วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2544

2544-12-08 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF  2544-12-8-ผู่ถี #15.pdf

วันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๔ พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ก้าวเดินทับรอยเดิมไม่มีพัก ประดุจวัวพันหลักชีวิตนี้
จงตื่นขึ้นจากความฝันบำเพ็ญดี และรู้ที่ละกิเลสคืนแดนเดิม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง    ฮวา   ฮวา 

หนึ่งชีวิตดั่งละครน้องรู้ไหม จะใกล้ไกลต่างกันแค่ความคิด
อยู่ในโลกที่มีแต่เรื่องเบี้ยวบิด ขอพินิจด้วยปัญญาคืนสายกลาง
บำเพ็ญจิตแปรตนเป็นคนใหม่ ความยิ่งใหญ่อยู่ที่แปรตนได้
ช่วยผู้อื่นไม่รอตัดสินใจ เห็นปลาในร่องเกวียนเร่งช่วยกัน
เกิดมาแล้วขอให้สร้างความดี ในหนึ่งปีมีอยู่ไม่กี่วัน
วันใดสร้างความดีเป็นวันสำคัญ มรณะเร่งกระชั้นเตือนใจตน
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอเคารพในจิตใจใสสะอาด
มัวกังขาไม่ใช้ปัญญาถือประมาท การเรียนอาจสำเร็จได้ด้วยลงมือ
ในครานี้น้องมีบุญกับพุทธะ จงลดละทิฐิฟังธรรมเถิด
ให้พุทธะกลางใจมาบังเกิด คนประเสริฐด้วยความดีที่หมั่นทำ
สังคมแรงเหล่ากิเลสชักนำหลง คนพะวงมากมายไม่รู้สิ้น
อันชื่อเสียงลาภยศเต็มแดนดิน แต่ยังสิ้นคนได้มาอย่างเสรี
ในบัดนี้เป็นยุคปลายโปรดเวไนย ทางลัดให้สายทองส่งจับให้มั่น
ทุกทุกคนต่างมีหน้าที่สำคัญ คือเร่งผันโลกให้เป็นดั่งบัวบาน
ขอให้ใช้ความเข้าใจไปพากเพียร ดั่งจุดเทียนเทียนมอดไฟไม่ดับ
ขอให้รู้บำเพ็ญจริงเดินมุ่งกลับ ขอให้จับทิศทางแล้วมุ่งสุดใจ
จงรักษาพุทธระเบียบให้จงดี ขอให้มีความศรัทธาบริสุทธิ์
อาสวกิเลสพาชำรุด แดนวิมุตติต่างถึงได้ด้วยพยายาม
อย่าได้หลงเวียนว่ายอีกต่อไป แสงส่องไกลใจนี้ถึงซึ่งกุศล
เมื่อคิดแก้อย่ารอช้าแก้บัดดล เกิดเป็นคนประเสริฐสุดในสามแดน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
จะดูแลความเรียบร้อยทั้งสามวัน ขอน้องหมั่นฟังธรรมให้เข้าใจ
จบชั้นไปมีเวลามาศึกษา อย่าได้พูดไม่มีเวลาเข้าใจไหม
เกิดเมื่อไรตายเมื่อไรใครรู้ได้ ชีวิตอย่าประมาทไว้เป็นดี
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา   ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

อย่าปล่อยให้ความจอมปลอมครอบงำตน โลกน่ากลัวเพราะคนร้ายกว่าผี
กลายเป็นโจรอยู่ในคราบผู้ดี รู้อย่างนี้จริงใจไว้ในจรรยา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามพุทธะทุกท่านสราญฤๅ

สำรวมกายบำเพ็ญมาชุบใจนี้ เวลาสิ่งเดียวที่ญาณห่วงถึง
ทิ้งคนโดยคนไม่เคยคำนึง ประมาทดึงใจสู่เหวไร้ทิศ
ได้พาพึ่งคนดีเย็นชีวัน ช่วยซึ่งกันนำความร่มชีวิต
ให้เวลาบำเพ็ญมีมากอีกนิด ชำระจิตใจอย่างคนฉลาดล้าง
หัดใจคนยิ่งรู้ฟังถนอม พูดรู้ยอมเรียนเป็นประโยชน์กว้าง
คิดเป็นเมื่อใช้ปัญญาเป็นทาง อภัยให้คนขอโทษสร้างมิตรสัมพันธ์
มนุษย์ผิดสัจจะไยใจทุกข์ใหญ่ ปัญหาเลี่ยงกันไปหวั่นซ้อนชั้น
สติจะตัดสินด้วยความเท่าทัน ชนะคนผู้ที่รั้นด้วยบารมี
ไร้เงื่อนงำอย่างสัทธรรมที่ผุดผ่อง ไฉนมองผ่านพระธรรมภาษานี้
เงยหน้าฟ้าคลุมหวั่นไยฤดี ราคีไม่อาจครอบคนมีเสบียง
อย่าปล่อยตัวตามโลกีย์ถิ่นมายา ถิ่นโลกาที่คุ้นบ่มเพาะเลี้ยง
สมบัติเลยไหนเคยไหมพอเพียง เมื่อหวั่นชีวาขื่นเลี่ยงบาปทั้งหลาย
อัตตาจมจิตขโมยหัวใจปราชญ์ สารพัดจนธรรมะตายจากใจไป
หน้าที่คนจากสมัยสู่สมัย ใครปล่อยใจไปยึดถูกบรรเลง
ฝึกการให้ฝึกใจใฝ่จริยา ทุกวันฝ่าทุกวันพ้นข่มเหง
ฝ่าด่านด้วยการชนะตนเอง กำลังใจไม่มีเร่งบังคับตน
ฮา   ฮา   หยุด



พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

อยากพบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม อยากพบแล้วเคยหากันบ้างหรือเปล่า เหมือนเวลาท่านอยากได้เงินท่านก็ต้องไป (หาเงิน)  อยากได้ความรู้ก็ต้องไป (หาความรู้)  แล้วอยากได้พุทธะบ้างหรือเปล่า อยากพบพุทธะบ้างหรือเปล่า (อยาก)  มนุษย์เราอยากได้สิ่งใดก็ต้องไปแสวงหาสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากพบวิญญาณภูตผีไหม (ไม่อยาก)  เพราะอะไร  (กลัว)  ทำไมจึงกลัว เราเห็นบางคนเจอผีกลับทำให้รวยก็มี เจอผีก็ขอเลข ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้จะกลัวผีกันทำไม ไม่ต้องกลัวดีกว่า ถ้าเจอพุทธะขออะไร อย่าบอกนะว่าขอหวย เจอภูตผีวิญญาณก็ขอเลข เจอพุทธะก็ขอหวย อย่างนี้น่ากลัวยิ่งนัก ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อสักครู่ท่านบอกว่าไม่อยากเจอภูตผีวิญญาณเพราะว่ากลัว อยากเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากเจอสิ่งที่ดีๆ เราต้องรู้จักแสวงหา ไม่มีอะไรในโลกนี้หรอกที่ตกลงมาบนหน้าโดยที่ท่านไม่ต้องแสวงหา มีไหม (ไม่มี)  ไม่มีเลย  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของๆ ท่านได้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ท่านต้องออกไปแสวงหา ต้องไปดิ้นรน ต้องไปต่อสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรามีชีวิต เราได้เรียนรู้การต่อสู้ดิ้นรน   แต่ในบางครั้งท่ามกลางการต่อสู้ดิ้นรน เราก็มีความหวาดกลัวลึกๆ  กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวในสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่ากลัวผีกลัววิญญาณ แต่ถ้าถามท่านว่าระหว่างผีกับมนุษย์สิ่งใดน่ากลัวกว่ากัน (มนุษย์)  ทำไมกลัวมนุษย์ล่ะ อย่างนั้นก็หลับตานอนต่อไปเถอะ เพราะตื่นมา
แล้วจะต้องมาเจอ (มนุษย์)  ในเมื่อกลัวแล้วทำไมยังอยากตื่นอีกล่ะ
คุยกับเรานะ ยังไม่ต้องคิดก็ได้ว่าเราเป็นพุทธะจริงหรือพุทธะปลอม อยู่ด้วยกันก็คุยด้วยกันก่อนดีไหม (ดี)  จะได้มีความสุข สลัดอารมณ์ที่ไม่น่าจะเก็บไว้ในใจออก จะได้คุยกันอย่างมีความสุข ดีไหม (ดี)  ตอนนี้การจะหาความสุขง่ายๆ นั่นก็คือ ตัดอารมณ์ที่ชักพาทำให้ท่านเป็นทุกข์ทิ้งไปก่อน ให้คงเหลือแต่จิตใจที่เบิกบานมีความสุข แล้วจะคุยกันและอยู่ร่วมกันทั้งชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมงได้อย่างเบิกบานแจ่มใส จริงหรือไม่  (จริง)   นี่คือความสุขง่ายๆ ไม่อย่างนั้นแม้จะฟังแค่หนึ่งนาทีหรือครึ่งชั่วโมงท่านก็จะมีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนต่างมีปัญญามีความฉลาด ฉะนั้นอยู่บนโลกอะไรที่เป็นสุขได้จงรีบ
ไขว่คว้าเอามา อย่าไปดึงเอาความทุกข์มาไว้ในใจ เพราะคนที่ทุกข์ไม่ใช่ใครอื่นใด ก็คือท่านเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ท่านคุยกับเราท่านพยายามทำหน้าบึ้งตึงขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่ทุกข์กับท่าน คนที่ทุกข์คือท่านหรือคือเรา (ตัวเราเอง)  เหมือนกันถ้าท่านจริงใจ เราจริงใจ ก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าท่านจริงใจ เราหลอกลวง คนที่จริงใจหรือคนที่หลอกลวงทุกข์ (คนที่หลอกลวง)  เพราะคนที่หลอกลวงจะต้องระวังคำพูด ระวังการกระทำ ระวังสีหน้าท่าทาง อย่าหลุดออกไปให้เขาเห็นเชียวนะว่าเราหลอกลวง จริงหรือไม่ (จริง)   ฉะนั้นการอยู่ร่วมกัน สิ่งที่ทำกันง่ายๆ นั่นก็คือ  เปิดจิตใจให้กว้างๆ สร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงามและเบิกบานดีกว่า แล้วเราจะอยู่ร่วมกันทั้งชั่วโมงได้อย่างมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)   
เมื่อสักครู่ท่านบอกว่า คนนั้นน่ากลัว ทำไมท่านถึงบอกว่าคนน่ากลัว แปลว่าท่านต้องเคยโดนคนหลอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หลอกแล้วเป็นอย่างไร  (แค้น, เจ็บและเสียใจ)  แค้นเจ็บและเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอผียังดีกว่า ผีมาแป๊บเดียวเองไม่ทำให้เจ็บ ไม่ทำให้เสียใจด้วย แค่ทำให้ตกใจชั่วครู่ชั่วขณะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วถ้าเจอผีแต่รู้จักตั้งสติดีๆ ท่านกลับได้ (หวย)  ท่านเติมเองนะ แต่เจอคนแม้จะตั้งสติดีแล้ว เตรียมใจดีแล้วแต่ก็เป็นอย่างไร ก็โดนหลอกได้อยู่ดี หลอกทั้งที่หน้าตาซื่อๆ ใสๆ แบบเราหรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นยอมให้เราหลอกหรือ คนในโลกนี้เขาเรียกว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ คบกันมาตั้งนาน ก็มาตกใจสุดขีดเมื่อรู้ความจริงว่าเขาหลอกเรา บางครั้งหลอกจนไม่อยากจะมีชีวิต หลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เลยคิดว่ามีชีวิตคบผีดีกว่าคบคน เอาอย่างนั้นไหม  เดี๋ยวเราจะเรียกวิญญาณมาให้ท่านคบ ใครจะเอาบ้างเราจะเรียกให้ เรากลัวว่าเอามาแล้วท่านจะมาคืนให้เราไม่ได้แล้วนะ เพราะเขาอยู่แล้วอยู่จริงๆ ไม่ไปไหน จนกว่าเขาจะหมดเวรหมดกรรมกับท่านเขาถึงไป อย่าเรียกในสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะเมื่อมาแล้ว เราถอนตัวไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเรียกเองเชิญเอง แล้วพอจะไปเขาไม่ไปง่ายๆ หรอก  ฉะนั้นพูด คิดหรือทำอะไรต้องระมัดระวังหน่อย 
“อย่าปล่อยให้ความจอมปลอมครอบงำตน โลกน่ากลัวเพราะคนร้ายกว่าผี”  
อยากเจอผีหรืออยากเจอคน ถ้าใครเจอผีวันนี้เราจะช่วยพาท่านกลับคืน คุยกับเราต้องใช้ปัญญาหน่อยนะ ถ้าตามไม่ทันก็โดนเราหลอกกลับคืนเบื้องบน เอาไหม ก็น่าจะเอานะ เพราะเราพากลับคืนเบื้องบน ดีกว่าถึงเวลาโดนเรียกไปแล้วไม่รู้ว่าได้คืนหรือเปล่า ใช่หรือไม่ ตามพุทธะได้กลับคืนเบื้องบน แต่ตามตัวเองไปตามหากิเลสตัณหาไม่แน่ว่าจะได้กลับคืนเบื้องบนหรือเปล่า จริงไหม (จริง) 
“กลายเป็นโจรอยู่ในคราบผู้ดี”  เดี๋ยวนี้ใครหน้าตาสวยๆ แต่งตัวดีๆ ไว้ใจได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมไว้ใจไม่ได้ล่ะ คนปล่อยตัวโทรมๆ ใส่เสื้อขาดๆ วิ่นๆ ไว้ใจได้ไหม (ไม่ได้)  มีชีวิตก็ยากแล้ว อย่างนี้แต่งตัวยิ่งยากใหญ่ ใช่หรือไม่ แต่งตัวดีก็ไม่น่าไว้ใจ แต่งตัวขาดวิ่นก็ไม่น่าไว้ใจ เป็นคนนี่ยากเหลือเกิน  ใช่หรือไม่
เดินให้รอบๆ ดีไหมจะได้เห็นหน้าได้ชัดๆ คิดถึงเราบ้างไหม (คิดถึง)  นึกว่าจะคิดถึงแต่อาจารย์จี้กงท่านเดียวเสียแล้ว เห็นร้องเพลงก็นึกถึงแต่อาจารย์ ทุกข์ก็นึกถึงแต่อาจารย์ แต่เวลามีความสุขไม่เคยมีใครเรียกพระอาจารย์สักคนใช่หรือเปล่า  เวลามีความสุขก็ไม่เคยนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เวลาทุกข์ยากลำบากใจก็มากราบขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่
ฟังธรรมะมาเกือบหนึ่งวันแล้วลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  เมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  อย่าโกหกเลยนะ ก็มีเมื่อยบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ลำบากเพื่อจะได้สบายในภายหลัง อย่างน้อยได้เรียนรู้ไว้ว่า การจะได้สิ่งใดมาบางครั้งต้องมีความลำบากเป็นพื้นฐาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งวันนี้จะมาฝึกฝนความเป็นพุทธะ ความลำบากนั้นจึงต้องเรียนรู้ไว้อย่าได้ยอมแพ้ มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้พบแม้แต่พุทธะในใจตนจริงหรือไม่ (จริง)
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณท่านหลันต้าเซียนเมตตา) อย่าเรียกนามเราบ่อยเลย ยิ่งเรียกมากๆ เราก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ ทำไมจึงละอายใจรู้ไหม เพราะเป็นถึงพุทธะแต่กลับช่วยเวไนยให้กลับคืนเบื้องบนได้ยากเหลือเกิน เพราะถึงแม้เราจะเป็นพุทธะแต่ถ้าเป็นพุทธะแล้วฉุดช่วยเวไนยได้ยาก บางครั้งจะเป็นพุทธะเราก็ละอายใจใช่ไหม  เหมือนท่านเป็นพ่อแม่คนแต่ถ้าลูกไม่ได้ดี จะพูดว่าเป็นพ่อแม่เขาละอายใจไหม (ละอายใจ)  เฉกเช่นเดียวกันถึงแม้เราจะเป็นพุทธะแต่ถ้าเวไนยสัตว์ยังลุ่มหลงอยู่ คนที่เป็นพุทธะก็ยังต้องละอายใจ  ตราบใดที่เวไนยสัตว์กลับคืนเบื้องบนหมดได้ ตอนนั้นก็เป็นพุทธะได้ ไม่ละอายใจเลยจริงไหม (จริง)  ลองนึกถึงหัวอกพ่อแม่ดู หากลูกไปทำตัวไม่ดีไม่งาม เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำไหมว่านี่คือลูกเรา (ไม่เต็ม)  ไม่เต็มใช่ไหม (ใช่)  หากเราเป็นลูกแล้วมีพ่อแม่พี่น้องประพฤติไม่ดีเรากล้าบอกไหมว่านี่คือญาติพี่น้องเรา ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะทำสิ่งใดขอให้รู้จักหน้าที่ของตนเองให้ถ่องแท้ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ท่านมาฟังธรรมก็เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติบำเพ็ญตน  ธรรมะที่รับไปนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่สำคัญ มนุษย์ทุกคนล้วนมีธรรมะอยู่กับตัวเอง แต่ได้เคยให้ความสำคัญกันบ้างหรือไม่ ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เราสามารถนำธรรมะนี้ไปปฏิบัติอย่างจริงจังและมุ่งมั่นอย่างไม่ท้อถอยแล้ว ธรรมะนี้แหละจะทำให้มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ และค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตน  วันนี้ที่ท่านมาจนถึงที่นี่ ได้มาฟังธรรมะเพราะเขาเห็นท่านมีเงิน ร่ำรวย มีความสามารถหรือ ไม่ใช่หรอกนะ แต่ที่เขาชวนท่านมาฟังธรรมะในวันนี้ ก็เพราะว่าเขาเห็นความดีงามที่เป็นต้นรากหรือเป็นหน่อเดิมแท้แห่งความเป็นพุทธะอยู่ในกายใจของตัวท่าน เขาจึงเชื้อเชิญ จึงหวังให้ท่านมาฟังธรรมในวันนี้ ไม่ใช่เพราะมีความสามารถ ไม่ใช่เพราะท่านร่ำรวย ไม่ใช่เพราะท่านเก่งในทางโลก  แต่แท้ที่จริงแล้วที่เขาเชิญท่านมาฟังที่นี่ ให้ท่านมารู้หลักในการบำเพ็ญตน ก็เพราะว่าตัวท่านมีหน่อแห่งความเป็นพุทธะสิงสถิตอยู่ในใจ แล้วหน่อแห่งความเป็นพุทธะนี้สามารถที่จะเติบโตและนำไปฉุดช่วยคนได้ สามารถนำไปให้กำลังใจคนที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น สามารถนำไปแปรเปลี่ยนคนที่ไม่ดี ให้กลายเป็นคนดีได้ด้วยหน่อแห่งพุทธะอันนี้ แล้วหน่อแห่งพุทธะนี้คืออะไร ก็คือจิตใจที่ใฝ่ดี มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อบาป หยั่งรู้อะไรผิด อะไรชอบ มองออกว่าอะไรจริง อะไรลวงหลอก นั่นแหละคือจิตใจแห่งพุทธะ ขอเพียงท่านไปค้นหาแล้วแผ่ขยายจิตใจดวงนี้ให้มีความยิ่งใหญ่กว่าความไม่ดีในใจตน ให้ความดีนั้นมีอำนาจ ให้ความดีนี้มีบารมี ที่สามารถเสริมสร้างกายและใจนี้ให้เป็นคนเหนือคนได้ ถ้าทำได้เช่นนี้ นั่นแหละเรียกว่าพุทธะได้แผ่กิ่งก้านสาขาบังเกิดขึ้นในกายใจตนเองแล้ว  แล้วเราจะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นได้ ก็โดยการเอาธรรมะนี้ไปฟื้นฟู ไปเรียกร้อง ไปโน้มนำให้ใจนี้มีธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป  ธรรมะอะไร ธรรมะที่ท่านได้รู้ ธรรมะที่ท่านได้ศึกษา ธรรมะที่ท่านได้นับถือ หรือธรรมะที่ท่านยึดถือปฏิบัติในความเป็นคน หรือที่เรียกว่า “พุทธศาสนา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาศาสนานี้แหละมาโน้มนำจิตใจของเรา มาขัดเกลาจิตใจของเราให้รักษาแต่สิ่งที่ดี สิ่งใดที่เป็นนิสัยความเคยชินที่ไม่ดีให้ตัดทิ้ง ให้กล้ายอมรับ เมื่อผิดรู้แก้ เมื่อถูกหมั่นรักษาปฏิบัติให้คงอยู่เรื่อยๆ ไป  หากทำได้เช่นนี้ก็เรียกได้ว่าเอาธรรมะไปปฏิบัติ และเอาธรรมะไปค้นหาความเป็นพุทธะในตัวตน พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่สิ่งหนึ่งที่น่าห่วงนั่นก็คือ มนุษย์มักทิ้งใจ
ตัวเอง ใจที่ดีงาม ใจที่ประเสริฐ ใจที่มีธรรม ทิ้งไปเพราะอะไร ทิ้งไปเพราะความพ่ายแพ้ต่อความผิดบาป ทิ้งไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่ขัดใจ กลายเป็นคนที่
สามวันดีสี่วันไข้ กลายเป็นคนที่ถือทิฐิถืออัตตาตัวตน  เราเทียบง่ายๆ ใจของทุกคนมีไหม (มี)  ใจของท่านเป็นอย่างไร เล็ก ใหญ่ กลม รี กว้าง แคบ มืด สว่าง เป็นอย่างไร (สว่าง)  สว่างแล้วสว่างแบบไหน (สว่างแบบพุทธะ)  สว่างแบบพุทธะ แปลว่ามีคนทำให้โกรธก็จะไม่โกรธ มีคนมาต่อว่าก็จะไม่โกรธแล้วก็ไม่โต้ตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนเข้าใจผิดก็จะไม่ (ไม่เข้าใจผิด)  คนที่สว่างอย่างพุทธะต้องสามารถรับทุกสถานการณ์ได้เท่าทัน  หากเราถามแบบนี้สติปัญญาต้องตามได้ทัน นี่จึงจะเรียกว่าสว่างอย่างพุทธะได้ถ่องแท้  แล้วท่านอื่นเป็นอย่างไร (บางครั้งก็สว่างบางครั้งก็มืด)  เหมือนไฟที่บางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็มืดมิด แล้วแต่ว่าเราจะเปิดปิดรับอารมณ์ใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีแล้วนะที่รู้ขนาดนี้  แล้วท่านอื่นจิตใจเป็นอย่างไร อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักใจตัวเอง (มีทั้งความกว้างและความแคบ)  มีทั้งกว้างและความแคบ กว้างเพราะถูกใจ แคบเพราะสิ่งไม่ถูกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และต่อไปจะไม่กว้างและไม่แคบ เพราะไม่มีอะไรให้ถูกใจและไม่ถูกใจ ได้หรือไม่ (ได้)  นั่นแปลว่าต้องตัดเสียตั้งแต่ต้นตอ คือไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เรียกว่าถูกใจ และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เรียกว่าไม่ถูกใจ แล้วตอนนี้ใจก็จะไม่ถูกจำกัดให้กว้างและแคบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านอื่นว่าอย่างไร เราเคยมองเห็นใจเราไหม เคยรับรู้ใจเราบ้างไหมว่าบางครั้งเป็นเช่นไร (มีบ้าง ไม่มีบ้าง)  แล้วที่มี ใจเป็นอย่างไร (บางครั้งก็ดีบางครั้งก็ไม่ดี)  บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี ในใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีนี้คืออารมณ์ ไม่ดีคือไม่มีอารมณ์หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเราใจดีก็อารมณ์ดี  ใจไม่ดีก็อารมณ์ร้าย  แล้วจริงๆ ใจเรามีอารมณ์หรือเปล่า (ไม่มี)  ใจจริงๆ เราตั้งแต่เดิมมาไม่มีอารมณ์ แต่เพราะเอาใจไปข้องเกี่ยวเอาใจไปพันผูก อารมณ์จึงเกาะเข้ามาด้วย  เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นอย่างไร ใจก็สืบต่อให้เป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ท่านหลันต้าเซียนเมตตาอธิบายเปรียบเทียบจิตใจกับตะกร้า)  อย่างนั้นเราพูดง่ายๆ เลย ใจของมนุษย์เราว่างเปล่า แต่พอเริ่มมีกาย มีความ
รู้สึก มีอารมณ์ก็กำหนดเป็นตะกร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอกำหนดเป็นตะกร้าก็เอาดอกไม้มาใส่ เอาอะไรมาแต่งเติม  จากที่ว่างเปล่าก็กลายเป็นรูปร่างขึ้นมา จากที่เป็นรูปร่างก็กลายเป็นมีนั่นมีนี่ขึ้นมา ใช่หรือไม่ 
(ใช่)  หรือง่ายๆ กว่านี้อีกหน่อยหนึ่ง สมมุติพอเกิดมีกาย เราก็บอกว่าตัวเราใจเราเป็นแบบนี้   พอมีใจแบบนี้   เราก็เป็นอย่างไร (แบ่งกั้น)  แบ่งกั้น กำหนดขอบเขตของใจ บางคนแม้จะไม่ใช่รูปนี้แต่ก็กำหนดว่าตัวเราเป็นคนที่มีอารมณ์อย่างนี้    อย่างเช่นบอกว่า เราเกิดมาปุ๊บเราเป็นคนขี้โมโห ขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่) หงุดหงิดง่าย ใช่ไหม (ใช่) เราค่อยๆกำหนดมากขึ้นๆ   จนใจเราค่อยๆ คับแคบลงๆ     เมื่อใจเราคับแคบสิ่งที่มาสัมผัส สิ่งที่มากระทบย่อมทำให้เกิดความเจ็บปวดและความทุกข์  พอใครพูดทำให้หงุดหงิดกระทบก็โกรธ ใจเริ่มไม่สงบ ใจเริ่มไม่ว่าง พอใครมาต่อว่าชื่อเสียงเรา เอาชื่อเสียงเราไปทำที่ไม่ดี ใจเราเป็นอย่างไร (เจ็บปวด) เจ็บปวดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อใจแคบลงเพราะมีอัตตาตัวตน เพราะมีความรู้สึก เพราะมีความเคยชินเพราะมีอารมณ์ เวลามองจะเห็นได้กว้างไหม (ไม่กว้าง)    เวลาตัดสินจะตัดสินได้อย่างชัดเจนไหม  (ไม่ชัดเจน)  สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม (ไม่ยุติธรรม)  ไม่บริสุทธิ์ ไม่ยุติธรรม 
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือค่อยๆ ลบ ค่อยๆ เช็ด ค่อยๆ ล้างออกให้หมด แล้วกลับเป็นใจที่ว่างใสบริสุทธิ์เหมือนเดิม ไม่มีคำกำหนดว่า ฉันเป็นคนแบบนี้ ผมเป็นคนแบบนั้น  เมื่อใจเรากว้างเหมือนเหวที่ไร้ก้นบึ้งไร้ขอบเขต  อะไรเข้ามาก็ไม่กระทบไม่เจ็บไม่ทุกข์ง่าย จริงหรือไม่ (จริง)  ลองง่ายๆ ถ้าใจนี้เป็นตระกร้า พอใครมากระทบก็เจ็บเพราะมีสิ่งให้สัมผัส ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจนี้ว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งมือนี้ อะไรมากระทบเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ไม่มีแม้กระทั่งชื่อนี้ อะไรมากระทบทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นอย่ายึดติดแม้ใจของเราเอง จงปล่อยใจนี้ให้ว่าง ให้บริสุทธิ์ เมื่อใจเราว่างบริสุทธิ์เหมือนท้องทะเลที่ไร้รูป เหมือนเหวที่ไร้ก้นบึ้ง อะไรมากระทบ อะไรมาสัมผัส ความทุกข์ก็จะไม่มี ความเจ็บปวดก็จะไม่บังเกิด เราก็จะไม่มีใครที่เราเกลียด แล้วก็ไม่มีใครที่เรารักจนลุ่มหลง จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม ใครพร้อมที่จะทำยกมือขึ้น  เรายินดีด้วยนะ  ขอให้ไปหมั่นทำ แต่จะทำอย่างไรถึงจะล้างใจได้บริสุทธิ์ และสามารถตัดขอบเขตของใจที่กำหนดได้หมดสิ้น ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ยกมือคิดได้แล้วหรือยัง ยังเลยใช่ไหม เราต้องมาดูกันต่อไปว่า เราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถล้างใจนี้ให้สะอาดได้ ไม่ยากเลย โดยใช้มือเรานี่แหละ  “ทุกอย่างล้วนอยู่ในมือของเรา” เป็นคำพูดที่มนุษย์พูดไว้ไม่ใช่หรือ ทุกอย่างในโลกล้วนอยู่ในกำมือของเรา แล้วใจนี้ก็อยู่ในกำมือของเรานี่เอง อยู่ที่ว่าปัญญาเราจะบริหารมือ กาย ใจนี้อย่างไร  อย่ากลัวตัวเอง อย่าพ่ายแพ้อารมณ์ตัวเอง เราก็จะบริหารมือ กาย ใจนี้ได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ แล้วทำอย่างไร ก็ทำโดยการบำเพ็ญตน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วบำเพ็ญแบบไหน (บำเพ็ญให้พ้นทุกข์)  ถูกต้อง มนุษย์เรามีอยู่สองอย่างที่เรียกว่าทุกข์กับสุข แต่ตลอดชีวิตเราค้นหาไม่เจอสักที อะไรที่เรียกว่าสุข อะไรที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ หาเจอไหม  
การบำเพ็ญล่ะคืออย่างไร การบำเพ็ญก็คือการใช้ธรรมะน้อมนำสอดส่องจิตใจตนเอง  ดูว่าทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิต เรามีสติไหม เราได้ใช้ปัญญาหรือเปล่า และทุกขณะที่คิด ทำ พูด สติปัญญานั้นเที่ยงธรรมหรือไม่ นี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญ  และทุกขณะที่มีสติปัญญามีธรรมะ เห็นใครตกทุกข์ได้ยากยังยื่นมือไปช่วยเหลือ นั่นแหละเรียกว่าบำเพ็ญสู่ความเป็นพุทธะ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  
แล้วอะไรในโลกที่เรียกว่าความสุข (ความสงบ)  ความสงบคือความสุข ตอบได้ดีนะ แล้วอะไรในโลกที่เรียกว่าความทุกข์ (ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก)  ประสบกับสิ่งที่ไม่รักพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมยิ่งฟังจิตใจยิ่งห่อเหี่ยว มีแต่ยิ่งฟังธรรมะจิตใจยิ่งแช่มชื่น แต่ในชั้นนี้ยิ่งฟังธรรมะยิ่งห่อเหี่ยวไม่มีความกระปรี้กระเปร่าเลย อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะพยายามทำเวลาให้สั้นที่สุด ท่านจะได้กลับบ้านไวๆ ดีไหม (ไม่ดี)  เราจะพยายามพูดธรรมะง่ายๆ ที่สุด ที่สามารถจะทำให้ท่านเข้าใจได้ในวันนี้ เราจะได้รีบกลับ แล้วท่านก็จะได้รีบกลับ ตกลงไหม (ความรักกับความห่วง)  ทำให้ท่านสุขหรือทำให้ท่านทุกข์  (ทุกข์)  ทำให้ท่านทุกข์  อย่างนั้นไม่รักไม่ห่วงดีไหม ไม่รักไม่ห่วงก็ยังทุกข์เท่าๆ กันอีกหรือ เดี๋ยวเราจะช่วยไขเรื่องความรักให้ (คาดหวังในสิ่งที่อยากจะได้แล้วไม่สมหวังกับสิ่งที่คาดหวังไว้, พลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก, ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเป็นทุกข์)  แล้วตัวท่านเป็นทุกข์ไหม  โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนแสวงหาความสุข และพยายามหลีกหนีความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสุขที่แท้จริงคืออะไรล่ะ หากเราพูดว่า ความสุขที่แท้จริงก็คือ “ความพึงพอใจ”  สว่างขึ้นไหม หรือว่ายังมืดมนอยู่  แท้จริงแล้วความสุขของมนุษย์คือความพึงพอใจ ความสุขของมนุษย์นั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองหาความสุขเหมือนกำลังวิ่งหาเงาตัวเอง หรือวิ่งหาต้นตอของรอยเท้าตัวเอง เพราะหากวิ่งหา ยิ่งวิ่งเราจะยิ่งหาไม่เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรามักจะแสวงหาความสุข อยากได้ความสุข แต่ทำไมยิ่งวิ่งหาแล้วเหมือนยิ่งหาไม่เจอ พอไปถึงแล้วความสุขนั้นกลับก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอไปถึงสุขอีกขั้นหนึ่งก็ยังหนีเราไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะเหตุใดล่ะ เพราะเมื่อเราได้สิ่งหนึ่งแล้ว เรากลับไม่พึงพอใจ ฉะนั้นสุขของมนุษย์ที่มนุษย์ควรรู้ก็คือ “พึงพอใจในสิ่งที่สถานะตนเองพึงมี พึงได้ พอมีพอได้” นั่นแหละเรียกว่าความสุข อย่าไปกำหนดความสุขที่มันไกลลิบลิ่ว ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตจะไม่พบสุขเลย แท้จริงสุขของท่านมีได้ง่ายๆ ยืนก็สุข นั่งก็สุข จริงไหม (จริง)  มีเงินหนึ่งบาทก็สุขจริงไหม (จริง)  ไม่มีเงินสักบาทก็สุขจริงไหม (จริง)  ทำไมชอบโกหกตัวเองจริงๆ เลย  เพราะไม่จริงท่านจึงทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  เราจึงหาความสุขได้ยาก 
พระพุทธองค์สอนไว้ว่าชีวิตของมนุษย์ที่แท้จริงนั่นคือการมองให้เห็นทุกข์ แล้วจะพบสุข นี่คือความสุขที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ แต่เรามองข้ามกันไป ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตของมนุษย์โดยตรงในการมีชีวิตนั่นก็คือ พยายามสืบหาเหตุแห่งทุกข์ แล้วตัดทุกข์นั้นทิ้งด้วยตัวตนเอง เมื่อไรทุกข์หมดก็เหมือนกายเราที่ไม่เจ็บป่วยเมื่อนั้นย่อมเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ประเทศก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อไรที่ประเทศไร้คนที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไร้คนที่คดโกง บ้านเมืองย่อมเจริญร่มเย็น มนุษย์เราก็เหมือนกันอยากพบความสุขไม่ใช่การวิ่งไปแสวงหาความสุข แต่หาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอ แล้วตัดต้นตอทุกข์นั้นทิ้ง แล้วเมื่อทุกข์ไม่มีในกายใจแล้ว สุขจะบังเกิดที่ใดกันเล่า ก็ต้องอยู่ที่ใจของท่านนั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตของมนุษย์อย่าได้มุ่งแสวงหา อย่าได้ไปมุ่งกำหนดว่าความสุขของฉันเป็นแบบนั้น ความสุขของผมเป็นแบบนี้ กำหนดง่ายๆ สุขของผมและฉันคือเท่านี้ เมื่อเรารู้จักเท่านี้ เราจะสุขได้ เมื่อเราเริ่มสุขเท่านี้ได้ ความสุขของเราจะค่อยๆ ขยาย เป็นไม่มีเท่านี้ก็ได้ ใช่หรือไม่  แต่ถ้าเราบอกว่าสุขของเราคือต้องมากกว่านี้ พอไปได้ถึงมากกว่านี้ เราก็รู้สึกว่าต้องมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าชีวิตของมนุษย์เมื่อรู้จักเหตุแห่งทุกข์ และพบความสุขแล้ว ก็ย่อมง่ายที่จะรู้จักดำเนินชีวิตตน จริงหรือไม่ (จริง)  มนุษย์เรานั้นมักจะเป็นอย่างไร เกิดมาด้วยความเจ็บปวด ทรงอยู่ด้วยความสับสน และสิ้นไปด้วยความโศกเศร้า ความเป็นจริงของมนุษย์เป็นเช่นนี้  เมื่อเกิดมาก็เจ็บปวด ใครเจ็บปวดล่ะ พ่อแม่เรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บปวดว่าลูกเราจะออกมาดีหรือไม่ดี เมื่อเราเกิดมาแล้วก็อยู่ด้วยความสับสน ภายในใจแม้จะมีความสุขมีความร่าเริงมีการแสวงหา แต่ถามใจลึกๆ เรากลับว่า ใจบางครั้งก็เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวไร้หลักพึ่งพิง จริงไหม (จริง) แล้วเราจะยึดอะไรเป็นที่พึ่งพิงของชีวิตและจิตใจ (ธรรมะ)  ถูกต้องท่านมีแล้วนั่นก็คือธรรมะ ถือธรรมะเป็นที่พึ่งให้กับชีวิต อย่าถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นที่พึ่งให้กับชีวิตเลย มนุษย์หลายต่อหลายคนมักยึดความรักเป็นที่พึ่ง ยึดความรักยึดความเสน่หาเป็นที่พึ่ง แต่ความรักความเสน่หาเป็นเสมือนตอผุดที่เมื่ออะไรมาพัด ก็พาให้คนที่ยึดนั้นล้มและเจ็บปวดเป็นทุกข์อยู่วันยังค่ำ คนทุกคนชอบที่จะมีความรัก มีคนที่รักและได้รัก แต่เคยรู้หรือไม่ว่ารักนั้นมักจะไม่เคยให้ใครสมหวังแม้เพียงครึ่งหนึ่งของความหวัง บางครั้งเรามีรักเราดีใจที่ได้รักคนๆ หนึ่ง แต่รักแล้วเราทุกข์หรือผิดหวังมากกว่ากัน เรามักจะทุกข์มากกว่าสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  หากพูดว่าสุขก็สุขเพียงน้อยนิด แต่ทุกข์นั้นไม่จำกัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งถ้าความรักไม่สมหวังแล้ว ความรักเกิดเป็นความคับแค้นด้วยแล้ว ก็จะทุกข์สาหัสยิ่งนัก 
ฉะนั้นตอนนี้ท่านมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ มีธรรมะเป็นตัวคอยควบคุมความคิดความประพฤติ จงรู้จักใช้ธรรมะ แล้วนำให้ชีวิตนั้นกลับคืนไปสู่ความประเสริฐอย่างถ่องแท้ นั่นคือพึ่งธรรมะอย่างถูกทาง แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามักจะอดติดไม่ได้กับอารมณ์ กิเลส ตัณหาและความเพลิดเพลินบรรเจิดใจ ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง เครื่องประดับอาภรณ์ เงินทอง เกียรติยศ วัตถุนานาประการ มนุษย์เรามักจะหลงใหลมากกว่าหลักธรรมะจริงหรือไม่ (จริง) เพราะอะไร เพราะธรรมะไม่มีรูป ธรรมะปฏิบัติไปคนมองไม่เห็น ธรรมะปฏิบัติไปคนไม่เชื่อหาว่าเราทำดีหลอกตา จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ สิ่งแรกนั่นก็คือเราต้องสั่งสมความดีนั้นให้หนักแน่นเพียงพอ คนเรานั้นจะเป็นคนดีที่แท้จริงได้นั้นไม่ใช่ดีแค่วันเดียว ดีแค่ชั่วขณะเดียว แต่ดีแล้วต้องดีให้ถ่องแท้ ดีแล้วต้องดีให้เนิ่นนาน เหมือนปลูกต้นไม้ จะเป็นต้นไม้ได้ บอกว่าเมล็ดนี้เป็นเมล็ดแห่งต้นไม้ แต่ถ้าท่านไม่บ่มเพาะ ไม่ปลูกให้เกิดเป็นต้นขึ้นมา คนก็จะไม่มีวันเชื่อ ความดีในจิตใจของท่านก็เฉกเช่นเดียวกัน มีอยู่ก็จริงแต่ถ้าท่านไม่หมั่นเจริญหมั่นสร้าง หมั่นปฏิบัติ คนก็จะไม่เชื่อว่าท่านมีดีจริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญตน หากรู้แล้วว่ามีธรรมะแล้วเป็นสิ่งที่ดีทำได้ไหม (ทำได้)
สงสัยว่าวันนี้นั่งฟังกันมาทั้งวันคงเหนื่อยคงเพลียกัน จะให้ฟังเราพูดยาวๆ ก็คงไม่มีใจแล้วใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ผู้ที่ยืนข้างๆ ผู้ปฏิบัติงานธรรมอย่าพูดนะเราอยากฟังเสียงจากใจนักเรียนในชั้น ให้ฟังธรรมะต่ออีกก็คงไม่ไหวแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นตั้งแต่ที่เรามาจนถึงตอนนี้พอเข้าใจคำว่าบำเพ็ญตนเองไปเพื่ออะไรไหม (ไม่เข้าใจ)  ถ้าไม่เข้าใจเราก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อแล้วนะ เพราะมีบางคนก็ฟังครึ่งไม่ฟังครึ่ง ใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อฟังเราก็ไม่มีทางรู้เรื่องใช่หรือไม่ ให้เราพูดง่ายที่สุด การบำเพ็ญธรรมนั้นก็คือ “ฟื้นฟูจิตแห่งดีงามในใจตน ขัดเกลาชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีให้หมดสิ้น มีโอกาสนำสิ่งที่ดีงามในใจตนนี้ไปฉุดช่วยคน” แล้วทำไมจึงต้องทำ ทำไมจึงต้องบำเพ็ญ เพราะว่าคนเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ตัวเราเองนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่วันนี้หรือวันพรุ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราไม่รู้ว่าวันนี้หรือวันพรุ่งจะอยู่หรือจะดับ ฉะนั้นก่อนที่จะดับขอให้สร้างสิ่งที่ดี เพราะสิ่งที่ดีนี้จะสามารถช่วยท่านแม้ยามเป็นและยามตาย จะช่วยท่านให้พ้นวัฏฏะเวียนว่ายด้วยธรรมะ และธรรมะนี้จะช่วยคุ้มกันปกป้องคนที่ปฏิบัติแม้จะถูกลวงหลอก ธรรมะนี้จะช่วยเรา อยู่คู่กับเราแม้เราจะมืดมนหนทาง ธรรมะนี้เปรียบเหมือนแสงสว่าง เปรียบเหมือนเพื่อนยามที่เราถูกทิ้ง ยามที่เราถูกคนไม่สนใจ ยามที่เราถูกคนหาว่าไร้ค่า ธรรมะนี้จะคอยช่วยเตือนใจเราให้เราสู้ ให้เรามีชีวิตที่ดีกว่าเดิม นี่คือหลักของการบำเพ็ญตนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ให้เป็นคนที่ชนะใจตนเองให้ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าขณะนี้ยังไม่เข้าใจเราก็ไม่รู้จะเข้าไปถึงตรงไหนแล้วนะ แล้วทำไมจึงต้องเป็นคนดี งงอีกไหม (ไม่งง)  หลายต่อหลายคนถามว่าทำไมฉันต้องเป็นคนดี หากท่านบอกว่าไม่อยากเป็นคนดี ไม่เป็นไร อย่างนั้นท่านจะมียมบาลเป็นมิตร มีมารเป็นเพื่อนสนิทเอาไหม (ไม่เอา)  แต่ถ้าท่านอยากประพฤติเป็นคนดี ท่านจะมีพุทธะเป็นเพื่อนและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยให้กำลังใจ เอาอันไหน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์)  ท่านนี่เหมือนเด็กจริงๆ เลยนะ ต้องมีของหลอกล่อ ต้องมีผลพลอยได้ถึงจะหลงถึงจะเชื่อถึงจะสนใจ แต่ถ้าเราบอกว่าถ้าท่านเป็นคนดีแล้ว ไม่มีอะไรที่ได้รับผลเลยเอาไม่เอา (เอา)  หัวหน้า (ไม่เอา)  ใครไม่เอายกมือขึ้น หัวหน้าทำไมเงียบเสียงล่ะ เอาไม่เอา (เอา)  ทำไมโลเลง่ายอย่างนี้ หัวหน้านั่งลงก่อนนะ ถ้าเราบอกว่าเมื่อท่านตั้งใจจะบำเพ็ญเป็นคนดีตอนแรกจะไม่มีผลเอาไม่เอา ไม่มีผลบนโลกแต่มีผลเบื้องบนเอาไม่เอา (เอา)  จะเอาผลบนโลกหรือผลเบื้องบน (ผลเบื้องบน,ผลบนโลก)  แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะได้เป็นพุทธะ เมื่อไรจะกล้าบำเพ็ญตน ท่านคิดให้ดีๆ การเป็นคนดีไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวท่านเอง เพื่อค้นหาความดีที่แท้จริงในใจตน ความดีที่ฝังรากลึกในใจตน ดีที่เรียกว่าพุทธะ ดีที่เรียกว่าพุทธะแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทำไมเราจึงพูดว่าท่านมี ก็เพราะว่าพุทธะทุกพระองค์ ล้วนสำเร็จได้เมื่อยามเป็นมนุษย์ และค้นพบความเป็นพุทธะเมื่อท่านมีชีวิต   แต่มนุษย์เราทำดียังหวังผล ทำดียังเกี่ยงงอน ท่านจะไม่พบเลย แม้จะทำดีตลอดชีวิต ท่านก็จะไม่พบความเป็นพุทธะ  จงทำดีแบบไม่หวังผล จงทำดีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จงทำดีด้วยใจที่หวังอยากให้มีดี นั่นแหละเรียกว่าจิตใจที่เป็นพุทธะ  แต่มนุษย์เราก็อดไม่ได้ที่จะติดในลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง ภาระหน้าที่  แล้วเราจะทำอย่างไร เวลาบำเพ็ญก็เหลือน้อยเต็มที ถ้าหากว่ารบกับภาระหน้าที่  ใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้าเราบอกว่าเจียดเวลาที่พักจากภาระหน้าที่มาช่วยคน มาให้เวลากับตน เจียดได้ไหม (ได้)  ยังพอเหลือเวลาไหม ยังพอมีเวลาเอาไปช่วยคนไหม (มี)  ต้องมีสิ ถ้าเมื่อไรท่านให้เวลากับธรรมะ เมื่อนั้นธรรมะจะให้เวลากับชีวิตคน  เมื่อไรมนุษย์เราไม่เคยให้เวลากับธรรมะ เมื่อนั้นชีวิตคนจะสั้นลง เราไม่ได้แช่ง แต่เราพูดความจริง เพราะว่าคนที่อยู่เพื่อตัวตนเอง ไม่เคยทำงานเสียสละให้กับใคร ไม่มีใครเขาต้องการหรอก มีแต่คนอยากให้กลับไปไวๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรท่านให้เวลากับธรรมะ ชีวิตท่านพร้อมที่จะสละทั้งชีวิตให้กับธรรมะ เมื่อนั้นธรรมะจะให้ชีวิตท่าน แม้ชีวิตที่ได้นั้นอาจจะลุ่มดอนบ้างก็อย่ายอมแพ้ ทำได้ไหม (ได้) 
“ราคีไม่อาจครอบคนมีเสบียง”   เสบียงในที่นี้หมายความว่ากุศลผลบุญแห่งการทำความดี  หากมนุษย์เรามุ่งมั่นบำเพ็ญตนเป็นคนดีตั้งแต่นี้และต่อๆ ไป แม้จะมีสิ่งใดมาทำให้ผิดพลาดไป ความดีนั้นจะช่วยประคับประคองให้คนยังเชื่อถือว่าท่านคือคนดีอยู่ แต่ถ้าเกิดจากวันนี้และนับต่อๆ ไปไม่เคยทำความดี เมื่อมีคนมาใส่ร้ายป้ายสีย่อมมีคนไม่เชื่อ และมีคนเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์นั่นก็คือจิตใจที่ไม่เคยคิดฝักใฝ่จะทำดี และชอบยอมแพ้ง่ายๆ กับการปฏิบัติไม่ดี น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  และที่น่ากลัวที่สุดนั่นก็คือไม่รู้ว่าตัวเองไม่ดี ไม่มองตัวเองและรับรู้อย่างคนกล้าหาญ ท่านก็เปรียบเหมือนดอกไม้ในตะกร้านี้ วันใดล่ะที่จะถูกเด็ดแล้วก็ทิ้งลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ดอกไม้ยังมีคุณค่าตรงที่เบ่งบานให้คนได้สดชื่น เบ่งบานเท่าที่จะทำได้ นี่คือที่สุดของดอกไม้หนึ่งดอก แล้วที่สุดของชีวิตท่านหนึ่งชีวิตคือสิ่งใด หาให้ได้มากที่สุด เรียนให้ได้สูงที่สุดนั่นคือที่สุดของท่านหรือ  วันนี้ท่านได้พบทางอีกทางหนึ่งของชีวิตแล้ว คือที่สุดของการเป็นมนุษย์คือเป็นพุทธะ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ที่มีจิตใจดี ไม่แบ่งเขาไม่แบ่งเรา ไม่ถืออคติ ไม่ถืออารมณ์ นี่คือที่สุดของชีวิตผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง  อยู่ที่ว่าท่านจะเดินกลับทางเก่าหรือจะลองเดินทางนี้ดู
การเดินทางนี้ไม่ใช่ให้ท่านทิ้งภาระหน้าที่ ไม่ใช่ให้ท่านนับถือศาสนาใหม่แต่อย่างใด แต่ยังเป็นคนที่มีภาระหน้าที่เหมือนเดิมแต่ดำรงชีวิตอย่างไม่เห็นแก่ตน ไม่แก่งแย่งอย่างเบียดบังคน นี่คือการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง  แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่าเราเห็นแก่ตนหรือเปล่า เราเบียดบังหรือเปล่า เราหลงผิดไปหรือเปล่า นั่นก็คือใช้ธรรมที่ท่านได้ศึกษา ใช้ธรรมที่ท่านได้เรียนรู้ออกไปสำรวจ วันนี้โดนใครว่า เห็นแก่ตัว กลับไปย้อนมองดู อย่าไปโกรธ อย่าไปน้อยใจเขา  อย่าไปว่าเขากลับ แต่เอาสิ่งที่เขาพูดมาย้อนดูว่าเห็นแก่ตัวจริงไหม
วันนี้เรามาเรียกร้องให้ท่านรู้จักเสียสละ รู้จักบำเพ็ญตน เพราะท่านมีความเป็นพุทธะอยู่ในตน ท่านลองย้อนกลับไปดูว่าเรามีความเป็นพุทธะได้ไหม เรามีความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหมได้หรือเปล่า ง่ายๆ ทำได้อย่างที่พูด
ศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์)  ศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่  ทำอะไรพยายามจนสำเร็จเก่งไหม (เก่ง)  สำเร็จแล้วยังช่วยคนได้ สำเร็จแล้วบนทางแห่งความสำเร็จยังไม่เหยียบย่ำทำร้ายใครด้วย นั่นเรียกว่าหนทางของท่านเป็นหนทางที่สว่างและน่าเดินตาม นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นพุทธะบนแดนดินได้ และทุกย่างก้าวที่เดินนั้น รู้จักควบคุมความประพฤติของตนเอง  สามารถมีชีวิตอยู่ให้กำลังใจคนที่ดี แปรเปลี่ยนคนที่ร้ายให้เป็นคนดี นั่นแหละเรียกว่าพุทธะ โดยใช้ธรรมะในตัวท่าน จิตใจที่ฝักใฝ่ดี เริ่มต้นง่ายๆ เท่านี้เอง  ดอกไม้ก็จะเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่า ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่งดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากฟังธรรมะอีกหนึ่งหัวข้อไหวไหม  (ไหว) ใครที่ไม่ไหวยกมือขึ้น (มีผู้ที่ยกมือหนึ่งท่าน) ดีมากที่กล้ายอมรับ แล้วจะทำอย่างไรดีถ้าเสียงส่วนใหญ่ยอมรับว่าไหว แต่หนึ่งเสียงไม่ไหว ต้องอดทนหน่อยนะ เพราะวันนี้สิ่งที่ท่านมากันก็คือ มาฟังธรรมะเพื่อน้อมนำไปปฏิบัติ ตลอดชีวิตนี้ท่านฟังแค่สามวันเอง แล้วก็ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีใครมาบังคับให้ท่านฟังหรือไม่ฟังอีกแล้ว ขอเพียงสามวันนี้ฟังให้ครบ และคิดด้วยปัญญาของตนเองว่าสิ่งที่เราพูดมานั้นเป็นจริงไหม ท่านทำได้หรือเปล่า  เรามาหลอกลวงหรือเรามาโป้ปดอะไรท่านหรือไม่
คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การปฏิบัติตนเมื่อยามมีชีวิต จะกลับไปเป็นมนุษย์เหมือนเดิม หรือจะกลับสู่เบื้องบนด้วยการบำเพ็ญตน ขึ้นอยู่กับวันนี้และนาทีต่อไปนี้ว่าท่านใฝ่สิ่งใด 
วันนี้เราอาจจะมาทำให้ท่านไม่มีความสุขมากเท่าไรนัก ก็ต้องขออภัยด้วย หากมีใครเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเราก็ต้องขออภัยอีกด้วยเหมือนกัน แต่อยากให้รู้ว่าวันนี้ธรรมะที่ท่านได้ฟังไปล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวทุกท่าน แต่เราเป็นผู้รู้ก่อน ท่านเป็นผู้ที่ยังไม่รู้ เราจึงอยากบอกให้ท่านได้รู้ เมื่อต่อไปท่านเป็นผู้รู้แล้ว  จงเอาสิ่งที่รู้นี้ไปบอกกับคนที่ยังไม่รู้ต่อๆ ไป แล้วในสังคมจะเต็มไปด้วยคนดี จริงไหม (จริง) ไม่ต้องกลัวคนหลอกลวงอีกต่อไป หรือแม้จะมีคน
หลอกลวงอีก ท่านก็ภูมิใจที่ได้ดีมาตลอดชีวิตแล้ว มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่นะ


วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความสะอาดทำให้เกิดความสะดวก ทำลวกลวกทำให้เกิดความติดขัด
คนหมั่นฝึกค่อยค่อยเกิดความสันทัด คนช่างหัดในที่สุดจึงชำนาญ
เราคือ
หนันผิงจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีศิษย์น้อยน้อยมีความสุขดีหรือเปล่า

ผนวชใจผนวชอะไรในใจตน กิเลสคนเกินส่ายหน้าปฏิเสธพ้น
ละอัตตาที่มั่นอยู่ในตน เก็บตั้งใจที่หล่นคืนครรลอง
อารมณ์คงเส้นคงวานี้จำเป็น สองมือลงการบำเพ็ญอย่าผยอง
กี่อุปสรรคใจเราสู้ใช้สมอง หนักหัวข้องเคืองใครพิจารณาตน
บรรลุการเรียนให้ใจมองเห็น สะท้อนเป็นเพียรความดีบังเกิดผล
ปัญญาเป็นมือไม้มีทุกคน ความอดทนเป็นเครื่องวัดเหนือเวลา
ต่างคนอย่าต่างใจให้แสลง ทิฐิส่งให้แรงคอยขัดขา
ลืมความสุขเสรีเคยมีมา เพราะปรารถนาโลกมาหมุนตามเรา
เจ้าพึงเกรงราตรีมากไม่รู้ สติอยู่ชีพดำรงก้าวต่อก้าว
ชนะด้วยความดีมีแสงขาว ทุกชีวิตพราวความหมายในสากล
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทานข้าวอิ่มหรือยัง (อิ่มแล้ว)  ทานข้าวหรือทานหมี่ (ทานหมี่)  เรื่องของเรื่องต่างกันนิดเดียว แต่ในความนิดเดียวก็มีความต่างมากมาย ถ้าเปรียบว่าเรื่องนั้นๆ อยู่ที่ไหน หากเป็นเรื่องแค่ทานข้าวหรือทานก๋วยเตี๋ยวก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องถึงการงานหรือจิตใจของคนนั่นก็จะน่าเป็นเรื่องใหญ่  เพราะฉะนั้นบางทีเกิดเป็นคนควรจะมีทั้งความละเอียดและความหยาบอยู่ในตัวด้วย ความหยาบนี้ใช้ตอนไหนบ้าง อย่างเช่นบางครั้งเราก็จุกจิกจู้จี้ขี้บ่น  บางเรื่องเราก็มองเห็นเป็นเรื่องนิดเดียว แต่คนอื่นมองเห็นเป็นเรื่องใหญ่ หรือว่าเรามองเห็นเป็นเรื่องใหญ่แต่คนอื่นมองเห็นเป็นเรื่องนิดเดียวเคยเห็นไหมเรื่องแบบนี้ (เคยเห็น)  เพราะฉะนั้นเราควรที่จะมีจิตใจหยาบนิดหนึ่ง คือ “อภัย”  อภัยให้กันง่ายๆ  อย่างนี้เขาเรียกว่าหยาบดี ใช่ไหม (ใช่)  บางเรื่องก็ควรที่จะละเอียด ละเอียดให้ดี ละเอียดอย่างไร บางเรื่องเกี่ยวข้องถึงสภาพจิตใจของคน เมื่อเราพูดไปทำให้คนอื่นเขาเสียใจ เมื่อเราทำไปทำให้คนอื่นเขาร้องไห้  อย่างนี้เราก็ควรที่จะละเอียดนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องที่คนนั้นอ่อนไหวมากที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับเงินทอง  เวลาเราทำงานก็มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ในครอบครัวของเราระหว่างคนกับคน ทุกๆ ครั้งมีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง  เรื่องนี้ควรที่จะละเอียดนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจจะต้องทะเลาะเบาะแว้งโดยที่ไม่จำเป็นก็ได้ ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  
มีเสียงรบกวนแบบนี้ รู้สึกว่าจิตใจของเราสงบนิ่งลงได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แม้จะมีเสียงหวีดของไมโครโฟนแต่เราต้องทำจิตใจให้นิ่ง นิ่งได้คือสมาธิที่ดี  เมื่อเจอเรื่องใหญ่ ๆ เราจะตระหนกตกใจและก็หวาดกลัว พอเราเจอเรื่องเล็กๆ ไม่เป็นไรเอาไว้ก่อนก็ได้ อย่างนี้เป็นคนที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  เมื่อเราเจอเรื่องใหญ่ๆ  เราต้องฝึกทำจิตใจให้สงบนิ่ง ทำจิตใจของเราให้มีสมาธิ แต่เมื่อเราเจอเรื่องเล็กๆ เราต้องทำอย่างไร (ให้รีบแก้ไข)  ใช่แล้วให้รีบแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่างเช่นนิสัยของทุกคน ชอบเขียนหนังสือมือขวา  แต่ก็มีบางคนชอบเขียนหนังสือมือซ้าย  นี่เป็นนิสัยของการเขียนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าให้คนมือขวามาเขียนมือซ้าย และให้คนมือซ้ายมาเขียนมือขวา ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร (ไม่ถนัด, ไม่ชิน)  ต่างคนต่างมีเหตุผลแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำไม่ได้
เพราะว่าเรานั้นหัดเขียนมาทุกๆ วันเป็นเวลาสิบๆ ปี แบบนี้เป็นนิสัยที่ไม่มีผลกระทบกระเทือนอะไรเลย กับการเขียนมือขวาหรือมือซ้าย 
ไหนเรามองตัวเองสิ ไม่ได้มองเหมือนเรามองคนในกระจกนะ  ให้มองไปถึงจิตใจของตัวเองว่าเรามีนิสัยอะไรบ้าง   นิสัยขี้เกียจมีไหม (มี)  นิสัยชอบเที่ยวมีไหม (มี)  นิสัยเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วมีความสุขมีหรือเปล่า (มี)  มีนิสัยความโลภอยู่เล็กๆ มีหรือเปล่า เกลียดคนอื่นในบางครั้งมีไหม (มี)  คนนี้ไม่พอใจ คนนั้นเราก็ไม่พอใจ เลือกอันนั้นแล้วก็เลือกอันนี่   อันโน้นเราไม่ชอบมีไหม  นิสัยเหล่านี้มีข้อดีไหม (ไม่ดี)  อย่าบอกว่าดีนะ ถ้าบอกว่าดีแสดงว่าเราตาบอด  ตาบอดทั้งที่เรามองเห็นใช่ไหม (ใช่)   เพราะฉะนั้นการที่มาบำเพ็ญธรรมในคราวนี้ การฟังธรรมะสองสามวันนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะฟังเฉยๆ แต่ต้องเอาไปแก้ไขในสิ่งที่เรายังบกพร่อง  ธรรมะเป็นอะไร ธรรมะเป็นสภาพของความว่างเปล่า ไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถฟังได้ยิน แต่สิ่งที่เราฟังนั้นนำไปทำความเข้าใจให้ลึกลงไปสู่จิตใจของเราเอง แล้วเรานำกลับไปปฏิบัติ เราจึงมองเห็นธรรมะด้วยจิตใจของเรา ไม่ใช่มองเห็นธรรมะด้วยรูปที่อยู่ข้างหน้า ไม่ใช่มองเห็นธรรมะที่เป็นพื้น ไม่ใช่มองเห็นธรรมะที่เป็นบุคคล ฉะนั้นตอนนี้มานั่งฟังธรรมะก็เพื่อเก็บความเข้าใจไปสู่ใจของเรา และนำความเข้าใจนั้นไปปฏิบัติออกมาให้เป็นธรรมะดีหรือไม่ (ดี)  แก้ไขในสิ่งที่เราเรียกว่านิสัยของเรา ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ออกพิษสงในการที่จะทำให้เราเดือดร้อนใดๆ ทั้งสิ้น หรือไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนมากก็ตาม แต่วันหนึ่งนิสัยของเราก็จะทำความเดือดร้อนให้เราอย่างหนัก เพราะอะไร  เพราะถึงเวลาหนึ่งแล้วเราไม่สามารถที่จะฝืนใจตัวเองได้ เมื่อเรารู้สึกรักชอบใครขึ้นมาคนหนึ่ง แล้วเราเกิดความรู้สึกฝืนใจของตัวเราไม่ได้  เพราะเรามีนิสัยที่ชอบตามใจตนเอง ถึงตอนนั้นเราก็รู้สึกที่อยากจะทำอะไร  บางคนร้ายแรงที่สุดก็อยากจะฆ่าตัวตาย ตายไปแล้วความรู้สึกรักจบไปไหม (ไม่จบ)  ความรู้สึกแค้นจบไปไหม (ไม่จบ)  ไม่มีความรู้สึกใดๆ จบไปเลย มีแต่สังขารนี้ที่จบไป สังขารที่เราจับนี้ จับดูสิว่ามีไหม  ไหนลองใช้มือซ้ายจับมือขวา มือขวาจับมือซ้าย นี่เป็นสังขารเรา เอาขึ้นมาดูนิดหนึ่ง ผิวเขาเป็นอย่างนี้ อีกสิบปีข้างหน้าเขาจะเหี่ยว ตอนนี้เวลาไปส่องกระจกยังคงเห็นตรงหน้านี้ก็สาวสวย ตรงหน้านี้ก็หนุ่มหล่อ พอถึงเวลาอีกสิบปีข้างหน้าก็จะกลายเป็นคนแก่ แก่กว่าที่เรามองเห็นตอนนี้ แล้วถามว่าแม้กระทั่งสังขารที่เรารักนักหนา หวงบำรุงนี้  เรายังไม่สามารถรั้งดึงไว้ได้  ชีวิตนี้ดึงอะไรได้บ้าง (ความดี)  ความดีถ้าให้ดีก็อย่าดึงมัน ทำแล้วก็ปล่อยไป  สมมติว่าเราไปช่วยคนๆ นี้ไว้ แล้วเราบอกว่าเราช่วยเขา คนที่ถูกเราช่วยนั้นห้าวัน สิบวันหนึ่งปีผ่านไป เขาจำได้ไหมว่าเราเคยช่วยเขา  (ไม่ได้)  ใครจำได้ (ตัวเรา)  เราจำได้ แต่คนที่ถูกเราช่วย ถ้าในความคิดของเขามันเป็นการช่วยที่เล็กน้อยเขาจะจำไม่ได้  เพราะฉะนั้นความดี ถ้าให้ดีก็อย่าดึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดึงอะไรได้บ้างในโลกนี้ ทรัพย์สิน เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียงและสรรเสริญดึงได้ไหม (ไม่ได้)  มีอะไรดึงได้บ้าง ความสุขดึงได้ไหม (ไม่ได้)  ความทุกข์ดึงได้ไหม ความทุกข์ดึงไม่ได้เหมือนกัน เพราะอะไร (เพราะไม่มีความแน่นอน)  ความทุกข์ก็ดึงไม่ได้ ความสุขก็ดึงไม่ได้เช่นเดียวกันไม่มีอะไรดึงไปได้  วันนี้สมมุติว่าเราถูกทำให้มีความทุกข์โดยความทุกข์ แล้ววันนี้เป็นวันที่เพิ่งจะถูกมีดแห่งความทุกข์กรีดมาเลือดไหลสดๆ เรารู้สึกว่าเราเจ็บปวด เราร้องไห้ เราเสียใจ ไม่มีอะไรในโลกจะทุกข์เท่ากับวันนี้อีกแล้ว  สามปีผ่านไปเป็นอย่างไรบ้าง ทุกข์เหมือนเดิมไหม (ไม่)  ทุกข์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อาจจะเป็นเพราะเราทำใจได้ อาจจะเป็นเพราะจิตใจของเรานิ่งมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่มันเปลี่ยนแปลงไป  จากที่ทุกข์ที่สุดอาจกลายเป็นสุขที่สุด ฉะนั้นไม่ว่าความสุขหรือความทุกข์นั้น เราต่างดึงไว้ไม่ได้เลย ชีวิตนี้ไม่สามารถดึงอะไรไว้ได้เลย  มีสิ่งที่ต้องดึงอย่างเดียวแม้ว่าจะดึงไม่ได้คืออะไร แม้จะดึงไม่ได้ก็ควรจะดึง (จิตใจ, จิตวิญญาณ)  มีคนตอบอยู่สองคน  ความหมายออกมาในทำนองเดียวกันนั่นคือจิตใจจิตญาณของตัวเอง ถูกต้องปรบมือให้หน่อย  ทำไมถึงบอกว่าควรที่จะดึงไว้แม้ดึงไม่ได้  เพราะว่าในตอนนี้เราทุกคนอยู่ในโลกนี้ซึ่งได้ชื่อว่าทะเลทุกข์ จิตใจของเราจึงเป็นจิตใจที่เหมือนกับไปตามกระแสและดึงได้ลำบาก  ทุกวันต้องเห็นของที่มีสีสวย ทุกวันต้องเห็นคนที่รักชอบ ทุกวันต้องเห็นวัตถุที่เรานิยม ให้เรานั้นพาตัวหลงไปตามมายาต่างๆ ให้เราไปหยุดอยู่ตามที่ต่างๆ ที่เรานิยม หยุดแล้วไม่สามารถเดินหน้าได้ หยุดไปเรื่อยๆ เห็นสิ่งนี้ชอบก็หยุด เห็นสิ่งนั้นชอบก็หยุด หยุดชมไปเรื่อยๆ แต่แม้ว่าเราจะดึงได้ลำบากเหลือเกิน แต่ก็ควรที่จะดึงเพื่อที่ให้จิตใจของเรานั้นสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ และรอจนวันหนึ่งให้จิตใจของเรานั้นพ้นไปจากกระแสโลกีย์ที่เชี่ยวกรากนี้ เพื่อให้เราบรรลุขึ้นไปสู่ความเป็นนิรันดร์  แต่หากว่ายังมีจิตใจที่มีสภาพสามวันดีสี่วันไข้แบบนี้ก็ไม่สามารถที่จะพ้นได้แน่  ความสำเร็จในการที่เราจะเดินทางขึ้นไปสู่พุทธภูมินั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงสามวันห้าวัน ย่อมไม่ใช่สามวันนี้แน่นอนแต่เริ่มต้นขึ้นจากสามวันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราไม่เริ่มต้นเราจะถึงจุดหมายได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราไม่เริ่มก้าวแรกเราจะมีก้าวต่อๆ ไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แล้วเราจะสามารถที่เป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าเริ่มจากสามวันนี้เป็นวันเริ่มต้น  เก็บความเข้าใจที่จะเกิดขึ้นในสามวันนี้ให้มากที่สุด เพื่อที่เรานั้นจะเดินหน้าต่อไปได้ ดีหรือไม่ (ดี)  
ข้อดีของการบำเพ็ญธรรมหรือผลประโยชน์คืออะไร ข้อดีคือ มีชีวิตเป็นมนุษย์อย่างมีความสุข ต้องการไหม (ต้องการ)  เป็นสุขที่ไม่เหมือนกับที่มนุษย์พูดว่าเป็นความสุขที่ดื่มได้ แต่เป็นความสุขที่ปกติๆ  ข้อดีต่อไปคือให้เราเกิดเป็นเทวดา เอาไหม ให้เราไปเป็นพุทธะดีไหม (ดี)  ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะสามารถก้าวขึ้นไปกี่ก้าว ถ้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าสามก้าวแล้วถอยลงมาอีกสามก้าว อยู่ที่เดิมใช่ไหม ถ้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าห้าก้าวแล้วถอยกลับสักสามก้าวพอไหวไหม (พอไหว)  บวกลบกันแล้วเหลือสองก้าว สองก้าวจะอยู่ที่ไหน สมมุติให้เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเทวดา ดีไหม (ไม่ค่อยดีเพราะมีเวียนว่ายตายเกิด)  เป็นครึ่งๆ ไม่ดี เพราะทุกวันนี้ก็เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมารอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ในโลกของความคิดของศิษย์นั้นคิดดีเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะคิดไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดแล้วไปทำหรือเปล่านี่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่นั้นก็จะคิดในทางที่ไม่ดีเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างมีคนมาช่วยเรา เราคิดว่าเขาต้องมีผลประโยชน์แน่นอน ทำไมไม่คิดว่าเขามาช่วยเราเพราะเขาคงจะมีเมตตาจิต  ในขณะที่เรานั้นเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดคนหนึ่งแต่เวลาคนมาช่วยเรา เรากลับคิดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่คนเขาช่วยเหลือเรา  สิ่งที่ต้องเกิดมาในความคิดอันดับแรก ไม่ใช่ความคิดที่บอกว่าเขามาช่วยเราเพราะอะไร แต่ต้องเป็นความคิดที่เราจะตอบแทนคืนเขาอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้คนในโลกนี้ได้ประจักษ์ว่า “ทำดีแล้วได้ดี” เพราะว่าคนมาช่วยเราแล้วเราช่วยเขากลับ นี่เป็นการทำให้ในโลกนี้รู้สึกว่าทำดีแล้วได้ดี นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องรู้จักสำนึกคุณ ตอบแทนคุณ  เวลาคนมาช่วย เราต้องช่วยกลับ เพื่อให้คนในโลกนี้ที่เปลี่ยนสุภาษิตให้เพี้ยนว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน”  ได้เห็น ทีนี้เราจะตอบว่า “ทำดีได้ดีมีที่นี่” แล้วก็ชี้มาที่ตัวของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวนี้ลองพูดว่า “ทำดีได้ดีมีที่นี่” แล้วชี้ตัวเองสักทีหนึ่ง (ทำดีได้ดีมีที่นี่)  แล้วทุกคนทั้งหมดที่ตรงนี้ ไปอยู่บ้านตัวเอง กลับไปอยู่ในสังคมของตัวเอง ทุกๆ คนก็กระจายกันออกไป  อาจารย์คิดว่าสุภาษิตก็คงจะเริ่มเพี้ยนกลับมาอีกทีหนึ่งแล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  เวลาทำความดีเราต้องเริ่มขึ้นจากตัวของเราเอง ตัวของเราเองหนึ่งคนไปสู่คนรอบข้างเรา ไปสู่คนในสังคมของเรา ไปสู่ประเทศของเรา  ทุกคนที่อยู่ที่นี่ถ้ากลับไปแล้วทำความดีจริงๆ โดยไม่มีอคติเคลือบแฝง ไม่มีความเสแสร้ง โลกนี้ก็คงน่าอยู่ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อปรารถนาให้ความน่าอยู่นั้นมีในโลกนี้ ก็จงเริ่มสร้างขึ้นจากตัวเอง ดีหรือเปล่า (ดี)  สิ่งที่สืบทอดได้ดีมากที่สุดไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่โฉนดที่ดิน แต่เป็นคุณธรรมและความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมว่าจะสืบทอดอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ที่ดิน บ้าน หรือรถแต่เป็นความดี
“ความสะอาดทำให้เกิดความสะดวก ทำลวกลวกทำให้เกิดความติดขัด”  
ที่นี่สะอาดไหม (สะอาด)  กว้างไหม (กว้าง)  คิดว่าความสะอาดที่เห็นอยู่ทั้งหมดนี้ต้องเกิดจากฝีมือของใคร (ทุกคน)  ต้องเกิดจากฝีมือของมนุษย์เป็นผู้กระทำแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสะอาดที่เห็นอยู่ทั้งหมดนี้ ศิษย์ลองมองดู สมมุติว่ามองไปรอบข้างแล้วบอกให้ไปหยิบพัดลมมาสักตัวหนึ่ง เราก็มองเห็นเลยว่าพัดลมที่อยู่รอบ ข้างเรามีกี่ตัว จะวิ่งไปหยิบตัวไหนดี  พอบอกให้วิ่งไปที่ประตู วิ่งไปหยิบพาน หรือหยิบเบาะ หยิบตะเกียงมาข้างหนึ่ง ยังวิ่งไปเอาถูก แต่ลองคิดไปถึงบ้านเรา ที่บ้านของเรานั้นรกไหม (รก)  ของส่วนใหญ่คงจะต้องตอบว่ารกใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีความสะอาดจึงไม่มีความสะดวกใช่หรือไม่ บางอย่างในบ้านของเรานั้นทับกันห้าหกชั้น  เสื้อผ้าก็แน่นในตู้ไม่รู้จะหยิบตัวไหนดี พอจะหยิบตัวนี้อีกตัวหนึ่งก็จะหลุดตามไปด้วย อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฉะนั้นชีวิตของเรานั้นจึงไม่มีความสะดวก  อยากมีชีวิตที่สะดวก เมื่อสะดวกแล้วจึงสบายใช่หรือเปล่า ต้องลงทุนทำความสะอาดบ้านของเราเอง  เมื่อบ้านของเราสะอาดจิตใจของเรานั้นก็จะดูรื่นรมย์มากขึ้น  เราไปถึงที่ไหน เมื่อเราเห็นความสะอาดๆ มันก็เป็นอย่างเดียวกับจิตใจของเรา  ฉะนั้นที่อาจารย์พูดศิษย์อาจจะว่าไม่เห็นเกี่ยวกับธรรมะตรงไหนเลย แต่เกี่ยวกับจิตใจและความเป็นอยู่ของเราเอง การบำเพ็ญธรรมนั้นควรจะได้รับการดูแลทั้งภายนอกและภายใน ไม่ใช่บ้านเรามีคนใช้หลายคนก็ให้คนใช้ทำ แต่เราไม่ทำ พอวันหนึ่งคนใช้บอกว่าไม่อยากได้เงินเดือน ฉันลาออกดีกว่า ศิษย์ทำเป็นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นต้องรู้จักที่จะทำความสะอาดบ้านของเรา ทำความสะอาดจิตใจของเราด้วยตัวของเราเองด้วย ต้องรู้จักจับไม้กวาดขึ้นมากวาดเอง จับที่ถูพื้นขึ้นมาถูเองต้องรู้จักทำเองเสียบ้าง ผ้าก็ต้องซักเอง อย่างนี้จึงเป็นคนที่รู้จักความเหนื่อยยากบ้าง เสื้อผ้าเราใส่เองใช่หรือไม่ (ใช่) บ้านเราอยู่เองใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องทำให้สะอาดๆ  จิตใจของเราจะได้ดูรื่นรมย์มากขึ้น สร้างสวนหย่อมสวนพักผ่อนในบ้านของเรา  อย่าสร้างสวนรกๆ ในบ้านของเราดีหรือไม่ (ไม่ดี) 
มนุษย์นั้นเป็นคนที่ขี้โรคมากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนมีโรคภัย แต่ว่าโรคบางโรคหาสาเหตุไม่เจอว่าเป็นเพราะอะไรใช่หรือไม่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเรานั้นเกิดความเคยชินทุกวันๆ  เราจึงสั่งสมโรคเข้ามาโดยไม่รู้ตัวใช่หรือเปล่า  แพทย์นั้นไม่ได้มายืนเฝ้าเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉะนั้นความเคยชินที่ส่งเสริมมาเป็นโรคภัยไข้เจ็บนั้นจึงหาสาเหตุลำบากใช่หรือไม่ และถามว่าตัวคนไข้เองบางทีรู้ไหมว่าโรคนี้เกิดจากอะไร (ไม่รู้)  ตอนนี้ยังเป็นคนปากแข็งอยู่นะ โรคบางโรคหรือเรื่องบางเรื่องเรารู้ว่าที่เราเป็นแบบนี้เพราะอะไร แต่ว่าเรานั้นยังปฏิเสธตัวเองอยู่เพราะว่าความเคยชินที่ทำทุกวันๆ ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงไปเลยภายในสามวันห้าวัน ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เอายาเม็ดที่เป็นสีๆ ทานเข้าไปๆ  ใช่หรือเปล่า  แล้วคิดว่ายาเม็ดเล็กๆ จะสามารถนำมาช่วยร่างกายอันใหญ่โตของเราได้  คิดว่าเข็มฉีดยาอันเล็กๆ จะสามารถมาช่วยเราให้พ้นจากโรคภัยนั้นได้  ก็อาจจะช่วยได้จริงๆ  แต่พอช่วยพ้นไปแล้วกลับมาใหม่ เพราะว่าความเคยชินของเรานั้นไม่ได้ถูกแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่จะรักษาโรคนั้นจริงๆ ควรที่จะแก้ความเคยชินของเราใช่หรือไม่  บางคนเป็นโรคแพ้อากาศ แพ้อากาศนี้ไม่ได้แพ้อากาศข้างนอก  แพ้อากาศในบ้านตนเองใช่หรือเปล่า เพราะว่าบ้านเราฝุ่นเยอะ ทำให้เรานั้นแพ้อากาศ ฟังดูว่าแพ้อากาศเป็นโรคทันสมัย คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็น แต่คนสมัยนี้เป็นโรคแพ้อากาศบ่อย แพ้อากาศในบ้านของเราเองไม่พอ อากาศในห้องนอนตัวเองก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ เพราะว่าเราไม่รักษาความสะอาดใช่หรือเปล่า  เมื่อหายใจเข้าไปทุกวันและทานยาเม็ดเล็กๆ เข้าไปทุกวัน จะหายไหม (ไม่หาย)  ในที่สุดทานยาเม็ดเล็กๆ เข้าไปมากๆ ก็จะเป็นโรคอื่นต่อ   เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นเกิดมาเป็นคนทั้งที จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ก็ขอให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นโรคภัยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ จะดีกว่า  อย่าเป็นโรคภัยที่หาเรื่องใส่ตัวเลยดีหรือไม่ (ดี)  
เรานั้นสามารถที่จะเอาชนะสิ่งใหญ่ๆ รอบตัวได้หมด  อย่างเช่นอยากได้บ้านก็หาเงินไปซื้อบ้านได้  อยากได้รถก็หาเงินไปผ่อนรถได้  อยากขึ้นไปเหยียบบนดาวอังคาร ดาวพระจันทร์ เราก็ขึ้นไปได้เหมือนกัน  แต่เรากลับแพ้สิ่งที่เล็กๆ ที่อยู่รอบตัวเรา  ดังเช่นอะไรบ้าง  แพ้เด็กตัวเล็กๆ เป็นไหม (เป็น) เพราะว่าเด็กเล็กๆ น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กเล็กๆ น่ารัก เขาช่างอ้อน ก็เหมือนเรา แพ้นิสัยที่อยู่ลึกๆ ในจิตใจของตัวเอง  แพ้กิเลสที่อยู่ลึกๆ ในจิตใจของตัวเอง  สิ่งเล็กๆ นี้ส่วนใหญ่เราจะแพ้  เพราะว่าสิ่งเล็กๆ เต็มไปด้วยความเอาใจใส่  เต็มไปด้วยการอ่อนเข้าหาเรา  แต่เรานั้นเป็นคนที่ตัวใหญ่  เรายิ่งแข็งกระด้าง เวลาที่เราเจอคนที่ตัวเท่าเราถ้ามีเรื่องกันก็ชกกันใช่หรือไม่  ให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนใหญ่ถ้าเกิดว่าชกไม่ชนะก็จะไม่เลิก  เพราะฉะนั้นก็จะต้องให้ชนะให้ได้ แต่เด็กตัวเล็กๆ เราเอาชนะเขาด้วยคำพูดเพราะๆ รอยยิ้ม ถ้าเราไม่ยิ้มให้เขา เขาก็ไม่ให้เราอุ้มใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราหน้าบึ้งใส่เขา เขาก็ไม่ให้เราอุ้มใช่ไหม (ใช่)  ที่นี้เมื่อรู้ว่าโลกเป็นอย่างนี้  เมื่อรู้ว่าเรามีร่างกายที่ใหญ่และแข็งแรง รู้ว่าจิตใจของเรานั้นก็แข็งเหมือนกัน  กระด้างไปหมด คำพูดของเราก็แข็งกระด้าง ความคิดของเราก็แข็งกระด้าง  ฉะนั้นวันนี้กลับกันใหม่  ไหนลองกลับหน้ามือเป็นหลังมือซิ  ทีนี้เราลองคิดว่าคนที่ตัวใหญ่ๆ ที่อยู่ตรงหน้าเรา ทุกคน   ที่เราไปเจอในสังคมในโลกนี้เป็นเสมือนเด็กตัวเล็กๆ  ถ้าเขาโมโหใส่เรา เราทำอย่างไร (ยิ้ม)  ทำให้ได้นะ  เขาต้องการเอาชนะเรา เราทำอย่างไร (ยอมแพ้)  บางทีถ้าหากว่าเขาต้องการเอาชนะเรา เราก็แปลงตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ  พอเราต้องการเอาชนะเขา เราก็ทำอย่างไรอีก  ก็ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก  ทำอย่างไรบ้าง พูดเพราะๆ เป็นไหม (เป็น)  คิดดีๆ เป็นไหม (เป็น)  พูดจาเอาใจเป็นไหม (เป็น) ถ้าเราไม่เอาใจเขา เขาจะไม่ยอมเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรากลับไปบ้าน เราลองไปดูลูกหลานเรา  อาจารย์เชื่อว่าไม่มีใครชนะลูกไม่มีใครชนะหลาน เพราะอะไร เพราะว่าเขาน่ารักเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาน่ารักแล้วเราล่ะ  เขาน่ารักเราก็น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่)  น่ารักกันไปน่ารักกันมาโลกนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  น่าอยู่ไหม (น่าอยู่)  ฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยู่กันอย่างคนที่น่ารัก  โลกนี้ก็น่าอยู่ จะมีการทะเลาะกันไหม (ไม่มี)  ถ้าหากว่าเขาบ่นยาวหน่อย ทำอย่างไร  
“ละอัตตาที่มั่นอยู่ในตน เก็บตั้งใจที่หล่นคืนครรลอง”  
คำตอบอยู่ในบทนี้  ถ้าหากว่ามีคนบ่นเรายาวๆ หน่อย เราก็ละอัตตา  อัตตาแปลว่ายึดมั่นในตัวตนของเราเหลือเกิน เขากำลังบ่นเราอยู่ พอเราคิดว่าเขากำลังบ่นเราเท่านั้นเอง เราทนไหวไหม  นับจากที่เราคิดได้ว่านี่คือตัวของเรา หลังจากนั้นไม่เกินห้านาทีทนไม่ได้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราก็ละอัตตาของเราไปเสีย  ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวเอง  พอเรารู้สึกว่าความตั้งใจของเราที่จะทำตัวให้เป็นเด็กๆ มันหล่นไปเราก็เก็บมันขึ้นมาคืนครรลอง คืนสิ่งที่ควรจะเป็น ทำได้ไหม (ได้) 
ตอนนี้ยิ่งต้องฟังธรรมะ ยิ่งต้องใจเย็นๆ อาจารย์พูดเยอะๆ แต่เวลาเอาไปปฏิบัติแค่สามนาทีห้านาทีเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างคนโมโหเรา เขาใช้เวลาตั้งแต่เขาเริ่มโมโหไปจนโมโหกี่นาที  แทบจะนับไม่ทันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาที่เราโมโหกลับกี่นาที ก็นับไม่ทันเลยใช่หรือไม่  เขาโมโหปุ๊บ เราก็โมโหปั๊บ เหมือนกับว่าเขาชกมาหมัดหนึ่ง เราชกกลับหมัดหนึ่ง  เพราะฉะนั้นเวลาอาจารย์พูดเยอะๆ แต่เวลาที่เอาไปปฏิบัติกินเวลาไม่เท่าไรเอง  การจะปฏิบัติได้ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับสติของเราว่าสติของเราจะตามทันตัวเราไหม  จะอยู่กับเราไหม หรือว่าก่อนเราจะตามทันเราต้องวิ่งไปหยิบสติมาก่อน แล้วก็วิ่งมาใส่ตัวเรา  ถ้าอย่างนี้ก็ช้าเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นควรที่จะตามทันจิตใจของเรา ให้ใจอยู่กับเราอย่าเป็นคนใจลอย  
อันที่จริงแล้วความมีโรคภัยเป็นสิ่งที่ดีรู้ไหม  ใครคิดว่ามีโรคภัยเป็นสิ่งที่ดีบ้างยกมือขึ้น  ใครไม่เคยมีโรคภัยเลยยกมือขึ้น  ทุกคนมีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนมีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่อยากมีก็ต้องมี  อยากให้ไม่มีก็มี  แต่ว่าทุกครั้งที่เราเป็นไข้ ทุกครั้งที่เราเป็นโรค ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าเรานั้นไม่สบาย ครั้งนั้นจะเป็นครั้งที่เรานั้นตื่นขึ้นจากความเคยชินเก่าๆ ของเรา  เราจะตื่นจากคนเดิมที่เฉื่อยชา มากระฉับกระเฉงดูแลรักษาตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถือว่าความเจ็บป่วยนั้นมาเขย่าเราให้เราตื่นขึ้นจากความเฉื่อยชาในชีวิตของเรา  เพราะฉะนั้นการเป็นโรคภัยไข้เจ็บนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ก็มีสิ่งที่ดีอยู่ในนั้นคือทำให้เรานั้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงจิตใจและเปลี่ยนลักษณะเป็นอยู่ของเราได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ  นี่คือโรคภัยที่อยู่ภายนอก เป็นโรคภัยที่เรานั้นรู้และสัมผัสได้ว่าเรากำลังป่วย แต่ในขณะเดียวกันจิตใจของเราก็กำลังป่วยเหมือนกัน แล้วก็ป่วยมานานแล้วด้วย  จิตใจของเรานั้นป่วยเป็นโรคอย่างเดียว คือป่วยเป็นโรคกิเลส ยอมรับไหม (ยอมรับ)  จิตใจของเรานั้นป่วยเป็นโรคกิเลส  เพราะฉะนั้นตอนนี้การที่เราเป็นคนป่วยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรค  แม้จะยอมรับเป็นบางครั้งบางคราวแต่ก็ไม่ได้ยอมรับจริงๆ  อาจารย์จะบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้น  นอกจากเป็นโรคทางกายที่รักษาได้ยาก ยังเป็นโรคทางจิตใจที่อาจารย์นั้นยังหาวิธีเยียวยาไม่ได้
คนที่จะเป็นหมอก็คือคนไข้ คนไข้ก็คือหมอ เพราะว่าคนที่จะให้ยาตัวเองนั้นคือตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่จะดูแล คนที่เป็นพยาบาลดูแลตัวเรานั้นก็คือเราอีกเหมือนกัน  ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเมล็ดยาที่กลั่นออกมาก็มาจากปัญญาของเราอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตัวเราหนึ่งคนก็เปรียบเสมือนโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่มีคนไข้อยู่คนเดียว มีหมออยู่คนเดียว แล้วมีพยาบาลอยู่คนเดียวเข้าใจไหม (เข้าใจ) แล้วถามว่าหมอคนนี้ให้ยาสม่ำเสมอไหม ตรวจร่างกายนี้สม่ำเสมอหรือเปล่า คนไข้คนนี้ดูแลตัวเองดีไหม พยาบาลคนนี้มาเช็คดูตามเวลาได้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) ไม่ถูกต้องเลย โรงพยาบาลนี้ก็ใกล้จะเจ๊งแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) เจ๊งไปกับความหละหลวมของตัวเอง ดูแลแต่อะไร ดูแลแต่สีข้างนอก ทาสีให้โรงพยาบาลนี้ดูใหม่หน่อย เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีเขียว ว่างๆ ก็เอาทองมาใส่ให้โรงพยาบาลนี้หน่อย จะได้ดูรวย แต่ภายนอก หรือภายในสำคัญกว่ากัน (ภายใน)  ภายนอกโรงพยาบาลต่อให้ดูใหม่ดูสวยก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญนั้นอยู่ภายใน อยู่ที่คนนอนอยู่บนเตียง คนไข้เป็นหรือตาย ถ้าหากว่าคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงนี้ตาย ต่อไปจะมีคนมารักษาที่โรงพยาบาลนี้ไหม (ไม่มี)  แต่ว่าคนไข้ที่อยู่บนเตียงนี้ก็ทนมากเลยนะ ไม่ยอมตายเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่นอนพะงาบๆ อยู่ ที่สุดแล้วคนไข้ก็ไม่ตาย และไม่มีใครมาทำโทษหมอด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ที่พูดมาทั้งหมดนี้คือตัวของเราเอง เราไม่ดูแลตัวเอง เราไม่สะดุ้งสะเทือนกับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ในสมัยก่อนบางคนเป็นแค่โรคเล็กๆ อย่างเช่นเป็นไข้ก็ถึงตายได้ เพราะว่ารักษาไม่ถูก ไม่รู้ว่ารักษาอย่างไร บางคนเป็นกาฬโรค เป็นวัณโรคก็ตายไป โรคเหล่านี้รักษาไม่ได้ แต่ในสมัยนี้การแพทย์เจริญมากรักษาได้เกือบทุกโรค แล้วเราอยู่บนโลกที่เก่งกาจ อยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความเก่ง ทำไมเราถึงไม่เก่งในการที่จะรักษาจิตใจของตัวเอง ไม่พัฒนาจิตใจของเราให้เป็นคนที่ทันสมัย มีวิทยาการที่ทันสมัยบ้าง ดังเช่นทุกครั้งที่เราโกรธ เรารู้ทันทีว่าเราโกรธ แต่เราห้ามได้ทันทีไหม (ไม่)  เราห้ามตัวเองไม่ได้เลย เป็นเพราะอะไร หมอให้ยาไม่ถูก ใช่ไหม (ใช่)  ทุกครั้งที่เราเกลียด ทุกครั้งที่เราลุ่มหลง เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังลุ่มหลง หรือถึงรู้ก็ไม่สามารถที่จะห้ามตัวเองได้ทันที เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้ไปเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองดีหรือไม่ (ดี)  บูรณะโรงพยาบาลนี้ทั้งภายนอกและภายใน คนไข้ก็พยายามทำตัวให้แข็งแรง อย่าทำตัวกระเสาะกระแสะ หมอก็ขยันหาความรู้เพื่อที่จะให้คนไข้มีชีวิตรอด พยาบาลก็ช่วยดูแลคนไข้ให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี)  
