วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-03 พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


PDF  2544-11-3-อิ่งเซียน #11.pdf

วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

หนึ่งทุกข์มีสองคนแบกเหลือแค่ครึ่ง หนึ่งสุขถึงสิบคนปันสิบคนได้
คนไม่โลภย่อมไม่ติดกับดักใด การบำเพ็ญมุ่งสู่ใจเผยออกมา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮา  ฮา

คนเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่าย ทำดีไปก็หวังผลแทบทั้งสิ้น
เมื่อยามมีชีวิตอยู่เลือกได้ยิน เลือกสีกลิ่นแต่ไม่อาจเลือกไม่ตาย
จงได้รู้กรรมสะท้อนตามแรงส่ง จิตต้องตรงเป็นคนต้องซื่อสัตย์
จิตใจนี้ให้พัฒนาปรมัตถ์ จงเคร่งครัดกับตนเองละมลทิน
ภมรหลงบุปผาบินวนเวียน ชีวิตหนึ่งดุจเล่มเทียนมีวันมอด
จงรักษาจิตดีไว้ให้ตลอด ขอให้ถอดใจหลงหน้ากากคน
กลางดินฟ้ามนุษย์นี้ประเสริฐสุด แดนวิมุตติทุกท่านย่อมไปถึง
อย่าได้หลงกิเลสหนักมาคอยดึง คนจะถึงฟ้าเดิมดูแต่ยามเป็น
พุทธะล้วนสำเร็จจากปุถุชน ธรรมแยบยลหรือไม่อยู่ที่มนุษย์
จงตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เมื่อคิดหยุดหยุดตัณหาในใจตน
นอกกายนั้นไม่มีสิ่งใดแท้จริง เราไม่ทิ้งก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
จงรู้เจียดเวลาฟังธรรมหยั่ง เป็นพลังแห่งความดีส่องทางเดิน
สองวันนี้ประชุมธรรมเป็นการเริ่ม ขอจงเพิ่มจิตศรัทธาเป็นที่ตั้ง
ยังกังขาให้ศึกษาตั้งใจฟัง อย่าได้มัวลังเลอย่างที่เคยมา
กลับออกไปอย่าได้ห่างจิตแท้ตน สังคมล้นเหตุการณ์ให้เราฝึกจิต
เกิดเป็นคนไม่มีใครไม่เคยผิด แต่ก็ติดอยู่ที่ผิดไม่ยอมแก้
การเดินเรือนั้นต้องมีทิศทาง เรือแล่นตรงเพราะหางเสือเป็นสำคัญ
คนสำคัญเพราะจิตตรงเป็นสำคัญ งานสำคัญเพราะเราทำรู้หน้าที่
ใช้ปัญญาแก้ปัญหาของชีวิต อะไรนิดอะไรหน่อยอภัยให้
จงรู้ตนช่วยคนพ้นปวงภัย อันภัยใจแอบทำลายทางกลับคืน
ในวันนี้พี่หวังน้องตั้งใจฟัง ให้ธรรมดั่งเป็นยารักษาจิต
พิจารณาพูดและทำพร้อมความคิด อย่าได้ผิดไปจากทางคุณธรรม
จงรักษาระเบียบในชั้นเรียน ขอหมั่นเพียรให้กระจ่างให้จงได้
ไม่มีใครบังคับซึ่งเราได้ จงมั่นใจฟ้ามอบธรรมเฉพาะกาล
จรดพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮา ฮา หยุด


วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

อย่าเหนื่อยหน่ายในการสร้างสิ่งดีดี หากโลกมีความไม่ดีมาให้เห็น
จงเป็นฝนชโลมโลกให้ร่มเย็น ขอท่านเป็นผู้ทำดีไม่แพ้ภัย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

สายธารารินไหลไปไม่อาจหวน เมื่อทำดีอย่าเรรวนกล้ามุ่งหน้า
พลาดผิดไม่อยากให้เห็นเป็นธรรมดา มือทำไปใจพัฒนามีแนวทาง
คนใคร่รู้เห็นแต่เรื่องคนอื่น ใจไม่ตื่นยามทำหวังคนเขา
สำเร็จเป็นเริ่มแรกดียากชมยาว เมื่อไหร่เราหยุดก้าวโลกกลืนในบัดดล
ชมก่อนติคำนี้ที่ต้องรู้ เป็นคำครูให้บ้านได้เป็นบ้าน
แม้ชมดังรสขมแห่งดวงญาณ ขมก่อนหวานเสมอมาไม่น้อยลง
ผ่านมามากชีวิตยึดลองทิ้งหลัก เป็นไม้ตรงค่ามากนี้สัจจะส่ง
คนคดเล่ห์หลากหลายมิตรไม่ดำรง ฤดีตรงคนมีประโยชน์พึงเร่งเป็น
ช่วยคนกลับทำห่างคนช่วยอย่างไร ฤทัยก่อนดีได้ควบคุมยากเข็ญ
จงไม่เสียเวลาอ่อนน้อมจิตใจเย็น ปัญญาพาค่อยเป็นไปคืนเบื้องบน
ผู้เป็นที่รักทั่วหล้างามน้ำใจ ไม่มีใครรักเลยเพราะเห็นแก่ตน
กลายเป็นคนที่ลืมเพราะมุ่นกังวล จิตไม่คลายความสับสนจะช่วยใคร
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

มีปุถุชนจึงมีพุทธะ เพราะมีมนุษย์ที่ยังหลงเวียนว่ายจึงต้องมีพุทธะ เปรียบเหมือนตัวท่านเองที่พูดว่าเราคือคนดี ก็เพราะมีคนไม่ดี จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นพูดว่าเราเป็นคนดี อย่าลืมประโยชน์ของความไม่ดีของคนอื่นด้วย ก็เพราะเขายิ่งไม่ดีเท่าไหร่ กลับยิ่งส่งเสริมให้เรางดงามและดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พุทธะคงไม่ยินยอมแน่ ถ้ามนุษย์ยิ่งหลงมึนเมาเท่าไหร่ พุทธะยิ่งได้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดี  การที่คนอื่นไม่ดีแล้วตัวท่านดียิ่งขึ้น ดีไหม (ไม่ดี)  ตราบใดโลกนี้ยังมีลักษณะที่เป็นคู่อยู่ ก็ยังถือว่าต้องเวียนว่ายอยู่ เมื่อไรที่ไร้คู่ เมื่อนั้นแหละเป็นสุขยิ่งนัก เป็นอิสระยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ว่าคนเราก็อดไม่ได้ที่ยังหลงเวียนว่าย ยังติดในดีในร้าย ในทุกข์ในสุข ในเชื่อและไม่เชื่อ และยังติดในคำว่าจริงหรือปลอม อะไรจริงอะไรปลอม ถ้าเราบอกว่าในโลกนี้ไม่มีทั้งจริงและก็ไม่มีทั้งปลอม ไม่มีอะไรที่มี แล้วก็ไม่มีอะไรที่ไม่มี ฟังดูเราพูดอะไรตลกหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ โลกใบนี้คือมายาสิ่งสมมติ มนุษย์เราติดในสิ่งสมมติที่ตัวเองกำหนด แล้วก็หาทางออกไม่เจอ แต่ก่อนเราไม่มีชื่อ พอมีชื่อเราก็ติดในชื่อ แต่ก่อนเราไม่เรียนรู้ แต่พอได้เรียนรู้ เราก็ยึดติดสิ่งที่เรารู้ อย่างนั้นสู้ไม่รู้อะไรไม่ดีกว่าหรือ แล้วสู้ไม่มีตัวตนไม่ดีกว่าหรือ  แล้วสู้ไม่มีเขาไม่มีเราไม่ดีกว่าหรือ ไม่มีประเทศโน้นไม่มีประเทศนี้ ไม่มีคนนับถือนั่นนับถือนี่ เราคงไม่แก่งแย่งกัน เราคงไม่ฆ่าฟันกัน และเราคงไม่ทะเลาะกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้มาไม่พูดอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ พูดไปตั้งเยอะบางทีก็ไม่มีประโยชน์ สู้เราไม่ต้องพูดอะไรเลย ใช้ความสงบสื่อถึงกันดีไหม คุยกันด้วยภาษาใจ ใช้นัยน์ตาสื่อถึงกัน ตานี่หลอกกันไม่ได้ โป้ปดกันไม่ได้  คำพูดแม้จะหวานเพียงใดก็ยังปรุงแต่งได้ หน้าตาแม้จะดีหรือร้ายเพียงใด ท่านก็ยังยากเห็นภายในได้ เหมือนแต่งตัวสวยเท่าใดท่านเห็นถึงใจของเขาไหม (ไม่เห็น)  เหมือนวาดรูปมังกรสักตัวหนึ่ง ท่านเห็นกระดูกของมังกรไหม (ไม่เห็น)  ฉะนั้นอย่าใช้สายตาวัดมากเกินไป และอย่าใช้หูฟังจนเกินไป เพราะฟังมากดูมากก็ไม่เกิดประโยชน์ จริงหรือไม่ (จริง)
เราพูดแค่นี้พอได้อะไรจากเราบ้างไหม (ได้)  ฟังเราเท่านี้คิดว่าเรามาหลอกอีกหรือเปล่า  ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า อยู่รวมกันอย่าระแวงแต่จงระวัง ทำไมจึงพูดเช่นนี้ ลองคิดดูไหม  กล่าวเช่นนี้ย่อมมีความนัยแฝงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) (ความระแวงก็คือความกลัว ความระวังคือระวังทุกอย่างเพื่อไม่ให้ศัตรูทำร้ายเรา)  และควรมีระแวงหรือระวังดี (ไม่มีอะไรทั้งนั้น)  อย่างที่เราบอกแต่ต้นว่าไม่มีอะไรเลยดีที่สุด  แต่อยู่ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้จิตใจท่านจะปูพื้นฐานวางใจของตัวเองให้ตั้งอยู่บนความคิดที่ดี แต่คนในโลกนี้มีทั้งดีและร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมมีหลายพระภาค บางพระภาคเป็นโพธิสัตว์โปรดเมตตา บางพระภาคเป็นพระภาคที่ปราบพญามาร นั่นต้องการสื่อให้ท่านรู้ว่า การอยู่ในสังคม การปฏิบัติต่อคนบางครั้งต้องมีความแตกต่างกัน เพื่อชี้นำเขาให้ชัดเจนและถูกทาง ทำไมจึงไม่ให้ระแวงแต่ให้ระวัง นั่นก็คือดังที่พระพุทธองค์สอนไว้ว่า จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความรู้จักระมัดระวังกัน จะทำให้เราไม่ใช้ความสนิทสนมทำร้ายกันโดยไม่รู้ตัว บางครั้งสนิทกันมาก เรากลับก้าวก่ายเขาไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาไม่รู้จักอะไรเด็กอะไรผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่สนิทกับเด็กมากเด็กก็ขาดความเคารพนับถือ  ถ้าเพื่อนกับเพื่อนไว้ใจกันมากเกินไป ลืมระมัดระวังเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็อาจจะเอาเงินทองนั้นมาวัดใจเพื่อนได้เหมือนกัน อะไรที่เสี่ยงอะไรที่ทำให้เกิดอันตราย เราอย่าเข้าใกล้ เราอย่าเอาไปทดสอบ  ไม่อย่างนั้นเราจะเห็นอะไรมากกว่าที่เราไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะเห็น แต่ทำไมจึงไม่ให้มีความระแวงล่ะ ถ้าเราอยู่กับท่าน ใจท่านก็ระแวงว่า เรามาดีหรือมาร้าย จริงหรือเท็จ ท่านจะฟังเราเข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ)  แล้วท่านจะสามารถใช้สติปัญญาคิดในสิ่งที่เราพูดได้ทั้งหมดหรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าใจเราคิดสองอย่างในหนึ่งนาที ท่านจะคิดสำเร็จได้สักอย่างหนึ่งไหม (ไม่ได้)  ดังคำที่ว่า “จับปลาสองมือย่อมไม่ได้อะไรเลย” “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”  ฉะนั้นอยู่ด้วยกันมีความสำรวมระมัดระวังไม่ประมาทเป็นสิ่งที่ถูก แต่อย่าระแวงกัน  พี่น้องกันเองระแวงกันเองจะอยู่กันได้ร่มเย็นไหม (ไม่)  เพื่อนกันเองระแวงกันเอง เขาไม่เชื่อถือเรา เราก็ไม่เชื่อถือเขา ท่านจะคุยกับเขาทำงานกับเขาได้อย่างสนิทใจไหม (ไม่)
ไปๆ มาๆ เราเป็นคนตอบให้แทนเสียแล้ว คราวหน้าเปลี่ยนเป็นท่านบ้างดีไหม ฟังเราตลอดเดี๋ยวท่านก็จะเบื่อ ให้ท่านได้คิด ให้ท่านได้ใช้ปัญญาความรู้ที่สั่งสมมา จะได้ดูว่าน้ำที่เก็บไว้นั้นสะอาดหรือไม่สะอาด วิชาความรู้หรือประสบการณ์ที่เราได้สะสมเรียนรู้มาและใช้ชีวิตมานั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เอามาคุยกัน  เอามาแบ่งปันความรู้กัน จึงจะอยู่กันอย่างไม่เอาเปรียบเขา จริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้ท่านเอาเปรียบเรา เราไม่ว่า เรายินดีให้ จะโดนท่านเอาเปรียบเราก็ไม่ว่า แต่ออกไปแล้วอย่าเอาวิชานี้ไปเอาเปรียบใครเท่านั้นก็พอ ได้ไหม (ได้)
(นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก อายุเราก็ไม่ต่างจากท่านมากเท่าไหร่  ยังถือเรื่องอายุไหม แล้วถือรูปลักษณ์ภายนอกหรือเปล่า วันนี้ถืออะไรก็ปล่อยๆ ลงบ้างนะ เพราะไม่อย่างนั้นจะเห็นมังกรแค่รูปมังกร แต่ไม่มีวันเห็นเนื้อในกระดูกมังกร อย่าใช้ตาเปล่าวัดไม่อย่างนั้นท่านจะไม่ได้อะไรเลย อย่าใช้หูฟังธรรมดาวัด ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาเปล่า จงใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งที่เรามาในวันนี้มีความนัยหมายถึงอะไรกัน เราอยากบอกท่านว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่ผ่านการบำเพ็ญตนจนกระทั่งได้กลับคืนเบื้องบนนั้นไม่ได้ต้องการให้คนกราบไหว้ แต่สิ่งที่ท่านต้องการนั้นก็คือ ให้มนุษย์ทุกคนรู้ตื่นจากการหลับใหล ตื่นอย่างแท้จริง ตื่นอย่างคนมีสติ ไม่ใช่ตื่นอย่างงมงาย นี่คือสิ่งที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ต้องการ ตื่นแบบวางแล้วในรูปลักษณ์สิ่งต่างๆ ทั้งมวล ถ้าทุกท่านตื่นได้ นับเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
ฟังทั้งวันเบื่อไหม ไหนมีใครเบื่อบ้างแล้ว เป็นธรรมดาว่าสิ่งใดที่เราไม่เคยชิน เราย่อมเบื่อเป็นธรรมดา แล้วยิ่งให้จับจดนั่งอยู่กับที่ ฟังอย่างเดียว ห้ามพูดห้ามหลับด้วย ห้ามโน่นห้ามนี่ รู้สึกเป็นอย่างไร อึดอัดไหม การเอาแต่บังคับแล้วก็ห้ามๆ ใช่ว่าจะมีประโยชน์ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“สายธารารินไหลไม่อาจหวน” เวลาผ่านไปไม่สามารถเรียกกลับมาได้ เหมือนวันนี้ผ่านไปค่อนวันแล้ว ได้อะไรบ้างไหม (ได้ความสงบ)  หากเราบอกว่าในแง่ที่เรียกว่าคุณธรรม คิดดูซิว่าวันนี้ได้อะไรที่เป็นคุณธรรมไปบ้าง ปกติอยู่ในสังคม เรามักจะคิดแต่ว่ามีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ มีเงินหรือว่าไม่มีเงินใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยคิดอะไรที่เป็นธรรมะบ้างไหม อย่างเช่นอยู่กับคนนี้ได้คุณธรรมอย่างหนึ่ง เขาเป็นคนอดทน อยู่กับอีกคนหนึ่งเขาเป็นคนเสียสละ เราเคยคิดแบบนี้กันบ้างหรือไม่ (เคย, ไม่เคย)  ที่ไม่เคยเพราะมัวนึกถึงแต่เกลียด รัก โกรธ โมโห ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ได้อะไรจากการนั่งฟังบ้าง (ได้ความสงบและความสุขหลายๆ อย่าง)  การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ต้องการให้เรารู้จักตนเองและมองตนเองให้ชัด โดยเฉพาะคำว่า “ชีวิต”
ถ้ามองพัดหนึ่งอัน ท่านคิดว่าพัดมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง (ทำให้เย็นสบายคลายร้อนให้ความสบายใจ, ความว่างเปล่า)  มองเข้าไปมากกว่านั้นนะ มองในรูปที่ไร้รูป แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่พัดนี้ แต่อยู่ที่ชีวิตนี้ เราเห็นชีวิตเป็นชีวิต แต่ชีวิตที่มากกว่าชีวิตเราเคยเห็นบ้างไหม ทำไมจึงกล่าวว่ามนุษย์คือผู้ประเสริฐ อะไรที่ทำให้ชีวิตเป็นคำว่าประเสริฐได้ อะไรที่ทำให้มนุษย์เรียกว่าผู้ประเสริฐที่แท้จริงได้ แต่เราเคยมองไหม โดยปกติมนุษย์เรามีชีวิตด้วยการดิ้นรนแสวงหา  แต่เราเคยมองชีวิตมากกว่าชีวิตไหม มองพัดมากกว่าพัดที่พัดให้เย็นหรือเปล่า  มองพัดทะลุหรือไม่ มองพัดติดแค่ตรงนี้ เหมือนมองชีวิตก็ติดแค่ตนเอง แต่เมื่อเรารู้จักศึกษาบำเพ็ญธรรม รู้จักเรียนรู้หลักธรรมะ รู้จักนับถือศาสนา เราต้องมองมากกว่านั้น พุทธะได้สอนให้เรารู้ว่า ค่าของชีวิตที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นก็คือ การรู้จักตัวตนเองและรู้จักพึ่งตัวเองโดยที่ไม่ติดในตนเอง ทำไมตอนแรกเราจึงกล่าวว่าตัวท่านเองคือพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราย่อมมีเหตุผลไม่ใช่กล่าวลอยๆ
ปราชญ์โบราณได้กล่าวกลอนบทหนึ่งสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “กิเลสมายาบังตา โลกแสงสีพรรณราย ลดละเลิกกิเลสทั้งหลาย โฉมในกายคือพุทธะ” พุทธะก็มาจากปุถุชน ปุถุชนก็มาจากพุทธะ ทั้งพุทธะและปุถุชนมีสภาวะธรรมชาติแห่งการเป็นพุทธะอยู่ จะต่างกันตรงที่ปุถุชนยังไม่รู้แจ้ง แต่พุทธะรู้แจ้งโดยสมบูรณ์แล้วถึงความเป็นพุทธะในตัวตนเอง แล้วธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะคืออะไร ถ้าเรียกง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ก็คือความดี จิตใจที่ยังใฝ่ดี จิตใจที่ยังรู้จักละอายนั้นคือหน่อรากแห่งความเป็นพุทธะ หากเราส่งเสริมหน่อรากนี้ให้เติบโต ท่านจะสามารถเป็นพุทธะที่ยิ่งใหญ่ได้ ท่านสามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแดนโลกได้ และท่านสามารถย้ายฟ้าลงมาสู่แดนดินได้ เราพูดเกินไปไหม เราพูดเหลือเชื่อหรือเปล่า (ไม่)  ทำไมเราถึงย้ำเพราะเราอยากให้ท่านคิดสิ่งที่เราพูดนี้ หากท่านได้อ่าน ได้ไปศึกษาก็จะรู้ ไม่จำเป็นต้องฟังเราก็ได้ แต่ท่านขาดอะไรสองอย่าง คือ ให้เวลากับให้โอกาสตัวเอง ให้เวลาตัวเองได้ศึกษา ให้โอกาสตัวเองได้ลงมือปฏิบัติ เราไม่ได้ให้สองอย่างนี้ เราจึงไม่สามารถค้นพบพุทธะในใจตัวเองนี้ได้จริงไหม (จริง)  เราให้เวลาเหมือนกันแต่ให้เวลาในการหาเงิน หาความรัก หาคนเอาใจ หาพันธะผูกมัด เราจึงยังเป็นพุทธะที่ติดในวังวน เราสามารถศึกษาเรียนรู้พัดนี้มีประโยชน์อย่างไร ทำอย่างไรจึงสามารถสร้างพัด เราสามารถศึกษาได้ว่าทำอย่างไรชีวิตจึงมีค่า แต่เราเคยศึกษามากกว่านั้นหรือไม่ว่าตั้งแต่เราเกิดมาจากเด็กจนเติบโตล่วงเลยจนมาถึงตอนนี้ เราเจ็บ ทุกข์ เสียใจ ร้องไห้ โชคดี โชคร้าย วนเวียนกันอย่างนี้ กี่ครั้งกี่ครา แล้วเราจะกลับไปวิ่งวนแบบนี้ต่ออีกหรือ หรือว่าจะหยุดมองให้ชัดเจน แล้วใช้ปัญญาเดินบนทางนี้ให้ถูกต้อง จะเอาแบบไหน กลับไปวนเหมือนเดิมเหมือนผู้ที่ไม่รู้ หรือว่าหยุดมองแล้วให้เวลาตัวเองศึกษาและลงมือปฏิบัติหาทางออกให้ถูกต้อง หาชีวิตให้ถูก เอาอย่างไรดี (หยุดมอง)  หรือว่าเราจะกลับไปผิดหวังอีกแล้วก็สุขอีก เศร้าอีกแล้วก็ทุกข์อีกโดยไม่รู้สาเหตุกันหรือ (ไม่ใช่)
เราเป็นมนุษย์ผู้มีปัญญา ฉะนั้นก่อนจะก้าวออกไปเราจึงต้องมองให้ออกว่า สิ่งที่เราจะไปกับชีวิตที่เราจะพา อะไรที่ต้องไปให้ถูก อะไรที่จะพาไปแล้วสมบูรณ์ที่สุด ผิดพลาดน้อยเจ็บช้ำน้อยไม่ทุกข์อีกต่อไป มนุษย์เรามีสิ่งหนึ่งที่ยากเรียนรู้ นั่นก็คือชะตากรรม กฎแห่งกรรม เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วทำไมเราจะต้องเป็นคนที่สร้างผีซ้ำด้ามพลอยให้กับตัวเอง  ทำไมเราต้องซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์เข้าไปอีก ให้เดินไปในวังวนอีก คราวนี้เราจะไม่ เราจะคิดด้วยปัญญา เดินด้วยสติ ทำด้วยมีสมาธิ อยู่ในโลกนี้อย่างถูกต้องและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงทำ ทำไมจึงไม่ทำ และสามารถมองเหตุผลได้ว่าอะไรมา อะไรไป เข้าใจทั้งเรื่องที่เกิดจากตัวตนเองและสามารถเข้าใจทั้งเรื่องที่มาสัมผัสตัวเรา อย่างนี้เรียกว่าประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือจะกลับไปอย่างเดิมก็ได้ เอาไม่เอาอยู่ที่ท่านเองนะ เราพูดไปแล้วก็จบแค่นี้ แต่ท่านจะปล่อยโอกาสให้หมดไปกับคำพูดหรือเปล่า ก็อยู่ที่ตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้อย่างนี้แล้วจะวิ่งหนีชีวิตต่อไหม (ไม่)
หนทางชีวิตที่แท้จริงก็คือการกระโดดลงไปในชีวิต หนทางที่จะทำให้เรารู้ชีวิตที่แท้จริงได้นั้นก็คือกระโดดลงไปในโคลน ในตม ในฝุ่นธุลีโลก ท่านจะเป็นคนมีความรู้ได้ก็คือการหนีอาจารย์หรือกระโจนไปหาอาจารย์ กระโจนหาอาจารย์แล้วตะครุบอาจารย์ไว้ให้แน่น ไม่ยอมปล่อยเช่นนี้หรือ ในคำพูดต้องคิดให้ดีๆ นะ อยากได้ความรู้จากอาจารย์เกาะเช้าเกาะเย็นได้ความรู้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เหมือนท่านกลัวน้ำแต่ทำอย่างไรท่านจึงจะสามารถเอาชนะน้ำและว่ายน้ำเป็น เกาะขอบสระ หรือว่ากระโจนลงไปในสระน้ำ อยากเรียนรู้ชีวิตกระโจนลงไปทันทีเลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องศึกษาก่อน แต่ช่วงที่เราศึกษานั้นอยู่ห่างสระหรือใกล้สระ อยู่ขอบสระหรืออยู่ในสระ (ในสระ)  อยู่ในสระแต่จะขอบสระหรือว่าอยู่ตรงกลางก็แล้วแต่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเราต้องกล้าที่จะเผชิญชีวิตที่แท้จริง แล้วมองชีวิตให้ออก เราอยากจะเข้าใจชีวิตได้ เราอยากจะเข้าใจผู้คนได้ นั่นก็คือเราต้องกล้าที่จะกระโจนเข้าไปเผชิญ แต่ว่าการกระโจนเข้าไปเผชิญนั้นก็ต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ใจพลั้งเผลอด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วการกระโจนลงไปจะทำให้เราตายทั้งเป็น จริงหรือไม่ (จริง)
เหมือนการว่ายน้ำ เราต้องมีหลักยึดไว้ด้วย การจะเข้าไปในวังวนแล้วรู้วังวนของชีวิตได้อย่างถ่องแท้นั้นเราต้องมีหลักยึด มีอะไรเป็นหลักยึดล่ะ มีการบำเพ็ญตนด้วยคุณธรรม ใช้ธรรมะเป็นแนวทางที่คอยยึดให้เราไม่ไขว้เขว คอยประคับประคองให้เราไม่ลุ่มหลงกลับไปเป็นเหมือนเก่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ว่ายน้ำได้หรือยัง (ยัง)  เราว่าว่ายได้แล้วนะ เราพูดแค่นี้ท่านก็ว่ายได้แล้ว ทำไมจึงไม่มั่นใจในตัวเองล่ะ นี่แหละคือปัญหาใหญ่ เพราะหลายๆ ท่านกลัว ขาดความกล้า ไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเองว่าตัวเองนั้นก็มีดีพอ ชอบเอาความดีของตัวเองไปฝากไว้ตรงนั้น ชอบเอาการทำบุญตักบาตรนั้นไปฝากไว้ที่พระวัดนั้นวัดนี้ พอท่านทำไม่ดีก็เลยไม่ทำดีด้วย ไม่ตักบาตรแล้ว ไม่ทำบุญแล้ว เพราะเอาความดีไปฝากไว้ที่ท่าน  ไม่บำเพ็ญแล้วเพราะเอาสิ่งที่บำเพ็ญไปวัดกับคนอื่น ไม่เป็นภรรยาที่ดีแล้ว ไม่เป็นลูกที่ดีแล้ว เพราะว่าแม่ไม่ดี สามีไม่ดีใช่ไหม นั่นก็คือว่า การตัดสินที่จะทำสิ่งใด อย่าเอาสิ่งนั้นไปฝากไว้กับคนอื่น แต่ทำเพราะขึ้นอยู่กับตัวตนเอง ตัวเองตั้งใจเอง ไม่ใช่ทำเพราะว่าหวังผล ถ้าเมื่อไรที่เราทำแล้วหวังผล ถ้าผลไม่ได้เราก็เลิกทำ เช่นนั้นถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  เหมือนการที่ท่านจะฝึกว่ายน้ำ พอว่ายไม่เป็น  เรามักจะโทษอาจารย์ว่าสอนไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะเราไม่กล้าใช่ไหม เหมือนการบำเพ็ญธรรม การที่ท่านจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตที่แท้หรือค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตนได้ นั่นก็คือท่านต้องกล้าและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าเมื่อไรท่านไม่กล้า ท่านไม่เชื่อมั่น ก็จะไม่มีวันที่จะมี จริงไหม (จริง)  เหมือนคนทุกคนมีความสามารถที่ไม่มีวันหมดสิ้น แต่หมดสิ้นเพราะว่าเราไม่เชื่อมั่นในตนเอง การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน เราจะสามารถเอาชนะกิเลสตัณหามายาต่างๆ ได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักหยุด รู้จักลด รู้จักละ และรู้จักแบ่งเวลาว่าตอนไหนที่จะศึกษาธรรม ตอนไหนช่วยคน เราไม่สามารถที่จะให้คำชี้กระจ่างได้ทั้งหมด มีแต่ตัวท่านเองที่จะนำไปประยุกต์ใช้ เพราะเวลาของท่านกับเวลาของเราเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  เวลาของเราตลอดชีวิตคือเพื่อเวไนย แต่เวลาของท่านตลอดชีวิตคือเพื่อตนเอง หากบอกว่าการบำเพ็ญธรรมคืออะไร ก็คือการกล้ากระโจนลงไปเผชิญวังวนแห่งความทุกข์ ไม่กลัวซึ่งอันตรายใดๆ ตัวเองจะตกน้ำ คนอื่นขึ้นฝั่งก็พอแล้ว นี่เแหละคือการบำเพ็ญตน แต่ถ้าถามท่านว่าเอาไหม ท่านบอกไม่เอา ต้องขึ้นฝั่งก่อนแล้วค่อยดึงเขา ใช่ไหม แล้วมีกี่คนล่ะที่ขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เรายังไม่เห็นขึ้นได้สักทีเลย ยังว่ายอยู่กับเขาเหมือนเดิม  ยังไม่ยอมขึ้นฝั่ง แล้วยังไปกดคนอื่นให้จมลงอีก หรือไม่ก็กดตัวเองให้จมลงอีก เพราะอะไรล่ะ สาเหตุใหญ่ๆ นั่นก็คือความทุกข์ เรามองทุกข์ไม่ออก  แล้วเราจะรู้ตื่นได้อย่างไร ก็ด้วยปัญญาของเราเอง จากอะไรล่ะ ก็จากกิเลสตัณหาและความไม่รู้ทำให้ท่านมีปัญญา แล้วจะตื่นจากอะไรล่ะ ตื่นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะทำให้ท่านตื่นและตรัสรู้ จริงไหม (จริง)  คิดให้ดีๆ นะ ล้วนเป็นจริง มนุษย์จะเกิดปัญญาได้ จะตื่นได้ก็อยู่ในวังวนของทุกข์โศกนี่แหละ ทำไมคนเราจึงอยากที่จะทิ้งความทุกข์ไปหาความสุขที่แท้จริง ก็เพราะเจ็บแล้วจำ ทุกข์แล้วเข็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พวกท่านเจ็บแล้วจำไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์แต่ยังสุขอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตั้งใจฟังท่านจะได้ข้อคิดจากที่เราพูด แต่ถ้าไม่ตั้งใจ ท่านก็จะคิดว่าเราลวงหลอกแล้วก็มาเล่นละคร แล้วก็คุยไม่ยอมหยุด
ไปกับเราท่านก็จะพบทางสว่าง แต่ถ้าไม่ไปกับเราท่านก็จะมืดๆ สว่างๆ ก็แล้วแต่ท่านแล้วนะ ความรู้จะถ่ายทอดให้กับคนที่ใฝ่รู้ ถ้าเขาไม่ใฝ่รู้ ยัดเยียดไปก็เปล่าประโยชน์ จริงหรือไม่ (จริง)
ทุกข์เกิดเพราะอะไรบ้าง มีใครตอบได้ (ใจ)  ทุกข์เกิดเพราะใจ ใจทำให้ทุกข์ได้ไหม ถ้าพูดสรุป มาจากหนึ่งแล้วเกิดหมื่น จงทำหมื่นให้เหลือหนึ่ง ถ้าท่านเอาประโยคนี้ไปใช้จะไม่มีสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เลย  ใจก่อให้เกิดหมื่น แสน ล้าน จริงไหม (จริง)  เอาแค่เงินแล้วกัน มีหนึ่งบาท ใจก็อยากมี (สอง)  ใจมีสอง อยากมี (สาม)  ใจมีสามอยากมี (สี่)  จนถึงล้านไหม (ถึง)  ถ้ายังมีลมหายใจ แต่ถ้าไม่นับเป็นเงินล่ะ ใจทำให้เกิดหมื่นสรรพสิ่ง แล้วสรรพสิ่งหมื่นนี้กลับมาสู่หนึ่ง แล้วไม่มีอะไรเลยได้ไหม (ได้)  ได้ด้วยใจของเราเอง
(ทุกข์เกิดจากความคาดหวังจากผู้อื่น)  ต่อไปไม่หวังอะไรจากคนอื่นดีไหม หวังได้แต่อย่าหวังจนเกินไป หวังอยู่ในขอบเขตที่น่าจะเป็น แม้เขาไม่เป็นดั่งหวังก็ไม่เสียใจ ยังให้กำลังใจเขาต่อไป นั่นคือหวังที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรียกร้องคนอื่นก็อย่าลืมเรียกร้องตัวเราเองด้วย เพราะเรารักเขาแต่อย่าลืมว่าเขาก็รักเราและเขาก็หวังเราด้วย  อย่ามองว่าตัวเองหวังเขาอย่างเดียว เขารักเรา เราก็รักเขาเหมือนกัน เขาหวังเรา เราก็หวังเขาเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวังและเราก็ไม่ทำตัวเราผิดหวัง ก็จะไม่ทุกข์ ไปสองข้อแล้วนะ เราช่วยท่านแก้ทีละข้อนะ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์อันนี้เป็นสัจธรรม เมื่อใดที่มนุษย์เราเข้าใจสัจธรรมแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อนั้นจะไร้ตัวตน และถ้าเมื่อใดเข้าใจสัจธรรมแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายในสรรพสิ่ง เมื่อนั้นจะไม่ยึดติดรูปและนาม ใครทำได้บ้าง เราทำได้นะและท่านก็ทำได้ด้วย แต่จงมองให้ออก เหมือนท่านรับพัดอันนี้ พัดนี้มีค่ามาก แต่ถ้าท่านเห็นพัดนี้มีวัฏฎะของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย เมื่อถึงเวลาพัดจากไปท่านจะไม่เสียใจ เมื่อถึงเวลาชีวิตเราจากไปเราจะไม่ทุกข์กังวล เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว  แล้วเมื่ออะไรมาสัมผัสเรา มากระทบเรา เราทำกับเขาดีที่สุดแล้วเราก็จะไม่เสียใจและไม่ทุกข์ แม้ตัวเองต้องเจ็บปางตาย จริงไหม (จริง)  สามทุกข์แล้วนะ จริงๆ สามทุกข์นี้ก็แก้ได้ทั้งชีวิตแล้ว  แต่เราให้ท่านตอบ ทุกข์เกิดเพราะความยึดถือมั่นไม่ยอมปล่อยมือออก จริงๆ แล้วในความทุกข์ของท่าน ท่านก็รู้แก้แล้วแต่ทำใจไม่ได้ เหมือนท่านรักมากทุกข์มากไหม (มาก)  ห่วงมากทุกข์ไหม (มาก)  แต่เพราะอะไรล่ะชนกี่ทีๆ ก็เจ็บ ทำไมท่านไม่ถอยออกมาแล้วเลิกชนล่ะ ท่านรู้ไม่น้อยท่านมีปัญญาแต่เพราะอะไรล่ะ เราไม่กล้าที่จะเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดในการทำใจ เหมือนเราผิดหวังจากคนนี้ เราตัดใจทิ้งเนื้อร้ายนี้ทันทีได้ไหม ถ้าเป็นลูกตัดทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำอย่างไรล่ะ ทำตัวเองให้ดีที่สุดเป็นเสาที่ตรงที่สุดและมั่นคงที่สุด แม้วันนี้ลูกจะเปลี่ยนแปลงไปเราจะให้กำลังใจและยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง สักวันหนึ่งเขาจะกลับมา เราอย่าบอกว่ามันคือกรรม ถ้าเรากล้าเผชิญพร้อมที่จะยอมรับด้วยสติปัญญา เราจะผ่านกรรมนี้ไปได้ แล้วเราจะยิ้มอย่างมีความสุข ลองดูนะด้วยปัญญาของท่านเอง เราว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ในเมื่อท่านรู้ว่ายึดแล้วไม่ปล่อย ท่านพูดเองแล้วท่านก็รู้คำตอบเอง ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะแก้ไม่ได้ ขอเพียงท่านเด็ดเดี่ยวและมั่นใจในตัวเอง ท่านรู้คำตอบดีที่สุดนะ ถ้าเราบอกว่าให้ท่านตัดทิ้งเลยก็กลายเป็นว่าเราชี้นำให้พ่อแม่แยกจากกันใช่หรือไม่  เราชี้นำให้ท่านตัด แต่ตัดทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญที่ถูกต้อง การบำเพ็ญที่ถูกต้องก็คือหาปัญญาท่ามกลางกิเลสฝุ่นธุลี หาความตรัสรู้ท่ามกลางโลกมายาอันลวงหลอก
พระพุทธองค์พระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์รู้ตื่นได้จากการที่เห็นถึงความทุกข์ ตื่นได้ด้วยปัญญาที่มองออกในทุกข์ที่ท่านได้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านก็เหมือนกันจะตื่นได้ด้วยอะไรล่ะ ตื่นได้ด้วยตัวเอง แต่มีคำหนึ่งที่อยากบอกท่านไว้ จงอย่าลืมโดยเด็ดขาด ท่านรู้จักสุราไหม สุราทำให้คนเมาหรือว่าคนเมาเพราะสุรา (คนเมาเพราะสุรา)  กิเลสมายาหลอกลวงเรา หรือเราติดในกิเลสมายา คิดให้ดีๆ นะ เหล้าอยู่เฉยๆ ทำให้คนเมาได้ไหม ถ้าคนไม่เอามาดื่ม กิเลสมายาอยู่เฉยๆ แต่คนนั้นไปติดเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจงจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า น้ำเต็มเปี่ยมแล้วเขย่าอย่างไรก็ไม่เกิดเสียง จิตใจที่เว้าๆ แหว่งๆ เมื่อเขย่าหรือมีอะไรมากระทบก็เกิดเสียง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตมนุษย์สมบูรณ์เพียบพร้อมแล้ว ความทุกข์ย่อมยากจะมาทำให้แปดเปื้อน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าน้ำเต็มเปี่ยมไม่พร่อง เขย่าอย่างไรเกิดเสียงไหม (ไม่เกิด)  จิตใจท่านไม่ปรารถนา กิเลสอารมณ์จะมาเกาะกุมไหม (ไม่)  ฉะนั้นอย่าโทษคนอื่น เมื่อเห็นน้ำพร่องไปจากแก้ว จงรู้ไว้ว่าใจเราต่างหากที่ไม่สมบูรณ์  ถ้าเมื่อไรยังอยากที่จะก้าวไปแตะมันอีก จงรู้ไว้ว่าน้ำตาสองถังก็ล้างความทุกข์ได้ไม่หมดสิ้น  แม้ท่านจะสร้างความดีเป็นสายน้ำจนถึงเบื้องฟ้า แต่ถ้าก้าวผิดเพียงก้าวเดียว น้ำดำเพียงหยดเดียว คุณธรรมความดีที่ทำมาทั้งสายก็เหม็นได้ฉันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะกระโดดลงไปในชีวิตเพื่อหาทางออกของชีวิตอีกไหม เป็นต้องกระโดดลงในน้ำ แต่ตอนหลังเราบอกว่าอยากที่จะหมดทุกข์ต้องเป็นอย่างไร เอาทุกข์มาใส่ตัวเอง  ท่านเอาน้ำมาอยู่ในตัวหรืออยู่นอกตัว (อยู่นอกตัว)  ท่านสัมผัสชีวิตท่านทำอย่างไรถึงจะเข้าใจชีวิตล่ะ ก็คือยืนดูอย่างเข้าใจ เวลาทุกข์มาสัมผัส มากระทบอย่ารีบเอามาใส่ใจ แต่จงมองดูเหตุผลความเป็นมาว่าทำไมจึงทุกข์ ตั้งสติให้มั่นคงใช้ธรรมะเป็นหลักยึด แล้วเราจะมองออกว่าจะกระโดดไปจับหรือว่าจะปล่อยทิ้งให้มันผ่านไปใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องในโลกมีทุกข์อยู่สองแบบ ทุกข์อีกแบบหนึ่งคือต้องสะสาง ทุกข์แบบหนึ่งคือต้องปล่อยไป เวลาก็จะรักษาให้หายใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือว่า เมื่อเราอยู่ในวังวนของทุกข์หรือเราอยู่ในวัฏสงสารแห่งชีวิต จงเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนเข้าใจไหม ใบบอนนี้ก็เหมือนตัวเราน้ำหล่นมา จะซึมเข้าไปในใบไหม (ไม่ซึม)  แต่จะกลิ้งเป็นหยดน้ำกลมๆ จนมองเห็นได้ชัด เมื่อหนักเกินไปใบบอนนี้ก็ (เอียง) มีไหมที่น้ำเข้าไปในใบ (ไม่มี)  ถ้าไม่มีใบบัวจะโตได้อย่างไร เมื่อน้ำตกลงไปในสระน้ำ ใบบัวยังรู้จักเอารากนี้กลั่นกรองน้ำนี้ไปเลี้ยงต้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงมีทุกข์เป็นเพื่อนแล้วจงมีสุขเป็นมิตร แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมเราจึงพูดว่า ฝุ่นธุลีกิเลสตัณหาในโลกทำให้มนุษย์เกิดปัญญา แล้วท่านก็จะพอเข้าใจว่าสัจจธรรมของชีวิตที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำให้มนุษย์รู้แจ้งเข้าใจไหม นี่คือการมีชีวิตแล้วบำรุงเลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้องและสามารถกลับคืนเป็นพุทธะได้ พอไหม (ไม่พอ)  ท่านไม่พอเราดีใจหรือเสียใจดี ดีใจอย่างหนึ่งก็คือไม่พอ แต่ไม่พออะไร ถ้าไม่พอแล้วคิดเหมือนเรา เราว่าดี แต่ถ้าไม่พอแล้วคิดนอกเหนือจากเราเราว่าไม่ดี อยากฟังไหมว่าเราคิดอะไรถึงบอกว่าไม่พอ นั่นก็คือช่วยตัวเองแล้วอย่าลืม ในเมื่ออยู่ในน้ำแห่งทุกข์อยู่ในวังวนแห่งทุกข์ น้ำนั้นมีท่านทุกข์คนเดียวไหม (ไม่)  มีดอกบัวพันธุ์เดียวไหม (ไม่)  จงเอาความทุกข์หรือเอาปัญญาที่เราได้รู้ เอาสติที่เราได้กำหนดจุดมุ่งมั่นของตัวเองไปช่วยคนอื่นด้วย เพราะช่วงที่ท่านช่วยเขาก็เหมือนกลับยิ่งลับปัญญาให้คมยิ่งขึ้น เพื่อเอาไว้ตัดกิเลส นั่นก็คือช่วยตัวเองแล้วอย่าลืมช่วยคนอื่นด้วย สองอย่างนี้ก็จบแล้ว สรุปแล้วก็คือการบำเพ็ญธรรม
การดำเนินชีวิตที่แท้จริงแล้วเรียกว่าผู้บำเพ็ญคืออะไร ถ้าตอบไม่ได้ก็กลับบ้านไม่ได้ เราพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ถ้าท่านตอบไม่ได้ท่านจะกลับบ้านเดิมไม่ได้เลย หลังจากฟังวันนี้แล้วจะทำอะไร (ไม่กลับไปทำความผิดอย่างเดิม, กลับไปทำความดี, จะให้เวลาและให้โอกาส)  จะให้เวลาและให้โอกาส เหมือนที่เราบอกตอนต้นว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อท่านให้สองอย่าง ให้เวลาศึกษากับให้โอกาสตัวเองในการลงมือปฏิบัติ (จะนำสิ่งที่ตัวเองได้รู้นั้นไปบอกให้คนอื่นได้รู้ด้วย)  แต่ช่วงที่บอกต้องดูด้วยนะว่าสีหน้าตอนนั้นเขาอยากฟังหรือเปล่า เราเห็นผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนลืมดูหน้าดูหลัง ลืมดูสีหน้าเขาว่าตอนนั้นเขาฟังไหม เลยเจออะไรกลับมา น่าสงสารนะ จะพูดก็ต้องมองดู ต้องรู้สภาพการณ์ของคนด้วย ก่อนที่เราจะช่วยเขา หรือก่อนที่เราจะนำพาเขาได้ เราต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เขาถึงจะเชื่อใจและตามเรามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านไม่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข เขาจะเชื่อท่านแล้วตามท่านมาไหม (ไม่ตาม)  เขาจะฟังท่านหรือเปล่า ก่อนที่ท่านจะชวนเขา ท่านต้องสร้างความดีให้เขาเชื่อใจ มีคุณค่าที่ทำให้เขานับถือ แล้วเขาจะฟังท่านไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ต้องใจเย็น ไม่ว่าจะโดนใครว่า โดนใครบ่น อดทนแบบพระอิฐพระปูน ได้ไหม ถ้าโดนกล่าวหาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  กลับบ้านไปของหาย โมโหไหม โทษไหมว่าเป็นเพราะมาฟังธรรมะ คิดให้ดีๆ นะ
เราบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว มีส่วนหนึ่งที่เราสามารถรู้คาดเดาได้ แต่มีอีกส่วนหนึ่งคือกรรมเวรที่เราไม่สามารถกำหนดได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ด้วยตัวท่านเอง แต่ต้องกล้าที่จะยอมรับ และพร้อมที่จะเผชิญโดยไม่หวาดหวั่น แล้วท่านจะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เจ็บชาตินี้ชาติเดียวพอแล้ว ทำได้ไหม แล้วเราจะเริ่มต้นที่บ้านอย่างไรดีล่ะ สิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกท่านในตอนนี้คืออะไรรู้ไหม ตอนนี้ภายในพุทธจิตหรือจิตญาณของท่านได้จุดความสว่างไว้แล้ว รอท่านอยู่ แต่ก่อนท่านอาจจะมืดมน แต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้ได้สว่างขึ้น แม้ท่านจะมองไม่เห็น แต่เราอยากบอกว่าประทีปแห่งพุทธะได้จุดขึ้นในใจท่านแล้ว ท่านจะรักษาให้ประทีปนี้โชติช่วง หรือจะปล่อยให้ประทีปนี้ดับมอด ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติชีวิตของท่าน นับจากวันนี้เป็นต้นไป อย่าทำลายความสว่างของตัวเอง อย่าพ่ายภัยด้วยมือของตัวเอง อย่ากลายเป็นน้ำที่พร่องแล้วเรียกกิเลสมาอยู่กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นน่าเสียดาย
(ละความสุขทางกาย เพิ่มความสุขทางใจ)  ถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ถ้าละทั้งสุขและทุกข์ได้ดีที่สุด ใครหนอจะทำได้ ละได้ทั้งทุกข์และสุข นั่นแหละประเสริฐสุด ไม่หลงในสุข ไม่ติดในทุกข์ อยู่บนทางสายกลาง เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า หากบ้านมีเสาหลักสองต้น คือบิดามารดา ถ้าเสาหลักนั้นตั้งตรง เสาเล็กๆ ที่เป็นเสารองหรือเรียกว่าลูกหลานย่อมปลอดภัย เมื่อใดบ้านมีเสาหลักคดงอ เสาเล็กๆ ย่อมอันตราย แต่ถ้าทั้งบ้านคดงอไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก บ้านนั้นจะเป็นบ้านที่อันตรายต่อบ้านอื่น จริงไหม (จริง)  คนตรงใครๆ ก็ต้องการ ไม้ตรงมนุษย์เราก็ยังอยากได้ ไม้คดเรายังรู้จักขบคิดให้เกิดประโยชน์ แต่คนคดท่านอยากจะเอามาขบคิดให้เกิดประโยชน์กับท่านไหม (ไม่)  สำคัญที่สุดเป็นคนต้องจิตใจบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า คนดีนั้นจะเป็นคนดีที่แท้จริงได้ ต้องยอมรับการทดสอบจากสังคม ท่านจะดีได้ และเขาจะเชื่อท่านได้ บางครั้งท่านต้องยอมรับการทดสอบของคนในสังคม อย่ายอมแพ้ ยืนหยัดและต่อสู้ ก้าวต่อไป แล้วท่านจะเป็นหนึ่งที่กลับคืนเบื้องบนได้ เอาไหม (เอา)  ชีวิตนี้เจอทุกข์ก็มากแล้ว ทุกข์เพราะโลภ ทุกข์เพราะตัณหาที่ไม่รู้จักพอ ทุกข์เพราะติดในอารมณ์ ติดในตัวตน ติดในรักโลภ โกรธ หลง ทุกข์เพราะไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว จงก้าวต่อไปให้ถูกต้องนะ
หมดเวลาเราแล้วนะ วันนี้ก็คงเพียงเท่านี้ ขอให้ท่านกลับไปอย่างคนมีสติ ดำเนินชีวิตอย่างถูกหนทาง แล้วรู้จักเอาสิ่งที่ได้ไปในวันนี้ไปบำเพ็ญให้ถูกต้อง ทำได้ไหม สิ่งที่เราพูดคงไม่ยากเกินไป หรือยังคิดว่าเราท่องมาอีก มีใครคิดอย่างนั้นอีกไหม หากคิดแบบนั้นจนถึงนาทีนี้ เราก็จนใจที่จะพูดสิ่งใดแล้ว อย่างนั้นวันนี้เราคงต้องจากลากันเพียงเท่านี้ ผู้ที่บำเพ็ญจงก้าวต่อไป อย่าได้ย่อท้อ ส่วนผู้ที่เพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญขอให้ตั้งใจศึกษา ให้เวลาและให้โอกาสตนเองได้ลงมือปฏิบัติ คุณธรรมความดีอยู่ในมือท่านแล้ว วันนี้จะทำหรือปล่อยให้เป็นเหมือนเดิมก็แล้วแต่ตัวท่านแล้วนะ แม้บางครั้งสิ่งที่เราพูดมา จะพยายามยัดเยียด หรือลากไปด้วยกันกับเราก็ตาม แต่บางครั้งเราก็อยากฝืนดึงท่านไปให้ได้มากที่สุด
ขอให้จุดสิ้นสุดนั้นมีใจดวงเดียว อย่าเปลี่ยนแปลง วันนี้ท่านทำดีได้หนึ่งระดับแล้ว คำชมนี้จะยืนยาวได้นั้นอยู่ที่ตัวท่านเองจะทำหรือไม่ทำนะ คงต้องจากลาจริงๆ แล้ว มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ดีหรือไม่ (ดี)  พยายามต่อไปนะ ไม่ท้อตราบที่ยังมีลมหายใจ


วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลามีเรื่องผิดอย่าเอาแต่โทษกัน รับรางวัลอย่าคิดถึงแต่ตนเอง
อยู่บนโลกที่มีแต่คนข่มเหง อย่ากลัวเกรงจนไม่กล้าทำอะไร
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนวันนี้รู้สึกอบอุ่นไหม

มนุษย์ถูกกดขี่ท้ายไม่อาจทน โลกล้ำยุคมารปะปนล้ำสมัย
ศิษย์เวไนยฉุดข้าไว้ทุ่มเทใจ จงตั้งใจอาจารย์ชี้หนุนเป็นเงา
องค์มารดารอเจ้าคืนแดนเดิม ทุกวันนี้ส่งเสริมคนหรือเปล่า
วัวหายค่อยล้อมคอกนิสัยเก่า ขอศิษย์เจ้ารู้คิดปฏิบัติจริง
พูดน้อยน้อยเมื่อพูดพูดแต่เรื่องดี คิดดีดีคิดนานนานปัญญานิ่ง
คนคิดมากไม่ยอมพูดอึดอัดยิ่ง คนพูดมากคิดไม่ดียิ่งแย่ไปใหญ่
ทางสายใหญ่แต่มีน้อยคนเดิน หลงกิเลสเพลินเพลินเพลินเพลินหลงใหล
และบางคนยังเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ การบำเพ็ญง่ายง่ายเลยกลายยากเย็น
จงรักษาจิตใจตนให้จงดี จงรู้จักความพอดีกลางโลกเข็ญ
จงเข้าถึงซึ่งคำว่าบำเพ็ญ ฟ้ายามเย็นศิษย์ข้าถือตะเกียงธรรม
ส่องสว่างให้โลกเริ่มจากตนก่อน หมั่นมองย้อนตนเองอยู่ย้ำย้ำ
อย่าปล่อยให้อวิชชามาครอบงำ จงรู้ตัวว่าตนทำอะไรอยู่
ฮา ฮา หยุด

โปรดอย่าทำหัวใจชืดชา  ทุกวันเวลาเฝ้าคอยหวัง  ว่าศิษย์ของข้าคงมั่น  รับเป็นตะวันให้โลกเย็น
ฝึกแต่น้อยคอยฝึกกันบ่อยบ่อย  คนเป็นผู้น้อยวิสัยนอบน้อม  พูดน้อยคิดนาน สามารถเกลากล่อม ให้เราเยือกเย็นเห็นนัยแยบยล
* น่าหนักใจหลายความเปลี่ยนแปลง พวกมารคอยแฝงรากแห่งคน จิตอุทิศเหมือนโดนปล้น คิดนำผองชนอดทนเพิ่ม
ต่อให้ทั้งใจเมตตาผ่อง การตรองลุ่มลึกเหมือนคันฉ่องใส แต่ใช้อารมณ์ของเจ้าเป็นใหญ่ ต้นดีปลายร้ายหนทางสุดเดา  (ซ้ำ  * )

เพลง : คันฉ่องลวง
ทำนองเพลง : หัวใจมีปีกบิน


พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

เติมธรรมะให้ตนเองวันละนิด ด้วยเปิดจิตเมตตาอันยิ่งใหญ่
จึงสามารถอยู่ร่วมโลกผาสุกใจ ค่อยค่อยฝึกย่อมทำได้ตลอดกาล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซียน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องรู้จักศิษย์พี่หรือเปล่า

รู้จักข่มอารมณ์นี้ดียิ่งนัก การรู้จักอดทนนี้ดียิ่งยวด
ต่อรู้จักหยุดใจแล่นไล่กวด เติมรู้จักจิตสอบกวดกระทำตน
ยังปล่อยปละซึ่งตนเองประหนึ่งว่า อนาคตข้างหน้าไม่มีใครสน
เลือกทางอ้อมต้องศรัทธาในตน ทางรอคนพร้อมหน้าดำเนินไป
คนไม่พร้อมโลกจึงบังคับพร้อม เคยบำเพ็ญก่อนมาย่อมเผชิญไหว
อยากชนะชะตาอย่าหนีต่อไป ถ้าจะพ้นไม่ขอพ้นลำพัง
บำเพ็ญธรรมรักษาเวลาด้วยทำดี อารมณ์ผลาญเมื่อนาทีใครมาขวาง
บำเพ็ญจิตเหตุผลมีอย่างระวัง ระวังอกุศลทยอยตกค้างในใจ
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และพระนาจา

พระอาจารย์ : ชีวิตประจำวันของเราทุกวันนี้ ทำงานหาเงินทอง อยู่กับครอบครัว เคยไหมที่ใครๆ ก็คิดว่าเรารู้ทุกอย่าง เราเก่งไปหมด แต่จริงๆ แล้วเราทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วเวลาที่คนอื่นเขาฝากความหวังไว้ที่เรามากๆ เรารู้สึกอย่างไรบ้าง อย่างแรกอึดอัด อย่างที่สองเราต้องขยันมากกว่านี้ ขอแค่สองข้อนี้ รู้สึกเป็นอย่างไร ไม่ยอมรับความจริง ศิษย์เป็นมนุษย์จริงๆ คือมีจิตใจที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งสองอย่างเราก็รู้สึกหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แท้จริงแล้วความรู้สึกขยันกับความรู้สึกอึดอัดไปด้วยกันไหม อยากจะตอบทั้งสองอย่างอีกแล้ว เราต้องพิจารณาว่าการที่คนอื่นฝากความหวังที่เรา เรานั้นเป็นคนที่หวังได้หรือเปล่า เป็นคนที่น่าฝากความหวังไว้ไหม ในเมื่อมนุษย์บอกว่า มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง เราก็เป็นผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง คนอื่นฝากความหวังไว้ที่เรา แล้วเรานั้นได้ทำในสิ่งที่เราหวังไว้หรือเปล่า อายุเท่าไหร่แล้ว ไม่น้อย ไม่มากใช่ไหม ก็เพราะผมเริ่มขาวตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า  เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าแก่ตั้งแต่หนุ่มๆ สาวๆ เลย เป็นเพราะชีวิตเราสั้น สิ่งที่เราคาดหวังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องไปทำแล้ว ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เพราะชีวิตของเราก็ดำเนินมาไกลมาก
อาจารย์ถามว่า อยากเลือกเป็นคนฉลาด แล้วอยากขยันไหม  (อยาก)  แต่ทุกวันนี้ก็ขี้เกียจอยู่  เพราะฉะนั้นเป็นคนฉลาดแล้วก็ต้องเป็นคนขยันด้วย มนุษย์ไม่ชอบคนโง่ และไม่อยากเป็นคนโง่ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ทุกคนเป็นคนฉลาดที่ขยัน จึงจะประสบความสำเร็จได้  ถ้าเราเป็นคนโง่ ไม่เป็นไร เป็นคนโง่ก็ขอให้มีความขยันเหมือนกัน ขยันตรงนี้คือขยันศึกษา ขยันเข้าใจ ขยันมอง ขยันฟังก่อน ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อเรารู้เมื่อเราเข้าใจแล้ว จากคนโง่ก็กลายเป็นคนฉลาดเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์สมัยนี้มีมากมายหลายรูปแบบ มีมากมายหลายวิธีการที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จะมีชีวิตอยู่อย่างไร ให้เวลาทุกนาทีที่ผ่านไปในชีวิตของเรานั้นเป็นเวลาที่มีค่า ไม่ใช่มีค่าต่อตัวเองเท่านั้น  ต้องมีค่าต่อผู้อื่นด้วย นี่คือความสำคัญ อย่าห่วงแต่ตัวเอง อย่ามองแต่ตัวเอง แล้วผลที่เราได้รับก็คือ ได้ความรักจากทุกคน ไม่ต้องเป็นเหมือนอดีตที่เราเฝ้าแต่รักใครแล้วไม่มีใครรักเรา เพราะเราไม่เคยรักใครที่มากกว่าหนึ่งคนสองคนเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์สมัยนี้รักมากที่สุดคือ รักพ่อแม่ พอโตขึ้นหน่อยรักเพื่อน พอโตขึ้นอีกหน่อยรักแฟน พอมีลูกก็รักลูก แล้วเคยรักใครที่มากกว่านี้ไหม วันนี้อยากได้ความสนุกไหม อยากได้ความสนุกต้องเรียกใคร (ศิษย์พี่นาจา)  เรียกไหม
(นักเรียนในชั้นร่วมกันเรียกพระนามศิษย์พี่นาจา)
พระนาจา : กินข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ไหนใครไม่ยอมกินเจเลย หรือใครบ้างกลับไปกินเนื้อสัตว์ตอนกลับบ้าน มีไหม แล้วใครกลับไปบ้านกลับไปขี้โมโห ขี้บ่น เหมือนเดิมบ้าง หรือกลับไปไม่ง่วงนอนนั่งดูทีวีตาแฉะเลย เป็นอย่างไหน หรือว่าไม่เป็นสักอย่างเลย  เป็นอย่างไรกลับไปถึงบ้าน นอนหลับฝันดีหรือเปล่า วันนี้ท่านมาทำอะไรกัน (ประชุมธรรม)  ประชุม แปลว่า การรวม ธรรมะแปลว่า (ธรรมชาติ) การรวมธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมจากไหน ธรรมจากผู้บรรยาย ธรรมจากผู้ที่เตรียมงาน หรือธรรมจากตัวท่าน (ธรรมจากตัวเอง)  ธรรมจากทุกๆ คน มาร่วมประชุมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เรานั่งฟังธรรมะ ใจแห่งธรรมะเราต้องเบ่งบานและเติบโต ไม่ใช่นั่งฟังแล้วห่อเหี่ยวหรือหลับ อย่างนี้แปลว่าธรรมะไม่ได้เติบโตขึ้นในใจของเราเลย ถ้าเมื่อไรเรานั่งหลับแสดงว่าเรามีธรรมหรือเปล่า (ไม่มี) มีเหมือนกันแต่ธรรมะเราขี้เกียจเหมือนตัวเรา ธรรมะไม่ยอมดึงใจเราให้กระปรี้กระเปร่า หรือตัวเราไม่ยอมดึงธรรมะให้กระปรี้กระเปร่า (ตัวเราไม่ดึงธรรม) แปลว่าธรรมะจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมนุษย์เราเป็นผู้เรียกร้องออกมา ใช่หรือไม่ (ใช่) จะให้ธรรมะบอกว่าเรามีธรรมะอยู่ในใจ จะออกมาไหม (ไม่ออก) ไม่ออกตราบจนกว่าคนนั้นจะแสดงออกมาเป็นการปฏิบัติ ตราบจนปัจจัยนั้นจะเปิดออกแล้วดึงธรรมะออกมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นก็ทำง่ายๆ เลย ไม่ว่าเราทำสิ่งใดก็ตาม เราอยากมีสิ่งใด เราจงควานสิ่งนั้นจากใจเรา แล้วดึงออกมา  เราอยากมีธรรมะเราจะต้องเอาธรรมะออกมา  ฉะนั้นมนุษย์เราอยากจะเป็นสิ่งใดนั้นไม่ยากเลย คิดว่าตัวเรามีไหม เมตตามีไหม อดทนมีไหม ยิ้มแย้มแจ่มใสมีไหม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีไหม แปลว่าเรามี แต่ทำไมออกมาน้อย นั่นก็เป็นเพราะว่า เรามีกระบี่แต่ไม่ค่อยดึงออกมาใช้บ่อยๆ ถึงเวลาจะใช้ก็เลย (ฝืด)  ธรรมะก็เหมือนกันไม่ดึงออกมาบ่อยๆ เวลาดึงก็เขิน เพราะเราไม่หมั่นทำและเราไม่คิดว่านั่นคือธรรมะที่ควรจะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบอะไรแต่เก็บไว้ในใจ ยิ่งอยากมากยิ่งเก็บไว้ เพราะบอกว่ายิ่งเก็บไว้ลึกเท่าไร คุณค่ายิ่งสูง ใช่ไหม (ใช่)  เราชอบมากเลยคนดี คนที่ซื่อสัตย์ คนที่รักเราจริง แต่เราเป็นอย่างไร พอเจอหน้าก็ด่าเช้าด่าเย็น แต่ใจเราลึกๆ รักเขามาก แต่เห็นทีไรต้องด่าให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอยู่ด้วยกันต้องยิ้ม ทำได้ไหม (ได้) อย่าโกหกตัวเอง
พระอาจารย์ : เวลาฟังเขาต้องยิ้มไปด้วยนะ เพราะสิ่งที่เขาพูดถึงอาจจะเป็นเหตุการณ์ของเราเอง เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครศรัทธาจริงใจยกมือขึ้น แต่ขออย่างหนึ่ง เวลามีความศรัทธาก็มีให้นานๆ  ทุกคนในโลกนี้สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ อย่างเช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เคยด่าคน เราด่าคนไหม (ด่า)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ขยันด่าคน เรากลับไปบ้านก็ลองไม่ด่าดู ถ้าหากว่าเราเป็นคนขยันดูเรื่องที่ไม่ดี เรากลับไปบ้านเราก็ลองงดดู ลดลงทีละอย่าง จิตใจของเรา สภาวะของเราต้องค่อยฝึกเรื่อยๆ      ในที่สุดแล้วเราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้อสำคัญคือต้องหัดช่วยผู้อื่นด้วย ไม่ใช่บอกว่ารอให้เรานั้นพร้อมทุกอย่างก่อนแล้วเราค่อยไปช่วยคนอื่น รอให้เราดีทุกอย่างแล้วค่อยช่วยคนอื่น จริงๆ แล้วเป็นสภาวะที่ทำให้เรานั้นได้ขัดฝึกเกลาตนเอง ยิ่งลำบากเท่าไหร่ก็ยิ่งขัดเกลาตนเองได้เท่านั้น ฉะนั้นในสภาวะที่เรายิ่งลำบากก็ต้องยิ่งออกไปช่วยผู้อื่น เมื่อเราช่วยผู้อื่นมากคนอื่นก็ช่วยเรา หากคนอื่นไม่ช่วยเราตอบเราผิดหวังไหม (ไม่ผิดหวัง)  เพราะว่าเราก็เคยทำใช่หรือไม่ (ใช่)
พระนาจา :  ทุกคนรู้จักศิษย์พี่หรือเปล่า (รู้จัก)  บำเพ็ญธรรมต้องมีรุ่นก่อนและรุ่นหลัง ถ้าเราขึ้นมาเป็นผู้บำเพ็ญแล้วเราไม่รู้จักศึกษาว่ามีคนรุ่นหน้าหรือเปล่า หรือไม่ให้เกียรติคนรุ่นหน้าก็เรียกว่ามาบำเพ็ญไม่ถูกต้อง หากมีรุ่นพี่เราก็ต้องเคารพรุ่นพี่
พระอาจารย์ :  เป็นพี่นี้ลำบากกว่าน้อง น้องต้องเคารพพี่ แต่พี่ต้องทำให้น้องเคารพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นน้องเคารพพี่ทำง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไหร่เรามีรุ่นน้องขึ้นมาเราอยากให้เขาเคารพต้องทำตัวให้น่าเคารพ จะลำเอียงได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เป็นคนกลับเข้ากลับออก พูดจาโกหกได้หรือไม่ ปั้นน้ำเป็นตัวได้ไหม ทำตัวไม่น่าเคารพได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยากจะเป็นพี่ใครก็ต้องทำตัวให้เหมือนพี่ด้วย ถ้าเขาไม่เคารพเราๆ ก็ต้องแก้ไขตัวเองจึงเหมาะเป็นผู้บำเพ็ญ
พระนาจา :  ถ้าพี่ทำไม่ดีแล้วน้องเสีย พี่ต้องรับผิดชอบ ถ้าน้องหลงไปพี่ก็ต้องรีบไปตามหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าน้องไม่ดีพี่ก็ต้องไม่ดีตามใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เมื่อน้องไม่ดีได้ทำไมพี่ไม่ดีไม่ได้เหมือนกันล่ะ
พระอาจารย์ :   เพราะว่าเป็นพี่
พระนาจา :  ไม่มีร่างกายดีกว่าไหม (ไม่ดี)
พระอาจารย์ :  ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์นั่นแหละดี แต่ศิษย์ต้องมีกุศลพร้อมสมบูรณ์ ถ้าหากว่าไม่มีร่างกายนี้แล้ว เราไม่พ้นจากนรก ไม่มีร่างกายอันนี้แล้วกลับไปเป็นสัตว์ อย่างนี้ไม่มีร่างกายจะดีตรงไหน มีร่างกายเป็นมนุษย์ดีที่สุดแล้ว ถ้าไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์อันนี้แล้วไม่ได้กลับไปอยู่กับอาจารย์ ก็อยู่ต่อไป วันนี้อาจารย์รู้ว่าคนมากขึ้นเพราะว่าหลายคนคิดถึงอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่คิดถึงอาจารย์ทุกวันๆ ทำอะไร เอาเพียงสองอย่างคือ ทำดี กับทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ให้ศิษย์ตัดสินใจไม่ต้องเอามาตรฐานอาจารย์ เอามาตรฐานศิษย์ก็เพียงพอ รู้สึกทุกวันที่ผ่านไปเราทำได้ดีหรือยัง (ยัง)  ถ้าเรายังทำไม่ดีก็แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่ยังไม่ดีใช่หรือไม่ อาจารย์รู้แต่ว่าศิษย์ทุกๆ คนของอาจารย์นั้นพยายามทำตนเป็นคนดีแต่ก็อดไม่ไหวเพราะมีกิเลสมากมายคอยรุมรัดเรา แต่กิเลสนั้นก็ไม่สามารถรัดไปถึงในใจลึกๆ ของเราได้ จิตใจลึกๆ ของเรานั้นยังจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งที่ดีๆ อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าจิตใจลึกๆ ของเราไม่มีสิ่งที่ดีหลงเหลือไว้ ถามว่าสิ่งดีๆ งอกมาจากไหนในใจเรา  เพราะฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่เราทำเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าเราทำเรื่องไม่ดีหนึ่งอย่าง เราต้องทำเรื่องที่ดีมากขึ้นอีกสามเท่า เพื่อเป็นการลบล้าง  อย่างนั้นจึงทำให้เราไม่ถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่ามนุษย์ทุกวันนี้นั้นไม่สามารถจะเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ มีแต่เดินหน้าสามก้าว ถอยหลังเท่าไร (สี่ก้าว)  สี่ก้าวเอง ค่อยยังชั่ว  นึกว่าเดินหน้าสามก้าว ถอยหลังสิบก้าวล่ะแย่เลย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์จะตั้งคำถาม ใครตอบได้ก็ตอบ  สัจจะแห่งเกลือคืออะไร (ความเค็ม)  สัจจะแห่งสัจธรรมคืออะไร (ความจริง)  สัจจะแห่งมนุษย์คืออะไร
พระนาจา : วันนี้ประชุมธรรม เป็นโอกาสของศิษย์น้อง สองวันนี้ต้องรักษาโอกาสให้ดี ผ่านไปสองวันแล้ว มานั่งตอบทีหลังก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ
(ความไม่เที่ยงแท้, ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์)
พระอาจารย์ : อันนี้เป็นคำตอบที่ผิดมหันต์ เพราะถ้าหากว่ามนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ อาจารย์จะมาทำไม ในชีวิตของเราในหนึ่งวันนั้นก็มีช่วงเวลาที่เราหลุดพ้นทุกข์อยู่  เคยหลุดพ้นจากความทุกข์ไหม  เคยมีสักช่วงหนึ่ง นาทีหนึ่ง ครึ่งชั่วโมง หรือยี่สิบนาที ห้าวินาทีก็ดีที่ศิษย์รู้สึกจิตใจนั้นโปร่งสบายมากๆ  เคยไหม (เคย)  นั่นเป็นช่วงที่จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์  แต่หลุดพ้นแบบปลอมๆ  ฉะนั้นแม้ในโลกนี้ศิษย์ก็ยังเป็นได้  ในโลกหน้ายิ่งเป็นไปได้ใหญ่เลย  ต้องเชื่อมั่นว่าเราสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
พระนาจา : อย่างมากก็แค่เรื่องเล็กๆ อย่างเช่นศิษย์น้องมีเรื่องเจ็บป่วย ถ้าศิษย์น้องใจทุกข์ด้วย เจ็บก็จะยิ่งหนัก แต่ถ้าเกิดว่าศิษย์น้องเจ็บป่วย ใจศิษย์น้องสู้ พยายามเอาชนะความเจ็บป่วยนี้ได้ ก็สามารถชนะความทุกข์ได้หนึ่งอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงพยายามเอาใจนี้ชนะทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่ชนะทุกข์อย่างนี้ แล้วก็ไปแพ้ทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ชนะทุกข์อีกอย่างหนึ่งก็ไปแพ้ทุกข์อีกอันหนึ่ง  อย่างนี้ศิษย์น้องก็ไม่มีวันหลุดพ้น  แต่ชนะหนึ่งทุกข์แล้วต้องก้าวไปอีกสองทุกข์  ต่อไปก็ก้าวไปอีกสามทุกข์และมากกว่านั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่มีวันที่เรียกว่าทุกข์  เราจึงจะชนะได้  แต่ถ้าศิษย์พี่บอกว่า ในโลกนี้ถ้าศิษย์น้องไม่แบ่งว่าอันไหนชอบอันไหนชัง ศิษย์น้องก็จะไม่มีคำว่าทุกข์ เพราะเรามีอันที่ชอบ อันที่ชอบเราจึงเรียกว่าสุข อันที่ชังเราจึงเรียกว่าทุกข์ แต่ถ้าศิษย์น้องไม่มีทั้งชอบไม่มีทั้งชัง ก็จะไม่มีที่เรียกว่าสุขและทุกข์ แต่เป็นเพราะมนุษย์เรายึดติดในอารมณ์ ยึดติดในชอบและชังอย่างมั่นคง เวลาเจอในสิ่งที่ถูกใจก็เลยเป็นสุข เวลาเจอในสิ่งที่ไม่ถูกใจก็ถือว่าเป็นทุกข์  แล้วก็เอาชนะไม่ได้สักทีในเรื่องสุขและทุกข์ ศิษย์พี่พูดยากไปหรือเปล่า สมมติศิษย์น้องมีห้านิ้ว ความสุขกับทุกข์เหมือนนิ้วทั้งห้า  ถ้าเกิดศิษย์น้องมีทุกข์สี่อย่าง สุขหนึ่งอย่าง  ศิษย์น้องจะทำอย่างไร ตัดสี่นิ้วทิ้งแล้วเหลือนิ้วเดียว เอาแบบนั้นไหม (ไม่เอา)  ทำไมล่ะ (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้, ทุกข์กว่าเดิม)  ทุกข์กว่าเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาศิษย์น้องเจอทุกข์ ศิษย์น้องต้องทำอย่างไร มีทั้งต่อสู้ แก้ปัญหาและปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเลือกแค่เจอสุขอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกัน เรามีห้านิ้ว ศิษย์น้องจะชอบนิ้วนี้แล้วไม่ชอบนิ้วอื่นไม่ได้ ต้องชอบทั้งหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าอีกสี่นิ้วจะไม่สวย แล้วสวยอยู่นิ้วเดียวก็ตาม
ในชีวิตของมนุษย์ต้องมีความสุขความทุกข์เป็นธรรมดา เป็นสัจจะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อใดที่ศิษย์น้องเข้าใจสัจจะ แล้วรู้จักเอาสัจจะนั้นมาใช้กับชีวิต หรือเอาสัจจะนี้มาเพิ่มให้ชีวิตได้รู้คุณค่าชีวิตที่แท้จริง ศิษย์น้องก็จะรู้ว่า สุขกับทุกข์นั้นก็คือธรรมดา จริงไหม (จริง)  แล้วเวลาเจอ ศิษย์น้องก็จะไม่ตื่นตระหนก ไม่หวาดหวั่น ไม่ว่าจะเจอทุกข์หรือเจอสุข ศิษย์น้องก็จะตั้งรับได้ทัน เพราะเห็นเป็นธรรมดา แต่ทุกครั้งที่เจอทุกข์ ที่เรียกว่าความเศร้า ศิษย์น้องจะรับไม่ทัน  เตรียมใจรับไม่ทัน ใช่ไหม โดยเฉพาะความตายและความพลัดพราก สองอย่างนี้ศิษย์น้องจะเตรียมใจรับไม่ทันเสมอ  เวลาเข้ามากระทบใจปุ๊บ เป็นอย่างไร ใจเริ่มสั่น ควบคุมไม่ได้ ร้องไห้เป็นปี๊บเลย แล้วแก้ได้ไหม มีอย่างเดียวคือต้องทำอย่างไร บีบออกให้หมด ตั้งสติให้ดีด้วยจิตที่สงบ มัวแต่ทำอย่างไรดีๆ แล้วได้อะไรไหม (ไม่ได้)  แล้วโทษว่าเธอนี่ทำให้เขาตาย เธอนี่ให้เขาหนีไป เพราะเธอๆ แก้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วก็ยังต้องทุกข์เหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเจอทุกข์หรือเจอสุขจงมองเป็นเรื่องธรรมดา แล้วใช้สติตั้งรับ แล้วต่อไปศิษย์น้องก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างได้สบาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นไหม ชีวิตก็ง่ายๆ แค่นี้เอง ทำไมศิษย์น้องคิดกันไปไกล เวลาเกิดปัญหาทีหนึ่งศิษย์น้องคิดว่าคนนี้หัวเราะเยาะ คนนี้สมน้ำหน้า คนนี้ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแน่เลย ถึงทำให้เราเป็นแบบนี้ คิดร้ายพอกพูนเต็มไปหมด แล้วผลสุดท้ายก็มองอะไรไม่ออก แก้อะไรไม่ได้ เพราะไม่ตั้งสติให้ดีเอาแต่โทษคนอื่น จริงหรือไม่ (จริง)
พระอาจารย์ : มาฟังธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ ฟังเพลงๆ หนึ่ง ตั้งใจฟังเพลงมีความหมาย ไม่ตั้งใจฟังก็แค่ฟังผ่านๆ หู คนพูดมา เราฟัง เรามั่นใจ เราตอบ เราตอบถูกไม่ถูกอีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่มาสถานธรรม ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากแต่เราต้องมั่นใจ วันนี้มั่นใจฟังก่อน ดีไหม นักเรียนในชั้นไม่มีใครที่จิตใจวอกแวกแล้วใช่ไหม ไม่หลอกลวงตัวเอง ทำไมไม่มีใครคิดว่าสัจจะของมนุษย์คือชีวิตบ้างล่ะ มีไหม (สัจจะของมนุษย์คือความเท็จจริงปนเปกันไป)  แสดงว่าเป็นคนที่บางทีก็มีใจ บางทีก็ไม่มีใจ บางทีก็เข้าบางทีก็ออก แล้วแต่จะขึ้นๆ ลงๆ ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  คนอื่นว่าอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงแล้วส่งผลไม้ไปเรื่อยๆ หยุดที่ใครคนนั้นเป็นคนตอบคำถาม)
พระนาจา : สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวของศิษย์น้อง นั่นก็คือ รู้ไม่ชัดแล้วขยันพูด ขนาดอยู่ในครอบครัวเดียวกันเอง เรารู้ไม่ชัด ทำไมเราไม่ถามกับเขาตรงๆ แล้วก็เคืองกันแล้วก็มีปัญหากัน แล้วก็มีเรื่องกัน โดยเฉพาะเรื่องที่ศิษย์น้องรู้ไม่ชัดแล้วเป็นเรื่องไม่ดี อย่าพูด ได้ไหม (ได้)  ไม่พูดสิ่งไม่ดีของคนอื่น เรื่องดีของคนอื่นจะขยันพูด
พระอาจารย์ : อย่าลืม อย่าลืม รู้ไม่ชัดไม่พูด เหมือนอาจารย์ให้ไว้ในเพลงบทนี้ก็เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าพูดน้อยคิดนาน ตอนนี้เราเป็นพวกพูดมากคิดน้อย เราต้องพูดน้อยๆ แต่เราต้องคิดนานๆ  เวลาที่เราจะพูด พูดกับคิดต้องรู้จักที่จะพอดีๆ กัน ต้องพูดให้น้อยๆ คิดให้นานๆ คิดนานคิดมากไม่เหมือนกัน คิดนานๆ ตรงนี้อาจารย์วงเล็บไว้ข้างท้ายว่า ให้ใช้ปัญญาคิด พูดน้อยๆ ในที่นี้ก็คือ พูดในสิ่งที่ดีแล้วเรารู้เท่านั้น เข้าใจไหม แต่บางคนคำว่า “คิดนาน” กับ ”คิดมาก” แยกกันไม่ออก บางคนบอกว่าให้คิดมากๆ คิดมากๆ ก็เลยฟุ้งซ่าน ต้องรู้จักที่จะคิด รู้จักที่จะพูด
พระนาจา :ศิษย์น้องมักไม่ค่อยมีความพอดี พอบอกให้คิดมากหน่อยก็คิดมากเกิน พอบอกให้คิดน้อยหน่อยก็คิดสั้นนิดเดียว แล้วก็บอกว่าธรรมะไม่เห็นดีเลย จริงหรือเปล่า ธรรมะดีแต่ธรรมะของศิษย์น้องไม่ดี ใช่ไหม เราต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง รู้จักตัดรู้จักต่อในชีวิตให้เป็น อะไรของเราที่มากเกินไปเราต้องมองให้ออก แล้วก็ตัดทิ้ง อะไรของเราที่น้อยเกินไป เราต้องรู้จักเติมให้เต็ม ผู้บำเพ็ญธรรมสำคัญที่สุดคือ ในใจของเราต้องพยายามให้สมบูรณ์ และบริบูรณ์  อย่าเป็นคนใจแหว่งใจขาด เพราะเมื่อไรที่ศิษย์น้องใจแหว่งใจขาด จะต้องรอเติมจากคนอื่น แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเป็นใจที่สมบูรณ์ ศิษย์น้องก็มีแต่จะไปช่วยเติมให้กับคนอื่น เราอยากเป็นคนที่ขาด หรืออยากเป็นคนที่เต็ม (เต็ม) เต็มที่ในความสมบูรณ์ในด้านคุณธรรม  ไม่ใช่เว้าแหว่งเป็นคนขาดความรัก เป็นคนขาดคนเห็นใจ เป็นคนขาดคนชม ถ้าศิษย์น้องเป็นคนที่ขาด เราจึงต้องพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือต้องรู้จักข่มอารมณ์ อารมณ์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์คลุ้มคลั่ง และก็ต้องเบียดบังทำร้ายคน ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น จงพยายามเพ่งพินิจให้ดี ชีวิตเราเหมือนมองตัวเราเอง แต่มองตัวเราเองก็อย่าลืมมองคนอื่นด้วย ต้องมองให้เท่าๆ กัน อารมณ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตามอง หูได้ยิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างวันนี้ศิษย์น้องเดินไปเจอคนๆ หนึ่ง ใส่เสื้อสวยจัง น่าตาน่ารักดี ถ้าศิษย์น้องขาดซึ่งความ
อบอุ่น ขาดซึ่งเพื่อน  ขาดซึ่งคนเห็นใจ ศิษย์น้องจะทำอย่างไรต่อ ก็ต้องพยายามหาและต้องรู้จักคนนี้ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องขาดเสื้อสวยๆ  ศิษย์น้องก็จะต้องไปหาเสื้อให้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะดำเนินชีวิต ศิษย์น้องจะต้องตั้งสติให้ดี เมื่อตั้งสติดีแล้ว ตรวจสอบเวลาอารมณ์มากระทบใจ  เราดูซิว่าเราขาดอะไร ถ้าเราเกิดความอยาก เราก็จะรู้ว่าเราขาดสิ่งนั้น แต่ถ้าเกิดรู้สึกว่าสวยดี แต่เรามีพอแล้ว ศิษย์น้องก็จะดับอารมณ์ได้ทันที แต่ถ้าบอกว่าสวยดี แล้วศิษย์น้องก็เดินตาม เขาไปไหนก็เดินตาม แสดงว่าศิษย์น้องต้องรู้ตัวเองว่าศิษย์น้องขาด ใช่หรือไม่ (ใช่) การตรวจสอบจิตของเราเองก็เหมือนกัน ตาสัมผัสสิ่งใดแล้วใจเราเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วม เราจึงต้องพยายามใช้สมาธิข่มแล้วดึงปัญญามาคอยควบคุม หากทำได้ทุกขณะจิต ศิษย์น้องจะไม่ก้าวผิดพลาด และจะไม่โลภมากเกิน ไม่เป็นคนที่ช่างโมโหหรือขี้บ่น แล้วก็ไม่เป็นคนที่ไร้เหตุผล โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองมองแต่ตัวตน จริงหรือเปล่า (จริง)  ยากไหม เบื่อหรือยัง (ไม่เบื่อ)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม)
ศิษย์พี่จะพูดนะ ถ้าสิ่งไหนไม่ดีให้ยืนขึ้น สิ่งไหนดีให้นั่งลง ศิษย์พี่ต้องการฝึกสมาธิและฝึกปัญญาศิษย์น้อง ตัณหาดีหรือไม่ (ไม่ดี) ไม่ดีก็ต้องถอนทิ้งก็คือยืนขึ้น กิเลส นินทา ขี้บ่น ขอตังค์ดีหรือไม่ ถ้าศิษย์น้องรู้จักขอน้อยๆ บางทีก็จะดีนะ เพราะถ้าเกิดเริ่มขอตังค์ ต้องอยากขออย่างอื่นด้วย ใช่ไหม (ใช่)  ขอความเข้าใจ ขอความเห็นใจ แต่เมื่อเป็นผู้บำเพ็ญ ศิษย์พี่ขออย่างหนึ่ง ขอเป็นคนที่สมบูณ์ของจิตใจ ไม่ต้องหวังจากใคร แล้วศิษย์น้องจะมีแต่ให้แล้วก็ให้ โดยที่ไม่หวังผล  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์น้องมีความขาดพร่อง ศิษย์น้องก็จะหวังจากเขา แล้วก็ให้เขายาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระอาจารย์ : อาจารย์มีเสื้อตัวเดียวแล้วก็เหม็นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งต้องรีบไปช่วยศิษย์ก็ยิ่งเหม็นใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำตัวดีๆ จะได้เป็นที่รักของเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง อย่าคิดว่าเขาเมตตาเราไม่เป็น เพียงแต่เราไม่ทำให้เขาเมตตา
อาจารย์เฉลยคำตอบก่อนนะ สัจจะของความเป็นมนุษย์ก็คือ “ความเป็นคน” ลองคิดดูสิว่าใช่ไหม ความเป็นคนเป็นสัจจะของมนุษย์ เพราะถ้าหากว่าคนนั้นทำตัวไม่เหมือนคน ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นคน   ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเป็นคน แต่เราทำตัวไม่เหมือนคน คนเขามองก็มองด้วยหางตา  แล้วยังมีเรื่องที่เราทำ กิเลสที่เราก่ออีก ถ้าหากว่าเรามีมากเกินไป ความเป็นคนของเรานั้นก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ขอให้ศิษย์ไปคิดเป็นการบ้านว่า สัจจะของมนุษย์คือความเป็นคน ความเป็นคนของคนนั้นคืออะไรบ้าง นั่นแหละเป็นสิ่งที่ศิษย์จะต้องทำ เพราะว่าถ้าเราทำตัวให้เป็นคนที่เหมือนคนไม่ได้ เราจะเป็นพุทธะไม่ได้ ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ มีแต่ลงนรกอย่างเดียว อยากไปสวรรค์หรือนรก (สวรรค์)   อยากไปสวรรค์ก็ใกล้ๆ  อาจารย์แล้ว  อาจารย์หวังว่าศิษย์จะตามมาติดๆ นะ
ฟังธรรมะ ฟังทั้งปี ฟังทุกวัน ไม่มีหลับไม่มีนอน แต่ถ้าเกิดฟังไปแล้วไม่เอาไปทำ ฟังมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากว่าฟังแค่เพียงห้านาที แต่เกิดจิตใจที่อยากเอาไปปฏิบัติ ห้านาทีนี้ก็มีประโยชน์  ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนนั้นเย่อหยิ่งไม่ได้ เวลาที่คนอื่นพูดธรรมะให้เราฟัง แม้เราจะรู้อยู่แล้วก็ยังจำเป็นที่จะต้องตั้งใจฟังต่อไป  เพราะว่าธรรมะนั้นมีความลึกซึ้ง มีลึกแล้วลึกอีก ลึกซ้อนกันอยู่ อยู่ที่ว่าใครจะสามารถรู้แจ้งในขั้นตอนไหน บางทีคำพูดคำเดิมพูดให้ศิษย์ฟังอีกรอบหนึ่ง อาจจะรู้สึกไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่แน่ๆ ก็คืออยากให้รู้สึกดีๆ  เข้าไว้
พระนาจา : ศิษย์น้องง่วงนอนไหม  อยากได้ผ้าเย็นๆ ไหม หรือว่าอยากฟังศิษย์พี่พูดต่อ อยากฟังศิษย์พี่พูดเรื่องธรรมะหรือว่าอยากเล่นสนุกกัน  ตกลงว่าอยากฟังอะไรมากกว่ากัน (ธรรมะ) ธรรมะหรือ  นั่งนิ่งๆ ตัวตรงๆ ทำจิตให้สงบ แล้วฟังธรรมะจากใจตัวเอง เคยฟังบ้างไหม ศิษย์พี่ว่าไม่เคยนะ เพราะศิษย์น้องเวลาลืมตาก็หาเงิน ทำงาน เรียนหนังสือเกิดมาก็มีแต่ความรีบเร่ง พอออกไปก็ออกไปด้วยความรีบเร่ง ดำเนินชีวิตก็ด้วยความเร่งรีบตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวหน้าไม่ว่าศิษย์น้องจะทำอะไร ก่อนออกไปตั้งสติให้ดีๆ ไม่ว่าไปทำอะไร ดีไหม (ดี)
ศิษย์พี่จะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีหญิงสาวคนหนึ่งงามหยดย้อย มีคนกล่าวขานว่าเขาเป็นคนที่มีความเรียบร้อย มีความสุภาพและมีความอ่อนน้อม พูดง่ายๆ ว่าเป็นหญิงที่สมบูรณ์ในความเป็นหญิง ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ในบ้านเขามีคนทำงานบ้านให้เขาคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เขาก็อยากรู้ว่าสิ่งที่คนข้างนอกพูดแล้วชมเจ้านายเขาเป็นจริงอย่างที่พูดไหม  เพราะว่างานทุกอย่างที่ทำขึ้นล้วนเป็นเขาเป็นผู้ดูแล บ้านที่เรียบร้อยล้วนเป็นเขาที่ดูแลความสะอาด  งานการอะไรที่มีเขาทำหมด วันรุ่งขึ้นเขาก็เลยนอนตื่นสาย เจ้านายเขาก็พูดว่าทำไมเธอนอนตื่นสายอย่างนี้ รีบลุกมาหุงข้าวให้ฉันกิน รีบมาทำนั่นรีบมาทำนี่ ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว  พอวันที่สองเขาก็อยากรู้อีก เขาก็นอนตื่นสายอีก ให้ทายว่าเขาโดนว่าอีกหรือไม่ (โดน)  แล้วพอวันที่สาม ไม่ใช่แค่โดนว่าเท่านั้น แต่ยังเขวี้ยงของด้วย ขับไล่ด้วย แล้วเผอิญว่าของที่เขา
เขวี้ยง มีอยู่ชิ้นหนึ่งไปโดนที่หน้าผากเขาพอดี เลือดไหล  เขาบอกบ้านนี้เขาไม่อยู่แล้ว เขาออกจากบ้านนี้ทันที แล้วเขาก็ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าคนที่ท่านบอกว่าเรียบร้อย สุภาพ อ่อนหวาน ทำไมจึงทำเขาหัวแตกขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร (มองแต่ภายนอก, ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง)
หลายต่อหลายครั้งที่ศิษย์น้องเจอคน ทั้งที่ยังไม่รู้จักหรือรู้จักแล้วก็ตาม บางครั้งเรารู้จักเขาได้ไม่ทั้งหมด เราจะเห็นเขาเพียงเปลือกนอกเท่านั้น บางครั้งเขาพูดจาอ่อนหวาน พูดดี กิริยาท่าทางดีหมด สมบูรณ์แบบหมด  แต่เพราะอะไรล่ะเขาจึงทำในสิ่งที่เป็นไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่สามารถเป็นได้ตลอดในทุกสถานการณ์ เขาเป็นได้เฉพาะในสถานการณ์ที่ราบเรียบ พอเจอสถานการณ์ที่ขรุขระ เขาก็ตั้งสติไม่ได้  ปรับตัวเองไม่ได้ แล้วก็ลืมตัวเองไปขณะหนึ่ง แล้วแสดงอารมณ์หุนหันพลันแล่นออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีคนชมว่าศิษย์น้องเป็นคนดี พอเจอคนว่า ศิษย์น้องเลยดีแตก  นั่นเป็นเพราะศิษย์น้องพ่ายอารมณ์ของตัวเอง แล้วศิษย์น้องจะโทษคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เราอย่ามองว่ากระจกส่องได้แค่คนอื่น แต่อย่าลืมว่ากระจกนั้นส่องเราได้เหมือนกัน กระจกของศิษย์น้องมีด้านเดียว แต่กระจกแห่งความเป็นจริงในโลกนี้มีสองด้าน  ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์น้องจะทำสิ่งใด จึงต้องตั้งสติให้ดี อย่าเป็นคนดีเฉพาะสถานการณ์ที่ราบเรียบ แต่คนดีที่แท้จริงก็คือคนที่ดีได้ทุกสถานการณ์ วันนี้ภาวะวุ่นวาย แต่ศิษย์น้องต้องสงบ ไม่ว่าอารมณ์จะฟุ้งซ่านขนาดไหนเราต้องคุมให้ได้ ไม่ว่าคนจะโมโหโกรธเกรี้ยวเราอย่างไร เราต้องคุมใจเราให้อยู่  เมื่อเราคุมใจอยู่ การเผชิญย่อมราบรื่นและไม่ผิดพลาด และไม่ปล่อยให้ความดีของเราพังทลายลงใช่หรือไม่ (ใช่)
เปลี่ยนจากฟังธรรมะเป็นเล่นบ้างดีไหม (ดี)  เอาแบบเดิมหรือเอาแบบใหม่ (แบบใหม่)  อย่างนั้นต้องใช้ความสามัคคีนะ เพราะว่าเราอยู่ในโลกนี้ เราไม่รู้จักเขาและเขาก็ไม่รู้จักเรา แล้วทำอย่างไรเราจึงจะอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข นั่นก็คือมีความจริงใจต่อกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องยิ้มน่ะยิ้มได้ แต่ยิ้มแล้วใจต้องยิ้มด้วย ใจที่แท้จริงต้องยิ้มได้ทั้งนอกและยิ้มได้ทั้งใน ยินดีที่จะรู้จักทั้งกายและยินดีที่จะรู้จักทั้งใจ เราจึงสามารถที่จะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ศิษย์น้องต้องอดทน แม้ว่าการให้ร้อยหนจะทำให้คนไม่ดีเปลี่ยนยากก็ตาม แต่ศิษย์น้องก็ต้องอดทนในร้อยหนนี้
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาส่งเสริมญาติธรรมท่านหนึ่ง)
ใจของทุกคนมีสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเรียกว่าฝั่งดี อีกฝั่งหนึ่งเรียกว่าฝั่งร้าย ทั้งฝั่งดีและฝั่งร้าย ถ้าเราควบคุมได้ดี มันจะสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ก็คือมีทุกข์บ้างมีสุขบ้าง  แต่ถ้าศิษย์น้องควบคุมไม่ดี สองฝั่งนี้ก็จะซ้อนภาพกัน  แล้วถ้าซ้อนภาพกัน ศิษย์น้องตัดสินใจไม่ได้ ก็จะเกิดการหลอนซึ่งกันและกัน และไม่มีสมาธิด้วย ถ้าทุกขณะจิต ศิษย์น้องสามารถเห็นในสิ่งที่ตนเองคิด แล้วก็ยังรู้อีกว่าคิดไม่ดีหรือคิดดี นั่นเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ ดีกว่าโกรธคนอื่นด่าคนอื่นไป แต่ไม่รู้ว่าตนเองโกรธไม่รู้ว่าตนเองด่า ทำอะไรด้วยทั้งใจคิดและก็มือทำ แต่ไม่รู้ว่าทำไปเมื่อไร อันนี้น่ากลัวกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่างนี้ศิษย์พี่ถือว่าไม่ผิดนะ นั่นถือว่าเบา  แต่ศิษย์น้องจะต้องพยายามตั้งสติให้ดี  แล้วก็พยายามตัดมันทิ้ง เมื่อเราคิด รีบตัดมันทิ้ง หรือถ้าคิดมาก ปล่อยให้มันออกมาเลย แต่ต้องอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นศิษย์น้องอาจไปทำลายคนอื่น พอมันออกมา ปล่อยออกมาจนหมด เมื่อออกมาหมดแล้วมันก็จะไม่มีอีกแล้ว แต่นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์น้องพยายามกดมันไว้ มันก็เลยสู้กันเองแล้วก็ดันกันเอง พยายามอย่าไปสนใจในสิ่งที่คิด ศิษย์น้องเคยนั่งสมาธิไหม ตอนกำลังนั่งสมาธิ ความคิดไหลเหมือนสายน้ำหรือเปล่า เมื่อไหร่ที่ความคิดเหมือนสายน้ำจงอย่าเอาหินไปขวางกั้น ปล่อยให้มันไหลแล้วผ่านไป ถ้าศิษย์น้องเอาใจมาขวางกั้น ศิษย์น้องก็จะเก็บกด แล้วก็อึดอัด ปล่อยไป อย่ากดไว้ ถ้ากดยิ่งอึดอัด เข้าใจไหม
(พระอาจารย์เมตตาไปทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “คันฉ่องลวง”)
เพลงเพราะไหม อยากให้เพลงของชีวิตนี้เพราะไปตลอดกาลก็อยู่ที่ว่าศิษย์น้องจะใส่ทำนองอย่างไร จะใส่สูงๆ ต่ำๆ หรือเรียบๆ ง่ายๆ ก็แล้วแต่ตัวเรานะ อย่าปรุงแต่งชีวิตมากเกินไป ยิ่งปรุงแต่งมากศิษย์น้องก็จะยิ่งหมกมุ่น แล้วก็ไขว่คว้ามากใช่หรือใช่ (ใช่)  พอหมกมุ่นไขว่คว้าในโลกมาก ธรรมะก็เลยเหลือน้อยเดียว พอจะกลับไปก็กลับไปได้ยาก ถ้าวันนี้ไม่เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องสัจจะ ค้นคว้าเรื่องการบำเพ็ญ พอถึงเวลาสัจจะมากระทบศิษย์น้องจะทำใจได้ทันไหม (ไม่ทัน)  เรื่องเกิด แก่ มากระทบศิษย์น้องรับไหวไหม (ไม่ไหว)  ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องแต่ละคนพอเจอเรื่องทุกข์เรื่องสุข เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ตั้งรับกันไม่ทันทุกคนเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอโดยการใช้ธรรมมากล่อมเกลาจิตใจ น้อมนำใจเตรียมรับไว้ก่อนที่จะมา วันนี้ชีวิตยังราบเรียบยังปกติอยู่ เราไม่รู้วันข้างหน้าจะดีหรือร้าย ฉะนั้นเราต้องเตรียมทำใจ เมื่อทุกข์มาสุขมาก็รับไหวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่อยากบอกเรื่องสุดท้ายกับศิษย์น้องคือ ทุกคนมีกรรมของตัวเอง แล้วเมื่อกรรมมาทวงถาม ไม่ว่าจะหนักหรือจะเบา จะเจ็บน้อยจะเจ็บมาก ศิษย์น้องจงยินดีรับ แล้วเมื่อนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเหลือได้ แต่ถ้าเมื่อเจอกรรมแล้วศิษย์น้องเอาแต่โทษกรรมนั้น จะยิ่งทำให้ศิษย์น้องเจอหนัก เข้าใจคำนี้ไหม (เข้าใจ)  เมื่อเจอทุกข์ เจอความยากลำบากจงใช้จิตใจที่เข้มแข็งกล้ายอมรับและกล้าต่อสู้ยอมรับความจริงให้ได้ โลกนี้ถ้าศิษย์น้องกล้ายอมรับความเป็นจริงไม่ว่าจะทุกข์มากทุกข์น้อยศิษย์น้องก็จะฝ่าไปได้อย่างเป็นสุข แล้วศิษย์พี่จะคอยช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ จงรู้ไว้ว่าเมื่อใดที่ศิษย์น้องเจอกรรมนั่นแหละสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์น้องห่างธรรม กรรมนั้นจะต้องมาไวกว่าที่คิด จงเป็นคนดีและรักษาความดีให้อยู่กับตัวเองนะ
ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี มีโอกาสช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นแล้วอย่าลืมยื่นมือช่วยคนอื่นด้วย แม้ตัวเองจะเจ็บจะทุกข์อย่างไร แต่ถ้าท่ามกลางความเจ็บความทุกข์เรารู้จักเห็นทุกข์ของคนอื่นมากกว่า นั่นแหละจิตของโพธิสัตว์ แต่ถ้าเมื่อใดเห็นทุกข์ของตัวเองและไม่เคยเห็นทุกข์ของคนอื่น นั่นแหละคือจิตของปุถุชน ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะศิษย์น้อง มีโอกาสแล้วคงเจอกันที่ผิงซัน ไปแล้วนะ อย่ายอมแพ้การทำความดี อย่าแพ้ภัยตัวเอง
พระอาจารย์ : หลงกิเลสเพลินๆๆ เพลินหรือเปล่า กิเลสน่าเพลินใจเพลินตาไหม เวลาที่ศิษย์จบชีวิตนี้ อะไรกันแน่ที่ศิษย์รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อเรา ทางสู่กิเลสหรือทางไปสู่ธรรมะดีกว่ากัน ฉะนั้นการที่เราเลือก ในเมื่อเราอยากได้สิ่งที่ดีก็จำเป็นที่จะต้องทำในสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“เก็บเกี่ยวผลสมบูรณ์”)
ศิษย์ปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ของศิษย์ออกลูกแล้ว จิตใจของศิษย์ตอนนี้รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีและรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพียงแต่ว่าแม้จะรู้แต่เราก็ไม่เอาชนะจิตใจของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ ครั้งเราไม่ยอมรับความจริง หลายๆ ครั้งเราทิ้งสิ่งที่ดี “เก็บเกี่ยวผลสมบูรณ์” การที่เราจะเก็บเกี่ยวได้ก็เพราะว่าเราลงแรงหยาดเหงื่อของเราลงไปเก็บ เพื่อจะให้ได้ผลนั้นออกมา อยากจะได้ผลดีๆ ก็ต้องลงแรงไว้ล่วงหน้า แต่กิเลสนั้นไม่ต้องลงแรงเลย อยู่เฉยๆ เขามาถมเราๆ ในที่สุดเราไม่ไปเราก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนดินที่ทับศิษย์ทีละก้อนๆๆ ในที่สุดแล้วหนักไหม เมื่อเราคิดได้ว่าเราจะลุกขึ้นแล้วนะ ลุกขึ้นไหวไหม (ไม่ไหว) แต่ตอนที่เราเก็บเกี่ยวผลก็คือ การที่เราลงแรงไป ต้นไม้ต้นหนึ่งเราไปรดน้ำทุกวัน เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ต้องทำสม่ำเสมอไหม หากว่าไม่ทำวันไหนต้นไม้เราก็อาจจะตายได้ เพราะฉะนั้นการทำความดีก็คือความเหนื่อย แต่ต้องทำไหม (ต้องทำ)  หากผลออกมาแล้วเต็มต้น จะเลือกผลที่เน่าหรือเลือกผลที่ดีๆ (ผลที่ดีๆ)  ผลที่ถูกแมลงชอนไชอยากจะได้มาไว้ไหม (ไม่อยาก)  ตอนนี้เบื้องบนบอกว่าเก็บเกี่ยวผลที่สมบูรณ์ ให้ศิษย์มองตัวเอง คนไหนที่คิดว่าตัวเองเป็นผลที่สมบูรณ์แล้วบ้าง ทุกๆ ผลล้วนแต่เว้าๆ แหว่งๆ ทุกผลล้วนแต่มีกิเลสชอนไช ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเวลายังอีกนานไกล ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาของโลกไปถึงไหนแล้ว ถามว่าเวลาของศิษย์ไปถึงไหนแล้ว เก็บเกี่ยวผลครั้งนี้ไม่ต้องถามว่าเบื้องบนจะเก็บเมื่อไหร่ ถามศิษย์ว่าถ้าหากเบื้องบนต้องการเก็บเดี๋ยวนี้ ศิษย์จะสมบูรณ์ให้เบื้องบนเก็บไหม ฉะนั้นอาจารย์ให้คำๆ นี้เตือนใจ ทุกคนนั้นไม่มีคนเตือนมานานแล้ว แม้คนเตือนก็ไม่อยากฟัง คนเตือนคนก็ไม่น่าฟัง แล้วตอนนี้อาจารย์เตือนศิษย์ ก็ไม่รู้ว่าจะฟังหรือเปล่า คนอยากเตือนต้องทำตนให้ตรง ให้คนเขายอมรับ เราแค่พูดไปนิดเดียวฟังแล้วคิด แต่หากว่าเราทำตัวไม่ดี เราพูดออกไปคนก็ยิ่งว่ากลับมา ว่าเราดีหรือยัง นั่นเป็นคำถามที่ศิษย์ต้องคิดจริงๆ ว่าตัวเองดีหรือยัง ว่าเราพร้อมหรือยังใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงตรงนี้แล้วอาจารย์ยิ่งอยากให้ศิษย์นั้นรู้จักจิตใจของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น การบำเพ็ญธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่ยาวไกล คนที่เข้าถึงคำว่าบำเพ็ญจริงๆนั้นมีน้อย แค่เรียกศิษย์ให้มาสถานธรรมบ่อยๆ ฟังธรรมะที่บอกว่าซ้ำๆ ซากๆ ฟังให้เข้าใจ ถ้าเราทำได้เราย่อมพัฒนาขึ้น
ธรรมะไม่มีสีสัน ไม่มีความหลากหลาย ไม่มีความหวือหวาให้ศิษย์นั้นได้รู้สึก จะหวือหวาตอนที่ศิษย์เอาไปทำแล้วมันไม่ได้อย่างใจนั่นแหละ เป็นรสชาติของการบำเพ็ญ หลายคนเคยรู้รสชาตินี้มาแล้ว และก็เคยแพ้มาแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าลุกขึ้นสู้ใหม่หรือยัง สู้ไหม (สู้)  พูดว่าสู้นี้คือสู้ใจตัวเอง พูดว่าชนะนี้คือ ชนะตัวเองใช่ไหม (ใช่)  เวลาที่เราจะไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งก็เปรียบเหมือนกับการง้างธนู เวลาง้างขึ้นมานิดเดียวแล้วปล่อยได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องง้างออกมาให้ถึงที่สุด ต้องออกแรงหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่เราง้างนี้ก็เปรียบเสมือนเราเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง พร้อมทางด้านจิตใจ พร้อมทางด้านปฏิบัติ บารมีก็สำคัญ
วันนี้ศิษย์มากมายจะให้แต่ละคนนั้นตอบทั้งหมดก็คงจะไม่ไหว ใครที่ได้แล้วก็ให้ผู้อื่นไปดีหรือไม่ (ดี)  ให้คนข้างๆ เราที่เขายังไม่ได้ เป็นการฝึกการเสียสละ ทำตนเป็นคนดีนะ เป็นคนดีฟ้าดินรัก เป็นคนดีอาจารย์ก็รัก ศิษย์ไม่ดีอาจารย์ก็รัก แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์จะสู้กับเจ้ากรรมนายเวรไปได้แค่ไหน เห็นคนอื่นโชคร้ายก็ต้องย้อนมามองตัวเองว่าเรานั้นจะโชคร้ายอย่างนี้หรือเปล่า ความโชคดีไม่ได้มีแบบนี้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่รู้ว่าตอนนี้จะนับเป็นช่วงเริ่มต้นของศิษย์หรือยัง เหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตก่อนหน้าที่จะมาประชุมธรรม ขอให้ตรงนั้นเป็นช่วงก่อนเริ่ม และขอให้วันนี้เป็นช่วงที่เริ่มต้น อาจารย์ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างในเพลง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเริ่มด้วยดีและดีตลอดไป แน่นอนคนทำดีก็อาจจะไม่มีใครเห็นว่าเราดี แต่เรารู้ตัวไหมล่ะว่าเราดี อย่าเรียกร้องจากคนอื่นให้มาเรียกร้องจากตัวของเราเอง  ถ้าหากยังคิดว่าให้คนอื่นมองเราดีให้ได้ ก็แสดงว่าเรานั้นยังหว่านพืชเพื่อหวังผล  ทำจิตใจของตัวเองให้ดีๆ ดีไหม (ดี)  บำเพ็ญธรรมไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าจิต จิตดีมองทุกเรื่องก็ดี จิตไม่ดีมองอะไรก็ดูจะร้ายไปหมด
ทำตัวเราให้ดีๆ เราอยู่ตรงนี้เราเป็นอนาคตของทางธรรม เราอยู่ข้างหน้าเราเป็นแบบอย่างให้สังคม โลกนี้การบำเพ็ญไม่ได้มีแค่ที่แคบๆ ตรงนี้ แต่ข้างนอกก็เป็นหน้าที่ของศิษย์เหมือนกัน ถ้าหากว่ายังตื่นบ้างหลับบ้าง มีใจบ้างไม่มีใจบ้างก็ลำบาก
ตอนนี้อาจารย์มีคำพูดมากมาย ไม่รู้จะพูดจากตรงไหนก่อน มันมากมายเกินกว่าที่จะพูดออกมาหมด
อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนเป็นคนดี และเชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นก็มีอาจารย์ในหัวใจ
อย่าปล่อยให้อำนาจของความหลงนั้น มีอำนาจเหนือพุทธะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งลวงล่อใจล้วนเป็นสิ่งลวงตา สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ขอให้รักษาไว้ให้ดีๆ ทุกอย่างต้องได้มาอย่างถูกต้อง อย่าให้กรรมมาติดตัวมาก ขอให้มีทุกวันเป็นวันที่แสนดี
สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจะมาได้ทุกวัน ทุกครั้ง  วันหนึ่งอาจจะมาไม่ได้ แล้วถึงตอนนั้นศิษย์ของอาจารย์จะพึ่งใคร
คนที่เป็นพี่ก็มีหน้าที่แทนอาจารย์ ถ้าเราทำไม่ดีแล้ว อาจารย์จะหวังจากใคร เวลาตอบอาวุโส อย่าตอบแต่ไม่รู้ เราต้องรู้ทุกเรื่องต้องทำให้ถูกต้อง เข้าใจไหม เราต้องรู้ ไม่รู้เราก็อาจจะต้องแบกกรรมในส่วนที่เราไม่รู้ก็ได้
มาสถานธรรมบ่อยๆ บำเพ็ญมากๆ หวังว่าวันนี้ วันหน้า หรือวันไหนๆ อาจารย์คงได้เจอศิษย์เสมอ และศิษย์ยังเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์เสมอ วันนี้ไม่เชื่ออาจารย์ไม่เป็นไร ขอให้นำธรรมะที่ได้ฟังไปปฏิบัติ ขอให้ปฏิบัติด้วย ปลูกเนื้อนาบุญในใจให้งอกงามด้วย วันหน้าเจอกันใหม่ ศิษย์ที่น่ารักทั้งหลาย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เก็บเกี่ยว”

ทำผิดไม่อยากให้ใครรู้เห็น แต่ทำดีแรกเริ่มเป็นหวังคนชม
ในโลกนี้คำติก่อนคำชม ดังรสขมมาก่อนหวานเสมอมา
ไม้ตรงค่ามากหลายประโยชน์มี คนตรงนี้มิตรพึงเร่งคบหา
ทำดีกับคนก่อนไม่เสียเวลา อ่อนน้อมพาเป็นที่รักทั่วไป

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผลสมบูรณ์”

สอบจิตซึ่งหน้าไม่อ้อม คนพร้อมต้องพร้อมก่อนมา
โลกหนีไม่พ้นชะตา รักษาเวลานาที
เมื่อเหตุทยอยตกผล จิตอกุศลกดขี่
ยุคท้ายมารฉุดข้าชี้ อาจารย์นี้รอเจ้าคืน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544

2544-10-13 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี (ชั้นฐันจู่)


วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

น้ำรวมตัวกันเป็นสายธารา อันภูผาเกิดจากหินก้อนน้อยน้อย
รวมพลังคนละนิดคนละหน่อย หนึ่งสู่ร้อยยากมีอะไรทำลายได้
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์   กราบ
องค์มารดา ถามเมธีศิษย์ชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนตั้งใจฟังคำอาจารย์ ฮา    ฮา
เสียงจากใจรินไหลไปไม่เคยสิ้น อยู่แดนดินเคล้าทุกข์โศกโลกปลุกปั่น
ชีวิตหนึ่งเป็นเพียงฝันไม่ยาวนาน ศิษย์รู้กาลเร่งตื่นใจไม่สายเกิน
บางคนยังชะล่าใจบำเพ็ญอยู่ แต่ใจดูเลื่อนลอยเมฆคล้อยต่ำ
อันเวลาไม่คอยคนคร้านเดินย่ำ ศิษย์จะนำคนอื่นต้องนำตนก่อน
ได้ชื่อว่าบำเพ็ญต้องเคร่งครัด เดินทางลัดอาจลำบากอดทนเถิด
ศิษย์ต่างมีจิตใจแสนประเสริฐ อย่าได้เกิดอวิชชาเข้าครอบงำ
ศึกษาธรรมให้หนักหน่อยจักได้รู้ ผิดเป็นครูแต่อย่าได้คอยอ้างนั่น
ทุกคนต่างก็มีความสำคัญ จงยืนยันทิศทางด้วยการลงมือ
อย่าได้มีเพียงชื่อน่าเศร้าใจ ทำลงไปรับผิดชอบทุกสิ่งสรรพ
บัดนี้ฟ้าคับขันจึงบังคับ ให้คนรับมือบำเพ็ญให้จริงจัง
มหาธรรมทางสายใหญ่มากคนเดิน ใครเดินเพลินย่อมถูกทิ้งอาจเป็นได้
ปลูกถั่วย่อมได้ถั่วไม่คลาดไป คนตั้งใจทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น
ทั้งพูดจาพรสวรรค์ใช่มีทุกคน ธรรมแยบยลน้อยคนแจ้งอย่างแท้จริง
แต่ยังหวังว่าทุกคนทำจิตนิ่ง เร่งละทิ้งตัณหาเหตุกรรมทั้งมวล
ฝึกคุณธรรมอดทนต่อความกลัดกลุ้ม คนใดที่ทุ่มเทจิตจงเมตตา
เป็นดั่งโพธิสัตว์อวตารมา ทุกสิ่งหนาคือหน้าที่ของตนเอง
ปรมิตาทั้งหกอยู่กลางใจ วิริยะเหมาะสมในศิษย์กลุ่มนี้
จงรักษาโอกาสทุกนาที อย่าได้มีจิตน้อยใจใดเผชิญ
ปัจจุบันคนเห็นคนเป็นศัตรู จงเชิดชูฝึกอ่อนน้อมเข้าขันแข่ง
จงยอมให้งานเลือกคนฝึกความแกร่ง อย่าได้แบ่งฉันและเธอให้หมองใจ
ขอให้ฟังคำส่อเสียดเป็นเสียงเพลง และรู้เกรงใจผู้อื่นไม่เสียหาย
ช่วยเหลือกันผูกมิตรให้ทั่วไป อันว่าใครต่างชมชอบอยู่กับคนดี
เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วอย่าแปรใจ ช่วยเจ้าแต่ละคนไม่ใช่ง่ายง่าย
ศิษย์รักเอยอย่าเอาแต่รักสบาย กาลยุคปลายทนลำบากเราช่วยกัน
สถานธรรมเพิ่มขึ้นหนึ่งแห่งยามใด เปรียบดอกบัวผุดอยู่ในแดนวิมุติ
จงอดทนตั้งใจให้ถึงที่สุด เพื่อได้หลุดพ้นเกิดตายคืนแดนเดิม
ขณะนี้พระอาจาริณีร่วมอยู่นี่ ศิษย์จงมีจิตศรัทธาและมุ่งมั่น
ต่างก็มีบุญและกรรมมาร่วมกัน ฝ่าภยันด้วยจิตแท้ทดสอบจริง
ในวันนี้ชั้นเรียนของฐันจู่ จงเรียนรู้กลับไปให้มากมาก
เพื่อช่วยคนในแดนโลกอันหลายหลาก ฝ่าความยากที่สุดจะพบสบาย
ใครที่ยังพุทธระเบียบไม่แคล่วคล่อง ให้ย้อนมองตนเองเร่งก้าวหน้า
อย่าได้เอาฝึกแต่ง่ายเท่านั้นนา หนึ่งชีวาช่วงสั้นสั้นสั้นเหลือเกิน
เคารพเบื้องหน้านำพาผู้น้อยเจ้าอย่าลืม ชาตินี้ยืมกายปลอมบำเพ็ญแท้
มีทุกวันนี้ได้เพราะอาวุโสดูแล อย่าคิดอย่างเอาแพ้เอาชนะเลย
จากเบื้องบนลงมาหล้าด้วยสำราญ เวลาผ่านค่อยหมดไปต้องจำจาก
อาจารย์อดไม่ได้น้ำตาพราก หมื่นถ้อยคำไม่อาจฝากให้สิ้นความ
จงเดินทางด้วยสวัสดิภาพทางบำเพ็ญ ถึงลำเค็ญอาจารย์จะอยู่เป็นเพื่อน
ขอเพียงจิตพวกเจ้านั้นอย่าลางเลือน ใครมาเตือนนึกเสียว่าฟ้าฝากมา
จงทำตนเป็นแบบอย่างให้ดีดี หากใครที่ยังเบียดเบียนเร่งกระเตื้อง
จงรู้ว่าชีวิตอันฟุ้งเฟื่อง อย่าสิ้นเปลืองกุศลไปสลายกรรม
เพียงนาวาล่องลอยอยู่กลางน้ำ ฟ้าใกล้ค่ำทัศนคติต้องตรงเที่ยง
ต้องตรวจสอบกันบ่อยบ่อยอย่าเอนเอียง อุปสรรคเพียงเครื่องวัดใจคนเดินทาง
ในวันนี้ยินดีเจอศิษย์รัก ขอตระหนักปัญหาต่างด้วยปัญญา
อย่ายิ่งเพียรยิ่งหลงงมงายนา อันทรัพย์สินแม้นมีค่าไม่ติดตัว
ขอให้ตั้งใจฟังวันนี้ให้ดีดี หากว่ามีโอกาสจะเร่งมาเยือน
กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     เทียมเมฆาคืนสู่แดนนิพพาน

ฮา  ฮา  ถอย

วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
พระโอวาทท่านเอวี้ยฮุ่ยซือหมู่

ในจิตใจมีกรอบเหลี่ยมที่เข้มงวด ภายนอกกวดขันลักษณะไม่หน่ายหนี
คือจิตใจที่รักษาระเบียบประเพณี อ่อนน้อมมีอยู่ภายนอกเสมอมา
เราคือ
เอวี้ยฮุ่ยซือหมู่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา พร้อมด้วยความเมตตาของซือจุน
ถามศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรมยังท้อแท้กันหรือเปล่า

จุดตะเกียงให้สว่างกลางจิตใจ การช่วยเหลือต้องมีใจเมตตาแท้
ขณะเดียวกันหมั่นพิจารณาผิดรู้แก้ หมั่นดูแลตนดีทั้งนอกใน
มือซ้ายปักธูปลงในกระถาง ใจเป็นกลางสงบนิ่งจึงยิ่งใหญ่
สำรวมตนดีให้พร้อมจากจิตใจ หน้าที่ให้รู้รับผิดชอบย่อมเจริญ
ก้มกราบด้วยจิตศรัทธาเฝ้าสำนึก คอยตรองตรึกทุกขณะให้ดีเถิด
เฝ้าหมั่นเพียรสำรวจตนสู่ความประเสริฐ ไม่ปล่อยตนให้จิตเกิดมารครอบงำ
พร้อมสะดวกต้อนรับด้วยไมตรี ไม่เกี่ยงมีมากน้อยหรือเช้าค่ำ
ชี้แนะกล่าวเตือนรู้เหมาะปัญญานำ เรือทั้งลำผ่านมรสุมด้วยสามัคคี
สถานธรรมรู้รักษาความสะอาด หวังผงาดแต่เลอะรกไร้ราศี
หมั่นดูแลทุกขณะกลางวารี ให้ฤดีสะอาดดั่งแท่นบูชา
อยู่ร่วมกันรู้ถ้อยทีถ้อยอาศัย ความจริงใจต้องมีในทุกสถาน
โอบอุ้มกันช่วยเหลือกันกาลนาน อย่าเผาผลาญใจตนด้วยความคิดไม่ดี
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทท่านเอวี้ยฮุ่ยซือหมู่

ในการบำเพ็ญธรรม  ถ้าหากใครสามารถเจริญรอยตามแบบอย่างของเรา  ก็คงได้พบเราแน่นอน  แต่ว่าใครล่ะจะยอมรับความลำบาก จะยอมรับทุกข์ของเวไนย  หาได้ง่ายไหม  ศิษย์บางคนก็ยังบำเพ็ญแบบลุ่มๆ ดอนๆ บางคนก็ทำได้ดีแล้ว  แต่ว่าจิตใจก็อ่อนแอเหมือนคนที่จะหมดลมหายใจ  ไม่วันนี้ก็วันพรุ่ง  ทำไป  เพราะว่าหน้าที่บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้พยายามมองให้ออกปลงให้ตกว่า โลกนี้อะไรคือความสุข  อะไรคือความทุกข์ สิ่งที่ศิษย์ได้รับอยู่นั้นเรียกว่าสุขหรือ  ลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง สักการะที่เราได้นั้นนี่สุขหรือทุกข์กันล่ะ  ถ้าเมื่อใดที่เราไม่รู้ว่าโลกนี้คือความทุกข์  ชีวิตนี้ไม่จีรัง เรายังมองทุกข์ไม่ออก  เรายังปลงไม่ได้  เราจะไม่สามารถบังเกิดจิตที่เมตตาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เราจะไม่สามารถเกิดปณิธานที่มุ่งมั่นยอมรับทุกข์แทนเวไนยได้  แม้ตัวเองจะเจ็บ  แม้ตัวเองจะตาย ก็ขอให้เวไนยได้รู้ตื่น
 ศิษย์ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพระก็เหมือนกับเรา  ที่ชีวิตนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตัวเราเท่านั้น  วันๆ เราได้แต่กราบขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้น้อยที่อยู่ข้างหลังอย่าได้รับทุกข์อีกต่อไป  ถึงเราจะตายในวันนี้  ก้มกราบจนไม่มีแรงจะยืนแล้ว  เราก็ขอรับ เพื่ออะไรล่ะ  เพื่อให้ทุกท่านบำเพ็ญได้อย่างเป็นสุข ไม่มีอะไรที่ต้องทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้ยังรู้สึกว่ายิ่งบำเพ็ญ       ต้องอดทน ต้องทุกข์ยาก  เราอยากบอกว่าน้อยแล้วนะ  น้อยแล้ว   น้อยจริงๆ เราไม่มีโอกาสมีร่างกายนี้  สิ่งที่จะช่วยก็เลยช่วยได้เท่านี้  ฟ้าเบื้องบนก็เมตตาให้เราได้ช่วยท่านได้เท่านี้  โอกาสที่จะช่วยทุกท่านที่มาข้างหลังก็เลยได้ไม่เต็มที่  อาจารย์ของท่านก็เลยต้องรับภาระหนัก  แต่ขอให้รู้ว่าเมื่อใดที่ท่านยังมีธรรมะอยู่ในใจ  เมื่อนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยห่างหายไปจากใจ  แต่ถ้าเมื่อใดท่านบ่นท้อ ท่านท้อแท้ ธรรมะจะไม่อยู่ในตัวท่านเลย แต่จะกลายเป็นมารที่ครอบงำชักนำท่านให้ยิ่งเดินยิ่งไม่มีวันถึง  ให้ยิ่งบำเพ็ญยิ่งไม่อาจค้นพบ  กลับยิ่งลุ่มหลงกลับยิ่งมืดมิด
หากเราสบายในวันนี้  แล้วท่านต้องลำบาก  เราก็ขอเดินจนตายก็ยังดี  เราไม่อยากสบายเพื่อให้ท่านต้องทุกข์ยาก ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม การทดสอบความยากลำบากจึงอยู่ที่จิตใจของตัวท่าน จะหาผู้นำให้รับทุกข์แบกทุกข์แทนท่าน  พุทธะก็ทำไม่ลง อาจารย์หรือซือหมู่เราก็ทำไม่ได้  สู้เรารับเองดีกว่าไหม  อย่างน้อยเราก็ไม่มีกายให้เจ็บปวดอีกแล้ว เหลือแต่จิตใจที่ห่วงหาและยอมเจ็บปวดแทนดีไหม  เราเป็นศิษย์อาจารย์กันใช่หรือไม่  (ใช่)  รู้ไหมแม้เราตายบางทียังไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่ที่ไหน  ชื่อไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร  เราเห็นน้ำตา เห็นความทุกข์ยากท่านมามากแล้ว  เรารู้ว่ามันยากเหลือเกินจะบำเพ็ญในยุคนี้ จิตใจก็รักสบาย  อยากจะช่วยคนก็เป็นอย่างไร  ช่วยเขาไม่ได้  เพราะตัวเองยังปลงไม่ตก  ยังไม่รู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ง่ายเลยใช่ไหมที่วันนี้เราได้มีโอกาสมาผูกบุญร่วมกัน  ต้องขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณฟ้าเบื้องบน และผู้อาวุโสที่นำพาทุกท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้มีทุกท่านในวันนี้  แต่ว่ามีข้างหน้าจึงมีข้างหลัง  แต่ข้างหน้ากับข้างหลังอย่าทำให้เกิดช่องว่าง  จงอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี    อย่าเพราะว่าเห็นเป็นผู้ใหญ่ ใช่ ความอ่อนน้อมต้องมี แต่อย่าเกรงกลัวจนไม่กล้าที่จะคุยหรือปรึกษา  อย่างนั้นเราจะทำงานเข้ากับท่านไม่ได้ การจะทำงานเข้ากับใครได้  เราต้องรู้ว่าข้างหน้าต้องการอะไร  ข้างหลังจึงเดินได้ถูก  ถ้าหัวเดินทางหนึ่ง หางคิดอย่างหนึ่ง  ก็ย่อมไปได้ไม่สวย  จะเป็นหงส์หรือเป็นมังกรก็อยู่ที่ว่าเราเลือกแบบที่จะบำเพ็ญเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
ทุกวันต้องกราบพระ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กราบพระ ปักธูป จุดตะเกียง  ทุกขณะจิตต้องสำรวม ใสบริสุทธิ์และสะอาด อย่าทำแบบลวกๆ ผ่านๆ ไม่อย่างนั้นกราบพระไปก็ไม่ได้อะไร  ทุกขณะที่ทำ ทุกขณะที่ก้าว ล้วนเป็น จริยระเบียบที่ได้ให้ฝึกเป็นพุทธะ รู้จักน้อมนำหวนกลับมามองตัวเอง ด้วยความสำนึก ด้วยจิตใจที่ตรงเที่ยง ว่าอะไรที่ตัวเองทำในวันนี้  พิจารณาดูทั้ง 9 หรือสำรวจดูทั้ง 3 สิ่งที่พูดตลอดทั้งวันถูกต้องไหม  เที่ยงหรือเปล่า  สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้ฟัง ได้ลงไปค้นคว้า ได้ลงไปสืบหาดูว่าถูกต้องไหม สมควรหรือเปล่าที่จะเอามาพูดหรือเอามากล่าวต่อไป  หากมองสิ่งใดก็จงรู้ว่าอะไรต้องมอง  อะไรไม่ต้องมอง  ตาเมื่อเปิดแต่ก็ยังรู้จักปิดได้เมื่อยามฝุ่นผงเข้า  เมื่อยามมีสิ่งใดมากระทบ  ฉะนั้นก็ต้องรู้ไว้ว่าจิตเราก็เฉกเช่นเดียวกับนัยน์ตาที่มองเห็น  แม้จะมองเห็น แต่บางครั้งก็ต้องปิดใจไม่รับรู้บ้าง  ได้ทำงานสิ่งใดก็จงเคารพในงานที่ตัวเองทำ ทำด้วยความเคารพ  ทำด้วยความศักดิ์สิทธิ์  งานที่ออกมาย่อมดูยิ่งใหญ่  ย่อมดูมีค่าและทรงเกียรติ  แต่ถ้าสิ่งใดทำแล้วไม่แจ่มชัด ต้องรู้จักไต่ถาม ค้นคว้าจากอาวุโสหรือค้นคว้าจากหนังสือ  ใบหน้าต้องยิ้มแย้ม ท่าทีต้องอ่อนน้อม อย่าไหว้พระด้วยความหวานอมขมกลืน  เห็นหน้าพระก็กลายเป็นเหมือนเห็นหน้าอะไร  อย่างนี้ไม่เอา
ต้องรู้จักพอใจในการแสวงหาในโลกนี้บ้าง เมื่อไรที่มาหยุดยืน ถึงเวลาที่จะไหว้พระ  เมื่อนั้นต้องหยุดแล้ว วางแล้วซึ่งทุกสิ่ง  ถึงเวลาแล้วที่ต้องปล่อยวาง  รู้ไหมทำไมถึงกำหนดการไหว้พระเป็นเวลา ก็มีความนัยตรงที่ว่า ถึงเวลาที่เราต้องพอแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องหยุดได้แล้ว  กลับมามองที่ตัวเอง  กลับมาค้นหาซึ่งพุทธะในใจ กลับมาสำรวจความผิดของตัวเองว่ามีมากน้อยแค่ไหน อย่าได้เป็นผู้ที่ไหว้พระแล้วก็ท่องเป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง  แต่ไม่ได้มีจิตสำนึกหรือระลึกถึงว่าแต่ละพระองค์กว่าที่ท่านจะสำเร็จกลับคืนขึ้นไปได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละพระองค์มีบุญคุณกับตัวเรามากแค่ไหน  ทุกขณะที่กราบไหว้ต้องระลึกได้ถึงจริยวัตรอันดีงาม ประวัติที่น่าเจริญรอยตาม  สำรวจตัวเองด้วยว่าวันนี้คิดดี  ทำดี  พูดดี พร้อมสมบูรณ์ไหม  กล่าวสิ่งใดไปบิดเบือนเผลอไผลหลงลืมไม่ได้ทำตามหรือเปล่า วันนี้ได้ความรู้หรือวันต่อไปเรียนรู้อะไร  ได้ยินใครพูดอะไร เอามาตรวจสอบ เอามาวัด เอามาคิดพิจารณาหรือไม่  หากทำได้เช่นนี้ก็ถือได้ว่าทุกขณะที่ก้มกราบ ปักธูป จุดตะเกียง ก็มีค่าแห่งการบำเพ็ญแล้ว  แต่จะพูดมากไปทำไมล่ะ  ถ้าจิตของศิษย์รักทุกคนยังไม่รู้ว่าอะไรคือการบำเพ็ญ  แล้วทำไมต้องบำเพ็ญ ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าจะไหว้พระไปแต่ไม่ได้ศึกษาเพิ่มเติม  ฉะนั้นต้องรู้ด้วยว่าแม้จะไม่ได้เป็นอาจารย์บรรยาย เป็นแค่ผู้ดูแลห้องพระ  แต่ธรรมะยังต้องศึกษาเอาไว้  ต้องเรียนรู้ไว้ว่าเรือธรรมะนี้คืออะไร  การปลดปล่อยหมายถึงอะไร ใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เคยจำอะไรเลย  แล้วศิษย์รักทั้งหลายจะส่งเสริมคนได้อย่างไร  แล้วจะนำพาคนอื่นได้อย่างไร
ห้องพระนี้บางครั้งมีคนก้าวเข้ามา  ใบหน้าศิษย์ต้องยิ้มแย้ม  ทุกเวลาต้องพร้อมเสมอ สะดวกให้แก่การมีคนเข้ามาศึกษา ไม่เกี่ยงงอนว่าจะเช้าหรือจะค่ำ จะมากหรือจะน้อย  แม้ตัวเองจะเหนื่อยขนาดไหน แต่เมื่อเขามาถึงบ้านเรา  เราต้องอย่าดูดาย  เราต้องดูแล เราต้องช่วยเขา  เขาเหมือนคนหลงทางเข้ามาอยู่ในบ้านเรา เขาเหมือนคนที่ทุกข์เข้ามาอยู่ในบ้านเรา  จิตเมตตาต้องบังเกิด  ช่วยเขาปัดทุกข์ให้เป็นความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า  รับธรรมะนั้นง่าย  ทำไมบำเพ็ญจึงแสนยาก หรือบำเพ็ญง่ายแต่ทำไมจึงเข้าใจเรื่องธรรมะได้ยากเหลือเกิน  ก็เป็นเพราะว่าเราไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย ใช่หรือไม่  (ใช่)  จิตใจของศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงง่าย พอเปลี่ยนไปเราก็เริ่มไม่ค่อยมั่นใจในธรรมะ ไม่ค่อยเคารพในอาวุโส  เบื่อหน่ายที่จะกราบพระและลงแรงบำเพ็ญ เป็นเพราะอะไร  เป็นเพราะว่าบุญสัมพันธ์นั้นเบาบาง ความเข้าใจนั้นตื้นเขิน  จิตมุ่งมั่นเสียสละนั้นอ่อนแรง  การบำเพ็ญจึงลุ่มๆ ดอนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพลียกันไหม  บางคนมาจากที่ไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังมาทั้งวันเพลียกันหรือเปล่า  (ไม่เพลีย) เหนื่อยไหม  (ไม่เหนื่อย)  ต้องขอบคุณฟ้าดินจริงๆ นะที่ทำให้เรามีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านอีก ถ้าไม่มีเบื้องบน ไม่มีพระอนุตตรธรรมมารดา  เราก็คงไม่ได้มาผูกบุญกับท่าน   และเราก็คงไม่รู้ว่าเรามีชีวิตไปเพื่ออะไร  ทำไมเราจึงต้องช่วยคน ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้รู้บ้างหรือยัง  นาวาธรรมหรือสถานธรรมมีความหมายว่าอะไร  การปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรมคือการกระทำเช่นไร  สองอย่างนี้ต้องรู้ชัด ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้  แล้วทำไมจะต้องลงแรงบำเพ็ญทั้งกายและใจ  ก็เพราะว่าใจของเรานั้นมีพุทธะอยู่ใช่ไหม (ใช่)  เราจะต้องรู้คุณค่าของตัวตน  รู้คุณค่าของกายตนนี้แล้วตั้งใจบำเพ็ญด้วย  แล้วรู้ไหมว่าทำไมธรรมะจึงอุบัติลงมาในยุคนี้  สี่อย่างนี้ขอให้ผู้ดูแลสถานธรรมทุกๆ คนต้องพยายามหาความกระจ่างในจิตใจให้ได้
ทำไมต้องช่วยคนล่ะ  ตราบใดที่มนุษย์โลกยังมีความทุกข์  ตราบนั้นจิตเมตตายังต้องมี  มีไว้เพื่ออะไร  มีไว้เพื่อขจัดความเห็นแก่ตน  ขจัดความคิดยึดติดในตัวตน ให้รู้จักให้ด้วยความบริสุทธิ์  ให้โดยที่ไม่หวังอะไร  ให้แม้ตัวเองจะทุกข์  แต่คนอื่นสุขก็ยินดีและเต็มใจ นี่คือการฝึกเมตตาจิตเฉกเช่นพุทธะ  เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก  แต่เราลองมุ่งมั่นดูด้วยใจรัก  ด้วยใจที่ตั้งมั่นไม่ยอมแพ้  อะไรมาขวางหน้าก็จงยิ้มสู้  จะรู้ว่าเป็นบันไดให้เขาก้าวได้สูงขึ้นๆ ยิ่งเจอใครทุกข์ ยิ่งเจอใครเดือดร้อน เรายิ่งต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ยิ่งเดินเข้าไปหา  ยิ่งเข้าไปประคับประคองโอบอุ้มให้เขาฟื้นขึ้นมาเป็นคนที่สู้ได้อีก  มีคุณค่าอีก อย่ามองว่าการฉุดช่วยคนอื่น  การยอมให้คนอื่น การเสียสละให้คนอื่น คือทำเพื่อคนอื่น แท้จริงแล้วไม่ใช่  ทุกขณะที่ทำให้เขา ทุกขณะที่ช่วยเขา หรือทุกขณะที่นึกถึงเขา นั่นคือเราได้ฝึกตน ตนที่ไม่มีตน  ตนที่ว่างเปล่า ตนที่ประเสริฐ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องหนักแน่น  เป็นกุลสตรีแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนนิ่มนวล  แต่ภายในจิตใจต้องเข้มแข็ง เข้มงวดรักษาซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีของความเป็นหญิง  สืบทอดจริยวัตรอันดีงาม เป็นแบบอย่างให้รุ่นลูกรุ่นหลาน  แม้ศิษย์รักฝ่ายชายดูภายนอกเข้มแข็ง แต่จิตใจก็อย่าได้อ่อนยวบยาบสู้อิสตรีไม่ได้ อย่างนั้นไม่ถูกต้อง  อย่าเกี่ยงงาน หนักก็เอาเบาก็สู้  ต้องร่วมมือกันประสานกันอย่านิ่งดูดาย เขาเหนื่อยเราสบาย อย่างนี้หรือคือผู้บำเพ็ญ ไม่ได้ ไม่ใช่  เขาเหนื่อยเราต้องเหนื่อยกว่า เขาทุกข์เราต้องแบกรับทุกข์ แม้จะหนักกว่า เราก็ต้องสู้  นี่คือจิตแห่งพุทธะ  นี่คือจิตของผู้บำเพ็ญ รับไหวไหม (ไหว)  คิดให้ดีๆ นะ  รับปากซือหมู่แล้ว  จะรับปากต้องคิดให้ดีๆ อย่าได้แต่รับ  ไม่อย่างนั้นทุกข์ไป เหนื่อยไป ก็คือศิษย์เองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์อยู่ในห้องพระ อะไรเรียกว่า แนะนำ อะไรเรียกว่า ว่ากล่าว อะไรเรียกว่า ตักเตือน ต้องแยกให้ออก เพราะบางครั้งเราเป็นผู้ที่อยู่ในห้องพระ  ตอนไหนชี้แนะ ตอนไหนกล่าวเตือน ตอนไหนพูดจา ต้องแยกให้ออก อย่าเอาอารมณ์มาสับสน   ปนเป  อย่าเอาจิตมนุษย์มาพูดกับมนุษย์  ไม่อย่างนั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่อง  แต่จงเอาจิตแห่งพุทธะ จิตแห่งโพธิสัตว์มาคุยกับเขา ทำได้ไหม  ด้วยปัญญาของศิษย์รักเองศิษย์รักจะรู้ว่าคนไหนควรพูด คนไหนควรเตือน  เวลาตอนไหนควรบอก เวลาตอนไหนไม่ควรบอก ต้องรู้ ใช้ปัญญาหยั่งรากลึกลงไปในตัวตนเอง  สติต้องมีอยู่เสมอ  ต้องรู้พร้อมและตามเท่าทัน อย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่  อย่าถือความรักความชอบจนหน้ามืดตามัว แยกไม่ออก อย่าเห็นคน ส่งเสริมคนแต่เพียงภายนอก แต่ต้องส่งเสริมเขา ช่วยเขาให้ถึงจิตใจ เข้าให้ถึง แล้วจะนำพาเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ซือหมู่เราเห็นห้องพระแต่ละห้องพระล้วนสวยงาม ดูเป็นระเบียบ แต่ทำไมสวยงามแต่ห้องพระ  ส่วนอื่นสกปรกเลอะเทอะกันจังเลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  อะไรเลอะก่อน ใจเลอะ แล้วก็รก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้องพระสวย องค์พระขาว โต๊ะพระเรียบร้อย แต่ที่อื่นเลอะเทอะช่างปะไร  ได้หรือเปล่าศิษย์รัก  ไม่ได้นะสะอาดต้องสะอาดหมดจด สงบราบเรียบก็ต้องสงบราบเรียบให้หมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าสะอาดแต่ห้องพระ แต่ใจยังขมุกขมัว ยังสกปรก หรืออย่าสะอาดตรงโต๊ะพระ แต่ใต้โต๊ะฝุ่นเขลอะอย่างนี้ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้สวย แต่น้ำในแจกันกลับเน่าเหม็น หมายความว่าอย่างไร  ศิษย์รักรู้ดีใช่หรือไม่  อย่ามองหนึ่งให้เป็นหนึ่ง แต่ต้องรู้จักมองหนึ่งแล้วแตกเป็นสอง เป็นสามได้ นี่คือใช้ปัญญา ไม่อย่างนั้นวันนี้พูดกันทั้งวันศิษย์รักก็ไม่ได้นอนแน่เลย
คงมาเวลาสั้นๆ นะ อยากอยู่กับศิษย์รักให้นานๆ อยากพูดจาส่งเสริมให้มากๆ แต่บางครั้งคำพูดก็จุกอยู่ในลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากมาย เพราะก็เห็นว่าศิษย์รักทุกคนบำเพ็ญได้ดีแล้ว  จะมีผิดมีพลาดบ้างศิษย์รักก็รู้กันเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ทุกขณะยิ่งบำเพ็ญยิ่งมองเห็น อะไรดีอะไรไม่ดีในตน  ทุกขณะยิ่งบำเพ็ญยิ่งอ่อนน้อมลง  ยิ่งใสยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งเที่ยงตรง  อย่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้ง กิเลสและความไม่ดีของผู้อื่น  สถานธรรมไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ล้วนต้องดูแลให้ดี  ล้วนต้องมีและต้องส่งเสริมบุคลากรให้ขึ้นมาให้ได้  เราเหมือนคนที่ยืนอยู่ในเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง  จะช่วยเขาต้องช่วยให้ทั่วให้เท่าๆ กัน ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  แม้จะอยู่ลำเล็กแต่ถ้ามีโอกาสอย่าลืมหมั่นมาดูแลลำใหญ่บ้าง  อย่าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของเขา แล้วไม่ใช่หน้าที่ของเรา  ขึ้นชื่อว่าฐันจู่ แปลว่า ผู้ดูแลสถานธรรม  ตอนตั้งปณิธานมีบอกไว้ไหมว่า ต้องสถานธรรมลำนี้เท่านี้เท่านั้น มีหรือเปล่า (ไม่มี)  ไม่มี ตั้งขึ้นมานั้นตั้งด้วยใจหรือตั้งด้วยถูกบังคับ  (ตั้งด้วยใจ)  ตั้งด้วยใจ แล้วทำด้วยใจหรือทำด้วยหน้าที่ (ทำด้วยใจ) ตอบให้ได้ทุกวันนะ  อย่าทำเพราะหน้าที่  แต่ต้องทำเพราะใจของเรา  บำเพ็ญด้วยใจของเรา  ก้าวเดินทุกขณะไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำ ก็เพราะใจของเราต้องการช่วยเหลือ ต้องการช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ อย่าถือทิฐิ อย่าเอาอารมณ์ อย่าเอาแต่ตน ไม่อย่างนั้นยิ่งบำเพ็ญจะยิ่งสูญเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) ทำแล้วอย่าคิดสะสม  อย่าคิดเอาหน้า อย่าคิดหยิ่งผยอง เคยเห็นหมากรุกไหม ย่อมมีรุกและรับสลับกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รักร่วมกันบำเพ็ญ ต้องสลับกันเป็นคนรุก สลับกันเป็นคนรับบ้าง  อย่าเอาแต่รุกแล้วไม่รู้จักรับ อย่างนี้ก็ไม่ได้  หรืออย่าเอาแต่รับแล้วคิดนำไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขารุกกับขารับต้องได้เหมาะสม แล้วงานธรรมะจึงจะก้าวหน้าไปได้อย่างงดงามและรุ่งเรือง  เบื้องบนกับเบื้องล่างต้องประสาน  หากไม่ประสานกัน ทำงานในใจย่อมขัดแย้งจริงหรือไม่ (จริง)
 อย่าให้คนแพร่ธรรม แต่ธรรมไม่แพร่ในคน เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ เข้าใจวรรคนี้ไหม ธรรมะฟุ้งไป ธรรมะแพร่ไป  แต่ในใจของเราไร้ซึ่งธรรมไม่ได้นะ ใจเราต้องมีธรรมอยู่เสมอ เมตตาต้องให้บริสุทธิ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลงทำไมยังมีกันอยู่  ไม่ได้มีมานานแล้ว พอมีทำไมจึงปล่อยออกมาได้อย่างน่ากลัว  อย่างนั้นมีกับไม่มีก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ กลับมาก็เหมือนเดิม ไม่มีก็จงไม่มีตลอดไป อย่าได้เรียกกลับมาอีกรู้หรือเปล่า รู้ไหม บางครั้งถ้าเกิดมารมา กรรมเวรมาทวงถาม จิตเราต้องฝึกเป็นพุทธะ อย่าทำตัวเป็นมารรับกรรม ไม่อย่างนั้นจะลำบาก เมื่อมีกรรมมาทวงถาม ถ้าศิษย์รักทำได้เต็มที่ ปฏิบัติหน้าที่อย่างบรรลุเป้าหมาย แม้วันนี้กรรมจะมาทวงถาม ศิษย์รักก็จะจากไปหรือไปพร้อมกับกรรมได้อย่างไม่หวั่นเกรง แต่ถ้าเกิดหน้าที่ปณิธานศิษย์รักยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ กรรมมาทวงถาม ศิษย์รักจึงหวาดกลัว  จึงร้องขอให้พุทธะช่วย นั่นแปลว่าศิษย์รักต้องย้อนมองดูตัวเองแล้วว่า เป็นเพราะว่าเรายังทำไม่ถึง ยังไม่บรรลุหน้าที่ เราจึงหวาดกลัว เรายังมีสิ่งที่ไม่ดีเต็มไปหมด  เราจึงเกรงกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันหมั่นสำรวจ 3 บริสุทธิ์ 4 เที่ยงตรง ทำให้ได้ ทำให้ได้นะ หนักหรือเปล่า หนักไหมหน้าที่นี้ อย่าให้ห้องพระว่างคนหรือคนว่างธรรม ไม่ดีเลยนะ สวยงามไป สะอาดไป แต่ไม่มีใครอยู่ก็น่าเศร้าใจ  อย่าทำให้ห้องพระว่างคน และอย่าทำให้ตัวคนว่างจากธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
จงก้าวต่อไปด้วยความมั่นคง ถือปณิธานความมุ่งมั่นเป็นเหมือนไม้ค้ำยันให้ก้าวเดินไปอย่างไม่หวาดหวั่น ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ใจแม้จะดูเป็นกรอบเหลี่ยม แต่กรอบเหลี่ยมนั้นก็คือถือระเบียบพุทธะเคร่งครัดมีความเคร่ง ครัดในใจตัวเอง ภายนอกกลมมนใสหมายความว่าไม่มีเหลี่ยมมุมมาทิ่มแทงทำร้ายใคร นี่คือเหลี่ยมในใจ แต่กลมภายนอกทำได้ไหม (ได้) ต่อไปนี้บ่าของเราจะไม่เบาอีกแล้ว ต้องหนักและแบกรับภาระหน้าที่นี้ให้จงดี อย่าปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินใจ ลุ่มหลงในอายตนะจนลืมหน้าที่ตัวเอง ลืมปณิธานตัวเอง อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
 โลกนี้แม้จะสวยอย่างไร ก็ไม่สู้ทำจิตใจให้สวยให้ได้  โลกนี้จะดีอย่างไร ใครจะดีเท่าใด ก็ไม่สู้ใจของศิษย์รักงดงามและดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องดีให้ได้นะ บำเพ็ญต่อไปอย่ายอมแพ้ความทุกข์ยาก ซือหมู่เรารู้ว่าทุกข์นั้นเกิดเพราะว่าตัวศิษย์รักเองยังมีความไม่บริสุทธิ์ ยังไม่เที่ยงพอ ถ้าเมื่อไรศิษย์รักบริสุทธิ์และเที่ยงพอ ศิษย์รักจะรู้ว่าอุปสรรคและความยากลำบากนั้นแทบไม่มีเลย จริงไหม (จริง) และต้องปลงให้ตก มองให้ออกว่าโลกนี้คืออะไรกันแน่ โลกนี้คือสิ่งที่ให้เรามาแสวงหา แต่แสวงหาอะไรล่ะ แสวงหาคุณค่าแห่งตน ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนที่เป็นแบบอย่างอันดีงาม และมีอิสระอย่างอริยะ ใช่ไหม (ใช่) จงตื่นขึ้นและเป็นคนมองโลกได้อย่างใสและเข้าใจถ่องแท้ ในการแบ่งแยกก็ต้องมองออกว่าอะไรคือเอกภาพ ในเอกภาพก็ต้องมองออกว่าอะไรคือการแบ่งแยก นั่นแหละคือการบำเพ็ญ แล้วใช้จิต สติปัญญานี้หยั่งรู้โลกภายนอก หรือที่ปราชญ์กล่าวไว้ว่า บางครั้งไม่ต้องออกไปไหน อยู่ในบ้านก็เห็นทุกสิ่ง รับรู้เรื่องราวได้ทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ก็คงไม่กล่าวอะไรอีกแล้วนะ ให้ศิษย์รักบำเพ็ญกันให้ดีๆนะ ทำได้ไหม (ทำได้)

พระโอวาทซือหมู่เมตตากับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม
ตอนนี้ศิษย์รักสบายไหม  สบายกันหรือเปล่า แล้วถ้าลำบากจะทำกันอย่างไร  ต้องรู้จักฝึกฝนความลำบากด้วยนะ  ซือหมู่เรารู้ว่าตอนนี้ผู้นำมีทั้งความสบายและความลำบาก  แต่ถ้าสบายมากเท่าไร ลำบากก็จะตามมามากเท่านั้น เข้าใจความหมายเราหรือเปล่า  ทำไมซือหมู่จึงเป็นซือหมู่  ก็เพราะว่าซือหมู่รับความทุกข์ แต่ตอนนี้ศิษย์คือศิษย์ของซือหมู่  ทำไมถึงทำตัวสบาย  ไม่ใช่ซือหมู่อยากให้ศิษย์ลำบาก  แต่ว่าการโปรดเวไนยสัตว์  ถ้าเราไม่ลำบากบ้าง แล้วเราจะนำพาเขาได้อย่างไร  ถ้าเราไม่สามัคคีกัน อยู่กันรับปากกัน ยอมกัน แต่ในใจกลับไม่ได้ทำในสิ่งที่ปากตัวเองพูด


  วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔       สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
พระโอวาทท่านเม่าเถียน
ห่วงเวไนยที่ยังหลงไม่ตื่น ห่วงเวไนยที่ตื่นแล้วยังหลงหลับ
ห่วงคนที่รู้แล้วไม่ขยับ ห่วงท่านดับแล้วไม่อาจคืนแดนเดิม
เราคือ
เม่าเถียนศิษย์พี่เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านบำเพ็ญดีแล้วหรือยัง


พระโอวาทท่านเม่าเถียน

คนที่ไม่มีคุณสมบัติขอเชิญลงได้  กฎระเบียบต้องเป็นกฎระเบียบ  จริงๆ แล้วจิตใจของเราต้องมีกฎระเบียบ  ไม่ใช่กฎระเบียบที่เราพูดถึง แต่เป็นกฎระเบียบที่อยู่ในใจ กฎระเบียบที่เราทำได้  แม้ว่ากฎระเบียบนั้นมีไว้อาจจะอึดอัด แต่ถ้าทุกท่านมีกฎระเบียบในใจทุกท่าน  ชีวิตทุกท่านมีระเบียบเรียบร้อยก็มีผลดีต่อตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ แต่ตอนนี้แค่เริ่มก็ควรจะเริ่มให้จริงจัง  ไม่ใช่เริ่มอย่างเหยาะแหยะ ขอไปที  ทำลวกๆ อย่างนั้นบำเพ็ญไปอีกสิบปีก็ไม่เท่ากับที่ท่านลงแรงจริงจังเพียงหนึ่งปี ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าคนอื่นกำหนดเราไม่ได้  มีใครกำหนดเราได้  ย่อมมีแต่ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ วันผ่านไป ขอให้ผ่านไปอย่างคนที่มีคุณค่า ทุกวันนี้คนที่อยู่ที่นี่ลงปณิธานทานเจแล้ว  ถือว่าก้าวขึ้นฝั่งพุทธะแล้ว  แต่จิตใจนั้นยังฝักใฝ่ทางโลก ไม่เป็นไร  เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว ใครสำเร็จใครไม่สำเร็จ ก็ย่อมอยู่ที่ตนเองบำเพ็ญได้มากเท่าไร
 คนที่ชอบติผู้อื่น ติไปทำไม เขาบำเพ็ญได้แค่ไหนก็คือตัวของเขา  ท่านบำเพ็ญได้แค่ไหนก็คือตัวของท่าน ใช่ไหม (ใช่)  จำเป็นต้องติต้องว่ากันไหม (ไม่จำเป็น)  จำเป็นต้องตักเตือนกันไหม  การตักเตือนนั้นตักเตือนกันได้  แต่มีขอบเขตของการตักเตือน ไม่มีใครชอบฟังคำบาดหู  ฉะนั้นจงอย่าพูดจาบาดหู  ไม่มีใครชอบฟังคำพูดเพ้อเจ้อ  ฉะนั้นจงอย่าพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีใครชอบฟังคำส่อเสียด จงอย่าพูดส่อเสียด  อย่าปั้นน้ำเป็นตัว  อย่าเห็นแก่ประโยชน์ตนหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  พูดไปพูดไป ในที่สุดแล้วกินเข้าไปเป็นเจ แต่ออกมากลับไม่เป็นเจ  ฉะนั้นจึงบอกว่าเมื่อขาเราเข้าไปอยู่แดนพุทธะแล้ว  จิตใจของเรานั้นจงอย่าฝักใฝ่แต่ทางโลก  หน้าที่ของลูกทำให้ดี  หน้าที่ของพ่อแม่ทำให้ดี  เราจะสร้างบุญไปพร้อมกับบาปทำไม  จะสร้างบุญไปแล้วถังของกุศลเราก็เจาะรูไว้ข้างล่าง  ทำไปก็รั่วไป ยิ่งทำดีเท่าไรก็ยิ่งหมดไปเท่านั้น  ใครบำเพ็ญมา 10 ปี  ยกมือขึ้น   ถือว่าคนใหม่ยังมีมาก คนเก่ามีน้อย  ขอถามคนเก่าๆ ว่าทำตัวเหมาะสมกับความเก่าของตัวเองไหม  หากเราไม่เป็นแบบอย่างที่ดี  คนข้างหลังก็ก้าวตามเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเก่าแต่ตำแหน่ง  จะเก่าแต่สิ่งที่ไม่ควรนั้นไม่ได้ ต้องเก่าอย่างคนที่มีสติ มีปัญญา เก่าอย่างคนที่นำหน้าด้วยความเมตตา  ไม่ใช่เก่าแบบคนที่ยึดติด เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
พุทธะย่อมห่วงเวไนย  เวไนยย่อมห่วงตนเอง  ทุกท่านในที่นี้เป็นทั้งเวไนย เป็นทั้งพุทธะ อยู่ที่ท่านจะเลือกเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งวันเป็นพุทธะกันได้นานสักกี่มากน้อย  ส่วนใหญ่จะเป็นเวไนยทั้งสิ้น ใช่หรือไม่  แต่ยามใดที่จิตใจของเราตื่นขึ้นมาแล้ว  จะต้องตื่นอย่างแท้จริง  ไม่ใช่ตื่นไปหลับต่อ หลับต่อตื่นไป อย่างนี้สลับกันเรื่อยๆ แม้พุทธะลงมาจากฟากฟ้าก็คงจะช่วยไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาถึงช่วงนี้แล้ว  ท่านรู้สึกห่วงตัวเองบ้างหรือไม่  มัวแต่คิดว่าบำเพ็ญไปแล้วคงจะสำเร็จไปไม่ได้   เมื่อท่านไม่มั่นใจ จะให้ใครมั่นใจ  ให้เราไหม  ต้องรู้จักคิด ไม่ใช่รู้แต่พูด  ต้องรู้จักทำ ไม่ใช่เอาแต่นั่งคิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
มีหลายคนบอกว่าเราศิษย์พี่นั้นดูแล้วดุ   บางคนก็ไม่อยากจะเจอ ใช่หรือไม่  แต่อยากทราบว่าทุกวันนี้เคร่งครัดกับตัวเองดีแล้วหรือยัง  ให้อาจารย์ของเรามาพูด ท่านก็พูดกับน้องๆ อย่างดี  ท่านจำใส่ใจกี่วัน  พูดดีกับท่าน ท่านแก้ไขหรือไม่  แต่ละคนนั้นความผิดเต็มตัวท่วมตัว  จึงอย่าให้พูดว่าค่อยๆ บำเพ็ญเลย   เราผู้พี่อยากจะพูดว่า รีบเร่งบำเพ็ญเถิด  คนที่ละกายสังขารไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเด็ก  ทุกท่านก็รู้ว่าในตัวของทุกท่านมีเหตุแห่งการดับสิ้นของสังขารแฝงเอาไว้ทั้งนั้น  เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันไหนเท่านั้นเอง  แล้วอย่างนี้จะให้เราพูดว่าค่อยๆ บำเพ็ญ  ค่อยเป็นค่อยไปหรือ  คงต้องบอกว่า รีบเร่งบำเพ็ญ  ยกระดับจิตใจของตนเองขึ้นมา  จิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่ต้องมั่นคง  เข้มแข็งอดทน มีสติ รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร  เช่นนี้จึงเหมาะสม   หากเป็นจิตใจที่อ่อนแรง อ่อนล้า จิตใจที่ท้อแท้ เอาแต่ใจตัวเอง  เห็นแก่ตน รักหน้า  ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ หรือรักแต่พวกพ้องของตน ท่านจะช่วยใครได้ แล้วท่านจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้กี่มากน้อย ใช่หรือไม่  (ใช่)
ทุกคนต้องย้อนมองตนเอง  มองให้เห็นถึงตัวเองจริงๆ รู้จักตัวเองจึงจะสามารถชนะตัวเองได้  ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น  สามอย่างนี้เป็นพิษร้าย  บางคนหนักไปทางความโลภ  บางคนหนักไปทางความโกรธ  บางคนหนักไปทางความหลง  ฟังธรรมะตั้งมากมาย  หากไม่สามารถปฏิบัติได้  แม้แต่หนึ่งอย่าง จะฟังธรรมะไปทำไม  เคยคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไหม  (เคย)  ตอนนี้ตัดกรรมไปแล้ว  กรรมเก่าก็ใช่ว่าจะตัดได้  คนบำเพ็ญจึงพบกับวิบากกรรม  เราบำเพ็ญจึงหลบเลี่ยงไม่พ้น  จิตใจต้องสำนึกแท้ สำนึกจริงในสิ่งที่ตัวเองเคยก่อ  แม้ว่าเราจะลืมไปแล้วก็ตาม
 หากว่าเมื่อยก็ขอให้ทนสักนิด  เราจะให้ท่านยืนอยู่แบบนี้ รู้ไหมว่าให้ยืนทำไม  ทำจิตใจให้นิ่ง สำนึกให้จริง  กรรมที่มีจะได้เบาบางลงบ้าง  คนที่บำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้  หากจิตใจยังมีความเคลือบแคลงเสแสร้ง  จิตใจยังสงสัยบ้างไม่สงสัยบ้าง  ก็เท่ากับว่าเรานั้นประสบความล้มเหลวในการบำเพ็ญธรรม  แม้ท่านจะตั้งปณิธานทานเจด้วยเหตุผลใดก็ตาม  แต่เมื่อถึงบัดนี้ได้ตั้งปณิธานไปแล้ว  ถวายสาส์นขึ้นสู่เบื้องบนแล้ว   ท่านนั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้  ฉะนั้นจงอย่าดูถูกตัวเอง  ขอให้ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำ  เวลาที่สถานธรรมมีงาน  ขอให้ท่านมาถึงสถานธรรมเป็นคนแรก  มีบางคนพอมีงานชอบมาถึงเป็นคนสุดท้าย อย่างนี้ใช้ได้หรือไม่  (ไม่ได้)   ญาติธรรมทั่วไปนั้นมาถึงคนสุดท้ายอันนี้ว่าไม่ได้  แต่หากว่าท่านเป็นคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้ว  หมายความว่า ตั้งใจจะสร้างกุศลอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร   ตั้งใจจะสร้างกุศลเพื่อคืนเบื้องบน  ก็ยังทำตัวเฉื่อยแฉะเชื่องช้า อย่างนี้ควรเรียกว่า ใช้ไม่ได้
ในสถานธรรมมีเรื่องของความบริสุทธิ์ 3 อย่าง ได้แก่ ชายหญิงชัดเจน  เงินทองชัดเจน  โลกและธรรมชัดเจน  สามอย่างนี้ให้ระมัดระวังให้ดี  เพราะว่าคนที่อยู่ในนี้ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถทำได้  ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้นไม่ขอพูดถึง  อยากให้ท่านสำรวจตนเอง  เวลาในการบำเพ็ญธรรมของเรานั้นยังมีอีกยาวนาน  แต่หากเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนเกียจคร้าน  เวลายาวนานนั้นก็คงจะไม่พอให้ท่านใช้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมาสถานธรรมเจอคนที่ดุหน่อย  เจอคนที่อ่อนโยนหน่อย ก็ขอให้อภัยกันให้ดี  เหมือนอย่างเราศิษย์พี่ท่านว่าดุ   พระอาจารย์จี้กงท่านว่าใจดี  เมื่อวานนี้หลายคนคงจะได้เจอพระอาจาริณี  ท่านเป็นคนที่อ่อนโยน  แต่อยากจะทราบนักว่า หากพูดด้วยความอ่อนโยนตลอดเวลา  คนที่ไม่รู้จักสำนึก ก็คงจะไม่สำนึกตลอดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาสถานธรรมเพื่อขัดเกลานิสัยของตนเอง  เจอสิ่งที่ถูกใจบ้าง  ไม่ถูกใจบ้าง  ท่านต้องฝ่าไปให้ได้  เป็นอุปสรรคอยู่ที่ไหน  ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น  แต่อยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น
การทานเจนั้นขอให้เข้าก็สะอาด  ออกก็สะอาด พูดจาให้ดี  คิดให้ดีจึงพูดดี  ขอให้กินให้สะอาด  ไม่ใช่กินอย่างลวกๆ หรือว่าแล้วแต่เหตุการณ์อำนวย  เหตุการณ์อำนวยก็กินสะอาดหน่อย  เหตุการณ์ไม่อำนวยก็ขอไปที  อย่างนี้ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งปณิธานทานเจจริงๆ หรือเปล่า  ขอให้คิดและทบทวน  ขอให้เข้าใจในธรรมะที่ตัวเองศึกษา  หลายคนนั้นอาจจะยังไม่เข้าใจ  หลายคนนั้นอาจจะแค่เพียงเริ่มต้น  ขอให้เราตั้งใจศึกษา  เพื่อให้ศิษย์และอาจารย์ของเราทุกคนได้อยู่ร่วมกัน  ดังเช่นเรากลับคืนไปอยู่กับพระอาจารย์  เราก็หวังว่าทุกๆ ท่านที่เป็นน้องจะสามารถกลับไปอยู่กับพระอาจารย์เช่นเดียวกัน  ทุกวันท่านคอย  เราจึงต้องเร่งหมั่นพยายาม  คอยนี้คอยอะไร  คอยให้ท่านกลับตนเป็นคนดี  คอยให้ท่านละอารมณ์ คอยให้ท่านดีขึ้นๆ ท่านคิดว่าคนที่รอมีความทุกข์ไหม  (มี)  ทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ให้ตัวเอง  แต่ทุกข์เพื่อเวไนยทั้งมวล  ท่านจึงต้องคิดให้ดี  ตัวท่านมีความสำคัญมาก
วันนี้ศิษย์พี่ขออนุญาตพระมารดามาพบได้  ก็เพราะบอกว่า ทุกๆ ครั้งที่มีงานประชุมธรรมเจอกันบ่อย แต่ไม่สามารถที่จะบอกกล่าว  ไม่สามารถที่จะสอนได้โดยตรง  เพราะว่ามีทั้งคนที่ใส่ใจและมีทั้งคนที่ไม่ใส่ใจ  มีทั้งคนที่ขอไปทีและมีทั้งคนที่เคร่งครัด  วันนี้ขอให้เราพี่และน้องได้คุยกัน  ขอให้เราได้สืบสานสืบทอดในปณิธานแห่งพระอาจารย์  แห่งพระศรีอาริย์ฯ และเราขอให้ทุกท่านรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนที่ดีขึ้น คนที่บำเพ็ญธรรมก็อาจจะมีหลายอย่างที่ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ไม่บำเพ็ญ  ฉะนั้นจึงต้องเคารพซึ่งกันและกัน  สามัคคีกันให้มาก  หลายๆ คนเมื่อทานเจไปถึงช่วงหนึ่งก็กลับเปลี่ยนใจ ทนไม่ได้กับอาหารที่ยั่วเย้า กิเลสที่ยั่วยวน  จึงหวังว่าเตือนน้องๆ ไว้ก่อน  ถ้าหากว่าท่านเปลี่ยนใจ ผลลัพธ์จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน  หากท่านรักษาปณิธานได้  ถึงจะไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้  อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าท่านก็ไม่ตกต่ำ  แต่หากท่านรักษาปณิธานไม่ได้  ผลก็ตรงกันข้ามกับนิพพาน  กลายเป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด  ฉะนั้นเตือนใจทุกท่านให้ดี  เมื่อยหรือยัง
โอวาทนั้นถ้าหากว่าไม่สมบูรณ์ไม่เรียบร้อย  ขอให้พิจารณาถามอาจารย์อาวุโสว่าจะแจกหรือไม่  หากว่าทำไม่ดี ทำไม่เรียบร้อย ยังขาดตกบกพร่องไป  ขอให้พิจารณาให้ดี  หากไม่สมบูรณ์ก็ต้องพิจารณาเช่นกัน  แล้วให้อาจารย์อาวุโสเป็นผู้ตัดสิน หากว่าอาจารย์อาวุโสอ่านไม่ออก ให้รู้ที่จะแปลให้ฟัง  ออกความคิดเห็นให้ฟัง  เข้าใจหรือยัง
หลายคนที่นี่ไม่ใช่เป็นแค่คนที่ตั้งปณิธานทานเจเท่านั้น  แต่ยังมีตำแหน่งทางธรรมพ่วงมาด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การทานเจเป็นการเริ่มต้นที่เราจะไปช่วยงานธรรมะอย่างแท้จริง  ความหมายของการเป็นฐันจู่  เจี่ยงซือ  เจี่ยงเอวี๋ยนนั้นไม่ใช่ว่ามีเอาไว้เพื่อให้คนมาโค้งคำนับ มีเอาไว้ให้ดูว่าตนอยู่ในตำแหน่งของการทำหน้าที่อะไร  ก็ไปทำหน้าที่นั้นให้ชัดเจน  ส่วนหน้าที่รองๆ ลงมา  ถ้าหากว่ามี แม้กระทั่งขัดห้องน้ำก็ยังต้องไปหัดทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นจะมีตำแหน่งไว้โอ้อวดไม่ได้  แต่ต้องมีตำแหน่งไว้เพื่อย้ำเตือนจิตใจของเราให้รู้จักที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในสิ่งที่ตัวเองแบกรับ  บางคนเป็นทั้งฐันจู่  เป็นทั้งเจี่ยงซือ และเป็นทั้งคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้ว เป็นความยากลำบากที่สุด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่สบาย  อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่เวลากราบพระแล้วจะต้องมาอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่อย่างนั้น  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่เป็นฐันจู่  เป็นเจี่ยงซือ  บางทีเรายอมอยู่ข้างหลังก็เป็นเรื่องสมควร  อย่าคิดว่าเรานั้นจะต้องอยู่ข้างหน้าเสมอไป  เพราะว่าการอยู่ข้างหน้าไม่ได้มีความหมายแค่อยู่ข้างหน้า  แต่การอยู่ข้างหน้ามีความหมายถึงภาระอันยิ่งใหญ่  หมายความว่าเรานำหน้าคนทั้งหมด  ฉะนั้นเวลากราบพระคนที่มายืนข้างหน้าแล้ว  จึงต้องรู้จักสำนึกตัวเองว่าในขณะนี้เรายืนอยู่ข้างหน้าคนอื่น  หมายความว่าภาระของเราก็หนักยิ่งกว่าคนอื่น  การที่บางคนจะแบกรับงานยุคสามอันนี้  ไม่ใช่อยู่ที่ว่าอายุมาก  อายุน้อย  ไม่ใช่อยู่ที่การเข้ามาบำเพ็ญธรรม 3 ปี 5 ปีหรือ10 ปี  แต่อยู่ที่ความตั้งใจจริงที่เราตั้งใจจะแบกรับหรือไม่  บางคนมาไวแบกรับได้มาก  มีความสามารถพิเศษมาก  ก็ต้องรู้จักใช้ความสามารถนี้ให้เป็นประโยชน์  แต่ในขณะเดียวกันต้องรู้จักหัดอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ด้วย  เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  รับรองได้ว่าหากท่านฝึกอ่อนน้อมถ่อมตน  ก็ไม่เป็นการเสียหายที่ตรงไหน  หากว่าท่านฝึกปากกับใจตรงกัน  ก็ไม่เป็นการเสียหายที่ตรงไหน  ท่านเป็นคนจริงใจคนก็ยิ่งรัก  หากท่านเป็นคนที่มีมิตรสัมพันธ์ที่ดี รู้จักช่วยเหลือคนอื่น  คนอื่นก็ยิ่งชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านต้องฝึกหัดเป็นคนที่มนุษย์ด้วยกันเองชมชอบได้ จึงจะสามารถให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชมชอบท่านได้  หากว่าท่านหวังว่าการที่ท่านทำดีนั้น เพื่อให้พุทธะชมชอบ  แต่ในมนุษย์ด้วยกันเอง  ท่านยังไม่สามารถทำสำเร็จ แล้วคิดว่าพุทธะจะชมชอบท่านหรือไม่  ย่อมเป็นไปไม่ได้  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักตัวเองให้มาก  เคร่งครัดกับตัวเองให้มาก
การที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนว่า  พลิกแพลงไปตามสภาพการณ์  ใช้ปัญญาพลิกแพลงไปตามสภาพการณ์นั้น  ท่านต้องดูสภาพการณ์จริงๆ ท่านต้องรู้จักที่จะพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่เห็นว่าตอนนี้ถึงทางเราตันแล้ว  เราก็พลิกแพลงไปอย่างนั้นไม่ใช่  แต่หมายความว่าท่านนั้นเกิดความขัดข้อง  แล้วถ้าหากว่าทำไปจะเดือดร้อนผู้อื่น  อย่างนั้นจึงใช้การพลิกแพลงไปตามสภาพการณ์ การทานเจเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับมนุษย์มาก  แต่หากว่าท่านทานด้วยจิตใจที่เมตตาแล้ว  ท่านจะไม่รู้สึกว่ายุ่งยากใครเลย  เพราะถ้าหากว่าท่านกล้าแม้แต่หยิบเนื้อสัตว์เข้าปาก  ก็แสดงว่าจิตเมตตาของท่านนั้นมันลบหายไป
หลายคนทานเจแล้วคิดว่าเรื่องทานไข่เป็นอย่างไรบ้าง  เราจะช่วยตอบให้ดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าตอนนี้กำลังเป็นปัญหาของพวกท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่บอกว่าไข่ทานไม่ได้นี่ใครพูด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดใช่หรือไม่  ท่านได้ยินกับหูไหม  (ไม่ได้ยิน)  เป็นการบอกเล่าเก้าสิบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อได้ไหม  หลายๆ ปัญหาในโลกนี้ก็เกิดแบบนี้  คือฟังกันมา พูดกันไป  แม้กระทั่งคำพูดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพูดกันไปไม่เว้น ใช่หรือไม่  (ใช่)   เราขอแนะนำให้ทุกท่านพูดแต่เรื่องดีๆ หัดพูดแต่เรื่องดีๆ ที่ตัวเองรู้ชัดแล้ว  อย่าทำตัวให้เป็นลมช่วยกันกระพือเข้าไปให้ไฟมันลุกโหม ดีหรือไม่ (ดี)  วันใดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการบอกให้พวกท่านเลิก  พวกท่านก็จะรู้เอง  ตอนนี้หากว่าใครทำได้ก็ทำไป  ใครเลิกได้ก็เลิกไป  ใครเลิกไม่ได้ไม่ต้องว่า  ไม่ขอพูดว่ามันเป็นเรื่องผิดหรือถูก  เพราะว่าคงจะไม่อยู่ในความคิดที่สามารถจะพูดออกมาได้  ขอให้ทุกท่านทานด้วยความสบายใจ  แต่ระมัดระวัง  สิ่งใดที่รู้ว่าไม่ใช่  คิดว่าไม่ใช่ก็อย่าไปทาน  เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)  และอย่าฟังคำพูดที่บอกเล่าเก้าสิบมา  ดูอย่างเรื่องนี้เห็นไหมว่าคนพูดนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าพุทธะพูดอีก ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีทั้งสองประเภทคือ ทั้งกินได้และกินไม่ได้ ขอให้ตัดสินใจ ขอให้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แต่อย่าพูดว่าไม่ได้ แต่อย่าพูดว่าได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) หากว่ามีเด็กเล็กๆ ฝึกหัดทานเจ ท่านไม่ให้พวกเขาทาน พวกเขาจะทานอะไร หากถึงคราวลำบากแล้ว  ท่านไม่ให้เขาทาน  เขาจะทานอะไร  ท่านต้องคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ  อย่าเอาตัวไปขัดขวางโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังขวางอะไรอยู่  ท่านทำได้  คนอื่นทำไม่ได้  ฉะนั้นการที่ท่านขวางไปก็เท่ากับเป็นการทำให้คนอื่นมีอุปสรรคมากขึ้น เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)
 ใครมีอะไรจะถามเรื่องการทานเจบ้าง  ขอเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นปัญหาของตัวเองคนเดียว หากไม่มี ศิษย์ผู้พี่จะกลับแล้ว  หวังว่าท่านนั้นจะทานเจอย่างคนที่สบายใจ อย่างคนที่อิ่มเอิบใจ  แต่ให้ระมัดระวังให้รอบคอบ  ให้รู้ทันในสิ่งที่ตัวเองได้ทานเข้าไป  ให้รู้ทันในสิ่งที่ตัวเองคิด  เพราะว่าการทานเจนั้นไม่ได้มีความหมายครอบคลุมอยู่แค่การทานเข้าไปเท่านั้น  แต่หมายถึงการคิดออกมาด้วย  การพูดออกมาด้วย  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดตกบกพร่องไม่ได้  ไม่เช่นนั้นแล้วตัวท่านอยู่ในแดนพุทธะ  จิตญาณท่านโปร่งใส  แต่การกระทำของท่านสวนทาง  การกระทำของท่านเป็นสิ่งผิดบาปอยู่เป็นระลอกๆ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญเป็นพุทธะได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ใครทำไม่ดี  ในบ้านของเราเป็นอย่างไร  เราไม่ต้องสนใจ ขอให้หัด ขอให้ฝึก ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมีความอดทน ห้ามปากของเรา  ห้ามใจของเรา  ห้ามความคิดของเรา เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)
ทุกๆ คำพูดที่วันนี้เราผู้พี่พูดล้วนออกจากใจ  ขอให้น้องๆ เก็บจำใส่ใจและขอให้รู้ไว้ว่า ทุกๆ เวลาเราผู้พี่คอยมองและจดบันทึกอยู่  ใครทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ความผิดใดๆ ไม่จำเป็นต้องพูด  ถ้าหากท่านพูดเมื่อใด  ขอให้พูดแล้วเขาสามารถแก้ไขได้ อย่างนั้นเร่งพูด  แต่กลัวว่ามนุษย์ด้วยกันพูดกัน  คนไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นพูดไปก็จะเสียประโยชน์เปล่า บางทีจึงต้องรู้จักอดทนอดกลั้น  บางทีจึงต้องรู้จักระมัดระวัง  ขอให้รักษาจิตญาณของตัวเองนั้นให้กลมใสสว่าง  ตอนนี้ปากของเราสะอาดแล้ว ใจของเราสะอาดตาม  จิตญาณของเราจะกลม ใสและสว่าง  พูดตามหน่อยได้ไหม  กลม ใสและสว่าง   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทุกคนพูดตามว่า  กลมใสและสว่าง)  เวลาพูดไห้รู้สึกว่า จิตใจของเรานั้นกลมใสหรือยัง (ยัง) ไม่กลม ไม่ใสและไม่สว่างด้วย ใช่หรือไม่  (ใช่)  จึงหวังว่ากลับไปหลังจากวันนี้  เวลาผ่านไปหนึ่งปี  บำเพ็ญไปหนึ่งปี  ขอให้หนึ่งปีที่ผ่านไปนั้นผ่านไปดั่งคนที่บำเพ็ญ  ไม่อย่างนั้นบำเพ็ญไปสิบปี  ไม่สู้บำเพ็ญแค่หนึ่งวัน ใช่หรือไม่  (ใช่)  บำเพ็ญไปสิบปี  ขอให้ก้าวหน้าดั่งคนที่ก้าวหน้าสิบปี ดีหรือไม่ (ดี)  ขออวยพรให้ทุกท่านนั้นบำเพ็ญบรรลุขึ้นสู่แดนฟ้า  ขอให้ทุกท่านนั้นอย่าท้อแท้ ขอให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา