Skip to content
PDF 2545-01-12-ฉงเต๋อ #19.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อยู่ใต้ฟ้าดั่งไม่รู้อยู่ใต้ฟ้า กลางปัญญามีแต่ไม่รู้ใช้
กลางความสุขแต่กลับคิดว่าไม่ใช่ อยู่ที่ใจบำเพ็ญจิตรู้จักพอ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ทะเลทุกข์กว้างไกลและไร้ฝั่ง ยอมหันหลังเจอฝั่งดั่งใจหมาย
คนค้นคนแต่ไม่ยอมย้อนตนไซร้ อันว่าภัยอยู่ในใจแห่งตนเอง
โลกเสื่อมโทรมจิตมนุษย์ขาดคุณธรรม ยอมให้เหล่าวัตถุกำชีวิตตน
อยากที่จะก้าวหน้าแต่ไม่ฝึกฝน ต้องอับจนเพราะความคร้านแห่งตนเอง
มารู้จักตนเองให้ดีเถิด ความดีเกิดเพราะตนสร้างไม่ห่างหนี
อันความสุขอย่าคิดแค่ให้ตนมี อันความมีหรือไม่อยู่ที่รู้พอ
ประชุมธรรมฟ้ามนุษย์ร่วมกันจัด จงเคร่งครัดตนเองไม่โทษคน
ยอมให้จิตเดิมแท้ได้ศุกล บำเพ็ญตนละกิเลสทุกทุกวัน
ในวันนี้เป็นวันแรกการฟังธรรม ขอให้น้องตั้งใจฟังธรรมให้ได้
รู้สิ่งใดว่าดีปฏิบัติไป สิ่งที่ยากจะง่ายเพราะลงมือทำ
บำเพ็ญจิตอยู่กลางโลกไม่โศกตรม เมื่อกินขมยิ่งจะรู้สึกหวาน
ขอชาตินี้ชาติสุดท้ายทรมาน ให้วันวานเป็นบทเรียนก้าวต่อไป
เปล่าประโยชน์จะสงสัยหากไม่ศึกษา ทลายกำแพงแห่งอุรามาให้ได้
บำเพ็ญธรรมชั่วชีวาหมั่นแก้ไข ต้องแปรร้ายกลายเป็นดีและช่วยคน
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนหวังว่าน้องจิตกุศล
ฟังธรรมะเข้าสู่จิตในบัดดล ขออดทนอากาศไม่ว่าร้อนหรือเย็น
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ เรียนให้จบให้จิตใจละกิเลส
วุ่นวายใจเพราะว่าวิตกเกินเหตุ จากเทวษ สู่ปิติไม่ยากเกิน
จงรักษาพุทธระเบียบกันทุกคน ไม่อับจนเพราะตนที่ดื้อรั้น
คนบำเพ็ญสุภาพเคารพกัน และเท่าทันชีวิตจิตที่แปรไป
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
ศุกล : สุกใส สว่าง ขาว บริสุทธิ์
เทวษ : การคร่ำครวญ ความลำบาก
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ และ พระอาจารย์จี้กง
แม้หน้าที่บีบรัดสักเพียงใด ความตั้งใจมุ่งมั่นไม่เคยสิ้น
แม้ผู้คนจะเลวร้ายทั่วแดนดิน ขออุทิศตนผินแปรคนกลับใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ชีวิตหนึ่งงดงามไปทุกนาที ประมาทสู่คนที่กลายเพลี่ยงพล้ำ
เสื่อมชวนโลกใจอย่าไปถลำ ธาราคดอย่างน้ำจึงตามทัน
ความนัยปองปิดไม่อาจตลอด เกิดเป็นคนพูดรอดสัจจะเท่านั้น
ศีลธรรมลดรู้ค่าแต่ทรัพย์ขันธ์ จริงต่อจริงสิ่งนั้นประเสริฐดี
ลำเอียงผุดความเที่ยงก็จางบัดดล บำเพ็ญตนที่ตรงตรงกว่านี้
บรรดามีใดหน้าที่ทำให้ดี นิสัยดีเลือกเก็บทุกคืนวัน
ถ้ายิ่งบำเพ็ญเลือกกินเลือกอยู่ เหนื่อยหน่ายไม่รู้กลับชอบสะบั้น
คล่องแต่ทิ้งทิ้งมิตรแบ่งชั้น ท้อกลางคันไป่เรียกการบำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด
มีสติไม่โมโหเหมือนโคบ้า มีปัญญาไม่มีทางคิดไม่ออก
คนมีบุญไม่ยึดติดภายนอก น้ำกระฉอกออกจากปากแจกัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉงเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลายเปิดใจหรือยัง พร้อมบำเพ็ญแล้วหรือไม่
ในทางโลกคนมีทุกข์น่าสงสาร แต่ทางธรรมต่างนั้นราวดินกับฟ้า
อยู่บนทางบำเพ็ญแต่ไม่ใช้ปัญญา เป็นคนน่าสงสารกว่าผู้ใด
จุดเทียนให้สว่างขึ้นในใจศิษย์ ประตูขยันเปิดปิดให้คนใช้
สร้างบ้านใหม่ให้อยู่ในจิตใจ ช่วยเวไนยต้องเลิกตามใจตัว
หลังจากสองวันนี้ให้กลับมาศึกษา เป็นอาชาที่วิ่งบนทางสลัว
แต่จิตใจสว่างไสวไม่เมามัว พินิจตัวเป็นคนใหม่ในทุกวัน
ยิ่งยากยิ่งท้าทายไม่ท้อแท้ อ่อนน้อมแก้นิสัยตนอย่าได้หวั่น
กินเองจะอิ่มเองเป็นสำคัญ บำเพ็ญนั้นบำเพ็ญจิตไม่รอใคร
ฮา ฮา หยุด
ฟากฟ้าพร่างพรมสุกใส หัวใจเบิกบาน ไร้เงาวันวานขื่นขม อย่าคอยคิดแต่ร้ายให้เศร้าตรม เพราะโลกน่าชมถ้าเราจะพลี
ต้องคิดเรื่องความเหมาะสม แล้วทำจากใจ รับมือรอบกาย เปลี่ยนหนี ยากมาคัดเลือกผู้คนให้ดี ขอเพียงเมธีตั้งใจอีกไกล
หากใครคิดร้าย แพ้ภัยแห่งตน บำเพ็ญต้องคิดได้ ความทุกข์ชินตา เมื่อพ้นวันใดมักจะสุขใจ เรียกใจให้ทน
กล้าคิดกล้าทำกลับรับ แม้จะมั่นใจน้อมลงสบายไม่สับสน รูปการณ์แม้เปลี่ยนวัดใจผู้คน มิทำเพื่อตนแล้วทนได้ไหม
เพลง : มิทำแค่เพื่อตน
ทำนองเพลง : เท่านี้ก็ตรม
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ และ พระอาจารย์จี้กง
ถ้าการกระทำนั้นขาดซึ่งความมุ่งมั่น ตั้งใจ พยายามอดทนอย่างไม่ย่อท้อ คนจึงเป็นคนเหนือคนได้ คนจึงเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะความมุ่งมั่น เพราะจิตใจที่สูงส่งเหนือกว่าบุคคลทั่วไป มีความเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ เขาจึงเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ เขาจึงเป็นคนที่สำเร็จได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตัวท่านคิดว่าตัวท่านเป็นคนที่สามารถสำเร็จและยิ่งใหญ่เหนือกว่าคนใดๆ ในโลกนี้ได้หรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจแปลว่าความมุ่งมั่นยังไม่แรงกล้า ยังไม่สูงส่ง แต่คิดว่าไม่ได้แปลว่าไม่ได้เคยลองดูใช่หรือไม่ (ใช่) หรือไม่ก็ดูเบาตัวเองไปสักหน่อย จริงหรือเปล่า (จริง) คนเราจะยิ่งใหญ่หรือจะเล็กกระจ้อยร่อย ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการกระทำอย่างเดียว แต่ต้องอยู่กับความมุ่งมั่นตั้งใจ วิริยะ อุตสาหะ และจิตใจที่เข้มแข็งไม่ย่อท้อใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนเราจะเป็นคนดีหรือคนชั่วร้ายขึ้นอยู่กับอะไร (จิตใจ, เมตตา) แต่เราคิดว่าเมตตานั้นบางครั้งก็อาจจะเมตตาแล้วให้เราปล่อยคนทำผิดได้ อย่างเช่นเราเมตตาต่อลูก เรารักลูก เราปล่อยลูกจนเกินไป การปล่อยลูกจนไม่ให้ลูกเติบโตเอง ปล่อยตามใจลูกทุกอย่าง ความเมตตาก็อาจจะทำให้เขากลายเป็นคนที่ทำผิดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะมีความรักที่ถูกต้อง แต่ถ้าขาดซึ่งการอบรมบ่มเพาะซึ่งคุณธรรม ความรักความเมตตาก็อาจจะนำพาให้เขาทำผิดก็เป็นได้ จริงหรือเปล่า (จริง) บางคนอาจจะยังสงสัยว่าเราเป็นใคร เรามาได้อย่างไร แล้วเราหลอกหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) ถ้าพูดเรื่องความหลอก ตัวท่านในที่นี้น่ากลัวยิ่งกว่าเรา เพราะแม้กระทั่งตนเองท่านก็เคยหลอกมาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) พ่อแม่ที่รักท่านมากที่สุดท่านก็เคยหลอกมาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ท่านรักที่สุดท่านก็เคยหลอกมาแล้ว แล้วใครน่ากลัวกว่าใคร (ตัวเราเอง) เกิดเป็นคนอย่ากลัวคนอื่นจะหลอก ต้องถามเราเองก่อนว่าเราหลอกใครไปบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) เริ่มต้นในการรู้จักกันนั้น สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเป็นคนที่รู้จักคนได้เยอะ หรือเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองอยู่ในโลกใบนี้ด้วยตัวคนเดียวนั้น ก็อยู่ที่ว่าใบหน้าและจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใบหน้าเรายิ้มเปิดกว้างเราจะอยู่คนเดียวในโลกไหม (ไม่) แต่ถ้าใบหน้าเราบึ้งตึง เราจะกลายเป็นคนที่อยู่คนเดียวในโลกใช่หรือไม่ (ใช่) เสียดายไม่มีกระจกไม่อย่างนั้น คงทำให้ท่านเห็นว่าตอนนี้ท่านกำลังขังตัวเองอยู่ในโลกของตัวเอง หรือท่านกำลังเปิดหนทางให้ตัวเองได้สัมผัสโลก และสัมผัสคนในโลกมากยิ่งขึ้น ลองคิดดูนะว่าตอนนี้เราจะสร้างกำแพงขังตัวเอง หรือว่าสร้างถนนให้เรามีโอกาสได้รู้จักโลกและคนมากกว่านี้ สร้างอะไร (สร้างถนน) เสียใจหรือเปล่าที่ไม่ใช่อาจารย์จี้กง (ไม่) เมื่อวานรอคอยหรือเปล่า (รอ) รอใคร (รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ถ้าท่านไม่ช่วยตัวเองก่อน เอาแต่รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยก็ต่อเมื่อคนนั้นรู้จักช่วยตัวเองก่อน แต่บางครั้งเมื่อเจออันตรายต้องกล้ายืดอกรับบ้าง อย่าเอาแต่หนี ไม่อย่างนั้นถึงวันหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไม่ได้แล้วอาจจะน่ากลัวกว่าที่คิดก็เป็นได้ จงกล้ายืดอกรับ บางครั้งสิ่งที่เราหวาดกลัวอาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นก็คือใจที่ไม่สู้ ใจที่หวาดหวั่นมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) วิญญาณ ผี ปีศาจ หรือเจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้น่ากลัวสักนิดหนึ่งเลยนะ ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง ยึดมั่นในความดี สิ่งนั้นก็ช่วยทำให้เราสู้ และปกป้องคุ้มครองเราจากเภทภัยอันตรายทั้งมวลได้ แต่ถ้าใจเราคิดร้าย แม้เจ้ากรรมนายเวร แม้
เภทภัยก็ย่อมฉุดรั้งให้เราร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่) เรารู้จักตัวตนเองแค่ชื่อหรือรู้จักตัวตนเองอย่างถ่องแท้ รู้จักอย่างเป็นอย่างไรถามใจตัวเอง เราเข้าใจตัวเองแท้จริงไหม เรารู้จักตัวเราเองลึกซึ้งแค่ไหน ก่อนที่จะไปว่าคนอื่นว่าเขาไม่เข้าใจเลย เขาไม่รักเราเลย แต่ถามเราจริงๆ เถอะว่าเรารักตัวเราเองแค่ไหน เราเข้าใจตัวเราเองสักวันจริงๆ บ้างหรือไม่ ก่อนที่จะไปว่าพ่อแม่ ก่อนที่จะไปว่าคนรอบข้าง ก่อนที่จะไปว่ามิตรผองเพื่อนทั้งหลาย เราเคยถามตัวเราเองไหมว่าตัวเราเองเข้าใจตัวเราหรือยัง แล้วอย่างนี้จะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้ใจหมดทุกอย่างดีไหม คงยากนะเพราะวันนี้ยิ้มให้เรา พรุ่งนี้ก็บึ้งให้เราแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้อย่ายิ้มให้เราเลยดีกว่า
เมื่อยหรือยัง เบื่อไหมฟังธรรมะ ล้าไหม ห้ามโกหกเรา เพราะรู้สึกว่าเสียงกับใจไม่ตรงกันใช่หรือไม่ (ใช่) กล้ายอมรับถึงจะเรียกว่าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะบุรุษปณิธานต้องยิ่งใหญ่ ความตั้งใจต้องสูงส่ง เกิดเป็นชาย
อกสามศอกหรือไม่ถึงศอกก็ตาม ยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่าน
เสื้อผ้ามีไว้ทำอะไร (สวมใส่) ใส่เพื่อปกปิดร่างกาย ห่อหุ้มให้คลายความหนาว แต่บางครั้งประเด็นของเสื้อผ้าที่เราซื้อก็เปลี่ยนไป จากปกปิดก็กลายเป็นประดับตกแต่งใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อความอบอุ่นร่างกาย แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นซื้อเสื้อเพื่อตกแต่งร่างกาย เพื่อยกให้ร่างกายนั้นสูงเด่นกว่าใครใช่หรือไม่ (ใช่) จึงทำให้บางครั้งเราไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วสรรพสิ่งในโลกนี้มีสาระสำคัญอะไรที่แท้จริงกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์นัยน์ตา ความรู้สึกและจิตใจ บางครั้งก็ชักพาเราทำให้เรางุนงงในการอยู่บนโลกนี้ จริงหรือไม่ (จริง) ที่นี่ต้อนรับไม่ดีใช่ไหม หน้าตาของท่านจึงเป็นเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติต้อนรับไม่ดีใช่ไหม รอบข้างให้การดูแลเอาใจใส่ไม่ครบถ้วนใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วทำไมหน้าตาท่านถึงไม่แช่มชื่นขึ้นกว่าเมื่อวานเลย หม่นหมองอย่างไรก็ยังดูหม่นหมองยิ่งขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าผู้ปฏิบัติงานธรรมให้การต้อนรับหรือให้การดูแลเอาใจใส่บกพร่อง เราก็ขออภัยแทนเขาด้วยนะ เพราะว่าความตั้งใจและการให้ของคนบางครั้งก็มีความจำกัดใช่ไหม (ใช่) บางครั้งบางท่านอาจจะไม่ถูกใจเราไปทั้งหมด แต่ให้คิดเสียว่าคนๆ หนึ่งยอมเสียสละเวลาที่ควรจะเอาไปพักผ่อน มาทำเพื่อช่วยเหลือให้เราได้เห็นแสงแห่งธรรม มาทำเพื่อให้เราเข้าใจชีวิตที่แท้จริง มาทำเพื่อให้เรารู้คุณค่าของความเป็นคน แค่นี้ก็น่าจะดีใจแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ถูกใจเราไปทุกคน ก็ขอให้ขอบคุณมากกว่าตำหนิติเตียนใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ตัวของคนเรานั้นแม้จะยิ่งใหญ่สักเพียงใด บางครั้งก็อาจจะถูกจับกุม ถูกลักพาตัวไปได้” แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถจับกุม ลักพาและเปลี่ยนแปลงเขาได้ นั่นก็คือ “จิตใจ” คนเราหากมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้ฟ้าจะทดสอบ แม้จะโดนคนต่อว่าความมุ่งมั่นนั้นก็ไม่เปลี่ยน ถ้าใจของเขายังคงมั่นคงใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเคยเป็นเช่นนี้บ้างหรือเปล่า (เคย) ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องความดี พอโดนคนว่าหนึ่งครั้ง ความดีของคนเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน (เปลี่ยน) อย่างนี้จะบอกว่าจิตใจมุ่งมั่นเปลี่ยนไปด้วยหรือ เปลี่ยนไหม (ไม่เปลี่ยน) แล้วทำไมการกระทำจึงเปลี่ยน เราพูดอาจจะดูห่างไกลกัน แต่ถ้าเรายกตัวอย่างง่ายๆ คนๆ หนึ่งถ้ามุ่งมั่นจะทำความดี แม้อุปสรรคร้อยครั้ง แม้โดนคนต่อว่าพันที ความดีก็ยังไม่หดหายไปจากตัวและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าตัวท่านอยากเป็นคนดี เจอคนว่าสองสามทีไม่ทำอีกเลย ท่านเปลี่ยนทั้งกายและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าบอกว่าใจเรายังดีอยู่ จริงๆ แล้วเปลี่ยนไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นคนที่มุ่งมั่นจะทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ หรือผู้ปฏิบัติงานธรรม อยากจะเป็นคนดี อยากจะทำดี อย่าเข้าข้างตัวเอง ลองเปิดใจให้กว้างๆ แล้วดูสิว่าแม้คนว่าเราสิบที แม้อุปสรรคร้อยที เรายังดีได้ทุกทีหรือไม่ ถ้ายังดีได้ทุกทีนั่นแหละเรียกว่าดีจริง นั่นแหละมีใจรักที่จะเป็นคนดีอย่างถ่องแท้ แต่ถ้าเกิดว่าอุปสรรคสองสามที โดนคนว่าห้าหกที ก็เลิกดีแล้ว ก็หวั่นไหวแล้ว อย่างนี้ไม่อาจเรียกว่าดีใช่ไหม (ใช่) แม้จะเหนื่อยล้า แม้จะเร่งรีบ แม้จะเจ็บปวด ก็ไม่ทิ้งดี นี่แหละเรียกว่าคนดีจริง นี่แหละเรียกว่าคนมุ่งมั่นที่จะทำอะไรแล้วทำจริง แต่ถ้าอดอยากหนึ่งมื้อ เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ยอมทิ้งดี เช่นนี้ไม่ใช่เรียกว่าคนที่รักดีและจะทำดี คนที่จะทำดีแม้ต้องอดอยากหนึ่งมื้อก็จะเป็นคนดีก็ยอมอด แม้จะถูกเข้าใจผิด ถูกใส่ร้ายป้ายสีก็ไม่กลัว แม้จะถูกฆ่าตายเพราะความดีก็ยอมตาย ทำได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้หรือ ลองคิดดูให้ดีๆ นะ ตายไปพร้อมกับความดี ยังภูมิใจกว่ากินข้าวแล้วยอมทิ้งความดี มีชีวิตอยู่แต่หาดีไม่ได้ ยังเรียกว่าคนอีกหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงต้องดีได้อย่างที่เราพูด และเมื่อใดที่ดีได้แท้จริง นั่นแหละเขาพร้อมที่จะเดินไปสู่หนทางแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ หรือทางแห่งความสว่างไสวแห่งการเป็นพุทธะ กลัวหรือยัง กลัวไหมการทำดี (ไม่กลัว) จะเริ่มวันนี้หรือเริ่มพรุ่งนี้ (วันนี้) จะเริ่มจากนาทีนี้หรือนาทีต่อไป (นาทีนี้) ดีใจนะที่ท่านกล้าพูดว่าวันนี้และนาทีนี้ เพราะอะไร เพราะคนที่กล้าพูดว่าวันนี้และนาทีนี้ คือคนที่พรุ่งนี้ตายก็ไม่เป็นไร คนที่ไม่กล้าพูด พรุ่งนี้ตายเราไม่รับรู้ด้วยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าแม้วันนี้จะตายเขาก็ภูมิใจแล้วที่ได้ตัดสินใจจะทำดี แต่ถ้าเกิดคนที่ไม่กล้าพูดว่าวันนี้จะตายหรือวันนี้จะทำดี แปลว่ายังดีไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่) และอะไรเรียกว่าความผิดความชั่วร้ายในโลกนี้ (กิเลส) กิเลสคือความดีหรือความชั่วร้าย (กิเลสคือสิ่งปิดความดีไว้, มีกิเลสคือความโลภ) มีกิเลสคือความโลภ โลภที่จะทำความดีผิดหรือถูก (ถูก) ดีหรือร้าย (ดี) แล้วโลภดีไหม ทำไมเริ่มกำกวมแล้วล่ะ ตกลงโลภดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) แต่ถ้าเกิดว่าเราโลภในการทำความดี ดีหรือไม่ดี (ดี) แล้วตกลงดีหรือไม่ดี โกรธที่ตัวเองทำไม่ดี ดีหรือไม่ดี (ดี) กล้าตำหนิต่อว่าตนเองที่ทำไม่ดี เป็นความโกรธที่ดีหรือไม่ดี (ดี) แล้วโกรธดีหรือร้าย ท่านคุยไม่รู้เรื่องแล้วนะไม่ใช่เราคุยไม่รู้เรื่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่) หรือว่าท่านตกหลุมของเรา ท่านไม่ได้ตกหลุมนะ แต่ว่าท่านเข้าใจสรรพสิ่งในโลกนี้แม้กระทั่งอารมณ์ของตนเองนี้ไม่แจ่มชัด
บางครั้งเราคิดว่าเราอยู่ในโลกนี้ เราเข้าใจเรื่องราวในโลกนี้ ได้เข้าใจแล้ว มีประสบการณ์แล้ว แต่ถ้าลองคิดให้ดีๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เราเข้าใจอย่างจริงแท้ไหม แท้จริงแล้วร้ายหรือดี ตัวเราเองแท้จริงดีหรือร้าย เราเข้าใจแจ่มชัดหรือยัง โลกใบนี้ที่ดูสวยสด จริงๆ เป็นมายาลวงตาหรือเป็นสัจจะกันแน่ (เป็นทั้งสองอย่าง) มนุษย์ยังมีสิ่งที่เห็นและมองไม่เห็น แต่พุทธะหรือปราชญ์ผู้เข้าใจโลกแล้วจะไม่มีอะไรที่มองไม่เห็น การศึกษาบำเพ็ญจะทำให้เราเข้าใจและเห็นในสิ่งที่ยิ่งกว่าเห็น รู้ในสิ่งที่ยิ่งกว่าความรู้ นั่นคือ ปัญญา ปัญญาได้จากไหน ได้จากสติ สติได้จากใด มาจากตัวเราตามเท่าทันทุกขณะ แม้ขณะที่เราพูดอยู่นี้ ท่านก็สามารถมีสติและปัญญาคิดได้ทัน พูดจริงหรือพูดเท็จ โป้ปดหรือว่าหลอกลวงใช่ไหม (ใช่) เราอยู่ในโลกนี้เราต้องคิดไกลๆ ให้ได้แล้วภัยใกล้ๆ จะไม่มาหา เราอยู่กับคนๆ นี้ เราต้องมองให้ไกลให้ได้ แล้วคนใกล้ๆ คนนี้จะไม่เอาภัยมาหาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยู่ในโลกใบนี้ เราต้องมองโลกอันนี้ให้ชัดเจนให้ได้ แล้วโลกนี้จะไม่ทำลายเรา เราอยู่กับกายกับตัวเรานี้ เราต้องเข้าใจกายใจตัวนี้ให้ได้ แล้วกายใจตัวนี้จะไม่สร้างทุกข์ให้เราเจ็บปวด เข้าใจตรงนี้ไหม (เข้าใจ) แต่เราเหมือนคนที่อยู่บนโลกไม่เข้าใจโลก อยู่กับตัวกับใจแต่บางครั้งไม่เข้าใจตัวกับใจ เพราะอะไร เพราะเราไม่มีสติ เพราะเราไม่ใช้ปัญญา เพราะเรามัวแต่ปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์และสิ่งแวดล้อมที่ไม่น่าจะไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เราพูดมาถูกหรือผิด (ถูก) ตอนนี้รู้หรือยังว่าอะไรดีอะไรร้ายตอบได้หรือยัง (ให้ประพฤติปฏิบัติความดี) ไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็ถือว่าถูกต้อง (ความเห็นแก่ตัว) ก็ยังไม่ใช่ อะไรที่ทำให้เราร้ายจนน่ากลัว (ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว) เกือบถูกแต่ไม่หมด และอะไรที่ทำให้เราดีจนน่าใจหาย (อารมณ์, ธรรมะ, ครอบครัว) เราบอกตั้งแต่ต้นแล้ว คนเราจะดีหรือร้ายไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น อยู่ที่ตัวเรา อย่ามัวแต่โทษ
ครอบครัว ไม่เช่นนั้นจะอยู่กับครอบครัวได้ไม่มีความสุข แล้วเราจะทุกข์มาก ฉะนั้นจงมองครอบครัวให้เป็นความสุขได้หรือไม่ (ได้) จิตสำนึกจะช่วยทำให้เรารู้ว่าเราดีหรือเราร้าย เราดีอย่างน่าใจหายหรือร้ายอย่างน่ากลัว เราสำนึกหรือไม่ สิ่งที่เราทำเรารู้ตัวหรือไม่ว่าเราทำอะไรลงไป แล้วเรากล้ารับไหมว่าเราเป็นคนทำ ไม่ใช่โทษคนอื่นหรือโทษสิ่งแวดล้อม ถ้าทุกขณะเรามีชีวิตเรามีจิตสำนึกรู้ตัวอยู่ สิ่งผิดจะไม่กล้ำกลายความดีจะหมั่นชิดใกล้ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อความชั่ว และเกรงกลัวต่อพญายม เกรงกลัวต่อเจ้ากรรมนายเวรใช่หรือไม่ (ใช่) ขยันลงแรงกายอย่าลืมลงแรงใจ ขยันจับผิดคนอื่นอย่าลืมจับผิดตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เปลี่ยนเป็นจับผิดคนอื่นน้อยๆ มองเห็นตัวเองไม่ดีเยอะๆ จะได้แก้ไขได้ ชมตัวเองทุกวันเปลี่ยนเป็นชมคนอื่นบ้างถูกหรือเปล่า (ถูก) แล้วเราจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ว่าคนอื่นนั้นว่าง่ายว่าตัวเรานั้นว่ายากแต่เป็นสิ่งดีไหม เราลองถามใจท่านดูมีต้นไม้ทองหนึ่งต้น ต้นเล็กๆ เท่านี้ กับต้นไม้จริงๆ หนึ่งต้นแต่เป็นพันธุ์ที่ให้ผลงดงามทุกปีจะให้ผลตกดอกและออกผล ต้นไม้สองต้นให้ท่านเลือกหนึ่งต้น ท่านจะเลือกต้นไหน (ต้นทอง, ต้นธรรมดา) ให้เหตุผลได้ไหมทำไหมจึงเลือกต้นไม้ต้นทอง และทำไมจึงเลือกต้นธรรมดา (เพราะต้นทองอยู่ไปก็เป็นทองยี่สิบสามสิบปีก็เป็นทอง ต้นไม้ถึงเวลาก็หล่นแก่ตายเป็นธรรมดา) ตอบได้ถูกนะ ตอบได้เห็นและไม่เห็นยังมีเห็นและไม่เห็น แล้วต้นธรรมดาทำไมจึงเลือกต้นธรรมดา (ต้นธรรมดามีลูกมีผลให้ตลอด ถึงปีครั้งให้ผลตลอดไปเราจะมีกินตลอดไป) ต้นทองต้นนี้ออกดอกได้อีกไหม (ไม่ได้) มีเท่าไหนก็เท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยังต้องรักษาให้ดี จะหยิบจะใช้ก็ต้องระวังจะเก็บรักษาจะวางไว้ระเกะระกะได้ไหม (ไม่ได้) ปล่อยปละละเลยได้ไหม (ไม่ได้) ชีวิตหนึ่งเราเคยลืมบ้างไหม เคยทำให้เราเจ็บบ้างไหม แล้วต้นไม้ต้นหนึ่งดูแลไหวไหม (ไหว) ลองคิดให้ดีๆ นะ ท่านคิดว่ามันมีประโยชน์แต่บางครั้งชีวิตเราๆ ยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเลย แล้วต้นไม้ทองต้นหนึ่งถึงแม้จะมีค่ามหาศาลนับเป็นเงินไม่ได้ แต่ถ้าแลกกับชีวิตเพื่อรักษาต้นนี้ บางครั้งสู้มีต้นธรรมดาดีกว่า ปัจจุบันนี้คนก็เหมือนกันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน ทอง เกียรติยศและทรัพย์สิน ให้มีสิ่งที่เรียกว่ามีค่ามากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ช่วงที่เราไปหามานั้นเรารู้ไหมว่าสิ่งที่เราไปหามานั้นกำลังแลกกับชีวิตทุกๆ นาที เราหามาได้หนึ่งเราเอาชีวิตไปทิ้งหนึ่งใช่ไหม (ใช่) เราหาทองมาได้หนึ่งเส้นเราทิ้งชีวิตไปกี่วัน เราได้เกียรติยศมาอยู่ในกำมือเรา ทิ้งชีวิตไปเกือบชีวิตใช่ไหม (ใช่) ทำไมเราจึงบอกว่าเอาสองต้นไม้นี้มาเปรียบเทียบกัน เพราะว่าคนเรามักจะอยู่กับโลกที่พยายามจะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าสูงที่สุด มีค่ามากที่สุดใช่ไหม (ใช่) แต่ค่านั้นวัดได้แค่เงินทอง ไม่ใช่สูงส่งที่จิตใจ ไม่ใช่ประเสริฐอย่างที่พุทธะหา ทำไมเราไม่หาเพียงแค่ต้นไม้ธรรมดาที่แม้ลืมดูก็ยังให้ผลได้ ที่แม้ทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ก็ยังเก็บเกี่ยวให้ผลประโยชน์ แล้วเอาเวลาที่เหลือมาดูแลตัวเอง มาบ่มเพาะตัวเอง มายกระดับจิตใจของตัวเอง ไม่ปล่อยเวลาทั้งชีวิตไปเพียงเพื่อต้นไม้ทองต้นหนึ่งเท่านั้น พอเข้าใจสิ่งที่เราเปรียบเทียบไหม (เข้าใจ) ต้นไม้นั้นแม้จะดูธรรมดาแต่ก็มีคุณค่าตรงที่ให้เราเหลือเวลาได้พักผ่อน ให้เราเหลือเวลาได้คิดไตร่ตรองมองชีวิตอย่างถ่องแท้ ให้เวลาเหลือในการที่จะเอาเวลานั้นไปช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านอยู่ในโลกนี้กี่ปีแล้ว ลองคิดดูว่า คนที่มีค่า คนที่ท่านรักหรือชื่นชอบคือคนที่เห็นแก่ตัว หรือคนที่รู้จักทำเพื่อคนอื่น ท่านคงรู้ตัวนะว่าคือคนแบบไหนที่เรารัก คนแบบไหนที่เราอยากชิดใกล้มากที่สุด คือคนที่รู้จักทำเพื่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ทั้งวันทั้งชีวิตเห็นแก่ตัว ทำเพื่อตัวแล้วไม่สนใจใคร คนเช่นนี้น่ารังเกียจ คนเช่นนี้คือคนที่เลวร้าย แต่คนเลวร้ายในโลกนี้มีดีไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้และดอกไม้ นักเรียนบางท่านเลือกทั้งดอกไม้และผลไม้) จริงๆ แล้วท่านเลือกทั้งดอกและผล บางครั้งมีดอกแล้ว เอาทั้งสองอย่างในความเป็นจริงไม่ได้ แต่ตอนนี้เราให้ได้เพราะมีดอกแล้วจึงมีผลแต่ดอกต้องร่วงก่อนจึงจะได้ผล ผลทิ้งก่อนแล้วจึงจะมีต้น มีต้นแล้วจึงกลับมามีดอก
คนเลวดีหรือไม่ (ดี) ถูกต้องเพราะมีคนไม่ดีเราจึงเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินคำว่าเสียเพื่อได้ไหม ต้องเสียต่างหาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่ในโลกนี้ เขาทำให้เราคิดเรื่องหนึ่งที่น่าจะบอกท่านนะ อยู่ในโลกนี้บางครั้งอย่าปล่อยให้ความทุกข์หรือสถานการณ์นั้นสอนเรา อย่ากลายเป็นคนโง่ที่ปล่อยให้สถานการณ์นั้นบีบเราแล้วทำให้เรารู้จักโลก แต่จงใช้สติปัญญาตามให้ทัน และเราจะเป็นนายเหนือโลก นายเหนือชีวิต มนุษย์เราบางครั้งไม่สามารถเอาคำสั่งสอน เอาข้อปฏิบัติไปใช้กับชีวิตได้ จนกระทั่งเจอความทุกข์นั่นแหละจึงจะรู้ว่าชีวิตเป็นเช่นนี้เอง วันนี้ตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด แต่ถ้าเรายกตัวอย่างง่ายๆ แต่ก่อนเราเข้าใจตัวเราเองไหม (ไม่เข้าใจ) ไม่ค่อยเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) จนกระทั่งเราป่วยครั้งหนึ่ง เราเข้าใจไหมว่าเราเข้มแข็งหรืออ่อนแอ (อ่อนแอ) บางคนก็เข้มแข็งบางคนก็อ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่) จนกระทั่งเราเจอปัญหาอีกครั้งหนึ่ง เราจึงรู้ว่าเรามีปัญญา เราประมาท หรือเรารอบคอบ (ประมาท) นี่คือเราเป็นนายเหนือชีวิต นายเหนือสถานการณ์ หรือว่าเราปล่อยสถานการณ์มาสอนใจเรา เราเป็นแบบใด เราเป็นแบบหลังเสียส่วนใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทุกข์เราป่วยเราจึงรู้จักชีวิตและตัวตน เหมือนกับท่านอยู่กับครอบครัว ท่านอยู่กับเพื่อน ท่านอยู่ในสังคม จงเอาประสบการณ์นั้นสอนชีวิต อย่าปล่อยให้เหตุการณ์นั้นมาสอนตัวเรา ไม่เช่นนั้นจะเสียใจเปล่าๆ จริงหรือไม่ (จริง) บางครั้งเรารู้ว่าพ่อแม่รักเราตอนไหนละ ตอนที่เราไม่มีใคร ตอนที่ใครๆ ก็ทิ้งเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือตอนที่พ่อแม่จากเราไปแล้ว นี่คือให้สถานการณ์มารู้จักคนรอบข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่สามารถใช้สติปัญญาของเรารู้ก่อนได้ ทำให้เราต้องเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าพูดง่ายๆ เข้าไปอีก เหมือนวันนี้เราอยู่กับท่าน เราพูดสิ่งต่างๆ เรื่องชีวิต เรื่องความเป็นจริงให้ท่านฟัง ท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นมีประโยชน์ ไม่เห็นมีสาระสำคัญอะไรเลย แต่ถ้าท่านจำได้สักหนึ่งประโยคว่า “คนเรานั้นอย่าหลอกตัวเอง” จำได้แค่อันนี้อันเดียว พอท่านออกไปอยู่ข้างนอก ท่านไปพบท่านไปเจอแล้วท่านจะรู้ว่าจริงดังที่เราพูด ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือเราปล่อยให้เหตุการณ์นั้นสอนเรา ท่านได้เอาสิ่งที่เราบอกนั้นไปใช้สติปัญญาตามให้ทันก่อน เราจึงตกเป็นทาสของเหตุการณ์ทุกๆ เหตุการณ์ เราจึงไม่สามารถป้องกันก่อนที่ภัยจะมาได้สักครั้งหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนดังที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า วันหนึ่งท่านมีโอกาสจะไปโปรดคน ปรากฏว่าท่านหยิบหินกำหนึ่ง แล้วบอกว่าหินนี้คืออาจารย์ของเรา ทุกคนที่นั่งฟังอยู่ก็สงสัย ทำไมหินนี้จึงเป็นอาจารย์ของพระพุทธองค์ได้ หรือพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธองค์ท่านบอกว่า เพราะหินกำนี้เข้าไปในเท้าเรา หินเข้าไปในเท้าสอนท่านได้อย่างไรล่ะ ทำไมกลายเป็นอาจารย์ หินเข้าไปในเท้าทำให้เจ็บและทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านบอกว่าช่วงขณะที่ท่านก้มลงเอาหินออกจากเท้า ชั่วขณะนั้นท่านเกิดปัญญาที่มองเห็นว่าทุกขณะทุกวันที่ท่านเดินผ่าน ทุกขณะที่ท่านเดินไปในทางนี้ ท่านลืมมองความเป็นจริงรอบข้าง ลืมมองความสวยงามรอบข้าง ลืมมองแม้กระทั่งหินที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับมองข้ามไป จนกระทั่งหินเข้าไปอยู่ในเท้า ท่านจึงเข้าใจชีวิต ท่านจึงเข้าใจสรรพสิ่งว่าเราอย่ามองข้าม ทุกวันที่เราใช้ ทุกวันที่เราคลุกคลี ไม่ว่ากับคน กับตัว กับใจ อย่าได้มองข้าม ที่เห็นอยู่นี้อาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น ที่มือห้านิ้วอย่างนี้อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ตัวเราที่เป็นตัวเราอย่างนี้ อาจจะเป็นอะไรที่ยิ่งกว่านี้ ประเสริฐกว่านี้ได้ แต่เราได้ไปสัมผัสหรือยัง ได้ไปค้นคว้าบ้างหรือไม่ เหมือนส้มผลนี้ หากมองธรรมดาก็คือส้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเรามองให้ดีๆ ส้มนี้มีอะไรมากกว่าที่เราคิด มากกว่าประโยชน์จากการกินผลกินเปลือก มากกว่าตรงที่ทำให้เรารู้ว่าส้มหนึ่งใบ จากที่เราจะกินคนเดียว ถ้ารู้จักให้คนที่อยากได้ เราจะได้ความปิติ เราจะได้ความอิ่มเอิบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ส้มหนึ่งใบหากตกอยู่กับพื้น ใครเผลอเหยียบไป จากที่จะได้กิน จากที่จะให้คน เรากลับทำร้ายใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) ส้มหนึ่งใบแม้จะอยู่ที่ตัวเรา เราไม่ได้กินเราไม่ได้ให้ใคร เราไม่ได้ทำตกทิ้ง แต่อยู่ที่ตัวเรา เรากลับทำให้รู้ว่าเราเป็นคนใจกว้างหรือใจแคบ ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่ส้มหนึ่งใบท่านกลับรู้ชีวิตมากขึ้นกว่าที่ส้มเป็นส้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) ส้มหนึ่งใบยังให้อะไรได้อีก ยังให้เรารู้ว่าเกิดมาตั้งอยู่และดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ส้มหนึ่งใบยังให้อะไรกับท่านได้อีกไหม (ได้) ถ้าคิดออกปัญญาเกิด ถ้ายังคิดไม่ออกท่านจะติดอยู่แค่ส้มคือส้ม เหมือนกันชีวิตมนุษย์เราสามารถเป็นอะไรที่ยิ่งกว่ามนุษย์ได้ นั่นคือพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่ว่าเราจะทำตัวแบบใด ทำตัวให้มีประโยชน์ ช่วยคนหรือทำตัวให้เห็นแก่ตนคับแคบลง ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือทำตัวให้เกิดมา ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป เลือกเอานะ เหมือนกันพ่อแม่พี่น้องที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เขาคือพ่อแม่ พี่น้อง เราเคยเห็นมากกว่าคำว่าพ่อแม่ไหม เราเคยเห็นมากกว่าคำว่าพี่น้องหรือเปล่า เราเคยเห็นมากกว่าความเป็นมากกว่าไหม เราเคยเห็นพ่อแม่เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า ถ้าเราได้เห็น นั่นแหละแปลว่าเราเข้าใจท่านยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไม่เคยเห็นแปลว่าเรานั่นแหละน่าสงสาร เพราะยังมีตาที่ถูกปิดบังอยู่อีกหนึ่งตา เหมือนกับโลกใบนี้ สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เงินทอง เราเห็นแค่เสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้า หรือว่าเราเห็นเสื้อผ้านี้สามารถช่วยคนได้ คำพูดของเราจะเป็นคำพูดที่ฉุดคนขึ้นมาจากความทุกข์ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดให้ดีๆ วันนี้เราพูดหนัก แต่อยากให้หนักแล้วตื่นขึ้นจริงๆ
ฟังมากๆ แล้วเป็นอย่างไร รู้สึกว่าชีวิตนี้มีอะไรมากกว่านี้ไหม สิ่งที่เรามองเห็นอยู่นั้นยังมีอะไรมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) สำคัญอย่างเดียวคืออย่าปล่อยให้ใจว่างคุณธรรม ถ้าเมื่อไรใจเราว่างคุณธรรมไปสักเล็กน้อย ความชั่วร้ายจะมาอิงแอบ และจิตใจของเราจะลื่นไหลไปง่ายในการทำผิด เกิดเป็นคนแม้จะรู้สูงส่งหรือรู้เล็กน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการอบรมบ่มเพาะศีลธรรม คนเราจะเป็นคนที่ดีได้ไม่ใช่อยู่แค่การกระทำ แต่ทุกขณะจิตต้องรู้จักคิดเรื่องธรรมะบ้าง มีคุณธรรมบ้าง ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะไม่กลายเป็นคนที่ชั่วโดยที่ไม่น่าจะเป็นเลย จริงหรือไม่ (จริง)
พระอาจารย์จี้กง : ส้มผลนี้ใครอยากได้ยกมือขึ้น ข้างหลังอยากได้ไหม ใครที่มาแล้วยังไม่ได้ผลไม้ ดอกไม้เลยยกมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ได้อีก ใครอยากได้ยกมือ คนที่เร็วที่สุดมีได้กี่คน (คนเดียว) คนทั้งห้องคนที่สอบได้ที่หนึ่งมีกี่คน (คนเดียว) พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส์ เพื่อหาคนที่ลุกเร็วที่สุด บางคนลุกขึ้นเร็วกว่าการนับ เร็วเกินไปดีไหม (ไม่ดี) ช้าเกินไปดีไหม (ไม่ดี) ยอมสอบตกดีไหม (ไม่ดี) อาจารย์ว่าในห้องนี้มีแต่คนที่ยินยอมสอบตกกับคนที่เร็วเกินเหตุ วันนี้อาจารย์มา สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์หนึ่งมาก่อน ท่านคือหนึ่งในแปดเซียน ถามว่ารู้จักท่านหรือยัง ถ้าหากว่าเรามาตั้งนานแล้วผลไม้สักลูกยังไม่ได้ แสดงว่าเรามีปัญญาหรือเปล่า (ไม่มี) วันนี้มาบางคนติดดอกไม้ถือว่าผลิดอก ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนอาจารย์ส่งผลไม้ให้ถือว่าอะไร ออกผล จะผลิดอกออกผลจริงๆ หรือเปล่า ต้องดูที่ใคร (ตัวเราเอง) แล้วจะผลิดอกผลเรื่องอะไรดี เรื่องความร่ำรวยดีหรือเปล่า ใครไม่อยากรวยยกมือ ไม่มีใครไม่อยากร่ำรวย ทุกคนอยากร่ำรวย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนรวยเท่ากันหมดเรียกว่ารวยไหม (ไม่รวย) ต้องมีกี่คน ต้องมีน้อยคน ใช่หรือไม่ (ใช่) คนจนมีจำนวนมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นในทางความจริงของชีวิต ทุกคนรวยได้ไหม (ไม่ได้) ทำอย่างไรให้รวยได้ทุกคน รวยอะไร (ความดี, ปัญญา, น้ำใจ) ถ้ารวยอย่างนี้รวยได้ทุกคนไหม ถ้าหากว่ารวยทรัพย์สินเงินทองต้องนั่งเฝ้าบ้านเพราะว่ากลัวขโมย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากว่ารวยความดีรวยได้ทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นมารวยน้ำใจ รวยความดีกันดีกว่าไหม (ดี) ถ้าหากว่าเรามีทรัพย์สินเงินทองมากมายอยู่แล้ว ทำอย่างไร เอาไปช่วยคนอื่นบ้าง ช่วยใครก็ได้ที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ช่วยใครก็ได้ที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ร่ำรวยแต่แห้งแล้งน้ำใจ ในที่สุดก็ไม่อาจเรียกว่าคนรวยได้
“มีสติไม่โมโหเหมือนโคบ้า” รู้จักโคบ้าไหม เวลาที่เราโมโหเหมือนแบบนั้นไหม ยิ่งเอาอะไรมาขวางก็ยิ่งชน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตกลงเราเป็นคนหรือเป็นโค (คน) เพราะฉะนั้นเราต้องโมโหอย่างคน โมโหอย่างไร ถึงจะยังเป็นคนอยู่ (มีสติ) ถ้ามีสติต้องไม่โมโห (มีความอดกลั้น) ถ้ามีความอดกลั้นก็ต้องไม่ยอมโมโห ไม่แสดงออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนที่ไม่มีสติเวลาโมโหเหมือนโคบ้า เราไม่ใช่โคเพราะฉะนั้นเวลาโมโหควรจะทำอย่างไร เพื่อให้ลักษณะแห่งความเป็นคนได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตอนที่เรากำลังโมโหเราลองคิดดูว่าเราจะโมโหลักษณะไหนดี เราจึงไม่กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน คนที่อยู่ที่นี่เคยโมโหไหม เวลาเราโมโหเราเหมือนอะไร เหมือนคนไหม บางทีหน้าก็เขียว บางทีหน้าก็แดงไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) หัวก็ตื้อคิดไม่ออกท้องก็ปั่นป่วน มือกับเท้าจะก้าวไปอย่างเดียว นับหนึ่งถึงสิบก็ยังไม่หายโมโห หนึ่งถึงสิบน้อยไปไหม น้อยไปหน่อย เพราะว่าความโมโหของเราตอนเด็กๆ เป็นโมโหที่ไม่แรงเท่าไร พออายุยิ่งมากโมโหก็ยิ่งแรงมากยิ่งขึ้น เวลาเราแก่ๆยิ่งโมโหยิ่งไม่น่าดูเลย บางทีโมโหอย่างเดียวไม่พอ บ่นด้วย พึมพำๆ พูดกับใครไม่รู้ อย่างนี้เรียกว่า คนบ้า
ท่านหลันต้าเซียน : คำว่า “บำเพ็ญ” แปลว่าอะไร คำว่า “พร้อมจะบำเพ็ญ” แปลว่า ยังมีเวลาจะมาอีก ไม่ใช่หมดสองวันแล้วก็ไม่มาอีกเลย เรียกว่ายังไม่พร้อม อีกแค่ครึ่งวันก็จะจบชั้นแล้ว อย่าเพิ่งยอมแพ้ไปก่อน (ส่งเสริมญาติธรรมที่มาหนึ่งวัน) น่าเสียดายที่มาได้แค่หนึ่งวัน
เดี๋ยวเราให้ท่านดูเพลงเสร็จ เราก็คงต้องขอตัวกลับก่อนได้ไหม
(ไม่ได้)
พระอาจารย์จี้กง : คนที่มีมารยาทควรจะบอกว่า ขอบคุณ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ท่านถาม ไม่ใช่หมายความว่าท่านอยากจะได้คำตอบจากเรา แต่ท่านถามด้วยความเกรงใจ เพราะฉะนั้นเราควรจะเกรงใจตอบใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนคนขอบคุณเราๆ จะบอกว่าไม่ได้ต้องทำอันนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาขอบคุณเราใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลันต้าเซียน : สิ่งที่เราควรพูดก็พูดเกือบหมดแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าท่านจะนำเอาสิ่งที่เราพูดไปใช้ได้มากแค่ไหน อย่าปล่อยให้สิ่งที่เราบอกเปล่าประโยชน์ อย่าปล่อยให้สถานการณ์มาสอนเรา แต่เราจงเป็นนายเหนือชีวิตและสถานการณ์
ไม่เห็นตอนมาก็ยังได้เห็นตอนกลับใช่ไหม อยู่ในโลกนี้จงอย่าอยู่ด้วยความประมาท จงตั้งใจอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ ชีวิตของเรามีวันนี้เท่านั้นเอง วันนี้ ขณะนี้เท่านั้น จะคิดจะทำอะไรจงพึงแต่สิ่งที่ดีไว้ก่อนอย่าเอาแต่ใจอย่าเอาแต่อารมณ์ เพราะพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเราก็ได้ ฉะนั้นทำอะไรจงเสร็จตั้งแต่วันนี้อย่าค้างใจ อย่าปล่อยปมผูกไว้ได้ไหม (ได้) แล้วพรุ่งนี้จะเป็นอะไรก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าก้าวการบำเพ็ญตนเริ่มต้นด้วยการเป็นคนดีได้มั่นคงก็จะก้าวสู่ความบำเพ็ญตนได้ตลอดไป แต่ถ้ายังเป็นคนดีได้ไม่มั่นคงจะก้าวบำเพ็ญตนได้ย่อมเป็นการยาก
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้ร้องเพลง “มิทำแค่เพื่อตน”)
พระอาจารย์ : เอาส้มที่เหม็นๆ หน่อยไหม เพราะเดี๋ยวใจเหม็นนะ (ไม่เป็นไรอยู่ที่ใจ) คนที่ชอบดูดวงแล้วเขาก็บอกว่าดวงเราแย่แล้วเราจะแก้ไหม (แก้) แม้เราจะบอกว่าเราเชื่อมั่นในตัวเองเต็มที่ แต่ในใจลึกๆ อดคิดไม่ได้ว่าเราต้องแก้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าส้มที่กินเข้าไปแล้วเดี๋ยวตัวเหม็น ใจเหม็น กินเข้าไปแล้วเหม็นหรือไม่เหม็น (ไม่เหม็น) เพราะฉะนั้นควรที่จะมีปัญญาที่จะมองรอบๆ กาย มองสิ่งที่คนอื่นพูดให้ฟังใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้มานั่งฟังธรรมวันที่สอง คนพูดๆ ไปตั้งมากมายสิ่งที่พูดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนพูดแล้วก็ฟังรู้เรื่อง บางคนพูดก็กำลังหลับอยู่ บางคนพูดแต่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่จับใจความได้ว่าทุกสิ่งที่เขาพูดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งที่ดีนี้ถ้าหากเรารู้แล้วแต่เราไม่ปฏิบัติเลย ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เหมือนกับคนดูดวงชะตาเรา ว่าดวงชะตาเรากำลังตกกำลังแย่ แต่หากว่าเรารู้สึกว่าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความเบิกบาน แม้กระทั่งดูดวงก็ไม่ต้องไป แล้วก็จะไม่พบกับคำว่าแย่ ไม่พบกับคำว่าดี จะพบก็แต่ตัวของเราเอง เมื่อได้มองเห็นตัวของเราเองอย่างชัดเจนแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้เราแย่ลงได้ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าเรากำลังเรียนวิชาๆ หนึ่งแล้วเราเกิดความเข้าใจในวิชานี้อย่างเต็มที่ ถามว่าเราสามารถเอาไปใช้ ไปปฏิบัติได้ไหม (ได้) ถ้าหากว่าเราสามารถเอาไปใช้ ไปปฏิบัติได้ ก็แสดงว่าเราเข้าใจ และเราได้รู้จักวิชานี้อย่างถ่องแท้ ในที่สุดแล้วเราก็ได้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) ความเข้าใจที่เคยมีมาทั้งหมดกลายเป็นปากประตูเท่านั้นเอง เป็นแค่ส่วนปากประตูให้เราเข้า ส่วนว่าเราเดินเข้าไปและเรารู้จัก พบภายในนั้นคือตัวของเราเองภายในนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจอย่างนี้ไหม เวลาเข้าใจก็ให้เห็นว่าเข้าใจ เวลาไม่เข้าใจก็ให้แสดงออกว่าไม่เข้าใจ เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้น ไม่ใช่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะสามารถเข้าใจในวันนี้และเดี๋ยวนี้ แต่อาจจะเข้าใจมากขึ้นในภายหน้า ถ้าศิษย์ยังมีใจอยู่ ถ้าศิษย์ยังศึกษาและบำเพ็ญอยู่ อาจารย์ยก
ตัวอย่าง ไหนลองมีใครสักคนจับประตูบานนั้นและเปิด ประตูบานนั้นเป็นประตูที่เปิดไม่ออกหรือเปิดลำบาก ไหนคนที่คลุกคลีอยู่ที่นี่ลองบอกว่าที่นี่สร้างมากี่ปี (ห้าปี) ห้าปีนานไหม เป็นเวลาที่ไม่นานเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ประตูบานนั้นเก่าจนเปิดแทบไม่ออกแล้ว เพราะอะไร (ขาดการดูแลเอาใจใส่, ใช้วัสดุไม่ดี, ไม่หยอดน้ำมัน) เห็นกันว่าประตูนั้นไม่สามารถจะเปิดออก ทั้งที่สร้างมาเพียงห้าปี ใช่หรือไม่ (ใช่) เหตุเพราะอะไร เหตุเพราะว่าเราไม่ได้ไปเปิดบ่อยๆ ประตูนี้จึงเปิดไม่ได้ จะมีประตูสักกี่บาน ที่เปิดจนมันทรุดแล้วเปิดไม่ได้ ส่วนใหญ่ยิ่งเปิดจะเปิดได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นประตูบานนี้เหมือนกับประตูของจิตใจของศิษย์เอง ตอนนี้ประตูบานนี้ ศิษย์ในที่นี้เป็นศิษย์คนเก่า อาจารย์พูดถึงศิษย์คนเก่าก่อน ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คน ตอนที่มานั่งฟังประชุมธรรมเหมือนวันนี้ และเกิดมีใจศรัทธาขึ้นมา มีใจเต็มเปี่ยมที่จะบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรมและสร้างความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าความดีในหัวใจของศิษย์ เป็นความดีที่ทำลำบากและทำยาก การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่นานๆ ถึงจะมีโอกาสทำเสียที ในความ
รู้สึกของศิษย์ ศิษย์ไม่ได้นำธรรมะไปใช้ในทุกที่ ทุกๆ เวลา ศิษย์ไม่ได้นำความเป็นคนดีของศิษย์ไปสู่คนอื่นๆ เพราะฉะนั้นประตูในหัวใจของศิษย์ บานที่ศิษย์เคยเปิดใจออกมารับฟังธรรมะก็ทรุด และมันก็ตก ไม่ได้เปิดบ่อยๆ ที่สุดแล้วก็เปิดไม่ออกเหมือนอย่างนี้ อาจารย์ถามทำไมว่าที่นี่สร้างมากี่ปี อาจารย์ไม่ได้บอกว่ามันทรุดเร็ว แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าเพียงห้าปีที่ศิษย์ไม่ทันระวังตัว ห้าปีที่เราไม่ทันระวังตัว ประตูบานนี้กลายเป็นประตูที่ใช้ไม่ได้ ศิษย์อาจารย์บำเพ็ญมากี่ปีแล้ว บางคนรับธรรมะสิบปี บำเพ็ญมาเจ็ดแปดปีแล้ว แต่ประตูบานนี้เริ่มตกตั้งแต่ปีที่ห้า แล้วศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ยังเข้าใจว่าตนเองกำลังบำเพ็ญอยู่หรือเปล่า แล้วมองตัวเองจริงๆ ว่าเราบำเพ็ญอยู่หรือเปล่า คำว่าบำเพ็ญของเราเป็นเพียงคำว่า “บำเพ็ญที่อยู่ในจิตใจของเรา” เท่านั้นใช่ไหม หรือว่าคำว่าบำเพ็ญของเราเป็นการบำเพ็ญที่มีการปฏิบัติด้วย ไม่ใช่ว่ากินเจแล้วบอกว่าเราเป็นคนที่สะอาดสะอ้าน จิตใจสะอาด ไม่ใช่แค่นั้น การที่เราบำเพ็ญธรรมยังต้องทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที ทุกๆ ที่ ในที่ที่คนเขาทำไม่ได้ แต่เราต้องทำให้ได้ ความดีนั้นต้องก่อเกิด อาจารย์ถามจริงๆ ว่า ตอนนี้เรายังรู้สึกว่าเรายังบำเพ็ญธรรมอยู่ไหม บำเพ็ญธรรมแล้ววาจาของเรายังพูดออกมาง่ายแบบคนไม่คิดหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมแล้ว หัวใจของเราและความคิดของเรายังเป็นความคิดที่คิดร้ายต่อผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมแล้ว เราได้กระทำสิ่งใดอันเป็นคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อบรรพชน และต่อตนเองในทางที่ไม่มีความโลภและเห็นแก่ตัวหรือไม่ อาจารย์ถามอย่างนี้เพื่อให้ศิษย์ได้คิดว่าจริงๆ แล้ว แม้แต่ป้ายชื่อให้เราแขวนว่าเราเป็นใครก็ตาม จะเป็นฐันจู่ เจี่ยงซือ ผู้ปฏิบัติงานธรรม แขวนไว้เฉยๆ หรือเปล่า คนจีนเขาเรียกว่ามีแต่ชื่อ แล้วอาจารย์ถามศิษย์ว่าศิษย์มีแต่ชื่อไหม มาตรงนี้พูดถึงตรงนี้ ไม่ใช่เป็นการติ แต่เป็นการเตือน เตือนว่าเราบำเพ็ญธรรมต้องก้าวหน้าขึ้นทุกปี ไม่ใช่พอก้าวถึงยอดภูเขาแล้วก็จะอยู่ยอดภูเขาอย่างนั้นไม่ลงมา มองคนอื่นด้วยหางตานั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ แต่เราต้องลงไปคลุกคลีต่อความยากลำบากและไม่กลัวความยากลำบาก คนในโลกอยากจะรวย คนบำเพ็ญธรรมอยากจะรวยไหม อยากรวยไม่เป็นไร ศิษย์ยังมีเวลาที่จะบำเพ็ญจิตของตนเองไหม หากว่าเราบำเพ็ญธรรมแล้ว เราบำเพ็ญธรรมได้แต่ความจอมปลอม ไม่เรียกว่าบำเพ็ญ อย่าลืม การบำเพ็ญคือการปฏิบัติและลงแรง
ทีนี้มาพูดถึงนักเรียนคนใหม่ คนที่เพิ่งจะเข้ามาในวันนี้เปรียบเสมือนอะไรในประตูบานนี้ ประตูบานนี้เป็นประตูที่เปิดไม่ออกแล้ว แต่ศิษย์ของอาจารย์เพิ่งจะสร้างบ้านหลังหนึ่งขึ้นมา บ้านหลังนี้จำเป็นต้องมีประตู มีหน้าต่าง มีเฟอร์นิเจอร์และมีคนอยู่ไหม (มี) ในจิตใจของศิษย์ยังมีแต่กิเลส แต่เราจำเป็นต้องสลัดภาวะที่เป็นกิเลสของเรานี้ลงโดยฉับพลัน แล้วเราจะสร้างบ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านอะไร ไม่ใช่บ้านให้ตนเองอยู่ แต่บ้านหลังนี้เราจะสร้างเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อื่นมาอยู่มาใช้ เปรียบเสมือนเราเป็นสวนสาธารณะ เราจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ศิษย์สร้างขึ้น มีประตู และหน้าต่างเต็มไปหมด ประตูบานนี้ของศิษย์ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาประตูเปิดปิดง่ายไหม (ง่าย) ห้าปีผ่านไปเป็นอย่างไร เราเป็นผู้รู้จักตัวเองดี ถามหน่อยว่าประตูบานของเราจะเปิดปิดลงง่ายไหม ห้าปีผ่านไปเราเป็นคนที่ท้อแท้ ไม่ตั้งใจจริงและจะทิ้งไปกลางคันหรือเปล่า ในเมื่อเราคิดว่าเราไม่แน่ใจ และเราก็คิดว่าเราอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ขอให้เราตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทดีหรือเปล่า เราจะบำเพ็ญธรรมแล้วประตูของเราจะเปิดปิดใช้บ่อยๆ เราจะสร้างความสะดวกโดยประตูนี้เปิดปิดง่ายโดยให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย เหมือนกับที่ศิษย์คนนี้ว่าต้องใช้วัสดุที่ดีหน่อย ใช่หรือไม่ บ้านหลังนี้ต้องใช้ชิ้นเนื้อจากจิตใจที่เป็นชิ้นเนื้อแห่งความเมตตาที่จริง อย่าเอาความจอมปลอมเสแสร้งออกมาสร้าง ไม่เช่นนั้นประตูก็จะตกง่าย บ้านหลังนี้ต้องเปิดๆ ปิดๆ บ่อยๆ ประตูนี้ก็จะอยู่คงยาวได้ ยิ่งใช้ก็ยิ่งคล่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนเป็นคนขี้เหนียว ทำอย่างไร บ้านหลังนี้สร้างขึ้นมา ก็กลัวคนอื่นจะใช้เสียจนพัง แล้วเราก็เลยไม่ให้คนอื่นใช้ บ้านใหม่ๆ ยิ่งปิดยิ่งพังไหม ในการบำเพ็ญธรรมของเราก็เหมือนกัน เราต้องเป็นคนใจกว้างและมีปัญญาด้วย ไม่ใช่ใจกว้างเฉยๆ คนเราจะประพฤติปฏิบัติดีได้ต้องมีความ
อ่อนน้อม ประพฤติดี ปฏิบัติดี อ่อนน้อมเป็นจึงจะมีมิตร ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าประพฤติปฏิบัติดี แต่ดีเฉพาะตัวของเราเอง แล้วเราไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ถามว่ามีคนรักเราไหม (ไม่) เราเป็นคนประพฤติปฏิบัติดี แต่เราไม่มีความซื่อตรง ถามว่าเราจะเป็นคนที่คนอื่นนับถือเราหรือเปล่า (ไม่) เราเป็นคนที่ประพฤติปฎิบัติดี แต่ว่าเราเป็นคนที่ไม่เด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว พูดจากลับกลอกกลิ้งไปกลิ้งมา จะมีคนมาเคารพเราไหม (ไม่มี) พูดถึงตรงนี้แล้วศิษย์รู้ไหมว่าเป็นคนดีเฉพาะตัวเราเฉยๆ นั้นไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้ไหม (เข้าใจ) บางคนบอกว่าเป็นคนดี ฉันเป็นคนดีจิตใจดีก็พอแล้ว แต่ดีเฉพาะตัวเราเอง เราไม่เคยแยกออกไปจากบ้านช่วยผู้อื่นเลย ถามว่าดีแค่นั้นพอไหม (ไม่พอ)
อาจารย์ก็มั่นใจว่าศิษย์หลายๆ คนก็ไม่ได้ต้องการการนับถือ แต่หากว่าศิษย์อยากจะบำเพ็ญบรรลุเป็นพุทธะนั้น จะบรรลุอยู่คนเดียวไม่ได้ พุทธะต้องเคยสอนผู้อื่นและที่สำคัญต้องเคยสอนตัวเอง เหมือนอย่างเมื่อสักครู่ที่ท่านแปดเซียนพูดไป สอนคนอื่นง่าย สอนตัวเราลำบากจริงๆ ถูกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปสอนคนอื่น ต้องรู้จักสอนตนเองก่อน รู้สิ่งใดต้องรู้ให้จริงจึงสามารถที่จะพูดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราควรที่จะปรับเปลี่ยนตนเองหรือยัง (ควร) ไม่ว่าศิษย์อาจารย์คนเก่าคนใหม่ อาจารย์อยากให้ปรับเปลี่ยนตนเอง คนที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก คนที่ยังไม่ดีเท่าไรให้ดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยถ้าหากว่าเปรียบเสมือนการบำเพ็ญเหมือนเส้นยาวๆ อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะอยู่ตรงกลาง แล้วขยายขึ้นมาดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่อยู่ตรงกลางแล้วถอยลงเรื่อยๆ เราต้องพิจารณาก้าวของการบำเพ็ญของเรา ว่าเราขยับดีขึ้นหรือว่าแย่ลงเรื่อยๆ หากว่าไม่คิดว่าเราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ดูว่าระยะการบำเพ็ญธรรมเราทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ อย่างน้อยอยู่ตรงกลางก็ดีกว่าแย่ลงเรื่อยๆ และอาจารย์มั่นใจว่าศิษย์ของอาจารย์หากไม่เป็นคนฟังธรรม หากไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรมเลย ถามว่าศิษย์ของอาจารย์จะเชื่อไหมว่าทำดีแล้วได้ดี ก็เป็นเรื่องที่เชื่อลำบาก เพราะฉะนั้นรู้เรื่องแห่งบุญกรรม รู้เรื่องแห่งธรรม ไม่ได้รู้ไว้อย่างงมงาย แต่รู้ไว้อย่างสิ่งที่ควรจะรู้และควรจะปฏิบัติในภายภาคหน้า มีสิ่งที่จรรโลงจิตใจและให้กำลังแก่เราเพื่อขยับหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ แม้จะไม่เชื่อว่าตายไปแล้วได้ไปสวรรค์ถ้าหากทำดี แต่อย่างน้อยทำดีในโลกนี้ สวรรค์ในโลกนี้คืออะไร มีความสุข แล้วศิษย์ของอาจารย์ทุกคนอยากมีความสุขไหม (อยาก) อยากมีความสุข อยากมีความร่ำรวย จงเปิดจิตใจของตนเองให้กว้างให้ผู้อื่นได้ใช้ และเราจะเป็นคนที่ยิ่งมีมิตรยิ่งมีคนนับถือ และยังได้รู้จักตนเองมากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องของคนใจกว้างคนหนึ่งและคนที่พร้อมจะบำเพ็ญ ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คน ไม่ว่าจิตใจของศิษย์ตอนนี้จะท้อแท้หมดหวัง จิตใจในตอนนี้จะเป็นจิตใจที่ฮึกเหิมด้วยความรู้สึกอยากที่จะไปทำงานช่วยผู้อื่น หรือจิตใจของเราในตอนนี้เป็นจิตใจที่กำลังจะตัดสินใจ หรือเป็นจิตใจที่ลังเลสงสัยก็แล้วแต่ ขอให้เราได้ตรวจทานจิตใจของเราและเปลี่ยนแปรจิตใจของเราให้ดีขึ้น ดีหรือไม่ (ดี) อย่างน้อยได้ชื่อว่าเป็นคนดีที่ไม่ได้มัวมานั่งชมตนเองว่าฉันดี แต่คนอื่นบอกว่าไม่ดี ถ้าคนอื่นบอกว่าไม่ดีแล้วเราพูดว่าดีจะมีผลไหม (ไม่มี) เราต้องมาพิจารณาย้อนมองตนเอง กระจกที่ตั้งอยู่หน้าศิษย์ที่บ้านของศิษย์ที่เวลาศิษย์ส่องนั้น ศิษย์มองเข้าไปในกระจกคนในกระจกคือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราใช่คนในกระจกไหม (ไม่ใช่) เราไม่ใช่คนในกระจก เข้าใจหรือยัง ภาพลวงตาที่เกิดในโลกนี้มีมากมาย รวมทั้งอาจารย์ที่ยืนโบกไปโบกมาในตอนนี้ ก็เป็นภาพลวงตาของศิษย์ เพราะอาจารย์ไม่อยู่กับศิษย์ตลอด เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มา ศิษย์ก็นั่งฟังธรรมะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาศิษย์ก็มัวแต่นั่งสงสัย ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า เราและคนในกระจก คนในกระจกและเรา บางทีไม่ใช่คนเดียวกัน บางทีเป็นคนเดียวกัน คิดให้ออกว่าอะไรเป็นอะไร และเกิดความรู้สึกแจ้งในจิตใจของตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมศึกษาเพลง มิทำแค่เพื่อตน)
ที่นี้ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้นใหม่ คนที่ยังไม่ได้ผลไม้จะเอากลับบ้านไหม (เอา) มาแต่ตัว ใจก็ไม่เอามา ฟังธรรมะจะฟังรู้เรื่องหรือ อาจารย์ถามว่า ศิษย์ของอาจารย์ฉลาดหรือเปล่า ถ้าหากนั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมงเพื่อมาฟังธรรมะ แล้วยังไม่ฟัง ฉลาดไหม (ไม่ฉลาด) เงินค่ารถเสียไหม (เสีย) บางคนบอกว่าไม่เสีย แสดงว่าคนที่พาศิษย์มาถือว่าใจดีมากเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ข้าวก็มีให้กิน ถึงเวลาก็ยกข้าวยกน้ำมาให้ ถามว่าถ้าหากเราไม่ตั้งใจฟังธรรมะดีๆ เราฉลาดไหม (ไม่ฉลาด) ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องชอบฉลาดก่อนอยู่แล้ว จงฉลาดๆ กว่านี้ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์พูดกับนักเรียนว่า คนที่มาก็มีคนยกข้าว ยกน้ำ ทำกับข้าวให้กิน อาจารย์จะบอกกับคนที่ต้อนรับ หรือนักเรียนเดินสวนไปสวนมากับเรา คนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมหรือคนที่เป็นรุ่นพี่ เราต้องทักทาย
ยิ้มแย้ม ยินดีต้อนรับเขา เพื่อให้เขาเกิดความประทับใจ ครั้งแรกที่เราไปที่ไหนก็แล้วแต่ ความประทับใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนเข้ามาในสถานธรรมครั้งแรก เข้ามาไม่ใช่เพราะเข้าใจในธรรมะ แต่เข้ามาเพราะยึดติดในตัวบุคคลก็มี แต่อาจารย์อยากให้คนที่ยึดติดในบุคคลนั้น ขอให้แปรเป็นการฟังธรรมะด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมะ ไม่อย่างนั้นก็จะยึดติดกันเป็นปาท่องโก๋ ในที่สุดต่างคนต่างเกิดมา ต่างคนต่างตายไป เหมือนคนในโลกนี้ว่าเงินคนละกระเป๋า ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาบำเพ็ญธรรมก็คือ ต่างคนต่างบำเพ็ญ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราเห็นตัวอย่างที่ดี แบบอย่างที่ดี ก็ควรที่จะบำเพ็ญและปฏิบัติตาม อย่ามัวแต่อิจฉาเขาที่ดี ที่เด่นกว่าเรา แต่ขอให้เราทำตามในสิ่งที่ดี ดีหรือไม่ (ดี) ตอนนี้ศิษย์เข้ามาใหม่ อาจารย์ให้ศิษย์ตัดสินใจว่า อะไรคือดี ไม่ดี แต่ยิ่งบำเพ็ญไปจะรู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรดีหรือไม่ดี ยิ่งบำเพ็ญศิษย์จะยิ่งรู้ว่า ในสิ่งที่เราว่าถูกนั้นถูกหรือเปล่า ในสิ่งที่เราว่าผิด อาจจะไม่ผิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถึงตอนนี้เหมือนกับเราขาดหายไปอย่างหนึ่ง เรียกว่า “ปัญญา” หากไม่สามารถคิดออกว่า สิ่งนี้ถูกหรือผิดก็ให้เรารู้ว่าเราทำปัญญาหล่นหาย ต้องพยายามขยันที่จะคว้ากลับมา ดีหรือไม่ (ดี) อย่ามัวแต่มองตัวเอง จนลืมมองสิ่งที่อยู่รอบข้าง คนบำเพ็ญไปถึงก้าวที่ห้ากับก้าวที่สิบ ก็ย่อมไม่เหมือนกัน มีจิตใจและดวงตาที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร เราอยู่ขั้นที่ห้าก็อยู่ให้นิ่งๆ ก้าวให้เต็มก้าว ดูเท้าของเราว่า ติดดินหรือเปล่าตอนนี้ การบำเพ็ญธรรมต้องมองทั้งเท้าและหัวเรา หัวเราชูเด่นเกินไป จะโดนเขาตบหรือเปล่า ต้องมองด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องมองทั้งหัวและเท้าว่าไปเกะกะคนอื่นหรือเปล่า ตัวเราอยู่นี่ มือเราอาจจะพาดอยู่ตรงโน้น คนเขาอาจจะปัดมือเราทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ปากของเราอยู่นี่ แต่เสียงของเราอยู่อีกที่ ต้องมองสักนิดสักหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) จะได้ไม่พลาด บางทีอาจารย์พูดไปๆ บางคนก็บอกว่า อาจารย์ต้องว่าคนนี้ๆ อยู่แน่เลย จริงๆ แล้วอาจารย์ว่าทุกคนนั่นแหละ ถ้าหากจะว่าก็ว่าทุกคน หากจะชมก็ชมทุกคน ไม่ต้องไปมองใคร ไม่ต้องไปคิดเผื่อใคร คิดแค่ตัวเองก็พอ จิตใจจะได้ไม่วอกแวกไปมา จิตใจเหมือนลิงเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องคิดว่าอาจารย์ว่าใคร ให้คิดว่า อาจารย์ว่าศิษย์ทุกคน ดีหรือไม่ (ดี)
วันนี้อาจารย์ต้องรีบมา รีบกลับ เพราะว่าอาจารย์มาช่วงบ่ายแล้ว จริงๆ แล้วอาจารย์ว่าจะไม่มาเหมือนกัน แต่ในที่สุดเห็นศิษย์ของอาจารย์น่ารักๆ หลายคน ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ต้องการยิ้มจากศิษย์ ยิ้มของศิษย์ไม่ต้องยิ้มกว้างๆ มาก ไม่ต้องยิ้มแคบๆ หุบๆ ขอให้เป็นยิ้มที่จริงใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาศิษย์ของอาจารย์ยิ้มให้คนอื่นก็เหมือนกัน ยิ้มให้เขาก็คือ ยิ้ม ไม่ต้องฉีกยิ้มกว้างมากเกินไป ไม่ต้องหุบยิ้มให้แคบเกินไปจนกลายเป็นบึ้ง ดีหรือไม่ (ดี) มีใครต้องการยิ้มที่กว้างมากกว่าปกติไหม ไม่ดี ทุกคนต้องการเรื่องราวที่เป็นปกติ เรื่องราวที่ลึกซึ้ง เรื่องราวที่เป็นจิตใจสื่อถึงจิตใจได้ก็พอแล้ว
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาแผนกจัดทำพระโอวาท) อย่าลืมที่อาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แก้ให้ พยายามที่จะให้ทุกๆ ที่ได้แก้เหมือนๆ กัน อย่าแก้เฉพาะของส่วนกลางไม่ได้ แล้วเวลาที่ทำพระโอวาทข้างล่างให้เขียนว่าพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ไม่ต้องเขียนคำว่าพระอาจารย์ เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มานี้อยากให้คนที่ทำหน้าที่ในแผนกจัดทำพระโอวาทออกไปหางานอย่างอื่นทำ และอาจารย์ก็รู้สึกยินดีที่เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มา แล้วศิษย์ของอาจารย์ได้ถูกเรียกขึ้นไปพูดธรรมะอย่างเฉียบพลัน เพื่อทดสอบตัวเองสักครั้งหนึ่ง วันหนึ่งอาจจะเวียนมาเป็นหน้าที่เราก็ได้ที่ถูกทดสอบอย่างเฉียบพลันใช่หรือไม่ (ใช่) และอาจารย์ยินดีอย่างมากที่เสียงร้องเพลงธรรมะของศิษย์ยิ่งดังกระหึ่ม เพราะว่าในจิตใจนั้นคิดแต่ว่าอยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มาเราจะต้องช่วยกันร้องให้ดังกว่านี้เพื่อให้มีบรรยากาศธรรม อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนมีจิตใจเช่นนี้เสมอๆ เพื่อเพลงธรรมะจะได้กระหึ่ม เพื่อบรรยากาศธรรมจะได้อยู่ในจิตใจของเรา แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มา เราก็จะเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกๆ คน เพียงแต่ขอให้เรามีบรรยากาศธรรมอยู่ในจิตใจ อยู่ในตัวของเรา เราคิดเสียว่าถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มา เราจะช่วยให้งานธรรมะนี้รุดไปข้างหน้าได้ด้วยการที่เราต่างคนต่างมาช่วยกัน อย่าช่วยกันไปทะเลาะกันไป ขอให้ช่วยกันไปสามัคคีกันไปดีหรือไม่ (ดี) ต่างคนต่างคิดจะสละ ให้น้ำใจที่ศิษย์เอามากองไว้ตรงกลางนั้นมากมายพอที่จะใช้ได้ทุกๆ คน อาจารย์สมมติให้กองที่อยู่ข้างหน้าเรานี้ ขอให้ทุกๆ คนสละน้ำใจออกมาคนละหนึ่ง กองที่อยู่ข้างหน้าเราก็พอกพูนๆ คนอื่นอยากจะใช้ก็ได้ใช้ คนอื่นไม่ใช้ก็เก็บไว้ให้คนอื่นใช้ได้ บางทีถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์จำเจกับงานที่ตนเองทำอยู่บ่อยๆ เกิดความชำนาญมากจะเกิดความฮึกเหิมในจิตใจ ทำถูกทำผิดเราก็คิดว่าเราก็แก้ได้ แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายคนที่คอยมองดูว่าเราทำอย่างไร ตอนที่เราฮึกเหิมตอนที่เราลำพองนั้น คนอื่นอาจลำพองตามเรา คิดไปแล้วทำให้เพาะนิสัยแห่งความลำพองเกิดขึ้นในจิตใจของเราได้ ของผู้อื่นก็ได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นเราควรที่จะผลัดเปลี่ยน อาจารย์บรรยายธรรมเราก็ลองไปทำหน้าที่อื่นดูบ้าง หากว่าเราทำหน้าที่ใดๆ ทำไปนานๆ ก็ลองผลัดเปลี่ยนดูบ้าง แต่ผลัดเปลี่ยนในที่นี้ต้องผลัดเปลี่ยนด้วยความให้รู้ อยากถามต่อคนเก่าด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน คนเก่าสอนงานคนใหม่ด้วยความรู้สึกเมตตาอย่างนี้จะทำให้งานไปได้ราบรื่น การเปลี่ยนไปทำงานอื่นๆ การเปลี่ยนบรรยากาศแห่งตนในการทำงาน ทำให้เรามีความรุดหน้ามากยิ่งขึ้นได้ เห็นในสิ่งที่เราไม่ชำนาญ จึงทำให้เราเกิดความอ่อนน้อมเหมือนสมัยเราเข้ามาใหม่ๆ ทีเดียว ถ้าหากว่าคนที่นั่งมาจนถึงตอนนี้ยังเกิดจิตใจที่
เคลือบแคลง ก็ต้องปล่อยให้เคลือบแคลงแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อทุกคนเป็นตัวของตัวเองอาจารย์ก็ยินดี แต่อย่าเป็นตัวของตัวเองที่พาตัวเองนั้นไปย่ำแย่ตกนรกก็พอ
อาจารย์ไม่คาดหวังอะไรในตัวศิษย์มาก แต่ไม่หมดหวังในตัวศิษย์เสียทีเดียว เวลาที่สว่างไสวเทียนไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังมีชีวิตเต็มไปด้วยความสุขและยังมีทางออกแห่งชีวิต ชีวิตไม่ได้ตีบตันเสียทีเดียว ธรรมะจึงไม่เกิดความจำเป็นในชีวิตของศิษย์เลย แต่ศิษย์รู้ไหมว่าเทียนจะมีประโยชน์ในยามมืด อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้เช่นเดียวกันว่าธรรมะก็มีประโยชน์ แม้ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่อับจนเสียทีเดียว แต่ต้องรู้ว่าธรรมะมีประโยชน์ต่อเรา ต้องรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดีและศิษย์จะได้มีโอกาสที่จะปฏิบัติสักวันหนึ่ง เพราะว่าคนเราไม่มีใครดีทุกวัน โชคดีทุกวัน มีความราบรื่นผาสุกทุกวัน ไม่มีใครไม่มีความราบรื่นทุกวัน เพราะฉะนั้น เทียนหรือธรรมะ สักวันหนึ่งจะได้ใช้ ไม่มีใครที่ไม่อับจนเลยในชีวิตนี้ เพราะฉะนั้นธรรมะสักวันหนึ่งจะได้ใช้ เทียนจุดแล้วศิษย์นึกถึงอะไร (ความสว่างที่เริ่มเกิดขึ้น, แสงสว่าง, ประทีปแห่งธรรม, หนทาง, แสงสว่างแห่งธรรมะ, แสงสว่างแห่งความเมตตา) เห็นเทียนนึกถึงอะไร ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีเทียนเล่มหนึ่งในหัวใจอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์อยากจะจุดเทียนเล่มนี้ให้สว่างไหม (อยาก) หลายๆ คนตอบว่าเห็นเทียนแล้วนึกถึงแสงสว่าง เป็นคำตอบที่เหมือนๆ กันในหลายๆ คน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า นึกถึงอะไรหรือ หากเป็นอาจารย์เห็นเทียน อาจารย์จะนึกว่าอาจารย์จะไปช่วยคน นึกถึงว่าเราจะไปช่วยคน ต้องการจะคิดถึงว่าเห็นเทียนแล้วนึกถึง
ผู้อื่น เห็นเทียนแล้วนึกถึงธรรมะ หรือนึกถึงอะไรก็แล้วแต่ อันนี้อาจารย์ไม่ได้พูดไปลึกซึ้ง ไม่มีความหมายอะไรพิเศษ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าธรรมะที่ศิษย์นั่งฟังอยู่ในวันนี้ ศิษย์อาจจะนึกไปหลายๆ อย่าง นึกไปโดยที่ไม่กล้าจะตอบออกมา นึกไปว่าธรรมะนี้คืออะไร แต่ว่าศิษย์นั่งฟังสองวันก็ไม่ใช่ว่าศิษย์จะได้คำตอบทีเดียว อาจารย์อยากจะบอกว่าให้ศิษย์กลับมาศึกษา สองวันไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาของศิษย์ ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ของอาจารย์คิดว่าสองวันนี้เป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่ดี จิตใจของเราจะเปิดกว้างและรับในสิ่งที่ดีเข้าไปและเหลือแต่สิ่งที่ดีไว้ในจิตใจ หากสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดีในจิตใจของเรา ไม่ว่าความไม่ดีหรือกิเลสต่างๆ ความรัก โลภ โกรธ หลงนั้น เราจะเอาแสงเทียนนี้ไปเผาให้เรียบแล้วเหลือไว้แต่ในสิ่งที่ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี) ไฟย่อมเผาไฟด้วยกันเองไม่ได้ ฉะนั้นจงรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์เอาแสงเทียนเข้าไปเผาสิ่งใด หากสิ่งที่ดีก็คงจะเหลือไว้ในใจศิษย์เช่นเดียวกัน สิ่งที่ดีย่อมรวมกับสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีย่อมรวมกับสิ่งที่ไม่ดี จิตใจของเราหากไม่ดีก็ย่อมข้องแวะต่อคนที่ไม่ดี จิตใจของเราหากเป็นคนที่ดีก็ย่อมข้องแวะต่อคนที่ดี เราลองดูลองพิจารณาตัวเอง ทำตัวเองให้ดียิ่งกว่าวันวานดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“ศีลธรรม”)
“ศีลธรรม” แปลว่าอะไร “ศีลธรรม” หมายถึง ความประพฤติที่ชอบ ความประพฤติที่ดีงาม จริงๆ แล้วตอนนี้อาจารย์ยังไม่ค่อยอยากกลับ แต่เห็นว่าเวลานั้นล่วงเลย ท้องของศิษย์ผู้เป็นปุถุชนคงทนไม่ได้ต่อการอด
อาจารย์ขอทิ้งท้าย ขอฝากความหวังให้ศิษย์ทุกๆ คนกลับมาศึกษาบำเพ็ญธรรม มีเวลาว่างให้มานั่งฟังธรรม อย่าไปนั่งฟังเพลง มีเวลาว่างพูดธรรมะ ไม่พูดด่าใคร เมื่อหัวสมองว่างๆ ให้คิดดีเข้าไว้ อย่าไปคิดร้ายกับผู้อื่น เวลาที่ใครติหรือว่าเรา ก็ขอให้เราฟังแล้วกลับมาคิดพิจารณาตัวเอง อาจารย์หวังให้ศิษย์คนเก่าทุกๆ คนนั้น เจริญธรรมในจิตใจมากยิ่งขึ้น บางทีหลังๆ นี้อาจารย์มักจะห่วงศิษย์จนไม่สามารถที่จะเก็บคำพูดไว้ในใจได้ พูดไปมากมาย ยิ่งพูดยิ่งมาก อาจารย์ยิ่งรำคาญตัวเอง แต่หวังว่าสิ่งที่อาจารย์พูดจะไม่เป็นเพียงแค่ลมที่วิ่งผ่านตัว ผ่านหูศิษย์ไปเท่านั้น เวลาที่อาจารย์พูดอาจจะทำให้ศิษย์มีกำลังใจและสามารถเดินหน้าไปได้นิดๆ หน่อยๆ แต่ศิษย์จะรออาจารย์ แล้ววันหนึ่งอาจารย์ไม่ลงมาแล้วศิษย์จะทำอย่างไร เหมือนอย่างวันนี้ อาจารย์คิดว่าจะไม่ลงมาเพื่อจะสอบศิษย์ดู
เคยคิดบ้างไหม ทำไมอาจารย์ถึงได้ห่วงในตัวพวกเจ้าหนักหนา เคยคิดไหมว่าชีวิตของคนเราเป็นชีวิตที่แสนจะสั้นมาก สิบปีผ่านมารวดเร็วไหม (รวดเร็ว) สิบปีที่ผ่านมาเป็นเวลาที่เร็วมาก มีความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ คือ ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ คือ ศิษย์ของอาจารย์ต้องตาย แล้วความสุขหรือทุกข์ที่มีอยู่ในวันนี้ จะมีประโยชน์อะไร ความทุกข์ก็มีไม่เกินห้าวัน เจ็ดวัน เต็มที่ไม่เกินปี ความสุขหรือก็มีอยู่เพียงแค่ห้านาที สิบนาทีไม่เกินนั้น มีมากๆ ก็ไม่เกินห้าวัน เจ็ดวัน ทำไมความทุกข์ถึงยาวกว่า ทำไมคนชั่วถึงอยู่ยั่งยืนยิ่งกว่าคนดี ก็เพราะในใจศิษย์ ศิษย์ยังห้ามไม่ได้ที่ให้ความชั่วเข้าไปแฝงเร้นในจิตใจของศิษย์อยู่เสมอๆ ทุกคนเหมือนกับยอมรับนับถือเป็นส่วนหนึ่งของความไม่ดี ของมารนั้นเสมอๆ แต่จะมีใครสักกี่คนที่มีความดีในจิตใจเสมอๆ และมีความชั่วอยู่นิดหน่อย ส่วนใหญ่จะกลับตาลปัตร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ศิษย์รู้หรือยังว่าทำไมคนชั่วถึงอยู่ยั่งยืนยงยิ่งกว่าคนดี ทำไมความทุกข์ถึงอยู่ยั่งยืนยงยิ่งกว่าความสุข เพราะว่าศิษย์เป็นส่วนหนึ่งของมัน ศิษย์ไม่เคยถอนรากแห่งอวิชชาขึ้นมาให้หมด
สิ่งที่อาจารย์พูดให้ฟัง บางคนก็ฟังเข้าใจบ้าง บางคนก็ฟังไม่เข้าใจ บางคนก็คิดว่าตัวเองทำได้ แต่พอถึงเวลาแล้วก็ไม่ได้ทำ ห้าปีผ่านไป จริงๆ ก็เท่ากับการลงแรงวันเดียวเท่านั้นเอง มิน่าคนที่เป็นผู้น้อยกว่าศิษย์ขึ้นมา เขาถึงได้วิ่งกันลงแรงกว่าศิษย์ ใช่หรือไม่ เพราะว่าศิษย์เป็นพวกเก็บเล็กผสมน้อย แต่คนที่วิ่งมาเขาย่อมวิ่งเร็วกว่าเสมอ อาจารย์พูดเช่นนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์ที่อยู่ข้างหน้าวิ่งเร็วกว่านี้ วิ่งเร็วอาจารย์ไม่ได้อยากได้สถานธรรมใหญ่ๆ ไม่ได้อยากได้คนรับธรรมะมากมาย แต่อาจารย์อยากได้ความก้าวหน้าในจิตใจของศิษย์ที่เป็นจิตใจที่บำเพ็ญดี ขอให้อาจารย์ได้มีเวลา และมีจิตใจได้ไปห่วงผู้อื่นบ้าง อาจารย์มาช่วยเวไนย ไม่ใช่มาช่วยแค่ศิษย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้อาจารย์ได้พบผู้อื่นบ้าง ขอให้ศิษย์ของอาจารย์เอาใจใส่ตนเองและบำเพ็ญตนเอง เจออาจารย์บ่อยแค่ไหน แต่หากว่าไม่เคยทำอะไร อย่างที่อาจารย์พูดเลย ศิษย์จะเจออาจารย์ทำไม อาจารย์จะเจอศิษย์ทำไม
(อาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมเก่า) อายุมากแล้วต้องรีบๆ บำเพ็ญ ถ้ามีเวลาหรือเวลาคนเขาไปตามให้มาสถานธรรม ให้มาฟังธรรม คนแก่อยู่บ้านไม่มีประโยชน์ คนเขามองไม่เห็นค่า แต่มาสถานธรรมแล้ว เราเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้เวลามองโลก โลกยังมีสีสวยงามอยู่ แต่วันหนึ่งเราต้องแก่ อย่าลืมนี่เป็นความจริงของชีวิต บำเพ็ญธรรม ฟังธรรมะให้มากๆ มีเวลาให้มาศึกษาธรรมเพิ่ม ฟังธรรมะแล้วรู้สึกดีไหม (ดี) ใช้ความรู้ของเราที่มีอยู่ให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ อย่ามัวแต่ไปติดกับที่เราเคยเห็น เคยผ่านมา แล้วธรรมะจะดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ความทุกข์วันนี้ให้กับอาจารย์มา
มองไปรอบๆ เวลาคนดื้ออยู่กับคนดื้อโลกก็อยู่ไม่สุข ธรรมะก็ไม่สงบ ช่วยงานอาจารย์อย่าลืมช่วยจิตใจตัวเอง ทำจิตใจของเราให้มีสุขภาพที่ดี
วันนี้ที่ทองผาภูมิ มีหลายคนที่มาจากหลายที่แถวๆ นี้ อาจารย์หวังว่าวันหลังจะมาศึกษาธรรมะเพิ่ม บำเพ็ญให้ดีๆ อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนมีใจให้กับอาจารย์ อย่าลืมอีกสักครู่ศิษย์ต้องไปกินข้าว กินเองอิ่มเอง บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญเองบรรลุเองนะศิษย์นะ ขอให้อาจารย์ได้เห็นหน้าศิษย์บ่อยๆ อย่าให้เห็นแต่ในฝันนะศิษย์นะ ลาก่อน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ศีลธรรม”
คนหนึ่งงดงามที่ใจ โลกชวนอย่าไปกลายคด
อย่าปองเป็นคนพูดปด น้ำลดตอผุดความจริง
รู้ค่าสิ่งที่ตนมี ใดที่ตรงหน้าดียิ่ง
บำเพ็ญเลือกเก็บเลือกทิ้ง แต่ไม่ทิ้งกลางคันไป่
อ่านต่อ...
PDF 2545-01-05-จือเจวี้ย #18.pdf
วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อันหนทางย่อมจะพิสูจน์ม้า กาลเวลาย่อมจะพิสูจน์คน
รู้แล้วเร่งม้าลงแส้บำเพ็ญตน พิสูจน์คนด้วยผ่านอุปสรรคเทอญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจือเจวี๋ย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
น้อยคนตื่นจากฝันโดยไร้คนปลุก หนึ่งชีวิตกี่ครั้งลุกจากกลุ้มได้
ใส่ใจแต่เรื่องไม่ควรจะใส่ใจ ทางใกล้ไกลตามองพร่าไม่ชัดเจน
ยืนอยู่นี่แต่ใจคิดไปโน่น อายตนะเป็นโจรปล้นช่วงชิง
ทนไม่ได้กับเสียงที่ใครติติง หมายจะยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว
ในวันนี้มาประชุมธรรมศักดิ์สิทธิ์ ขอให้คิดด้วยปัญญาพาตนตื่น
พาจิตใจที่เคยหลับให้กลับตื่น แม้ค่ำคืนใจสาดแสงเหนือแสงใด
อันว่าม้าสำคัญที่กำลังวังชา อันคนหนาสำคัญที่ความมุ่งมั่น
จงศึกษาตั้งใจทั้งสองวัน อย่าพัวพันจิตกังขาให้วกวน
น้องต่างมีบุญร่วมกับพุทธะ จงชนะกิเลสที่พาสับสน
อย่าได้ให้เสียทีเกิดเป็นคน แม้อับจนไม่จนใจบำเพ็ญจริง
ศิษย์พี่รับพระบัญชามาคุมชั้น หวังน้องนั้นรักษาระเบียบแห่งพุทธะ
มีโอกาสสละได้ให้สละ อย่าปะทะด้วยอารมณ์ตายทั้งเป็น
หวังศิษย์น้องอยู่ครบทั้งสองวัน และขยันพิจารณามองตามจริง
อย่าได้ให้จิตใจคอยประวิง อยู่ไม่นิ่งฟังธรรมะไม่เข้าใจ
ในชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย จงแปรร้ายกลายดีด้วยจิตงดงาม
อย่าได้ให้จิตวอกแวกเข้าคุกคาม พยายามตามกำลังที่ตนมี
เกิดแก่ตายไม่มีใครจะหนีพ้น คืนเบื้องบนต้องบำเพ็ญจึงไปถึง
ทำสิ่งใดขอให้สามคำนึง ชีวิตดึงปัญญานำด้วยคุณธรรม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจทำให้ดีที่สุด
ขอให้ค้นหาจิตใจอันวิสุทธิ์ ขอให้ดุจน้ำใสบัวงามผลิ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระนาจา
เปิดดวงใจของตนเองด้วยศึกษา นำธรรมมาขัดเกลาบ่มนิสัย
รู้ย้อนมองรู้ลดละสิ่งไม่ดีให้ออกไป และหมั่นเพียรชิดใกล้เพียรหาธรรม
เราคือ
ศิษย์พี่พระนาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องที่น่ารักทุกคน สบายดีไหม
มาก่อนหลังไม่สู้มาพอดี ควบม้าเปลี่ยนสู่วิถีความสำเร็จ
ชีวิตจงให้ใหม่ดุจดั่งเช็ด ปีพิเศษมาเปลี่ยนดีกว่าเดิม
ราบรื่นแจ้งราบไร้อุปสรรคไม่ โดยพื้นม้าดีได้ละฮึกเหิม
โดยพื้นคนต้องอภัยอ่อนน้อมเพิ่ม บำเพ็ญเร็วฝนฝึกเติมเดิมทบทวน
มีโอกาสแต่อาจไม่สะดวกใช้ คนว่องไวอีกบวกปัญญาด่วน
ลงแรงและอดกลั้นสิ่งยั่วยวน ใจไม่แข็งทานจึงรวนมโนธรรม
ธรรมะดีคนเป็นต้องรู้มี จากไม่มีฝึกตนงามคุณธรรม
กุศลทวีเท่าตัวหรือว่ากรรม เป็นม้ามืดแซงนำอดีตตน
ใช้ความสำเร็จกลั่นคนต้องระวัง บ้างพยายามด้วยเหนี่ยวรั้งเฉพาะผล
ฉลาดแต่คร้านคุกคามเรือพายวน ความสำเร็จกลัวคนมุ่งบริสุทธิ์จริง
แบกหามเรื่องสารพัดไว้ในใจ จงอย่าพ่ายใช้สติ พิศุทธิ์ นิ่ง
มารู้จักตนเองที่แท้จริง ยามนี้ขึ้นฝั่งทิ้งใจวุ่นวาย
ของไม่เก่าคนไม่ใหม่พิจารณา ปัญหาใช้ปัญญาแปรยากกลายง่าย
ยามเมื่อพลั้งมีแต่ต้องแก้ไข เป็นคนใหม่ของก็เก่าธรรมดา
ฮิ ฮิ หยุด
พิศุทธิ์ ความผ่องใส, ความงาม, ความดี.
ความสะอาดบริสุทธิ์, ความถูกต้อง
พระโอวาทพระนาจา
มาฟังธรรมะหรือมาคุย เมื่อสักครู่คุยหรือฟัง (ฟัง) ศิษย์พี่เห็นคุยกันใหญ่ อ้าปากได้หรือเปล่า ยิ้มห้ามเห็นฟันได้หรือเปล่า รู้สึกควบคุมตัวเองยากไหม เอาแค่ปากอย่างเดียว ควบคุมไม่ให้พูด พูดโดยไม่ให้เห็นฟันยากไหม ยากใช่หรือไม่
มีคำกล่าวว่า “หากเราสามารถควบคุมตัวเองได้ ก็สามารถควบคุมคนทั้งโลกและสรรพสิ่งในโลกได้” เคยได้ยินคำนี้ไหม เหมือนกับคำที่ว่า “เราสามารถดัดต้นไม้และปลูกต้นไม้ให้ขึ้นด้วยมือของเราเองได้” ทำไมเราไม่ปลูกคนๆ หนึ่งหรือชีวิตๆ หนึ่งให้ขึ้นด้วยมือเรา ทำได้หรือไม่
ใครเคยปลูกต้นไม้ยกมือขึ้น ปลูกโตหรือว่าตาย (โต) ถ้ายังโตยกมือขึ้น จนถึงตอนนี้โตหรือตาย ใครยังโตอยู่ยกมือขึ้น ใครโตแล้วไม่มีแมลงกินเลย ยกมือขึ้น โตแล้วยังให้ออกดอกออกผลยกมือขึ้น และไม่มีแมลงด้วยนะ มีไหม
แปลว่าทุกท่านก็เคยปลูกต้นไม้ให้โตได้ด้วยมือของตัวเอง ใช่หรือไม่ แปลว่าเราปลูกชีวิตขึ้นมาด้วยหนึ่งชีวิต แต่ว่าเราต้องเอาหนึ่งชีวิตไปลงแรงด้วย หนึ่งชีวิตถึงจะเกิดขึ้นได้ และการลงแรงนั้นต้องเกิดด้วยความเสียสละ เฉกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เราสามารถหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตได้ เราสามารถควบคุมได้ ใช่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้วิธีใดควบคุม ทำอย่างไรถึงให้โต จริงๆ แล้วต้องอยู่ที่ความตั้งใจ ความพร้อม การตัดสินใจก่อนการทำสิ่งใดต้องเกิดจากการศึกษาให้เข้าใจก่อน จะปลูกต้นไม้อย่างไร จะเลี้ยงอย่างไร ต้องมีความรู้มาบ้าง รู้แล้วจึงตัดสินใจใช่หรือไม่ว่าจะปลูกหรือไม่ปลูก เลี้ยงหรือไม่เลี้ยง
วันนี้ก็เหมือนกัน วันนี้มาฟังธรรมะสิ่งแรกที่จะทำให้เราตัดสินใจบำเพ็ญคือการศึกษา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านต้องศึกษาก่อน ถ้าไม่ศึกษาท่านจะบำเพ็ญไหม จะสนใจไหม แม้จะมีคนประกาศโฆษณาว่าธรรมะดี แต่ถ้าหูไม่ฟัง ตาไม่มอง ใจไม่รับ เอาหรือไม่ ก็ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่
เรื่องราวในโลกนี้ถึงแม้จะขึ้นอยู่กับมือเรา แต่ก็ไม่ใช่มือเราอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจโดยผ่านการศึกษาและความรู้มาก่อน ฉะนั้นวันนี้ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาในวันนี้ด้วย เพราะวันนี้เป็นพื้นฐานของการตัดสินใจว่าท่านจะบำเพ็ญธรรมหรือไม่บำเพ็ญธรรม
ยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม โหดหน่อยทนได้หรือเปล่า อย่างไรก็ถือว่าศิษย์พี่รักและเอ็นดู ถึงจะรุนแรงไปหน่อยก็ให้อภัยได้ไหม ยอมให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคี่ยวกรำตัดแต่งให้จิตใจสะอาดสดใสไหม
ยืนกับศิษย์พี่สักสามชั่วโมงได้ไหม ยืนขาเดียวได้ไหม ยืนขาเดียวแล้วกางแขนด้วยไหวไหม ยืนให้มั่นห้ามหวั่นไหว ห้ามเกาะสิ่งใด ทำจิตให้นิ่ง ถ้าจิตเรานิ่งแม้จะยืนขาเดียวก็จะยืนได้นาน อย่าเอาจิตใจไปวางไว้ที่ขา ถ้าเอาใจไปวางไว้ที่ขา เอาใจไปพะวงพันผูกกับขา เราก็จะเริ่มรู้สึกเมื่อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นพูดตาม)
“มีขาเหมือนไม่มีขา มีใจเหมือนไม่รู้สึก มีร่างกายเหมือนไม่มีตัวตน มีตัวตนเหมือนไม่มีใจ”
เป็นอย่างไร เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) เรานั้นโชคดีมีสองขาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนที่จะเสียไปหนึ่งขาจะต้องรักษาสองขานี้ให้ดี เหมือนกับชีวิตของคนเรานั้น เราไม่รู้ว่าวันใดเราจะสูญเสียสิ่งใดไปฉะนั้นต้องรู้จักเตรียมตัวพร้อมที่จะสูญเสียไว้แต่เนิ่นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตั้งแต่ศิษย์พี่มา ศิษย์น้องรู้ไหมว่าศิษย์พี่จะแกล้งให้ไม่มีขาข้างหนึ่ง รู้ไหม (ไม่รู้) ชีวิตก็เหมือนกัน ศิษย์น้องออกไปข้างนอก ศิษย์น้องรู้ไหมว่าต่อไปศิษย์น้องจะมีขาครบหรือไม่ มีร่างกายครบหรือเปล่า มีใจที่ครบเต็มสมบูรณ์หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปลูกต้นไม้กับเลี้ยงสัตว์อันไหนยากกว่ากัน (เลี้ยงสัตว์) เลี้ยงสัตว์กับเลี้ยงคนอันไหนยากกว่ากัน (เลี้ยงคน) ทำไมคนยากกว่า เพราะคนพูดมาก สัตว์ไม่พูด ตีก็ไม่ร้อง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ส่งไปฆ่าก็ไม่เป็นอย่างไร (ก็ไม่ร้อง) เลยขยันส่งเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนที่ขยันส่งวัวไปฆ่าก็เหมือนยมทูตเอาคนไปลงนรก เมื่อไรที่จูงวัวไปให้เขาฆ่า เมื่อนั้นท่านก็เป็นยมทูต อยากเป็นยมทูตบ่อยๆ ไหม (ไม่) ก็อย่าจูงมันไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ ไม่ใช่บอกเป็นยมทูตครึ่งทางแล้วก็ส่งต่ออีก ใช่หรือเปล่า
เวลาศิษย์น้องเลี้ยงวัวจะให้มันเดินทำอย่างไร (จูง) ต้องมีเชือกมาสนตะพายมันก่อนใช่หรือไม่ แล้วค่อยดึงมัน ถ้ามันไม่เดินทำอย่างไร การเลี้ยงวัวนั้นเราก็ต้องรู้จักวิธีที่จะควบคุมใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมศิษย์พี่บอกตอนต้นว่า มนุษย์เรานั้นหากรู้จักควบคุมตัวเองได้ก็จะสามารถควบคุมสรรพสิ่งในโลกนี้ได้ เพราะว่าใจของตัวศิษย์น้องเอง หากเพียงนึกอยากได้สิ่งหนึ่งเราก็จะสามารถวิ่งไปหาสิ่งนั้นมาให้ได้ตามที่ใจต้องการ เหมือนเวลาเรารักใครสักคน อยากจะให้เขาเป็นในสิ่งที่เราเป็น ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์น้องจะควบคุมตัวเองอย่างไร แล้วไปใช้กำลังของตัวเองควบคุมเขาอีกทีหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนถึงแม้จะควบคุมสัตว์ได้ เพาะเลี้ยงพืชพันธุ์ได้ แต่อย่าลืมว่าต้องรู้จักควบคุมใจตัวเองให้เป็นได้ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาจะเรียกว่า ชำนาญแต่เรื่องภายนอก แต่ไม่ชำนาญในการควบคุมหรือรักษาตัวเอง อย่าเป็นคนที่ถนัดนักในการชี้นิ้ว ถนัดนักในการมองออกไปเห็นคนอื่น แต่ไม่ถนัดในการย้อนมองและเห็นข้อผิดพลาดของตนเอง
ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นในการมีชีวิตอยู่ เรารู้จักที่จะเริ่มต้นชีวิตของตัวเอง เวลาที่จะก้าวเดินไป ทำสิ่งใดก็ย่อมที่จะอยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องให้ใครมาตี ไม่ต้องให้ใครมาสนตะพายดึงเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยไหมเวลาอยู่ในโลกนี้ บางครั้งเราอยากเป็นตัวของตัวเองแต่บางครั้งเราควบคุมตัวเองไม่เป็น เราไม่รู้จักตัวเอง เลยปล่อยให้ตัวเองลื่นไหลไปกับโลกีย์ โลกอยากใส่เสื้อสีแดง เราก็แดงตามเขา โลกอยากใส่เสื้อสั้นๆ เล็กๆ เห็นสะดือนิดหน่อย เราก็ใส่ตามเขา คนเขาอยากใส่ทองเส้นใหญ่เราก็ใหญ่ตามเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนเช่นนี้เรียกว่า คนที่เป็นตัวของตัวเองไหม (ไม่ใช่) แต่เป็นคนที่ปล่อยใจปล่อยตัวไปตามโลก เมื่อไรที่เราปล่อยใจปล่อยตัวไปตามโลก เมื่อนั้นแหละเราก็ง่ายที่จะถูกพัดพาและทำให้เจ็บและก็ทุกข์ แต่ถ้าไม่ว่าโลกจะพัดพามาในเรื่องการแต่งตัว ในเรื่องคำพูดคำจา ในเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เรารู้จักควบคุมตัวเอง เข้าใจตัวเอง รู้จักพอดีกับตัวเอง และรู้จักใช้ตัวเองได้ถูกต้อง เราก็จะไม่ลื่นไหลไปกับกระแสของโลก จะไม่ต้องวิ่งตามคนอื่น ไม่ต้องวิ่งตามสมัย ไม่ต้องเหนื่อยวุ่นวายอย่างที่ไม่น่าจะเหนื่อย และไม่ต้องถูกใครเรียกว่ามีชีวิตแล้วเป็นทาสของชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราสามารถมีชีวิตแล้วเป็นอิสระ เขาอยากแดงก็แดงไปไม่เป็นไร เราขาวเด่นดี ใช่ไหม (ใช่) เขาแดงหมด เราขาวสวยดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) กล้าทำไหม (กล้า) คนในโลกกินเนื้อสัตว์หมดเลย ฉันกินเจ เอาไหม (เอา)
ทุกก้าวที่เราก้าวเป็นก้าวที่เข้าใจตัวเอง ไม่เป็นทาสของสิ่งใด แต่เราเป็นนายเหนือตัวเองและเป็นนายเหนือชีวิตทั้งมวล ดีไหม (ดี) เขาเรียกว่าอิสระที่แท้จริงของการมีชีวิต แต่ไม่ใช่มีชีวิตอยู่แล้วห้อยด้วยโซ่ ล่ามด้วยเครื่องติดต่อสื่อสาร พอได้ยินก็วิ่งไปรับแทบไม่ทันใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะบางครั้งก็อดไม่ได้ มีเพราะจำเป็น เพราะต้องใช้ธุระ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเข้าข้างมากเราก็ตกเป็นทาสของเขาและยินดีรับใช้เครื่องมือถือเครื่องนี้ แถมปกป้องเหมือนอีกาหวงไข่ด้วยใช่ไหม (ใช่) เราเหนื่อยกับการมีเสื้อสิบตัวกี่ครั้ง มากกว่าสิบอีกนะเพราะหนึ่งตัวบางทีหนึ่งอยากแล้วได้ทันทีเลยไหม (ไม่) หนึ่งอยากแล้วบางทีอีกสิบอยากกว่าจะได้หนึ่งตัว ใช่ไหม (ใช่) สมมติว่าเสื้อตัวนี้ราคาหนึ่งพันบาท ขอแม่ได้หนึ่งร้อยแล้วต้องขอใครอีก (ญาติพี่น้อง) บางทีไม่ขออย่างเดียวแถมไปทำร้ายเบียดบังคนอื่นอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐและสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์น้อยที่สุดนั้นก็คือ ลดความอยาก อย่าลื่นไหลไปตามกระแส แล้วเราจะทุกข์น้อยมาหนึ่งก้าว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเมื่อไรที่เราลื่นไหลไปตามกระแส เขาทาคิ้วโก่งๆ เราก็ต้องไปกรีดคิ้วแล้วทำโก่งๆ ตอนนี้เขาชอบผมตั้งๆ เราก็ไปซื้อกระปุกเจลมา จากที่แต่ก่อนไม่ต้องซื้อก็ต้องซื้อ แล้วก็หมั่นตั้งๆ ยิ่งตั้งมากเท่าไรยิ่งรับฝุ่นได้มากขึ้น จากที่สระผมอาทิตย์ละหนึ่งครั้งกลายเป็นต้องสระอาทิตย์ละนับไม่ถ้วนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) หาเรื่องเหนื่อยไหม (เหนื่อย) หาเรื่องเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนเรามีทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วทำไมเราจะต้องทุกข์เพิ่มอีก ทำไมจะต้องหาความทุกข์ใส่ตัวเองอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ใส่ทองเส้นหนึ่งสุขกว่าคนไม่มีทองเป็นไหนๆ จริงหรือเปล่า(ไม่จริง) แล้วใส่ทองสิบเส้นกังวลยิ่งกว่าทองหนึ่งเส้นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วชีวิตทั้งแขนใส่กี่เส้น (เส้นเดียวก็พอ) ศิษย์พี่ว่าไม่มีสักเส้นก็ดีนะ เพราะว่าบางทีมือกับแขนก็ไม่อยู่กับเราไปตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่) ใส่เส้นเดียวไม่แน่มืออาจจะหนีแขนไป จริงหรือเปล่า (จริง) คิดให้ดีๆ นะอย่ามีอะไรมาล่อตาล่อใจคนมาก บางครั้งความอยากของเราหนึ่งอยาก อาจทำให้คนอื่นมีหนึ่งอยากตามมาด้วยก็ได้ หรืออาจจะทำให้คนอื่นมีสิบอยากตามมาก็ได้ บางครั้งเราคิดว่าเราสวย เรารวย เราหล่อ ไม่เดือดร้อนใครหรอก แต่ไม่แน่หรอกท่านสวย ท่านหล่อ คนอื่นเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน) เดือดร้อนทางไหน ทางตากับทางใจ ใช่ไหม (ใช่) ตาเริ่มอิจฉา ใจเริ่มอยากได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่ค่อยรู้จักควบคุมตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เห็นอะไรอยากได้ เห็นอะไรดี แล้วเป็นอย่างไร ทุกข์ที่จะต้องวิ่งไปให้ได้ เอาให้เหมือนเขา ทั้งที่จริงๆ หุ่นให้ไหม (ไม่ให้) เงินในกระเป๋าให้ไหม (ไม่ให้) บางครั้งต้องคิดให้ดีๆ นะ อย่าลืมความเป็นตัวของตัวเองไป เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งจะเป็นต้นไม้ที่มีค่าก็เลยยอมให้คนตัดทิ้ง พอตัดทิ้งเสร็จก็ต้องแล่ออกจากร่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) จากที่อยู่กับดินธรรมดาก็ต้องทิ้งรากของตัวเองไป ทิ้งรากเสร็จก็เลื่อย เลื่อยเสร็จแล้วก็ตกแต่ง จึงกลายมาเป็นเก้าอี้อย่างนี้ สวยไหม (สวย) แล้วมีชีวิตไหม (ไม่มี) จะเอาแบบนี้หรือจะเอาต้นไม้แบบที่พลิ้วไหวไปข้างนอก เอาแบบไหน (พลิ้วไหว) ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องเป็นอย่างนี้เป็นแถวเลย ยอมทิ้งจิตใจของตัวเองที่ดีๆ เพื่อที่จะให้ตัวเองสวยขึ้นมากกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ยอมทิ้งความเป็นเพื่อนเพื่อให้ตัวเองรวยกว่าเขาขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่) ยอมเป็นลูกที่เถียงพ่อแม่ฉอดๆ เพื่อให้ตัวเองน่ารักขึ้นมานิดหนึ่งในสายตาหนุ่มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) จริงๆ แล้วไม่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์น้องจะก้าวให้ตัวเองเปลี่ยนไปนั้น ขอให้คิดและก็ย้อนมองให้ดีว่าเราทิ้งรากฐานแห่งความเป็นคนไปหรือเปล่า เราทิ้งคุณธรรมดีๆ ในใจเราหรือเปล่า แล้วเราจะมีชีวิตทุกก้าวอย่างมีคุณค่า และเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของตัวเองและไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใดๆ
ฟังตอนต้นเข้าใจหรือยัง ได้รู้วิธีลดทุกข์โดยการไม่เพิ่มความอยาก ตอนนี้พอดีหรือยัง พอดีแล้วใช่ไหมจะไม่ซื้อเสื้อซื้อทองอีกใช่หรือไม่ จะไม่วิ่งไปตามกระแสโลกอีกใช่หรือไม่ แปลว่าศิษย์พี่สอนให้เป็นคนเชยๆ หรือเปล่า (สอนให้เป็นคนดี) ศิษย์พี่สอนให้รู้ว่าลดความทุกข์ที่มันเกินตัว ตามสมัยอาจจะตามได้ แต่ไม่เกินตัว ไม่ตัดซึ่งความเป็นคนทิ้ง ยังทำผมตั้งได้ ยังใส่เสื้อตัวเล็กๆ ได้ ยังมีโทรศัพท์มือถือได้ แต่นั่นต้องไม่ตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆ และสิ่งต่างๆ นั้นจะไม่มาเกี่ยวพันกับใจศิษย์น้องให้เป็นทุกข์ได้ ถ้ามีแล้วทำให้ใจศิษย์น้องเป็นทุกข์ ศิษย์พี่ควรสนับสนุนหรือไม่ อะไรก็ตามที่มีแล้วทุกข์มากขึ้น ก็จงพยายามตัดทิ้ง เข้าใจไหม ไม่ใช่ว่าให้กลายเป็นคนเชย แต่งตัวไม่เป็น ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งที่ตัวเองได้มา และไม่ทำให้สิ่งที่ตัวเองไขว่คว้ามาเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตของตัวเอง
เรามาคุยกันเรื่องต่อไปดีไหม (ดี) เรื่องต่อไปก็ต้องมีการออกกำลังกายนิดหน่อย เมื่อสักครู่เราพูดถึงเรื่องการควบคุมตัวเองใช่หรือไม่ เราลองมาฝึกภาคปฏิบัติ เมื่อสักครู่ได้ภาคทฤษฎี คราวนี้จะดูว่าภาคปฏิบัติศิษย์น้องจะทำได้ดีเหมือนภาคทฤษฎีไหม เอาเป็นว่า ใช้การปรบมือและซอยเท้าสองอย่างนี้ได้นะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งดีให้ปรบมือเสียงดัง ต้องลงแรงกายและใจทำให้เต็มที่ สิ่งใดที่เป็นสิ่งไม่ดีก็พยายามปรบมือให้เบาที่สุดจนไม่มีเสียงได้ไหม
“โทรศัพท์” อยู่ที่ว่าเราใช้แบบไหน ใช้ตามญาติธรรมมาไหว้พระ หรือว่าใช้นินทาคน คนนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ โทรเป็นชั่วโมงก็ไม่วาง โทรศัพท์มีทั้งดีและไม่ดี
“กินเนื้อสัตว์” เป็นอย่างไร ดีไหม (ไม่ดี) มีทั้งดีและไม่ดีใช่หรือไม่ แต่ทางที่ดี ไม่กินดีกว่า จะทำอย่างไรได้ เคยชินกินมาตั้งหลายปีแล้ว จะให้ลดทันทีก็คงทำยากใช่หรือเปล่า ค่อยๆ เขี่ยออกก็แล้วกันนะ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่โลภมาก ไม่น้อยใจ ไม่ด่าคน ชอบแกล้งคน ก็แปลว่าถ้าปฏิบัติจากสี่ได้แค่สองก็แล้วกัน ยังมีที่ผิดอยู่ใช่หรือไม่ ศิษย์น้องต้องไปใช้เองและต้องไปหยั่งเอง จะเอาอะไรมาหยั่งว่าจะทำดีหรือไม่ทำดีเอาอะไรช่วยหยั่งช่วยกั้นใจเรา ควบคุมกายควบคุมใจเราดี ไม่ให้ก้าวถลำไปเป็นทาสในสิ่งที่ไม่น่าเป็น ก้าวถลำไปในสิ่งที่ไม่น่าทุกข์ เอาอะไรมากั้นดีเอาอะไรมาปกป้องดี ใช้สติปัญญาที่ตั้งมั่นในการบำเพ็ญธรรมนะ (เอาจิตใจ ปัญญา สติ ความดี ความอดทน มุ่งมั่น พยายาม) ความเป็นพุทธะหรือความมีปัญญาอย่าได้ดูแต่ภายนอกใช่หรือเปล่า (ใช่) บางทีมือนี้เราก็สามารถจะควบคุมตัวเองได้ มือที่ชอบไปหยิกทำร้ายคนอื่นเราก็เก็บเสียใช่หรือเปล่า (ใช่) นอกจากมือแล้วอะไรอีกรู้หรือเปล่า (ใช้สมอง) แล้วถ้าสมองนี้เกิดต้องเปลี่ยนขึ้นมาท่านจะใช้อะไร (ไม่มีสมองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้) ไม่มีสมองเราสามารถควบคุมได้ (เกิดจากใจ) ใช่ไหม จริงๆ แล้วอย่าคิดว่าสมองควบคุมใจแต่จริงๆ แล้วใจต่างหากที่เป็นตัวสั่งการทั้งหมด ถ้าใจไม่มองไม่สนแม้ตาจะเปิดก็ไม่เห็น ท่านเคยเป็นไหม อารมณ์หม่นหมอง ใครพูดอะไรก็เหมือนไม่ได้ยิน แต่สมองก็สั่งการ เคยไหม (เคย) ถ้าอย่างนั้นใจสำคัญสุด มีอะไรอีกที่ใช้ควบคุมตัวเรา (ความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา) นั่นแหละเรียกว่า มีสติเท่าทัน ใช่หรือไม่ (ใช่) มีสติเท่าทันทุกขณะ ใครจำได้บ้างว่าตอนออกจากประตูบ้านก้าวซ้ายก่อนหรือก้าวขวาก่อน วันนี้กินข้าวกับอะไรจำได้ไหม ต้องมีคนจำไม่ได้แน่เลย (จิตใต้สำนึก) จิตใต้สำนึกหรือเสียงเรียกที่อยู่ภายใน เคยไหมว่าบางครั้งศิษย์น้องจะไปทำไม่ดี แล้วใจข้างในร้องบอกว่าอย่าทำ มันผิด เคยไหม (เคย) จงฟังเสียงนั้นมากๆ นะแล้วเราจะไม่ทำผิด มีอีกไหมศิษย์พี่บอกว่าใช้มือก็ได้ ยังใช้อะไรได้อีกรู้ไหม (ศีล สมาธิและปัญญา) นั่นก็คือถ้าตัวศิษย์น้องเองไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง ถ้าจิตภายในเราสงบ ความสงบจะทำให้เราไม่ลื่นไหลและหวั่นไหวง่าย แต่ถ้าเกิดจิตเราฟุ้งซ่านแตกแยกเป็นสองสาม ความวุ่นวายนี่แหละที่ทำให้เราง่ายที่จะพลัดพรากไปตามความปรวนแปรของโลก ฉะนั้นถึงแม้ว่าศิษย์น้องจะมีสติ มีปัญญา แต่สำคัญก็คือมีความนิ่งและเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเกิดว่าใจแตกเป็นสองเป็นสามเราย่อมยากที่จะควบคุม ถ้าใจมีแค่หนึ่งเดียวเวลาไปไหนเรามีความนิ่งอยู่ภายใน มีความสงบมีธรรมะเป็นฐานคอยควบคุมใจเราไว้ เราก็ไม่ง่ายที่จะลื่นไหลไปตามกระแส ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะมีมือมีแขนขาก็ดูไม่เกะกะ สามารถควบคุมแขนขา ควบคุมกายใจให้เป็นไปได้อย่างงดงาม แต่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ บางครั้งแรงจูงใจมันยั่วยวนเหลือเกินใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์น้องเพิ่งเริ่มต้นง่ายๆ ก็คือ อะไรที่มันสวยก็ปิดลงไปบ้าง ใช่ไหม (ใช่) เสียงอะไรที่มันเพราะๆ ก็อุดหูเสียบ้าง ปากที่ขยันชอบเห็นแล้วพูด ต้องบอกกับตนเองว่าอดใจไว้ใช่หรือไม่ (ใช่) เริ่มต้นอย่างนี้ก่อนแล้วพอก้าวได้มั่นคงแล้ว แม้ตาจะลืมอยู่ แต่อะไรที่ไม่อยากเห็นตาก็จะบอกว่าอย่าไปมองเอง
ฉะนั้นอำนาจของจิตใจนั้นเป็นอำนาจที่เข้มแข็งสามารถทำให้ศิษย์น้องตาดูหูฟังปากขยับได้ถูกต้องด้วยใจที่ฝึกมาอย่างดีแล้ว ฉะนั้นต้องพยายามทำใจนี้ให้เข้มแข็ง ใจของศิษย์น้องสามารถเอาชนะทุกๆ สิ่งได้ แม้กระทั่งตัวเองก็เอาชนะได้ แล้วสามารถเอาชนะกิเลสต่างๆ จนกระทั่งถึงขั้นบรรลุการเป็นพุทธะได้ด้วยใจที่เข้มแข็งนี่แหละ แต่ใจนี้ต้องมีธรรมะเป็นพื้นฐานมีความมุ่งมั่น อดทนและพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ใจนี้จะเอาชนะทุกอย่างได้ ทำได้ไหม (ได้) ต้องพยายามทำให้ได้เพราะมีคำกล่าวบอกว่า “สัตว์ที่ฝึกมาดีแล้วก็เรียกว่า สัตว์อาชาไนย แต่ถ้ามนุษย์ฝึกรู้จักควบคุมตัวเองได้ดีแล้วนี่แหละเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ” ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนลืมคำนี้ไปหรือเปล่าว่าเราก็คือ คนที่ประเสริฐแต่เรายิ่งมีชีวิตเรายิ่งห่างความประเสริฐออกไปทุกขณะ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งแก่งแย่งยิ่งเอาเปรียบ ยิ่งรัก โลภ โกรธ หลง ทวีมากขึ้น แต่อย่าลืมนะว่าหากเมื่อไรศิษย์น้องแม้จะมีสิ่งนี้ แต่ถ้ารู้จักควบคุมให้ดี ไม่ให้มีมากเกิน ไม่ให้ทำร้ายใครได้ ศิษย์น้องก็จะกลับมายืนเป็นคนที่ประเสริฐได้ แล้วศิษย์น้องว่า โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ศิษย์พี่บอกว่าจริงๆ แล้ว รัก โลภ โกรธ หลงก็ดีนะ แต่คนที่เอาไปใช้ไม่ได้เรื่อง จริงไหม (จริง) รัก โลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม (ไม่มี) แต่พอไปอยู่กับศิษย์น้องทำไมออกมาเป็นตัวตนเต็มไปหมด โลภ โกรธ หลง จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ดีแต่คนใช้นั้นใช้ผิด ใช้แล้วไม่รู้จักควบคุม ใช้แล้วไม่รู้จักระงับอารมณ์ใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าเกิดเป็นอบายมุขล่ะ ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) พอคนเอาไปใช้แล้วเป็นอย่างไร เป็นคนไม่ดี จริงๆ แล้วอบายมุขก็มีดีเหมือนกันนะ ทำให้เราเห็นว่าคนติดนั้นเป็นคนไม่ดี เหมือนที่ศิษย์พี่บอกกับศิษย์น้องว่า สิ่งที่ไม่ดีแท้จริงแล้วมีดีอยู่ เหมือนศิษย์น้องว่าคนอื่นที่เป็นคนเลว จริงๆ แล้วเขาก็มีดีอยู่เหมือนกัน มีดีตรงไหนล่ะ ตรงที่ยิ่งเขาเลวเท่าไรเรายิ่งดีเท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) จริงๆ แล้วเราไม่มีอะไรเลยแต่ยิ่งเขาเลวมากเท่าไร ยิ่งมาอยู่ใกล้เรา เรายิ่งดีเหมือนนางฟ้า ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอบายมุข รัก โลภ โกรธ หลง เอามาอยู่ใกล้ๆ ดีไหม (ไม่ดี) เอามาอยู่ใกล้ๆ ศิษย์น้องเคยไหมที่จะมองอย่างเดียว เดี๋ยวก็ลูบ สักพักหนึ่งหมุน สักพักหนึ่งชิมหน่อยนะ ใช่ไหม (ใช่) จากตอนแรกเหล้าอยู่ข้างนอก สักพักเหล้ามาอยู่ในตัว สักพักเรากลายเป็นเหล้า ใช่ไหม แล้วคนเมาหรือเหล้าเมา (คนเมา) เหมือนกันพอศิษย์น้องมีรักโลภโกรธหลง รักโลภโกรธหลงเมาหรือศิษย์น้องเมา ศิษย์น้องเมาในรักโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมองสิ่งใดต้องมองให้ดี แล้วจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลก็ต้องมองให้ออก ไม่ใช่บอกว่าไม่เป็นไร ก็เหมือนคนไม่ดีเอามาอยู่ใกล้ๆ ก็เผลอไปติดเขาโดยไม่รู้ตัว เหมือนปลาเน่ายิ่งอยู่ใกล้แล้วเป็นอย่างไร (เหม็น) ดอกไม้หอมอยู่ใกล้แล้วเป็นอย่างไร (หอม) แล้วจะเลือกปลาเน่าหรือดอกไม้หอม (ดอกไม้หอม) เลือกแหล่งบันเทิงใจหรือเลือกห้องพระ (ห้องพระ) แปลว่าตอนกลางคืนจากนี้ไปจะไม่ไปเที่ยวดิสโก้เธค จะมาเที่ยวห้องพระ จะไม่กินเหล้าแต่จะมากินน้ำมนต์พุทธะ ใช่ไหม (ใช่) เมาธรรมะดีกว่าเมาทางโลกนะ เมาธรรมะทำให้เราตื่นขึ้น แต่เมาทางโลกทำให้เราจมจนโงหัวไม่ขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
"ธรรมะดีคนเป็นต้องรู้มี"
เราจะแยกได้อย่างไรล่ะว่าคนนี้จริงหรือคนนี้เท็จ คนนี้พูดจริงหรือคนนี้พูดโกหก คนนี้ดีหรือคนนี้ไม่ดี เราใช้อะไรตัดสิน ดูง่ายๆ กาดำไหม (ดำ) นกดุเหว่าดำไหม (ดำ) นกดำทั้งคู่ไม่ว่านกดุเหว่าหรือนกกาก็ดำ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้แยกออกว่าเป็นกาหรือเป็นดุเหว่าก็โดยการฟังเสียงและตาดูลักษณะใช่หรือไม่ (ใช่) ลักษณะบางทีอาจจะคล้ายๆ กันแต่ต้องใช้ฟังเสียงเอา คนก็เหมือนกันจะเป็นคนดีหรือคนร้าย จะเป็นคนจริงหรือเป็นคนลวงหลอก ไม่ใช่อาศัยการวัดแค่เพียงภายนอก แต่ศิษย์น้องต้องใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาคำพูดของเขา ถ้าทุกคำพูดเขาเป็นคำพูดที่เป็นจริง แปลว่าสิ่งที่เขาพูดน่าเชื่อถือ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดเป็นจริงแล้วต้องเอาเงินมาล่ออย่างนี้ก็ต้องคิดพิจารณา แต่ว่าการที่จะอยู่กับคนๆ หนึ่งแล้วตัดสินได้นั้นอย่าใช้แค่ตาดู หูฟัง แต่ต้องใช้เวลาและสติปัญญาพินิจพิจารณาแล้วเราจะแยกออกว่าคนนี้มาจริงหรือมาหลอก
เหมือนกันเวลาศิษย์น้องจะพินิจพิจารณาสิ่งใดก็ตาม ไม่ใช่ดูที่เขาพูดอย่างเดียว แต่ต้องดูที่ว่า เวลาผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เขาคิดถึงตัวเองหรือเขาคิดถึงทุกๆ คน ถ้าคบกันแล้วเขาบอกว่า เวลามีผลประโยชน์อยู่ข้างหน้า เขาเอาให้ตัวเองสิบแล้วให้ศิษย์น้องหนึ่ง ศิษย์น้องก็ต้องคิดหนักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเขาโมโห เขารู้จักโทษตัวเองไหม หรือว่าเขาเอาแต่ว่าคนอื่น
ฉะนั้นเวลาจะตัดสินใครอย่ามองแค่เพียงเปลือกนอก แต่จงพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญาของศิษย์น้อง เวลาเขาพูด เวลาเขาโมโห เวลาผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เขาคิดถึงส่วนตัวหรือส่วนรวม แล้วศิษย์น้องจะดูคนเป็น แต่ดูคนเป็นแล้วก็ยังไม่พอ ถ้าเกิดเรายังยึดติดตัวตนเองอยู่ว่าตัวเองดีแล้วคนอื่นไม่ดี เช่นนี้ก็ไม่ถูก ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าคนที่ยึดมั่นตัวเองนั้นมักจะมองเห็นคนอื่นผิดหมดแล้วตัวเองถูกคนเดียว มีคำพูดเปรียบเทียบไว้ว่า “คนที่ยึดมั่นในตัวตนเอง ยึดมั่นในชื่อเสียงของตัวเองนั้นเหมือนกับคนที่เป็นเหมือนพื้นดิน แม้จะมีแสงแดดแรงกล้าอย่างไร เขาก็ยังมืดดำอยู่อย่างนั้น” ศิษย์น้องอยากเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่อยาก) จงเป็นคนที่รู้จักปล่อยวางตัวเองบ้าง แล้วกล้าเปิดอกยอมรับว่าตัวเองมีดีมีเสียอะไร แล้วจะเป็นคนที่สามารถสว่างได้ด้วยใจของตัวเองและล้างคำพูดของเขาที่ติเรา
ปีนี้เป็นปีม้า ศิษย์พี่จะบอกว่าปีม้านี้เป็นปีที่ดีมีความหมาย สัตว์ที่รู้จักควบคุมตัวเองเป็นสัตว์เรียกว่าอาชาไนยใช่หรือไม่ บุรุษหรือสตรีที่รู้จักควบคุมตัวเองเรียกว่าผู้ประเสริฐ สิ่งที่ทำให้เรียกว่าอาชาไนยเพราะ 1.เร็วเหมือนม้า 2.มีความอดทนเหมือนลา ลาตัวเล็กแต่แบกของได้เยอะ เมื่อประกอบด้วยสองอย่างนี้ก็จะเป็นม้าอาชาไนยได้ มองกลับกัน คนที่มีความเร็วกับความทน ดีไหม ดีอย่างไร เร็วในสติปัญญาที่คิดอะไรได้ทัน คิดอะไรได้เป็น เรียนรู้อะไรได้เร็ว นี่คือเร็ว , ทนคือทนต่อสิ่งที่คนอื่นอดทนอดกลั้นไม่ได้ เอาปีม้ามาสอนตัวเราว่า จงมีความเร็วและทนในตัวเองแต่คนโดยทั่วไปมักมีแค่อย่างเดียว พุทธะสอนว่า แม้จะมีอย่างเดียวแต่จงพยายามเพียรพยายามให้มีสองอย่างให้ได้ แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่คนที่ได้เพียรแล้วจะได้พบว่า การกระทำทั้งสองนี้ได้เรียกว่าเป็นคนที่ประเสริฐได้ หรือเป็นบุคคลที่ได้ควบคุมตนเอง
คนเรานั้นสิ่งหนึ่งที่มักจะอดทนไม่ได้คือ หากคนที่ต่ำกว่ามาดูถูกเรา เราจะทนไม่ได้ใช่ไหม สูงกว่าดูถูกเรา เรายังทนได้เพราะความกลัวบารมี คนที่เท่าๆ กับเราดูถูกเรา เราก็พอทนไหว เพราะถ้าเขาอาละวาดมาเราก็พอต่อกรได้ แต่คนที่อดทนได้แท้จริงนั้นประเสริฐ คือ คนที่อดทนต่อคนที่ต่ำกว่าแล้วกล้าว่าเราแล้วเราสามารถอดทนได้ นั่นแหละคือคนที่ประเสริฐ ขอให้ศิษย์น้องมีตรงนี้นะ มีสติและปัญญาที่เท่าทัน รู้จักใช้ธรรมะมาเป็นหลักสอนใจ คิดอะไรก็คิดในสิ่งที่ประเสริฐ ความอดทนอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีความเมตตาด้วย เพราะความอดทน ไม่ใช่อดทนแบบกลั้นไว้ๆ อย่างนี้สักวันต้องระเบิด ระเบิดกับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) คนที่อดทนแล้วมีเมตตาด้วยนั่นแหละคือคนอดทนแท้จริง ไม่บ่นไม่ว่ามีแต่จิตใจที่ดีให้กับเขา เขาไม่รู้ไม่เป็นไร เขาไม่รู้จักเราเขาจึงว่าเรา ใช่ไหม (ใช่) นี่คืออดทนแบบมีเมตตา หากอดทนแบบมีเมตตาไม่ว่าจะไปเจริญธรรมะข้อใด คนนั้นก็จะบรรลุเป้าหมายและสามารถก้าวย่างอย่างพุทธะได้สำเร็จ
จงมีความอดทนเหมือนลาและมีสติปัญญาเท่าทันกิเลสและสิ่งลวงหลอกต่างๆ ให้ได้เร็วเหมือนม้า แล้วม้ากับลารวมกันเป็นอะไร (ล่อ) จะเป็นล่อหรือเป็นคนประเสริฐ (คนประเสริฐ) ก็คือคนที่รู้จักเอาสิ่งภายนอกมาสอนใจเราใช่หรือไม่ (ใช่) จะมีความอดทนเหมือนลาและมีความว่องไวในสติปัญญาเหมือนม้า แล้วรู้จักควบคุมตัวเองให้
ถูกกาลเทศะ ถูกวัย แม้สูงอายุเแล้วแต่แต่งตัวเหมือนวัยรุ่นได้ไหม แต่งได้ถ้าศิษย์น้องเป็นสุขนะ ศิษย์พี่ไม่ว่าหรอกถ้าเราจะใส่เสื้อแขนสั้น กระโปรงสั้นอะไรก็ใส่ไปเถอะ แต่ใส่แล้วอยู่ในบ้านดีกว่านะ อย่าออกมาข้างนอกเลยไม่อย่างนั้นทรมานสายตา ใช่ไหม อยากจะเป็นอะไรศิษย์น้องก็เป็นไปเถอะ แต่เป็นแล้วต้องคิดให้ดีว่า เป็นแล้วทำลายตัวเองหรือเปล่า เป็นแล้วทุกข์กว่าเดิมหรือเปล่า ถ้าเป็นแล้วทุกข์กว่าเดิมก็ตัดๆ มันทิ้งใช่ไหม (ใช่) เราอายุปูนนี้แล้วต้องรู้จักอะไรรู้หรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากจะบอกก็คือ จงรู้จักมีความดับอยู่ภายในตัวเสมอ ระลึกเสมอว่าชีวิตนี้ยุบหนอพองหนอ พองหนอยุบหนอ ให้ท่องไว้เสมอว่าคนเรานั้นเกิดได้ก็ดับได้ ตั้งอยู่ได้ก็สูญสลายได้ เมื่อไรที่คิดอยู่ทุกขณะเราจะไม่ประมาท แล้วเราจะเปลี่ยนจากคนไม่ดีเป็นคนดี แล้วเราจะโกรธคนน้อยลงเพราะยุบหนอพองหนอไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้ววันนี้ถึงแม้จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าพรุ่งนี้พองแล้วมายุบ ศิษย์น้องจะช่วยได้ไหม ใจศิษย์น้องเก็บความโกรธไว้มันก็หนัก จะขึ้นเบื้องบนก็ยาก เมื่อไรพระท่านเทศน์ว่ายุบหนอพองหนอให้เตือนไว้ว่า อย่าประมาทอย่าหลงมากอย่าโลภมาก
ความรักนั้นเหมือนอะไรรู้ไหมศิษย์น้อง พุทธะมักจะพูดว่าความรักเหมือนไฟ แต่ศิษย์พี่ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าความรักนั้นเหมือนน้ำ ตอนแรกเราเดินอยู่พอเห็นน้ำเราก็ว่าใสดีใช่ไหม (ใช่) เหมือนเจอแล้วบอกว่าหล่อสวยดี จากอยู่ห่างๆ ก็กระชิดๆ ใช่ไหม (ใช่) จากว่ายไม่เป็นขอลงไปว่ายหน่อย ใช่ไหม (ใช่) พอลงไปว่ายในความรักเป็นอย่างไร ตอนแรกก็เหมือนจะว่ายได้ สนุกจริงๆ แต่พอว่ายนานขาเริ่มเป็นเหน็บ มือเริ่มว่ายไม่ออก เริ่มรู้แล้วว่าไม่น่าลงมาเลย บางคนยังสะบัดทันลุกขึ้นมาได้ แต่บางคนลงแล้วลุกไม่ขึ้น ความรักก็น่ากลัวเหมือนน้ำนี่แหละ ไม่ใช่ใสดี สวยดี กระโดดเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เอาแล้ว ทุกข์เหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องในโลกนี้ก็เหมือนกันอย่าไปลองเลย ผ้าสะอาดๆ ดีอยู่แล้วทำไมชอบไปแต่งแต้ม ใจของเราใสบริสุทธิ์อยู่แล้วทำไมไปสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ สัมผัสแล้วสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ไหม (ไม่ได้) ได้สิ ใจก็ของเราเองทำไมไปเปื้อนอะไรง่ายล่ะ เขาจะว่าเราอย่างไรก็ไม่เป็นไร ก็เขาว่าแล้วทำให้เราเจ็บ เราก็เอาใจถอนมาไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเอาไปอยู่กับเขาแล้วทุกข์ก็ดึงออกมา จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจ ถ้าอยู่กับเราแล้วปวดใจก็เอากองไว้ตรงนี้ ทำใจได้ก่อนแล้วค่อยดึงมาเก็บ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าศิษย์น้องควบคุมตัวเองได้ ศิษย์น้องก็จะบอกกับตัวเองว่ารอดมาได้เสียที ใช่หรือเปล่า (ใช่) กว่าจะรอดมาได้วันหนึ่งแทบตาย มนุษย์เรามีทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์ในเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก เสียจากสิ่งที่ไม่น่าจะเสีย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราจึงต้องรักษาใจให้ดี ควบคุมใจให้มั่นคง มีธรรมะอยู่กับใจ อย่าพยายามเบียดเบียน อย่าพยายามทำร้ายและอย่าพยายามคิดร้าย คิดดีๆ บ้างจะได้ยิ้มได้ตลอดทั้งวันใช่ไหม (ใช่) ออกจากบ้านก็ยิ้มดีหรอก แต่พอกลับมาคอตกหน้าเศร้ามาเชียว พอได้แรงจากบ้านมาก็ยิ้มกลับไปใหม่ พอเจอโลกอีกก็หงอย หรือไม่บางทีอยู่ในบ้านก็หงอย อยู่นอกบ้านก็ยิ้มออกได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ต้องคิดแล้วนะถ้าเป็นแบบนี้ อยู่ในบ้านไม่มีความสุข ออกนอกบ้านแล้วมีความสุข เราต้องคิดแล้วนะ มีคำพูดกล่าวไว้บอกว่า ถ้าอยู่ในบ้านแล้วเรามีสติ เราจะเป็นคนเรียกสติคนในบ้านได้ แต่ถ้าอยู่ในบ้านแล้วเราไร้สติ ออกไปข้างนอกเราก็ไม่มีทางมีสติหรอก ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจงเป็นคนที่เริ่มมีสติเริ่มควบคุมตัวเองได้ก่อน แล้วคนในบ้านก็จะเริ่มมีสติและควบคุมตามเราได้ จงเป็นแบบอย่างที่ดีแล้วคนอื่นจะมาอิงแอบและเรียนรู้ตาม อย่าเป็นแบบอย่างที่ถนัดพูดแต่ไม่ถนัดทำ เช่นนี้จะไม่มีใครสนใจ เมื่อสักครู่เขาพูดถึงน้ำแก้วหนึ่งทำให้ศิษย์พี่คิดอะไรได้อย่างหนึ่ง ใจของศิษย์น้องบางครั้งพอว่างไปนิด มารก็ไหลลงมาแทนที่ เขาบอกว่า ถ้าอยากศึกษาให้รู้เรื่องต้องเปิดใจให้เหมือนแก้วว่างใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่พอเวลาเรามีใจว่างเราไม่ได้เอาธรรมะลงไปใส่ แต่เราเอาความโลภ อัตตา ตัวตนความโกรธ ไปถมใจไว้ใช่ไหม (ใช่) พอมันถมมากขึ้นใจก็เป็นอย่างไร แสดงออกมาเป็นความเคยชิน ฉะนั้นก่อนที่ใจเราจะเต็มไปด้วยความไม่ดี จงพยายามถมธรรมะให้เข้ามาแทนที่ จงมีธรรมะให้เปี่ยมใจได้ไหม แต่บางครั้งเมื่อมาศึกษาธรรมะ ธรรมนั้นก็ต้องพร้อมที่จะพร่องในธรรมไปพร้อมกับเราได้ นำธรรมอีกอย่างหนึ่งมาแลกเปลี่ยนชะล้างกับธรรมที่มีอยู่ นั่นคือใช้ธรรมล้างธรรม แต่อย่าใช้อัตตามาแทนที่ในใจ ทำได้หรือเปล่า พูดตั้งเยอะแล้วพอรู้ไหมบำเพ็ญธรรมคืออะไร บำเพ็ญธรรมคือ การขัดเกลาจิตใจตนเองที่แท้จริงที่เรียกว่า "พุทธะ" เกิดเป็นคนถ้าเราไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง แล้วเราจะสามารถดำเนินชีวิตของเราได้ไหม ปลอดภัยไหม จริงๆ แล้วเราก็รู้ว่าเราเป็นใคร แต่เราไม่กล้าเปิดใจยอมรับใช่หรือไม่ ศิษย์น้องใช้ธรรมมาค้นหาใจตนเองมาชะล้างใจตนเอง ดึงสิ่งที่ดีให้เข้ามาเรียกว่าบำเพ็ญธรรม เมื่อจิตใจที่ดีกว่าอยู่เหนือจิตใจที่ไม่ดีจึงเรียกว่า ได้บำเพ็ญธรรม แล้วเมื่อเราได้บำเพ็ญธรรมแล้วสามารถช่วยคนอื่น นั่นเรียกว่าการบำเพ็ญธรรม เข้าใจไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แต่ควบคุมตนเองอย่างเดียว แต่เป็นแบบอย่างที่ดีและน้อมนำสิ่งที่ดีและนำพาคนดีด้วย
ถ้าเมื่อไรเราอยู่ในสังคมเจอคนคดโกง เราจงถือความซื่อสัตย์ มีคนมาต่อว่าเราจงอดทนไม่ว่ากลับ พยายามฝึกทวน ตอนไหนสังคมเขาขาดเราพยายามเติม นั่นแหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมและรู้จักนำธรรมมาใช้ให้โลกนั้นสันติ ทำได้หรือเปล่า เมื่อไรที่เขากินเนื้อเราจะไม่กิน เมื่อไรที่เขาด่าเราจะไม่ด่าตอบ เขานินทาเรา เราจะไม่นินทาตอบ เขาชกเรา เราไม่ชกตอบ อย่าลืมนะ
พระพุทธองค์ที่ท่านสำเร็จเป็นพุทธะได้เพราะความเมตตายิ่งกว่าเมตตา แล่เนื้อเถือหนังก็ยอมสละได้ ศิษย์น้องล่ะทำไม่ได้ อย่ากลัวเจ็บมากนัก อย่ากลัวทุกข์มากนัก ถ้ากลัวเจ็บกลัวทุกข์มากนักก็จะไม่สามารถก้าวผ่านไปสู่ความเป็นพุทธะได้ คนเราเกิดมามีทุกข์อยู่แล้วมีอุปสรรคอยู่แล้ว ถ้าศิษย์น้องฝ่าฟันความทุกข์และอุปสรรคไปได้ก็จะก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ เมื่อไรเจอทุกข์ก็ต้องบอกว่าดีเพราะทำให้ใจเข้มแข็ง เมื่อลำบากก็ว่าดีเพราะทำให้มั่นคง เมื่อเจ็บปวดก็ดีเพราะจะทำให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นขนาดไหน พยายามขนาดไหน ไม่ใช่ว่าเจอคนทำให้เจ็บแล้วไม่ก้าวไป ยิ่งเจอทุกข์ความยากลำบากจะยิ่งทำให้ศิษย์น้องก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะเร็วขึ้นเท่านั้น ถ้าศิษย์น้องหนีก็ทำให้ศิษย์น้องต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร
โลกนี้ไม่สวยงามแท้จริงนะ ถ้าหากศิษย์น้องยังหลงติดอยู่ จงพยายามใช้สายตาแห่งความเป็นพุทธะก้าวผ่านไปให้ได้แล้ววันหนึ่ง ศิษย์น้องจะมีชีวิตที่ยิ่งกว่าชีวิตเหนืออะไรๆ คนที่เหนือคนเป็นอย่างไร และพุทธะสุขแค่ไหน คิดให้ดีๆ นะ
นี่คือหนทางอีกหนทางหนึ่งที่ศิษย์น้องจะก้าวไปเป็นพุทธะได้ อย่ายอมแพ้ความทุกข์ อย่ายอมแพ้ตัวเอง เอาชนะตัวเองให้ได้ ขอให้ศิษย์น้องรู้ว่า วันนี้คือธรรมะไม่ใช่ของเก่า ใครที่ได้รับรู้ไปก็จะยิ่งใหม่ขึ้นๆ แต่ว่าเป็นคนเก่าที่หลงลืมไป ใช่หรือไม่ จงเอาธรรมะไปคิดให้ดีว่ามีคุณค่ากับตัวเราไหม จงนึกให้ดีว่าชีวิตที่ดำเนินมาถึงตอนนี้เคยใฝ่ซึ่งความดีบ้างหรือเปล่า เคยคิดอยากเป็นคนดีที่ไม่แพ้ภัยบ้างไหม หากคิดได้จงพยายามก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ศิษย์พี่ก็รอไหว แต่อย่าฉับๆ แล้วถอยพรึบพรับแล้วไม่กลับมาเลย อย่างนี้ก็ไม่ไหว ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ พิจารณาดู ธรรมะนี้ไม่ใช่เรื่องห่างไกลหรือเรื่องนอกชีวิต ไม่ใช่เรื่องของอาวุโส ตัวศิษย์น้องก็เป็นพุทธะได้ เป็นคนดีอย่างที่คนอื่นเขาคิดว่ามีด้วยหรือในโลกนี้ เราก็เป็นคนนั้น ลองดูสิ แล้วโลกนี้จะมีสันติสุขใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแกะห่อลูกอมเพื่อแจกให้กับนักเรียนในชั้น)
ห่อสวยจังเลย สวยแบบนี้ทำให้แกะไม่ลงเลยนะ แต่ต่อให้สวยอย่างไร ก็ต้องแกะ สวยแล้วกินไม่ได้อยากได้ไหม (ไม่อยากได้) เห็นว่าชอบนัก สวยๆ หล่อๆ แล้วกินไม่ได้สักคนใช่ไหม ต้องสวย หล่อทั้งนอกและในใช่ไหม
เกิดมาแล้วก็ปลงๆ บ้างนะ วันนี้สวยพรุ่งนี้อาจจะไม่สวย วันนี้ของเราพรุ่งนี้อาจจะไม่เป็นของเรา กลัวพรุ่งนี้จะไม่ดี ฉะนั้นยุบหนอพองหนอเกิดมาแล้วหนอก็ต้องตายแล้วหนา ท่องไว้นะจะได้ไม่กล้าคิดไม่ดี เราจะได้ไม่ขี้บ่น จงเป็นผู้อาวุโสที่มีค่าเป็นวัตถุล้ำค่าของคนในบ้าน ให้เขากราบให้เขาไหว้ ให้เขาอยากมาหาบ่อยๆ อย่าบ่นมากนะใช่ไหม ลูกหลานมีเวรกรรมของเขา มีกรรมมีบุญวาสนาของเขา ห่วงมากเกินก็ไม่มีประโยชน์ เราทุกข์เปล่าๆ พูดไปก็เท่านั้น ถ้าเราพูดว่าเจริญๆ นะ โชคดีนะลูก เขามาก็ขอให้ลูกโชคดี เขาไปก็ขอให้โชคดี ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวัน ลูกก็จะมาหาทุกวัน ลูกหลานก็ต้องรักปู่ย่าตายายบ้างนะ ไม่ใช่เห็นท่านแล้วน่ารำคาญ ต่อไปแก่แล้วคนเขาก็ต้องรำคาญเราเหมือนกันใช่ไหม
ปีใหม่ขอให้เป็นปีแห่งรอยยิ้ม แม้จะขลุกขลักบ้างก็ขอให้ผ่านไปด้วยรอยยิ้ม ขอให้อดทนและก็ว่องไวให้ได้นะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานลูกอมให้กับนักเรียนในชั้น)
เมื่อเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่แล้ว ศิษย์พี่ก็จะพยายามป้อนธรรมะให้ศิษย์น้องให้เต็มที่ที่สุด จะได้เอาธรรมะไปสู้กับกิเลสตัณหาของตัวเองให้จงได้ ได้ไหม ตั้งใจบำเพ็ญนะ
แม้วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เข้าไปจับมือทุกๆ คน แต่ขอให้มีกำลังใจตั้งใจบำเพ็ญธรรม เอาความดีชนะใจของทุกๆ คน และไปเปลี่ยนแปรใจคนให้ได้ และจงชะล้างใจของตัวเองที่ไม่ดีออกไปให้หมด
อย่าดื้อนักนะ ชอบดื้อกันเหลือเกินนะศิษย์น้อง แข็งในตอนที่ไม่น่าจะแข็ง อ่อนในตอนที่ไม่น่าจะอ่อน ลองใช้ให้เป็น อะไรที่แข็ง อะไรที่อ่อน เด็ดเดี่ยวในตอนที่ต้องเด็ดเดี่ยว เข้มแข็งในตอนที่ต้องเข้มแข็ง อย่าดื้อดึงมากนัก ถ้าดื้อดึงเราจะไม่สามารถขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากใจได้
ไปแล้วนะ ไม่เสียเวลาแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี จากกันด้วยรอยยิ้มที่ดีนะ จงเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักของพระอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ถ้าหมั่นมีธรรมะ ธรรมะนั้นจะคุ้มครองศิษย์น้องด้วยความเชื่อมั่น
วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำ ไร้เหตุผลจำพูดแบบอ้อมแอ้ม
เมื่อปฏิเสธจะต้องเหลือช่องแง้ม การพูดแกมบังคับไร้คนเชื่อจริง
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา แฝงกายกราบ
องค์มารดา สวัสดีปีใหม่ศิษย์รักทุกคน
ความสุขมีใจรองรับ ความลับยิ่งมากยิ่งยุ่ง
คนเก่งยิ่งมากยิ่งรุ่ง คุยฟุ้งไม่สู้ลงมือ
มีรอยยิ้มใสใสเหมือนเด็กน้อย อรุณผ่องใจไม่ลอยไม่คอยยื้อ
ใจอย่าเอียงเอนไปตามคำลือ คนไม่ถือเอาผิดคนจึงมีมิตร
อันม้าดีลงแส้เดียววิ่งพันลี้ อันม้าเลวแส้พันทีไม่ขยับสักนิด
บำเพ็ญธรรมไม่พ้นบำเพ็ญจิต หนึ่งชีวิตใช้ปัญญามาเป็นทุน
นาวาธรรมล่องลอยมาก็แสนไกล มวลใบไม้ผลัดเปลี่ยนไปเป็นรุ่นรุ่น
ทำลายตนจิตแท้ด้วยความมักคุ้น จงยืดหยุ่นบำเพ็ญอย่างมีขอบเขต
หวังศิษย์รักบำเพ็ญด้วยการปฏิบัติ จงเคร่งครัดตนจึงไกล เทวษ
อย่าได้ติดแดนโลกีย์เหล่ากิเลส เปิดดวงเนตรแห่งธรรมกำชีวิตตน
ฮา ฮา หยุด
มาขวนขวายกัน ขึ้นนิดหน่อย ค่อยทยอยดีวันดีคืน ใครบ้างอยากทนเต็มกลืน ปัญญาคืน หน้าชื่นไม่อกตรม
ศิษย์ขยันหาเรื่องกัน ให้น้อยหน่อย เหมือนลาภลอยที่ได้ฟรีฟรีมา คนโมโหดั่งคนบ้า ให้เวลาคิดก่อนแล้วจึงทำ
ศิษย์หัวเสเจ้ากรรม เห็นว่างานธรรมนั้นคืออะไร บำเพ็ญคิดให้ออกไวไว สิบปีนั้นไซร้ก็เหมือนดังวันเดียว
ชื่อเพลง สิบปีเหมือนดังวันเดียว
ทำนองเพลง ผู้ใหญ่ลี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนที่มานั่งอยู่ในที่นี้นิสัยหยาบๆ โดยทั่วไปเหมือนกันคือ ขี้โมโห โลภมาก และยังมีนิสัยเหมือนกันอีกหลายข้อวันนี้อาจารย์มาถึงพัดของอาจารย์นี้ฝุ่นมันเกาะ ตบๆ เอาฝุ่นออกไป เหมือนอะไร รู้ไหม พัดของอาจารย์เหมือนกับจิตใจของเราเอง จิตใจของเราที่เราไม่ได้หยิบมาใช้เสียนาน ส่วนใหญ่จะใช้สมองสั่งการ ส่วนใหญ่การกระทำจะไปเร็วกว่าที่เราจะคิด พูดง่ายๆ ก็คือส่วนใหญ่เราทำแล้วมาคิดว่าไม่น่าจะมาทำอย่างนี้เลย ใช่ไหม (ใช่) เรื่องอะไรๆ ในชีวิตก็ดูจะผิดพลาดไปหมด จริงๆ แล้วเรื่องบางเรื่องจบลงง่ายๆ ก็ดูจะยากส่วนใหญ่เราให้อารมณ์เราพาไป เราให้สมองสั่งงานไป ให้มือทำ ตาดู แต่เราไม่ใช้จิตใจของเรามอง ไม่ใช้จิตใจของเราพูด ไม่ได้ใช้จิตใจของเราคิด เพราะฉะนั้นตอนนี้ พัดในมือนี้ก็คือจิตใจของเรา เอาจิตใจของเรามาตบๆ ให้ฝุ่นที่อยู่ที่ใจของเราออกไปหน่อยดีหรือไม่ (ดี)
เวลาที่ฟังคนเขาพูดดีๆ หรือเวลาเห็นคนเขาทำอะไรดีๆ เราเคยคิดไหมว่าเราทำได้ (เคย) แล้วมีกี่ครั้งที่เราลองไปทำดู มีหลายครั้งแต่เป็นหลายครั้งที่ยังนับได้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ต้องการหลายครั้งที่นับไม่ได้ เวลาที่เราเห็นคนอื่นดี ใจดีแล้วเราใจดีได้ไหม (ได้) คนอื่นเมตตาเราเมตตาได้ไหม (ได้) ช่วยคนอื่นโดยไม่บ่นแล้วเราทำได้ไหม แล้วความดีต่างๆ ที่เราเคยฟังมา สิ่งที่ว่าดีๆ ทั้งหลาย มากมายเหลือเกิน เราก็คิดว่าเราก็ทำได้ แต่เรายังไม่ได้ทำเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่วันนี้ใครๆ เขาก็บอกว่าเราเป็นคนดี ดีอย่างไร (มาฟังธรรมะ) อาจารย์ถามว่าที่เขาว่าเราเป็นคนดี เราเป็นคนดีตรงไหน ลองยกตัวอย่างมาสิ (ทำดีอยู่ที่ใจ, เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่) มากเท่ากับมาตรฐานที่เราเคยวางไว้หรือยัง (ดีมากแต่ไม่เท่ามาตรฐาน) เห็นไหมว่าเราจำเป็นต้องเอาจิตใจของเรานั้นมาปัดฝุ่นสักทีหนึ่ง
อายุเราเท่าไรแล้ว ไหนใครที่เลขสี่ขึ้นแล้วยกมือหน่อย อายุเกินเลขสี่แล้วนะ เวลามันเหมือนกับจะนับถอยหลังอยู่อายุยี่สิบยังนับไปข้างหน้า พอคนสี่สิบแล้วนับถอยหลังแล้ว อายุเกินยี่สิบมาก็ถือว่าผ่านวัยเด็กมาแล้ว คนไหนที่เริ่มเห็นผมหงอกบนศีรษะของตัวเองแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ผมหงอกมันก็ขึ้นแล้วใช่หรือไม่ เท่ากับเรานับถอยหลังแล้วหรือยัง (ถอยหลัง) แม้ตอนนี้อายุเราจะอายุยี่สิบกว่า แต่ผมหงอกขึ้นแล้วก็เรียกแก่หรือยัง ผมหงอกขึ้นบนหัวใคร (คนแก่) ถ้าหากว่าเรามีผมหงอกหนึ่งเส้นก็แก่หน่อยหนึ่ง ถ้ามีผมหงอกห้าเส้นก็แก่มากขึ้น ถ้าใครมีผมหงอกทั้งหัวล่ะ แสดงว่าต้องหาความดีในตัวเราให้เจอแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาคนเขายกย่องว่าเราว่าเป็นคนดี เราต้องถามตัวเองว่าดีอย่างไร ดีที่ใจ ดีเพราะเป็นคนชอบฟังธรรมหรือ นั่นยังไม่ถูกต้อง มีความดีอีกมากมายที่ศิษย์นั้นสามารถที่จะฝึกหัดและเป็นคนดีด้วยความดีนั้นๆ ในเมื่อเวลาไม่รอเรา เราจะรอเวลาไหม (ไม่รอ) ในเมื่อคนเขาชวนให้เราบำเพ็ญธรรม เราจะรอเวลาไหม (ไม่รอ) ยี่สิบกว่าสามสิบกว่าเราก็มีผมขาวเสียแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะรอเวลา เพราะเวลาไม่รอเรา อย่าคิดว่าอายุของเรายังน้อยอยู่ สี่สิบกว่าเท่านั้น เวลาเราจะทำความดียากหรือเปล่า (ยาก) ความดีทำยากทำสักเรื่องใช้เวลาหลายปีไหม (หลายปี) กว่าคนอื่นเขาจะเชื่อว่าเราเป็นคนดีอย่างนั้นจริงๆ ใช้เวลานานมากเลย เพราะฉะนั้นสมมติว่าศิษย์อายุหกสิบปี สองปีต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองหนึ่งเรื่อง เหลือทั้งชีวิตทำความดีได้กี่เรื่อง หกสิบปี ศิษย์ทำความดีได้กี่เรื่อง สามสิบเรื่องเท่านั้นเอง น้อยไหม (น้อย) ความดีมันก็มากมาย เราจึงไม่รู้ว่าเราดีตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้อาจารย์มาที่นี่ อาจารย์จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์นั้นฟังคำพูดที่อาจารย์พูดแล้วจะปฏิบัติตามหรือไม่ หากว่าอาจารย์พูดแล้วศิษย์ไม่ปฏิบัติตาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่) ความศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์นั้นมันอิงอยู่กับมนุษย์ ก็คือศิษย์ทั้งหลาย อาจารย์นั้นชื่อว่า “จี้กง” ( ???? ) แม้จะเป็นชื่อที่ดีแต่ชื่อที่ดีก็เหม็นไปในบางครั้ง ศิษย์เองก็มีทั้งชื่อและนามสกุล บางคนก็เป็นชื่อที่ดี แต่ว่าชื่อของเรามันจะเหม็นหรือจะหอม ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ ความไพเราะและความสวยงามของคน แต่อยู่ที่การปฏิบัติตนของคนๆ นั้น ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม อาจารย์ให้คิดง่ายๆ คือสิ่งใดที่ดีก็ให้ลงไปทำ สิ่งใดที่ไม่ดีต้องไม่ทำ ตอนนี้จำได้แล้วหรือยัง อาจารย์สอนเรื่องแรกแล้วนะ ทำได้ไหม แน่ใจไหม (แน่ใจ) คนเขาใส่ร้ายแล้วทำอย่างไร (อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร , ยิ้มสบาย) เห็นไหมว่าวิธีการของแต่ละคนมันก็อาจจะไม่เหมือนกันแต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ต้องเหมือนกันคืออะไร ห้ามโมโหใช่หรือเปล่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า อยากโง่ไหม อยากบ้าไหม (ไม่อยาก) เพราะฉะนั้นต้องไม่โกรธ เวลาคนใส่ร้ายเราต้องไม่โกรธ ทำได้ไหม
“มีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำ ไร้เหตุผลจำพูดแบบอ้อมแอ้ม”
ถ้าหากเรามีเหตุผลก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ แล้วคนไม่มีเหตุผลจะพูดแบบไหน (ไม่เต็มปากเต็มคำ)
“เมื่อปฏิเสธจะต้องเหลือช่องแง้ม”
เมื่อเวลาที่เราจะปฏิเสธคนอื่นเราปฏิเสธเด็ดขาดไปเลยเป็นการทำร้ายตัวของเราเอง ถ้าบางทีคนอื่นเขามาชวน เราปฏิเสธเสียเด็ดขาดแต่ไม่ควรปฏิเสธชนิดที่ปิดช่องว่างหมด เวลาที่เราพูดอะไรจำเป็นที่จะต้องคิดหน้า คิดหลัง เพื่อรุกไปข้างหน้า เพื่อถอยมาข้างหลัง
หลายๆ คนเป็นคนที่มีอำนาจอยู่ในมืออาจจะเป็นอำนาจทางธรรม อำนาจทางโลก เวลาเราพูดถ้าอยากพูดให้คนอื่นเขาเชื่อเราจริงๆ เราต้องพูดออกจากจิตใจของเรา เราต้องพูดออกจากความเมตตา ออกจากความมีเหตุผล พูดออกจากความเห็นใจ เข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน นั่นแหละจะทำให้คนนั้นเชื่อเราและฟังเราจริงๆ แต่บางคนพูดจาเป็นการบังคับคนอื่น แม้ว่าคนอื่นนั้นเขาจะทำตามแต่ว่าจิตใจเขาตามเราไหม (ไม่ตาม) จิตใจของเขาไม่ได้ตามเราเลย ถ้าหากว่าเราใช้คำพูดแกมบังคับ ก็รู้ไว้เลยว่าเราไม่สามารถบังคับเขาได้ถึงสองหน วันหน้าเวลาเราอ้าปากพูดคนวิ่งหนี เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมก็คือการควบคุมความประพฤติตัวเองและฝึกคุณธรรมเพิ่ม ลดอัตตาและลดทิฐิ ลดกิเลสลงเพื่อจะเราเกิดความกลมกลืนกับผู้อื่น เวลาทำงานแล้วจึงราบรื่น หากเราบอกว่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานความราบรื่นให้กับการบำเพ็ญธรรมของเรา แต่นิสัยของเราไม่เปลี่ยนสักข้อหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะช่วยได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถเสกให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนไปได้ทุกอย่างทำไมอาจารย์จะต้องลงมาพูดให้เมื่อยปาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์เกินคนธรรมดาทั่วไป คนธรรมดาทั่วไปนี้เวลาที่ทำดี เวลาทำกุศล ยังแรงกว่าอีก เป็นคนสร้างกรรมก็แรงยิ่งกว่าเทวดาผีสางอีก เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ใช้เวลาทุกๆ วัน ทุกๆ วินาทีให้คุ้ม ทำแต่สิ่งที่ดีจะได้ไม่เสียใจทีหลัง เหมือนกับตอนทำบุญเมื่อบุญเราแรง กรรมเราก็แรง ฉะนั้นจะต้องรู้จักที่จะระวังตัวของเราเอง ใช้สิ่งที่เรามีคือปัญญาและสติมาควบคุมตัวของเราเอง ใช้สิ่งที่เรามีนั้นทำให้เราเป็นคนที่มีความสามารถแต่อย่าหลงในความสามารถและตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นเราจะตายเพราะตัวของเราเอง
สวัสดีปีใหม่ศิษย์รักทุกคน ไม่มีศิษย์คนไหนสวัสดีปีใหม่อาจารย์เลย
(นักเรียนในชั้นกล่าวสวัสดีปีใหม่พระอาจารย์)
วันนี้อาจารย์เดินไปเดินมาเก้าอี้มันก็แคบติดขัดไปหมด วันธรรมดาๆ คนในสถานธรรมเยอะขนาดนี้ไหม (ไม่) แสดงว่าเรานั้นมา
สถานธรรมเป็นพักๆ ใช่หรือไม่ คนเขาชวนแล้วถึงจะมามีงานแล้วถึงจะมาใช่หรือไม่ ชีวิตของเราส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านกับการทำงานใช่หรือเปล่า ชีวิตส่วนน้อยเพียงสองวันในหนึ่งปีที่เรามาสถานธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นธรรมะที่เราปฏิบัตินั้นปฏิบัติที่ไหน ไหนใครว่าสถานธรรมยกมือขึ้น ไหนใครว่าที่บ้านยกมือ มีคนไม่ยกด้วยก็เลยเป็นครึ่งๆ ใช่หรือไม่ อาจารย์สรุปว่าคนส่วนหนึ่งบอกว่าธรรมะปฏิบัติที่สถานธรรม อีกส่วนหนึ่งบอกว่าปฏิบัติที่บ้าน ที่ทำงาน อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ยกอาจารย์คิดเอาว่ายังไม่รู้จะปฏิบัติที่ไหน ใช่หรือเปล่า (ใช่) แบ่งรับแบ่งสู้ไว้เป็นคนดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์จึงปฏิบัติได้ทุกๆ ที่ แต่เมื่อชีวิตของเราส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวและการทำงาน ธรรมะจึงปฏิบัติในบ้านและในงานเป็นส่วนใหญ่ ธรรมะนั้นอาจจะไม่ได้ปฏิบัติในสถานธรรมเสมอไป แต่หากว่ามีเวลาว่าง ศิษย์ของอาจารย์ต้องมาศึกษาเพิ่มเติมถ้าหากว่าไม่มาศึกษาเพิ่มเติมจะรู้ไหมว่าธรรมะปฏิบัติอย่างไร (ไม่รู้)
อาจารย์มาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นติดในรูปลักษณ์หรือว่าเกิดความสงสัย แต่อาจารย์มาเพื่อสอนวิธีการบำเพ็ญธรรมให้กับศิษย์ อาจารย์ทำอย่างนี้มานานแสนนานแต่คนที่ปฏิบัตินั้นก็ยังน้อยเหลือเกิน คนที่มาสถานธรรมนั้นเต็มไปหมดแต่คนที่ปฏิบัติธรรมนั้นน้อย ศิษย์เข้าใจคำพูดของอาจารย์ไหม (เข้าใจ) หมายความว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ผู้ปฏิบัติเองก็ไม่ยอมปฏิบัติธรรม ฉะนั้นธรรมนั้นจึงดูไม่มีค่า ธรรมนั้นจึงไม่ได้การเก็บผลที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จิตใจของพวกเราทุกคนก็ยังเป็นจิตใจที่เว้าๆ แหว่งๆ เพราะว่าเรานั้นบำเพ็ญแต่เราไม่ปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ในเมื่ออาจารย์นั้นสวัสดีปีใหม่กับศิษย์ทุกคนไม่ใช่อาจารย์นั้นสวัสดีปีใหม่กับศิษย์ทุกปี แต่วันนี้อาจารย์ตั้งใจจะสวัสดีปีใหม่เพราะอยากจะให้วันนี้เป็นปีที่ใหม่ของศิษย์จริงๆ เป็นปีใหม่ ใหม่คือการเป็นคนใหม่ของเรา เราคนเก่าเป็นอย่างไร เอาแต่ใจ ขี้งอน ขี้บ่น ขี้เกียจ ขี้อิจฉา ขี้โมโห ล้วนแล้วแต่นำหน้าด้วยขี้อะไรทั้งนั้นเลย ในวันนี้อาจารย์ตั้งใจสวัสดีปีใหม่กับศิษย์เพื่ออยากให้ศิษย์รู้ว่าเรานั้นควรที่จะทำตนเป็นคนใหม่ คือใหม่ด้วยการบำเพ็ญธรรม ใหม่ด้วยจิตใจที่ใหม่ ดีมากขึ้น คนเราสำคัญอยู่ที่ไหน (จิตใจ) เพราะว่าเมื่อเวลาใจร้อนอากาศเย็นเป็นอย่างไร (ร้อน) เวลาที่อากาศหนาวเหน็บแต่จิตใจของเรานั้นกลัวสุดขีด อากาศเป็นอย่างไร (ร้อน) เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่จิตใจของเราไม่ปกติ คิดมาก ขี้ใจน้อยเราจะมองหน้าคนที่เรากำลังเกิดความรู้สึกนั้นมองได้ด้วยจิตใจหรือดวงตาที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี) มองด้วยตาขวางๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นจิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ บางคนเห็นปัญหาเล็กๆ นั้นเป็นปัญหาใหญ่ๆ ส่วนบางคนมองปัญหาใหญ่ๆ ก็มองเหลือเล็กนิดเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรารู้สึกสำหรับเรานี่คือปัญหาใหญ่ สำหรับคนอื่นปัญหานี่คือปัญหาเล็ก ทำไมต่างกัน ต่างกันที่ตรงไหน (จิตใจ) ต่างกันที่จิตใจและการรับรู้สถานการณ์มาต่างกัน ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์นั้นเกิดเป็นคนแล้ว บำเพ็ญธรรมแล้ว ต้องเป็นคนที่มีจุดหมายด้วย เราจะเป็นคนเหมือนอย่างที่เราเคยผ่านมาได้หรือไม่ (ไม่ได้) เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวของเรานี้ให้ดีมากยิ่งขึ้น
มีแต่ความไม่ดี มีแต่นิสัยไม่ดี ลุกขึ้นมาให้เป็นคนที่เต็มคน ลุกขึ้นมาให้เป็นคนที่ดีงาม ไม่ใช่ตัวเราชมตัวเราเองนะ ต้องให้คนอื่นชมตัวเรา เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่า คนดีไม่ชมตัวเองว่าดี แต่คนชั่วมักชมตัวเองว่าดี ฉะนั้นศิษย์อาจารย์รู้เช่นนี้แล้ว อยากจะมีปีใหม่หรือยัง (อยากมี) อาจารย์เห็นทุกๆ ปี ศิษย์ของอาจารย์ปีใหม่ก็จริง แต่ใหม่แต่ปี คนไม่ใหม่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) พอเปลี่ยนปีทีก็คำนวณใหญ่เลยปีหน้าจะเป็นอย่างไร คนชอบดูดวงก็ไปดูดวงก่อนเลย คนชอบเสี่ยงโชคก็ไปเล่นไพ่ เล่นหวยก่อนเลยใช่ไหม (ใช่) หากว่าใครเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการแทงเลข ดูดวง ก็แสดงว่าคนนั้นไม่มีความเป็นตัวของตัวเองมากพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ปีใหม่ของศิษย์ขึ้นอยู่กับอะไร อาจารย์ถึงบอกว่าไม่เคยเห็นปีใหม่ในโลกมนุษย์ เห็นแต่ปีที่มันเปลี่ยนไป แต่คนไม่ยอมเปลี่ยน ขี้โมโหอย่างไรก็อย่างนั้น เอาแต่ใจอย่างไรก็อย่างนั้น ปีที่ใหม่จึงใหม่แต่ปี คนไม่ใหม่ อยากมีปีใหม่หรือยัง ใครอยากมีปีใหม่ยกมือขึ้น อาจารย์ดีใจกับศิษย์เหล่านี้ ขอให้ศิษย์นั้นมีปีใหม่และเริ่มต้นปีที่ดีได้ ปรบมือให้กับตัวเอง เสียงปรบมือนี้ขอให้ก้องอยู่ในใจเวลาที่เราท้อใจ มีคนพร้อมที่จะดีพร้อมๆ กับเรา เสียงปรบมือนี้ไม่ใช่เสียงปรบมือของเราคนเดียว ฉะนั้นคนที่ดีขึ้นในสังคมนี้ ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียว เวลาทำความดีจึงไม่ยากอีกต่อไปเพราะว่ามีคนจะทำความดีเป็นเพื่อนเราถูกหรือเปล่า (ถูก) เก็บเสียงปรบมือนี้ในยามท้อใจ
(พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลแก่นักเรียนที่ตอบ)
คนตอบหลายคำถามได้ลูกเดียวคุ้มไหม อาจารย์คิดว่าคุ้มนะ เวลาที่เรารับอะไรถ้าเราประคองด้วยสองมือจะมั่นคงไหม (มั่นคง) ถ้าหากว่าซ้ายมือ ขวามือ มั่นคงไหม (ไม่มั่นคง) แล้วหากว่าลูกที่สามโยนมาถึงจะทำอย่างไรรับลูกที่สามแล้วปล่อยสองลูกแรกทิ้ง เพราะฉะนั้นจึงไม่มั่นคง ใช่ไหม (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมเหมือนกับอะไร เมื่อสักครู่อาจารย์โยนผลไม้ไป ศิษย์ของอาจารย์อ้ามือออกรับ รับได้ไหม (ได้) แต่หากว่าอาจารย์โยนไปศิษย์ไม่เอามือมารับ รับได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นวันนี้มาศึกษาธรรมก็เหมือนกับอาจารย์โยนมาให้ ศิษย์ก็ต้องแบมือออกรับ เวลาคนที่มาศึกษาธรรมจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ ต้องเปิดใจรับธรรมะเข้าไป ไม่เช่นนั้นก็เหมือนอาจารย์โยนไปให้แต่ศิษย์ก็หันหลังใส่ ฉะนั้นคนที่ฟังมาจนถึงตอนนี้หากจิตใจยังรู้สึกเปิดไม่ได้ เราต้องพยายามเปิดใจออกรับ รับเสร็จแล้วเราวางจะมีใครว่าไหม รับต่อหน้าอาจารย์ก่อนแล้วพอลับหลังอาจารย์แล้วค่อยไปวางแล้วกันนะ เดี๋ยวอาจารย์ลองโยนดูแล้วให้ศิษย์ของอาจารย์รับ ใครอยากโชคดีบ้างยกมือขึ้น โยนให้ฟรีๆ ต้องยกมือขึ้นรับใช่หรือไม่ (ใช่)
“คนเก่งยิ่งมากยิ่งรุ่ง” บางที่สถานธรรมเล็กนิดเดียว แต่ว่าทุกคนอ่อนน้อมถ่อมตนควบคู่ไปกับความเก่ง อันนี้ทำให้สถานธรรมผาสุก ราบรื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางที่สถานธรรมใหญ่โตแต่ว่าคนเก่งแย่งกันเก่ง รุ่งไม่รุ่ง (ไม่รุ่ง) เป็นดาวรุ่งหรือดาวดับ (ดาวดับ) เพราะฉะนั้นอาจารย์พูดไว้ว่าคนเก่งยิ่งมากยิ่งรุ่งก็อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำตัวเองให้รุ่ง มองธรรมะที่อยู่ในใจเรา เห็นธรรมะที่อยู่ในใจของเรา มีคนเขาบอกว่าภาษาไม่สามารถสื่อไปถึงธรรมะอาจารย์ก็เห็นด้วย แต่ศิษย์ในยุคปัจจุบันนี้ไม่มีเวลามาย้อนมองส่องใจของตนเอง ไม่มีเวลาที่จะมามองเห็นสัจธรรมในจิตใจของตนเองแล้วจึงไปสอนคน เพราะเรานั้นต่างเข้าข้างตนเอง ธรรมะจึงเอียงกระเท่เร่ ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ใช้ภาษามาศึกษาธรรมะ แล้วพูดให้คนอื่นฟังอย่างจิตใจที่ตรงเที่ยง สักวันหนึ่งบำเพ็ญผ่านไปจิตใจของเรานั้นเปล่งประกายแห่งพุทธะออกมามากเมื่อไหร่ วันนั้นเราก็จะเห็นถึงความแยบยลของธรรมะและสัจธรรมไปเอง แต่เฉพาะหน้าตอนนี้ขอให้เรานั้นเป็นคนที่มีความสามัคคี
ในชั้นเรียนชั้นนี้หลายๆ คนมีโอกาสออกมาจับไมค์ หลายคนมีโอกาสที่จะมาเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ในปีที่แล้วๆ มาเราไม่เคยทำ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นสร้างโอกาสให้เป็นโอกาส ไม่ใช่สร้างโอกาสให้เป็นวิกฤต ต้องรู้จักที่จะสร้างโอกาสของเรานั้นให้เป็นความก้าวหน้าต่อไปให้เป็นโอกาสจริงๆ และต้องพยายามที่จะเปิดใจให้กว้าง เราถามคนเก่า คนเก่าถามเรา เราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งสถานธรรมเต๋อฮว่า ( ???? ) ทั้งสถานธรรมจือเจวี๋ย ( ???? ) เป็นพี่น้องร่วมมือกันเมื่อไรก็รุ่ง ขัดกันเมื่อไรก็ (ร่วง)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ทำหน้าที่เขียนพระโอวาทบนกระดานดำ)
อาจารย์ว่าการเขียนให้ถูกต้องนั้นทุกคนทำได้ ทุกคนในที่นี้ก็มีความสามารถ แต่การเขียนให้ดีไม่ค่อยมีใครทำได้เท่าไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นไปเขียน ลายมือก็จะเปลี่ยนไป ทำไมถึงไม่เหมือนกันล่ะ เพราะต่างคนต่างเอาลายมือของตัวเองขึ้นไปเขียน สิ่งที่ต้องเหมือนกันก็คือ ตัวหนังสือแห่งความสามัคคีที่ข้างซ้ายและข้างขวานั้นต้องเขียนให้เป็นลายมือที่ค่อนข้างจะเหมือนกันและไม่เขียนไปตามนิสัยของตัวเราเอง อาจารย์จึงบอกว่างานธรรมนั้นยิ่งมากโดยเฉพาะศิษย์นั้นจัดประชุมธรรมเกือบทุกอาทิตย์ ความสามารถของศิษย์แต่ละคนก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าเวลาที่เราทำงานธรรมะ ไม่ได้ทำไปตามความชำนาญหรือความสามารถเท่านั้น แต่ยังต้องทำตามคุณธรรมของตัวเราด้วย อย่างเช่นเรามีหน้าที่ทำกับข้าว เราล้างจานล้างชาม เราก็ล้างจิตใจของเราไปด้วย เมื่อเราทำหน้าที่เขียนกระดาน เมื่อเวลาเราลบทิ้ง เราก็ดูว่าเราลบได้สะอาดเพียงไหน เมื่อเราทำหน้าที่บรรยายธรรม พูดไปก็คิดไปว่าเรานั้นทำได้หรือยังอย่างที่เราพูด เวลาทำงานร่วมกันยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย เห็นชัดใคร ไม่ใช่เห็นคนอื่นชัด คนส่วนใหญ่จะเห็นคนอื่นชัดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะมัวแต่มองผู้อื่นว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันเป็นอย่างไร และสรุปทีไรฉันก็ดีกว่าทุกทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้แหละอาจารย์ถึงอยากที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์มองเห็นตัวเอง เข้าใจตัวเอง ฝึกคุณธรรมของตัวเอง ทุกๆ วันที่ผ่านไปจึงไม่ผ่านไปอย่างคนที่ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่สิบปีที่แล้วยังไม่บำเพ็ญธรรมก็เป็นอย่างนี้ แย่กว่านี้นิดหน่อย พอสิบปีหลังบำเพ็ญธรรมแล้วก็เป็นอะไรที่คล้ายๆ กัน อย่างนี้แสดงว่าเรานั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้ก้าวหน้าเลย ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งมีแต่ความเป็นตัวของตัวเองอัตตามากขึ้น อย่างนี้จะเรียกว่าบำเพ็ญธรรมได้อย่างไร
ส่วนคนที่มาใหม่ในวันนี้ ไหนลองตอบสิว่า การบำเพ็ญธรรมของศิษย์คืออะไร (ขัดเกลาตัวเอง, การเริ่มต้นทำความดี) บำเพ็ญธรรมคือการขัดเกลา ขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง เป็นเรื่องไกลตัวไหม ใกล้ตัวเสียจนเราลืมไปเลยด้วยซ้ำจิตใจของเรามีกี่ดวง (ดวงเดียว) ขัดเกลาจิตใจใช้เวลากี่นาที ไหนลองหลับตา ลองสมมติว่าในมือซ้ายของเรามีแก้วกลมๆ อยู่ลูกหนึ่ง มือขวาจับผ้าขึ้นมา อาจารย์นับหนึ่งถึงสามก็เริ่มเช็ด ใครเช็ดเสร็จยกมือนะ หยุดเช็ดก่อน คนยกมือแล้วค้างไว้ ลืมตา เช็ดไวแบบนี้สะอาดไหม (ไม่สะอาด) ใครที่คิดว่ายังไม่สะอาดหลับตาแล้วเช็ดต่อไป ใครเช็ดเสร็จแล้วยกมือ สะอาดหรือยัง สะอาดแล้วใช้เวลากี่นาที (หนึ่งนาที) ทุกคนลืมตาขึ้น อาจารย์สมมติให้แก้วดวงนี้คือจิตใจของคนเรา สมมติว่าผ้าคือการขัดเกลา อาจารย์นับสามยังไม่ถึงเท่าไรเลยก็มีคนยกมือแล้ว แสดงว่าจริงๆ แล้วการเช็ดจิตใจของเรามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเกินไปใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์ของอาจารย์คิดก็สามารถทำได้แล้ว เพียงแต่ว่าโดยปกติเราไม่เคยมองตัวเอง เราไม่มองตัวเองจึงไม่รู้ว่าการเช็ดขัดเกลาจิตใจของเรานั้นมันง่าย และเรานั้นก็ยังไม่เคยทำ อาจารย์จึงบอกว่า สมมติให้ศิษย์ดึงจิตใจออกมาได้ แล้วจิตใจของเรานั้นให้เราเช็ดได้ ถ้าให้เราเช็ดได้เราจะใช้เวลาสักเท่าไร จริงๆ แล้วการขัดเกลาจิตใจการบำเพ็ญตนนั้นก็ไม่ง่าย มันยากตรงที่ว่าแก้วที่เป็นจิตใจของเรา พอนานๆ ไปเราคุ้นกับความสกปรกของแก้ว เคยเห็นคราบที่จับตามแก้วน้ำไหม (เคย) แก้วอันนี้ถ้าเราใช้ทุกๆ วันโดยที่เราไม่ได้ล้าง คราบมันก็ไปจับที่แก้ว จับๆ ไปในที่สุดแล้วความขุ่นของคราบสกปรกนี้ก็กลมกลืนไปทั้งแก้วเลยใช่ไหม (ใช่) เราลืมไปเลยว่าจริงๆ แล้วนี่คือคราบสกปรก ตราบเมื่อวันใดวันหนึ่งที่มีแก้วอีกใบที่ใสกว่ายังไม่ได้ใช้เอามาตั้งเทียบกัน เราก็จะรู้ทันทีว่าจริงๆ แล้วแก้วของเราเป็นแก้วที่สกปรก ฉะนั้นเวลาที่เราบำเพ็ญธรรม ขอให้เราตัดสินใจที่จะเช็ดแก้วของเราให้สะอาด แล้วหากวันหนึ่งวันใดมีโอกาสที่จะให้คนอื่นมาติเราว่าเราหรือมีโอกาสมองเห็นความดีของคนอื่น ให้รีบหันกลับมามองตัวเองว่า แก้วของเรานั้นมันขุ่นไปอีกรอบหนึ่งหรือเปล่า ถ้าหากว่าศิษย์ใช้หลายคนหลายมือ แก้วที่สะอาดก็ขุ่นง่ายใช่หรือไม่ เราต้องพยายามพิจารณามองตัวเอง โทษผู้อื่นไม่ได้ การบำเพ็ญกล่าวติผู้อื่นก็ไม่ถูก มีแต่ต้องกล่าวติตัวเองและมองจิตใจของตัวเอง ทำจิตใจของเราให้ดีขึ้น เช็ดจิตใจของเราให้สะอาด อาจารย์พูดแบบนี้มาเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญแล้วแต่ยังไม่ปฏิบัติเลย การที่บำเพ็ญผ่านไปทุกวันๆ จึงมีความหน่ายขึ้นทุกวันๆ เช่นเดียวกัน
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมอาจารย์ถ่ายทอดธรรม)
เวลาที่ทำพระโอวาท มีวิวัฒนาการนำสมัยมากมาย มีคนที่ใช้โดยไม่ได้บอกให้ศิษย์รู้ มีโฮ่วเสวีย ( ???? - นักธรรมรุ่นหลัง ) ของศิษย์ที่เขาทำโดยที่ศิษย์ก็ไม่รู้ ฉะนั้นการใช้สิ่งที่เป็นวิวัฒนาการสมัยใหม่ ให้ใช้อย่างมีขอบเขต ใช้อย่างรู้ประมาณตน เวลาที่เราสร้างความดีนั้น เป็นสิ่งที่สร้างแล้วคนไม่ค่อยเห็น แต่ว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเห็น เราต้องอาศัยความใจดี เข้าไปแลกใจเขามานะ รู้ไหม (รู้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงพระโอวาท)
นั่งสองวันนี้เบื่อไหม (ไม่เบื่อ) นั่งเป็นสามวัน สี่วัน ห้าวันได้ไหม (ได้) เสียงเบาลงเรื่อยๆ นะ การนั่งฟังธรรมสองวันนี้เป็นเพียงการลงเมล็ด แต่กลับไปบ้านอย่าลืมรดน้ำรู้หรือเปล่า หว่านเมล็ดลงไปแล้วไม่รดน้ำต้นไม้เป็นอย่างไร (ตาย) อยากให้ต้นพุทธะของตนเองตายไหม (ไม่อยาก) รู้ว่าธรรมะมีค่าต้องเอากลับไปปฏิบัติ ถ้าเราทำดีต่อผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ถ้าเราฝึกจิตใจก็เหมือนกับยิ่งรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้แห่งพุทธะของเรานั้นมันก็จะเจริญงอกงาม กลับไปขี้บ่นได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเด็กๆ ล่ะ กลับไปต้องขยันทำอะไร (ขยันเรียน) ขยันเรียนเท่านั้นเองหรือ เด็กดีต้องทำอย่างไร (ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ , จะลดความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง , ช่วยเหลือเพื่อนพ้อง) ช่วยอย่างไร เวลาเพื่อนขอให้ช่วยไปซื้อบุหรี่มาให้หน่อยจะไปไหม เวลาเพื่อนบอกให้ไปซื้อยาม้ามาสักเม็ด ไปเสพเฮโรอีนด้วยกัน เอาไหม (ไม่เอา) (รักษาศีลห้า) ข้อไหนต้องรักษาหนักที่สุด (ข้อสาม) ว่าด้วย (ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น) เห็นไหมว่าโลกมนุษย์เดี๋ยวนี้เสื่อม จงใจรักษาข้อนี้แสดงว่าคงไม่เด็กแล้วนะ
เวลาเป็นเด็กต้องใช้ชีวิตอย่างเด็กให้คุ้ม เวลาแก่แล้วก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนแก่ให้คุ้ม เวลาทำงานก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนทำงานให้คุ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเด็กมักเน้นเรื่องเรียน พอเป็นคนแก่มักเน้นเรื่องเข้าวัด พอทำงานมักจะบ้างาน ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ก็จับสามวัยนี้มารวมกัน เป็นเด็กก็เน้นได้ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องของการฟังธรรมะ ฟังธรรมสงบกว่าการฟังเพลง สงบกว่าการไปเที่ยว คนนี้เด็กไหม (เด็ก) ไหนผู้ใหญ่ลองตอบเด็กน่ารักตรงไหน (ไร้เดียงสา)
อาจารย์จะบอกให้ ไม่มีใครมีกำลังมากตั้งแต่เกิด ไม่มีใครมีความสามารถตั้งแต่เกิด ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด แต่ทุกอย่างเกิดจากการฝึกฝน เดิมเราอาจจะมีปัญญาแค่ฟุตหนึ่ง แต่หากว่ายิ่งฝึกฝนก็ยิ่งมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากไม่ฝึกฝนล่ะ ไม่ใช่คงที่ แต่มันหดสั้น หดสั้น
เด็กน่ารักตรงไหน (มีความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์, เป็นเด็กดี, เด็กน่ารักคือเด็กที่ยังตัวเล็กอยู่, เด็กน่ารักทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจและไม่เสแสร้ง, ไม่กล่าวคำว่าร้าย, ไม่พูดโกหก)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกไปวงพระโอวาทซ้อน และประทานเพลงพระโอวาท)
“ศิษย์ขยันหาเรื่องกันให้น้อยหน่อย”
แต่ประหลาดบางทีเราไม่หาเรื่องเขา เขาก็หาเรื่องเราใช่หรือไม่ ถ้าต่างคนต่างไม่หาเรื่องแล้วเป็นอย่างไร (สบายดี)
(พระอาจารย์เมตตาอาจารย์บรรยายธรรมที่ดูแลหน้าชั้น)
อาจารย์พูดบ่อยๆ ว่า คนถือไมค์อยู่ข้างหน้ามีอำนาจอยู่ในมือเต็มที่ พูดอะไรจะพูดอย่างคนไม่คิดไม่ได้ แล้วต้องขยันอ่านหนังสือให้มากๆ ถ้าหากว่าเราอยู่ในเกณฑ์ที่อาจจะต้องมานำคนอื่น เราก็ต้องเร่งอ่านหนังสือมากเป็นสามเท่า ส่วนคนที่ตอนนี้ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ อาจารย์ว่าดีนะ เพราะว่าเราอ่านหนังสือ เป็นประจำทุกวันๆ พอถึงวันหนึ่งเรามีหน้าที่ เราก็ทำได้เต็มที่ แต่ว่าคนที่ตอนนี้ขึ้นมานำแล้วจับไมค์แล้ว ลงได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเวลาพูดบางทีพูดอะไรก็ยังไม่รู้ ยังงงๆ เพราะฉะนั้นต้องอ่านหนังสือเยอะๆ คำพูดของปราชญ์โบราณอ่านเยอะๆ แล้วเราต้องใช้ทั้งน้ำเสียงและความรู้ที่เรามีมา ใช้ทั้งความสามารถพูดออกไป ถ้าหากว่าเรานำได้ไม่ดีก็หมายความว่าเราไม่ได้เรื่อง แล้วพอไม่ได้เรื่อง ใครเห็น คนอื่นเห็น ไม่ใช่ว่ารู้ไว้เพื่อขายหน้า แต่รู้ไว้เพื่อพัฒนา ใช่หรือไม่ วันนี้เราพัฒนามากขึ้น ปีหน้าก็ยิ่งมากขึ้นๆ ทุกปีนะ
“ให้เวลาคิดก่อนแล้วจึงทำ ศิษย์หัวเสเจ้ากรรม เห็นว่างานธรรมนั้นคืออะไร บำเพ็ญคิดให้ออกไวไว สิบปีนั้นไซร้ก็เหมือนดังวันเดียว “
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “สิบปีเหมือนวันเดียว” ทำนองเพลง “ผู้ใหญ่ลี”)
เราจะใช้สิบปีเหมือนวันเดียวได้อย่างไร ทุกวันนี้เวลาเรามีความทุกข์ หนึ่งวันของเราเหมือนกี่ปี สิบปี แล้วเวลาเรามีความสุขล่ะ สิบปีเหมือนวันเดียว แสดงว่าเราบำเพ็ญอย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์สิบปีเหมือนกี่ปี
ถ้าหากว่าสิบปีเหมือนวันเดียวได้เมื่อไร แสดงว่าเราบำเพ็ญธรรมอย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าเรายิ่งช่วยคนยิ่งทำงานมากก็ยิ่งรู้สึกเวลาไม่พอ ใช่หรือเปล่า ถ้าหากวันๆ นั่งเบื่อ นั่งเหงาและท้อ โทษโน่นโทษนี่ สิบปีเหมือนกี่ปี เหมือนร้อยปี ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมไม่มีความสุข แล้วใครจะมีความสุข ขนาดคนบำเพ็ญธรรมยังไม่มีความสุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีความสุข และมีความสุขในการบำเพ็ญธรรม ความสุขทำให้ศิษย์ปลงได้ ความสุขทำให้รักตัวเองอย่างถูกทาง การบำเพ็ญธรรมนั้นทำให้ศิษย์เป็นตัวของตัวเอง แต่หากว่าเราบำเพ็ญธรรมแล้วรู้สึกว่ากลัว รู้สึกไม่อยากที่จะเข้าใกล้ รู้สึกผิด อย่างนี้เราบำเพ็ญธรรมถูกทางหรือเปล่า การบำเพ็ญคือการขัดเกลา และในการขัดเกลานั้นคือการแก้ไข อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นแก้ไขตัวเองและมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ดีไหม หมดเวลาชีวิตนี้ไปอย่างมีคุณค่า และหมดเวลาชีวิตนี้ไปอย่างมีความสุข สิ่งที่ทำให้ได้สองอย่างนี้คือการบำเพ็ญธรรม
บำเพ็ญให้ถูก เวลาใครพูดอย่าไปเชื่อ ทำไมพูดอย่างนี้ เพราะเราต้องพิจารณาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เวลาที่เขาพูดถูกแล้วเราจะบอกว่าเขาพูดผิดได้ไหม (ไม่ได้) บางคนติดนิสัยเวลาคนอื่นพูดมา เรายังฟังไม่ทันจบเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าไม่ใช่ ยังฟังไม่ทันจบเลยเราก็เกี่ยงแล้วว่าไม่ใช่ ที่คนอื่นพูดไม่ใช่หมด แต่ที่เขาพูดจริงๆ แล้วถูกใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นต้องพยายามที่จะใจเย็นลงและฟังคนอื่นให้มากขึ้น คนอื่นพูดก็อาจจะถูก แม้ว่าคนนั้นจะอาวุโสกว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อเสียทีเดียว แต่ขอให้เราใช้ปัญญาพิจารณา เมื่อเขาพูดถูก พูดดี ศิษย์จะไม่ยอมรับได้อย่างไร ใช่หรือไม่ แต่อย่าโอบอุ้มจิตใจที่คิดว่าไม่ใช่ๆ ไม่เอาๆ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เป็นจิตใจที่คัดค้านก่อน เมื่อจิตใจคัดค้านแล้วทำอะไรจะสำเร็จได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่จดพระโอวาทบนกระดาน)
เห็นเขาเขียนผิดๆ อย่างนี้ ทั้งที่อาจารย์ก็พูดชัดแล้ว เห็นๆ แล้ว อาจารย์มองๆ ก็ไม่ได้คิดถึงเขาคนเดียวนะ อาจารย์คิดถึงศิษย์ทุกคนเลยนะ บางทีไม่น่าจะงงง่ายๆ ในการปฏิบัติธรรมทำงานธรรมอะไร แต่ไม่รู้อะไรขัดขวางอยู่ทำให้เรามึนงง เราต้องพยายามคิดและขจัด นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่ไว้ย้อนมองการบำเพ็ญธรรมของเรา เราไม่อยู่ตรงนั้นเราก็ไม่รู้ ทำไมคนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ลำบากจึงรับรู้ได้ ลำบากเพราะเขาเอาใจเข้าไปใส่ใช่หรือไม่ ใจของเราเข้าไปผูกกับความลำบากนั้น และคิดว่าความลำบากนั้นเป็นของเราจึงทำให้เรายิ่งลำบากใหญ่เลย ขนาดเขียนก็ยังผิดเลยใช่หรือไม่
(เนื่องด้วยเนื้อเพลงพระโอวาทเขียนผิด พระอาจารย์จึงเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เป็นผู้เขียน)
คนเขียนผิดออกมาแล้ว ควรทำอย่างไร (นักเรียนปรบมือให้) เวลาที่เราเจอคนผิดเราต้องให้กำลังใจเพราะว่าความผิดนี้ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น และความผิดนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่) ความผิดนี้ไม่ใช่ความผิดที่ลักขโมย เพราะฉะนั้นเวลาผู้อื่นทำผิด เราควรที่จะให้อภัย ให้กำลังใจเขา เนื่องจากเขาไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และความผิดนั้นไม่ได้ร้ายแรง ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์อยากจะซ้ำคน ต้องดูให้ดีๆ หากว่าดูไม่ดี อาจจะซ้ำใคร (ซ้ำตัวเอง) ซ้ำว่าตัวเราเองนั้นยังด้อยคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาเจอคนที่มีความสามารถมากกว่าในเรื่องที่เราไม่รู้เราก็บอกว่าถูก ต่อเมื่อวันหนึ่งพอเรารู้มากขึ้น เรียกว่าคนรู้มาก พอรู้มากคนอื่นพูดอะไรก็บอกว่าผิดหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่เป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเจอคนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วคนนั้นก็คือเราหรือเปล่า ฉะนั้นเวลาที่เรารู้มากขึ้นก็ทำตัวเหมือนไม่รู้ ยังอ่อนน้อมไต่ถามเหมือนเดิม นั่นแหละจึงจะแสดงให้เห็นว่าเรานั้นบำเพ็ญธรรมมีความก้าวหน้ามากขึ้น ไม่ใช่พอถึงวันหนึ่งเมื่อเรารู้มากขึ้นคนที่เราเคยบอกว่าเขาเก่ง มาวันนี้เขาดีเทียบเราไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่า “หม่า ?•” หมายถึง “ม้า” “เต้า •?” ก็คือคำว่า “ถึง” “เฉิงกง ?•??” แปลว่า “สำเร็จ” ปีนี้เป็นปีม้า เมื่อวานนี้ศิษย์พี่ของเจ้าก็ให้คำนี้ไว้เพื่อเป็นการบอกว่าปีม้ามาถึงแล้ว ขอให้สำเร็จรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ขอให้งานธรรมเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ขอให้ชีวิตมีแต่ความสำเร็จ อย่างนี้ต้องขอบคุณศิษย์พี่หรือเปล่า (ขอบคุณ) ความหมายอันนี้เป็นความหมายที่ดีมากและอยากให้ศิษย์รู้ไว้ว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดด้วยการไม่ทำอะไรเลย แต่ความสำเร็จเกิดจากการที่เรานั้นยิ่งทำยิ่งสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่ารอราชรถมาเกยแล้วราชรถไม่มาเกย นี่จะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) แล้วชีวิตนี้ใครคิดว่าตัวเองนั้นจะมีราชรถมาเกยบ้างฉะนั้นราชรถนั้นก็คือราชรถที่เราหาและมาเกยบ้านของเราเอง
วันนี้ศิษย์มาประชุมธรรมและเป็นวันที่ศิษย์เก่าหลายๆ คนนั้นเคยผ่านไปแล้ว โอวาทที่อาจารย์ให้ คำพูดที่อาจารย์บอกวันนี้ ใครที่เป็นม้าดีอาจารย์ลงแส้ไว้วันนั้นวันเดียว แต่ลงแส้ไปศิษย์ก็ไม่เจ็บแล้วนะ อาจารย์ไม่ได้ลงคำกล่าวโทษแต่อาจารย์ลงแรงเชียร์ให้ศิษย์บำเพ็ญสุดใจ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วถ้าหากว่าใครเป็นม้าดีอาจารย์ลงแส้ทีเดียว เจออาจารย์ครั้งเดียวศิษย์ก็อาจจะบำเพ็ญไปตลอด แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นม้าไม่ดี ไม่ใช่ม้าอาชาไนย เวลาที่อาจารย์ลงแส้ไปเป็นพันๆ ครั้งศิษย์อาจจะไม่บำเพ็ญเลยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง เจออาจารย์อาจจะเป็นความสุข แต่หากว่าศิษย์ไกลอาจารย์นั้นไม่ใช่ความทุกข์ ขอให้ศิษย์นั้นมุ่งมั่นก้าวหน้าบำเพ็ญด้วยจิตใจของตัวเองให้จิตใจของเราเป็นอาจารย์ของเรา เพราะว่าเวลาที่เจออาจารย์ แม้บางทีอาจารย์อยากจะตักเตือนแต่อาจารย์ก็ตักเตือนไม่ได้ อาจารย์ไม่สามารถที่จะพูดได้เมื่ออาจารย์ไม่มีร่างที่ให้อาจารย์ยืม ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นให้ตัวเองเป็นอาจารย์ตัวเอง เวลามองเห็นความผิดของตัวเองอย่าปิดบัง อย่ากลบเกลื่อนความผิดของตัวเองโดยเอาความดีเข้ามาโปะ แล้ววันหนึ่งความผิดต่างๆ นั้นมันสุมขึ้นมา มันพอกพูนขึ้นมา จนแม้กระทั่งความดีเล็กๆ ของศิษย์มันปิดไม่มิดถึงเวลานั้นจะให้ใครช่วย
บำเพ็ญดีๆ อาจารย์อยู่เป็นกำลังใจกับทุกคน ดีไม่ดีเราย่อมรู้อยู่แก่ใจ ทำอะไรก็ระวัง คิดหน้าคิดหลัง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ เป็นเด็กดีรู้ไหม ยังไม่โตหรอกเรา ศึกษาบำเพ็ญธรรมให้มากๆ อย่าย่ำอยู่กับที่ ชีวิตนี้ทุกข์ไหม ชีวิตนี้มีความทุกข์ อาจารย์นั้นนำทางพ้นทุกข์ ตามอาจารย์ก็พ้นทุกข์ไป ไม่ตามอาจารย์ก็ไม่อาจพ้นทุกข์ คนตาบอดเวลาให้เขาถือเทียน บอกว่าเทียนนี้มันสว่าง เขาก็คิดว่ามันสว่าง ตาดีๆ ถือเทียนอยู่สว่างจริงแต่ว่าใจนี้มันมืด อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนตาดีที่ถือเทียนสว่างและใจสว่างด้วย ธรรมะที่ให้ทางหลุดพ้นและทางดับทุกข์เหมือนเทียนที่ให้ความสว่าง ตาดีจะปล่อยให้ใจมันมืดอย่างไร ในเมื่อเราทั้งเก่งทั้งฉลาด อย่าปล่อยให้ปัญญามืดทึบ
บำเพ็ญไม่ต้องไปติคนอื่นว่าคนอื่น เห็นคนอื่นต้องเห็นตัวเรา ย้อนมองส่องตน บำเพ็ญเป็นสิบปีแล้วความก้าวหน้าอยู่ที่ไหน ก้าวหน้านี้ไม่ใช่ว่ามีห้องพระใหญ่แล้วเรียกว่าก้าวหน้า ไม่ใช่ศิษย์ทานเจแล้วเรียกว่าก้าวหน้า แต่ก้าวหน้าที่จิตใจ ต้องมองที่จิตใจ จิตใจต้องดีขึ้น นั่นเรียกว่าก้าวหน้า เป็นความดีที่ไม่ต้องให้คนอื่นเห็น เป็นความดีที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วยชม อย่าลืมก้าวหน้านะ ก้าวหน้าทุกคน คนวิ่งมาไวต้องยิ่งก้าวหน้า อย่าให้เป็นอย่างคำคนอื่นพูด ที่ว่ามาไวไปไว อย่างนั้นไม่ดี
เห็นศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นเด็กๆ การบำเพ็ญธรรมถ้าเราเป็นเด็กดี ขยันๆ บำเพ็ญนั้น บางทีดีกว่าผู้ใหญ่เพราะว่าเด็กๆ เปลี่ยนง่ายแก้ง่าย แต่น่าเสียดายที่คนสมัยนี้มีผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมโต กับมีเด็กที่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ เมื่อยามโตเราไม่ยอมที่จะรับผิดชอบ อย่างนี้กลับตาลปัตร คนบำเพ็ญธรรมแล้วต้องเข้ารูปเข้ารอย จะต้องเป็นเด็กที่ศึกษาและเรียนรู้ขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ให้มาก เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเราต้องไปรับผิดชอบมากมาย ถึงเวลานั้นไม่อยากโตก็ต้องโต ฉะนั้นเวลาที่มีอยู่ในช่วงชีวิตเราอยู่ในช่วงไหนก็กุมเวลานั้นให้ดีๆ คนที่รักตัวเองก็ย่อมนำสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ตัวเอง การบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ ต่อให้ศิษย์นั้นมีเวลามา
สถานธรรมน้อย แต่อย่างน้อยเวลาที่ศิษย์อยู่กับคนอื่นบนโลกนี้ศิษย์ต้องเอาดีเข้าหา แม้กระทั่งคนอื่นที่ร้ายกับเรา นี่เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรกระทำ ธรรมะอยู่ทุกที่ อยู่ในชีวิตครอบครัว อยู่ในชีวิตการงาน อยู่ทุกๆ ที่ที่ศิษย์อยากให้มี
อาจารย์กลับไปแล้วจะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ อาจารย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะว่าศิษย์นั้นนำสิ่งที่อาจารย์สอนไปปฏิบัติ อาจารย์ไม่อยากเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครปฏิบัติตาม อยากเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนเอาสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นไปปฏิบัติให้ได้ อยากให้บำเพ็ญธรรม อยากให้ศิษย์มีเวลาศึกษาธรรมและรู้จักตัวเองให้มากๆ ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใด ธรรมะอีกมากมายที่อาจารย์นี้พูดไม่หมดแล้ว อาจารย์นี้คงพูดไม่ออกแล้ว ใจของอาจารย์นั้นอยู่กับศิษย์ทุกคน ศิษย์ทุกคนอยู่ในใจอาจารย์ “จงเอาใจของเจ้าสัมผัสถึงสิ่งที่อาจารย์อยากพูด จงเอาใจของเจ้านั้นไม่ขลุกอยู่ในแดนโลก จงเป็นคนที่พ้นโลก พ้นกิเลสอันเป็นภัยร้ายแก่มนุษย์ อย่าหลงมัวเมา และทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองนั้นจะทำได้”
อาจารย์ยอมเหนื่อยถ้ามีเวไนยขึ้นฝั่งได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ทุกวันเจ้ายอมเหนื่อยเพื่อใคร อาจารย์ยอมทุกข์ถ้าหากว่าแก้ทุกข์ศิษย์ได้ แล้วทุกวันนี้ศิษย์ทุกข์เพราะใคร ทะเลทุกข์กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หันหลังมาก็คือฝั่งธรรม กลัวแต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ยอมแม้แต่จะหันหลัง ยังจมปลักและขอเป็นส่วนหนึ่งของโลกีย์ตลอดไป
วันนี้อาจารย์ลงแส้เดียว หวังว่าศิษย์นั้นวิ่งไปไกลอีกพันลี้ อาจารย์คงไม่ผิดหวังในตัวศิษย์ เพราะศิษย์ทุกคนนั้นเป็นศิษย์ที่ดี เป็นคนดี รักตัวเอง บำเพ็ญธรรมให้มาก ไม่ต้องทำเพื่ออาจารย์ แต่ให้ทำเพื่อตัวเองนะศิษย์นะ
คนดีอยู่ที่ไหนใครก็รัก คนไม่ดีอยู่ที่ไหนใครก็ชัง อนาคตเลือกได้ด้วยมือของเรา ไม่ต้องไปดูหมอ ให้ศิษย์ดูตัวเราก็พอ สิ่งที่วันนี้เราเป็นคือสิ่งที่เราเคยทำมา อย่าท้อถอยต่อชีวิต เราจะสู้ต่อไปใช่ไหมศิษย์ (ใช่) รักษาตัวเองให้ดีๆ ทำงานธรรมะตามกำลังนะศิษย์นะ อย่าลืมเปลี่ยนแปลงตัวเอง นิสัยตัวเอง ลาก่อน.
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หม่า เต้า เฉิง กง”
สู่ปีม้าปีใหม่ให้จงราบรื่น มาแจ้งพื้นม้าดีได้ต้องฝึกฝน
เร็วว่องไวอีกแข็งแรงและอดทน เป็นคนดีจึงต้องฝึกตัวเท่าทวี
ความสำเร็จกลั่นด้วย พยายาม
กลัวแต่คร้านคุกคาม เหนี่ยวรั้ง
เรือใช้พายอย่าหาม เรือนี้ ขึ้นฝั่ง
คนเก่าไม่มีพลั้ง เมื่อใช้ปัญญา
อ่านต่อ...