อาจารย์มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง เป็นนิทานสั้นๆ มีชายชราคนหนึ่งเลี้ยงลิงไว้หนึ่งฝูง เขาบอกลิงว่า เขาจะให้อาหารเช้าแก่ลิงสามลูก อาหารเย็นสี่ลูก รวมกันเป็นเจ็ดลูก แต่ลิงไม่พอใจ ชายชราจึงพูดใหม่ ถ้าเช่นนั้นเช้าให้สี่ลูก เย็นให้สามลูกก็แล้วกัน ถามว่าลิงพอใจไหม (ไม่พอใจ)  ลิงไม่ฉลาดเหมือนศิษย์ ลิงจึงพอใจ ชอบใจ กระโดดโลดเต้นปรบมือด้วยความดีใจ เพียงแค่ว่าเช้าได้สี่ลูกแค่นั้นเอง นิทานก็จบ ตอนนี้ลิงโดนหลอก หรือคนโดนหลอก (คน)  คนฟังโดนหลอกก่อนเลยนะ ส่วนลิงก็พอใจเพราะว่าเห็นแค่ประโยชน์เฉพาะหน้า ในโลกของเราปัจจุบันนี้มีแบบนี้ไหม (มี)  เราเห็นประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นหลักใหญ่ ไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมา สนใจแค่เวลาเช้าที่เราเริ่มทำมาหากิน ไม่ได้สนใจเวลาค่ำที่เรานั้นกำลังจะหมดแรงเพราะทำมาหากินมาทั้งวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้สนใจสิ่งที่เป็นไปตลอด เราสนใจอยู่แค่เฉพาะหน้าเท่านั้นเอง เป็นลิงในเรื่องนี้ฉลาดไหม (ไม่ฉลาด)  คนในปัจจุบันนี้ก็เหมือนลิงไม่ฉลาดเท่าที่ควร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่างช่วงนี้มีเรื่องหวย เลขสามกับสี่เป็นเรื่องของตัวเลข  แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่แค่สามกับสี่ แต่หนึ่งถึงศูนย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เสร็จแล้วคนที่เล่นโดนหลอกเหมือนกับลิงโดนหลอกไหม (เหมือน)  เราเห็นประโยชน์เฉพาะหน้าแค่อะไร แค่เงินก้อนหนึ่ง ที่เล่นไปยี่สิบหนแต่ยังไม่ได้คืนสักหนหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครคิดว่าตัวเองกลับไปจะเลิกเล่นหวยบ้างยกมือขึ้น คนที่ไม่ยกแล้วกำลังเล่นอยู่ จะบอกให้ว่าเป็นลิง เพราะกำลังถูกตัวเลขปั่นหัว กำลังเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เราเกิดมาเป็นคน บางทีนั้นก็หลีกไม่พ้นอย่างหนึ่งคือการถูกปรักปรำ ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าใครยังไม่เคยถูกปรักปรำเลยในชีวิต เมื่อถูกปรักปรำสักครั้งหนึ่งจะรู้ว่า การถูกปรักปรำนั้นยิ่งกว่าเอาน้ำร้อนมาสาดเสียอีก แต่การที่จะไม่ให้บริเวณที่ถูกน้ำร้อนที่สาดนั้นพองต้องทำอย่างไร  วีธีแก้มีหลายวิธี บางคนวิ่งไปล้างน้ำเย็น บางคนเอายาสีฟันมาป้าย  แต่ว่าน้ำร้อนที่สาดมานี้ไม่ได้สาดโดนร่างกาย แต่สาดโดนจิตใจของเรา จิตใจที่ละเอียดและอ่อนบาง เราจะทำอย่างไร เราต้องคิดหาวิธีการไม่ให้จิตใจของเรานั้นพอง ต้องรู้จักที่จะอดทน กลืนคำปรักปรำลงท้องไป หากว่ามีโอกาสที่จะแก้ตัวได้ค่อยแก้ตัว    แต่หากว่าเราผิดจริง แก้อะไร (แก้ไข)  บางคนอายที่จะยอมรับผิดต่อหน้าคน
จำนวนมาก    แต่ไม่อายที่เราทำผิดอยู่ทุกวันๆ  ฉะนั้นต้องรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง 
สองวันนี้ใครยังไม่ได้รับผลไม้บ้าง ยกมือขึ้น  วันนี้เอาไหม (เอา)  พรุ่งนี้อาจจะไม่มีนะ พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เลย ใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นเราต้องมองเห็นทุกวันที่ผ่านไปและวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้ผลไม้ เมื่ออาจารย์ถามอะไรจึงกล้าที่จะตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองเห็นทุกๆ วันของเราเป็นวันสุดท้ายที่เราจะมีชีวิตอยู่ ทุกๆ วันเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้สร้างผลประโยชน์ให้ผู้อื่น ทุกๆ วันเป็นวันสุดท้ายที่เรานั้นจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้  มีคนอยู่สองประเภท คนประเภทหนึ่งคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะมีชีวิตอยู่ ฉันจะเสวยสุขให้กับตัวเองให้เต็มที่  ส่วนอีกคนคิดว่าในเมื่อวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่ ฉันจะไปสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นอย่างเต็มที่  คนแรกเมื่อตายไปเป็นอะไร เมื่อตายไปก็ไปชดใช้กรรมของตัวเอง ส่วนคนที่สองด้วยจิตกุศลนั้นอาจจะทำให้เขาไปเกิดเป็นเทวดา หรือไปเกิดในภูมิภพที่ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเรื่องทุกๆ เรื่องที่เราทำไป ในเรื่องทุกๆ เรื่องที่เราคิดก็เหมือนกัน เวลาคนอื่นให้ร้ายเราแล้วเราคิดว่าจะไปแก้แค้น หากว่าเราต้องตายลงหลังจากที่เราแก้แค้นเสร็จเราก็คือผีนรกที่ชดใช้กรรม  แต่หากว่าเรานั้นอภัยให้ ตอนนั้นเราก็เป็นเทวดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้สึกแค้นใจและโกรธนั้นทำให้หัวใจเราเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากนอกเบ้า  เพราะฉะนั้นเราก็รู้จากผลที่มันเกิดขึ้นว่าในชีวิตหนึ่งหากเราเห็นทุกๆ วันเป็นวันสุดท้าย เราก็จะไปทำสิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม ดีหรือไม่ (ดี)  แล้ววันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ศิษย์จะได้ผลไม้ เพราะฉะนั้นเวลาอาจารย์ถามอะไรก็ตอบให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี)  
“บรรลุการเรียนให้ใจมองเห็น สะท้อนเป็นเพียรความดีบังเกิดผล
ปัญญาเป็นมือไม้มีทุกคน ความอดทนเป็นเครื่องวัดเหนือเวลา”  
วันนี้นั่งฟังเป็นวันที่สอง อย่างนี้เขาก็เรียกว่าการเรียนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นการเรียนโดยการฟังธรรม การเรียนนี้บรรลุด้วยการทำให้ (ใจมองเห็น)  ไม่ใช่ใช้ตา ไม่ใช่ใช้หู แต่ให้ใช้ใจของเรานั้นมองเห็น ให้ใช้ใจของเรานั้นฟัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การจะบรรลุการเรียนนั้นมีอะไรบ้าง การเรียนธรรมะไม่เหมือนการเรียนทางโลก เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่สำคัญก็คือการเพียรความดี เพียรความดีนี้ทำให้เราสามารถที่จะบรรลุผลได้  อีกอย่างหนึ่งคือปัญญา และอีกอย่างคือความอดทน  ตอนแรกๆ ที่เราเริ่มเรียนเราต้องรู้จักที่จะให้จิตใจของเรานั้นได้สัมผัสกับธรรมะ และสิ่งที่เราได้ฟัง เมื่อเรารู้และมองเห็นแล้วให้เรากลับไปสร้างความดี  สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรานั้นสามารถที่จะแยกแยะเท็จจริง ผิดชอบชั่วดีออกได้คือปัญญา ปัญญาเป็นสิ่งที่เรานั้นต้องขยันหมั่นใช้ เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งเหมือนกัน  ทุกคนนั้นมีปัญญาแต่ปัญญานั้นเหมือนกับหน่อที่เพิ่งงอก ยังไม่แข็งแรง เหมือนต้นถั่วงอก เคยเห็นไหม ถั่วงอกนี้ปลูกขึ้นมาแค่สามวัน เพราะฉะนั้นปัญญาที่ได้จากสามวันนี้เป็นปัญญาถั่วงอก คือเป็นปัญญาที่ยังไม่แข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าหลังจากนี้ ชั่วชีวิตนี้เป็นสิบๆ ปีแล้วเราบำเพ็ญธรรม แล้วเราใช้ปัญญาของเรา ปัญญาของเราจะเป็นต้นโพธิ์  อันต่อมาที่ทำให้เราสามารถที่จะอยู่คงทนถาวร ไม่ว่าจะถูกคนว่า ไม่ว่าจะถูกคนติ ไม่ว่าจะถูกคนทำร้ายด้วยสายตา หรือว่าทำร้ายด้วยคำพูด ไม่ว่าจะกลับไปถูกว่าแค่ไหน หากว่าเรามีความอดทนอดกลั้น ไม่โมโหใคร ไม่เกลียดใคร ความอดทนจะเป็นเครื่องวัดที่เหนือเวลาให้กับตัวของเราเอง 
“ต่างคนอย่าต่างใจให้แสลง”  มาถึงประโยคนี้ ที่นี้อาจารย์อยากจะให้มองดูตัวเอง เราหนึ่งคนมีใจกี่ดวง (ดวงเดียว)  ในการจะทำงานหนึ่งเรื่องมีความคิดกี่อย่าง (หลายอย่าง)  แสดงว่าเราไม่ได้มีใจดวงเดียว  ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะรวมความคิดเป็นหนึ่งในตัวของเราคนเดียวได้แสดงว่าเราไม่ได้มีใจเดียว  เมื่อสามีภรรยาอยู่บ้านเดียวกัน สามีมีความคิดหลายอย่าง ภรรยาก็มีความคิดหลายอย่างแล้วจะเป็นอย่างไร ทะเลาะกันไหม (ทะเลาะ)  เมื่อเราอยู่ในบ้านอย่างมากก็พ่อแม่ลูก แม่สามี พ่อสามี แม่ภรรยา พ่อภรรยา แต่ออกไปข้างนอกเจอคนไม่ต่ำกว่าสิบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่ต่างคนต่างความคิดเป็นอย่างไรบ้าง ทะเลาะกันไหม (ทะเลาะ)  แต่ว่าอยากจะให้มองไปลึกๆ บางทีเรื่องที่ทะเลาะกันเป็นเรื่องแค่นิดเดียวที่เรานั้นปลงไม่ได้ปล่อยไม่ได้ เขาเรียกว่าน้ำผึ้งหยดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ เมื่อเราเกิดมาต่างคนต่างใจ เวลาที่เรายอมได้ต้องรู้จักยอม เวลาสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ถ้าหากว่าสามีไม่ยอม ภรรยาก็ต้องยอม ถ้าภรรยาไม่ยอม สามีก็ต้องยอม แล้วถ้าทั้งคู่ไม่ยอมล่ะ (ทะเลาะกัน)  แล้วถ้าทะเลาะกันยังไม่เลิกก็ไปหย่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์ถามใหม่ แล้วถ้าไปหย่ากันแล้วมาแต่งกันทำไม  เพราะฉะนั้นการที่เราตกลงปลงใจอยู่กับใครอีกคนหนึ่งหมายความว่า นับตั้งแต่วันแต่งงานเราก็บอกว่าเราจะยอม นับตั้งแต่มีลูกเราก็บอกว่าเราจะยอม นับตั้งแต่เราทำงานเราก็บอกว่าเราจะยอม เพียงแต่คำๆ นี้ไม่ได้ปรากฏออกมาเด่นชัด เพราะถ้าหากว่าเราไม่ยอมก็คือฝ่ายตรงข้ามต้องยอม  แต่ว่าคนไม่สามารถจะยอมได้เสมอๆ  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  หากเป็นคนที่รู้จักยอมคน หากเป็นคนที่อดทน คนๆ นี้จะมีแต่คนรักคนชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราไม่ได้อยากจะได้คำชมนั้น ไม่ได้อยากได้ความรักนั้น แต่จงรู้ไว้เถิดหากวันใดศิษย์ขาดคนที่รักใคร่ห่วงใยแล้ว ศิษย์จะไม่ต่างกับต้นไม้ที่ลืมรดน้ำทีเดียว  ฉะนั้นการที่เรานั้นอยู่ในโลกนี้ ถึงแม้เราจะบอกว่าฉันอยู่ในโลกนี้คนเดียวได้ แต่หากว่ารู้จักยอมจะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกความสุขที่เหมือนทรายกำมือเดียวของเราจะเพิ่มขึ้นมาเป็นกองไม่ดีหรือ (ดี)  
วันนี้จะกลับดึกเหมือนเมื่อวานนี้เอาอีกไหม (เอา)  รับปากอีกแล้ว  ก็เป็นธรรมดาที่มนุษย์ตาซ้ายกับตาขวาไม่เท่ากันใช่หรือเปล่า ตอนนี้รับปากเดี๋ยวพอตอนเย็นฟ้ามืด หน่อยจิตใจก็ไม่อยากฟังอีกแล้ว บ้านน่าอยู่หรือที่นี่น่าอยู่ (ที่นี่)  กลับบ้านไปก็ทะเลาะกัน   กลับบ้านไปก็นอนไม่หลับ คนพูดก็ไม่น่าฟังไม่ค่อยอยากฟังเขาพูดเท่าไร แต่ทำไมชอบกลับบ้าน เพราะรักคนที่บ้านแต่ปากมันแข็ง ใช่หรือไม่ ไหนลองจับปากแข็งไหม (ไม่แข็ง) หูเบาไหม   หูก็ไม่เบายังติดอยู่กับที่ ปากก็ไม่แข็งยังนิ่มๆ ดี  เพราะฉะนั้นปากก็อย่าแข็ง หูก็อย่าเบา ตาก็ไม่นิ่มชอบลอกแลก สอดส่ายหาความผิดคนอื่นอยู่เรื่อยเลยใช่หรือไม่  คนสมัยนี้จึงชอบเอาแว่นตาดำมาใส่ จะได้ปกปิดความลอกแลก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไหนใครชอบตาลอกแลกสอดส่ายหาความผิดคนอื่นบ้าง  ทีนี้ถ้าหากว่าตาของเราลอกแลกหาความผิดของคนอื่นให้ไปยืนหน้ากระจก  ยืนหน้ากระจกทำไม 
(มองตัวเอง)  ทีนี้อย่าไปมองคนข้างหน้า ให้หาความผิดของคนที่อยู่ในกระจก แต่แปลก พอให้ไปยืนที่หน้ากระจกตาก็นิ่งเลยใช่ไหม มองตรงไหนก็มองตรงนั้น เพราะอะไร เพราะมองเข้าข้างตนเอง ตนเองมีอะไรให้เข้าข้างบ้าง  บอกว่าเป็นคนดี ก็ดีครึ่งๆ เป็นคนไม่ดีก็ไม่เชิง แต่ทำไมรักตนเองนักก็ไม่รู้ใช่หรือไม่  
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมะไปนานๆ บางทีเราก็มีความอ่อนล้ามีความอ่อนแรง มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งคนที่อยู่เบื้องหน้า ไม่เข้าใจทั้งคนที่ตามมาข้างหลัง เราเป็นคนกลางที่อยู่ระหว่างข้างบนและข้างล่างเราต้องทำให้ดี เวลาที่เราหมดใจ เวลาที่เราท้อแท้ อาจารย์อยากให้ดูอย่างคนเมื่อสักครู่ (นักเรียนมีอายุมากมือสั่นแทบจะไม่มีแรงวงพระโอวาท)  เราทำวันนี้ไว้เผื่อวันหน้า เผื่อวันหนึ่งเราไม่มีโอกาสทำ เผื่อวันหนึ่งเราไม่มีแรงทำแล้ว เผื่อวันหนึ่งเราไม่มีสิทธิ์ที่จะลำบากใจกับสิ่งที่เราลำบากใจอยู่ในตอนนี้ เราไม่มีสิทธิ์นั้นเพราะเราอายุมากเกินไป จนกระทั่งไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ฉะนั้นเวลาที่เราท้อแท้ถดถอย เวลาที่เราไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตของเราเอง ขอให้เราคิดว่าเราคือความหวังของอาจารย์ เราคือความหวังของเวไนย เราคือสิ่งที่เป็นความหวังของทุกๆ คน เพื่อวันหนึ่งเราไม่มีสิทธิ์ที่จะลำบากใจเหมือนอย่างวันนี้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำงานเหมือนอย่างวันนี้ที่ทำ เพราะขนาดแค่มือที่จะไปวง จะไปเขียนตัวอักษรที่เคยเขียนไวๆ นี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเขียนแล้ว เข้าใจไหม ทำงานธรรมะควรทำวันต่อวัน ไม่ยึดเป็นของเรา ทุกคนที่มาในที่นี้คือคนที่เราต้องสืบทอดสืบสานงานให้เขา ขอเพียงแต่ดูแล้วว่าเขาพร้อมเขาเหมาะสม เราก็ช่วย กันส่งเสริมกันดีไหม (ดี)  
หลังจากสามวันนี้กลับไปแล้ว ศิษย์คิดว่าจะทำอะไรให้แสดงถึงการบำเพ็ญของตนเอง
(บำเพ็ญโดยการทานเจ, ปรับปรุงขัดเกลาจิตใจของตัวเองให้ดีขึ้น ให้สมกับเป็นพุทธะที่ตั้งปณิธานไว้,.อดทนต่อความโกรธและดึงสติกลับมาให้ได้, ลดทิฐิในตัวเอง, ให้อภัย, ไม่เห็นแก่ตัว, ตั้งสติอดทนแก้ปัญหา, ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน, ตอบแทนผู้ที่ช่วยเหลือเรา, ลดความเอาแต่ใจตนเอง, ไม่โลภ, เสียสละให้ผู้อื่น, ฝึกจิตให้สงบ, เอาใจเขามาใส่ใจเรา, ทำจิตใจให้เบิกบาน ละโลภ โกรธ หลง, แนะนำให้คนมารับธรรม, ลดอัตตาและพยายามเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น)
(ช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส)  จะมีโอกาสเมื่อไร (เจอคนที่ได้รับความเดือดร้อนก็ช่วย)  ตอนนี้เจอคนมากมายไปหมด ทุกคนอยากได้ความช่วยเหลือจากหัวหน้าชั้นไหม (อยาก)  คนเรามักทำตัวเหมือนคนตาบอด จริงๆ แล้วทุกคนก็ต้องการความช่วยเหลือ เพียงแต่ว่าเราจะแกล้งมองเห็นหรือมองไม่เห็น 
(เผยแพร่ธรรมะทำให้คนหายจากโรคกายโรคใจ) โรคกายหายยาก โรคใจหายง่ายกว่า ต้องทำให้จิตใจเราให้ไม่มีโรคก่อน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะติดเชื้อ  
(จะทำจิตใจให้เย็นลง)  เย็นได้แต่อย่าเย็นมาก เดี๋ยวกลายเป็นน้ำแข็ง 
(กตัญญูรู้คุณพ่อแม่)  ไปทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยมารับผลไม้ดีไหม ความกตัญญูต้องกตัญญูก่อนถึงจะได้รับผลตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แปลก ถ้าพ่อแม่ยิ่งอายุมาก ยิ่งกตัญญูท่านยิ่งบ่น กลัวไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ 
(ต้องอดทนในสิ่งที่ยั่วยวน)  รู้ไหมว่าอะไรยั่วยวนเรา (จิตใจ)  จิตใจของเรายั่วยวนตัวเอง เพราะว่ากิเลสเหมือนกับเวลาที่เราไปเดินซื้อเสื้อผ้าแขวนไว้เป็นราว เราเป็นคนชอบสีม่วงมากที่สุด เวลาเห็นเสื้อผ้าสีม่วงและตัวนี้ถูกใจ เราอยากจะได้ กิเลสอยู่ที่เสื้อผ้าหรืออยู่ที่ใจศิษย์ (ใจศิษย์)  อยู่ที่จิตใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าตัวนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขจัดกิเลสต้องดูที่ใจของตัวเอง ไม่ใช่บอกว่าเราจะออกจากโลกนี้ แล้วเข้าป่าไป  แต่พอเราออกมาจากป่าเราก็เห็นเสื้อผ้าตัวเดิม เราก็เหมือนเดิมอีก  ฉะนั้นยุคนี้บำเพ็ญท่ามกลางโลก บำเพ็ญท่ามกลางสังคมและหมู่คน กิเลสอยู่ที่จิตใจของเรา ใจของเราจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็เป็นได้ จิตใจของเราจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดก็เป็นได้ อยู่ที่ใจของเราเอง 
(จะชักจูงคนมาศึกษาธรรมะมากขึ้น)  ได้ยินไหม (ไม่ได้ยิน)  รู้ไหมได้ยินหรือไม่ได้ยินเพราะอะไร เพราะว่าเราตั้งใจฟังหรือเปล่า  
(ลดอัตตาตัวเองและขี้งอนให้น้อยลง)  เป็นเด็กมักจะพูดว่าขี้งอน แล้วถ้าแก่ๆ เขาเรียกว่าอะไร (น้อยใจ)  เพราะฉะนั้นตอนเด็กๆ ก็ยังน่ารักอยู่ เด็กงอนได้ พอแก่ๆ ก็ไม่มีคนสนใจ ยังเป็นเด็กก็ดี ถ้าหากว่าโตขึ้นเรื่อยๆ ต้องให้คนงอนใส่เรา ไม่ใช่ให้เราไปงอนใส่คนอื่น ไม่อย่างนั้นต่อไปไม่มีคนสนใจ 
(ยิ้มให้มากกว่าเดิมเพื่อที่จะชนะใจตนเองและผู้อื่น)  ยิ้มสวยดี ยิ้มบ่อยๆ 
(จะทำในแต่สิ่งที่ถูกต้องและสมควร)  และควรมีเวลามาสถานธรรมเพื่อให้คนรู้ว่าจริงๆ เราก็เป็นคนเก่าเหมือนกัน อย่าเป็นเก่าเก็บอยู่กับบ้านนะ  ไม่ดี
ตั้งแต่โบราณมาบอกว่าผู้ชายบำเพ็ญธรรมะสำเร็จง่ายกว่าผู้หญิง แต่สงสัยยุคนี้ผู้ชายจะขี้อาย ถ้าเปรียบเป็นสองฟากวิ่งแข่งกัน ผู้ชายแพ้หลุดลุ่ยแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
(จะทำความดีมากขึ้น)  แล้วทุกวันนี้มากหรือยัง วันหนึ่งกี่หน นับไม่ถ้วนหรือไม่มีจะให้นับ 
(อดทนและมั่นคงในจิตใจ)  โดยทั่วไปแล้วเวลาที่เราโมโหบางทีคนอื่นเขาไม่จงใจยั่ว แต่ถ้าเกิดเจอคนที่จงใจยั่วจะโมโหไหม  เวลาเจอคนจงใจยั่วโมโหเราก็ต้องบอกว่าเราไม่โมโหก่อน ไม่ใช่ต้องให้ได้ผลไม้จากอาจารย์ก่อน  
เวลาที่ถูกคนไม่เอาใจใส่จิตใจของเราก็เหมือนกับที่อาจารย์จงใจขว้างผลแอปเปิ้ลไม่ให้ศิษย์รับได้  ปกติเวลาเราขว้างหรือส่งของไปให้ใครก็คือจงใจให้ได้กับคนนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าเราส่งของไปแต่ไม่ถึงคนๆ นั้น ไม่ถึงมือคนนั้น เหมือนกับอาจารย์จะให้ศิษย์แต่อาจารย์ขว้างไปด้านข้าง เหมือนกับเราไม่ได้จริงใจส่งให้คนๆ นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเป้าหมายก็ไม่ได้อยู่ที่คนๆ นั้น หากว่าไม่สนใจจิตใจของคนที่เราจะส่งให้ ก็เหมือนกับที่อาจารย์ขว้างไป แต่ศิษย์ก็ไม่ได้รับ เมื่อไม่ได้รับย่อมไม่มีผลดีเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้นการใส่ใจจิตใจของคนอื่นก็เหมือนกับการส่งให้ตรงหน้า 
(แผ่เมตตา)  ต้องแผ่ด้วยการกรวดน้ำไหม (ไม่ต้อง)  ในสมัยก่อนใช้วิธีการแผ่เมตตาด้วยการกรวดน้ำ อาจารย์จะบอกให้ว่า กี่นานกี่มากน้อยที่เราจะกรวดน้ำสักครั้งหนึ่ง บางคนแทบไม่ทำ ไม่มีเวลาที่จะมานั่งนึกย้อนถึงการแผ่เมตตาให้กับผู้อื่น ทุกๆ การปฏิบัติและการกระทำของเรา เมื่อมีโอกาสเมตตาคนก็ให้เมตตาไปเลย ดีกว่าการที่ศิษย์นั้นมานั่งกรวดน้ำทีละหนอีก เพราะว่าถ้าหากเราไม่ได้กรวดน้ำ เราก็ไม่ได้ใช้จิตใจนั้นระลึกถึงผู้อื่น และศิษย์สมัยนี้มีกี่คนที่จะมากรวดน้ำทุกวัน มีกี่ครั้งที่ทำดีแล้วมานั่งคิดถึงผู้อื่น เพราะฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่ทำดีจงเอาการกรวดน้ำใส่ลงไปในนั้นเลย ให้เราคิดถึงผู้อื่นทุกเมื่อๆ จะดีกว่า
(กลับไปบ้านจะไปฝึกธรรมะ)  ฝึกอย่างไรบ้าง (สวดมนต์, ภาวนา)  อาจารย์มาสอนสวดมนต์หรือยัง การสวดมนต์ไม่เท่ากับการที่เราออกไปช่วยผู้อื่น ใช้มือสองมือนี้ออกไปช่วยผู้อื่นคือสิ่งที่อาจารย์สอน อาจารย์ไม่ได้สอนให้สวดมนต์นะ
(เมื่อทะเลาะกับใครจะมองหาปมด้อยของตัวเองให้มากที่สุด)  ต้องมองหาเฉพาะเวลาทะเลาะหรือ  เราสามารถเห็นปมด้อยของตัวเองตั้งแต่ก่อนที่จะไปทะเลาะกับคนอื่น 
เวลาที่เรามาศึกษาธรรมะต้องหัดจับธรรมะให้แน่นๆ เพื่อให้เรานั้นมีที่ยึดเหนี่ยวก่อน ภายหลังต่อให้ปล่อยธรรมะนี้ไว้เฉยๆ ธรรมะก็จะอยู่กับเรา 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “จิตใจสูงส่ง ชีวิตเปี่ยมความหมาย” ทำนองเพลง “เพลงผีบอก”)
ทุกๆ คนในที่นี้วันหนึ่งอาจารย์หวังว่าทุกคนนั้นจะมีจิตใจที่สูงส่ง จิตใจที่สูงส่งได้มาได้อย่างไร จิตใจที่สูงส่งคือจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว คนที่ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัวนั้น เรียกว่าเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่ง ถ้าหากว่าวันหนึ่งๆ คิดถึงแต่ตัวเอง เราจะมีจิตใจที่สูงส่งได้ไหม (ไม่ได้)  คิดถึงแต่อารมณ์ของตัวเอง คิดถึงเหตุผลของตัวเองเราจะเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่งไม่ได้ แม้เราจะมีจิตใจสูงส่ง แต่ทุกครั้งที่เรามีความเห็นแก่ตัวขึ้นมา จิตใจสูงส่งของเรานั้นก็จะดับวูบลง ฉะนั้นคงไม่ต้องอธิบายว่าเห็นแก่ตัวมีสภาพเป็นอย่างไร เพราะเราทุกคนนั้นก็มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เพื่อน เห็นแก่พวก เห็นแก่สิ่งที่รัก เห็นแต่สิ่งที่ชอบ อันเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งหลาย เมื่อเห็นแก่วัตถุที่ชอบ เห็นแก่บุคคลที่ชอบจึงทำให้เรามีจิตใจที่สูงส่งไม่ได้ หากเราสามารถเห็นมนุษย์ทุกคนๆ เป็นมนุษย์เหมือนกัน หากเราสามารถเห็นวัตถุทุกอย่างคือสิ่งเดียวกัน  ไม่แบ่งค่าราคาระหว่างทองกับก้อนหินก็เหมือนกัน เช่นนั้นจะทำให้เรามีจิตใจสูงส่งได้ หากว่าเรายังเห็นทองเป็นทอง เห็นหินเป็นหินแล้วเราจะมีจิตใจสูงส่งได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
ที่นี่มีคนร้องเพลงเก่ง แต่เวลาอาจารย์มาไม่มีคนแสดงตน พออาจารย์อยู่ก็ไม่อยากร้อง  เวลาอาจารย์ไม่อยู่ก็ร้อง  เวลาที่โอกาสเปิดรีบมาคว้า เสียงดีก็พอกล้อมแกล้มไปไหว  ถ้าร้องเพลงเก่งจริงพออาจารย์สอนร้องสองรอบก็ได้แล้ว ใช่ไหมคนพิษณุโลก (ใช่)  
เวลาอาจารย์ให้เพลงแต่ละเพลงคนที่ลำบากใจคือคนที่มานำเพลงให้กับอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเขาจะร้องเป็นทุกเพลง แต่ว่าต้องพยายามเรียนรู้ให้รวดเร็ว  ฉะนั้นหากศิษย์คิดว่าสามารถนำร้องเพลงธรรมะและนำฝึกให้คนเป็น  ต้องมีความรวดเร็วด้วย  สิ่งสำคัญอีกอย่างของคนที่ร้องเพลงธรรมะ ซึ่งไม่เหมือนเพลงทางโลกที่เพียงแต่ร้องออกมาให้เป็นทำนอง แต่การร้องเพลงธรรมะถ้าหากจะให้มีธรรมะในเพลงนั้น หมายความว่าจิตใจของเราต้องเป็นใจที่มีธรรมะแล้ว เสียงที่มีพลังจะออกมาจากความเต็มร้อยเต็มล้านเปอร์เซนต์ในความศรัทธา จึงจะสามารถเปล่งเสียงอันไพเราะที่ไม่ใช่ไพเราะแค่เสียงของคนที่ร้อง แต่เป็นความไพเราะที่มีความศรัทธา ฉะนั้นการร้องเพลงธรรมะจึงต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนและเปล่งออกมาจากจิตใจ ไม่ใช่ลำคอ เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
ชื่อเพลงคือ “การบำเพ็ญคือการฝึกหัด” หมายความว่า ทุกครั้งของการบำเพ็ญ ทุกวันที่ผ่านไปก็คือการฝึกหัดตัวของเราเอง
(พระอาจารย์ได้เมตตากับแม่ครัว)  ทำครัวให้อร่อยต้องไม่ทะเลาะกัน อาจารย์บอกแล้วถ้าเป็นแม่ครัวทะเลาะกัน ทำกับข้าวก็ไม่อร่อย แม่ครัวคนนี้ก็จะใส่ซีอิ้ว พอแม่ครัวอีกคนหนึ่งมาก็ว่ายังเค็มไม่พอต้องใส่ซีอิ้วอีก สรุปแล้วน้ำต้มจืดชามนี้แทนที่จะจืดๆ ก็กลายเป็นเค็มใช่ไหม (ใช่) 
อย่าได้ห่วงร่างกายที่เจ็บป่วยมากอายุมากมันก็ยิ่งโรยเหมือนดอกไม้ โรยไปโรยมาก็เหลือแต่เกสรกับแกนของดอกไม้นั่นเอง ถ้าเราไปห่วงกลีบดอกไม้ทำให้เราทุกข์ ออกกำลังกายให้มากๆ ร่างกายเราจะได้แข็งแรง
เวลาบำเพ็ญธรรมะต้องรู้จักที่จะสามัคคีประสานมือ ถ้าเขาตัดทิ้งเราก็ต้องรู้จักยืนอยู่เฉยๆ และดูว่าเราสามารถกลับเข้าไปร่วมมือได้ไหม  อย่าท้อถอย 
แม่ครัวเพียงกลุ่มเท่านี้ ถ้าเทียบกับคนกินทั้งหมดแล้วถือว่าแม่ครัวมีจำนวนน้อย เพราะฉะนั้นเราก็ควรรู้ว่าเขาก็ลำบากเป็นเท่าตัวแสดงว่าแม่ครัวหนึ่งคนต้องทำให้หลายคนกิน  การที่เราจะออกไปช่วยคนก็เหมือนกัน เราหนึ่งคนเป็นที่พึ่งของคนหลายคน เพียงแต่เราจะยอมให้ผู้อื่นพึ่งเราหรือเปล่า  คนที่มาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หมายความว่าเขาไม่มีความรู้จึงต้องไปทำงานครัว แต่หมายความว่าเขามีจิตใจที่จะเสียสละ ทนร้อนทนคมมีดเหมือนกับออกไปรบทีเดียว  เขายอมแบกนักเรียนทั้งชั้น ยอมแบกผู้ปฏิบัติงานธรรมทั้งหมดขึ้นมา นั่นคือจิตใจที่แข็งแกร่ง กล้าแกร่งและกล้าหาญ อยากให้ศิษย์นั้นเอาอย่าง
(พระอาจารย์เมตตากับอาจารย์บรรยายธรรมที่เพิ่งหายป่วย)  ศิษย์มีใจจะมาแล้วไม่ห่วงสุขภาพตัวเองหรือ (อาจารย์เมตตา)  อย่างสุดท้ายที่อาจารย์จะช่วยศิษย์ทุกคนนั่นก็คือ เอาเราไปอยู่ด้วย ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับสังขารนี้แล้ว  อาจารย์คิดว่าศิษย์ยังไม่อยากไป  ฉะนั้นต้องรักษาสุขภาพของเราให้ดีๆ ประการสำคัญคือต้องทำจิตใจของเราให้แข็งแรง เพราะแม้ร่างกายอ่อนแอ แต่ถ้าจิตใจแข็งแรง สิ่งที่อยู่ในจิตใจจะเป็นพลังออกมาครอบคลุมร่างกายของเราทั้งหมด แต่ไม่ต้องแข็งแรงแบบที่ร่างกายยังไม่ดีแล้วออกมาช่วยงานธรรมะ เดี๋ยวอาจารย์จะต้องรับกลับไปจริง ๆ 
เวลามีเรื่องเดือดร้อนของใครก็แล้วแต่เรามีหน้าที่ใจเย็นๆ รับฟังทุกฝ่าย ต้องใช้ปัญญาอย่าใช้อารมณ์ 
ศิษย์ร้องเพลงเพราะหรือเปล่า ทำไมตามาข้างหลังกันหมดเลย  ตาอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง (ข้างหน้า)  เวลาสนใจเรื่องคนอื่น ตาอยู่ข้างหน้าหน้าหรือข้างหลัง (ข้างหลัง)  สนใจเรื่องเขาแล้วเราดีหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นเมื่อตาอยู่ข้างหน้าก็สนใจอยู่ข้างหน้า ถ้าเราหันไปมองข้างหลังแสดงว่าเราสนใจเรื่องชาวบ้าน สนใจเรื่องชาวบ้านเสร็จแล้วเป็นอย่างไร สนใจเรื่องชาวบ้านมากเกินไป ปากก็ทำงาน เมื่อปากทำงานวัฏจักรสงสารก็เคลื่อน พอตายไปจิตญาณออกทางปากก็กลายเป็นกุ้งหอยปูปลา เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ฉะนั้นเวลาที่เรามาบำเพ็ญธรรมะเราควรจะเปิดใจออกให้กว้าง ในโลกนั้นมีดีมีไม่ดี ในเมื่อตัวเรายังไม่กล้าประกันว่าตัวเรานั้นดีร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่มาที่นี่ก็เปรียบเสมือนก้อนหินที่มีมุมมีเหลี่ยมมาอยู่ในถาดอันเดียวกัน แล้วถาดอันนี้ก็ร่อน ให้เหลี่ยมและมุมอันนี้นั้นมน ให้เล่ห์เหลี่ยมและกิเลสของเราทั้งหมดมันผุกร่อนไปจากการขัดเกลา  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการฝึกหัด การบำเพ็ญธรรมคือการขัดเกลา การบำเพ็ญธรรมคือการช่วยตัวเองและช่วยผู้อื่น เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาท “จิตใจสูงส่งชีวิตเปี่ยมความหมาย”
ถ้าหากว่าเรามีจิตใจสูงส่งได้ ชีวิตของเรานั้นก็จะมีความหมาย หากเรามีจิตใจที่สูงส่งไม่ได้นอกจากชีวิตของเราจะไม่มีความหมายกับตัวเราเอง แล้วยังไม่มีความหมายกับผู้อื่นอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดตั้งแต่อาจารย์มา อาจารย์เชื่อว่าไม่ได้วางยาพิษใคร ไม่เป็นพิษกับศิษย์คนไหนทั้งสิ้น ขอเพียงสิ่งใดที่ศิษย์นั้นได้ฟัง สิ่งใดที่เหมือนตนและเข้ากับตนได้ แก้ไขได้ให้เร่งแก้ไข อย่าให้ทุกวันผ่านไปอย่างคนไร้ค่า  แล้วเราจะเรียกร้องให้มีอายุยืนไปทำไม คนอายุยืนนั้นถ้าทุกวันผ่านไปอย่างคนไร้ค่า ไม่สู้คนมีชีวิตอยู่สิบปียี่สิบปีแล้วทำความดีทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเรียกร้องอยากให้ชีวิตของเราอายุยืน  อยากให้สุขภาพของเราแข็งแรง  จงดูแลจิตใจและร่างกายให้ดี  ทำให้ชีวิตของเรามีค่าทุกวันมีค่าต่อตัวเราเองและมีค่าต่อคนรอบข้าง  
วันนี้เป็นวันที่สองของการประชุมธรรม  พรุ่งนี้ยังมีอีกหนึ่งวัน  หวังว่าพรุ่งนี้ศิษย์จะมาให้ครบด้วย  กลับไปแล้วหวังว่าเมื่อศิษย์มีเวลาจะมาศึกษาเพิ่มเติม  ทำได้ไหม (ได้)  
ถึงตอนนี้แม้อาจารย์จะมีคำพูดอีกมากมาย  แต่เวลาของอาจารย์ก็คงไม่มี อาจารย์จะบอกว่าเมื่อมารอยู่กลางใจแห่งมนุษย์  พุทธะก็อยู่กลางใจแห่งมนุษย์เช่นเดียวกัน  อยู่ที่ศิษย์ยอมให้พุทธะหรือยอมให้มารมาเป็นผู้บัญชาสั่งการ  คนที่บำเพ็ญธรรมต้องให้พุทธะมาโปรดตัวเอง ไม่ใช่ให้มารมาดึง  เหมือนอย่าง มีคนหนึ่งที่เขาศรัทธาในพระโพธิสัตว์กวนอินมาก  จนน้ำท่วมมาถึงคอ จนชีวิตจะหาไม่  หากไม่เห็นองค์จริงของพระโพธิสัตว์กวนอินนั้นจะไม่มีวันเชื่อและไม่มีวันให้ใครมาช่วยตนเองเด็ดขาด  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เป็นเช่นนั้น แค่เฉพาะตัวศิษย์เองก็สามารถช่วยตัวศิษย์ได้แล้ว  เปิดหัวใจของศิษย์ให้กว้างๆ  กว้างขึ้นกว่าที่กว้างอยู่  ยอมให้พุทธะมาอยู่กลางใจ  ยอมให้พุทธะได้มีโอกาสช่วย  
การเผยแพร่ธรรมเปรียบเสมือนการเปิดประตูออก  อย่าเปิดประตูการแพร่ธรรมนั้นกว้างมากเกินไป  แต่อย่าปิดประตูของการแพร่ธรรมแคบจนแม้กระทั่งมดแทบจะก้าวเข้ามาไม่ได้  ให้เปิดไว้แต่พอดี  รู้ว่าเวลาไหนควรปิดเวลาไหนควรเปิด  อาจารย์อยากให้ธรรมะเจริญรุ่งเรือง  แต่อาจารย์อยากให้
เจริญรุ่งเรืองแบบสามัคคีกัน  อาจารย์อยากให้ธรรมะนำพาศิษย์ให้ถึงฝั่ง  และอยากให้จิตใจของศิษย์นั้นเป็นจิตใจของพุทธะตั้งแต่ก่อนที่จะถึงฝั่ง   อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ถึงฝั่งแล้วต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก  ดูแลตัวของเราให้มากๆ  สิ่งที่ศิษย์นั้นเคยฟังมาจากอาจารย์ไม่ได้ฟังเป็นครั้งแรก  ไม่ได้รู้เป็นครั้งแรก  ทุกๆ คนรู้อยู่แล้วว่าควรทำอะไรบ้าง  แต่ทุกครั้งเหมือนอาจารย์ต้องดึงศิษย์  ชิงศิษย์กับหมู่มารต่างๆ  ที่ผุดมาจากจิตใจของศิษย์เอง  ทำไมเจ้าไม่กำราบมารในจิตใจของเจ้าให้หมด  เหมือนตาน้ำแห่งมารมาจากต้นตอในจิตใจของศิษย์  เปลี่ยนตอน้ำนั้นใหม่เป็นตอน้ำแห่งจิตใจที่ดีงามและสูงส่ง    อย่าคิดว่าเมื่อโลกร้าย คนร้ายกับศิษย์แล้วเจ้าต้องร้ายตอบถึงจะพอใจ  
วันนี้ได้พบศิษย์ทุกคนเป็นอีกวันที่ได้ห่วงศิษย์ทุกคน  และเป็นวันที่อาจารย์ก็ดีใจอยู่ลึกๆ ว่าศิษย์ทุกคนรักอาจารย์  บำเพ็ญธรรมเดินตามอาจารย์มานะ  ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ เข้าให้ถึงชีวิตของตนเอง  รู้ว่าชีวิตตนเองเกิดมาเพื่ออะไร  และให้มั่นใจให้ได้ว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้วเจ้าจะได้ไปอยู่กับอาจารย์ด้วยอานิสงส์และผลบุญทั้งหมดที่เจ้าทำ  หากวันนี้ยังตอบตัวเองไม่ได้ให้เร่งรีบ หน่อยนะ    ลาก่อน

วันจันทร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระนาจา

มากอัตตาเปี่ยมทิฐิความดื้อรั้น ชอบหุนหันเอาแต่ใจไร้เหตุผล
มีอคติติดชอบชังเข้าข้างตน หากรู้ตนมีสิ่งใดรีบตัดเทอญ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา แล้วถามศิษย์น้องทุกคน  คิดอยากบำเพ็ญกันบ้างไหม

ศึกษาไม่กระจ่างธรรมจิตยังหลับ ฝากชีวิตอยู่กับแดดลมฝน
บำเพ็ญเย็นย่ำคนยังลืมตน แสวงหาความมีจนสังขารพัง
รอวันที่จากลำบากค่อยสบาย กลับมีไม่ความหน่ายกลายโผงผาง
แต่กำไรที่ชีวิตช่วยคนบ้าง จงรู้สร้างบุญกุศลเป็นวินัย
ชีวิตนี้คืออะไรตอบตนเอง เป็นคนเก่งไม่สู้คนขวนขวาย
คนเรียนทั้งชีวิตรู้หลากหลาย เพราะว่าไม่มีอะไรที่คล่องจริง
ฮิ   ฮิ   หยุด

พระโอวาทพระนาจา

ตั้งใจฟังกันหรือเปล่า (ตั้งใจ)  ปรบมือให้กับทุกท่านที่อดทนได้ถึงสามวัน แล้วจำได้หรือเปล่าว่าสามวันที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจนั้น ได้อะไรไปบ้างไหม (ได้)  ขอให้ได้ไปมากกว่าน้อยนะ ไม่อย่างนั้นท่านก็เสียเวลาเปล่า  เสียเวลาทั้งตัวท่านเองและคนที่พาท่านมานั่งฟังด้วย ใช่หรือไม่ใช่ (ใช่)   ฉะนั้นเวลาฟังก็ต้องตั้งใจฟัง ไม่ใช่หิวแล้วก็ตื่น อิ่มแล้วก็หลับ พอลงไปแล้วก็คุย อดพูดมาตั้งหนึ่งชั่วโมง ลงไปก็เลยพูดกันใหญ่เลย เช่นนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  เรามาเล่นสนุกกับทุกท่านดีไหม (ดี)  เพราะว่าถ้าฟังธรรมะอีก ท่านคงเบื่อ  เห็นนั่งฟังก็ง่วงสัปหงกโยกหัวซ้ายโยกหัวขวา 
 (ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นและผู้ปฏิบัติงานธรรมร้องเพลง “ไปไหนดี” โดยหยิบลูกอมในถุงและส่งต่อโดยที่ถ้าเพลงหยุดที่ใครให้บอกว่าตัวเองมีสิ่งใดไม่ดี และหลังจากกลับไปจะแก้ไขสิ่งนั้น)
ทำไมเราถึงบอกว่าต้องค้นหาในห่อนี้ ก็เพราะการที่เราจะรู้ว่าตัวเองดีหรือไม่นั้น เราจะต้องมองหา ส่วนการที่ท่านแกะห่อนี้ก็เพื่อค้นหาในใจของท่าน เมื่อหาได้หนึ่งเม็ดแล้วก็หยิบขึ้นมาเพราะเราได้เห็น ลูกอมหนึ่งเม็ดนั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่อยู่ในใจเราที่ไม่หยุดนิ่ง เมื่อเห็นสิ่งหนึ่งไม่ดีก็หยิบขึ้นมา เช่น บอกว่าเราเป็นคนขี้โมโหแล้วต่อไปจะแก้ไข
แต่ละคนย่อมมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ในตัวเอง  ใครหยิบไปเกินสองเม็ดแสดงว่ามีสิ่งไม่ดีมากกว่าหนึ่งข้อ  ถ้าใครหยิบแล้วยังหาไม่เจอแปลว่าไม่เคยมองหาความไม่ดีของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใครเลือกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดีแปลว่าเป็นคนที่ไม่ยอมมองตัวเอง เลยคิดว่าตัวเองดีอยู่ ไม่ดีก็มีอยู่นิดหน่อย  แล้วคนที่หยิบมากกว่าหนึ่งเม็ดแปลว่าเป็นคนที่ไม่ยอมพยายามหาสิ่งที่ผิดให้กับตัวเอง จึงคิดว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่ร่ำไป  ส่วนคนที่กินลูกอมไปแล้วคือคนที่รู้ว่าผิดแล้วไม่เคยแก้ไข ใครกินไปแล้วยกมือขึ้น กล้ากินก็ต้องกล้ารับ  ใครยังไม่ได้หยิบเลย แสดงว่าฟังเราไม่เข้าใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราบอกว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนนั้นก็เหมือนถุงลูกอมถุงนี้ บรรจุไปด้วยชีวิตเล็กๆ เต็มไปหมด  บางเม็ดก็หวาน บางเม็ดก็เปรี้ยว บางเม็ดก็ขม เค็ม บางเม็ดก็เผ็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตเราจะหวาน เปรี้ยว เผ็ดหรือว่าขม  เหมือนเปิดห่อของชีวิตแล้วค่อยๆ หยิบออกมาทีละเม็ด แล้วค่อยๆ รับรู้ชีวิตทีละคำ  บางคนถ้ารีบร้อนใช้ชีวิตก็จะรู้จักชีวิตคำโตกว่าคนอื่น  แต่ถ้าเกิดบางคนมีชีวิตแบบปล่อยไปเรื่อยๆ เช้าถึงค่ำ เขาก็จะไม่รู้รสของชีวิตมากมายเท่าไรใช่ไหม (ใช่)  
ศิษย์น้องอยากบำเพ็ญกันบ้างไหม (อยาก)  อยากขนาดไหนศิษย์น้องจอมดื้อ ดื้อแล้วก็ชอบมีเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อัตตาก็สูง ทิฐิก็มาก ดื้อก็เก่ง อารมณ์ก็ร้อน ใช่หรือเปล่า  สิ่งต่างๆ ที่ศิษย์พี่พูดมานั้นล้วนเป็นจิตใจของมนุษย์หรือปุถุชน ที่ชวนแต่จะทำให้เวียนว่ายในวัฏฏะนี้ไม่จบสิ้น  หากศิษย์น้องได้ศึกษาธรรมะแล้ว ต้องรู้จักตัดความรู้สึกและอารมณ์ตัวเองให้ยิ่งเบาบางลง ไม่ใช่ยิ่งบำเพ็ญแล้วก็ยิ่งมีแต่อารมณ์ อัตตา ความใจร้อนและความเคยชิน เป็นอย่างนี้ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตัวพุทธะเองบางครั้งศิษย์น้องก็ยังยึดติดเลย  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ให้ศิษย์น้องมายึดติดหรือชื่นชม  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ชี้ทางสว่างให้เท่านั้นเอง  ส่วนตัวศิษย์น้องเองต้องพึ่งธรรม ไม่ใช่พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้และสามารถอยู่กับศิษย์น้องตลอดไป  แม้วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้ศิษย์น้องเห็น แต่พรุ่งนี้ศิษย์น้องก็ไม่สามารถยึดติดได้แล้ว  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถอยู่กับศิษย์น้องได้ มีแต่ศิษย์น้องจะต้องรู้จักเอาธรรมะที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนนั้นไปอบรมขัดเกลาตัวเอง น้อมนำชีวิตเราเอง ใช่ไหม (ใช่)  ให้เราตาสว่างขึ้น ให้เราหูหนักยิ่งขึ้น ให้ปากเรานี้พูดน้อยหน่อย อย่าพูดมาก ใช่ไหม (ใช่)  หูที่เบาๆ ฟังคนโน้นทีคนนี้ทีก็ให้หนักหน่อย  ได้หูมาสองข้างอย่าฟังข้างเดียว เมื่อมีตาจงมองให้เปิดกว้าง อย่าทำตาเล็กตาน้อย ได้ปากมาปากเดียวอย่าพูดมากเป็นสิบเป็นร้อย  เรื่องของตัวเองเอาไม่รอดแล้วยังเป็นห่วงเรื่องของคนอื่น  แล้วยังเอาเป็นอารมณ์อีก แล้วอย่างนี้จะเอาตัวรอดหรือ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนไว้ว่าเรียกร้องคนอื่นไม่มีประโยชน์ เรียกร้องตัวเราเองดีที่สุด  ศิษย์น้องไปโมโหเขา ไปทุกข์ร้อนแทนเขา ช่วยอะไรเขาได้ไหม  โมโหคนให้ตายเขาก็ไม่ทุกข์กับเราหรอก เพียงแต่ว่าทำตัวให้ถูกต้อง  เขาดีหรือไม่ดีเราพูดบ้างเล็กน้อย แต่เราไม่ต้องไปมีอารมณ์กับเขา ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เราเมื่ออยู่ในโลกนี้ ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อยหรือยัง (ยังไม่เมื่อย) ศิษย์พี่ต้องฝึกกองทัพธรรมหน่อยแล้ว เพราะศิษย์น้องจะเป็นกองทัพธรรมที่จะออกเอาธรรมะนี้ไปบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าสามวันนี้ที่ฟังนั้นเป็นอย่างไร
(พระนาจาเมตตาให้ฝึกระเบียบแถว)
อุตส่าห์บอกให้เป็นกองทัพธรรมพยายามใช้ปัญญาให้มากหน่อยแค่นั่งก็ไม่น่าดูแล้ว  อย่างน้อยเมื่อเราฝึกฝนบำเพ็ญพุทธะ มองแต่ไกลต้องสง่างาม ชิดใกล้ก็น่าเคารพ อยู่ใกล้แล้วรู้สึกร่มเย็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่วงทีของคนที่ฝึกฝนธรรมะจะต้องมี มิฉะนั้นผลของการประชุมธรรมสามวันผลก็เสียเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่). เมื่อออกไปจากห้องต้องสง่างาม
“ศึกษาไม่กระจ่างธรรมจิตยังหลับ ฝากชีวิตอยู่กับแดดลมฝน
บำเพ็ญเย็นย่ำคนยังลืมตน แสวงหาความมีจนสังขารพัง”
ตื่นมาก็ต้องกังวลแล้วว่าฟ้าฝนเป็นอย่างไร ค้าขายได้ไหม รถเพิ่งล้างขับออกไปสกปรกอีกไหม มีใครเคยฝากชีวิตไว้กับธรรมะบ้างไหม.คนเราส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่มักจะไม่ค่อยเอาชีวิตฝากไว้กับธรรมะ ชีวิตมีพันธะอยู่กับเวลาและหน้าที่ วิ่งวน ๆ เหมือนวัวพันหลัก ยิ่งวิ่งแล้วก็ยิ่งย่ำอยู่กับที่ใช่ไหม (ใช่)  ทุกวันที่ศิษย์น้องพยายามทำ ทุกวันที่ศิษย์น้องพยายามแสวงหาล้วนเป็นสิ่งที่ย่ำอยู่กับที่ทั้งนั้นเลย แล้วสิ่งที่ประสบพบเจอมักจะแตกต่างกันออกไปใช่หรือไม่  แต่สรุปลงมาเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือเราทำแทบแย่ จนบางครั้งทำจนสังขารเกือบพังใช่ไหม  พอสลบล้มพับทีก็บอกว่าไม่เอาแล้ว คราวหน้าไม่ทำงานหนักไม่วุ่นวายขนาดนี้ คราวหน้าจะตั้งต้นใหม่ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆแบ่งเวลา มีโอกาสจะหาเวลาพัก แต่พอกลับไปตั้งต้นใหม่ศิษย์น้องก็ไปวิ่งวุ่นเหมือนวัวพันหลักย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่).. แล้วถามว่าศิษย์น้องหยุดได้ไหม พอได้ หยุดได้ พอแล้วก็ยังมีเงินเหลือใช้ แต่เพราะเหตุอะไรล่ะที่เป็นตัวตีให้ท่านต้องวิ่ง ตีทีหนึ่งก็วิ่ง เหมือนฟ้าสว่างทีหนึ่งก็เปรียบแส้หวดตัวท่านทีหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่) .วิ่งออกไปทำอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้ารู้จักหยุดบ้างก็ยังพอมีกิน รู้จักพักบ้างก็ยังเหลือใช้ แต่ เพราะเรากลัวจริงไหม (จริง)  กลัวอดทั้งที่จริงๆ ก็มี.แต่กลัวว่าจะไม่ได้สูงกว่านี้อีก จะไม่ได้ไต่เต้าสูงกว่านี้กลัวว่าเงินเท่านี้จะอายเขา แต่งเท่านี้จะสวยไม่เท่าเขา ประดับเท่านี้จะหล่อไม่เท่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์หรือตัวศิษย์น้องเองจึงวนอยู่ในเรื่อง กิน กาม เกียรติ คนที่มีเกียรติมากจะทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีเกียรติ เพราะว่าอะไร พอมีเกียรติต้องกินแบบเกียรติ.พอมีรักก็ต้องรักแบบมีเกียรติ ไปหาคนที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงสาละวนอยู่กับกิน กาม และเกียรติยศนะ เรายิ่งพยายามวิ่งวน  แต่ยิ่งวิ่งวนเราลืมไหมว่ารากฐานของชีวิตเราคืออะไร เรายิ่งลืมต้นตอแห่งชีวิตเรา ตอนนี้หน้าตาจิตใจเป็นแบบนี้ จำได้ไหมว่าหน้าตาจิตใจแบบเดิมเป็นอย่างไร (จำไม่ได้)  ถ้าจะบอกว่าท่านมีจิตพุทธะก็จำไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อมีเรื่องมากระทบจิตกระทบใจ ศิษย์น้องทำอย่างไร บางครั้งแค่เรื่องแสวงหาปัจจัยสี่ให้ครบก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังต้องมีปัญหาทางภาระหน้าที่ มีปัญหาระหว่างคนกับคนอีกเราจะทำอย่างไรดี สิ่งหนึ่งที่พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนนั้นตราบใดที่ยังมีอาสวะกิเลสอยู่ยังต้องทุกข์ทนเป็นธรรมดา” เพราะว่าสติยังไม่สมบูรณ์ ถ้ามนุษย์เราสามารถครองสติปัญญาได้สมบูรณ์ แม้จะมีอาสวะกิเลสเข้ามากระทบกระทั่ง หรือว่ามีสิ่งใดมาทำให้เกิดเรื่องเกิดราว คนที่มีสติปัญญาสมบูรณ์จะสามารถไกล่เกลี่ยและปูทางชีวิตได้อย่างราบเรียบ ใช่ไหม  (ใช่)  แต่เหตุที่เกิดมีสองอย่าง อย่างหนี่งคือตัวเราเป็นผู้ก่อเหตุ อีกอย่างหนึ่งคือคนอื่นมากระทบให้เกิดเหตุ  ถ้าเกิดตัวเราจะก่อเหตุ ก่อนที่จะมีเรื่องใดมากระทบ ให้ศิษย์น้องคิดไตร่ตรอง หากทำแล้วต้องเสียใจภายหลังให้ตัดทิ้งเสียโดยต้องทำใจให้ได้ ในบางเรื่องเช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และความรัก มนุษย์เรานั้นบางทีอารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เราต้องทุกข์ทนได้ พอมีอารมณ์มากระทบทำให้เราอารมณ์เสีย เราอย่าทำตัวให้เสียไปกับอารมณ์ด้วย จริงไหม อย่างมีคนมาว่าให้เราอารมณ์เสียแล้ว อารมณ์เสียแล้วตัวเราต้องไม่เสีย ไม่เน่าไปกับอารมณ์ มีคนมาทำให้เราโกรธ แล้วตัวเราต้องไม่โกรธไปกับอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) .พอมีอารมณ์ ขึ้นมาศิษย์น้องคิดสิ ให้ศิษย์น้องคิดว่าถ้าโกรธ ศิษย์น้องจะเสียใจภายหลังก็ตัดทิ้งเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเป็นคนอื่นมาทำให้เกิดอารมณ์และปัญหา
ศิษย์น้องจะทำอย่างไร ช่วยกันคิดหน่อยเร็ว (อดทน, อดกลั้น, สงบจิตใจ, รู้จักคิดและไตร่ตรอง, ใช้เหตุผล, ทำใจให้เย็นตัดความไม่พอใจทิ้ง, ระงับสติ, ระงับอารมณ์, ปล่อยวาง, ทำใจให้สงบ, ไม่โกรธตอบ, ไม่ว่าไม่โต้ตอบ, ทำใจให้สงบ, ทำใจให้เหมือนเดิม, ใช้สติปัญญาใช้เหตุผล, ตั้งสติ)
(ทำใจให้ว่างเหมือนตะกร้าไม่มีดอกไม้) จริงๆ ถ้าไม่มีตะกร้าเลยก็ดีนะ เพราะว่ามีตะกร้าจึงต้องมีอะไรมารองรับ ถ้าไม่มีตะกร้า อะไรก็ไม่โดน เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอะไรก็ยิ้ม ตอบได้หมดเลย แต่พอไปเจอสถานการณ์จริงลืมหมดเลย ใช่หรือเปล่า 
(ช่วยประนีประนอม) ถ้าเกิดเขาไม่ประนีประนอม เขาโมโหล่ะ  (ปิดหู)  เรายิ่งปิดเขายิ่งโกรธนะ (ทำใจให้เป็นกลาง เดินเลี่ยงไป)  แล้วเขาเดินตามล่ะ (หยุด)  แล้วเขาประชิดติดตัวล็อคไว้  อย่าไปนะ ทำอย่างไรล่ะ (อุดหู) ถ้าเขาดึงมือออกจากหูล่ะ จริงหรือเปล่า พอท่านยิ่งตั้งป้อมตั้งกำแพง เขาก็ยิ่งพยายามเปิดกำแพงทลายกำแพงให้ท่านฟังให้จงได้ ใช่หรือไม่  ที่ควรจะทำนั้นก็คือ (ตั้งสติแก้ปัญหา, อดกลั้นอดทน, รับฟังแล้วนำมาพิจารณาตนเอง)  ใช่ดีมากนะ รับฟังแล้วมาพิจารณาตนเองว่าเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า ช่วยกันหาเหตุผล จับเข่าคุยกัน ถ้าเกิดเขาเอาแต่โกรธ  เราก็ลำบากหน่อยนะ
(ทำใจให้สุขุมเยือกเย็นแล้วยิ้มสู้)  นั่นก็คือใช้ใจก่อนเวลาเราเจอ ศิษย์น้องต้องตั้งสติแล้วเปิดใจให้กว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตั้งสติแล้วเปิดใจให้กว้างแล้วก็จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วลองเอาตัวเราไปยืนตำแหน่งเขาดู แล้วเราจะเห็นว่าเพราะอะไร เขาถึงพูดเช่นนั้น เพราะอะไรเขาถึงว่าเราแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ศิษย์น้องจะตั้งสติให้อภัย อดทนอดกลั้น แต่ศิษย์น้องก็จะไม่เข้าใจเขาอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปิดใจกว้างแล้ว ตั้งสติแล้ว ศิษย์น้องต้องพยายามไปยืนในตำแหน่งที่เขายืนแล้วเราจะเข้าใจเขาได้มาก อย่ายืนตำแหน่งเราแล้วไปฟังเขา ไม่เข้าใจหรอก จริงไหม (จริง)  ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องไม่ว่ามีเรื่องกระทบกระทั่งกับใครสามารถไปยืนตำแหน่งเขาแล้วเข้าใจเขา นั่นแหล่ะ เรียกว่า “เปิดใจกว้าง แล้วมีสติใช้ปัญญาขบคิดถูกต้อง”  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลามีเรื่องกระทบศิษย์น้องพอแก้ได้แล้ว ใช่ไหม หาเหตุหนึ่งมาจากตัวเรา ถ้าคิดแล้วลงมือทำแล้วจะเกิดผลเสียใจภายหลัง ให้ตัดทิ้ง แล้วถ้าสาเหตุที่เกิดปัญหานั้นมาจากคนอื่น ให้ทำใจให้กว้างแล้วมีสติ เอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายามไปยืนตำแหน่งเขา เพื่อจะได้มองเห็นเขาได้อย่างถูกต้อง 
ชีวิตนี้จะลำบากหรือสบายต้องอยู่ที่ศิษย์น้องไปขวนขวายพยายามหามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่ออยู่ในโลก หามาแล้วต้องรู้จักพอ แล้วรู้จักพักบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้จักพอรู้จักพักในการหาแล้ว บางครั้งเมื่องานเสร็จแล้วต้องอย่ายึดติดด้วย มนุษย์เราเป็นทุกข์อีกอย่างก็คือ ยึดติด ใช่ไหม (ใช่)  ติดชื่อ ติดหน้า ติดอกติดใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราจึงต้องค่อยๆ ตัดสิ่งที่ติดนั้นทิ้ง ถ้าเมื่อไรเราทำงานนี้แล้วเราเอาชื่อไปติดไว้ งานเสร็จแล้วจงดึงชื่อออกมาได้หรือไม่ (ได้)  ถอนตัวก่อนที่เราจะติดอกติดใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในชั้นมีสามลักษณะของบุคคล มีศิษย์น้องที่ยังเป็นวัยรุ่น กับศิษย์น้องที่เป็นวัยกลางคน และศิษย์น้องที่เป็นผู้อาวุโส ศิษย์พี่แบ่งเรื่องพูดก่อนดีไหม (ดี)  ศิษย์น้องที่เป็นวัยรุ่นมักจะเป็นผู้ที่รักที่จะแสวงหาชอบที่จะท้าทายและตื่นเต้น เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องตื่นเต้นท้าทาย เรื่องอะไรที่ไม่เคยรู้ ก็พยายามที่จะอยากรู้และอยากหามา ใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่ตื่นเต้น อะไรที่ท้าทาย อะไรที่ไม่รู้เราก็อยากเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องรู้จักคัดสรรในสิ่งที่อยากรู้ด้วย ไม่ใช่อะไรๆ ก็พยายามเรียนให้หมดทุกอย่าง เคยได้ยินไหมว่า เรียนจบสิบอย่างแต่ไม่คล่องเลยสักหนึ่งอย่าง มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้อง เป็นเรื่องที่น่าเรียนคือ เรียนวิชาชีพกับเรียนธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะประดับความคิด วิชาชีพประดับความรู้ความสามารถ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเราจะเป็นอนาคตของชาติได้นั้น คนนั้นต้องรู้จักคิดเป็นและทำเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  กฎหมายบังคับได้แต่กาย แต่ธรรมะสามารถบังคับได้ทั้งกายและใจ ฉะนั้นศิษย์น้องต้องรู้จักเรียนรู้ธรรมะเพื่อ (ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น) ปรบมือหน่อยนะ แล้วมีอะไรอีก (พัฒนาความคิด)  จริงๆ แล้วการเรียนรู้เรื่องทางโลกนั้นพัฒนาความคิด แต่เรียนรู้ธรรมะช่วย (ขัดเกลาจิตใจ, เป็นที่ยึดมั่นทางใจให้เรารู้จักแยกแยะสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด)  ถูกต้องนะ  (พัฒนาจิตใจตนเองเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ดี และนำไปสู่คนอื่นรอบสังคมของเรา)  จริงๆ แล้วเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและดีงาน ใช่หรือไม่  
(เป็นสิ่งที่สร้างความกลัวไม่ให้เราทำความชั่ว)  ปรบมือหน่อยนะ อย่าเผลอไปหลงผิดอบายมุขเข้าล่ะ ที่เราได้เรียนรู้มาว่าสิ่งที่เราเรียนรู้มานั้นควรที่จะไปแสวงหาหรือสิ่งที่เราประสบพบเจอนั้น ควรที่จะกระทำหรือไม่กระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกสอนให้เราต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา ต้องค้นคว้า แต่ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าทุกก้าวเดินควรที่จะพินิจพิจารณาสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิดด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววัยรุ่นยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือพ่อแม่ผู้มีพระคุณ แม้ท่านจะไม่ได้เลี้ยงเราหรือแม้ท่านจะเลี้ยงเราด้วยคำพูดที่ไม่ไพเราะ แม้ท่านจะเลี้ยงบ้างไม่เลี้ยงบ้าง แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นลูก คุณธรรมที่เริ่มต้นที่ศิษย์น้องพึงจำไว้คือ บุญคุณและตอบแทนคุณ ซึ่งวันนี้ฟังแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าลูกและพ่อแม่ หากเราไม่รักท่าน หากเราไม่สนใจท่าน เพื่อนโกรธเราง้อได้ พ่อแม่โกรธเรายังไม่กล้าเข้าใกล้ แปลว่าท่านรักเพื่อนมากกว่ารักพ่อแม่หรือ ใช่หรือไม่  คนที่เรารัก เราให้อภัยได้ทุกอย่าง แต่พ่อแม่ที่รักเรา ทำไมเราไม่ให้อภัยท่านสักหนึ่งอย่างล่ะ จริงหรือไม่ (จริง)  คนที่ท่านรัก ท่านยังหลับหูหลับตารักได้ มืดๆ บอดๆ ก็ยังรัก แต่พ่อแม่ลืมหูลืมตารักบ้างล่ะ ใช่หรือไม่ หรือว่าขนาดลืมหูลืมตายังรักไม่ลง ทำไมเกลียดท่านลง เจ็บป่วยต้องดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเป็นสุขต้องหมั่นชิดใกล้เอาใจ ใช่หรือเปล่า เป็นลูกถ้าพ่อแม่ยังดีด้วยไม่ได้ก็เรียกว่าเป็นคนที่ประเสริฐไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พ่อแม่จะดีจะชั่วอย่างไรก็คือพ่อแม่เรา ขอให้เราเป็นคนดี รักท่านตลอดไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ต่อไปวัยกลางคนข้ามไปก่อนนะของวัยสูงอายุก่อนได้ไหม (ได้)  สิ่งหนึ่งที่วัยสูงอายุมักเป็นก็คือ ห่วงและยึดติดลูกหลาน จริงไหม ไม่ห่วงลูกหลานก็ห่วงร่างกาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ยึดติดลูกหลานก็ยึดติดร่างกาย ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้องไว้ว่า สังขารนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง (ไม่เที่ยง)  ทุกสิ่งในโลกยืมเขามา รถก็ยืมเขามา บ้านก็ยืมเขามา แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นของศิษย์น้อง ศิษย์น้องก็ยืมเขามา เพราะว่าหนึ่งที่ดิน หมื่นพันเจ้าของ แต่หนึ่งร่างกายหนึ่งเจ้าของชีวิตใช่ไหม (ใช่)  เงินสิบบาทหมื่นพันเจ้าของเวียนวน ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นร่างกายนี้ก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง บางครั้งศิษย์น้องอายุมากแล้วพอเจ็บโน่นเจ็บนี่ โอ๊ยเจ็บๆๆๆ ทั้งที่ตอนเด็กเจ็บเท่านี้ ขอวิ่งก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องอายุมากต้องปลงและอดทน อายุมากแล้วสิ่งสำคัญก็คืออดทน พูดน้อยๆ ยิ้มเยอะๆ แล้วหลานไม่ทิ้ง ลูกก็รัก จริงไหม (จริง)  แล้วต้องรู้จักปลงสังขารด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกวันมองกระจก เฮ้อ ผมหงอกแล้วนะ ผมร่วงแล้วนะ ไม่เป็นไร ชีวิตเราเหลือสั้นแล้วนะเราต้องทำดีๆ เข้าไว้ บุญต้องหมั่นสร้างกุศลต้องหมั่นเพิ่มเติม บุญทานกุศลต่างกันอย่างไรล่ะ ให้ธรรมดาเรียกว่า “ทาน”  ให้แล้วยังหวังผลเรียกว่า “บุญ”  แต่ถ้าให้แล้วไม่หวังผลไม่สนใจเรียกว่า “กุศล”   ฉะนั้นหนึ่งการให้ทานได้ทั้งทาน บุญ กุศล ขึ้นอยู่กับใจ แม้แต่ท่านมีเศษอาหารไม่รู้จะทิ้งไหน คิดในใจว่าเอาเศษอาหารทิ้งไปในดินให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยได้กิน นั่นก็เรียกว่า “บุญ”  แม้ท่านให้ทานกับคนที่ทุศีลก็เรียกว่า “บุญ” แต่ถ้าท่านให้ทานกับคนทุศีลแล้วใจไม่สะอาดด้วยก็บาป เข้าใจไหม แต่ถ้าให้แล้วช่วยชีวิตเขาได้ นั่นเรียกว่า “มหากุศล”  นั่นคืออะไร ให้ธรรมะเป็นทาน พูดดีๆ เข้าไว้ไม่ดีไม่พูด สวยไม่สวยบอกเขาสวย ตอนนี้อาจลำบากใจเวลาพูด แล้วต้องรู้จักปลงสังขารด้วย ใช่ไหม (ใช่)  ทุกวันมองกระจก ผมหงอกแล้ว ผมร่วงแล้ว ชีวิตเราเหลือสั้นแล้ว เราต้องทำดีเข้าไว้  บุญต้องหมั่นสร้างกุศลต้องหมั่นเพิ่มเติม  บุญ ทาน กุศล ต่างกันอย่างไร  การให้ธรรมดาเรียกว่าทาน  แต่ถ้าให้แล้วยังหวังผลเรียกว่าบุญ  แต่ถ้าให้แล้วไม่หวังผลเรียกว่ากุศล  หนึ่งครั้งของการให้จะได้ทาน บุญหรือ กุศลก็ขึ้นอยู่กับใจ  แม้แต่ท่านมีเศษอาหารที่ไม่รู้จะเอาทิ้งที่ไหน คิดในใจว่าเอาเศษอาหารนี้ทิ้งลงไปในดินให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยได้กินนั่นก็เรียกว่าบุญ  แม้ว่าท่านให้ทานกับคนที่ทุศีลก็บุญ แต่ถ้าท่านให้ทานแก่คนทุศีลแล้วใจไม่สะอาดก็บาป เข้าใจบุญ ทาน กุศลหรือยัง (เข้าใจ)  ถ้าเกิดให้แล้วช่วยชีวิตเขาได้นั่นเรียกว่ามหากุศล นั่นคือให้ธรรมะเป็นทาน พูดดีเข้าไว้ ไม่ดีไม่ต้องพูด กุศลใหญ่นัก  เขาสวยหรือไม่ก็บอกว่าสวยไว้ก่อน ฝึกใจไว้ก่อน  ตอนนี้อาจจะลำบากใจเวลาพูด แต่พอฝึกไปแล้วจะดีเอง  พอถามว่าเขาแก่ไหม ก็ตอบว่ายังไม่แก่ ให้กำลังใจไว้ เพราะว่าต้องช่วยพูดในสิ่งที่ทำให้เขามีแรง ก็เป็นบุญเป็นกุศลแล้วช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป  แต่อย่าชมมากเพราะชมมากเดี๋ยวเขายิ่งยึดติดกับร่างกายว่าสวย  ฉะนั้นต้องทำอย่างพอเหมาะพอดี 
ยังไม่ได้เล่านิทานเลย อยากฟังไหม (อยาก)  พระสงฆ์องค์หนึ่งกำลังจะหลับ ได้ยินเสียงคนขึ้นมาในกุฏิ ท่านจึงเหลือบตาดู จึงพบว่าเป็นโจรกำลังขโมยของอยู่  พระสงฆ์จึงกล่าวไปว่า พรุ่งนี้ยังต้องใช้เงินอีก  โจรตอบกลับไปว่า จะเอาไปเพียงเล็กน้อยแล้วก็จากไป  เมื่อโจรออกจากกุฏิไป พระสงฆ์ก็นึกได้ว่าข้างนอกอากาศหนาว จึงเรียกโจรให้กลับมาเอาผ้าห่ม  โจรกลับมาคุกเข่าแล้วกล่าวว่า ถ้ามีเงินแล้วจะเอามาคืน จบแล้ว ท่านได้อะไรจากเรื่องนี้ไหม (ได้)  เขาเรียกว่าแปรวิกฤติเป็นโอกาสช่วยคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนปัจจุบันนี้ศิษย์น้องต้องเจอปัญหามากมายไปหมดจงพยายามตั้งสติใช้ปัญญา แล้วยืนอยู่ในตำแหน่งเขา  เราจะช่วยแปรเปลี่ยนคนที่ไม่ดีในโลกนี้ให้ดีขึ้นมาได้ด้วยตัวเราเองและจิตอันเมตตา  เมตตาเท่านั้นที่จะช่วยคุ้มครองเราและคุ้มครองเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีนิทานอีกเรื่องหนึ่ง  นิทานก็คือนิทาน แต่ก็มีเค้ามูลความจริงเพราะเป็นเรื่องจริง  ศิษย์พี่บอกให้ฟังว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ศิษย์พี่แอบมองเห็น  แต่ชีวิตของมนุษย์นั้นบางครั้งอาจจะไม่หวานเท่านี้  มีกษัตริย์ที่มีความเที่ยงธรรมมากองค์หนึ่ง มีเหตุจำเป็นต้องไปอยู่กับเพื่อนที่เป็นกษัตริย์ของอีกเมืองหนึ่ง กษัตริย์ที่เป็นเจ้าเมืองจึงแต่งตั้งเขาให้เป็นอำมาตย์  เมื่อเป็นอำมาตย์ก็มีความเที่ยงตรงมาก ประชาชนจึงรักใคร่ ยิ่งเที่ยงธรรมมากเท่าใด ประชาชนก็รักมากเท่านั้น กษัตริย์จึงเกิดความระแวงว่าเพื่อนจะสั่นคลอนบัลลังก์ของตน จึงวางแผนลวงอำมาตย์ไปฆ่า โดยบอกให้ไปปราบโจร และให้พาลูกๆ ไปด้วย  อำมาตย์นั้นตรวจตราเมืองอยู่เป็นประจำก็รู้ว่าไม่มีโจรแต่ก็ออกไป  สุดท้ายอำมาตย์ก็ถูกสังหารพร้อมกับลูก  แม้อำมาตย์รู้ว่าจะต้องถูกฆ่า แต่สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ให้กษิตริย์เชื่อว่าเขาซื่อสัตย์และจะไม่สั่นคลอนบัลลังก์ก็คือชีวิตของเขา
ปัจจุบันนี้มีคนที่เห็นคนอื่นดีไม่ได้เต็มสังคม เพราะคิดอิจฉาริษยา  ความดีจึงถูกเผาผลาญและทำลายไปทุกๆ วัน เพราะความคิดไม่ดี ความอิจฉาไม่อยากให้ใครได้ดีกว่าตน  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องอย่ามีจิตใจเช่นนี้ ถ้ามีเมื่อไรก็ฆ่าความดีในใจของศิษย์น้องเป็นคนแรกเมื่อนั้น  และถ้าหากออกมาเป็นการปฏิบัติเมื่อไร ศิษย์น้องก็คือมารที่ทำร้ายคนดี มีทั้งนิทานเรื่องดีและเรื่องร้ายในวันนี้นะ ฟังแล้วก็เอาไปคิดให้ดี คนเราเกิดมาหนึ่งชีวิตเท่านั้นเอง เราสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง จะเป็นคนดีที่ช่วยคนเลวหรือจะเป็นคนเลวแล้วฆ่าคนดี ศิษย์น้องอยากเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ศิษย์น้องแล้วนะ
เมื่อวานอาจารย์จี้กงให้อะไรกับศิษย์น้อง จำได้ไหม (จิตใจสูงส่งชีวิตเปี่ยมความหมาย)  ศิษย์น้องต้องจำให้ได้นะ ว่าจบชั้นอะไรไป (ชั้นจิตใจสูงส่งชีวิตเปี่ยมความหมาย)  อันนี้เป็นบทท้ายของอาจารย์ ศิษย์พี่จะมาต่ออีกนิดหนึ่งว่าจิตใจสูงส่งชีวิตเปี่ยมความหมายนั้นหาได้ที่ไหน   หาได้ที่ไหนใครพอเดาออก หาจากข้างนอกหรือหาจากข้างใน (หาจากข้างใน)  ในกายหรือในใจ (ในใจ)  ในใจเขาหรือใจเรา (ใจเรา)  ในตัวเรานี้  จิตใจสูงส่งชีวิตเปี่ยมความหมายหาได้ในตัวตนเองนี้ ไม่ใช่ไปเอาจากสิ่งอื่นมาทำให้สูงส่ง ไม่ใช่เอาเกียรติยศมาทำให้สูงส่ง แต่อาจารย์บอกศิษย์น้องว่าจิตใจสูงส่งและชีวิตที่เปี่ยมความหมายหาได้จากตัวศิษย์น้องเองนี้รู้จักดึงออกมากระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่). เปี่ยมความหมายอะไร ความหมายที่เข้าใจชีวิต ความหมายที่รู้ถึงแก่นแท้ของชีวิต และความหมายที่ชีวิตช่วยชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“จงไม่ย่ำชีวิตอยู่กับที่”  วันนี้ศิษย์น้องรู้แล้วอย่าย่ำชีวิตอยู่กับที่แล้วนะ  ต้องรู้จักก้าวเดินออกไป ก้าวเดินออกไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีภายในตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องมีสิ่งล้ำค่าอยู่ในใจตนเองแล้วจงหาให้เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หาเจอบ้างหรือยัง เจอว่าตนก็มีดีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และตนก็ร้ายน่ากลัวเหมือนกัน ต่อไปจะไม่ใช่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“หาความมีจากความไม่มี”  ทำไมศิษย์พี่บอกว่า จิตใจสูงส่งชีวิตเปี่ยมความหมายนั้นอยู่ในตัวเรา เรามองเห็นแล้วว่ามีหรือไม่มี (มี)  หาความมีในความไม่มีดูแล้วเหมือนไม่มีใช่ไหม  อย่างเราหรือจะสูงส่งได้ สูงก็แค่นี้ จะสูงได้กว่านี้ไหม ได้ หอมก็แค่นี้ จะหอมกว่านี้ได้ไหม หอมทั้งทวนลมและตามลม หอมได้ไหม (ได้)  จะสูงกว่านี้ได้ไหม (ได้)  แต่ไม่ได้สูงด้วยกาย แต่สูงด้วยใจ ไม่ได้หอมด้วยกาย แต่หอมด้วยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หอมด้วยศีลด้วยธรรม หอมด้วยบุญบารมีที่เราได้กระทำ ใช่ไหม (ใช่) 
“ ชีวิตที่กำไรคือรู้สร้างบุญ”  เรามีบุญกุศลเป็นกำไรของชีวิต เป็นอาภรณ์ประดับกายและใจให้งดงาม เราอยากให้คนอื่นรักเรา เราก็จง (รักคนอื่น)  
วันนี้คงจบเท่านี้แล้ว  ผู้ร่วมฟังฟังหลายรอบแล้วต้องถึงเวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติบ้างแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องฟังหลายรอบแล้ว  ศิษย์น้องต้องรู้จักเอาไปใช้  นิสัยความเคยชินที่ไม่ดีต้องแก้ออกเสีย  อย่าพยายามยิ่งมีชีวิตยิ่งผูกปมให้เรามีความเคยชินที่ผิด ตัดทิ้งเสียเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เป็นคนดีที่มีธรรมและเป็นคนดีที่เอาธรรมไปช่วยคน และหมั่นชะล้างตัวตนเองด้วย เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วเร่งรีบที่จะก้าวเดินไปช่วยคนได้แล้ว อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองเลย  เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว  อย่าห่วงร่างกายนี้เลย  ถ้าเกิดชีวิตนี้เกิดมาแล้ว เราพยายามทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว ช่วยคนอย่างที่สุดแล้ว ตายไปเราก็ไม่เสียชาติเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโอกาสถ้ายังไม่เข้าใจกลับมาศึกษาห้องพระนี้บ่อยๆ ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าอยู่จังหวัดอื่นก็ไปศึกษาที่จังหวัดนั้นได้ไหม (ได้)  สามวันนี้อย่างน้อยคุ้มหรือไม่ (คุ้ม)  
การฆ่ากิเลสในใจท่านไม่บาปแต่ถ้าท่านไปฆ่าคนอื่นสิบาป  แล้วถ้ายิ่งเกิดมีชีวิตแล้วยังไปเบียดบังทำร้ายคนอื่นก็ยิ่งบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้ศิษย์น้องมีโสตพิเศษจังเลย ที่เรียกว่าสัมผัสที่หก แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าเสียงที่ศิษย์น้องได้ยินนั้นยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ทุกข์ทรมานอยู่ รอให้ศิษย์น้องปลดปล่อยเขา นั่นก็คือเสียงของสัตว์ที่ทุกค่ำคืนต้องถูกเข่นฆ่าด้วยความที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว  วันหนึ่งมีคนลากศิษย์น้องออกจากที่นอนแล้วก็เชือด ใจร้ายไหม  เชือดแบบไม่มีทางสู้ หนีแบบไม่มีทางหนี  ศิษย์น้องคิดเอาว่ายังอร่อยอยู่หรือ  
ยังไม่ได้บอกถึงสิ่งที่คนวัยกลางคนต้องปฏิบัติอย่างไร  อย่างนั้นบอกก่อนเพราะเป็นห่วง  จริงๆ แล้วคนวัยกลางคนเอาวัยรุ่นกับวัยผู้เฒ่าไปใช้ก็ได้แล้ว  แต่วัยกลางคนที่ติดกันมากที่สุดก็คือความรักกับหน้าที่ที่ต้องรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนวัยกลางคนเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่กับความรัก  เพราะว่าคนวัยกลางคนนั้นยังมีห่วงที่เป็นพันธะเรียกว่า ต้องรัก ต้องห่วง ต้องดูแล  ให้อาหารทางวัตถุไม่สู้ให้อาหารทางความคิดและจิตใจ  รักเขาต้องรู้จักรักอย่างเหมาะสมและถูกต้อง  แต่บางครั้งต้องรู้จักปล่อยวางด้วยอย่ารักจนมากเกินไป เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวไว้ว่า “มีรักที่ใดมีทุกข์ที่นั่น”  ความรักแม้จะหวานชื่นตอนต้น แต่ขื่นขมเมื่อยามทรงตัวและต้องอดทนอดกลั้นเมื่อยามอยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องรู้จักรักให้เป็น รักให้ถูกและปล่อยวางให้ได้  ส่วนภาระหน้าที่ต้องรู้จักจัดการให้สมบูรณ์ ไม่ว่าศิษย์น้องจะเป็นครู อาจารย์ หมอ นักเรียนหรือเป็นอะไรก็ตาม จงทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์และมีธรรม  เพราะไม่ว่าจะเป็นคนแบบใดก็ตาม มีหน้าที่แบบใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์น้องเป็นคนได้สมบูรณ์นั่นก็คือรักษาธรรมในหน้าที่นั้นให้ถูกต้อง เป็นครูต้องมีจรรยาบรรณ ให้ความรู้ศิษย์ด้วยความเต็มที่ เต็มใจและเต็มกำลัง  เป็นคนค้าขายต้องซื่อสัตย์ สิ่งใดไม่ถูก สิ่งใดเป็นของที่เก็บมานานแล้วก็ต้องกล้าบอกเขาว่าเก็บมานาน สิ่งใดที่เป็นของใหม่ก็ต้องกล้าบอกเขาว่าใหม่ แล้วขายตามราคา นี่เรียกว่าขายของด้วยมีธรรม แล้วลูกค้าจะรักเรา  เป็นครู หมอหรืออาจารย์ก็ต้องรู้จักรักษาคนด้วยจิตใจที่เมตตา  วัยกลางคนเป็นวัยที่ต้องพูดมากเพราะมีทั้งภาระและหน้าที่ แต่จงทำให้ถูกต้องและเหมาะสม แล้วศิษย์พี่ก็จะได้ไปอย่างสบายใจ  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเหนื่อยไหม ศิษย์น้องที่เป็นนักเรียนพูดพร้อมกันว่า ขอบคุณผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกคนที่ดูแล  เพราะอย่างน้อยวันนี้เขาก็ดูแลเรา ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร ที่นั่งและที่พัก กลับไปแล้วอย่าทิ้งร่องรอยให้คนตามเก็บ  มีชีวิตหนึ่งจงรักษาชีวิตของตนเองให้ดีและมีความหมาย  จิตใจต้องสูงส่ง ชีวิตต้องเปี่ยมความหมายในตน  ห้องพระที่ไปบุกเบิกศิษย์พี่ไปถึงก่อนตั้งนานแล้ว  ต่อไปก็เหลือศิษย์น้องไปบุกเบิกเผยแพร่งานธรรมะต่อไป  เป็นศิษย์น้องที่น่ารัก และเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์จี้กงต่อไปนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตใจสูงส่ง  ชีวิตเปี่ยมความหมายในตน”

บำเพ็ญสิ่งเดียวที่มาชุบญาณใจคน  โดยคนสู่คนพึ่งพาซึ่งกันนำความร่มเย็น   บำเพ็ญจิตใจอย่างมีใจ  คนรู้ยอมเรียนยิ่งเป็น   หัดพูดขอโทษคนให้เป็น เมื่อผิดจะเลี่ยงกันไปไย
หวั่นใจที่ผู้คนจะตัดสินสัทธรรมอย่างเงื่อนงำ   มองผ่านพระธรรมที่ภาษาไม่อาจครอบคลุม
หวั่นคนที่ปล่อยตัวตามคุ้นเคย  ไหนเลยหวั่นชีวาขื่นขม  จิตจมจนธรรมะตายจากหัวใจ จากคนที่ปล่อยใจไปทุกวัน ให้ฝ่าด่านด้วยการผนวชใจ  ไม่มีอะไรสายเกิน คนตั้งใจที่มั่นคง 
ทำนองเพลง : เพลงผีบอก
ชื่อเพลง : การบำเพ็ญคือการฝึกหัด

การลงมือคือหัวใจของการเรียน ให้ความเพียรเป็นเครื่องมือเป็นแรงส่ง
อย่าให้ความสุขเสรีมาตีกรง พึงดำรงชีพอยู่ด้วยความดี
ชีวิตพราวความหมายในแสงธรรม จงไม่ย่ำชีวิตอยู่กับที่
หาความมีจากความไม่มี ชีวิตที่กำไรคือรู้สร้างบุญ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-24 สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี


PDF  2544-11-24-ถงซิน #14.pdf

หมวด: เคล็ดลับการดำเนินชีวิต, คนดี


วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ฟ้ามนุษย์ต่างมาช่วยหนุนงานธรรม เพื่อจะแปรสีดำเป็นสีขาว
แม้ความหวังริบหรี่ดุจแสงดาว แต่ยามเช้าไม่ได้มีแค่หนเดียว
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

ถ้าคนมีหิริโอตตัปปะ จิตใจจะสูงส่งและมีศักดิ์ศรี
เกิดเป็นคนหากไม่ได้เป็นดี ก็เสียทีที่เกิดมาเป็นคน
หนึ่งชีวิตดั่งความฝันล่องลอยไป จะมีใครสักกี่คนได้ถึงฝั่ง
ความกล้าหาญต้องเป็นไปด้วยระวัง เปี่ยมพลังในความกระฉับกระเฉง
ยามได้รู้ทางบำเพ็ญเร่งตื่นใจ ไม่มีใครสามารถพ้นเกิดและดับ
จงควบคุมจิตใจตนธรรมกำกับ และสำหรับคนหลงง่ายต้องตื่นเร็ว
เมื่อได้รู้มีรักโลภเข้าครอบงำ ต้องเร่งเดินอย่ามัวคลำหาสว่าง
ภายนอกแม้มืดแต่ถ้าใจสว่าง ทุกเยื้องย่างจะไม่มีวันอับจน
ในวันนี้มาฟังธรรมฟื้นฟูจิต ฝึกการคิดการฟังอย่างมีเหตุผล
มาสืบเสาะในกายหาต้นรากตน ธรรมแยบยลอยู่ที่การได้ลงมือ
จิตเคลือบแคลงแสแสร้งอย่าได้มี จิตใจที่สละอย่าหวังผล
เกิดเป็นคนตลอดมาเฝ้าดิ้นรน วัตถุบนโลกนี้ใดถาวร
จงอยู่ร่วมงานประชุมครบสองวัน จงแบ่งปันความเอื้อเฟื้อสู่บ้านตน
ทำสิ่งใดกว่าสำเร็จต้องอดทน เกิดเป็นคนสติปัญญาอย่าขาดแคลน
ในบางคนบำเพ็ญยากลำบากนัก บางคนจักง่ายดายอย่าเปรียบเทียบ
ทุกย่างก้าวมีขรุขระและราบเรียบ อย่าเปรียบเทียบให้เกื้อหนุนด้วยเมตตา
ในยุคขาวที่อยู่กลางมรสุม ขอสุขุมเริ่มก้าวแรกจึงเกิดก้าวต่อไป
จงย้อนมองเข้าสู่ตนอย่างใส่ใจ ความใกล้ไกลอยู่ที่ใจกำหนดทาง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจฟังธรรมเฝ้าศึกษา
จงเข้าใจอย่าได้งมงายนา วันเวลาไม่รอคนนะน้องเอย
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันขอให้ทนความเหนื่อยยาก
นำกลับไปปฏิบัติจริงพี่ขอฝาก อุปสรรคยิ่งมีมากยิ่งมีชัย
จงรักษาพุทธระเบียบในชั้นเรียน จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

รู้ถนอมน้ำใจกันและกันไว้ อย่าถือตนเป็นใหญ่เปิดใจกว้าง
ร่วมดูแลร่วมรักษาร่วมเดินทาง คนทิ้งขว้างถึงเวลาค่อยมาทำ
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง ( ??????????? ) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะทุกท่านสบายดีไหม

ประสบการณ์เขียนกันด้วยโครงชีวิต เนรมิตลบความทุกข์เมื่อยากถอย
หัวใจสู้ไม่สนใจละเมอคอย ตั้งใจน้อยสำเร็จจึงปลดหวังลง
แสงกล่าวความดาวเปล่งยังนภา คำวาจาอย่าเป็นหลุมลวงหลง
สติอาจวูบลงในคำยุยง ระเรื่อยลงดักพรางผ่านจิตเรา
จิตอภัยใจยอมทนบังเกิดสุข ยิ้มในวันแห่งทุกข์สลายเศร้า
ทำยิ้มหายลืมไปชีวิตเฉา เงี่ยฟังใจดวงเก่าหัวเราะเป็น
เปิดหัวใจเพื่อผู้คนเสี่ยงเผชิญ เวไนยเพลินรัวดิ้นรนถึงยอมเข็ญ
ประมาทแม้เคยพลั้งความอยากเป็น ว่าจำเป็นรักจนหวงเป็นอารมณ์
บำเพ็ญอย่าถอดใจจงตั้งหน้า มีปัญหามารับมืออย่างเหมาะสม
อย่าได้อ้างความเข้าใจตามนิยม ตระหนักบ่มตกอับเป็นโอกาสตน
แม้ยากจนตรองไม่ท้อคุกคาม เพียงมีความท้อชีวาพาสับสน
ง่ายหรือยากดีชั่วมีปะปน รวยแล้วจนกังหันวนเวียนไป
ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านหยรูอี้ถงจื่อ

ตื่นตามตะวันแดดยามเช้าครื้นเครง ให้คนเกรงเราเพราะเห็นใจ
จิตใจบำเพ็ญคอยอ่อนน้อมจริงใจ ลมหายใจไม่สิ้นบำเพ็ญหน่อย (นะ)
เราคือ
หยรูอี้ถงจื่อ ( ???•??????? ) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเซียนน้อยน้อยทุกคนรู้จัก V (ตัววี)หรือยัง

ฝึกหัดบำเพ็ญหัดอ่อนน้อมอย่างจริงใจ เป็นคนใหม่ในทุกวันแห่งชีวิต
มีความสุขเพราะเป็นคนรู้จักคิด ไม่ยึดติดความสุขจะเพิ่มทวี
ร้องเพลงธรรมร้องคลายความกลุ้มโศก อยู่ในโลกหัดเผชิญอย่าวิ่งหนี
หัดเป็นคนฟังเรื่องดีพูดเรื่องดี ไม่รอที่จะแบ่งปันความสุขไป
อย่าไปท้อความท้อพาตกอับ เร่งมาจับไม้พายเพียรแก้ไข
สามัคคีอย่าให้มีอยู่แค่ใจ หมั่นอภัยจิตใจจะเบิกบาน
สามัคคีทำให้มีนั้นแสนง่าย แต่ยากจะมีคงอยู่ได้นานนาน
ต่างคนต่างมีเหตุผลน่าสงสาร คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์รับผลกรรม
บำเพ็ญธรรมขยันมาไหว้พระ มีสัจจะในทุกก้าวที่เหยียบย่ำ
การช่วยคนทำให้ก้าวหน้าทุกเช้าค่ำ ทุกสิ่งทำด้วยใจใช้สติปัญญา
ฮิ ฮิ หยุด

  เปลี่ยนแปลงตนเองทำวันนี้ให้ดี ให้ความดีจงคุ้มครองพลัน
เปลี่ยนแปลงใจใครคอยใจหายทุกวัน ถ้าเราดีกัน ความหมองสิ้น
  ตื่นตามตะวันแดดยามเช้าครื้นเครง ให้คนเกรงเราเพราะเห็นใจ
จิตใจบำเพ็ญคอยอ่อนน้อมจริงใจ ลมหายใจไม่สิ้นบำเพ็ญหน่อย (นะ)

ชื่อเพลง : สละให้ – ได้รับ
ทำนองเพลง : แปรงฟัน

(หมายเหตุ : ย่อหน้าที่หนึ่งเป็นพระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาประทานไว้ในชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2544
ย่อหน้าที่สอง : ท่านหยรูอี้ถงจื่อเมตตาประทานในชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมถงซิน
จ.ราชบุรี วันที่ 24 พฤศจิกายน 2544)


พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง และท่านหยรูอี้ถงจื่อ

ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : ขึ้นกันมาหมดหรือยัง ถ้ายังไม่หมดร้องเพลงต่อดีไหม ร้องจนกว่าจะขึ้นมาให้ครบดีไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงเซียนองค์น้อยน้อย และให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมร้องตูมเมื่อจบหนึ่งวรรค)
เรียกใจกลับมาหรือยัง ใจที่หลงเตลิดเปิดเปิงไป หรือว่ายังง่วงเหงาหาวนอนไม่ตั้งใจฟัง การร้องเพลงนั้นเป็นการดึงให้ใจเรากระปรี้กระเปร่าสดชื่น สามารถนั่งฟังได้อย่างไม่ง่วงเหงาหาวนอน และถ้าร้องว่าตูมทีหนึ่ง ก็ตกใจทีหนึ่ง ยิ่งถ้าตูมแรงเท่าไร ใจก็กลับมาอยู่กับตัวเองมากเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเกิดไม่ร้องตูมเลยจะเป็นอย่างไร ไม่ค่อยมีสติกันใช่หรือเปล่า
ชีวิตของคนเรานั้นตูมครั้งหนึ่งก็เหมือนมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับชีวิต ตูมรถชน ตูมมีเรื่องพลัดพราก ตูมต้องป่วยเจ็บไข้ปางตาย พอตูมทีหนึ่งเราถึงจะรู้ว่าชีวิตนั้นมีค่า เราปล่อยปละชีวิตเรามานานเหลือเกิน จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วใครเคยตูมแล้วหลับไปเลยบ้างมีไหม  มีเหมือนกันแต่เราไม่เห็น อาจจะอยู่ข้างๆ ท่านก็เป็นได้   เขาบอกว่าคนเป็นกลัวตาย เรารู้ไหมคนตายนั้นกลัวการเป็น เคยได้ยินไหม เราจะบอกให้ว่า “คนเป็นนั้นกลัวตาย คนตายนั้นกลัวเป็น”  เพราะคนเรานั้นเวลาเป็นต้องรู้จักร้อน รู้จักหนาว รู้จักทุกข์ รู้จักสุข แต่เวลาตายแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะทุกข์ สุข ร้อน หนาว  ไม่ต้องกังวลแล้วว่าเสื้อจะสวยหรือไม่สวย เพราะใส่ได้ชุดเดียว  ไม่ต้องกลัวว่าวันนี้จะมีกินหรือจะอด วันนี้จะโดนดุหรือว่าโดนชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาตายกันเถอะ เอาไหม (ไม่เอา)  ยังไม่ถึงเวลาหรือ ทำไมเราชวนท่านไปตายนั้นดีนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพุทธะชวนใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปไหมผู้ปฏิบัติงานธรรม ไปกับพุทธะนั้นดีนะ  ทำไมถึงบอกว่าชวนกันไปตาย ฟังแล้วอย่าหาว่าเราพูดอะไรไม่เป็นมงคลนะ เพราะคนเราเกิดมาแล้วมีความตายในชีวิตอยู่ทุกขณะจิต จริงไหม (จริง)  ท่านก้าวหนึ่งก้าวท่านแน่ใจหรือว่าความตายไม่อยู่กับก้าวนี้ อาจจะเป็นอีกก้าวต่อไปก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านกำลังจะก้าว ท่านแน่ใจหรือว่าไม่มีความตายอยู่ พระพุทธองค์สอนว่า “คนเรานั้นต้องตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความเสื่อมและความดับมีอยู่ในคนทุกคน ความเสื่อมหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน
 วันนี้ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ แน่ใจไหมว่ากลับไปแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง (ไม่แน่ใจ)  กลับไปจะอยู่หรือจะดับ ไม่แน่นะท่านกลับไปถึงบ้าน ท่านอาจจะบอกว่ารู้อย่างนี้ดับไปกับพุทธะดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักดับ อย่าให้ความดับมาชนแล้วถึงจะรู้ อย่างนี้เรียกว่ายังประมาทอยู่ คนไม่ประมาทจะอยู่หรือดับตอนนี้ก็ไม่กลัว เพราะว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคนประมาทดับตอนนี้ก็กลัว ดับตอนไหนก็กลัว   คนที่ไม่ประมาทคือคนที่รู้ตัวอยู่พร้อม ทำดีมาพร้อม ดำเนินชีวิตตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ดีพร้อม แล้วก็พร้อมดับ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าเป็นคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ถ้าตอนนี้เรายังปล่อยไม่ลง แล้วพรุ่งนี้หรืออีกกี่นาทีนี้จะปล่อยลงหรือ ไม่มีทางลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วห่วงอะไรกับกายนี้ กายนี้หอมไหม ลองเอามือมาดมสิ  ดมเสื้อก็ได้ หอมไหมเสื้อ  หอมไหมร่างกายนี้ (ไม่หอม)  เอามือขึ้นมาสิ สวยไหมมือนี้ (ไม่สวย)  ไม่หอมไม่สวยแล้วทำไมยังห่วงอีก ถ้ายังหอมยังสวยอยู่ก็ทิ้งยาก จริงไหม (จริง)  ถ้าหอมแล้วเหม็นได้ไหม (ได้)  ถ้าสวยแล้วไม่สวยได้ไหม (ได้)  แล้วมันเป็นของเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ไม่เที่ยงแล้วอยู่กับเราตลอดไหม (ไม่ตลอด)  แล้วทำไมยังห่วงอยู่อีก เวลาห่วงมากก็เป็นกังวล แล้วก็เป็นทุกข์ ก่อนที่ท่านจะทุกข์ ท่านกังวลก่อนจริงไหม (จริง)  ใครมาตีมือหรือทำมือไม่สวย โกรธ ไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นบางครั้งต้องปล่อยบ้าง ชีวิตจะได้สุขง่ายขึ้น ยิ้มออกขึ้น วันหนึ่งท่านเคยยิ้มไหม บางที่แทบจะยิ้มไม่ออกเลย เพราะมัวแต่ก้มหน้าทำงาน จริงหรือเปล่า (จริง)  เขาบอกว่าเกิดเป็นคนนั้นต้องตัวตรง มัวแต่ก้มโค้งอย่างนี้แล้วตัวจะตรงได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะกลับคืนฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  ยากนะถ้าไปอย่างนี้แล้วจะกลับคืนฟ้าแบบนี้
ผู้ร่วมฟังนี้ฟังกี่รอบแล้ว ฟังหลายรอบแล้วมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้างไหม เปลี่ยนจากนั่งฟังมาเป็นการลงมือปฏิบัติบ้างหรือเปล่า การฟังการศึกษาเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดีเพื่อพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้า แต่ถ้าเอาแต่ฟังแล้วไม่รู้จักนำไปใช้ก็เปล่าประโยชน์จริงไหม แต่ถ้าฟังแล้ว ฟังแบบครึ่งๆ กลางๆ ฟังไปก็เสียเปล่า ฟังแล้วต้องฟังให้ครบ ศึกษาแล้วต้องศึกษาให้เข้าใจ มาฟังแบบไม่ตั้งใจจะรู้เรื่องไหม (ไม่รู้)
ห้องพระนี้ชื่ออะไรรู้ไหม (ถงซิน)  “ถงซินแปลว่าร่วมใจ” ร่วมใจไม่ใช่แบ่งใจแยกใจนะ จำไว้ผู้บำเพ็ญธรรมที่อยู่ที่นี่ ถงซินคือร่วมใจทำงานจะต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำปากเป็นรูปตัววี และเมตตาวาดรูปตัววี (V) บนกระดาน)
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : นึกออกหรือยังว่าเป็นรูปอะไร (ยิ้ม)  ทำตาเป็นรูปตัววีคว่ำ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูป    บนกระดาน)
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : ยิ้มไง
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : ตอนนี้ก็ยิ้มกันหลายคนแล้วนะ คนยิ้มก็มีความสุข คนบึ้งก็มีความ (ทุกข์)  โชคดีก็มาช้า ส่วนโชคร้ายก็มาก่อน
ใครนั่งก่อนแสดงว่ายอมรับว่าตัวเองแก่ใช่หรือไม่ วันนี้ร่างกายแก่ไม่เป็นไร จิตใจเด็กก็พอแล้ว ตอนนี้ใครมีจิตใจเด็กยกมือขึ้น ยกสูงๆ สิ ถ้าใครไม่ยกมือ เราก็ขอให้ท่านแก่ไปเรื่อยๆ
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : กลัวแก่กันจังเลยนะ ไม่ยอมเอามือลงเลย
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : จริงๆ แล้วเราเพิ่งได้รับบัญชามาเมื่อสักครู่นี้เอง ที่เรามาเพราะว่าพวกท่านในชั้นนี้ไม่ค่อยชอบคุย ใช่หรือเปล่า
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : อย่างนั้นเดี๋ยวเราสองคนคุยแทนแล้วกัน ให้เขาเฉาเลย ดีไหม
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : เดี๋ยวเราไปคุยข้างบนก็ได้
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : เริ่มบิดขาแล้วนะ
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : ไม่เป็นไร เราไม่เมื่อยขาสักหน่อย เราบอกแล้วว่าเรานั้นเป็นความโชคดี เรารู้อยู่แล้วว่าความโชคดีมักมาช้า ส่วนความโชคร้ายมักมาเร็ว เพราะฉะนั้นท่านพอเดาออกไหมว่าเราเป็นใคร
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : ท่านนะพูดดี แต่ช่วงหลังไม่ดี เพราะทำให้เราเป็นตัวโชคร้าย ไม่เป็นไรเรายอมเป็นผู้โชคร้ายแล้วให้ท่านเป็นผู้โชคดีก็ได้ เรายอมเสียสละ
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : เราคือหยรูอี้ถงจื่อ รู้จักไหม “หยรูอี้” แปลว่าความสมหวัง ความสมหวังส่วนใหญ่จะต้องมาหลังความพยายาม ส่วนความโชคร้ายก็ชอบมาก่อนเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าชีวิตของท่านอยู่ในภาวะของความไม่สมหวัง ท่านก็ต้องคิดไปว่าต่อไปความสมหวังก็จะมาทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ใครรู้จักเราแล้วบ้างยกมือขึ้น ถ้าหากว่าชีวิตของท่านเคยสมหวัง ท่านก็ต้องรู้จักเรา บางคนบอกว่าอยากได้ความสมหวังให้เทพเจ้าประทานให้ แต่ถ้าหากท่านไม่มีบุญแล้วจะให้เราประทานให้อย่างไร คนที่จะสมหวังได้ก็แสดงว่าจะต้องเคยทำบุญมาก่อน ถ้าหากว่าท่านเคยช่วยคนอื่น คนอื่นก็ช่วยท่าน ถ้าหากว่าท่านไม่เคยช่วยคนอื่น คนอื่นจะช่วยท่านไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นความสมหวังเกิดจากอะไร เกิดจากท่านให้ผู้อื่นก่อน ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ให้ ท่านก็จะไม่ได้รับ ถ้าหากว่าทำบุญสิบบาทอยากได้ร้อยบาท ท่านจะได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าหากว่าท่านทำบุญห้าบาทอยากได้สามบาทได้ไหม (ได้)  ไม่ได้เหมือนกัน
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : ทำบุญแล้วต้องไม่หวังผล ใช่หรือเปล่า คิดถึงเก้าอี้หรือยัง
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : คิดถึงหรือยัง ถ้าหากใครเป็นเด็กก็ยังไม่เมื่อย ถ้าใครอยากนั่งแสดงว่าแก่แล้ว
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : คนเรานะไม่แก่วันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องแก่จริงไหม (จริง) กลัวไหม เราต้องกลัวในสิ่งที่ควรกลัว
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : คนบำเพ็ญธรรมต้องมีจิตใจเหมือนทารกน้อยๆ ต้องเป็นคนไม่คิดมาก ไหนใครยังคิดมากยกมือขึ้น ไม่มีใครยอมพูดความจริงเลย
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : ใครคิดเล็กคิดน้อยยกมือขึ้น ไม่คิดมากแต่คิดเล็กคิดน้อย ความหมายไม่ดีนะคิดเล็กคิดน้อยเนี่ย วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรมะ หลักธรรมะที่ท่านได้รับชี้หนึ่งจุด หลักธรรมะนี้เรียกว่า “ไตรรัตน์” หลักธรรมที่ท่านได้รับเพื่อเอาไปบำเพ็ญ และบำเพ็ญอย่างไร การบำเพ็ญนั้นก็คือ การฟื้นฟูพุทธจิตอันดีงามที่แฝงอยู่ในตัวตนของเรา และใช้หลักธรรมะนั้นมาบ่มเพาะขัดเกลาจิตใจของตัวเอง สิ่งใดที่ไม่ดีก็ให้ใช้ธรรมะนี้ควบคุมขัดเกลาชะล้างออกไป ให้เหลือแต่จิตใจที่ดี ใสสะอาด ช่วงที่ท่านบำเพ็ญ ช่วงที่ใช้ธรรมมาบ่มเพาะขัดเกลานั้น มีโอกาสก็หมั่นช่วยเหลือผู้อื่น โดยใช้ธรรมะที่อยู่ในใจของตน แต่ต้องเป็นธรรมะในด้านดี ด้านที่ถูกต้องและเที่ยงตรง พอเข้าใจคำว่า “บำเพ็ญ” ไหม นี่คือหลักใหญ่ที่อยากให้ท่านรู้ แล้วทำไมเราถึงต้องบำเพ็ญ ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพุทธะได้ ถ้าเอาแต่ดำเนินชีวิตไม่บำเพ็ญก็ไม่สามารถเป็นพุทธะได้ แม้ได้รับชี้หนึ่งจุด แม้ได้รู้หลักธรรมะ แต่ถ้าไม่ฝึกฝนขัดเกลา ไม่แก้ไขนิสัยที่ไม่ดี ก็ไม่มีวันพบพุทธจิตเดิมแท้ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
การที่เราต้องบำเพ็ญนั้นก็เพื่อให้เราได้ค้นหาตัวตน หน้าตาเดิมแท้ที่สามารถทำให้เราเป็นพุทธะ โบราณกาลไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านรู้จัก ล้วนเกิดกายเป็นคนมาก่อน แล้วก็รู้แจ้งในธรรมญาณหรือพุทธจิตของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะรู้แจ้งในธรรมญาณในพุทธจิตของตัวเองได้นั้น ก็คือต้องรู้จักชะล้างสิ่งที่ไม่ดี แล้วรักษาธำรงสิ่งที่ดีไว้กับตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ช่วงที่ท่านรู้แจ้ง หรือช่วงที่ท่านบำเพ็ญศึกษาขัดเกลาชะล้างสิ่งที่ไม่ดีนั้น ก็ต้องมีโอกาสฉุดช่วยคนด้วย ท่านจะนำอะไรไปช่วยเขา คำพูดที่มีธรรมะ การกระทำที่เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้พอเข้าใจแล้วนะว่าการมาฟังธรรมะคืออะไร การบำเพ็ญธรรมะบำเพ็ญเพื่ออะไร เพื่อเราหรือเพื่อท่าน (เพื่อตัวเราเอง)  ถ้าเราบำเพ็ญได้ ท่านอาจจะพูดว่าตัวท่านนั้นจะบำเพ็ญได้หรือ ดูแล้วไม่น่าบำเพ็ญได้ แต่จริงๆ แล้วคนทุกคนบำเพ็ญได้ แต่บำเพ็ญได้มากหรือบำเพ็ญได้น้อย อยู่ที่การเลือกทำหรือไม่ทำ ทำได้หรือไม่ยอมทำ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ทุกท่านทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ชีวิตของเราก็เหมือนผ้าผืนหนึ่ง เมื่อยามท่านมีผ้าอยู่ตอนแรกท่านอาจไม่รู้ประโยชน์ของผ้าผืนนี้ แต่พอท่านเดินไปๆ แดดเปรี้ยง เดินไปๆ เหงื่อไหล เดินไปๆ มีฝุ่นมา ยิ่งเดินไปท่านยิ่งรู้จักชีวิตมากขึ้น ยิ่งเดินไปท่านยิ่งรู้จักคุณค่าของผ้าผืนนี้มากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบผ้านี้คือชีวิตของเรานะ  พอรู้มากขึ้นๆ เป็นอย่างไร พอเจอที่พัก เอาผ้ามาปัดๆ ปูนอน แต่พอเดินไปๆ เจอน้ำ เอาผ้าจากที่เคยรองนอนอยู่ มาชุบน้ำเช็ดหน้าเพื่อให้ตัวเองตื่นขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะข้ามฝั่งอย่างไรล่ะ ผ้าผืนเดียวไม่พอแล้ว เอาผ้าผูกต้นไม้และไปหาอีกผืนหนึ่งมาต่อๆ แล้วก็ค่อยๆ ข้ามน้ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าน้ำลึกตายไหม (ตาย)  ไม่ตายพอน้ำลึกท่านก็รีบดึงผ้าขึ้นมาสิ ยิ่งท่านดำเนินชีวิตท่านยิ่งรู้ประโยชน์ของการดำเนินชีวิต เหมือนยิ่งรู้จักคุณค่าของชีวิตมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งต้องถนอมรักษา แต่ถนอมรักษาแล้วอย่าได้ยึดติด บางคนพอมีชีวิตแล้วเป็นห่วงชีวิต กลัวตายเกินไปทำให้ไม่กล้าทำอะไรเลย กลัวเจ็บเพราะถ้าไปบำเพ็ญแล้วโดนคนว่าโดนคนบ่น ไม่เอาไม่บำเพ็ญแล้ว อย่างนี้แปลว่าเราใช้คุณค่าของชีวิตได้ไม่ถึงที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนผ้าผืนนี้ ถ้าท่านหวงท่านจะกล้าเอามาปูนอนไหม (ไม่กล้า)  ก็ต้องเก็บไว้ และจากที่ประโยชน์มากก็กลายเป็นค่อยๆ น้อยลงๆ จนไม่มีประโยชน์เลย เพราะความกลัวมากเกินไป จริงไหม (จริง)  เหมือนกันถ้าท่านคิดว่าผ้าผืนนี้มีประโยชน์บังแดดก็ได้ เช็ดเหงื่อก็ได้ ปูพื้นก็ได้ ผูกต้นไม้ข้ามฝั่งก็ได้ แต่ถ้าท่านหวงกับชีวิต ท่านก็จะไม่กล้าทำอะไรกับผ้าผืนนี้ จากที่มีประโยชน์เป็นสิบๆ อย่างก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าคุณค่าชีวิตของมนุษย์ที่สามารถไปได้ไกลและสูงที่สุดก็คือ “ความเป็นพุทธะ” เมื่อรู้แล้วอย่ากลัวที่จะบำเพ็ญ เข้าใจไหม  เรื่องที่เรายกตัวอย่างนั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร (เปรียบเสมือนชีวิตของคนเรา, เราจะรู้คุณค่าจริงๆ ต่อเมื่อเราดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ เราถึงจะทราบถึงชีวิตของคนเรา กล้าสู้ กล้าลุย กล้าทำ แล้วเราจะรู้ว่าชีวิตเรามีคุณค่ามากที่สุด) กล้าสู้ กล้าลุย กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงจะรู้ว่าชีวิตมีคุณค่าได้มากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : กล้าสู้ กล้าลุย ต้องมีสติปัญญาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านลุยไปในกองไฟ ถือว่าท่านเป็นคนกล้าหรือเปล่า การกล้าลุยไปข้างหน้าต้องมีสติปัญญา ต้องรู้จักแยกแยะ สมมติว่ามีคนบอกให้ท่านลุยไฟจริงๆ  ท่านก็เอาน้ำดับก่อน  แล้วค่อยลุยไป ถ้ามีคนบอกให้ท่านข้ามน้ำทะเล ท่านจะทำอย่างไร  (ข้ามน้ำก็ขึ้นสะพาน  ข้ามทะเลก็ขึ้นเรือ)  ในชีวิตจริงของท่านนั้น ท่านคงไม่ฉลาดน้อย เวลาจะข้ามทะเล ท่านก็ว่ายน้ำข้าม เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา  เวลาที่ท่านเจอปัญหาชีวิตจริงๆ นั้น ให้คิดอะไรง่ายๆ ก็คิดไม่ออก ตอนนี้เป็นแค่เรื่องของการให้ท่านข้ามน้ำ  แต่ชีวิตจริงของท่านนั้น ท่านอาจต้องพบอุปสรรค และอุปสรรคนั้นก็อาจจะใหญ่หรืออาจจะเล็กตามชะตากรรมของท่าน ถึงเวลานั้นท่านก็ต้องมาคิด สมมติว่าอุปสรรคที่เราเจอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่  สมมติว่าให้มันเป็นน้ำเป็นไฟ แล้วท่านก็คิดว่าท่านจะข้ามไปอย่างไร ถ้าหากว่าท่านไม่คิด ท่านจะรู้ไหม  บางคนจะข้ามอุปสรรคทั้งทีก็อาศัยความบ้าระห่ำอย่างเดียว เดิมดุ่มๆ ไป  บางคนก็คิดเข้าข้างตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่นี้เราได้ฟังบอกว่าเข้าเรื่องเลย ออกจากเรื่องเลย เวลาที่เราคุยกัน ฟังธรรมะ เขาก็เข้าเรื่องให้เรา ออกเรื่องให้เราเรียบร้อยไปหมด  แต่ว่าในชีวิตจริงของเรา ท่านจะเข้าเรื่องเลย ออกเรื่องเลยดั่งใจก็ไม่ได้  ท่านต้องเอาธรรมะที่ท่านฟังนั้นมาเข้าเรื่อง มาประสานรวมเป็นหนึ่งกับเรื่องที่ท่านเจอ  ท่านจึงสามารถพบความสว่างได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านจะให้ชีวิตของท่านวนอยู่แต่ในความทุกข์หรือไม่ (ไม่)
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : ท่านต้องพยายามหาทางออกของชีวิตให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : บางคนรู้อยู่แล้วว่าทางออกของชีวิตคืออะไร  แต่ท่านไม่เด็ดขาดพอ  ไม่กล้าเผชิญกับความจริงที่อยู่เบื้องหน้า บางทีก็เป็นเพราะเรายึดติดมากเกินไป ท่านก็รู้ว่าจริงๆ แล้ว  ถ้าหากว่าท่านปล่อยวางเท่านั้น ชีวิตของท่านก็จะมีความสุข แต่ท่านก็ไม่ยอมปล่อย ท่านมัวแต่ยึดไว้ ยิ่งยึดมันก็ยิ่งดึงท่านไป เหมือนท่านไปยึดรถยนต์ที่กำลังจะวิ่ง  ถามว่ารถยนต์หยุดวิ่งไหม (ไม่หยุด)  ถ้าหากว่าคนขับ
รถยนต์ไม่ยอมหยุดให้ท่าน ปัญหาของท่านก็ไม่หยุด ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีก็แค่ปล่อย แล้วก็รู้จักทำปากเป็นรูปตัว v ไว้  หวังว่าท่านมีความทุกข์ แล้วท่านยิ่งยิ้มๆ ท่านกลัวเหมือนคนบ้าไหม (กลัว)  เราก็กลัวนะ กลัวท่านยิ้มไม่ออก ยิ้มแม้แต่ครั้งเดียวก็ยังไม่ทำเลยใช่หรือไม่ กลัวว่าตัวเองยิ้มไม่ออกเท่านั้นเอง  ถ้าหากว่าเราอยากจะยิ้ม แต่กลัวว่าจะเหมือนคนบ้า เราจะบอกท่านให้ว่าไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าหากว่าท่านอยากมีความสุข คือยิ้มให้กับความทุกข์ที่เราเผชิญ  ไม่มีใครทำอะไรถูกใจเราเลย เราเองทำถูกใจตัวเองหรือเปล่า ก็ไม่ถูกใจ ทั้งมีความสุขเราก็ไม่อยากจะยิ้ม เพราะยิ้มไปแล้วกลัวเขาจะหาว่าเหลิง  พอมีความทุกข์ก็ไม่อยากจะยิ้ม เพราะกลัวคนเขาหาว่าบ้า แล้วชีวิตของท่านจะมีความสุขได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  วิธีที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขเพิ่มขึ้นต้องทำอย่างไร (ต้องเดินตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป , ต้องรู้จักปล่อยวาง หันไปบำเพ็ญธรรมะ รู้จักเผยแพร่ให้กับคนที่เรารู้จัก ยิ้มสู้)  วิธีแบ่งปันความสุขก็ง่ายๆ เราจะทำให้ดู สมมติว่าชมพู่ลูกนี้เรากินคนเดียว เราก็อร่อยคนเดียว  ทีนี้ลองพยายามแบ่งให้มันเป็นเสี้ยวเล็กๆ แล้วเราก็แบ่งความสุขไป (ท่านเมตตาแบ่งผลไม้ให้กับนักเรียน)  แล้วเราก็แบ่ง เห็นไหมทุกชิ้นที่เราโยนไปมีคนรับหมดเลย เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องกลัวว่าความสุขของท่านจะไม่มีคนรับ ท่านอาจจะทำให้ความสุขมากกว่านั้นอีก โดยท่านอาจจะเอาเม็ดนี้ไปปลูก หมายความว่าเม็ดนี้ปลูกลงดิน แต่มีอีกเม็ดหนึ่งคือเม็ดแห่งความสุขในจิตใจของท่าน ท่านก็ปลูกลงในจิตใจของท่านเอง เพราะว่าส่วนใหญ่ท่านนั้นไม่ยอมให้ต้นไม้แห่งความสุขงอกเงยในจิตใจของท่านเอง แต่ต้นไม้แห่งความทุกข์ของท่านนั้น ท่านทั้งรดน้ำพรวนดิน ให้มันโดนแดด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านยิ่งหาเรื่องใส่ตัวมากเท่าไรความทุกข์ก็ยิ่งงอกใหญ่เลย ทุกวันนี้มีใครหาความสุขใส่ตัวหรือหาความทุกข์ใส่ตัวมากกว่ากัน หาความทุกข์ใส่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์ที่หาเข้ามาใส่ก็เหมือนกับใส่ปุ๋ยเข้าไป ในที่สุดต้นแห่งความทุกข์ก็เจริญงอกงาม  ใครที่อยู่ข้างๆ ท่านก็เลยมีความทุกข์เต็มไปหมด ที่แย่กว่านั้นก็คือบางคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีความทุกข์ ไม่รู้ว่าต้นไม้ที่ตัวเองปลูกนั้นคือต้นไม้แห่งความทุกข์ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรดน้ำพรวนดินต้นไม้แห่งความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  นี่แหละที่แย่ที่สุด
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาร่วมกันสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง “สละให้-ได้รับ” ทำนอง “แปรงฟัน”)
ถ้าหากว่าใครไม่ยอมร้องเราจะให้ท่านโชคร้ายไปหนึ่งวันดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้ร้องกับเราดีกว่านะ เพราะเราเป็นเซียนน้อยที่มีหน้าที่ประทานความสมหวังและความสุข ถ้าหากว่าใครอยากได้ความสุขก็ต้องทำตัวเองให้มีความสุขไปพร้อมกับเรา ถ้าหากอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานความสุขให้ ท่านยังมีความสุขไม่ได้ อย่างนี้ท่านกลับไปอยู่บ้าน ท่านก็จะไปนั่งร้องไห้คนเดียว
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : อยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความสุขแล้วยังให้รอยยิ้มอีกนะ ถ้ายังยิ้มไม่ออกอีกก็น่าเศร้าใจ
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : ชื่อของเราแปลว่าความสมหวัง ส่วนชื่อเขาก็แปลว่ารอยยิ้ม เพราะฉะนั้นท่านจะต้องรู้จักที่จะมีรอยยิ้มและก็มีจิตใจที่มีความสุข แล้วความสมหวังก็จะวิ่งตามมาทีหลัง ถ้าหากว่าท่านอยากได้ความสมหวังก็ต้องยิ้มบ่อยๆ ถ้าหากว่าท่านบึ้งไปคนก็บึ้งตอบ ถ้าหากว่าท่านร้องไห้ไปคนก็เดินหนี ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นแนะนำให้ท่านกลับไปบ้าน ถ้าหากว่าใครชอบร้องไห้คนเดียว ร้องไห้เพราะว่าร่างกายเจ็บป่วย ร้องไห้เพราะว่าความไม่สมหวัง ร้องไห้เพราะผิดหวังแรงๆ ต่อไปเราแนะนำให้ท่านนั้นรู้จักที่จะยิ้มแทนร้องไห้ ดีหรือไม่ (ดี)  ตอนแรกทำยากนะ ถ้าท่านยิ่งอยู่คนเดียวท่านยิ่งทำยากใหญ่เลย เพราะฉะนั้นต้องออกไปเจอผู้คน ความทุกข์ถ้ายิ่งพูดถึงบ่อยก็ยิ่งทุกข์ เพราะฉะนั้นหัดพูดถึงสิ่งดีๆ ดีหรือไม่ (ดี)  พูดว่าต้นไม้ร้องเพลง พูดว่านกเป็นนางฟ้าอย่างนี้ ถ้าหากว่าท่านพูดอย่างนี้บ่อยๆ ท่านก็จะมีความสุขมากขึ้นๆ ถ้าหากท่านเห็นสถานธรรมเปรียบเสมือนกับแดนนิพพาน ท่านจะเห็นบ้านท่านเป็นเหมือนวิมานดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นเราร้องเพลงนี้ร้องให้ความทุกข์หมดไปเลยดีหรือไม่ (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนนักเรียนให้ร้องเพลง)
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : มนุษย์เราถ้าเกิดว่าเราจะบำเพ็ญในสังคมต้องมีหลักยึด แล้วใช้อะไรเป็นหลักยึด ใช้ธรรมะที่ท่านนับถืออยู่ ทำบุญทำทานก็ยังต้องทำอยู่ ทำดีก็ต้องทำอยู่ แต่ให้เป็นพื้นฐาน คนเราถ้าตนเองดีแล้ว ถ้าอยู่บนพื้นฐานที่ไม่มั่นคง จะกล้าเป็นคนดีต่อไปได้ไหม (ไม่ได้)  โลกนี้ถ้าเปรียบว่าชีวิตของมนุษย์ล่องเรือกลางคลื่นทะเลใช่หรือไม่ แต่ทะเลนี้เป็นทะเลแห่งทุกข์หรือว่าเป็นทะเลของมายาและแสงสีโลกีย์อันลวงหลอก ถ้าหากท่านจะล่องเรือไปเพื่อข้ามผ่านทะเลนี้ให้ไปถึงฝั่งแห่งนิพพานได้นั้น ท่านจะต้องมีหางเสือและมีหลักยึดที่ถูกต้อง มีกำหนดแนวทางของชีวิตอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว ถ้าเราจะยืนอยู่บนสังคมนี้ด้วยและบำเพ็ญธรรมด้วย เราจึงต้องรู้จักนำธรรมะข้อหนึ่งข้อใดก็ได้มาเป็นหลักยึดเมื่อยามบำเพ็ญ อย่างเช่นเป็นคนให้อภัย ไม่ว่าใครจะโกรธ ว่า ตี ดุ ด่า ก็ยึดหลักแห่งการให้อภัยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรคำว่าให้อภัยจะมีอยู่ในแนวทางของการมีชีวิต แต่บางคนอาจจะยึดทำดี เมตตาก็ได้ ถ้าเรามีหลักยึดที่เรียกว่าสิ่งดีแล้ว การที่เราจะก้าวพลาดก็เป็นการยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือจะมีหลักยึดในการละอายเกรงกลัวต่อบาปก็ได้ เพราะว่าการเกรงกลัวต่อบาปจะทำให้มนุษย์ไม่มีมลทิน และไม่กล้าทำบาปหรือทำผิด ปัจจุบันนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด และสามารถเดาได้ไหมว่าจะไม่ผิดอีกแล้ว แต่จริงๆ สามารถทำได้ โดยหลักธรรมะประคับประคองและช่วยล้างสิ่งผิดที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ใช้ธรรมะในการล้างมลทินที่จะเกิดขึ้น หยุดความบาปที่จะไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตหรือในการก้าวเดินเมื่อมีชีวิต หากเรามีหลักยึดที่ดีแล้วและก้าวต่อไปด้วยความมั่นคงแล้ว เราย่อมสามารถพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น และเป็นคนดีที่ถ่องแท้ และเป็นคนดีที่ยิ่งกว่าดีใช่หรือไม่ แต่เมื่อเราก้าวไปนั้น บางครั้งมีคำกล่าวว่า “จะเดินไปด้วยกายก็ต่อเมื่อมีแสงสว่างแห่งจิตใจ” เราใช้อะไรเป็นแสงสว่างแห่งจิตใจ ใช้การศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นแสงสว่างนำทางสู่การก้าวต่อไปเมื่อยามมีชีวิตอยู่ หรือก้าวต่อไปเมื่อยามผจญอยู่ในสังคม ยิ่งถ้าเราก้าวหนึ่งก้าวพอไหม (ไม่พอ)  เราต้องจุดแสงสว่างให้กับชีวิตด้วยการศึกษาเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ต้องบอกว่าเป็นเรื่องดีด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นหลักธรรมะ หลักธรรมะวันนี้ ท่านฟังหนึ่งอย่างสามารถนำไปใช้ตลอดชีวิตได้ไหม (ได้)  แต่บางครั้งอาจจะไม่ตลอดใช่หรือไม่ วันนี้ท่านฝึกวิชาก็ฝึกได้แค่ไม่กี่วิชา ฉะนั้นต้องหมั่นจุดแสงสว่างให้กับชีวิตโดยการศึกษาเรียนรู้หลักธรรมะด้วย มีหางเสือในการเดินเรือแล้ว มีจุดมุ่งหมายในการเดินแล้ว และก็มีแสงสว่างแล้ว การเดินทางและบำเพ็ญอยู่บนโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต้องมีแสงสว่างและหางเสือที่มั่นคงและถูกต้องด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมักจะติดและผ่านกันไม่ได้ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ใช่หรือเปล่า ติดกันมากเลยโดยเฉพาะเรื่องความรัก มีรักแล้วมีทุกข์ไหม (มี)  ทำไมจึงมีล่ะ เพราะเมื่อเรารักแล้ว เราไม่อยากห่างคนที่รัก เมื่อห่างก็เกิดความทุกข์แล้วยังรักอีกไหม รักก็ได้แต่รักให้ถูกต้อง รักแบบแม้เขาไม่รักตอบก็ไม่เป็นไร แต่รักที่จะให้ อย่าให้ความรักนั้นมาชี้นำโดยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีโดยเด็ดขาด แม้จะเป็นรักที่ถูกต้องใช่หรือไม่ ส่วนโลภ โกรธ หลง ความหลงก็น่ากลัว ความโกรธก็น่ากลัว ใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาท)
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ :  อยากจะให้ท่านลองยิ้มให้กับตัวเองหนึ่งครั้ง ยิ้มแล้วค้างไว้ ท่านยิ้มไปหาคนข้างๆ ยิ่งมีความทุกข์ยิ่งต้องยิ้ม ถ้าหันไปหาคนข้างๆ แล้วเขาผงะก็แสดงว่าท่านยิ้มไม่สวยและยิ้มไม่จริงใจ การบำเพ็ญธรรมสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจ ถ้าหากว่าท่านจริงใจมาบำเพ็ญธรรมนั้น คนที่ได้รับกลับมาก็คือตัวท่านเอง เพราะว่าธรรมะนี้เอาไปใช้กับชีวิตของท่านเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือความอ่อนน้อม ต้องอ่อนน้อมอย่างคนที่อ่อนน้อมจากใจจริงๆ ลึกๆ ของท่านบางคนนั้นอ่อนน้อมจริง แต่ว่าอ่อนน้อมแล้วในใจยังมีคำพูดตามมาอีกเป็นพรวนเลย อย่างนี้ไม่เรียกว่าอ่อนน้อมจริงใจ แต่เป็นอ่อนน้อมตามหน้าที่บ้าง ตามสังคม ตามกระแส หรือเพราะกลัวคนอื่นเขาว่าเราไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าคนที่เสแสร้งที่จะอ่อนน้อมนั้น บางทีแย่กว่าคนที่ไม่เคยอ่อนน้อมเสียอีก หากว่าตอนแรกท่านมาบำเพ็ญธรรมแล้วสามารถอ่อนน้อมได้ พอท่านบำเพ็ญไปๆ ยิ่งอ่อนน้อมๆ ด้วยความไม่เต็มใจ ยิ่งอ่อนน้อมยิ่งเสแสร้งแสดงว่าท่านนั้นแย่แล้ว การบำเพ็ญของท่านก็คือการถอยหลังลงคลองแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วการบำเพ็ญธรรมนั้น ก็เพื่อที่จะให้จิตใจของเรานั้นกลับคืนสู่ความสว่างไสว เหมือนกับจิตใจที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ท่านเคยมีจิตใจที่มีรอยยิ้มตลอดเวลาไหม (มี)  เราจะพูดความจริงให้ฟัง ก็คือคนที่สมหวังนั้นไม่สามารถสมหวังไปเสียทุกเรื่อง คนที่มีความสุขนั้นก็ไม่สามารถมีความสุขไปตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ให้ท่านรู้ว่าการที่ท่านนั้นเป็นทุกข์ การที่ท่านผิดหวังนั้นก็เป็นธรรมดาของชีวิต ถ้าหากว่าท่านสมหวังแล้วคนอื่นไม่สมหวัง ท่านจะสมหวังไปทำไม ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ อยากให้ท่านลองย้อนมองดูสักนิดหนึ่งว่าตัวเรานั้นมีความสุขอยู่ทุกเมื่อไหม อย่างน้อยถ้าหากว่าท่านไม่เบียดเบียนใคร ความสุขนั้นก็สมควรจะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : เกิดเป็นคนเมื่อผิดต้องกล้ายอมรับผิด ถ้ากล้ายอมรับต้องกล้าที่จะแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นสิ่งที่ถูก ด้วยความตั้งใจ มลทินและบาปจึงไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง มีคำกล่าวว่าเมล็ดพันธุ์ที่ดี เมื่อหล่นลงไปในดินใดก็ย่อมให้ผลที่ดีเหมือนเมล็ดพันธุ์นั้น แต่ถ้าเกิดเมล็ดพันธุ์ที่เลวหล่นลงไปในดินแม้จะดินดีเพียงใด ถึงแม้จะเพาะปลูกเพียงใดก็ยังออกมาไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตใจของมนุษย์เราเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ไหม (เหมือน)  ถ้าจิตใจเราเหมือนเมล็ดพันธุ์การบ่มเพาะเลี้ยงดูต้นพันธุ์นี้เหมือนการปฏิบัติ ถ้าท่านจิตใจดีมีความคิดดีแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ แม้ปลูกต้นนี้ออกมา ผลก็ย่อมออกมาได้ยาก จริงหรือไม่ (จริง)  อีกทางหนึ่งถ้าจิตใจท่านไม่ดี แต่ท่านพยายามบ่มเพาะดูแลหรือปฏิบัติดี พยายามกระทำดีแม้จะยังคิดไม่ดีบ้าง ผลนั้นถึงแม้จะออกมาง่าย แต่ว่าผลก็ยังหวานอมขมกลืน ไม่หวานใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่จะเป็นคนดีได้นั้นต้องงามสมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจรวมทั้งการปฏิบัติ ผลจึงออกมาได้ทั้งหวานและก็ออกลูกได้ทั้งงดงามและดก เข้าใจไหม (เข้าใจ)  หลายคนในโลกนี้บางทีก็พูดว่าจิตใจดีก็พอแล้ว การปฏิบัติไม่ต้อง ผลก็เลยดกยากจริงไหม (จริง)  หลายคนบางทีจิตใจคิดดีบ้าง คิดร้ายบ้าง แต่บางครั้งยังชอบทำดีอยู่ แม้จะได้รับผลคือมีคนแซ่ซ้องแต่เวลาชิมแล้วก็ยังขม ก็คือผลยังออกมาได้ไม่สมบูรณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะปฏิบัติบำเพ็ญตนเป็นคนดีต้องงามทั้งจิตใจและการลงมือปฏิบัติพอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  บำเพ็ญธรรมะอย่าดูเบาตัวเอง จงมั่นใจว่าตัวเองมีคุณงามความดีอยู่ แต่สำคัญอย่างหนึ่งก็คืออย่าพ่ายความเคยชินที่เป็นอารมณ์กิเลสตัณหา เพราะมนุษย์เรามีความอยากเป็นนิจศีล อยากคุย อยากพูด อยากบ่น อยากโกรธ อยากว่า อยากไปหมดเลย แล้วก็อยากหลง อยากไหม (อยากรวย)  เราสอนให้ท่านรวยเอาไหม (เอา)  เราสอนให้ท่านรวยแบบเป็นสิ่งที่จีรัง แบบไม่หายไปกับสายลม ไม่หายไปกับคำพูดคนเอาไหม (เอา) “รวยน้ำใจ” ทำได้ไหม (ได้)  น้ำใจมีวันหมดไหม (ไม่มี)  น้ำใจนั้นอย่าเป็นน้ำใจที่ตนเองชอบแต่คนอื่นไม่ชอบ รับรองต้องปฏิเสธแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะให้น้ำใจก็ต้องดูคนด้วย เหมือนเราจะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งสิ่งที่ดีเราก็ต้องดูดิน ดูสภาพแวดล้อมด้วย การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน ปล่อยเมล็ดพันธุ์ที่ดีไปยังที่ต่างๆ หากท่านปล่อยไม่ดูดินฟ้าอากาศ เมล็ดพันธุ์นั้นก็เน่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ ใจต้องรักที่จะปฏิบัติก่อน รักและเป็นสุขในการที่จะทำ แล้วจะทำให้เราทำได้ยาวนาน แล้วจะแก้ไขสิ่งที่ผิดได้ก็ต่อเมื่อรู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : ท่านเกิดมาแล้วไม่ต้องแก่ได้หรือเปล่า แก่แล้วไม่ต้องตายได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : เรามาแล้วก็ต้องกลับ เป็นสัจธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์เราก็เหมือนกัน จะโลภ จะโกรธกันไปทำไม ฉะนั้นพยายามลดละสิ่งที่ไม่ดีได้ไหม ถ้าท่านพยายามล้างสิ่งที่ผิดสิ่งที่ไม่ดีได้ อย่างน้อยท่านก็เป็นคนดีได้แล้ว แม้จะเป็นคนดีแต่มีความไม่ดีอยู่ ก็ยังเรียกว่าดีได้ไม่หมด บางทีชะตาชีวิตของเรายังมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างให้ดีขึ้นได้ ชะตาชีวิตของทุกคนถูกกำหนดไว้แล้ว จะสั้นหรือจะยาว อยู่ที่ว่าถ้าปฏิบัติดีแม้สั้นก็กลายเป็นยาวได้ ถ้าปฏิบัติชั่วแม้ยาวก็กลายเป็นสั้นได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานลูกอมให้นักเรียนในชั้น)
ได้แล้วแบ่งคนอื่นด้วย ยิ่งได้ต้องยิ่งแบ่งนะ ขอให้ลูกอมนี้กินแล้วสลายทุกข์ในใจของท่านให้เหลือแต่สิ่งที่ดี เป็นคนดีนั้นต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ อย่าพ่ายแพ้ต่ออบายมุข ทำได้หรือเปล่า ถ้าจิตใจของท่านเข้มแข็งเรื่องอะไรจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก่อนท่านเป็นอย่างนี้หรือไม่ แต่ก่อนไม่มั่นใจหรือว่าตัวเองดี แต่ก่อนทุกท่านดี แล้วก็ดีมากด้วย แต่เพราะอะไรจึงไม่ดีล่ะ เพราะพ่ายแพ้อารมณ์และตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นทำไมต้องยอมแพ้ ในเมื่อความดีอยู่ตรงหน้า เราต้องทำให้ได้ และหากพญายมมาดึงท่านไปตอนนี้ ท่านจะมาเรียกหาพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้ ตอนนี้พุทธะเรียกแล้วยังไม่ไป จะให้พญายมมาเรียกท่านแล้วจึงจะไปหรือ ฉะนั้นรีบเดินหน้าแล้วก็สู้ต่อไป
ท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง : มีโอกาสมาศึกษาบ่อยๆ อย่าดูเบาตัวเอง หมั่นดูแลรดน้ำบำเพ็ญ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี ท่านก็เป็นพุทธะได้ ท่านก็เป็นคนดีที่ดีจริงๆ ได้ อย่ายอมแพ้นะ เราไปแล้วนะ
ท่านหยรูอี้ถงจื่อ : บำเพ็ญธรรมอย่าลืมแก้ไขตัวเอง แก้ในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผิด สิ่งใดที่ท่านผิดไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นบอก ตัวท่านเองก็ย่อมรู้ตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่บำเพ็ญมาหลายๆ ปี ยิ่งหลายปีความผิดยิ่งมากไม่ดี ยิ่งหลายปีถ้ารู้ว่าความผิดอะไรของท่านมีมากขึ้น ขอให้ท่านเร่งๆ แก้ดีหรือไม่ (ดี)  พูดตามเรา อ่อนน้อม จริงใจ อภัย มีรอยยิ้ม ลาก่อน


วันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เคล็ดลับของชีวิตคือขยัน เคล็ดลับของบ้านคือสามัคคี
เคล็ดลับของความร่ำรวยคือรู้พอดี เคล็ดลับของคนดีคืออดทน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

หัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี จะได้มีชีวิตแสนยืนยาว
สุขภาพดีเพราะจิตเปล่งแสงขาว จงเป็นชาวดินเลี้ยงตนด้วยความดี
เสือว่าร้ายทว่าร้ายไม่เท่าคน แต่เป็นคนอย่าได้คิดแม้แต่หนี
คนที่ดีไม่มีใครเชื่อว่าดี ขอให้มีจิตอดทนดีตอบไป
ช่างกระไรชีวิตใช่ร้อยวันยาก ยามลำบากกำหนดสติขึ้นมาใหม่
ไม่แก้ปัญหาอย่างคนที่ได้ใจ แต่แก้ไขอย่างคนที่รู้ตัวอยู่เสมอ
ให้ศิษย์รักทุ่มเทจิตบำเพ็ญใจ ทำสิ่งใดอย่าได้เป็นคนช่างเผลอ
การบำเพ็ญไม่แบ่งฉันและเธอ อย่าละเมอเห็นความฝันเป็นความจริง
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไหนลองคิดสิว่าเราจะนั่งให้เรียบร้อยนั่งอย่างไร เรียบร้อยหรือยัง (เรียบร้อยแล้ว)  การที่อาจารย์ให้นั่งท่าที่เรียบร้อยนี้ ก็เหมือนกับที่ให้ศิษย์ไปทำความดี การทำความดีต้องอยู่ในความเป็นธรรมชาติ และต้องอยู่ในความนุ่มลึก ต้องอยู่ในท่าที่ทำความดีแล้วรู้สึกทำไปได้นาน บางคนนั้นไม่เคยนั่งหลังตรงเลย พอมาสถานธรรมนั่งฟังธรรมะต้องมาฝืนใจให้นั่งหลังตรงมากๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากยากเย็น ยิ่งนั่งก็ยิ่งเมื่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  การทำความดีถ้าหากเราไม่เคยทำเลย ครั้งแรกในการทำความดีนั้น ก็อาจจะเป็นการทำที่ลำบากยากเย็น แต่ว่าในเมื่อเราทำความดีในความถูกต้อง เราไม่ต้องห่วงว่าเรานั้นจะเมื่อยไปตลอด ความเมื่อยจะกลายเป็นกำลัง จะกลายเป็นแรงผลักดันให้เราสามารถที่จะสู้ต่อไปได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)
เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าหากว่าให้นั่งท่าที่สบายๆ แต่เป็นการนั่งที่เรียบร้อย รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ชินขึ้นมา ก็แสดงว่าเรานั้นปกติไม่ค่อยจะนั่งเรียบร้อยกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่ให้เราทำความดี ถ้าหากว่าเราไปทำความดีเริ่มต้น เราจะบอกว่าเราเคยทำมาตั้งหลายครั้งแล้ว อาจารย์จะชี้ให้ดูว่าเป็นความดีจริงๆ หรือเปล่า บางคนทำความดีเป็นความดีที่หวังผล อย่างนี้เรียกความดีไหม (ไม่ใช่)  ความดีที่หวังผลตอบแทน ยังไม่เป็นความดีที่แท้จริง ความดีที่อยากจะให้คนชม นี่เรียกความดีไหม (ไม่ใช่)  ความดีที่อยากได้เป็นเงินตอบแทน หรืออยากได้กำลังจากผู้อื่นเป็นกำลังใจตอบแทน อย่างนี้เรียกความดีไหม (ไม่ใช่)  ความดีที่เราทำ ห้ามใครติเด็ดขาด ถ้าหากว่าติเราจะเกิดความไม่ชอบใจ อย่างนี้เรียกความดีไหม (ไม่ใช่)
ส่วนใหญ่การทำความดีของเรานั้นจะไปผิดพลาดอยู่ที่จิตใจ เพราะว่าเรานั้นไม่สามารถที่จะควบคุมจิตใจของตัวเองได้ตลอดเวลา เหมือนกับให้เรานั้นทำความดี ให้เรานั่งตัวตรงเรานั้นก็นั่งได้ไม่นาน นั่งได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม เพราะว่าเราติดอยู่ในเรื่องของความเคยชิน ชินที่ทำอะไรแล้วต้องให้คนชม ชินที่ทำอะไรแล้วห้ามคนติ ชินที่ทำอะไรแล้ว ต้องมาตอบแทนเราให้ได้ แม้ว่าปากจะพูดว่าไม่เป็นไรๆ แต่ในใจนั้นกลับไม่ใช่ แสดงว่าการที่เราหลอกนั้นเราไม่ได้หลอกผู้อื่นแต่เราหลอกตัวเอง คนที่ไม่หลอกผู้อื่นแต่หลอกตัวเองนั้นน่าคบไหม แล้วคนๆ นั้นคือใครล่ะ คือตัวของเราเองที่เป็นคนไม่น่าคบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ควรจะปรับปรุงแก้ไขจึงไม่ใช่ผู้อื่น คนที่เราจะไปโทษจึงไม่ใช่ผู้อื่น คนที่เราจะเกิดความรังเกียจนั้นจึงไม่ใช่ผู้อื่น ฉะนั้นคนที่ควรจะได้รับการแก้ไขเป็นคนแรกคือใคร (ตัวเอง)  คนที่ควรจะคุมจิตใจคนแรกคือใคร (ตัวเอง)  คนที่ควรจะเริ่มทำความดีได้แล้วคือใคร (ตัวเอง)  นี่แหละคือการที่เรานั้นจะเริ่มต้นคิดเดินทางมุ่งสู่การบำเพ็ญธรรม เพราะว่าการบำเพ็ญนั้นไม่ใช่การมองผู้อื่น ไม่เหมือนกับโดยทั่วไปทุกๆ วันที่เราอยู่ในโลก เราใช้ตาของเรามองออกไปนอกตัว ใช้หูของเราฟังออกไปนอกตัว ใช้จมูกของเราดมกลิ่นนอกตัว ใช้ปากของเราพูดกับคนอื่นไม่เคยพูดกับตัวเอง ไม่ได้สอนตัวเอง ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นจึงเป็นเรื่องกลับตาลปัตร ทำอย่างไร มองเข้ามาที่ตัวเอง ฟังเสียงของตัวเอง พูดกับตัวเอง ดมกลิ่นตัวเอง กลิ่นของความดีและความไม่ดีของเรานั้นมันฟุ้งไหม ถ้าหากอยู่ข้างนอก กลิ่นของเราก็คือกลิ่นตัว แต่คิดว่าถ้าเราจะดมจริงๆ จิตใจของเรามีกลิ่นไหม (มี)  จิตใจของเรามีกลิ่นตุๆ ไหม จะบอกว่าคนที่ทำความดีนั้นก็เหมือนกับมีจิตใจที่หอมเป็นดอกไม้หอม แต่หากว่าคนที่ทำไม่ดีนั้นจิตใจก็เหม็นใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นดอกไม้อะไร (ดอกอุตพิด)  มีพิษเยอะเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การที่เรานั้นย้อนเข้าหาตัวเองทั้งสิ้น เมื่อรู้ถึงตอนนี้แล้ว เราคิดว่าการที่เรามานั่งฟังธรรมะสองวันนี้มีประโยชน์ไหม (มี)  มีประโยชน์ต่อเมื่อเรานำกลับไปปฏิบัติกับใคร (ตัวเราเอง)  การบำเพ็ญธรรมง่ายขึ้นไหม ใครที่ยังสงสัยว่าฟังธรรมะมาสองวัน เขาพูดแต่การบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมหมายความว่าอย่างไรหรือ ฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจว่าการบำเพ็ญธรรมหมายความว่าอย่างไร แต่อาจารย์นั้นพูดให้ยากเป็นง่ายแล้ว การบำเพ็ญธรรมคือการที่เราย้อนเข้าหาตัวเอง หัดโทษตัวเองบ้าง ไม่โทษผู้อื่น แก้ไขในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มีความดีมากมาย แต่มีความผิดท่วมตัว เวลาเราชมคนอื่นเรามองอะไรเขา เวลาเรามองคนๆ หนึ่งส่วนใหญ่ก็จะเจอแต่ข้อผิดของเขา แต่พอเรามองตัวเองกลับเห็นตัวเองดีไปหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมกลับตาลปัตรล่ะ แทนที่เวลาเรามองไปหาผู้อื่น แล้วเราควรที่จะเจอในสิ่งที่ดีของเขา เราเห็นความดีของผู้อื่น จึงไม่ต้องสร้างวจีกรรม โดยการว่าคนอื่น ติคนอื่น บ่นคนอื่น จู้จี้คนอื่น เพราะว่าทุกๆ ครั้งที่เราอยากจะโทษคนอื่นนั้น เราก็มองเห็นแต่สิ่งที่ดีของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกครั้งที่เราอยากจะชมตัวเอง อยากจะเข้าข้างตัวเอง ก็จะเจอแต่สิ่งที่แย่ๆ ของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ที่สอนให้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ให้ดูถูกตัวเอง เมื่อเรารู้ตัว ที่ตัวเองนั้นเคยทำผิดพลาดไป วันนี้วินาทีนี้ก็แก้เดี๋ยวนี้ที่รู้ อีกสองนาทีผ่านไปผิดอีกก็แก้ในสองนาทีนั้นที่ผิดพลาด แก้ไปเรื่อยๆ จงอย่าท้อใจ จงมีกำลังใจในการที่จะช่วยตัวเอง ช่วยตัวเองครั้งนี้ ช่วยให้พ้นจากความน่าสงสาร ให้พ้นจากวัฏสงสารในวงจรนิสัยของตัวเอง เมื่อแก้จนไม่มีอะไรจะแก้ จิตใจของเรานั้นย่อมอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ถามตัวเองสิว่าทุกวันนี้ ใจของเรานั้นตกนรกหรือว่าขึ้นสวรรค์อยู่ อาจารย์ว่าคงจะตอบว่าก้ำๆ กึ่งๆ บางทีอยู่นรก บางทีขึ้นสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์ชอบนรกหรือ (ไม่ชอบ)  แล้วใครพาตัวเองไปนรก แล้วใครพาตัวเองขึ้นสวรรค์ (ตัวเราเอง)  มีแต่เราช่วยเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าชอบที่จะไปมองคนอื่น ชอบที่จะโทษคนอื่น อาจารย์จะเตือนไว้คำหนึ่งนะ ใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น แม้เป็นพี่น้องคลานตามกันมา เป็นพ่อแม่ เป็นลูกหลาน คู่สามีภรรยาก็เหมือนกัน กรรมไม่ช่วยกันแบกนะ ฉะนั้นคนเกิดมาตัวเปล่าๆ ถ้ากลับไป อยากจะแบกก็แบกแต่กุศลก็พอ อย่าแบกกรรมไป ขอให้แบกกุศลให้ตัวเอียงเลย แล้วอาจารย์มาช่วยรับไป พาไปในที่ที่เหมาะสมกับตัวเราดีหรือไม่ (ดี) อาจารย์ไม่กล้าถามว่าตอนนี้ศิษย์คิดว่าตัวเองจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ศิษย์คิดว่าความประพฤติของเราที่ผ่านมาอยู่ที่ไหน เพราะว่ากลัวศิษย์ของอาจารย์จะตอบว่าก็กึ่งๆ ครึ่งๆ ไม่ค่อยแน่ใจ เมื่อศิษย์ไม่แน่ใจ อาจารย์ยิ่งไม่มั่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคล็ดลับของชีวิตคืออะไร ตอนนี้ทุกคนมีชีวิต แล้วเคล็ดลับของชีวิตของเราคืออะไรรู้ไหม เมื่อสักครู่เขาให้พายเรือก็ยังไม่ได้พายใช่หรือเปล่า (ใช่)  เดี๋ยวจะมาไม่ถึงคลองดำเนินนะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวเอาเรือลงคลองเสียหน่อยดีไหม จากคลองก็ไปทะเลเลยดีไหม (ดี)  พายเรือต้องอาศัยความสามัคคีกัน ถ้าหากว่าต่างคนต่างพาย พายไม่เข้ากันเรือก็วนอยู่กับที่นะ ถ้าหากว่าพายไปในทางเดียวกันนั้น ก็จะทำให้เรือแล่นฉิวทีเดียว แต่ถ้าพายซ้ายพายขวา ไม้พายตีกันแน่ ก็คงจะให้ผลลัพธ์คือวนอยู่กับที่ อย่างนี้แสดงให้เห็นถึงการบำเพ็ญธรรมของเรา
เมื่อเรานั้นศึกษาธรรม มาบำเพ็ญธรรมที่สถานธรรมไหน หากว่าเราไม่รู้สึก ไม่รู้ยอมคนอื่นบ้าง ไม่รู้ช่วยคนอื่นบ้าง ไม่เห็นใจคนอื่นบ้าง จากที่ผลการบำเพ็ญธรรมมาหลายปีจะก้าวหน้าไปไกลก็จะวนอยู่กับที่ ฉะนั้นเราจึงมาตรวจสอบ มาพิจารณาสถานธรรมที่เราอยู่อาศัย เมื่อจะแก้ไขไม่ใช่เราคิดเป็นอยู่คนเดียว แต่ต้องให้คนอื่นคิดออกเหมือนเราด้วย จึงจะสามารถนำพาไปได้ไกล ไม่ใช่ให้เรานั้นรู้ปัญหาอยู่คนเดียว ต้องให้ทุกคนรู้ปัญหาเหมือนๆ กัน จึงจะสามารถแก้ไขไปในทางเดียวกันได้ เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ที่มีบ้าน บ้านเรามีพ่อมีแม่ มีตัวเรา ตัวเราอาจจะมีสามี มีภรรยา มีลูกด้วย เราเป็นตัวกลางระหว่างหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะบนเราล่างเรา ทุกๆ ครั้งที่มีปัญหา เราต้องให้เขารู้ปัญหาเดียวกับเรา ให้เขาคิดในทางเดียวกับเรา อย่าใจร้อน ไม่อย่างนั้นเรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ไฟกองเล็กก็เป็นเพลิงกองโตนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเรียน ร้องเพลง “พายเรือธรรม” พร้อมท่าประกอบ)
รู้สึกว่าได้ออกกำลังกายแล้วสดชื่นขึ้นไหม (สดชื่น)  พายไปถึงไหนแล้ว ถึงคลองดำเนินหรือยัง ยังอยู่กับที่เลย ตอนนี้ยังไม่ไปถึงไหน แต่วันหน้าคงจะถึงสักวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เอาแค่คลองดำเนินนะ แต่เราจะเอาถึงฟากฝั่งพระนิพพานเลย ดีหรือเปล่า (ดี)  ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นว่าเรานั้นทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ดีงามในโลกนี้ เมื่อเราตั้งใจทำ มีหรือจะทำไม่ได้ สิ่งใดที่ผู้อื่นทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่ผู้อื่นนั้นมีความสามารถมีความรู้เราก็มีได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเอง เมื่อตัวเราเห็นตัวเรามีคุณค่า ผู้อื่นนั้นจึงเห็นตัวเรามีคุณค่า ถ้าหากว่าเราเห็นตัวเองไร้ค่า คนอื่นจะเห็นตัวเรามีค่าได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจงเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองด้วยการสร้างความดี ความดีที่ไม่หวังผล ความดีที่ไม่กลัวคนอื่นว่า ความดีที่ไม่อยากได้คำชมทำได้ไหม (ได้)  อย่าบอกว่าได้แต่ปากแต่ใจทำไม่ได้นะ
คราวนี้เอาสัมภาระในจิตใจของเรา ได้แก่ กิเลสต่างๆ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความภูมิใจไม่ภูมิใจ ความทุกข์ต่างๆ ที่เราเผชิญ ถอดความทุกข์ออกจากจิตให้อาจารย์ดูหน่อย ความทุกข์ในใจไม่ต้องใช้มือถอด แต่ใช้ใจถอด การปล่อยวางไม่ต้องใช้มือปล่อย แต่ใช้ใจปล่อย หลับตานึกถึงจิตใจของตัวเองที่เป็นลูกกลมๆ เปิดออกแล้วควักสิ่งที่เป็นขยะนั้นขึ้นมา แล้วเอามือของเรายกขึ้น เอามือของเราแบกวงกลมไว้ โยนลงข้างล่าง หล่นไหม ความทุกข์ตัดได้แต่ต้องใช้เวลาหน่อย และต้องเต็มใจตัดเต็มใจปล่อย ถ้าหากว่าเราไม่เต็มใจตัดไม่เต็มใจปล่อย ปัญหามันก็ไม่ไปใช่หรือไม่ ความง่วงไม่ใช่ปัญหาสักนิด แต่เราทำเป็นปัญหาใหญ่โต บางเรื่องก็เป็นปัญหาใหญ่โตจริงๆ แต่สำหรับเราเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว ขึ้นอยู่กับว่าทุกข์นั้นมาเบียดเบียนเราไหม ทุกข์นั้นวิ่งชนเราหรือเปล่า แต่จิตเราวิ่งไปๆ ผ่านไปอีก ๒ ปี ความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้น ทำไมตอนนั้นเราถึงทุกข์กับเรื่องนี้ขนาดนี้ ต่างกันที่ไหน อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้าความทุกข์ไม่ได้ต่างไม่ได้เปลี่ยน แต่คนที่เปลี่ยนก็คือเรา คนที่ปล่อยได้ก็คือเรา ใจดวงเดิมนั่นแหละที่แบกหรือไม่แบก ฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมะมีความสุขได้ ก็เพราะบำเพ็ญด้วยความรู้สึกที่ปล่อยวางได้ หากความทุกข์รุมเร้าอย่าให้เขารุมเร้าเรานานเกินไป หากกิเลสยั่วเย้า ขอให้เราตั้งสติขึ้นมาใหม่ดีหรือไม่ (ดี)  ที่นี้ภาระปล่อยไปแล้วไม่กลับมาเกาะได้ไหม
ข้อสอบในเรื่องพวกนี้คือ อย่ารอจนกระทั่งตนเองนั้นต้องรับทุกขเวทนา ต้องรับผลของปัญหานั้นก่อน จึงจะรู้สึกตัวแล้วถอนตัวออกมา คนเรานั้นควรจะถอนตัวตั้งแต่เห็นความทุกข์รำไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนรถยนต์นั้นวิ่งไว แต่ตอนที่อยู่ลิบๆ เราเห็นหรือยัง สมมติว่าจะข้ามถนน มีรถยนต์วิ่งมาตัดหน้า ถ้าหากว่าเราวิ่งออกไปในขณะที่รถยนต์วิ่งมาพอดี เราโดนชนไหม (โดน)  แต่ถ้าเรามองซ้ายมองขวามองด้วยความระวัง ตั้งแต่รถวิ่งมาลิบๆ เราเห็นหรือยัง (เห็น) แม้รถวิ่งไวถ้าเราตั้งหลักสัก ๓ นาที เราหลบรถพ้นไหม อย่าคิดว่าความทุกข์หรือกิเลสวิ่งไว จนเราวิ่งหนีไม่ทัน ถ้าหากว่าเราตั้งใจที่จะหยุด เพื่อที่จะไม่ให้เราโดนชน ตั้งที่จะหลบให้พ้นนั้นเราก็สามารถที่จะทำได้ กลัวอย่างเดียวคนอารมณ์ร้อน ขี้โมโห คนใจร้าย ใจดำ คนไม่รู้จักแยกแยะ คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปล่อยให้อารมณ์ กิเลส ความเคยชินนำพา จะทำให้เราหลบสิ่งเหล่านั้นไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะต้องหัดกับคนที่ตรงข้าม คือคนที่ใจเย็น เป็นคนที่กิเลสน้อย ทำได้ไหม (ได้)  จะสามารถหลบพ้นได้มากขึ้น จะสามารถสู้กับปัญหาต่างๆ ได้มากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
คำถามแรกเคล็ดลับของชีวิตคืออะไร (ทำแล้วเรารู้สึกสบายใจแล้วคนอื่นก็รู้สึกสบายใจด้วย)  คำว่าชีวิตมักมาคู่กับคำว่าก้าวหน้า ถ้าเราอยากก้าวหน้าในชีวิตเราต้องมีอะไร ต้องดูคำถามต่อไปด้วย อันต่อไปเป็นเคล็ดลับของบ้านเพราะว่าศิษย์ทุกคนมีบ้าน อันต่อไปเป็นเคล็ดลับของความร่ำรวยซึ่งทุกคนคงชอบ เคล็ดลับอันต่อไปก็คือเคล็ดลับของคนดีด้วยนะ (ทำให้คนในบ้านมีความสุข, เอาใจเขามาใส่ใจเรา)  ชีวิตศิษย์มีแต่คนในบ้านเท่านั้นเองหรือ แล้วสังคมล่ะ (ถ้าเราปกครองในบ้านดีแล้ว เมื่อเราออกไปอยู่ในสังคมเราก็เป็นคนดีของสังคมด้วย)  อันนี้เป็นคำตอบที่ตอบได้ทุกคำถามหรือเปล่า ชีวิตจะก้าวหน้าได้ด้วยอะไร (ขยัน)  ปรบมือให้หน่อย เห็นไหมว่าคนที่ตอบนี้ถ้าเกิดว่าเราเดินไปสวนทางกับเขาที่ไหนก็ดี คิดไหมว่าเขาจะตอบได้ดีกว่าเรา ในความเป็นจริงก็คือมนุษย์หลายคนคิดว่าตัวเองนั้นต้องเก่งกว่าคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันพอให้เราตอบเราก็ไม่กล้าที่จะตอบ หลายๆ คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ตอบในใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่าคำว่าปัญญา คำว่าความรู้ ไม่ได้มองที่หน้าตา การรู้ตื่นก็ไม่ได้มองที่ฐานะ ไม่ได้มองที่เงินในกระเป๋า แต่มองที่อะไร หนึ่งคือสติปัญญาและสองคือความกล้า อย่าคิดว่าตัวเรานั้นเก่งกว่าคนอื่นเสมอ และอย่าคิดว่าคนอื่นมีความสามารถด้อยกว่าเราเมื่อเรายังไม่ได้เห็นเขาทำงานชิ้นนั้นๆ ฉะนั้นคนที่เข้ามาในสถานธรรมนั้นจึงควรมีแต่ความรักต่อกัน ไม่ดูถูกที่เขาอายุน้อยกว่าเรา รับธรรมะหลังเรา ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ต้องคิดไว้ก่อนว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าเราทุกคน เราจึงไม่ดูถูกใคร
“เคล็ดลับของชีวิตคือขยัน” หากมีความขยันชีวิตก็สามารถก้าวหน้าได้ แต่หลายคนนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ตรงข้ามกับความขยันเกาะติดในตัวเราคืออะไร (ขี้เกียจ)  ขี้เกียจทำงานแต่อยากได้เงิน ขี้เกียจสอนลูกแต่อยากให้ลูกเป็นคนดี หรือบางคนสูบบุหรี่และเล่นหวยแต่อยากให้ลูกเป็นคนดี เราคือลักษณะที่ลูกและคนรอบข้างจะมาตามเอาอย่าง การที่เราบรรยายธรรมพูดธรรมะนั้น ไม่ได้ผลดีเท่ากับเรานั้นปฏิบัติให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราคิดว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีในธรรมะที่เราเคยรู้มาก็ให้เราทำ เมื่อเราทำแล้วคนอื่นก็จะรู้ไปโดยปริยายด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่บำเพ็ญดีก็จะมีคนมาถามว่าเธอมีของดีอะไร ยังไม่ทันต้องอธิบายว่าธรรมะคืออะไรเลย เขาก็มาสนใจแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
เคล็ดลับของบ้านคืออะไร (อบรมลูกหลานให้ดี)  แล้วถ้าหากว่าเลี้ยงแล้วเขาไม่เลี้ยงเราล่ะ (เคล็ดลับของบ้านคือความสามัคคีในครอบครัว)  มีคนตอบถูกแล้วเหมือนกัน เห็นไหมว่าชั้นนี้ภูมิธรรมไม่ใช่ย่อย เคล็ดลับของบ้านก็คือความสามัคคีใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นอะไรแล้วเรียกร้องลูกอย่างเดียว โดยที่เรานั้นไม่เคยสอนลูกเลยได้ไหม (ไม่ได้)  สามีเรียกร้องภรรยาหรือภรรยาเรียกร้องสามีอย่างเดียวโดยที่เรานั้นไม่เคยคุยกัน เรามีความคิดไม่ตรงกัน เราไม่เคยที่จะพูดจากันรู้เรื่อง อย่างนี้เป็นความสามัคคีไหม (ไม่)  คนที่เป็นลูก เป็นพี่เป็นน้องกันแต่ว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างกิน พี่กับน้องไม่เคยมีความรักใคร่ปรองดองกันอย่างนี้มีความสามัคคีไหม (ไม่มี)  ตัวเรานั้นเคยเป็นลูกคนมาก่อนไหม เราเคยเป็นพี่คนไหม บางคนเป็นลูกโทน เคยมีลูกพี่ลูกน้องไหม (มี)  ก็เป็นพี่คนเหมือนกัน เราเคยเป็นน้องคนไหม (เคย)  ทีนี้ต่อไปเราคิดว่าเราจะเป็นพ่อคนแม่คนหรือเปล่า (เป็น) ฉะนั้นบทบาทของชีวิตนั้นถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนกับแอปเปิ้ลผลนี้ ตอนแรกจุดสีดำนี้อยู่ตรงหน้าอาจารย์ ชีวิตของศิษย์ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในที่สุดแล้วเปลี่ยนไปจนวันหนึ่งจุดสีดำกลับมาที่เดิมคืออะไร คือความตาย ชีวิตคนไม่จำเป็นต้องหมุนเหมือนกัน ฉะนั้นในทุกบทบาทที่โดนหมุนไปมีไหมเวลาหมุนไปแล้วมันจะหยุดอยู่กับที่เฉยๆ หยุดไม่ไปไหนเลย ตรงนี้เป็นจุดสีดำจุดหนึ่ง จุดสีดำนี้อยู่หน้าอาจารย์ชีวิตของเราเปลี่ยนไปตั้งแต่เราเกิดจนเราโต ตั้งแต่วัยรุ่นจนเป็นผู้ใหญ่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีไหมวันเวลาแห่งความสุขตอนเราเพิ่งแต่งงานหยุดอยู่ตรงนี้โดยไม่ไปไหนเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  หรือว่าตอนลูกเป็นเด็กๆ น่ารักเหลือเกินหยุดอยู่ตรงนี้เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ความสุขก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แม้เป็นความทุกข์ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเราตาย สักวันหนึ่งรอบชีวิตของเราจะถูกหมุนไปจนครบรอบและทุกอย่างที่เราเคยสร้างมาทั้งวัตถุ ชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ คนชม คนติ คนว่า ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป มีเกิดมีดับในวงจรเล็กๆ ของชีวิตของเราเอง จะมีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉะนั้นชีวิตนี้เราจะหยุดอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของแอปเปิ้ลลูกนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นคน บทบาทของเราในชีวิตไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของลูก หน้าที่พ่อแม่ หน้าที่ของญาติ หน้าที่ของเพื่อน หน้าที่ของการงานทั้งหลาย เราต้องทำให้ดี แต่เราอย่ายึดติดแล้วชีวิตของเราจะมีความสุขขึ้น ความสุขเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ เป็นแค่จุดเล็กๆ ที่อยู่ในชีวิตเรา แต่ความสุขนั้นไม่สามารถหยุดอยู่กับที่กับเราได้ ฉะนั้นทุกบทบาทในชีวิตทำให้ดี  แต่อย่าติดยึดให้มันหยุดอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้นคนที่จะถูกชีวิตนี้ลากติดถูลู่ถูกังก็คือตัวเราเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
เคล็ดลับของความร่ำรวยคือ (ประหยัด อดออม)  เวลาอดออมแล้วอดออมแค่ไหน เวลาที่เราเก็บเงินเข้าธนาคารไม่เคยไปแตะต้องมันเลยให้เขาเข้าดอกเบี้ยให้เราเรื่อยๆ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราเกิดป่วยหนัก เงินนี้ถูกเอามาใช้ไหม (ถูกใช้)  ฉะนั้นการอดออมหรือประหยัดในชีวิตนี้ให้อดออมแค่เพื่อในยามวันข้างหน้าเราต้องมาใช้ อดออมอาจจะไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองได้ใช้ แต่อาจจะเพื่อให้คนอื่นได้ใช้ก็ได้ใครจะไปรู้ ถึงเวลาเก็บก็เก็บอย่างคนที่ไม่โลภมาก เวลาจะใช้ก็ไม่ใช้อย่างคนที่งกดีหรือเปล่า (ดี)
(มานะและอดทน ประหยัด อดออม มัธยัสถ์ รู้จักใช้จ่าย รู้จักพอ)  น่าแปลกใจที่คนในโลกนี้คนที่รวยมีน้อยส่วนคนที่จนนั้นมีมาก เพราะมัวแต่วัดว่าต้องเงินทองกองโตๆ ต้องตัวเลขในธนาคารเยอะๆ จึงจะเป็นคนรวย ทำไมเราไม่คิดว่าทุกคนเป็นคนรวย ทุกคนเป็นคนรวยได้ไหม (ได้)  ทุกคนเป็นคนรวยได้ศิษย์ก็เป็นได้ ถ้าหากว่าทุกวันนี้เงินทองที่เรามีอยู่ก็มีใช้ แต่ไม่ได้คล่องมือ ทุกวันต้องกระเบียดกระเสียร คนๆ นี้รวยไหม (รวย)  ส่วนคนที่มีเงินทองจนล้นฟ้าแต่ว่าไม่กล้าใช้เงินเลยคนนี้รวยไหม (จน)  ถึงบอกว่าทุกคนสามารถเป็นคนรวยเพียงแต่รู้จักความพอดีของชีวิต ถ้าหากว่าศิษย์มีเงินล้นฟ้าสามารถซื้อบ้าน ซื้อรถ สามารถเปิดร้าน สามารถให้คนยืมใช้ได้ แต่ไม่ยอมซื้อ มีเงินไปทำทุกอย่างได้แต่ไม่ทำ ไม่เคยเอาเงินสักบาทไปทำบุญ คนนี้เป็นคนรวยหรือเปล่า จึงบอกว่าคนรวยนั้นคือคนที่รู้จักพอดีและทุกคนนั้นสามารถเป็นคนรวยได้ ฉะนั้นตอนนี้รวยทุกคนแล้วนะ
ตอนนี้ใครคิดว่าตัวเองจนยกมือ ถ้าคนที่ยกมือตอนนี้ แสดงว่าเป็นคนชอบติดหนี้ชาวบ้านแล้วนะ อย่างนี้ถึงจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้ มีหนี้ห้าบาทก็จน มีหนี้ร้อยบาทก็จน มีหนี้หมื่นบาทก็ยังจนเลย เพราะเราไปติดเขา เพราะฉะนั้นคนที่มีหนี้พยายามใช้หนี้ ดีไหม (ดี)  อย่าเบี้ยวหนี้นะ รู้ไหมว่าวัวควายเกิดมาได้อย่างไร เขาอาจจะเป็นหนี้ห้าบาทกับคนๆ หนึ่ง แล้วคนๆ นั้นบังเอิญเกิดมาเป็นเจ้าของที่นา เราเป็นหนี้ห้าบาท เราต้องมาใช้เขาไหม (ใช้)  เราต้องมาใช้เขาเพราะว่าเราติดหนี้แค่ห้าบาทเท่านั้นเอง ต้องเกิดมาเป็นวัวกรำแดดชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วถ้าหากว่าชาวนาคนนั้นไม่มีคุณธรรมพอ พอวัวตัวนี้ทำงานครบห้าบาทแล้วเผอิญป่วย หรือเผอิญตายกะทันหัน ไม่มีโรค เขาก็ฆ่าทิ้ง ทีนี้คนที่เป็นเจ้าของที่นาก็ติดหนี้ของคนที่เป็นวัว ไม่ใช่ติดหนี้เงินนะ เป็นหนี้ชีวิต เมื่อวัวตัวนี้ตายไปมีสิบคนมาแบ่งกันไปกิน กลายเป็นว่าวัวตัวนี้มีลูกหนี้สิบเอ็ดคน ชาติต่อไปวัวตัวนี้เกิดมาเป็นคนใหม่ สิบเอ็ดคนนี้เกิดมาเป็นคนใช้ เห็นไหมว่ากงกรรมกงเกวียนนั้นมันเกิดขึ้นง่ายมาก แล้วในหนึ่งชีวิต เราไม่ได้ไปขอแบ่งวัวชาวบ้านแค่ครั้งเดียวใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากเรามีนิสัยชอบไปขอแบ่งไปขอซื้อเขา เราก็จะไปขอแบ่งเขาบ่อยๆ ทีนี้เราก็ติดหนี้เต็มไปหมดเลย เรียกว่ามีหนึ่งชีวิตก็ไม่พอใช้หนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เวลาเราโดนรถชน เวลาเราเจออุบัติเหตุ เวลาเราป่วย เวลามีโจรมาปล้นบ้าน มีคนมาเผาบ้าน ภรรยานอกใจ สามีนอกใจ เราเคยคิดไหมว่าเรื่องพวกนี้เป็นกรรม ถ้าไม่เคยคิดก็ต้องหัดคิดแล้วนะ
เคล็ดลับของคนดีคือ (ความกตัญญู, ประพฤติตัวดี, ทำดีไม่หวังผล, ต้องมีศีลธรรม, รู้จักเห็นใจผู้อื่น, สร้างความดีมีคุณธรรม, มีความซื่อสัตย์สุจริต)  หลายคนตอบมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนดีนั้นเคล็ดลับไม่ว่าจะเป็นความเมตตา ความซื่อสัตย์ การให้อภัย คุณธรรม ความกตัญญู หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนเป็นเคล็ดลับของคนดีทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าหลายอย่างในโลกนี้ คุณธรรมเหมือนโซ่เส้นหนึ่งเกี่ยวคล้องกันไปเรื่อยๆ ไม่ว่าศิษย์จะเริ่มต้นจากตรงไหนหรือส่วนไหนของลูกโซ่ ก็สามารถสัมพันธ์กันได้ทั้งหมด แต่ในปัจจุบันนี้ แม้จะให้เริ่มหนึ่งอย่างในการทำความดีขึ้นมายังไม่อยากเริ่ม โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้มีหลายคนบอกว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำดีนั้นทำยาก ส่วนทำชั่วนั้นทำง่าย เป็นเพราะว่าเรานั้นชินในการที่จะทำชั่วมากกกว่าการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเป็นอย่างนี้สำหรับเคล็ดลับของความดีในวันนี้ อาจารย์จึงไม่ได้เน้นในสิ่งที่พูดมาทั้งหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์เน้นให้คนดีในปัจจุบันนี้เป็น ไหนลองคิดสิว่าคืออะไร (การเสียสละ, การบำเพ็ญ)
เคล็ดลับของความดีคืออะไร ที่นี้เอาคนที่ตอบไวคนเดียว เห็นไหมว่าเวลาที่ผ่านไปๆ เราตอบผิดตอบถูกเราก็ได้ตอบ ยิ่งตอบคำถามเดียวกัน คำตอบก็ยิ่งหมดไป ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ใช่ เพราะฉะนั้นยิ่งตอบก็ยิ่งยาก เพราะคำตอบที่เราเคยคิดก็ถูกคนอื่นตอบหมดแล้ว ฉะนั้นมีโอกาสจะทำอะไรต้องคว้าโอกาสไว้ อย่ารอให้โอกาสผ่านหน้าไป แล้วเราก็มารู้สึกเสียดายทีหลังว่า เมื้อครู่เราน่าจะตอบใช่หรือไม่ (ใช่) (รู้จักเสียสละ)  ปรบมือให้ทุกคำตอบสิ อาจารย์หวังว่าก่อนที่จะกลับนั้น ศิษย์จะได้ผลไม้คนละลูก วันนี้มาดูว่าศิษย์ในชั้นนี้ได้ปริญญาคำว่าอะไร
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัว)
บำเพ็ญธรรมต้องสามัคคีกัน ถ้าหากว่าเราต่างคนต่างหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ก็จะเป็นการแบ่งซีกแบ่งฝั่งไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักที่จะสามัคคีกัน งานธรรมะยิ่งเจริญรุ่งเรือง เราก็ยิ่งต้องพยายามบำเพ็ญตัวเองขัดเกลาตัวเอง ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนจริงไม่กลัวคนพูดตำหนิ ถ้าเราดีทุกอย่างก็ย่อมดี
บางคนใช้วิธีการแก้ปัญหาในชีวิตด้วยการพูด พูดไปแล้วก็พูดมา พูดมาแล้วก็พูดไป ถ้าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนยังขยันพูด เรื่องจะไม่จบ เราทุกคนต้องขยันพูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น ใครบำเพ็ญอย่างไรสุดท้ายเขาจะได้รับผลนั้นเอง แค่ทุกคนหันมามองตัวเองแล้วบำเพ็ญให้ดี รวมถึงการพูดอย่างห่วงใย ถ้าให้ดีก็อย่าพูดถ้ามันเป็นเรื่องไม่ดี
การพูดก็ดี การทำความดีก็ดี เรื่องของสติปัญญาเรื่องของความอดทนก็ดี ทั้งหมดนี้อาศัยการฝึกทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสี้ยวคุณธรรมต่างๆ นานาที่เรานั้นจำเป็นที่จะต้องฝึกหัด การเข้าถึงในสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าไปถึงด้วยหลายวิธี บางคนใช้การเรียน อย่างเช่นศิษย์มานั่งสองวันนี้เรียกว่าการเรียน บางคนใช้ประสบการณ์ บางคนเหมือนมีมาตั้งแต่เกิด แต่ว่าการจะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยวิธีอะไรนั้นไม่ใช่ความสำคัญ บางคนอาจจะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้สึกเหนื่อย แต่บางคนเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้สึกสบายๆ ขอเพียงให้ศิษย์เข้าไปถึงความดีเหล่านั้น เข้าไปถึงความอดทน เข้าไปถึงคุณธรรม เข้าไปถึงหิริโอตตัปปะเหล่านี้ เมื่อเข้าไปถึงแล้วก็เหมือนๆ กันทุกคนก็เข้าไปยืนในจุดเดียวกัน ฉะนั้นคนที่เข้าไปนั่งอยู่ในที่นี้ไม่ได้มีชะตาชีวิตอันเดียวกัน บางคนจะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำไมยากแสนเข็ญ บางคนจะทำเรื่องหนึ่งทำไมง่ายจริงๆ ชีวิตนั้นไม่สามารถที่จะเอามาเปรียบเทียบกันได้ จึงอยากจะบอกศิษย์ว่า เส้นทางของเรานั้นต้องฝ่าไปอีกไกล ขอให้ศิษย์ได้เข้าถึงในสิ่งเหล่านี้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง คนที่อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ก็เข้าถึงคุณธรรมต่างๆ ด้วยประสบการณ์ได้ บางคนถ้าหากว่าเป็นคนที่มีความรู้เป็นนักศึกษาก็สามารถเข้าถึงด้วยการฟัง คือการเรียนได้ บางคนเหมือนมีมาตั้งแต่กำเนิดเรียกว่าพรสวรรค์ แต่ว่าน้อยเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ทุกคนพยายามในการที่จะเข้าถึงความดีงามด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง แน่นอนต้องอาศัยความอดทน ในยุคปัจจุบันนี้สิ่งที่ศิษย์ต้องใช้ในการที่จะเป็นคนดีของโลกนี้ ไม่ใช่การที่จะเป็นคนดีด้วยอะไร เป็นคนดีก็มีมากมายแต่อย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อให้ความดีนั้นยืนยาวนั่นคือความอดทน เพราะฉะนั้นคำตอบของคำถามสุดท้ายของอาจารย์ก็คืออดทน อาจารย์อยากให้คนดีในโลกนี้ เต็มไปด้วยความอดทนในจิตใจ ทนต่อคนที่คิดว่าเขาไม่ดีต่อเรา ถ้าหากว่าศิษย์ทำดีแล้ว สู้ด้วยความดีแล้ว แต่ว่าถ้าหากเขายังไม่เห็นความดีของเรา เราต้องรู้จักอดทน ในสมัยนี้ถ้าหากว่าเปรียบหัวใจของศิษย์นั้นเป็นก้อนๆ หนึ่งเหมือนกับลูกอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีเปลือกหนามากๆ คนทำความดีให้คน คนยังไม่เชื่อว่าคนนั้นเป็นคนดีเลย ต้องอาศัยเวลาครั้งหนึ่งทำ ครั้งสองครั้งสามครั้งสี่ครั้งผ่านไป เขาถึงเชื่อว่าศิษย์เป็นคนดีจริง ซึ่งอาศัยเวลามาก ศิษย์ต้องอดทนเพื่อให้คนอื่นเขาเชื่อว่าเราเป็นคนดี อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเสียก่อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ตัวอยู่เสมอ”  ทำนองเพลง “ลมสวาท”)
“ความระลึกได้” แปลว่าก็แปลว่าสติ ส่วนอีกคำหนึ่ง “รู้ตัวอยู่เสมอ” น่าจะแปลว่าอะไร (สัมปชัญญะ)  ปกติเราจะพูดกันอยู่เสมอว่าขอให้เป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ ขอให้เป็นคนที่มีสติปัญญา ใช่หรือไม่ แต่เราไม่เคยแปลคำว่า “สติ” ให้เข้าใจเป็นภาษาเรียบง่าย หรือว่าบางทีพูดคำว่า สติบ่อยๆ แต่ไม่มีสติเลย เพราะเราไม่รู้ว่าสติคือความระลึกได้ ส่วนสัมปชัญญะก็คือความรู้ตัวอยู่เสมอ สมมติว่าตอนนี้ให้ทุกๆ คน ลองนึกปัญหาชีวิตของเราออกมาสักอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก ถ้ายังมีความระลึกได้ว่าเรายังมีปัญหาอยู่ พอเราระลึกได้แล้ว เราก็มีความรู้ตัวอยู่เสมอ บางคนแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ คือตีรันฟันแทง แต่ถ้าหากว่าเรารู้ตัวอยู่เสมอ เราจะแก้ปัญหาด้วยปัญญา ถ้าหากว่าเรามีสองอันนี้นำ ศิษย์ของอาจารย์จะกลายเป็นคนที่มีปัญญา สองอันนี้บวกกันแล้วเท่ากับปัญญา ส่วนคำตอบปัญญานี้อยู่ในตัวของศิษย์ทุกๆ คน ถ้าหากว่าชีวิตของศิษย์มีปัญหา จงเอาสองอย่างนี้ไปบวกแล้วเอาคำตอบมาให้จิตใจของเรา อย่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ อย่าแก้ปัญหาด้วยเงินทอง อย่าแก้ปัญหาด้วยการออกไปเที่ยว อย่าแก้ปัญหาด้วยการหนีไปให้ไกลๆ แต่จงแก้ปัญหาด้วยความระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเผชิญอะไร การรู้ตัวอยู่เสมอ เป็นการทำเรื่องผิดให้กลายเป็นเรื่องถูกต้อง ขอให้ทุกๆ คนนั้นกำหนดแนวทางชีวิต แก้ปัญหาชีวิตให้ดีๆ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นบางคนบำเพ็ญไม่รอด ไม่ตลอดรอดฝั่ง เลิกกลางคัน ทิ้งกลางคัน ก็เพราะว่าแก้ปัญหาชีวิตของเราไม่ได้ จึงเลิกราบำเพ็ญ จึงไม่มีเวลามาบำเพ็ญ แล้วก็เป็นสาเหตุของการชอบพูดคำว่าไม่มีเวลา เพราะว่าปัญหามันยังอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเรา ถ้าหากว่าศิษย์มีสองคำนี้ในจิตใจ ศิษย์จะไม่ต้องพูดคำว่าไม่มีเวลา ดีหรือเปล่า (ดี)
วันนี้เวลาก็ล่วงเลยมามาก อาจารย์เจอศิษย์มาก็นานแล้ว คงใกล้ๆ เวลาที่อาจารย์จะต้องกลับ แต่ใจลึกๆ ก็ห่วงอยู่อย่างเดียว ห่วงกลัวศิษย์ของอาจารย์ไม่บำเพ็ญธรรม ห่วงคนที่บำเพ็ญธรรมแล้วไม่สามารถเอาตัวรอดจากกิเลสได้ ห่วงคนที่เอาตัวรอดจากกิเลสได้ ไม่สามารถที่จะบรรลุขึ้นสู่ฝั่งได้ การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ควบคู่ไปพร้อมกับชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดื่มน้ำ กินข้าว ทำงาน หรือจะแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดๆ ในชีวิต เราก็สามารถที่จะเอาคุณธรรม เอาการบำเพ็ญธรรมนั้นใส่เข้าไปได้ การบำเพ็ญธรรมเหมือนเสื้อที่ทำให้ศิษย์นั้นหายเหน็บหนาวจากลมแห่งโลกีย์ การบำเพ็ญธรรมไม่มีใครสามารถมากำหนดใครได้ นอกจากตัวศิษย์จะกำหนดตัวศิษย์เอง หากว่าศิษย์เสียเวลาบำเพ็ญมาเป็นสิบๆ ปี แต่ว่าทุกอย่างยังเท่าเดิม การบำเพ็ญธรรมของเราไม่มีใจที่ใหม่ขึ้น แต่มีจิตใจที่เสื่อมถอยจากศีลธรรม หาวิธีการหลบเลี่ยงที่จะให้คนอื่นไม่รู้ความผิดพลาดของเราต่างๆ นานา อย่างนี้ศิษย์จะบำเพ็ญให้เสียเวลาไปทำไม พูดไปอย่างนี้อาจารย์ก็เศร้าใจ อาจารย์ไม่อยากให้ใครสักคนหนึ่งเลิกล้มการบำเพ็ญธรรมไป ถ้ายังมีลมหายใจก็ยังมีหวัง คนดีที่กลายเป็นคนชั่วก็มากมาย คนชั่วที่กลับใจมาเป็นคนดีก็มากมาย อาจารย์ก็มีความหวังแบบนี้ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ที่ยังไม่ดีก็สามารถกลับมาดีได้ มีความผิดไม่เป็นไร ความผิดเล็กๆ นั้นยังพอลบล้างกันได้ด้วยกุศลเล็กๆ น้อยๆ แต่ความผิดใหญ่ๆ อย่าได้ถลำตัวไปสร้างเลยนะ รู้ไหมว่าถ้าหากว่าเราไม่บำเพ็ญธรรมจะเกิดอะไรขึ้น ในโลกที่ศิษย์อยู่คนดีก็น้อยลง เมื่อคนดีน้อยลงโลกนี้ก็ไม่น่าอยู่ ในเรื่องของโลกหน้า คนที่ไม่บำเพ็ญธรรมก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ซึ่งหมายความว่าความทุกข์ที่ศิษย์เจอในวันนี้ ความทุกข์ที่ศิษย์นั้นรู้อยู่ในบัดนี้ จะไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย แต่จะมีความทุกข์แบบนี้ ที่ศิษย์บอกว่าทุกข์ในชาติต่อๆ ไป ทนได้หรือ อยากทนไหม อาจารย์นั้นเรียกร้องให้ศิษย์ทนต่อการยั่วเย้าของกิเลส ทนต่อคนว่าคนตำหนิ แต่ไม่ได้ให้ทนเวียนว่ายตายเกิดไปอีกหลายชาติหลายภพ
ในสมัยที่อาจารย์มีชีวิตใครๆ ก็มักจะมองว่าอาจารย์เป็นผู้วิเศษ มีความสุขอยู่ได้ตลอดเวลา แต่อาจารย์คิดว่าตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเป็นผู้วิเศษ บังคับให้อาจารย์ดีใจก็ได้ บังคับให้อาจารย์รู้สึกเศร้าก็ได้ อาจารย์กลั้นน้ำตาไม่อยู่ทุกครั้งที่เห็นศิษย์ของอาจารย์นั้นหลงผิด เอาจิตใจดวงน้อยๆ ของศิษย์มาตามอาจารย์ มาอยู่ดินแดนเดียวกับอาจารย์ เอาหัวใจน้อยๆ ของศิษย์นั้นมารับความรักจากอาจารย์ ให้ความทุกข์ใหญ่ๆ ความทุกข์เล็กๆ นั้นหมดไปจากหัวใจของเรา ทุกครั้งที่อาจารย์เห็นศิษย์มีความสุข อาจารย์ย่อมมีความสุข
มีเวลาว่างมาศึกษาธรรมให้มากๆ ทั้งคนใหม่และคนเก่า ชีวิตนี้ให้เรานำพาตัวเองให้สู่ฝั่ง ให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะมาทุกข์แบบนี้ รสชาติแห่งความขมแห่งชีวิตนั้น ขมยิ่งกว่ามะระที่ว่าขม ขื่นยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกที่ว่าขื่น อย่ามาลิ้มลองมันอีก ขอให้เราตั้งใจ อย่าท้อใจ อย่าเลิกราง่ายๆ รักษาตัวให้ดีๆ ขอให้อาจารย์ได้เห็นศิษย์ของอาจารย์บ่อยๆ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ตัวอยู่เสมอ”

เขียนความทุกข์กันด้วยมือ  การลบคงยากจึงไม่สนใจปลดปลง  ดาวความหวังยังวูบลงในหลุมพรางดักใจ  วันแห่งทุกข์ทนผ่านไปลมหายใจเพื่อผู้คน  ฟังหัวใจเสียงรัวดิ้นรน  ถึงเคยพลั้งจนถอดใจ  จงหวงความตั้งใจอ้ารับความอับจน  ตรองไม่ท้อความยากจน  กังหันวนชั่วชีวา
ทำนองเพลง : ลมสวาท

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา