วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2544

2544-10-06 สถานธรรมฉือเหยริน จ.นครศรีธรรมราช



PDF  2544-10-6-ฉือเหริน #10.pdf

หมวด: ความเพียร , บำเพ็ญภายใน

วันเสาร์ที่  ๖ ตุลาคม   พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

พระธรรมแผ่เผยไปทั่วทุกทิศา มหาฤกษ์เปิดดวงตาปัญญาใส
พฤฒานี้ด้วยเวลารู้จักใช้ ชันษาได้สั้นยืนใช่สำคัญ
เราคือ
พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  กตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีหลานน้อยน้อยเกษมฤๅ
ขอทุกคนสงบจิตตั้งใจฟัง  ฮา ฮา

ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีเรามาเยือน ธรรมเป็นเพื่อนแห่งจิตใสสงบนิ่ง
อารมณ์เป็นเพื่อนแห่งคนจิตซนวิ่ง ชีวิตนี้พึ่งพิงสิ่งใดกัน
ขอได้รู้รับธรรมเพื่อพ้นเกิดตาย สิ้นเวียนว่ายด้วยบำเพ็ญอย่างแท้จริง
อย่าได้ทำเป็นทีเล่นอีกทีจริง จิตวนวิ่งต้องกำราบซึ่งตนเอง
คนช่วยคนนอกจากคนยากช่วยกัน จงแบ่งปันความเมตตาให้ถ้วนทั่ว
สิ่งใดยิ่งทำไม่ได้ไม่ต้องกลัว สามัคคีไม่พันพัวแตกแยกกัน
หลาน ซุ่นเฉวียน ขอเชิญมาข้างหน้า จงใช้บ่าทั้งสองข้างไปแบกหนัก
จงใช้จิตเมตตาผู้คนรัก อุปสรรคเพื่อวัดใจดูความสุขุม
เมื่อวาจาเป็นบ่อเกิดความหายนะ จงชนะตนเองคนยอมสยบ
บำเพ็ญธรรมไม่เหมือนกับการรบ จะต้องพบจิตตนที่สว่างจริง

หลาน มาโนช มีใจอันเข้มแข็ง ขอให้แกร่งช่วยงานธรรมโอกาสเปิด
จงใช้ความสามารถอันงามเลิศ คนประเสริฐไม่ลังเลบำเพ็ญใจ
สละที่เพื่อเป็นนาวาธรรม ฟ้าใกล้ค่ำฝึกจิตนี้ให้ยิ่งใหญ่
จงทุ่มเทสืบทอดสิ่งเคยเพียรไว้ ขอให้ใกล้สถานธรรมบ่อยขึ้นเอย
หลาน กมล วรวิทย์ อีก สมเจตน์ ขอมีเนตรบริสุทธิ์ดั่งฟ้าหลังฝน
การบำเพ็ญก็คือฝึกความอดทน ผ่านอับจนได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
ขอให้มีความเคารพกันและกัน จงเท่าทันอนาคตที่ไม่แน่
อันเวลาคอยฝึกคนเป็นทองแท้ มีหลายสิ่งยังต้องแก้อย่าท้อรา
สถานธรรมเกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรง จงจิตแกร่งสามัคคีสู่วันหน้า
จงทำงานดั่งคนที่ไม่พอเวลา มีคุณค่าเพราะรู้ใช้ชีวิตตน
ศุภนันท์ รัตนาภรณ์ อีก พรทิพย์ ขอจงมีใจเมตตาที่งามใส
ทำสิ่งใดให้รู้มีจริงใจ ขอให้ใช้ปัญญามาทำงาน
เป็นคนเก่งต้องอ่อนน้อมลงให้หนัก เป็นบัวปลักในโคลนเลนแต่ยอดชู
อันเวลามีน้อยค่อยเรียนรู้ โชคไม่มีมาเป็นคู่รู้ไหมเอย
ความอ่อนน้อมเป็นเครื่องหมายวิญญูชน เหนื่อยไม่บ่นเป็นคนดีเหมาะฝึกจิต
เมื่อได้รู้ทางแท้ให้รู้คิด หกชีวิตจงสามัคคีปรึกษากัน
อีกหลานคนอื่นอีกชาวนครฯ ชีวิตนี้ดั่งละครเป็นช่วงสั้น
สามัคคีจะมีสุขทุกคืนวัน คิดร้ายพลันจะทุกข์สุมในใจตน
ถอยหนึ่งก้าวฟ้ากว้างทะเลไกล อย่าใส่ใจเรื่องเล็กน้อยจนเกินเหตุ
ปล่อยอดีตเป็นอดีตมีขอบเขต อย่าเทวษ  เพราะปัญหาที่ค้างใจ
บำเพ็ญธรรมเพื่อฝึกจิตกำหนดชีวิต ไม่มีใครต้องผิดในเรื่องเก่า
เราเซียน-อง ขอนำความผิดทั้งปวงไปกับเรา ขอหลานเจ้าต่อแต่นี้สามัคคีกัน
เพื่อปลอบขวัญองค์มารดาและอาจารย์ เพื่อปลอบขวัญมนุษย์ด้วยกันจะได้ไหม
ชาวนครฯ ฉือฮุ่ยอีกฉือเหยรินพร้อมใจ ทางจะไกลไม่ห่วงหากใจยอมกัน
ในวันนี้ถือโอกาสการประชุม มาผูกบุญกับหลานกลุ่มเล็กเล็กนี้
อย่าได้รอให้ปัญหาจากนอกมี มาผลักดันให้ค่อยมีร่วมมือกัน
ยืนไม่ไหวเชิญพักก่อน
อายุนี้ใช่น้อยน้อยหลานหลายคน คืนเบื้องบนใช้ปัญญาศรัทธายิ่ง
ฝึกฝนจิตเหล่ากิเลสจะต้องทิ้ง คนประวิงจับปลาสองมือต้องพลาดไป
จบจากชั้นนี้ไปแล้วหมั่นกลับมา เร่งศึกษาในสิ่งที่ยังรู้ไม่ชัด
เกิดเป็นคนอายตนะต้องจำกัด จึงไม่พลัดสู่หนทางเวียนเกิดตาย
สองวันนี้ขอให้อยู่ให้ครบ อย่าได้จบชั้นไปโดยไม่รู้เรื่อง
ทุกคนต่างมีจิตแท้อันปราดเปรื่อง ขอให้เฟื่องการฟื้นฟูธรรมญาณ
ไม่รบกวนเวลาหลานจนมากไป จงตั้งใจบำเพ็ญเห็นคุณค่า
เกิดว่างว่างตายว่างว่างรู้ไหมนา กลับคืนฟ้าไปเป็นเซียนดีไหมเอย
กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ขออวยพรวัฒนาขึ้นเรื่อยไป
ฮา ฮา ถอย


  เทวษ การคร่ำครวญ, ความยากลำบาก


วันเสาร์ที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
พระโอวาทพระนาจา

การคอยและการทนต่างสอดคล้องคงมั่น ขืนบุ่มบ่ามกัน ก็รังจะมีแต่เสีย  อดเปรี้ยวไว้กินหวาน จงสำราญเพราะความใจเย็น  พาใจหลีกเร้นจากอารมณ์ไม่คอยไปโทษใคร ในยามโอกาสมาจะต้องกล้าสู้อย่าเอาแต่ถอย โชคเป็นแค่ลาภลอยเฝ้าคอยไม่เพียรอย่าหวัง
คนมีความสำเร็จไม่ใช่เพราะเก่งไปทุกคน ทว่าเป็นเพราะอดทนไว้เป็นทุนพร้อมส่งชีวิตยืนนาน     (ซ้ำ   "ไว้เป็นทุนพร้อมส่งชีวิตยืนนาน "   )

เพลง : อดทนที่จะคอย
ทำนองเพลง : ดวงใจ

เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือเหยริน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

ดำเนินทางสายกลางไม่หย่อนไม่ตึง เป็นคนถึงไหนถึงกันกำจุดหมาย
ประมาทเอยไปธรรมนั่นตกหายไป ชีวิตมุ่งทำคุณใช้ความพอดี
บำราบ๑ จิตกันต่อไปอย่างใกล้ชิด เลี้ยงชีวิตใสกลมเกลี้ยงหลักไม่สี่๒ 
บำเพ็ญแท้ไม่มีแบ่งแยกจึงดี คืนบ้านเก่าหรือยินดีหลงอีกนาน
เก่าคนแต่ใหม่ทุกเมื่อที่ใจ เป็นคนใหม่ใจของฟ้าเป็นพื้นฐาน
ดีต่อคนและตัวให้เหมือนกัน กล่าวบางคำทำสำคัญผิดเป็นครู
จงพูดคำให้คนมีกำลังใจ ใช้อารมณ์เสียคนไปโดยไม่รู้
ทับถมลึกเหวหนาวน่าหดหู่ บำเพ็ญธรรมไม่สู้กิเลสจะสู้อะไร
ปัญญาเต็มเงาสลัวในแสนกลายหมื่น เห็นใครอื่นใจแข็งยังใจหาย
น้ำน่ากลัวเรือลอยและคว่ำได้ คนรู้ไม่ประมาทในเรื่องที่คล่อง
ฮิ ฮิ หยุด


๑บำราบ ปราบ ทำให้ราบ ทำให้กลัว
๒ไม่สี่ ๑. สิ่งที่ไร้จริยธรรมอย่าพูด ๒. สิ่งที่ไร้จริยธรรมอย่ามอง
๓. สิ่งที่ไร้จริยธรรมอย่าฟัง ๔. สิ่งที่ไร้จริยธรรมอย่าทำ

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

ไม่ว่าคนพูดจะพูดเบา อากาศจะร้อนจะหนาวเท่าไหร่ ถ้าเราจะนอนอย่างไรก็ง่วง แต่ถ้ากลับกัน ไม่ว่าจะร้อนจะหนาวจะเบาจะดัง ถ้าเราตั้งใจฟังอย่างไรก็ไม่ง่วงนอนใช่หรือไม่  ฉะนั้นเป็นเพราะตัวเองทั้งหมดทั้งสิ้นใช่ไหม  ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยใช่หรือเปล่า  เป็นเพราะเราตั้งใจมาหลับไม่ใช่ตั้งใจมาฟัง  คนตั้งใจมาฟังจริงอากาศจะเป็นอย่างไรก็ไม่หลับ คราวนี้เก้าอี้เซียนก็กลายเป็นเตียงของเซียน ให้เซียนน้อยๆ  นั่งหลับเป็นแถวเลยใช่ไหม  อย่าไปโทษคนอื่นเลยนะ  เป็นเพราะตัวเราเองต่างหาก เราต้องฟังให้รู้เรื่อง ถ้าเราไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง  อย่างไรๆ ก็คิดถึงเรื่องโน้นคิดถึงเรื่องนี้ พอจบ ไม่เห็นได้อะไรเลย แล้วบอกว่าธรรมะไม่ดีได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ต้องโทษใคร (โทษตัวเอง) ต้องพยายามมองแล้วตรวจสอบตัวเอง
การฟังนั้นบางครั้งทำให้เรารู้เห็นตัวตนเองได้  เพราะว่าฟังแล้วย้อนมองอย่างลงลึก แล้ววัดมาที่ใจของเรา สิ่งที่ฟังนั้นสามารถรู้จากใจของเรา แล้วชะล้างใจของเราได้ แม้แต่ท่านก็สามารถทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนเช่นไรได้ด้วย  สมมติว่าเขานินทาคนอื่น แล้วเราสมน้ำหน้า เพราะใจเรารักคนนั้นหรือเกลียดคนนั้น (เกลียด) แต่ถ้าฟังปุ๊บแล้วคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น  นั่นแปลว่าในใจเรารู้สึกกับคนนั้นอย่างไร  (ชอบ)  แล้วรู้สึกว่ามั่นใจในสิ่งที่ชอบนั้นว่า เขายังดีอยู่ด้วยใช่หรือไม่  การฟังยังทำให้รู้จักใจเราที่มีต่อคนที่เราฟัง เมื่อกี้เราฟังธรรมะ แล้วเราได้อะไร  ได้คนที่พูดดี คนที่พูดไม่ดี  ได้ไหม แปลว่าในใจเรามีแต่เรื่องลักษณะภายนอก แล้วถ้าเราฟัง แล้วคิดว่า คนนี้พูดมีธรรมะนะ ลึกซึ้ง มีสัจจะ มีความแตกต่าง นั่นแปลว่า เราเห็นคนพูดแล้วน้อมนำมาเห็นธรรมะในใจของเรา  ถ้าเกิดพูดเรื่องนี้แล้วเรารู้ เราจะรู้ได้เลยว่าเขาพูดไม่ถูกนะ จริงๆ  ต้องเป็นอย่างนี้ๆ เราสามารถรู้ได้ว่าปริมาณธรรมะเขากับธรรมะเรา ใครมากกว่ากัน   ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเมื่อฟังไปแล้วตั้งใจพิจารณาให้ดี   บางครั้งนอกจากจะได้ประโยชน์ด้านความรู้ยังไม่พอ ยังได้รู้ใจเรา และรู้ใจเขา จริงไหม (จริง)
บางครั้งชีวิตของเรานั้น การต้องวิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลาก็ไม่สามารถทำได้  บางครั้งต้องยอมรับในการที่จะนั่งอยู่เฉยๆ  แล้วรอคอย ใช่ไหม แต่การนั่งอยู่เฉยๆ เอาแต่รอคอย โอกาสจะมาไหม เราขาดความกล้าที่จะตัดสินใจก้าวออกไป ใช่หรือไม่ คนเรานั้นบางครั้งก็เป็นลมเพลมพัด โบกสะบัดพัดมาไวไว ใครพูดหน่อยก็เปลี่ยนไปทางซ้าย พูดอีกหน่อยก็เปลี่ยนไปทางขวา บางทีไม่มีจุดยืนของตัวเองเลย 
สิ่งที่วันนี้เราจะมาคุยกับท่านนั้น เอาแบบหลักๆ  เลยนะ ไม่เอาน้ำ เอาแบบเนื้อๆ เลยนะ ดีไหม แบบเนื้อนี้เป็นแบบเนื้อผักนะ ไม่มีหมู ไม่มีไก่ เพราะเราไม่ชอบเบียดเบียนสัตว์  ถ้าเราพูดเอาหลักๆ วันนี้เราจะมาพูดกับท่านเรื่องธรรมะ ธรรมะที่เอาไปใช้ในการบำเพ็ญธรรม เมื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายเด็กผู้เฒ่าก็สามารถเอาไปใช้ได้ในยามมีชีวิต และเป็นผู้บำเพ็ญเมื่อดำรงอยู่ในสังคม อยากฟังไหม ฟังคนอื่นพูดก็สู้เราพูดไม่ได้หรอก เราพูดเก่ง พูดแล้วทำให้หัวเราะก็ได้ คิดด้วยก็ได้ และร้องไห้ก็ได้ จะเอาบทไหนดี หรือพูดให้ท่านนั่งแล้วก็เบื่อไปเลยก็ได้ เอาบทไหน ท่านชอบดูละครใช่ไหม บางคนก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะเชื่อไม่เชื่อ จริงหรือไม่จริง  เขาแสดงหรือว่าเขาลวงหลอก ในเมื่อท่านก็คิดอย่างนั้นแล้วเราก็เลยตามเลย แสดงให้ท่านดูสักบทหนึ่งเอาหรือเปล่า แต่แสดงแล้วบทนี้ได้ดูไปต้องตีให้แตก และต้องเป็นให้ได้  บทนี้คือ การฝึกฝนเพื่อก้าวไปเป็นพุทธะ เป็นพุทธะเดินดินด้วยนะ  เอาไหม  ปราชญ์โบราณมักพูดไว้ว่า  การที่จะสอนหรือการที่จะให้สิ่งใดกับใคร คนนั้นต้องเรียกร้องและต้องการ และต้องให้ตอนที่เขากำลังเรียกร้องและต้องการ  เขาจึงจะเห็นคุณค่า  ถ้าให้ตอนที่เขาเบื่อหน่ายท้อถอย เขาอยากจะเอาไหม (ไม่อยากเอา)  ฉะนั้นต้องเรียกร้องความต้องการของท่านก่อน  ถ้าท่านไม่เรียกร้อง  เราให้ไปท่านก็เอาไปทิ้งจริงไหม (จริง)
การเป็นพุทธะในสังคม  บางครั้งต้องอดทนอดกลั้นเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาเริ่มต้นอันแรกก่อนก็คือ  ธรรมะคืออะไรก่อน  แล้วธรรมะสำคัญกับชีวิตไหม  มนุษย์เราเกิดขึ้นมาก็คือ ตื่นขึ้น  เราตื่นขึ้นมาจากความมืดมิดไปสู่ความสว่างไสว  เราตื่นจากความหลับไหลไปสู่ความแจ่มแจ้งและเด่นชัด เป็นธรรมะไหม (เป็น)  เป็นธรรมะหนึ่งข้อแล้วใช่ไหม  เราตื่นมาเพื่ออะไร  ตื่นจากความมืดไปสู่ความสว่าง  ตื่นจากความหลับที่ไม่รู้เรื่องให้มาเป็นความรับรู้และรู้เรื่องราวใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นธรรมะไหม (เป็น)  พอตื่นมาทำอย่างไรต่อ  บิดขี้เกียจ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครบิดขี้เกียจบ้าง  หรือว่าตื่นขึ้นมาไม่บิดเลย  บางคนก็บิดนิดหน่อย บิดนั้นมีธรรมะไหม (มี)  มีอย่างไร  ก็คือสลัดตัวความเมื่อยล้า  ความง่วงเหงาหาวนอน ให้เป็นสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ไม่หลับไหลลงไปนอนต่ออีกทีหนึ่ง เขาเรียกว่า เมื่อจะลุกก็ต้องลุกให้จงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ลุกแล้วยังสองจิตสองใจ  จะลุกดีหรือจะนอนดี  นี่ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งก็คือ  เมื่อจะลุกจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง  ต้องมีใจเดียวและเด็ดขาด จริงไหม (จริง)  ถ้ามีสองใจแล้วไม่เด็ดขาดจะลุกไหม  อยากนอนต่อ  หมอนสวยจังเลย  ที่นอนนุ่มๆ  นอนต่อจริงไหม (จริง)  ได้ธรรมะสองข้อแล้วจากการมีชีวิตเริ่มต้น  พอบิดขี้เกียจแล้วทำอย่างไรต่อ  ก็ต้องลุกขึ้นยืนแล้วก้าว  แปรงฟัน  อาบน้ำ  เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่  ได้ธรรมะอีกหนึ่งข้อ  นั่นก็คือ ชำระล้างสิ่งสกปรกให้ออกจากร่างกายเรา  เมื่อยามหลับไหล  เรามักมีฝุ่นอะไรมาเกาะที่ตัวเรา  โดยที่เราไม่รู้ตัว  ทั้งที่ก่อนนอนเราอาบเหมือนกันใช่หรือเปล่า  เมื่อลุกขึ้นแล้วไปอย่างไรต่อ  ไปแสวงหาใช่หรือไม่  การแสวงหาเป็นธรรมะไหม (เป็น)  เป็นอย่างไร  ไปหาในสิ่งที่ดีกว่าเดิม  หรือไปหาในสิ่งที่เยอะๆ แล้วกลั่นกรองให้ได้ดีมาอยู่กับตัวเรา  เป็นธรรมะไหม (เป็น)  ไม่ว่าจะทำสิ่งใดในการแสวงหา  ก็ต้องรักษาความตรงเที่ยง  กับผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อม  กับเด็กก็ต้องรู้จักเมตตา นี่ก็คือมีธรรมะทุกขณะจิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นคือธรรมะที่อยู่ในตัวเรา  คือกิจวัตรประจำวัน  แล้วในชีวิตนั้น  ท่านมองออกเป็นธรรมะไหม  ไม่รู้ เพราะไม่ได้สนใจธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้รู้หรือยัง (รู้แล้ว) ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งออกไปแล้วกลับเข้ามา ก็ยังได้อีกใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือ  คนเราไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใด  บ้านไหน  หรือไปทำงานที่ใดก็ตามก็ยังรู้จักกลับบ้าน  กลับบ้านมีธรรมะไหม (มี)  มีธรรมะอะไร (คนเราเมื่อมีการแสวงหาก็มีการพักผ่อนเป็นธรรมชาติของคน)  คนเราไม่ว่าจะไปแสวงหา ไม่ว่าจะไปเสพหาความสุขแค่ไหน  บางครั้งก็ต้องรู้จักหยุดและกลับมาที่บ้านตัวเองบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะไปเที่ยวเพลินที่ไหนก็ตาม แต่บางครั้งที่ไหนก็ไม่สู้ที่บ้านเรา  ไม่ว่าเราจะออกไปไกลแค่ไหน ไปเที่ยวแห่งหนตำบลใด บางครั้งต้องรู้จักเรียกกายและใจกลับมาสู่ตัวตนเองบ้าง
เราเป็นศิษย์ผู้พี่ที่ได้รับการชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์เหมือนกับศิษย์น้องในที่นี้ และได้ฝึกฝนบำเพ็ญตนจนสามารถกลับคืนสู่เบื้องบนได้ กลับคืนสู่บ้านเดิมแท้ของจิตญาณได้ กลับคืนสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ แต่ตอนนี้ศิษย์น้องยังเป็นศิษย์น้องอยู่เพราะว่ารับการชี้ทีหลัง และยังไม่รู้ตื่น  แล้วก็ยังไม่เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง  การรู้จักตัวตนที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่ดี เมื่อเรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแล้ว  เรายังมีจิตใจเมตตาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย และเมื่อใดที่เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแล้วนั้น   จะทำให้เรารู้จักการดำเนินชีวิตได้อย่างกลมกลืน และสอดคล้อง อยู่กับใครก็เป็นสุข
เมื่อยหรือเปล่า หายเมื่อยหรือยัง อยากกลับบ้านไหม กลับบ้านไหนดี บ้านที่นอนหรือ ถ้าศิษย์พี่ชวนกลับบ้านเบื้องบน เอาไหม (เอา)  ศิษย์พี่ไปศิษย์พี่ทิ้งร่างนี้ และไม่อยู่ในโลกนี้แล้วนะ ศิษย์น้องพร้อมนะ คิดให้ดีๆ ศิษย์พี่จะพยายามพูดเรื่องที่ง่ายๆ แต่มีความหมายที่ดีแล้วกันนะ เอาแบบหนุ่มก็เข้าใจ สาวก็แจ่มแจ้ง วัยชราก็รู้เรื่อง จริงๆแล้วธรรมะนี้ไม่มีแบ่งแยกฟังได้ทุกรุ่น คนที่แบ่งแยกคือตัวศิษย์น้องเอง มักจะพูดว่าธรรมะเป็นของคนอายุมากจริงๆ ไม่ใช่ ธรรมะเป็นของทุกๆ คนและธรรมะมีอยู่ในใจของทุกคน  อยู่ที่ว่าเราได้สำนึกถึงธรรมะหรือไม่ ถ้าสรุปง่ายๆ ธรรมะมีตอนไหน มีเมื่อเรานึกได้ และธรรมะจะอยู่ตอนไหน อยู่เมื่อเรารู้จักใช้ คนที่สามารถประกาศธรรมะได้ นึกจะทำอะไรก็เป็นธรรมะ นึกจะพูดอะไรก็มีหลักฐาน แต่คนปัจจุบันนี้ไม่ว่าพูด ไม่ว่าคิด ไม่ว่าฟัง  ก็ล้วนแต่มีผลประโยชน์ หน้าตา ชื่อเสียงเรียงนาม  แต่คนที่ ไม่ว่าพูด ไม่ว่าคิด ไม่ว่าฟัง ล้วนมีคุณธรรม เมื่อไปอยู่ที่ใดก็เป็นสุข ไปอยู่ที่ใดก็เป็นที่รักของคนอื่นใช่หรือไม่  แล้วศิษย์น้องอยากมีไหม การอยากมีนั้นแปลว่า ศิษย์น้องจะต้องพยายามทำให้ได้ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราสำนึก เราได้หยั่งคิด จริงไหม ถ้าศิษย์พี่เห็นแต่ตัวศิษย์พี่เอง ไม่ห่วงศิษย์น้อง ศิษย์พี่ก็คงเป็นศิษย์พี่ที่ศิษย์น้องไม่อยากเคารพไม่อยากเรียกว่าศิษย์พี่  และไม่อยากเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะไร้เมตตาจริงหรือเปล่า  ศิษย์พี่ก็มีเมตตานะ นิสัยศิษย์พี่แก้ไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ชอบชมตัวเอง แต่ชมตัวเองแล้วศิษย์พี่ไม่เคยว่าใครนะ ศิษย์พี่ก็ยังได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใช่หรือเปล่า แม้ศิษย์พี่ชมตัวเอง แต่ศิษย์พี่ก็เห็นศิษย์น้องดีหมดทุกคน ไม่เคยว่าศิษย์น้องคนนี้ไม่ดีศิษย์พี่ดีคนเดียวอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ และถึงแม้ศิษย์พี่จะชมตัวเอง แต่ก็ไม่เคยหลงตัวเอง เมื่อโดนว่าก็ยังรู้จักยอมรับ ทำได้อย่างศิษย์พี่ไหม ถ้าทำได้ศิษย์น้องก็เดินตามศิษย์พี่ได้ และก็เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกัน แต่เป็นอย่างไร บางครั้งเราหลงตัวเองแล้วยอมรับไม่เป็นใช่ไหม อารมณ์มีอยู่สองอย่าง ไม่รักก็เกลียด ใช่หรือไม่ รักแล้วศิษย์น้องมักจะเป็นแบบนี้ อยากรู้ไหมเป็นอย่างไร
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมฝ่ายชายสองท่านออกมาทำท่าทางหน้าชั้น โดยเอามือพาดไว้ที่ไหล่ของอีกฝ่าย อีกมือหนึ่งถือพานผลไม้ ยกเท้าวางบนเก้าอี้และแซมผมด้วยดอกไม้)  สมมติว่านี่คือต้นตะโกดัดที่วางอยู่ในที่สาธารณะ เวลาคนเขาไปไหนมาไหนเห็นอะไรที่วางอยู่ที่เป็นสาธารณะมักจะเป็นอย่างไร มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง บางทีก็เติมตรงนี้ต่อหน่อยหนึ่ง  ต้นตะโกดัดต้นนี้สวยไหม มีธรรมะไหม (มี)  มีก็คือ คนเราเมื่อมีความรักในสิ่งใด เรามักจะพยายามปรับปรุงตกแต่งสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แล้วเวลาศิษย์น้องรู้จักกับใคร ไม่ว่าพี่น้อง พ่อแม่ เพื่อน ความรักที่เรามีต่อเขาก็คือ ทำให้เขาเป็นคนดีที่สุดในสายตาเรา  ใช่หรือไม่  ศิษย์พี่สมมติว่าตะโกดัดเป็นสิ่งที่ศิษย์น้องรัก เวลาศิษย์น้องรัก ศิษย์น้องก็พยายามแต่งให้ดีที่สุด พยายามให้เขาทำให้ดีที่สุด เพราะเรารักเขาใช่หรือไม่ เพราะเรารักต้นไม้นี้เราจึงพยายามตัดต่อตกแต่งให้สวยที่สุด ให้สวยเฉิดไฉไลที่สุด แต่บางครั้งเราลืมคิดไป เราลืมนึกถึงใจเขา ลืมนึกถึงธรรมชาติของเขา และเราลืมมองความบกพร่องผิดพลาดของเขา บางครั้งเราจะทำอะไรเราก็จะให้เขาทำอย่างนี้นะ ต้องอย่างนี้นะ เราจะพยายามให้เขาที่อยู่ในสายตาเรานี้ดีที่สุดให้ได้ บางครั้งเราสามารถมองเห็นคนที่เรารักว่าบกพร่องอะไร เราช่วยชี้นำ ช่วยแก้ไขเขาได้ แต่เราลืมไปอย่างหนึ่งว่า เราสามารถเห็นเขาแต่เราลืมย้อนมองตัวเรา จริงไหม (จริง)  บางครั้งเรารักเขาจนลืมดูตัวเอง รักมากเกินไปหรือเปล่า รักเหมาะหรือไม่ ใช่หรือไม่ เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า  “โทษของเขาเห็นเป็นภูเขา โทษของเราเห็นเบาเป็นเส้นผม”   เหมือนกับคนที่เราไม่ชอบ เราสามารถมองเห็นได้ว่าต้องแก้อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ เรามองเห็นและดูออก แต่บางครั้งเราลืมดูตัวเอง ฉะนั้นขณะที่ศิษย์น้องจะดูและช่วยใคร อย่าลืมย้อนดูตัวเองด้วย เพราะเวลาเราเป็นห่วงเราเป็นห่วงเขาจริงๆ เวลารัก เรารักเขาจริงๆ รักจนปิดหูปิดตา ลืมเห็นว่าสิ่งที่เราบำรุงบำเรอเขานั้นอาจจะเป็นทางที่ผิด สิ่งที่พยายามยัดเยียดให้เขา บางครั้งอาจชักนำให้เขามีนิสัยที่ไม่ถูกต้องก็ได้ อย่างนี้ก็จะเป็นตะโกดัดที่น่าสงสาร
มีเรื่องๆ หนึ่ง มีพี่น้องสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ คนพี่ด้วยความรักและเป็นห่วงน้อง เพราะว่าน้องไม่มีพ่อแม่มีพี่เท่านั้นที่จะคอยชี้นำได้ ไม่ว่าจะไปไหนก็จะคอยเตือนตลอด ใส่รองเท้าดีๆ นะ ใส่ไม่ดีเดี๋ยวล้มลงไป พอเดินก็บอกระวังหินนะ ระวังมูลสุนัขนะ อย่าพูดอย่างนั้นนะพูดไปไม่ดี  ผลสุดท้ายห้ามน้องได้หมด แต่ตัวเองหลุดทำไปหมดเลย เคยเป็นไหม ห้ามลูกอย่าสูบบุหรี่ไม่ดี แต่พ่อแม่แอบสูบ ลูกอย่าโกหกพ่อนะไม่ดี ตัวเองโกหกไหม (โกหก)  ลูกต้องเป็นคนดีขยันขันแข็ง แต่พ่อแม่ขี้เกียจลูกก็ทำไปก่อนแล้วกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์พี่อยากเอาเรื่องนี้มาสอนศิษย์น้องให้เอามาย้อนคิดทุกขณะที่จะสอนใคร  จะชี้นำใครอย่าลืมสอนและชี้นำตัวเองให้ได้ด้วย ทำได้ไหม (ได้)
คนเรานั้นอยากจะพบความสำเร็จ ต้องมีความเพียรพยายาม หลักการเพียรนั้นมี  ๔  ประการ   
๑. เพียรทำความดีให้บังเกิดขึ้นในชีวิต
๒. เพียรทำความดีที่ดีอยู่แล้วให้คงอยู่ตลอดไป
๓. เพียรละความไม่ดีไม่ให้เกิดขึ้นในชีวิต
๔. เพียรละความไม่ดีที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เกิดอีกต่อไป 
คนเรานั้นถ้าสามารถมีความเพียร ๔ อย่างนี้ได้ จะสามารถดำรงความดีงามในชีวิตได้ ทำได้ไหม (ได้) แล้วเมื่อเพียร ๔ อย่างได้ ก็จะไปสู่ความสำเร็จอีก ๓ อย่างซึ่งจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ ๑.มีความเพียร ๒มีความเอาใจใส่อย่างไม่ท้อแท้ เมื่อเราเพียรพยายาม ๓. เราต้องหมั่นเอาใจใส่ดูแลสิ่งที่เราจะพยายาม ทำสิ่งนั้นให้มีอยู่ตลอดไปและสม่ำเสมอ หรือทบทวนสิ่งที่ทำอยู่นั้นให้เสมอๆ
อย่างเช่น เราเพียรที่จะทำการงานนี้ให้สำเร็จ เราจะต้องมีความเอาใจใส่ และจะต้องศึกษางานนั้นๆ แม้ทำงานนั้นเสร็จไปแล้ว ก็ยังต้องทบทวนงานนั้นว่า เราได้ทำสิ่งใดเสร็จลงไป นี่คือการเพียรและพยายาม ถ้าศิษย์น้องเอาไปใช้ ไม่ว่าจะทำงานหรือบำเพ็ญธรรม หรือไม่ว่าจะมาฝึกฝนการเป็นคนดีเป็นพุทธะก็จะประสบความสำเร็จได้ ทำได้ไหม (ได้)  มีเพียร ๔ กับพยายาม ๓ ทำได้ไหม   พยายามทำให้สำเร็จ ๓ อย่าง ทำได้นะ
โลกเรานี้ไม่มีใครที่จะเก่งไปทุกคน และความฝันนั้นเมื่อได้เกิดขึ้นมาแล้ว จะสำเร็จได้เพราะเราเอาแต่นั่งรอคอยใช่หรือไม่ (ใช่)  บางอย่างต้องไขว่คว้า บางอย่างต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มา เราจึงจะเห็นผู้ที่สำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งความสำเร็จนั้นก็ต้องใช้ขยันแล้วก็ต้องอดทน 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “อดทนที่จะคอย”)  เรื่องบางอย่างนั้น ต้องอดทนบ้าง เรื่องบางอย่างต้องไขว่คว้าบ้าง ศิษย์น้องต้องรู้จักจำแนกแยกแยะให้เป็น อย่างเช่น  เงินตกมาหาศิษย์น้อง  จะคอยหรือพยายามให้ได้มา (พยายาม)  เงินหนึ่งร้อยหล่นมาใส่ตัวเรา พยายามหรือรอให้ได้มา  (พยายาม)  อยากเป็นคนสำเร็จในการศึกษา พยายามหรือนั่งเฉยๆ  (พยายาม)  อยากเป็นคนสำเร็จในการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมต้องคอยหรือว่าไปศึกษา (ไปศึกษา) อยากพยายามฟังตรงนี้ให้รู้เรื่องนั่งเฉยๆ แล้วไม่คิด หรือว่านั่งแล้วคิดตาม (คิดตาม)  คิดตามแล้วหลับหรือว่าตั้งใจ (ตั้งใจ)  อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างไร เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ศิษย์น้องอย่าไปสนใจตั้งใจฟังสิ่งที่ศิษย์พี่พูดได้ไหม (ได้)  
แล้วมีอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้อง คือ เมื่อเรามีคนที่เรารัก ชอบ  เราจะพยายามทำสิ่งนั้นให้ถึงที่สุด แต่บางครั้ง ทำไป อย่าลืมสอนตัวเราด้วย อย่าลืมความเป็นธรรมชาติของเขาด้วย เวลาเรารัก เรารู้แล้วว่าเราจะทำอย่างไรให้ถูกต้อง  แต่คราวนี้ศิษย์พี่จะมาพูดเรื่องเกลียด ใครบ้างที่ไม่เคยเกลียดใครเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเวลาเราเกลียดคนนั้น เวลาเห็นหน้า เราจะมองไม่เห็นความดีของเขาเลย มองอย่างไร จะหันซ้ายหันขวา จะใส่เสื้อผ้าสวยอย่างไร ก็น่าเกลียด จะพูดอย่างไรก็น่าเกลียด แต่มีปราชญ์โบราณท่านพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า คนที่ศิษย์น้องเห็นต่อหน้าแล้วเกลียด แล้วลับหลังศิษย์น้องสามารถเฟ้นหาความดีแล้วรักเขาได้ นั่นแหละ เรียกว่าจิตใจของคนบำเพ็ญ ทำได้ไหม (ได้)  ยากจริงหรือไม่ บางครั้งเฟ้นแล้วเฟ้นอีก เสาะหาแล้วเสาะหาอีกยังหาข้อดีไม่ขึ้น มองอย่างไรก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ดีๆเลย ใช่หรือเปล่า
ศิษย์พี่จะยกตัวอย่างเรื่องความไม่ชอบให้ศิษย์น้องฟังง่ายๆ เลยนะ จะทำอย่างไรให้ศิษย์น้องรักเขาได้  อย่างวันนี้ศิษย์น้องอยากจะไปซื้อเสื้อตัวหนึ่ง  ศิษย์น้องก็เดินไปตาก็มองหาไปด้วย เห็นเสื้อตัวหนึ่งสวย  แต่พอเดินไปอีกเห็นอีกตัวหนึ่งก็สวย  ใจเราเป็นอย่างไร  เริ่มแตกเป็นสองแล้วใช่ไหม (ใช่)  จากตอนแรกเห็นตัวนี้สวย  ก็เริ่มจะมองเห็นตัวโน้นสวยเหมือนกัน  แต่จะทำอย่างไรดี  ตรงนี้เสื้อแบบผ่า  ตรงโน้นเสื้อกระดุม  เริ่มจำแนกแยกแยะใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเริ่มจำแนกแยกแยะนับไปนับมาตัวนั้นไม่สวย  ตัวนี้สวยที่สุดแล้ว  ใส่แล้วดูสวยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเราก็เกิดชอบอันนี้มากกว่าชอบอันโน้น  ใช่หรือไม่  ทั้งที่ตอนแรกเราชอบอันโน้นไหม (ชอบ)  แต่เมื่อเราอยากได้สิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง  เมื่อสิ่งหนึ่งมีดีกว่าอีกสิ่งหนึ่ง  เราจึงกลายเป็นรังเกียจสิ่งนั้น  ถ้าสิ่งนั้นมีข้อไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจไหม  ชอบอีกสิ่งหนึ่งแล้วไม่ชอบอีกสิ่งหนึ่งก็เพราะว่ามีการเปรียบเทียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อศิษย์น้องเกิดการเปรียบเทียบปุ๊บ  สิ่งหนึ่งก็จะรักมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง  และถ้าอีกสิ่งหนึ่งสามารถสำแดงความดีโดดเด่นขึ้นมา  แต่อีกสิ่งหนึ่งสำแดงความร้ายออกมาให้เห็น  ศิษย์น้องก็จะตัดทิ้งทันที  แล้วสรุปว่าคนนี้ศิษย์น้องเกลียด  คนนี้ศิษย์น้องรักใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามองแล้ว  สิ่งที่ศิษย์น้องเกลียดกับสิ่งที่ศิษย์น้องรักเป็นเสื้อเหมือนกันไหม (เป็น)  เป็นคนเหมือนกันไหม (เป็น)  แล้วคนที่ศิษย์น้องรักและไม่รักหน้าเหมือนกันไหม (เหมือน)  จึงมีคำกล่าวว่า “ในความงามกับความไม่งามแท้จริงนั้นมีความสวยงามอยู่  ในความน่าเกลียดกับความน่ารัก  แท้จริงมีความน่ารักอยู่”  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ  “อย่าเลือกมุมที่จะมอง  แต่จงมองทุกมุมให้เห็น”  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูดอกไม้ดอกหนึ่งให้นักเรียนในชั้นดู)  ดอกไม้นี้สวยไหม (สวย)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดึงกลีบดอกไม้ออกหมดเหลือแต่ก้าน)  สวยไหม (ไม่สวย)  สวย อุตส่าห์บอกแล้วเชียวว่าอย่าเลือกมุมที่จะมอง  สิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการจะบอกนั่นก็คือว่า  ในความไม่แน่นอนนั้นก็มีความสวยงามอยู่  เมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องสามารถแบ่งแยกได้  ก็จงมองรวมให้เป็นหนึ่งได้ด้วย  เมื่อลองมองความแตกต่างให้รวมให้เป็นหนึ่งได้  ศิษย์น้องจะเข้าใจความงามของสัจธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนฝนตกกับไม่ตกอันไหนดีกว่ากัน  ฝนตกสวยไหม (สวย)  ไม่ตกสวยไหม (สวย)  เมื่อไหร่ที่สามารถมองเห็นความแตกต่างแล้วรวมเป็นหนึ่งได้จะเข้าใจสัจจะ แล้วเมื่อไหร่ที่เข้าใจสัจจะ  เมื่อนั้นจะค้นพบความงามที่แท้จริงของชีวิต  เฉกเช่นเดียวกัน  ทุกคนมีความน่าเกลียดและความน่ารัก  ถ้าศิษย์น้องมองสวยมองน่ารัก  ศิษย์น้องก็จะมองไม่เห็นความน่าเกลียด  ถ้าศิษย์น้องรักเขามากก็จะหลง  แต่ถ้าศิษย์น้องมองเห็นความน่าเกลียด  ศิษย์น้องก็จะเกลียดเขาและรักเขาไม่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไหร่มองความน่าเกลียดกับความน่ารักเป็นดอกไม้หนึ่งดอก  ศิษย์น้องจะรักเขาลง  เกลียดเขาไม่เป็นและเข้าใจในสัจจะของชีวิตว่าเป็นเช่นนี้เอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ศิษย์น้องพยายามสู้กับธรรมชาติอยู่นะ  สู้ให้ได้นะศิษย์น้อง  แล้วเมื่อนั้นจะไม่มีอะไรที่ศิษย์น้องเกลียด  ศิษย์น้องจะเข้าใจชีวิต  เมื่อนั้นจะไม่มีอะไรที่ศิษย์น้องหลง  เพราะศิษย์น้องเห็นความไม่น่าหลงใช่หรือไม่ (ใช่)  ในความไม่สวย  ในความน่ารังเกียจจงมองให้เห็นความดี  แล้วศิษย์น้องจะเกลียดใครไม่ลง  ศิษย์น้องจะเข้าใจคำว่าสัจจะของชีวิตหรือความไม่แน่นอน เที่ยงแท้ของชีวิต แล้วต่อไปนี้  ศิษย์น้องจะรู้จักสู้กับชีวิตด้วยความเข้าใจ  รู้จักแบ่งแยก  แต่ก็แบ่งแยกความเป็นหนึ่งได้ด้วยความงดงาม ทำได้ไหม (ได้)
ศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า มีอะไรที่ชอบและอะไรที่ชัง (ชอบความดีเกลียดความชั่ว) ถ้าหากเข้าใจที่ศิษย์พี่พูด จะมีสิ่งที่ชอบและชังไหม (ไม่มี)  ถ้าศิษย์น้องบอกว่าชอบความดีเกลียดความชั่ว ใครไม่มีความชั่ว ยืนให้ศิษย์พี่เห็นซิ  ฉะนั้นคนที่ศิษย์น้องเกลียดคนแรกก็คือตัวเอง จริงไหม (จริง,ไม่จริง)  ไม่จริงเหรอ แสดงว่า ดีหมดจดไม่มีชั่วเลยหรือ เกลียดตัวเองไหม (ไม่เกลียด)  เวลาคนอื่นมีความชั่วเราเกลียดเขาไหม (เกลียด)  อย่างนั้นแสดงว่าศิษย์น้องเลือกมุมที่จะมอง เลือกที่จะเอาฟ้าใสไม่เอาฟ้ามืด อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ธรรมะสอนให้มนุษย์สู้กับความจริงของชีวิตที่ว่า มีมืด สว่าง ร้าย ดี แน่นอน และไม่แน่นอน  ที่เรียกว่าสัจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  สัจธรรมมีอยู่ทุกคน แล้วเรามีไหม (มี)  คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เดี๋ยวดี  เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวใจเย็น ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อสู้แล้วจะชนะแบบไหน ชนะชั่วคราวหรือตลอดไป (ชนะตลอดไป) ชนะเขาหรือชนะใจ (ชนะใจ) ชนะใจแบบตลอดไป แล้วชั่วคราวเป็นอย่างไร ตลอดไปเป็นอย่างไร  ชนะชั่วคราวก็คือชนะด้วยความอดทนอดกลั้น  เวลาอดทนอดกลั้นแล้วใช้มโนธรรมสำนึกยอมอดทนอดกลั้น เรียกว่าชนะชั่วคราว แต่ถ้าชนะแบบตลอดไป ก็คือต้องชนะด้วยความอ่อนน้อมและสติปัญญา เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์น้องยอม ยอมชนะด้วยความอดทนแสดงว่าศิษย์น้องชนะชั่วคราว แต่เมื่อศิษย์น้องทะเลาะกับเขาชนะด้วยความอ่อนน้อมและใช้สติปัญญาแสดงว่าชนะแบบตลอดไป พอเข้าใจไหม เมื่อไหร่ที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไม่มีดีไม่มีร้าย แต่มองเห็นดีและร้ายเป็นหนึ่งเดียวและเห็นความงาม นั่นคือศิษย์น้องบำเพ็ญธรรมได้ยอดเยี่ยม ทำได้ไหม
กิเลสคือสิ่งที่ไม่ดีภายในใจ ลองพูดมาซิว่าศิษย์น้องมีอะไรที่ไม่ดีอยู่ในใจ แล้วศิษย์พี่จะให้แอปเปิ้ล  (อารมณ์เสียง่าย, ความอยากมี และไม่อยากมีในบางอย่าง, ความรัก ,ความไม่ตรงต่อเวลา, ไม่มีความอดทน, ไม่มีความขยัน , กิเลส โลภ โกรธ หลง, ความไม่รู้, ความอิจฉาริษยาผู้อื่น, ความลำเอียง, ขาดความรับผิดชอบ, ความไม่มั่นใจ, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  อย่างเช่น (ไม่เบียดเบียนคนและสัตว์)  จะไม่เบียดเบียนสัตว์  ต่อไปจะกินเจ  พูดเองนะศิษย์พี่ไม่ได้บังคับ  ถ้าทำได้ก็ดีนะ (จะเดินไปข้างหน้าไม่ถอยหลังสร้างแต่ความดี)  บางครั้งถอยหลังบ้างก็ได้นะ  ถอยดูซิว่าที่ผิดพลาดมีอะไรอีกบ้าง (ความสะเพร่า, การผัดวันประกันพรุ่ง, ความไม่ซื่อสัตย์, การพูดเท็จ, ความอยากได้)
สิ่งที่ศิษย์พี่พูดไปก็เป็นเหมือนการบำเพ็ญภายนอก  การบำเพ็ญภายในจิตใจนั่นก็คือ  ทุกขณะจิตเคลื่อนไหว  ทุกขณะที่พูด  ทุกขณะที่คิด  ทุกขณะที่ทำ  สามารถดึงสติ  คุณธรรม  และปัญญามาใช้ แล้วรู้ว่าอารมณ์เกิด-ควบคุม  กิเลส-มาตัดทิ้ง  ความชั่วร้ายในใจ  คิดอิจฉาริษยาเกิดขึ้น สามารถดึงสติปัญญามาควบคุมและขัดเกลาชะล้างให้ออกไปจากใจได้  นั่นแหละเรียกว่าการลงแรงและบำเพ็ญที่จิตใจ  แต่ใช่นั่งสมาธิเฉยๆ  แล้วสติปัญญา  คุณธรรมมาหรือ ไม่ใช่  แต่ทุกขณะที่เคลื่อนไหว  สามารถดึงสติปัญญาและคุณธรรมมาใช้  แล้วรู้ว่าควรมี  ควรทิ้ง  หรือว่าควรคงไว้  นั่นแหละเรียกว่า  การบำเพ็ญที่ลงแรงและบำเพ็ญที่จิตใจ  ในขณะที่ก้าวเดินไปในสังคม ทำได้ไหม (ได้)  ตอนนี้ศิษย์พี่จะยกสิ่งที่ดีและไม่ดีให้ศิษย์น้องฟัง แล้วศิษย์น้องพูดว่า  เอาไม่เอาได้ไหม (ได้)  เมตตา (เอา)  ใจร้าย (ไม่เอา)  อิจฉา (ไม่เอา)  รังเกียจ (ไม่เอา)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนส่ายหน้าถ้า “เอา”  ให้พยักหน้าถ้า“ไม่เอา”) การฝืนอารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่ดี ยากไหม (ยาก)  เรารู้ว่าต้องเมตตา แต่บอกให้ส่ายหน้า บางครั้งเราก็ทำไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  แต่จงฝืนในสิ่งที่ไม่ดี  อย่าฝืนในสิ่งที่ดี  แล้วไม่กล้าทำ  รู้สึกว่าฝืนใจที่จะทำดีใช่ไหม
การบำเพ็ญธรรมนั้นก็คือ การฝึกฝนจิตใจและขัดเกลาตัวเองให้เป็นคนที่ดีคนหนึ่งในสังคม  ถ้าเราทำได้ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ  และเรานั่นแหละคือคนประเสริฐ  แต่ทุกวันยิ่งมีชีวิต  ศิษย์น้องยิ่งตัดความประเสริฐของตนเองไปทีละนิด แล้วก็ทิ้งทีละนิด  แต่ตอนนี้ไม่ใช่ตัดทิ้ง  แต่จะพยายามพลิกฟื้นขึ้นมาให้ออกดอกออกผลอันงดงาม  ทำได้ไหม  พยายามเข้มงวดตัวเอง  เรียกร้องตัวเองฝึกฝนขัดเกลาทั้งกายและใจตัวเองให้จงได้ เข้าใจไหม
วันนี้กล่าวมาตั้งเยอะรู้เรื่องบ้างไหม (รู้เรื่อง) รู้เรื่องหน่อยเถอะนะหมดแรงแล้ว จงพยายามชนะใจตัวเอง  แต่ชนะอย่างตลอดไป  ดังคำกล่าวที่พระพุทธองค์สอนไว้ว่า  ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ  ชนะคนไม่ดีด้วยความดี  ชนะคนตระหนี่ด้วยการให้  ชนะคนเหลวไหลด้วยการมีสัจจะวาจา  อย่าลืมสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านได้สอนไว้  รักษาศีลให้ครบ  และเป็นคนที่งามงดในจริยวัตรของผู้บำเพ็ญ ทำได้ไหม (ได้)  
วันนี้ใครมาช่วยงานจากแดนไกล  ศิษย์พี่เป็นตัวแทนเหล่าซือให้ขนมเปี๊ยะ  เดี๋ยวเอาไปแบ่งให้เขากิน  เพราะศิษย์น้องได้กินอาหารมื้อนี้เป็นผลพวงมาจากแม่ครัวยอมเสียสละแรงกายแรงใจ  ไม่ใช่แค่วันนี้นะ  ตั้งแต่เมื่อวานแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์น้องลองคิดดู  ทำให้คนสองคนก็เหนื่อยแล้ว  แต่นี้ทำให้คนเป็นร้อย 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกขนมให้แม่ครัวที่มาจากปราณบุรี)  และผู้บำเพ็ญอีกหลายท่านที่มาจากแดนไกลหรือผู้บำเพ็ญหลายท่านที่อยู่ในที่นี้  ที่มาช่วยให้ศิษย์น้องนั่งตรงนี้ได้อย่างสบาย  มาบริการศิษย์น้อง  คอยดูแลศิษย์น้อง  ถ้าเกิดเขาทำอะไรไม่ถูกใจอย่าไปว่าเขานะ   ได้ไหม เพราะคนเราเวลาจะทำอะไรให้คนอื่นย่อมเป็นการยาก  และบางครั้งก็เป็นการฝืนใจเขาเล็กน้อย  เขาอาจจะทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ  ให้อภัยเขาหน่อยได้ไหม (ได้)  และอีกเรื่องหนึ่ง  สุดท้ายแล้ว  ศิษย์น้องเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่  ศิษย์พี่จะไปแล้ว  ตอนนี้ศิษย์น้องยังมีรุ่นพี่อีก  รุ่นพี่ดูแลน้องๆ ในชั้นนี้ด้วยนะ  ศิษย์พี่ฝากฝังไว้ด้วยได้ไหม (ได้)  เราเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วนะ  ศิษย์น้องอย่าลืมนะ  ศิษย์น้องมีศิษย์พี่ที่ชื่อนาจา  เป็นศิษย์พี่ของศิษย์น้อง  ถ้าบางครั้งศิษย์พี่ไปช่วยไม่ทัน  ศิษย์น้องมีวิบากกรรม  จงก้มหน้ายอมรับ  อย่าได้โทษฟ้าโทษดิน  แล้วเภทภัยนั้นจะค่อยๆ หายไป  แม้อาจจะต้องรับเต็มเม็ดเต็มหน่วย  แต่จงรู้ไว้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้พยายามช่วยเต็มที่แล้ว  อย่าต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยนะ ได้ไหม (ได้)  
ก็ยังอดเป็นห่วงคนที่นครฯ ไม่ได้นะ  ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนนครฯ รักกันให้ได้นะ  ธรรมะข้อนี้ที่อยากทิ้งไว้ให้  เอาไปศึกษาให้ดี  สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมานั้น  อยากให้ศิษย์น้องจำให้ได้  แล้วทำให้ได้  ศิษย์น้องจะเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่อยู่เสมอ  ไม่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไรก็คือศิษย์น้องของศิษย์พี่ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ลองคิดดูนะ  ถ้าหัวหน้าครอบครัวเจอลูกๆ ที่ทะเลาะกัน  แตกแยกกัน  หัวหน้าครอบครัวจะร้องไห้หรือดีใจ (ร้องไห้) แล้วคนที่ร้องไห้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมนุษย์ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์) ทำตัวให้ดีนะศิษย์น้อง  อย่ายอมให้ตัวเองพ่ายแพ้กับอบายมุข  กิเลสและสิ่งที่ไม่ดี  อย่ายอมให้ตัวเองพ่ายแพ้กับความไม่ดีของคนอื่น  ชนะจิตใจเขาให้ได้  ชนะด้วยความดี  แต่ไม่ใช่ชนะด้วยความทิฐิ  ความดื้อรั้น เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่  แต่อย่าเป็นเด็กดีที่ดื้อรั้น  ไม่น่ารักเลยใช่ไหม (ใช่)  จงเป็นคนที่ดีและตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ  บางสิ่งบางอย่างที่สูญเสียไปแล้ว  เรียกกลับมาไม่ได้  แต่จงทำตัวให้ดี  แก้ไขใหม่  เริ่มต้นใหม่  ไม่มีคำว่าสายหรอกในชีวิตนี้ใช่ไหม  อย่าดื้อรั้นกันอีกเลย  ตั้งใจบำเพ็ญกันให้ดีๆ นะ ทำให้ได้  ดีหรือเปล่า  ถ้าทำได้อยู่ที่เรา  ไม่ได้อยู่ที่ใครเข้าใจไหม (เข้าใจ)  
ที่นี่เป็นที่ๆ น่ารักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ  และจงน่ารักตลอดไปได้ไหม (ได้)  ใครก็ตามที่เรารู้ว่าไม่ดี  เราอย่าไปทับถมเขา  แต่จงช่วยดึงเขาขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่ดี ให้เป็นคนดีให้ได้  เขาเลวแล้วเราอย่าไปทับเขาให้เลวต่อไป เขาไม่ดีแล้วอย่าทำให้เขายิ่งไม่ดีต่อไป  แต่จงกลบความไม่ดีด้วยความดีของเรา  นี่ถึงจะเรียกว่าจิตใจของผู้บำเพ็ญ  ในโลกนี้จะเลวร้ายเพียงใด  แต่เราจงเอาความดีของเรานี้ไปล้างโลกนี้ให้สะอาด ทำให้ได้นะ  เป็นเด็กดีนะ  อย่าดื้อรั้นกับอาจารย์จี้กงอีกนะ

วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ปรับปรุงตนประดุจโจรกลับใจ อันว่าภัยส่วนใหญ่ออกจากปาก
เกิดเป็นคนมีพบและมีพราก แม้ลำบากอย่าได้กลัวบำเพ็ญจริง
ระยะทางพิสูจน์เหล่าอาชา กาลเวลาพิสูจน์ใจคนแกร่งยิ่ง
เปิดใจกว้างยอมรับคำติติง และต้องนิ่งพินิจยามรับคำชม
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉือเหยริน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนคิดอยากที่จะบำเพ็ญธรรมะไหม

เรืออยู่ตัวด้วยร่วมแรงแห่งศรัทธา การร่วมใจที่มาพร้อมมันสมอง
จงเป็นคนโลกให้โลกยกย่อง ถ้าน้อยในการยอมต้องเสียคน
บำเพ็ญรู้ติดยึดเป็นเรื่องไม่นิด รู้จักคิดอีกแยกแยะขจัดต้น
พุทธะไกลและใกล้อยู่ที่ใจคน ยากแจ้งความแยบยลเมื่อไม่เข้าใจ
ฝึกฝนจริงในไม่ช้าจิตสว่าง ทุกข์ย่อมรั้งให้คนไกลก้าวใหม่
ชีพจะสูญไปสิ้นไม่เป็นไร มั่นหมายใจตั้งเวลาปรับปรุงตน
ทั้งพากเพียรมุ่งใจสู่จิตสะอาด อย่าได้พลาดซ้ำซ้ำอีกแม้นหน
บำเพ็ญธรรมพวกเจ้านั้นต้องอดทน อ่อนน้อมสบายไม่ร้อนรนในญาณ
ฮา ฮา หยุด

  อาชา ม้า
  
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เราไม่ได้เป็นแค่พ่อแม่  แต่เราเคยเป็นลูกมาก่อน  เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากว่าฟังแล้วเราไม่ปฏิบัติ  ธรรมะนี้วิเศษไหม (ไม่วิเศษ)  แต่ถ้าหากฟังคำพูดของคนที่นี่แม้เพียงแค่ประโยคเดียวแล้วเราเอากลับไปทำ ธรรมะนี้วิเศษไหม (วิเศษ)  เพราะฉะนั้นคนที่บำเพ็ญก็มีหลายอย่าง  บางคนบำเพ็ญแล้วก็บำเพ็ญได้เรื่อง  บางคนบำเพ็ญแล้วก็ไม่ได้เรื่อง  ในหนึ่งคนเป็นอะไรได้ตั้งหลายแบบ  หลายอย่าง  ทุกๆ ขณะเราอยู่กลาง  ทุกๆ ขณะเราอยู่ล่าง  ฉะนั้นสำคัญไหมที่เราจะต้องเป็นคนดี (สำคัญ)  แล้วเราเป็นคนดีอยู่คนเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เราเป็นคนดีคนเดียวไม่ได้  คนอื่นเป็นคนดีแต่เราไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง  เราต้องแก้ไขปัญหาของตัวเราเอง ขณะเดียวกันยังต้องคอยรับอารมณ์คนอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องคอยรับอารมณ์ตัวเอง  ถามว่าการอยู่ในโลกนี้อะไรยากที่สุด  อะไรที่เอาชนะยากที่สุด  คนที่บำเพ็ญธรรมะไม่ใช่ว่าบำเพ็ญแล้วสำเร็จทุกคน แต่คนที่ไวที่สุดนั้นจึงจะสามารถสำเร็จได้ก่อน ถ้าเรามัวแต่ใจเย็นๆ นั่งอยู่บ้านแอร์เย็นสบาย วันๆ  ก็ไม่สนใจที่จะแก้ไขตัวเอง  เราก็คงจะไม่สำเร็จธรรม 
ต่างคนต่างมีข้อดีใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราดีไหม (ดี)  ไหนใครว่าตัวเองดียกมือขึ้น  แล้วใครคิดว่าตัวเองมีข้อแย่เอามือลง  ดูซิว่าพุทธะเหลือกี่คน  แสดงว่าทุกคนเป็นคนดี และทุกคนก็เป็นคนไม่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามานั่งฟังธรรมะสองวันนี้เพื่ออะไร (เพื่อเป็นคนดี)  คนดีน่ะจะต้องดีมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาสถานธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะต้องมีอยู่ในตัวก่อนที่จะมาสถานธรรมแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมาสถานธรรมฟังธรรมะจบแล้วต้องนำไปปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างเดียวไม่พอต้องหัดช่วยเหลือคนอื่นด้วย  เราเคยช่วยเหลือคนอื่นไหม (เคย)  เวลาเราช่วยเราอยากได้ผลตอบแทนหรือเปล่า (ไม่อยาก)  แน่ใจหรือเปล่า  ถ้าแน่ใจอาจารย์ก็ยินดีด้วย  เวลาทำบุญห้าบาทคิดถึงห้าร้อยไหม  เคยไปวัดแล้วทำบุญไหม (เคย)  เวลาทำบุญแล้วอยากได้บุญตอบแทนไหม (ไม่อยาก)  ใครทำบุญเพื่อความสบายใจก็ยินดีด้วย  เพราะว่าเวลาที่เจอเหตุการณ์จริงๆ  สิ่งที่เราเคยฟังมา  ธรรมะที่เราเคยรู้มาก็เปลี่ยนไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าฟังธรรมะ  แล้วก็รู้ว่าธรรมะดีอย่างนี้  แต่พอถึงเวลาทำแล้ว เป็นอย่างไร  สงสัยว่าคนฟังกับคนที่เจอเหตุการณ์เป็นคนละคน  บอกว่าถ้าเราบำเพ็ญธรรมะ  เราโกรธง่ายเราต้องหายเร็วด้วย  พอกลับไปบ้านโกรธง่ายไหม  หายเร็วหรือเปล่า  เราฟังธรรมะสองวันแรกออกไป  พยายามควบคุมตัวเองให้ดี  พอฟังต่อไปนานๆ  เป็นอย่างไร  บางคนก็ดีขึ้น  บางคนก็แย่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)  
ใครรู้จักโจรบ้าง (รู้)  ถ้าโจรรู้จักปรับปรุงตนเอง  เขาต้องมีความตั้งใจมากๆ  เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  องคุลีมารตอนที่กลับใจ  แล้วเจอผลดีไหม (ดี)  ก่อนดีเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนบรรลุธรรมนั้นเป็นอย่างไรบ้าง  ก็ยังเจอคนว่าอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราคิดที่จะกลับใจบ้าง  เราคิดที่จะเป็นคนดีบ้าง  แต่เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนดีในฉับพลันทันใดนั้น  จะต้องให้คนทั้งโลกมองเราในแง่ดีใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมา  เราต้องให้คนอื่นนั้นค่อยๆ  ซึมซับในสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลง  ต้องให้เวลาในการกลับใจมามองเราในแง่ใหม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ง่ายๆ  ไม่ใช่อยู่กันสบายๆ  ทุกๆ  วันต้องดิ้นรนขวนขวาย  ชีวิตนั้นมีคุณค่า  อายุก็มากขึ้นเรื่อยๆ  ผมไม่อยากให้ขาวมันก็ขาว  ร่างกายไม่อยากให้ปวดเมื่อยมันก็ปวดเมื่อย  เราไม่เคยคิดว่าจะต้องแก่  แต่ในที่สุดมันก็ต้องแก่ บางครั้งเราก็ไม่คิดว่าจะต้องตาย  แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องตาย  ตายแล้วคนคิดถึงนั้นดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วคิดว่าอย่างเรานี่ถ้าจากไปแล้วจะมีคนคิดถึงไหม  พระอริยะ  ปราชญ์มุนีมีคนคิดถึงเป็นพันๆ  ปี  เราเป็นคนธรรมดามีคนคิดถึงสามปีนี่ก็เยี่ยมแล้วใช่ไหม (ใช่)  
“ระยะทางพิสูจน์เหล่าอาชา กาลเวลาพิสูจน์ใจคนแกร่งยิ่ง
เปิดใจกว้างยอมรับคำติติง และต้องนิ่งพิจิจยามรับคำชม”
บำเพ็ญธรรมจริงต้องเป็นคนที่อดทนรับฟังคน ส่วนใหญ่เราก็รู้ดีว่าเวลาคนชมเรามักหลงและเหลิงง่ายๆ หรือเวลาคนติมาให้เราเปิดใจกว้างๆ แต่เราก็เป็นอย่างไร บางคนก็โกรธ บางคนก็คิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองสารพัด มีกี่คนที่จะย้อนมองดู การเป็นคนมันต้องมีแบบนี้ การเป็นคนก็เป็นเรื่องไม่ง่ายอย่างนี้ แต่ทว่าจนแล้วจนรอดทุกสิ่งทุกอย่างรู้ด้วยตัวเอง ให้เราเข้าใจตัวเองให้ดี รู้ในสิ่งที่ตนเองเป็นแต่ไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ เพราะฉะนั้นระยะทางที่ศิษย์เดินก็ยืดไป การบำเพ็ญธรรมนั้นคงไม่มีคำว่า ยอมแพ้ ถ้าหากว่าเรานั้นเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง คงไม่มีคำว่าแพ้ หากเรารู้จักที่จะละสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง แม้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รู้มาอยู่แล้ว แต่ยังทำไม่ได้ทั้งที่เรามีมาตรฐานในใจแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำความดี จะทันเวลาไหม  จะรอเวลาอีกเท่าไหร่  บางคนบำเพ็ญสามปีแล้ว สี่ปีแล้ว ห้าปีแล้ว แต่ละปีที่ผ่านมายังทำอะไรไม่สำเร็จเลย ปรับปรุงตัวเองใหม่ ปรับปรุงตัวเองยังไม่ดีเลย ให้เวลาอีกสามปี จะทันไหม พอไหม  มากไปหรือเปล่า สามร้อยหกสิบห้าวัน คูณด้วยสามเป็นพันวันใช่ไหม (ใช่)  
“ถามศิษย์รักทุกคนคิดอยากที่จะบำเพ็ญธรรมะไหม” อยากไหม เพราะว่าวันนี้อาจจะเป็นวันแรก อาจเป็นวันที่สอง อาจเป็นวันที่สามของความตั้งใจ คนเราต้องตั้งใจหลายครั้ง มีเกิดแล้วก็มีดับ เหมือนกับการเวียนว่ายตายเกิดเลยทีเดียว ชีวิตหนึ่งคิดไปพันครั้ง บางครั้งคิดเชื่อ ไม่เชื่อ เรามีที่มาเรามีที่ไป อาจารย์มาวันนี้เพียงแต่หวังว่าให้ศิษย์คิดอยากบำเพ็ญ เพราะจิตใจของศิษย์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก  ตอนนี้คิดดีทุกอย่างเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ดีทุกอย่างไหม เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นนอกจากละอารมณ์ออกจากจิตใจแล้ว ยังต้องปลงจิตใจของเราเองด้วย บางคนติดอยู่ที่ว่าทำใจไม่ได้ แล้วมีอะไรดีขึ้นบ้าง ยิ่งทำใจไม่ได้ก็ยิ่งแย่ลงใช่หรือเปล่า ชีวิตนี้อยากดีก็ต้องรู้จักทำใจ ตอนนี้อายุเราห้าสิบหกสิบปีแล้ว มีเวลาอีกกี่ปีให้ทำใจ เวลาเหลือน้อยลงทุกวัน ถ้าหากชีวิตนี้คิดเป็นการค้าก็ขาดทุนย่อยยับใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปีที่เหลือนี้รีบๆ ทำใจดีไหมจะได้กำไร  เพราะเหตุการณ์ในชีวิตมันไม่ค่อยเปลี่ยน เคยผิดหวังอย่างไรก็ผิดหวังอย่างนั้น ยิ่งคาดหวังในตัวใครก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ชีวิตนี้ได้กำไรก็รีบๆ ปลง รีบๆ ปล่อยวางดีหรือเปล่า (ดี) 
การปล่อยวางเป็นอย่างไร สมมติให้แอปเปิ้ลนี้คือความกลุ้มใจ จะปล่อยทำอย่างไร (พระอาจารย์เมตตาปล่อยแอปเปิ้ลให้หล่นลงพื้น) บางคนปล่อยอย่างนี้แล้วแต่ก็กลัวความกลุ้มใจจะเจ็บ เห็นหรือยังว่าปล่อยทำอย่างไร นี่คือปล่อย แต่จริงๆ แล้วความกลุ้มใจหรือลูกแอปเปิ้ลลูกนี้มันเป็นความกลุ้มใจที่อยู่ในใจของเราเอง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราปล่อยลูกนี้ลงไป นี่ไม่ใช่แค่ความกลุ้มใจ แต่นี่เป็นจิตใจของตัวเองเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เวลาที่เราคิดจะปล่อยวางความกลุ้มใจไปเราก็ปล่อยไปอย่างไม่แยแสทำได้ไหม แต่ในขณะเดียวกัน ความกลุ้มใจอันนี้ที่อยู่ในใจเราก็คือ เราปล่อยจิตใจของเราลงไป ทำได้ไหม (ทำได้)  ตอนนี้ทุกคนมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบ้าง สิบเรื่องพอไหม สิบเรื่องมีเรื่องหนักๆ อยู่สักเรื่องสองเรื่องใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนมีใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากเราปล่อยก่อนเขา เราขาดทุนไหม (ไม่ขาดทุน)  บางเรื่องปล่อยไปเลยจะดี บางเรื่องปล่อยไปก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บ ให้เวลากับความโปร่งเบาของจิตใจของตัวเองดีหรือไม่ (ดี)  ส่วนบางเรื่องต้องวางทำอย่างไร วางอย่างนี้ได้หรือเปล่า (พระอาจารย์เมตตาวางแอปเปิ้ลไว้กับนักเรียน) เห็นไหมว่าวางอย่างไร อย่างนี้เท่ากับว่าเราวางความกลุ้มใจของเราให้กับคนอื่น เคยทำไหม (เคย)  เพราะฉะนั้นต้องหาที่ดีๆ ใช่หรือเปล่า (พระอาจารย์เมตตาวางแอปเปิ้ลบนโต๊ะพระ)  คนที่ปล่อยวางได้นั้นไม่ใช่ว่าต้องดูที่หน้าตาต้องหน้าตาอย่างนี้ถึงจะเป็นคนที่ปล่อยวางได้ ไม่ใช่ หรือต้องอายุเท่านี้ถึงจะปล่อยวางเป็น ไม่ใช่ กลับกันคนที่อายุยิ่งมากยิ่งปล่อยวางไม่เป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นคนแบบไหน ก็กำหนดตัวของเราเป็นแบบนั้นด้วยปัจจุบันที่เรายืนอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้เรายืนอยู่ที่ปัจจุบันหรืออดีต (ปัจจุบัน)  แน่ใจนะว่าตัวอยู่กับปัจจุบันแล้วใจไม่อยู่กับอดีต แน่ใจไหม แน่ใจนะว่าตัวยืนอยู่กับปัจจุบันแล้วใจของเราอยู่กับปัจจุบัน บางคนตัวอยู่กับปัจจุบันแต่ใจอยู่กับอดีตหรือบางคนใจอยู่ที่ไหน (อนาคต) คนใจอยู่กับอนาคตเป็นอย่างไร การที่เราคิดถึงอนาคตเราวางแผนในชีวิตทำได้ไหม (ทำได้)  ไม่ใช่บอกพรุ่งนี้ไม่แน่นอนอะไรก็ไม่คิดอย่างนี้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ไม่ใช่แบบนี้เพียงแต่เราคิดว่าวันนี้เราทำอะไร พรุ่งนี้เราได้อะไร โดยไม่มีความโลภโมโทสัน คนที่ผูกใจไว้กับอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ คนซื้อเลข ซื้อวันนี้พรุ่งนี้ออก พรุ่งนี้ต้องถูกไม่ถูกผิดหวัง อย่างนี้ผูกใจไว้กับอนาคตไหม (ผูก) หรือคนชอบดูดวงไปถามเขาว่าดวงของเราเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเขาตอบว่าดี ดีมากเลยกลับมากระปรี้กระเปร่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าตอบว่าแย่แล้วถามว่าดูเสร็จแล้ววันพรุ่งนี้เปลี่ยนได้ไหม  วันพรุ่งนี้ก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ยังดำเนินต่อไป เพราะว่าเหตุนั้นสร้างไว้ตั้งแต่วันนี้แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นอนาคตเปลี่ยนไม่ได้เราคิด เราคาด เราหวังได้เพราะความหวังนั้นทำให้คนอยู่ได้ แต่เราไม่ไปจมปลักอยู่กับอนาคตและเราไม่ไปถอยหลังอยู่กับอดีต ขอให้ตัวของเรายืนอยู่ตรงนี้และจิตใจของเรายืนอยู่ตรงนี้ทำได้ไหม (ทำได้)  ถ้าหากว่าทำได้เราก็จะมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่ายืนอยู่ในที่ๆ เรายืนอยู่ พอดีมาหยุดตรงที่เป็นทุกข์ เราก็เอาแอปเปิ้ลลูกเมื่อกี้ปล่อยลงไป ถามว่าเป็นคนที่มีความสุขมากขึ้นได้ไหม (ได้)  วันหนึ่งขมวดคิ้วไปกี่รอบ กลุ้มใจไปกี่รอบ หรือบางวันร้องไห้ไปกี่ครั้งไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกหลานเป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไร  ลองปล่อยลูกแอปเปิ้ลลูกเมื่อครู่ลง อย่ามีเยื่อใยกับความกลัดกลุ้มปล่อยหรือยัง ใครปล่อยแล้วยกมือขึ้น ใครทำไม่สำเร็จยกมือขึ้น อาจารย์หวังว่าทุกๆ คนนั้นปล่อยได้ ทุกๆ คนนั้นวางได้แม้เพียงชั่วขณะก็ยังดี ความสุขไม่ได้มี ๒๔ ชั่วโมงนะ ความสุขมีแค่ช่วงสั้นๆ ส่วนความทุกข์ก็มีช่วงยาวๆ อยากจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของตัวเราเอง ความสุขไม่ได้ใช้เงินทองหาซื้อมาต่อให้ศิษย์นั้นติดแอร์ มีทีวีจอยี่สิบเก้านิ้ว มีตู้เย็นหลังโตๆ มีรถคันงามๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขได้ ถ้าหากว่าในชีวิตของเรานั้นเต็มไปด้วยขยะที่อยู่ในจิตใจ หวังว่าทุกคนนั้นมีความสุขขึ้นดีไหม (ดี)
(อาจารย์บรรยายธรรมหน้าชั้น นำนักเรียนเชิญพระอาจารย์นั่งและขอบคุณพระอาจารย์เมตตา) ถ้าหากว่าอยู่ในสังคมภายนอกแล้วมีมารยาทดีขนาดนี้ ก็คงจะไม่ต้องผิดใจกับใครใช่ไหม (ใช่)  แสดงว่าเราต้องมีจิตใจที่คิดถึงคนอื่นก่อนเขาจะคิดอย่างไรบ้าง แต่ไม่ใช่คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน แต่เป็นการคิดในขอบเขตของจริยมารยาท กาลเทศะที่เรามีอยู่ ตอนนี้เราคิดว่าเราเป็นคนที่คนอื่นรักไหม เราคิดว่าคนอื่นรักเราไหม ก็ยังตอบได้ไม่เต็มปากเต็มคำเหมือนเดิม  ฉะนั้นถ้าหากเราอยากเป็นคนที่คนอื่นรัก เราต้องระวังคำพูดของเรา คำพูดของเรามาเป็นที่หนึ่งถูกหรือเปล่า (ถูก)  พูดดีก็ดีไป พูดไม่ดีก็หาเรื่อง  ฉะนั้นคำพูดเป็นสิ่งแรกที่เรานั้นต้องระมัดระวัง ต่อมาคืออะไรใครตอบได้ (การกระทำ)  มีอีกอย่างหนึ่งสำคัญมากบังคับยากมาก (จิตใจ)  จิตใจพูดง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งคือ (ความคิด)  คำพูด การกระทำและความคิด สามอย่างนี้อะไรควบคุมยากที่สุด (ความคิด)  ความคิดของเราเองใช่ไหม (ใช่)  เวลาเราจะพูดถ้าหากยั้งใจไม่อยู่ก็ปิดปากแล้วก็พูดทำได้ไหม เวลาเราอยากพูดแล้วอดใจไม่ได้จริงๆ  ปิดปากไม่ได้ทำอย่างไร เปิดปากแล้วเอามือปิด อยากพูดแต่เอามือปิดปากไว้ พอเราอยากจะพูดแต่เราเอามือปิดปากไว้ อย่างน้อยคนตรงข้ามก็ไม่ได้ยินใช่หรือเปล่า (ใช่)  คำพูดนี้มีอะไรบ้าง พูดเพ้อเจ้อ พูดนินทา พูดส่อเสียด น่ากลัวไหม เราน่ากลัวไหม ผีข้างนอกกับตัวเราที่เป็นอย่างนี้อะไรน่ากลัวกว่ากัน (ตัวเรา)  เพราะฉะนั้นอย่ากลัวผี ควรจะกลัวอะไร (กลัวตัวเราเอง)  ตัวเราเองน่ากลัวกว่าผีอีกใช่ไหม (ใช่)  แค่คำพูดก็กินขาดแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นเพราะว่าคำพูด บางคนบอกว่าเราพูดสิ่งที่ถูกต้องพูดในความเป็นจริงแต่ความจริงใครรับได้ ต้องมีสติจึงยอมรับความจริงได้ ไม่มีสติก็ไม่อาจที่จะยอมรับความจริงได้  เพราะฉะนั้นเราพูดความจริง แต่ไม่แน่ความจริงอาจจะไม่มีใครอยากฟัง  เพราะฉะนั้นขอให้งดซึ่งการนินทา การเพ้อเจ้อ การพูดจาลิ้นสองแฉก ทำได้ไหม อะไรที่เราคิดว่าพูดแล้วไม่ดีเราอย่าพูด ก็เอามือปิดปาก ทำได้ไหม (ได้)
อีกอย่างหนึ่งที่ควบคุมง่ายๆ ก็คือการกระทำ  เวลาเราจะหั่นผักเราต้องลงมีดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ลงมีดหั่นได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นการกระทำถ้าเราไม่อยากจะไปเฉือนเนื้อใครเข้า เราก็เอามีดใจของเราออก ก็จะไม่ไปเฉือนโดนคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราตั้งใจว่าเดี๋ยวพอเราไปสถานธรรมเราจะไปกวาดพื้น แล้วถ้าหากเจอคนนี้นะเราจะเดินไปบอกเขาว่าอย่างนี้ๆ แต่พอมาสถานธรรมกวาดพื้นเสร็จนินทาคนต่อกุศลหมดไหม (หมด)  ฉะนั้นเราก็มากวาดพื้นอย่างเดียว ส่วนคำพูดไม่ดีปิดไว้ การก้าวเท้าไปพูดให้ผู้อื่นฟังเรื่องไม่ดีก็หยุดไว้ ถ้าหากว่าจะไปพูดไม่ดีกับคนอื่นก็หาที่กวาดพื้นไปกวาดเสร็จทั้งห้องแล้วยังไม่ได้อีกก็ไปกวาดซ้ำรอบที่สองจะได้ไม่ต้องไปว่าคน ดีหรือไม่ (ดี)  ปากคนนั้นเหมือนอสรพิษ ไม่มียาแก้พิษอันนี้ สิ่งที่เราพูดออกไปก็เหมือนน้ำที่เทออกไปแล้ว เทลงพื้นแล้วไม่สามารถเรียกกลับได้  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนสิ่งที่เราพูดนั้นจึงต้องระวัง  สิ่งที่เราทำจึงต้องคิด แล้วถามว่าคิดดีหรือคิดร้าย (ดี)  ต้องคิดดี คนจะคิดดีต้องมองโลกในแง่ดี คนมองโลกในแง่ดีจะเห็นความผิดของคนอื่นวันละสามรอบไหม (ไม่เห็น)  คนมองโลกในแง่ดีก็จะไม่ค่อยมองเห็นความผิดคนอื่น เห็นแต่ความผิดของตัวเอง ตัวเองผิดมากไหม (มาก) แก้ไหม (แก้)  แน่นอนถ้าหากศิษย์ตั้งใจเหมือนโจรที่กลับใจ อาจารย์รับรองว่าศิษย์ก็ได้กลับคืนเบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่)
ในยุคนี้เรียกว่ายุคสามวาระปลาย ทำไมถึงว่าปลาย ก็เพราะว่ามีภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างใช่หรือไม่ (ใช่) ยังมีภัยพิบัติที่ธรรมชาติสร้างอีก ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างกับธรรมชาติสร้างอะไรหนักกว่ากัน (มนุษย์สร้าง)  อาจารย์ว่าก็คล้ายๆ กัน ขอให้เพียงมีหนึ่งคนตายก็คือเป็นภัยแล้ว ถ้าไม่มีใครตายเลยจึงไม่นับเป็นภัย หนึ่งคนๆ นั้นอาจเป็นศิษย์ของอาจารย์ ภัยนี้หนักไหม หนึ่งคนสามารถที่จะไปฉุดช่วยคนอีกเป็นร้อย หนึ่งคนๆ นี้อาจจะเป็นคนที่สามารถแบกรับงานอีกมากมาย หนึ่งคนๆ นี้อาจจะมีญาติพี่น้องอีกเยอะแยะ แล้วหนึ่งคนๆ นี้สามารถทำอะไรได้อีกเยอะ  ฉะนั้นคนหนึ่งคนมีค่า ถ้าหากว่าเรามีแต่ความคิดว่า คนหนึ่งคนก็มีค่า เราจะไม่ไปพูดทำร้ายใคร เราจะไม่ไปคิดทำร้ายใคร เราจะไม่ไปกระทำอะไรที่ทำร้ายใครใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวแต่ว่าพอถึงเวลาหน้ามืดตามัว ตาบอดหูหนวกแล้ว ทำร้ายคนโดยไม่คิด ฉะนั้นการที่เราเป็นคนนั้นเป็นเรื่องที่จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย อยู่ที่ตัวเราเอง บำเพ็ญธรรมสองวันนี้ฟังไปกลับไปจะทำหรือเปล่าก็อยู่ที่ตัวเราเอง ทำได้ไม่ได้ก็อยู่ที่ตัวเราเอง ทำดีไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นนี่คือธรรมะที่เป็นธรรมชาติที่สุด ให้ศิษย์ตัดสินใจ ปล่อยให้ศิษย์เดินทาง คนจะหยุดเดิน แม้เอาช้างมาฉุดก็ฉุดไม่ขึ้น คนจะเดินเอาช้างมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่ ใช่หรือเปล่า  ธรรมะจะวิเศษหรือเปล่าอยู่ที่ตัวเราเอง เข้าใจตามนี้นะ
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง) ยิ้มกว้างๆ หรือเปล่า พายเรือไปถึงไหนแล้ว คนที่อายุมากแล้วแรงก็อ่อนไปเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่รีบบำเพ็ญวันนี้ วันหน้าหมดแรงกว่านี้จะแย่กว่านี้ไหม (แย่กว่า)  ถ้าหากว่าตายไปแล้วเป็นเทวดา ชื่นใจหรือเปล่า (ชื่นใจ)  เป็นเทวดาไป 500 ปีกลับชาติมาเกิดตายใหม่ ต้องแก่อีกรอบหนึ่งเอาหรือเปล่า (ไม่เอา)  แก่รอบเดียวก็เข็ดแย่แล้วใช่ไหม ถ้าหากว่าใครอยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อยู่บ้านเฉยๆ จะหลุดพ้นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ห่วงแต่ตัวเองปวดหลัง ปวดเข่า ตามัว  จะหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนนั้นทำงานธรรมก็จำเป็นที่จะต้องลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ แต่ไม่ลืมที่จะเช็คสุขภาพตัวเองด้วยใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกับอาจารย์หยังเหล่าเตี่ยนฉวนซือ ถ้าเขามีชีวิตมากขึ้นอีกหนึ่งปี ก็คือวาสนาของพวกศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเรามีอายุมากขึ้นหนึ่งปี ก็อาจเป็นวาสนาของคนข้างหลังใช่ไหม (ใช่)  ทุกๆคนก็รักษาสุขภาพให้ดีๆ ดีหรือเปล่า (ดี)  เมื่อวานนี้นาจามาทำให้ได้ออกกำลังกายกันเยอะเลยใช่ไหม (ใช่)  กลับบ้านไปอยากออกกำลังกายไหม (อยาก)  จะยกแข้งยกขาก็ยังขี้เกียจเลย  แต่ถ้าหากให้ขับรถไปไกลๆ นี่เอาไหม ขับรถสบายเดินลำบาก แต่สุดท้ายแล้ว ขับรถนี่แหละลำบากเดินนี่แหละสบาย
อาหารเจอร่อยไหม (อร่อย)  อย่างนี้กินสองวันไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องกินสักกี่วันดี ไหนกินเจเก้าวันใครจะกินบ้างยกมือหน่อย ส่วนคนที่ไม่ยกมือขึ้น หลังจากเก้าวันจะกินตลอดเลยใช่หรือเปล่า  ศิษย์ของอาจารย์ เวลาสัตว์ตาย ทรมานไหม (ทรมาน)  เคยเห็นลูกหมูถูกฆ่าไหม เขาจะวิ่งไปทุกทิศทุกทางใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเขาถ้าเขาวิ่งมาชนเราล่ะเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วเราเอาเนื้อเขามา เขาจะเอาชีวิตเราหรือเปล่า (เอา)  นี่แค่พูดถึงหมูหนึ่งตัวนะ แต่จริงๆ เรากินมามากกว่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่า ทุกตัวจะเอาชีวิตเราไหม (เอา)  เกิดเป็นคนเจ้ากรรมนายเวรเยอะหรือเปล่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราแค่ผ่านมาไม่สิบปีนี่ เราก็ผูกกรรมเอาไว้มากมาย ยังมีชาติก่อนๆ อีกที่เรายังไม่ได้พูดกัน ฉะนั้นชีวิตทุกวันนี้ที่ไม่มีความสุข มีทุกข์มากๆ เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดมาต้องมีทุกข์ ถ้าหากว่าอยากมีสุข ก็ต้องรู้จักที่จะตัดกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัดทุกทางที่เราทำได้ใช่หรือเปล่า  เก้าวันนี้เทศกาลกินเจ ใครจะกินบ้างยกมือใหม่
เมล็ดพันธุ์ของความแก่แฝงอยู่ในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แก่ตั้งแต่หนุ่ม เราต้องหมั่นฝึกฝนร่างกายของเราให้แข็งแรง และไม่ลืมฝึกฝนจิตใจของเราให้แข็งแรงด้วย  ถ้าหากจิตใจปลอดโปร่ง ไม่ว่าจะไปทางไหน แม้ฝนจะตก ก็ยังแจ่มใสอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนจิตใจมัวหมองขุ่นมัวอยู่เรื่อย แม้ท้องฟ้าแดดเปรี้ยงๆ ก็ยังไม่รู้สึกว่าบรรยากาศดีเลย เวลาที่เราเกิดมาทุกๆวันต้องมานั่งสังเกตตัวเอง ปรับปรุงตนเอง ไม่ใช่ปล่อยวันๆ หนึ่งผ่านไปๆ จบชีวิตนี้ไปก็ไม่คุ้มค่าที่เกิดมา ใช่หรือไม่ (ใช่) และไม่ลืมรักคนอื่น บางคนรักคนอื่นไม่เท่ากับตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  รักตัวเองมากกว่า รักเงินและพวกของตัวเองมากกว่า เพราะอย่างนี้ที่ทำให้ทะเลาะกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์อยากให้ทุกคนคืนความค้างใจ ความบาดหมางในอดีตกลับมาให้อาจารย์ ต้องมีจิตใจอภัย ต้องสำรวมวาจา สำรวมความคิด ถ้าเราคิดดีเราก็จะมองโลกในแง่ดี
 “คำบางคำทำให้คนเสียอารมณ์”  ใช่ไหม  เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วว่าเป็นแค่บางคำ จะเสียอารมณ์ทำไม ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าทุกคำทำให้อารมณ์เสียก็ว่าไปอย่าง แต่นี่แค่บางคำนะคิดดีๆ
“กิเลสในใจอื่นใครไม่น่ากลัว”  กิเลสในใจคนอื่นไม่น่ากลัวกิเลสในใจใครน่ากลัวที่สุด (ตัวเรา)  ว่าเขาโกรธ เราโกรธไหม ว่าเขาอิจฉา เราอิจฉาไหม ว่าเขาน่าเกลียด เราน่าเกลียดไหม  เพราะฉะนั้นกิเลสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ก็ดี ของคนอื่นไม่น่ากลัวแต่ที่น่ากลัวก็คือกิเลสในใจของเราเอง ถ้าหากว่าเราไม่สามารถห้ามกิเลสในใจของเราได้ กิเลสของเราก็จะไปทำร้ายคนอื่น แล้วที่สุดถ้าหากว่าคนทำร้ายคนแล้วใครช่วย ก็ต้องคนช่วยอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเกิดเป็นคนมีความล้ำค่าที่สุด ศิษย์นั้นประเสริฐยิ่งกว่าเทวดา เทวดามีร่างกายอย่างศิษย์ไหม (ไม่มี)  ถามว่าเป็นเทวดาแล้วมีความสุข แล้วตอนนี้ศิษย์มีความสุขไหม ส่วนเวลาให้เรานึกถึงเทวดาเรานึกถึงอะไร (ความศักดิ์สิทธิ์, ความดี, ความสุขสบาย, สวรรค์, นางฟ้า, ความสวยงาม, วิมาน, ดอกไม้)  เวลานึกถึงเทวดา  ทุกคนก็นึกถึงความสบาย  นึกถึงวิมานใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้านึกถึงในโลกคือบ้าน ใช่หรือเปล่า  ความสุขสบายในโลกนี้นึกถึง  แอร์  มีรถขับและอาหารที่อร่อย  นี่คือสภาพของเทวดา  แล้วตอนนี้ศิษย์ประเสริฐกว่าเทวดาไหม  อยู่ในโลกตอนนี้สบายไหม  บ้านของเราใหญ่พอหรือยัง  ถ้าใหญ่ไม่พอก็จะมีความทุกข์ เป็นเทวดาไม่ได้  เพราะฉะนั้นถึงจะมีบ้านเล็กๆ  แต่ต้องรู้จักพอใจ บ้านเรามีความสบายไหม  เวลาจะไปไหนมีรถหรือเปล่า  ต่อให้ไม่มีรถยนต์ก็จะมีมอเตอร์ไซค์  ไม่มีมอเตอร์ไซค์ก็มีรถรับจ้าง ไปไหนมาไหนสบายไหม (สบาย)  เงินทองมีน้อยไปหน่อย  แต่ถามว่าที่มีอยู่พอใช้หรือเปล่า (พอ)  สบายไหม (สบาย)  ตอนนี้เราเป็นเทวดาหรือยัง (เป็นแล้ว)  มีวิมาน  มีอาหารการกิน  เพราะฉะนั้นมองให้ดีๆ  ทุกๆ คนนั้นมีความสบายอยู่แล้ว  ทุกๆ  คนเป็นเทวดา  เป็นเทวดาที่เดินดิน  มีความสุขกันในสิ่งที่ชีวิตของตัวเองมี  เทวดามีความสุขห้าร้อยปีต้องลงมาเกิดใหม่  ศิษย์ของอาจารย์มีความสุขอยู่กี่ปี  สักร้อยปีพอหรือยัง  ร้อยปีก็รู้สึกว่าจะแย่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอถึงเวลาจะตายจริงๆ  อยากตายไหม (ไม่อยากตายเลย)  ฉะนั้นเมื่อเราจะต้องไปในทางเส้นอื่น  ก็ขอให้เรานั้นเลือกทางที่ถูกต้อง  ทางที่พูดถึงในวันนี้คือทางที่หลุดพ้นจากการเกิดและหลุดพ้นจากการตาย  ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายชอบไหม (ชอบ)  เรารู้สึกว่าเราไปได้หรือเปล่า  เพราะว่าเรายังรู้สึกว่าตัวเราดีไม่พอ  เราจึงไม่แน่ใจว่าตัวเรานั้นไปถึง  แต่ว่ามีใครมั่นใจว่าตัวเองไปถึงบ้าง  คงไม่มีใครให้คำตอบได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับบอกว่าวันตายไม่สามารถกำหนดได้  วันเกิดก็ไม่สามารถกำหนดวันได้  เรานั้นจะหลุดพ้นหรือเปล่าเราก็ไม่รู้  เพียงแต่ว่าขอให้ศิษย์นั้นทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้  ก็แสดงว่าเราต้องไปทำ  ถ้าหากว่าเราไม่ไปทำก็ย่อมจะไม่ได้  ทำเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น  เวลาทุกข์แล้วจะให้นึกถึงอะไร  ก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงทำตัวเราให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนฟ้าเขาบอกว่ามองไม่เห็น  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้จึงเห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง  แล้วทำตัวให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนอื่น  แต่อย่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลงในอาสนะของตัวเอง  อย่าหลงในคำชมของคนอื่น  เขาบอกว่าเราพูดดี  เขาบอกว่าเราสวย  เราเก่ง  เราฉลาด  อย่างนี้น่าหลงไหม (หลง)  พูดแล้วง่าย  แต่พอเอาเข้าจริงๆ  แล้วคนไม่หลงมีอยู่แค่คนเดียวจากร้อยคน  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รักษาจิตพ้นโลกให้อยู่” )
ทุกคนที่อยู่ในสถานธรรมหรือฝึกหัดบำเพ็ญ  เริ่มบำเพ็ญนิดๆ หน่อยๆ ก็จะสามารถสัมผัสจิตใจที่พ้นโลก คือจิตใจที่รู้เท่าทันกิเลส ไม่ไปหลง  และสัมผัสได้ถึงสภาวะจิตที่ว่าง  สภาวะจิตที่ดี  สภาวะจิตที่ประเสริฐ  แต่ทว่าคนที่มีจิตใจประเภทนี้มีอยู่น้อยคน  และที่สำคัญก็คือ  ไม่สามารถรักษาจิตนี้ให้คงอยู่ได้ทั้งวัน  แค่วันเดียวก็ยากมากแล้ว  ตอนนี้ถ้าใครมีจิตใจที่เปิดขึ้นเต็มที่  บางคนมีจิตใจพ้นโลก  บางคนคิดไปคิดมา  ปัญหาของเราก็เล็กนิดเดียว  ทำไมเราถึงได้กลุ้มอยู่ตั้งนาน  นี่คือสภาวะของจิตที่พ้นโลก  คนที่มีสภาวะจิตอย่างนี้กลับไม่สามารถที่จะรักษาให้มันอยู่กับจิตของตัวเองได้นาน  สามารถมีแค่เสี้ยวหนึ่งๆ  เท่านั้นเอง  ขณะหนึ่งแล้วก็หายไปเหมือนแสงหิ่งห้อยเลย  ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ให้วันนี้ก็เพื่อให้ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ทุกๆ  คนนั้นได้รู้ว่า ตัวเองนั้นก็มีสภาวะจิตเป็นพุทธะ  ศิษย์เคยไหม  บางทีคิดดีจนไม่น่าเชื่อ  บางทีอยากจะช่วยคนจนไม่น่าเชื่อ  บางทีเรื่องกลุ้มใจอยู่ดีๆ  ก็หายไป  เคยไหม (เคย)  บางทีคิดปัญหาอะไรที่ขบไม่แตก  อยู่ดีๆ  ก็คิดได้  นี่แหละเป็นสภาวะของคนที่มีจิตพ้นโลก  เนื่องด้วยสติและปัญญาได้ฝึกถึงระดับหนึ่ง  ก็จะเจอจิตพ้นโลกครั้งหนึ่งนิดหนึ่ง  แต่มีกี่คนที่รักษาไว้ได้ อาจารย์ก็สุดจะบอก
ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่หมั่นมาสถานธรรม การมา
สถานธรรมก็คือการมาฝึกฝน  และขัดเกลาจิตใจของตนเอง  อย่าเอาตัวเราไปขัดจิตใจคนอื่น  แต่เอาจิตใจของเรามาขัดด้วยมือของเราเอง  จิตใจที่เหนือสภาวะจิตใจของปุถุชนนี้  ต้องอาศัยเวลา  เมื่อสติและปัญญาสมบูรณ์พร้อม  จะเจอจิตพ้นโลกนี้สักครั้งหนึ่ง  อาจารย์ว่าทุกคนต้องเคยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากให้รักษาจิตอันนี้ให้นานๆ  รักษาไม่ได้หนึ่งชั่วโมงก็รักษาให้ได้ครึ่งชั่วโมง  รักษาไม่ได้ครึ่งชั่วโมง  ขอให้รักษาให้ได้สิบนาที  ถ้าให้ดีให้รักษาให้ได้ทั้งวันและทุกวัน  แล้วทุกๆ  วันของศิษย์นั้น  ก็จะเป็นพุทธะ  ความเป็นพุทธะของจิตใจนั้น  ก็จะถูกฟื้นฟูมากขึ้นเรื่อยๆ  อาจารย์นั้นมาตั้งหลายชั่วโมง  แต่ในที่สุดแล้ว  อาจารย์ก็ยังมอบเรื่องบำเพ็ญนั้นให้เป็นเรื่องของศิษย์เอง  คนที่เข้ามาในนี้เข้ามาได้เยอะ  แต่กลับออกไปก็เยอะ  คนที่เหลือก็น้อยเต็มที  ฉะนั้นขอให้เราอย่าคัดตัวเอง  อย่าได้ทิ้งตัวเอง  อย่าได้ดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้  อาจารย์ในสมัยที่มีร่างกายนั้น  ก็เกิดมาเป็นคน  แล้วคนที่มีหูตาจมูกพร้อม  มีจิตใจที่สมบูรณ์พร้อม  ทำไมจึงดูถูกตัวเองว่าตัวเราไม่สามารถหลุดพ้นได้ล่ะ  ทำไมมั่นใจนักว่าตัวเองจะต้องลงไปนรก  และขึ้นสวรรค์ไม่สำเร็จ  ทำไมจึงมั่นใจอย่างนี้  ทำไมไม่มั่นใจว่าตัวเองสามารถไปสวรรค์ได้และนิพพานได้ แต่นรกนั้นเราไม่มีทางอยู่แล้ว  ทำไมไม่คิดกลับกันแบบนี้  เพราะว่าศิษย์นั้นมั่นใจในเรื่องที่แย่ทั้งนั้นเลย  เรื่องดีๆ  ไม่ค่อยจะมั่นใจกัน  อย่างนี้อาจารย์จะฝากความหวังไว้ที่ใคร  อาจารย์จะหันไปมองศิษย์คนไหน  อาจารย์จะดูและรู้ได้อย่างไรว่า  ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะสำเร็จเป็นพุทธะได้  ในเมื่อตัวเองไม่สามารถตอบตัวเองได้ใช่หรือไหม (ใช่)  
รักษาจิตใจอันดีงามไปสู่จิตใจที่พ้นโลกได้  รักษาร่างกายให้แข็งแรงไปสู่ร่างกายที่มีไว้เสียสละเพื่อประชา  อย่าเห็นว่าตัวเราไม่สำคัญ  ทุกคนสำคัญทั้งสิ้นในสายตาอาจารย์  เราไม่สำคัญ  แล้วเราจะเกิดมาบนโลกใบนี้ทำไมใช่ไหม  เมื่อเราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว  โลกใบนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่นั่งอยู่ที่นี่  ส่วนใหญ่ก็มีที่ดิน  และที่ดินนั้นก็เป็นที่ของเรา  เป็นที่ที่เรามองเห็น  ถึงแม้เป็นคนที่ไม่มีโฉนดที่ดินเป็นของตัวเอง  ก็ยังมีที่เป็นของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยเราจะยืนอยู่ตรงนี้  ก็ไม่มีใครมาไล่เราไป  อย่างน้อยเราจะนั่งอยู่ตรงนี้  ก็ไม่มีใครมาไล่เราไป  แล้วศิษย์บอกว่า  ศิษย์เป็นคนที่แย่  ไม่มีที่จะอยู่หรือ  คิดให้ดีๆ  นะ  ชีวิตคนนั้นสั้น  สั้นเหมือนผีเสื้อตัวหนึ่ง  วันหนึ่งยังไม่ทันรู้ตัว  ก็ออกมาเป็นดักแด้  วันหนึ่งยังไม่ทันรู้ตัว  ศิษย์ก็กลายเป็นผีเสื้อ  อีกวันหนึ่งยังไม่ทันรู้ตัว  ศิษย์ก็คงลงไปนอนอยู่ที่พื้น  ไม่มีสิทธิ์ที่จะลุกขึ้นมาอีกได้  โอกาสเป็นสิ่งที่เราต้องเปิดให้กับตัวเอง
ทำตัวให้สบายๆ  ใครที่อยู่จนบัดนี้แล้วยังมีจิตใจที่เคลือบแคลงสงสัย  ไม่เป็นไร  เดี๋ยวอาจารย์จะไปแล้ว  ไปพ้นๆ  หน้าศิษย์แล้ว  จะไม่ได้เห็นแล้ว  ตอนนี้ทำจิตใจให้สบายๆ  ทำจิตใจให้มีความสุขขึ้นสักครั้งหนึ่งในขณะที่อยู่กับอาจารย์ อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์นั่งสบายๆ  ยังไม่สามารถบังคับศิษย์ได้  การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน  ไม่มีใครสามารถบังคับให้ศิษย์บำเพ็ญได้  จิตใจถ้าหากเราไม่คิดจะแก้  คนอื่นหรือจะแก้ได้  ทางถ้าหากเราไม่เดิน  จะมีใครมาเดินแทนเราได้  บางคนชอบคิดว่า  เราอายุมากแล้วให้ลูกหลานบำเพ็ญไป  แต่ลูกหลานจะก้าวแทนเราสักกี่ก้าว  ส่วนใหญ่ก็ก้าวเพื่อตัวเอง  มีกี่ก้าวที่ก้าวเพื่อเรา  ทำไมถึงไม่เอาร่างกายที่อ่อนล้าโรยแรงนี้  ก้าวไปข้างหน้า ได้สามก้าวก็ยังเป็นก้าวของศิษย์เอง  ก้าวไปข้างได้สิบก้าว  ก็ยังเป็นก้าวของศิษย์เอง  หลังจากสองวันนี้แล้ว  ถ้าหากมีเวลาว่าง  อาจารย์อยากให้ศิษย์มาศึกษาธรรมบ่อยๆ  นะ  ทำได้ไหม (ทำได้)  ขอให้รักตัวเองให้มากๆ  แต่อย่าเห็นแก่ตัว  ขอให้รักพี่น้องให้มากๆ  แต่อย่าได้เอาพี่น้องมาสำคัญเหนือกว่าคนทุกคน  ทุกคนเกิดมา  ทุกคนตายไป  บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ    ตั้งใจบำเพ็ญธรรม  ตั้งใจมาศึกษาให้เข้าใจได้ไหม  ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ  นะ  เป็นหัวหน้าชั้น  อาจารย์ฝากความหวังไว้ที่เราได้หรือเปล่า  ไม่รู้ว่าวันหลังจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า  เป็นเด็กดีนะ  
วันนี้เป็นงานน่ายินดี  ขณะเดียวกัน  ก็เป็นงานที่ได้ทดสอบตนเอง  ปัญหาต่างๆ  เข้ามาเท่าไหร่  เรายิ่งได้รับการฝึกมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเราฝึกมากเท่าไหร่  เรายิ่งเข้าใกล้เบื้องบนมากเท่านั้น  คงไม่มีคำพูดใดๆ  จากใจของศิษย์  แต่ใจของอาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญให้ดีๆ  นำพาพวกเราให้ดีๆ  อย่าเกร็งมากเกินไป  อย่าเข้มงวดมากเกินไป  คำพูดต้องเก็บให้ดีๆ  อย่าให้รั่วไหลง่ายๆ  
วันนี้คนในชั้นมากมาย  อาจารย์คงจับมือศิษย์ไปไม่ถึงข้างหลัง  ใครที่จับมือกับอาจารย์  อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นจับแทนผู้อื่นด้วย  ความรักของอาจารย์ไม่หมดไป  อาจารย์อาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์  เพราะไม่สามารถจะเสกให้ศิษย์ของอาจารย์บำเพ็ญธรรมไปถึงฝั่งได้  ศิษย์กลับศักดิ์สิทธิ์เสียกว่า  อยากจะเสกให้ตัวเองไปทางไหนก็ไปได้  แต่อย่าลืมอาจารย์นะ
เอามือจับกันไว้  คิดดูว่า  การบำเพ็ญของเรานั้นยังขาดอะไรบ้าง  ก้าวไหน  สิ่งไหน  ส่วนไหนเล็กน้อยเท่าไหร่  ที่สุดนั้นยังไม่ได้ทำ  สิ่งใดที่เรายังไม่ได้ทำ  สิ่งใดที่เราทำมากเกินไป  คนมีใจมากไปก็ใช่จะดี  บางทีก็เลอะเทอะ ฉะนั้นทุกๆ อย่างเป็นกลางๆ ดีแล้ว ยืนให้มั่น สองเท้าของเรา คือสองเท้าของพุทธะ ขอให้เมื่ออาจารย์ได้เจอศิษย์อีก ขอให้ทุกคนมั่นคงทางธรรม ขอให้ทุกคนมีธรรมอยู่ในใจ  เดินให้เร็วเดินให้ทันนะ รักศิษย์ทุกคน



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รักษาจิตพ้นโลกให้อยู่”

คนเอยไปถึงไหนธรรมถึงนั่น มุ่งทำคุณต่อกันจิตกลมใส
ชีวิตแท้ไม่มีเก่าหรือใหม่ แต่คนใหม่ต่อคนและใจของตัว
คำบางคำทำให้คนเสียอารมณ์ เหวลึกถมไม่เต็มเงาสลัว
กิเลสในใจอื่นใครไม่น่ากลัว เรืออยู่ตัวด้วยร่วมแรงพร้อมร่วมใจ
เป็นคนโลกที่น้อยในการยึดติด รู้จักคิดอีกแยกแยะเรื่องใกล้และไกล

ในความแจ้งเมื่อไม่รั้งย่อมจะสูญไป ให้ตั้งใจหมายพากเพียรมุ่งมั่นทั้งใจ


==============================================

“การร่วมใจที่มาพร้อมมันสมอง” ทุกคนมีมันสมองใช่ไหม (มี) สมองมีไว้คิดใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ขอระดมมันสมองที่นี่หน่อย ดีไหม (ดี) เอาตั้งแต่คนคิด คนสร้าง และคนจะมาช่วยดูแลที่นี่ หวังว่าคงไม่ต้องให้อาจารย์เรียกทีละคน ทุกคนที่คิดว่าต่อไปสถานธรรมที่นี่เป็นของเราก็ขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้าเอง หากใครคิดว่าที่นี่ไม่ใช่ของเราไม่ต้องขยับเท้าก้าวออกมา
สิ่งใดๆ ของใดๆ ในโลกนี้จะเป็นของเราก็เพราะว่าเรานั้นได้ลงไปทำ เราลงไปใช้ สิ่งใดๆ ไม่ใช่ของเราก็เพราะว่าเรานั้นคัดตัวเองออก ให้ตัวเองนั้นไม่มีส่วนร่วม ใครอยู่งานครัวก็ทิ้งมาเร็วๆ ตอนนี้อาจารย์ยืนอยู่นี่อาจารย์เป็นพยาน ทำไมชอบผลักสิ่งที่ควรจะเป็นของเรา สิ่งที่เราควรจะใช้แรงร่วมกัน ใช้ใจร่วมกัน ผลักให้เป็นของคนอื่น แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ของเรา อย่างนี้ถ้าหากจะโทษว่าไม่ยุติธรรม ตัวเราก็ไม่ยุติธรรมกับตัวของเราเองใช่ไหม (ใช่)
ถามจริงๆ ว่าอย่างอาจารย์นี้คิดจะแบ่งแยกศิษย์ออกเป็นก๊กๆ ออกเป็นฝ่ายๆ ไหม ไม่มีทางอยู่แล้วอาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นมีความรัก มีความสามัคคีกันเท่านั้น  
เรื่องอดีตก็คืออดีต เรื่องปัจจุบันก็คือปัจจุบัน เราเดินก้าวเท้าของเราไปสู่อนาคตแล้ว ใจของเราต้องอยู่กับปัจจุบันมีใจอย่างนั้นไหม ใจของเราอยู่กับปัจจุบันไหม ใจของนักธรรมอาวุโสฝ่ายหญิงทั้งหมดอยู่กับปัจจุบันไหม ศิษย์รักมีศิษย์คนเดียวที่ใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน อยู่ที่ไหน ตอนนี้ใจทุกคนจะอยู่กับปัจจุบันนี้ ตอนนี้ใจทุกคนจะสงบนิ่ง จับฝุ่นที่เคยฟุ้งขึ้นมา ฟุ้งอย่างไรนี่คือจิตใจของเรา ตอนนี้อาจารย์เอาน้ำมาสาดให้ฝุ่นลงมากองอยู่ที่พื้น กับอีกอันหนึ่งดินก้อนนี้ฝุ่นก้อนนี้เมื่อมันแห้งมันจะฟุ้งขึ้นมาอีก อยู่ที่ใจของเราจะทำได้หรือเปล่า ใจของเราจะชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า 
สถานธรรมหลังนี้สร้างมาแล้วไม่ว่าจะสร้างไม่ถูกใจ ผิดแบบอะไรไม่ว่า จะสร้างขึ้นมาแล้วมันเกิดอะไรขึ้นอาจารย์ไม่รู้ ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น รู้แต่ว่าวันนี้สร้างขึ้นมาแล้วนี่คือที่ของศิษย์ทุกคน ขอให้วันนี้คุกเข่าอยู่ที่นี่ด้วยจิตใจที่เป็นปัจจุบัน อาจารย์ขอเรื่องบาดหมางที่อยู่ในอดีตคืนมาให้อาจารย์ อาจารย์หวังว่าตั้งแต่นี้เหลือไว้แต่ศิษย์ที่น่ารักร่วมแรงร่วมใจไม่มีใครนินทาลับหลัง ไม่มีใครไม่เคารพอาวุโสทำได้ไหม
อาวุโสคนนี้นำพาอยู่ที่นี่มีเรื่องผิด ศิษย์ไม่เคยผิดเหรอ เคยผิดไหม เขาทำถูกมีใครเห็นบ้าง ทุกคนสงบใจลง สงบคำพูดลง สงบกริยาลง เมื่อรู้ว่ามีใครไม่พอใจเราในเรื่องไหนก็แก้ไขปรับปรุงเสียเหมือนโจรกลับใจ เมื่อโจรกลุ่มนี้กลับใจได้กลายเป็นเซียนดีไหม (ดี)  
อาจารย์หวังว่าศิษย์รัก รักกัน กลมเกลียวกัน ให้อภัยกัน ทำได้ไหม ตบมือให้กับความสำเร็จในการเปิดสถานธรรมที่ยิ่งใหญ่อันนี้ ตบมือให้กับการคิดบำเพ็ญจริง ให้ความอ่อนน้อมออกมาจากจิตใจให้สิ่งที่ดีๆ หลั่งไหลออกมาจากจิตใจของทุกๆ คน ขอตบมือให้อีกทีหนึ่ง
กุศลของเราอย่างไรก็ของเราใครเอาไปไม่ได้ อายุมากแล้วบำเพ็ญให้ดีๆ สิ่งใดควรปล่อยก็ปล่อยไป อนาคตเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หากว่าใจนั้นไปฝักใฝ่อยู่กับอดีตก็ใช่ที่ เราจะบำเพ็ญไปไม่รอด เป็นคนกลางก็เป็นคนกลางที่ดีนะ
เพิ่งเริ่มบำเพ็ญใหม่ บำเพ็ญให้ดีๆนะ รู้ควรรู้ใช้ก็ปฏิบัติ สิ่งใดไม่ใช้ไม่ควรอย่าไปตาม สามคนนี้นะ ปากเป็นเอก เลขเป็นโท  พูดดีเป็นศรีแก่ปาก เราควรพูดจาด้วยความระมัดระวัง บางทีอาจารย์คิดว่าศิษย์ของอาจารย์อาจจะไฟไม่กระพือแรง ถ้าเราไม่เอาพัดไปพัด อาจารย์ไม่ได้บอกว่าศิษย์นั้นไม่ดี แต่อาจารย์คิดว่าปรับปรุงแก้ไขสักนิดก็จะดี ต้องบำเพ็ญให้ดีๆนะบทบาทอยู่ที่เราสร้าง บำเพ็ญดีอาจารย์อยู่ด้วย บำเพ็ญไม่ดีอาจารย์อยู่ด้วยไม่ไหว ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ชีวิตเรากำหนดนะ ศิษย์ก็เหมือนกันคงปฏิเสธไม่ได้เรื่องที่คนอื่นเขาผิดใจ เพราะว่าเราและเขามองกันคนละอย่าง ฉะนั้นว่างๆ ก็ลองไปมองในมุมของเขา เรายังใหม่อย่างไรก็ยังเป็นผู้น้อย แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อเป็นผู้น้อยแล้วผู้อาวุโสต้องมาคิดมากกับเราอย่างนี้ แต่ว่าคงหลบไม่พ้นในเรื่องผิดในเรื่องถูกปะปนกันอยู่ ถ้าบำเพ็ญจนวันหนึ่งไม่มีคนว่าไม่มีคนติ นั่นถึงจะดี จิตใจของเราสะอาดแต่การกระทำของเราก็ต้องสะอาดด้วยเข้าใจไหม 
บำเพ็ญธรรมมีคำว่า  “เคารพเบื้องหน้านำพาผู้น้อย” แต่หากว่าเรายึดคำนี้มากเกินไป เราก็จะตายด้วยกฎนี้ แต่เราเอาคำว่า “อ่อนน้อม” ใส่เข้าไปอีก ก็จะยิ่งเยี่ยม ทำได้ไหม บำเพ็ญดีๆ นะ คนในโลกนี้มีเรื่องราวมากมาย    บางเรื่องเหมือนกับผ้าผืนนี้ (พระอาจารย์เมตตาจับผ้าไว้ข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งให้เตี่ยนฉวันซือจับไว้) คนหนึ่งบอกว่าความคิดของตนมาถึงตรงนี้ คนนี้บอกว่าความคิดของตนมาถึงตรงนี้ ในที่สุดแล้วตรงกลางก็ยังมีช่องว่างที่เรานั้นสามารถหาความพอใจได้ทั้งสองฝ่าย บางคนมีความคิดถึงตรงนี้  บางคนคิดถึงตรงนี้ ยังไม่เคารพกัน หากความคิดนี้มาถึงนี่ ก็คือศิษย์ในตอนนี้ ฉะนั้นอาจารย์อยากจะให้ต่างฝ่ายถอยหลังไปหนึ่งก้าว เรื่องจะงดงาม  สถานธรรมที่นี่คนรับธรรมะเยอะ อาจารย์ก็หวังว่า ถ้าสามัคคีกันได้ ก็ส่งเสริมกันไปได้ อาจารย์รักศิษย์ทุกคน บำเพ็ญธรรม หรือจะเป็นคนในโลกนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ยังมีเรื่องคับข้องหมองใจกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราบำเพ็ญจริงๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะหลุดไปทีละเปลาะ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนลอกเปลือกอัตตาตัวตน ลอกเปลือกทั้งของตัวเองออกไปทีละเปลาะ บำเพ็ญธรรมะขอให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์และสะอาด ทางข้างหน้ายิ่งเดินก็ยิ่งจะกว้างขึ้นหากยิ่งเดินยิ่งแคบลงแสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังคับแคบอยู่

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2544

2544-09-29 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF  2544-09-29-เซิ่งเต๋อ #9.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

พยับแดดทำให้คนตาพร่ามัว อันความกลัวทำให้คนหลงทำผิด
คนยิ่งแยกผิดถูกยิ่งหลงติด มาย้อนมองชีวิตของตนเอง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
มีโชคดีในชาตินี้รู้ทางพ้น น้องกายคนคิดบำเพ็ญบ้างหรือเปล่า
อันทางแท้ไม่ใช่ใช้การคาดเดา แต่ต้องเอาชีวิตจิตใจมาบำเพ็ญ
บ้างยังเห็นบำเพ็ญดั่งทำเล่นอยู่ ฟังธรรมะเข้าหูซ้ายทะลุขวา
ยากจะได้สัมผัสซึ่งความล้ำค่า อันจิตฟ้าปัดฝุ่นให้สะอาดเทอญ
ทำวันนี้ได้ดีที่สุดไหม ชาตินี้มีทุกข์หรือไม่พุทธะถาม
อยากจะพ้นภัยเวียนว่ายที่คุกคาม ต้องพยายามตัดกิเลสเสมอต้นปลาย
คนมีบุญกับพุทธะร่วมชุมนุม จงสุขุมพิจารณาให้ถ้วนถี่
ว่าเพียงพอแล้วหรือไม่เป็นคนดี ขอให้มีจิตเมตตาช่วยเวไนย
ยืมกายปลอมมาบำเพ็ญจิตภายใน กี่คนใสสะอาด ณ จิตเบื้องต้น
ต่างต้นดีปลายร้ายทั่วทุกคน ธรรมแยบยลจึงไม่พาใครพ้นเวียน 
รับธรรมง่ายบำเพ็ญยากลำบากนัก บำเพ็ญง่ายบรรลุจักยากยิ่งแสน
ขอจงตื่นขึ้นจากฝันทุ่มเทแทน บำเพ็ญแม้นชีวิตดับกลับเบื้องบน
สองวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต เป็นนิมิตอันดีงามการเริ่มต้น
จงคงเส้นคงวาในจิตใจตน การดิ้นรนหาเงินทองยากจะพอ
เมื่อจบชั้นไปแล้วยังมาศึกษา เป็นผู้กล้าเพราะกล้าฝ่าอุปสรรค
เป็นผู้รู้เพราะความอ่อนน้อมนัก โลภโกรธรักยิ่งถลำเพราะไม่ถอนใจ
เลือกจะเป็นปุถุชนหรือคนฟ้า จะต้องมากำหนดเสียแต่วันนี้
มีศรัทธาและปัญญาควบคู่ดี และต้องมีรู้ใช้ยามเจอเหตุการณ์
ปัจจุบันโลกร้อนไม่สงบ คนจะรบกับคนทำลายถิ่น
ย้อนมองตนใจรบอยู่ไหมชาวดิน จงเร่งผินสงบใจก่อนเห็นทางสว่าง
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
ความสงสัยจับผิดจงอันตรธาน จงสราญนำที่ฟังไปปฏิบัติ
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องจิตกุศล
อย่ากำหนดจิตใจให้อกุศล จงใช้ตนสร้างโอกาสในยุคปลาย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดพู่กันคุมชั้นเรียนบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  อ.ปราณบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

คนจะดีดีที่ใจใช่หน้าตา คนรวยหนาใช่ที่มากทรัพย์สิน
คนที่ดีดีที่ใจไร้ราคิน เป็นอาจิณคนรวยก็ด้วยน้ำใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
อารยชนยอมรับการขัดเกลา ผู้บำเพ็ญแท้ทุเลาตัวตนนั่น
สลัดกลุ้มความเบาไม่เกิดฉับพลัน การบำเพ็ญผันจิตต้องให้เวลา
บำเพ็ญผิดเน้นวัตถุคนที่รัก คล้ายเมาหนักสับสนทางข้างหน้า
ในทะเลชีวิตนี้คลื่นเทมา คนเหนื่อยโลกหลงว่าตนปราชัย
ยามเหนื่อยเกินไม่ไปฝืนอุปสรรค ควรตระหนักพึงพักมีแรงใหม่
พลังอุ่นดุจแดดแห่งวันใหม่ ไม่ลับลงดินใดในโลกา
กระจ่างแจ้งอะไรทำในวันนี้ ชนะใจให้ดีก่อนเดินหน้า
แบบหญ้าที่เหนื่อยไม่หยุดวัฒนา ธรรมดาถอนรากหยั่งสิ้นจึงยอม
ชีวิตคนชีวิตเปื้อนคำเหยียดหยาม โลกไม่งามซ้ำร้ายต้องถนอม
กระทบดินน้ำตารินอย่าไปตรอม ขอทุกข์หมดสิ้นพร้อมปัญหาจาก
วาระปลายวิบากกรรมหันซึ่งหน้า กระไรยังคิดว่าไกลตนนั่น
ปัญหาวนไม่วายติดกับดัก ปัญญาหลักเมตตารองอย่างเพียงพอ
ฮา  ฮา หยุด


ชีวาไม่มีแน่นอน  แปรไปไม่มีทิศแนวทาง  หวงแหนดวงใจกระจ่าง  ปล่อยวางยุ่งยากในใจ  จงมีจิตใจที่ดี  ความดีจะเป็นเพื่อนเดินไป  เล็กน้อยไม่ปล่อยพ้นใจ  ชะรอยเก็บงำทำลาย
* เมื่อทุกข์ไม่เกิด  ดวงใจไม่ปลง  เมื่อคิดไม่ตก  ดวงใจไม่ตรง  นกอยู่ในกรง  อยากพ้นทนการฝึกใจ
** หากบำเพ็ญต้องรุด  แก้สิ่งใดเคยไม่ดี  ไม่ทิ้งให้เกิดอัตตามากมี  เมื่ออยู่โลกีย์  แต่ไร้การคุมจิตนี้  จะวนต่อไป
เวลาที่ยอมเสียไป  ใครทำอะไรที่คุ้มกัน  หมายมุ่งเต็มแรงบากบั่น  ไม่ปองยึดมั่นเกินไป  คนดีก็ดีเพราะตน  กังวลพลังลดลงไป  ทุกที่ที่เราเข้าไป  ยังมีเรื่องยากรอคอย (ซ้ำ *,**)
ความพร้อมภายในจิตใจ  ความคิดที่เป็นแง่ดี  ฝึกฝนเมตตาไม่เหน็ดเหนื่อยอย่าไปท้อ  ตั้งใจไม่สาย  (ซ้ำ **)

เพลง : เข้าถึงภาวะจิตใจ
ทำนองเพลง : จากคนอื่นคนไกล

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

หากภายในจิตใจของท่านยังมีม่านกังขาลังเลสงสัยอยู่ การที่จะคุยอะไรกันก็คงเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราเดินเข้ามาถึงหมู่บ้าน เจ้าของบ้านเปิดประตูออกมา ภายในบ้านนั้นเจ้าของทำหน้าตาฉงนสงสัยว่ามาทำไม มาเอาอะไร ท่านอยากยืนตรงนั้นแล้วคุยกับเขาหรือว่าท่านอยากจะเดินออกไปจากประตูนี้ ว่าอย่างไร ยังอยากคุยกับเจ้าของบ้านไหม (อยาก)  ฟังดีๆ นะ ถ้าสมมติว่า นี่คือบ้านของท่าน เราเปิดประตูเข้ามา ท่านมองหน้าเราแปลก สงสัย ใครกัน ท่านยังกล้ายืนอยู่ตรงหน้าประตูอีกไหม ถ้าหากว่าเรามาขออะไรจากเขา เราก็คงต้องกล้ายืนต่อใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้มีธุระอะไร แค่อยากมาเยี่ยมเยียน แต่ถ้าเขาทำหน้าอย่างนั้น เราอยากกลับทันทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าเรายังดื้อดึงอยู่ต่อ ท่านจะคิดว่าเรามาขออะไรไหม ในใจก็กลัวจะมาเอาอะไร หรือมาขออะไรจากเรา หรือมาหลอกอะไรจากเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ารู้จักกันแล้ว เคยได้ยินมาบ้างแล้วก็คงไม่กลัว ความกลัวก็ลดลงจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วใครเคยรู้จักเราบ้างหรือยัง (ยัง)
“คนจะดีดีที่ใจใช่หน้าตา  คนรวยหนาใช่ที่มากทรัพย์สิน  คนที่ดีดีที่ใจไร้ราคิน”  เป็นคนดีกันหรือเปล่า ใครเป็นคนดียกมือขึ้น คุณสมบัติของคนดีก็คือ เอาเริ่มต้นง่ายๆ ไม่โกรธง่าย ไม่ตัดพ้อต่อว่า ไม่โลภโมโทสัน ไม่ติดในลาภยศชื่อเสียงหรือแม้แต่ใบหน้าตัวเอง ไหนใครยังบอกว่าตัวเองเป็นคนดี มีอะไรดี (พูดดี คิดดี ทำดี, ใฝ่ดี)  คนทุกคนมักจะคิดว่าตนเองดีแล้ว ตัวเองสวยแล้ว ตัวเองหล่อแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเคยดูเบาดูถูกตัวเองบ้างไหมว่าตัวเองไม่ดี ตัวเองไม่สวย ตัวเองไม่หล่อ มีไหม (มี)  อย่างนั้นต้องพูดเป็นสองกรณี คนไหนที่มั่นใจว่าตัวเองดี ต้องรู้จักชมเชยคนอื่นบ้าง ต้องรู้จักถ่อมตัวอย่างแท้จริงจากใจบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นเขาก็เก่งเหมือนกัน และก็ต้องรู้จักที่จะถอยเป็นผู้ที่เหมือนไม่รู้ไม่เก่งบ้าง เพื่อจะได้ให้เขาที่เคยไม่มั่นใจในตัวเองได้มั่นใจขึ้นว่า ดูซิคนเก่งยังยอมให้คนไม่เก่งอย่างฉันได้อยู่ข้างหน้า เขาจะภูมิใจและปลื้มใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมลดตัวเองไม่เก่งเพื่อให้คนอื่นได้เก่งสลับขึ้นมาบ้าง ผลักดันให้คนอื่นกลายเป็นคนที่เก่งขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร รักในสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างเหนียวแน่น ผูกพันอย่างยึดติดไม่ยอมถดถอยใช่หรือไม่ (ใช่)  เด่นต้องมีหนึ่งเดียว อย่าเด่นหลายคนไม่อย่างนั้นเรียกว่าไม่เด่นจริง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าถามใจลึกๆ ของคนที่เด่น คนที่เก่งนั้น ถามเขาสิ เขามีความสุขไหม ไม่สุขหรอก บางครั้งเขากลับรู้สึกเหงา เพราะไม่มีคนเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  และบางครั้งเขารู้สึกเป็นอย่างไร ในโลกนี้ไม่มีใครเหมาะสมหรือคุยกับเขาได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเขารู้สึกว่าใครๆ ก็ไม่เข้าใจเขา คิดไม่เหมือนเขา ฉะนั้นอย่าคิดว่าเป็นคนเก่งในโลกเป็นคนยิ่งใหญ่ในสังคมจะมีความสุขเสมอไป ไม่แน่หรอก สู้เป็นคนธรรมดาเดินดินไม่ได้ บางทีมีความสุขมากกว่า แต่เป็นอย่างไร คนในอยากออกคนนอกอยากเข้าใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เตี้ยต่ำจนเคยชินก็มักจะไม่มีความสุขในความเป็นคนที่ด้อยค่าไร้ราคา แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะให้คนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ชอบในตัวเอง ไม่มีความสามารถอะไรเลยได้กลายเป็นคนที่มั่นใจขึ้น ไม่ยากเลย ก็แค่บางครั้ง เราเอาวาจาที่ดีนี่แหละให้กำลังใจเพื่อนหรือเอาขนมที่เรามีสักสองชิ้นหรือชิ้นเดียว แบ่งให้คนที่เขาไม่มีขนม เราจะเห็นรอยยิ้มในแววตาเขาและความภูมิใจที่เราทำได้จะบังเกิดขึ้นในกายและใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  และเราจะค่อยๆ มั่นใจทีละนิดว่า เราก็ยังมีดีเหมือนกันนะ เราก็ยังมีสิ่งที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้เหมือนกันนะใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังคำกล่าวที่ว่า ในน้ำโคลนแม้จะสกปรกเพียงใด แต่ก็ยังมีน้ำใสสะอาดเจือปนอยู่ ในโลกมายาที่คุกรุ่นไปด้วยร้อยแปดนานาฝุ่นผงธุลี กิเลส ตัณหา ราคะ แต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งสัจธรรมความจริงแท้ที่รอให้บุคคลหรือมนุษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ไปค้นพบและหาให้เจอใช่หรือไม่ (ใช่)  
ชีวิตคือการต่อสู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนเวลาค้าขาย บางทีมีเงินในกระเป๋าแล้วก็ยังอยากขายอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลามีเสื้ออยู่ในตู้ เปิดออกมาทีไรแน่นตู้ทุกที ก็ยังอยากซื้อมาใส่อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเงินในกระเป๋าหิ้วได้เท่าไหร่  เสื้อที่ใส่ ใส่ได้ทีละกี่ชุด (ชุดเดียว)  มนุษย์เราจึงไม่เคยสามารถค้นพบน้ำใสในน้ำขุ่น  สัจธรรมอันแท้จริงในโลกมายาใบนี้  เราเห็นแต่ว่าชีวิตต้องแก่งแย่ง ต้องแสวงหา ต้องดิ้นรน และต้องไขว่คว้ามาครอบครอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราคือ หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ  รู้จักเราไหม  (รู้จัก)  มีทั้งรู้และไม่รู้ ใช่หรือไม่ ถ้าพูดให้เป็นรูปเป็นร่าง ก็เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถือตระกร้าดอกไม้ พอนึกออกไหม  ถ้านึกออกแล้ว ตอนนี้จะเข้าบ้านได้หรือยัง (ได้แล้ว)  เปิดประตูต้อนรับจริงหรือเปล่า (จริง)  และคงไม่คิดว่าเราจะมาขออะไรนะ คิดไหม (ไม่คิด)  คิดก็ได้นะ เราจะมาขอจริงๆ จะให้หรือเปล่าเถอะ (ขึ้นอยู่กับว่าขออะไร)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีทุกอย่างแล้วจะขออะไรจากท่านล่ะ (ขอให้ประพฤติดี ทำดี)  เอาง่ายๆ ขอให้เป็นคนดีในสังคม ขอให้เป็นคนดีที่มั่นคง  ไม่ใช่เป็นคนดีที่โลเลและเปลี่ยนแปลงง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เป็นคนดีที่พ่ายแพ้ความชั่วร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  วันนี้ถ้ากลับบ้านไปโดนคนตบหน้า ยิ้มไหม (ยิ้ม, ยิ้มไม่ออก)  ขับรถออกไปโดนคนชนรถเรา ยิ้มไหม (ยิ้ม, ไม่ยิ้ม)  ทำไมเริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะ ยิ้มไหม (ยิ้ม)  กลับไปถึงบ้านเจอลูกขอเงินอีกแล้ว เจอสามีไม่อยู่บ้านแอบหนีไปเที่ยวอีกแล้ว เจอลูกหลานมีเรื่องมาให้กวนใจอีกแล้ว ยิ้มออกไหม (ยิ้ม เพราะได้รับธรรมะแล้ว)  ใครยิ้มยืนต่อ  ใครไม่ยิ้มนั่งลง  อย่ามองคนอื่น ตัวท่านทำตัวท่านเอง มีการดูคนอื่น  เห็นคนนั่งก็นั่งด้วย อย่างนี้จะเรียกทำความดีด้วยตัวเองหรือเปล่า
อย่ายึดติดในรูปลักษณ์จนเกินไปนะ ไม่อย่างนั้นเราจะมองไม่เห็นความจริงแท้ เราจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งจริงแท้ที่แฝงอยู่ภายใน  เหมือนวันนี้เรามาคุยกับท่าน หากท่านมัวยึดติดแต่รูปร่าง ยึดติดแต่คำพูดของเราเกือบทั้งหมด มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี  สิ่งที่เราควรจะมองและพิจารณาไตร่ตรองนั่นก็คือ คำพูดในนั้นมีอะไรแฝงอยู่ และต้องการสื่อให้ท่านรู้ถึงสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการคุยกันแล้วมองให้เห็นลึกถึงก้นบึ้งในสิ่งที่เขาพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัจจุบันนี้ มองกัน ฟังกัน สัมผัสกัน ก็เพียงภายนอก จึงทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่า อะไรคือสิ่งจริงแท้ อะไรคือสิ่งลวงหลอก  เมื่อใดที่เรามีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดตามไปด้วย  บางครั้งจะทำให้เรายากที่จะตัดสินใจ เหมือนวันนี้ถ้าเรามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เราต้องเป็นแต้มต่อหนึ่งแต้ม เพราะท่านต้องชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรามาด้วยท่าที่บึ้งตึงและถือมีดอีโต้เล่มโต ท่านเป็นอย่างไร เรากำลังทำคะแนนลบไปหนึ่งแต้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใด บางครั้งส่วนลึกภายในก็สำคัญ  แต่ภายนอกไม่สำคัญเลยหรือ ก็ไม่ใช่  ต้องเกี่ยวเนื่องกันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อตอนต้นเราพูดว่า ในชีวิตแม้จะวุ่นวายสับสน  แม้โลกจะแก่งแย่ง
แข่งขันกันอย่างไร  ก็ยังมีสัจธรรมแห่งชีวิตแฝงให้เราไปประจักษ์พบเห็น  มนุษย์ที่ว่าตัวเองไม่ดี  เป็นคนที่จิตใจดีบ้างไม่ดีบ้าง  แต่ในความไม่ดีนั้นก็เปรียบเหมือนน้ำโคลนที่ยังมีน้ำใสแฝงอยู่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจของทุกคนที่บางครั้งก็บอกว่าตัวเองดี บางครั้งก็บอกว่าตัวเองไม่ดี  ถ้าเรากลั่นกรองดีๆ แล้ว  ความดีในจิตใจเราก็ยังมีอยู่เหมือนกัน  แต่อยู่ที่ว่าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความสกปรกโสมมนั้น  เราจะรู้จักสรรหาหรือว่ากลั่นกรองสิ่งดีมาสู่ตัวเราหรือไม่  เราจะรู้จักกลั่นกรองขัดเกลาจิตใจตัวเองหรือไม่  บางครั้งเราไม่มีทางรู้เลย  ถ้าเราวิ่งวุ่น
ไขว่คว้าอยู่ตลอดเวลา เราจะรู้จักตัวเองและรู้จักสรรพสิ่งแวดล้อมได้ก็ต่อเมื่อเราทำสิ่งใด รู้ไหม (ทำแต่สิ่งที่ดีๆ)  การทำสิ่งที่ดีอาจจะยังไม่สามารถทำให้เรามองเห็นได้อย่างถ่องแท้  ยกตัวอย่าง การเริ่มต้นชีวิตของเราคือการเริ่มต้นสตาร์ทวิ่ง  ตื่นเช้ามาเราวิ่งไปเรื่อยๆ  ยิ่งสว่างมากเท่าไรความเร็วในการวิ่งก็ยิ่งมากขึ้น  พอตกค่ำความเร็วก็ช้าลงๆ แต่หยุดไหม บางทีไม่หยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังเหมือนว่าวิ่งอยู่ตลอดเวลา  ช่วงที่เราวิ่งเราสามารถมองเห็นตัวเรา  เราสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน)  โคลนที่เราบอกว่ามีน้ำใสอยู่เพราะอะไร  เพราะว่าต้องนิ่งก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บนโลกมายาใบนี้เราจะมองเห็นสัจธรรมชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อเราได้สัมผัส เราได้กระทบได้เจอ และจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่เราบอกนั้น  ก็ต่อเมื่อท่าน “หยุด” แค่นี้เอง  หยุดที่จะคิด หยุดที่จะไขว่คว้า หยุดที่จะดิ้นรนแสวงหา  หากให้ท่านวิ่งไปด้วย มองตัวเองไปด้วย เห็นไหม (ไม่เห็น)  การเริ่มต้นย่อมไม่เห็น  แต่ถ้าเกิดว่าคนรู้จักย้อนมองจะมองเห็น  แต่ถ้าให้ท่านในที่นี้มองมักจะมองไม่เห็นว่าตัวเองมีอะไรไม่ดี มีอะไรดี  จนกว่าคนอื่นจะบอกว่า ท่านเป็นคนอย่างนี้  ท่านเป็นคนอย่างนั้น  แล้วเราจึงบอกว่า ใช่ๆ  แต่ช่วงที่เราบอกว่าใช่นั้น  เราต้องหยุดนิ่งไหม (หยุด)  เราต้องคิดไหม (คิด)  โลกใบนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน  เราจะค้นพบภาพจริงแท้หรือสัจธรรมชีวิตอันจริงแท้ได้ก็ต่อเมื่อเราหยุดมองให้แจ่มชัด  แต่หยุดมองแล้วบางครั้งเราก็มองไม่แจ่มชัด  เพราะตาเราพร่ามัว ใจเราหม่นหมอง  หยุดอย่างเดียวจึงไม่พอ  หยุดแล้วยังต้องใสสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราใสสะอาด นั่นก็คือ เราไม่กังวลถึงผลประโยชน์ เราไม่กังวลเรื่องอารมณ์  เราไม่กังวลเรื่องอัตตาตัวตน  ถ้าสามอย่างนี้เราไม่กังวลในใจ  ใจเราจะใสขึ้นๆ  แต่ถ้าสามอย่างนี้ยังข้องเกี่ยวและฉุดรั้งใจ  ใจเราจะไม่มีวันใส  ตาเราจะยังพร่ามัวเมื่อมองทุกๆ สิ่งในโลกนี้ จริงไหม (จริง)  อย่างเช่น ถ้าเราชอบดอกไม้พันธุ์หนึ่ง  แต่ดอกไม้อีกพันธุ์หนึ่งไม่ชอบ  เมื่อถึงเวลามอง เราจะเห็นความแตกต่างได้แจ่มชัด  ที่เราชอบ เราจะเห็นข้อดีมากกว่าที่เราไม่ชอบ เวลาเรามองเราจะมองได้เที่ยงตรงหรือว่าเอนเอียง (เอนเอียง)  เมื่อเรามองได้เอนเอียงไม่เที่ยงตรง  เราจะดำรงอยู่ได้เป็นสุขหรือว่าไม่สุข (ไม่สุข)  เมื่อไม่สุขเรายังจะอยากเป็นหรือว่าไม่อยากเป็น (ไม่อยากเป็น)  ก็ไม่อยากเป็น  สิ่งนั้นเราต้องตัดทิ้งทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราตัดทิ้งอะไรไปได้บ้างแล้ว  ยังมีชอบยังมีชังอยู่ไหม (มี)  ยังมีรักยังมีเกลียดอยู่ไหม (มี)  อย่างนี้ไม่ใสหรอกนะ เมื่อไม่ใสจะสุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขอะไร ไม่สุกสกาว จริงไหม  บางคนบอกว่าแม้ไม่ใสเราก็สุขได้  สุขแบบขุ่นๆ สุขแบบดันทุรัง สุขแบบดื้อรั้น  สุขแบบตัวฉันเอง ใครจะทำไม ใช่ไหม (ใช่)  พอทุกข์ก็แอบทุกข์แบบเก็บเอาไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าการดำเนินชีวิต และการรักตัวเองที่ถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก)  กายนี้กว่าเราจะอบรมบ่มเพาะให้เป็นคนๆ หนึ่งได้  กว่าเราจะสั่งสมความรู้ เป็นคนที่ยืนอยู่ในสังคมได้ ใช้เวลานานไหม (นาน)  แต่ทำไมจึงชอบทำร้ายตัวเอง   รู้ว่าหวังแล้วจะผิดหวัง  ก็ยังหวัง  รู้ว่ารักแล้วจะเกิดทุกข์ก็ยังรัก  รู้ว่าหลงแล้วจะยึดติดก็ยังหลง  รักตัวเองไหม (รัก)  ถ้าไม่รักก็คงฆ่าตัวตายไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีที่ท่านยังรักตัวเองอยู่
ในอารมณ์ของมนุษย์เรามีสองจำพวก  จำพวกหนึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายดี  จำพวกหนึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายร้าย  อารมณ์ฝ่ายดีมีอะไรบ้าง (ให้อภัยกับทุกคน, อารมณ์ขันและร่าเริง, ใจกว้าง, ยืดหยุ่นกับผู้อื่น)  อารมณ์มนุษย์เรามีฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี  หากมีอะไรมาสัมผัสกับตัวเราแล้วปล่อยให้อารมณ์เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายนี้เป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  เหมือนมีอารมณ์โกรธมากระทบใจเรา เราก็โกรธทันที  มีอารมณ์ชอบมากระทบใจเรา เราก็รักทันที  มีอารมณ์เกลียดมากระทบใจเรา เราก็เกลียดทันที สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราจะทำอย่างไร (ปล่อยวาง)  บางครั้งให้ปล่อยทันที ให้อุเบกขาข่มก็ข่มยาก ใช่ไหม (ใช่)  ยังไม่ต้องปล่อยวางก็ได้นะ เรามีวิธีหนึ่ง ช่วยเราคิดก่อนเร็ว  (สงบและนิ่ง, ความอดทน, มีสติ)  มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อมีสติรู้แล้วทำอย่างไรถึงทำให้รู้ต่อไปว่า จะชกหรือไม่ชก จะให้อภัยหรือปล่อยวาง  จะทำหรือไม่ทำ (ปัญญา)  ปรบมือให้หน่อยนะ  แต่บางครั้ง คนเรามีสติยั้งคิด มีปัญญาไตร่ตรอง แต่เวลาตัดสินบางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็ล้มเหลว  เพราะว่าขาดอะไร  หากเราจะเป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตน  รู้จักคิด และรู้จักใช้สติปัญญา  สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ “คุณธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทั้งสามสิ่งนี้รวมกันเรียกว่า “การหยั่งรู้”  ไหนผู้บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญมาตั้งนานได้หยั่งรู้บ้างหรือไม่  อะไรมากระทบก็ไปทันที  อะไรมาโดนใจก็หุนหันพลันแล่น  ตัวท่านได้หยั่งรู้ตรงนี้บ้างหรือไม่  ไม่มีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเหมือนคนที่วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง หรือกำลังควบม้าควบไปเรื่อยๆ แสวงหาสิ่งโน้น แสวงหาสิ่งนี้ ไขว่คว้าสิ่งโน้น ไขว่คว้าสิ่งนี้  แต่พอเจอหินตกลงมา เบรกทันที เป็นอย่างไร  บางครั้งเบรกไม่ได้ เท้ายังคงซอยอยู่  ใจยังทำใจไม่ได้เพราะยังหวังอยู่ เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีแบบนี้เกิดขึ้นกับตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความหยั่งรู้จึงไม่เคยได้บังเกิด  บางครั้งจะบังเกิดก็ต่อเมื่อได้ทุกข์จนถึงก้นบึ้งแห่งความทุกข์  เราจึงได้หยั่งรู้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเป็นอย่างไร ไม่น่าใจร้อน ไม่น่าเอาแต่อารมณ์  ไม่น่ากังวลแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าจนลืมนึกถึงความโชคร้ายที่จะตามมาภายหลัง ไม่น่าโมโหโกรธา หุนหันพลันแล่นไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราน่าจะช้าอีกสักนิดหนึ่ง  เวลาน่าจะหยุดอีกสักหน่อยหนึ่ง แต่ใครล่ะจะแก้ไขได้  ดอกไม้เมื่อบานแล้วไม่มีวันที่จะกลับมาหุบอีก  มนุษย์เราเมื่อเจริญเติบโต ก้าวผิดก้าวถูกแล้วจะถอยหลังแล้วหยุดมองได้ไหม (ไม่ได้, ได้)  ถอยหลังไม่ได้ แต่หยุดมองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   นี่คือใช้ปัญญาสติยั้งคิด  หักห้ามจิตใจ  บางครั้งใช้คุณธรรมก็แล้ว  อุเบกขาก็แล้ว มุทิตา เมตตาก็แล้ว ก็ยังข่มใจไม่ลงเพราะว่าอะไร  บางครั้งขาดสติ บางครั้งขาดปัญญา  บางครั้งขาดใจกล้าที่จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)   บางครั้งรู้ว่าคนหกล้มต้องช่วยประคองแต่มือมันไม่กล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก แค่เดินไปถามว่าเป็นอะไรมากไหม  คันปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเราทำไม่ดี ทำไมเราไม่ปิดปากบ้างล่ะ  เวลาเรามองคนอื่นไม่ดีทำไมไม่ปิดตาบ้างล่ะ ได้ไหม  เราเป็นอย่างไร  ยิ่งไม่ดียิ่งเบิกกว้าง  ยิ่งเรื่องร้ายยิ่งง่ายต่อการอ้าปากพูด ถูกต้องหรือเปล่า (ถูก)  ยังถูกอีกหรือ  ถูกที่เราเป็น แต่ไม่ถูกที่ควรจะเอามาเป็นเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม เพื่ออะไร  เพื่อให้เราหยั่งรู้ชีวิตที่แท้จริงและดำเนินชีวิตที่แท้จริงนี้ให้ถูกหนทางและมีความสุข  นี่แหละคือการบำเพ็ญ  เริ่มต้นง่ายๆ  หยั่งรู้ทุกขณะที่คิด  เข้าใจทุกขณะที่กระทำ และเท่าทันกับทุกขณะเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบและสัมผัสตัวเรา   ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า “บำเพ็ญ”  และถ้าทำได้ถึงขนาดลืมอัตตาตัวตน ไม่โกรธ  ไม่หลง ไม่รักจนเกินไป ไม่หลงอย่างหน้ามืดตามัว  นี่เรียกว่า ก้าวขึ้นไปสูงอีกระดับหนึ่ง  แต่เราก็ยังอดไม่ได้  ทำดีแล้วต้องมีคนชม  ทำดีแล้วคนห้ามว่า  ทำดีแล้วทุกคนต้องเห็นด้วย ห้ามไม่เห็นด้วยเด็ดขาด  ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอไม่เห็นด้วยเราประท้วงทันที  ไม่ทำแล้ว  เราเลิกทำทันที  เราบอกว่าอยู่เฉยๆ ดีกว่า  ไม่ดีไม่เลวดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผู้นับถือศาสนาพุทธอย่าลืม พระพุทธองค์สอนว่าอะไร หลักของศาสนาพุทธ “ทำความดีละเว้นความชั่ว”  ขาดไปวรรคหนึ่งรู้ไหม “และหมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนนับถือพุทธมักนับถือกระท่อนกระแท่น  จำวรรคเดียว ทำวรรคเดียว  ถนัดวรรคไหน ทำวรรคนั้น  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถนัดละเว้นชั่ว แต่ทำดีนั้นไม่ค่อยถนัด  ทำจิตใจให้ผ่องใสอย่าพูดถึงเลยท่าน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า (ไม่ถูก)  ถ้าทุกคนเลือกแต่จะละเว้นชั่ว ไม่ทำดี  โลกนี้จะมีคนดีเหลืออยู่ในสังคมไหม (ไม่มี)  ทุกคนละเว้นชั่วแต่ไม่ช่วยพ่อแม่ล้างจาน  งานทำเสร็จแล้วแต่ไม่เก็บ  วางระเกะระกะ  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าทุกคนเอาแต่ละเว้นชั่ว แต่ความดีไม่เคยคิดทำ  จิตใจผ่องใสไม่เคยชะล้าง  อย่างนี้เรียกว่านับถือพุทธศาสนาได้หมดไหม (ไม่หมด)  เมื่อเราจะเป็นคนดีในสังคม  เราต้องละเว้นชั่วและหมั่นทำดี  ช่วงที่ทำดีและช่วงที่ละเว้นชั่ว อย่าลืมชะล้างจิตใจให้ผ่องใส  ไม่ใช่ทำดีไป ในใจก็บอกว่าต้องได้ดีสิ  ต้องมีคนชม  ทำบุญสิบบาท ขอเกือบร้อยบาท  ซื้อลอตเตอรี่ เต็มใจซื้อได้  แต่พอจะทำบุญ  รู้สึกเงินออกจากกระเป๋ายากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซื้อเสื้อผ้า ไม่ว่าแพงแค่ไหนก็ต้องซื้อ ต้องเลือกดีๆ  แต่เวลาทำดี อย่าเพิ่งได้ไหม เอาไปสิบบาทก่อน  อย่างนี้แปลว่าเรารักความสวยงามภายนอกมากกว่ารักความดีที่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นอีกไหม (ไม่เป็น)  ต่อไปจะหักจากเงินซื้อเสื้อผ้ามาเป็นอะไร (เงินทำบุญ)  โดยเฉพาะสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ โอกาสทำบุญง่ายหรือยาก (ง่าย, ยาก)  มีทั้งง่าย และมีทั้งยาก  ถ้าคิดมากก็ยากหน่อย จริงไหม  ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็เป็นอย่างไร (ง่าย)  ค่อยๆ มองเห็นใจตัวเองชัดขึ้นบ้างหรือยัง ว่าบำเพ็ญแล้วดีขึ้นหรือถอยหลัง  บำเพ็ญแล้วยังย่ำอยู่กับที่หรือว่าก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ
“เมื่อทุกข์ไม่เกิด  ดวงใจไม่ปลง  เมื่อคิดไม่ตก  ดวงใจไม่ตรง”
สองวรรคนี้ใครเข้าใจบ้าง มนุษย์เรารู้จักคำว่า “ปลง”  ตอนที่เราได้ค้นพบความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราจึงคิดไม่ตก  ก็เพราะใจเราไม่เที่ยงตรง  ถ้าใจเราเที่ยง เราจะชักหน้าพะวงหลังไหม (ไม่)  เราจะกล้ำๆ กึ่งๆ ไหม  เราจะคิดได้ตกทันทีถ้าใจเราเที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะไม่รู้สึกว่าอันนี้ก็อยาก อันนี้ก็จะเอาจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราคิดได้ตรงเที่ยง  รู้ถึงความเหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความสุข เกิดจากอะไร เกิดจากภายในจิตใจ สัมผัสบอกรวมกันเกิดมาเป็นอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์โกรธ รัก โลภ หลง ดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์  แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แม้จะมากระทบใจเรา  แม้จะมาสัมผัสภายในใจเรา  แต่ถ้าใจเรารู้จักหยั่งรู้ ดึงปัญญา สติและคุณธรรม มาควบคุมและไตร่ตรอง  การกระทำและการดำเนินชีวิตของเราจะสามารถผ่านทุกๆ อย่างไปได้อย่างราบรื่น  และจะเข้าใจในทุกข์ ไม่หลงยึดติดในสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้หรือไม่ (ได้)  การดำเนินมีอยู่สองสิ่งที่ไม่ยาก  หากเราจะพูดให้ง่ายเข้าไปอีก คือ ให้เท่าที่จะให้  ให้สิ่งที่ดี ให้คำพูดที่ดี ให้ความคิดเราคิดดีๆ ให้ใจเราบริสุทธิ์  มนุษย์เราสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข  ไม่กลัวคนร้าย ไม่กลัวอันตราย  เพราะถ้าใจเราบริสุทธิ์ ใจเราดีแล้ว  แม้อะไรจะเกิด ปล่อยให้เกิดไป แม้อะไรจะเป็นก็ปล่อยให้เป็นไป  เพราะอะไร เพราะเข้าใจโลกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงสามารถปลงตกและมองชีวิตได้ออก  ใจจึงใสและไม่มีอะไรหน่วงเหนี่ยวกักขัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักให้อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ให้อภัย  คนเรามีความทุกข์เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  มีความทุกข์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครหนีพ้น  แต่ถ้าเมื่อใดเราสร้างศัตรูขึ้นมาอีก  เรากำลังเพิ่มทุกข์ให้กับตัวตนเอง จริงหรือไม่ (จริง)  เรามีคนที่เราเกลียดเข้ามาอีก เราจะเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง  เพราะเมื่อใดที่เรามีศัตรู มีคนที่เกลียด มีคนที่ไม่ชอบ มีคนที่ทำอะไรไม่ถูกใจ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์หนึ่งคือ ระแวง  ทุกข์สองคือ อยู่กับเขาได้ไม่สนิทใจ  ทุกข์สามคือตัวตนเองสร้างทุกข์ แต่แก้ทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราย้อนคิดกลับไปว่า คนทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ คนทุกคนในโลกนี้ล้วนมีดีมีไม่ดีเหมือนๆ กัน  เรารักคนดี  แต่ในใจลึกๆ เราก็รักธรรมชาติที่ดีและไม่ดีของคนด้วย  เราจะเกลียดเขาไม่ลง จริงไหม (จริง)  ถ้าเรารักแต่ดี  แต่ไม่ยอมรับธรรมชาติของตัวมนุษย์  เช่นนี้เราจะเกลียดทุกๆ คน  เพราะทุกๆ คนมีไม่ดีหมด จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรามีจิตใจที่ใสแล้ว  เรายังมีจิตใจที่รักในความเป็นธรรมชาติของเขา  รักในความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง  เราจะไม่รู้สึกว่าอะไรชอบ อะไรชัง  อะไรเกลียด อะไรรัก จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าหวังถ้าหวังแล้วต้องทุกข์  เพราะว่าผิดหวัง  มีใครหวังหรือเปล่า  ในโลกนี้แม้เราจะหยั่งรู้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปคาดหวัง อย่าไปมุ่งหวัง แต่เราก็ยังอดมุ่งหวังไม่ได้  เพราะความหวังคือแสงทองของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อหวังแล้วอย่าลืมเผื่อใจไว้ผิดหวังด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มาดูบทกลอนก่อนดีไหม  ตอนต้นเรากล่าวไว้ว่า ชีวิตคือการต่อสู้   แต่บางครั้งถ้าเราสู้จนไม่มีแรงจะสู้  แล้วยังฝืนที่จะต่อสู้  ย่อมไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง  ถ้าบางครั้งเหตุการณ์หรือภาวการณ์ตอนนี้ต้องให้เรานิ่งเฉย  เราก็ควรที่จะหยุดนิ่งและเพิ่มศักยภาพให้กับชีวิตของตนเอง  ว่าเพราะอะไรเหตุการณ์จึงเป็นเช่นนี้  เพราะอะไรเราจึงต้องหยุด  เมื่อหยุดจงค่อยๆ คิด และค่อยๆ มองชีวิตอะไรคือ “การหยุด”  บางครั้งให้ท่านหยุดตอนนี้ หยุดทำงานย่อมเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หยุดภาระหน้าที่ย่อมทำไม่ได้แล้ว “หยุด” ของเราในความหมายนี้คืออะไร  นั่นก็คือ การรู้จักมีชีวิตที่เรียบง่าย  พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  เมื่อใดที่เรารู้จักดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย  พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  เมื่อนั้นเราจะเริ่มเห็นใจคน  แต่ถ้าเมื่อใดเรายังแสวงหาดิ้นรนและไขว่คว้า  เมื่อนั้นเราจะไม่เห็นใจใคร  ทุกๆ คนคือศัตรูเราหมด  ทุกๆ คนคือผลประโยชน์ของเราหมด  ทุกๆ คนคือกำไรและดอกเบี้ยของเราหมด จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เรารู้จักที่จะพอเพียง  รู้จักที่จะหยุดในการดิ้นรนแสวงหา  รู้จักที่จะหยุดในอารมณ์โลภ โกรธ หลงบ้าง  เราจะมีใจมองเห็นความเป็นจริงของชีวิต  มองเห็นตัวตนที่แท้จริงและมองเห็นธรรมชาติที่สวยงาม  ปัจจุบันนี้ใครเคยเห็นฟ้าแล้วรู้สึกว่า สวยจังเลย  มองเห็นต้นไม้แล้วรู้สึกร่มเย็นอยากนั่งอยู่เฉยๆ บ้าง มีไหม (มี)  บางครั้งพอจะนั่งก้นก็ร้อนแล้ว  พอจะมองก็มองไม่ออกแล้ว  เพราะไม่มีเวลาที่จะมอง  มองอย่างไรฟ้าก็เป็นฟ้า สวยไม่ขึ้นสักที  ใช่หรือไม่  ทำไมเราไม่มีโอกาสชื่นชมความเป็นธรรมชาติ  ทำไมเราจึงไม่มีโอกาสเติมความเป็นธรรมชาติให้กับจิตใจของเรา  เรามัวแต่ปรับเสริมเติมแต่งอยู่ทุกวัน  ปรับให้สูงขึ้น  แต่งให้งามขึ้น  เสริมให้ดีขึ้น  แต่ปรับแต่งเสริมอย่างไรก็สู้ธรรมชาติที่โตด้วยธรรมชาติไม่ได้  สวยตกแต่งกับสวยแบบธรรมชาติเอาแบบไหน (ธรรมชาติ)  ฉะนั้นถ้าตื่นมาสะบัดๆ ออกไปข้างนอกไม่ต้องหวีผม ได้ไหม (ไม่ได้)  ดีไหม (ไม่ดี)  ตอนแรกเราสอนท่าน  เราบอกท่านว่าต้องรักษาความเป็นธรรมชาติ  แต่ความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงคือธรรมชาติที่เหมาะกับภาวะการณ์ของธรรมชาตินั้นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอากาศร้อนๆ ท่านใส่เสื้อแจ๊กเก็ตหนาๆ ใส่เสื้อขนสัตว์ดีไหม  ใช่ธรรมชาติที่ถูกต้องกับธรรมชาติไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอากาศร้อนเราต้องร้อนตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอากาศหนาวเราต้องหนาวให้เหมือนอากาศ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราสอนท่านว่าเป็นอะไร ให้เป็นธรรมชาติ  ฉะนั้นห้ามเป็นศิษย์ล้างครู  ต้องฟังแล้วรู้จักพลิกแพลงให้เท่าทัน  แม้อากาศร้อนความเป็นธรรมชาติในการอยู่กับอากาศร้อนก็คือ พยายามปรับตัวตนให้ใจเย็น  เมื่อยามอากาศหนาวเย็นต้องทำตัวเองให้กระฉับกระเฉง  จะได้ไม่เกียจคร้าน ถูกหรือไม่ (ถูก)  นี่คือการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องแบบธรรมชาติและไปด้วยกันอย่างงดงาม  จริงไหม (จริง)  มีไหมที่อากาศร้อนแล้วต้นไม้เอาเสื้อมาคลุม ออกใบไม้สีจางๆ ได้หรือเปล่า  ยิ่งอากาศร้อนใบไม้ยิ่งสีเข้ม  อากาศหนาวใบไม้ยิ่งสีอ่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันย้อนกลับมาดูที่ตัวเรา  อากาศร้อนใจเราต้องเย็น  อากาศเย็นใจเราต้องกระฉับกระเฉงไม่ใช่ง่วงนอนต่อใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เป็นโอกาสที่ดี เราอธิบายไปแล้วรู้ไหมว่าเราอธิบายวรรคไหน
“กระจ่างแจ้งอะไรทำในวันนี้ ชนะใจให้ดีก่อนเดินหน้า
แบบหญ้าที่เหนื่อยไม่หยุดวัฒนา ธรรมดาถอนรากหยั่งสิ้นจึงยอม”
เคยสังเกตเห็นต้นหญ้าไหม  แม้จะถูกตัดกี่ทีหญ้าก็ยังคงขึ้นต่อใช่หรือไม่(ใช่)  แม้หินจะทับแต่พอเรายกหินออกหญ้ายังมีอยู่ไหม (มีอยู่)  หญ้าจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อหมดสิ้นรากแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ท่านดำเนินชีวิตเป็นคนดีบำเพ็ญตัวเองเป็นคนดีของสังคมเหมือนอย่างต้นหญ้าที่ไม่หวั่นแม้คนตัด ไม่กลัวแม้คนทับถม ยังคงเจริญงอกงามอยู่ตามสภาวะที่เหมาะสมและกำลังตัวเองที่ทำได้ เป็นเรื่องยากเกินไปไหม ทำแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อมีโอกาสจงเอาโอกาสที่ดีนั้นฉุดช่วยคน ให้เขาได้รู้ทางที่ดี เฉกเช่นที่ท่านได้รู้ ยุคนี้เป็นยุคสามแล้ว พระอนุตตรธรรมมารดา หรือ แม่ผู้ให้จิตวิญญาณของทุกๆ คนได้บัญชาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาฉุดโปรดเวไนยสัตว์ให้รู้ตื่น เมื่อไรที่หยั่งรู้แท้ชีวิต เมื่อนั้นชีวิตจะตื่นขึ้น แต่เมื่อหยั่งรู้ชีวิตอย่างแท้จริงแล้วจงตื่นขึ้นและไม่หลับอีกต่อไป อย่าตื่นแล้วกลับไปหลงอีก ชนะแล้วจงชนะแล้วก้าวต่อไป ชนะอะไรล่ะ ชนะที่ใจตัวเอง อะไรล่ะที่แพ้ กิเลส ตัณหา กามราคะ ตัดให้หมดสิ้น อย่าให้มาทำร้ายกายและใจของท่านอีกต่อไปเลย จงรู้จักดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและดีงามพร้อมกับมีคุณค่าต่อบุคคลอื่นด้วยทำได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่หรือไม่ในการบำเพ็ญตัวเอง แต่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือหมั่นขยันอย่าเกียจคร้าน มนุษย์เราถ้าขยันทำงานมากเกินก็เครียดก็เหนื่อย แต่ถ้าเอาแต่นอนหลับพักผ่อนมากเกินก็เกียจคร้านใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหาความสุขมากเกิน ไม่เคยสนใจไม่เคยช่วยใคร นั่นเขาเรียกว่าทำตัวไร้คุณค่า แม้หญ้าก็ยังใหญ่ยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าสู้ไม่ได้แม้กระทั่งหญ้าหรอกนะ ไม่ดีเลย ใช่หรือเปล่า
วันนี้ก็คงจบเพียงแค่นี้แล้วในสิ่งที่เราอยากฝากฝังไว้ ขอให้เมธีทุกๆ ท่านคิดไตร่ตรองให้ดีว่าที่จบไปนั้นหรือที่เราได้กล่าวไปนั้นเอาไปใช้อะไรได้บ้างกับชีวิตและเอาไปฝึกฝนบำเพ็ญกับตัวเองได้อย่างไร หากจะเป็นพุทธะต้องเป็นได้ทั้งกายและใจ และพุทธะคืออะไรล่ะ พุทธะคือผู้ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง รู้จักตัวตนที่แท้จริง เข้าใจชีวิตอย่างท่องแท้ อย่าเป็นผู้ยิ่งบำเพ็ญธรรม ยิ่งถอยหลัง ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งไม่เข้าใจชีวิตเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ยิ่งบำเพ็ญยิ่งก้าวไป ตัวเรายิ่งเข้าใจมากขึ้น ความมั่นคงในการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมยิ่งหนักแน่น อย่าเป็นคนที่ไม่เข้าใจแม้กระทั่งตัวเองดีหรือตัวเองไม่ดี และอย่าบำเพ็ญแล้วรู้ว่าตัวเองไม่ดี แต่ก็ยังแก้ไขให้ดีขึ้นไม่ได้ เช่นนี้ก็เรียกว่าบำเพ็ญยังไม่ก้าวหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าทุกคนย่อมมีเรื่องยากที่จะผ่านได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าไม่หัดปล่อยวางบ้าง ทำจิตใจให้เบาใสบ้าง คิดแต่ในด้านดีบ้างเราก็จะตัดไม่ได้ ปลงไม่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาตัวเองยังไม่หมด แถมยังมีวิบากกรรมโถมซัดเข้ามาอีกแล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านจะมีชีวิตรอดได้ไหม ก็ย่อมยากใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราดูแลตัวตนเอง บางครั้งก็ยังดูแลได้ไม่ดี จิตใจทะนุถนอมให้งดงามบางครั้งก็ยังเว้าๆ แหว่งๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังต้องดูแลผู้อื่นอีก ยังมีผู้อื่นที่อยู่ใต้ความดูแลของเราอีก อยากให้เขาเคารพเรา เราต้องทำตัวให้น่าเคารพ ถ้าเราไม่ทำตัวให้น่าเคารพ ใครล่ะจะเคารพเรา อยากให้เขาเห็นความสามารถของท่าน อยากให้เขานับถือท่าน ตัวท่านทำให้น่านับถือหรือยัง มีความสามารถเพียงพอหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้องพระที่นี่ต้องฝากไว้กับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับเห็นห้องพระเหมือนอะไร ประชุมธรรมครั้งหนึ่งก็มากันครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ แค่ขับรถมาไม่กี่ชั่วโมงมาช่วยไหว้พระมาช่วยกันส่งเสริม ปัดกวาดให้ห้องพระสะอาดสะอ้าน มาช่วยทำให้ห้องพระมีความสว่างไสว เรากลับสละไม่ได้ เรากลับไม่ยอมมีชีวิตที่เรียบง่าย เรายังอยากที่จะมีชีวิตที่ฟุ้งเฟื้อ เรายังอยากที่จะมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่อยากที่จะมาเสียสละตัวเองทำให้คนอื่นใช่หรือเปล่า  ถ้าคนทุกคนในโลกนี้ไม่คิดที่จะเสียสละทำเพื่อใครบ้าง คนในโลกนี้จะสูญพันธุ์ได้ไวจริงไหม (จริง)  จริงนะ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะค่อยๆ หดหายไป เพราะว่าอะไรล่ะ เพราะว่าพ่อแม่จะไม่ดูแลลูก ลูกจะไม่เลี้ยงพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  พี่น้องจะไม่ซื่อสัตย์ต่อกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงฝึกจิตใจ ให้เท่าที่เราจะให้ได้ ทำในสิ่งที่โลกขาดหายไป เติมในสิ่งที่เว้าแหว่งให้กับโลกใบนี้ นี่แหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ว่าห้องพระเงียบเหงา ช่วยมาเพิ่มความสดชื่น รู้ว่าห้องพระขาดคนดูแล ช่วยมาเพิ่มให้การดูแล ให้การเอาใจใส่ อย่าเกี่ยงงอนกัน ถึงแม้ไม่ใช่เวร แต่ว่าวันนี้เราว่าง วันนี้เรานึกถึง วันนี้เราอยากไหว้พระ เรามาหาพระ ไม่ใช่มาหาใคร เราทำให้พระ ไม่ใช่ทำให้ใครใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขณะที่ทำให้พระ ทุกขณะที่ใจมีพระ ท่านนั่นแหละคือพระ แต่ถ้าทุกขณะคิดอิจฉา ทุกขณะคิดเอาแต่ได้ ทุกขณะคิดถึงแต่ตน ท่านนั่นแหละยังเป็นปุถุชน บำเพ็ญไปก็เสียเปล่าจริงหรือไม่ (จริง)  เริ่มต้นเรามาด้วยท่าทีที่นุ่มนวล แต่กลับไปต้องมีบทเด็ดขาดบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนก็เหมือนกัน บางครั้งต้องรู้จักอ่อนนุ่ม และบางครั้งต้องรู้จักเข้มแข็งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าอ่อนแอและอย่ากล้าแกร่งอย่างที่ไม่ควรจะกล้าถูกหรือไม่ (ถูก)  เราทิ้งบทเพลงกับบทกลอนนี้ไว้เป็นข้อเตือนใจ อย่าปล่อยให้บทเพลงและบทกลอนนี้เป็นสิ่งไร้ค่าที่ผ่านตาแล้วก็ผ่านไป จงทำให้มีค่าและจงทำให้บทกลอนและบทเพลงนี้สะท้อนและดึงจิตใจของท่านขึ้นมาให้ได้ ดึงอะไรขึ้นมาให้ได้ล่ะ ดึงความเป็นพุทธะ ความเป็นคนดีที่ไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นก้าวต่อไป ไม่มีใครร้ายเกินเราอีกแล้ว และก็ไม่มีใครดีสู้ท่านได้อีกแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกสัมพันธ์กันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่โลกนี้มีความสุขใช่เรื่องยาก อาจารย์ฝากใครยังทุกข์คิดดูใหม่
สุขและทุกข์เท็จและจริงอยู่ที่ใจ อะไรไกลอะไรใกล้อยู่ที่คนมอง
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ดีใจที่เห็นหน้าศิษย์ในวันนี้
มนุษย์คุ้นมีเปลือกไปเป็นเกราะ การกะเทาะหมายเร่งคนบำเพ็ญหนอ
เพียงยินยอมติดดินจิตละออ ความจริงใจมีต่อทุกชีวัน
ตั้งใจจะฝึกฝนจิตกลายสับสน ชนะคนมีเปลือกด้วยยอมเท่านั้น
ปัญหาชอบแต่เรื่องแตกแยกกัน ปัญญาตันโอ้อวดคนด้วยกำลัง
ครรลองกว้างธรรมมีคนจึงเจริญ วาจาไม่แข็งเกินส่วนรวมตั้ง
อาวุโสนำตนก้าวตามรวมพลัง นิสัยยังเอาแต่ใจได้อย่างไร
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ร้องเพลงแบบนี้เขาเรียกว่าร้องแบบมีใจ แต่ไม่มีการฝึกฝน ใช่หรือเปล่า ฝึกร้องเพลงบ่อยไหม (บ่อย)  ร้องแบบนี้เรียกว่าร้องผิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วผิดคืออะไร ไม่แน่ว่าคนที่เริ่มศึกษาธรรมะอาจจะงงน้อยกว่าคนข้างหน้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่รู้ไหมว่าบางทีเรามองเฉพาะว่าเขาบำเพ็ญธรรม เพราะว่าเขามีใจที่จะช่วยคนอื่นมาก อย่างบางคนกว่าจะมาวันนี้ได้ถูกดึงมากี่ครั้ง บางคนมาด้วยความรำคาญเต็มที่ แล้วแต่ว่าคนที่เขาเรียกเรามาก็เรียกมาด้วยความเมตตา อยากให้เราฟังธรรมะ อยากให้เรารู้เหมือนกับที่เขารู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรารำคาญคนเมตตาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ตอนนี้ใครงงมากกว่ากัน เวลาที่อาจารย์พูดหมายความว่าเราทุกคนมาสถานธรรมก็เพื่อการฝึกฝน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้อาจจะยังไม่รู้ว่าธรรมะนี้ดีหรือเปล่า ถึงรู้ก็ไม่ค่อยแน่ใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีตาของเราก็เอาแต่มอง มองคนที่อยู่ข้างหน้าแล้วก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าเราเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญไม่ได้ดีไปกว่าเราเลยใช่หรือไม่ แล้วเราดีกว่าคนบำเพ็ญหรือไม่ อาจารย์พูดวนไปวนมาฟังแล้วศิษย์ก็งง เพราะว่าชีวิตคนเกิดมาก็เกิดมาอย่างงงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็รวยแล้ว เกิดมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จนแล้ว ยังไม่รู้ว่าตัวเองเจอปัญหาหรือไม่ ก็มาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่รู้ว่าปัญหาจะจบลงอย่างไร ก็เกิดความหยิ่งยโสในโชคชะตาที่เรารู้สึกว่าเฟื่องฟูและรุ่งเรือง  พอช่วงนี้เศรษฐกิจตกเราไม่อยากจะตกสะเก็ดเลย แต่มันตกไปแล้ว เราก็ตกลงมาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่อยากเป็นคนที่จนเลย เราก็จนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่อยากเป็นคนที่หยิ่งยโสเลยแต่เราก็เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราไม่อยากเห็นว่าทองสำคัญ แต่มันก็สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าชีวิตนี้เกิดมาไม่มีใครกำหนดอะไรได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีสิ่งเดียวที่เรากำหนดได้คืออะไร เขาบอกว่าตั้งท้องเก้าเดือน พอเก้าเดือนแล้วยังไม่รู้เลยว่าเกิดวันไหน  บางคนเกิดก่อนกำหนด บางคนเกิดหลังไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เดี๋ยวนี้ต้องผ่าอย่างเดียวถึงตรงกำหนดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แน่ใจหรือไม่ว่าผ่าออกมาแล้วแข็งเรง (ไม่แน่ใจ)  มีอย่างเดียวที่เรากำหนดได้คืออะไร (ความดี, ความชั่ว, กำหนดการกระทำ)  สิ่งที่เรากำหนดได้อย่างเดียวก็คือการกระทำของเราถูกหรือเปล่า (ถูก)  สมมติว่าเราไม่ชอบจะทำสิ่งนี้ แต่ว่าตามหน้าที่แล้วเราต้องไปทำ ถามว่าเราจะทำหรือไม่ทำอยู่ที่ใคร (ตัวเรา)  ใจชอบหรือไม่ชอบอยู่ที่ใคร  สิ่งที่เราจะไปลงมือกระทำกรรมดีและกรรมชั่วอย่างที่ตอบมา เป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหมว่าคนทำดีแล้วได้ดี (เชื่อ)  แน่ใจหรือไม่ (แน่ใจ)  ซื้อหวยแล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าหากว่าทำดีแล้วต้องซื้อเลขซื้อหวยแล้วต้องถูกใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนดีกินเหล้าแล้วต้องไม่เมาใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนที่ทำอย่างนี้อยู่เรียกว่าคนดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะว่าเราไม่สามารถกำหนดการกระทำของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเราเป็นคนดีแต่เราไปทำสิ่งที่เป็นอบายมุขจะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นคนที่เป็นคนดีก็ต้องห่างไกลอบายมุข ไม่ใช่บอกว่าเราเป็นคนดี เรากำหนดการกระทำได้ แต่ว่าเผื่อฟลุค เผื่อถูก เผื่อว่ากินแล้วจะไม่เมา  คนที่ไปกินเหล้ามีใครคิดว่าไปกินแล้วเราจะไม่เมาไหม กินแล้วก็เมาทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสที่อยู่ในตัวเรา ความอยากได้ใคร่รู้ การลักขโมย การที่เราชอบสิ่งใดและไม่ชอบสิ่งใด เกลียดคนไหนและไม่เกลียดคนไหน
เมื่อเราเข้าไปใกล้แล้วเราจะพ้นไปจากความเกลียด ความพ่ายแพ้ได้ไหม (ไม่ได้)  พูดง่ายๆ ก็คือหากว่าเราเข้าไปใกล้กิเลสและรับกิเลสมาเป็นส่วนหนึ่งของเราเมื่อไร เราก็จะติดอย่างไม่มีทางที่จะปลดได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และถามว่าทุกคนมีกิเลสไหม ทุกคนเป็นคนดีไหม  ถ้าหากว่าเปรียบห้องๆ นี้เป็นโลกใบหนึ่ง โลกใบนี้ คนในห้องนี้ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนดีหรือเปล่า เมื่อวานนี้ตอบไปตอบมาคนที่เป็นคนดีเหลืออยู่คนเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนดีหนึ่งคนนี้จึงต้องเหนื่อยมากเป็นพิเศษในการที่จะช่วยให้คนอื่นเป็นคนดีตาม หรือว่าคนดีคนนี้บอกว่าคนไม่ดีมากมายเหลือเกิน อย่างนี้เราก็ไม่ดีตามดีหรือเปล่า อย่างนี้เรียกว่าปากไม่ตรงกับใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะเราคิดว่าจะเป็นคนดีแต่พอออกไปข้างนอกแล้ว ลมมันพัดแรงไปหน่อยก็เลยปล่อยไปตามลม กระแสน้ำไหลแรงไปหน่อยอยู่กลางกระแสน้ำก็เลยปล่อยเลยตามเลยไม่มีใครคิดจะฝืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเห็นคนจำนวนมากเป็นคนไม่ดี มนุษย์โดยส่วนใหญ่ก็คิดว่าเราก็คงจะเอาชนะไม่ได้ คนไม่ดีตั้งเยอะแยะจะเป็นคนดีอยู่คนเดียวได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างหน้าก็เลยออกแรงมากไป ดูๆ แล้วเป็นคนน่าเบื่อ ใช่หรือเปล่า  กินเจก็แปลกแล้ว มาดึงเราจนน่ารำคาญแปลกไหม (ไม่แปลก)
เมื่อครู่ใครบอกว่าเขางง ตอนนี้เขาไม่แปลกแล้ว  เพราะว่าเขาตั้งใจจะเป็นคนดี ใช่หรือเปล่า มนุษย์ทุกคนต่อให้เป็นคนมีสติมากที่สุด ก็มีสิทธิที่จะทำผิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีคนที่ตั้งใจทำอะไรมากไปก็มักจะทำอะไรผิดพลาด แต่ในตอนนี้ก็คือให้ศิษย์ดูว่าสิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูก อาจารย์ถามว่าไม่มาฝึกร้องเพลงบ่อยๆ ผิดใช่ไหม  มีคนข้างหน้าบอกว่าผิด อะไรคือผิด  ถ้าจะผิดก็ผิดที่ว่างแล้วไม่มา
สถานธรรม ผิดที่มีโอกาสไม่เร่งคว้าไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาก็มาขายหน้าครั้งหนึ่ง นี่ยังไม่เป็นความผิดแต่ก็ไม่งามเท่าไร เพราะไม่สร้างความชำนาญให้ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนจะมองว่าเป็นคนเรียบร้อยได้อย่างแรกดูอะไร (ดูการแต่งกาย ดูกิริยามารยาท)  การที่เรามาบำเพ็ญธรรมแล้วเราชำนาญในสิ่งที่เป็นความถนัดของตนเอง อย่างเช่น เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็ต้องชำนาญในการบำเพ็ญ บำเพ็ญโดยชำนาญ ชำนาญอย่างไร บำเพ็ญให้ไปถึงจิตใจของเรา ให้มันสะอาดที่จิตใจของเรานั่นเรียกว่าผู้บำเพ็ญที่ชำนาญ ใช่หรือไม่ หากว่าเรามาบำเพ็ญธรรม จิตใจของเราก็สะอาดดีอยู่ แต่เวลาพูดก็พูดไม่สวยสักที คำพูดการกระทำก็เหมือนกับกิริยามารยาท ความชำนาญในสิ่งที่เราถนัดอย่างเช่น เรามีหน้าที่ร้องเพลง เป็นคนที่ถูกมอบหมายมาให้ร้องเพลงนำพาบรรยากาศ ก็ต้องชำนาญในการร้องเพลง นั่นเรียกว่าเสื้อผ้าของผู้บำเพ็ญ เหมือนกับเป็นแม่ครัวถ้าทำกับข้าวไม่อร่อยจะเรียกว่าแม่ครัวเต็มปากเต็มคำได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้เราเรียกตัวเองว่าเป็นคนนำร้องเพลงได้เต็มปากเต็มคำไหม (ไม่) เพราะทุกคนร้องได้แต่ไม่มีความพร้อมเพรียง สะท้อนไปถึงการที่เราทำงานด้วยกันทุกวันนี้ก็ไม่มีความสามัคคีกัน ฉะนั้นถ้าศิษย์ข้างหน้าไม่เป็นแบบอย่างที่ดีคนข้างหลังก็หมดหวัง ทุกๆ คนมีความสำคัญเท่าๆ กัน ทุกๆ คนมีความดีเหมือนๆ กัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องถนัดในสิ่งที่เป็นความชำนาญของเรา  สถานธรรมหนึ่งหลังก็เหมือนบ้านหนึ่งบ้าน คนที่ทำครัว คนที่กวาดบ้าน คนที่ซ่อมเสียงเพลงในบ้าน คนที่เก็บกวาดเช็ดถู หลายอย่างหลายหน้าที่ แล้วแต่ศิษย์จะเลือกความชำนาญ ใช่หรือไม่
ทุกวันนี้เราอยู่อย่างคนที่มีความทุกข์ จงอย่าหาความทุกข์เพิ่มให้กับตัวเรา อยู่กันด้วยความสามัคคีรักใคร่กัน เป็นสุดยอดของความสุข เป็นความสุขง่ายๆ ที่เราหาได้  แต่แปลกที่คนชอบจะอยู่กันอย่างแตกแยก ความสุขก็ไกล ความสุขง่ายๆ ก็ไม่มี มีแต่ความสุขยากๆ  หันมาถามนักเรียนในชั้นทุกวันนี้เป็นคนสุขยากหรือสุขง่าย คนที่มีความสุขง่ายๆ เป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ถามว่ามีข้าวกินทุกมื้อไหม (มี)  สุขหรือยัง เห็นไหมว่าเราไม่อยากได้ความสุขง่ายๆ เลย เราอยากกินข้าวทั้งอิ่มและอร่อย ใช่หรือเปล่า  ไม่อร่อยก็กินข้าวไม่ลง ความสุขนี้ยากไหม ถามว่าในหนึ่งวันมีอาหารมื้อไหนอร่อยที่สุด โดยประมาณหนึ่งวันมีสักมื้อหนึ่งที่อร่อยไหม (มี)  ถ้ามีสักมื้อหนึ่งที่อร่อยแสดงว่าเป็นคนยุ่งยาก  เพราะว่าจะต้องทำให้อร่อยให้ได้ ต้องไปเพ่งเล็งทำให้มันอร่อย ใครบอกว่าสามมื้ออร่อยหมดทุกมื้อ อิ่มหมดทุกมื้อ มนุษย์ไม่อยากจะได้ความสุขง่ายๆ มีแต่หาความสุขยากๆ เช่นการกินวันหนึ่งกินสามมื้อเสียเวลาไปกับการกินมากมาย แต่ยังไม่มีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทุ่มเทเวลาลงไป ใช่หรือไม่  วันหนึ่งใครได้อาบน้ำสองครั้ง ใครเงินทองไม่ขาดมือ เห็นไหมว่าคนเราถ้าอยากมีความสุขก็มีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขหาง่ายไหม (ง่าย)  มีข้าวกิน มีน้ำอาบ ถือว่าเป็นความสุขง่ายๆ ถือว่าโชคดีกว่าคนตั้งมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ยกมือครบทั้ง ๓ ครั้ง คือ ทั้งเรื่องกิน อาบน้ำ และเรื่องเงิน เป็นคนที่มีความสุขที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอยู่แค่ ๑๑ คน แสดงว่าคนส่วนใหญ่ทุกข์ใจ  คนที่มีความสุขเพราะตนเองอยากมีความสุข  ดูคนที่ยกมือว่าตนเองมีเงิน  บางคนที่ไม่ยกมืออาจจะมีเงินมากกว่า แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองนั้นมีเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรืออาจจะกังวลมากเกินไปว่า หากยกมือแล้ววันหลังจะมีผลกระทบ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากแสดงตนว่ามีความสุข เพราะถ้าแสดงว่าตนเองมีความสุขแล้วจะอยู่ไม่รอด เดี๋ยวความสุขจะลดหายไป  ไปคิดให้ดีนะผู้อยู่ข้างหน้า อะไรคือผิด อะไรคือถูก จะได้ไม่ว่าผู้อื่นทำผิดและเราทำถูก เพราะไม่แน่ว่าผู้ที่อยู่ตรงนี้อาจจะทำถูก และเราทำผิดได้ทุกเมื่อ ใช่ไหม (ใช่)  คนที่อยู่รอบข้างที่บำเพ็ญมาก่อน บางทีชอบบอกว่าคนอื่นทำผิดและเราทำถูก  แต่จริงๆ แล้ว ถูกผิดคืออะไร  ชีวิตนี้ไม่มีอะไรมากำหนดได้ว่าอะไรถูกหรือผิด  ถ้าหากว่าต้นไม้ต้นใหญ่ดูสูงแล้วเรียกว่าถูก  ต้นหญ้าต้นเตี้ยเรียกว่าผิด  วันหนึ่งต้นหญ้านี้ยังยาวเท่าเดิมก็ยังผิดอยู่  แต่ต้นไม้ต้นใหญ่ถูกตัดถึงโคน เตี้ยกว่าต้นหญ้าอีก แล้วอะไรคือผิด อะไรคือถูก  คนสายตายาว มองเห็นไกลๆ ชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคนสายตาสั้น มองใกล้ๆ ก็ยังบอกว่าไม่ชัด  เพราะฉะนั้น อะไรไกล อะไรใกล้ อะไรถูก อะไรผิดนั้น บางทีก็ไม่สามารถระบุได้  หากว่าเราอยากอยู่อย่างสันติ ก็คล้อยตามกันไปในเรื่องที่เราคิดว่าพอจะอะลุ่มอล่วยได้  นี่เป็นวิธีการอยู่อย่างมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  สามีบอกว่าผิด ภรรยาบอกว่าถูก จะทะเลาะกันไหมคู่นี้ (ทะเลาะ)  ทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  สามีควรจะยอมภรรยา หรือภรรยายอมสามีดี  อาจารย์เห็นว่าอยู่กันจนแก่เฒ่าก็ยังไม่มีใครยอมใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมาจนโตอยู่ในบ้านก็ไม่มีความสุข เพราะพ่อแม่ก็มีแต่บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอแต่งงานมีสามี ภรรยา และลูก ก็ยังไม่มีความสุขอีก เพราะอะไร  เพราะชะตาเป็นอย่างนี้หรือเราไม่รู้จักยอม (เพราะตัวเรา)  สมมติถ้าฝ่ายภรรยาเห็นว่าถูก และฝ่ายสามีเห็นว่าผิด  ฝ่ายสามีที่ยอมมีอยู่กี่คน  และฝ่ายภรรยาที่ยอมมีอยู่กี่คน  ดูแล้วพอๆ กัน  คนที่ยังไม่ยอมยังมีอยู่เยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็ยังไกลอยู่ นี่ขนาดยังไม่รู้ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่  ถ้ารู้รายละเอียดว่าเป็นเรื่องอะไรคงจะไม่ยอมเลย  และเราจะเอาหัวของเราไปชนฝา และดันกำแพงไว้  ถ้าจับได้ว่าใครผิดคาหนังคาเขา  เช่นนี้มีความสุขไหม (ไม่มี)  อยากจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็ต้องรู้จักยอม ยอมอย่างเดียวไม่พอ และไม่ใช่ยอมไปอย่างนั้น  ต้องมีใจอภัยด้วย  เพราะใจอภัยจะทำให้มีความสุข  ใครเคยอภัยคนบ้าง  คนที่ยังคิดไม่ออกว่าเราเคยอภัยคนหรือไม่ อาจารย์ว่าเราคงต้องกลุ้มใจไปอีกนาน
ดีใจที่เห็นหน้าศิษย์ในวันนี้  การที่เรียกให้ศิษย์มาบำเพ็ญธรรม ก็เพราะว่าต่อให้ศิษย์ทุกๆ คนนี้เป็นคนดี โลกนี้ก็ไม่สงบลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งศิษย์เป็นคนที่ไม่ดี โลกนี้ก็ยิ่งร้อนมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปรียบไปแล้วตอนนี้ก็เปรียบอาจารย์สร้างน้ำไปดับไฟ  แต่อาจารย์ไม่รู้ว่าน้ำที่อาจารย์สร้างขึ้นมาแต่ละเม็ด ก็คือศิษย์แต่ละคนนั้นจะระเหยไปเมื่อไหร่  บางคนนั้นสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่มีความร้อน ที่มีอารมณ์กลั่นตัวกลายเป็นน้ำได้แล้ว  แต่วันดีคืนดีก็เอาอารมณ์เผาตัวเองกลายเป็นไอไปอีก  ทำให้อาจารย์ต้องไปตามกลับมาเพื่อเรียกให้ศิษย์เป็นน้ำอีกครั้งหนึ่ง  น้ำอันนี้เป็นเหมือนน้ำอมฤต  ศิษย์ทุกคนเป็นน้ำอมฤตหนึ่งหยดให้โลกนี้  หากว่าเรานั้นเป็นคนดี โลกนี้ก็มีสันติสุขมากขึ้น  ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้โลกสงบขึ้นมาได้  แต่เราก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างเราใจเย็นได้  เมื่อใจเย็นแล้วสักวันหนึ่งก็กลายเป็นน้ำอมฤต  ทุกวันนี้ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นรอบข้าง  ภัยพิบัติต่างๆ บางส่วนศิษย์เป็นคนช่วยกันสร้าง  บางส่วนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นสร้าง  หากเราอยากให้โลกนี้สงบมากขึ้น ก็คือเราต้องเป็นคนดีมากขึ้น  ฉะนั้นการเป็นคนดีจึงไม่ได้หมายความอยู่แต่ตัวเอง  แต่การเป็นคนดีหมายถึง การที่ช่วยให้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โตเกิดขึ้นด้วย  เราเป็นคนดีในบ้าน เท่านี้ประเสริฐหรือยัง (ยัง)  ก็คงจะประเสริฐในสายตาคนในบ้าน  แต่หากว่าเรามีความสามารถมากกว่านั้น  ก็ไปช่วยคนให้มากขึ้น  คนที่เราเข้าไปช่วย ก็เหมือนกับศิษย์ที่มองคนที่ไปชวนศิษย์ตั้งแต่ตอนต้นว่าเขาดูน่าเบื่อ น่ารำคาญจริงๆ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนบำเพ็ญดีกว่า หรือตัวเราดีกว่ากันแน่  เรามักคิดว่าตัวเราดีกว่าคนที่บำเพ็ญ  แต่อย่างหนึ่งที่เราแพ้เขาก็คือ ความกล้าเผชิญ ความเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้  ก็หมายความว่าทุกคนต่างเป็นคนดี  คนที่คิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว  บางทีศิษย์ต้องมองว่า ดีเพื่อตัวเองหรือดีเพื่อทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราดีเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว ญาติพี่น้องยังไม่พอ  ดีแบบช่วยคนที่ไม่ใช่ญาติเรา คนที่ไม่ใช่พี่น้องเรา ทำได้ไหม (ได้)  
แต่คนที่ช่วยผู้อื่นอยู่เสมอมักจะโดนคนอื่นว่าไม่ดี จะโดนว่ายุ่ง  โดนว่าอะไรอย่างนี้อยู่บ่อยๆ  ฉะนั้นคนที่ไม่ดีทั้งหลายต้องเร่งบำเพ็ญให้มากขึ้น  บำเพ็ญมากกว่านี้จะได้เป็นคนที่ดีมากกว่านี้ ดีไม่ดี (ดี)  ถ้าหากว่าวันไหนเราเป็นคนไม่ดี  คนรอบข้างเป็นคนดี  อาจารย์ว่าอย่างนี้ไม่น่าชื่นชม  ช่วยกันดีให้ทั้งห้อง ดีหรือไม่ (ดี)  ช่วยกันดีให้ทั้งโลก ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนเป็นลูกโซ่หนึ่งลูก  ลูกโซ่หนึ่งลูกเป็นอย่างไร  ก็เป็นลูกนี้เกี่ยวลูกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นลูกโซ่หนึ่งลูก  ให้ยกมือขึ้นมาเกี่ยวกับคนข้างๆ  คนข้างหน้าเกี่ยวต่อไปถึงคนข้างหลังไหวไหม  แค่บอกให้เราเกี่ยวไปเกี่ยวมา  มันก็มีขาดเป็นช่วงๆ แล้ว  แสดงว่าให้เราสามัคคีกันก็เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องมีคนที่คอยเดินดูว่ามีตรงไหนขาดไป  สิ่งนี้เปรียบเหมือนเป็นหน้าที่ของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม  เราต้องมีตากว้างๆ มองดีๆ มองให้เห็นลึกถึงปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้น  เราจะมองไกลๆ แล้วสรุปง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้ รู้ไหม  ศิษย์เป็นลูกโซ่ที่จะช่วยเวไนยในโลกนี้ให้กลับคืนขึ้นฝั่งได้  ถ้าวันไหนศิษย์เมื่อยหรือเหนื่อยแล้วปลดลูกโซ่จากตัวเองแค่เพียงหนึ่งห่วง  ก็หมายความว่า ปลดคนที่ต่อจากเราไปหมด  ถึงแม้ว่าคนที่ต่อจากเราเขาจะยังมีห่วงดีอยู่  แต่เราคนที่อยู่ตรงกลางปลดการเชื่อมของตนเองออกแล้ว ก็คือไม่สามารถจะนำให้ใครขึ้นฝั่งได้
บำเพ็ญธรรมมั่นคงแล้ว มีใจศรัทธา และมีปัญญา ทำงานธรรมะอย่างคนที่มีสติ เพราะว่าทุกวันนี้ฟ้าดินเร่งรีบ  ตอนนี้ภัยที่ศิษย์ไม่ได้สร้างกำลังมา ความเดือดร้อนคงไม่เท่านี้แน่ แต่ว่าไม่ต้องตกใจ เป็นทหารตายในหน้าที่ก็มีเกียรติ 
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากว่าเราตายไปเพราะว่าเราเป็นคนดีและเราทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว คุ้มหรือไม่ (คุ้ม)  หากว่าปลอดภัยตายอยู่ในบ้านคุ้มหรือเปล่า (ไม่คุ้ม)  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์คิดดีๆ  ทุกวันนี้ศิษย์เป็นทหารปกป้องอะไร ปกป้องความดีของโลกนี้ เพื่อให้ความดีของโลกนี้ไปหลั่งรดไฟแห่งภัยให้ดับลงให้ได้ อาจารย์ปรารถนาให้โลกนี้สงบสุขมากกว่า หากไม่ปรารถนาให้โลกสงบสุขก็คงไม่ลงมาโลกนี้  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาความสงบสุขในใจของตัวเอง อย่าเป็นคนที่ใจร้อน อย่าเป็นคนที่ร้อนรน อย่าเป็นคนที่เห็นหน้าตาสำคัญกว่า อย่าเป็นคนที่ถือทิฐิ บางเรื่องนั้นจบลงง่ายๆ  ด้วยคำว่า “อภัย”  แต่เรานั้นอภัยแค่ปากแต่ใจเราไม่อภัย ก็เป็นการยากที่จะทำให้สิ่งต่างๆ  ดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนบำเพ็ญก็คือ ทำให้ความดีผุดออกมาจากในใจของตัวเองให้ได้ แล้วให้มาหล่อเลี้ยงข้างนอก อย่าให้มีแต่เปลือกนอกแต่ในใจนั้นแห้งแล้ง ทำได้ไหม (ได้)  คนบำเพ็ญนั้นไม่ใช่ทุกๆ วันมุ่งมั่นแต่การช่วยคนอื่น บางทียังต้องย้อนมาช่วยตัวเองด้วย เหมือนที่อาจารย์พูดตั้งแต่ต้นบอกว่ามีความสุขไหม ความสุขหายากไหม ที่อาจารย์พูดในตอนต้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกๆ วันใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนบำเพ็ญก็จำเป็นที่จะต้องใส่ใจตัวเองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นคนจิตป่วย เพราะว่าเรากำลังจะบำเพ็ญจิต จึงต้องทำจิตใจให้แข็งแรง จิตใจไม่แข็งแรงช่วยคนอื่นได้ไหม ร่างกายไม่แข็งแรงช่วยคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีเงินทองช่วยคนอื่นได้ไหม (ได้)  ตอนนี้ก็ไม่มีใครมีเงินในกระเป๋ามากใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนก็ไม่ได้รวยเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรายิ่งไม่มีเงินก็ยิ่งดีใหญ่ ยิ่งจนก็ไม่ต้องไปเฝ้าเงิน  ชีวิตก็มีเวลามากขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  อาจารย์ว่าจนไม่เป็นไรแต่อย่ามีหนี้ มีหนี้เป็นเงินไม่เป็นไรแต่อย่ามีหนี้เป็นกรรม มีหนี้เป็นเงินก็ใช้ด้วยเงินยังสบาย มีหนี้เป็นกรรมใช้ด้วยอะไร ใช้ด้วยชีวิต  อย่างบางคนที่เห็นอยู่ตรงนี้ก็วิ่งไม่ทันกรรมแล้ว กรรมเหมือนคลื่น เวลาไม่มาก็มองเห็นอยู่ไกลๆ  เวลามาก็โดนตัวแล้ว ซัดเราจนยืนไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นก็ต้องบำเพ็ญ ต้องวิ่งให้เร็วๆ  บำเพ็ญธรรมต้องไม่ใช่เช้าชามเย็นชาม แต่บำเพ็ญธรรมคือการทำจิตใจตัวเองให้สะอาด หมั่นช่วยคนอื่นด้วยจิตใจที่ไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้เรียกว่า “กุศล”  และถ้าหากว่าเรามีสติยั้งคิดมากเท่าไร พอคลื่นมาอาจารย์ก็สอดเรือเข้าไปช่วย สบายไหม (สบาย)  แต่พอศิษย์ของอาจารย์ช้า อาจารย์ไม่รู้จะทำอย่างไร หมดชีวิตนี้ก็กลับมาอยู่กับอาจารย์แล้วกันอย่างนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ช้าดีหรือว่าช้าดี (เร็ว)  เร่งรีบอย่านอนใจ กลับฝั่งได้ด้วยกุศล อย่ามัวแต่สร้างกุศลตั้งเยอะแยะ แต่เป็นกุศลที่ตอนอยู่ในโลกนี้ขอไปหมดแล้ว สร้างไปเท่าไรก็ขอให้ได้อันนี้ อย่างนี้กุศลจะเหลือหรือไม่ (ไม่เหลือ)  ตอนอาจารย์ให้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วเป็นอย่างไร กลับ
ไม่ได้ต้องลงมาสร้างใหม่เพราะกุศลยังไม่พอ
คนเรามีชีวิตขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย คนตั้งมากมายอยู่ในโลกนี้ คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าทำดีทำอย่างไร คนที่เขาจะทำความชั่วเขาก็ไม่คิดจะทำความดี ก็คิดแค่ว่าเอาประโยชน์ไว้พอ คือตัวเองดีเท่านั้นพอ ไม่ได้คิดว่าทำไปใครเดือดร้อน ฉะนั้นเราเป็นคนโชคดีแค่ไหนที่เกิดมามีสติ เขาเรียกมาฟังธรรม แสดงว่าเราเป็นคนมีธรรมะ แล้วเราจะมาหน้าไหว้หลังหลอกทำไม เราก็ฟังธรรมะ แล้วถ้าศิษย์เห็นว่าดีก็ลงมือทำ ไม่เสียเวลาเกิดมาชาตินี้ บางคนเห็นว่าดีแต่ไว้ก่อน ถามว่าศิษย์ตายวันไหนรู้ไหม (ไม่รู้)  จำเป็นไหมที่คนอายุห้าสิบไปแล้วถึงมีสิทธิตายได้ ถามว่าตอนนี้เรามีสิทธิตายได้ไหม (ได้)  ชีวิตวันนี้ก็ดับได้ เหมือนที่เขาพูดเล่นๆ  ว่าไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็ตายได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอน เราจะอยู่ในโลกนี้ก็อยู่ให้มีคุณค่า ทุกวันผ่านไปก็มีคุณค่า
เวลาที่เราออกตัวไปชวนคนมารับธรรมะ  ในสังคมจะมีคนอยู่หลายระดับ  ระดับที่มีชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศ  ถ้ามีสิ่งเหล่านี้แต่ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์  เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “เปลือก”  เวลาที่เราจะคุยกับเขา จะเอาชนะเขาได้ไหม การที่จะคุยคือการที่จะต้องรู้จักยอม ยอมในสิ่งที่เรายอมได้ อย่าไปเถียง อาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนยอมคน แต่ไม่ได้สอนให้ศิษย์เป็นคนยอมแพ้  ฉะนั้นหากได้คุยกับคนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะ เมื่อพูดธรรมะให้ฟัง เขาย่อมต้องไม่ฟังอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  การยอมจึงเป็นวิธีหนึ่ง  บางคนถนัดแต่พูดเถียงไปเรื่อย ๆ แล้วชนะไหม (ไม่ชนะ)  แต่ถ้ามีคนตั้งท่าจะมาทะเลาะกับเราแล้วเราเงียบเสีย เราชนะไหม (ชนะ)  ไม่แน่เขาอาจจะแปลกใจว่าทำไมวันนี้เราเงียบผิดปกติ
คนที่ฟุ้งซ่านมากๆ เป็นคนที่ช่วยยาก คนที่จะช่วยเขาได้คือใคร คือตัวของเขาเองเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อเราตกอยู่ในภาวะของคนที่ฟุ้งซ่านเมื่อไรจงรีบช่วยตัวเอง ถ้าปล่อยให้อยู่ในอารมณ์ฟุ้งซ่านหนักๆ นานๆ ก็เหมือนตกนรก นรกอยู่ไหน (ในใจ)  สวรรค์อยู่ที่ไหน (ในอก)  อยากขึ้นสวรรค์หรือลงนรก (สวรรค์)  อยากขึ้นสวรรค์ก็ต้องขึ้นเอง อยากลงนรกก็ช่วยไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทบนกระดาน)
เวลาเราตกใจบางทีคนก็ไม่รู้ว่าตกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นนี่จึงเรียกว่าการควบคุมตนเอง แม้เรื่องของการตกใจหรือไม่ตกใจก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกกับเราได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนปราณบุรีมีคนใจร้อนหลายคน บางทีทำอะไรก็ด้วยความตกใจ ห้ามด้วยความตกใจ ยิ้มด้วยความตกใจ ร้องไห้ด้วยความตกใจ เพราะฉะนั้นความตกใจจึงเป็นอารมณ์ที่ไม่ได้มอบสิ่งที่ดีๆ ให้แก่เรา เป็นสิ่งที่เราก็ต้องตัดเหมือนกัน แม้เป็นสิ่งย่อยเล็กน้อยในการอยู่ร่วมกันของคน ซึ่งบางทีคนเขาไม่รู้ว่าในใจเราคิดอะไร เหมือนกับไม่รู้ว่าเราเกิดอารมณ์เช่นไรในตอนนี้ เคยไหมตกใจจนไปพูดให้คนอื่นงงเล่น เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากให้คนเก่าคิดดูให้ดีๆ
บางทีศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ใกล้เกลือกินด่างนะ มองแต่ความเสื่อมที่เกิดขึ้น แต่ไม่มองความรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ บางคนบวชพระเพราะเป็นธรรมเนียมประเพณี แต่อย่าลืมว่าในจำนวนนั้นก็มีคนที่บวชด้วยความศรัทธาและมุ่งหมายจริงๆ  อาจารย์ไม่รู้ว่าโลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรจึงกลับตาลปัตร อยากให้ศิษย์ยังคงความศรัทธาเชื่อมั่น คนที่สวมจีวรแล้วก็ยังเป็นบุคคลที่น่าเคารพ เพราะว่าคนที่เสื่อมมีอยู่ไม่กี่คน ยุคสมัยนี้มีทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และชอบให้ข่าวน่าสนใจ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่าฟังใช่หรือไม่ เรื่องดีๆ พูดกันอยู่พักหนึ่ง เรื่องไม่ดีพูดกันนาน แสดงว่าเรามีนิสัยไม่ดี อาจารย์จึงอยากให้ระวัง 
(พระอาจารย์เมตตากับอาจารย์บรรยายธรรมที่ดำเนินรายการหน้าชั้น)
เวลาที่เราพูดต้องระวัง บางครั้งเราพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้  เราก็ต้องดู
นักเรียนในชั้นด้วย ครั้งนี้พูดไม่เป็นการลบหลู่ก้าวก่าย แต่บางทีคนเป็นไปโดยไม่รู้ตัว  ศิษย์อยู่ในประเทศที่เป็นเมืองพุทธ  จึงต้องระวังไว้  อย่าทำสิ่งใดที่ไปกระทบ  ไม่เช่นนั้นภัยจะกลับเข้ามาหาศิษย์เอง  คนที่มีหน้าที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมทุกท่านจึงต้องระมัดระวัง  อาจารย์ขอห้ามไม่ให้พาคนที่เป็นพระภิกษุสงฆ์หรือแม่ชีมาฟังธรรม  เพราะว่าการบำเพ็ญในแต่ละสายไม่เหมือนกัน  ทุกๆ สายก็สามารถนำไปสู่การบรรลุหรือหลุดพ้นได้เช่นกัน  เขาสามารถที่จะบำเพ็ญในแง่ที่เขาทำอยู่แล้วไปให้ถึงที่สุด  แต่ถ้าทำไม่ได้จึงกลับมาทางนี้จะดีกว่า  ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะให้เขาไปถึงที่สุด  ก็เหมือนกับเรากักเขาไว้  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  การบำเพ็ญแต่ละที่แต่ละอย่างนั้นดีอยู่แล้ว  การบำเพ็ญขอให้บำเพ็ญจริงๆ ทุกๆ ทางก็พาไปสู่ความหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน เข้าใจตรงตามนี้ไหม (เข้าใจ)
เวลาที่น้ำหนึ่งถังรั่วรูใหญ่ๆ หรือเล็กๆ (เล็ก)  ถ้าปกติเราไม่ใส่ใจก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราปล่อยให้รั่วไปเรื่อยๆ  เป็นอย่างไร (ใหญ่)  กลับกันเอาน้ำไปอยู่ข้างนอกแล้วกะละมังเป็นเรือ เรือรั่วใหญ่หรือเล็ก แล้วเรือธรรมนี้รั่วหรือไม่ รั่วหรือไม่ก็ตอบกันเอง ที่เรือรั่วเพราะว่าเราปล่อยสถานธรรมร้างมากเกินไป ตอนนี้ก็ดีขึ้นนิดหน่อย หรือว่ารั่วที่ใจของเรา เรือที่อยู่ในหัวใจ คุณธรรมที่อยู่ในหัวใจของเราเป็นเรือที่ไม่แข็งแรงก็อาจจะรั่วได้  อาจารย์พูดไปพูดมาก็อยากให้สามัคคีกัน ถึงไม่มีคนใหม่อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าคนเก่าๆ  ที่อยู่ด้วยกันขอให้รักกัน
กลมเกลียวกัน สามัคคีกัน คุยกันได้ไหม  ศิษย์ของอาจารย์เก่งทุกคน บางทีความเก่งต้องโยนไปไว้ข้างหลัง แล้วเอาความอ่อนน้อมมาไว้ข้างหน้า เพราะว่าทุกคนเก่งหมด ถ้าไม่เก่งจะอยู่ในโลกนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  หลายคนที่นี่มีฐานะ การงาน การเงิน ถ้าไม่เก่งก็คงจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ฉะนั้นเวลาบำเพ็ญธรรมเอาความเก่งโยนไปไว้ข้างหลัง ปกติอยู่บ้านไม่ฟังใครมาสถานธรรมก็ต้องพยายามฟัง กลับไปบ้านก็จะได้ฟังคนอื่น เวลาที่คนอื่นพูด เราบังคับให้เขาพูดให้น่าฟังไม่ได้ แต่เราต้องบังคับใจตัวเองให้ฟัง ฟังไปมากๆ  ก็เจอในสิ่งที่มีประโยชน์ในความไร้สาระที่เขาพูดออกมา  เพราะทุกอย่างนั้นผสมอยู่ด้วยกัน สีขาวและสีดำแห่งโลกนี้ กิเลสและความรู้ตื่นนั้นมันอยู่ปนกัน อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกไปฝึกเป็นอะไร  จะเลือกฝึกเป็นคนที่งงในโลกนี้ จะฝึกเป็นคนที่รู้ตื่นก็ฝึกได้ แล้วแต่เราจะเลือกฝึกอะไรเข้าใจไหม
“ครรลองกว้างธรรมมีคนจึงเจริญ”  ครรลองก็คือทาง ทางภาษาจีนก็คือ เต้า หรือคนชอบเรียกกันว่า เต๋า แต่นี่ไม่ใช่เต๋า เป็นแค่คำแทน ทุกๆ วันนี้ธรรมะเจริญเฟื่องฟูขึ้นได้ก็เพราะว่ามีคน และคนที่อยู่ในกลุ่มนี้จะต้องรู้จักบำเพ็ญปฏิบัติธรรมะ จึงเจริญได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะเหมือนอันอื่นๆ  ที่เสื่อมไป ดังเช่นคนที่อยู่ในแวดล้อมอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้จักทำแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ให้ดีขึ้น ถึงมีคนมากก็เสื่อมไปทั้งหมด ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกัน อภัยกัน เข้าใจเห็นใจกัน ตั้งใจบำเพ็ญร่วมกัน มีอะไรพูดคุยกันสุดท้ายก็สามัคคีกัน คนใหม่ไม่มีไม่เป็นไร ขอให้คนเก่าที่มีอยู่รักใคร่กลมเกลียว บำเพ็ญตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเอาความอ่อนน้อมไปห่มไว้จะได้อุ่น เมื่อเราตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรมแล้วเราก็รู้ว่าภายในตัวเราทุกคนนั้นมีจิต  จิตของเราเหมือนจิตของธรรมชาติหรือเปล่า อาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์และสัตว์มีจิตญาณเหมือนกัน อย่างน้อยก็เจ็บเป็นเหมือนกัน อย่างน้อยก็เกิดมามีชีวิตเหมือนกัน ทั้งจิตของศิษย์และจิตของธรรมชาติ ไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้า สายลม แสงแดดล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาตักน้ำคนละหนึ่งแก้ว)
กะละมังใหญ่นี้เปรียบเสมือนภาวะจิตอันหนึ่ง ที่เป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ โดยในทางธรรม เรียกว่า “เหลาหมู่” (พระอนุตตรธรรมมารดา)  ส่วนแก้วและน้ำในมือของเรา เปรียบเสมือนจิตของเราที่แบ่งแยกจากเหลาหมู่ลงมาเกิด จะมีความแตกต่างกันตรงที่ว่า ในความเป็นจริง น้ำในธรรมชาติไม่มีวันที่จะเหือดแห้ง ไม่น้อยลง  แต่น้ำในแก้วนี้ ต้องอาศัยศิษย์มาเติมจึงจะไม่น้อยลง  แก้วในมือของเราเหมือนกับสังขาร  น้ำในแก้วเหมือนจิตที่ถูกแบ่งมา  หากว่าแก้วนี้ไม่มีน้ำ  มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ถ้าร่างกายนี้ไม่มีจิต ร่างกายนี้มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ถ้าน้ำไม่มีแก้วน้ำอยู่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าจิตไม่มีสังขาร จิตอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นร่างกายของเราตอนนี้เป็นร่างกายแค่จอมปลอม เป็นร่างกายแค่ชั่วคราว  แก้วน้ำเมื่อใช้บ่อยๆ ก็มีวันแตก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่างกายของคนเราใช้มา ๕๐-๖๐ ปีก็มีวันดับได้เหมือนกัน  แต่น้ำนี้ดื่มหมดไหม มองด้วยตาดูเหมือนว่าหมด  แต่จริงๆ น้ำนี้ไม่มีวันหมดไป  เพราะเมื่อมันระเหยไปผ่านกระบวนการก็จะกลับมาเป็นน้ำอีก  อาจารย์จึงเปรียบน้ำในแก้วเหมือนจิตของเรา  เป็นจิตที่แบ่งมาจากธรรมชาติ น้ำจึงเปรียบเหมือนกับจิต  หากใครตักน้ำมามากจนน้ำกระฉอกก็คือความโลภ  หากตักมาแต่พอดีก็คือความพอดีในจิตของเรา ฉะนั้นมองที่น้ำของตนเอง หากล้นขึ้นไปถึงปากแก้วมากเท่าไรก็คือความโลภที่มีอยู่มากเท่านั้น
ลองยกแก้วชูขึ้นต่อหน้าแล้วทำให้น้ำนิ่ง  น้ำไม่ยอมนิ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  จิตใจของเราก็เหมือนกัน  ถ้ายังอยู่ในร่างกายนี้ จิตดวงนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะนิ่ง  เพราะฉะนั้นบางคนบำเพ็ญธรรมแล้วบอกว่า ต้องบำเพ็ญให้นิ่งจนไม่เหลืออะไรเลย เป็นไปได้หรือเปล่า  อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้ต้องการทำลายขวัญและกำลังใจศิษย์ที่กำลังพยายามอยู่  แต่อาจารย์เห็นศิษย์บางคนนั้นคาดหวังสูงและตกลงมาแรง  ไม่ต้องให้น้ำในตัวเรา จิตในตัวเรานิ่งจนถึงที่สุดหรอก  แต่ขอให้น้ำนี้ยังเป็นน้ำอยู่ทุกเมื่อ อาจารย์ก็ดีใจแล้ว  ศิษย์ของอาจารย์เวลาเจอปัญหามากระทบ เหมือนเอาสีมาใส่น้ำ ทำให้น้ำเปลี่ยนสีไป  ครั้งที่สอง สีก็เปลี่ยนไปอีก  ยิ่งถ้ามีเศษฝุ่นเศษผงมาด้วย น้ำนี้ก็แทบจะรักษาสภาพไม่ได้  ในวันนี้การที่เรียกศิษย์มาฟังธรรมะ เปรียบเสมือนการกลั่นน้ำที่สกปรกในตัวเราให้กลับมาเป็นน้ำใสที่อยู่ตรงหน้า ให้เหมือนกับตอนที่ศิษย์เกิดมา เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ฉะนั้นคนบำเพ็ญต้องตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ และบำเพ็ญต่อไปโดยการคาดหวังและความหวังนั้น  เมื่อวาน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าความหวังเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความหวังนั้นมีได้ แต่อย่าหวังให้สูงเลิศลอยมากเกินไป หวังแต่เพียงพอดี  ชีวิตนี้มีความสุขหรือไม่อยู่ที่เรา ชีวิตนี้จะเปื้อนหรือเปล่าอยู่ที่เรา  เวลาเพียงแค่ช่วงชีวิตหนึ่ง น้ำถูกเทออกไปเรื่อยๆ แล้วสังขารนี้ก็จบไปไม่เหลือ  จิตของศิษย์กลับคืนสู่เบื้องบนในสภาพของคนที่มีการบำเพ็ญจิตที่ดี แต่หลายคนนั้นไม่ใช่  น้ำเปื้อนดำจนไม่สามารถนำกลับมาใช้อะไรได้อีก ไม่สามารถกลับคืนได้จึงเทลงดิน  น้ำสกปรกกินไหม (ไม่กิน)  เป็นน้ำไม่มีค่า  ฉะนั้น อาจารย์มาวันนี้เพื่อกลั่นน้ำที่เปื้อนอยู่ที่หน้าศิษย์นี้ให้ใส  ร้อน-ทนร้อน  เจ็บ-ทนเจ็บ  ป่วย-ทนป่วย  ปัญหาเกิด ไม่เป็นไร มันพ้นไป  ให้เวลากับชีวิต และการบำเพ็ญ ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่ฝนตกฟ้าร้อง ทุกครั้งที่ธรรมชาติมีอาการศิษย์จึงมีอาการ ทุกครั้งที่ศิษย์อยู่ในที่ๆ สงบศิษย์จึงมีความสงบ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เกิดขึ้น เพียงแต่เกิดมาแล้วศิษย์ทำให้ตนเองห่างไกลธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ และสร้างวัตถุขึ้นมาทดแทนธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ทันธรรมชาติแล้วอย่างไร รู้ว่าฝนจะตกแล้วอย่างไร ห้ามฝนตกได้ไหม  รู้ว่าพายุจะมาแล้วอย่างไร  ประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดก็ยังหลีกเลี่ยงไม่พ้น ฉะนั้นที่ๆ หลีกภัยที่ดีที่สุด ก็คือการสงบจิตใจของตนเอง การทำความดีทำให้มนุษย์มีค่า และเมื่อเกิดมามีค่าถึงชีวิตจะสั้นแต่ขอให้ชีวิตเกิดมาอย่างมีค่า บางคนเกิดมาอายุมากแต่ว่าทุกวันก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับใคร คนก็นิยมชมชอบแค่อายุมากเท่านั้น แต่ไม่นิยมชมชอบในความดีความงาม ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ชีวิตของคนเราเกิดมายาวสั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ขอให้ทุกๆ วันที่อยู่มีคุณค่า ขอให้คนรักเราด้วยความจริงใจ ไม่ใช่รักเราที่เงินทอง ไม่ใช่รักเราที่ความสวย แต่รักเราที่สัจจะและความซื่อสัตย์ ทำได้หรือไม่
คนมีเปลือกหรือเปล่า  (มี)  คนไม่ใช่ผลไม้จะมีเปลือกได้อย่างไร  คนไม่ใช่ต้นไม้ ไม่ใช่ผลไม้ แต่มีเปลือกถือว่าผิดธรรมชาติไหม (ผิด)  ทำไมถึงเรียกคนบางคนว่าเป็นคนมีเปลือก ลองตอบอาจารย์ว่าเปลือกของมนุษย์มีอะไรบ้าง (คนที่ไม่ยอมรับความจริง หน้าไหว้หลังหลอก)  บางทีอย่าคิดแต่จะว่าคนอื่นว่าเขาผิด บางทีคนที่ผิดที่สุดก็คือคนที่ว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเราเอาแต่ว่าคนอื่นจนเราไม่เห็นว่าความจริงคืออะไร คิดว่าตัวทำดี แต่ไม่เคยทำดี
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
แก่นของจิตใจมีแต่ความดี ความสะอาด เหมือนกับต้นไม้ที่เปลือกนอกอาจจะเป็นสีน้ำตาล แต่ข้างในเป็นสีขาว เปลือกข้างนอกของผลไม้ที่เราเคยกะเทาะกันมาส่วนใหญ่ข้างนอกก็จะเป็นสีขุ่นๆ แต่ข้างในเป็นสีขาว สิ่งที่ศิษย์ตอบไปนั้นก็เป็นเปลือกของมนุษย์จริงๆ  เวลาเรากะเทาะไปข้างในของเราก็คือจิตใจอันใสสะอาด อาจารย์อยากให้ศิษย์ใสสะอาดทำได้หรือเปล่า ไม่มีใครสามารถกะเทาะเปลือกให้เราได้ ไม่มีใครสามารถบอกให้ศิษย์ตัดลาภยศชื่อเสียง เงินทองของจอมปลอมอย่าไปหลงเลย  ต่อให้อาจารย์พูดอีกสิบปี อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ก็ทำไม่ได้ แต่คนที่ทำให้เราตัดได้มีแต่ตัวของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้คนอื่นจะทำได้ไหม (ทำได้)  หากว่าเราทำไม่ได้ก็เท่ากับว่าเราสละสิทธิ์การสำเร็จเป็นพุทธะ สำเร็จจากการเวียนว่ายตายเกิดไป แล้วให้คนอื่นสำเร็จแทน ยอมแพ้คนอื่นหรือเปล่า  เรื่องใดๆ อาจารย์ก็สอนให้ศิษย์ยอมแพ้ เพราะว่าการยอมแพ้บางทีก็เป็นการหยุดปัญหา แต่เรื่องการบำเพ็ญหลุดพ้น เวียนว่ายตายเกิดนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยอมแพ้ เพราะถ้ายอมแพ้ก็หมายความว่าเราจะต้องเกิดมาในชาติหน้า ซึ่งอาจจะจนกว่านี้ อาจจะพิการ หรือครอบครัวแตกแยก หรือเป็นใครก็ได้ที่ศิษย์เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาแย่มากๆ  แล้วศิษย์อยากจะเป็นคนคนนั้นไหม ชาติหน้าสามารถกำหนดได้ด้วยชาตินี้ แต่ถ้าให้ดีไม่มีชาติหน้าแล้ว ขออย่าให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นคนที่หาเช้ากินค่ำ เป็นคนที่ทุกข์ทรมาน เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ให้คนเขาไล่ล่าเอาไว้กิน ใครคิดว่ากลับไปแล้วจะบำเพ็ญตนให้เป็นคนดี เราจะพยายามสร้างโอกาสใหักับตัวเอง ขอให้ความตั้งใจตั้งมั่นในวันนี้ต่อเนื่องไปจนชีวิตหาไม่ เพราะว่ามนุษย์มีจิตใจที่ไม่มั่นคง หนึ่งนาทีคิดไปเป็นสิบเรื่อง เป็นอุปสรรคขัดขวางเพราะเราต้องการบำเพ็ญที่จิตใจ แต่ในขณะเดียวกันเราก็หาขยะมาสุมไว้ในใจ ทำให้เราไม่สามารถบำเพ็ญตัวของเราได้ อยากจะได้ดีก็ต้องผลักตัวเอง อยากจะมีเวลาก็ต้องรู้จักเจียดเวลาตัวเอง อยากจะรู้ในสิ่งใดก็ต้องเสียสละเวลาไปศึกษา  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้เงินทองซื้อ แต่ใช้จิตใจเรากำหนด
บางคนก็บำเพ็ญแค่ขอให้มีจิตใจสะอาด ขอให้มีความสุขผ่านไปวันๆ  บางคนก็มีจิตใจว่า บำเพ็ญตนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  บางคนก็บำเพ็ญตนเพื่อการบรรลุหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภายภาคหน้า  แล้วศิษย์เลือกเป็นคนประเภทไหน  คนทั้งสามระดับที่อาจารย์พูดมา  มีอยู่ครบในศิษย์ที่ยืนอยู่ในที่นี้  อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์หวังให้สูงไกลเกินเอื้อม  แต่อาจารย์หวังว่าบันไดทั้งสามขั้นนี้ศิษย์จะค่อยๆ ไต่และก้าวไปอย่างมั่นคง  ก้าวขึ้นไปขั้นหนึ่งยืนให้อยู่  ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็ยืนให้อยู่  จนไปถึงสุดท้ายคนที่ตั้งใจว่าจะบำเพ็ญตนให้หลุดพ้น  เมื่อสองก้าวยืนอยู่แล้วก็จะไม่เซถอยกลับมาเข้าที่ล้านั้นอีก  หากรู้ว่าชีวิตนี้ทุกข์ หากรู้ว่าไม่สามารถหนีทุกข์ได้  ก็สู้มันเข้าไป  เมื่อเราเผชิญอุปสรรคปัญหาด้วยความเด็ดเดี่ยว  เมื่อเราไม่หนีปัญหาและยอมรับความจริง  เมื่อเราสุขุมและรอบคอบ ปัญหาย่อมสามารถแก้ได้  ถ้าเราถอยหลังหนีไม่ยอมรับความจริง  ปัญหาย่อมใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ  เปรียบเสมือนก้อนเนื้อมะเร็งที่เรื้อรัง  ฉะนั้นชีวิตของเราก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ  จะมีปัญหาสักกี่ครั้งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา  จะมีกี่ปัญหาที่แก้ไม่ได้  เมื่อคิดแล้วคงน้อยไม่มากเท่าไร  แล้วลองถามตัวเองว่าเอาปัญหาเล็กๆ มาเป็นปัญหาใหญ่ไหม  หรือเอาปัญหาใหญ่ๆ ทำเป็นมองไม่เห็น รอให้ใหญ่เกินแก้แล้วค่อยไปมอง  ถ้าเราเป็นอย่างนี้คงไม่ใช่ปัญหาเป็นต้นเหตุ  แต่ตัวเรานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ปัญหาที่หนักที่สุดของมนุษย์คือ ความเจ็บปวด  ร่างกายเจ็บปวดไม่เท่าไร อย่าให้เจ็บปวดเพราะร่างกายนี้สิ้นไปแต่จิตใจยังอยู่  ถ้าชาตินี้จิตใจป่วย  ชาติหน้าหรือชาติไหนๆ ก็ป่วยอีก  ชาตินี้เราลองดูว่าสติของเราพร้อมหรือยัง  สติของเราร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง  สติของเราเต็มหรือยัง  โดยทั่วๆ ไปก็รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก  รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร  อาจารย์ก็ถือว่าสติของศิษย์เพียบพร้อมแล้ว  แต่ทั้งๆ ที่รู้ก็ปล่อยให้ตัวเองหลงอย่างไม่น่าเชื่อ  อาจารย์ชี้ทางให้ศิษย์นั้นได้รู้ก่อน  หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนบำเพ็ญให้ดีๆ
จริงๆ แล้วทุกถ้อยคำที่อาจารย์อยากพูดกับศิษย์ ปัญหาทุกๆ เรื่องอาจารย์รับรู้ได้ดีพอๆ กับศิษย์  ขอให้ศิษย์ทุกคนมีอาจารย์อยู่ในหัวใจ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีสติ มีปัญญา มีความรอบคอบ เป็นตัวของตัวเอง มีความสามัคคีเป็นที่สุด โดยเฉพาะที่นี่ ปัญหาจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ถ้าศิษย์รักอาจารย์ก็ขอให้มีใจและมีความมั่นคง อย่ามีใจแค่สามวัน ห้าวัน อย่าทำเป็นคนหาเวลาว่างยาก
รู้ไหมว่าการบำเพ็ญที่ดีทำอย่างไร รู้ไหมว่าตัวเองเจอเคราะห์อุปสรรคมามากหลายหนแล้ว อาจารย์ไม่สามารถต่อรองได้เป็นครั้งต่อไป  ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง หากว่าศิษย์มีใจจริงๆ  ตั้งใจจริงๆ อาจารย์จะช่วยศิษย์ แต่ถ้าหากไม่สามารถประคองใจของตัวเองให้คงเส้นคงวาได้ ก็ลำบาก  อดีตสร้างกรรมไม่สามารถแก้ ปัจจุบันเท่านั้นที่ควรจะแก้ สามารถเปลี่ยนหนักเป็นเบาก็ถือว่าเป็นเคราะห์ที่ดีแล้ว รักษาตัวให้ดีๆ ขอให้ศิษย์ปลอดภัย ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ  ให้หลบพ้นจาก
ภัยพิบัติต่างๆ  ขอให้เอาจิตที่ดีเข้าหากัน รอบคอบนะ  ขอให้มีความมั่นคงในธรรม ต่อให้วันหน้าเคราะห์จะหนักหน่อย หากว่าศิษย์ยังมั่นคงก็คงไม่มีใครสามารถทำให้ศิษย์ไม่เป็นพุทธะได้ วันหน้ามีโอกาสเจอกันใหม่นะ

รู้ไหมว่าการบำเพ็ญที่ดีทำอย่างไร รู้ไหมว่าตัวเองเจอเคราะห์อุปสรรคมามากหลายหนแล้ว อาจารย์ไม่สามารถต่อรองได้เป็นครั้งต่อไป  ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง หากว่าศิษย์มีใจจริงๆ  ตั้งใจจริงๆ อาจารย์จะช่วยศิษย์ แต่ถ้าหากไม่สามารถประคองใจของตัวเองให้คงเส้นคงวาได้ ก็ลำบาก  อดีตสร้างกรรมไม่สามารถแก้ ปัจจุบันเท่านั้นที่ควรจะแก้ สามารถเปลี่ยนหนักเป็นเบาก็ถือว่าเป็นเคราะห์ที่ดีแล้ว รักษาตัวให้ดีๆ ขอให้ศิษย์ปลอดภัย ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ  ให้หลบพ้นจาก
ภัยพิบัติต่างๆ  ขอให้เอาจิตที่ดีเข้าหากัน รอบคอบนะ  ขอให้มีความมั่นคงในธรรม ต่อให้วันหน้าเคราะห์จะหนักหน่อย หากว่าศิษย์ยังมั่นคงก็คงไม่มีใครสามารถทำให้ศิษย์ไม่เป็นพุทธะได้ วันหน้ามีโอกาสเจอกันใหม่นะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “กะเทาะเปลือก..ถึงแก่น”

บำเพ็ญแท้ทุเลาเบาความกลุ้มจิต บำเพ็ญผิดเน้นวัตถุสับสนหนัก
เมาชีวิตหลงโลกเหนื่อยไม่พัก พึงตระหนักแดดอุ่นลับลงดิน
ทำอะไรแจ้งใจให้ดีก่อน หญ้าที่ถอนรากหยั่งเหนื่อยไม่สิ้น
ชีวิตคนไม่งามซ้ำเปื้อนดิน น้ำตารินสิ้นหมดทุกข์ยังวน
คนมีเปลือกเร่งหมายกะเทาะไป คนมีใจจงยินยอมจะฝึกฝน
คนมีเปลือกชอบแต่เรื่องอวดโอ้ตน คนมีธรรมวางตนไม่แข็งเกิน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา