วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2544

2544-03-24 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์


PDF  2544-03-24-ฮุ่ยจื้อ #2.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

แม้เวลาผ่านไปใจไม่เปลี่ยน ดุจดั่งเทียนเผาไหม้ให้แสงสว่าง
มีจุดหมายจิตใจไม่เลือนลาง ปัญญากว้างนำทางตนหวนสุทธา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา

ร่วมจัดงานศักดิ์สิทธิ์ใจต้องศักดิ์สิทธิ์ อันความคิดที่โลดแล่นเร่งสงบ
จงยอมให้ฟ้าดินในใจได้บรรจบ และเร่งลบฝุ่นกิเลสในใจตน
เพื่อได้รู้ธรรมแท้ปฏิบัติแลก อาจดูแปลกแต่ไม่เกินความสามารถ
นิพพานนั้นใช่ดินแดนอันเอื้อมอาจ เพียงจิตใจไม่ประมาทล้วนคืนได้
เกิดเป็นคนอย่าได้บ่นว่าลำบาก บำเพ็ญมากเคราะห์กรรมสิ้นจนเบาได้
สร้างประโยชน์แก่ตนและโลกใหญ่ ดั่งพุทธะมาโปรดบนโลกา
หากพยายามอาจชนะหรือว่าพ่าย แต่หากทิ้งกลางคันไปพ่ายเดี๋ยวนั้น
แม้ปัญหารุมล้อมสารพัน จงขยันใช้ปัญญาเร่งปล่อยวาง
จงคืนดีกับการบำเพ็ญจิต อย่ายึดติดโชคลาภสรรเสริญ
เงินทองมากพาจิตใจให้เพลิดเพลิน จงพินิจดูตนเดินอยู่ทางใด
อย่าเอาสิ่งเล็กน้อยมาชวนโมโห อย่าคุยโวโอ้อวดในสิ่งทำไม่ได้
ขอให้พร้อมจากภายในคือจิตใจ เร่งก้าวไกลสู่แนวทางมีหลักธรรม
เมื่อจิตใจพร้อมแล้วย่อมราบรื่น ทุกวันคืนย้อนมองตนเร่งแก้ไข
มนุษย์ขาดการฝึกฝนบังคับใจ ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไม่เว้นวัน
สองวันนี้ฟังธรรมะฟื้นฟูจิต คนเคยผิดไม่ผิดซ้ำฟ้ายกย่อง
การบำเพ็ญต้องช่วยกันประคับประคอง ต้องคล้องจองทั้งจิตใจและปัญญา
อันนอกกายแม้สำคัญแต่ชั่วคราว เกณฑ์ยุคขาวเลือกเมธีคืนกลับฟ้า
ใครแน่จริงพ้นได้จึงตามมา จงเมตตาช่วยเวไนยให้ตามกัน
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมฟังธรรมะอย่างเคร่งครัด
แม้สองวันเป็นเวลาอันเร่งรัด ขอน้องหัดพิจารณาศึกษาเรื่อยไป
ประชุมธรรมใช่เรื่องง่ายของคนบุญ จิตว้าวุ่นจงวางก่อนจะได้ไหม
รักษาซึ่งพุทธระเบียบไม่ปล่อยใจ จงตั้งใจและหนักแน่นทั้งสองวัน
น้องฝ่ายชายเคร่งครัดอย่าฝืนกฎ ฝ่ายหญิงลดจิตฟุ้งซ่านเป็นแม่นมั่น
มีกายนี้มีโอกาสอันสำคัญ ขอให้หมั่นศึกษาจะเข้าใจเอง
สองวันนี้พี่รับบัญชามา ขอน้องอย่าทำเป็นเล่นรู้ไหมหนา
ธรรมะลงสู่โลกจำกัดเวลา ยิ่งเวลายิ่งวุ่นวายยิ่งคัดคน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่ยืนคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระนาจา

เจอหน้ากันยิ้มให้กันสักนิด การเป็นมิตรกันไว้ไม่เสียหลาย
พูดภาษาซื่อซื่อตรงจากใจ สื่อความหมายจริงใจในฤดี
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม

ขณะหนึ่งพูดทำนำคาบเกี่ยว ใจดวงเดียวสามารถเป็นนรกสวรรค์
สุขุมคิดพะวงน้อยคงสุขนาน การทำงานร่วมกันใจต้องศรัทธา
คุณธรรมชิดใกล้เมื่อเราไม่ห่าง โอกาสกว้างดั่งเวหาไม่กล้าคว้า
ตั้งมั่นในปณิธานกล้ากว่ากล้า ยอมชีวาสิ้นในธรรมไม่ลำพัง
ประสงค์ความก้าวหน้ามาฝึกตน ณ กมลบำเพ็ญกล้าหาเวลาว่าง
ชีวิตไม่ฝันแต่กลับไม่ต่าง อยากใจสบายความหมางต้องบรรเทา
พินิจความวุ่นวายโดยไม่วนวก อย่าตระหนกยิ่งใจหล่นยิ่งเศร้า
กายใจเมื่อประสานดั่งอยู่เหย้า พิสุทธิ์หวังเต็มเท้าก้าวขึ้นเรือ
กระจ่างงานสืบทอดธรรมตามเวลา งานเบื้องฟ้าอดทนใจไม่เรื่อ 
อุปสรรคอยู่บนทางลองหยั่งเผื่อ รู้กำลังจุนเจือเดินทางไกล
ประทีปธรรมให้ทางส่องสู่ชีวี ฤทัยดีกลายร้ายคนหนีหาย
ฤทัยร้ายกลายดีจนวันตาย ปราบทุกข์อยู่ใจกำลังเปี่ยมวุฒิ
เอื้อเมื่อคนหลงจงช่วยบุคคล ชีวิตคนประมาทจะเบื่อใช้สติ
ด้วยเคยชินไม่รู้คิดสิริ กลายอคติเอนเอียงไกลธรรมไป
ฮิ   ฮิ  หยุด

 เรื่อ : อ่อนๆ
  สิริ : ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล


พระโอวาทพระนาจา

พายสนุกไหม (สนุก)  ทำไมยิ่งนั่งคนยิ่งหาย หายไปไหนเอ่ยตั้งเยอะ  ไหนเมื่อกี้ใครไม่ได้พายเรือยกมือขึ้น ข้างหลังไม่ได้พายเราเห็นนะ ข้างหน้าก็สนุกกันใหญ่เลย ใช่ไหม  ใส่ชุดก่อนนะ ไม่รู้ต้องใส่ทำไม เป็นมนุษย์จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าไหม (ไม่ใส่) เดี๋ยวไม่ใส่ก็ว่าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แน่เลย ใช่หรือเปล่า  ฟังรู้เรื่องไหม  (รู้เรื่อง)  ไหนบ้านใครไม่มีทีวียกมือขึ้น ดูหนังปกติดูทุกวันไม่พออีกหรือ  ทีวีก็มีอยู่แล้ว หน้าตาเราก็เหมือนจอทีวี  คนที่อยู่รอบข้างก็เหมือนตัวละคร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วใครเป็นตัวเอกล่ะ ให้เราเป็นนางเอกหรือ แล้วคนที่เราไม่ชอบเป็นอะไร (เป็นผู้ร้าย, เป็นตัวโกง)  ไม่ใช่ คนที่เราไม่ชอบเป็นตัวที่ทำให้เรายิ่งเป็นนางเอก ใช่ไหม อย่าไปว่าเขาเป็นตัวโกงสิ จริงหรือเปล่า กลับยิ่งทำให้เราเป็นนางเอกที่ดีมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่าไปเกลียดเขาเลย ต้องดีใจต่างหาก พอเขาร้ายก็ปล่อยให้เขาร้ายไปอย่างนั้นเลย ใช่ไหม  เพื่อให้เรานั้นดีคนเดียวในโลก ดีหรือเปล่า  (ไม่ดี)  ชีวิตไม่ใช่ละคร จริงไหม (จริง)  เราดูสนุกได้แค่ชั่วครู่เดียวเอง   สักพักเราก็ต้องมาเจอความจริง อย่าคิดว่าชีวิตคือละคร อย่าได้ติดหนังจนเกินไป ติดแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร กลายเป็นคนขี้เกียจ เงินก็ไม่มีแล้วพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งเราเป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะปานกลาง หรือใกล้ๆ จะไม่มีด้วย เราจะต้องมีความขยัน ใช่ไหม (ใช่)  
“เจอหน้ากัน”  เวลาเจอหน้ากันทำอะไรดี (ยิ้ม)  ยิ้มใช่หรือไม่ ยิ้มให้กันสักนิด จริงหรือเปล่า (จริง)  ไม่ใช่เจอหน้าก็ ใครหนอมาเดินอยู่นั่นแหละ แต่งตัวก็ประหลาด ใช่หรือเปล่า  เจอหน้ากันต้องยิ้ม ยิ้มเหมือนประตูหรือใบเบิกทางที่ทำให้เราสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างกล้าขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านเดินเข้ามาในห้องพระนี้ เดินมาทำหน้าวอกแวก ใครจะให้ท่านเข้า  คุณมาจากไหนไปเถอะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอเข้ามาเราก็ต้องยิ้มสักนิด รู้จักไม่รู้จักยิ้มไว้ก่อน เพราะตอนนี้เราจะเข้ามาใช่หรือไม่ (ใช่)  รอยยิ้มช่วยทำให้คนตรงข้ามกล้าที่จะเป็นมิตรกับเรา ทำให้เราผูกมิตรกับเขาแม้จะรู้จักหรือไม่รู้จัก ใช่ไหม (ใช่)  
“การเป็นมิตรกันไว้ไม่เสียหลาย”  วันนี้เรามาฟังธรรมะ ใช่หรือไม่ แต่บางคนพอได้ยินว่าจะมาฟังธรรมะก็เบื่อ ใช่ไหม เบื่อแล้วก็บอกว่าอีกแล้วเหรอ ธรรมะก็คือการทำดีนั่นแหละ แล้วก็ไม่เอา แล้วทำไมเราถึงอยากมาล่ะ (อยากรู้เลยอยากมา) ไม่ใช่บอกว่าฟังไปแล้วก็เหมือนเดิม พูดไปก็เหมือนเดิม  เราชอบพูดอย่างนี้กัน ใช่ไหม บางครั้งก็บอกว่ามากี่ทีๆ ก็ให้ทำดี เราก็เลยรู้สึกเบื่อ ใช่หรือเปล่า เราพูดเทียบง่ายๆ ถ้าเกิดการฟังธรรมะเหมือนเด็กเวลากินข้าว เด็กทำไมไม่กินข้าว เพราะเวลาเขาจะกินข้าวเขากินแล้วเขาก็อม อมไว้นานเลยใช่ไหม (ใช่)  อมจนข้าวบูด แล้วก็เปรี้ยว พอจะกลืนก็เลยไม่อยากกลืน ท่านฟังธรรมะเหมือนกัน ฟังแล้วอม อมไว้นานจนมันเปรี้ยว แล้วอยากกลืนไหม (ไม่อยาก)  คราวหน้าฟังธรรมะดี ดีแล้วเอาไปใช้หน่อย ก็เหมือนอมแล้วเคี้ยวด้วย เคี้ยวแล้วได้รสไหม (ได้)  พอได้รสแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร กลืนไปแล้วรู้สึกอะไร (อร่อย )  การฟังธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกันถ้ารู้แล้วไว้อม อึมดี  อมจนเรอ เรอในที่นี้ก็คือ ไม่อยากฟังแล้ว เอาแต่เก็บไว้แต่ไม่ได้ลองมาใช้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดฟังแล้วนำไปใช้ทันทีก็รู้สึกซึ้ง รู้สึกถึงคุณค่าของธรรม คุณค่าของรสข้าวใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วข้าวหรือคุณประโยชน์ของมันนั้นก็ทำให้เราเห็นผลทันที จริงไหม (จริง)  เหมือนวันนี้เราฟัง ยิ้มไว้เป็นสิ่งที่ดี เจอหน้าใครก็ยิ้ม พอพูดต่อการยิ้มนี้เป็นสิ่งที่ดี ใช่ เราตอบทันที เราจะมีความรู้สึกร่วม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงดี ก็เพราะได้ลองเอาไปใช้แล้ว ยิ้มแล้วเขาเป็นอย่างไร เขายิ้มกลับมา จริงไหม ยิ้มแล้วเป็นอย่างไร จากที่ไม่เคยมองหน้าเรา หันมามองหน้าเราแล้วยิ้มกลับตาหวาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเรามีความรู้สึกร่วม แล้วเราก็ได้รู้สึกสนุกสนานในการที่เราเข้าใจคำว่า “ยิ้ม” จริงไหม (จริง)  ฟังธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน  ฉะนั้นฟังแล้วอย่าอมไว้ จงเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะรู้ว่าธรรมะนั้นมีค่ามีประโยชน์  แล้วทำให้เราอิ่มท้องหรืออิ่มใจ อิ่มใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่หรือแม้แต่ตัวท่านเองฟังแล้วอิ่มหรือว่าอืด ไม่รู้สิ คราวนี้ลองฟังดูนะ ฟังแล้วจงนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าอมไว้ อย่าเก็บไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“พูดภาษาซื่อซื่อตรงจิตใจ สื่อความหมายจริงใจในฤดี” 
 สิ่งหนึ่งที่เป็นคำพูดอยู่เสมอๆ สำหรับที่มาจากแดนไกล แล้วมาเจอคนที่อยู่นอกๆ เมือง นั่นก็คือว่าคนนอกเมืองนั้นพูดกันซื่อๆ ว่ากันตรงๆ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือสิ่งดีและเป็นสิ่งที่เป็นคุณธรรมประจำของคนที่อยู่ต่างแดนไกล บ้านไกลๆ เมือง ไม่เหมือนคนที่อยู่ในเมืองหลวงที่เป็นอย่างไร  ไม่ค่อยยิ้ม พูดกันแบบอ้อมๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดกันอย่างไร พูดกันหวานๆ แต่ฟังแล้วไม่หวาน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เหมือนเราพูดกันซื่อๆ ห้วนๆ ฟังแล้วเป็นอย่างไร   เออเข้าใจ
มันไปเที่ยว  ใช่ไหม แต่คนเมืองกรุงไปไหนล่ะ อ๋อ ไปทำธุระ ฟังแล้วดูดีนะ แต่เข้าใจไหม  ไม่รู้ ธุระอาจจะแอบไปเที่ยวก็ได้ ใช่ไหม   ธุระอาจจะไปตีกอล์ฟก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าว่าแต่คนข้างในคนข้างนอก แต่คนส่วนใหญ่ในเมืองจะเป็นแบบนี้ คนต่างจังหวัดจะเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะเรียนรู้จากในเมือง หรืออยากจะเรียนจากคนต่างจังหวัด  ก็อยู่ที่ตัวเราว่าจะเห็นสิ่งใดดีกว่าสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเราจะรู้จักความเป็นตัวตนของเราไว้ไหม หรือพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามคนอื่นเขา ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าเป็นคนต่างจังหวัดไม่กล้าพูด พอใครว่าเราเป็นคนต่างจังหวัดก็โกรธ  พอยิ่งบอกว่าบ้านนอกยิ่งโกรธไหม น่าจะดีใจนะ เพราะบ้านเราเป็นนอกเมือง เราอย่าไปถือสาคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็อย่าได้คิดเล็กคิดน้อย การถือสาคำพูดและคิดเล็กคิดน้อยคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ถือและคนที่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราเป็นพี่ ท่านเป็นน้อง อายุทางธรรมต่างกัน ศิษย์พี่รับธรรมะก่อนได้รู้ธรรมะก่อนแล้วก็ตื่นก่อน แต่ศิษย์น้องได้รับธรรมหลัง รู้ธรรมหลัง แต่ก็ยังต้องตื่นหลังอยู่ดี ใช่หรือไม่ หรือยังไม่ตื่น (ตื่นแล้ว)  ตื่นจากอะไร (ตื่นจากธรรมะ, ตื่นจากง่วงนอน)
วันนี้ร้อนไหม (ร้อน)  อากาศอาจจะร้อน แต่ถ้าใจเราเย็น เราก็จะไม่รู้สึกกระวนกระวายในความร้อนมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดอากาศร้อน ใจเรายิ่งร้อนด้วย เราจะร้อนกว่าคนอื่นเป็นหมื่นเท่า ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเรารู้สึกว่าวันนี้เราสบายใจ ใจเย็น แม้อากาศจะร้อนมากกว่าเมื่อวาน แต่เราก็รู้สึกเย็นจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นบางครั้งธรรมชาติแม้จะเป็นไปอย่างไรก็ตาม แต่ใจเรามีจุดยืน ธรรมชาติก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงใจเรา  หรือมาทำร้ายใจเราได้ จริงไหม (จริง)
ศิษย์น้องหลายคนมักจะพูดว่า การอยู่บนโลกนี้เป็นคนดีมีธรรมะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราคิดในเรื่องเมื่อสักครู่ เอาเรื่องเมื่อสักครู่เป็นตัวอย่าง ถ้าใจเราเย็นแม้โลกจะร้อนเราก็จะเป็นอย่างไร  เราก็จะไม่รู้สึกร้อนมาก ใช่ไหม (ใช่)  อาจจะร้อนบ้างไม่ร้อนบ้าง แต่ถ้าเกิดใจเราร้อน รู้สึกไม่ดี อารมณ์วุ่นวายเต็มไปหมดเลย โมโห โกรธเกรี้ยว แล้วข้างนอกก็ร้อนด้วย เราจะเป็นอย่างไร ยิ่งร้อนใหญ่ ยิ่งโวยวายใหญ่  ฉะนั้นไม่ว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไร มีผลหรือไม่มีผล ขึ้นอยู่กับใจเรา ใจเรามีจุดยืนไหม ถ้าใจเรามีจุดยืน สภาวะแวดล้อมจะทำอะไรเราไม่ได้เลย  แต่ถ้าเราไม่มีจุดยืน เราเป็นคนหวั่นไหว เอนเอียง เชื่อคนง่าย เราก็จะไปตามลมปากของคน และแรงของสภาวะแวดล้อม  แล้วตอนนี้เรามีจุดยืนของใจกันบ้างหรือยัง (มีแล้ว)  มีแล้วคืออะไร (คือธรรมะ)  ธรรมะอะไรล่ะ (ธรรมะคือสัจธรรม)  สัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดเมื่อใดเราเจ็บป่วยเราก็จะต้องเป็นอย่างไร (ก็ต้องมีความทุกข์)  ถ้ามีทุกข์แล้วทำอย่างไร (ก็ต้องมีความเจ็บใจ แล้วก็ต้องหาทาง)  หาทางแก้ใช่หรือไม่ (หาความระบายในทุกข์)  หาทางระบายทางไหน (ทางสัจธรรม, ทางที่พ้นทุกข์)  ระบายไปทางคนข้างๆ หรือเปล่า (ไม่ได้)  ระบายไปกับลูกได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วศิษย์น้องคนอื่นล่ะ ทำอย่างไรเราถึงจะไม่เอนเอียงไปกับสิ่งภายนอกได้ง่ายๆ เราจะต้องมีจุดยืนใช่ไหม (ใช่)  จุดยืนของเราเป็นอะไรกันบ้างล่ะ  หรือใครยังไม่มีจุดยืนยกมือขึ้น
อยากดูละครไหม ต้องตอบปัญหาให้ได้ก่อน แล้วศิษย์พี่จะให้ดูละครหนึ่งเรื่อง ดีหรือเปล่า
(จุดยืนของชีวิตก็คือตั้งมั่น ปฏิบัติใจให้ดี ซื่อสัตย์ ซื่อตรง)  มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติดี ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องท่านอื่นล่ะ (เป็นคนที่ซื่อสัตย์)  ฟังแล้วคิด จะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดน่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ (มีธรรมะในใจเป็นแนวทาง) ธรรมะนั้นเป็นเรื่องอะไรบ้าง (ปฏิบัติความดี)  คือถือความดีเป็นแนวทาง เป็นจุดยืนในชีวิต  (พูดจริงทำจริง)  แปลว่าในชีวิตนี้จะไม่โกหก ใช่ไหม ว่าจะบำเพ็ญก็จะ (บำเพ็ญ)  (จุดยืนคือความตั้งมั่นในสัจธรรม)  มีสัจธรรมเป็นจุดยืน จริงไหม จุดยืนเป็นความตั้งมั่นในสัจธรรม กับสัจธรรมเป็นจุดยืน อันไหนฟังง่ายกว่ากันศิษย์น้อง (สัจธรรมเป็นจุดยืน)  อย่ากลับหัวกลับหาง  ศิษย์น้องท่านอื่น (สัตย์ซื่อถือธรรมะ)  อะไรอีกท่าน (ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพ่อแม่)  ตาท่านแล้วว่าอย่างไร (เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆ ต่อไป)  เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆ ต่อไป  (จุดยืนคือเราต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง และมีธรรมะประจำใจด้วย)  ธรรมะประจำใจคือ (คือสัจธรรม ความซื่อสัตย์)  ท่านว่าอย่างไรศิษย์น้อง  (ทำจิตใจให้สงบ)  
เมื่อสักครู่ฟังหัวข้อสัจธรรมชีวิตไป สัจธรรมสอนให้รู้ว่า มี เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตายใช่ไหม การรู้สัจธรรมชีวิตก็คือการรู้แล้วรู้จักปล่อยวางใช่หรือไม่ (จุดยืนคือมีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ มีความเสียสละ เป็นคนดีไม่ทำให้บิดามารดาผิดหวัง) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงละคร โดยเนื้อหาในละคร มีครอบครัว 2 ครอบครัว ทั้ง 2 ครอบครัว แต่ละครอบครัวมียาย 1 คน หลาน 1 คน ครอบครัวแรก ยายเมื่อยเลยเรียกหลานให้มาช่วยนวด เมื่อนวดเสร็จหลานก็ขอเงินยายไปซื้อขนม ครอบครัวที่สองก็เช่นกัน แต่เมื่อนวดเสร็จยายถามหลานว่าต้องการอะไรบ้าง แต่หลานไม่ต้องการอะไร กลับบอกว่าถ้ายายต้องการให้นวดอีกเมื่อไหร่ให้เรียกได้เลย) 
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถามว่า จากนิทาน ๒ เรื่องนี้นักเรียนได้อะไรบ้าง  (ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน) หลานสองคนทำความดีเหมือนกันใช่ไหม มีใครตอบได้บ้างว่าต่างกันอย่างไร (แก่แล้วย่อมปวดเมื่อย)  คนที่ตอบว่ามีจุดยืนเป็นสัจธรรมว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง อายุมากแล้ว คนอ่อนกว่าต้องช่วยคนแก่ และคนที่มีอายุมากแล้ว ย่อมเจ็บป่วยเป็นธรรมดา 
คนในปัจจุบันมักพูดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ แม้จะมีจุดยืนว่าอยากเป็นคนดี และอยากทำดี แต่เวลาทำดีแล้วไม่ได้ดี ศิษย์น้องก็ไม่ค่อยอยากจะทำต่อ  เปรียบเทียบได้กับเรื่องเมื่อสักครู่ ว่าเราทำดีเพราะว่าเราอยากได้เงินไปกินขนม หรือว่าเราทำเพราะเห็นยายเมื่อยจึงนวด และไม่เอาเงินไปกินขนม จะเห็นว่าหลาน 2 คนนี้ทำดี คนหนึ่งทำเพราะว่าอยากได้เงินไปกินขนมเลยทำ แต่อีกคนนวดไม่ใช่เพราะอยากได้เงิน แต่นวดเพราะเห็นยายเมื่อย แปลว่าการทำดีของคนสองคนนี้ต่างกันไหม (ต่างกัน) คนหนึ่งเหมือนแอปเปิ้ลอีกคนหนึ่งเหมือนกล้วย ทำให้คนหนึ่งดูเหมือนสูงกว่า คือผลที่ได้นั้นออกมาต่างกัน คนหนึ่งจึงดูสูงกว่าอีกคน คนที่ทำเพราะไม่ได้หวังผลจึงดูเหมือนจะสูงกว่า เหมือนกล้วย แม้จะเพรียวบางไปสักหน่อย แต่อีกคนแม้จะเอาอกเอาใจ แต่หวังผล ก็เลยเตี้ยลงมาหน่อยหนึ่ง ทำให้ผลออกมาต่างกัน การทำดีของศิษย์น้องก็เหมือนกัน คนที่มาหาพระเพราะกำลังทุกข์นั้นเหมือนแอปเปิ้ล หรือเหมือนกล้วย (เหมือนแอปเปิ้ล) แต่คนที่มาไหว้พระเพราะอยากไหว้ เห็นดอกไม้สวยซื้อไปไหว้พระ วันนี้อยากไปไหว้พระคิดถึงพระ เลยไปไหว้พระ ใครน่าจะได้บุญมากกว่ากัน แอปเปิ้ลหรือกล้วย (กล้วย) นี่ล่ะคือความแตกต่างระหว่างการทำดีแบบตั้งใจกับการทำดีแบบหวังผลตอบแทน ผลของการทำดีจึงออกมาแตกต่างกัน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้คนออกมาแสดงเป็นกิ่งไม้ที่หนีบแอปเปิ้ลกับกล้วยไว้)  การทำความดีนั้นต้องมีจุดยืน ถ้าเราไม่มีจุดยืนแล้วบางครั้งเมื่อมีกระแสลมพัดผ่านมาอาจทำให้แอปเปิ้ลกับกล้วยหล่นลงไปได้ ฉะนั้น การทำความดีนอกจากจะมีจุดยืนแล้ว เราจะต้องรู้จักควบคุมตนเองด้วย ถ้าเกิดวันนี้กล้วยไม่อยากอยู่บนกิ่งกล้วย แล้วแกว่งตกลงมา ก็ทำให้ชีวิตของกล้วยบนพื้นกับชีวิตของแอปเปิ้ลบนกิ่งใครจะอยู่รอดปลอดภัยกว่ากัน (แอปเปิ้ล) เพราะกล้วยนั้นบางทีศิษย์พี่เดินมาก็อาจเหยียบกล้วยได้ แต่แอปเปิ้ลนั้น ศิษย์พี่หยิบไม่ได้ ถ้าเกิดว่าสูงมากก็ต้องกระโดด แต่กล้วยเหยียบได้ง่าย เพราะกล้วยไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ในขณะที่แอปเปิ้ลมีสิ่งยึดเหนี่ยว นอกจากเรามีจุดยืนแล้วบางครั้งเราต้องเป็นอย่างไร รู้จักควบคุมตนรู้จักบังคับใจตนให้อยู่ในที่ที่ควรเป็น ใช่หรือไม่ หลายต่อหลายคนนั้นมักจะเป็นอย่างไร ไม่ชอบกฎเกณฑ์ของสังคมไม่ชอบผู้ปกครองมาควบคุม ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  .แต่ศิษย์น้องลองคิดดูระหว่างมีคนควบคุมมีคนคอยดูแลกับไร้คนควบคุมไร้คนดูแลอะไรอันตรายกว่ากัน (ไร้คนควบคุม) แอปเปิ้ลหรือกล้วยใครอันตรายคิดให้ดี (กล้วย)  แอปเปิ้ลจะอยู่ได้รอดปลอยภัยกว่าใช่หรือไม่   ศิษย์พี่ยกตัวอย่างง่ายๆ  เพราะหากว่าพูดลึกไป  ศิษย์น้องก็ฟังไม่เข้าใจและก็เอาไปปฏิบัติไม่ได้  ฉะนั้นบางครั้งมีกฎเกณฑ์ควบคุมรู้จักควบคุมใจจึงไม่ใช่การกดรัด  เราอย่าเป็นเหมือนแมวที่ยิ่งกดยิ่งอยากชูหัว   ยิ่งดึงหางยิ่งอยากไปข้างหน้า ใช่หรือไม่    บางครั้งพอเราถูกกฎควบคุมมาก  เราก็อยากแหวกออกจากกฎ  เราอยากทำอะไรที่นอกเหนือจากความตั้งใจเรา  และเป็นสิ่งที่ดีไหมศิษย์น้อง  (ไม่ดี) ฉะนั้นนี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกวุ่นวาย  เพราะมีกฎก็ไม่ใช้กฎ  เพราะคนเรามักจะลื่นไหลไปตามกิเลสตัณหาและความอยากได้ง่าย  แม้จะมีกฎเกณฑ์ควบคุมบางครั้งเราก็ยังปล่อยตัว  ปล่อยใจตามสภาวะอารมณ์ได้ ใช่หรือไม่  แม้วันนี้เราจะตั้งใจว่าเราจะทำดี  แม้มีจุดยืนของเราในการเป็นคนดี  พออารมณ์เราโมโหเราก็ควบคุมตัวเองไม่ได้  และก็ปล่อยไปตามอารมณ์  สุดท้ายคนที่เจ็บคือใคร (ตัวเราเอง) และคนข้าง ๆ เดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  ทำให้เราเห็นว่า  มีกฎหมายหรือผู้คุมก็เปล่าประโยชน์ เพราะอะไร  เพราะคนเรายังกล้าที่จะฝ่าฝืนกฎและกล้าที่จะไม่เชื่อฟังผู้คุม  และเพราะอะไร (ความเห็นแก่ตัว,ขาดสติสัมปชัญญะ,ความโลภ)  บางครั้งความถนัดของคนมีกันคนละเรื่อง  แต่ว่างานๆ หนึ่งจะสำเร็จได้ใช่จากคนๆ เดียวไหม (ไม่ใช่)  ก็ต้องหลายๆ คน เพราะหลายคนมารวมกันก็เกิดปัญหาขึ้น   ปัญหาที่เกิดก็เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานและพื้นเพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน   บางคนเป็นอย่างไร นี่ก็ทำให้เราเป็นคนฝ่าฝืนกฎหรือไม่อยู่ในการควบคุม  เพราะว่าบางคนรักสบายแม้ว่าจะทำงานร่วมกันอะไรหนักๆ โยนให้คนอื่นทำจริงหรือไม่ (จริง)  บางคนรักตัวเองอะไรที่เป็นความชอบฉันรับ อะไรที่เป็นความผิดก็คือคนอื่น 
บางครั้งเราอยากเป็นอะไร (อยากอิสระ)  เพราะว่าคนทุกคนมักอยากเป็นอิสระ พอถูกยึดมั่น พอถูกควบคุมก็อยากจะฝ่าอยากจะเป็นอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  .พอเป็นอิสระบางครั้งก็อดเสียดายการควบคุมจริงไหม (จริง)  แต่พุทธะเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอิสระอย่างแท้จริงคือผู้ที่สามารถเข้าใจในกฎแล้วใช้กฎอยู่อย่างมีชีวิตอิสระ นี่คือการเข้าใจอิสระอย่างแท้จริง ไม่ใช่อยากมีอิสระเลยฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ไม่ใช่ผู้รักการมีชีวิตอิสระจริงไหม (จริง)  เพราะอะไรก็เพราะต้องลงเอยเหมือนอย่างที่ศิษย์พี่บอก ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎมักจะไม่ค่อยได้ดี ไม่เหมือนผู้ที่ใช้กฎแล้วน้อมนำเอากฎมาใช้ แล้วมีชีวิตอย่างอิสระคนนั้นมักจะไปได้ดีและอยู่ในโลกได้อย่างเป็นสุขไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้จึงต้องค่อยๆ คิดค่อยๆ พิจารณา อยากอิสระแต่อิสระบนความทุกข์ของคนอื่นไม่ใช่ความอิสระที่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)   เหมือนวันนี้อยากนั่งอย่างอิสระเมื่อยขาก็เอาขามาพาดแล้วเดือดร้อนคนอื่นไหม (เดือดร้อน)  อย่างนี้ทำถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในความอิสระที่ศิษย์น้องอยากได้จึงต้องรู้จักใช้ให้ดี
มนุษย์ทุกคนมักมีเรื่องเศร้าเรื่องสุขอยู่ในชีวิตประจำวันทุกๆ วันถ้าศิษย์พี่เทียบง่ายๆ ความสุขความทุกข์ในโลกนี้เหมือนกินข้าว เวลาได้กินข้าวแล้วเป็นอย่างไร (สุข)  แล้วเวลาหิวข้าวสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้ววนเวียนอย่างนี้เหมือนกินข้าวตลอดไหม เหมือนความสุขความทุกข์ไหม (เหมือน)  ทำไมถึงว่าเหมือนล่ะ (กินไปเรื่อยๆ กินจุกจิก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่าเหมือน ก็เวลามนุษย์เราสุข พอสุขเต็มอิ่มสุขนั้นก็จะค่อยๆ คลายตัวแล้วก็พลิกกลับไปเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทุกข์จนเต็มอิ่มทุกข์นั้นก็จะค่อยๆ คลายตัวแล้วกลับมาเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นแปลว่าชีวิตนี้สอนให้เรารู้ว่าสุขทุกข์นั้นก็เหมือนเวลาหิวข้าวอิ่มข้าวนั่นแหละวนเวียนเหมือนวัฏจักร บางครั้งเราจึงอยากให้ความทุกข์ความสุขนั้นมีอิทธิพลกับใจของเรามากเกินไป เรื่องบางเรื่องให้เวลาใจเราจากทุกข์แล้วก็กลายเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องบางเรื่องใจนั้นต้องรักษาใจจริงไหม (จริง)  ก็คือเวลาเราทุกข์จะทำอย่างไร ก็เหมือนเวลาท้องเราหิวเราจะต้องเดินไปเพื่อให้ท้องเราอิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราทุกข์เราจะทำอย่างไร เราต้องเอาใจรักษาใจ ก็คือแก้ที่ทุกข์แล้วเดินไปให้พบความสุขให้จงได้จริงไหม (จริง)  อย่าปล่อยให้เวลาทำใจ เวลารักษาหายหิวไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นเมื่อมีทุกข์จะต้องเดินไปแก้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)    แต่ถ้าเกิดว่าเราอิ่มแล้ว ตอนนี้เราอิ่มทุกข์แล้วแก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้ มันอิ่มเต็มที่แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เวลารักษาความอิ่มจริงไหม (จริง)  ศิษย์น้องใช้ถูกหรือไม่ ทุกข์บางอย่างต้องแก้จึงหายแล้วจะมาสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์บางอย่างแก้ไม่ได้ต้องปล่อยให้เวลารักษาจึงจะหายจริงไหม (จริง)  เหมือนเรื่องความตายทุกข์ไหม (ทุกข์)  เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้เราหายเองจริงไหม (จริง)  เหมือนความเจ็บเมื่อมีดบาดเราจะรอให้เวลารักษาให้หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์น้องอกหักดังเป๊าะ ทำอย่างไรดีทุกข์นี้ถึงจะหาย (ใช้เวลา)  ใช้เวลารักษาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์น้องผิดหวัง ตั้งใจว่าทำงานแล้วต้องสำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จรักษาอย่างไร เดินไปกินข้าว หรือปล่อยให้ท้องหายหิวเอง (เดินไปกินข้าว)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่ถามว่า ถ้าเกิดผิดหวังเราจะไปทำอย่างไร ไปฝืนหรือ ไม่ได้ ศิษย์น้องต้องปล่อยให้หายหิวเอง เหมือนหิวในสิ่งที่ไม่น่าจะหิว เช่นหิวเดือน หิวดาว  อยากกินเหลือเกินได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมองเหตุการณ์ในโลกนี้ให้ออกด้วย  บางครั้งเจอทุกข์ ทุกข์นี้เป็นทุกข์ที่ต้องทำใจ หรือว่าทุกข์นี้เป็นทุกข์ที่ต้องไปแก้ไข  แล้วศิษย์น้องจะแก้ความหิว ความไม่หิวได้เหมือนกินข้าว  ไม่เข้าใจมาศึกษาบ่อยๆ แล้วกันนะ 
(ศิษย์พี่เมตตาให้ยืนขึ้น นั่งลง ยกขา ยกมือ เพื่อแก้อาการเมื่อย) เมื่อตั้งใจมีแนวทางแล้ว การทำดีง่ายๆ จะเริ่มต้นอย่างไรต่อไปอีก นั่นคือต้องล้างใจให้บริสุทธิ์ จิตใจที่บริสุทธิ์และสะอาด จะเป็นจิตใจที่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นและสามารถเผชิญกับโลกนี้ได้อย่างแจ่มชัด แต่ถ้าจิตใจเอนเอียง โน้มเอียงข้างใดข้างหนึ่ง จะมองโลกได้ไม่ชัดเจน เหมือนถ้าสมมติว่าจิตใจของศิษย์น้องรักสีขาวมากกว่าสีดำ   เวลาศิษย์น้องเห็นคนๆ หนึ่งจะรู้สึกว่ารักขาวมากกว่ารักดำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าจิตใจน้องบริสุทธิ์ ไม่ว่าขาวไม่ว่าดำศิษย์น้องก็รักได้เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมหรือการทำความดีจึงต้องมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นพื้นฐาน ฉะนั้นจะบำเพ็ญธรรมจิตใจต้องล้างให้สะอาดก่อน เมื่อใจล้างได้สะอาดต่อไปก็คือ มีความคิดที่เป็นเมตตา และรักคนได้ง่ายด้วย เมื่อใจสะอาด ความคิดก็มีความรักและเมตตาทุกๆ คน ไม่เอนเอียง ความสะอาดจะทำให้ความรักนั้นไม่เอนเอียง ความเมตตาจะทำให้เมตตาได้อย่างไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจบริสุทธิ์ยุติธรรมและมีความเมตตาเป็นพื้นฐาน การแสดงออกก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน หากทำได้สามอย่างนี้แล้ว ใจมีแนวทางที่มั่นคง ศิษย์น้องจะเป็นคนดีที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ยากไหมในการบำเพ็ญตน (ไม่ยาก)  ไม่ยาก จะยากตรงที่จะทำอย่างไรให้ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรมใช่ไหม (ใช่)  ใจทุกคนลำเอียงไหม (ลำเอียง)  เวลากลัวลำเอียงไหม (ลำเอียง)  ลำเอียงใช่ไหม อย่างเวลาศิษย์น้องกลัวศิษย์พี่ ศิษย์พี่บอกว่าศิษย์พี่ดี ศิษย์น้องก็ต้องชมใช่ไหมว่าดี เพราะว่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่ทำตัวไม่น่ารัก ศิษย์พี่มีความน่ากลัว มีอำนาจ ศิษย์น้องก็ต้องบอกว่า น่ารัก  ฉะนั้นเวลาเรารักษาใจเราจึงต้องพยายามรักษาให้บริสุทธิ์ เมื่อเรารักษาให้บริสุทธิ์แล้วไม่ว่าเราจะทำก็จะยุติธรรม ไม่เอนเอียง และไม่เข้าข้าง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเกิดศิษย์พี่บอกว่าศิษย์พี่ทำตัวไม่น่ารัก แล้วศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่าน่ารักไหม ศิษย์น้องจะบอกว่า (ไม่น่ารัก)  น่ารักไหม (ไม่น่ารัก) ผู้ปฏิบัติงานธรรม น่ารักไหม (น่ารัก)  ไม่น่ารักเหรอ เรากล้าพูดจริงๆ หรือ ไม่กล้า ใช่ไหม (ใช่) เราต้องรู้จักเอานิสัยคนเมืองกรุงมาใช้ นั่นคือต้องรู้จักพูดอ้อมนิดหนึ่ง เพราะบางคนไม่ชอบคำพูดตรง ใช่ไหม (ใช่)  การที่เราจะเปลี่ยนแปลงคนๆ หนึ่งนั้น บางครั้งเรารู้แล้วว่าเขาทำตัวไม่น่ารักนะ เราจะเอนเอียงไม่ได้ แล้วเราจะบอกเขาอย่างไรดี ให้เขารู้ เราจะต้องบอกเขาว่า เหมือนจะน่ารักนะ จริงๆ ก็น่ารักนะ แต่ถ้าแก้อีกนิดหนึ่งจะน่ารักยิ่งขึ้น  ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคือใช้ความบริสุทธิ์แล้วใช้ความคิดที่ถูกต้องมาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงคน แล้วก็ได้เปลี่ยนแปลงฝึกฝนตัวเราเองด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่เช่นนั้นแล้วเออออห่อหมกไป เราจะกลายเป็นคนที่ปล่อยคนชั่วให้ได้ใจ  ปล่อยคนดีให้
ยอมแพ้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นใจต้องบริสุทธิ์ การกระทำต้องถูกต้องด้วย
คราวนี้รู้แล้วว่าเวลาบำเพ็ญ ต้องทำสามอย่างนี้ให้ได้ คือรักษาใจให้บริสุทธิ์ มีความคิดที่เมตตากรุณา มีท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่บางครั้งพอบำเพ็ญแล้วมีท่าทีอ่อนน้อม คนจะรู้สึกว่าไม่มีเกียรติ จริงไหม (จริง)  ทำไมเราต้องยอมเขา เสียเกียรติและเสียเหลี่ยมเรา เสียเชิงชายไหม (เสีย)  การอ่อนน้อมกับคนอื่นเสียเชิงชายไหม (ไม่เสีย)  เสียเกียรติไหม (ไม่เสีย)  ทำไมถึงไม่เสีย  หลายต่อหลายคนนั้นพอบอกให้มาบำเพ็ญธรรมต้องมีความอ่อนน้อม บอกให้เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้นะ ไม่เอาเดี๋ยวเสียภูมิ เสียเกียรติหมด  จริงไหมหัวหน้า (จริง)  ตอบมาจากใจลึกๆ ไม่ต้องอ้อมแล้วศิษย์พี่อยากฟังตรง ๆ จริงไหม (จริง)  บางครั้งเวลาเราอ่อนน้อมกับเพื่อน เขาโกรธหรือว่าเรา เรายิ้มให้อภัย เสียเกียรติจังเลยทำไมต้องไปยอมจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรายอมได้ เรามีเกียรติยิ่งกว่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเกียรตินี้คือ เราชนะใจตัวเองได้ และยังสามารถชนะเขาได้ด้วย ยิ่งเวลาเขาโกรธเรา เราบอกว่าไม่เป็นไร แล้วแต่เธอจะโกรธฉันแต่สักวันเธอจะเข้าใจ เขาก็จะไม่โกรธ จริงไหม (จริง)  เวลาเขาโกงเราสิบครั้ง เรารู้แต่ก็ยังไปซื้อกับเขาถึงสิบครั้ง เขาจะรู้สึกแพ้ไหม  
(รู้สึก)  แล้วเรามีเกียรติไหม (มี)  มีเกียรติตรงไหนรู้ไหม  มีเกียรติตรงที่ตอนหลังเขาจะเคารพนับถือเรา และเขาจะเชื่อเราใช่ไหม (ใช่)  แต่คนที่ไม่รู้จักมีคุณธรรม ไม่รู้จักอ่อนน้อม ไม่รู้จักซื่อสัตย์ เกียรติของเขา หรือความน่าเชื่อของเขา ก็ยังไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำดี สิ่งหนึ่งที่คอยยับยั้งและคุมใจเรานั่นคือความละอาย ความผิดชอบชั่วดี ถ้าเกิดเป็นคนหมดสิ้นซึ่งสองอย่างนี้ ยากจะเรียกว่าผู้ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องหากตั้งใจจะเป็นคนดี เมื่อตั้งใจจะบำเพ็ญ ก็อย่าถือว่าการมีธรรมะเป็นเรื่องเสียเกียรติ ศิษย์พี่ว่าไม่ใช่ ถ้าคิดให้ดีๆ กลับเป็นเรื่องที่มีเกียรติและน่าภูมิใจยิ่งนัก เพราะอย่างน้อยเราก็มีศักดิ์ศรีของเรา เรามีธรรมของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงรักษาให้ดีๆ แล้วศิษย์น้องจะเป็นคนที่มีค่าและมีเกียรติที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังนับถือ  แต่ถ้าทำไม่ได้ศิษย์น้องก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีวันได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่องค์เดียว กลัวไหม (กลัว) ตายไปแล้วเจอแต่วิญญาณมาฉุด มาดึงไป ไม่เจอพุทธะ ไม่เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลัวไหม (กลัว) หากมีชีวิตยังหวาดกลัว หากมีชีวิตยังหวั่นวิตก แต่ว่ายังทำไม่ได้ดี แต่ถ้ามีชีวิตกลัวไหม ไม่กลัว ไม่หวาดหวั่น นั่นแหละ ได้ดีแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วตอนนี้กลัวไหม (ไม่กลัว)  หวาดไหม (ไม่หวาด)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ว่าดีแล้ว  ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นะ หน้าอย่างนี้ โกหกไหม (ไม่โกหก)  ฆ่าสัตว์ไหม (ฆ่า)  ดีแล้วหรือศิษย์น้องที่ยังฆ่าอยู่ ใช่ไหม โกหกไหม (ไม่โกหก)  พูดได้อย่างไร ทำได้อย่างนั้นเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  คนไม่เป็นนั้นเก่ง แปลว่ารู้ตัวเอง (ผมชอบยิ่งใหญ่)  ทำไมชอบยิ่งใหญ่ล่ะ เล็กกระจ้อยร่อยก็มีค่านะ ใช่หรือไม่ อย่างนั้นศิษย์พี่ขอเป็นเล็กกระจ้อยร่อยแล้วกัน  เพราะศิษย์น้องเป็นใหญ่แล้วใครจะเล็กล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเรายอมเล็กเพื่อให้คนอื่นใหญ่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นใหญ่ตลอดเลย เป็นใหญ่ตลอดเหนื่อยนะ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เหนื่อยที่ต้องคุมคนเยอะๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   แม้ตัวจะเป็นใหญ่แต่ใจเล็ก อ่อนน้อม อย่างนี้สิจึงเรียกว่าใหญ่จริง ถ้าตัวใหญ่ ใจใหญ่ด้วย แบบนี้ขี้ขลาดแน่นอนเลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะศิษย์พี่เห็นมาเยอะแล้ว ฉันเก่ง ฉันแน่ พอเอาเข้าจริงๆ กลัวยิ่งกว่าอะไรดี  ใช่หรือไม่ (ใช่) ว่าจะรีบๆ มา รีบๆ ไปก็ใช้เวลาเยอะเลยนะ  
“ประทีปธรรมให้ทางส่องสู่ชีวี”  ฉะนั้นเมื่อตั้งใจจะทำแล้ว ขอให้ทำให้ได้ดีนะศิษย์น้อง ได้หรือเปล่า ยิ่งศิษย์น้องอยากจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรจะต้องมีความเข้มแข็ง แล้วก็ต้องมีความดีด้วย ใช่ไหม (ใช่)  คนเราจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนอื่นได้นั้นต้องมีหลักที่มั่นคง แล้วมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องจะเป็นไม่ได้เลยแม้สักต้นเดียว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม ศิษย์พี่รู้ว่าศิษย์น้องรักตัวเอง รักครอบครัว แต่เท่านั้นไม่พอ หากมีแต่รักตัวเองรักครอบครัวไม่รักคนอื่น ศิษย์น้องก็เอาตัวไม่รอด จริงไหม (จริง)  จะต้องรู้จักรักตัวเอง รักครอบครัว และรักคนอื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะเป็นคนที่สามารถอยู่บนโลกเป็นที่ต้องการของคนอื่น และร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข ใช่ไหม (ใช่)  
ฟังมาตั้งเยอะแล้วคงพอจะจับใจความอะไรได้บ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)   พอจับใจความได้บ้างไหม นั่นก็คือเกิดเป็นคนต้องมีจุดยืนที่มั่นคงและถูกทาง นั่นก็คือความดี คุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีจุดยืนแล้วก็ดำเนินไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ อย่างเช่นอยากเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็รักษาความซื่อสัตย์ไว้ยิ่งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ หากเขาทำดีกับเรา เราถือความกตัญญูเป็นหลักตอบแทนคุณเขาด้วยความอ่อนน้อม ด้วยความจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องใจ ที่ศิษย์พี่บอกมีสามอย่าง มีใจบริสุทธิ์ มีจุดยืน  แล้วก็มีความคิดเมตตารักใคร่คน  แล้วก็มีท่าทีที่อ่อนน้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบำเพ็ญตนแล้วใช้สี่อย่างนี้ศิษย์น้องก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งได้ และเป็นผู้บำเพ็ญได้ ทำได้ไหม (ได้) ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเสียงฝ่ายชายยากไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากเลยถ้าทำได้ทั้งสี่อย่างนี้ ศิษย์น้องจะสามารถอยู่ร่วมกัน คนที่สูงก็สูงได้ กลางก็อยู่ได้ ต่ำก็อยู่ได้ ท่าทีที่อ่อนน้อมจะทำให้เราอยู่กับผู้ใหญ่ได้อย่างน่ารัก ด้วยใจที่คิดแต่เมตตารักใคร่ จะอยู่กับเพื่อนได้อย่างเป็นสุข ด้วยใจที่เมตตารักใคร่และมีความอ่อนน้อมอยู่กับน้อง น้องจะเป็นอย่างไร  รักเราเชื่อฟังเรา เพราะพี่ไม่ถือตัว ไม่เอาความเป็นพี่ข่มเหง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากศิษย์น้องปฏิบัติได้สี่อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งแล้ว เป็นผู้ที่พร้อมก้าวเดินฝึกฝนเป็นพุทธะ อยากฝึกไหม (อยาก)  หรือว่าพอใจในความเป็นคนแล้ว ศิษย์น้องหลายต่อหลายคนมักจะพอใจการเป็นคน ศิษย์พี่ให้ดูง่ายๆ ดูไม้ท่อนนี้ ไม้ท่อนนี้ถ้าโยนขึ้นไปปุ๊บ สักพักก็ตกลงมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดศิษย์พี่เหลาปลายให้แหลม แล้วหาไม้อีกอันหนึ่งมาทำเป็นคันธนู แล้วยิงขึ้นไป แรงของอะไรไปได้แรง หรือสูงกว่ากัน แรงที่เปลี่ยนเป็นคันธนูแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์น้องดูน้ำ ในแก้วนี้ถ้าเทต่ำๆ ไหลได้แรงไหม แต่ถ้าอยู่สูงๆ แล้วเทมาแรงไหม (แรง)  แรงใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างอะไรกันหล่ะ ศิษย์น้องมักจะดูถูกตัวเองว่า เหมือนน้ำธรรมดาในแก้ว เหมือนไม้ธรรมดาที่ไร้คุณค่า แต่อย่าลืมว่าไม้ธรรมดาที่ไร้คุณค่านี้ หากรู้จักเหลา รู้จักเพียรพยายาม รู้จักอดทน และมีความเด็ดเดี่ยว ไม้นี้ก็อาจจะเป็นธนูที่พุ่งสูงสุดได้ จริงไหม (จริง)  น้ำนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากพอใจในความเป็นน้ำเท่านี้แล้ว เกิดเป็นคนทุกข์สุขพอแล้ว เดี๋ยวก็ตาย แต่กับอีกหนึ่งที่คิดว่ายกตัวเองสูงหน่อย ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งดี แรงในการไหลยิ่งมีประโยชน์ไปได้ไกล ใช่ไหม (ใช่)  แต่น้ำต่ำๆ ไหลไปได้ไกลไหม (ไม่ไกล)  ไม่ไกล นั่นแหละศิษย์น้องพอใจชีวิตตัวเองเท่านี้หรือ ในเมื่อมีคนมาบอกศิษย์น้องว่า ชีวิตศิษย์น้องยังมีค่ามากกว่านี้ ยังเป็นได้สูงกว่านี้ ศิษย์น้องจะไม่คิดหรือจะไม่ลองพยายามบ้างหรือ ลองบ้างไหมล่ะ  ลองไปก็ไม่เสียหลายนี่ จริงไหม (จริง)  แต่การจะลองนั้นศิษย์น้องต้องยอมรับก่อนว่า ต้องใช้ความพยายามหนึ่งข้อ ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวอีกสองข้อ และต้องใช้ความอดทนอีกสามข้อ ไหวไหม (ไหว)  อยากเป็นไหม (อยาก)  ในเมื่อชีวิตนี้อดทนไหม อดทน บางครั้งอยู่ในโลกนี้ต้องทนในความทุกข์ยาก ทนในคำพูดคน ทนไหม (ทน)  ทนเพิ่มอีกหน่อยหนึ่งไม่เห็นเป็นไรเลย แถมทนแล้วได้เป็นพุทธะ ดีกว่าทนแล้วให้เขาชี้หน้าด่า จริงไหม (จริง)  ทนไหมล่ะ พยายามนิดหนึ่งก็สำเร็จ แต่สำเร็จนี้สำเร็จเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พยายามไหม (พยายาม) จะเด็ดเดี่ยวหรือเปล่าขึ้นอยู่กับศิษย์น้อง อย่าดูถูกตัวเองว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ศิษย์พี่อยากจะบอกว่าคนธรรมดาทั่วไปนี้ หากรู้จักฝึกฝนตน ควบคุมตนก็เป็นพุทธะและเป็นคนดีให้คนเคารพนับถือได้ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเช่นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่สำเร็จกัน ขออย่างเดียวอย่าดูถูกตัวเองว่าเป็นไม่ได้ วันนี้ก็จบเท่านี้แหละ จะกลับแล้วนะ 
“ด้วยเคยชินไม่รู้คิดสิริ”  เพราะศิษย์น้องมักจะเคยชินใช้ชีวิตทุกข์สุขมีอารมณ์มีโมโหมีตัณหา แต่ลืมไปว่าถ้าคิดให้ดีๆ เรานี่แหละคือคนๆ หนึ่งที่จะฝึกเป็นพุทธะได้  เรานี่แหละเป็นคนๆ หนึ่งที่แม้จะไม่ได้เป็นพุทธะ ก็ยังเป็นคนที่ตายไปแล้วทิ้งชื่อให้คนอยากเจริญรอยตามได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ขออย่าดูถูกตัวเอง แต่ก่อนศิษย์พี่ก็เคยคิดว่าเหมือนกับศิษย์น้องเป็นคนธรรมดา เป็นเด็กธรรมดา มีชีวิตอิสระ แต่พอได้รู้จิตเดิมแท้ของตัวเอง มาได้รู้ถึงพุทธะภาวะของตัวเองจึงเริ่มฝึกฝนตน จึงเริ่มควบคุมตน แล้วจึงเริ่มบำเพ็ญตนเพื่อให้เป็นคนดี อยากไหม 
พูดตั้งเยอะแล้วยังไม่มีใครอยากไปสวรรค์กับศิษย์พี่เลย แค่สวรรค์ก็ไม่เอา แล้วนิพพานจะไปถึงหรือ ใช่ไหม อยากไปไหม (อยากไป)  แล้วทำไมกุมขมับแล้วล่ะ 
วันนี้หมดเวลาของศิษย์พี่แล้ว จะกลับแล้ว สัจธรรมสอนเราแล้ว เมื่อมีเจอหน้าก็ต้องมีจาก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งต้องรู้จักปลงบ้างนะ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ได้)   โดยยึดหลักแนวทางของคุณธรรมเป็นพื้นฐาน รักษาจิตให้บริสุทธิ์สะอาด จะไปแล้วนะ ศิษย์พี่พยามยามพูดธรรมะวันนี้ง่ายที่สุดแล้วนะ ถ้าใครยังฟังยากอยู่ ฟังไม่เข้าใจยังมีข้อสงสัยให้กลับมาศึกษาบ่อยๆ ดีไหม (ดี)  เรียนรู้การเป็นพุทธะไม่สามารถเรียนได้ในสองวันแล้วจะเป็นพุทธะได้ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องกินข้าวยังต้องกินทุกๆ วันเลย  เรียนธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกันต้องใช้ทุกๆ วันแล้วก็ต้องศึกษาทุกๆ วัน หากหัวใจว่างไปสักนิดหนึ่ง ระวังความชั่วร้ายจะมาแทนที่ธรรมะนะ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แม้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด อย่าทำให้สภาวะเปลี่ยนใจอันมุ่งมั่นของศิษย์น้องเด็ดขาด ตั้งใจบำเพ็ญอย่างไรก็จงตั้งใจต่อไปนะ ยากลำบากเพียงใดก็ขอให้ฝ่าภยันอันตรายกลับไปหาอาจารย์ของศิษย์น้องได้อย่างปลอดภัยและเข้มแข็ง การบำเพ็ญธรรมอาจจะดูเป็นเรื่องไม่ยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย ใช่ไหม (ใช่)  ต้องชนะใจตัวเอง ต้องชนะใจคนอื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรายิ่งท้อแท้ยิ่งต้องทุกข์ ยากจะบำเพ็ญได้ บำเพ็ญธรรมศิษย์พี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร รู้ว่าศิษย์น้องมีความทุกข์ยากไม่เหมือนกัน เจออุปสรรคมากมาย แต่ถ้าศิษย์น้องไม่สู้ ไม่ฝืนตัวเองบ้าง ก็จะไปไม่ถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาตัวเองให้ดี ดูแลจิตดูแลกายให้ดีนะ อย่าเป็นลูกศิษย์ที่ดื้อของอาจารย์ อย่าทำให้อาจารย์ต้องทุกข์มาก รู้หรือเปล่า เข้มแข็งหน่อยนะ ไปแล้วนะ อยากพาไปจังเลย อย่าหลงในโลกนี้มาก โลกนี้แท้จริงไม่ได้สวยงามอย่างที่ศิษย์น้องคิด


วันอาทิพย์ที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง ถ้าใจมิตรงเท็จจริงปนเปกันไป
หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมจะบำเพ็ญธรรมหรือยัง

ความเมตตายืดอายุให้ยืนนาน อันสังขารเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวหนา
ขอให้ใช้วันเวลาสร้างคุณค่า วันข้างหน้าขอเจอแต่สิ่งดีดี
บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญกายบำเพ็ญใจ มั่นคงไว้เจอปัญหาอย่าคิดหนี
อ่อนน้อมลงจึงจะพบแต่เรื่องดี เป็นดั่งพี่เป็นดั่งน้องปรองดองกัน
ตรองละเอียดในเรื่องควรจะละเอียด อย่าคร้านเกียจในความพยายามนั้น
จงคิดน้อยหากเป็นคนน้อยใจกัน จงขยันศึกษาธรรมสร้างคุณงาม
ในยุคนี้บำเพ็ญธรรมในครัวเรือน หัวใจแห่งนักสู้เยือนคนพยายาม
จงจริงใจให้กันทั้งรูปนาม อย่ามองข้ามสิ่งสำคัญจึงได้ดี
ฮา   ฮา  หยุด

ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง   ถ้าใจมิตรงเท็จจริงปนเปกันไป
หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด   ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา
หากแม้นใครอยากพ้นความทุกข์บำเพ็ญธรรมา   ขวนไปขวายมาไม่ทุกข์ใจของคนยอมปลง
ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง      ยามอัตตาลดลงรู้ยืมปลอมบำเพ็ญจริง

ชื่อเพลง : ความจริงกับมายา
ทำนองเพลง : ตาอินกะตานา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์ทุกคนไม่ได้มีความสุขทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในปีหนึ่งถ้ามีความสุขสักห้าวันพอไหม (มีไม่ถึง)  ความสุขจริงๆ มีเต็มห้าวันไหม (ไม่มี) ทำไมไม่มีด้วยหรือ แล้วถ้าบอกว่าให้ห้าวันแล้วยังไม่เอาอีก ถือว่าเป็นคนอะไร เป็นคนที่ไม่สามารถมีความสุขได้ทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีห้าวันพอไหม (พอ, ไม่พอ)  ก็เลยอยากจะมีความทุกข์ไปทุกวันอย่างเดิม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วให้ห้าวันพอหรือไม่พอ ศิษย์รักคนงกทั้งหลายพอไม่พอ  ใครคิดว่าตัวเองงกบ้างยกมือขึ้น ใครรู้ตัวเองไม่งกยกมือขึ้น เอาอย่างนี้ให้พี่เลี้ยงดู เดี๋ยวถ้าใครไม่ยกมือไม่ทำตามสักอย่าง จะให้ลงห้องพระเลยดีไหม จับสิตัวเองมีร่างกายไหม (มี) จับดูสิใช่ไหม (ใช่)  เอาใจมาด้วยหรือเปล่า (เอามา) จับปากสิพูดได้หรือเปล่า (พูดได้)  พูดเป็นแต่เรื่องไร้สาระหรือเรื่องมีสาระ (มีสาระ)  วันนี้อาจารย์มาทั้งที ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้นดีหรือไม่ (ดี)  เรื่องที่ไม่ได้ถาม เรื่องที่ไม่เป็นสาระ สงสัยบ้างไม่สงสัยบ้างก็ยังไม่ต้องคิดดีไหม (ดี)  ฟังว่าวันนี้จี้กงพูดอะไรดีหรือเปล่า (ดี)  คิดแค่นั้นก็พอนะ  ไหนลองจับตัวเองใหม่สิว่าอยู่ไหม (อยู่)  มือมีไหม (มี)  พร้อมจะยกหรือยัง (พร้อม)  ใครไม่ยกเดี๋ยวให้ออกจากห้องเลยนะ แน่ใจไหม (แน่ใจ)  
คนทุกคนไม่สามารถมีความสุขได้ทุกวัน มีความสุขปีละห้าวันพอไหม เรางกหรือไม่งก ใครงกยกมือขึ้น อาจารย์มีแต่ศิษย์ที่เป็นคนงกใช่หรือเปล่า ไหนใครคิดว่าตัวเองมีความสุข ในปีหนึ่งมีไม่กี่วันอยู่แล้ว ให้สักห้าวันนี้ก็พอใจให้ยกมือขึ้น มาสองวันนี้ มาเพื่อรู้ว่าบำเพ็ญธรรมะอย่างไร และมาเพื่อรู้ว่าความสุขนั้นจริงๆ นั้นก็หาง่าย แค่พลิกฝ่ามือ แค่เราทำจิตใจของเรานั้นให้สบาย ความทุกข์ต่างๆ บางทีเราไม่ได้เป็นฝ่ายที่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ว่าลูกหลานของเราไม่ยอมเชื่อฟัง ไปทำเรื่องทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลูกเราทำเรื่องแต่ใครทุกข์ (เราทุกข์) แล้วทำไมเราทุกข์ล่ะ (เพราะเราเป็นแม่) ใช่เพราะเราเป็นพ่อแม่ แต่เราห้ามความทุกข์เหล่านี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้) มีแต่ทำอะไร (ทำใจ)  มีแต่ทำใจ พอทำใจได้แล้ว เราก็รู้สึกมีความสุขขึ้นไหม (มี)  ความสุขของเราที่เมื่อก่อนมีแค่ห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์ มันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพิ่มมากขึ้นทีละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ๆ แล้วเรายินดีที่จะสร้างหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้มาหรือไม่ ยอมหรือเปล่า (ยอม)  ถ้าเราอยากได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้ก็ต้องรู้จักทำใจให้สบายขึ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราอยากมีความสุขขึ้นมาหนึ่งส่วนก็ต้องทำจิตใจนี้ให้เป็นสุขหนึ่งส่วน พูดอย่างนี้ฟังยากไหม (ไม่ยาก) ทำได้ไหม (ได้)  ตอนนี้พาศิษย์เข้ามาอบรม นี่คือภาคทฤษฎี ต้องปล่อยให้ไปปฏิบัติ ถึงจะรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทำได้หรือเปล่า  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้แค่นึกถึงหน้าคนที่เราเป็นทุกข์เพราะเขา เราก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงต้องรู้จักที่จะทำอย่างไร ทำจิตใจให้สบายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำจิตใจให้สบาย จิตใจเป็นของใคร (ของเรา)  อยู่ที่ใคร (อยู่ที่เรา) ทุกข์เพราะใคร (ตัวเรา)  อย่าไปโทษคนอื่นเลยนะ ถ้าเวลาเราทุกข์ ทุกข์เพราะคนนั้นทำ คนนี้ทำ ทุกข์เพราะใคร ทุกข์เพราะตัวเราเองทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเรามีความทุกข์เพราะคนอื่น แท้จริงแล้วเราทุกข์เพราะเราไม่รู้จักห้ามจิตใจของตัวเอง ห้ามอะไร  ห้ามให้กังวล เราไม่รู้จักห้ามจิตใจของเราไม่ให้กังวล ไม่รู้จักห้ามจิตใจของเรานั้นให้รู้จักยับยั้งชั่งใจว่านี่ผิดและนี่ถูก สิ่งนี้ควรทำและไม่ควรทำ เราไม่ค่อยได้ยับยั้งชั่งใจสิ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาไหมที่เรามีความทุกข์ (เป็นธรรมดา)  แล้วทุกข์เพื่อใคร (ตัวเอง)  เราทุกข์เพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้ชื่อว่า เป็นปุถุชน เป็นคนธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลังจากสองวันนี้ไป เรามานั่งฟังธรรมะจนเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย เมื่อยหรือไม่เมื่อย (ไม่เมื่อย)  อย่างนั้นนั่งต่ออีกสามวันดีไหม (ดี)  ทุกวันก็มีข้าวให้กินดีไหมดี (ดี)  ดีแต่ปากหรือเปล่า วันนี้มาสองวันแล้ว ไม่ให้เสียทีที่นั่งตั้งสองวัน เราต้องรู้จักที่จะเก็บสิ่งที่เราฟังไปปฏิบัติด้วย วันนี้อาจารย์พูดเริ่มต้นด้วยเรื่องความทุกข์ของมนุษย์ที่ศิษย์นั้นเจอกันทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่อยากมี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักตัวเองว่าที่เรามีความทุกข์นั้นก็เพราะตัวเรา จึงต้องหักห้ามความทุกข์เหล่านี้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง  
ถ้าใจมิตรง เท็จจริงปนเปกันไป    
หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด  
 ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา”
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช่อะไร คนที่มองตามกระดานรู้ว่าใช่อะไร แต่คนที่ไม่มองตามนี่ไม่รู้ คนที่ไม่ตั้งใจฟังก็ไม่รู้ ใช่หรือเปล่า 
(นักเรียนในชั้นกราบรับพระอาจารย์) 
ใช้อะไรรับ (ใจ)  ใช้ใจของศิษย์รับใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใจของเราเป็นจิตใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในขณะเดียวกันจิตใจที่บริสุทธิ์นี้แปดเปื้อนไปด้วยกิเลส ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนี้เรียกว่าบริสุทธิ์ไหม (ไม่บริสุทธิ์)  เรามาสองวันนี้ก็เพื่อจะฟื้นฟูจิตใจของเราให้บริสุทธิ์คืนมา ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เวลาที่พื้นสกปรก บ้านเราสกปรกต้องถูไหม (ถู)  แต่ถูนี่ต้องออกแรงหรือเปล่า (ออกแรง) แต่สมมติจิตใจของเราเป็นพื้นที่เราถูอยู่นี่เจ็บไม่เจ็บ (เจ็บ)  เจ็บใช่ไหม แต่ถ้าหากว่ายอมที่จะออกแรงเยอะๆ พื้นก็ทำไม (สะอาด)  อยากให้พื้นจิตใจของเราสะอาดไหม (อยาก)  ยอมเจ็บหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)  เวลาที่เราเจอของที่เราชอบมากๆ นี่ อยากกินของถูกปากก็ดี เรื่องถูกใจก็ดี แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะฝืนใจตัวเองนิดหนึ่ง รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำให้เรามีกิเลส เราต้องรู้จักขัดจิตใจส่วนนั้นของเราทิ้งไปนิดหนึ่ง อาจจะได้ความสุขเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในวันหลังก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   
วันนี้อาจารย์มาก่อนเที่ยงต้องทำเวลาด้วย ใช่หรือเปล่า  ต้องทำไม่ทำ อย่างนี้เดี๋ยวอาจารย์รีบกลับนะ อยากให้อาจารย์รีบกลับหรือยอมอดข้าว (ยอมอดข้าว)  อดข้าวมื้อหนึ่งตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  แต่อดได้ของที่ถูกใจครั้งหนึ่งตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  อย่างนี้เราบำเพ็ญสักชาติหนึ่งเป็นอย่างไร ตายไม่ตาย (ไม่ตาย)   ต้องขยันบำเพ็ญทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาจะโมโหต้องทำอย่างไร ก็ต้องทำใจใช่ไหม (ใช่)  เวลาเราจะไปเล่นหวย เล่นผิดไม่ผิด (ผิด)  ยิ่งเล่นยิ่งจน เพราะฉะนั้นเราต้องหยุดเล่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)  ทำใจทุกวันที่จะไปเล่นเลย อย่างนี้ก็ดีขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเปิดปากจะต่อว่าคนแล้ว ต้องทำไม เวลาเราอยากจะว่าคนนี้หรือ ลูกหลานคนนี้ ต้องทำอะไร (ทำใจ)  ผู้ชายถ้าอยากสูบบุหรี่ต้องทำอย่างไร (ทำใจ)  ถ้าอยากสูบบุหรี่ก็ทำใจ ถ้าอยากกินเหล้าก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากไปเที่ยวล่ะ ทำอย่างไร ทำใจ ถ้าหากว่าเราทำใจได้ทุกเรื่อง อย่างนี้ถ้าเรางดได้ แต่ละเรื่องๆ น้อยลงเรื่อยๆ เราก็เป็นคนที่เหมือนคนที่บำเพ็ญธรรมมากขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก)  เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะอย่างนี้เอง ง่ายๆ  เราก็จะกลายเป็นคนบำเพ็ญมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความจนที่เราเคยกังวลอยู่ทุกวันมันก็จะไม่รบกวนจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครที่เขานินทาเรา เราก็ไม่สะทกสะท้าน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่เราอยากจะได้สิ่งใด แล้วเราไม่ได้มา เราก็ไม่รู้สึกหมองใจ เศร้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี นี่แหละเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญต้องทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์จะกลับไปทำไหม (ทำ)  อาจารย์คงไม่กล้าถามว่าปีหนึ่งเปลี่ยนได้สักกี่เรื่อง  เอาเป็นถามว่าปีหนึ่งคิดว่ามีไหมที่เราเปลี่ยนแปลง (มี)  คิดว่ามีนะ อาจารย์ดีใจด้วย ปีหนึ่งเมื่อเราคิดว่าเรามีเรื่องที่เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรมได้ดีมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ละคนมีเรื่องหนักๆ แล้วก็เรื่องเบาๆ มีเรื่องหนักแล้วก็เรื่องเบาไม่เท่ากัน เรื่องที่เป็นปัญหาของเรามีหนักมีเบาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าหนักๆ อันนั้นมันเป็นความผิดที่ร้ายแรงหน่อย ก็ควรที่จะเปลี่ยนก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ว่าเราเปลี่ยนแล้วเราจะหนัก แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนได้เหมือนยกภูเขาลูกนี้ออกจากอกได้เป็นอย่างไร เราก็เบาใจสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากเรารู้สึกว่าหนักๆ นั้น เราเปลี่ยนไม่ได้ อย่างนี้หันมาใหม่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นความผิดเราก็ต้องรู้จักเปลี่ยนด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หนักเปลี่ยนไม่ได้ อย่างนั้นเปลี่ยนเบาก่อน ทำได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นการเป็นคนขี้โมโหนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมากในสายตาอาจารย์ ใครไม่เคยโมโหบ้าง เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สะสมๆ แล้ว เท่ากับเรื่องใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่ว่าทำได้ไหม เปลี่ยนได้ไหม (ได้)  เมื่อเราโมโหได้เราก็เปลี่ยนได้ เพราะว่าใจอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ตัวเรา) ใจอยู่ที่เรา ให้เราเป็นผู้บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครว่าตัวเองเปลี่ยนได้ พอที่จะกลับไปทำอย่างที่อาจารย์ว่าได้ตอนนี้เชิญนั่งลง  ใครที่นั่งนี้ต้องแน่ใจ ไม่ใช่ว่านั่งตามๆ กันไปนะ  ใครที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนได้นั่งลง ใครที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไม่ได้ให้ยืน  ทุกคนทำได้หมด ถึงว่าทำไมบนสวรรค์ถึงมีเทวดาน้อย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทุกคนนั้นไม่มีใครคิดว่าตัวเองทำไม่ได้เลย ถึงเวลาพอทำไม่ได้ก็คือเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์จะตกนรก เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ) เพราะว่าคนนั้นบางทีโกหกโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นอย่างนี้ แต่อาจารย์หวังนักเรียนในชั้นนี้เป็นพิเศษ คือสามารถที่จะทำได้อย่างที่ตัวเองนั้นรับปาก ส่วนผู้ปฏิบัติงานธรรมอาจารย์ก็หวังว่าในปีหนึ่งๆ นั้น จะสามารถหาเรื่องที่ตัวเองนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ แม้สักเรื่อง สักสองเรื่องก็ยังดี บำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการบำเพ็ญตลอดชีวิต หากปีหนึ่งศิษย์เปลี่ยนแปลงได้หนึ่งเรื่องในเรื่องใหญ่ สิบปีผ่านไปก็สิบเรื่องแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าจริงๆ แล้วชีวิตของคนนั้น ถ้าจะหาเรื่องเดียว แค่นิสัยความเคยชินของเราเพียงเรื่องเดียวนั้นสามารถทำให้เราเป็นคนมีปัญหาตลอดชีวิตทีเดียว เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)  คือปัญหาเรื่องเดียวสร้างปัญหาให้กับศิษย์นั้นตลอดชีวิต อาจารย์หวังว่าเมื่อเราสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นๆ เพียงเรื่องเดียว ปัญหาของเรานั้นก็ลดลงๆๆ ชีวิตนั้นก็มีความผาสุกมากขึ้นๆๆ หรือพูดอีกทีก็คือมีความสุขใจนั้นมากขึ้นๆ มีความทุกข์นั้นน้อยลงๆ ดีหรือไม่ (ดี)  วันหลังเวลาจะไปวัดไปขอพร ไปไหว้พระที่ไหน จะไปขออีกไหมว่าขอให้ครอบครัวนั้นมีความสุข ขอให้ชีวิตราบรื่น ขอให้เงินทองไหลมาเทมา ขอให้หายโรคภัยไข้เจ็บสักที สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่พระให้พร  แต่อยู่ที่เรานั้นให้พรตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นครอบครัวเราจะดีขึ้นต่อเมื่อเราบ่นน้อยลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราบ่นน้อยลงลูกของเราก็ฟังมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะนานๆ แม่ของเราจะพูดสักทีหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเราบ่นน้อยลงนิสัยความขี้บ่นของเราน้อยลง คนก็ฟังเรามากขึ้นแล้ว เมื่อเราไม่คิดที่จะบ่นอะไร สมองของเรา จิตใจของเราก็ปลอดโปร่ง สุขภาพก็ดีขึ้น เมื่อไม่เอาเวลาไปเสียเวลากับการคิดมาก กังวลมาก สุขภาพดีขึ้นยังไม่พอ วันๆ มีเวลาว่างทุกวัน เอาเวลาว่างเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเวลาว่างไปใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ถ้าหากว่ามาบำเพ็ญธรรม จิตใจนั้นก็รวยมากขึ้น แต่หากว่าเอาเวลานั้นไปทำงานทางด้านเงินทองภายนอกจับจ่ายก็มีมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ว่ามนุษย์สมัยนี้นั้น นอกจากขอให้รวยแล้วยังขี้เกียจอีกด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก็ไม่รู้จะให้อีท่าไหน เพราะว่าอะไร เพราะมัวแต่มาเสียเวลาไหว้ขออยู่นี่เอง แต่ไม่ยอมลงไปทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินมาได้อย่างไร เงินมาเองได้ไหม (ไม่ได้)  นอกจากว่ายังมีพ่อแม่มาให้ตัวเองนั้นขอเท่านั้นเอง ถึงจะรวยได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอพระบนแท่นอาจจะไม่สู้ขอพระในบ้านด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้แยกกลอนที่พระนาจาประทานให้และประทานเพลงทำนอง : ตาอินกะตานา)
อาจารย์ยังไม่ได้ให้ร้องเลยนะ อย่างนี้เรียกว่าใจร้อนใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นหรือเปล่า (เป็น)  เรานั้นบางทียังไม่ได้ดูคนอื่นเลย แล้วเราก็ใจร้อนออกไป เสร็จแล้วเรื่องต่างๆ ก็ไม่สมใจ ก็โทษคนอื่นใช่หรือเปล่า อาจารย์ไม่ได้ว่าศิษย์นะ แค่ยกศิษย์สอนคนอื่นเท่านั้นเอง 
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาทและถามว่ามีใครต้องการจะแต่งเพลงวรรคสุดท้ายหรือไม่) 
หรือว่าจะแต่งเอง ท่อนสุดท้าย เผื่อมีใครคิดว่าอาจารย์ปลอมๆ มา ก็มาช่วยต่อกับอาจารย์ปลอมๆ หน่อย อย่างนี้อันสุดท้ายลบไปก่อนนะ เผื่อว่าจะมีใครแต่งด้วย 
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงตาอินกะตานา)
ใครอยากแต่งออกมาแต่งสิ จริงๆ แล้วคนไหนที่กล้าสงสัยอาจารย์ก็ต้องกล้าออกมาแต่งดูถึงจะรู้ ดีไหม ถ้าหากว่าตอนนี้ไม่กล้าออกมาแต่งก็อย่ากล้าคิด ดีไม่ดี นับหนึ่งถึงสามนะ คนกล้าต้องไม่ใช้เวลานานมาก พระอาจารย์เมตตานับหนึ่งถึงสาม วันนี้ไม่มีใครที่อยากจะแสดงความกล้าออกมาเหมือนอย่างจิตใจที่สงสัยอยู่ ฉะนั้นจงเก็บจิตใจที่สงสัยนั้นให้มิดลงไปก่อน เดี๋ยวอาจารย์ไปแล้วค่อยมาสงสัยต่อนะ ไม่เป็นไร ความคิดของศิษย์นั้นไม่หยุดนิ่งอยู่แล้ว แต่ว่าจงทำให้มันนิ่งสักชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง เปรียบไปได้เหมือนกับการนั่งสมาธิเหมือนกัน ขอให้เรานั้นทำจิตใจให้สงบดีไหม (ดี)  สงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว นี่เป็นสมาธิอันเยี่ยมยอด เพราะว่าเราไม่มีเวลาไปนั่งหลับตาทุกวันๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเรามีเวลาไปนั่งหลับตาทุกวันก็หลับได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนนั่งสมาธิไปแต่จริงๆแล้วจิตใจไม่เคยสงบเลย แต่หลอกตัวเองว่าตัวเองนั้นเคยได้นั่งสมาธิและนั่งสมาธิมาแล้ว จริงๆ แล้วถ้าจิตใจไม่สงบ นั่งไปห้าชั่วโมงก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากว่าจิตใจของเราสงบได้ท่ามกลางความ
เคลื่อนไหว สามารถที่จะมีอารมณ์โมโหแล้วระงับอารมณ์โมโหได้ นั่นถึงเรียกว่าเยี่ยมยอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเป็นคนก็อยากเป็นคนเยี่ยมยอด ถูกหรือเปล่า (ถูก) เมื่อเรานั้นเกิดเป็นคนเราก็อยากจะเป็นคนที่เยี่ยมยอดที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมไม่ทำล่ะ ตั้งแต่นี้ไปก็ตั้งใจใหม่ ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ตัวเองเห็นว่าดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิดนั้นอาจจะยังผิด อาจจะยังพลาด แต่ว่าย่อมดีกว่าการทำอะไรโดยที่ตัวเองไม่มีสติใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกว่าการทำอะไรที่ตัวเองนั้นไม่แน่ใจว่าทำไปแล้วจะดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นจงทำอะไรที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด ถึงแม้จะยังมีข้อผิดพลาดบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจกับชีวิตของตัวเอง ถ้าหากว่าเราทำสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ตอนหลังโดนคนอื่นว่า ก็ขอให้เราปรับปรุงแก้ไขไปเรื่อยๆ หากคนอื่นเขามองว่าเราผิด บางทีเราไม่มีสิทธิ์อธิบาย แต่ว่าจงให้เวลานั้นได้อธิบาย แต่ว่าหากมีสิทธิ์อธิบายก็จงอธิบายในสิ่งตัวเองคิดว่าถูกนั้นให้คนอื่นได้ฟัง ถ้าหากว่ามีคนค้านมาว่าเรายังคิดผิดอีก เราต้องรู้จักพิจารณาย้อนมองตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ามัวแต่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเองไม่ปล่อยวางไป เพราะว่าทุกคนนั้นมีสิทธิ์ผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) ย่อมมิใช่ว่าทุกครั้งที่ทำงานร่วมกันนั้น คนอื่นจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ บางทีเราก็เป็นฝ่ายผิดได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงวรรคสุดท้าย)
เวลาที่ศิษย์คิดได้อย่างที่อาจารย์พูดนี้ ก็คือเวลาที่ศิษย์นั้นมีอัตตาลดลง
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงตาอินกะตานาอีกรอบ)
รู้สึกว่าจะร้องเพลงต้นฉบับได้คล่องกว่า ไม่ต้องมองกระดานเลยใช่หรือไม่ (ใช่) การร้องเพลงที่เราเคยชินนี้ก็เหมือนกับนิสัยที่เราเคยชินนั่นแหละ บางทีหัวสมองเรายังคิดไม่ทันเสียงที่เปล่งออกไปเลย เพราะว่าออกมาจากจิตของเรา เพลงอันนี้ได้ฝังลงไปในจิตของเราแล้ว แล้วมันออกมาจากจิต จึงแทบจะไม่ต้องคิดในการที่จะนำออกมา แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเพลงเข้าไปได้ ความเคยชิน นิสัยไม่ดีต่างๆ นั้นก็เข้าไปได้เหมือนกัน แล้วการที่เราจะขัดออกมาก็เป็นเรื่องยาก 
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน (ความสำเร็จอยู่ที่นั่น) ประโยคนี้ก็คุ้นดีนะ อย่าใช้แต่ “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปนะ” ให้ใช้ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น” และก็ “ทำดีได้ดี” เสมอ ศิษย์จะได้มีเชื่อมั่นในความดีตลอดไป ไม่ว่าทำอะไรก็ดูที่จะงดงาม ดูสมบูรณ์พร้อมด้วยความดีที่เราเอาออกมาจากข้างใน เข้าใจไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องบทเพลงพระโอวาท)
ในเพลงบทนี้นั้นอาจารย์พูดถึงเรื่องจริงกับเรื่องปลอม ความจริงกับมายาคือภาพลวงตานั้นๆ ให้ศิษย์ลองไปคิดดูเอาเองอย่างที่อาจารย์บอกว่า “หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา” หนทางบนโลกนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม (ของปลอม)  แล้วศิษย์ไปเดินหรือเปล่า ถ้าหนทางบนโลกเป็นของปลอมศิษย์ก็เป็นของปลอม ใช่หรือไม่ (ใช่)  .  อย่างนั้นจะมาอยู่อย่างปลอมๆ ทำไม ก่อนอื่นต้องรู้จักอธิบายว่า หนทางบนโลกนั้นเป็นเส้นทางจริงที่มีอยู่เพราะว่าเราเหยียบย่างได้ เพราะศิษย์ทุกๆ คนนั้นมีชีวิตเหมือนฝัน แต่ชีวิตของศิษย์นั้นเป็นของจริง หนทางบนโลกนั้นเดินไปได้ไกลเท่าไรก็แล้วแต่ ถ้ายังไม่สามารถทำใจให้พ้นทุกข์ได้ก็ไม่สามารถทำให้ตัวเราพ้นทุกข์ได้เช่นกัน แต่หนทางธรรมนั้น เราเดินไปไม่กี่ก้าวเราก็สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้แล้ว จึงบอกว่าเรื่องจริงกับเรื่องปลอมมันซ้อนกันอยู่ หากศิษย์ใช้ใจพินิจพิจารณาก็จะรู้ว่าหนทางบนโลกนี้มันเป็นสิ่งปลอม อย่างที่ศิษย์ข้างหลังตอบอาจารย์ ต้องรู้ว่าภาวะทางธรรมของคนที่นั่งอยู่ที่นี่กับเรานั้นไม่เหมือนกัน การที่เรานั้นจะสอนอะไรใคร จะพูดสิ่งใดออกไปจึงต้องรู้จักพูดตั้งแต่ต้น เพื่อปรับสภาพจิตใจของคนฟังให้เป็นสภาพจิตใจเดียวกับเราเสียก่อนจึงจะสามารถนำพาเขาสู่ฝั่งได้ หากศิษย์นั้นไม่สามารถพูดธรรมะปรับสภาพจิตใจของเขาให้สมดุลกับเราแล้ว ศิษย์จะพูดธรรมะให้ใครฟัง สภาวะธรรมที่สูงส่งแต่รู้อยู่คนดียวก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  . ถ้าเป็นสภาวะที่ปรับได้จนสมดุลกัน เราพูดไปกี่คำก็ฟังได้ทุกคำ อย่างนี้จะมีประโยชน์กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  .
การแสดงธรรมที่ดีที่สุด การบรรยายธรรมที่ดีที่สุดให้คนฟังนั้น ก็คือการที่เรานั้นทำได้ในสิ่งที่เราพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  .คำนี้ฟังมาประจำ แต่ว่าฟังนานๆ ก็เริ่มที่จะชินชา จึงต้องรู้จักที่จะเรียกร้องตัวเองให้ก้าวหน้า และก็ก้าวหน้าไปอีกอย่าได้หยุดลง 
ในเพลงนี้อาจารย์พูดอย่างนี้ก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า
หนทางนั้นมีอยู่จริง แต่นำไปสู่ความปลอมจึงเรียกว่าของปลอม ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีชีวิตอยู่จริง ถ้าเดินบนหนทางทางโลกแล้วรู้สึกปลอมก็ให้เอาจิตใจของเราที่เป็นของจริงมาเดินบนเส้นทางจริงๆ ก็คือ เส้นทางธรรมเพื่อนำจิตใจของเรานั้นให้พ้นทุกข์แล้วคืนสู่ฝั่งได้ พยายามหน่อยได้ไหม (ได้)  ตอนนี้มีโอกาสมาบำเพ็ญธรรม มีโอกาสมาเป็นศิษย์ของอาจารย์ ขอให้มีปณิธานมีความตั้งใจมุ่งมั่นจะได้เป็นมือขวามือซ้ายของอาจารย์ไปช่วยคน ใช่หรือเปล่า (ใช่)    .
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)
ลูกใหญ่หรือลูกเล็ก  (ลูกใหญ่)  หัวหน้าผู้หญิงจะเอาลูกใหญ่ งกตามแบบฉบับมนุษย์ใช่ไหม  อาจารย์จะบอกให้ มรรคผลยิ่งลูกใหญ่ ยิ่งต้องลงแรงเยอะ ลงแรงเยอะอุปสรรคก็เยอะ จะต้องมีความอดทนมากๆ นะ 
นั่งที่นี่นั่งอย่างมีความสุขหรือเปล่า เวลาจิตใจของเราร้อนนั้น เราย่อมไม่มีความสุข แต่หากว่าอากาศร้อน เราจงทำจิตใจของเราให้มีความสุข เพื่อสลับกัน ดีหรือไม่ (ดี) อย่าได้ถูกสภาวะแวดล้อมข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศก็ดี ความเครียดก็ดี มาโน้มน้าวให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ไร้ความสุข วันนี้ทานข้าวสักบ่ายโมงได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัว)
วันนี้แม่ครัวยังอุตส่าห์ขึ้นมาได้นะ ทำอาหารเสร็จหรือยัง (เสร็จแล้ว)  นอกจากเจียดเวลามาสร้างกุศลแล้ว ยังต้องรู้จักบำเพ็ญจิตใจให้ดีๆ ด้วย เพราะว่าการบำเพ็ญภายนอกกับการบำเพ็ญภายในต้องควบคู่กันไป  ภายนอกรู้จักออกแรงมาสร้างกุศล ภายในต้องบำเพ็ญเพิ่มให้ทัดเทียมกันไปด้วย ไม่เช่นนั้นถ้าจิตใจเราไม่ดี วันๆ คิดแต่เรื่องไม่ดี หรือคิดเรื่องดีน้อยกว่าเรื่องไม่ดีอย่างนี้  ย่อมเสียแรงที่เรานั้นบำเพ็ญมานานแต่จิตใจไม่ได้บำเพ็ญ เพราะฉะนั้นต้องรักษาจิตใจของเรานั้นให้ดีๆ และสะอาดๆ ด้วย เก็บกวาดบ้านก็ต้องเก็บกวาดจิตใจของเราให้สะอาดด้วยเข้าใจไหม (เข้าใจ) ไหนดูสิว่าอนาคตคนที่จะเป็นแม่ครัวใหญ่หน้าตาเป็นอย่างไร มีกี่คน สามคน ใช่หรือไม่ อาจารย์ขอให้วันนี้เรียนรู้งานให้มากๆ วันหลังเรามาตั้งหลักทำเองได้ วันหลังถ้าหากมีคนมาช่วยเยอะอย่างนี้อีก เราก็ทำหน้าที่เป็นแม่ครัวใหญ่ และมีลูกมือมากมาย เรียกว่าตำแหน่งนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ใช่สิ่งที่จริงๆ ผลัดกันชมอย่าไปยึดติด เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ไม่จำเป็นว่าคนที่ยิ่งใหญ่แล้วต้องใหญ่เสมอไป คนที่ยิ่งใหญ่แล้วยอมก้มหัวลงมานั้นถึงจะเป็นคนยิ่งใหญ่ตลอดกาล เข้าใจไหม (เข้าใจ)  สามคนนี้เป็นอะไร เขาเรียกพ่อครัวจะเป็นแม่ครัวไหม
บำเพ็ญธรรมต้องพูดดี คิดดี ทำดีให้ปรากฏ เมื่อคนอื่นเห็นก็รู้ว่า อ้อ! คนนี้บำเพ็ญธรรม อยากจะตามเรามาบำเพ็ญ อันนี้ให้กำลังใจ
กระสังอยู่ที่ไหน (บุรีรัมย์)  เมื่อสักครู่อาจารย์มาต้นๆ อาจารย์พูดถึงเรื่องความสุขให้ศิษย์ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเรื่องความสุขนั้นยังมีถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทีนี้คำว่า “เปลี่ยน” ตรงข้ามกับคำว่าอะไร ไหนใครตอบได้ คำว่าเปลี่ยนแปลงตรงข้ามกับคำว่า ต้องคิดให้ดีๆ บางทีเรามองของหลายอย่าง เราก็มองๆ ไป มองแล้วเหมือนกับว่าเหมือนๆ กัน เหมือนกับที่เรามองธรรมะก็เหมือนๆ กัน แต่ว่าถ้าบำเพ็ญปฏิบัติแล้วไม่เหมือนกัน เปลี่ยนแปลงตรงข้ามกับคำว่าอะไรตอบไม่ได้เหรอ (มั่นคง ถาวร)  “มั่นคงถาวร” ปรบมือให้หน่อย เป็นศิษย์อาจารย์นานๆ เจออาจารย์ที ไม่เอาในสิ่งที่อาจารย์ให้ได้อย่างไร อาจารย์ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ให้ของแล้วจะไม่เอา ใช่ไหม หรือว่าใช่ ถ้ามองเฉพาะข้างนอกก็ใช่อยู่นะ ใช้ใจสื่อใจดีหรือเปล่า (ดี)  คำว่าเปลี่ยนแปลงตรงข้ามกับคำว่า “คงมั่น มั่นคง”
คำว่าเปลี่ยนแปลงคือเปลี่ยนแปลงทุกเมื่อ คงมั่นคือไม่เปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวนี้มีเรื่องพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงแล้ว และในส่วนที่เราต้องคงมั่นไว้นี่ คืออะไรบ้าง ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ใครอยากตอบลุกขึ้นตอบ     สิ่งที่ชีวิตนี้เราต้องคงมั่นไว้มีอะไรบ้าง (ใจของเรา)  จะรอดทางไหน (เพื่อความอยู่รอด)  จะรอดทางไหนล่ะ  จะให้ชีวิตนี้รอดไปจนถึงร้อยปี  แล้วค่อยตายหรือว่าจะเอาให้ชีวิตจิตญาณ รอดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เอารอดทางไหน (รอดจากการเวียนว่ายตายเกิด)  (มีสัจจะ, มีความมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดี, พยายามทำแต่ความดี, ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด, มั่นคง คุณธรรมประจำใจ, บำเพ็ญแต่กุศล เพื่อความดียั่งยืนต่อไป)  ไหนลองดูซิว่าตอนนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายใครแพ้  ผู้ชายที่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น ผู้หญิงที่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น ประมาณโหลหนึ่ง  อย่าคิดว่าผู้หญิงชนะนะ เพราะว่าผู้หญิงมีปริมาณมากกว่า ใช่หรือเปล่า ต้องให้ชนะแบบขาดลอย (ต้องยึดมั่นสัจจะ, มีความแน่วแน่ ไม่แปรผัน, ทำความดี)
เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลง และตรงข้ามกับคำว่าคงมั่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์จะบอกว่า เปลี่ยนแปลง ก็คือเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ดี ให้กลายเป็นดีมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคำว่า “คงมั่น” หมายถึง คงสิ่งที่เราดีอยู่แล้ว ให้ดีอยู่เรื่อยๆ ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นความดี การเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ การเป็นลูกสะใภ้ที่ดี การเป็นลูกของแม่ที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีอีก การเป็นเพื่อนบ้านที่ดี การที่เราไม่โลภมากเกินไป การที่เรานั้นไม่โกรธมากเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเห็นผู้อื่นที่ทำไม่ดี แล้วเขาได้ดีแล้ว เราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เราจะเปลี่ยนแปลงจากการที่เราเป็นคนดีมากอยู่แล้ว เห็นว่าคนอื่นนั้นทำไม่ดีแล้วได้ดี เราก็จะไปทำตามคนๆ นั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)
แต่ในชีวิตของความเป็นจริงแล้ว อาจารย์เห็นศิษย์หลายคน เมื่อตัวเองทำดีอยู่แล้ว แต่เกิดความรู้สึกว่า ตัวเองทำดีไม่มีคนเห็นข้อดี แต่คนๆ นั้นเนี่ยใครๆ ก็เห็นเขาทำไม่ดี แต่เขาก็ยังได้ดีไปเรื่อยๆ เกิดความรู้สึกว่าไม่มั่นคงในความดีของตัวเอง เกิดการเปรียบเทียบกับคนๆ นั้นว่าเป็นอย่างไร แล้วเราก็ไปทำตามคนๆ นั้นเสีย โดยที่เราไม่ได้นึกถึงความเป็นจริงเลยว่า ผลของกรรมนั้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่เรานั้นศึกษามาตั้งแต่เล็กจนโต เกี่ยวกับเรื่องของบุญๆ กรรมๆ นั้นคือ กฎแห่งกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่าทุกๆ วันนี้เรายังเชื่อกฎแห่งกรรมไหม (เชื่อ)  ทุกวันนี้เราทำความดีมากกว่าหรือความไม่ดีมากกว่า (ไม่ดีมากกว่า, ดีมากกว่า)  ความดีแล้วก็มีความไม่ดีด้วย แล้วแต่ศิษย์ของอาจารย์จะตอบแล้วกันนะ ถ้าอย่างไรอาจารย์ก็ยังเชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี สำหรับไว้ปลูกต้นไม้ที่ดีให้งอกงาม ขอให้เรานั้นเลือกในสภาวะที่พร้อมที่ดี ก็คือดินที่ดีในการปลูกต้นไม้ของเรา การเลือกนี้เป็นการเลือกอย่างไร เลือกที่จะคบคนที่ดี เลือกที่จะคิดดี เป็นพื้นดินให้กับการปลูกต้นไม้ของเรา แต่ไม่ใช่การเลือกจนไม่ได้อะไรเลย  มีบางคนเวลาจะแต่งงานทั้งที ก็เลือกแล้วเลือกอีก จนกระทั่งเราไม่ได้แต่งงาน เวลาที่เราจะกินข้าวสักชามหนึ่ง ก็เลือกอาหารไป เลือกอาหารมา จนกระทั่งเรานั้นไม่ได้กินข้าว จะเลือกใส่เสื้อผ้าทั้งทีก็เลือกไปเลือกมา จนเสียเวลาเป็นชั่วโมง ขอให้เราเลือกแต่พองาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งการเลือกคบคนที่ดีนั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เรารู้ได้อย่างไรว่าเราคบคนที่ดี ก็มองตัวเราสิว่าดีหรือเปล่า ถ้าเรามีคนที่คบเรามาเราก็อาจจะเป็นคนที่ดี  แล้วก็จงรู้ว่าคนนั้นชอบเลือกคบคนที่ดีมากกว่าคนที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
จงทำตัวเราให้ดีเสมอ เอาตัวเรานั้นไปเทียบกับความไม่ดีต่างๆ จนกระทั่งจิตใจของเรานั้นมันขาดประสิทธิภาพ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  สิ่งที่ศิษย์นั้นต้องคงมั่นไว้ เมื่อสักครู่ที่อาจารย์ตอบ บางคนตอบเป็นความซื่อสัตย์ บางคนตอบเป็นความดีงาม ก็แล้วแต่ว่าเราจะรักษาสิ่งใดในตัวของเราให้ได้มากที่สุด มากนี้เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ศิษย์ทุกวันนี้รวยไม่รวย ไม่รวยเท่าไหร่ จนไหม อาจารย์บอกให้ จนเงินจนทองไม่เรียกจน แต่ถ้าจนน้ำใจนี้เรียกว่าจน ทุกวันนี้เราจนก็จริงแต่ขอให้เราตั้งอยู่ในความดีงาม ความดีงามนี้จะพาให้ชีวิตของเรานั้นราบรื่น เมื่อเราไม่นำความเดือดร้อนมาให้ตัวเองย่อมไม่ยาก จะดิ้นรนไปทำอะไร นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจารย์เรียกศิษย์ว่า ศิษย์มีบุญมาก เราไม่ค่อยได้ทำความผิดความบาปอะไร ขอให้ชีวิตนี้บำเพ็ญให้ดีๆ ตลอดไปก็เพียงพอแล้ว หากว่าเจอคนดี ก็รู้จักที่จะช่วยคนดี มีเวลาว่างศึกษาธรรมะ สร้างกุศลบ้างด้วยการออกแรงก็ดี ถ้าหากเงินไม่มีก็ออกด้วยแรง เช่นนี้แล้ว เราจะกลัวอะไรกับว่าเมื่อตายไปแล้วเราจะตกนรกใช่หรือไม่ เคยเห็นนรกในหัวใจตัวเองไหม (เคย) เวลาเราคิดไม่ดีรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหมือนกลัวคนรู้ไหม (กลัว) นั่นแหละนรก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกไปวงพระโอวาทซ้อน แล้วให้คนบุรีรัมย์ออกไปวง)
ในจังหวัดเดียวกันนั้นมีสถานธรรมอยู่ถึงสองแห่ง เป็นภาระที่มากแต่ทว่าก็เหมือนกับการทำให้มีแขนซ้าย และมีแขนขวา เป็นการเพิ่มให้มีแรงมากขึ้น ให้มีกำลังมากขึ้น มองในแง่ดีก็ยิ่งจะดี เพราะฉะนั้นต้องยิ่งรุดหน้า มีเวลาว่างให้มาช่วยจุนเจือสถานธรรมนี้หน่อยนะ ศึกษาธรรมให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทาน พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจนักสู้”)
หัวใจนักสู้นั้นเป็นอย่างไร หัวใจนักสู้คือความไม่ยอมแพ้ในสิ่งต่างๆ อย่างง่ายดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์มีหัวใจนักสู้ เพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นเป็นคนที่อ่อนแอ เป็นชีวิตที่ยอมแพ้ปัญหาอยู่เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้ว คนที่แพ้ก็มี คนที่ชนะก็มี แต่เราก็เลือกเป็นคนแพ้อยู่เป็นประจำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงเมื่อมีปัญหาอยู่ข้างหน้า เราก็ถอยมาสามก้าว พอปัญหาวิ่งเข้ามาหาเรา เราก็หันหลังวิ่งหนี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าเจอปัญหาเล็กหรือใหญ่ บางทีเรายังไม่ทันมองเลย ปัญหานี้ที่เราเองก็เป็นคนสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าอยากให้ศิษย์มีหัวใจของนักสู้ แต่ไม่ใช่สู้เพื่อให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่สู้นี้คือสู้กับกิเลสของตัวเองให้ชนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ยากเกินไป สิ่งเดียวที่อยากได้คือละกิเลส เมื่อเราไม่มีกิเลส จิตใจของเราก็ย่อมดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบไปแล้วก็เหมือนศิษย์เอาของสิ่งหนึ่งที่ลอยอยู่ในน้ำ แต่เราก็ยังจะใช้มือของเรากดลงไปให้มันจมให้ได้ หากว่าเราละกิเลสก็เหมือนกับเราเอามือออกจากสิ่งนั้น รู้สึกเบาจากกิเลสนั้น อาจารย์อยากให้ศิษย์มีความรู้สึกที่ดีแบบนั้น
พุทธะกับปุถุชนนั้นล้วนเกิดมาจากมนุษย์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพุทธะนั้นรู้จักปล่อยวาง ส่วนมนุษย์นั้นชอบยึดติด ศิษย์จะเป็นคนไหน อยากเป็นพุทธะหรือปุถุชน อยากเป็นพุทธะก็ต้องรู้จักปล่อยวางบ่อยๆ  สิ่งนี้เรียกว่ามุ่งมั่น อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์มีหัวใจนักสู้ มีความมุ่งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ศิษย์นั้นต่างเป็นคนมีบุญ ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์ อาการครบบริบูรณ์ จะเรียกว่าไม่มีบุญได้อย่างไร ฉะนั้นจงรู้และใช้ในสิ่งที่ตนเองมี
หลังจากวันนี้ไป ถ้าหากว่ามีคนเรียกศิษย์มาฟังธรรมะ ถ้าเราว่างเราจะมาไหม (มา)  การบำเพ็ญธรรมะแม้เป็นเรื่องที่ไกลจากตัว ไม่ว่าศิษย์จะยืนหรือนั่ง เดินหรือนอน ทุกๆ อย่างสามารถมีธรรมะอยู่ข้างในได้ทั้งสิ้น โลกเรานี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อาจารย์หวังอยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นตั้งมั่นอยู่ในความดี โลกนี้เหมือนกับคนที่เดินไม่ไหว ต้องให้การประคอง แม้ว่าต้นไม้ต้นเดียวอาจเกิดน้ำป่าไหลหลากได้ แต่ว่าต้นไม้หากว่ามีครึ่งป่าค่อนป่าก็สามารถที่จะกันไว้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีหากมีเป็นกองทัพ ความชั่วที่ไหนจะสามารถเอาชนะได้ อาจารย์เห็นศิษย์เป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง อาจารย์เป็นคนปลูกต้นไม้ อาจารย์ย่อมไม่อยากให้ต้นไม้ต้นนั้นตายไปด้วยพืชหรือแมลงอันเป็นกิเลส ต้นไม้ที่ขาดน้ำก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญที่ขาดกำลังใจ อาจารย์ย่อมไม่อยากให้ต้นไม้ต้นนั้นแห้งตายไปอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนี้ คนมีบุญร่วมทางเดียวกัน คนหมดบุญเราก็ช่วยๆ กัน เรียกร้องให้เขานั้นมาบำเพ็ญให้ได้
ทุกๆ คนนั้นมีจุดอ่อน แล้วเวลาที่มารหรือกิเลสต้องการทำร้ายเรา ก็ทำร้ายเราตรงจุดอ่อน อาจารย์จึงอยากให้ทุกๆ คนเข้มแข็ง อย่าเป็นชีวิตที่อ่อนแอ อย่าเป็นต้นไม้ที่หักโค่นตามลมไป อนาคตเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจอดีตที่ขมขื่นก็ดี อดีตที่ดีแค่ไหนก็ผ่านไปเรียบร้อย จงเอาชีวิตนั้นมุ่งมั่นอยู่กับปัจจุบันนี้ ปัจจุบันสิ่งที่ควรทำคือทำให้จิตใจของเราดีงามพร้อมเสมอ เพราะว่าคนเรานั้นจะเกิดมาอยู่ดีๆ ก็เกิด คนเราจะตายอยู่ดีๆ ก็ตาย เราไม่รู้ว่าวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่คือวันสุดท้ายหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกๆ วันก็จงทำในสิ่งที่ดีที่สุด ดีหรือไม่ดี (ดี)  อย่ามัวสะดุดด้วยอารมณ์ของตัวเอง ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย เพราะปัญหาใหญ่ๆ เริ่มมาจากปัญหาเล็กๆ และเมื่อมีปัญหาเล็กๆ ศิษย์จะรอให้มันใหญ่เหมือนเชื้อโรคที่ลุกลาม หรือว่าเต็มใจจะตัดมันออกๆ ไป หากบอกอาจารย์ว่า อาจารย์อยากจะตัดแต่เราก็กลัวเจ็บ เราไม่ยอมเสียอะไรเลย และศิษย์จะตัดกิเลสเหล่านั้นไปได้อย่างไร อยากได้เงินก็ต้องทำงานแลก อยากได้มรรคผลนิพพานก็ต้องลงทุน
วันนี้เจอศิษย์ที่นี่ วันหน้านั้นยังไม่รู้ว่าจะเจอศิษย์อีกหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรมไม่ได้แยกว่าศิษย์นั้นเป็นคนไทยหรือว่าจะพูดภาษาไหน เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นลงแรงที่จิต ไม่ได้สนใจว่าศิษย์นั้นพูดภาษาอะไร ไม่ได้สนใจว่าเป็นคนผิวสีอะไรแต่สนใจว่าจิตใจของเรานั้นถูกยกระดับให้ดีขึ้นหรือยัง บำเพ็ญธรรมคือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นๆ  นี่คือการบำเพ็ญธรรม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมนักเรียนชายในชั้น)  
ผู้ชายในชั้นจำไว้ให้ดีๆ  บำเพ็ญธรรมคือการแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ก่อนมาที่นี่อาจจะมีเรื่องที่ไม่ดีแต่หลังจากวันนี้ไปต้องทำแต่สิ่งที่ดีๆ  รู้ไหม บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ  มีเวลาว่างศึกษาให้มากๆ  จงเชื่อมั่นความดีที่มีอยู่ในโลกนี้ และจงเป็นคนดีเพื่อเชิดชูเกียรติแห่งความดีนี้ให้มากๆ  เมื่อคนในโลกนี้ดีมากศิษย์ก็จะมีโลกที่ผาสุกอยู่เข้าใจไหม
อาจารย์อ้าแขนรอรับศิษย์ทุกคน อย่าเดินหนีอ้อมแขนของอาจารย์ไป จงทำให้ดีที่สุด อาจารย์เป็นพุทธะ ศิษย์เป็นพุทธะก็อยู่กับอาจารย์ ศิษย์เป็นคนขี้โมโหเป็นคนทำแต่สิ่งไม่ดี ศิษย์ก็อยู่กับพุทธะไม่ได้ ศิษย์ก็อยู่กับอาจารย์ไม่ได้ ขอให้ตามอาจารย์มาติดๆ  ลาก่อน รักษาสุขภาพให้ดีๆ  เจอกันใหม่เมื่อมีเวลา อย่าท้อแท้ง่ายดายรู้ไหม (รู้)  


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งนักสู้”

ทำพูดหนึ่งเดียวกันน้อยพะวง คิดเป็นคงใจกว้างดั่งเวหา
เมื่อมั่นในปณิธานกล้ากว่ากล้า ไม่สิ้นความก้าวหน้าในกมล
บำเพ็ญกล้าไม่ฝันแต่ความสบาย ใจวุ่นวายประสานใจยิ่งตกหล่น
ทอดสืบงานหวังเต็มใจอดทน ฟ้าเบื้องบนให้กำลังจุนเจือ
เดินไม่หยั่งทางดีกลายร้าย คนจนกำลังใจอยู่ทุกเมื่อ
คนประมาทเคยชินไม่รู้เบื่อ จงคิดเอื้อชีวิตด้วยใช้ธรรม

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2544

2544-03-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร





วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

จิตเข้มแข็งเอาชนะอุปสรรค รู้ตระหนักด้วยปัญญาพาสดใส
เรื่องทุกอย่างในโลกมีทางออกได้ เพียงเข้าใจจะแก้ด้วยทำอย่างไร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจินจง  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

การเริ่มต้นแฝงความหมายแห่งความพร้อม การรอมชอมย่อมดีกว่าการเอาเรื่อง
มนุษย์นั้นล้วนเกิดมาผู้ปราดเปรื่อง ขอชำเลืองตนเกิดมาเพื่ออะไร
ตลอดเวลาจิตใจเฝ้าสับสน ไว้ใจคนจิตสงบระดับหนึ่ง
ทำความดีด้วยจิตใจไม่หย่อนตึง เป็นที่พึ่งให้คนเพราะเรายืนมั่น
ในวันนี้มีโอกาสมาพร้อมหน้า เพราะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวน้องรู้ไหม
เร่งศึกษาพระธรรมให้แจ้งใจ และแก้ไขความผิดมากดั่งเกล็ดปลา
ตัดกิเลสละอารมณ์ให้หมดสิ้น แม้แดนดินยังมีเครื่องลวงใจหลาก
แต่ว่าผู้บำเพ็ญไม่กลัวลำบาก ขอให้มากความพยายามและอดทน
สองวันนี้ฟื้นฟูจิตย้อนมองตน เกิดเป็นคนต่างเคยพลาดไม่มีเว้น
แต่ครานี้พบพระธรรมอันเยือกเย็น ขอจงเบนสู่ทางธรรมด้วยศรัทธา
ขจัดจิตงมงายและความสงสัย เดินทางไกลคนมั่นคงจึงไปถึง
อย่าได้เป็นคนโลเลทิ้งกลางครึ่ง ใจเป็นหนึ่งกับพุทธะมาคืนแดน
หลายเรื่องนั้นยามคิดง่ายแต่ทำยาก พี่ขอฝากจงตั้งใจสม่ำเสมอ
วันหนึ่งหนึ่งมีหลายครั้งที่เผอเรอ แต่อย่าเผลอทำผิดอย่างจงใจ
น้องที่มาในวันนี้ล้วนมีบุญ สนับสนุนตนเองเข้าน้องทั้งหลาย
สามวันดีสี่วันไข้เพียรอย่างไร ทำอะไรมีจุดหมายจึงยั่งยืน
อย่าดูถูกตนเองทำไม่ได้ ฟ้าแม้ไกลแต่คลุมครอบคนเรื่อยมา
อย่าได้หลงทรัพย์สินอีกยศถา หนึ่งชีวาใช้บำเพ็ญพ้นว่ายเวียน
ปัจจุบันใจคนเสื่อมน้อยคนดี แต่ไม่ใช่จะไม่มีเร่งฉุดช่วย
พิจารณาให้นานนานก็จะช่วย ให้มองเห็นด้วยปัญญาวิเศษจริง
ในวันนี้มีโอกาสมาคุมชั้น ทั้งสองวันหวังว่าน้องต่างอยู่ครบ
พุทธระเบียบรักษาด้วยเคารพ ขอให้จบชั้นนี้ไปปฏิบัติจริง
ธรรมะใช่สิ่งที่มองเห็นได้ ทำเท่าไรได้เท่านั้นตลอดมา
อย่าได้ตีทุกสิ่งเป็นราคา สร้างคุณค่าให้ชีพตนหมั่นช่วยคน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

หยดน้ำค้างต้องแสงส่องประกาย พริบตาหายดุจเมธีไปไม่คิดหวน
หลงกับฝันในโลกอันเชิญชวน ยอมสู้ทวนกระแสไหมในโลกีย์
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

เปรียบดั่งคนสลับนั่งสลับลุก สุขและทุกข์ไม่สุขไปทั้งหมด
แม้คลายทุกข์ก็สุขไม่ปรากฏ กระจ่างกฎได้ทำงานสบายใจ
เผลออวดใจจิตด้วยอารมณ์ตน ความไม่ดีบรรลุผลยากแก้ไข
ทั้งที่รู้รู้ไม่ห้ามฤทัย เตือนตนในความอวดประกวดดี
ทางถ้าตันอย่าถือทิฐิฝ่า ใช้ปัญญาลดทิฐิไม่ต้องหนี
ยิ่งอ่อนน้อมยิ่งรู้ชีวิตดี ใช่บำเพ็ญเพียรยามที่อับจนทาง
มีเรื่องเศร้าอย่าได้หนีปัญหา ซ่อนหน้าว่ากลบเกลื่อนจนกระด้าง
จำเพาะได้สุขคืนเมื่อปล่อยวาง คิดสะสางขลุกปัญหานานตาลาย
พลาดไม่เพี้ยนจิตพายนาวาธรรม เมธีจำปวงกิเลสเล็กไปใหญ่
เริ่มจากน้อยแต่ผุดประดุจสาย มาเข้าใจอุปสรรคเวียนวนเพราะตน 
ชะตากรรมเขียนด้วยนิสัยเป็นอาจิณ คำติฉินประชากล่าวให้ฝึกฝน
อภัยเกิดสามัคคีเกิดหลังย้อนตน วาจาคนถอดความจากสัมมาเอย
จงช่วยกันใจเข้าสู่ศรัทธา ร่วมมือกันฤทัยมาเปิดเผย
ต่างครองชีพสรรค์สร้างโอกาสเอย อย่าละเลยสำคัญด้วยเห็นไม่สำคัญ
กายใจงามคุณธรรมให้ทั่วหน้า ทรัพย์ไร้ค่ายิ้มใสกำลังขวัญ
บำเพ็ญธรรมจริงใจควรเท่ากัน จิตพื้นฐานสะอาดเป็นสิ่งควรมี
คนเผอเรอหลงชินชาความผิด เดิมพันชีวิตรักษาอาการในผิดนี้
จงเป็นคนดีและบำเพ็ญดี เข้มแข็งที่ได้พาไม่เวียนวน
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

น้ำค้างเวลาโดนแสงแดดแรงๆ อยู่ได้นานไหม (ไม่นาน)  แวบเดียวก็จางหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนสติของมนุษย์หรือเปล่า มีสติอยู่แค่แผล็บๆ มา แผล็บๆ ก็ไป แต่สติของมนุษย์นั้นแผล็บมาแผล็บไปก็กลับมาได้ ไม่ใช่เหมือนน้ำค้างที่โดนแสงแดดแล้วก็หายวับ แต่หายวับจริงๆ หรือไม่ (ไม่จริง) แล้วหายไปไหนล่ะ (หายไปในอากาศ) ระเหยไปในอากาศและพร้อมจะกลั่นตัวกลับลงมาเป็นหยดฝนหรือหยดน้ำค้างอีกคราหนึ่งยามรุ่งเช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์นั้นเป็นเช่นไรล่ะ เรามาดูกลอนกันนะ
"หยดน้ำค้างต้องแสงส่องประกาย พริบตาหายดุจเมธีไปไม่คิดหวน
หลงกับฝันในโลกอันเชิญชวน ยอมสู้ทวนกระแสไหมในโลกีย์" 
บางครั้งพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นมนุษย์ในแดนโลก มีความสนุกสนานมีความรื่นเริงบันเทิงใจ มีความยินดีปรีดาทางโลก การจะกวักมือหรือการจะกู่เรียกให้ตื่นจากฝัน มารับรู้ความเป็นจริงของโลกนี้ ที่สุขสนุกสนาน ที่เพลิดเพลินจำเริญใจนั้นแท้จริงไม่ใช่ความสุขที่นิจนิรันดร์ ท่านยังถูกสภาวะแวดล้อมบดบังนัยน์ตาแห่งพุทธะ ทำให้มองไม่เห็นความเป็นจริงของชีวิต ทำให้เห็นว่าสุขที่ผ่านมาเหมือนลมพัดผ่านให้เย็นนั้นเป็นสุขที่แท้ การที่พุทธะจะลงมาปลุกให้เวไนยสัตว์ได้ตื่นจึงยากที่จะทำใจ พูดง่ายๆ ว่าทำใจยากที่จะปลุกให้ท่านตื่น เพราะถ้าท่านยังมีความสุขอยู่ จะปลุกให้พบความจริงของโลกที่น่าทุกข์ทนก็ดูจะใจร้ายไป คนที่จะเรียกต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)  แต่จะรอให้ท่านทุกข์แล้วปลุกจากทุกข์ก็กลัวท่านไม่มีกำลังใจที่จะลุกมาต่อสู้ จริงไหม (จริง) ถ้าตอนนั้นท่านกำลังทุกข์ พุทธะบอกว่า ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ ท่านก็บอกว่าไม่มีเรี่ยวแรง แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ถึงเวลาเรียกก็ต้องเรียก ถึงเวลามาก็ต้องมา  ไม่มีใครห้าม หรือกำหนดชะตาชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาต้องปลุกให้ท่านตื่น จะทุกข์จะสุขอย่างไรก็ต้องรีบตื่นเสีย แต่ถ้าตื่นแล้วไม่ตื่นจริงๆ จะกลับไปหลับฝันต่อ นั่นก็จนใจจริงไหม (จริง)  แล้ววันนี้อยากหลับต่อหรือจะตื่นมากับเราดี (ตื่น)  ถ้าใครอยากตื่นก็จงเรียกสติ เรียกกำลังใจออกมา อย่าเพิ่งง่วงเหงาหาวนอน  เรามาคุยกันต่อดีไหม (ดี)  
เคยได้ยินชื่อเราบ้างไหม เคยได้ยินแปดเซียนข้ามทะเลไหม แล้วมีเซียนองค์หนึ่งผูกผมจุกสองข้างและถือตะกร้าดอกไม้แต่เป็นผู้ชาย เคยเห็นไหม 
มีความสุขกันดีไหม ฟังธรรมะมีความสุขไหม (มี) อย่าฟังธรรมะแล้วยิ่งห่อเหี่ยวลงเศร้าใจลง อย่างนี้ไม่ถูกนะ เซียนเด็กเคยกล่าวว่าอย่างไร ถ้าฟังธรรมะยิ่งฟังยิ่งสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ก็เป็นพุทธะ แต่ถ้าฟังธรรมะยิ่งหวาดกลัวยิ่งลนลานก็เป็นผี เป็นวิญญาณ เป็นปีศาจใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ชีวิตนี้สิ่งที่สำคัญคืออะไรบ้าง (การสร้างบุญบารมี, ละบาปบำเพ็ญบุญ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์) ในความเป็นจริงแล้วทุกๆ สิ่งในโลกนี้สำคัญหรือไม่สำคัญขึ้นอยู่ที่ไหนกัน (ใจ) ใครว่านิ้วหนึ่งสำคัญบ้างยกมือ  ใครว่ามือทั้งมือสำคัญบ้างยกมือขึ้น ใครว่าแขนทั้งแขนสำคัญบ้างยกมือขึ้น เราต้องปรบมือให้กับคนที่เห็นนิ้วสำคัญมากกว่า ไม่ใช่เพราะเล็กน้อยแล้วจึงเกิดเป็นแขนๆ หนึ่งหรือ ใช่ไหม  ถ้าหนึ่งนิ้วไม่สำคัญ สองนิ้วสำคัญไหม หนึ่งนิ้วไม่สำคัญตัดไปก็เหลืออีกหนึ่งนิ้ว  ฉะนั้นอีกหนึ่งนิ้วจะสำคัญไหม ก็ไม่สำคัญกับท่านอีก พอตัดไปสองนิ้วแล้ว นิ้วที่สามจะสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) ก็โดนตัดอีก แล้วถ้าห้านิ้วไม่สำคัญมือจะสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) ในเมื่อมือไม่สำคัญแล้วแขนจะสำคัญได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราจึงพูดแบบนี้  หลายต่อหลายคนนั้นมักจะเห็นใหญ่ ๆ สำคัญ เล็ก ๆ ไร้คุณค่า จริงไหม (จริง) อย่างนั้นบาทเดียวอย่าสะสม ร้อยเดียวอย่าเก็บเข้าธนาคาร ดีหรือเปล่า ร้อยเดียวใช้ให้หมด ห้าพันใช้ให้เกลี้ยง ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) หนึ่งร้อยจึงเกิดห้าร้อย ห้าร้อยจึงเกิดเป็นพัน พันจึงเกิดเป็นหมื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในความสำคัญนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็กน้อย เฉกเช่นเดียวกับการทำความดี แค่ช่วยยกน้ำให้คนอื่นที่เขาหิวกระหาย เป็นผู้สูงอายุ เรามักไม่ทำใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดผู้สูงอายุนี้มีเกียรติมีตราตั้งเราทำไหม (ทำ) อย่างนี้ทำดีเพื่อความดี หรือทำดีเพื่อหน้าตาและชื่อเสียงกันล่ะ  (ทำดีเพื่อหน้าตาและชื่อเสียง)  ปัจจุบันจึงเห็นคนทำดีเพื่อความดีน้อย ส่วนใหญ่ทำดีเพื่อชื่อเสียง ทำดีเพื่อลาภสักการะ ใช่หรือไม่  แล้วโทษว่าสังคมเสื่อมทราม  เราต่างหากที่ตั้งไม่ตรงแล้วโทษว่าโลกเอียง  แม้โลกจะเอียงจริงก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่เราคุยกับท่านเรื่อย ๆ นะ ฟังให้สบาย ไม่ใช่ฟังแล้วคิดแต่ว่า "จริงไม่จริง เท็จไม่เท็จ พุทธะหรือเปล่า หรือเด็ก" อย่างนี้จะฟังเราไม่รู้เรื่องนะ ทุกท่านในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีความรู้ แต่คนที่จะรู้อย่างแท้จริง คือรู้แล้วปิดประตูตัวเอง ปิดหน้าต่างตัวเองไม่ศึกษาต่อ นั้นเรียกว่าผู้รู้แท้หรือผู้รู้เทียม (รู้เทียม) ทำไมถึงว่ารู้เทียมล่ะ  (เพราะปิดประตู) ตอบได้ดีมากเพราะปิดประตู บางครั้งเรามักจะลืมปัญหาของตัวเอง ทำไมเราจึงทุกข์ล่ะ ก็เพราะเรามองเห็นทุกข์เป็นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือว่าหากแม้นเราจะเป็นผู้ศึกษามากก็ตาม แต่ถ้าปิดประตูศึกษาวันหนึ่ง จะกลายเป็นผู้ด้อยการศึกษาไปหนึ่งวันจริงไหม (จริง) เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกๆ วัน ใจคนหมุนเวียนเปลี่ยนไม่แน่นอน ธรรมชาติก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าท่านช้าการศึกษาไปนิดนึงแม้จะเป็นผู้คงแก่เรียน ก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่รู้ไปได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าเกี่ยงการศึกษาอย่างอแงเอาแต่ใจตนเอง ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา เพราะตนเองทำตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ชีวิตนี้ถ้าเราเห็นทุกอย่างสำคัญ ก็มีความสำคัญ แต่ถ้าเห็นไม่สำคัญก็ไม่สำคัญไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าสำคัญแล้วยึดติดไหม สำคัญแล้วยึดมั่นเกินไปหรือเปล่า บางคนเห็นชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ เห็นตัวเองมีคุณค่า ยึดมั่นและให้ความสำคัญกับตนเองมาก ให้ความสำคัญคนอื่นน้อยไม่ค่อยเห็นคุณค่า หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงเงินทองทรัพย์สินที่มีเราให้ความสำคัญหมดทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราให้ความสำคัญเราก็เลยยกย่องสิ่งของสิ่งนั้นว่าเป็นจริงเป็นของเราและต้องอยู่กับเราแน่นอน เคยคิดอย่างนี้ไหม (เคย) เหมือนเรารักชีวิตเรา เราให้ความสำคัญกับชีวิตเรา และเราก็ให้เกียรติกับตัวเราเอง แต่ถ้าท่านเคยได้ยินคำว่า "เมื่อไรที่เห็นชีวิต เห็นทุก ๆ สิ่งในโลกนี้เป็นจริง ก็เปรียบได้กับคนที่กำลังฝัน หาใช่คนตื่นที่แท้จริงไม่" เคยได้ยินคำนี้ไหม (ไม่เคย)  จบเรื่องความสำคัญไปแล้วนะ เราจะมาเข้าอีกเรื่องหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกัน เมื่อไรที่เราเห็นว่าชีวิตสำคัญแน่นอน เงินทองสำคัญต้องยึดมั่น เสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามต้องเฉิดฉัน ต้องดีเลิศกว่าใครๆ เมื่อไรที่เราเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นจริง หรือแม้แต่ชีวิตของเราเป็นจริง เราก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ยังฝัน หาใช่ผู้ที่ตื่นแท้จริงไม่ เพราะผู้ที่ฝันคือผู้ที่เห็นทุกอย่างในโลกนี้เป็นจริง เที่ยงแท้ และไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ผู้ที่ตื่นแล้วคือผู้ที่เห็นว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอน สรรพสิ่งในโลกนี้หาเที่ยงแท้ไม่ พอเข้าใจบ้างหรือไม่ว่า "ตื่น" กับ "ฝัน" ต่างกันอย่างไร คนที่ตื่นแล้วคือคนที่สามารถเข้าใจสภาวะความเป็นจริงบนโลกใบนี้ ว่าชีวิตที่แท้จริงล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ย่อมมีเจ็บไข้ได้ป่วย ย่อมมีเปลี่ยนแปลง ดี ร้าย ทุกข์ สุข 
สรรพสิ่งไม่ว่าเงินทองหรือชื่อเสียงย่อมมีแน่แท้และไม่แน่นอน เขาจึงไม่กล้าเห็นทุกอย่างสำคัญและเป็นจริง เพราะว่ากลัวให้ความสำคัญมากเกินแล้วจะปล่อยวางไม่ได้ กลัวรักมากเกินแล้วจะทิ้งไม่ลง กลัวหวงแหนมากเกินแล้วให้คนอื่นไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่) นี่คือจุดต่างระหว่างผู้ตื่นกับผู้ฝัน นี่แหละคือจุดต่างระหว่างผู้มองเห็นโลกกับไม่เห็นโลก พอเข้าใจบ้างไหม จึงสรุปกันได้ว่า ชีวิตคือความฝัน รู้หรือเปล่า โดยเฉพาะถ้าฝันดีก็นอนต่อ ฝันร้ายจึงอยากตื่นขึ้น แต่อย่างที่เราบอก ถ้าท่านตื่นขึ้นยามฝันร้าย ท่านจะมีแรงไปต่อสู้ไหม (ไม่มี)  จงกล้าตื่นเมื่อยามฝันดี จงกล้าที่จะมองเห็นความเป็นจริงบนโลกใบนี้เมื่อยามสุขเกษมเปรมปรีดิ์ นี่แหละคือที่เรียกว่าคนที่อยู่บนโลกแล้วสามารถเข้าใจโลกและอยู่เหนือโลกใบนี้ หรือพูดง่ายๆ คือผู้ที่รู้จักเอาธรรมะมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตตัวเอง เรียกว่า มีธรรมไม่เสียเปล่า อย่าได้มีธรรมสักแต่มีธรรม อย่าได้มีธรรมสักแต่แขวนชื่อว่าเป็นคนมีธรรม แต่การปฏิบัติไร้และไม่มีเลย อย่างนี้ธรรมะก็ช่วยให้เราเจริญหรือพ้นทุกข์ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) กลับจะช่วยทำให้เราหลับฝันดีไม่ยอมตื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่ามนุษย์ในโลกนี้กลัวที่สุดก็คือ กลัวตัวเองต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกข์ตอนฝันแล้วใครจะช่วย ใครเคยฝันแล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ยกมือขึ้น ใครเคยฝันแล้วเอาแต่หนี สู้ไม่เป็นยกมือขึ้น ใครเคยฝันแล้วสามารถเอาชนะมารในฝัน ศัตรูในความฝันได้ยกมือขึ้น บางครั้งกว่าจะสู้ได้ต้องมีภาคต่อ วันนี้ยังไม่ได้ฝัน ตื่นเสียแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในฝันนั้นเราไม่สามารถกำจัดศัตรูได้อย่างแท้จริง ฉะนั้นจึงต้องรีบตื่นแล้วกำจัดศัตรูให้หมดสิ้น อย่าฝัน ถ้าฝันแล้วจะกำจัดศัตรูได้ไม่สิ้นซาก เดี๋ยวมีภาคหนึ่ง ภาคสอง พลิกหมอนนอนต่อฝันอีกเป็นภาคสามใช่ไหม (ใช่)  แถมในฝันไม่มีพระเอก นางเอกนะ ถ้ามีก็ไม่ใช่ดังที่ใจคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีฝันไปฝันมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาได้อย่างไร เคยมีไหม ฉะนั้นจงตื่นจากฝันได้แล้วนะ ต่อสู้กับความเป็นจริงด้วยชีวิตของตนเอง แล้วเอาอะไรมาสู้ล่ะ เอาปัญญาแห่งธรรมะ เอาธรรมะที่ได้ศึกษามาต่อสู้ ใครสู้ล่ะ เราสู้หรือท่านสู้  (ตัวเราเอง) ตัวท่านเองต้องสู้กับตัวท่านเองนะ เดี๋ยวเราจะพูดต่อว่า การสู้นี้ต้องสู้ด้วยอะไรบ้าง  และจะเอาชนะได้อย่างไร 
สุขทุกข์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตท่านไหม (สำคัญ)  ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญไหม (สำคัญ)  สำคัญ แล้วยึดมั่นไม่ให้เปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้)  สุขทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน มีความสำคัญกับชีวิตมากไหม  สุขทุกข์เป็นเรื่องสำคัญ ตอนนี้เรามาศึกษากันต่อดีกว่าว่า เมื่อเราตื่นขึ้นแล้ว เราต้องขจัดทุกข์ออกไปจากตัวตนให้หมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เป็นสิ่งที่มาเมื่อไร ก็แก้เมื่อนั้น เพราะถ้าทุกข์มาเมื่อไรท่านก็เอาแต่ทุกข์ เอาแต่ทุกข์ แล้วจะหายทุกข์ไหม (ไม่หาย)  ไม่มีวันหายหรอก  มาเมื่อไรก็หวานอมขมกลืน เก็บไว้กดไว้ในใจ ถูกทางหรือเปล่า  ไม่ถูกนะ มีทุกข์อย่าได้เก็บไว้จงคิดหาทางแก้ ถ้าบางเรื่องแก้ไม่ได้จงปล่อยวาง และยืนรับความเป็นจริง ในโลกนี้มีสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถสุขได้นั่นก็คือ การให้อารมณ์อยู่เหนือความเป็นจริง พุทธะอยากจะบอกไว้ว่าเมื่อไรที่เรามีชีวิตจงรู้ไว้ว่าชีวิตนั้นคือความตาย เมื่อไรที่เรามีรักจงรู้ว่ารักนั้นพร้อมจะผิดหวัง เมื่อไรที่เรามีได้ จงรู้ว่าในได้นั้นพร้อมที่จะมีสูญเสีย.นั่นก็คือว่า อย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่ จนมองไม่เห็นความเป็นจริงหรือหน้าตาจริงๆ ของสรรพสิ่งในโลกนี้ เมื่อไรที่เรามีโกรธจงเห็น “อภัย” เมื่อเขาไม่เป็นดั่งหวัง จริงไหม บางครั้งเมื่อมีรัก รักของเราจึงสวยงาม พอเขาหมดจากสวยเราจึงผิดหวังและทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ยากที่จะสุขได้อย่างแท้ เพราะเราเห็นหน้าตาภายนอกแต่ไม่เห็นถึงความเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไรที่เราอยากจะสุขจงเห็นได้ทั้งหน้าตาที่มองเห็นและทั้งสิ่งที่ไม่อาจคาดฝันได้ด้วย ดีหรือไม่ (ดี)  เหมือนลูกหลานเรา เหมือนเพื่อนเรา เหมือนสามีเรา ให้เผื่อใจไว้ เหมือนดังคำกล่าวว่า "เตรียมไว้ก่อนเนิ่นๆ แม้ภัยมาก็จัดการได้ ตั้งรับได้ทัน" เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า "อย่าประมาท" แม้ตนเองจริงหรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าเราอยู่บนโลกจะได้สิ่งใดจะเสียสิ่งใด อย่าลืมมองสิ่งตรงข้ามของสิ่งของนั้น และเราจะได้ทำใจเผื่อไว้ได้ นี่คือการที่เราจะหาความสุขได้หนึ่งเรื่อง 
อีกเรื่องนั้นก็คือ ถ้าใจเราไม่นิ่ง ถ้าใจเราไม่สงบเราจะไม่มีวันสุขได้เลย ถ้าใจเราไม่รู้จักว่าการนั่งเฉยๆ ก็มีความสุข ยืนเฉยๆ ก็มีความสุข ได้สิ่งที่ไม่ถูกใจก็มีความสุขทำได้ไหม (ไม่ได้)  นั่นก็เพราะมนุษย์นั้นเป็นคนที่สุขยาก ทุกข์ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งโน้นก็ไม่ถูกใจ สิ่งนั้นก็ไม่ถูกตา เสียงนั้นก็ขัดหูไม่ไพเราะ ทำไมไม่เป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยากบ้างล่ะ จริงหรือเปล่า อะไรๆ ก็ดีไปหมด ยิ้มนิดๆ ก็รู้สึกดี ยิ้มกว้างๆ ก็รู้สึกดี ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เรากำหนดให้สุขตัวเองสูงมากๆ แล้วกำหนดทุกข์ให้ง่ายมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่สองที่จะช่วยให้สุขง่ายทุกข์ยากๆ ดีหรือเปล่า (ดี)  นั่งนานๆ สุขไหม (ไม่สุข)  จะนั่งนานนั่งเล็กน้อยก็สุข ดีกว่าไม่ได้นั่งจริงไหม (จริง)  แต่ไม่ได้นั่งก็สุข ใช่หรือเปล่า จงสุขง่ายๆ ซะ แล้วแค่นี้เราก็ยิ้มได้แล้ว 
แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สุขยาก ก็เพราะว่าเรานั้นยึดติดในรูปนามสมมติ ใครว่าเราไม่หล่อ ใครว่าเราไม่สวย โกรธไหม สุขลงไหม วันนี้เขามีกระเป๋าใหม่แต่เราเป็นกระเป๋าเก่าสุขลงไหม เขาเรียนโรงเรียนดี เราเรียนโรงเรียนธรรมดาสุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขเพราะอะไร เพราะเรายึดติดในรูปนามชื่อเสียง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้นั่งกับเขาเราใส่เสื้อเปื้อน เขาใส่เสื้อขาว สุขไหม (ไม่สุข)  เขาใส่เสื้อลายเราใส่เสื้อเรียบสุขไหม (จะลายอย่างไรก็สวยกว่า)  นั่นก็เพราะว่าเรายึดติดในรูปนาม เราจึงไม่สุข วันนี้เห็นนักเรียนนั่ง ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนสุขไหม (สุข)  ทำไมยิ้มยากไปล่ะ ผู้ปฏิบัติงานธรรมกลายเป็นเสือยิ้มยาก นักเรียนในชั้นกลายเป็นแมวนอนหวด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟังแล้วก็ขดตัวหลับอย่างเดียว ใช่ไหม (ใช่) แมวนอนหวดนี้พอเดินออกไปกลายเป็นเสือผยองไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
การหาความสุขง่ายๆ มีอยู่สามอย่าง คือทำอย่างไรบ้าง (ทำใจให้สงบ)  มีคนช่วยข้อหนึ่งแล้ว นั่นก็คือสุขในการที่จะรู้จักทำใจให้สงบบ้าง มนุษย์เราที่ไม่สุขก็เพราะอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อีกสองข้อ (ไม่ยึดติด)  ไม่ยึดติดในรูปนามสมมติ  ยังขาดอีกหนึ่งข้อ   อย่าให้อะไรมากกว่าอะไร จำได้ไหม (อย่าให้ความทุกข์มากกว่าความสุข, อย่าให้มีความสุขมากกว่าความทุกข์) หลายต่อหลายคนอยากมีสุขเยอะๆ ใช่ไหม (ใช่)  อยากมีสุขมากๆ ไม่ยากเลย  สุขนี้มีอยู่ที่ตัวท่านแล้ว  ทุกข์นี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราหรอก เรารีบขับออกไปให้ไกลๆ ทำไมเราจึงบอกว่าสุขนั้นมีอยู่ในตัวเราล่ะ  แค่เรายิ้ม แค่เราให้อภัย แค่เราไม่โกรธ แค่เรารู้จักปล่อยวาง แค่เราไม่ถือสา  แค่เราไม่อะไรอีกมากมาย  "แค่" เท่านั้นเองใช่ไหม (ใช่)  เราก็จะเป็นผู้ที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุขแล้วก็เป็นผู้ที่ร่ำรวยความสุข ยิ่งให้ยิ่งสุขใช่ไหม  อย่าไปรอความสุขจากข้างหน้า แต่จงทำปัจจุบันนี้ให้มีความสุข อย่าไปรอความสุขจากสิ่งที่ไม่มี แต่จงสุขจากสิ่งที่ตัวเองมี อย่าไปคาดหวังว่าจะต้องมีสุขแต่จงสุขเท่าที่ตัวเองหวังได้ ทำได้ใช่ไหม (ใช่)  แม้คนอื่นจะมากระทบเรา แม้คนอื่นจะมาทำให้เราขึ้งโกรธ แต่ถ้าเรามอบสุขกลับไป ให้อภัยกลับไป ไม่ถือสากลับไป สุขไหม (สุข)  แม้ลูกหลานไม่ได้ดั่งใจ แม้ตัวเองไม่ได้ดั่งหวังก็ไม่เป็นไร ยิ้มสู้กับตัวเอง สู้กับความทุกข์ร้อนที่เข้ามากระทบ ความสุขที่หาได้ง่ายนี่แหละจะทำให้เรากล้าเผชิญชีวิต และพร้อมจะมีชีวิตอย่างมีคุณค่าไม่ได้อยู่อย่างน่าเบื่อหน่าย ไม่ได้อยู่อย่างคนสิ้นหวัง แต่อยู่อย่างคนที่สุขแล้วที่หวังได้เท่านี้ มีเท่านี้ก็สุขแล้วใช่ไหม (ใช่)  พุทธะมาบอกบ่อยๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดตั้งหลายองค์ แต่น้อยคนนักจะทำเพราะอะไรล่ะ ทำยากหรือเปล่า ตัดใจได้ไหม อภัยได้ไหม เมื่อมีทุกข์อย่าเก็บทุกข์ไว้แล้วกลบเกลื่อนไว้จนกลายเป็นคนกระด้าง สมมติว่าท่านไม่พอใจคนๆ นี้ บอกว่าให้อภัย แต่อภัยนั้นกลับกดไว้ในใจ อย่างนี้เรียกว่าอภัยแท้จริงไหม แล้วเราก็เก็บทุกข์ไว้อยู่ในใจ รอวันปล่อยออกมา รอวันที่มันจะล้นปรี่ แล้วไปทำร้ายคน อย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญ อย่างนี้ไม่เรียกว่าหนทางแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อภัยแล้วจงปล่อยวาง อภัยแล้วจงไม่เหลือเก็บไว้คั่งค้างในจิตใจ นี่คือผู้ที่สามารถตื่นแล้วรู้จักสุขบนโลกเป็น คนในโลกนี้แม้จะเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ยังมีพุทธะที่เอาชนะได้ ยังมีตัวท่านที่สามารถปราบเขาไว้ให้อยู่หมัด จริงไหม (จริง) อยู่ที่ว่าเราอย่าแพ้ใจตัวเอง ความดีทำง่าย ความชั่วทำยาก โดยเฉพาะกิเลสและความไม่ดี มักไม่อยากให้ท่านได้ดีจำไว้นะ ยิ่งท่านร้ายยิ่งท่านโมโหยิ่งท่านเก็บกด กิเลสจะรักท่านยิ่งกว่าอะไร แต่พุทธะจะไม่มองท่านเลย เศร้าไหม (เศร้า) แล้วตอนนั้นจะขอพุทธะเป็นเพื่อนคงยากแล้ว เพราะเล่นนอนกอดกิเลสทุกวันทุกคืน จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นจึงต้องฝึกตัวตนเองนี้ ฝึกที่ไหนล่ะ อย่าฝึกที่กายอย่างเดียวล่ะ แต่ต้องฝึกทั้งกายและใจตัวเอง เริ่มต้นที่การทำอะไรล่ะ หนึ่งตั้งใจ ตั้งได้ไหม เหมือนเด็กเวลากว่าจะตั้งไข่นานไหม (นาน)  ถ้ายอมแพ้จะเดินได้ไหม เหมือนกัน วันนี้ถ้าท่านไม่ตั้งใจท่านจะไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ ท่านจะนอนคลุกฝุ่นกิเลสเต็มตัวไปหมดเอาหรือเปล่า (ไม่เอา)  มีกิเลสเป็นเพื่อนมีมารเป็น (สหาย)  ไล่กิเลสออกเอาธรรมะยึดถือ ถามว่ากิเลสมีอะไรบ้าง (ตัณหา)  ความอยากนี้เป็นตัณหาไหม (เป็น)  ตัณหาเป็นเพื่อนกับกิเลสไหม (เป็น)  จงตั้งใจ ความตั้งใจทำให้มนุษย์สามารถประสบความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความตั้งใจทำให้เราสำเร็จ แต่การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเพื่อให้เราเป็นคนดี เป็นพุทธะนั้นตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและแน่วแน่ เมื่อไรที่เราตั้งใจแล้วมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและแน่วแน่ เราย่อมชนะได้ ชนะอะไรล่ะ (ชนะใจตัวเอง) เพราะกิเลสมาจากไหน (ตัวเราเอง)  โกรธคือกิเลสไหม อยากคือกิเลสไหม แล้วใครโกรธใครอยากล่ะ (ตัวเราเอง)  แล้วใครเป็นคนสร้างกิเลสล่ะ (ตัวเราเอง)  ใครสร้างปราสาทให้กิเลสอยู่ (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ที่กำจัดและชะล้างกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ เมื่อใจเราตั้งมั่นแล้วอย่างเดียวพอไหม (ไม่พอ) เพราะว่าความตั้งใจนั้นบางครั้งตั้งใจดี แน่วแน่ มั่นคง แต่ทำไมถึงไม่พอ เพราะว่าบางครั้งความตั้งใจนั้นอาจจะมีความคิดที่ไม่ค่อยเที่ยงตรง ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราตั้งใจจะเป็นคนดี แต่บางทีความคิดเรามักจะไม่ค่อยชัดเจน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การแบ่งแยกการตัดสินมักจะไม่ถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่าต้องดูความคิดด้วย คนทุกคนมีความตั้งใจ คนทุกคนเป็นคนดีได้ เป็นคนดีมีความตั้งใจแต่ถ้าไม่ตรวจสอบภายในจิตใจ ภายในความคิดว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม แม้จะตั้งใจแม้จะมุ่งมั่นก็ล้มได้เหมือนกัน โดนขัดขวางได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงต้องตรวจสอบความคิดด้วยว่ามีความคิดที่ถูกต้องเมื่อตั้งใจแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเพราะว่ามีอารมณ์กับความคิดนั้น มีอารมณ์กับเรื่องนั้น อย่างเช่นง่ายๆ เมื่อไรจะทำดี เห็นคนสองคน คนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำ คนหนึ่งยืนนิ่งๆ คนหนึ่งยืนลอกแลก เวลาเราทำดีเราจะให้ใคร ให้คนที่ยืนนิ่งๆ หรือคนที่ลอกแลก (คนที่ยืนนิ่งๆ ) หลายต่อหลายคนเวลาจะทำดีมักจะมองที่รูปลักษณ์ภายนอก แล้วก็ตัดสินส่งความดีนั้นไป โดยที่มองเห็นแค่เปลือกนอก ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งคนที่ลอกแลกนั้นเขาอาจจะกำลังรีบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลอกแลกแล้วกลายเป็นคนไม่ดีเลยหรือ น่ากลัวนะพวกท่าน ตัดสินคนโดยใช้สายตาแวบเดียวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งใจอย่างนี้ก็ล้มได้ ใช่หรือเปล่า เพราะตัดสินคนผิดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตั้งใจแล้วต้องตามด้วยความคิดที่ถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าสองคนนั้น คนหนึ่งรักมากเป็นลูกของเรา อีกคนเป็นเพื่อนของลูกเรา ให้ใครมากกว่า (ให้ลูกเรา)  ให้ลูกมากกว่าทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ตั้งใจดีไหม (ไม่ดี)  ดีไม่หมด ดีลำเอียง ใช่ไหม (ใช่)  ดีแบบแบ่งแยกด้วย แล้วถ้าของสิ่งนั้นเป็นของเพื่อนลูกเรา แต่ลูกเราบอกว่าของหนูเองแม่ แล้วแม่ยื่นให้ลูก ผิดไหม (ผิด)  ฉะนั้นแม้จะตั้งใจก็อย่าลืมสำรวจความคิดตัวเอง เพราะจิตมักพาให้มนุษย์ไขว้เขวใช่หรือไม่ (ใช่)  ความคิดดีตั้งใจดีแล้วยังต้องมีอะไรอีกรู้ไหม คิดให้ดีๆ นะ (ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ, มีความยุติธรรมในจิตใจ, ความไม่หย่อนหรือตึงจนเกินไป, สภาพแวดล้อมน่าจะดีด้วย) แปลว่าถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดี ต้องคิดนานๆ ใช่ไหมจึงจะทำ (สภาพแวดล้อมอาจจะคล้ายเป็นมารผจญ) ก็ได้แง่คิดอย่างหนึ่ง คนหลายต่อหลายคนที่ไม่ยอมทำดีก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้ทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราตอบว่าไม่ใช่  ได้ไหม (ได้)  สภาพแวดล้อมไม่เอื้อแต่เราจะทำ มีปัญหาไหม (ไม่มี)  เดี๋ยวเรามาคุยกันต่อนะ ท่านพูดได้น่าคิด  
การมีความตั้งใจ เริ่มมีแนวคิดที่ถูกต้องยังต้องตามด้วยปัญญาที่เท่าทันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะมีแนวคิดที่ถูกต้องแต่มนุษย์มักหลงกลกิเลส เพราะกิเลสไม่อยากให้มนุษย์ได้ดี เราจึงต้องใช้ปัญญาคอยสอดส่องดูแลและควบคุมตัวตนเองไม่ให้พ่ายกิเลส และควบคุมความคิดให้ระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัญญาจะมีได้นั้นจะขาดเสียไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคืออะไรรู้ไหม (สติ) สติก็ถูกนะ (การเปิดรับ)  การเปิดรับก็ถูกนะแต่เรียกง่ายๆ หรือเรียกเป็นทางการว่า ศึกษา ปัญญาเกิดได้เพราะได้ศึกษาเมื่อศึกษาจึงเกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาจึงมีความคิด เมื่อมีความคิดจึงตั้งใจ เมื่อตั้งใจแล้วจึงปฏิบัติใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือว่า เราอยู่ในโลกนี้แม้มีรัก แต่ถ้ามีรักแล้วไม่ศึกษาในรักให้ดีก็จะกลายเป็นตาบอดจริงไหม (จริง) แม้มีความเมตตาแต่ถ้าไม่ศึกษาให้ดีแล้วก็จะกลายเป็นโง่งมใช่หรือไม่ (ใช่) โดนเขาเอาความดีที่เราอยากจะทำนั้นไปใช้หลอกลวงผู้อื่น แม้เรามีความกล้าหาญแต่ความกล้าหาญนั้นไม่ได้ศึกษาให้ดีความกล้านั้นจะกลายเป็นมุทะลุเอาแต่ใจ กล้าแบบผิดๆ กล้าแบบเอาชีวิตไปเสี่ยง  แม้จะมีใจที่รับฟัง แต่ถ้าเอาแต่รับฟังไม่ศึกษาสิ่งที่ฟัง ไม่ศึกษาสิ่งที่พิจารณาก็เป็นอันตราย โดนเขาจูงไปไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาสองวันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เกิดความคิด ทำให้เกิดความตั้งใจที่จะเป็นสิ่งใด เป็นอะไรที่วันนี้ศึกษากัน เป็นคน เป็นพุทธะหรือเป็นเหมือนเดิม (เป็นพุทธะ)  วันนี้เรามาศึกษาเพื่อเป็นพุทธะ แต่ก่อนจะเป็นพุทธะต้องเป็นคนให้ดีก่อน เมื่อเป็นคนดีได้จึงก้าวไปสู่การเป็นพุทธะได้ใช่หรือไม่(ใช่)  ช่วงที่จะก้าวเป็นคนดีก้าวเป็นพุทธะ ช่วงนั้นต้องรู้จักเอาความดีนั้นช่วยคน ทำไมจึงต้องช่วยล่ะ หากท่านมีทรัพย์แต่เก็บทรัพย์ไว้ใต้ดิน เรียกว่ามีทรัพย์หรือไร้ทรัพย์ (ไร้ทรัพย์)  ถ้าท่านมีความรู้แต่เก็บความรู้ไว้ ไม่เคยพูดไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร เรียกว่ารู้หรือไม่รู้  (ไม่รู้)  แล้วถ้ารู้เอาแต่โอ้อวดแต่ไม่ถ่ายทอด เรียกว่ารู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  ฉะนั้นการถ่ายทอดจึงต้องระมัดระวัง ถ่ายทอดแบบไม่อวด บางคนมีทรัพย์แต่ เก็บทรัพย์ไว้ นี่ก็ไม่ถูกต้อง  บางคนมีทรัพย์แต่อวดทรัพย์นี่ก็ใช้ไม่ถูกทางใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีสิ่งดีจึงนำสิ่งดีใช้ ใช้แบบไม่ยึดติด ใช้แบบเปิดใจกว้าง พร้อมที่จะแก้ไข และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองดีขึ้น พร้อมที่จะช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สังคมนอกจากจะเป็นแบบนี้แล้วเราจะช่วยให้ดีได้ด้วยตัวเองเป็นผู้เริ่มต้น แผ่นดินที่แห้งแล้ง รอน้ำ และต้นหญ้าที่แกร่งกล้าไปอยู่ในแดนดินนั้น โลกที่สกปรกโสมมรอพุทธะที่องอาจ พร้อมจะนำคุณธรรมไปเบ่งบาน ชะล้างให้โลกนี้กลับสะอาดเหมือนเดิม แต่ปัจจุบันนี้ ตัวท่านไม่ยอมทำดีไม่อยากทำดี หนึ่งกลัวคำพูดคน  สองทำแล้วอาย ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีไปแล้วกลัวโดนเขาล้อ  โดนเขาว่า พอบอกว่าเราจะเป็นคนดีนะ ก็โดนเพื่อนถากถาง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมต้องกลัว ถ้าท่านอยากได้ดี อยากให้มีดี และอยากให้เพื่อนดีด้วย  เราต้องไม่กลัวสิ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่รู้จักพระพุทธองค์ ไม่รู้จักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าท่านกลัวการทำดี เพราะว่าคนไม่อยากได้ดี จริงไหม (จริง)  ถ้าคนมีแต่ชั่วร้าย แล้วพุทธะไม่ทำดี แล้วจะมีความดีหลงเหลือในโลกนี้ไหม (ไม่มี) ท่านลองคิดให้ดีๆ นะ  
เมื่อสักครู่คำพูดของท่านน่าคิดมาก หลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้ไม่อยากทำดีก็เพราะว่ากลัวคนร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมท่านไม่เอาความดีนี้สู้ความร้าย วางมาตรฐานชีวิตของตัวเองให้ถูกต้อง ถ้าวางได้ถูก ดำเนินอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แม้ทำหนึ่งครั้งโดนว่าร้อยครั้ง ก็ยังยืนหยัดและพร้อมจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ร้อยครั้งอาจจะมีหนึ่งครั้งที่ดลใจให้เขาเห็นด้วยกับเราก็เป็นได้  แต่ถ้าแค่หนึ่งครั้งแล้วถอยใครล่ะจะตามท่านมาดีด้วย จริงไหม (จริง) แล้วโลกจะเหลือดีไหม (ไม่เหลือ) ที่มีการประชุมธรรม ที่มีการถ่ายทอดธรรม ที่มีการชี้จุดให้รู้ถึงความเป็นพุทธะ ก็เพราะว่าพุทธะอยู่ในตัวท่าน ความดีอยู่ในตัวท่าน แต่ท่านจะเลือกเป็นหรือไม่เลือกเป็น เลือกทำหรือนิ่งเฉย จริงไหม (จริง)  อย่าคิดว่าเรามาเล่นละครเลย ถ้ามาเล่นละคร ก็เป็นละครที่ไม่ค่อยจะสนุกเสียเท่าไร และเป็นละครที่เราไม่ได้กำลังใจอะไรเลยด้วย จริงไหม(จริง) ฉะนั้น ขอให้จงเอาคำพูดของเราวันนี้ไปทบทวนให้ดี ความดีอยู่ที่ตัวท่าน พุทธะก็อยู่ที่ตัวท่าน ทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง เริ่มต้นง่าย ๆ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด อย่าทำหน้าที่เพราะเป็นหน้าที่ เข้าใจไหมผู้บำเพ็ญธรรม (เข้าใจ)  แล้วจงสร้างความสุขในครอบครัวโดยสร้างสัมพันธ์ที่ดี หากเริ่มต้นที่ครอบครัวผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีแล้ว การที่เราจะไปเริ่มต้นทำกับใครย่อมเป็นเรื่องง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) หน้าที่ดี สัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีด้วย ออกไปข้างนอกเขาก็ชื่นชมเรา ใช่หรือเปล่า(ใช่) หน้าที่ยังขาดตกบกพร่องแล้วจะไปเป็นคนดีได้อย่างไร 
แล้วจะไปช่วยคนได้อย่างไร ความสัมพันธ์ในครัวเรือนยังบาดหมางอยู่ แล้วจะไปผูกสัมพันธ์ช่วยเหลือคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น เริ่มต้นแรกในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นคนดี แล้วก้าวไปสู่การเป็นพุทธะ นั่นก็คือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างสัมพันธไมตรีในครอบครัวให้สมัครสมานกลมกลืนที่สุด แล้วเราจะออกไปสู่สังคมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยากไหม (ไม่ยาก) กลัวลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว) อย่ากลัวเลยนะ เพราะในโลกนี้แม้จะไม่มีธรรมก็ลำบากอยู่แล้ว มีธรรมะหน่อยลำบากขึ้นอีกหน่อยแต่เป็นคนดีได้ เป็นพุทธะได้ จะไม่เป็นหรือใช่ไหม (ใช่) อย่าอ่อนแอ อย่าเอาแต่ใจตัว อย่าเข้าข้างตัวเองมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เราเห็นทุกท่านแล้ว บางครั้งเราก็อดสงสารอาจารย์ของท่านไม่ได้ ข้างหน้าก็ทุกข์ ข้างหลังก็ท้อ ถ้าท่านเป็นอาจารย์ของคนทั้งสองคนยืนอยู่ระหว่างทุกข์กับท้อ คนที่เป็นอาจารย์น่าสงสารนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
"ต่างครองชีพสรรค์สร้างโอกาสเอย อย่าละเลยสำคัญด้วยเห็นไม่สำคัญ"
วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ท่านได้เรียนรู้การฝึกฝนตนโดยนำคุณธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จงรีบนำไปสร้างอย่ายอมแพ้กิเลส จงเอาชนะจิตใจตัวเองนี้ให้ได้ และบากบั่นไปให้ถึงซึ่งความดีอันแท้จริง แล้วจงมองเห็นโลกใบนี้ให้ชัดเจน ว่าตาที่เรามองเห็นว่าโลกนี้สวย แท้จริงแล้วยังมีความจริงอีกมากมายที่เรายังมองไม่เห็น เหมือนชีวิตนี้เราดิ้นรนไขว่คว้ากันมากมาย แต่สิ่งที่ได้มาคือ ทุกข์ กับ สุข เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงพอบ้างและให้เวลากับตัวเองมาศึกษาหลักธรรม มาค้นคว้าว่าจิตใจของตัวเองนี้เป็นพุทธะได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
"กายใจงามคุณธรรมให้ทั่วหน้า ทรัพย์ไร้ค่ายิ้มใสกำลังขวัญ"
วรรคนี้เข้าใจไหม ทรัพย์ไร้ค่า ยิ้มใส ๆ ก็เป็นกำลังขวัญที่ดี บางครั้งมีเงินมากมายซื้อชีวิตไม่ได้ ซื้อมิตรแท้ไม่ได้ ซื้อความซื่อสัตย์ในโลกไม่ได้ และซื้อความกตัญญูจากบุตรหลานก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรจึงซื้อไม่ได้ เพราะคนขาดซึ่งคุณธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เพราะคนไม่มีธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ซื้อไม่ได้แสดงว่าเขามีธรรม ถ้าซื้อได้แสดงว่าเขาไม่มีธรรม เป็นเพราะเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำให้ท่านมึนงงหรือเปล่า  เดี๋ยวก็ดุ เดี๋ยวก็ข่ม เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ไม่แน่นอน ก็เหมือนใจท่านนั่นแหละ ใช่หรือไม่   เดี๋ยวยิ้มแย้มร่าเริง เดี๋ยวหม่นหมองร้องไห้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามเราทันได้ก็ตามใจท่านทันได้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นแม้จะมีเงินมากมายแต่ถ้าเราไม่ปูพื้นฐานคุณธรรมให้ดี ลูกหลานก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  พี่น้องก็คบหาไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจงให้ธรรมะนี่แหละเป็นตัวสานเป็นตัวเชื่อมให้โลกนี้น่าอยู่  ให้คนอยู่ด้วยกันได้ แม้ไม่มีเงินก็รักกันได้ แม้ไม่มีเกียรติก็คบกันลงดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วโลกนี้จะไร้ซึ่งพรหมแดนไร้ซึ่งตำรวจไร้ซึ่งกฎหมาย เพราะทุกคนดีไปหมดจริงไหม (จริง)  แต่มีกฎหมายเพราะว่าคนยังสามวันดีสี่วันไข้ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ก่อนจะจากกัน ขอให้ยังเป็นคนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังได้ดีไหม (ดี)  หรือว่าจะเป็นคนที่ไม่น่าหวังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย หวังได้ไหม (ได้)  หวังที่จะได้ดีนะ  และหวังที่จะเห็นท่านดีจริงๆ ลบเหลี่ยมลบร้อยร้ายในตนให้หมดสิ้น เป็นคนที่สะอาดทั้งนอกทั้งใน เป็นคนที่งดงามอย่างแท้จริง  แม้จะเป็นเพชรในตมก็ตาม แม้ไก่จะเขี่ยเพชรทิ้งก็ตามทีใช่ไหม (ใช่)  แต่สักวันหนึ่งไก่นั่นแหละจะเห็นค่าของเพชร "ไก่" ในที่นี้เราหมายถึงอะไรรู้หรือเปล่า แม้คนอื่นเขาจะไม่เห็นค่าเรา แต่เราก็ไม่ยอมทิ้งค่าของเราเพื่อให้ไก่มองหรอกนะจริงไหม (จริง)  จงรักษาคุณค่าของตัวเองให้มั่นคงนะ 
"คนเผอเรอหลงชินชาความผิด" กลัวที่สุดก็คือกลัวใจท่านเผลอทำผิดแบบจงใจใช่ไหม  
"คนเผอเรอหลงชินชาความผิด เดิมพันชีวิตรักษาอาการในผิดนี้
จงเป็นคนดีและบำเพ็ญดี เข้มแข็งที่ได้พาไม่เวียนวน"
วรรคสุดท้ายนี้หากตีความง่ายๆ นั่นก็คือ วันนี้เราได้เอาธรรมะที่เป็นหลักสัจธรรมมานำพาให้ท่านค้นพบความเป็นจริงของชีวิตและไม่อยากให้ท่านเวียนวนในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป ด้วยการเอาชนะกิเลส  เอาชนะใจตัวเองที่ชอบหลงไปสู่เบื้องต่ำ ใช้ชีวิตนี้ในครานี้เป็นเดิมพัน จะบำเพ็ญจนหมดลมหายใจ จะดีจนเฮือกสุดท้าย จะรักษาความดีนี้ให้อยู่แม้ลมหายใจหมดสิ้น จะไม่ยอมให้ตัวเองเผลอผิดอีกครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้คงจบเท่านี้แล้ว สิ่งที่จะเอ่ยก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรมากไปกว่านี้อีก
เราก็เป็นเซียนเล็กๆ องค์หนึ่งในแปดเซียนทั้งหมดที่มี ทุกวันเราต้องหมั่นสอดส่องช่วยเหลืออาจารย์ของท่านทำงาน เท่าที่เรามีโอกาสจะเอื้ออำนวย ช่วยเหลือเวไนยสัตว์เท่าที่เราจะช่วยได้ แต่บางครั้งเราก็จนใจเพราะว่าถ้าตัวท่านไม่ช่วยตัวเอง แม้พุทธะจะให้แนวทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าตัวท่านไม่เดิน ใครล่ะจะช่วยได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตัวท่านยังยึดติดในอัตตาตัวตน ยังแข็งกระด้างอยู่ นี่ไม่ใช่ทางที่ถูกในการบำเพ็ญ  จงอ่อนน้อม จงว่าง่าย จงยอมรับและกล้าหาญสู้กับความเป็นจริงในโลกใบนี้ ถ้ามีโอกาสจงเอามือนี่แหละ ใจนี่แหละช่วยคนที่เขายังทุกข์อยู่ ท่านนั้นยังโชคดีกว่าหลายๆ คน ท่านนั้นยังโชคดีกว่าเวไนยสัตว์อีกมากมายที่ต้องทุกข์ทน วันนี้ท่านนั่งเป็นสุข แต่ท่านคงไม่ได้ยินหรอกว่ายังมีเสียงอีกมากมายที่เจ็บปวดที่ทุกข์ทน ตาที่ท่านเห็น ท่านคงมองไม่เห็นหรอกว่า ยังมีเวไนยสัตว์อีกมากมายที่ยังดำผุดดำว่าย เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะที่น่าสงสาร เมตตาได้จงเมตตา อภัยได้จงอภัย ผิดบาปลดได้จงรีบลด อย่าได้ทำอย่าได้เบียดเบียน ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยทุกชีวิตต่างรักชีวิตใช่ไหม (ใช่) ตัวท่านเองก็รักถนอมกายใจนี้ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เฉกเช่นเดียวกัน อย่าเบียดเบียนเขา อย่าผูกใจเจ็บ ให้อภัย และเปิดใจเมตตากว้างๆ 
ถึงเวลาเราก็ต้องไป เจอกันตอนแรกก็ต้องเตรียมใจไว้แล้วว่า เดี๋ยวท่านมาท่านก็ต้องไปใช่ไหม (ใช่) ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน  ถึงเวลามาก็มา ถึงเวลาไปก็ต้องไป อยากเอื้อนเอ่ยมากๆ  แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรอีกแล้ว รู้สึกว่าคำพูดเต็มล้นอยู่ที่ปากวาจานี้ ถนอมรักษาตัวเองให้ดีนะ มีโอกาสเราคงได้ผูกบุญกันอีก



วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มนุษย์นั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง                      ศรัทธาตั้งมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ
หากล้มเหลวศิษย์เอยอย่าได้เข็ด                     ดุจคว้าเพชรในโคลนตมภูมิใจได้มา
                        เราคือ
  จี้กงวิปลาส                             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                        ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

     ความรู้สึกพาใจไหวเอน    วางกฎเกณฑ์ครบครันทันใจ   หากทุกอย่างดีสมใจ   จะยิ้มออกมาทันใด  หมองใดไม่คลุมครอบจิตตน
     กลัวแต่คนชะรอยทุกข์สร้าง   แปรหน้าเป็นหลังมือเวียนวน  อาจยิ้มออกไม่ทุกคน    ความคิดที่สู้เพื่อตน   แฝงปะปนแต่เรื่องเศร้าใจ  
     เห็นหน้าแล้วตัดสินกัน   ดูช่วงสั้นไป   ทุ่มเถียงเสียงตีแสกใจไม่ใช่ปัญญา
     คนถ้าลองว่าชังแล้วนั่น   เพียงชั่ววันคุ้ยเรื่องนานา  ไม่รักก็ไม่หันมา   คนคุ้นใส่ใจพูดจา   ละนินทามองโลกแง่ดี
     การเห็นใจช่วยกันนั้นง่าย  คนตั้งใจรู้ให้ทันที  ช่วยเท่าที่เป็นผลดี โดยมิแบ่งแยกในที ณ ฤดีคือความซื่อตรง
     *เตือนใจคนลำเอียงยึดมั่น   "ดีต่อกันครั้นสิ้นยืนงง"   #เมื่อไม่อยากให้ลดลง   ทำทุกอย่างใจขาดตรง#  รักพ้องพงศ์จิตถือเที่ยงธรรม *
     หลายเรื่องแม้พลาดพลั้งไป  เผลอแล้วต้องจำ   แก้ไขไม่ไปโทษกรรมให้เกิดกังวล
     ความรู้สึกพาใจนั้นเปลี่ยน   มาเพื่อเรียนพระธรรมนำตน  อย่าคิดมากจนทุกข์ทน    ความคิดที่สู้เพื่อชน   แม้ทำจนตนสิ้น    สุขใจ

ชื่อเพลง  อย่าใช้ความรู้สึกนำทางการบำเพ็ญ
ทำนองเพลง พรหมลิขิต

* ________  หมายถึง  ผู้ให้
   "               "   หมายถึง ผู้รับ
#                 #   หมายถึง ผู้ให้และผู้รับ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ก่อนฟังธรรมะสองวันนี้เราเป็นคนดีหรือยัง (เป็นแล้วทำไมตอบไม่เต็มเสียงเลย ฝ่ายชายก่อนฟังธรรมะสองวันนี้เราเป็นคนดีแล้วหรือยัง (ยังและผู้หญิงก่อนฟังธรรมะสองวันนี้เราเป็นคนดีแล้วหรือยัง (เป็นแล้วแสดงว่าผู้ชายไม่ชอบสร้างความดี แล้วผู้หญิงเป็นคนที่ชอบสร้างความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่และชอบสร้างความไม่ดีด้วยใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่ฉะนั้นก่อนที่จะมาฟังธรรมะสองวันนี้ เราก็อาจจะไม่แน่ใจว่าบางครั้งเรานั้นเป็นคนดี บางครั้งก็เป็นคนไม่ดี  แต่ว่าหลังจากสองวันนี้เป็นต้นไป ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง เราต้องให้ตัวเรานั้นมั่นใจว่าตัวเราเป็นคนที่ดีขึ้น เราเชื่อมั่นในความดีที่มีอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่เรามั่นใจว่าเรานั้นช่วยคนอื่นได้อย่างไม่หวังผลอะไรเลย เพราะถ้าหากว่าเรานั้นหวังผลว่าเราช่วยคนแล้วเราจะต้องได้ดี เกิดไม่ได้ดีมาแล้วเรารู้สึกเป็นอย่างไร เราก็รู้สึกผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่
สองวันนี้มาฟังธรรมะ เป็นเวลาที่นานหรือเปล่า (ไม่นานสองวันเป็นเวลาที่ไม่นาน ที่นานคือการกลับไปทำในสิ่งที่ฟังมาในสองวันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่ฟังสองวันแต่ต้องทำไปตลอดชีวิต ทำอะไรตลอดชีวิต ทำดีตลอดชีวิต วันหลังถ้าหากมีคนมาถามศิษย์บอกว่า เอ๊ะ เธอเป็นคนดีหรือเปล่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี จะอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนวันนี้หรือเปล่า (ไม่
คนเราเกิดมานั้นมีทั้งข้อดี มีทั้งข้อเสีย เรื่องทุกเรื่องทำขึ้นมานั้นมีทั้งผิดและถูก แล้วทุกคนที่อยู่ด้วยกันนั้น ไม่มีใครคิดเลยว่าตัวเรานั้นเป็นคนทำผิด แล้วเรื่องๆ นี้ใครจะผิด เรื่องๆ หนึ่งมีหลายอย่างรวมตัวกันขึ้นมา ทั้งด้านนิสัย ทั้งด้านสภาพแวดล้อม ทุกอย่างรวมตัวกันขึ้นมาเป็นเรา เหมือนในบ้านเรา มีพ่อด้วย มีแม่ด้วย มีเราด้วย มีลูกด้วย มีพี่ด้วย มีน้องด้วย หลายๆ ครั้งนั้นอย่าได้ทะเลาะกัน เพราะว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้โกรธเคืองกันเพราะว่าเรานั้นคิดเล็กคิดน้อย เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไรล่ะ กลับไปหลังจากวันนี้ ปรับปรุงแก้ไข ตัวเองดีหรือเปล่า (ดีไหนใครคิดว่าตอนนี้ตั้งใจจะปรับปรุงแก้ไขตัวเองยกมือหน่อย คนที่ยกมือแสดงว่ายอมรับว่าเรานั้นมีสิ่งที่ยังไม่ดีอยู่จริงๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่ต้องหัดย้อนมองส่องตน ใครมองไม่เห็นเรา แต่เรามองเห็นตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่
อย่างที่อาจารย์บอกทุกคนมีข้อดีข้อเสีย ทุกคนเคยผิด ฉะนั้นจงอภัยให้กับคนที่ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าเขาไม่เชื่อฟังเราว่าทำอย่างนี้ถึงจะดี โมโหได้ไหม เหมือนบอกลูกอย่าเล่นมีด แต่ถ้าลูกเล่นมีดโมโหได้ไหม  เริ่มจะไม่แน่ใจอีกแล้ว บางเรื่องนั้นเราเฝ้าแต่บอกเขาว่าสิ่งนี้มันผิด อย่าทำนะสิ่งนี้มันผิด แต่คนฟังนั้นฟังอย่างไรๆ ก็ไม่ออก บางทีต้องยอมให้เขาโดนเจ็บก่อนถึงจะจำ ใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าหากว่าลูกเราโดนมีดบาดหนึ่งครั้ง เขาทำอีกไหม (ไม่ทำต้องให้เราเตือนอีกหรือเปล่า (ไม่ต้องเตือนอาจารย์ถึงอยากบอกศิษย์ว่า หลายๆ คนเป็นคนใจร้อน ขอจงใจเย็นๆ บางทีการพูดนั้นไม่สามารถจะสื่อ สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ประสบการณ์ไม่สามารถจะช่วยเราได้  เพราะอะไร เพราะเขาไม่เห็นในสิ่งที่เราเห็น เขาไม่เคยรับในสิ่งที่เราเคยโดน ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นบางทีก็ต้องให้ชะตากรรมนั้นสอนแต่ละคนเอง ถูกหรือไม่ (ถูก
มนุษย์นั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง                ศรัทธาตั้งมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ
หากล้มเหลวศิษย์เอยอย่าได้เข็ด              ดุจคว้าเพชรในโคลนตมภูมิใจได้มา
คนเรานั้นมีความหวังได้หลายแบบ คนดีก็หวังในสิ่งดี คนร้ายก็หวังในสิ่งร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าหากว่าเราหวังว่าจะทำให้คนนั้นได้รับบาดเจ็บ หรือทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ เป็นความปรารถนาอันสูงสุดของเรา เราต้องย้อนมองตนเองหน่อยแล้ว ว่าเรานั้นเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเราหวังให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บหรือให้คนอื่นนั้นเจ็บช้ำน้ำใจ เราถึงจะพอใจ แสดงว่าเรานั้นเป็นคนไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าหากว่าเราหวังว่าถ้าเขานั้นสามารถที่จะเลื่อนขึ้นไปสูงกว่านี้ได้อีก  ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่านี้อีก หรือเรานั้นหวังให้เรานั้นเป็นคนดีให้สำเร็จ แสดงว่าเรานั้นเป็นคนดีหรือเปล่า (คนดีแล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นเคยคิดมุ่งร้ายกับคนอื่นไหม (เคยด้านจิตใจของเราเคยมุ่งร้ายกับคนอื่นไหม (เคยทุกคนที่ยอมรับว่าตัวเองเคยนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่คนอื่นมองไม่เห็นเรา แต่เรามองเห็นตัวเองได้ เมื่อเรามองเห็นได้ เราย่อมแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้ามองเห็นไม่ได้แสดงว่าแก้ไขไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่เหมือนกับอาจารย์ถามผู้ชายว่า เป็นคนดีหรือเปล่า เขาไม่ค่อยแน่ใจ แต่อย่างนี้สิถึงจะสามารถเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่กับถามว่าเราเป็นคนดีไหม (ดีแต่เราจะเป็นคนดีได้กว่านี้ไหม ถ้าเราเห็นว่าตัวเราเป็นคนดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ก็ไม่แน่นะ
วันนี้อาจารย์อยากแจกผลไม้บนโต๊ะนี้ให้หมดเกลี้ยงเลยนะ ศิษย์ของอาจารย์อยากได้หรือเปล่า (อยากได้เตรียมพร้อมหรือยัง (พร้อมแล้วพร้อมอะไร   พร้อมใจหรือไม่ (พร้อมใจใจเป็นสีอะไร (ขาวแน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจพร้อมตอบหรือไม่พร้อม (พร้อมพร้อมบำเพ็ญหรือไม่ (พร้อม) แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจไม่รู้ว่าแน่ใจเพียงแค่สองวันนี้หรือเปล่า
ให้ยืนนานอากาศก็ร้อนอยู่แล้วเดี๋ยวจะเป็นลมใช่หรือเปล่า  ห้องนี้มีแอร์หรือเปล่า (มี)   ถ้าไม่มีแอร์จะแย่กว่านี้ เพราะว่าจิตใจของเรานั้นเป็นจิตใจที่พร้อมจะต่อสู้ ห้องนี้ก็เลยร้อนใช่หรือไม่  สู้กับอะไร (ความไม่ดีทั้งหลาย, ความทุกข์, สู้เพื่อความเป็นพุทธะ, สู้กับตัวเอง, สู้กับความอดทนสู้กับความร้อนใช่หรือเปล่า  (สู้กับตัวเอง
(ก่อนพระอาจารย์จะประทานผลไม้ ท่านถือผลไม้ในมือแล้ววนเป็นวงกลม)
ทำไมต้องวนเป็นวงกลมล่ะ (เพราะใจคนไม่อยู่นิ่งเพราะใจคนไม่อยู่นิ่งวนไปวนมาเหมือนเราเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่แล้วถ้าหากอยากหยุด  ต้องจับอะไรให้อยู่  จับจิตใจของตัวเองให้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่เวลาจับ ถ้าเขาคิดมากจะจับอยู่ไหม (ไม่อยู่ต้องนิ่ง ใช่หรือไม่  บางคนคิดว่าถ้าหากว่าเราบรรลุ  เราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่เราจะไปบรรลุได้อย่างไรในเมื่อเรายังมีภาระหน้าที่ เงินก็ยังไม่พอใช้เลย จะไปบำเพ็ญธรรมได้อย่างไร บำเพ็ญได้ไหม (ได้ยิ่งเงินไม่พอใช้ยิ่งดีใหญ่เลย จะได้ไม่มีเวลามานั่งห่วงเงิน มีเงินมากเดี๋ยวต้องคิดวิธีใช้เงินอีก แล้วต้องคิดว่าใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ที่สุด อย่างนั้นหรือเปล่า  อย่างนี้เดี๋ยวเทพวาสนาเก็บเงินให้หมดดีหรือเปล่า 
(นักเรียนลุกขึ้นตอบคำถามเดิมของพระอาจารย์)
(สู้กับกิเลส, สู้กับความร้อนและทุกสิ่งทุกอย่าง ความไม่แน่นอนของอนาคต, สู้กับสิ่งไม่ดีงามแล้วสิ่งไม่ดีงามนั้นเกิดจากไหน ความไม่ดีที่เราพานพบนั้นเราเคยสังเกตไหมว่าสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น จริงๆ แล้วเรามีส่วนสร้างขึ้นมาใช่หรือเปล่า  ถ้าหากว่าเราไม่มีส่วนสร้างก็คงไม่มาเกิดกับเรา เราบอกว่าทุกอย่างเป็นการพบโดยที่ไม่มีสาเหตุ เราไม่เคยทำผิดอะไรเลย ไม่ใช่อย่างนั้น ทุกคนนั้นต่างเคยทำผิด แล้วบางทีผลของมันก็ยาว ยาวพอที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นนึกไม่ถึง  ลืมสาเหตุไปแล้ว รู้แต่ว่าเราต้องรับผลแล้วเราไม่ชอบรับเลยใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นบางทีก่อนจะทำอะไรจึงต้องรู้จักคิด ถ้าทำไม่รู้จักคิด เราก็จะเป็นคนที่ทำอะไรอย่างเลอะๆ เทอะๆ ถึงเวลาวันหนึ่งผลมา เราก็รับผลอย่างคนที่ไม่อยากรับ แล้วทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ รับผลมาอย่างคนที่ไม่อยากรับมันเลย  แต่เวลาตอนทำนั้นคิดน้อยเหลือเกิน
ศิษย์รู้ไหมว่าความศรัทธาที่อาจารย์พูดถึงตรงนี้คือศรัทธาอะไร ที่อาจารย์บอกว่า มนุษย์นั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง ศรัทธาตั้งศรัทธาตั้งขึ้นมา ศรัทธานี้ก็คือศรัทธาในความหวังของตัวเองนั่นแหละ บางคนนั้นได้แต่หวังอยู่ในใจ แต่ไม่เคยลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองหวัง ถึงเวลาแล้วผ่านไปปีหนึ่งสองปีจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) ไม่สำเร็จเพราะเราไม่เคยลงมือทำใช่หรือไม่ (ใช่ลึกเข้าไปในจิตใจก็คือเราไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่เรานั้นหวังไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่บางคนบอกว่า หวังว่าบำเพ็ญธรรมหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด มีความหวังอย่างนั้นจริง แต่ไม่เคยมีความศรัทธาในความหวังของตัวเอง ไม่เคยทำไม่เคยบำเพ็ญจิตใจ ปล่อยให้จิตใจโกรธวันละสามหนเป็นอย่างต่ำ ปล่อยให้จิตใจเกลียดคนอื่นได้อาทิตย์หนึ่งก็ไม่ต่ำกว่าสองสามหน ปล่อยให้จิตใจหลงได้ เจออันนี้ก็หลง เจออันนั้นก็หลง อย่างนี้เราได้ลงมือบำเพ็ญจิตใจหรือยัง (ยัง) หากไม่ได้ทำก็คือคนที่ไม่ศรัทธาในความหวังของตัวเอง  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จึงต้องหันกลับมามองตัวเองว่า เรานั้นได้ทำในสิ่งที่เราหวังมากเท่าไร หากศิษย์หวังว่าตัวเองนั้นจะมีการศึกษาสูงๆ ก็ต้องมั่นใจว่าตัวเองสามารถเรียนได้ หากมั่นใจว่าได้งานที่ดี เราก็ต้องลงมือไปหา แล้วเราต้องไม่กลัวความยากลำบาก งานเล็กเขามอบมาเราก็ทำตามงานเล็ก งานใหญ่มอบมาเราก็ทำตามงานใหญ่ ทุกๆ เรื่องราวต้องอาศัยความรอบคอบและระมัดระวัง ประมาทไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว จิตใจนั้นต้องเป็นคนใจกว้าง อย่าคิดมาก เพราะว่าเราคิดมาก ใจไม่กว้างพอ ทุกวันก็คิดหยุมหยิมคิดเล็กคิดน้อย น้อยใจคนนี้ที ว่าคนนั้นที คนนั้นว่าเราที เราไม่ยอมเลยสักอย่างหนึ่ง แล้วเกิดอะไรขึ้น เมื่อจิตใจไม่ยอม มือก็ไม่ขยับไปทำงานนั้นๆ  ถึงจะทำก็ทำไปแกนๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความพร้อมที่จะทำงานนั้นๆ ด้วยจิตใจที่กว้างขวางเหมือนกับฟ้าดิน ใช่หรือไม่ 
มนุษย์นั้นเป็นชีวิตที่ไวต่อความรู้สึกมาก วันๆ หนึ่งคิดไป บางทีคิดดี บางทีคิดร้าย บางทีดีใจ บางทีเสียใจ คนอื่นเขาทำอะไรแม้แต่นิดเดียว เราก็คิดไปเสียไกล บางทีเรื่องของคนอื่นแท้ๆ เรายังอุตส่าห์โกรธได้ เพราะเรานั้นเน้นหนักในความรู้สึกนั้นๆ มากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่เราควรที่จะมีจิตใจที่สงบมากกว่านี้ อย่าให้ความวุ่นวายต่างๆ นั้นมารบกวนจิตใจของเรามาก ถ้าทำได้อย่างนี้จิตใจของเรานั้นก็จะนิ่งขึ้น จิตใจที่นิ่งมีประโยชน์ต่อเราอย่างไรบ้าง ถ้าหากว่าเรานิ่งแล้วเราย่อมเป็นคนที่ไม่โกรธง่าย เป็นคนที่ทำอะไรก็คิดก่อนทำ มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อเราคิดมากๆ เข้า หลายๆ ครั้งเกิดการฝึกฝน เรานั้นก็จะเป็นผู้มีปัญญา อยากเป็นผู้ที่มีปัญญาไหม (อยาก
อาจารย์จะวาดวงกลมสามวงซ้อนกัน (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวาดวงกลมสามอัน)

 


 ศิษย์ว่าวาดวงกลมซ้อนกันอย่างนี้ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูกใครว่าไม่ถูกออกมาวาด เวลาคนเขาทำผิดอย่าไปว่าเขา เพราะว่าผิดนี้อาจจะเป็นถูก เพราะว่ายังไม่ได้บอกว่าให้วาดแบบไหน


วงกลมไหนที่วาดถูก ใครว่าอันนี้ถูกยกมือขึ้น ไหนใครที่ไม่ยกมือยกมือขึ้น เป็นธรรมดาถ้าหากอยู่โลกมนุษย์แล้ว คนที่ไม่ยกอะไรเลยเป็นคนฉลาดที่สุดใช่ไหม แต่ในสายตาของอาจารย์ คนนี้เป็นคนที่เจ้เล่ห์ที่สุดเลย  ใครอยากคบคนเจ้าเล่ห์บ้าง (ไม่อยากคบ) แต่อาจารย์รู้สึกศิษย์จะเป็นคนเจ้าเล่ห์นะ  เลยไม่มีใครอยากคบเราหรือเปล่า  ทัพหน้าก็ไม่อยากเป็น ทัพหลังก็ไม่อยากเป็น แต่อยากเป็นคนที่รอดตลอดกาลหรือ เป็นไปได้ไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราเลยหาทางรอดมากที่สุด  เพราะเรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรอด เราเลยรอดมากที่สุด  ทำอย่างไรก็ได้ให้เรารอดมากที่สุด  เลยกลายเป็นคนที่เจ้าเล่ห์  เราก็เลยเป็นคนดีไม่ได้ใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นบางทีหากต้องเสียก็ต้องยอมเสียไป  หากจะได้มาศิษย์ไม่ต้องทำอะไรก็ได้มา  ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าตัวของเราเอง นิสัยของเราเอง ชะตากรรมของเราเองนั่นแหละ  เราเป็นคนที่ใจกว้าง คนอื่นก็ย่อมใจกว้างกับเรา  หากเราเป็นคนที่ใจแคบ คนอื่นก็ย่อมใจแคบกับเรา  เราเอาเปรียบคนอื่น คนอื่นก็เอาเปรียบเราถูกต้องหรือเปล่า ไม่มีใครเห็นเวลาเราทำผิดทำบาป แต่ว่าศิษย์คิดว่าศิษย์จะพ้นบ่วงกรรมไหม (ไม่พ้น)
การทำงานร่วมกันก็เหมือนกับที่อาจารย์ให้ออกมาวาดวงกลม บางทีอาจารย์ให้ออกมาวาดก็ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าเป็นอย่างไร พอออกมาแล้วผิดหรือถูก ก็จงปล่อยให้คนออกมาวาด จะผิดจะถูกก็ปล่อยไปก่อน ดูห่างๆ ถ้ามีปัญหาแล้วค่อยแก้ไข  คนที่เป็นผู้นำควรจะทำอย่างนี้กับคนที่เป็นผู้น้อย อย่าตามเขาทุกฝีก้าว อย่าเห็นว่าเขาทำผิดอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นศิษย์จะไม่ได้ก้าวหน้าเลย
 

คนนี้ยิ่งวาดวงเล็กยิ่งกลม เห็นไหมว่าคนเรายิ่งทำงานยิ่งใหญ่จุดผิดพลาดย่อมมีมากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนที่วงใหญ่มักจะวงได้บิดๆ เบี้ยวๆ เวลาศิษย์มองไปคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราคนที่อาวุโสกว่าเรา บางทีเขาก็มีจุดผิดพลาดเยอะแยะกว่าเราไปหมดเลย เพราะว่าเราเป็นวงเล็ก จุดผิดพลาดของเราก็น้อยใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่วงใหญ่จุดผิดพลาดก็เยอะ แต่คนที่วงใหญ่อย่าได้ใจ ยิ่งเราวงใหญ่เท่าไร เราต้องยิ่งระมัดระวังมากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ระวังทำอะไรให้เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ ระวังการนำพา ระวังจิตใจ ระวังอารมณ์ ระวังความคิดและความรู้สึกของเรา สิ่งที่อาจารย์อยากจะเขียนไว้ใน 3 วงนี้คือ จิตใจ วงที่ 2 ความคิด วงที่ 3 คืออะไร (อารมณ์) ศิษย์โมโหง่ายไหม ทำอย่างไรให้ดับดี สงบจิตใจทำได้ไหม อาจารย์แนะนำวิธีง่ายๆ ว่าศิษย์ทุกคนทำได้ เวลาโมโหให้ออกไปเดินเล่น แต่อย่าไปเดินผ่านคนที่โกรธนะ เวลาโมโหอย่ามัวแต่นั่งอยู่กับที่ จมอยู่กับความคิดความรู้สึกของตัวเอง ไม่งั้นก็จะยิ่งนั่งยิ่งโมโห พอลุกไปก็ลุกไปเอาเรื่องเลยใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นง่ายๆ เวลาโมโหให้ออกไปเดินเล่น มองไปรอบๆ ตัว อย่าเดินไปคิดไป ให้เดินไปแล้วทำจิตใจให้สบาย แล้วอารมณ์ของเราก็จะเย็นมากขึ้น
วงที่ 3 ไม่ใช่อารมณ์ แต่ใกล้ๆ กับอารมณ์ เมื่อสักครู่บอกไปแล้วครั้งหนึ่ง (การปฏิบัติ, ปัญญา, การกระทำนี่เป็นสภาพคร่าวๆ ของจิตใจเรา นี่เป็นเปลือกนอกของจิตใจเรา เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ที่มีเปลือกหุ้มออกมาเรื่อยๆ  หนาออกมาเรื่อยๆ หยาบขึ้นเรื่อยๆ  ศิษย์คิดว่าที่หยาบๆ อยู่ข้างนอกนี้ควรจะเป็นอะไร (กิเลส, ความประพฤติ, การแสดงออกยังไม่ถูก ผู้ปฏิบัติงานธรรมคนไหนอยากตอบ (ปัญญา, ความศรัทธา, สติสิ่งที่อยู่วงสุดท้ายนี่เป็นพระเอกเลยนะ ที่อาจารย์อยากจะพูดถึง อันสุดท้ายก็คือความรู้สึก เห็นไหมว่ามันอยู่แถวไหน
อารมณ์และความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่คล้ายๆ กัน แต่อารมณ์นั้นก็คงจะมีแต่รัก โลภ โกรธ หลงใช่หรือไม่ แต่ถ้าเป็นความรู้สึกมีมากกว่านั้น อย่างเช่นความรู้สึกเกลียด ชอบ น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้ระแวง ความรู้สึกที่เป็นแง่บวกและเป็นแง่ลบ มีทั้งสองอย่าง มากมายกว่าแค่อารมณ์ ที่อาจารย์อยากจะพูดถึงนี้ เพราะว่าบางทีมนุษย์นั้นใช้จิตใจเหมือนกัน แต่ใช้แต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่นำพาความถูกต้อง ไม่นำพาผิดชอบชั่วดี ใช้แต่ความรู้สึกของเราไปสัมผัสเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา จึงเป็นเรื่องผิดพลาด เรียกว่าใช้ความรู้สึกมากกว่าหลักเหตุผล หลักธรรม ก็ย่อมไม่สามารถจะจัดการเรื่องราวใดใดได้อย่างสมบูรณ์
อันต่อมาละเอียดเข้าไปอีก บางคนเป็นคนช่างคิด พิจารณา เป็นอย่างไรบ้าง คนช่างคิดก็ใช้ความคิดในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ  แต่บางทีความคิดของเรานั้นก็เป็นเพียงแค่ความคิดของเราคนเดียว บางทีเกิดความยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเรา ก็ยิ่งไม่สามารถที่จะนำพาสิ่งใดให้ตลอดรอดฝั่งได้ เพราะว่ามีแต่ความถูกต้อง แต่ไม่มีความเมตตา ถูกแต่ไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
ฉะนั้นอันสุดท้ายที่ละเอียดมากๆ ก็คือจิตใจ จิตใจนี้เป็นอย่างไรบ้าง จิตใจที่มีความเมตตา คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง จิตใจที่โอบอ้อมอารีพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นนั้น ใครเห็นใครได้รับ ใครๆ ก็ชอบใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์ชอบให้คนอื่นเอาใจเราไหม (ชอบชอบให้คนอื่นชมเราไหม (ชอบแต่ว่าที่เขาชมนั้นเขาชมจริงหรือชมเล่น ต้องพิจารณาตัวเองว่าเรามีความดีนั้นๆ อย่างที่เขาพูดจริงหรือเปล่า เวลาคนติก็อย่าได้น้อยใจ  ให้มองว่าเขานั้นหวังดีจึงติเรา  เพราะฉะนั้นสามอย่างนี้เป็นองค์ประกอบในจิตใจ เวลาจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ อย่าใช้ความรู้สึกมาก อย่าใช้ความคิดมากจนลืมจิตใจ และจิตใจของเรานั้นต้องประกอบทั้งสามอย่าง คือจิตใจที่ดีงาม คิดอย่างมีหลักเหตุผล และคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ทำร้ายจิตใจของผู้อื่น  จึงสามารถที่จะทำสิ่งใดได้อย่างราบรื่น
หากว่าศิษย์ใช้แต่หลักเหตุผลมากเกินไปศิษย์ก็อาจจะปวดหัว ปวดหัวเพราะว่าต้องไปขัดกับคนอื่นเพื่อความถูกต้องใช่หรือไม่  แต่หากว่ายังต้องขัดกับคนอื่นเพื่อความถูกต้องก็แสดงว่ายังไม่ถูกต้อง บางทีเราใช้แต่จิตใจของเรา ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น เราก็ทำเรื่องเดือดร้อนเช่นเดียวกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่บางทีเราเน้นหนักแต่ความรู้สึกมากเกินไป ไม่คิดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเราก็ย่อมทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเช่นเดียวกัน เวลาทำเรื่องๆ หนึ่ง ให้คิดว่าเดือดร้อนตัวเองไหม เดือดร้อนผู้อื่นไหม ถูกต้องตามมารยาทสังคมหลักทำนองคลองธรรมหรือเปล่า  คิดให้ถี่ถ้วน ถ้าหากว่าศิษย์คิดได้ดังนี้ ความเดือดร้อนที่จะนำมาให้ผู้อื่น นำมาให้ตัวเองนั้นก็จะลดทอนลงใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้บรรยากาศธรรมของที่นี่ ในสายตาอาจารย์แล้วรู้สึกอบอุ่นดี เพราะวันนี้มีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมตั้งหลายท่านมาอยู่ร่วมกัน อาจารย์ฮวั๋งเตี่ยนฉวันซือก็มา อาจารย์หลินเตี่ยนฉวันซือก็มา อาจารย์ประทินเตี่ยนฉวันซือก็มา อาจารย์จวังเตี่ยนฉวันซือก็ยังอยู่เป็นประธาน อาจารย์หลินเตี่ยนฉวันซือไต้หวันก็กรุณาศิษย์มาอยู่เป็นประธานเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการทำงานธรรมะนั้น ทำงานร่วมกันรักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง    สมกับที่ศิษย์นั้นมีเฉียนเหยรินที่ชื่อ หลี่เอวี๋ยน (         )  อย่างนี้จึงดี ไม่ว่าจะเป็นพุทธระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นกฎต่างๆ ก็แล้วแต่ ตั้งขึ้นมาเพื่อความเหมาะสม ล้วนตั้งขึ้นมาด้วยอยากให้ศิษย์นั้นปรองดองกัน ยิ่งปรองดองกันเท่าไรก็ยิ่งดี ตอนทำงานเราแยกกันทำงาน ตอนที่จำเป็นเราก็มาอยู่พร้อมหน้ากันใช่หรือไม่ (ใช่อันว่าแยกกันทำงานไม่แยกจิตใจ อย่างนี้จึงเป็นครอบครัวที่อบอุ่นได้ อาจารย์ดีใจที่วันนี้เห็นแบบนี้
อาจารย์มาน่าเบื่อหรือเปล่า (ไม่เบื่ออาจารย์ไม่ให้หวยให้เลขน่าเบื่อหรือเปล่า (ไม่น่าเบื่ออาจารย์ให้แต่ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรมะชีวิตจะได้ดีขึ้น คนมีเงินก็ไม่ใช่คนที่มีความสุขเสมอไป คนมีครอบครัวที่สมบูรณ์แต่หากว่าเจ้าตัวนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยก็รู้สึกไม่สมบูรณ์ใช่หรือเปล่า (ใช่อารมณ์นั้นถ้าเราดับไม่ได้ จิตใจของตัวเองถ้าเราสงบไม่ลง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ดูแล้งไปหมดใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยศิษย์ได้นั้น คงไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือการปล่อยวาง การทำใจได้ หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่มาโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัว แต่ว่าต้องปลงได้ ทำใจได้ จะยังเด็กอยู่หรือผู้ใหญ่แล้วคงไม่ได้แยกแยะว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่นั้นปล่อยวางได้ดีกว่าเด็ก ดีไม่ดีเด็กนั้นปล่อยวางได้ดีกว่าผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำใช่หรือไม่ อย่าเป็นคนหวงมาก อย่าเป็นคนรักจนลืมตัว 
เพลงนี้ทั้งเพลง ส่วนใหญ่อาจารย์จะพูดถึงความรู้สึกของคนทั้งนั้นเลย เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกของเรา ท่อนแรกอาจารย์บอกว่าความรู้สึกพาใจไหวเอน วางกฎเกณฑ์ครบครันทันใจ”  เวลาเรารู้สึกว่าคนนี้ผิด หรือรู้สึกว่าคนนี้เป็นคนที่เราไม่ชอบใจ ทันทีทันใดเราก็จะวางกฎเกณฑ์ลงไป ว่าโทษเขาก่อน เขาผิดก่อน หรือเรารู้สึกดีกับคนนี้มากๆ เราก็วางความรู้สึกไปว่าคนนี้ดีมาก โดยที่แทบจะยังไม่เห็นความจริงเลยด้วยซ้ำ ในสังคมปัจจุบันนี้เขาบอกว่า โจรใส่สูท”  แสดงว่าคนเรานั้นมองแค่สีหน้า มองแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมนั้นไม่ได้ หรือจะบอกว่าโจรนั้นต้องจนก็ไม่ได้  อาจจะรวยกว่าเราเสียด้วยซ้ำใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้สึกอะไร พอมีความรู้สึกปุ๊บ มีความเอนเอียงลำเอียงปั๊บ นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาดในตัวของเราทุกคน บางคนนั้นใส่เสื้อมอซอ ไม่มีตังค์เลยเขาอาจจะเป็นคนที่จิตใจดีก็ได้
ทำจนตนสิ้น สุขใจ  คนที่ทำดี คนที่ไม่หวังผล คิดดีต่อผู้อื่น เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีแล้วมีความสุข เวลาเขาทำจนตัวตายเขาก็มีความสุขใจ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง พรหมลิขิต”)
ชื่อเพลงอะไรดี (feeling) เกิดเป็นคนไทยต้องรักในภาษาของตัวเอง ชื่อเพลง อย่าใช้ความรู้สึกนำทางการบำเพ็ญ
คนที่บำเพ็ญยิ่งนานอย่าเป็นคลื่นลูกหน้าที่โดนคลื่นลูกหลังกลบเรียบนะ ยิ่งอายุทางธรรมมากขึ้นก็ยิ่งจะต้องก้าวหน้ามากขึ้น ใครที่มีความสามารถมากกว่าเราก็ปล่อยเขานำหน้าไปไม่เป็นไร ถ้าประสบการณ์ของเราสูงกว่า วันหนึ่งเขามีเรื่องเดือดร้อนเขาจะมาหาเรา  อย่าคิดว่าเราจะต้องโอ้อวดความเป็นคนที่อาวุโสกว่าหรืออายุมากกว่า  ไม่ใช่อย่างนั้น อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนมีความก้าวหน้า แม้ว่ามีไม่มากก็มีน้อย ไม่มีนิดก็เชื่อว่ามีหน่อย เราหยุดเรียกร้องความก้าวหน้าไม่ได้  เราต้องพาตัวเราให้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบกับใคร ไม่ใช่เปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ใช่บอกว่าคนนั้นดีกว่าฉัน คนนี้แย่กว่าฉัน แต่ต้องเปรียบเทียบกับตัวเอง เพราะอาจารย์เชื่อว่าให้ศิษย์บำเพ็ญจนตายก็มีข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ เพราะว่ายิ่งทำงานมากก็ยิ่งผิดมาก ยิ่งเดินก้าวออกไปมากก้าวเท่าไร โอกาสล้มก็ยิ่งสูง แปลว่าล้มแล้วต้องลุก ไม่ใช่ล้มแล้วนอนต่อ  ล้มแล้วต้องลุก
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาจารย์ให้แล้วดูแปลกๆ ต้องอธิบายสักหน่อย กลัวศิษย์ของอาจารย์ที่เฉลียวฉลาดทุกคนจะเอาคำพูดของอาจารย์ตั้งหลายคำไปใช้ผิดๆ  แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นฉลาดกว่าอาจารย์อีกนะ พูดอย่างนี้ ไปบอกคนอื่นอย่างนี้เหมือนกันแต่เป็นเหตุผลเข้าข้างตัวเองด้วย เคยทำแบบนี้ไหม
การเห็นใจช่วยกันนั้นง่าย    คนตั้งใจรู้ให้ทันที    ช่วยเท่าที่เป็นผลดี
เป็นผลดีไม่ใช่เป็นผลดีต่อตัวเอง แต่เป็นผลดีต่อคนอื่น เพราะว่าคนในโลกปัจจุบันนั้นแปลกมากจริงๆ เวลาคนอื่นเขาช่วยเรา นอกจากไม่ขอบคุณแล้ว ยังถือโอกาสที่จะทวงสิทธิ์ด้วย เหมือนกับเขามีหน้าที่จะต้องช่วยเราอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่บอกว่าเป็นผลดีคือ เราผู้ช่วยก็ช่วยเท่าที่เป็นผลดีต่อผู้อื่นเท่านั้นก็พอ ที่ให้มาอย่างนี้ก็เพื่อรองรับความประหลาดของมนุษย์ในปัจจุบันนี้แหละ มนุษย์ในปัจจุบันนี้เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยงลูก เลี้ยงลูกจนเสียคนยังไม่รู้เลยว่าลูกเสียคนไปแล้ว ยังเข้าข้างอยู่นั่น  อาจารย์จึงบอกว่าบางทีช่วยก็ช่วยเท่าที่เป็นผลดีเท่านั้นก็พอ  ถ้าหากว่าดูแล้วเขาจะถูกเราตามใจจนเหลิงแล้ว เราต้องหยุด มองก่อน คิดก่อน พิจารณาก่อน แล้วค่อยช่วยต่อ อย่าช่วยไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่คิดอะไรเลย ไม่อย่างนั้นแล้ว คนๆ นี้แทนที่ศิษย์จะช่วยให้เขาเป็นพุทธะ ศิษย์จะช่วยให้เขาเป็นพุทธะที่ดื้อ พุทธะที่เอาแต่ใจตัวเอง พุทธะประเภทนี้มีบนฟ้าไหม (ไม่มีเพราะฉะนั้นสรุปแล้วศิษย์ไม่ได้เป็นพุทธะ ศิษย์ช่วยคนเป็นพุทธะไม่สำเร็จ แถมถ้าหากว่าเขาหลงจนกระทั่งทำสิ่งไม่ดีขึ้นมา ศิษย์ก็ต้องแบกกรรมร่วมกับเขาไปด้วย
เตือนใจคนลำเอียงยึดมั่น ดีต่อกันครั้นสิ้นยืนงง เมื่อไม่อยากให้ลดลง ทำทุกอย่างใจขาดตรง รักพ้องพงศ์จิตถือเที่ยงธรรม 
ทุกคนรักพวกของตัวไหม (รัก) พ้อง คือพวกพ้อง พงศ์คือญาติของเราเอง ศิษย์รักไหม (รัก) แต่จริงๆ แล้วอาจารย์จะบอกว่า ถ้าหากว่าเรารักพวกพ้องของเราเอง เราต้องถือความเที่ยงธรรม
เตือนใจคนลำเอียงยึดมั่น เส้นใต้เส้นเดียวที่เห็นนี้คือผู้ให้ อาจารย์ให้คนที่เป็นฝ่ายให้ ให้ด้วยความลำเอียงเพราะความรักพวกพ้องของตัวเองมากเกินไป รักพ้องพงศ์ของตัวเองมากไป นี่เป็นฝ่ายผู้ให้ เพราะเราคิดว่านี่คือคนของเรา หรือว่านี่คือญาติของเรา เราย่อมดีกับเขาเป็นพิเศษใช่หรือไม่ (ใช่แต่อาจารย์จบท้ายบอกว่า ถ้ารักเขาจริงให้ยึดถือความเที่ยงธรรม  ถ้าหากว่าเรารักลูกของเราจริง ถ้าลูกเราไปตีกับเขา เราจะเข้าข้างลูกเราดีหรือเปล่า ถ้าลูกเราเป็นฝ่ายผิด เราเข้าข้างเขาดีไหม (ไม่ดีถ้าศิษย์ทำแบบนี้ ถ้าศิษย์เข้าข้างลูกของตัวเองหัวยันฝา แสดงว่าศิษย์นั้นทำให้ลูกเสียคนใช่หรือไม่ (ใช่แต่ในงานธรรมะนั้นมีผู้นำ ผู้น้อย ญาติธรรม บางทีเราก็เผลอตามใจเขาแบบนี้แหละ เราเองแทบจะลืมไปแล้วว่าอย่างไรควร  อาจารย์ไม่ได้ว่าคนที่นี่ ไม่ได้ว่าคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ทุกคนมีสิทธิ์เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะวันนี้นั้นมีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมหลายท่านอยู่ที่นี่ จึงถือโอกาสที่จะบอก สำหรับคนใหม่ก็ควรดูญาติมิตรของตัวเอง สำหรับคนที่เป็นญาติธรรมเก่า เป็นผู้นำ ต่างคนก็ต่างมีพวก ต่างคนต่างมีพ้อง คิดเอาเองนะ
 “ดีต่อกันครั้นสิ้นยืนงง เส้นใต้สองเส้นนี้เป็นฝ่ายผู้รับ  ถ้าหากว่าเราให้เขาตลอด โดยที่เราไม่ได้บอกว่าสิ่งใดคือความถูกต้อง เมื่อเราให้ไปแล้ว วันหนึ่งเราเกิดเห็นข้อไม่ดีของคนๆ นี้ขึ้นมาปุ๊บ เราหยุดให้  เขาก็งง ถามว่าข้อไม่ดีของคนนี้นั้นเมื่อก่อนมีไหม (มี) คนไม่ดีคนนี้เมื่อก่อนก็ไม่ดีแบบนี้แหละ เพียงแต่เราไม่รู้ ถึงมีคำพูดบอกว่ารู้เรื่องคนอื่นให้น้อยที่สุดเป็นดี ความผิดเขา ความถูกเขาเราไม่เกี่ยว เราอย่าได้เอาจิตใจไปผูกอยู่กับความผิดของเขา อย่าไปรู้เรื่องของคนอื่นเขามาก จนกระทั่งทำให้จิตใจของตนเองลำเอียง เอนเอียงไป
เมื่อไม่อยากให้ลดลง ใครไม่อยากให้ลดลง คนที่ถูกให้ๆๆ ตลอด ไม่อยากให้ลดลงเลย ทำไมอยู่ดีๆ เขาไม่ดีกับเราล่ะ คิดมากไหม คิดทั้งสองฝ่ายไหม (คิด) มองหน้ากันไม่ติดแล้ว 
ทำทุกอย่างใจขาดตรง  คนที่เป็นฝ่ายรับนั้นย่อมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้เหมือนเดิม เพราะว่าต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตนเอง ไม่มีใครเชื่อว่าตัวเราผิด แต่นี่คือลักษณะของคนที่ใช้ความรู้สึกมากเกินไป ฉะนั้นใครผิด ผิดทั้งคู่
ทำทุกอย่างใจขาดตรงอันนี้สามารถที่จะขีดเส้นใต้เส้นเดียวได้เหมือนกัน เพราะคนที่เป็นคนให้ ทีนี้ก็ไม่อยากจะให้ล่ะ ก็ทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เหมือนกัน ทั้งที่เมื่อก่อนให้ตลอดใช่หรือไม่ อาจารย์จึงบอกว่าถ้ารักกันจริง จิตต้องถือความเที่ยงธรรม เที่ยงแปลว่าอะไร เหมือนธูปอันนี้ ก้านตรงไหม (ก้านตรง) แต่อยู่ที่คนปัก ที่จะปักตรงหรือไม่ ถ้าชอบข้างซ้ายมากกว่า ก็ปักข้างซ้ายมากหน่อยก็ไม่ตรง ธูปตรง แต่ใจเราไม่ตรง หลักการเรื่องราว คน อาจจะสัมพันธ์กันได้ถูกต้องแล้ว มีแต่จิตใจของเราที่ยังไม่ตรง 
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท ปัญญาแยกแยะตามจริง”)
ขอให้เรานั้นมองให้เห็นซึ่งความจริงที่เป็นอยู่ หากว่าเราเป็นคนจน ตอนนี้เราไม่ค่อยมีเงิน เราจะเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแล้วคิดว่าเดี๋ยวเงินมาเองใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) หากว่าเราเป็นโรคเราก็ต้องหาหมอ หรือเราคิดว่าอยู่ดีๆ โรคจะหายเองเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) การบำเพ็ญธรรมะในยุคปัจจุบันนี้ อาศัยตัวเองนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเอง หากว่าเราไม่บำเพ็ญย่อมไม่ได้รับผลนั้น เจอปัญหาก็ไม่ใช่หนีปัญหา แล้วคิดว่ามันจะพ้น มีแต่ต้องสู้ต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราก้าวหน้าแล้วก็ยังจะต้องให้ตัวเองก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถ้าเราไม่เปรียบเทียบกัน ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ทุกอย่างก็จะราบรื่น อาจารย์เห็นแล้วก็ไม่กลุ้มใจ แต่ถ้าหากว่าทุ่มเถียงกันอย่างคนที่ไร้คุณธรรม อาจารย์กลุ้มใจ เพราะว่าหากทะเลาะกันยังใช้เหตุผลมาสู้กันได้ใช่หรือไม่ (ใช่) พอจบเรื่องจบราวก็อาจจะไม่มีเรื่องอะไรกันอีก แต่หากว่าคนนั้นไม่มีคุณธรรมต่อกัน ไม่ว่าวันนี้  ไม่ว่าวันไหน หากว่าไม่มีเมตตา หากไม่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น อยากได้แต่ความสุข ไม่รู้จักช่วยผู้อื่น แล้วความสุขนั้นจะมาจากไหน อยากให้ทุกคนนั้นใช้ปัญญาแยกแยะตามจริง อาจารย์จึงอยากให้นักเรียนในชั้นนี้ทุกคน เมื่อฟังธรรมะทั้ง 2 วัน ใช้สติ ใช้ความคิดของเรา ใช้จิตใจอันบริสุทธิ์สะอาดของเรามาขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง เมื่อเราไม่ชอบให้คนอื่นว่าเรา ไม่ชอบให้คนอื่นติเรา เราจึงต้องติตัวเอง
เวลาอยู่คนเดียวอยู่ในที่มืด อย่าได้คิดทำในสิ่งที่ไม่ดี คิดว่าใครมองไม่เห็น ใครมองไม่เห็นก็ใช่ แต่เรามองเห็นตัวเองไหม จิตของเราเป็นจิตพุทธะ เมื่อคนอื่นมองไม่เห็น พุทธะนั้นมองเห็น ถ้าหากว่าเราไม่มีจิตที่ลังเล สู้ต่อไป วันข้างหน้าของเราก็คือ พุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะต่างจากปุถุชนตรงไหน ปุถุชนนั้นคิดทุกอย่างเพื่อตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง แต่หากว่าเรามีจิตเป็นพุทธะ ก็ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ดังเช่น ศิษย์ของอาจารย์นั้นทั้งร้อยกว่าคน ในการที่เรามาที่นี้วันนี้ได้ เพราะมีคนคิดที่จะช่วยเรา ช่วยให้เราฟังธรรมะ เข้าใจธรรมะ เพื่อให้เราบำเพ็ญธรรมะ ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติเองได้ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ อันว่าเกิดมานั้นทุกข์ไหม (ทุกข์) ตายไปทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์) ตายไปก็ทุกข์เกิดมาก็ทุกข์ หลุดพ้นเกิดๆ ตายๆ จึงไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายดีหรือเปล่า
วันนี้คนที่ยังไม่ได้ผลไม้ โอกาสสุดท้าย ขอให้ใช้ความกล้าตอบ อาจารย์จะให้ตอบว่ากลับบ้านไปแล้วจะกลับไปเริ่มต้นทำอะไรดี (การทำความดี) กลับไปบำเพ็ญจิตใจให้ดีๆ ดีไหม อายุก็มากแล้วรีบๆ บำเพ็ญนะ บำเพ็ญอย่างไร (ทำตัวให้เป็นคนดีขึ้น) แน่ใจไหม, (ทำในสิ่งที่ทำแล้วคิดว่าเราดีที่สุด) แน่ใจหรือเปล่าที่รู้สึกถูก คิดถูกและทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ร้ายเท่าไร เราก็จะยึดมั่นในความดี ใช่ไหม, (ดีขึ้นกว่าเดิมดีขึ้นกว่าเดิมตอนนี้ดีหรือยัง (ดีขึ้นแล้ว) ดีขึ้นในสองวันใช่ไหม, (พาลูกเต้ามาบำเพ็ญ) พาลูกเต้ามาบำเพ็ญธรรมจะได้กลับไปด้วยกันดีไหม ต้องโมโหน้อยๆ ทำได้ไหม (ได้ต้องบ่นน้อยๆ นะ ทำได้ไหม (ได้แน่ใจหรือทีนี้ไม่บ่นแล้วนะ, (ปฏิบัติธรรม) ปฏิบัติธรรมทำอะไรบ้าง (ทำตนให้เป็นคนดี) ก่อนอื่นมาศึกษาให้มากๆ มีเวลาว่างให้เยอะๆ เป็นคนขี้ใจน้อยไหม เป็นคนขี้ใจน้อยดีไหม (ไม่ดี) มีเวลาว่างมาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม, (ทำความดีทุกวันนี้ยังทำความไม่ดีหรือว่าทำความดีข้างนอกแล้วจิตใจยังคิดหยุมหยิม เวลาจะทำดีไปอย่าได้คิดหวังผลตอบแทน เวลาทำดีไปอย่าได้คิดสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ ตอนที่ทำดี ทั้งข้างนอกก็ดี ข้างในก็ต้องดีด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะไม่ได้บุญ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้กุศล ไม่ใช่ตักบาตรไป ตักข้าวไปก็นึกนินทาพระไป อย่างนี้ได้บุญหรือไม่ได้ (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนชายในชั้นเราเป็นผู้ชายเพียงไม่กี่คน เราก็เด่นอยู่แล้วใช่ไหม  ยิ่งต้องทำความดีให้เป็นที่เด่นให้เป็นที่ปรากฏใช่หรือเปล่า
ว่าอย่างไร ทำอะไรดีเมื่อกลับไปบ้าน (ทำความดีดีเหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าเราดีเหมือนเดิมแสดงว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะทุกวันนี้เราก็บอกว่าเราดีใช่ไหม ดีเหมือนเดิมแสดงว่าเราไม่เปลี่ยน ทำอย่างไร (ดีขึ้นกว่าเดิม, ทำความดีสั่งสอนลูกหลานถ้าเราจะสั่งสอนคนอื่น เราต้องรู้ให้ชัดก่อน เราต้องศึกษาให้มากๆ อาจารย์จะบอกให้ คนที่เสียชีวิต เสียได้ตอนไหนบ้าง เช้าสายบ่ายเย็น ทุกเวลาทุกนาทีใช่ไหม เกิดเราไปหลงตอนเช้าแล้วตอนเย็นเราไม่อยู่แล้วล่ะ ยังไม่ทันพรุ่งนี้เช้าเลยนะ เพราะฉะนั้นหลงปุ๊บจับจิตปั๊บ ดึงให้อยู่ อย่ารอ อย่าผัดวัน  อายุเราอาจจะยืนยาวแต่มีความหลงตั้งวันหนึ่ง, (ทำความดีทำความดีอีกแล้ว ทำไมคนดีไม่อยู่บนสวรรค์นะ ทำไมคนดีมาอยู่บนโลก คิดได้สองอย่าง หนึ่งศิษย์เกิดมาเพื่อช่วยงานธรรมะ ศิษย์เกิดมาเพราะหมดบุญบนสวรรค์ กับสองคือ ที่บอกว่าทำความดีแสดงว่ายังดีไม่พอ
 (พระอาจารย์สนทนากับญาติธรรมชาวจีนที่มาร่วมชั้นประชุมธรรม)
อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้สนับสนุนให้ศิษย์ทำงานธรรมะในเมืองจีน ไปต้องระวัง ดูให้ดี ระวังให้มากเข้าใจไหม เพียงแต่อาจารย์อดใจไม่ได้ มาแล้วก็ส่งเสริมหน่อยเพียงแต่ต้องรู้ว่ายังไม่ถึงเวลานะ
วันนี้อาจารย์มาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้สิ่งต่างๆ ไปมากมาย ชั้นนี้เป็นชั้นเรียนที่เพิ่งเริ่มต้น  นานๆ จัดประชุมธรรมทีก็ดีนะ ดูแล้วการพบกันนั้นเป็นสิ่งมีค่า ดูแล้วทุกคนนั้นมีการเก็บพลังสั่งสมพลังเอามาใช้ในงานนี้ได้ดี อาจารย์หวังว่าต่อไปนั้นทุกวันๆ ทุกอาทิตย์ๆ ก็ทำได้แบบนี้ เมื่อเราเหนื่อยก็อย่าพยายามเอาความเหนื่อยของเรานั้นไปบอกคนอื่น ให้คนอื่นเขาเกิดความท้อใจเหมือนๆ กับเรา เราลองดูสิว่าเราสามารถที่จะจัดการความท้อแท้ของตัวเองได้ไหม คนเรานั้นท้อแท้ได้ไม่ผิด แต่อย่าท้อแท้จนมาทำลายการปฏิบัติธรรมของเรา หนทางการบำเพ็ญอีกยาวไกล การทำความดีนั้นแม้ศิษย์จะมองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งทุกวันๆ นั้นศิษย์ตามใจตัวเองเป็นส่วนใหญ่ การทำความดีนั้นจึงยังเป็นเรื่องยาก แต่หากว่าทำความดีเป็นส่วนมาก ความดีนั้นก็ทำง่ายขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่
วันนี้อาจารย์จะกลับแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มลาศิษย์จากตรงไหน  นานๆ พบหน้ากันทีนั้นก็เป็นเรื่องดี ศิษย์ของอาจารย์นั้นห่างกัน ในจิตใจนั้นอย่าได้ท้อ มีเวลาว่างก็ขอให้มาสถานธรรม เพื่อที่ว่าอะไร เพราะว่ายิ่งเราห่างไกลสถานธรรมมากเท่าไร เรายิ่งไม่สามารถประคองจิตใจที่คิดจะบำเพ็ญธรรมไว้อยู่ได้ เวลาไม่คอยใคร แต่ละคนนั้นถ้าหากว่าทำดีมาก กุศลก็เพิ่มพูนมากขึ้น หากทำสิ่งที่ร้ายมาก ทำสิ่งที่เป็นกรรมมาก ยิ่งเวลาเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ศิษย์ก็ยิ่งใกล้หนทางแห่งความมืดเพิ่มขึ้นเท่านั้น วันนี้โลกเราปัจจุบันอาจจะไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่สำหรับคนที่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ศิษย์ลองมองย้อนไปดูเด็กๆ ทั้งหลาย พวกเขาก็ยังเห็นโลก เห็นการเล่นเป็นเรื่องสนุกอยู่  อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีจิตใจที่ใสๆ สะอาดๆ เหมือนเด็กทารก คนเรานั้นมีทิฐิมากก็จะเป็นเรื่องที่ทำให้เรานั้นยิ่งตกต่ำมาก จงอย่าทิฐิ ละทิฐิของเราลง เมื่อทิฐิของเราลดลงก็ยิ่งอ่อนน้อม ทำได้ไหม
ขอให้ทุกๆ คนนั้นสามัคคีรวมพลังกัน วันนี้ดีอยู่แล้วขอให้วันหน้าดีขึ้นไปอีก
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น) เป็นหัวหน้านะ ไม่ใช่เป็นหัวหน้าเฉพาะสองวันนี้ ขอให้วันต่อๆ ไปก็สามารถเป็นหัวหน้าเขาได้ คนที่เป็นหัวหน้าไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่เหนือคนอื่น แต่ยิ่งหมายความว่าจะต้องแบกรับสิ่งที่ยากลำบากมาสู่ตัว อย่ากลัวความยากลำบาก บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ เป็นแรงแทนอาจารย์เข้าใจไหม
บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ นะ ศิษย์ศึกษาธรรมะให้มากๆ นะรู้ไหม ไม่ว่าวันนี้วันหน้าวันไหนจิตใจของเรามีหนึ่งเดียว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ธรรมะยังเป็นเรื่องใหม่ เราบำเพ็ญทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เก่าอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเราเอง อย่าให้เสียแรงที่วันนี้อาจารย์มาเจอ ขอให้ศึกษาให้ดีเข้าใจไหม 
ศิษย์สี่คนนี้เป็นคนที่มีบุญแต่อย่าคิดว่าทำไมคนมีบุญอย่างเราถึงได้ตกต่ำอย่างนี้ ขอให้ศิษย์นั้นทำในสิ่งที่ดีเชื่อมั่นในความดีเข้าใจไหม บำเพ็ญดีๆ นะ สิ่งใดคับแค้นในชีวิตปล่อยออกมาได้
ลูกศิษย์อาจารย์ใครที่เป็นนักศึกษาเรียนหนังสือ ขอให้รู้จักแบ่งเวลางานธรรมงานโลก งานธรรมงานโลกแบ่งให้ดีๆ อย่าให้ทางโลกนั้นกลืนจนเรามิดไป จะเสียแรงที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมา บำเพ็ญดีๆ นะรู้ไหม  บำเพ็ญดีๆ ก็ตามอาจารย์มาดี
ศิษย์ต่างนั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ วันนี้นั่งร่วมกันวันหน้าใครบำเพ็ญก็ขึ้นไป บำเพ็ญร่วมกันพร้อมกันก็กลับคืน แต่หากว่าศิษย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ แม้วันนี้ได้นั่งเก้าอี้เซียนแต่หากศิษย์ไม่อยากบำเพ็ญธรรมศิษย์ก็กลับคืนไม่ได้เข้าใจไหม  บำเพ็ญให้ดีๆ  รักษาใจเราให้มั่นคง คนที่อยู่ข้างๆ เราเขายังมั่นคงเลย
บำเพ็ญกันให้ดี เหนื่อยแล้วเราก็เห็นใจกัน พร้อมแล้วก็สู้ไปด้วยกัน เป็นเรื่องยากทำงานธรรมะ บางทีเราก็คิดว่าดีแล้ว แต่ทำไมมันยังไม่ดีก็ไม่รู้ ไม่เป็นไรลองดูใหม่ สู้ต่อไป แม้อาจารย์จะเป็นคนที่ว่าศิษย์ ว่าไม่เลิกเสียที แต่ถ้าอาจารย์ไม่ว่า อาจารย์ก็ต้องปล่อยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นท่านว่าศิษย์ เพราะฉะนั้นทุกครั้งอาจารย์จึงเลือกที่จะว่าเอง ดีกว่าให้คนอื่นว่า แม้อาจารย์จะพูดไม่ออกแต่อาจารย์นั้นก็อยากให้ศิษย์ได้ฟัง ทำแต่สิ่งดีนะ รักษาตัวเองให้ดีๆ เก็บความรู้สึกของเราที่มันไม่ดีต่างๆ ให้มิดลงไปข้างล่าง อย่าได้ใช้มันออกมา หากว่าศิษย์ใช้ความรู้สึกนั้นหนักหนาสาหัส ใช้ความรู้สึกตัวหนักหนาสาหัสกว่าหลักธรรมหรือสิ่งที่ถูกต้อง หรือว่าหลักเหตุผลของเรานั้นดีกว่าคนอื่นเสมอ นอกจากศิษย์จะทำตัวเองเดือดร้อน ยังทำผู้อื่นเดือดร้อน อย่าทิฐิที่จะแก้ไข เมื่อต้องแก้ไขก็ต้องแก้ไข เมื่อต้องยอมก็ให้ยอม เมื่อต้องสละก็ให้สละไป ของบางอย่างหากศิษย์จะปลดออกจากตัว เมื่อนานเกินไปแล้วปลดออกลำบากเข้าใจไหม เหมือนอย่างตอนนี้รู้ตัวว่าบำเพ็ญธรรมดี แต่ไม่ยอมบำเพ็ญ วันหลังอยากจะบำเพ็ญใจมันก็ไม่สู้ เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่มีใจ ถ้ามาเริ่มต้นเอาตอนไม่มีใจก็เริ่มไปอย่างทุลักทุเล ศิษย์จะลำบากโดยที่ศิษย์นั้นไม่อยากลำบากเลย รักษาตัวให้ดี


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ปัญญาแยกแยะตามจริง”

สุขไม่ทุกข์ทุกข์ก็สุขไปไม่ได้ ทำงานด้วยจิตใจดีบรรลุผล
อวดไม่รู้รู้ไม่อวดความในตน อย่าถือตนถ้าไม่รู้ยิ่งน้อมเพียร
ยามที่เศร้าอย่าได้เกลื่อนกลบว่าสุข คนเมื่อขลุกปัญหานานพาจิตเพี้ยน
ปวงกิเลสเล็กน้อยแต่ผุดวนเวียน อุปสรรคเขียนด้วยนิสัยให้ประชา
ความสามัคคีเกิดหลังจากเข้าใจกัน มาสร้างสรรค์ชีพให้งามด้วยคุณค่า
ยิ้มใสใจสะอาดเป็นสิ่งควรรักษา การชินชาในความผิดไม่พาได้ดี


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา