วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

2548-05-21 สถานธรรมเจาหยู จ.เชียงใหม่



PDF  2548-05-21-เจาหยรู #4.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘     พุทธสถานเจาหยู จ.เชียงใหม่
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

  เรื่องความดีเล็กน้อยก็ทำ                     ลุยทุกน้ำด้วยความเจียมตน
ทำความน้อมนอบที่เป็นสากล                รู้ใช้คำคนฝึกยามท้อ
ที่สวยงามตามหาข้างใน                       เล็งนิสัยวุ่นวายอารมณ์
มีความคิดก็ต้องมีคารม                        สุขประพรมอมยิ้มไว้ในใจ

                        เราคือ                                               
  อว๋าอวาเซียนหนวี่                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                                  ถามทุกท่านยินดีต้อนรับเราไหม

  การมุ่งจะเป็นผู้มีจุดหมาย                   จะเป็นได้อย่าปล่อยใจถลำ
อย่าปฏิบัติเลือกช่างเก็บช่างงำ               กรรมขึ้นกับคนทำอะไรมา
ได้จังหวะโอกาสแล้ววิบากตามซัด          ง่ายสารพัดก่อเกิดกรรมง่ายหนา
สำนึกผ่านสู่ความบริสุทธิ์ในวิญญา        คนจะสอบเป็นพญา[๑]กล้าเผชิญ
ความประเสริฐความเลิศคนสัมผัสรู้        ใจตรงอยู่ซ่อนกว้างสุดประเมิน
ระวังการกระทำทางใหญ่อย่าเพลิน         ขยันเดินคนใจเดียวพิชิตทาง
ทุกจุดหมายโลกเป็นที่บังเกิด                  ความประเสริฐมีโลกเป็นที่สร้าง
เพราะวายวุ่นจึงรู้จักระวัง                      เพียงแต่ใจสงบตั้งปราศจากภัย
ถึงดวงล้ำเลิศเรืองประดุจชาด                ถึงตายังแจ่มชัดดั่งเจียระไน
แต่อย่าเผลอในความประมาทไป            โยโส[๒]ทำที่สิ่งใดผยองเอา
คนมีธรรมสอนคนไม่กระดาก                 หลายคนสอนลำบากมากรุมเร้า
เพื่อเส้นชัยต้องชั่งปัญญาเรา                 ศึกษาเอาจงฝึกต้องน้อมตน

ฮิ  ฮิ  หยุด



[๑] พญา      เจ้าแผ่นดิน, เป็นใหญ่, เป็นหัวหน้า
[๒] โยโส      อวดดี


พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่


ที่มาวันนี้ เราเป็นเซียนเด็ก ไม่ใช่เซียนผู้ใหญ่  วันนี้เรามาเล่นเกมดีไหม ขออาสาสมัครสักสองสามคน  เราวางแจกันนี้ไว้ด้านหลัง แล้วให้ท่านดูว่าแจกันนี้มีน้ำหรือไม่มีน้ำ ห้ามยก ได้แต่มอง ได้ไหม ให้เข้าไปทีละคน  เชิญนั่งก่อนแล้วเข้าไปทีละคน เอาวางไว้ตรงนี้นะ เข้าไปดูทีละคนนะ เกมนี้ไม่ยากใช่ไหม ให้คนที่ดูเมื่อสักครู่เป็นตัวแทนเดินไปดูนะว่ามีน้ำหรือไม่มีน้ำ  คนแรกบอกตามความเป็นจริงว่าเห็นอย่างไรบ้าง (เท่าที่ดูไม่มีน้ำ) ดูเฉยๆ นี่ไม่มีใช่ไหม  ท่านต่อไป  บอกตามความเป็นจริงนะ (ไม่มี,ไม่เห็น, มี, ตอนที่ไม่ตั้งใจดูเห็น แต่ถ้าตั้งใจดูแล้วไม่เห็น)  ท่านคิดว่าในบรรดาคำตอบนี้ ใครพูดความจริง แล้วใครที่พูดความคิดเห็น  เวลาเราจะพิสูจน์เรื่องใดก็ตาม  เราต้องพูดถ่ายทอดความจริงใช่ไหม ถ้าเมื่อไรเราถ่ายทอดความเห็นผสมความจริง  คนที่ฟังจะพิสูจน์ไม่ได้ คนที่ฟังจะตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าคนที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เป็นตัวแทนของนักเรียนในชั้น เวลาเราได้แค่ดู  เราต้องพูดตามสิ่งที่เราดู จึงเรียกว่าถ่ายทอดความจริง แต่ถ้าไปดูแล้วเราใส่ความเห็นเข้าไปด้วย คนที่ฟังจะตัดสินใจลำบาก จริงไหม (จริง) 
ข้อเสียอย่างหนึ่ง ของมนุษย์เวลามองเห็นสิ่งใด มักไม่ยอมถ่ายทอดความจริงก่อน มักจะชอบนำอารมณ์ไปผสมในความจริงที่ตัวเองเห็นด้วย จริงไหม(จริง) ถ้ามนุษย์เราบอกว่าแค่มอง  แล้วก็กลับมาเดา  เดาไม่ได้ เพราะมันมองไม่เห็น “ถ้ามีไฟฉายหน่อย อาจจะดีกว่านี้” ใช่ไหม (ใช่)  อะไรคือความจริง อะไรคือความเห็น ความจริงก็คือเขาดูไม่ออก ใช่หรือไม่(ใช่) ส่วนความเห็นก็คือ ถ้าเขามีไฟฉาย  เราอยู่ในโลกนี้ บางครั้งที่เราไม่สามารถมองเห็นความจริงในโลกนี้ได้ก็เพราะว่ามนุษย์เราอดใส่ความรู้สึกลงไปในสิ่งที่ เห็น ฟัง สัมผัสไม่ได้ เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราจึงไม่รู้ความจริงจากปากคนสักที จริงไหม (จริง)  เวลาเราไปดูอะไรมา แล้วบอกเขาว่า ให้เล่าเรื่องให้ฟังหน่อย  เราก็ใส่อารมณ์ เราก็ใส่ความคิดอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ ถ้าเขาถามว่าหนังเรื่องนั้นสนุกไหม เราก็เล่าเป็นฉาก เป็นตอน บางทีเขาอยากฟังความคิด แต่เรากลับพูดความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้  การจะตัดสินใจอะไร ขอให้ซื่อๆ ตรงๆ กับสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่สัมผัส เมื่อมองเห็นได้จริง มองเห็นได้ชัดแล้ว เราก็จะตัดสินใจได้ว่า สิ่งที่เรามองอย่างซื่อๆ ตรงๆ นั้น จริงหรือเท็จ แต่ถ้าเราไม่สามารถมองได้อย่างซื่อๆ ตรงๆ สิ่งที่เรามองเห็นนั้นก็คือมายา ภาพลวง ที่เราเป็นคนสร้างขึ้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  
เรามีเสื้อไว้ใส่เพื่ออะไร (เพื่อปกปิดร่างกาย)  เพื่อปกปิดร่างกายเท่านั้น แต่บางทีดูไปดูมาเสื้อนั้นเป็นอย่างไร มันกลับยิ่งเปิด มากกว่าปิด ใช่ไหม (ใช่)  เราก็คิดว่า ไม่เป็นไร เปิดนิดๆ หน่อยๆ สวยดี ทั้งที่จุดประสงค์แรกในการใส่เสื้อผ้าก็คือปกปิดร่างกาย หรือไม่ก็คือคลายความหนาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีกลายเป็นอยากใส่ตัวนี้ แม้หนาวจะตาย แต่ก็อยากใส่ ใช่ไหม (ใช่)  เราจึงถูกภาพลวงหลอกตัวเราเอง หรือเรากำลังสร้างภาพลวงหลอกใจเราเองหรือเปล่าเมื่ออยู่บนโลกนี้ ฉะนั้นอย่าว่าคนอื่นหลอกเรา ถามตัวเราเองก่อนว่าเราหลอกตัวเองไปกี่ครั้ง แล้วตอนนี้เรากำลังจะหลอกตัวเองหรือเรากำลังจะมองเห็นตรงตามความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  
ท่านว่าใบไม้นี้สวยไหม (สวย)  แล้วดอกไม้นี้สวยไหม (สวย)  แล้วถ้าเปรียบเทียบอย่างไหนสวยกว่ากัน (ดอกไม้)  แล้วใบไม้ไม่สวยแล้วหรือ (ไม่สวย)  แล้วเมื่อสักครู่บอกว่าสวยไม่ใช่หรือ สวยไหม(สวย)  แต่ถ้าให้เลือกจะเลือกอะไร(ดอกไม้)  นั่นหมายความว่าอย่างไร เลือกสิ่งที่สวยกว่า สิ่งที่ดีกว่า ใช่หรือไม่(ใช่)  แต่ถ้าแจกันนี้จัดออกมามีแต่ดอกไม้ล้วนๆ สวยไหม (ไม่สวย)  ต้นไม้มีแต่ดอก แต่ไร้ใบ สวยไหม (ไม่สวย)  สวย สังเกตสิ ต้นไม้โกร๋นหมด แต่มีดอกสีแดงเต็มไปหมด ท่านบอกก็สวยนะ ใช่ไหม (ใช่)  ความสวยความงามใช่อยู่ที่รูปไหม แต่อยู่ที่ไหน (ตัวเรา)  ใช่ ตัวมนุษย์เป็นคนกำหนดต่างหาก ฉะนั้นถ้าวันนี้มีคนชมว่าสวยก็อย่าได้ภูมิอกภูมิใจ เผอิญว่าองค์ประกอบนั้นหาสวยไม่ได้แล้ว  ได้ไหม(ได้)  เขาเรียกว่าคิดแบบนี้เพื่อไม่ให้หลงตัวเอง ใช่หรือเปล่า(ใช่) เพราะคนบางคนพอสองคนชมว่าสวยบ่อยๆ เริ่มหลงว่าฉันสวย พอออกจากบ้านต้องสวยไว้ก่อน  ฉะนั้นบางครั้งคำชมดี ให้กำลังใจ แต่บางครั้งตัวเราต้องคอยยั้งใจไว้ด้วยเพื่อไม่ให้เราหลงไป  เพราะ คนที่ชมได้ก็เพราะว่ามีการเปรียบเทียบ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราอาจจะอยู่เหนือกว่า แต่ต่อไปคนที่เหนือกว่าเราก็มี จริงหรือไม่(จริง) ฉะนั้นสวยที่สุด ดีที่สุดนั้นควรอยู่ที่ไหน (ใจ)  เอาใจสวยดีกว่าใช่ไหม (ใช่)  ดอกไม้เป็นช่อกับดอกไม้เดี่ยวๆ ท่านเลือกแบบไหน (ช่อ)  แบบเดี่ยวติดอกง่าย แบบช่อถือไปหนัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นไหม ต้องค่อยๆ คิด เราจะคิดได้ว่าน้อยๆก็มีค่า อย่าบอกว่าไร้ค่า น้อยๆ นั่นแหละ บางทีกลับสะดวกและนำพาไปไหนได้ง่าย  มากๆ ถือไปกลับเกะกะและหนักด้วย  รู้อย่างนี้เอาน้อยๆ ดีกว่า เพราะฉะนั้นเราอยู่บนโลก เราควรโลภหรือไม่โลภ (ไม่โลภ)  อย่างนั้นเราคุยธรรมะกันเท่านี้พอนะ เอาน้อยๆ ดีกว่านะ แล้วเดี๋ยวเราก็กลับแล้วได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมน้อยไปหรือ
อย่างนั้นเราถามท่านหน่อยนะ บางทีเวลาถูกคนว่าใช้คำรุนแรง เจ็บๆ แสบๆ เราโกรธไหม (โกรธ) เราคิดว่าเขาไม่น่าพูดอย่างนี้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเราโมโห เราเผลอพูดเจ็บๆ แสบๆ ไหม (เผลอ)  อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าคิดได้จริงๆ คนที่คิดได้ต้องมีคารมที่ดี คนที่คิดได้ คนนั้นต้องไม่เผลอพูดไม่ดีตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงจะเรียกว่าคิดได้ และคนที่เห็นคนอื่นผิดได้ ตัวเองต้องไม่ผิดตาม นี่จึงจะเรียกว่ารู้จักว่าเขาได้ ถ้าว่าเขาได้  แต่ตัวเองก็เป็นตาม  อย่าไปว่าเขา ขายขี้หน้าใช่ไหม (ใช่)  เราควรเห็นใจเขามากกว่าว่าคงเป็นเพราะเขายังโกรธอยู่ เพราะเขาห่วง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครชอบกินอมยิ้มบ้าง มีคนยกมือ แปลว่าคนที่ไม่ยกมือ ไม่เคยกินมาก่อนใช่ไหม เคยชอบไหม (ชอบ)  พออมแล้วยิ้มไหม อมนานๆ แล้วยิ้มออกไหม เพราะอะไร (ฟันผุ)  ฟันผุหรือ แปลกนะความหวานพออมนานเกินไป อมมากเกินไป มันกลายเป็นแสบคอกลายเป็นโทษ แล้วบางทีพออ้าปากมีกลิ่นเหม็นด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าให้เลือกขมกับหวาน เราก็ต้องเลือกหวานไว้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแม้ว่าจะขมหรือแม้ว่าจะหวาน ทั้งความขมกับความหวานก็ต้องมีระยะเวลา อย่าหวังกับมันมากเกินไป เหมือนความรักความหวังดีกับเพื่อนที่มีให้กัน บางทีเราอดคิดไม่ได้ว่า เขาต้องให้เรามากกว่านี้สิ เหมือนเขารักเรา เราบอกต่อไปเขาคงต้องรักเราให้มากกว่านี้ และเขาต้องยิ่งเยอะขึ้นๆ  เราเคยหวังแบบนี้ไหม (เคย)  เหมือนแม่ให้เราร้อยบาท ต่อไปแม่ต้องให้ร้อยห้าสิบบาท หนูโตแล้วแม่ต้องให้สักสองร้อยบาท หนูโตขึ้นอีกแม่ต้องให้สามร้อยบาท พอเราได้ไม่ถึงอย่างที่หวัง เราก็เป็นอย่างไร (เสียใจ, ผิดหวัง)  แล้วเราก็ทำคนอื่นเจ็บปวดไปกับเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ท่านออกไปข้างนอกท่านก็ต้องขออนุญาตพ่อแม่ บอกคนที่รู้จักในบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เหมือนกัน ก่อนจะออกมาจากเบื้องฟ้า เบื้องบน เราก็ต้องขออนุญาตองค์มารดาเหมือนกัน ท่านก็มีแม่ เราก็มีแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนก็มีแม่ ฉะนั้นไปไหนมาไหนก็อย่าลืมบอกพ่อแม่ก่อน ถ้าท่านไม่ให้มา(ประชุมธรรม)จะมาไหม (มา)  อย่างนี้กำลังฝืนคำสั่งพ่อแม่หรือเปล่านะ อย่างนั้นเราก็ต้องรู้จักใช้คำพูดอย่างไรที่ทำให้ท่านอนุญาตให้มา ด้วยการโน้มน้าวเหตุผลที่ดี “หนูไปนะไม่ใช่เพื่อตัวเองนะ หนูไปแล้วหนูจะเอาบุญ เอากุศลมาฝากแม่” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเข้าวัดฟังธรรมเพื่อเอาสิ่งที่ดีไปฝากคนข้างหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเข้าวัดอย่าเอาฝุ่นกิเลสความไม่ดีในวัดกลับบ้านนะ หลายครั้งเวลาเราไปวัด แทนที่จะจำสิ่งที่ดี เราไม่ค่อยจำ  เราชอบนินทาคน เห็นคนนั้นผิด เห็นคนนี้ไม่ดี กลับไปเลยได้ไม่ดีกลับไป แถมตัวเรายังเป็นกิเลสเข้าไปอยู่ในวัดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นฝุ่นสกปรกทำให้วัดหมองมัวใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นไปวัดต้องไปด้วยใจบริสุทธิ์ ไปด้วยการที่คิดดีออกมาเราก็จะได้ดี อย่างนั้นวันนี้เราเป็นตัวกิเลสหรือเป็นตัวดีนะ
การใส่ชุดก็บ่งบอกความเป็นหญิงหรือชาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สวยไหม เสื้อสวยหรือเราสวย (เสื้อสวย) เสื้อสวยแปลว่าเราไม่สวยใช่ไหม พอเราอยู่กับเสื้อแล้วเสื้อหมองหรือเราหมอง สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่เสื้อผ้านะ สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจสำคัญกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งเราก็ลืมสนใจจิตใจคน เรามักจะสนใจคำพูดมากกว่าจิตใจ สนใจหน้าตามากกว่าสิ่งที่เขาแฝงอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่นเกมตีฉิ่ง ถ้าท่านพูดว่าตีฉิ่งหนึ่งครั้ง  ให้นักเรียนนั่งลง ถ้าท่านพูดว่า ตีฉิ่งสองครั้งให้นักเรียนยืนขึ้น )  ถ้าใครทำช้า เราจับเต้นลิง ได้ไหม(ได้)
สิ่งที่ทำให้คนอื่นมีความสุขได้เราจะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำให้คนอื่นมีความทุกข์เราจะถอยไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนยอมเป็นลิงด้วย ปรบมือให้หน่อยนะ แปลกอย่างหนึ่งนะ บางทีเรารู้ว่าอย่างนี้คือความสุข อย่างนี้คือความดี บางทีเราก็อายที่จะทำใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าอาย  ถ้าทำบ่อยๆ  เดี๋ยวเราก็ชิน เหมือนเราบอกว่าเรื่องดีงามเล็กๆ  น้อยๆ  บางทีทำไปเถอะ อย่างเช่นบางที เขาพึ่งแต่งตัวมาใหม่ๆ เราก็ไม่กล้าชม แต่ถ้าเราชมเขา เขาก็มั่นใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างเช่นชมเขาว่าแต่งตัวแปลกแต่สวย หรือชมว่าแต่งตัวสวยแต่แปลกก็ได้ ใช่หรือไม่(ใช่) เราต้องรู้จักให้กำลังใจคนนะ เรื่องดีเล็กๆ น้อยๆ ทำไปเถอะ ไม่ต้องรอให้ใหญ่ๆ แล้วทำ  เล็กๆ เราก็ทำนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทายจำนวนลูกอมในห่อใหญ่ว่า มีลูกอมอยู่ในห่อกี่เม็ด)
ลองทายว่ามีลูกอมอยู่ในห่อนี้กี่เม็ด ดูสิว่าจะมีใครทายถูกไหม(ร้อยเม็ด, ร้อยห้าสิบ, สองร้อย, แปดสิบ,ร้อยยี่สิบ, ร้อยยี่สิบห้า, เจ็ดสิบ, ร้อยสามสิบ, ร้อยแปดเม็ด, เก้าสิบเก้า
ในโลกนี้มักมีสิ่งที่เราชอบและสิ่งที่เราไม่ชอบ แล้วส่วนใหญ่สิ่งที่เราไม่ชอบมักเป็นสิ่งที่เราพบบ่อย แล้วสิ่งที่ชอบเรามักจะพบไม่บ่อย นานๆ ครั้ง อย่างนั้นแปลว่าสิ่งที่ชอบมักเป็นสิ่งที่นานๆ จะมาทีหนึ่ง สิ่งที่ไม่ชอบมักจะมาบ่อยๆ และพบบ่อยๆ  แปลว่าสิ่งที่ไม่ชอบมักจะเป็นจริง แต่สิ่งที่ชอบมักจะเป็นความลวงไหม ก็ไม่ถึงกับลวง แต่บางครั้งนานๆ จะพบได้ที เหมือนเราเสี่ยงทายลูกอม เราจะปักใจว่าเราจะทายถูกเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นในห้วงหัวใจที่เราทาย เราจะต้องเผื่อใจไว้ว่า  เราอาจจะคือคนที่ผิดหวัง จริงไหม (จริง)  แต่เราอยู่ในโลกเรามักจะคิดว่าเราเป็นคนที่ถูกและสมหวังเสมอ  เพราะฉะนั้นเวลามีเรื่องสองเรื่องให้คิด เรื่องหนึ่งคือเรื่องจริง เรื่องหนึ่งคือเรื่องชอบ มนุษย์ส่วนใหญ่มักเลือกเรื่องที่ชอบมากกว่าเรื่องที่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงทำให้เราต้องทุกข์กับสิ่งที่ชอบ แล้วก็เจ็บช้ำกับสิ่งที่จริงเสมอเลย ฉะนั้นเราอยากบอกท่านว่าอยู่บนโลกนี้อย่าทำอะไรตามใจชอบตลอด เพราะทำอะไรตามใจชอบ มักจะต้องผิดหวังเมื่อไม่ได้สิ่งที่ชอบ และรับไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องที่เป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นง่ายๆ การนับลูกอมนี้เอง ตอนนี้นับได้หนึ่งร้อยเม็ด แสดงว่าคนที่ทายว่าหนึ่งร้อยเตรียมผิดหวังได้เลย แล้วใครยังอยากทายอีก (ร้อยแปดสิบห้า, สองร้อย,  ร้อยเก้าสิบ, ร้อยแปดสิบ,ร้อยเจ็ดสิบห้า) แปลกนะผิดหวังแล้วเราก็ยังอยากเสี่ยงที่จะผิดหวังอีก แต่เผอิญว่านี่เป็นลูกอมนะ แต่ถ้าเป็นหน้าที่การงาน  ตำแหน่งชื่อเสียง เราคงไม่สนุกเหมือนนับลูกอม จริงไหม (จริง)  ชีวิตจริงๆนั้น จึงไม่ใช่แค่การเสี่ยงทายเท่านั้น ถึงโอกาสที่เราต้องตัดสินใจ ถึงมุมที่เราต้องเลือกอย่าเสี่ยงทาย อย่าให้หมอดูเดา เราต้องตัดสินใจด้วยชีวิตเราเอง แล้วจงมองว่านี่คือสิ่งที่ชอบหรือนี่คือสิ่งที่จริง แล้วสิ่งที่เรากำลังเลือกเป็นจริงแล้วเรารับได้ไหม ถ้าเราเลือกที่จะชอบเมื่อใดที่ผลเป็นด้านตรงกันข้ามเราจะอดทนสู้ไหวไหม จริงไหม (จริง)  มนุษย์มักจะมีช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงให้เลือก ช่วงให้ตัดสินใจ แล้วคนที่ต้องรับผิดชอบกับชีวิตของตัวเรา ก็ไม่ใช่คนอื่นใด ตัวเราเอง คนอื่นแค่ยุ แนะ แล้วก็ผลักดัน ฉะนั้นถ้าผิดแล้วไม่มีใครเขารับด้วยนะ เราต้องรับผิดชอบ เราต้องรับมือเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นใครที่นับลูกอมผิด  ไม่ตรง ให้ออกมาเต้นลิง บางทีเราก็ต้องยอมรับว่าเงื่อนไขเกิดขึ้นมาแล้ว เราคิดไม่ถึง  บางทีเราก็คิดไม่ถึง  อย่างเช่นบางทีเราชอบกินอันนี้ พอเกิดโรคถามหา เรากลับตกใจ ฉันเป็นมะเร็ง ฉันเป็นโรคเบาหวาน จริงไหม(จริง)  กลับบ้านไปเงินหายหมดเลย คิดถึงไหม(คิดไม่ถึง) แล้วจะมาบอกว่าฟ้ารอก่อนสิ เมื่อสักครู่ทำไมฟ้าไม่บอก  ถ้าสมมติว่าหัวหน้าทำกับท่านอย่างนี้  หัวหน้าทำอย่างนี้ไม่ถูก ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่าตัดสินผิดแล้วจะต้องรับโทษ มีใครจะบอกท่านไหม  ไม่มี ฉะนั้นอย่าโกรธเรานะ เรากำลังสอนบทเรียน ใช่ไหม (ใช่)  บางทีชีวิตเราคาดเดาไม่ได้ ฉะนั้นบางทีต้องกล้ายอมรับทุกรูปแบบ แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเลยก็ตาม จงทำใจรับแล้วก็ชอบมันให้ได้ เมื่อใดที่เราชอบมันเมื่อนั้นความจริงนั่นแหละจะทำให้เรามีสุข
ง่ายๆ เลยเรื่องความตาย กลัวไหม (กลัว)  แต่ถามจริงๆ รู้ไหมว่าต้องตาย (รู้)  แต่ถ้าวันนี้ความตายมาอยู่ตรงหน้า  รับได้ไหม ต้องรับนะ แต่บางคนขอดิ้นทุรนทุรายก่อน “ไม่เอาไม่อยากตาย” แต่เราอยากบอกท่านว่า ถ้าความทุกข์มาอยู่ตรงหน้า ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จงใช้ใจที่สงบ    ตัวตายแต่ใจไม่ตาย แล้วอะไรที่ทำให้ใจไม่ตาย วันนี้เราจะมาบอกท่าน ที่ตายนั้นตายแต่ตัว แต่ใจของท่านยังอยู่ในใจทุกคน มีค่ามหาศาลและเป็นอมตะ นั่นคือความดีนั่นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ท่านจะให้ความดีกี่คะแนน ถ้าเด็กทำความดีท่านให้กี่คะแนน (สิบคะแนน ร้อยคะแนน ร้อยเปอร์เซ็นต์ )
(สิ่งศักดิ์สิทธ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมทายจำนวนลูกอม) มีคนทายจำนวนลูกอมถูก คือหัวหน้าชั้นใช่ไหม (ใช่) การเป็นหัวหน้าชั้นมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ลูกน้องทำผิดหัวหน้าต้องรับโทษ ใช่หรือเปล่า ถ้าเด็กทำดีได้สิบคะแนน แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำดีได้ร้อยคะแนน แล้วยิ่งถ้าความดีนั้นเป็นการปกป้องเพื่อน ปกป้องลูกน้อง คะแนนยิ่งเพิ่มเป็นสองร้อยเลยใช่ไหม (ใช่) อยากเล่นเกมอีกไหม เริ่มกลัวๆแล้วใช่หรือเปล่า ไม่อยากจริงๆหรือ อย่างนั้นเราบอกไว้ก่อนว่าเล่นเกมต่อไปไม่มีการลงโทษแล้ว มีแต่การให้รางวัล เอาไหม (เอา)  
เกมนี้เรียกว่า เกมใบ้คำ ชอบเล่นใช่ไหม (ชอบ) แต่ว่าใบ้คำของเราจะไม่เหมือนกับใบ้คำที่ท่านเห็นนะ ใบ้คำของเราจะเป็นการเล่นใบ้คำในอากาศ เราจะเขียนตัวหนังสือแล้วให้ท่านทายว่าเราเขียนตัวอะไร ได้ไหม (ได้)  ดูนะฝึกสมาธิ เกมนี้ต้องฝึกสมาธิ เวลาดูอะไรต้องดูตั้งแต่ต้น แล้วจะเดาได้ว่าเรากำลังเขียนอะไร ใครทายถูกเดี๋ยวเราให้ลูกเขียวๆ แดงๆ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเขียนอักษรในอากาศเป็น “ล”) ถ้าเขียนแค่ตัวเดียวจะง่ายใช่ไหม ถ้าคราวนี้เขียนเป็นคำนะ ทายได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้เลยหรือ อย่างนั้นทีละตัว คำนี้อ่านว่าอะไร (กล้า) ทำไมรู้ เพราะเราเขียนช้าและเราหยุดเป็นช่วงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนั้นก็เหมือนกันนะ บางครั้งเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว มนุษย์เราอดที่จะนำมาเกี่ยวเนื่องกันไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) อย่างเช่นแต่ก่อนเราเคยมีความสุขอย่างนี้ เราก็มักจะยึดติดว่าตอนนี้เราก็ต้องมีความสุขอย่างนี้ไปตลอด แต่อย่าลืมว่าตัวหนังสือเมื่อเขียนจบหนึ่งตัวก็ต้องจบหนึ่งตัว ใช่ไหม(ใช่)  พอจบหนึ่งตัวมันก็กลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว แต่ถ้าช่วงที่กำลังเขียนอยู่นั้นกลับมีอีกตัวหนึ่งและก็อีกตัวหนึ่งต่อมาจนรวมกันเป็นตัวเดียวกันเราก็จะได้หนึ่งคำใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นหมายความว่าเรื่องบางเรื่องอาจจะอยู่ในช่วงที่ติดๆกัน เราเอามาคิดรวมกันได้ แต่เรื่องบางเรื่องกลายเป็นอดีตแล้วอย่ายึดติดกับอดีต ชีวิตต้องอยู่กับ (ปัจจุบัน) ใช่หรือเปล่า (ใช่)
 ถ้าเราเขียนติดต่อกันท่านจะเดาออกไหม ลองดูนะออกไม่ออก (ไม่ออก)  เรากำลังเขียนคำว่าละอาย เดายากนะ ยิ่งถึงที่สุดของชีวิตแล้วบางทีชีวิตก็คืออากาศธาตุแค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  เราพยายามเขียนบันทึกชีวิตเล่มหนึ่งให้กับตัวเองแต่ถึงที่สุดแล้วบันทึกของชีวิตนั้นก็ต้องกลายเป็นอากาศธาตุไป มีแต่สิ่งหนึ่งที่สามารถหลงเหลือและรักษาได้ดังที่เราบอกคือ (ความดี) แล้วดีอย่างไรที่ยังหลงเหลือในใจเขา ยกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดตายแล้วยังคงอยู่คู่กับมนุษย์คืออะไร ยุคนี้ยุคไหน ชาตินี้ชาติไหนก็ยังเห็นอยู่ทุกวัน ใครเดาถูกบ้าง (พระอาทิตย์) หรือว่าเกิดตายครั้งนี้แล้วไม่รู้ว่าจะได้เกิดอีก เลยเดาไม่ถูก (ธรรมะ,ธรรมชาติ,น้ำ,กรรม) ความจริง สัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมัยปู่ย่าตายายก่อนที่เราจะเกิดมาก็ยังอยู่ไม่ไปไหน มีดิน มีพระอาทิตย์ มีอะไรอีก ธรรมชาติคืออะไร (อากาศ,ฟ้า,ลมหายใจ) ลมหายใจอยู่หรือ ตายไปแล้วลมหายใจก็ไม่อยู่เป็นลมหายใจคนอื่นแล้วนะ สิ่งที่อยู่ถาวรที่สุดเลยแม้จะเกิดดับก็ยังมีอยู่ (ความดี, ฟ้า, พระจันทร์,โลก) แม้เราจะตายไปดินก็ยังอยู่ฟ้าก็ยังอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็ยังอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่าความเมตตาของฟ้าคือการให้กำเนิด คุณธรรมของแห่งดินคือการหล่อเลี้ยงอุ้มชูและไม่รังเกียจเดียดฉันท์รับทุกสภาวะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากรู้ว่าจิตใจอย่างไรที่จะทำให้อยู่ค้ำฟ้าค้ำดิน นั่นก็คือจิตใจที่มีแต่ให้ จิตใจที่รู้จักอดทนให้อภัย มีก็ให้ นี่คือจิตใจที่สามารถจะยังอยู่ค้ำฟ้าค้ำดินได้ ยากไหม (ยาก) ไม่ยากนะ แต่เวลาจะทำอาจจะยากสักหน่อยจริงไหม (จริง) การให้นี่ยากใช่ไหม (ใช่) เพราะมนุษย์มักจะคิดว่าทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายให้ทุกทีเลย ก่อนจะให้ ก็มักคิดว่าทำไมฉันต้องยอม จริงไหม (จริง)  เพราะว่าถ้าคิดอย่างนี้เมื่อไร แปลว่าเรากำลังมีอัตตาตัวตน เมื่อไรที่มีอัตตาตัวตน เมื่อนั้นเราจะกลายเป็นคนตาบอด  เหมือนผงเข้าตา แล้วตาบอด แล้วเมื่อไรที่เรามีอัตตาตัวตนเราก็จะคิดว่า ฉันต้องได้ก่อน คนอื่นได้ทีหลัง ฉันต้องมีก่อน คนอื่นมีทีหลัง  แต่เมื่อไรที่คิดแบบนี้เมื่อนั้นทำก็ไม่ขึ้น จริงไหม (จริง)  แต่เมื่อไรที่คิดว่า เราไม่มี เขามีก็ไม่เป็นไร เพราะว่าอะไรเราจึงพูดเช่นนี้ เพราะว่าถึงที่สุดของชีวิต การเป็นคนดี ไม่ใช่เพราะเรามีมากกว่าเขา แต่คือสิ่งที่เราเคยให้เขาต่างหาก จริงไหม (จริง) 
ท่านเคยเห็นไหมว่าคนในโลกตายไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่ ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่คือคุณงามความดีของคนๆ นั้น แล้วถ้าเราทำจนกระทั่งซื้อใจเขาได้ เขาก็จะเจริญรอยตามความดีของคนๆ นั้น อย่างเช่น องค์ใดที่ซื้อใจท่านได้ องค์ไหน (พ่อกับแม่)  พ่อกับแม่ซื้อใจท่านได้จริงๆ หรือ ถ้าพ่อ แม่ตายไป ท่านจะเจริญรอยตามปฏิปทาความตั้งใจของพ่อแม่จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  องค์ใดที่สามารถซื้อใจมนุษย์ทุกคนในโลกได้ (พระพุทธองค์)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ  ใช่ไหม  ท่านตายไปกี่พันปีแล้ว (สองพันห้าร้อยกว่าปี)  คัมภีร์ผุพังไปกี่รอบ ทำไมคนก็ยังเอามาเขียนใหม่ เอามาใช้ใหม่ นั่นแปลว่าความดีไม่เคยหายสาบสูญไปจากโลก และความดีอะไรล่ะ นั่นคือการรู้จักให้ ให้ถึงที่สุด จะทำให้เราไม่ได้ตายแค่ตัว แต่ชื่อเรายังอยู่ จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมเราถึงต้องทำดีล่ะ เพื่อเราอยากทิ้งชื่อไว้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนเราทำดีเพราะอยากให้คนชม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ความดีเหมือนเพชร เพชรยิ่งซ่อนลึกล้ำมากขนาดไหน เพชรนั้นยิ่งมีค่า ความดียิ่งเด่นออกมาเท่าไร เพชรยิ่งถูกหมิ่นราคาจริงไหม (จริง)  เหมือนกันถ้าจะทำความดีอย่าหวังคนชม ถ้าทำดีเพื่อหวังคนชมจะเป็นเพชรที่ราคาถูก หาได้กลาดเกลื่อน แต่จงทำดีอย่างไม่หวังผล  ทำดีแม้ไม่มีใครเห็นก็ทำ  ความดีนั้นจะเป็นความดีเหมือนเพชรที่หาได้ยากถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วทำไมถึงต้องทำดีอีกล่ะ เราอยากบอกเหตุผลมากๆ นะ เพื่อกลับไปแล้วท่านจะได้ไปทำดี
ใครอยากรวยบ้าง ยกมือขึ้นพูดมาจากใจไม่ต้องกลัว ใครๆ ก็อยากรวย เราก็อยากรวยนะ แต่การรวยของเราแตกต่างจากการอยากรวยของทุกท่าน  เราอยากรวยคุณงามความดี เราอยากรวยความที่รู้จักให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เราอยากรวยในการมีเรี่ยวแรงที่จะกระทำเพื่อคนอื่น เราอยากรวยเรี่ยวแรงที่จะมีแรงไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่มนุษย์ในโลกอยากรวยในทรัพย์ปัจจุบัน จริงไหม (จริง)  มนุษย์เราดิ้นรนขวนขวายเพื่อหาทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทรัพย์ปัจจุบันนี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์หลงหัวปักหัวปำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะบอกว่าคนเรานั้นถ้าไม่มีบุญ แม้จะหาทรัพย์มาแทบตาย วันนั้นก็ไม่สามารถใช้ได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นหาจนตายแต่ถ้าไม่มีบุญในการหาทรัพย์ ไม่มีบุญในการสร้างทรัพย์ คนนั้นก็เหนื่อยเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังอยากหาไหม (อยาก)  ถ้าเช่นนั้นเราจะบอกให้ว่าหาอย่างไรถึงจะรวยทรัพย์ได้อย่างแท้จริง เอาไหม (เอา)  ฉะนั้นทนฟังอีกครู่หนึ่งนะ  เมื่อครู่เราค้างเรื่องทำอย่างไรจึงจะมีทรัพย์ได้  ถ้าเราไม่สร้างบุญเราก็จะไม่มีทรัพย์ จริงไหม (จริง)  เราอยากบอกท่านว่าคนบางคนไม่ต้องทำอะไรเลยก็มีเงินมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เรามีก็อย่าได้ตระหนี่ เวลาให้เราก็คิดว่าเฉือนเนื้อตนเอง คนอย่างนี้ถึงจะมีบุญ สักวันบุญก็ย่อมหมดถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราเป็นคนที่บุญน้อย เงินก็น้อย แต่เรายังรู้จักให้ และไม่หยุดให้ นั่นแหละเป็นคนที่รู้จักสร้างบุญ และรู้จักสร้างทรัพย์ แค่นี้เอง แต่มนุษย์มักมีข้อต่อรองในการให้ ขอมีมากๆ ก่อนแล้วค่อยให้ ใช่ไหม (ใช่)  มีมากๆ แล้วค่อยให้นั้นบุญน้อย  แต่มีน้อยๆ แล้วยังให้นั้นบุญใหญ่   ท่านเห็นคนรวยๆ เขาให้เงินหนึ่งล้าน เขากระทบกระเทือนกับความรวยของเขาไหม (ไม่)  แต่ถ้าเรามีน้อยๆ แต่เราให้ไปเกือบค่อนหนึ่ง บุญใหญ่ยิ่งนัก ฉะนั้นการแสวงหาแต่ไม่เคยให้ มีแต่เก็บแล้วไม่เคยเผื่อแผ่ ถึงแม้เขาจะมีบุญ สักวันเขาย่อมอับบุญ แล้วคนแบบนี้ในทางกลับกัน ถึงแม้เขาเป็นคนอับบุญ แต่เขามีน้อยเขาก็ยังรู้จักให้ ความอับบุญของเขา ก็จะกลายเป็นความมีบุญได้
ฉะนั้นชะตาชีวิตเขียนขึ้นด้วยตัวท่านเอง แล้วลบได้หรือสร้างขึ้นมาใหม่ได้ก็อยู่ที่ตัวท่านนั่นเองเช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าช่วงที่ลำบากที่สุด เรายังสร้างบุญ ช่วงที่อัตคัดเรายังสร้างบุญ คนๆ นั้นแหละคือคนที่สร้างบุญที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ จริงไหม (จริง)  แล้วการเป็นคนดีนั้นดีไหม (ดี)  แปลกนะมนุษย์เราเกิดมาพ่อแม่ก็อยากได้ลูกที่ดี ผู้หญิงก็อยากได้แฟนที่ดี ผู้ชายก็อยากได้ภรรยาที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเรามีเพื่อนก็อยากได้เพื่อนที่ดี แล้วทำไมถึงต้องหาคำว่าดี เพราะอะไรท่านรู้ไหม ใครตอบเราได้ ตอบได้ไหมว่าทำไมต้องหาลูกที่ดี แฟนที่ดี (สิ่งที่ดีนำความสุขมาให้เสมอ)  เพราะอะไร (ความดีไม่นำความวุ่นวายมาสู่เรา, เพราะความดีนำความสุขสบายใจมาให้เรา)  จริงหรือ จริงแน่นอนนะ  ถ้าหากมีคนชมว่าท่านเป็นคนดี หุ่นก็ดี ทุกข์ไหม (ความดีทำให้เราดำรงชีวิตอย่างมีความสุข)

เราอยากรู้นักว่าเพราะอะไรเราถึงอยากเป็นคนดีและอยากได้คนดีอยู่ข้างๆ ท่านอยากได้ลูกที่ดี แฟนที่ดีใช่ไหม (ใช่) ทำไมถึงอยากได้แฟนดี (เพราะใจดี,มีน้ำใจ ทำผิดก็ไม่โกรธ)  เวลาไปเที่ยวก็ไม่ว่าใช่ไหม อย่างนี้ไม่เรียกว่าแฟนใจดีแล้ว เราอยากได้แฟนที่อดทนเราได้ เราด่าแฟน แฟนก็ไม่โกรธเรา อย่างนี้แฟนก็ต้องอภัยให้เรา ใช่ไหม (ใช่) จริงๆ แล้วเราอยากได้สิ่งที่ดี เพราะว่าอะไรกันแน่ เพราะว่าเขาดีแล้วเราได้ดี หรือว่าเพราะว่าเขาดีแล้วเราจะไม่โชคร้าย
สาเหตุหนึ่งที่มนุษย์อยากได้คนดีเพราะว่าอยู่ใกล้คนดีแล้วมีสุข อยู่ใกล้คนดีแล้วไม่เกิดทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)   อยู่ใกล้คนดีแล้วไม่วุ่นวายใจ  แต่คำว่าดีของคนนั้นมีหลายระดับเหลือเกิน คนดีต้องอดทนเก่ง ต้องเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  คนดีต้องให้อภัย ต้องไม่ขี้บ่น แท้จริงแล้วคนดีนั้นเป็นอย่างไร ในความรู้สึกท่าน    (คนดีไม่ทำให้คนอยู่รอบข้างเดือดร้อน) คือไม่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนใช่ไหม (ใช่) คนบางคนอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรให้เธอเดือดร้อน แต่เธอรำคาญ เพราะอะไรเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เราเดือดร้อน แต่วันๆ  กินๆ นอนๆ แต่ไม่ล้างจาน หรือล้างแต่จานของตัวเอง เดือดร้อนไหม เก็บที่นอนก็เก็บแต่ของตัวเอง  ทำอะไรกินก็ทำแต่ของตัวเอง เดือดร้อนไหม  เขาไม่ผิดไม่ทำให้เดือดร้อน แล้วดีไหม (ไม่ดี) ไม่ดีเพราะอะไร (ไม่ทำให้เราด้วย)
ความดีคือการรู้จักทำเพื่อคนอื่น ความดีที่แท้จริงในหัวใจท่านที่ท่านต้องการคือการรู้จักทำเพื่อคนอื่น รู้จักยอมในสิ่งที่เราไม่อยากยอม  เราบ่นได้แต่เขาต้องไม่บ่น เราโมโหได้แต่เขาต้องไม่โมโห นี่คือคนดีของท่านใช่ไหม ถามจริงๆ  คนดีของมนุษย์มักจะเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นคนที่ให้อย่างเดียว ให้เท่าที่ให้ได้ ท่านจะรู้สึกว่าเพื่อนคนนั้นดีจริงๆ ขอกี่ทีเขาก็ให้ ถ้าเมื่อใดเขาทวง เมื่อนั้นท่านจะว่าเพื่อนเริ่มไม่ดีแล้ว ฉะนั้นท่านจงยอมรับว่าคนที่ดียากนั้นเพราะมนุษย์ทำให้ยาก ไม่ได้ทำดียากเพราะใครเลย  ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราอยากบอกว่าอะไรที่เป็นมาตรฐานที่เรียกว่าดี อยากรู้ไหมโปรดติดตามตอนต่อไป วันนี้เราไม่บอกหมด ถ้าบอกหมดแล้วพรุ่งนี้ไม่มา แต่เราจะบอกเหตุผลคร่าวๆ อย่างหนึ่งว่าการทำดี มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ความดีนี้จะผลักดันให้เราพ้นทุกข์ แต่ถ้าเรายอมทำชั่ว สูบบุหรี่ กินเหล้า โกหก ชอบด่าคน ชอบนินทา ความชั่วร้ายจะทำให้มนุษย์เวียนว่าย วนไม่จบสิ้น เลือกเอานะ เอาแค่นี้ อยากดีเพราะพ้นทุกข์หรืออยากชั่วแล้วเวียนวน ถ้าแค่เหตุผลนี้แล้วยอมทำชั่วก็สุดแล้วแต่ท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกมเคลื่อนไหวร่างกายโยกซ้ายแล้วโยกขวา)  ธรรมชาติของมนุษย์คือการเคลื่อนไหวไม่ตายตัว แล้วอะไรที่ตายตัวในตัวเรา บางทีเรายึดติดนิสัย ใช่ไหม (ใช่) ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้บ่น ยอมรับว่าตัวเองกินจุ  ยอมรับว่าตัวเองจู้จี้ เรื่องมาก การที่ยอมรับคือการฆ่าตัวเองตาย  จริงไหม (จริง)  แต่การยอมรับแล้วต้องไม่ตายตัว ยอมรับแล้วต้องรู้จักพลิกแพลง แล้วเราจะไม่ฆ่าตัวตาย เหมือนกับการโยกซ้ายแล้วต้องโยกขวา โยกซ้ายสองทีแล้วต้องกลับมาโยกขวาจึงสมดุล คนเราใจเย็นเกินไป อารมณ์ร้อนมากเกินไปก็ไม่ดี ฉะนั้นควรอยู่อย่างพอดีๆ  คือ เวลาที่โมโห ก็โมโหอย่างคนที่มีสติ อย่าโมโหอย่างคนที่โวยวาย ถึงเวลาที่ทุกข์ จงทุกข์แต่กายแต่ใจอย่าทุกข์ ใจจงมีสติ มีความสุขุม แล้วใช้ปัญญาค่อยๆ แก้ แล้วชีวิตจะโยกซ้าย หรือโยกขวาก็ไม่ทุกข์เลย จริงไหม (จริง)  แต่ทำไมบางทีโยกซ้ายแล้วเอวเคล็ด โยกขวาแล้วสะโพกยอก นั่นเพราะว่าเราไม่ยอมฝืนตัวเองในบางครั้ง คิดว่าเราเป็นคนอย่างนี้แล้วไม่แก้ให้ดีกว่านี้ ยังคิดอย่างเดิมตลอดได้ไหม(ไม่ได้)
ก็มีหรือไม่ การศึกษาธรรมะก็เพื่อนำพาชีวิตให้ไปสู่ทางที่ดี ทางที่พ้นทุกข์ แล้วทางไหนที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ ตอนนี้ท่านต้องคิดแล้วนะ ชีวิตนี้เหมือนสายน้ำสายหนึ่งสักวันต้องไปถึงจุดสิ้นสุด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อถึงจุดสิ้นสุดแล้วทำไมเราต้องเจ็บปวดกับการพลัดพราก  เราหาความสงบในจิตบั้นปลายไม่ได้หรือ ถ้าจุดบั้นปลายของชีวิตคือความพลัดพราก คือความสิ้นสุด ตอนนั้นเรารู้จักปลง รู้จักปล่อยวาง รู้จักทำใจ การพลัดพรากหรือความสิ้นสุดก็ไม่ทำให้เราต้องทุกข์มากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแล้วท่านคิดตามไหมนี่ วันนี้เราคงพูดแค่นี้ก่อน ถ้าอยากจะศึกษาธรรมะให้เข้าใจมากกว่านี้ วันนี้คงไม่สามารถรู้เรื่องได้ทั้งหมด ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าจะบอกว่าให้พูดลึกล้ำและอยากให้เราพูดให้ลึกซึ้งถึงแก่น  เราบอกท่านประโยคเดียว ใครจะเข้าถึงได้บ้าง ธรรมะที่ลึกๆเอาไหม (เอา) ลองดูนะว่าฟังแล้วจะลึกแล้วเข้าใจรู้แจ้งหรือเปล่า มนุษย์เราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย จริงไหม (จริงเรามาตัวเปล่า ไปก็ไปตัวเปล่า แล้วฉะนั้นทุกข์อะไร ทำไมต้องทุกข์และตรงไหนที่ทำให้ทุกข์ ฟังจบแล้วเข้าใจไหม คิดให้ดีนะ ง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง  อะไรที่นำทุกข์ เมื่อมาตัวเปล่าไปตัวเปล่า แต่คนด่าทำไมทุกข์ คนตีทำไมเราเจ็บ เมื่อตายทำไมเราต้องดิ้นทุรนทุรายในเมื่อความตายก็คือการกลับไปสู่สิ่งเดิมที่เรามีอยู่ใช่ไหม (ใช่) อะไรคือสิ่งที่เราต้องเจ็บปวด มันไม่มี ถึงที่สุดแล้วมนุษย์ต้องกลับไปสู่ความว่างเปล่า เรามาตัวเปล่าเราก็กลับไปตัวเปล่าแต่เพราะชื่อ เพราะร่างกาย เพราะอารมณ์ เพราะนิสัยความเคยชิน มันทำให้เราเจ็บ ใช่ไหม (ใช่) ตอนเรามาเรามีอะไรไหม เรารู้จักชื่อนี้ไหม แต่ก่อนเรายังไม่รู้จักชื่อนี้  อะไรคือความโกรธ ไม่รู้ อะไรคือความรัก ยังไม่เข้าใจ  แต่ตอนนี้เรามีมากมายแล้วถึงเวลาเราต้องกลับไปเป็นศูนย์ ทำไมเรากลับไปไม่ได้ เพราะเรายึดมันไว้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรากำลังยึดกับอะไร ตัวนี้มันยึดได้ไหม แล้วเรากำลังยึดอยู่กับอะไร ไม่มีนี่
เรากำลังยึดอยู่กับสิ่งสมมุติแล้วสิ่งสมมุติอะไรมีอิทธิพลกับใจเรานัก เพราะเรายอมให้มันมีที่ในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถามจริงๆถึงที่สุดเราทุกข์เพราะอะไร คิดให้ดีดีนะ แล้วจนถึงที่สุดมนุษย์จะอยู่อย่างอิสรเสรีได้ ถ้าเราไร้ซึ่งตัวตน (นักเรียนเรียนถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าปล่อยวางได้ไหม)  แล้วก็ปล่อยคำว่าปล่อยวางด้วย ใช่ไหม (ใช่) ปากเราพูดว่าปล่อยวาง เหมือนเราพยายามนั่งสมาธิเพื่อให้สงบแท้จริงมันถูกต้องหรือเปล่า ความสงบที่แท้จริงก็คือแม้ยืนอยู่กับคนนี้เราก็สงบได้ อย่ามีสมาธิแค่ตอนนั่ง คนที่มีสมาธิที่แท้จริงคือ อยู่ที่ไหนจำได้ไม่เคยลืมว่า ถอดรองเท้าข้างซ้ายก่อนหรือถอดข้างขวาก่อนยังจำได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดธรรมดาก็สนุกดี พูดยากๆ ก็ขอให้เข้าใจด้วยนะ ถึงเวลาเราก็ไปแล้วอย่าคิดว่าเรามาเล่นละครเลยนะ ละครนี้คงไม่สนุกแน่ถ้าท่านเห็นว่าเราหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่) 

(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ใครอยากคุยกับเราบ้าง คุยอะไรดี (แล้วแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา) สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเกือบทุกครั้งแล้วนะ ไม่มีครั้งไหนไม่เมตตาเลยนะ  มีครั้งนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะใจดำบ้างดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ (ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใจดำ พวกเราก็ไม่ได้กลับคืนไป)  อย่างนี้ก็เสียชื่อหมดสิ ต้องคิดว่าเมื่อไรที่เราถูกกดให้รู้สึกแย่ เมื่อไรที่เราถูกบีบให้กลายเป็นคนผิด หรือว่า เมื่อไรที่เราถูกซัดทอดจนกลายเป็นคนที่ชั่วร้าย  ถ้าตอนนั้นเราโดนแล้วเรารู้สึกขนาดนั้น แต่เรายังรู้จักรักษาความดี ไม่รู้สึกแย่ไปตามคนไม่ดี ไม่รู้สึกผิดไปตามคนที่ใส่ร้าย  เรายังรักษาความดีในใจได้ ไม่โกรธเขา ไม่เกลียดเขา ไม่ด่าเขา เราคือสุดยอดคน เราคือคนดีที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกครั้งเลย คนส่วนใหญ่มักจะเป็น พอโดนด่าถึงที่สุด เรารู้สึกอายไหม (อาย)  เรารู้สึกผิดไหม (ผิด)  แต่ถ้าตอนนั้นเรารู้สึกผิด รู้สึกอาย รู้สึกแย่  แต่ในขณะนั้นเราก็ไม่โกรธ ไม่คิดว่าทำไมคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้  แต่เรารู้สึกว่าเขาห่วงนะ  เขามีมุมมองอีกมุมหนึ่งที่แตกต่างนะ  เราอาจจะมองไม่เห็นแล้วเราลืมหรือข้ามไป เราจะเป็นคนที่รักษาอารมณ์ได้ เขาว่าได้แต่เขาทำร้ายใจเราไม่ได้ จริงไหม (จริง) 
ฉะนั้นอย่าได้กลัวความเห็นแก่ตัวของคน อย่าได้กลัวคำด่าร้ายของคน  วันใดที่เราเจอคนที่เห็นแก่ตัว วันใดที่เราเจอคนด่าว่าร้าย  วันนั้นคือวันที่เราจะได้เห็นคนดี หรือไม่ดีต่างหาก จริงไหม (จริง)  ถ้าวันใดเจอแบบนั้น ให้จำไว้เลยว่า วันนั้นเป็นวันที่จะได้ทดสอบใจ ว่าท่านจะได้เป็นคนดีแท้ หรือคนดีจอมปลอม  คนดีที่แท้ไม่ใช่เจอภาวะปกติแล้วเรียกว่าดี แต่คนดีที่แท้คือคนที่เจอภาวะบีบคั้นแล้วยังรักษาความดีในใจได้ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราจะทำให้ท่านเห็นแก่ตัว ก็จงอย่าเห็นแก่ตัว แต่ต้องพยายามคิดว่าเพราะอะไร เขาถึงบีบให้เราทำแบบนี้  แล้วพยายามยืนหยัดสิ่งที่ดีไว้ไม่ใช่ทำไม่ได้ แล้วเราฟาดหัวฟาดหางเลยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วก็โยนความผิดไปให้เขาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  คนที่จิตใจเข้มแข็งในการบำเพ็ญคือคนที่ถูกว่า ถูกด่าแล้วไม่ปริปากบ่น  แต่คือคนที่สามารถอดทน อดกลั้นแล้วสามารถฟันฝ่าได้  คนนั้นต่างหากที่เป็นคนดีจริง และกำลังบำเพ็ญได้จริง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมต้องให้เราบอก ถ้าท่านคิดได้ทุกเรื่องทุกราวไม่ต้องมีใครมาบอกหรอก  ตัวท่านเองนั่นแหละ กำลังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจ ไม่ต้องรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้กำลังใจที่นี่ก็ได้ใช่ไหม (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘  พุทธสถานเจาหยู จ.เชียงใหม่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อยู่ท่ามกลางหมู่พฤกษาเนิ่นนานวัน      อันชีพนั้นย่อมลืมถึงความหอม
ปล่อยชีวิตกลางสังคมย่อมถูกย้อม          จงรู้อยู่แวดล้อมเมื่อธำรง

                        เราคือ
  จี้กง สงฆ์วิปลาส                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์รักทุกคน  ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  จงถือความถูกมาเข้าใจง่าย                 อย่าเป็นความคิดตายตัวสับสน
บำเพ็ญหลักหนักมาแก้ใช่กังวล              สู้โดยไม่เป็นคนกลัวประลอง
มักใหญ่ติดใจมายาใช่ฉัน                      คงความไม่อยากสำคัญเบาสมอง
เมตตาได้ใครหยั่งดั่งอิ่มท้อง                  ตระหนี่ของของยืนยันตัวบุคคล
สัจจะในดวงตาหน้าต่างใจ                    ระอาในใจอยู่กลางแดดฝน
บำเพ็ญอันหยัดยืนเรียกร้องตน               ใส่ใจคนกระนั้นอย่าทำลายตัว

ฮา  ฮา  หยุด
เร่งเร่งเดินกันไป เซื่องเซื่องไม่ทันใจ บำเพ็ญรักตน ง่ายก็มีครรลอง ยากก็มีครรลอง ประคองให้พ้น
รู้ใช่เพื่อรำคาญ ไม่พร้อมไปนานนาน ก้าวพลาดทุกคน ต้องกล้ามีเวลา ต้องกล้ามีปัญญา ไม่กล้าวกวน
*หัดเป็นคนเป็นมิตร ไม่หน้าบึ้งกับใคร เสน่ห์คนมากหลาย เลือกให้เข้ากับตน แต่ต่างคนต่างรู้นะ เลือกไว้มักไม่เข้ากับตน
**ถึงแม้มากันเมื่อสาย แต่ไปให้พร้อมกัน ความคิดมักคนละด้าน ทำให้ทุกข์ตัว จงกล้าคิดปลุกชีวิต กล้าลงแรงกว่านี้ ถึงแม้มาจากที่ใด แต่ไปให้พร้อมกัน ความคิดที่คนละด้านในที่นี้ เมื่อทบทวนมักพบในความหวังดี (เมื่อทบทวน ก็มักพบในความหวังดี)
มุ่งมั่นกันเพียงใด ไม่เที่ยงข้างในใจ บำเพ็ญแล้วรวน ก็ต้องมีใจมา ไม่ใช่ทำเย็นชา อย่าหมิ่นน้ำใจ (ซ้ำ * , ** ,**)

                                                                ชื่อเพลง : มีความเป็นมิตรกับทุกคน
                                                ทำนองเพลง : รักคนมีเจ้าของ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ที่นี่มีพัดเยอะมากเลยให้อาจารย์เลือกอันไหนดี อันไหนดีกว่า อันใหญ่หรือ เพราะอะไรถึงเลือกอันใหญ่ (เพราะเย็น) อันนี้ไม่ได้หรือ อาจารย์ชอบอันนี้  ได้ไหม อันนี้ก็พัดเย็น หรือเลือกอันนี้ดี อันไหนดีกว่า ใครว่าอันขาวอันนี้ อันนี้ก็พัดเย็น ใช่ไหม  ถ้าเวลาเราร้อนเราก็ทำอย่างไร (พัด) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ มีพัดหลายอันอันไหนเหมาะกับอาจารย์
ทำไมถึงว่าอันใหญ่ล่ะ เพราะอะไรถึงไม่เลือกพัดแบบเด็กๆ ล่ะ ไม่เหมาะสมใช่ไหม (ใช่) วันนี้ถ้าอาจารย์จะมาโปรดเด็กๆ อาจารย์ก็ต้องใช้พัดแบบเด็กๆ ใช่ไหม เพราะว่าอาจารย์เห็นศิษย์เหมือนเด็ก แต่ศิษย์ให้อาจารย์เลือกอันใหญ่ อาจารย์ว่ามันแก่มาก แปลว่าในใจศิษย์ยอมรับว่าตัวเป็นคนแก่หรือ ไม่ชอบอะไรที่เป็นเด็กๆ หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมอันนี้ถึงไม่เลือกล่ะ มันดูผู้หญิงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เลือกพัดที่เหมาะกับเด็กดีหรือกับคนแก่ดี (คนแก่)  อาจารย์อยากบอกว่าบางครั้งเราอยู่ร่วมกัน บางทีเราอยู่กับเด็กเราก็ต้องใช้ความเป็นเด็กไปคุยกับเขา อย่าเอาความเป็นผู้ใหญ่คุยกับเขา ไม่อย่างนั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วถ้าอยู่กับผู้ใหญ่แต่เอาความเป็นเด็กไปคุยกับผู้ใหญ่ บางครั้งก็คุยกันไปไม่ได้ แต่ถ้าบางทีเรากำลังต้องการอยากได้อะไรจากผู้ใหญ่ เราทำตัวเป็นผู้ใหญ่ คุยกับผู้ใหญ่จะได้ไหม บางทีก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าผู้ใหญ่คนนั้นมีอัตตาตัวตนสูง แล้วเราเอาความเป็นผู้ใหญ่ไปคุยด้วย เป็นอย่างไร มักจะล้มเหลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  สู้เอาความเป็นเด็กไปคุยด้วยไม่ได้ ฉะนั้นเราอยู่ในสังคมอย่ายึดตัวตนอย่างตายตัว ว่าโตแล้วทำตัวเป็นเด็กไม่ได้ ไม่ถูกเสมอไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งต้องเป็นเด็กบ้าง เป็นผู้ใหญ่บ้าง  คุยกับศิษย์ในที่นี้อาจารย์จะสละความเป็นเด็กดีหรือสละความเป็นผู้ใหญ่ดี  ถ้าเอาความเป็นผู้ใหญ่ออกไป เหลือความเป็นเด็กไว้วันนี้อาจารย์จะต้องเป็นเด็กที่ไม่ค่อยรู้แล้วมาถามศิษย์ดีไหม (ไม่ดี)  เรามาจับเข่าคุยกัน แบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่
วันนี้เป็นวันที่เท่าไรในการศึกษาธรรม วันที่สองนะ เหลืออีกกี่วัน (หนึ่งวัน)  เหลืออีกแค่หนึ่งวัน หรือเหลืออีกตั้งหนึ่งวัน (แค่หนึ่งวัน)  คำว่าแค่กับตั้งนี่ความหมายต่างกันไหม (ต่าง)  แค่นี่ให้ความรู้สึกว่า (น้อย)  แต่ตั้งหนึ่งวันนี่แปลว่า (มาก)  ฉะนั้นเราพูดอะไรขอให้คิดดีๆ คำพูดแสดงออกถึงความรู้สึกลึกๆ ในใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้อยู่ในห้องพระ ดมแต่กลิ่นธูปตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ออกไป กลิ่นที่ติดก็เป็นกลิ่นของควันธูป แต่ถ้าว่าเราไปอยู่ในที่มืดๆ สูบบุหรี่ ฟังเพลง กินเหล้า กลิ่นที่เราติดตัวมาก็เป็นกลิ่นบุหรี่ เหล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พออยู่นานๆ แล้วเรารู้สึกว่ากลิ่นนั้นมันติดตัวไหม (ติด)  ติดนะ แต่ว่าติดแล้วก็ชิน ตอนแรกอาจรู้สึกเหม็น แต่นานๆ ไปก็เริ่มรู้สึกชิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นระหว่างชินกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ กับชินกลิ่นธูปควัน อย่างไรน่าชินมากกว่ากัน (กลิ่นธูป)  กลิ่นธูป กลิ่นควัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าต่อไปจะเข้าห้องพระบ่อยกว่าไปเที่ยวกลางคืน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งไหมว่า “ปลาอยู่ในน้ำ มองไม่เห็นน้ำ นกบินอยู่บนฟ้า มองไม่เห็นฟ้า คนอยู่กลางสังคม ไม่รู้ว่าสังคมนั้นคืออะไร” จริงไหม (จริง)  ตัวเราเองอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมในสังคมมากมาย บางครั้งเราก็เผลอติดนิสัยตามผู้คนในสังคมไปโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรที่เราติดจากสังคมกันมากที่สุด บ่อยที่สุด (เกียรติยศ, ค่านิยม, ความสะดวกสบาย, ชื่อเสียงเงินทอง, วัตถุ, ความโก้เก๋หรูหรายิ่งใหญ่, ติดเพื่อน, ความมัวเมาเหล้าบุหรี่)  วันนี้เป็นวันอะไร (วิสาขบูชา)  ขณะนี้สังคมกำลังรณรงค์กันเรื่องสัจจอธิษฐาน ใหม่ที่สุด สดที่สุดคือเรื่องนี้ แปลว่าอาจารย์ทันสมัยกว่าศิษย์  เขารณรงค์ให้ทุกคนตั้งใจที่จะทำความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรเขาถึงรณรงค์ ถ้าทุกคนดีเขาจะรณรงค์ให้ทำดีไหม (ไม่)  แปลว่าตอนนี้ความดีนั้นหาได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนคิดที่จะปฏิบัติดีนั้น น้อยเต็มที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านที่จะทำดีกันหลายคนกลับนิ่งเฉย อยู่เฉยๆ ไม่คิดที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเขาจึงรณรงค์เรื่องนี้ แล้ววันนี้เราจะทำอะไรให้ดีขึ้นบ้างล่ะ คิดบ้างไหม  เรามาคุยกันดีกว่านะว่าทำอย่างไรเรียกว่าทำความดี แล้วทำอย่างไรเรียกว่าทำความชั่ว  อย่างนั้นอาจารย์ถามพื้นฐานความเข้าใจก่อนว่า ความดีความชั่วในใจของศิษย์ทุกคนคิดว่าเป็นอย่างไร
ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (นักเรียนในชั้นเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง) ถ้าอาจารย์ไม่นั่ง ศิษย์ก็ (ไม่นั่ง) จริงหรือเปล่า (จริง) อาจารย์ว่าอาจารย์ได้ยินเสียงศิษย์ฝ่ายหญิงมากกว่าศิษย์ฝ่ายชายนะ ศิษย์ฝ่ายชายไม่ได้พกวาจาหรือคำพูดมาด้วยหรือ ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์จะ (ยืน) จริงหรือโดยปกติอาจารย์จี้กงมาถามผู้ปฏิบัติงานธรรมว่าได้ยืนหรือได้นั่ง (ยืน)  ถ้าอาจารย์ จี้กงยืนศิษย์จะ (ยืน) ส่วนใหญ่อาจารย์จี้กงมากี่ชั่วโมง (สองถึงสี่ชั่วโมง) มากสุดสามถึงสี่ชั่วโมงนะ ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์จะ (ยืน)  อาจารย์ว่าแล้วเสียงต้องเบาลงๆ ไม่มีทางดังเหมือนเดิมได้ สี่ชั่วโมงนะ อาจารย์ต้องดูผู้สูงวัย ถ้าอาจารย์ยืนสี่ชั่วโมงศิษย์จะยืนหรือนั่ง (ตาย) ยังไม่ทันตอบเลยบอกตายแล้ว ตายเลยหรือศิษย์ สี่ชั่วโมงยืนตายเลยหรือ ไม่หรอกเวลาอาจารย์เห็นศิษย์ทำงานศิษย์ยังยืนได้เป็นชั่วโมงเป็นวัน อาจารย์อยากเห็นจังเลยว่ายืนตายเป็นอย่างไร อาจารย์ยังไม่เคยเห็นเลยเอาไหมลองดูไหม ฝ่ายชายไม่สู้ถามศิษย์ฝ่ายหญิง เอาไหมยืนสี่ชั่วโมง (ไม่เอา,เอา) เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มากนะ เราจะถามคนที่อายุน้อยสุดไม่ได้ต้องถามคนที่มีอายุมากสุดใช่หรือไม่ (ใช่) เราอาจจะบอกว่าเราไหวแต่เราต้องดูข้างหลังด้วย ข้างหลังเขาไหวหรือเปล่า เดี่ยวอาจารย์จะดูหน้านะว่าผู้ปฏิบัติงานธรรมจะยืนตายหรือเปล่า ผู้ปฏิบัติงานธรรมไหวไม่ไหว (ไหว) อาจารย์เห็นหน้าทุกคนที่บอกว่าไหวนะ เดี่ยวจนอาจารย์กลับอาจารย์จะดูนะที่ว่าไหวจะจริงหรือเปล่า หลักของการทำอะไรก็ตามสิ่งสำคัญก็คือต้องเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งใจจะทำอะไรแล้วความตั้งใจนั้นต้องถึงที่สุดถ้ายังไม่สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าดีตอนต้นล้มตอนกลางแล้วเลิกตอนปลาย คนเช่นนี้หาความสำเร็จในชีวิตได้ (ยาก)
วันนี้มาเรียนรู้การตั้งสัจจอธิษฐานในการเป็นคนดี ไหนบอกอาจารย์สิความดีในความหมายของศิษย์เป็นอย่างไร (ต้องปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย) หัวหน้าบอกว่าการทำถูกต้องตามกฎหมายเป็นคนดี อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ มีคนหนึ่งขับรถตามปกติ พอเจอไฟแดงก็ (หยุด) หยุดไม่ใช่เหยียบนะ พอเจอไฟเขียวก็ไป แต่พอเจอคนผ่าไฟแดงเขาก็บีบแตร แล้วก็ลงไปด่า คนนี้เป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะเขาทำตามกฎนี่ แดงก็หยุด เขียวก็ไป เจอคนสวนลงไปด่าทำไมไม่ดี (คนที่ไปด่าเขาไม่ดี) คนที่ทำถูกกฎหมายเขาเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดีต้องทำให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม) เขาเรียกจารีตประเพณี ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นถ้าเขาไม่ลงไปด่าแต่เขาเกลียดคนอย่างนี้เหลือเกิน เห็นเมื่อไรเป็นรู้สึกไม่ชอบ เกิดอารมณ์โมโหแล้วยังเรียกว่าคนดีไหม (ยังไม่ดีเพราะยังมีอารมณ์อยู่) กฎหมายแค่สอนให้เรารู้ว่าอะไรผิดไม่ควรทำ แต่กฎหมายไม่ได้สอนว่าอะไรถูกแล้วเราควรทำ จริงไหม (จริง) จารีตประเพณีสอนว่าอะไรถูกแล้วเราควรทำ จริงไหม (จริง) จารีตสอนว่าบางสิ่งบางอย่างทำแล้วดี บางสิ่งบางอย่างทำแล้วไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราทำถูกต้องตามกฎหมายทำถูกต้องตามจารีต เรียกได้ว่าเป็นพลเมืองที่ดี แต่การจะเรียกได้ว่าเป็นคนดีได้นั้น ต้องมีอะไรเพิ่มอีกอย่างหนึ่งรู้ไหม (มีศีล) อย่างนั้นอาจารย์ถามว่ามีคนๆหนึ่งศีลห้าครบไม่เคยฆ่าสัตว์แต่สั่งเขาฆ่า ศีลห้าครบไหม (ไม่) ศิษย์บอกว่าก็ไม่ฆ่านี่มันตายแล้ว ศิษย์ก็เอาที่ตายแล้วมากิน เห็นมันตายแล้ว แล้วหากไม่เคยพูดปด แต่เวลาเผลอก็พูดปดไปโดยไม่ตั้งใจดีไหม (ไม่ดี) มีศีลห้าครบเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนดีได้ไหม อย่างเช่นเห็นสามีภรรยาเขาทะเลาะกัน ฉันไม่เคยพูดปดแล้วเผอิญวันนั้นสามีคนนี้ไปคุยกับสาวคนหนึ่งอย่างมีความสุข ฉันเห็น ฉันเอาความจริงไปบอกภรรยา ฉันรักษาศีลนี่ ฉันเห็นอะไร ฉันก็พูดอย่างนั้นดีไหมคนนี้ (ไม่ดี) ทำไมว่าเขาไม่ดี น่าคิดใช่ไหม แปลว่าการเป็นคนดีไม่ใช่แค่รู้จักกฎหมาย รู้จักจารีตประเพณี มีศีลแล้วยังต้องมีอะไรประกอบ (วิจารณญาณ) มีอะไรอีกไหม (มีธรรมะในใจ) ปรบมือให้หน่อยนะ การที่จะเป็นคนดีได้นั้นต้องรู้จักกฎหมายของบ้านเมือง รู้จักจารีตของสังคมแล้วก็ต้องรู้จักศีลธรรม ศีลคือข้อห้าม ธรรมคือ (ข้อควรปฏิบัติ) ถูกต้องฉะนั้นคนที่จะดีได้ต้องมีครบทั้งสี่อย่างนี้ ดีได้แน่นอนจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นมีให้คิดอีกนะว่าจะดีจริงๆหรือเปล่า
คนที่จะดีได้ต้องมีครบทั้งสี่อย่าง ดีได้แน่นอน จริงไหม (จริง) ความดีต้องประกอบด้วยอะไร (เคารพกฎหมาย) เคารพกฎหมาย รักษาจารีตประเพณี รักษาศีล และมีคุณธรรม อย่างนั้นแปลว่าถ้ามนุษย์รู้จักประกอบสิ่งที่ดี มนุษย์ย่อมเป็นคนที่ดีคนหนึ่งขึ้นมาได้ แต่ว่าในความดีนั้นยังมีดีปานกลาง  ดีระดับต่ำ และดีระดับสูง ฉะนั้นถ้าเราอยากทำดีทั้งทีจะทำดีระดับไหนดี ส่วนใหญ่ถ้าเลือกก็เลือกสูงใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรู้ไหมว่าดีระดับสูงยากหรือไม่ยาก อาจารย์จะบอกให้ว่าความดีระดับสูงที่มนุษย์พึงมีและพึงกระทำได้นั่นก็คือการรู้จักเสียสละ สละประโยชน์สุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมสิ่งนี้คือความสุขความดีที่สูงที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงกระทำได้ แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์ทำได้ไหม (ได้) อาจารย์ก็ว่าง่ายและก็ทำได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าเหตุการณ์ของชีวิตทำให้การตัดสินของเราจะดีหรือชั่วต้องอยู่ที่พิจารณา มีหลักเกณฑ์ แล้วการพิจารณาหลักเกณฑ์ว่าคนนี้จะดีหรือจะชั่วมีอะไรบ้าง อาจารย์สมมุติตัวอย่างง่ายๆ ก่อนดีไหม มีคนหนึ่งกินขนมห่อหนึ่งแล้วรู้สึกว่าขนมห่อนี้อร่อยมาก เลยคิดว่าจะซื้อไปฝากเพื่อนที่รักคนหนึ่ง พอซื้อมาแล้วก็เอาไปให้เขากิน พอเพื่อนกินก็ขอบอกขอบใจใหญ่ แล้วก็รู้สึกอร่อย แต่พอวันรุ่งขึ้นเพื่อนโทรมาบอกว่าเขาอยู่โรงพยาบาล ถ่ายท้องอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเพราะของที่เธอให้ฉันกินหรือเปล่า ศิษย์ว่าเพื่อนคนนี้ดีไหม ให้คิดนะ แต่กับอีกคนหนึ่งซื้อขนมมาเหมือนกัน คนเดียวกันนั่นแหละ แต่ไม่ชอบคนในบริษัทคนหนึ่งเลยคิดนำขนมที่เราชอบกินเผื่อไปให้คนที่เราไม่ชอบ หลังจากที่รู้ว่าเพื่อนกินแล้วป่วยจึงเอาไปให้คนที่ไม่ชอบอีกคนหนึ่งกิน แต่พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเพื่อนคนนั้นกลับมาบอกว่า เฮ้ย แกซื้ออะไรให้วะ  คนที่ให้ก็เริ่มใจคอไม่ดีถามว่า มีอะไรหรือ เพื่อนก็บอกว่า อร่อยมากเลย ซื้อที่ไหน  เพื่อนที่ให้ก็ ค่อยยังชั่วก็บอกว่า ชอบไหมเดี๋ยวซื้อให้กินอีก  ศิษย์ว่าสองคนนี้ใครดีใครไม่ดี และเอาอะไรตัดสินคน ว่าคนไหนดี คนไหนไม่ดี (คนแรกดี,  เอาเจตนามาตัดสิน, มันขึ้นอยู่กับมุมมอง ถ้ามองว่าเขาดีก็ดี หลอกลวงหรือเปล่า คนที่สองถ้าเรามองว่าเขาไม่ดีอยู่แล้วเขาทำอย่างไรเราก็บอกว่าไม่ดี, เพื่อนที่กินของไปแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลที่โทรมาบอกเป็นคนไม่ถนอมน้ำใจ) แต่อาจารย์พูดถึงคนที่ปฏิบัติกับเพื่อนคนที่เกลียด  ให้เขากินแต่เผอิญเขากลับบอกว่าอร่อยและถูกใจ อยากได้อีก ฉะนั้นการตัดสินพฤติกรรมของคนสองคน ศิษย์คิดว่าอย่างไร อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าการตัดสินคนๆ หนึ่งว่าจะดีหรือไม่ดี ให้ดูที่เจตนารมณ์ จะเอาผลของการกระทำมาตัดสินทุกครั้งไม่ได้ ต้องดูเจตนารมณ์ในจิตใจของเพื่อนคนนั้น ถ้าเขานำไปให้เพื่อนที่เกลียดในใจคิดว่า ขอให้เข้าโรงพยาบาล นั่นเรียกว่ากำลังประพฤติผิด เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบางครั้งเราเป็นอย่างนั้นบ่อยไหม บางทีเราเกลียดคนนี้ แต่เผอิญผลของการที่เราทำนึกว่าเขาจะโชคร้าย แต่เขากลับดวงแข็ง สังเกตคนที่เราเกลียดจะตายยาก แต่คนที่เรารักนั้นมีอันเป็นไปและหายไปจากเราง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นต้องบอกว่าศิษย์บุญน้อย อาจารย์จะบอกว่า  ถ้าเราทำไม่ดีแล้วผลกลับได้ดีแปลว่าอะไร แปลว่าเราทำบาปไม่ขึ้น ต้องดีใจ และทำต่อไปอีกได้ไหม (ไม่ได้)  ก่อนจะให้ขนมเขาไปอีกรอบหนึ่งถ้าเราอยากแก้ไขเจตนารมณ์และเปลี่ยนเป็นคนดี เราต้องบอกเพื่อนว่า เธอชอบก็ดี แต่อย่ากินมากนะ เพื่อนที่ฉันรักให้ไปถุงเดียว เข้าโรงพยาบาลทันที จากคนที่เราเกลียด จากคนที่เขาคิดว่าเราเกลียด ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร สองความคิดระคนกัน ถ้าเขาคิดร้าย เขาต้องคิดว่า มันต้องการวางยาเรา กลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาอยากทำดีกับเรา ถึงพูดให้รู้ว่า กินมากแล้วจะไม่ดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากลัวเพื่อนเกลียดเข้าไปอีก เราก็บอกไปว่าเพื่อนกินเข้าไปแล้วเข้าโรงพยาบาลแต่ฉันทานแล้วไม่เป็นอะไร เห็นนายชอบกินแต่ก็อย่ากินมากแล้วเดี๋ยวจะเป็นอะไร นั่นก็คือ เราสามารถแปรเปลี่ยนความชั่วร้ายให้กลายมาเป็นความดีได้ ใช่หรือไม่(ใช่)  จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า ความดีอย่าไปยึดติดมาก เราไม่ยึดติดมากแต่เรารักษาให้อยู่กับเราได้ นั่นแหละดี ความชั่วมันไม่ดี มันน่าเกลียด แต่ถ้าเราเปลี่ยนแปลงได้ เราคือคนที่ดีได้ จริงไหม (จริง)  พอเข้าใจหรือยังว่าการทำความดีนั้นอยู่ที่ไหนสำคัญ (เจตนารมณ์) จะเอาแต่ผลวัดได้ไหม (ไม่ได้) 
ส่วนคนที่ทำดีคนแรก เพื่อนเขาอาจจะแค่บอกความจริงว่าของที่เราซื้อไปให้นั้นมันไม่สะอาด เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำดีพบอุปสรรค พบคนพูดที่ไม่ถูกใจ อย่าได้คิดร้ายและอย่าได้ท้อถอยในการทำดีเพราะเมื่อไรที่เราพบผลร้ายเราก็จะมีกำลังใจที่จะทำดีต่อไปเรื่อยๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เพื่อนบ่นนิดหนึ่งก็เกลียดเขาเลย ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องคิดดีเข้าไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
การทำดีนั้นยังวัดค่าได้ อีกเรื่องหนึ่ง ระหว่างเงินกับชีวิตอะไรมีค่ามากกว่ากัน (ชีวิต)  ส่วนใหญ่ศิษย์จะตอบว่าชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นหากว่าทำงานเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เราต้องรู้จักหยุดพักผ่อนบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าปล่อยให้ความโลภนั้นมาทำร้ายตัวเรา ไม่อย่างนั้นมีเงินเท่าไรก็ต้องเอาเงินนั้นไปรักษาตัวเอง หาเรื่องแท้ๆ  จริงไหม (จริง)  บางทีเราทำงานเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตแต่กลายเป็นทำงานไปยิ่งทำยิ่งมีหนี้ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตกับเงินทองศิษย์เลือก (ชีวิต)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าชีวิตกับคุณธรรมศิษย์เลือกอะไร (คุณธรรม)  ศิษย์เลือกอะไร (ถ้าไม่มีชีวิตก็ทำคุณงามความดีอะไรไม่ได้) แต่ถ้าถึงวันหนึ่งเราต้องเลือก บางครั้งเราอยากเป็นคนดีแต่การเป็นคนดีบางครั้งมันมีทางต้องเลือก ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์สมมุติเรื่องๆ หนึ่งให้ศิษย์คิดนะ ในที่นี้มีคนเป็นหมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากถามว่าถ้าคนเป็นหมอ เลือกรักษาสัจจะมากกว่าชีวิตคนได้ไหม สมมุติว่าหมอกำลังตรวจคนไข้ที่อายุมากแล้วและตรวจดูรู้ว่าเขาเป็นโรคร้ายเป็นเนื้องอกขั้นสุดท้าย ตรวจเสร็จเขาเดินมาหาหมอ หมอจะเลือกอะไรถ้ารู้ว่าคนไข้คนนี้เป็นคนที่มีหัวใจอ่อนแอด้วย จะเลือกรักษาสัจจะหรือรักษาชีวิต (ชีวิต)  หมอจะเลือกรักษาสัจจะมีอะไรก็พูดอย่างนั้น หรือเลือกชีวิตคนไข้ (ชีวิต)  ชีวิตคนไข้จริงหรือ (จริง)  อย่างนั้นแปลว่าหมอต้องพูดว่า ยายไม่ป่วยอะไรหรอกยายแข็งแรง ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  พูดได้เหมือนกันนะ เรียกว่าให้กำลังใจแต่ว่าพรุ่งนี้ยายเอาหลานมาด้วยและมาหาหมออีกรอบหนึ่ง มาพบข้างนอกก็ได้ไม่ต้องเสียเงิน เพราะอะไรหมอจึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าถ้าพูดกับคนๆ นี้จะทำให้เขาตกใจ ยิ่งเสียใจและยิ่งทุกข์ใจตายมากกว่าตายด้วยโรคก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบอกว่าเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ เขาจะตายก่อนเอดส์กินตายซะอีก จริงไหม (จริง)  เหมือนครูก็เหมือนกัน ถ้าบอกว่าศิษย์ได้ผลศูนย์ ใจหายเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าหากคนนั้นได้ศูนย์แล้วอาจารย์บอกว่าศิษย์คนนี้อาจารย์ยังไม่บอกคะแนนอาจารย์มีเรื่องจะบอกมาหาอาจารย์ที่โต๊ะนะ ศิษย์คนนี้จะรักอาจารย์มาก เพราะอาจารย์ไม่ทำให้ศิษย์ขายหน้า จริงไหม (จริง)  และอาจารย์ยังพูดด้วยความเข้าใจว่าศิษย์เป็นอะไร ทำไมศิษย์จึงทำข้อสอบนี้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าเวลาที่เราต้องเลือก  ยกตัวอย่างเช่น คนบางคนพูดผมต้องรักษาศีลห้า ผมเป็นคนมีวาจาสัตย์ มีอะไรก็พูดไปเลย ตรงๆ  ง่ายๆ  ได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างผิดน้อยกับผิดมาก ถึงบางทีคนที่จะเป็นคนดีแท้ๆ  ต้องชั่งให้เป็นและเลือกให้ถูกอย่าเลือกผิดมากไม่อย่างนั้นคนดีก็จะกลายเป็น คนดีที่ทำร้ายคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกว่าเขาไม่ดีไหม จะบอกว่าหมอไม่ดี จะบอกว่าอาจารย์ไม่ดีได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ากลับบ้านไปแม่ถามลูกต่อหมอคุยอะไรกับลูกหรือ ทำไมต้องเรียกลูกไป ตอนนี้ลูกต้องตัดสินใจแล้วจะพูดความจริงหรือพูดความเท็จ ถ้าท่านเป็นลูกท่านจะพูดอย่างไร (บอกว่าหมอบอกว่าแม่ยังไม่เป็นอะไรมาก ให้คุณแม่รักษาสุขภาพให้ดี)  ตอบได้ดีนะ แต่ช่วงที่ตอบต้องเก็บอารมณ์และสีหน้าให้มิดด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนอกจากเจตนารมณ์ที่เราต้องสังเกตแล้วอย่างหนึ่งที่เราต้องรู้จักพินิจพิจารณาก่อนสิ่งที่เราทำนั้น เป็นผลดีหรือผลร้ายแก่คนรอบข้างหรือเปล่า แล้วถ้าเลือกระหว่างดีกับร้าย เราขอยอมร้ายแล้วทำให้เขาดี ได้ไหม ถ้าหากบางครั้งศิษย์ต้องเป็นหมอ บางครั้งศิษย์ต้องเป็นลูกของคนป่วยคนนี้ ศิษย์จะยอมเป็นคนผิดแล้วรักษาคนถูกไหม บางคนรักหน้ายิ่งกว่าชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  “ใครผิดช่าง ฉันถูกไว้ก่อน” แต่อาจารย์อยากบอกว่าถ้าเรายอมผิดเพื่อคนอื่นนี่คือคนดีที่แท้จริง จริงหรือไม่ (จริง) ทำยากไหม
แล้วระหว่างความชั่วสองอัน ศิษย์จะเลือกชั่วอันไหน ชั่วที่มากกว่าหรือชั่วที่น้อยกว่า แล้วใช้อะไรเป็นตัวชั่ง หนึ่งดูที่ว่าถ้าเกิดทำแล้วกลายเป็นคนชั่ว ชั่วนี้ส่งผลกระทบคนอื่นมากหรือเปล่า ถ้าส่งผลกระทบแค่ตัวเองเรายอมชั่ว แต่ถ้าทำแล้วส่งผลกระทำชั่วต่อผองชนเราขอไม่เลือก เราขอชั่วแค่ตัวเองก็พอ ฉะนั้นการตัดสินหรือการดำรงชีวิตของตัวเราจะดีไม่ดี ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์อย่างเดียว แต่ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ว่าจะตกลงที่ใครด้วย  ถ้าทำแล้วผลประโยชน์ตกกับตัวเองแต่ทำคนอื่นเดือดร้อนก็ไม่อาจเรียกว่าความดีได้  แม่เราชอบกินหน่อไม้ มีเท่าไรก็กินให้หมดป่าเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ให้ใครกินได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วบอกว่า หน่อไม้นั้นแม่ผมชอบกินแล้วทำอย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  เรียกว่าดีก็จริงแต่ทำให้คนอื่นอดกินได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นพอรู้หรือยังว่าการเป็นคนดีนั้นตัดสินอย่างไร การจะปฏิบัติตัวเองเป็นคนดี ควรเอาอะไรมาชั่ง คงพอนึกออกใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์บอกว่า การที่จะทำดี
1.      ต้องดูที่เจตนารมณ์
2.      ต้องดูที่ผลว่าทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อคนอื่นหรือไม่
แต่ว่าเราจะสามารถพินิจพิจารณาการทำดีเพียงเท่านี้อาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ต้องใช้อะไรเป็นตัวสังเกต
 วิธีที่จะสังเกตไม่ยากเลย มนุษย์เรามองกระจกทุกวันแล้วเราเข้าใจตนเองไหม ไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)   อาจารย์บอกว่าคนที่ไม่เข้าใจตนเองซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดแล้ว  คนนั้นคือคนที่โง่ที่สุด ทุกวันก็อยู่กับตัวนี้  พบทุกวันไหม ทำไมไม่เข้าใจ เช่นนั้นจะไปให้คนอื่นเข้าใจเรา ได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์อยากให้ศิษย์อย่าไปเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจ ถ้าวันไหนเขาไม่เข้าใจอย่าโกรธ
แต่การอยู่ร่วมกันในสังคม เราจะรู้จักเจตนารมณ์ว่าเขาจะคิดอย่างไรได้ เราต้องรู้อะไรอีก เราต้องรู้จักเข้าใจคนรอบข้างด้วย
คนเราจะอยู่ในสังคมได้และจะเป็นคนที่นำพาความสุขให้กับสังคมทุกๆ กลุ่มที่เราไปอยู่ได้ก็ต่อเมื่อ
1.      เข้าใจตัวเอง
2.      มีความเข้าใจเพื่อนรอบข้าง
เราทำดีแต่ว่าสิ่งที่เราทำดีนั้นไม่เคยเข้าใจ เพื่อนรอบข้างความดีนั้นก็สูญเปล่า  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อะไรที่บดบังตาทำให้เราไม่เข้าใจตัวเอง แล้วก็มองไม่ค่อยเห็นเพื่อนรอบข้าง เพราะอะไรเราพบกับตัวทุกวัน ตื่นเช้าขึ้นมาเรามองหน้าตัวเองไหม เพราะอะไรเราจึงไม่เข้าใจตัวเรา (อารมณ์) เพราะอารมณ์หรือ (ไม่ยอมรับความจริง, มองข้ามไป) มองข้ามไปอย่างเช่นมองกระจกก็ไม่เคยมองนิสัย มองแต่หน้า (อยู่ที่อารมณ์ตัวเอง) อย่างนั้นก็น่าจะดูออกว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจดจ่อชอบนิสัยหุนหันพลันแล่นไม่ใช่หรือ (เพราะว่าไม่พยายามเข้าใจคนอื่นก็เลยไม่เข้าใจตัวเอง) แล้วเมื่อพยายามเข้าใจคนอื่นจะเข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ) ก็เลยกลายเป็นไม่เข้าใจทั้งคนอื่นและไม่เข้าใจทั้งตนเอง น่าจะบอกว่าเป็นเพราะมัวแต่มองคนอื่นแต่ไม่เคยมองตัวเองจริงไหม (จริง)
ตาของมนุษย์นี้มีใครบ้างที่ตาดำมันย้อนมองกลับเข้าไปข้างในมีไหม (ไม่มี) นั่นก็แปลว่าตาของมนุษย์นั้นง่ายที่จะมองออกมากกว่ามองเข้า แต่ถ้ารู้จักย้อนมองเข้าสักวันหนึ่งคงจะมองเห็นตัวเองบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เผอิญเราไม่ค่อยอยู่สงบๆ เป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ อยู่นิ่งแล้วอึดอัดใช่หรือไม่ (ใช่)ชอบวิ่งออกไปจึงทำให้เราไม่เห็นตัวเอง แล้วเพราะอะไรอีกที่ไม่เห็นตัวเองมีแค่นี้หรือ เพราะไม่มองตัวเองหรือเพราะอะไร (ไม่มีสติ) ตอบได้ดีนะ ทำอะไรมักจะปล่อยไปตามอารมณ์ไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอะไรอีกอาจารย์ตั้งคำถามยากไปไหม (เพราะเรามีทิฐิ,เพราะดื้อ) เพราะดื้อบางทีเขาพูดอะไรก็ไม่ค่อยฟังทั้งที่บางทีมันก็ถูกเหมือนกัน (เพราะใช้อารมณ์มากเกินไป,ไม่เปิดใจ, ยึดติดกับอัตตาตัวตน) แล้วปล่อยได้หรือยังอัตตา (ได้แล้ว)  ได้แล้วแน่นะ ถ้าสมมุติว่ามีคนเขียนว่า “สมคิดมันชั่ว” ทำใจได้ไหม (ทำได้)  ทำได้นะ ขอให้ทำได้นะ อาจารย์แค่ทดสอบใจแค่นั้นเองนะ ชื่อ สมคิด มีตั้งหลายสมคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจจะเป็นสมคิดตะวันออก ตะวันตกก็ได้ ไม่ใช่สมคิดเรา
คนเราถ้าเรามีความดีอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน อย่ากลัวคนใส่ร้ายป้ายสี คนที่เดี๋ยวดีบ้าง ไม่ดีบ้าง พอพบคนใส่ร้ายป้ายสี จึงกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่มีตัวตนแม้ถูกใส่ร้ายป้ายสี เขาก็ยิ้มได้ มีใครบ้างในโลกไม่ถูกนินทา   อาจารย์จี้กงยังถูกนินทาเลย ใช่ไหม พระพุทธเจ้าก็ยังถูกนินทาลับหลัง “ โอ! พระพุทธรูปองค์นี้ไม่สวยเลย” ใช่ไหม (ใช่)  แล้วนับประสาอะไร กับมนุษย์เดินดินจะไม่ถูกนินทาบ้าง ฉะนั้นถูกนินทาแล้วอย่าได้เศร้าใจ  มีอะไรอีก (นั่นก็คือ กลัวว่ารู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไงแล้วไม่กล้ายอมรับความจริง, เข้าข้างตัวเองมากไป, เพราะหลอกตัวเอง, ไม่ค่อยพิจารณาตัวเองและคนรอบข้าง)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่เข้าใจกันหรือมองไม่เห็นตัวตน เพราะว่าอะไรรู้ไหม เวลาศิษย์มองคนๆ หนึ่งมักจะอดปรุงแต่งและคาดหวังไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  จึงทำให้ศิษย์มองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริง เพราะว่าศิษย์ปรุงแต่งเขาในใจ
อย่างเช่นศิษย์รู้จักเพื่อนคนหนึ่งก่อนที่จะได้รู้จักก็มีคนแนะนำอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็คิดว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ พอไปพบเขาจริงๆ เรารู้สึกผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรารู้สึกว่าเขาเป็นมากกว่านั้น แต่ถ้าเราผิดหวังที่เขาเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ยังยืนยันว่าเขาน่าจะเป็นอย่างนี้ และเขาต้องเป็นแบบนี้สิ วันนั้นแหละเป็นวันที่ศิษย์ไม่มีวันเข้าใจ คนๆ นั้นเลยจริงไหม (จริง)  เหมือนเวลาศิษย์แต่งงานกับใครหรือศิษย์ตกลงให้กับคนนี้เป็นเพื่อนศิษย์ แต่ถ้าศิษย์คบกับเขาแล้วศิษย์มีความคาดหวัง คนคนนี้ต้องเป็นยิ่งกว่านี้  และต้องดียิ่งกว่านี้  วันนั้นคือวันที่ศิษย์ไม่เข้าใจตนเลยจริงไหม (จริง)  และอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถเข้าใจตัวเองและคนอื่นได้ก็เพราะว่าเราไม่พอใจในสิ่งที่มีและเราไม่ยินดีในสิ่งที่ทั้งได้ และเป็น  เรื่องที่เราถามตัวเองว่าชอบอะไรในตัวเองมากที่สุด ไม่ค่อยมีเลย อาจารย์ว่ามีแต่เกลียดขา ขามันใหญ่มากเกลียดผิว ผิวมันดำเกลียดใช่ไหม แต่ถามว่าผิวดำนี้ทนไหม ทนไม่เคยตกเลย ไม่เหมือนพวกขาวๆ เดี๋ยวก็ตก ตกดำเป็นด่างๆ อีกต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นคนเราจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของทุกสิ่งและทุกคนได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ไปปรุงแต่งเขา ยอมรับที่เขาเป็นเขาได้ไหม (ได้)  แต่อย่าเปรียบเทียบด้วยนะบางทีเราเปรียบเทียบเพื่อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนนั้นนิสัยดี คนนั้นไปคบกับคนโน้น ก็มีแต่ได้ แต่ทำไมเราคบกับคนนี้มีแต่เสียกับเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราก็เลยไม่เห็นความดีของเพื่อนคนนี้เลย  เราก็เลยมองไม่เห็นใจของเขาเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะศิษย์เอ๋ย อยากรู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร อยากรู้ว่าตัวเรามีนิสัยเช่นไร และอยากรู้ว่าเพื่อนรอบข้างจริงใจแค่ไหนจงใช้ตาที่ไม่ปรุงแต่ง  จงใช้ตาที่ไม่เปรียบเทียบ  ใช้ใจที่บริสุทธิ์ไปมองแล้วเราจะเห็นคนนั้นได้ถ่องแท้  เราจะมองสิ่งต่างๆในโลกได้อย่างรอบคอบและรัดกุมไม่มีอะไรในชีวิตต้องผิดพลาดและเสียใจเลย บ่อยครั้งที่ความคาดหวังของเราทำให้เราทะเลาะกับเพื่อน บ่อยครั้งที่ความคาดหวังของเราทำให้เราไม่รักพ่อแม่ เห็นพ่อแม่คนโน้นดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ่อยครั้งที่การเปรียบเทียบ เช่น ภรรยาบ้านนั้นไม่บ่น บ้านเราช่างบ่นจริงๆ เราจึงรักภรรยาต่อไปไม่ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกก็คือ ถ้าเรารู้จักพอใจกับความเรียบร้อย ศิษย์ก็คงมีความสุขในการดำรงชีวิต  จริงไหม (จริง) 
“หัดเป็นคนเป็นมิตร ไม่หน้าบึ้งกับใคร”
ศิษย์ชอบหน้าบึ้งกัน รู้จักหรือไม่รู้จักก็หน้าบึ้ง จริงนะ ตั้งแต่อาจารย์มา ไม่เห็นศิษย์ยิ้ม
“เสน่ห์คนมากหลาย”
ทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ใครบอกอาจารย์ได้บ้างว่าตนเองมีเสน่ห์อะไรที่ทำให้คนรักคนหลง (ลักยิ้มและจิตใจ, มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, มีใจเบิกบาน, มีน้ำใจให้อภัย, มีเมตตา, ความดี) (มีความเป็นตัวของตัวเอง)  แต่ถ้ามีมากไปก็ทำให้คนอึดอัดได้นะ อย่างนั้นต้องรู้จักระมัดระวังด้วย (มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้คนรอบข้าง,  มีความจริงใจกับทุกคน, มีคำพูดดีๆ, มีน้ำใจ, ถึงจะมีความทุกข์ก็ยังยิ้ม, พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน)  เลือกจะเอาสิ่งนั้นเป็นเสน่ห์สำหรับตัวเอง แล้วต้องทำด้วยนะ อย่าได้ดีแต่พูดแล้วไม่ทำ (มีความเมตตา) เมตตานี้คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ ใช่ไหม  (เป็นคนมีอัธยาศัยดี, มีธรรมอยู่ในใจ) อะไรที่เป็นธรรมในใจที่มีเสน่ห์ (สร้างความดีไว้ก่อน) อะไรที่เป็นความดีจะรีบทำ แม้ว่าจะเล็กน้อยก็จะขยันทำ (เป็นคนปากหวาน, มีความจริงใจต่อคนรอบข้าง, พูดจาไพเราะ) เวลาโกรธก็ต้องโกรธก็ต้องพูดจาด้วยคำพูดที่ดีๆ  
อาจารย์ถามหน่อยนะ ว่ารู้ไหมอยู่ในโลกนี้ทำอย่างไรจะโกรธน้อยและให้อภัยได้มาก  มีหลักง่ายๆ ไม่กี่ข้อ อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ประการแรกก็คือ มีใจกว้างๆ ไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประการที่สองคือ ไม่เป็นคนอารมณ์ร้อน  ทำได้ไหม (ได้) แค่นี้เอง แล้วเราจะเป็นคนที่โกรธยากอภัยง่าย เพราะว่ามีใจกว้างแล้วอีกประการหนึ่งคือ มีความเข้าใจและเห็นใจเขา  คนที่รู้จักเข้าใจและเห็นใจเขา  จะเป็นคนที่โกรธคนยาก  อภัยคนและยิ่งเห็นใจจนถึงที่สุด จะไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เลย  ใช่ไหม (ใช่)  จะไม่มีใครทำให้โกรธเลยเพราะรู้จักที่จะเข้าใจเขา  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเข้าใจตัวเองและพยายามเข้าใจผู้อื่น  เราจะอยู่ในโลกได้อย่างสันติสุข  ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ความอยากเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี (แล้วแต่สถานการณ์)  ตอบได้ดีนะ แปลว่าเริ่มเข้าใจธรรมะได้มากยิ่งขึ้น ความอยากนั้นเป็นตัวสร้างสรรค์และเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้ายได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องดูว่าเราอยากอะไรถึงจะดี อยากอะไรจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี อยากกินข้าวดีไหม (ดี)  อยากกินข้าวนั้นดีแต่ถ้าอยากกินข้าวแต่ต้องเลือกไม่ใช่เจ  เลือกอย่างนี้ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ต่อไปอยากกินข้าวต้องเป็นเจ  ดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์ต้องไปทำเลยนะ  แต่อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าถ้าเลือกได้กินเนื้อสัตว์ให้มันน้อยๆ  ได้ไหม (ได้)  ชีวิตทุกชีวิตก็รักชีวิตของตนนะ ถ้าอาจารย์เห็นว่าสัตว์ต้องถูกฆ่าตาย  ในหัวใจของคน  เอาแค่คนก็ได้ไม่ต้องถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์  อาจารย์พูดกับศิษย์ว่า ถ้าในความเป็นคน ศิษย์เห็นสัตว์กำลังถูกเชือดแล้วมันดิ้นต่อหน้าต่อตาศิษย์ วันนั้นศิษย์จะกินสัตว์ตัวนั้นลงไหม (ไม่ลง)  แล้วถ้าสัตว์ตัวนั้นมาดิ้นตายตรงขาศิษย์  ศิษย์กินลงไหม (ไม่ลง)  อาจารย์เอาแค่ความรู้สึกในความเป็นคนธรรมดานะศิษย์ แต่ถ้าจิตของคนที่ประเสริฐ จิตแห่งคนที่เข้าถึงความเมตตา เขาย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีพุทธะองค์ไหนอยากกินสัตว์ ไม่มีหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่มนุษย์ที่บนหัวหมูเพราะอยากกินหมู ใช่ไหม (ใช่)  บนเป็ด บนไก่ เอาไว้ไหว้แล้วลูกยังได้กินด้วย ใช่ไหม (ใช่)
เรื่องสุดท้ายอาจารย์ทิ้งไว้ว่าอย่างไรนะ (เรื่องความทุกข์) เรื่องความทุกข์ใช่ไหม ยังอยากฟังอีกไหมหรือวันนี้ฟังแค่นี้พอแล้วหรือจะมีตอนต่อไปอีกไหม (มี) มีอีกหรือ อาจารย์มายืมร่างคนนี้ก็ไม่ใช่เพื่อให้ศิษย์มาติดยึดนะ อาจารย์อยากบอกว่าอาจารย์มาก็เหมือนอาจารย์กำลังเปิดหนังสือเล่มหนึ่งให้ศิษย์รู้ หนังสือเล่มนี้คือหนังสือแห่งชีวิต ก็เหมือนศิษย์กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่สำคัญ จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่สำคัญ แต่อ่านแล้วฟังแล้วได้คุณค่าไหม นั้นสำคัญกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเราดูหนังสืออ่านแล้วมันสอนใจ นำที่สอนใจนั่นแหละไปใช้เพราะนั่นคือความจริงและจะอยู่ช่วยชีวิตศิษย์ได้ แต่ตัวหนังสือสักวันมันต้องปิดเล่มลง สักวันมันต้องเสื่อมสลายไป แต่ความเป็นจริงที่เราได้จากคุณค่าของหนังสือเล่มนี้มันไม่มีวันหายไป ถ้าเรารู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเห็นอาจารย์ก็เหมือนเห็นหนังสือเล่มหนึ่งนะ อ่านจบแล้วเอาแต่ใจความแก่นสารไปอย่าแบกกลับไปด้วยให้มันหนักใจ ให้มันถ่วงใจ
อาจารย์จะบอกว่ามนุษย์นั้นทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่า เหมือนเวลาศิษย์เป็นแผล เราอยากจะแก้ทุกข์ตรงนี้อย่างไร เวลาเป็นแผลไม่กล้าใส่ยา เลยปล่อยให้แผลนั้นเน่า พอใส่ยาแล้วแผลมันจะเป็นอย่างไร (แสบ) บางคนกลัวที่จะกินยา พอกินแล้วกินลำบาก  มนุษย์เรามีทุกข์ทุกคนไม่มีใครหนีความทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่มีทุกข์จงหาทางแก้ อย่ากลัวการแก้ บอกให้ทำอย่างนี้ ต้องคิดแบบนี้ ไม่เอา แต่ยอมทุกข์ไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนเป็นแผล  ให้ใส่ยาไม่ใส่ กลัวแสบแล้วปล่อยให้ตัวเองเจ็บ คนเช่นนี้ไม่รู้จักชั่งน้ำหนัก ยอมเจ็บสักทีหนึ่งมันจะได้หาย ยอมทุกข์ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยจะได้รู้ว่าทุกข์มันคืออะไร แล้วต่อไปจะทุกข์อีก จะได้รับมือเป็น จริงไหม(จริง)
แล้วเวลามีทุกข์นี่ ศิษย์มักจะเป็นอย่างไร เวลาเราทุกข์เรามักจะนึกถึงคนที่เราเคยช่วยเหลือ จริงไหม(จริง) คนนั้นต้องช่วยเหลือเราเมื่อเราไปขอความช่วยเหลือ จริงไหม (จริง) อย่างสมมุติเวลาศิษย์ทุกข์ไม่มีเงิน ศิษย์จะนึกถึงอะไร นึกถึงคนที่ศิษย์เคยเอาเงินไปช่วย คนที่ศิษย์เคยไปดูแลเวลาเขาเจ็บป่วย ฉะนั้นเวลาศิษย์ทุกข์ศิษย์ก็เลยเดินไปหาคนที่ศิษย์เคยช่วย แต่พอเขาไม่ช่วย ศิษย์ก็โกรธ ศิษย์ก็ทุกข์หนักอีกใช่ไหม ฉะนั้นเวลาเราทุกข์เราขอความช่วยเหลือแล้วเขาไม่ช่วย ทำใจคิดเสียว่าทุกข์คือบทเรียนสำคัญที่สอนให้เราเข้มแข็ง สอนให้เรารู้คุณค่าของชีวิต มีทุกข์ก็ต้องมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ในทุกข์ไม่ใช่เลวร้ายเสมอไปหรอก ทุกข์มันยังมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือทำให้เรารู้จักคุณค่าของคน รู้จักคุณค่าของการมีชีวิตที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ากลัวทุกข์ เมื่อมีทุกข์จงตั้งสติให้ดี และเอาความสงบไปรับความทุกข์ด้วยสติปัญญาของศิษย์จะสามารถฟันฝ่าทุกข์ได้ด้วยตัวเอง  ที่ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร อยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี อยากมีในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราอยากจะหยุดความทุกข์ก็ต้องรู้จักพอ และดำรงตนในความไม่ประมาท ทำได้ไหม (ได้) สังเกตได้ไหมเวลาเราทุกข์เราอยากให้คนอื่นช่วยเหลือ เวลาสุขเราชอบไปเบียดเบียนเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์พูดแค่นี้พอเข้าใจบ้างไหม ทุกข์เกิดจากอะไร (ไม่รู้จักพอ) ไม่รู้จักพอ อยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี ถูกหรือไม่ (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท หยัดยืนอย่างมีธรรม)
เมื่อไรที่ชีวิตพบทางแยก เมื่อไรชีวิตต้องเลือกระหว่างความดีกับความชั่วขอให้ศิษย์คิดให้ดีดีว่าจะเลือกทำดีหรือว่าเลือกทำชั่ว เลือกชั่วแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน หยุดเสียอย่าทำได้ไหม (ได้) ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ ทำแล้วตัวเองก็หม่นหมอง อย่าทำเลยดีกว่าผ้าขาวกับผ้าที่เคยดำแล้วซักขาว ความขาวเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์รู้ว่าใจที่ไม่เคยแปดเปื้อนสิ่งสกปรกย่อมดีกว่าใจที่สกปรกแล้วค่อยล้างอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นไปได้อย่าทำผิด ได้หรือไม่ (ได้) ถ้าผิดก็จงรีบแก้ตัวนะ ได้หรือเปล่า (ได้) โดยเฉพาะบุหรี่ เหล้า การพนัน แล้วก็หวย เล่นแล้วมันไม่ดีใช่ไหม (ใช่) อย่าไปเล่นมันมากนะ มีโอกาสหมั่นทำบุญทำทานได้ไหม (ได้)
เรื่องสุดท้ายก่อนอาจารย์จะไป อาจารย์เห็นคนไม่ได้แอปเปิลนะ การให้ที่ประเสริฐที่สุดก็คือการให้ที่ไม่มีการร้องขอกลับ ศิษย์เคยเห็นไหม  ศิษย์ให้เงินคนขอทาน แต่ในใจศิษย์ยังกลับไปขอคนขอทาน เคยไหม ให้ไปสิบบาท ขอให้หนูโชคดี ขอให้หนูสวยๆ  ศิษย์นั่นน่าเกลียดยิ่งกว่าคนขอทานอีก ใช่ไหม ขอให้สวยๆ เวลาให้ ถ้าให้แล้วขอ ไม่เรียกว่าให้ แต่เรียกว่าเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์จ่ายไปหนึ่งบาท แต่ขอเกือบสิบบาท ทำบุญไปร้อยหนึ่งขอเกือบพันหนึ่ง แล้วก็บอก “ฟ้าไม่ยุติธรรม ผมทำดีไม่เห็นได้ดี”  ก็ทำแล้วขอหมดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  การทำที่ประเสริฐก็คือการทำที่ไม่ขอ เพื่อลดอัตตาตัวตน เพื่อลดความงก ความตระหนี่ อย่าทำบุญเหมือนคนต้องเฉือนเลือดเฉือนเนื้อ ให้ศิษย์ทำบุญทำยากไหม มีร้อยหนึ่งไหนใครทำกี่บาท (ยี่สิบ, สามสิบ, สี่สิบ, สิบบาท) อาจารย์อยากบอกให้นะว่าการให้มีคุณค่า เรื่องที่สอง “มีนักเทศน์คนหนึ่งพึ่งมาเทศน์ใหม่ ไม่เคยเทศน์เลย วันนี้ได้เทศน์เป็นวันแรก พอเทศน์จบปุ๊บมีคุณตาคนหนึ่งลุกขึ้นมาปาดน้ำตาจับเงินในกระเป๋ามีอยู่บาทเดียว เดินเข้าไปวางให้ นักเทศน์คนนั้นพูดว่า ขอบคุณมากตา” ทำไมนักเทศน์จึงขอบคุณตา ทั้งที่ตาน่าจะขอบคุณนักเทศน์ใช่ไหม หรือบางทีอาจจะโมโหว่าเทศน์ครั้งหนึ่งทำไมมีค่าแค่บาทเดียว ใช่ไหม แต่เพราะอะไรนักเทศน์คนนั้นจึงขอบคุณตา ให้ศิษย์คิดนะ คำตอบนี้อาจารย์ให้ศิษย์ไปคิดเป็นการบ้าน เพราะอะไร ถ้าศิษย์หาคำตอบได้ศิษย์จะรู้ว่า คุณค่าของการให้มันมีมากกว่านั้นและจะยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวศิษย์เอง ให้อย่างถูกเวลา ให้อย่างเหมาะสมและการให้บางทียังธำรงรักษาความดีไว้ในโลกด้วย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่สนว่าการให้บาทหนึ่ง สองบาท อาจารย์ไม่ดูค่าตรงนั้น ดูค่าตรงที่เขาให้ได้ถูกเวลาไหม เขาให้แล้วบังเกิดอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ชีวิตของศิษย์ต่อไปนี้ เป็นการให้ที่ทรงคุณค่าและเป็นการให้ที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ ชีวิตนี้ตั้งสัตย์ว่าจะทำอะไรดี ไปคิดเป็นการบ้านดีไหม อยากจะทำอะไรให้สังคม เป็นคนเห็นแก่ตัวน้อยๆ หน่อย จะทำเพื่อผู้อื่นมากๆ หน่อย จะคิดถึงตัวเองน้อยๆหน่อย แต่จะคิดถึงหัวอกพ่อแม่ให้มากๆ  ไม่ยากใช่ไหม แต่ก่อนเคยเกลียดภรรยาจะรักภรรยามากๆ แต่ก่อนเคยขี้บ่นจะบ่นน้อยๆ  การมุ่งมั่นทำดีทำให้มนุษย์ประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐใดๆ แต่ถ้าไม่คิดมุ่งมั่นทำอะไร มนุษย์ก็คือมนุษย์วันยังค่ำ
ถึงเวลาอาจารย์ต้องไปแล้ว แม่ครัวทุกคนอาจารย์ไม่ได้เข้าไปแจกผลไม้เลย ฝากความขอบคุณของอาจารย์ไปให้ทุกคนด้วย ส่วนใครที่อยากได้ผลไม้ อาจารย์ขอเอาสาลี่ไปแจกให้เขานะ (นักเรียนกล่าวขอบคุณพระอาจารย์เมตตา) อาจารย์อยากเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นการที่ศิษย์มีโอกาสมาช่วยงานอาจารย์บ่อยๆ ได้ไหม (ได้)  มาเสียสละส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมได้รู้จักการทำดี ให้คนได้รู้จักลดละความเห็นแก่ตน ได้ไหม (ได้)  มีโอกาสก็ช่วยอาจารย์หน่อยได้ไหม (ได้) แม้จะลำบากแม้จะฝืนใจ พบคนพูดไม่น่าฟัง ก็ขอให้ (อดทน)  แปลว่าศิษย์ยังไม่มีความเห็นใจคน จำที่อาจารย์บอกได้ไหม ถ้ายังต้องใช้คำว่าอดทน แปลว่าเรายังไม่เห็นใจใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นใจเขามากๆ แม้เสียงเขาจะไม่น่าฟังแต่ก็ทำให้เราตื่นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นคิดดีเข้าไว้นะ เสียงอะไรขัดหู การกระทำอะไรขัดใจ แต่ในใจของศิษย์มีคำว่า อภัย และเข้าใจเห็นใจเสมอทำได้นะ

(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงธรรมชื่อเพลง  “มีความเป็นมิตรกับทุกคน)
 อยู่ในโลกนี้ถ้าเราไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ใครเป็นอย่างไรเราก็ชอบเขาได้หมด เราก็คงไม่รังเกียจใคร และคนไหนก็คงไม่ทำให้เราทุกข์ใจ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์เอ๋ย คนในโลกถ้าเป็นเหมือนอย่างที่ศิษย์ต้องการศิษย์ว่าจะน่าเบื่อขนาดไหน เหมือนอย่างที่ศิษย์ต้องการหมดเลย พูดหวานๆ ศิษย์คงเอียนแย่เลย ใช่ไหม (ใช่)  มีบางคนขม บางคนหวาน ได้รสชาติดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่าไปโกรธเขาเลยนะ ถ้าบางครั้งคำพูดเขาไม่ถูกใจ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้ฝึกความอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็ต้องไปแล้ว
มีโอกาสก็เข้ามาศึกษาอีกนะ ศิษย์เป็นคนมีปัญญา จะมาอีกไหม เอาความรู้ความสามารถมาช่วยคนนะ อายุยังน้อยมีโอกาสเป็นเด็กดี ทำสิ่งที่ดีนะศิษย์นะ  เวลาของเรามีไม่มากแล้วใช่ไหม ฉะนั้นเอาเวลาที่เหลือทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตนะ อายุยังน้อยมีโอกาสก็มาช่วยอาจารย์บ้างนะ ศิษย์ว่าศิษย์เป็นคนดีไหม อาจารย์คิดว่าศิษย์เป็นคนดี แต่ขอให้ทำได้  เอาความรู้ความสามารถไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางที่ดี มีโอกาสเอาความรู้ความสามารถไปช่วยเหลือคน เราเหมือนเรือที่ใกล้ฝั่งแล้วใช่ไหม ฉะนั้นคิดดี พูดดี ทำดีไว้นะ ใช่หรือเปล่า ไม้ใกล้ฝั่งก็มีค่าได้ถ้ารู้จักพูดดี คิดดี แล้วก็ทำบุญมากๆ อาจารย์ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา แล้วศิษย์ก็ยังเป็นแรงเป็นความหวังให้อาจารย์  ดูแลกันดีดีนะ ดูแลจิตดูแลใจตัวเองให้ดีดี  อย่าปล่อยให้ตัวเองสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง คิดให้ดีจะพูดอะไร คิดให้ดีจะทำอะไร  เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงนะ จำไว้ให้ดีๆ ทำในสิ่งที่ถูก อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีอดทนอดกลั้นอย่าทำ เมื่อไรที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์เจ็บ  อาจารย์เจ็บยิ่งกว่า  ดูแลตัวเองกันดีดีนะ  อย่าเศร้ามาก ช่วยเขาก็เหมือนกับช่วยอาจารย์ เขาอาจจะพูดอะไรไม่น่าฟัง  เด็กดีของอาจารย์  ต่อไปนี้ศิษย์ของอาจารย์จะเข้มแข็ง สู้กับทุกๆ เรื่อง ด้วยใจที่คิดเป็นคิดได้ เลือกทำสิ่งที่ถูกให้กับตัวเอง อาจารย์ไปแล้วนะดูแลตัวเองกันให้ดี

          พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หยัดยืนอย่างมีธรรม”

อย่าได้เป็นคนช่างเลือกปฏิบัติ
แล้วโอกาสจะสารพัดก่อเกิด
วิบากกรรมสอบผ่านสู่ความเป็นเลิศ
ความประเสริฐซ่อนอยู่ตรงการกระทำ
ทางกว้างใหญ่ใจคนเดินมีจุดหมาย
โลกวุ่นวายแต่ใจสงบจึงเลิศล้ำ
ดวงตายังแจ่มชัดในสิ่งที่ทำ
ลำบากสอนคนมีธรรมฝึกเอาชัย
จงถือความถูกต้องมาเป็นหลัก 
โดยไม่หนักความคิดมาเป็นใหญ่
ความไม่ติดใจอยากได้ของของใคร
ยั่งยืนอยู่ในดวงใจอันหยัดยืน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

2548-05-14 สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร


PDF 2548-05-14-ฉือหัง #3.pdf

#สามบริสุทธิ์สี่เที่ยงตรง  #สามบริสุทธิ์  #สี่เที่ยงตรง

西元二00五年 歲次乙酉四月初七日                                 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘            สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพมหานคร
                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    อดีตนั้นเป็นรากฐานของวันนี้        มวลคนดีทำชีวิตสร้างคุณค่า
อย่าได้หลงเพลินกับโลกมายา           ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรทำอะไร
                        เราคือ
     องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                       ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ      ฮวา  ฮวา

    ดำเนินชีพภายใต้ข้อจำกัด           ในความขัดต้องค้นหาตนจริงแท้
หาความสุขแน่ใจหรือเป็นสุขแน่         หากไม่แก้ที่ตนเองยากพ้นภัย
ดำรงตนชีพคนเมืองเฟื่องเจริญ         น้องต่างเพลินวัตถุกันเป็นใหญ่
ไม่เห็นตนจิตเดิมแท้บำเพ็ญใจ           ยิ่งห่างไกลจิตพุทธะอันเบิกบาน
มีเวลาก็เพราะคนมีใจ                   ศึกษาธรรมเพิ่มเข้าใจได้แก่นสาร
พ้นความทุกข์ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ทุกคืนวันย้อนมองตนฝึกทางธรรม
เดินทางโลกเท่าไหร่ก็ไม่สิ้น              น้องนั้นยินดีจะปลงให้ใจสุขหรือไม่
ยินดีจะรู้พอมากน้อยเพียงไร            ยินดีจะเข้าใจชีวิตกันหรือยัง
อันเงินทองกองโตแล้วโดดเดี่ยว        ต่างปีนเกลียวโต้เถียงแล้วสุขแค่ไหน
เห็นตนผิดคนอื่นถูกบ้างเป็นไร           ทำใจง่ายขึ้นถ้าไร้อัตตา
ในวันนี้อย่าเป็นแค่คนดี                  แต่ต้องมีจุดหมายสู่บัณฑิต
จงควบคุมทั้งการกระทำและความคิด   จุดให้ติดประทีปแห่งปัญญา
ศึกษาธรรมบำเพ็ญจิตได้ทุกวัน          ทุกเหตุการณ์ยืมมาฝึกจิตแข็งแกร่ง
คนยกย่องไม่สู้คนไม่บ่นแรง             คนกลั่นแกล้งดีกว่าคนอยู่คนเดียว
สองวันนี้รักษาเวลาเข้าประชุม          จงสุขุมเนื่องด้วยอยู่ในหมู่มาก
อย่าได้เขวไปตามความลำบาก           อีกลมปากจงหอมด้วยคำดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป           น้องคนบุญหวังใจให้ศึกษา
จงเรียนรู้ไม่เว้นแม้เรื่องธรรมา         จงเดินหน้าอย่าสงสัยบดบังญาณ
จงรักษาพุทธระเบียบให้จงดี            ในสิ่งที่รู้แล้วเร่งปฏิบัติ
ในชาตินี้ดำเนินหนทางลัด               ความอึดอัดจงแปรด้วยรู้จักตน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                              ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร
    พระโอวาทท่านราชบุตรสามนาจา
    อ่านความคิดคนอื่นกันน่าดู              โลกนี้ดูผ่านยากกว่าที่เป็น
คนรู้มากอยากสุขดูแสนเข็ญ                ฝึกใจเย็นควานใจไร้เดียงสาคืน
                    เราคือ
    ราชบุตรสามนาจา                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา        ลงสู่พุทธสถานฉือหัง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์น้องทุกท่านอยากฟังเราพูดหรือเปล่า
    ใจหากไม่เคยรับทุกข์อึดอัด              จะสัมผัสไม่ถึงความสุขนั่น
เห็นอุปสรรครู้จักเผชิญอย่างจิตมั่น         บรรลุความสำเร็จอันสมกับตน
บำเพ็ญได้จิตมั่นต่อความดี                  ชีวิตมีใดคงอย่าหมองหม่น
สร้างความดีงามไว้เป็นมงคล               คนแปรใจทางสับสนลังเลใจ
ชีวิตคนไม่ยาวฝันจึงฝ่า                      กระจ่างมาแต่ไกลไขว้เขวไม่
บำเพ็ญจิตเข้าถึงธรรมทุ่มเทใจ              พ่ายนานอาจไม่ถึงโอกาสเรา
อคติมีกันทุกใจใคร่คำนึง                    ฉะนั้นจึงเมตตาคนไม่เทียมเท่า
กระทบกันทนแต่เปลือกได้ชั่วคราว          ระยะยาวชีวิตขาดการรู้ตน
ปะทะนานคนดีอย่าเพิ่งเบื่อ                 คงมั่นเชื่อความดีอย่าสับสน
ปัญหาเนิ่นนานความจริงยิ่งแยบยล         ประกอบดีไม่เอาตนเป็นเกณฑ์
งานกินตัวเปรียบชีวิตคนกรุง                ใช้แรงเหนื่อยใครมุ่งอยากบำเพ็ญ
มีชีวิตดีกว่าฉีกกฎเกณฑ์                     เอือมการให้ยื้อเป็นสุขอย่างไร
ย้อนมองใจเพิ่มอย่างเข้มแข็ง               วัตถุแย่งมีได้เติมเต็มไหม
รู้พอให้สร่างทุกข์ตระหนี่ไป                 เรื่องแรงแรงหลายหลากสร้างวีรชน
รักคนด้วยเมตตาค้ำจุนโลก                  เป็นลมโบกพระพายคลายทุกข์ทน
เป็นคนดีแปรความร้ายด้วยยั้งตน           มีมากล้นความเมตตาให้อภัย
                                             ฮิ  ฮิ  หยุด



พระโอวาทท่านราชบุตรสามนาจา

วันนี้เรามาที่นี่ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราไม่ว่า แต่ที่เรามาที่นี่เพื่อต้องการมาพูดธรรมะให้ท่านฟัง แต่มาพูดธรรมะก็ไม่ใช่ให้ท่านเปลี่ยนศาสนาใหม่ ใครยังเป็นพุทธ ใครยังเป็นคริสต์ ก็ยังเป็นอย่างเดิม แต่สิ่งที่เราจะมาพูดคือธรรมะล้วนๆ ธรรมะที่เอาไปใช้ในชีวิตแล้วเมื่อเจอทุกข์รู้จักทางแก้ทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวเรา เราไม่ได้ล้างสมองท่าน เราไม่ได้มาเปลี่ยนแนวความคิดท่าน ท่านคิดอย่างไรก็คิดอย่างนั้น แต่กำลังจะมาเพิ่มมุมมองที่แตกต่างในการอยู่บนโลกใบนี้เอาไหม (เอา)
“คนรู้มากอยากสุขดูแสนเข็ญ”  บางทีเราเรียนวิชาจนจบโท จบดอกเตอร์ แต่ถามว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  บางทีถามว่าทำอย่างไรให้มีเงิน ยังตอบง่ายกว่าทำอย่างไรให้ตนเองมีความสุข หรือทำอย่างไรให้คนอื่นได้เงินยังทำง่ายกว่าทำอย่างไรให้คนอื่นมีความสุขจริงหรือไม่ (จริง)
นั่นเป็นเพราะว่าอะไร เพราะว่าความสุขสร้างยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  คนที่ยกมือตอบหน่อยสิว่าทำอย่างไรให้คนอื่นมีสุข (ยิ้ม)  แต่เราว่าไม่จริง ตั้งแต่เรามาเรายิ้มจนจะแห้งอยู่แล้วยังไม่มีใครยิ้มกับเราเลย ยังไม่เห็นใครมีความสุขเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่ายิ้มอาจจะใช้ไม่ได้ตลอด ฉะนั้นคนที่ยกมือคิดว่ามีอะไรอีก (ให้ธรรมะ)  วันนี้เขาก็ให้ธรรมะมาเกือบครึ่งวัน สุขไหม (สุข)  สุขจนพูดไม่ออกเลยใช่หรือไม่ มีอย่างหนึ่งนะที่ทำให้คนยิ้มได้ใครคิดออกบ้าง (ให้ความรักและความเมตตา)  เราให้ความรัก ความเมตตากับลูก แต่เขามักจะไม่พอใจในสิ่งที่แม่ให้ มักจะชอบเพื่อนมากกว่าแม่ มักจะเลือกเพื่อนมากกว่าแม่ ในบางครั้งจริงไหม (จริง)  ทำอย่างไรให้คนอื่นมีความสุข บางทีต้องดูเหตุการณ์แวดล้อม ดูลักษณะนิสัย และก็ดูว่าตอนนั้นเขาต้องการอะไร อย่างเช่น เขากำลังทุกข์กับปัญหาเงิน หาเงินไม่ได้ เราแกล้งทำเงินตกห้าร้อยแล้วบอกให้เขาหยิบขึ้นมา เราก็บอกเขาว่าเราเจอกันทั้งคู่เลย ไม่เป็นไรเธอเอาไปเถอะ เพื่อนก็จะดีใจได้เงินแล้ว เราทำความสุขให้เขาไหม (ทำ)
ฉะนั้นความสุขเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกให้มีสุขได้ ธรรมะเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้คนเป็นคนดีตลอดไปได้ ใช้ธรรมะอย่างเดียวทำให้เราดีในสายตาทุกคนได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนเราเป็นคนซื่อสัตย์ ไปอยู่ที่ไหนก็ซื่อสัตย์ คนบางคนก็รำคาญความซื่อสัตย์ของเราจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้อย่าตายตัว อย่าหมกมุ่นกับความคิดใดความคิดหนึ่งจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นคนที่ไม่สามารถเปิดโลกกว้างให้กับชีวิตและโบยบินอยู่บนโลกได้อย่างอิสระเสรี
ไม่สบายตัวยังรักษาได้ ไม่สบายใจยากรักษา โรคทางใจจะให้หมอดีขนาดไหนก็รักษาไม่ได้ คนที่จะช่วยให้ตัวเองหายจากโรคทางใจได้คือ (ตัวเราเอง)  แต่ถึงเวลาตัวเราก็ไม่รักษาตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองทุกข์อยู่กับความคิดอย่างนั้น เราอยากบอกท่านว่า เมื่อไรที่เราสุข ถ้าเรารู้ว่าเราสุข และคิดว่าคงสุขเพียงวันนี้วันเดียว ความสุขนั้นจะเป็นอย่างไร เราจะหมดสุขทันที ในทางเดียวกันถ้าเมื่อไรที่เราทุกข์และเราคิดว่าวันนี้เราคงทุกข์วันเดียว เราคงจะสุขกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราโกรธ เราไม่พอใจ เวลาเราเกลียดใคร คิดไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าเรากำลังหมกมุ่นกับอารมณ์นั้นอย่างตายตัวหรือเปล่า หมกมุ่นจนทำให้ตัวเองฟุ้งซ่าน จนทำให้ตัวเองไม่สามารถเปิดแสงสว่างให้กับชีวิต เปิดมุมมองความคิดใหม่ให้กับตัวเองบ้าง
ฉะนั้นเราอยากให้ตัวท่านบ่มเพาะจิตใจที่สามารถปลดเปลื้องปมในใจออกง่ายๆ แล้วเราจะเป็นคนที่อยู่คนเดียวก็มีสุข ไปอยู่กับใครก็ไม่อึดอัด แต่ต้องรู้จักลดทิฐิ อัตตาบ้าง เปลี่ยนมุมมองความคิดด้านเดียว แล้วไปอยู่ที่ไหนก็จะทนฟังได้ แม้จะไม่เคยทนมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีมนุษย์เราจะรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยเขา รู้จักยับยั้งชั่งใจ ถ้าเราอดทนได้ ระงับยับยั้งชั่งใจไม่ทำผิดได้ เราก็ดีขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง  แต่คนบางคนไม่คิดอย่างนั้น ทำไมต้องอดทน ทำไมต้องอภัย จริงหรือไม่ (จริง)
เราจะเล่าอะไรให้ฟังดีไหม มีสองเรื่อง สนุกกับไม่สนุก จะฟังเรื่องไหนก่อน (ไม่สนุก)  ฟังเรื่องไม่สนุกก่อน เรามีบ้านอยู่ ข้างๆ บ้านเรายังซ่อมแซมอยู่ ตอกฝาบ้านเสียงดัง เรารู้สึกหงุดหงิดมาก นอนก็นอนไม่หลับ เพราะรำคาญ เราเดินไปทันทีทนไม่ได้ไปโวยวายเขาเลิกดังได้แล้วรำคาญ พอวันหนึ่งเราซ่อมบ้าน เราทุบตุบๆ บ้าง เขากลับมาด่าเราเขาผิดไหม (ไม่ผิด)  เหมือนกันถ้าวันนี้เราไปเที่ยวมา เรากลับมาโดนแม่ว่า แม่ลองเป็นลูก ลูกลองเป็นแม่ แม่คงไม่โมโหลูกและลูกคงไม่โกรธแม่ จริงไหม (จริง)  เพราะห่วงจึงด่า เพราะรักจึงบ่น ถ้าไม่ห่วงไม่ด่าเราจะบ่นไหม (ไม่บ่น)  ลูกคนอื่นกลับบ้านดึกเราไปว่าเขาไหม (ไม่ว่า)  แต่พอลูกเรากลับบ้านดึกทำไมเราว่า (เป็นห่วง)  อยากให้ลูกๆ รับรู้ไว้เราก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน แม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนไหม (เคย)  แม่ให้กลับสามทุ่มแต่ลูกอยากเลยไปนิดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราคิดอยู่อย่างนี้เราจะไม่โกรธใคร
เหมือนอย่างเพื่อนที่เราทำงานร่วมกัน ทำไมเขานั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยเราทำงานอยู่คนเดียว ให้คิดว่า เขายังไม่รู้แต่เรารู้แล้วว่าการขยันเป็นสิ่งที่ดี เขาไม่รู้เราให้อภัย ได้ไหม (ได้)  หรือในบางครั้งเราทำงานร่วมกัน เราเคยเป็นเบื้องล่างมาก่อน เคยถูกเขากดขี่ ด่า ข่มเหง เราก็คิดว่าวันหนึ่งถ้าเราเป็นใหญ่ขึ้นมา เราจะไม่กดขี่ ไม่ข่มเหง แต่พอเป็นใหญ่ขึ้นมาเรากลับกดขี่ข่มเหง เพราะอะไร แล้วคนที่ทำกับเราใช่คนที่เรากำลังกดขี่เขาไหม
จงจำไว้นะโลกเรามีคนอยู่สองประเภท รู้ก่อนกับรู้หลัง ถ้าเรารู้ว่าอะไรดีแต่เขาไม่รู้ว่าอะไรดีก็อย่าไปโกรธ เราจะทำอย่างไรที่จะสอนให้เขารู้อย่างเราได้บ้าง ถ้าตอนนั้นเราให้อภัยเขามากๆ นั่นแหละคือคนที่คิดได้ อกเขาคืออกเรา ใจเขาคือใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่บางครั้งคนเราจะเจอคนสองประเภท โดนกดขี่แล้วพอเป็นใหญ่ไม่กดขี่ แต่คนอีกประเภทหนึ่งโดนกดขี่แล้วพอเป็นใหญ่กดขี่ต่อ ชีวิตคนเราจะต่างกันก็ตรงนี้เองจะเอาธรรมะสอนใจหรือเลิกเอาธรรมะแต่เอามารมาคู่ใจ ความแตกต่างของคนดีกับคนเลวจึงอยู่ตรงจุดๆ นี้ ใช่ไหม (ใช่)
อยากฟังเรื่องตลกหรือยัง  เรื่องตลกก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งเราไปกับเพื่อนคนหนึ่งเดินไปด้วยกัน เดินไปเจอเด็กๆ ยืนร้องไห้ข้างๆ กองขี้หมา เราก็เดินเข้าไปถาม ร้องทำไมหนู เขาก็ตอบว่า “หนูจะเอาเงินไปซื้อขนมแต่เงินตกลงไปในกองขี้“ เรากับเพื่อนเรายืนมองเฉยๆ แต่เพื่อนกลับเอามือแหวกๆ แล้วก็หยิบเงินขึ้นมานี่ใช่ไหม เด็กคนนี้ดีใจบอกว่า “ใช่เงินหนู พี่ช่วยเช็ดให้หนูหน่อยหนูไม่กล้าจับ”  เขาก็เช็ดให้จนสะอาดเด็กก็ดีใจกลับบ้านไป แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง เพื่อนเราก็ซื้อขนมมา เขาก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเราก็อยากกินเพื่อนก็เลยส่งถุงขนมให้เรากินไหม  เพราะว่ากลัวมือไม่สะอาด
เหมือนกันถ้าเรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สูง ต่ำ ดำ ขาว ทุกสิ่งคือสิ่งเดียวกันหมด จิตใจเราก็คงอยู่บนโลกนี้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เรามักจะแบ่งแยก อันนี้สะอาดอันนี้สกปรกอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี อะไรที่สกปรกเราจะรู้สึกรังเกียจ แต่ถ้าเราไม่คิดอะไรกินเข้าไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดมากกลับไปนอนป่วยเป็นโรคเพราะว่ากินขนมที่เปื้อนมูลอุจจาระ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกันวันนี้ท่านจะอยู่ฟังด้วยจิตใจเช่นไร และเห็นเราเป็นมูลอุจจาระที่สกปรกแล้วไม่กล้าเข้าใกล้ หรือจะเห็นเราเป็นมากกว่ามูลอุจจาระ ท่านลองเอาไปคิดเอาไปพิจารณา คิดให้ดีๆ คนบางคนพอพูดว่ามีการยืมร่าง อะไรก็ไม่รู้ลัทธิอะไรหรือเปล่า  ท่านคิดอะไรหรือเปล่า อย่าดูถูกว่าสิ่งที่สกปรกนั้นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าอาจจะจริงหรืออาจจะไม่เป็นจริง ท่านเอาอะไรพิสูจน์ ใช่ไหม (ใช่)  เอาแค่ตาเอาแค่หูเท่านั้นหรือ เราน่าจะดูที่คุณค่ามากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมว่ามูลสัตว์ก็ทำให้ต้นไม้เติบโต ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลกนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายถ้าเรารู้จักเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนความคิดและกล้าที่จะไม่ติดยึดกับความคิดใดอย่างตายตัว จริงไหม
วันนี้มาฟังเรื่องธรรมะล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลย แต่ถ้าเกิดว่าคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ว่าตนเองรู้แล้วแน่แล้ว ไปอยู่กับใครก็จะไม่มีใครอยากพูดอะไรอยากเตือนอะไรเขา แต่คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่กับใครก็เข้ากับเขาได้ง่าย ไม่ถือทิฐิ ไม่ถือมานะ คนๆ นั้นไปอยู่ที่ใดก็สร้างความสุขให้กับตรงที่ๆ นั้นใช่หรือไม่ ฉะนั้นท่านก็ไม่ชอบให้คนมาอวดดีกับท่าน แล้วเราเผลออวดดีกับใครหรือเปล่า เป็นไหม อย่าลืมนะว่าโลกหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สิ่งที่ท่านรู้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่รู้ก็เป็นได้ อย่ามั่นใจว่าตัวเองทำถูกเสมอไป บางครั้งเราต้องยอมเป็นผู้ที่ไม่รู้บ้าง เราอยากคุยเล่นแต่ในการคุยเล่นนั้นก็มีธรรมะ ในธรรมะก็ให้แง่คิดกับชีวิตใช่หรือไม่ โลกนี้ยุติธรรมไหม เราเชื่อว่าในที่นี้มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดกับฟ้าดินเสมอว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรมเลย” ทำไมปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ทำไมปล่อยให้คนดีถูกเหยียบย่ำ ใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินคำว่า “เมตตามหาเมตตา” (เคย)  แล้วหาได้ที่ไหน
เราจะบอกท่านให้นะว่า ยิ่งถูกเอาเปรียบมากเท่าใด ยิ่งถูกคนอยุติธรรมมากเท่าใด ตอนนั้นแหละจะเป็นตอนที่ท่านได้ฝึกเมตตามหาเมตตา จริงนะเราไม่โกหก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้คำว่า อภัย แต่เราเจอคนนี้แหละ เรารู้ว่าควรอภัยให้เขา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนเราไม่เคยรู้จักคำว่าต้องอดทนนั่งขนาดนี้ พวกนี้แหละทำให้เรารู้ ใช่ไหม ฉะนั้นคืออย่าเกลียด เริ่มแรกคือเปิดมุมมองให้กว้างๆ ถ้าบางทีเรารู้ว่าเขาเดินทางนี้แล้วตกนรกแน่ แล้วเราเห็นอยู่ เขาจะด่าอย่างไรเราก็ต้องรั้งเขาไว้ จริงหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าเป็นลูกเรา แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ บางทีอย่าไปโกรธเลย เพราะลูกเขายังมองไม่เห็น จริงหรือไม่
แต่เราอยากจะบอกท่านว่า มีคนมักจะพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอว่า คุณ ผม ฉัน ไม่เคยทำอะไรเขาเลย ทำไมเขามาทำกับฉัน ด่าเขาก็ไม่เคยด่า อยู่ๆ เขาก็เหม็นขี้หน้า ใช้ก็ไม่เคยใช้ แต่เขาใช้เราหัวปักหัวปำ เราอยากบอกท่านว่า ท่านกำลังได้รับคืนในสิ่งที่ท่านเคยทำไว้ในอดีต ท่านกำลังได้รับผลในสิ่งที่ท่านได้หว่านเมล็ดลงไปในอดีต เหมือนเราทำไมตาเราชั้นเดียว ทำไมเราขาวแต่เพื่อนเราดำ ทำไมตัวเราดำ ทำไมพ่อแม่เราจน ทำไมพ่อแม่เพื่อนรวย สิ่งที่เป็นเหล่านี้ล้วนเกิดจากเรากระทำไว้ในอดีตชาติ ถ้าคิดได้ขนาดนี้เราก็คงไม่โกรธเขา แล้วเราก็คุ้นในการใช้จิตเมตตาและให้อภัยเขา ยิ่งโชคร้ายมาถึงเรามากเท่าไร โชคร้ายนั้นแหละจะช่วยขจัด ขัดเกลาใจท่านให้สะอาดใสยิ่งขึ้น ยิ่งโชคร้ายมาสู่ตัวเรามากเท่าไร เขาด่าเรา เราแผ่เมตตา เขาเกลียดเรา เราให้อภัย ไม่โกรธใส่ ใช้การสนองเวรที่ล้ำค่าด้วยการระงับโทสะ สร้างกุศลเจตนาที่ดี เขาร้ายมาอวยพรไปอภัยไป นี่แหละเรียกว่าเมตตามหาเมตตา
เวลาเจอคนที่ร้ายขอเอาสิ่งที่ร้ายออกจากใจ แล้วเติมความเห็นใจเข้าไปเยอะๆ เติมเมตตาเข้าไปเยอะๆ เติมอภัยเข้าไปเยอะๆ เมื่อนั้นทุกวันมีแต่สร้างกุศลจิต ทุกวันสร้างแต่เจตนารมณ์ที่ดี ถ้าเราทำได้อย่างนี้ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีแต่คนเจตนาที่ดีคนนั้นจิตใจจะยกสูงขึ้น ปัญหา ทุกข์ที่ประดังเข้ามาก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีได้ ต่อไปทุกข์เข้ามา ดีใจเราจะได้ฝึกเมตตา นี่แหละวิธีการที่จะจัดการกับปัญหาที่เราคิดไม่ถึง นี่แหละวิธีการจัดการกับปัญหาที่จะทำให้เราทุกข์แต่กลายเป็นสุข
ท่านรู้เรื่องนี้ไหม เราว่าคิดได้แต่ไม่ทำ จริงไหม แต่ถ้าคิดได้แล้ว ลองทำดู ท่านไม่ต้องเจอคนที่รังเกียจอีก แต่ถ้าอยากเจออีกทำไปเถอะ อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดทำไปเลย ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมก็เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น และเพื่อการกระทำที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ด้วยการคิดอย่างคนที่มีธรรม คิดอย่างคนที่รู้จักให้ ไม่ยาก ถามท่านตรงๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ คนชั่วกับคนดี เวลาท่านเจอคนดีท่านก็ชอบ เวลาเจอคนชั่วท่านก็ว่าเขา แต่ถึงเวลาเราชั่ว ทำไมไม่ว่าตัวเองให้เจ็บล่ะ ถึงเวลาเลือกได้ท่านก็อยากเลือกคนดี แต่ทำไมถึงเวลาตัวเองเราถึงทำไม่ดีล่ะ เพราะอดทนไม่ได้แค่นั้นเองหรือ น่าเสียดายนะ ความประเสริฐของมนุษย์จะยังคงเป็นความประเสริฐได้ ก็ต่อเมื่อเขารู้จักเอาธรรมะมายับยั้งชั่งใจ เขารู้จักเอาธรรมะมาเป็นตราชั่ง แล้วตัวท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ล่ะ จะคิดแค่เพียงปล่อยไปตามอารมณ์ หรือจะรู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าลืมนะว่าท่านคือแม่พิมพ์ของรุ่นต่อไป
ท่านอยู่กับเพื่อน ทุกวันพูดแต่สิ่งที่ดี เพื่อนที่คบก็คือเพื่อนที่ดี แต่ถ้าทุกวันคือการเล่น เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ท่านก็จะมีแต่เพื่อนเล่น เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ กรรมมันก็สนองอยู่แล้วในตัวมันเอง จริงไหม (จริง)  ทุกวันนี้ท่านมีลูกเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ท่านมีเพื่อนเป็นอย่างไร อย่าโทษเขา ถ้าตัวท่านไม่เป็นอย่างนี้ เพื่อนแบบนี้จะเดินเข้าหาไหม (ไม่เดิน)  จริงหรือไม่ เราว่าเพื่อนปากร้ายตัวเราปากร้ายหรือไม่
ใครๆ ก็อยากโชคดีใช่ไหม (ใช่)  แต่เคยทำดีไหม ทำแต่ทำไม่ตลอดรอดฝั่งจริงไหม ลองทำดีให้ตลอดรอดฝั่งสิ ผลของความดีอาจจะดียิ่งขึ้นก็ได้ หรือไม่ลองทำดีโดยไม่หวังผลสิ ผลของความดีอาจจะยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านคิดก็ได้ ลองทำดีโดยไม่เขียนชื่อสิ ผลความดีอาจจะมีคุณค่าที่ดีกว่าการเขียนชื่อก็เป็นได้ ลองทำดีแบบที่คนอื่นเขาทำไม่ได้สิ ผลของความดีอาจจะทำให้เรายิ่งเจริญรุ่งเรืองก็เป็นได้ ใช่ไหม เราอยากบอกท่านว่าคนที่ทำร้ายท่าน ทำให้ท่านเจ็บปวด ถ้าท่านอโหสิกรรมเขา แล้วอวยพรเขาขอให้เขาโชคดี เขาเจริญได้เมื่อไร ท่านก็เจริญตามด้วย แต่ถ้าเกิดว่าคนที่ทำร้ายท่านๆ กลับทำร้ายต่อ เขาโชคร้ายเมื่อไร ท่านก็โชคร้ายด้วย จริงไหม เมื่อวันนี้เขาแพ้ สักวันหนึ่งเขาก็จะมาเอาชนะเรา แต่ถ้าทุกครั้งเราให้เขาชนะ ต่อไปเขาจะมาเอาชนะเราไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงหรือไม่
เราอยากให้ท่านสนุกสนานมีชีวิตที่ดีงาม เราสนุกสนานแต่ลืมครรลองคลองธรรมที่ดีงามก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สอนคนอื่นให้ดีได้แต่ตนเองไม่เคยดีเลยก็ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากให้ลูกได้ดีมีสุขตัวท่านทำอะไรที่เรียกคุณงามความดีบ้าง อย่าคิดว่าวันนี้เด็กมาสอนผู้ใหญ่เลยนะ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกันได้หรือเปล่า (ได้)  ธรรมะไม่ใช่มีสำหรับคนแก่ แต่ธรรมะมีไว้สำหรับคนที่รู้จักยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ธรรมะมีไว้สำหรับคนที่รู้จักใช้ชีวิตได้เป็น และเมื่อเจอทุกข์ก็พร้อมจะดับทุกข์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่าหนึ่งบวกหนึ่งทำไมไม่เป็นสองแต่บางทีกลายเป็นหนึ่ง ไม่ยากเลยนะเขารักเราแต่เราไม่รักเขา หนึ่งบวกหนึ่งจะเป็นสองหรือไม่ บวกยังไงก็ไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาเกลียดเราแต่เรายังรักเขา แม้วันนี้หนึ่งบวกหนึ่งจะเป็นสอง แต่ต่อไปสองบวกสองนานเข้าก็จะกลายเป็นหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตเราก็เหมือนกัน บางทีเราทำดีกับเขาทุกอย่างแต่ยังไงเขาก็ไม่รักเรา ฉะนั้นเราต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่งมันไม่เป็นสอง แต่มันกลายเป็นหนึ่ง แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง หนึ่งบวกหนึ่งมันกลายเป็นศูนย์นั่นหมายความว่าอย่างไร ใครพอรู้บ้างไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมตอบคำถามว่า ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งแล้วจึงเป็นศูนย์)
แปลกหนอสิ่งที่ดีๆ เรากับไม่ค่อยเลือกให้กับชีวิต เรากลับเลือกแต่ชีวิตไปวันๆ กับสิ่งที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือปล่อยชีวิตไปกับวัตถุหนึ่งอย่างเท่านั้นเอง เพราะค่าที่มากกว่าเงินทองในกระเป๋าคืออะไร คือการดำรงชีวิตอย่างคนที่มีธรรมอันประเสริฐต่างหาก ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทองในกระเป๋าอีกนะ มนุษย์เรามีอิสระที่จะคิด ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ไม่ใช่สิ่งผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ให้เขาไปแล้ว เขาอาจไม่ต้องการก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำงานร่วมกับใคร ถ้าประสานกันได้กลมกลืนก็เป็นศูนย์ แต่ในศูนย์นั้นก็พร้อมที่จะเป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ตามมาได้ ฉะนั้นธรรมะถ้าเราเปิดใจ เปิดมุมมอง เราจะได้หนึ่งบวกหนึ่ง แล้วกลายเป็น สอง สาม สี่ ก็ได้จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนชีวิตของท่านแหละ มีใครจะตอบอีกไหม
(หัวหน้าตอบ)  หนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ ในความหมายของผมก็คือ บุคคลสองคนซึ่งมีความคิดเห็นอะไรไม่ตรงกันหลายๆ อย่าง ผลทุกอย่างที่ออกมาจะเป็นศูนย์ เพราะศูนย์ตามที่เราเข้าใจก็คือไม่มีความหมาย Zero นั่นเอง
แต่ศูนย์ของนักเรียนแถวหลังก็มีความหมาย เพราะทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ แล้วก็กลายเป็นหนึ่งจริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเพราะเป็นศูนย์มาก่อนเราเลยอยากมีหนึ่ง เพราะมีหนึ่งมานานแล้วเราจึงอยากมีสองใช่ไหม (ใช่)  มีสองนานๆ แล้วก็อยากมีสาม  แล้วบางทีพอมีสาม มีสอง แล้วรู้สึกว่าอยากเป็นหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่มันสลัดไม่ออก จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วมนุษย์เราก็เหมือนกับคนที่เดินทางไปถึงเลขเก้าแล้วกลับมาเป็นเลขสิบไม่ได้ มันกลายเป็นเลขศูนย์ หมายความว่าอะไร ใครคิดต่อได้บ้าง
(พอเราเริ่มจากศูนย์ถึงเก้า แต่วันหนึ่งเราก็ต้องตายไป)  พึงย้ำตนเองเสมอนะว่าแม้จะมีปัญญาขนาดไหน ทางสุดท้ายของชีวิตทุกคนเหมือนกันคือ ความว่างเปล่า แต่ถามท่านที่นั่งอยู่ที่นี่เคยสละอะไรได้บ้าง ไม่เคยสละอะไรเลยโดยเฉพาะตัวตน ถึงเวลาจะตายมักจะไม่อยากตาย โดยเฉพาะเวลาเจ็บป่วย “แม่หนูจะตายไหม คุณผมยังไม่อยากตาย ผมยังอยากอยู่ ฟ้าช่วยหน่อยถ้ารอดแล้วจะเป็นคนดีกว่านี้ จะทำบุญเจ็ดวัดเจ็ดวาไม่หยุด”  แต่พอรอดมาแล้วหนึ่งวัดก็ยอมแพ้แล้วใช่ไหม (ใช่)  ธรรมะไม่ได้สอนให้มนุษย์เอาชนะทุกข์หรือมองเห็นทุกข์อย่างเดียว แต่ธรรมะยังสอนให้มนุษย์รู้จักยอมรับความจริงได้ แม้มีมากเท่าไหร่สักวันย่อมเป็นศูนย์ และในความศูนย์เราจะทำอย่างไรให้เราหลุดพ้นแล้วตายได้อย่างสบาย ไม่เป็นศูนย์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
“งานกินตัวเปรียบชีวิตคนกรุง”  ตื่นมาก็ทำงานๆ หาเงินใช่หรือไม่ (ใช่)  วันไหนไม่มีเงินในกระเป๋าก็นอนไม่หลับใช่ไหม (ใช่)  แต่เราถามท่านหน่อยว่าบางครั้งมีเงินเยอะ แต่ก็หาความสุขไม่ได้ หาความเข้าใจจากเพื่อนคนหนึ่งหรือญาติพี่น้องคนหนึ่งก็ไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  หาเงินได้มาซื้อคนดีสักคนหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วที่สุดของชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ ต้องการคนเข้าใจหรือต้องการเงิน คนเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เคียงข้างเราเมื่อเราทุกข์เมื่อเราสุข แต่เราถามท่านว่าถึงที่สุดคนที่เคียงข้างท่านคือใคร ตัวเราเองเป็นผู้สร้างทุกข์ ตัวเราเองเป็นผู้ที่ทำให้ทุกข์คงอยู่ และตัวเราเองเป็นผู้ที่ทำให้ทุกข์นั้นหายไปได้
เราเพียงแค่พูดชี้ให้ท่านรู้ ทางอีกทางหนึ่งหรือมุมมองความคิดอีกอย่างหนึ่ง ที่เวลาเรามีชีวิตแล้ว คิดอย่างนี้เราจะมีสุข คิดอย่างนี้เราจะไม่ทำให้ใครทุกข์ แล้วคิดอย่างนี้  แม้เขาจะสร้างทุกข์มาให้ แต่เราจะแปรเป็นสุขได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปลอบใจเขาก็คือการปลอบใจเรา ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ช่วยเขาก็คือช่วยเรา” แต่ถ้าเราไม่ช่วยใครก็น่าเสียดายโอกาสที่อยู่ตรงนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยช่วยใครให้มีสุข ชีวิตนี้ไม่เคยอภัยใครให้มีสุข มีแต่สร้างทุกข์ นั่นก็มองได้เลยว่าชาติหน้าหรือชาตินี้ทุกข์เป็นแน่แท้ ชีวิตนี้ไม่เคยเชื่ออะไรใครง่ายๆ ก็เดาได้เลยว่าชีวิตนี้ท่านก็คงไม่มีใครเชื่อท่านง่ายๆ กงกรรมกงเกวียนมันเป็นจริง ไม่หลุดรอดไปหรอก ใครทำอย่างไรต้องได้รับอย่างนั้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมส์บวกเลขถ้าบวกแล้วเป็นเลขคู่ให้ยืนขึ้น ถ้าบวกแล้วเป็นเลขคี่ให้นั่งลง)
มนุษย์เราพอมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเราถึงกระตือรือร้น แต่พอปล่อยเป็นอิสระ เรากลับไม่มีความกระปรี้กระเปร่า เราชอบคนบังคับหรือ ชอบให้คนมากำหนดกฎเกณฑ์ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วทำไมเราปล่อยให้คนเขาต้องมากำหนดกฎเกณฑ์ เมื่อสักครู่เราบอกว่าไม่มีบทลงโทษ ท่านก็จะทำช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมีบทลงโทษ ท่านก็ไวทันที ชีวิตก็เหมือนกัน ทุกคนมีความเชื่อถือ ทุกคนมีความน่าเคารพเลื่อมใส แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองทำผิดแล้ว ความน่าเชื่อถือหายไป ตอนนั้นจะไปเรียกร้องกับใครก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยากให้ท่านมีความอดทนให้มากๆ ฟังให้จบสองวันนี้เข้าใจให้ได้ ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้น หรือธรรมะที่ท่านกำลังฟังอยู่นี้มีค่าอะไรกับชีวิต แล้วคนที่เขาทำอยู่นี้เขาทำเพื่ออะไร เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขานะ แต่เขาทำเพื่อให้ท่านยืนอยู่และเป็นคนที่อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แม้เจอทุกข์ก็ยืนได้อย่างคนที่คิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลามีคนดีทำดีให้จงขยันชม แล้วความดีนั้นจะยั่งยืนนาน แต่คนเราในโลกใครทำดีเรามักปากหนักชมไม่เป็น ลองชมคนเขาบ่อยๆ เขาจะได้รู้ว่า ทำแบบนี้แม่ชอบ ทำแบบนี้แปลว่าถูกใจ แต่บางครั้งเราอยู่กับเขาเดาไม่ออก ทำดีก็แล้ว เขาก็ไม่ชม ทำชั่วก็แล้วเขาก็ไม่ว่า แล้วฉันจะเป็นคนอย่างไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาทำชั่วด่าเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนท่านทำผิดมากที่สุดท่านอยากได้คนด่าหรือคนเห็นใจ (คนเห็นใจ)  ฉะนั้นเอาความคิดนั้นแหละไปใช้กับเขา เวลาท่านผิดมากที่สุดท่านอยากได้คนเห็นใจ “ไม่เป็นไรลูก” “ไม่เป็นไรคุณ เงินเดี๋ยวมันไปมันก็กลับมา” พอเขาไปมีใหม่ “ไม่เป็นไรคุณเดี๋ยวคุณไปคุณก็กลับมา”  ทำใจได้ไหม ได้เถอะนะ แล้วเราจะมีสุข วันนี้เราอาจจะทำใจยาก คุณไปแล้วคุณไม่กลับ เราไม่ดีมั๊ง เขาอาจจะดีกว่า ถ้าทำใจยอมรับความจริงในโลกเราจะทุกข์น้อยลงและสุขมากขึ้น
เราอยู่บนโลกเราช่วยกันจับผิดหรือจับถูก (จับถูก)  จับถูกดีกว่านะ  ไม่มีใครอยากให้มาจับผิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเขาผิด เราให้อภัยและให้โอกาส ดีไหม (ดี)  เราอยู่ร่วมโลกกัน เราเห็นเขาทุกข์เราสุขได้หรือ เห็นเขาทุกข์เราต้องช่วยเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้เราสามารถให้อะไรคนอื่นได้บ้างที่ไม่ใช่เงิน (เลือด)  ร่างกายนี้ เราสละให้เขา ต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน พ่อแม่ทุกคนรักลูกใช่ไหม (ใช่)  พอลูกสละเลือดบางทีพ่อแม่ก็เจ็บปวด (ให้ความเคารพ)  แต่ตัวเราต้องทำให้เขาเคารพ (ให้ความไว้วางใจ, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ให้โอกาส, ให้ความอบอุ่นให้คำแนะนำ, ให้คำปรึกษา, ให้ความจริงใจ, ให้เขารู้ว่ามีคุณค่ากับเรา, ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ให้ความกระจ่าง, ให้ความเมตตา)  ให้เยอะๆ เลยนะ (ให้ความรู้เรื่องธรรมะ)  แล้วเข้าใจธรรมะถึงขนาดไหน (เข้าใจแต่พยายามปฏิบัติอยู่)  ขอให้ทำให้สำเร็จ ทำดีอย่าแพ้ภัยตัวเอง (ให้ความคิดที่ดี,ให้แรงใจให้แรงกาย, ให้ความรักกับคนที่ควรจะรัก)  แปลว่าคนที่ไม่ควรรักก็ไม่ให้เลยหรือ เราว่าเป็นความรักที่ให้ทุกคนและไม่แบ่งแยก ความรักนั้นถึงจะบริสุทธิ์และดีงามที่สุด ลองให้ความรักกับคนที่ท่านเกลียดที่สุด แต่ต้องให้แบบขยันให้นะ เผื่อเขาจะกลับมารักเราได้ (ให้ชีวิต)  ให้ชีวิตเลยหรือ ให้ชีวิตให้กับใคร (ลูก)  บางทีเราอยากจะบอกว่าเอาชีวิตให้กับพ่อแม่ ทำให้เต็มที่ที่สุดมีค่ากว่า (ให้ความรู้กับผู้ที่ไม่รู้)  ฉะนั้นใครโง่ๆ ก็ไม่โกรธเขา (ให้แง่คิด)  ให้แง่คิดอะไรลองพูดมา (แง่คิดเรื่องกตัญญู)  เห็นไหมว่าเราต้องคิด ถ้าไม่คิดไม่มีวันออก
เราว่าที่เขาพูดมาท่านรู้ไหม (รู้)  แต่ท่านเอาออกมาใช้บ่อยๆ ไหม ไม่ค่อยเอาออก พอถึงเวลาก็เลยใช้ได้ไม่ถูก จริงหรือไม่ (จริง)  แง่คิดดีๆ ง่ายเลยนะ เป็นคนต้องอดทนเป็นคนต้องขยันจึงสำเร็จ แค่นี้เอง (ให้ความช่วยเหลือ)  จะให้เขาบางทีอย่ารอเขาขอ เดินไปช่วยเลยจะดีกว่า มีคุณค่ากว่ารอให้เขาขอ เหมือนพ่อแม่ไม่ต้องรอให้ท่านเรียกเดินไปช่วยท่านเลย (ให้โอกาสคนที่ทำผิด)  ไม่ให้โอกาสกับเราบ้างหรือ (ให้ความซื่อสัตย์, ให้โอกาสทางการศึกษา)  เราว่าให้เวลากับพ่อแม่บ้างดีกว่า ให้โอกาสทางการศึกษาเป็นการให้ที่ไกลเกินเอื้อมและยังไม่ถึงเวลาที่เราจะทำได้
สิ่งที่เราจะให้ง่ายที่สุดเมื่อเวลาอยู่บ้านคือ ให้เวลากับพ่อแม่ให้ความกตัญญูรู้คุณ ไปลามาไหว้ ไปไหนคำนึงถึงท่านว่าเราคือตัวแทนของท่านทำผิดเมื่อไร เราก็ทำความเดือดร้อนให้ท่านเมื่อนั้น มีใครจะให้อะไรอีกไหม (ให้จิตใจที่ดีซึ่งกันและกัน, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ให้เกียรติ)
เราจะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่อเมื่อเขามีแล้วหรือเขาขาด สิ่งต่างๆ ที่ท่านพูดมานี้เราจะให้เขาได้ตอนไหน (ตลอดเวลา)  (ให้อภัยตัวเอง)  ผิดไหม ถูกนะ คนที่รู้จักให้อภัยตัวเองจะเป็นคนที่สามารถล้มแล้วลุกขึ้นมายืนแล้วก้าวต่อไปได้ คนบางคนมักจะหมกมุ่นกับความผิดของตัวเองแล้วทำให้ไม่ยอมก้าวไปไหนต่อ (ให้รอยยิ้มกับทุกคน)  หันไปยิ้มหน่อย ให้ความเข้มแข็งกับตัวท่านดีไหม เพราะกินไม่ตรงเวลาจึงป่วย นอนก็ตื่นสาย เดี๋ยววันนี้กินข้าวเช้าเมื่อวานไม่ได้กินก็เลยป่วย (ให้การดูแลแลเอาใจใส่ ให้ความรักและเมตตา)  ให้เราบริสุทธิ์ทั้งกายใจอย่าบริสุทธิ์แค่เสื้อผ้ามีค่ากว่า สวยที่รูปไม่ได้สวยที่ใจ
(ให้ธรรมทาน ให้ความเห็นอกเห็นใจ ให้ความยินดี ให้คำแนะนำในทางที่ดี)  อยู่บนโลกนี้ถ้าชีวิตนี้มีแต่ให้ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ การรู้จักเสียสละนี่แหละคือการให้ที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่บนโลกนี้มีชีวิตเป็นผู้ให้ ให้ตลอดอย่างไม่เหนื่อย ให้อย่างไม่รู้เบื่อ ให้ด้วยกุศลเจตนารมณ์ที่ดีไม่ได้ให้เพื่อหวังคำชม ไม่ได้ให้เพื่อเราต้องการเป็นคนดี ให้เพราะอยากให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ การให้จะช่วยลดอัตตาตัวตนและความตระหนี่ถี่เหนียวในตนได้ จริงไหม (จริง)  ให้ไปนะแล้วชีวิตจะมีค่า แต่ต้องคิดให้บ่อยๆ นะ เพราะอยู่เฉยๆ คิดไม่ออกหรอก
มนุษย์มักจะสงสัยว่าเรามาได้อย่างไร แล้วก็มักจะสงสัยว่าเราจริงหรือเปล่า เราถามท่านหน่อยนะว่า รู้จักเราแล้วว่าจริงหรือเท็จ ช่วยท่านพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  เราอยากบอกท่านว่า ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยงแท้ ท่านเห็นว่าเราจริงแท้ เราต้องตอบท่านว่าไม่จริง ถ้าท่านบอกว่าเราไม่จริงเราต้องตอบท่านว่า เราจริง อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ใช่รูปนี้หรือ ไม่ใช่ สิ่งที่แท้จริงคือพุทธจิตธรรมญาณ หรือวิญญาณที่อยู่ในตัวของทุกท่าน อันนี้แหละคือสิ่งจริงแท้ สิ่งที่เป็นตัวสร้างสรรค์ให้มนุษย์กระทำต่างๆ
ท่านเคยเห็นไม้ไหม สองอันสีกัน ไฟมันอยู่ในไม้ไหม ทำไมสีแล้วเกิดไฟ เพราะอะไร (ความร้อน)  เหมือนกัน มนุษย์เราทำไมออกมาเป็นการกระทำล่ะ เรามีวิญญาณอยู่ข้างในเรามีญาณแล้วสัมผัสได้ไหม เหมือนกันมันก็เหมือนไม้กับไม้สีกันแล้วก็เกิดไฟ เราก็มาจากอย่างนั้น แต่ถึงเวลาเมื่อไฟมันมอด ไฟมันหายไปไหม มันก็หายไปจากกองนี้ แต่มันหายไปจากโลกไหม  (ไม่หาย)  มันยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการ (สีกัน)  เรามาอย่างไรเรามาคล้ายๆ กับไม้ที่สีกันนั้นแหละ มนุษย์มาได้อย่างไร วิญญาณมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร เมื่อไรที่ไปแล้วมันไปจริงๆ ไหม แล้วไปไหน แล้วถ้าเกิดมันสีขึ้นมาแล้ว เราจะต้องกลับมาเป็นไฟหรือเปล่า ชีวิตของมนุษย์ก็เปรียบเช่นนี้แหละ มองให้ทะลุ แล้วเราจะรู้ว่าเรามาตัวเปล่าแล้วสักวันต้องกลับไปตัวเปล่า มีแต่ความดี ความชั่วเท่านั้นเองที่จะไปกับท่านนะ แล้วความดีที่รู้จักให้ ความดีที่รู้จักยอมความดีที่รู้จักเสียสละ จะนำพาท่านสูงกว่าที่ที่ควรจะไป
วันนี้เรามาแค่นี้แหละ เชื่อไม่เชื่อเราไม่ว่า ไม่เชื่อเลยเราก็ไม่ว่า ขอให้กลับไปพิจารณาสิ่งที่เราพูดว่าเป็นจริงไหม คนๆ หนึ่งมีธรรมะรู้จักยอมรู้จักให้อภัย คนด่าเท่าไรเราก็เมตตา เขาเอาเปรียบมากเท่าไรแต่เราก็ยังรู้จักให้ ถ้าทำได้ วันนั้นท่านจะรู้ว่าพุทธะบนแดนโลกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือท่านทุกคนเป็นได้ จริงไหม และเมตตายิ่งกว่าเมตตานั้นคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร คือท่านที่นั่งที่นี้จะยอมทำไหม เมื่อเจอคนเอาเปรียบจะให้อภัยเขาได้ไหม
มองให้ดีๆ นะ คนที่รังแกเรามากที่สุดคือคนที่สอนเรามากที่สุด คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดคือคนที่สอนให้เรารู้จักชีวิตตัวเองยิ่งขึ้น เหมือนกันนะ สอนลูก สอนแต่สิ่งดีๆ อะไรอยากได้ให้หมดๆ กำลังสอนเขาผิดทางหรือเปล่า บางครั้งต้องรู้จักใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง ผิดต้องว่า แต่ว่าอย่างไรที่ทำให้เขารู้สำนึก ชีวิตนับจากตอนนี้ไปท่านเป็นคนเลือกเอง และขีดทางเดินให้กับตัวเอง จะขึ้นหรือลง จะดีหรือเลวไม่ได้อยู่ที่เรานะ แต่อยู่ที่ตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแค่เป็นผู้ชี้ทางๆ หนึ่ง ที่อยากจะบอกท่านว่ามีทางหนึ่งของชีวิตที่นำพาทุกคนพ้นทุกข์และมีสุขได้ ก่อนตายนี่แหละทำอย่างไร คิดอย่างคนมีธรรมะ คิดอย่างคนเสียสละ คิดอย่างคนเมตตาให้อภัย ถึงเวลาเราก็คงไปแล้วนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา นักเรียนที่มาร่วมประชุมธรรมหนึ่งวัน)
เปลี่ยนใจเป็นสองวันก็ดีนะ ถ้าสองวันยังรักษาอยู่ สองวันก็จะดียิ่งขึ้นใช่หรือไม่ อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจเป็นหนึ่งวันนะ เสียดาย จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้แหละ ไม่เชื่อไม่ว่านะ แต่เอากลับไปคิดให้ดีๆ ได้ไหม ชีวิตมีค่าอยู่ที่การกระทำดี




วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    พูดเพื่อตัวใช้ทุกวิธีการ              พูดนานนานคนโง่ยังฟังออก
พฤติกรรมเหมือนเปลือกที่ถูกปอก      แม้ยากบอกแต่เวลาพิสูจน์คน
           เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมฉือหัง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
    เพราะกลัวเป็นคนไม่ดี                   ถึงทีต้องพูดไม่กล้า
จงกลัวใจตนมากกว่า                       กลัวว่าพูดไม่ได้ความ
เสียเรื่องก็เพราะพูดช้า                     พูดเร็วเกินหน้าใช่ดี
อะไรพูดให้พอดี                              จงพูดเท่าที่คนฟัง
พูดเป็นไม่ทำใครโกรธ                      เห็นโทษอดใจไม่พูด
วาจาเป็นดังเหมือนทูต                     ดึงดูดคนด้วยความดี
หากใจรู้สึกแบ่งแยก                         จะแทรกอยู่ในน้ำเสียง
คำพูดที่ไม่ร้อยเรียง                          โต้เถียงไม่อาจหลีกไป
ใส่ธรรมลงในวาจา                          ไม่กลัวใครว่าดีแกล้ง
ความจริงนั้นไร้คู่แข่ง                        ฟ้าแจ้งอยู่ภายในตน
                                                                              ฮา  ฮา  หยุด





แม้ไม่นึกไม่ฝัน  คนรักกันมาทิ้งกันอย่างนี้  ความเห็นใจเริ่มตระหนี่  คลายความสงสารจากกัน  เห็นความสุขสลาย  ดั่งลมพาพัดทรายจากกัน  คนใจน้อยทึกทักเอานั่น  จมความทุกข์ความผิดใจ
ไม่ปลงจะไม่รู้  ถ้าปลงจะได้คิด  หยัดยืนชีวิตธรรมฉะนี้  เพราะไม่รู้อะไรในเดิมที  ถึงวันนี้ทนไม่ได้  เริ่มเรียนจากธรรมะรอบกาย  ฝึกจากความเสียใจผิดหวัง  เหมือนคนเข้าคุกขัง  ออกกำลังช่วยตนเองอีก
ถึงมีรักกี่ครั้ง  เหมือนดังไม่เคยผ่านพบ  ความทุกข์ยังเวียนไม่จบ  ในคนไม่ยอมหลาบจำ
                                                                         เพลง : รักสติ
                                                        ทำนองเพลง : นึกว่าสงสาร


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไหนขอดูหน้าศิษย์ของอาจารย์หน่อยนะ เขาบอกให้ยิ้มต้อนรับไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดี๋ยวนับหนึ่ง สอง สาม แล้วยิ้มพร้อมกันดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้อนุญาตให้หุบยิ้มก่อน ยังไม่อยากยิ้มอย่าเพิ่งยิ้ม หุบไว้ก่อนปิดฟันไว้ เอาหรือยัง หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม ยิ้มซิ ยังเหลือคนไหนเก็บฟันไว้อยู่ ยิ้มนะ ทีนี้ถามว่ารอยยิ้มของเราเป็นรอยยิ้มปุเลี่ยนๆ หรือเปล่า หรือรอยยิ้มของเราเป็นรอยยิ้มที่ขอไปทีหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ปกติเรายิ้มให้ใครเรายิ้มแบบนี้ไหม เขาเรียกว่ายิ้มตามมารยาท อีกอันหนึ่งเรียกว่ายิ้มแบบจริงใจ ถามว่าทั้งสองอันคือรอยยิ้มหรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเรายิ้มส่วนใหญ่เราใช้ยิ้มแบบไหน ไหนใครว่าตัวเองยิ้มจริงใจเป็นส่วนใหญ่ยกมือขึ้น ไหนใครว่าตัวเองยิ้มตามมารยาทบ่อยๆ ยกมือขึ้น คนที่ยอมรับตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุด เพราะเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ยอมรับความจริง จะแก้อะไรก็แก้ง่าย ปัญหาอะไรก็ไม่มีจริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถ้าหากว่าไม่รู้ตัวเอง หรือปัญหาของตัวเองๆ ก็ยังไม่รู้ จะแก้อย่างไร แก้ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่รู้ปัญหาก็แก้ปัญหาไม่ถูกจริงหรือเปล่า (จริง)  ชีวิตนี้มีปัญหาเยอะไหม (เยอะ)  ถามว่าปัญหาไหนที่เราแก้ได้แล้วบ้าง มีปัญหาไหนที่แก้ตกไปแล้ว ไหนตัวเองคิดว่าตัวเองแก้ตกไปแล้วยกมือขึ้น ส่วนใหญ่ที่คิดว่ายังแก้ไม่ตกเลยยกมือขึ้น จะยกก็ไม่กล้ายก ไม่ยกก็ไม่ดี ลังเลอยู่นี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตตลอดมาดำเนินแบบลังเลๆ แบบนี้มาตั้งนานแล้ว เมื่อไรจะแน่นอนล่ะ ไม่แน่นอนอยู่ที่ไหน ไม่แน่นอนอยู่ที่ใจของตัวเราเอง ใจเป็นปัญหาสำคัญเลยจริงหรือเปล่า (จริง)
รู้มากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะมีวิชามากแค่ไหน ประสบการณ์มากแค่ไหน เรื่องง่ายๆ มันกลายเป็นเรื่องยากเพราะว่าเรามีปัญหาอยู่ที่ไหน (ใจ)  จะมากก็ดีจะน้อยก็ดี แต่ปัญหาจิตใจอันนี้ต่างกับโรคจิตนะ ไม่ใช่อาการโรคจิต แต่เป็นอาการที่มีปัญหาทางจิตใจ คือรู้แล้วยังเป็น เป็นแล้วแถมรู้แล้วก็แก้ไม่ได้จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นกลายเป็นคนที่มีสภาพจิตใจที่ลังเล กลายเป็นคนที่มีจิตใจที่ไม่รู้จักพอ พอถึงจุดพอดีแล้วหยุดไหม ไม่ยอมหยุด ฉะนั้นการที่เรามานั่งฟังธรรมะ ฟังเพื่ออะไร ไม่ได้ให้มานั่งฟังที่นี่เพื่อเราจะฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา หรือไม่ได้ให้เรามานั่งฟังเพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้ว แต่เราต้องฟังให้ทำไม (เข้าใจ)
ปกติเรื่องที่รู้ก็รู้อยู่แล้วแต่แก้ไม่ได้จริงหรือเปล่า (จริง)  รู้แสดงว่าเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นเรามาทบทวนใหม่ เรารู้จักตัวเองดีหรือยัง ทุกวันเราส่องกระจก เห็นเงาเห็นรูปตัวเองทุกวัน ไฝ ฝ้า กระ ตรงไหนรู้หมด หน้าตาเราเป็นอย่างไรถึงจะสายตาสั้นแต่ถ้ามีกระจกอยู่ตรงข้ามมองไกลๆ ก็รู้ว่านี่คือตัวเรา เราจับลักษณะตัวเราได้หมด แต่เรานั้นไม่รู้จักตัวเอง คือไม่รู้จักจิตใจของตัวเอง ทุกวันนี้จึงมีความสุขที่ไม่จริง เป็นความสุขที่ถูกหลอกไว้ด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายที่เรามี จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกมาก เราอยากฟังไปซื้อเครื่องเสียง เราอยากดูไปซื้อทีวี เราอยากขี่สบายเราไปซื้อรถ แต่ถามว่าเรามีความสุขไหม เราได้รุ่นที่เราต้องการ ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ แต่เราไม่มีความสุข เพราะว่าความสุขอยู่ที่ไหน (ที่ใจ)
เพราะว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการไปหาข้างนอกเข้ามา แต่ความสุขมันเกิดจากการหาเข้าไปข้างใน ถามว่าทุกวันนี้เรามองหาหรือเปล่า หลับตาสิ หลับตาจะได้มองเห็น มองเห็นอะไร หลับตามองไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาหลับตาเรามักจะคิดจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าเวลาเราคิด คิดมากๆ เข้าถึงจุดหนึ่งเราจะหลับตาไปเอง เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้ใจของเรา ถึงตรงนั้นไม่ได้ใช้ตาที่เป็นตาเนื้อนี้ แต่ตาเนื้อกับตาใจมันก็ต่อกัน ตอนนี้ให้เราลืมตามองเห็นอะไร เรามองเห็นคน เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง แต่เวลาที่เรามองเห็นเรามองไม่เห็นตัวเองจริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรจึงจะมองเห็นตัวเองได้ ถึงตรงนี้จึงมาถึงคำว่า ย้อนมองแล้วก็ส่องตน ใช้คำว่า “มอง”  เหมือนกัน แต่มองแล้วไม่เหมือน ตอนนี้เราลองคิดทบทวนว่าเรามองเห็นว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร สรุปแล้วเรามีนิสัยดีหรือไม่ดี เกือบดีใช่ไหมหรือว่ามีนิสัยไม่ดี เกือบดี ดีมากหรือมีนิสัยกึ่งดีและกึ่งไม่ดี เลือกอะไรดี ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ยกมือยอมรับความจริง เราเป็นกึ่งๆ อย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เมื่อไรเราจะข้ามกึ่งนี้ไป ต้องให้ใครแก้ (ตัวเราเอง)
ธรรมะที่ฟังสองวันนี้ก็เช่นเดียวกัน บางเรื่องรู้แล้ว บางเรื่องรู้มากกว่า บางเรื่องรู้น้อยกว่า แต่การฟังเป็นกำไร การพูดขาดทุน จริงไหม (จริง)  การฟังได้กำไร ยิ่งฟังมากพูดน้อยก็ยิ่งได้กำไรมาก ทีนี้เราจะเป็นคนกึ่งๆ อยู่อย่างนี้ไปชั่วชีวิตไหม ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์อายุ ๓๐ ก็ดี ๒๐ ก็ดี ๔๐ ไปจนถึง ๖๐ ก็ดี ถ้าตอนนี้เรากึ่งๆ อยู่ ให้เวลาไปจนถึง ๒๐ ปีเลิกเป็นคนกึ่งดีกึ่งไม่ดีได้ไหม (ได้)  ใครที่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไปแล้วลุกขึ้นยืนหน่อย ถามว่าทุกวันนี้ยังเป็นคนกึ่งดีกึ่งไม่ดีไหม (ค่อนๆ ไปทางดี)  เห็นไหมว่าอีกกี่สิบปีเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ แต่หากอยากเปลี่ยนตัวเองไม่ต้องรอ ๒๐ ปี เมื่อไรดี เดี๋ยวนี้ อะไรก็แล้วแต่ที่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำได้ทำหรือเปล่า (ไม่ได้)  อะไรที่บอกว่าทำเลยได้ทำหรือเปล่า (ได้ทำ)  ได้ทำแล้วจึงทำได้ ไม่ได้ทำก็ทำไม่ได้  อะไรก็แล้วแต่หากว่ารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี เปลี่ยนได้เปลี่ยนเลย
“พฤติกรรมเหมือนเปลือกที่ถูกปอก”  ถ้าหากเอาส้มมาแกะเปลือกออกจะเห็นอะไร (เห็นเนื้อส้ม)  ปกติผลไม้มีเปลือกไว้สำหรับทำอะไร เปลือกมีไว้ห่อหุ้ม แกะเปลือกออกเห็นเนื้อ เนื้อในของเราเป็นอย่างไร เวลาเราพูดออกมาคนอื่นเขาฟังแล้วตีความ เขาปอกเปลือกตัวเราเรียบร้อย เราดีหรือไม่ดีเห็นได้ที่คำพูดของเรา แต่ว่ามีอีกอย่างที่เห็นชัดยิ่งกว่าคำพูดอีกคือ การกระทำ จริงหรือเปล่า (จริง)  สมมติว่าเราเบื่อคนนี้มากเลย ไม่ชอบ ให้เราไปประจันหน้ากับเขา เราจะทำหน้าอย่างไร ถามว่าแม้แต่ยิ้มตามมารยาทเราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ยังทำไม่ได้เลย แปลว่าเราไม่เคยฝืนใจตัวเองเลย ฝืนใจตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่ฝืนใจตัวเองเลย ดีไหม (ไม่ดี) 
“แม้ยากบอกแต่เวลาพิสูจน์คน” หนทางพิสูจน์อะไร (พิสูจน์ม้า)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เวลาพิสูจน์อะไร (คน)  แม้จะบอกได้ยากมากๆ ว่าคนๆ นี้เป็นอย่างไรเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่เวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ คนยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งมองเห็นกันชัดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเป็นแฟนกันอะไรก็ดูดีไปหมดเลย พออยู่บ้านเดียวกันดีไม่ดีหลบได้ไหม โกหกได้ไหม (ไม่ได้)  ที่ไม่โกหกหรือโกหกไม่ได้เพราะว่าเห็นได้ที่ไหน (การกระทำ)  ผู้ชายที่อยากมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็ชอบที่จะโกหก ทั้งๆ ที่ผู้หญิงก็จับได้แล้ว แต่ว่าโกหกแล้วได้ผลไหม ก็ยังได้ผลเรื่อยๆ เพราะว่าอย่างไรคำพูดถ้าพูดให้ดีก็จะเป็นคุณ แต่พูดไม่ดีก็จะกลายเป็นโทษ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ตอนนี้เราไม่ได้พูดเรื่องคำพูด เรากำลังพูดเรื่องพฤติกรรม ถึงแม้ว่าจะโกหกสำเร็จ แต่พฤติกรรมซ่อนได้ไหม (ไม่ได้)  กลับบ้านไม่ตรงเวลา เงินหาย หนีเที่ยว เพราะฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง ไม่เป็นไร เวลาบอกได้ทุกอย่างจริงหรือเปล่า เวลาบอกได้ว่าคนๆ นั้นดีหรือไม่ดี เวลาบอกได้ว่าเราดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่กับใคร สนิทมากแค่ไหน จะรู้เขารู้เรามากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ยังต้องมีไว้ให้กับทุกๆ คนเลยคืออะไร คือมารยาทและความเกรงใจ  ถ้าหากว่าคนๆ นี้สนิทกับเรามาก เราไม่ชอบคนมาตบหัว เขาเดินมาตบหัว ชอบไหม (ไม่ชอบ)  เขาเห็นว่าเขาสนิทกับเรา เราอาจจะไม่สนิทกับเขาก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราสนิทกับใครก็แล้วแต่ จะเป็นคนบ้านเดียวกันก็แล้วแต่ จะเป็นลูกที่คลอดออกมาเองก็แล้วแต่ จะมีญาติมิตร เพื่อนที่รู้จักกันมายี่สิบสามสิบปีก็ดี สิ่งหนึ่งที่ยังต้องมีไว้ก็คือ “ความเกรงใจ”  คำไทยบอกว่า “ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี”  เพราะฉะนั้นเราต้องมีสมบัติชิ้นนี้ไหม (ต้องมี)  สมบัติชิ้นนี้ล้ำค่ากว่าเงินทอง สมบัติชิ้นนี้หาไม่ได้จากที่ไหน นอกจากตัวเราเอง มีสมบัติหรือไม่มีสมบัติ จะเป็นคนรวยหรือเป็นคนจนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสมบัติที่เรามีอยู่ข้างใน คนรวยไม่น่าคบ คนจนน่ารังเกียจก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราดูแล้วเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับเราทำอะไร
นั่งมาสองวันแล้ว นั่งอย่างมีความทุกข์หรือมีความสุข  นั่งอย่างมีความสุข แต่ขามันเมื่อยเอวมันปวดหรือเปล่า (ใช่)  นั่งเมื่อยแล้วก็อยากยืนจริงหรือเปล่า เวลานั่งรถเมล์นั่งเมื่อยก็ไม่เห็นจะลุกให้ใครนั่งเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถามว่าที่ถูกต้องแล้วคืออะไร ในเมื่อนั่งจนเมื่อยแล้วก็ลุกให้คนอื่นนั่ง จริงไหม (จริง)  แต่เราทำไหม (ไม่ทำ)  อย่างนี้เขาเรียกว่ารู้แต่ไม่ทำ อีกยี่สิบปีข้างหน้าเราก็ยังเปลี่ยนเป็นคนที่ดีไม่ได้ เพราะเรายังไม่ยอมลุกให้ใครนั่ง เราไม่ยอมลุกในขณะนั้น (มโนธรรม)  สำนึกของเราว่าเราไปอีกสองชั่วโมงเรายังไม่หยุดด่าตัวเองเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากด่าตัวเองต้องทำอย่างไร ลุกขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าหากว่าจะเป็นลมค่อยสะกิดเขาขอที่นั่งคืน ทำได้ไหม เคยไหมขึ้นรถเมล์แล้วเขาไม่ลุกให้เรานั่ง (เคย)  เคยไหมเราถือของหนักแล้วไม่มีคนช่วยถือ (เคย)  แสดงว่ากรรมตามสนอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ในขณะเราไม่ได้นั่ง เราไม่ได้นึกถึงตอนที่เรานั่ง แต่เวลาที่เราได้นั่งเราก็ทำเหมือนกันจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นทำอะไรคิดให้ดี อย่าให้มโนธรรมสำนึกของเราว่าเราไปอีกสองชั่วโมง
ฉะนั้นเมื่อฟังอาจารย์พูดถึงตรงนี้ ศิษย์ว่าธรรมะนี้ดีไหม (ดี)  แต่ที่ศิษย์ว่าธรรมะไม่ดีอยู่ที่ไหน  ธรรมะนี้ไม่ดีเพราะว่าคนที่ปฏิบัติ ยังปฏิบัติไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เราจึงต้องหัดแยกแยะออกจากกันว่า เราจะพูดว่าธรรมะไม่ดี หรือเราจะพูดว่าคนที่ปฏิบัติธรรมไม่ดี จริงหรือเปล่า (จริง)  พูดอย่างนี้ไม่ได้แก้ตัวให้กับคนอื่นๆ แต่คำว่า “ธรรมะไม่ดี”  เป็นอุปสรรคที่อยู่ในใจของเรา คำว่า “ธรรมะไม่จริง”  เป็นอุปสรรคในใจของเราว่า เราคิดอะไรอยู่ เมื่อเราคิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง เราจะมาบำเพ็ญไหม   เราก็ไม่ยอมที่จะก้าวแม้เพียงหนึ่งก้าวเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
วันนี้อาจารย์มาพร้อมแก้วน้ำหนึ่งแก้ว ที่สมมติขึ้นในมือ แก้วน้ำนี้มีน้ำอยู่เต็มแก้ว ถามว่าทำอย่างไรอาจารย์ถึงจะใส่น้ำเข้าไปเพิ่มในแก้วนี้ได้  มีน้ำอยู่แก้วหนึ่ง แล้วมีน้ำเปี่ยมอยู่เต็มปากแก้ว ถามว่าเราจะทำอย่างไร ให้เราสามารถใส่น้ำเพิ่มเข้าไปได้อีก (ทำน้ำในแก้วหกก่อน, ให้คนอื่นทานน้ำ, แบ่งน้ำให้คนอื่น, ทำน้ำหก คว่ำแก้วน้ำ) ปรบมือให้กับคำตอบสุดท้ายดีไหม สงสัยว่านักเรียนชั้นนี้จะเป็นคนคิดมากอยู่สักหน่อยนะ ยิ่งตอบ คำตอบยิ่งหลากหลายแยบยลขึ้นทุกทีเลย
แต่ความหมายของการที่มีน้ำอยู่ในแก้วนั้นคืออะไร ตอนนี้ทุกคนมานั่งอยู่ที่นี่  มีบุคคลที่มีความรู้สูงอยู่หลายคน เป็นปัญญาชนอยู่หลายคน อาจารย์จะบอกให้ แก้วที่มีน้ำอยู่เต็มเปี่ยมเนี่ยก็เปรียบเสมือนคนที่มีความรู้อยู่มากมาย ตอนนี้อาจารย์จะมาเติมน้ำอันใหม่ คือความรู้อันใหม่เข้าไป ถามว่าศิษย์จะยินดีเทน้ำเดิมทิ้งหรือเปล่า (ยินดี)  อันนี้เป็นแค่การเปรียบเทียบ เทไป ใจของศิษย์นั้นความรู้ก็ไม่ได้ลดลง การเพิ่มเข้าไปก็อาจไม่ทำให้ความรู้ศิษย์เพิ่มขึ้น แต่ทำให้ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์มาอยู่ที่นี่แล้วเราเป็นผู้ที่มีบุญร่วมกัน ให้เรานั้นพูดจาสื่อกันเข้าใจ
อาจารย์ยืมร่างมาด้วยความจำใจ ไม่ได้จงใจจะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นติดในรูปลักษณ์ใดๆ ฉะนั้นในวันนี้หวังว่าให้ศิษย์เทน้ำในใจของศิษย์นั้นออกบ้าง เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นฟังสิ่งใดเข้าใจเข้าไปบ้าง เข้าหูเข้าไปบ้างเอาไปปฏิบัติได้บ้าง บางทีเราอาจจะมาที่นี่เพราะว่าเราเกรงใจ แม้ว่าเราจะเป็นคนอยู่ในบ้านนี้เองก็อาจจะเกรงใจเหมือนกัน มีผู้ใหญ่กว่าเราเรียกมา เมื่อมีผู้ที่เราเคารพรักนั้นเรียกให้เรามานั่งฟัง แต่เมื่อเรามานั่งแล้วถามว่า เคยทำอะไรเสียเที่ยวไหม (เคย)  ส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรเราจะไม่ให้เสียเที่ยวเลย เราทำแล้วเราต้องได้มากขึ้นๆ แต่วันนี้เราจะได้เพิ่มมากขึ้นหรือเราจะขาดทุนหรือเสียทีที่มานั่งฟังหรือเปล่า
อย่างน้อยถึงจะไม่ได้อะไรเพิ่มพูนกลับไปแต่อย่าให้เสียเที่ยวที่มานั่งฟังดีหรือไม่ (ดี)  นั่งอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนดีหรือเปล่า (ดี)  บางครั้งศิษย์มองออกว่าเป็นคนดี หรือบางทีพูดไม่ดีแต่ก็เป็นคนดีได้จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงบางทีทำไม่ดีแต่จริงๆ เจตนาของเขาไม่ใช่อย่างนั้น เหมือนกับศิษย์เคยยิ้มให้ใคร ถามว่าถ้ายิ้มด้วยความจริงใจได้ ศิษย์จะทำไหม (ทำ)  แต่ส่วนใหญ่เราก็ยิ้มให้เขาตามมารยาท ยิ้มไปแกนๆ เพราะว่าเรานั้นเลี่ยงไม่ได้ใจมันไม่ยอมยิ้มใช่หรือเปล่า บางทีใจของเรามันยิ้มไม่ออก เพราะฉะนั้นยิ้มให้ใครก็ยิ้มไม่ออก เช่นเดียวกัน มาที่นี่ แม้ว่ามาแล้วอาจจะดี หรืออาจจะไม่ดีกับตัวเราก็ขอให้เรานั้นตั้งใจทำ แล้วเก็บสิ่งที่ดีกลับไปให้มากดีหรือไม่ ความดีทำให้คนอื่นก่อน ทำให้คนอื่นเขามากๆ แม้กระทั่งเขาไม่ได้ให้เงินทอง ไม่ได้ให้กำไรอะไรแก่เรา แต่หากว่าเราทำอย่างนี้เสมอเราขาดทุนไหม  (ไม่ขาดทุน)  เราทำดีให้คนอื่น คนอื่นส่งยิ้มให้เรากลับมา ถามว่าเรากำไรไหม (กำไร)  เราก็กำไรแล้ว
เกิดเป็นคนอย่าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์มากเกินไป ผลประโยชน์ทำให้คน
ตาพร่ามัว โดยเฉพาะเงินทองที่เราประสงค์ เราอยากจะได้เงินก้อนนี้จากการทำงานชิ้นนี้มากๆ เวลาเรามองเงินมากจิตใจขุ่นมัวไหม เราอยากจะได้ตำแหน่งนี้มากๆ ตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของเราหรือว่าเราก็สามารถทำได้ เราอยากได้ตำแหน่งมากๆ เราจะทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป เพื่อที่จะแย่งให้ได้สิ่งนั้นมา
ฉะนั้นคนเราอย่าได้เห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปโดยเฉพาะกับคนของคนกรุง สังคมของคนกรุเทพมีผลประโยชน์ล่อตาล่อใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ยังมีผลประโยชน์จริงหรือเปล่า มีประโยชน์ว่าเราจะต้องรีบขึ้น เราถึงจะได้นั่ง ถ้าเราขึ้นช้า ได้นั่งไหม ตกลงศิษย์ต้องการถึงปลายทางหรือต้องการขึ้นไปนั่งให้ได้ อยู่บ้านนั่งนานไหม (นาน)  นั่งนานอยู่แล้ว ดูหนังนานกี่ชั่วโมง สองชั่วโมงถามว่านั่งพอหรือยัง ยืนสักหน่อยเป็นไร ขาไม่ดีหรือเปล่า เข่าไม่ดีหรือเปล่า หลังไม่ดีหรือเปล่า หรือว่ายืนไม่อยู่ อาจารย์ว่าศิษย์ของอาจารย์ขาก็ดี เข่าก็ดี หลังก็ดี แล้วก็แถมโชกโชนประสบการณ์ในการยืนไม่ให้ล้มด้วยจริงหรือไม่  แต่ว่าเสียสละให้ผู้อื่นได้หรือเปล่า
มาที่นี่เรามีเพื่อนมากมาย มีสุภาษิตจีนคำหนึ่ง “ถ้าหากว่าเราคบเพื่อนดีไม่ได้ ก็สู้นอนอยู่กับบ้านดีกว่า” ถ้าหากว่าศิษย์ออกไปข้างนอกมีเพื่อนดีๆ ไม่ได้อาจารย์ขอแนะนำให้ศิษย์อยู่กับบ้านดีกว่า ถ้าทำอะไรแล้วผิดสู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะว่ามันก็จะไม่ผิดจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรสักที ก็ขอให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมดีงามและไม่ต้องด่าตัวเอง ถ้าหากพูดอะไรก็พูดให้ดี พูดให้คนอื่นมีรอยยิ้ม พูดแล้วไม่ให้คนอื่นมาว่าทีหลัง คนนี้ปากไม่ดีอย่างนี้คุ้มไหม
คนเราเกิดมาในชีวิตคนๆ หนึ่ง อยากจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี อย่าเอาตัวของเรามาตัดสินว่าเราดีหรือเปล่า แต่มันต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นมาตัดสิน เหมือนเรามองลูก มองหลาน มองเพื่อน เรามองแล้วคนนั้นดีหรือเปล่า เราบอกได้เลยว่าคนนั้นดีหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะศิษย์มองเขาตลอดเวลาจริงหรือไม่ แล้วถามว่าเรามองตัวเองตลอดเวลาไหม เรามองตลอดเวลา ทุกอย่างที่ทำไปเราต้องรู้ใช่ไหม แต่เราเข้าข้างตัวเอง ว่าเรายังดี ที่เราทำอย่างนี้เพราะคนโน้นทำมา ถ้าทำอย่างนี้แล้วถามว่า เรานั้นมีความสุขจริงไหม เราไม่มีความสุขจริงๆ หรอก อยากมีความสุขจริง อยากเป็นมนุษย์ที่แท้จริง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ต้องทำอะไร ต้องไม่ใช่คนที่รู้แล้วยังทำ ทำได้ไหม สิ่งที่อาจารย์พูดจะดีหรือเปล่านั้นอยู่ที่ใคร อยู่ที่ตัวคนที่นั่งฟังตรงนี้ จริงหรือเปล่า คนฟังเนี่ยทำได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น หุงข้าวหนึ่งถ้วยถามว่าจะหุงข้าวให้เท่ากับสองถ้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ข้าวหนึ่งถ้วยหุงขึ้นมา จำนวนก็เท่ากับหนึ่งถ้วย หุงข้าวสองถ้วยข้าวที่ขึ้นมาก็เท่ากับสองถ้วย ส่วนข้าวนั้นพอกพูนมากแค่ไหน พอกินหรือไม่ อันนี้ย่อมขึ้นกับเราเป็นผู้กะ


“เพราะกลัวเป็นคนไม่ดี   ถึงทีต้องพูดไม่กล้า”
เคยไหมไม่กล้าพูด พูดกันทั้งวัน วันหนึ่งพูดตั้งหลายชั่วโมงเนี่ย แต่บางคำไม่กล้าพูดใช่หรือไม่ อาจารย์จะบอกให้ ว่าคนอื่น, นินทาคนอื่น, โกหกคนอื่น, พูดจาเพ้อเจ้อ เหล่านี้ไม่ต้องกล้าพูด อย่าได้พูดออกมา แต่หากเป็นคำที่เตือนสติเขา ถ้าเราพูดช้าจะได้ผลไหม ถ้าหากเป็นคำที่ให้สติเขาเราต้องพูดทันที พูดในขณะที่เหตุการณ์นั้นเกิด เพราะถ้าหากเราพูดช้าเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด หลายๆ คนไม่ใช่นักสื่อสารความในใจ คือเป็นคนจริงใจ เป็นคนที่บริสุทธิ์ใจ เจตนาดี แต่พอพูดออกมาแล้วเป็นอย่างไร เสร็จเลย โดนเขาจำฝังอยู่ในจิตใจ ว่าเราเป็นคนไม่ดีเลย ทำไมพูดจาแบบนี้ คือไม่ใช่นักสื่อความในใจของตัวเองที่ดี ฉะนั้นเวลาเราพูดนอกจากจะพูดให้ได้ใจความ พูดให้ดีแล้ว เรายังต้องใช้อีกหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเข้ามาประกอบคำพูด ไม่ว่าจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดี ถ้าหากบอกว่าเป็นคนเจตนาบริสุทธิ์ แต่พูดคำว่าคำ ถือว่าดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นคำพูดที่เราพูดออกมา พูดวันหนึ่งหลายชั่วโมงจึงต้องพูดให้ดีทุกๆ ชั่วโมง ต้องพูดให้ดีทุกๆ คำเลย
“เสียเรื่องก็เพราะพูดช้า พูดเร็วเกินหน้าใช่ดี”
ใช่ดีก็คือใช่ว่าจะดี หรือว่าพูดอีกทีก็คือ ไม่ดี ถึงตอนที่ควรหยุดก็ควรหยุด หยุดตรงไหนดี  “จงพูดเท่าที่คนฟัง”  บางทีคำพูดของเราดีมาก แต่คนฟังไม่อยากฟัง ถามว่าเราพูดตอนนั้นเขาเป็นอย่างไร น้ำล้นออกจากแก้ว เพราะฉะนั้นจงพูดเท่าที่คนฟัง แต่บางทีเรารู้ว่าสิ่งที่เราพูดนี่แสนที่จะดี  แต่ถ้าหากคนไม่ฟัง พูดให้ดีแค่ไหน ในเมื่อตัวส่งๆ ไปไม่มีคนรับ ทำได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้อาจารย์ให้เรื่องพูดนะ เพราะวันหนึ่งพูดตั้งหลายชั่วโมง เสร็จแล้วก็พูดให้คนอื่นเขาผิดใจ พูดให้คนอื่นดีใจ ช้ำใจ
“พูดเป็นไม่ทำใครโกรธ”  เราเคยพูดแล้วทำใครโกรธไหม (เคย)  แสดงว่าเรายังพูดไม่เป็น
“วาจาเป็นดังเหมือนทูต  ดึงดูดคนด้วยความดี”  ตอนนี้ดึงดูดคนด้วยเสื้อผ้า หน้าตา เงินทอง สิ่งของกำนัล ดึงดูดคนด้วยทุกอย่างที่เป็นสิ่งนอกกาย แต่เราไม่เคยดึงดูดคนด้วยความดี จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรให้สามีอยู่กับบ้าน ให้ภรรยาไม่
ขี้บ่น อันนี้เป็นปัญหาโลกแตกของคนที่มีครอบครัว เขาบอกว่าเราบ่นมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าบ่นมากแต่ว่าอดบ่นได้ไหม เขาบ่นมากๆ ตีความง่ายๆ ก็คืออยากให้เราเงียบๆ ใช่หรือเปล่า แต่เราเงียบไหม ยิ่งพูดใหญ่เลย บอกว่าสามีเป็นคนที่ไม่รักดีเลย ไม่เอาถ่านเลย ถามว่าสามีรู้ไหมว่าภรรยาต้องการอะไร รู้ ก็แค่ให้ขยันทำมาหากิน อย่าติดเที่ยว ติดเล่นมากเกินไป เพราะว่ามีลูกแล้วใช่หรือเปล่า แต่ว่าสามีทำได้ไหม ก็ไม่ค่อยทำเป็นเรื่องง่ายๆ ของคนที่ยากๆ
เวลาฟังอาจารย์พูดถึงเรื่องการทำดี พูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ในชีวิตจริงของหลายๆ คน กลับไปบ้านแล้ว ทุกคนคงจะมีสิ่งที่ตามมาสำหรับคนที่ลงมือทำก็คือ การทำผิดพลาดจริงหรือเปล่า (จริง)  ทุกคนเกิดมาเป็นคนต้องทำผิดทั้งนั้น ไม่มีใครไม่ทำผิดจริงหรือไม่ (จริง)  ความผิดก็เป็นธรรมดาคู่กับความดี ความผิดก็เป็นธรรมดาคู่กับคนที่ลงมือทำ หากไม่ทำก็ไม่ผิด ทำมากก็ผิดมาก แต่เราจะทำอย่างไรในเมื่อความผิดนั้นมันตรงข้ามกับความถูกต้อง ทีนี้เราต้องมานั่งพิจารณาว่าทำอย่างไรเราถึงจะพ้นผิดได้ เวลาที่เราทำผิด เราจะต้องมีใจที่ระลึกไว้อย่างหนึ่ง คืออะไรรู้ไหม เมื่อผิดแล้วเราต้องรู้ตัวว่าเราทำผิด เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะไม่ทำผิดอีก เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะสำนึกอย่างจริงใจ เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะแก้ไขอย่างจริงจัง นี่คือสิ่งที่เอาไว้รับมือสำหรับความผิดพลาดที่เราทำ เราอยากจะเกิดมาเป็นคนรวยกว่านี้ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่มีหน้าตามากกว่านี้ เราอยากเกิดเป็นคนที่สวยกว่านี้ สมบูรณ์แบบกว่านี้ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่สายตาไม่สั้น
เราอยากเกิดมาเป็นคนที่ตัวสูง เราอยากเกิดมาเป็นคนที่หุ่นดี เราอยากเกิดมาเป็นคนที่มีพร้อม เราอยากเกิดมาเป็นคนที่เสียงเพราะ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่ดีกว่านี้ แต่ทุกคนนั้นยังไม่คิดว่าจะไม่เกิดเลย ความทุกข์ที่มีทุกอย่างนี้ มีมาหลังที่เราเกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วจึงมีทุกข์ หากจะดับทุกข์กันจริงๆ แล้ว ต้องเลิกเกิด แต่ตอนนี้เราไม่ได้เลิกเกิด แต่เราเลือกเกิด ฉะนั้นเราต้องรู้จักที่จะต้องทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ให้มันดีกว่า เราต้องทำสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ให้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ให้ดีได้
อย่ามัวตัดพ้อน้อยใจ อย่าคิดว่าฆ่าตัวตายแล้วจะดีขึ้น ถ้าหากว่าศิษย์เองไม่เชื่อว่าเราเกิดมามีจิตวิญญาณสามารถหลุดพ้นการเกิดดับได้ ไม่เชื่ออาจารย์ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืมร่างเป็นเรื่องจริง แต่ทำไมเชื่อว่าถ้าตายเกิดมาแล้วจะดีกว่านี้ แล้วตายแล้วจะไปที่ไหนล่ะ จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นอย่าเลือกเชื่อเป็นบางเรื่อง แล้วไม่เชื่อเป็นบางเรื่อง
จงพัฒนาชีวิตของตัวเองทุกวันนี้ให้ดีขึ้น แล้วจงทำในสิ่งที่เราอยากจะเป็นให้มาก แต่อย่าเพ้อฝัน ทำอย่างจริงจัง จริงใจ คนที่มีอุดมการณ์ยาวไกลดูแล้วน่าเคารพ น่ายกย่อง แต่ศิษย์เอ๋ยคนมีอุดมการณ์ไกลมาก เหมือนคนเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ ฉะนั้นเมื่อเราคิดจะเป็นอะไร ขอให้เราทำ เพราะเราเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไม แต่ทำอะไรก็แล้วแต่ทำให้ดี ทำให้เต็มที่ แล้วทำในสิ่งที่ไม่ผิดต่อตัวเอง และไม่ผิดต่อผู้อื่น
เวลามีเท่ากันทุกคน จะเอาเวลาไปใช้ทำอะไร จะเอาเวลานอนอยู่กับบ้าน หรือจะเอาเวลาออกไปช่วยคนอื่น เอาเวลาออกไปทำงาน เอาเวลาไปหาเงิน จะเอาเวลาออกไปทำอะไร เวลามีมากมายเท่ากันทุกคน ต่อให้เป็นจอมปราชญ์ทั้งหลายก็มีเวลาเท่ากับศิษย์  แล้วทำไมเขาถึงทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้ แล้วศิษย์ทำในสิ่งที่ แม้กระทั่งคนข้างบ้านยังไม่รู้เลยว่าศิษย์ทำอะไร หรือคนในบ้านยังเดาทางไม่ออกเลยว่าศิษย์จะเป็นอะไร ทำไมเราถึงเป็นคนที่ดูแล้วชีวิตไร้คุณค่าขนาดนั้นล่ะ เพราะว่าเรานี่เป็นคนที่แม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นหลังจากวันนี้ต้องมองข้างในตัวเองให้มากๆ มองข้างนอกตัวเองให้น้อยๆ ศิษย์จะไปวิ่งไล่ตามกระแสสังคมที่มันรุดหน้าไปเรื่อยๆ จะเป็นแฟชั่น จะเป็นหนังสือ จะเป็นสังคม จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นวิทยาศาสตร์ จะเป็นทุกๆ ด้าน คนไล่ตามเหนื่อย คนวิ่งตามเหนื่อย ส่วนคนที่นำหน้าไปเหนื่อยไม่เหนื่อย (ไม่เหนื่อย) เขาอยากจะนำเขาก็นำไป เราวิ่งตาม ทำไมเราไม่ลองจะกลับมานำตัวเอง จะได้ไม่ต้องวิ่งไล่ตามอะไร นำตัวเองให้ตัวเองรุดหน้า ยกระดับจิตใจของตัวเองให้เป็นที่หนึ่ง  อย่างน้อยถึงเราจะไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่ได้มีฐานะ ไม่ได้มีชาติตระกูล แต่เรามีความภูมิใจ ภูมิใจในชีวิตนี้ที่เกิดมาแล้วเป็นคนที่มีคุณค่าที่สุด  อย่างน้อยตอบใครไม่ได้ เพราะเขาเอาเงินทองมาวัดเป็นบรรทัดฐาน เอาหน้าตาสังคมมาวัดเป็นบรรทัดฐาน เอาเสื้อผ้ามาวัดเป็นบรรทัดฐาน ไม่เป็นไร ศิษย์ไม่ต้องตอบคนพวกนั้น ศิษย์ตอบตัวเองได้ไหม ว่าภูมิใจในตัวเองมากพอหรือยัง ว่าพอใจกับชีวิตที่เกิดมาหรือยัง ทำอะไรเต็มที่แล้วหรือยัง กลัวอะไร กลัวเหนื่อย กลัวลำบาก กลัวยาก  กลัวทำไม ถามว่าทุกอย่างที่ทำมีอะไรไม่ยากไหม
วันนี้อาจารย์ลงมาหาศิษย์อาจารย์ก็ยาก แต่อาจารย์กลัวไหม ไม่ได้กลัว เพราะว่าคิดว่าศิษย์ยังมีทางที่จะตื่นขึ้นมาในจิตใจตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์ในวันนี้ วันหน้าศิษย์บรรลุเป็นพุทธะแล้ว ศิษย์ก็เจอความยากไปเรื่อยๆ ความยากมาคู่โลก เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว กลัวเหนื่อยไหม งานเหนื่อยๆ คนทำน้อยหรือเปล่า (น้อย)  งานสบายคนทำเยอะ แล้วคนสบายถึงจะมีเวลาพูดนินทากัน คนสบายถึงมีเวลาว่างมาว่ากัน จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นลำบากหน่อย เหนื่อยหน่อย จะได้ไม่พูดเยอะ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากวันนี้ห้องน้ำทุกห้องไม่มีคนล้าง คนร้อยคนเข้าไม่มีคนล้างได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคนร้อยคนมา แล้วไม่มีคนทำกับข้าวได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกที่ต้องมีคนลำบาก อยู่ที่ใครจะยอมทนลำบาก ศิษย์หรือใคร
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง รักสติ ทำนองเพลง นึกว่าสงสาร)
เพลงนี้อาจารย์ออกจะไปทางเพลงทางโลกหน่อยๆ นะ แต่เป็นเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ช่วงนี้หลายคน ออกจะไปทางโลกหน่อย แม้กระทั่งคนที่มีธรรมะอยู่เต็มอก อยู่วงการธรรมะมาตั้งแต่เด็กก็ยังไปทางโลกกันเยอะเลย เมื่อเด็กเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ความรักก็เป็นเรื่องที่ตัดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อว่า “รักสติ”  รักกันฉันหนุ่มสาวเป็นสิ่งที่หวือหวาเร้าใจ เป็นสิ่งที่หอมหวาน แต่ว่าให้อยู่ในกรอบในระเบียบความเหมาะสม อย่าปล่อยใจให้เตลิดมาก อย่าหลบๆ ซ่อนๆ ดูแล้วไม่งาม พูดอย่างนี้เพราะว่าเป็นหลายคน อย่าได้บอกว่าเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง วันหนึ่งก็อาจจะเจอกับเราก็ได้ แม้นกระทั่งคนที่อยู่ในวัยสี่สิบก็ยังไม่ค่อยแน่ คำพังเพยบอกว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” แล้วก็ตาบอดไปหลายคน เพราะฉะนั้นขอให้อยู่ในสิ่งที่เหมาะควร
สถานธรรมมีคำพูดที่ใช้กันมานานคำว่า “สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง”  สามบริสุทธิ์หมายถึงอะไร ชายหญิงชัดเจน เงินทองชัดเจน และทางโลกทางธรรมชัดเจน ทางโลกทางธรรมที่อาจารย์เจอในช่วงนี้ที่พูดถึงอาทิตย์ที่แล้วคือขายของในสถานธรรม วันนี้ก็มาพูดเรื่องชายหญิง ฉะนั้นทุกคนอย่าไปมองใคร ให้มองที่ตัวและระวังตัว หากคิดว่าจะผูกห่วงแล้ว ห่วงให้ดี เอาตัวให้รอด
ในการบำเพ็ญธรรมร่วมกัน แน่นอนคนที่มีความรู้เมื่ออยู่ในสังคมย่อมเป็นผู้นำอยู่แล้ว ในการบำเพ็ญธรรมก็เหมือนๆกัน คนที่มีความรู้บางคนก็เป็นผู้นำเสมอ แต่การบำเพ็ญไม่ได้ใช้ความรู้ แต่ใช้ความรู้ตื่น ใช้ความรู้ตัว ใครสะกิดตัวเองได้เร็วกว่ากัน คนๆ นั้นก็บำเพ็ญธรรมะได้เข้าถึงมากกว่ากัน ฉะนั้นจงแปรความรู้ที่มีให้เป็นความรู้ตื่น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้อยู่ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน คือมีความรู้แล้วทำงานสบาย เมื่อสบายแล้ว ก็ว่างมากเกินไปก็จ้ำจี้จ้ำไชคนอื่นเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะเลือกบุคลากรสักคนหนึ่ง อาจารย์จะเลือกเขาที่คุณธรรมไม่มองที่ความสามารถ เพราะคุณธรรมของคนหาไม่ได้ในคนทุกคน แต่ความสามารถแม้ฝึกก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็ทำงานธรรมะ ทำงานทางโลก จงฝึกในสิ่งที่ขาดไปคือคุณธรรม บารมีเกิดจากไหน บารมีเกิดจากสิ่งที่คนอื่นมองเรา แล้วเขาเคารพ อย่าดุมากเกินไป อย่าเสียงดัง อย่าพูดจาให้คนฟังรับไม่ได้ อย่าโกรธโดยแสดงกิริยาท่าทาง อย่าใช้อำนาจ อย่าเอาเงินทองมาวัดและซื้อใจใคร สถานธรรมใหญ่โต อาจารย์ไม่ดีใจ ที่นี่เล็กไปนิดหนึ่ง เมื่อเทียบกับปริมาณศิษย์ตรงนี้ แต่โดยทั่วไปที่นี่ก็กว้างดีใช่ไหม ฉะนั้นทุกอย่างมีความเหมาะสมในทุกๆ ช่วง ช่วงไหนเหมาะสมกับใคร คนไหนเหมาะสมจะทำอะไร การใช้คนก็มอบงานตามความสามารถนั่นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้
วันนี้อาจารย์มาที่นี่อาจารย์หวังว่า ศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ไม่ว่าจะนั่งโดยไม่ตอบอะไรเลย จะนั่งโดยมีจิตใจรับฟังอาจารย์หรือไม่รับฟังอาจารย์ก็ดี จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ดี สิ่งที่ศิษย์ทำได้ขอให้กลับไปทำ ให้ชีวิตนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีเป็นอย่างน้อย และสามารถเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเข้าถึงธรรม และเป็นผู้นำธรรมไปให้ผู้อื่นนั้นมีความสุข สร้างความสุขให้คนอื่นแล้วตัวเองจะมีความสุข ถ้าอยากมีความสุขแล้วบำรุงบำเรอตัวเอง ศิษย์จะไม่มีความสุข เพราะว่าคนไม่เคยมีใครรู้จักพอเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เมตตาด้วยธรรม”)
ปกติเราจะได้ยินแต่คำว่า เมตตาธรรม ใช่หรือเปล่า คนสมัยนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีเมตตาทุกคน ศิษย์กล้าว่าใครว่าไม่เมตตาหรือเปล่า คำว่าเมตตาของคนปัจจุบันจึงไม่ใช่คำว่าเมตตาธรรม แต่เป็นคำเมตตาที่ยกย่อง เป็นคำเมตตาที่เมตตากันแต่เปลือก คือมันไม่ลึกเข้าไปอยู่ข้างในใจจริงๆ ฉะนั้นอาจารย์บอก เมตตาด้วยธรรม คืออย่าลืมว่า เมตตาต้องใช้ธรรม ธรรมะแปลว่าความดี ฉะนั้นเมตตาคนด้วยความเป็นคนดีของเรา ถ้าหากว่าเรายังกลัวว่าคนอื่นจะว่าเราเป็นคนไม่ดี เราเลยเมตตาอย่างนั้นไม่ใช่เมตตา หรือเมตตาเหมือนแม่เมตตาลูก แต่ว่าเมตตาแบบถึงขั้นเอาใจลูก แล้วก็เลี้ยงลูกออกมาผิดๆ อย่างนี้ก็ไม่ใช่เมตตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมตตาต้องกลางๆ คือต้องทำให้ผู้อื่นได้ดี เข้าใจไหม ฉะนั้นไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในมุมใด สังคมใด วันใด ขอให้ศิษย์เมตตาคนด้วยธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดไว้เมื่อต้องใกล้กลับ  ศิษย์เอ๋ย เกิดเป็นคนต้องหัดทำใจ ความทุกข์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ อาจจะลดลงได้หากเราเป็นคนที่รู้จักทำใจ ความทุกข์เป็นปัญหาของมนุษย์ ความสุขเป็นปัญหาของมนุษย์ ความสุขและทุกข์เป็นปัญหาของคนทุกคน ไม่มีคนไหนไม่เจอ ไม่มีคนไหนไม่เป็น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าทำใจได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อมีความสุขอย่าหลงระเริง ต้องรู้จักหยุดตัวเองด้วย เมื่อมีความทุกข์ก็จงหยุดตัวเองเหมือนกัน ไม่มีอะไร สุขมากเกินไปก็ไม่ดี ทุกข์มากเกินไปก็ไม่ดี อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้เหมือนกับว่าอาจารย์พยายามจะแก้ปัญหาให้มนุษย์ ซึ่งมนุษย์เป็นผู้วุ่นวายสับสนที่สุด อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะแก้ปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน สองวันนี้อาจารย์คงไม่หวังว่าสามารถทำให้ศิษย์นั้นเข้าใจแล้วก็ตื่น แต่หวังว่าสองวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาธรรมบ่อยๆ ได้ไม่ได้ (ได้)
อาจารย์หวังดี อย่ามองอาจารย์ว่ามาเล่นละคร ถ้าหากว่ายังรู้สึกไม่ค่อยแน่ไม่ค่อยชัด วันหลังต้องศึกษาบ่อยๆ  เวลาใครถามว่ามีเวลามาสถานธรรมไหม อย่าพูดประโยคแรกว่าไม่มีเวลา คิดก่อนว่ามีเวลาหรือเปล่า


คนสมัยก่อนบำเพ็ญธรรมเน้นการสวดมนต์ เน้นการไหว้ สมัยนี้ให้ศิษย์มา
สวดมนต์ก็ทำไม่ได้ จิตใจก็ไม่สงบพอ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์สวดมนต์วิธีใหม่ สวดด้วยการปฏิบัติ ในเมื่อการสวดมนต์แผ่เมตตาคือการให้ ถ้าอย่างนั้นขอให้ทำวันละ ๒๔ ชั่วโมง เห็นคนตกทุกข์ได้ยากเมื่อไหร่ ให้ยื่นมือเข้าไปช่วย อย่าลืมว่าเรานั้นเป็นคนมีธรรมะ จะทำตัวอย่างคนไม่มีธรรมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นการถอยหลังเข้าคลอง ศิษย์ทุกคนรักษาตัว รักษาใจ รักษาก้าวเดินของตัวเอง ขอให้เดินแล้วยิ่งเดินยิ่งก้าวหน้า ยิ่งสง่างาม ยิ่งเป็นคนที่คนอื่นนั้นเขาให้ความเคารพ โดยที่เรานั้นไม่ต้องเรียกร้องจึงสูงส่ง 



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เมตตาด้วยธรรม”
    หากไม่เคยเผชิญอุปสรรค          
ไม่รู้จักความสำเร็จอันใดได้
จิตมั่นคงงามดีความไม่แปรใจ        
ทางยาวไกลแต่มาถึงไม่อาจนาน
    เมตตามีกันทุกคน                      
แต่ทนกันไม่ได้นาน
คนดีขาดความเชื่อมั่น                   
เนิ่นนานความดีกินแรง
เหนื่อยตัวไม่เอาเปรียบใคร                 
การให้ดีกว่ายื้อแย่ง
มีใจเพิ่มได้หลายแรง                       
ให้แรงคนด้วยเมตตา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา