วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2549

2549-04-08 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี


西元二○○六年 歲次丙戌 三月十一日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วยิ่งใหญ่ แต่อยู่ที่จิตใจอันใหญ่ยิ่ง
สิ่งที่ดีหมั่นเรียนรู้อย่าละทิ้ง และจงนิ่งพิจารณาอย่าก่อกรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

ผู้มีใจใฝ่ศึกษาและเรียนรู้ จะต้องรู้ในสิ่งที่ตนไม่สมบูรณ์
เมื่ออ่อนน้อมถ่อมใจพลันเพิ่มพูน จิตสมดุลกายนี้จะเบาสบาย
หนึ่งชีวิตมีเวลาแค่จำกัด เดินทางลัดบำเพ็ญด้วยศรัทธาหนา
แต่ดูเหมือนทุกท่านยังไขว่คว้า สิ่งมายามาเป็นหลักแห่งชีวี
อันชาตินี้ได้เจอธรรมพาหลุดพ้น นับเป็นคนที่มีวาสนา
แต่จะรู้ใช้วาสนาหรือไม่นา อยู่ที่น้องจะมาบำเพ็ญหรือไม่
จงรู้ใช้จิตใจไปควบคุมกาย โดยทำใจนี้ให้เป็นผู้สันติ
หากสิ่งใดทำใจตกอย่าดำริ ขอจงติตนเองเพื่อแก้ไขเป็น
สองวันนี้ฟังธรรมะเข้าสู่จิต เปลี่ยนปุถุชนจากความคิดเป็นคนใหม่
จงผนวชจิตใจที่ภายใน อย่าคิดร้ายกันง่ายง่ายน้องเมธี
จะมีสุขปลงทุกข์ได้ใช่อยู่เฉย จะละเลยโดยไม่เพียรอะไรเลย
น้องก็จะไม่ได้อะไรเลย อย่าอยู่เฉยศิษย์พี่เรียกทบทวนตน
ชีวิตนี้แม้มีทุกข์ก็มีค่า ความธรรมดาแฝงสมบัติอันค่ายิ่ง
ขอศิษย์น้องใช้ชีวิตรับความจริง อารมณ์นิ่งคนจะดูสุขุมขึ้น
แม้ตอนนี้ในจิตใจยังงงงวย แต่ความสวยงามในจิตยังคงอยู่
มนุษย์มักไม่ชอบความยากน่าดู ผิดเป็นครูไม่ลงมือจะผิดอย่างไร
เมื่อมีผิดย่อมมีถูกชีวิตคน ทุกข์สับสนเมื่อคิดได้สุข ณ ทุกข์
ในวันนี้ฟังธรรมะเพื่อจะปลุก ให้มุ่งมั่นลุกขึ้นมาบำเพ็ญธรรม
ชำระจิตให้สะอาดต้องล้างเอง แต่หวั่นเกรงน้องไม่ทนใจแปรเปลี่ยน
ทุกทุกชาติจึงไม่พ้นต้องว่ายเวียน ขอให้เพียรโดยเสมอทั้งต้นปลาย
ศิษย์พี่มาคุมชั้นเรียนฟื้นฟูจิต ขอน้องคิดปฏิบัติดั่งพุทธะ
อันกิเลสตัณหาเร่งลดละ เอาชนะตนเองได้แสนภาคภูมิ
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบเป็นหลักใหญ่
สร้างคุณค่าให้ชีวิตน่าเลื่อมใส จงใช้ใจที่ขัดเกลาแล้วดำเนินตน
ศิษย์พี่นั้นไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระนาจา

คนรู้ยังทำตัวไม่เป็น บางเรื่องหายห่วง บางเรื่องเห็นกลุ้ม ขัดการบำเพ็ญ จึงน่ากลัวเกรง  จิตใจก็งดงาม ยึดรูปแบบเกินไปต้องชักเกร็ง  คิดได้สักนิด ทางใจไม่เข้าข่มเหง  ร่วมเดินด้วยบำเพ็ญต่างปรีดา
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับเราไหม

ค้นหาตนเป็นประจำอย่าลำพอง อันฝึกต้องคนจริงจึงสำเร็จ
ผู้กระทำการแสดงออกอย่าแฝงเท็จ การฝึกข่มฝึกสำเร็จด้วยพยายาม
กิเลสทนอดยากกว่าที่รู้ คุมอารมณ์ทำอยู่รู้การห้าม
เพียรใจมั่นการขึ้นหน้าพยายาม หยุดใจตามสวรรค์อยู่ในใจ
กระดานโลกหมากวางคนด้วยสมบัติ คนธรรมดาฉลาดวุ่นวายไม่คิดได้
รู้ทันขึ้นยิ่งสบายระงับใจ โลกกว้างใหญ่รู้ยิ่งห้ามทะนง
ถูกรักษาขณะอยู่ใต้ฟ้าคราม บำเพ็ญอยากความยากป่นใจผง
เอาชนะที่ในใจด้วยบรรจง เมื่อใจเบามากคงได้บำเพ็ญ
ฮิ ฮิ หยุด


บำเพ็ญคลายจิตทุกข์ตรม  ความไม่รู้ตน  คลายวันน่าหน่ายที่ตนยังไม่ซึ้งธรรม  กลับมาฝึกคิด ฝึกชีวิตรักตนควรทำ ไม่ใช่เพื่อชนะ  หัดบำเพ็ญติดธรรมกับใจไว้  
ทุกข์ที่ทุกข์คลายก่อนโล่งก่อน  ทุกเรื่องเมื่อตรองดีดี คนที่มีสุขเป็นที่ใจสุข  ความจริงใจยังเหมือนมีเงา ตัดใจให้ปลง เป็นใจใครไม่นึกเจ็บ  ลึกลึกที่ช้ำใจเจ็บใจก็เป็นแค่ชั่วคราว  เรื่องราวสิ่งวุ่นวายหากคอยรู้ต้องเป็นกังวล

(พระโอวาทพระนาจา)
พระโอวาทพระนาจา
วันนี้อาจจะฟังในสิ่งที่เคยฟังและได้ยินมาก่อนแล้ว  ฟังธรรมะใช้ตาดูและหูฟัง ถ้าไม่คิดพิจารณาแล้วจะเข้าใจไหม  ตั้งแต่เช้าถ้าใช้ตาดูหูฟังแต่ใจไม่อยู่กับตัวจะเข้าใจไหม ใช้หัวคิดแต่ไม่ใช้ใจได้ไหม นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าใจท่านบอกไม่ชอบ แล้วหัวจะคิดไหม สิ่งที่ฟัง สิ่งที่ดู จะสนใจไหม (ไม่สน)
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อย่าใช้แค่ตากับหู แต่ใจเราต้องชอบไปด้วย  ถ้าบอกว่าเขาพูดน่าเบื่อจังเลย เบื่ออะไร (เบื่อคนพูด)  แปลว่าใครพูดก็ตามเขาจะเบื่อใช่ไหม (ใช่)  เพราะส่วนใหญ่เราถนัดเป็นคนพูดไม่ถนัดเป็นคนฟัง จริงไหม (จริง)  ในโลกนี้มีแต่คนพูดเยอะ แต่คนยอมรับฟัง (น้อย)  คนดูเยอะคนได้ยินเยอะ แต่คนเข้าใจ (น้อย)  ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เรามาไม่ได้ให้ท่านแค่ดู แค่ฟัง แต่ให้ท่านใช้ใจคิดตามไปด้วย
การที่เราอยู่ในโลกนี้ คนมองเราเยอะ แต่ถามจริงๆ ว่าท่านชอบให้คนมองแค่นั้นหรือ ถึงที่สุดแล้วเราอยากได้คนเข้าใจมากกว่าคนสนใจใช่ไหม (ใช่)  ตอนเป็นวัยรุ่นอยากให้คนมอง แต่พออายุมากแล้วเราอยากให้คนเข้าใจเราและเห็นใจเรา และเอาความคิดเราไปอยู่ในหัวบ้าง ไม่ใช่แค่มานั่งดูหรือแค่มานั่งฟัง ถูกไหม (ถูก)
วันนี้มาให้ท่านเรียนรู้ว่า อย่าใช้แค่ตาดู หูฟัง แต่ต้องใช้ใจไปสัมผัสเรื่องราวในโลกนี้ด้วย  วันนี้ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ รู้ว่าแต่ก่อนเคยแต่พูดไม่เคยฟัง แต่วันนี้ได้ฟังมาถึงครึ่งบ่ายแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าเราก็ฟังได้เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นคนที่เอาแต่พูด
อย่างน้อยวันนี้แม้ไม่ได้อะไรกลับไป ก็ยังบอกได้ว่าวันนี้ฉันทนฟังคนพูดได้ทั้งวัน เอาไปอวดคนอื่นได้ ใช่ไหม (ใช่)  จำอะไรไม่ได้ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยฉันอดทนได้ตั้งหนึ่งวัน ฟังคนอื่นเขาพูดอย่างเดียว ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย อย่างน้อยก็รู้ว่าเราก็มีคุณค่าที่มีความอดทน จริงไหม (จริง)
แล้วรู้ไหม รู้ แต่เบื่อจังเลย เมื่อยจังเลย ก็เลยได้แค่เบื่อกับเมื่อยแล้วก็ง่วงนอน ถ้าเราไม่บอกตรงนี้ท่านจะคิดได้ไหม คิดไม่ถึงใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทำไมต้องรอให้คนอื่นบอกแล้วเราถึงจะคิดได้ล่ะ
โดยปกติของมนุษย์ทุกๆ คนนั้น เวลาเรามองมีสองแบบ ก็คือไม่มองในแง่บวกก็แง่ลบ แต่ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้ว มนุษย์เราสามารถมองได้สี่อย่าง อยากรู้ไหมอีกสองอย่างคืออะไร (อยาก)  เพิ่มสองอย่างนี้ก็ดีนะ ทำให้เรารู้จักคิดด้วย และทำให้เราเห็นโลกชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย เอาไหม (เอา)
เขาบอกว่าจะพูดเรื่องธรรมะกับใครนั้น ต้องพูดกับคนที่เขาสนใจ ถ้าพูดไปแล้ว เขาไม่สนใจ อย่างนั้นสู้หุบปากเราดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นลองฟังเสียงจากใจสิว่า จริงๆ อยากฟังสักกี่คนนะ  วันนี้เรามาคุยกันเรื่องธรรมะ สัจธรรมชีวิตเรื่องความเป็นจริง ไม่ได้คุยกันเรื่องหวย ลอตเตอรี่ หรือเรื่องรักษาโรค
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนร้องเพลง “ต้อนรับ” พร้อมทำท่าประกอบเพลง)
เราอยากให้ท่านผ่อนคลาย เพราะรู้สึกว่านั่งฟังแล้วจะเมื่อย เราก็แค่มาช่วยผ่อนคลายแล้วก็เปลี่ยนมุมมองในการศึกษาธรรมว่านอกจากจะฟังจากผู้ใหญ่แล้ว เราอาจจะได้มุมมองธรรมะจากเด็กก็เป็นได้ ถ้าใครยังไม่เข้าใจธรรมะ ใช้แค่ตากับหูวันนี้ฟังก็จะน่าเบื่อใช่ไหม (ใช่)
คนเรามักจะมองสองอย่าง ไม่มองแง่ดีก็มองแง่ร้าย ไม่มองแง่บวกก็แง่ลบ แต่เราจะเพิ่มไปอีกสองอย่าง นั่นคือถ้าเรามองตามความเป็นจริง และอีกอย่างหนึ่งคือมองด้วยปัญญาไหวพริบ  แม้สิ่งที่ไม่ดีคนฉลาดก็สามารถแปรเป็นสิ่งที่ดีและมีคุณค่าในการเรียนรู้ได้ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นในโลกจริงๆ มีคนมองอยู่สี่อย่างแล้วอย่างที่สามที่เราบอกว่ามองตามความเป็นจริง สามารถมีพื้นฐานมาจากการมองโลกในแง่ดี ถ้าเรารู้จักมองแล้วเราก็สามารถเห็นได้ทั้งอดีต ปัจจุบันแล้วก็อนาคต  สิ่งที่เราไม่รู้จัก เราสามารถมองอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ไหม
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่งยืนขึ้น)
สมมติเรามองเห็นท่านนี้ เราเห็นอดีตเขาไหม (ไม่เห็น)  เห็นปัจจุบันไหม (เห็น)  เห็นอนาคตไหม (ไม่เห็น)  จริงหรือ  อดีตเขาต้องเป็นเด็ก เป็นไหม (เป็น)  อนาคตเขาต้องตาย เห็นไหม (เห็น)  แล้วจะบอกว่าไม่เห็นได้ไหม (ไม่ได้)  นี่คือการมองตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ (เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย)  จากเด็กมีชีวิตจนโตแล้วก็ไปสู่ความตายใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถ้าเรามองสิ่งหนึ่งที่เรารักมากเรามักจะมองเห็นแค่ปัจจุบัน แล้วก็อยากหยุดเวลาไว้  เอาสวยๆ อย่างนี้นะ อย่าขี้เหร่กว่านี้นะ หรือว่าเอาแบบตอนที่พบกันตอนสองสามวันแรกนะ ขี้โวยวายแบบตอนนี้ไม่เอาแล้ว นี่คือคนที่มองคนแต่ไม่อยู่กับความเป็นจริง เลือกแต่ด้านดีมากเกินไป
กับอีกแบบหนึ่งมองเห็นแต่ด้านร้ายไม่สนใจด้านดี พอเห็นปุ๊บก็คิดว่าเขาเป็นคนชั่วแน่นอน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาก็มีทั้งด้านที่ดีงาม และด้านที่มืดดำที่เรามองไม่เห็น
เวลาเรามองสิ่งใดก็ตาม ขอให้เรามองทั้งสี่อย่างให้ครบ  บางครั้งเห็นไม่ดีแต่ก็ต้องสามารถเปลี่ยนเป็นดีได้ และในความดีนั้นก็สามารถจะนำพาเราให้มองไปเห็นธาตุแท้ความเป็นจริงได้ และเมื่อมองเห็นความเป็นจริงแล้วความเป็นจริงนั้นก็สามารถที่จะกลั่นกรองภูมิปัญญาให้เราเลือกเฟ้นสิ่งที่ดีงามมาสู่เราได้
นี่คือการมองหนึ่งครั้งแล้วได้สี่อย่างครบเลย อย่าเป็นคนที่มองแล้วมองได้ด้านเดียวไม่อย่างนั้นคนที่ช้ำใจก็คือตัวเรา แล้วเราจะบังคับให้เขาเป็นแบบนี้ตลอดได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นไม่ว่าเราจะมองสิ่งใดก็ตามอย่าลืมสี่อย่างที่ศิษย์พี่บอกนะ มองแง่ดีก่อนก็ได้ไม่เป็นไรแต่แง่ดีนั้นต้องสามารถที่จะไปสู่แง่ร้ายก็ได้ แต่เมื่อไปสู่แง่ร้ายแล้วเราต้องตามต่อไปให้เห็นความเป็นจริงทั้งหมด และเมื่อเห็นความเป็นจริงทั้งหมดแล้ว ต้องสามารถกลั่นกรองให้เห็นว่าควรจะเลือกเอาสิ่งใดมาใช้กับชีวิต
เป็นไปได้ไหมที่คนในโลกมีแต่ดีไม่มีร้าย (ไม่มี)  ทำไมศิษย์พี่ถึงบอกว่าให้มองไม่ดีไว้บ้างเพื่ออะไร เพื่อทอนใจเราไม่ให้หลงเวลาที่เห็นรูปสวยๆ ใช่ไหม (ใช่)  และเมื่อเห็นร้ายแล้วก็ต้องพยายามให้เห็นดีด้วยเพื่อบรรเทาใจเราไม่ให้รังเกียจจนจิตใจหมกมุ่นรู้สึกแย่ลง
เคยไหมที่เจอใครครั้งแรกแล้วใจก็เหี่ยว หรือพอเขาอ้าปากปุ๊บเราก็เฉาทันที แล้วเราจะบอกเขาว่าอย่าอ้าปากเลย เพราะตอนคุณไม่อ้าปากฉันรู้สึกดีที่สุดเลย พออ้าปากปุ๊บก็ทิ่มแทงเจ็บๆ  บางทีเราก็พูดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไร (เงียบ)
ถ้าเราอยู่ในสังคมแล้วมีคนหนึ่งพูดเก่งมาก แต่พูดเก่งอย่างเดียวอย่างอื่นไม่เก่งเลย กับคนอีกแบบหนึ่งชอบจับผิด เรื่องดีไม่เคยพูด ชอบพูดแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่น สังคมจะเป็นสุขไหม โลกจะร่มเย็นไหม (ไม่)
แล้วถ้าเราอยู่ในสังคม ถึงเวลาทำงานเขาแอบไปนอน ถึงเวลามีส่วนได้ส่วนเสีย เขารับแต่ส่วนได้ ส่วนเสียเขาทิ้งไว้ให้เรารับผิดชอบ เราจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี เอาสี่อย่างไปใช้ได้ไหม (ได้)  แล้วถ้าเราไม่เอาสี่อย่างไปใช้ล่ะ เราจะจัดการกับคนพวกนี้ด้วยอะไรดี
โลกนี้เต็มไปด้วยคนเก่งเยอะ พูดก็เก่งทำงานก็เก่ง แต่ไม่ค่อยเคารพคนอื่น และไม่ค่อยฟังใครด้วย แล้วในโลกนี้ก็มีคนอีกประเภทหนึ่งเยอะด้วย คือประเภทที่ห่วงแต่ตัวเองแต่ไม่ห่วงคนอื่น เราจะทำอย่างไรดีกับคนพวกนี้ เคยคิดไหม
บางทีพูดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ แถมไม่ฟังด้วย เธอเป็นใคร มาสอนฉัน ใช่ไหม  แต่อยู่ๆ เขาจะเดินตามเรามาไหม เราจะใช้อะไร
(เราต้องประพฤติตัวเราให้ดีๆ ก่อน ก่อนที่เขาจะฟังเรา)  ถ้าเกิดเจอคนแบบนี้ ใครมีเหตุผลมากกว่านี้อีกไหม
(แจ้งตำรวจจับ)  แจ้งตำรวจจับหรือ ในโลกนี้มีกฎหมายจับคนเห็นแก่ตัวไหม (ไม่มี)  มีกฎหมายจับคนเก่งที่ไม่ค่อยเคารพผู้ใหญ่ หรือมีกฎหมายที่จับคนพูดมากแต่ทำเราเจ็บปวด มีไหม บางทีเขาพูดนิ่มนวล แต่มันเจ็บยิ่งกว่าด่าอีก แจ้งตำรวจจับได้หรือ
(เราต้องหาพันธมิตร ไม่พูดกับเขา, พูดให้เข้าใจ ชวนเขาฟังธรรมะบ่อยๆ ให้เข้าใจคนอื่นบ้าง)  ก่อนที่เราจะเฉลยคำตอบนี้ มีใครจะตอบอีกไหม ทำอย่างไร ถ้าลูกเก่งแต่ไม่ค่อยเคารพแม่ (ใช้ความอดทน การอภัยและความมีเมตตาให้มากที่สุด)
เราจะยกตัวอย่าง การที่จะทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อเขารู้ว่าสิ่งที่เขาเป็นนั้นไม่ดี แต่จะทำอย่างไร เพราะคนส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นนั้นไม่ดี  เหมือนกับคนที่กำลังเดินเข้าไปในป่า พอเดินเข้าไปแล้ว เขาจะยอมรับไหมว่าตัวเองหลงป่า (ไม่ยอมรับ)  คนเราเดินเข้าไปในป่าแล้วจะยอมรับว่าตัวเองหลงป่าเมื่อหาทางกลับบ้านไม่ได้ หรืออยากไปสู่สิ่งที่ดีกว่าที่จะต้องมาวนอยู่ตรงนี้  นั่นหมายความว่าอะไร คนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่นั้นมันไม่ดี แล้วถึงจะก้าวกระโดดไปทำอีกอย่างหนึ่งได้ตามที่เราพูด
ถ้าอย่างนั้นเราจะทำให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดีตอนไหน (ตอนที่เขาแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้แล้ว)  แล้วเราจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตอนไหน เราจะทำให้เขารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่มันไม่ดีนะ ถ้ายังเป็นต่อไป นอกจากคนรอบข้างเดือดร้อนแล้ว สุดท้ายแล้วตัวเขาต้องเป็นคนที่โดดเดี่ยว ไม่มีใครคบหา ใช่หรือไม่
แต่เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงและโน้มนำคนพวกนี้ได้ คนส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “ใช้ธรรมะ”  แต่เราจะบอกว่าใช้ตัวท่านนั่นแหละ ที่จะไปเปลี่ยนเขา ตัวท่านต้องทำอย่างไรล่ะ
เมื่อเราเจอคนเก่งแต่ไม่อ่อนน้อม เราต้องเป็นคนเก่งให้ได้เท่าเขา แต่อ่อนน้อมกว่า น่ารักกว่า  ถ้าท่านพูดปากเปียกปากแฉะ เขาไม่เปลี่ยนหรอก ท่านต้องทำเลย ต้องเก่งเหมือนเขา แต่มีดีเหนือเขาแล้วมีคนหันมารัก
แล้วถ้าเจอคนเอาเปรียบ เราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้  เราต้องยอมให้ถึงที่สุด จนเขาสงสัยว่าทำไมเรายอมได้ขนาดนี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเกิดยอมจนหมดเนื้อหมดตัวแต่เขาก็ยังไม่หันมา ต้องสะกิดแล้วนะ ว่าที่ยอมไปหลายครั้งนั้นไม่ใช่เพราะโง่ แต่อยากให้เขาเห็นสักทีว่า เราให้เขาเสมอ และก็ยังรักเขาตลอด  บางคนให้จนถึงที่สุด แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว  ฉะนั้นต้องพูดนิ่มๆ สะกิดบ้าง
ถ้าเกิดท่านเจอคนที่เขาเห็นแก่ตัวจริงๆ ท่านจะทำอย่างไร  เคยเห็นไหม แมลงเวลาจะกินเกสรดอกไม้ดอกหนึ่ง ดอกไม้มันจะหุบเพื่อกินแมลง แมลงก็หนีไปอีก แต่หนีครั้งหนึ่งจะพ้นตลอดหรือเปล่า ไม่มีวันพ้นหรอก เหมือนดังคำพูดที่ว่า “ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียด” แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ ถึงจะสามารถทำตัวเราให้ดลใจให้เขาเปลี่ยนแปลงได้
คนส่วนใหญ่เจอคนไม่ดีจะหนี หลบ เลี่ยง แต่ยิ่งหนีก็ยิ่งกลับมาที่เดิม  ฉะนั้นการหนีไม่ใช่เหตุที่ถูกต้อง  แล้วเราทุกข์จากไหนล่ะ ไม่ใช่ทุกข์เพราะคน ทำไมเราถึงบอกว่าต้องพูดเพื่อแก้ปัญหาให้ท่าน เพราะว่าที่มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร  เบื่อคนเห็นแก่ตัวเหลือเกิน เบื่อที่ลูกไม่รู้จักรับผิดชอบ เบื่อที่สามีเอาแต่สบาย ปล่อยเราทำงานคนเดียว เบื่อที่ฝ่ายหญิง งกขอเงินเหลือเกิน  เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อความหลุดพ้น
แล้วคำว่า “หลุดพ้น” คืออะไร ก็คือสิ่งที่เราอยู่ตรงนี้ เราเริ่มเห็นว่ามันทุกข์ มันไม่ดี เราต้องการดีดตัวเราออกจากที่ๆ มันเป็นสาเหตุให้เราทุกข์ แต่ที่ๆ เราทุกข์นั่นแหละ คือที่ๆ เราพ้นทุกข์ได้ ถ้าท่านยังแก้ปัญหาทุกข์แต่ละอย่างไม่ออก ท่านก็ยังไม่มีวันที่จะหลุดพ้นได้แท้จริง
เหมือนคนที่หลง จะยอมรับว่าตัวเองหลงก็ต่อเมื่อทนไม่ได้แล้วกับสิ่งที่เป็นอยู่ตรงนี้ แล้วคิดว่าครั้งหน้าต้องดีกว่าแน่ เราถึงยอมรับว่าเราหลงและต้องหาทางออก
มนุษย์รู้อยู่ทุกคืนวันว่าเราทุกข์ แต่เราหาทางออกไหม เรายอมรับไหมว่าเราทุกข์  บางคนยอมแต่ไม่เคยหาทางให้พ้นจริงๆ สักที  ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรมก็เพื่อหาทางออกไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และสิ่งที่ดีกว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม  ดั่งที่พระพุทธองค์สอนไว้เรื่องอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค  ทุกข์คืออะไร สาเหตุมาจากไหน แล้วเราจะดับอย่างไร ใช่ไหม
ท่านว่าทุกข์มาจากไหน เอาตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ  ทุกข์มาตั้งแต่เราเริ่มมองเห็น และมองไม่เห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่เห็นตามความเป็นจริง หรือเห็นแบบเกลียด พอเห็นแบบนี้แล้วเรามีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นไหม เราก็หลงในสิ่งที่เราเห็น แล้วเราจะพ้นไหม จะหาทางดับทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)
เรามาศึกษาหลักธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ได้เมื่อเรามองเห็นสภาพที่เป็นอยู่ว่ามันไม่ดี และเราอยากจะหนีจากความไม่ดีนี้ให้ไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ด้วยการเอาสิ่งที่ไม่ดีมาเป็นแรงผลักดันให้เราต้องไปสู่สิ่งที่ดีกว่าให้จงได้
เหมือนเราเจอคนเห็นแก่ตัว แต่ศิษย์น้องก็เห็นแก่ตัวตาม แล้วจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  เจอคนด่ามาศิษย์น้องก็ด่าตอบ แล้วจะดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีแล้วยังแย่ลงไปอีก เจอคนโกรธมาก็โกรธตอบ ถูกไหม (ไม่ถูก)
ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อเจอสิ่งที่ร้ายมา เราต้องดีตอบให้เขาเห็นคุณค่าของความดีและอยากจะเปลี่ยนแปลงตามเรา  อย่าดีแค่สองสามนาที ไม่อย่างนั้นไม่มีใครอยากทำตามเราหรอก และอย่าเอาแต่พูด ให้ปฏิบัติให้เขาเห็นเลย ให้ตัวเราเป็นแบบอย่างที่ดีและมีคุณค่า ดีกว่าพูดจนน้ำไหลไฟดับอีก
วันนี้ที่เราพูดพอเข้าใจไหม (พอเข้าใจ)  พอเข้าใจว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถพ้นทุกข์ และสามารถเปลี่ยนแปลงคนที่สร้างทุกข์ให้กลายเป็นความสุขได้ ด้วยการเริ่มต้นที่ตัวเอง ไม่ใช่แค่การมองออก  เมื่อมองออกแล้วก็ต้องเอาเขาเป็นเหมือนไฟสะท้อนกลับมามองเรา ได้ไหม (ได้)
ในความมืดย่อมมีความสว่าง ในความสว่างก็อาจจะมีความมืด  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเรามุ่งมั่นจะทำสิ่งที่ดีแล้ว และเอาความดีนี้เพื่อดลใจเปลี่ยนแปลงคน เราต้องมีใจที่รักความก้าวหน้าใช่ไหม  วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน
ถ้าเราปล่อยตามนิสัยความเคยชิน ตามอารมณ์ตามกิเลส จะทำให้เราเป็นคนร้ายมากกว่าเป็นคนดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีนิสัยที่ไม่ดีมีอารมณ์ไม่ดีแล้วเรารู้จักข่มไว้บ้าง อดกลั้นไว้บ้าง อดทนไว้บ้าง จะทำให้เราดีขึ้น
หลายต่อหลายครั้งที่ศิษย์น้องทุกคนมักจะเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองกระทำ เพราะอะไรถึงเสียใจ (เพราะทำตัวไม่ดี)  แต่ตอนนั้นบางทีเราก็รู้สึกว่าเราดีใช่ไหม (ใช่)  คนที่กำลังทำให้เราโมโหนั่นแหละเขาไม่ดีเราเลยต้องโมโหกลับไปถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)
ฉะนั้นการที่เรารู้จักเอาธรรมะมาย้อนมองตน การที่เรารู้จักหันมามองตนก่อนที่เราจะโทษใคร จะทำให้เราสามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเองก่อนแล้วค่อยไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น
อย่างแรกเรารู้สึกว่าเราต่ำกว่าเขา เราจึงเกิดความรู้สึกว่าเราจะต้องดีกว่า เหนือกว่าเขาและเราต้องได้มากกว่าเขาใช่ไหม  เวลาเราโดนคนว่า เรารับไม่ได้เพราะว่าเขาทำให้เรารู้สึกแย่ ถ้าเรารู้สึกว่าเราแย่เมื่อไหร่เราจะรับไม่ได้ แล้วเราจะเกิดการปัดป้องไม่ยอมรับที่จะแก้ไข แล้วตอนที่เราแย่ก็หงุดหงิดง่ายใช่ไหม
ฉะนั้นท่านจำไว้อย่างหนึ่งนะ เมื่อไรที่ถูกกดให้ต่ำแล้วเป็นแบบนี้ อย่าพยายามไปกดใครให้แย่ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นการเตือนเขาด้วยการบอกเขาว่าที่เป็นอยู่นี้มันไม่ดี เราต้องกระทำเป็นแบบอย่าง แต่บางครั้งก็ช้าไปใช่หรือไม่  บางเรื่องมันเป็นเรื่องเล็กๆ เราจะบอกอย่างไรล่ะ อย่างง่ายๆ เช่น เรื่องเล็กๆ เขาเป็นคนที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีกับเรา แต่เขามีข้อเสียอย่างหนึ่ง คือพูดอะไรไม่ระวังเพราะสนิทมาก เราจะพูดอย่างไร ตอนนี้เราใช้การปฏิบัติอย่างเดียว เขาไม่มีวันเห็นแน่
ฉะนั้นจำไว้ว่าการจะเตือนใครอย่าพูดให้เขารู้สึกแย่ เพราะเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกแย่เขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จงบอกให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่นี้มันจะมีผลกระทบอย่างนี้ๆ เขาจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยไหม (ดีขึ้น)  แต่ว่าถ้ามันมากๆ ก็เจ็บใช่ไหม (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่พอเราเจอคนที่ไม่ดีเราจะใช้อารมณ์ก่อน แล้วเขาจะเปลี่ยนไหม (ไม่เปลี่ยน)
เราอยู่ในโลก มีคนอยู่หลายประเภท เราต้องรู้จักรับมือกับเขาให้ถูกวิธี  บางครั้งต้องรู้จักที่จะพูด แต่บางครั้งก็ต้องเงียบ แล้วก็ต้องอดทน  เราต้องใช้การปฏิบัติที่ยืนยาวจนกว่าเขาจะประจักษ์ในความดีของเรา
แต่ที่เราบอกเมื่อสักครู่นี้สำหรับคนที่เตือนได้ กับคนอีกประเภทหนึ่งที่เตือนไม่ได้ เขาไม่ใช่คนที่เราสนิท แต่เราจะช่วยเขาให้เปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ ก็ด้วยการปฏิบัติที่ยืนยาวถูกไหม (ถูก)
ศิษย์พี่ถามศิษย์น้องนะ ถ้าเราเป็นคนประเภทที่นานๆ จะยิ้มที แต่ยิ้มปุ๊บคนผวา แล้วทำไมเราไม่เป็นคนที่ร่าเริง ยิ้มง่าย แล้วมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เราคงมีทุกข์น้อยกว่านี้ใช่ไหม  มนุษย์ที่ทุกข์มากเพราะว่าไม่ได้หวังแค่นี้ แต่หวังว่าต้องมากกว่านี้ และต้องมากยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้  ฉะนั้นถ้าเราอยากเป็นคนที่ทุกข์น้อยแล้วสุขมาก ก็จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ได้ไหม
ศิษย์พี่จะพูดต่อไปเรื่องของคำว่า “พอใจ” คนที่รู้จักพอใจจะเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือคนในโลกได้ และคนที่รู้จัก “พอ” สุขในคำว่า “พอ” จะเป็นคนที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้โลกอันยิ่งใหญ่ใบนี้ได้ เชื่อไหม
เวลาพูดอะไรกับศิษย์น้องต้องโน้มน้าวสิ่งที่ดีไว้ก่อน สิ่งที่ไม่ดีเก็บไว้ก่อน เพราะคนจะชอบทำเมื่อมีสิ่งที่ดี พอไม่มีดีก็ไม่เอาถูกไหม  ทำไมศิษย์พี่ถึงบอกว่าคนที่รู้จักพอใจง่ายๆ ถึงจะสามารถมีสุขได้ สามารถเอื้อประโยชน์แก่คนได้ และสามารถช่วยเหลือคนได้
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นทุกคนยืนขึ้น นักเรียนคนใดตอบคำถามก็จะได้นั่ง)
ศิษย์พี่ตั้งกฎแล้วนะ ไม่ช่วยกันวันนี้ก็ไม่ต้องนั่งแล้วนะ ให้ศิษย์พี่ช่วยตลอดไม่ได้ ศิษย์น้องต้องรู้จัก (ช่วยตัวเอง)  แต่ถ้าใครมีความสุขในการยืนก็ยืนไป แต่ถ้าใครรู้สึกว่าทุกข์ แล้วต้องทำอย่างไร ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าด้วยการปฏิบัติด้วยตัวเอง เข้าใจคำถามให้ดีนะ
ทวนคำถามว่า “ถ้าเรารู้จักพอแล้ว ความพอจะสามารถเอื้อประโยชน์แก่คนหมู่มากได้ ความพอนั้นจะสามารถทำให้เราไปช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากลำบากได้กว้างขึ้น  ‘พอ’ อย่างไรทำไมถึงช่วยได้”
(ส่วนที่เป็นส่วนต่างจากความพอเพียงนั้นก็สามารถช่วยเหลือเอื้อประโยชน์แก่บุคคลอื่นได้ แล้วเราก็พอใจในสิ่งที่เราทำด้วย)  ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์พี่ว่ายังถูกไม่หมด
(สิ่งที่พอใจของเราเมื่อเขาเห็นว่าเราพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วทำให้เรามีความสุข เราอยู่ได้อย่าง Happy  “Happy” แปลว่าความสุข)  เขาตอบถูกไหม Replay ใหม่ได้ไหมศิษย์น้อง  (สิ่งที่เราพอใจเมื่อคนอื่นเขาได้เห็นในสิ่งที่เรามี ในสิ่งที่เราเป็น แล้วพอเราทำแล้วมีความสุข มันเหมือนถ่ายทอดให้คนอื่นได้รู้ว่าวิธีการทำแบบนี้ คือพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติให้ได้ ทำใจให้ได้ไม่ต้องไปไขว่คว้ามากกว่านั้น ตรงนั้นเรามีความสุขเราทำไป)  ก็คือบอกสิ่งที่เราได้ทำกับตัวเอง ให้กับผู้อื่นปฏิบัติตาม แต่มาตรฐาน “ความพอ” ของเราบางทีอาจจะไม่ใช่มาตรฐานความพอของอีกคนหนึ่ง แต่ว่าความมีของเรา บางทีอาจจะทำให้คนอื่นอิจฉาก็มีนะ ถ้าอย่างนั้นความมีของเราจะช่วยให้เราพอ แล้วทำให้คนอื่นมีความสุขได้ไหม ไม่แน่นะ เราห้ามความคิดเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่
ศิษย์พี่จะบอกให้ว่าจริงๆ แล้วศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร เอาง่ายๆ เลยนะ ถ้าเกิดว่าคนนั้นรู้จักพอแล้ว คนนั้นรู้จักหยุดเป็นแล้ว เหมือนเราดำเนินชีวิตอยู่  พอเราเดินไปสักค่อนชีวิต เราจะรู้ได้ว่าตัวเราระดับไหนพอแล้ว จริงไหม (จริง)
ต้องลองใช้ชีวิตก่อน พอเราได้ใช้ชีวิตแล้วเราจะรู้ว่ามาตรฐานอย่างนี้พอแล้ว มีเท่านี้พอแล้ว สามารถอยู่ไปจนถึงอายุมากก็ยังอยู่ได้  พอเราหยุด เปลี่ยนจากการที่ไปหาด้วยความรู้สึกที่พอแล้ว เปลี่ยนหน้าที่เป็นการเอาเวลานั้นไปช่วยคน เช่น ปกติเคยเอาเวลาตรงนี้ไปค้าขาย ไปทำงาน ไปเที่ยว  เมื่อเที่ยวพอแล้ว ทำงานเหนื่อยพอแล้ว ลองเอาเวลาที่เราพอ เปลี่ยนไปช่วยคน
บางทีแค่คำพูดหนึ่งคำก็ช่วยคนได้จริงไหม (จริง)  บางทีแค่เงินหนึ่งร้อยบาทก็สามารถทำให้คนอิ่มอกอิ่มใจได้ แต่ต้องให้ให้ถูกเวลา  บางทีไม่มีเงินไม่มีแรง ให้น้ำใจที่มนุษย์ทุกคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า ต้องเป็นคนมีน้ำใจ อย่าแห้งแล้งน้ำใจ เข้าประตูบ้านไหนอย่าเอาน้ำใจทิ้งไว้ข้างนอก แบกน้ำใจแล้วทิ้งให้เกลื่อนกลาดในบ้านเขาแล้วค่อยออกมา  ให้ยากไหม (ไม่ยาก)  พอให้ปุ๊บไปที่ไหนเขาก็ยิ้มเปิดประตูให้เรา หรือเราอาจจะยกแกงมาชามหนึ่งฝากเพื่อนบ้าน บางทีมิตรใกล้บ้านยังช่วยเหลือเราได้ไวกว่าลูกที่อยู่ต่างจังหวัดอีก เพื่อนบ้านที่สนิทที่สุดกลับช่วยเราได้มากกว่าเพื่อนที่เรารักมากที่สุดด้วยใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกท่านก็คือว่า มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่ให้ได้ไม่มีวันหมด ยิ่งให้คนยิ่งรัก ยิ่งให้ใจเรายิ่งเพิ่มพูนความสุข นั่นก็คือให้น้ำใจ ให้ความจริงใจ ให้ความเมตตาปรารถนาดี  แต่คนเราจะรู้จักให้ก็ต่อเมื่อเราพอ แต่มนุษย์ทุกวันนี้ยังไม่พอใช่ไหม (ใช่)  ยังเรียนไม่เก่ง เงินยังน้อยอยู่ยังช่วยใครไม่ได้ จริงหรือ (ไม่จริง)  มีเงินมากแต่ปากร้ายเหลือเกินใครก็ไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  มีเงินน้อยแต่ควักบ่อยๆ คนก็รักจริงไหม (จริง)
ลองให้ไปจนถึงที่สุด บางทีท่านจะได้ผลกลับมา แต่ช่วงที่ทำดีถึงที่สุดนั้นต้องอดทนรับความทุกข์กล้ำกลืนหน่อย  แต่คนทุกคนพอทำดีถึงระดับหนึ่งแล้ว เจอความลำบากมักจะถอย จึงไม่ค่อยได้รับผล
จำไว้ว่าทำดีเมื่อไหร่หากเจอความลำบากให้ยิ้มไว้ วันนั้นใกล้จะสำเร็จแล้ว ถ้าถอยเมื่อไหร่วันนั้นได้เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่  ฉะนั้นทำดีทำไปเถอะ เจอลำบากต้องฝ่าฟันให้ได้ แล้วเราจะได้รับผลอันงดงาม ขอเพียงแต่อดทนต่อความลำบากนี้ให้พ้น ด้วยการชนะใจของตนเอง  เพราะว่ามนุษย์เมื่อไหร่ที่รู้จักคำว่า “พอดี” เราจึงจะสามารถช่วยคนได้
คนที่รู้จักพอดีจึงรู้ว่ากรอบแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องทำอย่างไร คนที่รู้จักพอดีและดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องอย่างมีกรอบก็จะสามารถเป็นคนที่ดำรงอยู่ในโลกอย่างสมดุลได้ ไม่โลภเกินไม่อยากเกิน และไม่ปล่อยให้ความโลภความอยากมาทำร้ายใจ
(แต่ทำไมถึงมีคำว่า ทำชั่วแล้วได้ดี ทำดีไม่ได้ดี)  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยให้คำนี้นะ เราจะไขความให้นะ
มนุษย์ส่วนใหญ่มักบ่นว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถามจริงๆ นะเวลาเรายิ้ม เวลาเรามีเงินเยอะเรามักจะเดินออกไปอวดคนอื่น ถึงแม้ไม่อวดแต่ก็แสดงออกใช่ไหม (ใช่)  แต่เวลาทุกข์ มีใครเดินไปประกาศ ฉันกำลังทุกข์อยู่ ฉันกำลังแย่อยู่ ฉันกำลังผจญความลำบากอยู่ มีใครบอกไหม
แล้วท่านแน่ใจหรือว่า คนที่ทำชั่วเขาจะไม่มีวันรับผลกรรม ท่านมองเขาถึงที่สุดไหม  ท่านเห็นเขาช่วงที่เขาเจริญเท่านั้น แต่ไม่เห็นช่วงที่เขาตกต่ำ  อย่าลืมนะว่าสมัยนี้ กรรมมาไวยิ่งกว่าอะไร (จรวด)  แต่ต้องใจเย็นๆ อย่าไปแช่งเขาให้กรรมมาไวๆ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง  เราควรให้อภัยเขา  มีใครไม่เคยทำผิด มีไหม (ไม่มี)
คนหนึ่งทำผิดแค่ตีคน กับอีกคนทำผิดโดยฆ่าคน ต่างกันไหม (ต่าง) แต่มีพื้นฐานใจเหมือนกัน แค่ยังลงความแรงไม่มากเท่ากัน ฉะนั้นเราจะเอาตัวเราไปวัดคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  เราควรจะเอาตัวเราไปเห็นใจเขามากกว่า เพราะเขายังไม่รู้แต่เรารู้แล้ว เรารู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วแต่เขาไม่รู้  กรรมที่เขารับต้องหนักกว่าเราแน่ ฉะนั้นเราจะไปซ้ำเติมเขาทำไม แล้วกรรมที่กลับมาตอบสนองนี้ อาจจะคือคนดีที่ต้องรับทุกข์อยู่ก็เป็นได้
อย่าลืมนะว่าชีวิตคนไม่ใช่แค่วงนี้แล้วก็จบ บางทีวงนี้แล้วไปต่ออีกวงหนึ่ง แล้วก็อาจจะไปต่ออีกวงหนึ่งที่ต่ำกว่าก็ได้  ฉะนั้นเมื่อไรที่เจอสัตว์ที่น่าสงสาร คนที่ไม่ดี เปลี่ยนความเกลียดชังเป็นความเห็นใจ ร้ายมาดีตอบไว้ เราจะได้ไม่ต้องเกี่ยวกรรมไปกับเขาอีก
สุดท้ายก่อนที่เราจะจากกัน จำไว้อย่างหนึ่งนะ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว หมายความว่าอย่างไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ถ้าเราคิดว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เราจะมีกำลังใจต่อสู้  แต่ถ้าคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่แย่ที่สุดเราก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้มองแง่ดีได้ ก็พร้อมที่จะมองร้ายอย่างมีพื้นฐานแห่งความเป็นจริง และสามารถกลั่นกรองนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่เราให้จงได้ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
เราอยากมาเปลี่ยนความรู้ให้ท่าน เปลี่ยนความรู้ตรงที่ว่าอย่าดูเบาเด็กนะ  เด็กบางทีก็ให้แง่คิดได้ แล้วก็อย่าดูเบาตัวท่านเองเพราะตัวท่านเองก็สามารถเป็นคนดีที่หนึ่งได้ อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติต่อสิ่งที่มากระทบใจเราด้วย การทำอย่างไร จะเลือกทำดีขึ้นหรือเลือกทำแย่ลงอยู่ที่ตัวท่านนะ และสิ่งที่ท่านเลือกทำนั่นแหละ จะมีผลทั้งตอนอยู่และตอนตาย  สิ่งที่ท่านเลือกทำนั้นจะผลักดันให้ชีวิตจมอยู่กับทุกข์หรือพ้นทุกข์ได้ อยู่ที่ตัวเองนะ
วันนี้เรามาศึกษาแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนคนเราอยู่ในโลกนี้ เรามาแค่ชั่วขณะหนึ่ง จงใช้ชีวิตที่เรามีอยู่นี้ให้มีคุณค่า ด้วยการเลือกประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าตามอารมณ์ ได้ไหม คงได้นะ
มาครั้งนี้ไม่ได้ให้ยึดติดในการยืมร่าง แต่มาเพื่อแสดงประจักษ์หลักฐานแห่งธรรมะว่ามนุษย์ทุกคนมีธรรมะอยู่ ธรรมะไม่ได้อยู่ข้างนอก ธรรมะอยู่ที่ตัวเรา เริ่มต้นที่ตัวเรา เอาตัวเราเป็นแบบอย่างแห่งธรรมะอันดีงาม แล้วนำไปส่งเสริมผู้อื่น  เอาธรรมะมาสอนใจเพื่อทำให้เราพ้นความทุกข์  ไม่มีใครช่วยเราได้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงเราได้ และก็ไม่มีใครทำเราเจ็บได้ นอกจากเราลากตัวเองไปหาสิ่งที่เจ็บ คิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิด
วันนี้ศิษย์พี่ก็คงจบแค่นี้ก่อน มีโอกาสค่อยมาผูกบุญกันใหม่นะ

วันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

บำเพ็ญจะต้องมีใจที่เข้มแข็ง บำเพ็ญต้องไม่ปรุงแต่งแสวงหา
บำเพ็ญจะต้องมีความเมตตา บำเพ็ญต้องมีเวลาให้กับตน
บำเพ็ญจะต้องคิดก่อนจะพูด บำเพ็ญต้องหยุดใจไม่สับสน
บำเพ็ญจะต้องอยู่ร่วมมวลชน บำเพ็ญต้องมาค้นพบตนเอง
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า

ใช้อารมณ์ห่างปัญญาไม่พบจิต ตาชีวิตพร่าหมายให้ทุกข์เข็ญ
หยัดชีวิตยืนโดยความคิดเป็น รู้ธรรมหลักขาดบำเพ็ญเป็นมิจฉา
วันเวลาไหลล่วงเกิดเป็นอายุ ประสบการณ์เกิดด้วยศิษย์นั้นรู้จักฝ่า
ไม่มีใครเป็นคนที่ไร้ปัญหา ศิษย์เมตตาจากตนเองบังเกิดคุณ
แม้จะช้าดีกว่าไม่ยอมทำ เห็นศิษย์ช้ำอาจารย์ก็แสนลุ้น
ขอศิษย์รักตั้งใจเป็นคนบุญ จงลงทุนบำเพ็ญตนจนสบาย
แอบถอนใจยามเห็นศิษย์ข้าเหนื่อย เดินไปเรื่อยไร้จุดหมายก็จะสาย
ขอบำเพ็ญโดยใช้ใจทั้งใจ เริ่มจากง่ายสู่ยากค่อยพิจารณา
ฮา ฮา  หยุด

บำเพ็ญคลายจิตทุกข์ตรม  ความไม่รู้ตน  คลายวันน่าหน่ายที่ตนยังไม่ซึ้งธรรม  กลับมาฝึกคิด ฝึกชีวิตรักตนควรทำ ไม่ใช่เพื่อชนะ  หัดบำเพ็ญ ติดธรรมกับใจไว้
* ทุกข์ที่ทุกข์คลายก่อนโล่งก่อน  ทุกเรื่องเมื่อตรองดีดี คนที่มีสุขเป็นที่ใจสุข  ความจริงใจยังเหมือนมีเงา ตัดใจให้ปลง เป็นใจใครไม่นึกเจ็บ  ลึกลึกที่ช้ำใจเจ็บใจก็เป็นแค่ชั่วคราว  เรื่องราวสิ่งวุ่นวายหากคอยรู้ต้องเป็นกังวล
เป็นคนต้องทำแข็งใจ หากว่าเสียใจ บางทีต้องแอบถอนใจในเรื่องรู้ทัน  กะไม่อยากคิด ไม่ทันรู้ตนก็รู้ทัน  กะล่องในฝัน  โลกความจริงทุกวันไม่ไปไหน
( ซ้ำ  * )
คนรู้ยังทำตัวไม่เป็น บางเรื่องหายห่วง บางเรื่องเห็นกลุ้ม ขัดการบำเพ็ญ จึงน่ากลัวเกรง  จิตใจก็งดงาม ยึดรูปแบบเกินไปต้องชักเกร็ง  คิดได้สักนิด ทางใจไม่เข้าข่มเหง  ร่วมเดินด้วยบำเพ็ญต่างปรีดา
( ซ้ำ  * )

ชื่อเพลง : ติดธรรมกับใจไว้
ทำนองเพลง : รักไม่ช่วยอะไร

(พระอาจารย์เมตตาประทานบทเพลง และให้นำไปต่อกับบทเพลงและกลอนนำของพระนาจาที่เมตตาประทานให้ไว้เมื่อวานนี้ โดยท่อนที่ขีดเส้นใต้คือพระโอวาทของพระอาจารย์)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่นั่งอยู่ชั้นล่าง)
บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน  ใครเร็วกว่า ใครช้ากว่าก็ไม่เป็นไร  ช้าเท่ากับใจของตัวเองที่ช้า เร็วเท่ากับหัวใจของตัวเองที่เร็วจึงเหมาะสม  การบำเพ็ญไม่มีการเปรียบเทียบ การบำเพ็ญไม่มีการต่อว่า การบำเพ็ญเป็นเรื่องธรรมชาติ จริงหรือไม่ (จริง)
เราบำเพ็ญไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเนือยลงๆ ทุกทีหรือเปล่า เราบอกว่าเรามีอาการอย่างนี้เพราะอายุมากขึ้น ใช่หรือเปล่า  อายุเกี่ยวกับใจ การบำเพ็ญนั้นบำเพ็ญที่ไหน (ที่ใจ)  บำเพ็ญเขาให้ไปยกเหล็กหรือเปล่า ให้ไปทำงานหนักๆ หรือให้ไปเดินกลางแดดหรือเปล่า (ไม่)  ฉะนั้นความแก่เกี่ยวไหม (ไม่เกี่ยว)
อายุมากไม่ได้เกี่ยวกับการบำเพ็ญ แต่อาการของพวกศิษย์คืออาการป่วยชนิดหนึ่งของผู้บำเพ็ญ เป็นอาการของโรคติดต่อด้วย หากเห็นคนหนึ่งเบื่อถ้าเราฉุดเขาไม่ขึ้นเราก็เบื่อตาม แล้วเวลาเราเบื่อ คนอื่นที่มาฉุดเรา พอฉุดเราไม่ขึ้นเขาก็เบื่อตาม เบื่อตามกันไปเรื่อยๆ เบื่อกันไปหมดเลย ทำอย่างไรดีล่ะ
เวลาฟังธรรมะคือเวลารักษาโรค เพราะฉะนั้นการที่จะบำเพ็ญธรรมะก็ต้องฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนที่บรรยายธรรมอยู่เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือเลย พูดไม่ดีเลย นิสัยของหมอกับการรักษาโรคของหมอเหมือนกันหรือเปล่า  เราเป็นโรคอะไร เราเป็นโรคจิตเราเป็นโรคใจ โรคของจิตกับใจ ถ้าหมอไม่เก่งรักษาได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ผิดอีกแล้ว  เราเป็นโรคใจโรคจิต คนไม่เก่งก็รักษาได้ ขอให้คนที่ถูกรักษามีความเชื่อมั่น ขอให้คนป่วยนั้นตั้งใจฟัง
นิสัยของคนพูด นิสัยของหมอ กับการรักษาโรคของหมอไม่เหมือนกัน ตอนอยู่ข้างล่างพูดไม่ดี พอขึ้นไปบรรยายหน้าชั้นพูดดีหรือเปล่า (พูดดี)  เพราะฉะนั้นต่อให้คนที่นิสัยไม่ดีแต่พูดธรรมะได้เป็นฉากๆ เลย ทุกคนพูดธรรมะเป็นหมด เพราะฉะนั้นให้คนที่เป็นโรคจิตรักษาคนที่เป็นโรคจิตหายไหม เพราะแท้จริงคนรักษาคือตัวเราเอง คือจิตที่มีสติของเราเอง
อาการเบื่อหน่ายเป็นเรื่องปกติ กินข้าวทุกวันเบื่อไหม (เบื่อ)  เบื่อก็ไปกินก๋วยเตี๋ยว ถ้าให้กินข้าวราดแกงทุกวันก็เบื่อ ต้องไปกินข้าวราดผัดผักบ้างจริงหรือไม่ มนุษย์นั้นมีความเบื่อหน่ายเป็นนิสัย แต่ถามว่าเราอยากเป็นคนบำเพ็ญ เบื่อได้บ่อยๆ ไหม (ไม่ได้)  เราอยากเป็นคนบำเพ็ญ เบื่อบ่อยๆ ทรุดบ่อยๆ ก็เสียเวลาบำเพ็ญ ทำดีขึ้นไปแล้วก็ถอยๆๆ ลงมาอีก ถามว่าเสียเวลาบำเพ็ญไหม (เสีย)  ฉะนั้นอยากให้ใช้เวลาทุกๆ วันให้มีประโยชน์ ต้องบำเพ็ญทุกๆ วัน
อาจารย์พูดอย่างนี้แทงใจดำหรือเปล่า (ไม่)  ใจดำอยู่ลึกนะ แล้วเวลาคนอื่นพูดแทงใจดำหรือเปล่า ทำไมไม่เอาใจหลบไปล่ะ ทำอะไรก็ใช้ใจ เอาใจไปข้างหน้าเขาก็เลยแทงใจเราให้ หวังดีกับเขา เขาก็แทงใจเรา พูดดีกับเขา เขาก็แทงใจเรา เพราะเราล้ำหน้าเกินไป ต้องทำอย่างไรดี
บำเพ็ญธรรมหัดเก็บใจของเราไว้ ให้ใจของเรานั้นเข้มแข็งกว่านี้ อย่าได้มองออกมากเกินไป อย่าได้ฟังมากเกินไป  มีเวลาให้มาสถานธรรมฟังธรรมะ มีเวลาว่างแทนที่จะพูดเรื่องไร้สาระก็พูดธรรมะให้คนอื่นฟัง จะออกรสชาติมากแค่ไหนก็อยู่ที่เราพูดธรรมะได้ดีแค่ไหน เรานินทาคนเก่งทุกคนเลย เพราะฉะนั้นมาหัดใหม่ เปลี่ยนเป็นพูดธรรมะเก่งทุกคนเลย ดีหรือไม่ (ดี)
พูดเรื่องคนอื่นต้องคิด พูดเรื่องตนเองต้องพิจารณา ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างในชีวิตนี้คือต้นทุนอันดีในการที่จะใช้ต่อทุนในการบำเพ็ญ  ดวงตา หูเรา ชีวิตเรา หัวใจเราต่างมีสิ่งดีๆ อยู่ในนั้น อยู่ที่ศิษย์นั้นจะรู้จักใช้ให้มีประโยชน์หรือเปล่า
อย่าเป็นคนที่ขาดกำลังใจ จงเป็นคนที่มีกำลังใจ ไม่ว่าศิษย์จะอยู่ที่ไหน ขอให้ศิษย์เป็นคนที่มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ทำทุกอย่างสุดความสามารถ ทำทุกอย่างด้วยจิตใจอันเป็นธรรมะ  เวลาคนเขามาติ เวลาคนเขามาว่าก็ให้ถือว่าเขานั้นเป็นครูเรา
คนเราเกิดมาไม่มีใครไม่ถูกเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นศิษย์โดนเข้าใจผิดบ้างเป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)  คนเราเกิดมา ไม่มีใครไม่เคยถูกนินทา หากว่าศิษย์ถูกนินทาบ้างเป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)  เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน  ศิษย์เอ๋ย อย่าเปลืองอารมณ์ไปเสียใจกับเรื่องพวกนี้เลย

(พระอาจารย์เมตตาขึ้นมาส่งเสริมนักเรียนในชั้นเรียน)
เมื่อสักครู่อาจารย์จะเดินมาจากข้างหลังยังเดินไม่สะดวกเลย  ประตูที่ดีที่สุดก็ยังเป็นประตูหน้า จริงไหม (จริง)  เดินเข้าประตูหลังสะดวกไหม (ไม่สะดวก)  ทำอะไรลับๆ ล่อๆ สะดวกไหม (ไม่สะดวก)  จึงต้องเป็นคนที่เปิดเผยจริงใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตั้งใจ
แต่บางทีต้องดูว่าความตั้งใจของเรานั้นเหมาะสมกับผู้รับหรือไม่ บางทีสิ่งที่เราอยากทำแต่คนอื่นไม่อยากรับมีค่าไหม  แล้วในโลกนี้ก็เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ คนทำอยากทำ แต่ไม่รู้ว่าคนรับอยากรับหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในบ้านก็มีเกือบทุกวัน ในสังคมก็มีเกือบทุกๆ คน
เพราะฉะนั้นวันนี้นอกจากต้องเข้าใจตัวเองอย่างมากแล้ว สงสารตัวเองอย่างมาก เชื่อทุกอย่างที่ตัวเองคิดอย่างมาก เรายังต้องหันกลับไปเข้าใจผู้อื่นด้วย
คนรอบข้าง คนที่เราทะเลาะด้วยบ่อยๆ คือคนที่เราต้องทำความเข้าใจกับเขามากๆ เพราะว่าเขาก้าวมาทะเลาะกับเรา แสดงว่าเขามีความคิดที่แตกต่างกับเรา บุคคลนี้ควรเป็นคนที่เราต้องทำความเข้าใจด้วย มีใครบ้าง
(ภรรยา, ลูก, ญาติพี่น้อง, เพื่อนบ้าน, พ่อแม่)  สิ่งที่เราตอบคือลำดับความสำคัญของบุคคลที่อยู่รอบข้างเรา ทุกวันนี้เราให้ความสำคัญกับลูก ภรรยาสามีมาก หวงแหนและรักใคร่เขามากจึงมีเรื่องกับเขามาก จริงหรือเปล่า (จริง)
เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องมองตัวเองนิดหนึ่ง มีคนมาทะเลาะกับเราเยอะไหม เราทะเลาะกับเขาเพราะเราให้ความสำคัญกับเขามาก คนที่ทะเลาะกับเรามากแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับเรามาก ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้กลับไปโดนหาเรื่องแสดงว่าเราเป็นคนที่เขารัก เราเป็นคนที่เขาห่วง คิดอย่างนี้แล้วรู้สึกดีไหม (ดี)  เขาจะด่า จะว่า โวยวาย พูดไม่รู้เรื่อง แต่เขารักเรา ใช่ไหม (ใช่)  คิดอย่างนี้จะทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น
ความสุขที่ได้จากการดูทีวี ความสุขที่ได้จากการทำงานหาเงิน ความสุขตอนที่เงินอยู่ในมือ เทียบเท่ากับความสุขที่ได้จากคนรอบตัวหรือเปล่า เทียบไม่ได้เลย  ความสุขที่คนอื่นยิ้มให้เราสักทีหนึ่ง ชื่นใจยิ่งกว่าไปนั่งดูตอนจบของละครที่ชอบอีก ใช่หรือไม่
ถ้าเวลาที่ดูละครตอนจบ แล้วมีคนใกล้ตัวมาทะเลาะกับเรา เราดูทีวีไม่รู้เรื่องเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนทะเลาะกัน ได้ยินทุกคำ โดยเฉพาะคำที่เจ็บๆ นี่ ฟังชัดเลย แล้วเวลามาคิดก็คิดแต่คำเจ็บๆ นี่ แล้วมีความสุขหรือเปล่า (ไม่มี)  แต่ถามว่าถ้าไม่มีคนๆ นั้น ถ้าเขาจากเราไปไกลแสนไกล เรามีความสุขไหม (ไม่มี)
เพราะฉะนั้นตอนนี้ที่มีชีวิตอยู่ คือตอนนี้ที่อยู่กับเขาแล้วมีความสุขที่สุด ในขณะเดียวกันก็มีความทุกข์ที่สุด  ความสุขเขาเอามาให้ แต่ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความทุกข์อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ใจของเรา เพราะว่าเราเอาใจของเราไปรับมา  ยิ่งใจรักยิ่งเกิดอารมณ์ ยิ่งเกิดความโกรธ ยิ่งเกิดความไม่ชอบ  ดูประหนึ่งเหมือนว่าเกลียด แต่จริงๆ ไม่เคยเกลียดใคร จริงหรือไม่ (จริง)
เวลาอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เอ๋ยศิษย์เป็นคนดีไหม ศิษย์ไม่กล้าตอบ เหมือนว่าจะดี แต่ก็ยังไม่ใช่  เพราะฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะ อาจารย์ชี้ให้เห็นความทุกข์ที่อยู่ข้างในแล้ว  ถามว่าเราจะปลิดความทุกข์นี้ทิ้งได้อย่างไร อยู่เฉยๆ ทำเหมือนที่ผ่านมา ปล่อยชีวิตไปวันๆ เหมือนที่แล้วมา หรือทำงานหาเงินเหมือนที่แล้วๆ มา ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันจะหายไป  การทำใจให้ยอมรับก็ไม่ถูก เพราะว่าคนที่คิดว่าจะยอมรับก็คือคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น ตามที่เราคิดถูกต้องทุกอย่างไหม
วันนี้มาที่นี่จะได้ยินคำว่า “บำเพ็ญธรรม” บ่อยมาก การบำเพ็ญในความรู้สึกของศิษย์เหมือนการบวช แต่ถามว่าคนที่บำเพ็ญแล้วมีความทุกข์กับเราที่มีความทุกข์เท่ากันไหม  ทำไมเขาถึงมีความสุขมากกว่า เพราะเขาค้นพบตัวเองมากกว่า
ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายๆ คนที่บำเพ็ญ บวชแล้ว รู้แล้ว เรียนแล้วแต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่ เพราะคนบำเพ็ญยังหาตัวเองไม่เจอ หรือเป็นการค้นพบตัวเองแบบชั่วคราว คือค้นพบนิดหน่อยแล้วไม่พบอีกเนิ่นนาน ฉะนั้นจึงมีความทุกข์ไม่เลิกรา มีความทุกข์บ่อยครั้ง  ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้มีความทุกข์ จึงต้องมาค้นหาตัวเองค้นพบตัวเอง
อาจารย์ไม่ได้บอกว่า ไปหาเงินเพิ่มขึ้นแล้วจะสุข การได้เงินเพิ่มมากขึ้นอาจไม่ทำให้เราสุข การมีเฟอร์นิเจอร์หรูหราหรือสิ่งที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย หรือเงินที่เราหามาอาจไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น  แต่การอยู่เรียบง่าย ให้เวลาซึ่งกันและกัน กลับเป็นสิ่งที่สร้างความสุขมากขึ้น
ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย)  พรุ่งนี้มาอีกวันหนึ่งดีหรือเปล่า พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด ก็เลยตอบอ้อมๆ แอ้มๆ  งานให้อะไรแก่เราบ้าง (ให้ความสุข ความอดทน)  ต้องทนเชียวหรือ ทำงานได้อะไร (ได้เงิน)  เป็นความจริงที่สุดจากหัวใจ ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์มีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกับตอนทำงานไปหาเงินก็คงดี
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้น เมื่อนับหนึ่งถึงสามแล้วให้จึงนั่งลงพร้อมกัน)
แม้จะหนุ่มจะสาวแต่ถ้ารีบเร่งมากเกินไปก็จะผิดจังหวะ ทำทุกอย่างต้องมีจังหวะจะโคนถูกหรือไม่ (ถูก)  ถึงเวลาไม่ควรพูด พูดได้ไหม (ไม่ได้)  หน้าเขาบูดบึ้ง  พูดไปเขาฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง)  ถึงเวลาควรพูดจึงพูดได้ ถึงเวลาควรทำจึงทำได้
สังเกตว่าคนที่ช้าก็ยังเป็นคนที่ช้า คนที่เร็วก็ยังเป็นคนที่เร็วใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งเร็วไม่มีใครรู้ แต่นั่งช้านี่มองเห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นเร็วกับช้าอะไรดีกว่ากัน (เร็ว, ช้า)  แต่คนช้าอาจทำให้ยืนใหม่ทั้งห้องเลยนะดีหรือเปล่า (ไม่ดี)
สมมติว่าเรามาถึงท่ารถแล้วถ้าเรามาช้ารถกำลังจะออกแล้วเราค่อยๆ เดินได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเรายกน้ำอยู่เดินเร็วๆ ได้ไหม  (ไม่ได้) ทั้งเร็วและช้ามีจังหวะการไปของมัน บางเรื่องต้องเร็ว บางเรื่องต้องช้า  อยู่ในบ้านบางเรื่องต้องเร็ว บางเรื่องต้องช้า
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอารมณ์ทะเลาะกัน สิ่งที่ควรเร็วคืออะไร อย่างแรกที่ควรเร็วเลยคือสติ อย่างที่สองคือปรับสีหน้า  สีหน้าร้ายกาจยิ่งกว่าคำพูดอีก ต่อให้พูดว่ารู้แล้วยอมแล้ว แต่สีหน้าไม่ยอมไป
สีหน้าอย่างไรที่มองแล้วไม่สบายตา (หน้าบูดบึ้ง)  หน้าบูดหน้าบึ้งต้องปรับไหม (ต้องปรับ)  ต้องปรับสีหน้าทันทีเหมือนกับอะไร เราเคยบึ้งให้กระจกไหม (ไม่เคย)  ทุกๆ คนเวลาเจอกระจกปุ๊บจะทำให้สวยที่สุด หล่อที่สุด เพราะว่าไม่อยากจะเห็นตัวเองตอนบึ้งๆ จริงหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นสมมติว่าทะเลาะกันปุ๊บเราลองนึกถึงเขาว่าเป็นกระจกแล้วปรับสีหน้าทันทีทำได้ไหม (ทำไม่ได้)  ทำไม่ได้ก็ทะเลาะต่อไป
อย่างที่สามที่ควรเร็วคืออะไร (วาจา). คำพูดที่เหมาะสมที่สุดคือคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกได้ว่าเรากำลังฟังเขาอยู่ไม่ว่าคำพูดคำนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ยกตัวอย่างเช่น “ขอโทษ” พูดง่ายไหม พูดยากหรือเปล่าไหนลองพูดซิ (ขอโทษ)  ทำเสียงขอโทษให้นุ่มนวลที่สุด ทำให้เขารู้สึกได้ว่าเรานั้นขอโทษออกมาจากใจ เวลาเราขอโทษใจของเรามันปวดไหม (ไม่ปวด)
อาจารย์ถามว่าเวลาที่เราด่าคนอื่นเราปวดใจไหม (ปวด)  จริงๆ แล้วคนดีเวลาว่าคนอื่นจะรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ รู้สึกบีบๆ เพราะไม่เคยชินกับการว่าคนอื่น  แต่ถ้าเราว่าคนอื่นเป็นนิจ เราจะเป็นคนที่ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีอีกต่อไป เพราะเรา “ว่า” คล่องมากกว่าคำพูดใดๆ  ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงการพูดคำหยาบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนบำเพ็ญธรรมไม่พูดเลย  เวลาศิษย์พูด รู้สติไหมว่าตัวเองกำลังพูด
สมมติว่าเราพูดไปสามประโยค เรารู้สึกตัวว่าเราพูดอยู่ประโยคที่เท่าไหร่  อย่างน้อยคนที่มีความรู้สึกช้า พูดไปแล้วหนึ่งประโยครู้ตัวไหม รู้ตัว แต่หยุดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพูดไปสามประโยคยังไม่รู้ตัว ประโยคที่สี่อาจจะรู้ตัว งั้นเราหยุดประโยคที่สี่ดีไหม (ดี)  ถ้าหากว่าเราฝึกบ่อยๆ อาจจะรู้ตัวประโยคที่สาม ฝึกบ่อยๆ อาจจะรู้ตัวประโยคที่สอง เร็วขึ้นไหม (เร็ว)
ถามว่าคู่ปรับของเราเป็นคนเดิมหรือเปล่า (คนเดิม)  แล้วทำไมถึงยังไม่รู้ทางกันอีกว่าถ้าพูดมาประมาณนี้ต้องทะเลาะกันแน่นอน วันนี้คู่ปรับคนเดิมเราหยุดได้ประโยคที่สี่ เดี๋ยวเขาได้ใจนะ  เป็นอะไรไหม (ไม่เป็นไร)  เขาได้ใจไปแล้วเขามีความสุขมากขึ้น ถ้าอย่างนั้นเราให้เขามีความสุข เรามีความทุกข์มากหน่อยดีหรือไม่ (ดี)
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ประโยคที่สี่ วันหน้าประโยคที่สาม วันหน้าประโยคที่สอง วันหน้าประโยคที่หนึ่ง  อาจจะไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งเดือน ศิษย์อาจจะหยุดคำพูดได้ตั้งแต่ริมฝีปาก ถ้าหากว่าหยุดได้ ไม่ทะเลาะกัน ตัวเราเองมีความสุข คนรอบตัวเราก็มีความสุข
เขาเป็นคนที่เรารัก เราจึงมอบความสุขให้กับเขา  บ่นเขาน้อยหน่อย ให้เขามีความสุขมากขึ้นดีไหม (ดี)  ถ้าคนรอบตัวเรายิ้มแย้มตลอดทั้งวันเลย เขามีความสุข เราจะมีความสุขไหม (มี)  ถ้าเราทำให้คนรอบๆ ตัวเรามีความสุข ในที่สุดแล้วเราจะมีความสุขอย่างยั่งยืน  ทุกวันนี้ความสุขมันไม่ยั่งยืน ทุกวันนี้ความสุขกระท่อนกระแท่น มีบ้างไม่มีบ้าง เช้าดีกัน เย็นไม่รู้จะทะเลาะกันหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากนี้ยังต้องมีความเข้าใจในตัวผู้อื่น เราเข้าใจเขามากพอไหม เราเข้าใจเขามากเท่าไหร่เราจะหยุดปากของเราได้มากเท่านั้น เมื่อรู้จักหยุดปากแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ควรจะหยุดก็คือหยุดการกระทำ
การกระทำเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ตอนเราเริ่มต้นอาจทำด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีที่จะต้องทำให้คนอื่น แต่เมื่อทำไปๆ ก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น ถ้าหากว่าเรานั้นทำด้วยความคิดดีเราก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น
การกระทำอยู่ที่ไหน การกระทำอยู่ที่มือและเท้าโดยส่วนใหญ่ ทำอย่างไรจึงจะให้การกระทำของเราออกมาอย่างเต็มใจ  มีคำพูดบอกว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”  ทุกวันนี้เราทำไปตามความคิดของเรา การกระทำของเราส่อให้เห็นถึงใจของเรา  ถ้าหากว่าเราทำด้วยอารมณ์ ทำด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ เราจะทำออกมาได้ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้นก็ส่อให้เห็นว่าเมื่อกระทำออกมาไม่ดี นายของเราก็ไม่ดี
อะไรเป็นนาย (ใจ)  ใจเป็นนาย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ถ้าบอกว่าเราเป็นคนดีแต่เราทำไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  สิ่งที่เราทำออกมาถ้าทำออกมาอย่างดี ก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจของเราที่ดี เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนการกระทำทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนที่ใจของเรา
สองวันนี้มานั่งฟังเรื่องการบำเพ็ญจิตบำเพ็ญใจ  การบำเพ็ญก็แค่ลงมือแก้ไขการกระทำของตัวเอง  พูดในเวลาที่ควรพูด ในสถานที่และบุคคลที่เหมาะสม  การบำเพ็ญก็คือการปรับปรุงจิตใจของตนเอง
ถึงแม้คิดร้ายแต่ไม่ได้ทำออกมา ยังดีกว่าคิดร้ายแล้วทำออกมา เพราะอาจารย์หวังว่าสักวันหนึ่งแม้คิดร้ายจะปรับให้เป็นคิดดีได้ ใจเป็นเรื่องห้ามยากมากเพราะว่ารวดเร็ว ในหนึ่งนาทีสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ใจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมีใครสอนได้จริงๆ
ถามว่าอาจารย์พูดอย่างนี้แล้วสอนศิษย์ได้หรือไม่  ตอนนี้ศิษย์เข้าใจ หลังจากนี้อีกสองวันเหมือนไม่เคยได้ยิน  เพราะฉะนั้นจิตใจเป็นเรื่องที่สอนไม่ได้ด้วยคำพูด ไม่สามารถที่จะบอกให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนได้
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ สามารถบอกให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนตัวเองได้ สามารถให้ศิษย์ยอมรับทุกข์ที่แสนสาหัสได้ สามารถให้ศิษย์นั้นเกิดสุขมากที่สุดได้
สิ่งนั้นไม่ใช่วัตถุ สิ่งนั้นสามารถสอนศิษย์ได้ว่าศิษย์ควรจะทำอะไรเวลาไหน อยู่กับศิษย์ตลอดเวลา สิ่งนั้นก็ยังเป็นจิตใจของศิษย์เอง
อาจารย์ไม่สามารถบอกศิษย์ได้ คนที่บรรยายคนที่พูดอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์เห็นไม่สามารถสอนศิษย์ได้ มีแต่จะให้สติเท่านั้น  คนที่บอกศิษย์ได้ยังเป็นจิตใจของศิษย์เอง สิ่งนั้นยังเป็นจิตใจอันล้ำค่าของศิษย์เอง
ทุกวันนี้ศิษย์เคยรู้สึกเบื่อชีวิตตัวเองไหม เคยรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไหม (เคย)  ศิษย์คิดว่าอะไรมีค่าที่สุดในชีวิตของศิษย์ สิ่งหนึ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตตัวเองก็ยังเป็นจิตใจของตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)
จิตใจที่วัตถุไม่สามารถที่จะพยุงขึ้นได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ใจของศิษย์ยังเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด  ฉะนั้นเวลามีความรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้ กลัดกลุ้ม คิดไม่ตก คิดมาก ถามว่าศิษย์กำลังทำร้ายอะไร ทำร้ายสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกวันนี้จิตใจอยู่ในสภาพขุ่นและหนักอึ้งเหมือนแบกอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ข้างเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์หรือเปล่า หนี้ที่เรามีอยู่ ความไม่ชอบใจคนๆ นั้นที่เรามีอยู่ เราเอาเข้ามาไว้อยู่ข้างในได้อย่างไร  คนที่เรารักแต่เขาไม่รักเรา เราเอาเขามาอยู่ในใจได้อย่างไร เราเอาสิ่งมากมายทั้งโลกนี้เข้ามาอยู่ในใจของเราได้อย่างไร เอาความทุกข์ที่โลกนี้ทั้งหมดมีเอามาอยู่ในใจของเราได้อย่างไร
เราเอามาไว้ในใจของเรา แล้วปล่อยให้ใจของเราแบกไป ยิ่งแบกหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งเบื่อมากเท่านั้น ยิ่งแบกหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งกลุ้มมากเท่านั้นจริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอาโลกทั้งโลกมาใส่ในใจของตนเอง ใส่อย่างไรล่ะ (ความคิด)  แล้วเราเคยไหมที่เราจะหยุดคิด (ไม่เคย)  ตอนจะนอนก็คิด คิดวันไหนก็นอนไม่หลับวันนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)
จริงๆ แล้วเรามีช่องหนึ่งช่องเป็นทางออกของตัวเองเสมอ อาจารย์อยากให้ศิษย์มุดออกมาจากช่องๆ นี้ หาความสงบให้กับจิตใจของตัวเองด้วยการสอนตัวเอง ด้วยการบอกตัวเอง ด้วยการบำเพ็ญตัวเอง
ฉะนั้นการบำเพ็ญจึงไม่ใช่เรื่องของคนที่ต้องการจะหลุดพ้นเท่านั้น แต่วันนี้ผลที่ได้รับก็คือทำให้ตัวเองมีที่ว่างมากขึ้น เหมือนสร้างสวนให้ตัวเองเดินเล่นได้บ้าง ผ่อนคลายจิตใจได้บ้าง  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องของคนทุกข์อยู่ทุกๆ คน  ศิษย์มีทุกข์หรือเปล่า (มี)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องบำเพ็ญจิต
มีคำพูดกล่าวว่า “รู้เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำ ทำเป็นจุดสิ้นสุดของสิ่งที่รู้” แปลว่าเราต้องทำในสิ่งที่เรารู้ เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารู้แล้วก็ถือว่าเป็นการจบลงในสิ่งที่เรารู้ได้
ถามว่าทุกวันนี้ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนที่รู้ไหม (รู้)  รู้เยอะแยะไปหมด ถามอะไรก็รู้  รู้ไหมว่าควรทำอย่างไรกับจิตใจของศิษย์เอง (รู้)  แต่ศิษย์ยังไม่ได้ทำ แม้จะรู้มากมายเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นขยะกองโตเพราะไม่เอามาทำ ความรู้ตั้งมากมายที่กองเก็บอยู่จึงไม่มีประโยชน์ จะทำให้มีประโยชน์ก็คือการลงมือทำเท่านั้นเอง
ถามว่าสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ศิษย์รู้อยู่แล้วหรือยัง (รู้แล้ว)  แต่เคยทำไหม ยังไม่เคยทำเลย  รู้ว่าทะเลาะทุกวันก็ทุกข์แต่ยังไม่เคยหยุดทะเลาะเลย รู้ว่าชีวิตมีทุกข์แต่ยังไม่เคยที่จะปลดทุกข์ให้ตัวเองเลย  ถามว่าอยากเป็นคนเลิกทุกข์ไหม (อยาก)  อยากเป็นคนเลิกทุกข์ก็ต้องปลดทุกข์ให้ตัวเอง  อยากปลดไหม (อยาก)  อยากเลิกทุกข์ไหม (อยาก)
การที่ศิษย์ทุกคนเริ่มต้นการบำเพ็ญนั้น การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่อาจารย์พูด  เพียงแต่การบำเพ็ญนั้นขอให้ศิษย์เริ่มต้นทำตัวให้น่ารัก ให้น่าคบ ให้ศิษย์ทำตัวให้เป็นคนที่คนรอบข้างรักได้ ให้เป็นปุถุชนที่ดี อาจารย์ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ส่วนการบำเพ็ญยากตรงไหนหรือ เดินไปก็จะพบเองว่ามันยาก ไม่เดินมันก็ไม่ยาก เหมือนเป็นทฤษฎีที่ศิษย์นั่งอ่านอยู่ในหนังสือ ต่อให้บอกว่าใครลำบากแค่ไหน หรือความลำบากของการบำเพ็ญอยู่ไหน แต่หากศิษย์ไม่ทำย่อมไม่รู้ จริงหรือเปล่า
ฉะนั้นไม่ต้องพูดกับศิษย์เริ่มต้นด้วยความยาก อาจารย์พูดกับศิษย์เริ่มต้นด้วยความง่าย บอกง่ายๆ อย่างนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีเหลืออยู่กี่คนเลย เพราะว่าการบำเพ็ญเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตนเอง  อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าศิษย์นั้นมีกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองมากน้อยเท่าไร เปลี่ยนตนเองทำยากไหม (ยาก)
ทุกๆ วันนี้หลายๆ คนเป็นคนดีอยู่ มีความดีอยู่ในจิตใจมากกว่าครึ่ง เป็นคนดีมาก กิเลสก็ไม่ค่อยมีเท่าไร เบาบาง  แต่ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ได้ติดอยู่ที่กิเลส เพราะว่ากิเลสมองเห็นชัดมาก  บอกว่าละก็ละ บอกว่าเลิกก็เลิก
แต่ที่ศิษย์ติดนั้นคือความเคยชิน เคยชินที่จะเป็นอยู่อย่างนี้ เคยชินที่จะทำแบบนี้ เคยชินที่จะคิดอย่างนี้ โดยที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นยังไม่ยอมเปลี่ยน  เมื่อไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นกิเลสหรือความเคยชินที่สั่งสม มันก็ให้ร้ายศิษย์ได้
ถามว่าการเปลี่ยนแปลงตนเองนั้น เพื่อผลประโยชน์ของใคร เพื่อตัวเราเอง  คนเมื่อเรียนรู้มากๆ จะกลายเป็นคนฉลาด ประสบการณ์จะทำให้คนนั้นฉลาดล้ำลึกมากยิ่งขึ้น แต่ความฉลาดนั้นยังไม่ใช่ปัญญา
การเรียนรู้และย่อยให้ละเอียด การผ่านประสบการณ์ทำให้เรารู้มากขึ้น เมื่อเรารู้มากขึ้นแล้ว เราย่อยสลายสู่จิตใจของเรา และนำออกกลับมาใช้ อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็น “ปัญญา” ได้  ฉะนั้นอาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะรู้และใช้ให้เกิดประสบการณ์ ปัญญาก็จะตามมาทีหลัง ทำได้ไหม
วันนี้ได้อะไรมากมายจากการที่อยู่ร่วมกันหรือไม่ (ได้)  การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นเรื่องยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  ศิษย์ทุกคนมีปัญญาอันมหาศาลเพียงแต่ไม่รู้จักใช้ ปัญญาของศิษย์ประดุจมหาสมุทรอันใหญ่ยิ่ง แต่หากไม่รู้ว่าเราควรที่จะใช้อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
คนเราจะคิดเพื่อตัวเองก็ได้ จะคิดเพื่อคนอื่นก็ได้ ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้จักใช้ความคิดเพื่อคนอื่น  ในขณะที่เรามีความทุกข์มากมายถามว่าเป็นเวลาที่เราลืมคนอื่นไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าในขณะที่เรามีความทุกข์มากมายพุทธะยังรู้จักที่จะคิดเพื่อคนอื่นด้วย
ศิษย์ของอาจารย์วันนี้อย่าได้มาเป็นผู้ที่นั่งฟังเฉยๆ แต่จงมาอย่างผู้ที่มีใจมาด้วย คิดเพื่อที่อนาคตนั้นศิษย์จะได้เป็นคนที่ดีมากยิ่งขึ้น  อย่าได้จมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองเพียงนิดๆ หน่อยๆ
บางทีเรามีความทุกข์มากๆ ลองเหลียวมองไปข้างๆ เราจะเห็นคนที่มีความทุกข์มากกว่าเรา แล้วเราเป็นคนที่โชคดีที่สุดจริงหรือไม่  เราไม่โชคดีตอนที่เรานั้นไม่รู้จักพอใจในตัวเอง เราไม่โชคดีก็เพราะว่าเรานั้นเป็นคนไม่รู้จักตัวเอง  เพราะฉะนั้นการที่เราจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่โชคดีนั้น ไม่ใช่การไหว้พระขอพรแต่เป็นการขอตัวเอง
วันนี้อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นมองเข้าหาตัวเอง ย้อนมองตนเอง  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของศิษย์ แม้อาจารย์จะห่วงศิษย์มากเท่าไหร่ แต่ศิษย์ต้องเป็นคนที่ห่วงตนเองมากยิ่งกว่าที่อาจารย์ห่วง เมื่อค่อยๆ ทำย่อมค่อยๆ ได้  อย่าต่อว่าตัวเอง อย่าโกรธ อย่าโทษตัวเอง ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบมาตลอด
อาจารย์ห่วงและรักศิษย์ทุกคน ห่วงในชีวิตจิตใจ กลัวศิษย์ใช้ชีวิตไม่เป็น, กลัวศิษย์ไม่รู้ถึงคุณค่าของธรรมะที่ตัวเองนั้นได้รับไป, กลัวศิษย์ไม่บำเพ็ญ, กลัวศิษย์ทุกข์, กลัวศิษย์หน่าย, กลัวคนบำเพ็ญนานๆ แล้วหมดใจหมดไฟ, กลัวศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องตกไปบนทางเวียนว่ายไม่รู้จักจบสิ้น  อาจารย์ห่วงศิษย์ขนาดนี้ ศิษย์ห่วงตัวเองบ้างไหม
ความทุกข์เป็นแค่จุดเล็กๆ เป็นเพียงความด่างพร้อยเล็กๆ ในชีวิต แต่ความทุกข์ก็ให้อะไรมากมายยิ่งกว่าความสุข  ศิษย์ของอาจารย์จะกลัวและวิ่งหนีทุกข์ไปทำไม ชาตินี้เกิดมาบอกว่าทุกข์ แล้วชาติหน้าล่ะ วันต่อๆ ไปล่ะ
วันหนึ่งหากศิษย์ไม่ได้มีสติรู้ถ้วนถี่เท่านี้แล้วถ้าชาติหน้าเกิดมาลำบากมากกว่านี้ศิษย์ไม่ยิ่งแย่หรือ
เพราะฉะนั้นชาตินี้ที่ป่วย ชาตินี้ที่ไม่สบาย ชาตินี้ที่มีความทุกข์ขมหม่นไหม้ เราก็มาทำชาตินี้ให้มันดีเพราะชาตินี้เป็นต้นทุนของการบำเพ็ญธรรม ชาตินี้คืออนาคตที่ศิษย์กำหนดได้
ศิษย์ลองคิดถึงความทุกข์ของคนทั้งโลก แล้วศิษย์จะรู้ว่าศิษย์เป็นเพียงแค่หนึ่งความทุกข์ในโลกนี้ซึ่งมันรอวันหาย รอวันหมด
ศิษย์จะมีทุกข์ทุกวันเลยหรือ จะมีทุกข์ตลอดเวลาเลยใช่ไหม  ห่วงตัวเองก็เชื่ออาจารย์ บางทีไม่ชอบใจในสิ่งที่วันนี้เป็นอยู่จะตั้งต้นใหม่ก็ยังไม่ช้า แต่พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ไม่ต้องไปตั้งต้นใหม่ เริ่มจากตรงนี้ที่ติดลบ เริ่มจากตรงนี้ที่เรามีชีวิตที่เรายังไม่ค่อยพอใจ เริ่มจากวันนี้
อาจารย์บอกได้เลยว่าวันนี้ของศิษย์ทุกๆ คนนั้นดีที่สุดอยู่แล้ว ดีที่สุดจริงๆ  มีร่างกาย มีความคิด มีหัวใจ ทุกคนมีหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาตัวให้ดีๆ นะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2548

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2548

2548-10-29 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ ประจวบคีรีขันธ์


PDF  2548-10-29-เซิ่งเต๋อ #12.pdf

西元二○○五年歲次乙酉 九月二十七日          大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘        สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
                                           สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  เปิดประตูขุมคลังแห่งปัญญา          เผยจิตใจแห่งเมธาหน้าสดใส
การบำเพ็ญเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนใหม่ พึงเข้าใจชีวิตค้นสัจธรรม
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
  ชนะคนนับว่ามีกำลัง                     ชนะตนนับว่าหยั่งความสามารถ
มนุษย์ต่างอยากมีชื่อมีอำนาจ             ต่างยังขาดคุณธรรมนำชีวี
อันคุณธรรมมีธรรมชาติเป็นลักษณะ      การที่จะฝึกฝนต้องแจ้งถ้วนถี่
รู้จักตนไม่สับสนในชีวี                     ปัญญามีสละเนื่องคอยหนุนนำ
คุณธรรมแปดอยู่ที่คนใคร่ใส่ใจ            ต่างทำได้ต้องเลิกอยากเอาชนะ
เกิดเป็นคนอย่าถนัดแต่ปะทะ             รู้สัจจะเอาชนะแต่ตนเอง
สติจับปัญญาตัดซึ่งกิเลส                  รู้ขอบเขตการกระทำศีลธรรมส่ง
เกิดเป็นคนสุขไม่ได้ถ้าไม่ปลง             เบารักโลภโกรธหลงเกษมทวี
ในเมื่อรู้จักความทุกข์ลุกจากฝัน           เรื่องสำคัญคือทำจิตเป็นปกติ
ย่อมเป็นคุณพองามในคำตำหนิ            มีสติรับคำชมอย่างรู้ตน
ในวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูใจ               มาใส่ใจชีวิตนี้อย่างกระจ่าง
สายทองส่งทางลัดให้แนวทาง             ทำใจสว่างพลังมาจากภายใน
ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากว่าที่เคย                  อย่ามัวแต่เป็นจำเลยทาสวัตถุ
ทำความหมายแห่งชีวิตให้บรรลุ           ขอใจจุกุศลมูลบำเพ็ญจริง
ทำความดีมีค่าขึ้นกว่าเดิม                 เร่งส่งเสริมซึ่งกันสม่ำเสมอ
พูดคำดีจิตใจแจ่มแจ้งประเดิม             ขอให้เริ่มวันนี้ไม่สายเกิน
สามัคคีในงานธรรมนำพาสุข              จงเร่งปลุกผู้ยังหลับให้ตื่นได้
รักษาตนรักษาธรรมรักษาใจ              ต่างเข้าใจเห็นใจกันทางโล่งคืน
สองวันนี้เป็นตามเหตุบุญปัจจัย            ขอตั้งใจด้วยเปิดใจให้กระจ่าง
รักษาซึ่งพุทธระเบียบเป็นแนวทาง        ทำใจว่างวางทางโลกมาฟังธรรม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป            จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                      ฮวา ฮวา หยุด

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘      สถานธรรมเซิ่งเต๋อ ประจวบคีรีขันธ์
  พระโอวาทพระนาจา
  คนแกล้งยิ้มตาเยาะช่างมากมี         คนแกล้งดีความหมายร้ายยากเกินหยั่ง
คนแกล้งตื่นแกล้งรู้มากเหลือกำลัง      คนแกล้งฟังไม่รู้ความล้วนต้องทน
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์น้องทุกคนหิวข้าวหรือยัง

  การดำรงตนให้อยู่ในครรลอง          ถือถูกต้องและเท่าทันฉะนี้
ฤทัยมีสมดุลเหมาะเพื่อทำดี             ทำหน้าที่ที่มีอย่างตั้งใจ
ทุกที่ในสังคมล้วนมีวิชา                  บัณฑิตยอมอุตส่าห์ให้เรียนเข้าไว้
เรียนชีวิตทางธรรมทางโลกใช้          ตระการอยู่ในธรรมย่ำติดดิน
ผิดสัมมาด้วยกิเลสย่อมจนใจ            ขอไม่หลงตามใจให้ถวิล
คนโลกีย์ทาสมายาขวัญโบยบิน          ตอบรับความเคยชินชีวิตพัง
รับผิดชอบซื่อตรงคือหน้าที่              คนที่มีเพียรพยายามบรรลุหวัง
เวลาแบ่งรู้ขยันเรียนความต่าง          ทำใจได้ความสว่างจะอำนวย
ธารน้ำใจมีปันกันใช้ปัญญา               อยากที่เต็มเมตตาผู้อื่นช่วย
ท่าเคารพผู้ใหญ่น้อยใจอำนวย           เกิดสันติฤดีด้วยใช้ธรรมสัมพันธ์
ปัญหาคนใช่เรื่องยากเกินแก้ไข          หาเหตุในตนก่อนทุกสถาน
เพราะรักสบายคิดไม่ดีสารพัน           อภัยกันไกลร้ายอดทนก็ยอม
ชีวิตคนผู้ทุกข์ทำอะไรอยู่                จะมากความสู้ชีวิตปัญหาล้อม
จะหน่ายเสียย่อมไม่อาจประนอม        จงเข้มแข็งแลอ่อนน้อมปฏิภาณ
บำเพ็ญเฝ้าเขลาคร้านเรื่องนี้ใหญ่           บำเพ็ญไม่แก้ไขเดินแค่ทางผ่าน
ควรไม่ทำทำลายเหตุบุญสัมพันธ์         เมื่ออะไรไร้พัฒนาหาความจริง
                                                                  ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทพระนาจา

มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า คนที่ฝึกตัวเองได้ดี เป็นแสงสว่างให้กับผู้อื่น แต่คนที่ประพฤติไม่ดีเป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะแยก จะดูอย่างไรล่ะ ในเมื่อเขาปิดความชั่วซะมิดเชียว ใช่ไหม แล้วในสังคมยิ่งไม่ชอบคนทำผิดแล้วกล้ารับผิดด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อสักครู่ท่านพูดเองนะ เวลามีคนกล้ารับผิดท่านให้เขาอยู่กับท่านไหม สมมติว่าเขาขี้ขโมย ครับผมขโมย เอาไหม ไม่เอาเหรอ แต่ข้างนอกก็เต็มไปด้วยคนขี้ขโมยใช่ไหม สิ่งไม่ควรดู ชอบดู ขโมยไหม ขโมย สิ่งที่ไม่ควรฟัง อยากฟัง ใช่หรือไม่ แล้วท่านเป็นขโมยไหม เป็นไหม (เป็น)  เป็นทุกๆ วัน อย่าบอกว่าไม่เป็นเลย เรื่องที่ไม่อยากดู ไหนล่ะอยากดูๆๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเขาปิดมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งพยายามเปิดออกมาให้จงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ไม่ควรดูเราก็ชอบสรรหาไปแอบดูไปถ้ำมอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามาพูดเลยนะว่าเราไม่ใช่ขโมย ถูกหรือไม่ วันนี้ที่เรามาศึกษาหลักธรรม ศึกษาเพื่ออะไร การศึกษาหลักธรรมก็คือเพื่อให้เราอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่ผิด และไม่คิดทำผิดตลอดชีวิต คนที่ทั้งชีวิตกล้ารับประกันตัวเองว่า ชีวิตนี้ฉันจะไม่ทำผิด ฉันจะไม่ทำร้าย อยู่ด้วยก็เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครในโลกกล้าบอกบ้าง ชีวิตนี้ผมจะไม่ทำผิดอีกต่อไปแล้ว กล้าไหม (ไม่กล้า)  แต่อย่างน้อยถ้าเกิดคนๆ หนึ่งแม้จะไม่กล้าพูดแบบนี้ แต่เขากล้าว่าชีวิตนี้ผมจะพยายามทำตัวเป็นคนดี เอาธรรมะมากล่อมเกลาใจ เราอยู่กับคนนี้แล้วสบายใจกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนมีธรรมกับคนไม่มีธรรมเลย คนไหนน่าอยู่ใกล้มากกว่ากัน (คนมีธรรม)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมมีข้อเสียตรงไหนล่ะ แล้วทำไมถึงไม่เอาล่ะ น่าแปลกนะ ใช่ไหม
ยังไม่เชื่อไม่เป็นไรนะ แต่ลองพิจารณาสิ่งที่เราพูดกับท่านวันนี้ดีไหม (ดี)  ส่วนอะไรจริงอะไรเท็จ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน คนส่วนมากมักจะบอกว่านี่หลอกแน่ นี่ของปลอม ใช่ไหม เด็กคนนี้ของปลอมแน่ หลอกลวงแน่ เราถามท่านกลับนะแล้วตัวท่านมีอะไรที่จริงแท้ ใช่ เราปลอม แต่เรารู้ว่าอะไรจริง แต่ตัวท่านล่ะ อะไรคือจริงสำหรับท่าน สิ่งไหนคือจริงสำหรับท่าน และอะไรคือความปลอมที่แท้จริง ตอบเราหน่อยซิ มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าร่างกายคือของปลอม แต่อดไม่ได้มาคิดว่ามันจริงนะ จับได้ต้องได้ มันต้องจริงสิ ไอ้ที่จับไม่ได้ ต้องไม่ได้ต้องปลอม ใช่หรือไม่ (ใช่)  วัดไม่ได้ พิสูจน์ไม่เห็นต้องของปลอม แต่เราถามท่านนะ อากาศไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ก็มีอากาศ แต่มนุษย์ คนๆ เดิมที่ว่าจริง อยู่ได้ทุกภพทุกชาติไหม (ไม่)  แล้วมันจริง จริงๆ หรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวมาคุยกันดีกว่าไหม
คนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็หลอกตัวเองนะ นั่งฟัง ดีไหม ดี แต่ถามว่า อะไรดี ไม่รู้สิ  รู้เรื่องไหม ไม่รู้เรื่อง หลอกตัวเองชัดๆ เลย  ไม่รู้จะหลอกตัวเองไปทำไม นั่งฟังแต่ไม่ได้อะไรเลย ใช่ไหม (ใช่) ท่านไม่ชอบใครมายืนหลอกท่าน แต่ตอนนี้ท่านกำลังหลอกตัวเอง ใช่ไหม เสียเวลาไป หนึ่งวันกับอีกครึ่งวันแล้ว ได้อะไรมา ฉะนั้นฟังแล้วให้ได้ความด้วย ฟังแล้วจับให้ได้ด้วย ไม่ใช่ฟังแล้วไม่คิด หรือมัวแต่คิดแล้วไม่ฟัง อย่างนี้ก็เสียประโยชน์เปล่าๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)

“คนแกล้งยิ้มตาเยาะช่างมากมี   คนแกล้งดีความหมายร้ายยากเกินหยั่ง”
เจอคนแบบนี้ หน้าเหมือนยิ้ม แต่ใจหัวเราะเยาะ เจอไหม (เจอ)  ยิ้มหวานเลย แต่ใจเขาแอบเยาะหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ ถูกไหม (ถูก)  ดีกับเราเหลือร้าย แต่จริงๆ ก็เหลือร้ายให้เราเจ็บทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยไหมยิ่งเขาดีมากเท่าไหร่ เรายิ่งแย่ เคยเจอไหม ยิ่งเขาขยันมากเท่าไหร่ เรายิ่งขี้เกียจ เป็นไหม (เป็น)  ลองไปอยู่กับคนที่ขยันมากๆ สิ พอไปๆ มาๆ คู่นี้อีกคนขยันๆ แต่อีกคนทำไมขี้เกียจ ฉะนั้นความดีของคนบางคนถ้าทำมากๆ แต่ไม่ระวังก็อาจจะทำให้คนข้างๆ กลายเป็นคนไม่ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ใครทานเฉาก๊วยไปแล้วบ้างยกมือขึ้น ใครทานกล้วยบวดชีไปแล้วยกมือขึ้น ใครทานสองอย่างแสดงว่าอยู่ได้จนถึงเที่ยง หรือเที่ยงกว่าก็อดทนไหว ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนคนที่ไม่ได้ทานอะไรเลยเดี๋ยวถ้าเราถาม เราจะให้ผลไม้เอาไว้กินลองท้อง เอาไหม (เอา)  เพราะวันนี้เรามาอยู่กับท่านอาจจะเลยเที่ยงไปหน่อยได้ไหม (ได้) แล้วอาจจะทำให้ท้องท่านหิวหน่อยได้ไหม (ได้)  ได้แล้วนะ เลยเที่ยงไปสี่โมงก็เลยเที่ยง หกโมงก็เลยเที่ยงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสี่โมง ห้าโมงก็ไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  ตอบง่ายๆ มักจะต้องรับผลกระทำต่อตัวเองทุกที ฉะนั้นพูดอะไรไม่ระมัดระวัง คำพูดก็เป็นโซ่พันธนาการให้ตัวเองตายได้เหมือนกันนะ ใช่ไหม (ใช่) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนยืนขึ้น นั่งลง ตามที่สั่ง)  มนุษย์ถ้าไม่กำหนดโทษก็ไม่ระมัดระวังตัวเอง พอมีโทษบัญญัติเมื่อไรมนุษย์จึงระมัดระวังตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าไม่มีการกำหนดโทษ ทำก็ดี ไม่ทำก็ไม่ผิดอะไร คนก็ไม่ระมัดระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนนั่งลง เมื่อบอกให้ยืนขึ้น และยืนขึ้น เมื่อบอกให้นั่งลง)
รู้สึกขัดกับความรู้สึกไหม (ขัด)  ทำยากไหม (ยาก)  แต่บางทีขัดบ้างก็ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าความเคยชินถ้าสั่งสมมากๆ มันก็จะกลายเป็นนิสัย และนิสัยก็เป็นธรรมดาที่ทำให้เรายึดติด พอยึดติดก็จะเริ่มขี้เกียจที่จะเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ชีวิตสอนให้เรารู้ว่าชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ในความเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ นี้เราจะต้องมีจุดยืน ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นคนที่โลเล หาอะไรที่เป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เหมือนง่ายๆ มนุษย์ทุกคนมีความฝันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นลองคิดสิว่า ท่านมีฝันอะไรบ้าง ท่านมีความมุ่งมั่นอะไรบ้าง บางคนเรียกให้สูงหน่อยว่าอุดมการณ์ บางคนเรียกให้สูงขึ้นไปอีกก็คือ ปณิธาน ตัวท่าน มีความฝันหรืออุดมการณ์ หรือมีความมุ่งมั่นอะไรในชีวิตไหม (อยากสำเร็จนิพพาน)  ความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่จริงๆ เป็นคนดีก่อนแล้วค่อยก้าวขึ้นไป (อยากจะเป็นคนดี)  แล้วตอนนี้ไม่ดีเลยใช่ไหม หรือว่าสามวันดีสี่วันไข้ แปลว่าถ้ามุ่งมั่นจะเป็นคนดี แปลว่าตอนนี้ยังดีไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่รู้ตัวเองว่ายังดีไม่พอ ถือว่ามีดีแล้ว แต่ว่าคนที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว แปลว่ายังดีไม่พอ (อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจ, อยากให้มีธรรมะคู่กับชีวิต, หลังจากเกษียณแล้วจะมุ่งปฏิบัติธรรมให้เต็มที่)  อย่างนั้นขอให้ตั้งใจฟังนะว่าวันนี้เราจะบอกเรื่องอะไรบ้าง
(สะอาดทั้งกายวาจาใจ) สะอาดไม่เท่ากับคนที่บริสุทธิ์ (มีงานทำที่ดีจะได้มีเงินมาเลี้ยงแม่) การงานสูงๆ เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงแม่ บางทีพ่อแม่ไม่ได้ต้องการให้ลูกมีอะไรสูงๆ แต่บางทีอยากให้ลูกแบ่งเวลามาหาพ่อแม่บ้าง ว่างๆ ก็โทรหาท่านบ้าง แท้จริงพ่อแม่อยากได้เงินหรือเปล่า ไม่ใช่  อยากได้เวลาจากลูกมากกว่า (อยากให้พ่อแม่ปลอดภัยจากสิ่งอันตรายหรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้นทั้งหลายทั้งปวง เพราะว่าไม่ได้อยู่กับพ่อแม่, มุ่งมั่นกลับไปบ้านจะให้ที่บ้านกินเจ) ความมุ่งมั่นต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ถ้าตัวเองทำได้ดีทำได้ถูกต้อง คนอื่นจะเดินตามโดยที่ไม่ต้องใช้วาจาพูดเลย เอาตัวเองพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น กินเจแข็งแรง เป็นคนดี หน้าตาผ่องใส หน้าตาอ่อนวัย รับรองเขาต้องกินตามไม่ต้องพูด ส่วนพ่อแม่นั้น เราอยากบอกท่านว่าถ้าท่านทำตัวได้ดี ไม่ทำให้ชื่อเสียงเหม็น อยู่ที่ไหนท่านก็สบายใจ แต่ท่านต้องการให้เราเมื่อมีเวลาว่างกลับมาหาท่านบ้าง ว่างๆ โทรศัพท์หาท่านบ่อยๆ แม่ก็เป็นห่วงอันตราย ทำไมกับเพื่อนโทรได้ทุกวัน แต่ทำไมกับพ่อแม่ปีหนึ่งโทรแค่สองครั้ง วันแม่หนึ่งครั้ง วันปีใหม่อีกหนึ่งครั้ง แม่ไม่ต้องการ แม่ต้องการให้โทรมาบ่อยๆ มากกว่าเงินลูกอีก
(อยากให้ครอบครัวมีความสุข)  ก็ต้องเริ่มจากตัวเองมีความสุข เมื่อไรที่เราอยากให้คนรอบข้างมีความสุข เริ่มต้นก็คือท่านมีความสุขหรือยัง ถ้าท่านมีความสุข ความสุขของท่านถ้ามีจนล้นก็จะไปกระเด็นกระดอนถูกคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ง่ายๆ เดินไปยิ้มไป ใครๆ เห็นคนนี้แปลก ยิ้มตลอดทางเลย แต่ถ้ากลับบ้านมาหน้าบึ้ง กลับไปบ้านสุขก็ทุกข์ได้เพราะความทุกข์บนใบหน้า แต่ถ้ากลับไปแม่สวัสดี พ่อสวัสดี แม่ต้องคิดว่าลูกไปดีใจมาจากไหนแน่ แต่แค่นี้ก็ทำให้ท่านมีความสุข ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ไกลตัว เริ่มที่ตัวเรา (อยากให้พ่อแม่มารับธรรมะ)  ต้องอาศัยตัวเองพิสูจน์  เราอยากบอกท่านว่าเรื่องบางอย่างท่านก็ต้องทำใจ คนเรามีกรรมเป็นของตัวเอง ขอเพียงท่านมีจิตใจเข้มแข็งดูแลลูกให้เต็มที่ ทำแต่สิ่งที่ดีปาฏิหาริย์อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวท่านเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ดี (อยากกินเจตลอดชีวิต, มุ่งมั่นช่วยเหลือสังคมถ้ามีโอกาส) โดยเฉพาะถ้าเกษียณแล้ว  (อยากให้แข็งแรง) ที่ไม่แข็งแรงเพราะเราทำร้ายตัวเองหรือเปล่า เลือกกินหรือเปล่า กินในสิ่งที่ไม่ควรกินหรือไม่ ทำในสิ่งที่ฝืนตัวเองหรือเปล่า ใช่ไหม แข็งแรงไม่แข็งแรง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล แต่มันอยู่ที่ปากเรากิน ตัวเรากระทำอะไร  (มุ่งมั่นอยากให้ละโลภ โกรธ หลง มุ่งมั่นอยากให้เป็นคนดี มีสัจธรรม) แน่ใจนะว่าอยากให้เราช่วย บุหรี่เลิกได้หรือยัง (ยังสูบอยู่) เหล้ากินอยู่หรือเปล่า (ยังกินอยู่) ถ้าอย่างนั้นเริ่มต้นเลิกบุหรี่ เลิกเหล้า และพยายามรักษาศีล ๕ ให้ครบ ทำได้ไหม (จะทำให้ได้) ถ้าท่านทำได้ การเป็นคนดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก สูบบุหรี่นอกจากจะทำร้ายตัวท่านเองแล้ว ก็ยังทำร้ายคนรอบข้างใช่ไหม (ใช่) กินเหล้านอกจากจะทำร้ายตัวเราเองแล้วยังทำร้ายเพื่อนฝูงใช่ไหม (ใช่)  สำคัญก็คือ ชนะคนอื่นได้แต่ไม่เคยชนะตัวเองก็เปล่าประโยชน์  ถ้าพ่อแม่มีอายุยืนยาว แต่เราไม่แข็งแรง เราก็ทำท่านทรมานจริงไหม  ฉะนั้นหากอยากให้พ่อแม่มีอายุยืนยาว เราก็ทำตัวเราให้เป็นขวัญกำลังใจให้พ่อแม่ดีกว่า
(อยากให้กิจการค้ารุ่งเรือง) ใครๆ ก็อยากให้กิจการค้ารุ่งเรือง แต่เราถามนะ อย่างแรกคือ ถ้าร้านค้านี้คนขายมีใบหน้ายิ้มแย้ม อย่างที่สอง ซื่อตรงไม่คดโกง อันนี้ดีก็บอกว่าดี อันนี้ไม่ค่อยดีแต่ว่าราคามันถูกจะเอาไปก็ได้ ลูกค้ามาซื้อก็รู้สึกเชื่อใจ ต่อไปจะมาซื้ออีกเขาก็รู้สึกมั่นใจว่าคนนี้ไม่โกหกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งนี้แหละเป็นเสน่ห์ของการขายของ ไม่ใช่ลูกค้ามาแล้วหน้าบึ้ง คนนี้เอาแต่ถามไม่ซื้อแน่ ไล่เขาไป อย่างนี้ต่อไปเขาก็ไม่มาอีก ถึงเวลาลด กล้าพูดว่าลด ถึงเวลาลดไม่ได้ ก็บอกว่าลดไม่ได้จริงๆ มีความซื่อตรง ความซื่อตรงนี่แหละจะเชิญชวนให้คนอื่นมาซื้อกับเรา
(อยากตอบแทนคุณบรรพบุรุษ) แต่เขาเสียไปแล้วใช่ไหม (ใช่) ดีนะ ถ้าลูกหลานไม่ลืมรากฐานความเป็นมาของตัวเอง เป็นคนก็เหมือนต้นไม้ ถ้าเราเป็นต้นไม้สักวันหนึ่งเราตัดรากเราไม่สนใจราก คนคนนั้นก็เรียกว่าอกตัญญู
ได้ดีแล้วไม่สนใจกำพืดของตัวเอง ดูถูกกำพืดของตัวเอง คนนั้นเรียกว่าเนรคุณสุดๆ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรมีจิตสำนึกในบุญคุณคนที่มีพระคุณ
 ถ้าทำได้ดี ให้ท่านไปสบายดีกว่า ทำให้ดีกุศลของท่านจะไปให้อากงได้นะ (ตั้งใจเรียน มีงานทำที่มั่นคง) ขอให้ขยันอย่ามัวแต่เที่ยวเล่น ไม่อย่างนั้นเรียนไม่จบแน่ (เรียนให้จบและอยากให้พ่อแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง) ขยันนะ
คนเราบางทีไปไม่ถึงจุดหมายก็เพราะว่าไม่เพียรพยายาม ความฝันไม่ตั้งอยู่บนมาตรฐานความเป็นจริง ทุกท่านในที่นี้ฝันได้ มีปณิธาน มีความมุ่งมั่นได้ แต่ปณิธาน ความมุ่งมั่นหรือความฝัน ขอให้ยืนอยู่บนความเป็นจริง แล้วความฝันนั้นจะไม่ทำให้เราเจ็บปวด เมื่อเราพยายามไขว่คว้า คนบางคนรักที่จะฝันและมุ่งไปตามความฝัน แต่ฝันนั้นไม่ได้อยู่บนความจริง ย่อมเจ็บปวดเมื่อพยายามที่จะได้มันมา เหมือนมนุษย์ฝันว่าอะไร เริ่มต้นฝันว่าต้องเรียนให้จบ เรียนจบแล้วทำงานดีๆ แล้วแต่งงานมีครอบครัวใช่หรือไม่ (ใช่) เราคิดว่าความฝันนี้คือความจริงของชีวิต แต่เราอยากจะให้ท่านได้คิดสักนิดหนึ่งว่า ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงคืออะไร และฝันอย่างไรให้มีมาตรฐานความเป็นจริงอยู่บนนั้น อยากรู้ไหม (อยาก) และคืออะไรรู้ไหม ง่ายๆ มนุษย์มีแก่นแท้ความเป็นจริงคืออะไร บางครั้งชีวิตมีขึ้น บางครั้งชีวิตมีลง บางครั้งชีวิตมีดี บางครั้งชีวิตมีร้าย บางครั้งชีวิตมีสุข บางครั้งชีวิตก็มีทุกข์  ฉะนั้นเราถามปัญหาท่านต่อว่าอะไรในโลกที่ให้ความสุขและอะไรในโลกที่ให้ความทุกข์ อะไรในโลกทำให้เรายิ้ม และอะไรในโลกทำให้เราต้องร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่า (จิตใจทำให้มีทุกข์และมีสุข) จริงไหม (จริง) เราว่าใจที่คิดไม่ได้ คิดไม่เป็นก็มีทุกข์ ใจที่คิดได้คิดเป็นก็มีสุขต่างหาก (ความพลัดพราก)  ทำให้สุขไหม (ไม่) ทำให้ทุกข์อย่างเดียวใช่ไหม ไม่จริง คนที่เราเกลียดพลัดพรากไปไกลๆ ยิ่งดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ความตายทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์) ทำให้สุขไหม (สุข) ทำไมถึงคิดว่าสุข อย่างเช่นอะไรตายทำให้เราสุข (คนที่เจ็บปวดมากๆ มีความทุกข์ทุรนทุราย อยู่ไปแล้วทรมาน) แน่ใจหรือว่าคนที่เจ็บปวดนั้นอยากจะตาย  (สิ่งที่ไม่ชอบ หรือสิ่งที่เกลียดตายไป) แน่ใจหรือ ไม่กลัวเขามาหลอกหลอนหรือ (ธรรมะ) มีแต่ให้ความสุข (ความคิดของคนเรา) ทำให้มีทั้งทุกข์และสุข คิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดร้ายก็เหมือนตกนรก คิดว่าอะไร (อยากให้แข็งแรง, ใจที่สงบทำให้เราเป็นสุข, คุณพ่อคุณแม่ทำให้สุข)  คุณพ่อคุณแม่ให้ทั้งสุขและทุกข์ใช่ไหม เพราะว่าไม่ว่าท่านบ่นหรือก็เพราะรักใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหมว่าบางทีหวังมากเกินไปก็ทุกข์ หวังน้อยเกินไปบางทีกลับได้สุข  ฉะนั้นความหวังต่างหากที่ทำให้เรามีทั้งทุกข์และสุขในขณะเดียวกัน แต่ชีวิตนี้จะไม่มีหวังก็ไม่ได้  ฉะนั้นก็ต้องรู้จักหวังให้พอดี (การพลัดพรากจากพ่อแม่พี่น้องทำให้เรามีทุกข์)  ความพลัดพรากทำให้เรามีทุกข์ แล้วความพลัดพรากทำให้เกิดสุขได้ไหม (ความพลัดพรากไม่มีสุข)  จริงหรือ (จริง)  ถ้าพระพุทธองค์ทำใจไม่ได้ ปลงไม่เป็น ท่านก็คงอยากจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงปัจจุบันนี้
วันนี้ที่เราถามแบบนี้ เพราะเราอยากจะบอกท่านว่า คนที่ท่านรักสุดจิตสุดใจ รักอย่างหัวปักหัวปำ แต่บางครั้งก็ทำให้ท่านเจ็บปวดใจได้ ตัวท่านเองบางครั้งก็ทำให้ตัวเองมีความสุข แต่ในตัวเราเองก็ทำให้เราทุกข์ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากจะบอกท่านก็คือ ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของ อำนาจ หน้าที่ เมื่อไรที่ให้สุข เมื่อนั้นย่อมมีทุกข์ เมื่อไรที่ให้ความสมหวัง เมื่อนั้นต้องสอนให้ท่านรู้จักคำว่าผิดหวัง   ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ อย่าลืมแก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิต ว่าถึงที่สุดของชีวิต ไม่ว่าเราจะไปหารัก ไม่ว่าเราจะไปหาความอยาก ไม่ว่าเราจะไปหาตำแหน่งหน้าที่ แต่เราอย่าลืมว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย มีสุขก็ต้องมีทุกข์ นี่คือสัจจะความจริง ไม่ว่าเราจะเป็นนักเรียน เป็นพ่อแม่ เป็นครูอาจารย์ เราต้องไม่ลืมตรงจุด นี้  พอความเปลี่ยนแปลงมากระทบใจเรา เกิดขึ้นที่ตัวเรา เราจะได้รับมือกับมันได้  ความฝัน ความหวัง จะได้ไม่ทำให้ผิดหวังทุกข์ใจ ความรักเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  ความรักทำให้เราชุ่มชื่นใจ ทำให้กระปรี้กระเปร่าใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ารักอย่างหลับหูหลับตา รู้ว่าตัวเองมีรัก แต่ไม่เข้าใจคนที่ตัวเองรัก ความรักนั้นก็อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมได้ จริงไหม (จริง)  เรารักเขา เขาไม่รับรักตอบ ความรักนั้นก็อาจจะทำให้เกิดความเศร้าเสียใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามีนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของเจ้ารักกับเจ้าเกลียดคุยกัน เจ้ารักเขาบอกว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ก็มีแต่คนชอบเขา อยู่ที่นี่ใครๆ ก็ต้อนรับให้เขาอยู่ แต่ไม่เหมือนเจ้าเกลียดไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเกลียด ยิ่งไปอยู่กับใครเขาก็ยิ่งเกลียดเข้าไส้เลย เจ้าเกลียดก็เลยว่าจริงหรือ แต่ฉันว่าเวลาฉันไปอยู่กับใครก็ทำให้เขามีความสุขนะ ท่านเชื่อไหมว่าคนมีเกลียดมีสุข มีความเกลียดมากๆ แล้วมีสุข ดูสิว่าเจ้าเกลียดอ้างเหตุผลว่าอย่างไร เจ้าเกลียดอ้างว่าเมื่อไรที่เจ้าเกลียดไปอยู่กับคนนี้ พอเขาเกลียดปุ๊บแล้วได้แสดงความเกลียดออกไป เขาหัวเราะลั่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฉันเกลียดเขา ได้ด่าเขาแล้วสะใจจริงๆ  แล้วไปอยู่กับใครเขาก็มีความสุข แต่เวลารักกัน พอไปอยู่กับคนๆ นี้เขาก็ได้แต่ทำท่าเพ้อ  ไม่เห็นสะใจเหมือนกับเวลาเกลียดเลย
ถ้าอย่างนั้นเราขอถามท่านนะว่า รักกับเกลียดอย่างไหนดีกว่ากันให้คิดก่อนก็ได้นะก่อนตอบ (รัก)  จะอยู่กับความรักดีกว่าใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไร (ถ้าเรามีความรักอย่างเดียว ความรุนแรงก็จะไม่เกิด ถึงเกิดก็มีเปอร์เซ็นต์น้อย)  จริงเหรอ หนังสือพิมพ์ปัจจุบันฆ่ากันเพราะรัก ไม่ใช่เหรอ (ถ้ารักกับรักมาเจอกันก็ไปได้ดี ถ้ารักไปเจอเกลียดถึงมีเรื่อง)  รักไปเจอเกลียดถึงมีเรื่อง ตอบได้ดีไหม (ดี)  แต่เราถามท่านหน่อย เวลาคนรักแล้ว เราดูออกไหมว่าไอ้นี่มันเกลียด เวลาท่านหน้ามืด แล้วท่านดูเขาออกไหม เขาเกลียด ไล่ตะพึดตะพือก็ยังรัก ใช่ไหม เลือกรักหรือเลือกเกลียดดี (รัก) เพราะ (เพราะท่านสอนให้รัก ไม่ได้สอนให้เกลียด) แต่ถ้าความรัก รักอย่าง (ถูกต้อง) (ความรักกับความเกลียด มันมีทั้งสองอย่างหลีกไม่ได้)  ฉะนั้นมีทั้งสองอย่างเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่รู้จักรักให้เป็นและเกลียดให้ถูกต้อง
แล้วจะเกลียดอะไรดีในโลกนี้ (เกลียดคนที่เขาเบียดเบียนเรา  เลือกเกลียด) เพราะอะไรจึงเกลียด (เพราะมีรสชาติดีค่ะ) ท่านเลือกอันนี้นะ เราตกใจเล็กน้อยนะ ถ้ามีชีวิตอยู่กับความเกลียด จะทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะรักไม่สมหวัง เพราะรักไม่ได้จึงเกลียด พอเกลียดสะสมมากๆ ก็กลายเป็นความชิงชังโกรธแค้น ริษยา อาฆาต  ฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่าเกลียดจงหยุดแค่เกลียดพอ แล้วพยายามเปลี่ยนความเกลียดเป็นความรักจะดีกว่า อย่างนั้นจะเกลียดอีกไหม (เกลียดก็เป็นรักได้)  เลือกเกลียดหรือเลือกรัก (รักทำให้คนอื่นรักเรามากขึ้น  รักเพราะเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้มีความสุข  ถ้าเปรียบว่ารักหวานแล้ว
เกลียดขม ถ้าหวานเป็นลมขมเป็นยาขอคนละครึ่งได้ไหม)  แน่ใจเหรอ พูดง่ายแต่เวลาทำจริงๆ ทำยาก เกลียดมีข้อดีอย่างหนึ่ง เวลาเกลียดทำให้เรามองเห็นในด้านที่เรามองไม่เห็น  รักก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง เห็นแต่สิ่งที่อยากจะเห็น  ฉะนั้นเรามีทั้งรักทั้งเกลียด ดีไหม (ดี)  ทำไมเราถึงอยากให้ท่านมีทั้งรักและเกลียดทั้งสองอย่างเลย รู้ไหม อย่างเช่น รักในสิ่งที่ดีของเขา แต่เกลียดในสิ่งที่เขาไม่ควรทำ นี่คือคนที่รักเป็น มองเห็นอะไรถูก มองเห็นอะไรผิด ไม่ใช่รักอย่างเห็นแต่ถูก ไม่เคยเห็นผิด นี่เรียกว่าหลับหูหลับตารัก  ฉะนั้นต่อไปเวลารัก จึงเป็นรักที่สามารถเกลียดได้ แต่เกลียดนั้นต้องไม่กลายเป็นความโกรธแค้น แล้วก็ชิงชังนะ เหมือนกับท่านต้องมีทั้งรักและเกลียด ถ้ามีรักตัวเองมากเกินไป จะกลายเป็นคนที่หลงตัว  รักที่ตัวเองกล้าจะทำดี แต่เกลียดที่ตัวเองไม่เคยคิดจะช่วยทำดี ดีไหม รักที่เขาเป็นคนดีแต่เกลียดที่เขาเป็นคนไม่ดี ได้ไหม (ได้)  แต่เกลียดอย่างไรล่ะที่จะทำให้เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ดีแล้วอย่าทำอย่างนี้เลย เกลียดให้พอประมาณนะ อย่าเกลียดถึงขนาดโกรธแค้น เพราะเขาจะยิ่งตะพึดตะพือทำให้ท่านเกลียดยิ่งขึ้น
คนในโลกมีหลายแบบใช่หรือไม่ (ใช่)  แบบหนึ่งเป็นแสงสว่างให้กับเรา แบบหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเรา แต่ในหลายๆ แบบแบ่งออกเป็น ชัดๆ ได้ ๒ แบบ ดีกับไม่ดี ไม่ดีมีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เห็นแล้วเราเกลียดที่สุดคือแบบไหน (คือแบบที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจเราก็ไม่ดี แบบที่ชอบถูกใจเราก็ดี) สิ่งไหนไม่ถูกใจก็ไม่ดีหมดเลยหรือ (สิ่งที่ไม่ดีคือ เราชอบอย่างหนึ่งแล้วทำตรงข้ามกับใจเรา)  เมื่อสักครู่เราสอนท่านว่ารักอย่างไรถึงจะดี เกลียดอย่างไรถึงจะพอเหมาะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้เรากำลังจะบอกท่านว่าเมื่อมีสองอย่างนี้ ท่านจะใช้อย่างไรให้ถูกต้อง เราอยู่ในโลกมีคนที่เราเห็นแล้วชอบ และคนที่เราเห็นแล้วรังเกียจ  เราจะบอกท่านว่าคนไหนที่ท่านควรจะเกลียดจริงๆ กับคนไหนที่ท่านควรจะสงสารจริงๆ และคนไหนที่ท่านควรจะระวังตัวไว้จริงๆ ท่านตอบเราได้ไหมว่าคนไหนคือคนที่ท่านเกลียด คนที่ทำให้ท่านไม่ถูกใจคือคนที่ทำให้ท่านเกลียด ส่วนใหญ่ทุกคนจะเป็นแบบนี้จริงไหม (จริง)  คนที่ไม่ถูกใจทำเราเกลียดใช่ไหม ใช่เหรอ คนที่มากกว่านั้นไม่มีเลยเหรอ (คนที่เห็นแก่ตัว)  คนไหนที่เห็นแล้วเป็นตัวอันตราย คนไหนที่เราเห็นว่าน่าสงสาร น่าเสียดาย อยู่ไม่ไกลเลยนะ คือทำดีได้ ไม่ทำ เมื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ไม่ยอมทำ เพราะว่าชนะใจตัวเองไม่ได้ คนไหนที่น่ารังเกียจ (คนที่ไม่ดี) ไม่ดีแบบไหน (คนที่ไม่มีคุณธรรม) คนไหนที่น่าสงสาร (คนที่ถูกทิ้ง)  คนไหนที่ควรต้องดูแล (คนที่ด้อยโอกาส ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้)  คนไหนที่เป็นคนอันตราย (คนที่คิดร้ายกับเรา)  คนที่คิดร้ายกับเราอันตรายเหรอ คนไหนที่ไม่ค่อยกลัวอันตราย (ตัวเราเอง หากตัวเราเองไม่ดีก็เป็นคนไม่ดีในสังคม)  แล้วเป็นอย่างไร คนไม่ดี (ประพฤติทำร้ายคนอื่น ไม่กตัญญู) ไม่กตัญญูทำให้เดือดร้อนได้ไหม (ได้)  การทำไม่ดีน่าอายมากกว่า ทำไม่ดี ถึงเวลาตั้งใจฟังไม่ฟัง เอาแต่คุย เอาแต่เล่น ถึงเวลาเรียนไม่เรียนเอาแต่ขับรถซิ่ง อย่างนี้น่าอายกว่าใช่ไหม ถึงเวลากลับบ้านไม่กลับ ทำอะไรก็ไม่รู้น่าอายกว่าไหม ให้เวลาทำใจ ตัวเองไม่ช่วยตัวเองแล้วใครจะไปช่วยล่ะ อย่าไปพึ่งคนอื่น ถึงเวลาต้องพึ่งตนเอง เราจะบอกให้ว่า คนในโลกอดๆ อยากๆ นะน่ากลัวอย่างหนึ่ง น่าสงสารอย่างหนึ่ง และน่ารังเกียจอย่างหนึ่ง และคนแบบไหนล่ะที่น่ารังเกียจ คนที่ได้ดีแล้วไม่เห็นหัวคน คนที่เคยยากจนแล้วได้ดีแล้วดูถูกคน ชอบเหยียบย่ำผู้อื่น คนนี้เกลียดไปเลย แต่เกลียดแบบพอประมาณนะ เราไม่ให้ท่านเกลียดแบบอาฆาต ชิงชังแล้วจ้องทำร้าย คนแบบนี้ควรเกลียด แล้วเราไม่ควรเป็นคนแบบนี้ ไม่อย่างนั้นตัวเราเองจะเป็นคนที่น่าเกลียด เราบอกอันนี้ไม่ใช่เพื่อเอาไปตรวจสอบผู้อื่น แต่ให้เอามาตรวจสอบตัวท่านเอง คนประเภทที่สองคือน่าสงสาร แล้วคนแบบไหนล่ะ คนแบบที่ตอนเด็กๆ ไม่ตั้งใจเรียน โตมาก็ไม่เคยทำสิ่งที่ดีมีคุณค่า อายุล่วงเกินก็ไม่มีใครอยากกล่าวถึง ใช่ไหม (ใช่) คนประเภทนี้น่าสงสารไหม (น่าสงสาร) อีกประเภทหนึ่งคือประเภท (น่ากลัว)  น่าอันตราย ก็คือ สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ถูกศีลธรรม ไม่ประพฤติ  วันๆ มัวแต่ขลุกอยู่กับอบายมุข เหล้า สุรา นารี อันตรายไหม (อันตราย)  ไปอยู่กับใครก็อันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงมีหน้าที่ตำแหน่งสูง แต่ติดนารีอันตรายไหม (อันตราย)  มีอำนาจบาตรใหญ่แต่ติดสุรานารีก็เป็นอันตรายทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น 
เป็นอันตรายทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ท่านอย่าเผลอเป็นสามอย่างนี้ และการจะไม่เผลอเป็นสามอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ตอนเด็กๆ ตั้งใจเรียนขยันหมั่นเพียรรู้จักทำงานรับผิดชอบต่อหน้าที่ และรู้จักเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเวลาตัวเองมั่งมี คนเช่นนี้ก็ไม่เป็นคนที่น่ารังเกียจ น่าอันตรายและก็น่าสงสาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเผลอเป็นสามแบบนี้ เวลาแก่ไปก็ไม่มีใครเอา หรือยังไม่ทันแก่ก็มีแต่คนไม่ชอบ
(เมื่อก่อนเป็นคนไม่ดี ทอดแหหาปลาฉันทำเองหมดแล้วที่เราทำๆ ไป มันหลายแสนตัวแล้ว เราจะสามารถล้างได้ไหมที่เรามาทำอย่างนี้)  เราอยากบอกท่านว่ากรรมก็คือ กรรม เราหนีกรรมไม่พ้นแต่เราสามารถทำดีเพื่อให้กรรมลดน้อยลงได้ แต่ตอนนี้ท่านจะยอมหยุดสร้างกรรมหรือเปล่า  พยายามไม่ทำผิด ศีลห้ารักษาให้ครบ พูดทำในสิ่งที่ดี ทำบุญตักบาตร กายใจก็ต้องรักษาให้สะอาด ถ้าทำได้ชาตินี้อาจจะพ้นกรรม แต่ชาติหน้าก็ยังคงต้องรับกรรมอีก แม้แต่พระพุทธะองค์ หรือองคุลีมาร ก็หนีกรรมไม่พ้น ไม่มีใครหนีกรรมพ้นได้ มีแต่ทำดีให้มากที่สุดเพื่อกรรมจะได้น้อยลง เข้าใจที่เราพูดไหม (เข้าใจ)  ไม่ต้องท้อพยายามทำดีให้มากๆ ตอนนี้ต้องรักตัวเองรู้จักกิน อย่ากินหวานเพราะเป็นเบาหวาน กินผักเยอะๆ เนื้อสัตว์พยายามเลิกได้เลิก เพราะเรากินเขาหนึ่งชีวิตเขาต้องเอาท่านมากกว่าหนึ่งชีวิต ยุงกัดท่านตีจนตายแต่นี่ท่านกินเนื้อเขาก้อนหนึ่งฆ่าเขาไม่กี่ชีวิต
อยากที่เต็มเมตตาผู้อื่นช่วย
ทำไมเราอยากมีความเมตตามากๆ  แต่ทำไมต้องให้ผู้อื่นช่วย เข้าใจไหม จริงๆ มันต้องช่วยผู้อื่น เราถึงจะมีเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ถ้าท่านศึกษาหลักธรรม ท่านจะรู้ว่าคนที่รับความเมตตากับจากท่าน นั่นคือเขาช่วยท่านนะ  เพราะถ้าไม่มีคนรับความเมตตาจากท่าน ท่านก็ไม่ได้ฝึกความเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าสำคัญตัวเองว่าตัวเองดีเสมอไป แต่ต้องคิดว่า เป็นเพราะเขาจึงทำให้เราได้ดี  ฉะนั้น เราอยากจะมีความเมตตาที่เต็มเปี่ยม คือ ตัวเรานั้นต้องไม่ยกตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่น เราก็ช่วยเขา เขาก็กำลังช่วยเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
จะมากความสู้ชีวิตปัญหาล้อม
ไม่ใช่มากความนะ ไม่ใช่หมายความว่าเรื่องเยอะ หมายความว่ามีความสู้ชีวิต คนเราถ้ามีปัญหาล้อมรอบ มีใจสู้ ปาฏิหาริย์ย่อมเกิดได้ จำไว้นะ เรื่องที่บางทีเราคิดว่า ไม่คาดคิด แล้วมันเกิดกับเรา ปาฏิหาริย์จะเกิดได้ด้วยพลังของจิตใจ สำคัญที่สุดนะ
จงเข้มแข็งและอ่อนน้อมปฏิภาณ
ปฏิภาณ แปลว่า ไหวพริบ คนทุกคนมีความแข็งกับความอ่อน ในชีวิตเรามีทั้งสิ่งที่แข็งและสิ่งที่อ่อน ฉะนั้นเราต้องรู้ว่า เมื่อไรเราจะดึงความแข็งมาใช้ ความแข็งหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความเด็ดเดี่ยว ความอ่อนก็คือความนุ่มนวล ใช่หรือไม่ (ใช่)   ผู้ชายถ้าใช้ความแข็งนำความอ่อน ผู้หญิงต้องใช้ความอ่อนนำความแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)   คนปัจจุบันนี้ ที่ชายเป็นหญิง หญิงเป็นชาย เพราะสลับกัน ฉะนั้นเราต้องใช้ให้ดีด้วยไหวพริบเราเองนะ ไม่อย่างนั้นแข็งมากเกินไป คนก็เรียกว่าเราเต๊ะจุ๊ย ส่วนผู้หญิงอ่อนมากเกินไป คนก็เรียกมารยา

บำเพ็ญเฝ้าเขลาคร้านเรื่องนี้ใหญ่
พระอาจารย์จี้กงเราบอกว่า ศิษย์ของอาจารย์ต้องโง่ๆ ถ้าเกิดว่าโง่เกินก็ไม่ดี หมายความว่า เรื่องที่ควรรู้ก็ต้องรู้ เรื่องที่ถึงแม้ว่ารู้ไปแล้วไม่มีประโยชน์เหมือนอวดตนเราต้องรู้จักเก็บงำ โดยเฉพาะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มีคำหนึ่งไว้ว่า “งำประกายไม่สำแดงเด่น”  อย่าอวดตนว่าฉันกินเจ ฉันบำเพ็ญธรรมยิ่งอวดตัวมากเท่าไรยิ่งผิดมากเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  บำเพ็ญแล้วขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญแต่ไม่เคยแก้ไขยังนิสัยเหมือนเดิม อย่างนี้ไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญ ต้องมีอะไรที่ลดได้บ้าง  ไม่ใช่ไม่เคยลดอะไรสักอย่างเลย
ส่วนใหญ่คนมักจะคิดว่าเราต้องมาหลอกมาเล่นละครให้ดู ถ้ามองจนถึงจุดนี้ก็น่าเศร้า ท่านจะคิดอะไรก็ไม่สำคัญ เพราะเราบอกท่านไว้แล้วว่าเราไม่ใช่ของจริงเราคือของปลอม แต่สิ่งที่จริงคือคำพูดที่เราจะทิ้งไว้ให้ท่าน ถ้ามันคือความจริงมันจะใช้ได้ทุกๆ สมัย  สัจธรรมคือความจริง แล้วชีวิตนี้เราทำอะไรให้เป็นความจริง ตายไปแล้วคนก็ยังสืบทอดความจริงนี้ คนที่ตายไปแล้วแล้วเรายังสืบทอดปณิธานของเขา อย่างเช่น พ่อจะสอนลูก เกิดเป็นคนจำไว้อย่างเดียว ลูกต้องซื่อสัตย์ นี่คือ พ่อตายแต่คำพูดพ่อไม่เคยตายไปจากใจ ยิ่งถ้าพ่อทำได้อย่างที่พูด พ่อจะอยู่ในใจลูกตลอด ฉะนั้นท่านอยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับใคร สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เพื่อนรักท่านตลอด สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คนนี้ดีกับเราตลอด นั่นก็คือความดีในหัวจิตหัวใจเรา ถ้าเราจริงใจกับเพื่อนต่อให้เรากระเร กระราด เขาก็รักเรา ยิ่งถ้าเกิดเพื่อนไม่ดีเราก็ยังรักและก็เห็นใจและก็เข้าใจ ถึงเวลาเราไม่ดีเพื่อนก็ต้องรักและเห็นใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะ บางทีประตูไม่ต้องล็อกกลอน หน้าต่างไม่ต้องปิดมิดเราก็สามารถทำให้คนนี้ไม่ออกจากบ้านได้ด้วยอะไร ถึงเขาออกยังไงเขาก็ต้องกลับมาแต่อะไรที่จะเป็นโซ่ทองคล้องใจมีค่ายิ่งกว่าประตูหรือกลอนใดๆ ทำให้เขาไปไกลแค่ไหนยังไงก็ต้องกลับมาหาเราท่านรู้ไหมคืออะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่า ความดี แต่เราอยากบอกว่า ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
สิ่งหนึ่งที่เราอยากจะบอกทุกท่าน เมื่อสักครู่บอกไปว่าการเป็นคนไม่ดีเป็นคนอย่างไร แต่ยังไม่ได้บอกว่าการทำตัวให้เป็นคนดีและเป็นโซ่ทองคล้องใจทุกๆ คนทำอย่างไร อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถทำให้คนนี้รักเราจริงๆ รักที่ตัวเราไม่ได้รักที่ตำแหน่ง หน้าตา เงินทองแต่รักที่เป็นตัวเรา อยากเอาไหม (เอา)  ไม่ยากเลย มีแค่สามอย่าง อย่างที่หนึ่ง เป็นคนที่ กล้ารับฟังในมุมมองที่แตกต่าง ใช้ความกล้าให้ถูก กล้ารับฟังในมุมมองที่แตกต่างหรือในมุมมองที่ท่านไม่คิดว่าเขาจะเป็น เช่น เขาพูดในสิ่งที่ไม่ชอบ กล้ารับฟังไหม เขาพูดตำหนิต่อว่าเรารับฟังไหม ถ้าเรากล้ารับฟัง ความรู้ทั้งหลายจะไหลมาสู่เรา แต่ถ้าเราไม่กล้ารับฟังเราจะเป็นคนที่ปิดประตูลั่นกลอนตัวเองกลายเป็นผู้ที่ด้อยความรู้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดเป็นคนรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ผมยังไม่รู้พี่บอกมาเลยพี่ว่าอะไร ใครว่าอย่างไรเราก็รับฟังแล้วเอาไปพิจารณา คนๆ นี้จะเป็นคนที่มีแต่คนรัก ไกลแค่ไหนเขาก็จะมาหาเพื่อมาเตือนคนๆ นี้  ด้วยสีหน้าที่ยินดีรับฟัง จะทำให้ท่านไปที่ไหนจะมีแต่คนรัก ว่ายังไงไม่เคยโกรธเลยกลับยิ้มรับและขอบคุณ ใครๆ ก็จะมาเตือนคนๆ นี้ และเราจะเป็นคนที่สามารถมีตาเป็นแสนๆ เอาไหม (เอา)  เวลาทำผิดก็มีตาคอยเตือน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงเป็นคนที่กล้ารับฟังแม้คำพูดนั้นจะไม่ไพเราะหรือคำพูดนั้นจะตำหนิต่อว่า เมื่อกล้าฟังมากๆ เราก็จะกลายเป็นผู้มีปัญญา อย่างที่สอง เมื่อฟังอะไรจำไว้อย่างหนึ่ง หัดคิดพิจารณาทบทวน ไม่อย่างนั้นความรู้มันจะตกหายและก็ลืมไปตามระยะเวลา จริงไหม (จริง)  ต้องคิดและต้องรีบลงมือปฏิบัติด้วย แล้วความรู้จะอยู่ในตัวเรา เหมือนท่านเรียนคณิตศาสตร์จบแต่ไม่ได้กลับไปทำการบ้านสักสองสามอาทิตย์ สูตรที่อาจารย์ให้ลืมไหม (ลืม)  วันนี้ใช้สูตรแต่อีกสองสามวันไม่ได้ใช้สูตรแล้วแบบนี้จะลืมไหม (ลืม)  คุณธรรมในตัวเราก็เหมือนกันวันนี้รู้จักใช้ รู้จักปฏิบัติคุณธรรมก็จะอยู่กับตัวเรา แต่ถ้าไม่ใช้ไม่ปฏิบัติมีดีแล้วเก็บไว้ สักวันหนึ่งย่อมหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่สาม ก็คือ ความเห็นอกเห็นใจ คนที่เกลียดที่สุด ลองพยายามเห็นใจเขา คนที่ท่านไม่เข้าใจมากที่สุดลองพยายามยืนอยู่ในตำแหน่งเขาแล้วท่านจะเข้าใจ เมื่อไรที่เราพยายามเข้าใจคนที่ไม่เคยเข้าใจ รับฟังคำที่ไม่เคยรับฟัง ท่านจะเป็นที่รักของทุกคน จริงไหม (จริง)  แล้วตอนนั้นต่อให้ไม่มีประตูล็อกเขาก็ไม่จากเราไปไหน  ง่ายๆ อยู่ด้วยกันเขาเป็นคนดีแต่ไม่เคยเข้าใจเราเลยก็อยู่ได้ไม่ยืด อยู่ด้วยก็ทุกข์ใจ ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วชีวิตของมนุษย์ทุกคนบางทีต้องการคนเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เป็นด้านหลัง มนุษย์มีด้านดีกับด้านเลว คนที่จะรักเราแท้จริงคือคนที่ยอมรับด้านเลวของเราได้และพร้อมจะชี้นำให้เรานั้นหยุดความเลวได้ ตอนนี้กินอิ่มกรุณาช่วยเราหน่อยหนึ่งได้ไหม (ได้)  กลอนที่เราให้นี้สักครู่เราจะแบ่งทีละคำ แต่เรายังไม่อธิบายกลอนเลย วรรคนี้เป็นวรรคที่ยากนิดหนึ่ง
อยากที่เต็มเมตตาผู้อื่นช่วย 
ความเมตตาจะเกิดได้เราต้องช่วยผู้อื่น โดยส่วนใหญ่ถ้าเราเสียสละคนนี้เป็นคนมีเมตตาขี้สงสาร แต่ถ้าเกิดท่านสงสารเขาแต่เขาไม่รับความสงสารท่าน เมตตานั้นก็ไปไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านดีต่อเขาแต่เขาไม่รับความดีท่าน ท่านก็ไม่สามารถเป็นคนดีจริงได้ ฉะนั้นอย่าหลงตัวเองว่าตัวเองเป็นคนดีมีเมตตาแต่ถ้าเขาไม่รับความดีความมีเมตตา ท่านก็หาใช่ผู้ที่มีเมตตาจริง  งงไหม  ยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่ง  มีเศรษฐีคนหนึ่งจะมาบริจาคเงินให้วัด แต่ก่อนเขายากจนบริจาคแค่ทองหนึ่งบาท หลวงพ่ออนุโมทนายินดีกับเขาใหญ่ ตอนยากจนบริจาคทองบาทหนึ่ง มากไหม (มาก)  กล้าบริจาคให้วัด แต่พอคราวนี้เขารวยขึ้นมาเขาบริจาคทองสิบบาท หลวงพ่อให้ลูกศิษย์มาอนุโมทนา เขาก็โวยวายหลวงพ่อทำไมไม่มาอนุโมทนาให้ผม หลวงพ่อย้อนกลับไปว่าเจ้านะต้องขอบคุณหลวงพ่อ เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ)  ตอนนั้นหลวงพ่อต้องการสอนให้เขารู้ว่าการทำบุญทำกลับใครก็ได้การทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน ถ้าเกิดทำแล้วไม่ได้ผลตอบแทนก็จงดีใจที่ได้ทำบุญแล้วการทำบุญที่แท้จริงก็คือทำไปเถอะอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าเลือกที่รักมักที่ชังบุญนั้นไม่ยิ่งใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  หลวงพ่อต้องการสอนให้เขารู้ ตอนนี้เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ) เข้าใจว่าทำบุญนั้นต้องได้ผู้อื่นช่วยผู้อื่นรับไม่มีคนเสียสละยอมเป็นผู้ขอ เราเป็นผู้ให้ตลอดก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่วงที่คิดพยายามเข้าใจอยู่นั้นออกมาช่วยเราวงก่อนนะ
ในคำว่าน้ำใจในท้องเรามีน้ำเต็มไปหมดเลย ในท้องท่านมีข้าว แต่ในท้องเรามีแอปเปิ้ลผสมอยู่ กำลังปั่นได้ที่เลยล่ะ ดีนะไปไหนก็มีแต่คนรักเอ็นดู ฉะนั้นอย่าเห็นว่าเป็นปมด้อย ปมด้อยก็มีข้อดี เกิดเป็นคนนิดๆหน่อยๆก็โมโหร้าย ไม่ยอม อดทนสั้นนัก มักจะเดือดร้อนทีหลังใช่ไหม ฉะนั้นคิดไตร่ตรองให้ดีๆ อภัยให้มากๆ ทำสองอย่างนี้ชีวิตก็มีความสุข
วันนี้มาศึกษาหลักธรรมเพื่อทำตนเป็นคนดี และคนดีที่มีโอกาสไปช่วยให้คนอื่นเป็นคนดีด้วย ไม่ใช่มาศึกษาหลักธรรมเพื่อเปลี่ยนศาสนาใหม่หรือว่ามาศึกษาลัทธิอะไรแปลกประหลาดนะ แต่การศึกษาหลักธรรมก็คือการนำธรรมมาใช้ในชีวิต นำธรรมมาดำรงชีวิตตนให้ถูกต้อง ส่วนการบำเพ็ญตนคืออะไร คือการขัดเกลาแก้ไขสิ่งไม่ดี ไม่ให้เกิดขึ้นในตัวเรา สิ่งไม่ดีลดให้มากที่สุดจนถึงไม่มีและพยายามที่จะสำรวมระมัดระวังตัวเอง ไม่เป็นคนหยิ่งทะนง เป็นเด็กแต่หัวแข็ง หลังแข็ง ไม่ค่อยก้มให้ผู้ใหญ่ อย่างนี้ก็ไม่น่ารัก เป็นผู้ใหญ่แต่ดื้อแข็งเหมือนเด็กเช่นนี้ก็ไม่น่ารักเหมือนกันใช่หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมก็คือการเอาธรรมะมาหวนย้อนมองตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่แก้ไขใคร ถ้าตัวเองได้ดี ทำดีถูกต้องเดี๋ยวคนก็เดินตามเอง แล้วรู้จักเอาความประมาณตนมาใช้ดักความโลภ ใช้ความเข้าใจมาทำให้เราลดความโกรธ และใช้การปลงในการตัดรูปลักษณ์และกามคุณ และใช้ความรู้ความเข้าใจดับความหลงในหัวใจ บำเพ็ญธรรมมีแค่นี้เองนะ ฟังเข้าใจไหม คนเราถ้ารู้จักประมาณตัวเองเราก็จะไม่โลภมาก แต่คนเราอยากได้เสื้อ ถามจริงๆ หนึ่งคนมีเสื้อกี่ชุด แล้วยังอยากได้อีกไหม (อยาก) ใช่ยิ่งโลภมากก็ยิ่งเหนื่อยมาก 
ฉะนั้นใช้ความประมาณเพื่อดับความโลภ ใช้ความเห็นใจเข้าใจเพื่อดับความโกรธ ใช้ความรู้และความเข้าใจดับความหลง เหมือนเรารักคนนี้ เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่เข้าใจในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น เพราะเราอยากให้เขาเป็นอย่างที่เราหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่) และใช้การปลงในการดับรูปนามที่มนุษย์เราติด
เห็นรูปสวยก็ชอบ เห็นหน้าตาหล่อๆ ก็หลง แต่ถ้าเราปลง คิดว่าเดี๋ยวเนื้อนี้ก็เน่าและก็มีหนอนไช เดี๋ยวเวลาอ้วนไขมันก็เผละ เราหลงไม่ออกเลย ใช่ไหม (ใช่)  เห็นสวยๆ ตีนกาก็มาเป็นฝูง ผมสวยๆ สักพักผมก็ขาวร่วงโรยไป  ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้จักยับยั้งชั่งใจไม่หลงในโลกจนเกินไปและไม่โกรธจนไร้เหตุผล ถึงเวลาเราต้องไปแล้ว เราถึงบอกว่า เราไม่ใช่ของจริง ตัวนี้ไม่ใช่ของจริง  สิ่งที่จริงคือ คุณค่าของความเป็นคนที่ท่านจะนำทิ้งไว้ในโลกใบนี้ต่างหาก เคยได้ยินไหม “ฟืนสิ้นไฟยัง” คนเราตายไปแต่ปณิธานความเป็นคนของเรายังอยู่และมีคนอยากที่จะสืบทอด  คนๆ นั้นแหละคือ คนที่ยอดจริงๆ ไม่ยากอะไร แค่เกิดเป็นคนแล้วมีความซื่อตรงและจะทำความซื่อตรงให้ถึงที่สุด เท่ากับเป็นเทพไทในแดนโลกแล้ว ไม่ต้องมีคุณธรรมมากมายก็ได้ ขอเพียงท่านเป็นคนจริงใจไม่โกหก เป็นคนเสมอต้น เสมอปลาย เป็นคนพูดคำไหนก็ทำได้ตามนั้น อะไรก็ได้คุณธรรมในโลกมีตั้งมากมาย ทำให้ดีและทำให้สำเร็จ ทำให้เป็นทางที่คนอื่นยังเดินตามได้  คนนั้นแหละเกิดมาไม่เสียชาติเกิด ไม่ใช่เรื่องยาก
มีเพื่อนเป็นคนจริงใจรักเพื่อนแม้เพื่อนจะหัวดำ หัวขาว หัวเหม่ง หัวเถิก ก็รัก ใช่ไหม (ใช่)  เชื่อเราสักนิดสัจธรรมเป็นสิ่งที่ดี ใครทำได้คนนั้นจะดีจริงๆ แล้วจะมีความสุขในการมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ทำร้ายใคร เป็นแบบอย่างที่ดีให้ใครๆ ด้วย เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน ไม่ต้องไปจับผิด ไม่ต้องไปคาดหวังใคร ทำตัวเองให้ดี ให้งาม ให้ปรากฏ แล้วลูกก็จะเรียบแบบเราเอง  สอนลูกด้วยการที่ตามใจเขาไปตลอด จะทำให้เขาเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจไม่เห็นใจใคร ได้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “แบบอย่างอันดีงาม”   เราเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ฟังสองวันแล้ว จะนำธรรมะไปเป็นแบบอย่างที่ดีได้  จะสามารถทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างที่งดงามให้กับผู้อื่นได้  เราเชื่อมั่นในตัวท่าน แต่ท่านจะเชื่อมั่นในความดีที่ตัวเองมีอยู่ไหม  เชื่อแล้วจะอยู่เฉยๆ หรือจะปฏิบัติให้ปรากฏ

วันนี้คงต้องไปแล้ว แม้อะไรจะไม่เป็นแบบที่หวัง  แต่เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วรับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้  วันนี้เหล่าซือไม่มา นักเรียนในนี้เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไร  คนที่ทุกข์คือ ปั้นซื่อต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงรับให้ได้กับการเปลี่ยนแปลง  จงยินดีที่จะต่อสู้แม้อะไรจะเกิดขึ้นในตัวเราก็ตาม ตั้งใจบำเพ็ญ  ศึกษานำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตบ้าง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “แบบอย่างอันดีงาม”
    ดำรงตนให้ถูกต้องและเหมาะสม     
มีหน้าที่ที่ในสังคมให้อุตส่าห์
ยอมชีวิตอยู่ในธรรมด้วยสัมมา           
ไม่หลงตามกิเลสมายาทาสโลกีย์
รับผิดชอบซื่อตรงเพียรขยัน              
รู้แบ่งปันมีน้ำใจได้เต็มที่
เคารพผู้ใหญ่เมตตาผู้น้อยด้วยฤดี        
สันติในคนใช่เรื่องไกล
รักสบายคิดร้ายทุกผู้คน                   
ไม่อดทนทำอะไรย่อมเสียหาย
มากความแลคร้านเขลาเฝ้าทำลาย       
ไม่แก้ไขทำอะไรไร้พัฒนา


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา