข้อบังคับกฎระเบียบ ทำไมต้องเชื่อฟังทำไมต้องบ่น  แต่รู้ไหมว่าคนที่บ่นคนที่พูดเพราะห่วง แต่เรากลับไม่ค่อยรู้ตัว
วันนี้มาฟังธรรมะ สิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการอยากให้ได้มากที่สุดนั้นคือคุณธรรมเรื่องความกตัญญู รู้จักสำนึกตอบแทนบุญคุณคน  เริ่มต้นที่พ่อแม่เราก่อน ถ้าเกิดเป็นคนอกตัญญูได้แม้กระทั่งพ่อแม่ คุณธรรมอะไรในโลกก็ทำไม่ได้
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดี )
แปลว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรในชีวิตของเราแล้ว ขอให้คิดเสียว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว  ถ้าคิดว่ามันร้ายเราก็มีแต่อ่อนแอและไม่มีทางที่จะแก้มันได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะศิษย์น้องเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะหนักขนาดไหนแย่ขนาดไหน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เพราะอะไรศิษย์พี่จึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าจะได้ทำให้เรามีแรงมีกำลังใจที่จะสู้มันต่อไป แต่ถ้าเราคิดว่ามันแย่ ใจเราจะสู้ไหวหรือ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจำไว้เสมอว่าอะไรที่เกิดขึ้นอันนั้นดีที่สุดแล้วสำหรับเรา แม้เขาจะเลวร้ายอย่างไร แม้เขาจะเป็นลูกของเรา เขาไม่ฟังไม่เชื่อก็ปล่อยไป ทำใจให้ได้
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ขอให้กลับมาศึกษาบ่อยๆ  ยิ่งเรียนรู้ธรรมะก็ยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าไม่มาแล้วศิษย์พี่ก็จนใจแล้วนะ
ขอบคุณศิษย์น้องทุกคนที่ทำให้วันนี้จบลงด้วยดี



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดี


  สิ่งดีเกิดย่อมดีเพราะว่าดี           สิ่งร้ายเกิดย่อมดีเพราะว่าร้าย
ทุกเรื่องล้วนตามเหตุปัจจัย           อยู่ที่ใช้อะไรกำหนดแยกร้ายดี
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่ย่อมดับไป             เมื่อแจ้งในสัจธรรมอย่างถ้วนถี่
ไม่เกิดคนหวั่นไหวในโลกีย์             สู่วิญญาณเสรีไม่ถูกจองจำ
เมื่อมีเราก็เป็นอยู่เช่นนั้น             ไม่มีก็เหมือนกันไม่แตกต่าง
โลกดำเนินภาพรวมกำหนดทาง      แต่คนสร้างวิถีของตนเอง


รายละเอียดการแก้ไขข้อมูล
------------------------
v.1.1 10 พ.ค. 49
------------------------
- เปลี่ยนรูปแบบของเอกสาร
- แก้ไขคำผิด และแก้ไขคำเพิ่ม

[แก้]

หน้า 3  บรรทัด 2 (จากล่าง)
จาก คนคุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจด้วย
แก้เป็น คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย

หน้า 5  บรรทัด 10
จาก เราก็หลงไหลไปตามความชั่ว
แก้เป็น เราก็หลงใหลไปตามความชั่ว

หน้า 15  บรรทัด 3
จาก คงอยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความยากอยู่
แก้เป็น คงยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความอยากอยู่

หน้า 29  บรรทัด 2
จาก วันนี้เราคบกับเรา
แก้เป็น วันนี้เขาคบกับเรา

หน้า 29  บรรทัด 11
จาก เสร็จสร้างความเดือนร้อน
แก้เป็น เสร็จสร้างความเดือดร้อน

หน้า 30  บรรทัด 10
จาก นั้นคือพ่อแม่ใช่ไหม
แก้เป็น นั่นคือพ่อแม่ใช่ไหม

------------------------
v.1.2 15 มิ.ย. 49
------------------------
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท ณ เซิ่งเต๋อ วันที่ 21 พ.ค. 49
[แก้]
หน้า 19  บรรทัด 5
จาก สุดจะเปลี่ยนใคร
แก้เป็น สุดจะเปลี่ยนใจ

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท ณ ฉือเหยิน วันที่ 11 มิ.ย. 49
[แก้]
หน้า 18  บรรทัด 3 (จากล่าง)
จาก อย่าหลงภาพมายาติดโลกีย์
แก้เป็น อย่าหลงภาพมายาจนติดโลกีย์







[๑] สังเวช            ความสลดใจ, สงสารผู้ได้รับความทุกข์
[๒] วิทยา             ความรู้
[๓] อุปโลกน์         ยกกันขึ้นเป็น
[๔] พินอบพิเทา     เคารพนพนอบ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา