วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-02 สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


PDF 2543-12-02-ฉงเต๋อ #22.pdf

#ไตรรัตน์


วันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

น้ำตาคงรินไหลไปไม่เคยสิ้น หนึ่งชีวินมีปัญหาอยู่มากมาย
อยู่ที่ใครจะรู้ตื่นก่อนจะสาย จิตวุ่นวายพอสงบพบนิพพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟังคำ     ฮวา  ฮวา
ในวันนี้พบหน้ากันใช่บังเอิญ พุทธะเชิญจิตศรัทธาให้ปรากฏ
อันใดฟังพยายามเข้าใจหมด ขอให้ลดทิฐิลงบำเพ็ญธรรม
แต่กาลก่อนรองเท้าเหล็กสึกยากพบได้ วิสุทธิอาจารย์บัดนี้ไขประตูแท้
เกณฑ์ยุคสามธรรมะลงโปรดแผ่ สู่ปุถุชนคนแท้ด้วยความดี
ประชุมธรรมอบรมจิตขัดเกลาใจ ฟื้นฟูให้คืนใสดุจทารกน้อย
ทุกวันนี้โลกเสื่อมลงคนรอคอย ให้คนอื่นทำดีก่อนค่อยตาเราทำตาม
ขอให้ช่วยคนละไม้คนละมือ อย่ายึดถือความคิดตนเป็นหลักใหญ่
ทุกคนต่างอาจทำผิดอย่ามั่นใจ มากเกินไปใช้สติลดให้พอดี
ในใจน้องอย่าเคลือบแคลงสงสัยมาก อาจกลายเป็นอุปสรรคที่ยากฝ่า
อันโลกนี้ก็คือภาพมายา แสวงหาเมื่อไหร่จึงครบถ้วนนา 
พิจารณาด้วยปัญญามีเหตุผล เกิดเป็นคนเพื่ออะไรน้องทั้งหลาย
หากเกิดมาไร้คุณค่าจนสิ้นกาย น่าเสียดายเวลาแห่งตนเอง
สองวันนี้ตั้งใจฟังให้ถ่องแท้ ผิดต้องแก้แปรตนนั้นเป็นคนใหม่
อย่าได้มีชีวิตอยู่อย่างได้ใจ คนทุกคนแพ้ได้ในสักวัน
ขอให้ใช้เมตตาความอดทน การช่วยคนอย่ากลัวเรื่องเปลี่ยนแปลง
อมฤตธรรมชำระฝุ่นธุลีแดง คนเสแสร้งย่อมไม่อาจแสร้งยืนนาน
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนหวังว่าน้องตั้งใจยิ่ง
รักษาซึ่งพุทธะระเบียบอันแท้จริง ซึ่งแท้จริงระเบียบมีมาจากใจ
ด้วยเวลาชีพมนุษย์มีจำกัด เดินทางลัดต้องมั่นคงปัญญาใหญ่
ยังไม่เคยสุขุมเร่งสุขุมไว รับก่อนบำเพ็ญหลังให้รู้จริงจัง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจจิตกุศลมองคิดเดิน
แดนโลกีย์มากสีสันอย่าเพลิดเพลิน เร่งเจริญรอยอริยาอย่าคลาดกัน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านเหอเซียนกู

ทิวาสาดทอแสงทั่วปฐพี มวลมาลีเบ่งบานขับขานโลกสดใส
ผลิแล้วร่วงร้อนแล้วหนาวย้ำเตือนใจ โอ้ชีวิตมนุษย์ใยมิตื่นจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกู รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
สละความสุขของตนเองไม่กังวล มีเมตตาเป็นเบื้องต้นคอยประสาน
ฝึกโพธิสัตว์บำเพ็ญช่วยเวไนยนั่น พลีออกหมั่นเมตตาไม่จำกัดใจ
เพลิงมอดแม้เหมือนม้วยไม่อำลา อวิชชาลมมาช่วยสุขคลายไหว
จิตกล้าแข็งปณิธานดั่งทะเลใหญ่ แม้ตกต่ำไม่ทิ้งบันไดทอง
อภัยกันแม้ใครผิดเป็นมั่นคง ตัณหาวายดำรงด้วยความดีผอง
พูนปัญญากิริยางามยิ่งชวนมอง เพราะสอดคล้องด้วยสำนึกเป็นกุญแจ
บำเพ็ญธรรมกลับฟ้าไม่ขาดทบทวน จงมีใคร่ครวญโดยผ่านสติแท้
ดั่งออกจากบ้านไม่ลืมกุญแจ จงดูแลก้าวสู่มรรคโดยสมบูรณ์
หนึ่งประตูก้าวเดินเข้าออกกรัชกาย แสวงหมายจุดหนึ่งคืนกลับสูญ
ทรงคุณธรรมไม่ใช่แต่เทิดทูน กุศลคูณด้วยทั้งหลายรู้อดทน
อันชีวิตสังขารระวังคือความหลง ฝ่ายึดติดการปลงอย่างถนน
วิวัฒนาการมานำคนให้อับจน เจตนากระทำการจะพ้นกรรมลำเค็ญ
โลกสันติต้องตนก่อนเป็นประเดิม ใครอื่นเริ่มผู้กลัวจากอุปสรรค
ผิดจากตนเองให้ใครตระหนัก การประจักษ์ทั้งนั้นต้องประจักษ์เอง
ฮา  ฮา  หยุด

 กรัชกาย ร่างกาย

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านเหอเซียนกู

ชีวิตนี้มีแต่ความไม่แน่นอน แต่ความไม่แน่นอนก็แฝงความเที่ยงแท้แน่นอนอยู่ นั่นก็คือ ทุกชีวิตต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ในการเกิด แก่ เจ็บ ตายเรียกว่า ไม่แน่นอน  แต่ทุกชีวิตต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเรียกว่าแน่นอน  จึงกล่าวเป็นสัจธรรมว่า ในความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากจะเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  แต่เราก็เดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์เป็นแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรียกความสุขให้กับชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องยาก เรียกความทุกข์ให้กับชีวิตเป็นเรื่องยากกว่า จริงหรือไม่ (จริง)  เรียกความสุขให้กับชีวิตเป็นเรื่องง่ายกว่าเรียกความทุกข์ให้กับชีวิต  อะไรเรียกง่ายกว่ากัน (ความสุข)  จริงๆ แล้วชีวิตนั้นจะทุกข์หรือจะสุข  จะนิ่งเฉยหรือสงบเงียบ จะวุ่นวายหรือสงบนิ่งไม่มีใครกำหนดหรือยัดเยียดให้ท่านได้  มีแต่ตัวท่านเองกำหนดตัวท่านเอง แม้สภาวะแวดล้อมจะย่ำแย่เพียงใด  แต่ถ้าจิตใจเรามีความสุข  อาบอิ่มในความสุขอย่างไม่รู้หาย  ใครก็ทำให้ท่านทุกข์ไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าในใจท่านกลัดกลุ้มวุ่นวายยากวางใจหรือเชื่อใจใครได้ มีแต่ความระแวงสงสัย  แม้ในใจจะบอกว่าไม่อยากทุกข์ แต่ความทุกข์ต้องมาสู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันหรืออยู่ตัวคนเดียว จะสุขจะทุกข์ไม่ใช่ใครเป็นผู้สร้าง  แต่ตัวตนเองเป็นผู้กำหนด เป็นผู้สร้างให้ตัวตนว่าทุกข์หรือสุข คิดให้ดีๆ วันนี้นั่งอยู่ตรงนี้  อุตส่าห์มาได้นั่งฟังแล้ว หาความสุขให้กับตนเอง ฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ยินดีรับฟัง ใช้ปัญญาขบคิด  ท่านอาจจะได้พบความสุขในการขบคิด อาจจะได้พบความสุขในการนั่งฟังอยู่ตรงนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้านั่งอยู่ตรงนี้แล้วทำอย่างไรก็ไม่สุข มีแต่ความกลุ้มกังวล ระแวง สงสัย  คนที่กลุ้มก่อนใครคือคนที่กังวล สงสัย นั่นเอง มนุษย์เราหลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ หลับแล้วต้องตื่นขึ้น แต่ตื่นแล้วจะไม่หลับอีกต่อไป  หลับกับตื่นต่างกันเช่นใด หลับกับตื่นก็คือ การรู้ว่าชีวิตนี้คือความฝัน ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแท้แน่นอน  แต่ในความไม่เที่ยง ท่านต้องหาแก่นสารที่แท้จริงให้พบ หาคุณค่าชีวิตที่แท้จริงให้ปรากฏ แล้วยึดคุณค่านั้นมุ่งสู่หนทางสว่างไสวมุ่งสู่บ้านเดิม กายมนุษย์นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องทิ้งไป เหลือแต่
จิตญาณ จะขุ่นหรือจะใส จะหนักหรือจะเบาขึ้นอยู่กับการกระทำบนโลกนี้ ทำเช่นใดย่อมได้เช่นนั้น สร้างแต่สิ่งที่ดีคุณความดีย่อมปรากฏ ใจย่อมโปร่งเบาแจ่มใส สร้างความชั่วร้ายจิตใจย่อมขุ่นมัว นำมาซึ่งความหม่นหมองหดหู่ จิตใจย่อมลงสู่เบื้องต่ำ นี่คือความเป็นจริงที่ทุกๆ ท่านในที่นี้รู้อยู่แก่ใจ  สำนึกมีไหม ล้วนต่างมี คุณธรรมเหือดหายไปหรือเปล่า ไม่เคยได้เหือดหาย แต่เพราะอะไรไม่สามารถทำดีให้ถึงซึ่งความดีอันแท้จริง ทำดีแล้วสามารถหลุดพ้นโลกมายาใบนี้ กลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ  นี่คือปัญหาที่มนุษย์ไม่เคยที่จะคิดถึง คิดแต่ว่าวันนี้ต้องได้อะไร วันนี้ต้องมีอะไรเลี้ยงชีพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดแบบนี้ย่อมได้แบบนี้ แสวงหาแบบไหนย่อมได้แบบนั้น สิ่งที่แสวงหาล้วนบำรุงเลี้ยงชีวิตอย่างเดียว หาได้บำรุงเลี้ยงจิตญาณให้กลับคืนความใสไม่
ปัจจุบันจะหาใครสละซึ่งความสุขของตัวเองแล้วมาสร้างความเมตตา เผื่อแผ่อุทิศช่วยเหลือเวไนยเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ทุกคนต่างมุ่งแสวงหาเพื่อช่วยเหลือตนเอง ชีวิตนี้มีแค่ตนเองและมากสุดก็คือครอบครัวเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะคิดเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น  ก็ต้องรอให้เขาเดือดร้อน แล้วเราถึงจะไปช่วยใช่หรือไม่(ใช่)  แต่ทุกๆ คนหรือในใจของท่านที่นั่งที่นี้ต้องทราบอยู่อย่างหนึ่งว่า  ผู้อื่นไม่สามารถช่วยเราได้อย่างแท้จริง มีแต่ตัวตนเองเท่านั้นที่ช่วยตนเองได้ ดังสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “อย่าได้ยืมจมูกคนอื่นหายใจ”  อย่าได้รอให้คนอื่นมาช่วยอยู่เสมอ  ไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ตลอดเวลา มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตแห่งโพธิสัตว์หรือจิตแห่งพุทธะ จะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นรู้จักสร้างความเมตตา เห็นความทุกข์ของผู้อื่นมากกว่าความทุกข์ของตนเอง เป็นห่วงเป็นใยสนใจว่าผู้อื่นจะมีความสุขมากน้อยเพียงใด มากกว่าที่จะเป็นห่วงเป็นใยสนใจความสุขของตนเอง นี่แหละจึงเป็นจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งโพธิสัตว์  ถามว่าให้ขณะนี้เดินออกมาแล้ววางความสุขของตนเองลง รีบไปช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขก็คงหาได้น้อยยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าถามว่าทำอย่างไรให้ตัวเองสุขได้มากที่สุด ทุกคนคงรู้วิถีทางมากกว่าที่จะถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ผู้อื่นเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  ก็เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาจนมีชีวิตถึงปัจจุบัน เรารู้แต่ว่าทำอย่างไรให้ตนเองสุข แต่เราไม่เคยคิดดูว่าทำอย่างไร  จะให้ผู้อื่นเป็นสุข เมื่ออยู่ร่วมกับเราใช่ไหม (ใช่)  และเราจะทำอย่างไรให้เราเป็นสุขเมื่อเราต้องไปอยู่กับคนอื่น คำพูดที่เอื้อนเอ่ยความคิดที่ผุดออกมาจากใจล้วนคิดถึงแต่ตนเอง เมื่อทุกขณะคิดถึงแต่ตนเอง ใจเรานั้นก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะจิตใจใครได้ แม้จะใช้พละกำลังรุนแรงมากแค่ไหน ชนะใจผู้อื่นได้แต่ไม่อาจชนะใจเขาได้ ด้วยความรู้จักละซึ่งความเห็นแก่ตัว  เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ในโลกแล้วสามารถลดความเห็นแก่ตัวของตัวเองให้เหลือน้อยที่สุดหรือแทบไม่มี เมื่อนั้นท่านจะสามารถชนะใจคนทั้งโลกได้โดยไม่ต้องใช้กำลังใช้อาวุธ หรือใช้เงินทองซื้อแต่อย่างใด นี่คือคุณธรรมข้อแรก หากมนุษย์รู้จักดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันมีความเห็นแก่ตัวน้อย ทุกขณะจะทำสิ่งใดต้องย้ำเตือนถามตัวเองอยู่เสมอว่าเห็นแก่ตัวหรือเปล่า นึกถึงแต่ตนเองหรือไม่  หากทุกขณะทำได้เช่นนี้ท่านจะสามารถผูกใจประชาได้ และน้อมนำจิตใจของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้เงินทอง ใช้อำนาจ และไม่ต้องใช้กำลังวังชาใดๆ ความสุขในการอยู่ร่วมกัน เขารักเรา  เรารักเขา เขาเชื่อใจเรา เราเชื่อใจเขา นั่นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะเชื่อใจได้อย่างไรล่ะ ถ้าละความเห็นแก่ตนแล้วยังไม่มีความจริงใจ แสดงออกบางครั้งก็เปิดเผย บางครั้งก็ซ่อนเร้น ความเชื่อถือย่อมยากจะบังเกิดได้ ถ้าคนเช่นนี้ยังหลบๆ ซ่อนๆ ในการกระทำอยู่ การกระทำยังแอบแฝงไม่จริงใจ ก็ยากที่จะให้ใครเชื่อถือใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาเราหวังเพียงเพื่อให้ท่านรู้ตื่นจากชีวิต โดยใช้คุณธรรมเป็นกุญแจไข ไขให้ชีวิตนั้นรู้ตื่น โดยการใช้คุณธรรมที่อยู่ในจิตใจ มากำราบความชั่วร้ายในตัวตน  อยากชนะใจใครก็ต้องละความเห็นแก่ตน อยากเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อถือ มีคนไว้วางใจต้องมีความจริงใจ อยากทำอะไรสำเร็จสมปรารถนาดังที่มุ่งหวัง ต้องมีสิ่งใด  ชีวิตนี้มีใครเคยประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง เรียนหนังสือจนจบเคยไหม (เคย)  ทำงานจนได้ตำแหน่งมีขั้นเคยไหม( เคย)  สามารถตั้งตัวยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้เคยหรือเปล่า (เคย)  แล้วสำเร็จได้ด้วยอะไร(ความพยายาม)  ความพยายามอย่างเดียวสำเร็จไหม (ความมุมานะ)  ทุกคนมีความพยายาม มีความขยัน มีความมุมานะ แต่ถ้าขาดซึ่งความอดทนก็ไปไม่ถึงซึ่งความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในความพยายามนั้นย่อมมีความลำบาก หากมีความลำบากนั้น  แต่ไม่อดทน ไม่ขยัน ไม่มานะบากบั่น ท่านก็ยากที่จะพบความสำเร็จได้ และอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องสามารถชนะใจตัวเองได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขั้นตอนที่จะเดินไปถึงความสำเร็จ  หากเราไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ แม้จะขยันมากเท่าใดก็แพ้ใจตัวเอง เมื่อมีความเกียจคร้าน แม้จะอดทนเท่าใดก็แพ้ใจตัวเองได้ถ้ามีความท้อและเหนื่อยล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตใจทั้งหลายทั้งมวลนั้น จะไม่สามารถสู้ได้ถ้าไม่มีความมุมานะและใจชนะใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากเรารู้จักยึดกุมสิ่งนี้ไว้ ไม่ว่าทำสิ่งใดย่อมเป็นอันสำเร็จได้แน่นอน แต่หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แม้จะขยันแต่ชนะใจได้แค่ครั้งเดียวก็ไม่สามารถชนะได้ตลอดลอดฝั่ง  ย่อมพ่ายแพ้ และย่อมยากสำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความสงบนั้นก็มีความสุขหรือความมืดที่มีคุณค่าแฝงอยู่ อย่ามองความสงบเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย  หลายต่อหลายคนเห็นความสงบกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเกียจคร้าน ในความสงบนั้นก็ต้องค้นพบความว่างเปล่าและความสุขอันแท้จริงให้ได้  หลายต่อหลายคนมักพบความสุขในความวุ่นวาย ความสุขในการแสวงหา กับความสุขที่ท่านได้มาหาเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ ความสุขที่แท้จริงคือ ความสุขที่ไร้รูปไร้นามสงบว่าง จริงไหม (จริง)  ก่อนที่จะฝึกฝนการเป็นพุทธะ ต้องรู้จักฝึกฝนการเป็นคนให้ประเสริฐก่อน อย่างแรกสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ สามารถเอาชนะจิตใจทุกผู้ทุกคนได้ แต่หากว่า มีความเย่อหยิ่งจองหอง อวดในความรู้ อวดในความสามารถ แม้จะชนะใจหรือสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ ก็ไม่อาจยั่งยืนนาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรในการอยู่ร่วมกันให้ชนะใจได้ สร้างความเชื่อใจได้ต้องใช้ท่าทีที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้องในการที่จะสามารถอยู่กับเขาได้ นั่นคือต้องมีความสุภาพอ่อนโยน อย่าแข็งกร้าว อย่าเห็นว่าตนเองสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีความสำคัญใดๆ ให้คนอื่นเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเห็นว่าตนเองยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นแล้วในความยิ่งใหญ่จะไม่มีเลย จะกลายเป็นผู้ที่เล็กกะจ่อยร่อย ถ้าไม่อยากตกต่ำ ต้องวางตนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะไม่มีใครดูถูก ไม่มีใครเหยียดหยาม  แต่ถ้าวางตัวเองเหนือผู้อื่น อวดผวา ย่อมมีแต่คนอยากเหยียบย่ำให้ตกต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความดีนั้น บางครั้งเมื่อทำไปก็มีตกทุกข์ได้ยากเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรามีความจริงใจ ไม่เห็นแก่ตน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เมื่อทำไปแล้วทำไมจึงตกต่ำ เมื่อทำดีแล้วทำไมจึงต้องยากจนข้นแค้น ทำไมไม่ร่ำรวย ทำไมไม่มีอำนาจ  ทำดีนั้นหากสร้างความดี ไม่ยอมมั่งมี รู้จักแบ่งปันความดี รู้จักแบ่งปันสิ่งที่มีให้คนอื่น ไม่ยอมตกต่ำ จะไม่รู้สึกว่าตนเองลำบากยากจน  แต่หากว่าในยามที่ตนเองมีทั้งความดี ไม่เห็นแก่ตน มีความจริงใจ มีความอ่อนน้อม แต่ไม่เคยส่งมอบให้กับผู้อื่น และไม่เคยยื่นไปช่วยเหลือใคร บางครั้งเราก็ยากลำบากได้ แล้วพอยากลำบากเราก็รู้สึกท้อแท้ในการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ภักดีนั้นไม่ใช่ดีอย่างเดียว แต่ดีแค่ตัวเองรอด ไม่สามารถช่วยใครได้ การจะดีที่แท้จริงได้นั้น ความซื่อสัตย์ จริงใจ อ่อนน้อม ต้องสามารถส่งมอบและเผื่อแผ่ช่วยเหลือคนได้ สามารถนำไปใช้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วจะพบว่าท่านไม่ได้สุขในความทุกข์ นั่นคือความดีที่สามารถนำพาจิตใจคนได้ นำพาจิตใจตนเองได้ ไม่ต้องกลัวลำบาก แม้ตอนลำบากก็ไม่รู้สึกลำบากอะไร กลับมีความสุขในยามลำบาก มีความอิ่มเอมเมื่อตัวเองมีความสุข แต่ไม่ได้แบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น นี่แหละเรียกว่า มีแล้วรู้จักให้ ยามไร้จึงมั่งมี เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ธรรมะเปรียบเหมือนกุญแจไขสู่ประตูของพุทธะ เมื่อไม่สามารถค้นพบการเป็นพุทธะในตัวตนได้ เพราะว่าอะไร ๑.ตัวเองไม่ดีพอ  ๒.สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้ตนเองทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าตนเองดีพอจะฝึกฝนพุทธะกันไหม (คิด)  เมื่อเราสามารถเห็นคุณค่าสิ่งที่ใกล้ตัว ก็สามารถจะฝึกฝนความเป็นพุทธะได้ คุณค่าที่ใกล้ตัวก็คือตัวตนเอง จิตญาณอันเดิมแท้ มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ว่า "พุทธะสำเร็จได้ในกายคน"  ทุกคนมีร่างกายไหม (มี)  สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ได้)  คนไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไรก็คือ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วขึ้นชื่อว่าเป็นคน คนนั้นมีกายหรือเปล่า (มี)  มีจิตญาณหรือไม่ (มี)  เมื่อมีกายมีจิตญาณ ย่อมมีความเป็นพุทธะได้เหมือนกัน ความดีความชั่วหาได้แตกต่างกันไม่ จะแตกต่างก็ตรงที่ว่า คนดีรู้จักละแล้วซึ่งความผิดบาปทั้งมวล ละแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัวเบียดเบียนผู้อื่น ท่านทำได้ไหม ลดละกันได้หรือเปล่า (ได้)  ท่านสามารถลดละได้ นั่นคือก้าวแรกของการเป็นฝึกฝนตนเองเป็นพุทธะ ใจท่านยังมีมโนธรรมสำนึก ละอายเกรงกลัวต่อบาป มีไหม (มี)  ทำชั่วร้ายกลัวไหม (กลัว)  กังวลหรือเปล่า (กังวล)  ว่าคน นินทาคนแล้วรู้สึกผิดบ้างไหม (รู้สึก)  ขโมย ฉ้อฉล เจ้าเล่ห์เพทุบาย รู้สึกละอายบ้างหรือเปล่า (ละอาย)  หากผู้ใดทำผิดก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายเบื้องฟ้า นี่แหละคือจุดของการเป็นพุทธะยังมีอยู่  แต่หากทำผิดก้มหน้าไม่กลัว เงยหน้าก็ไม่กลัว ก็หาใช่จะไม่มีความเป็นพุทธะไม่ ก็ยังมีอยู่ แต่มีแล้วจะลดไหม จะละไหม หากมีแล้วไม่ลดไม่ละก็ยังเป็นมนุษย์  แต่หากมีแล้วรู้จักลดละแก้ไข นี่แหละคือการก้าวที่ฝึกฝนเป็นพุทธะ เริ่มต้นง่ายๆ คือรู้จักขัดเกลาตนเอง อะไรดีอะไรชั่ว แยกแยะให้ออก เมื่อแยกแยะออกแล้วจงรักษาสิ่งที่ดี จงเอาชนะความชั่วร้ายในตัวตนให้หมดสิ้น เมื่อทำได้คือการก้าวสู่การเป็นพุทธะ แต่จะไขประตูเปิดแล้วก้าวเดินไปอย่างมั่นคงได้  ต้องรู้จักใช้ดวงปัญญาและความสว่างไสวแห่งคุณธรรมในจิตใจอันมั่นคง  หลายต่อหลายคนที่ในจิตใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความเคืองแค้น ไม่พอใจ รัก ชอบ โลภ หลง สุมไว้ในใจจนเต็มอก ทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่า ตัวเรานั้นมีความทุกข์ที่ยังแก้ไม่ได้ เราจะต้องสุมทุกข์ให้เต็มอกเต็มใจ  ใช้สิ่งใดที่เราเจอความกลัดกลุ้ม จงใช้ปัญญาเป็นกุญแจไขให้ค้นพบทางออก เมื่อไรที่เราเจอปัญหามืดแปดด้าน จงใช้ปัญญานี้ใคร่ครวญพินิจพิจารณาหาทางออก ในมืดแปดด้านนั้นแหละจะมีอีกด้านหนึ่งที่มืดอย่างไรก็กลายเป็นความสว่างได้ เมื่อไรที่เราสับสน ยากค้นพบความสงบ ความสุข เราใช้คำว่า "รู้พอ สมถะ"  ไขให้ค้นพบ แล้วเราก็จะสงบรู้พอได้ ในความเคืองแค้น อิจฉา ริษยา ไม่เข้าใจทะเลาะเบาะแว้งกัน จะใช้อะไรที่ช่วยไขประตูแห่งใจนี้ ให้ค้นพบความสว่างแห่งแท้จริง ก็ใช้จิตใจที่ให้อภัย เมตตา เอาความเป็นตัวเขาตัวเราวางทิ้ง ก็จะพบปัญหาที่ทำให้เราทะเลาะเบาะแว้ง  เคืองแค้นและชิงชัง ปล่อยลงได้และระงับลงด้วยความเมตตา ในความรัก หลง โลภ และอารมณ์นานาที่พันผูกใจ ไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้ จะใช้ความรู้แจ้งแห่งชีวิต ความรู้แจ้งแห่งสัจธรรมและรู้อย่างปลงตกเท่านี้เอง ชีวิตก็จะก้าวพ้นความทุกข์ยาก เดินเข้าไปสู่ประตูแห่งพุทธะ โดยตัวท่านนั้นมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มทางใจ มีธรรมเป็นอาวุธป้องกันความผิดร้ายที่จะเกิดขึ้น ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากจะพูดอะไรก็ได้ ที่ทำให้ท่านเข้าใจชีวิตและรู้ว่าในชีวิตที่มีทุกข์สุขมากมายนี้ ยังมีความจริงแท้ที่สว่างไสวที่รอท่านไปค้นพบอยู่ แต่หลายต่อหลายคนยังอดติดและวางในโลกนี้ไม่ได้ ยังเห็นโลกเหมือนบุปผางาม ที่ไม่มีวันจะร่วงหล่น แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์เรายึดติด ยึดมั่น อารมณ์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้อยู่กับตนอย่างไม่ปล่อยวางแล้วไม่ยึดติดสิ่งใด ไม่ยึดติดว่าตัวตนนี้จะมีสิ่งใด เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องได้อย่างนี้ หากทำได้เช่นนี้ไม่ยึดติด มองเห็นสรรพชีวิตอย่างเข้าใจถ่องแท้ นั่นแหละคือการดำเนินชีวิตอย่างถูกทาง  ความสว่างจะบังเกิดในใจตน ทำได้ไหม (ทำได้)
ในคัมภีร์ที่ปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์นี้ มีคำกล่าวไว้ว่า "เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม และก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งมวลกลับคืนไปสู่ความเป็นหนึ่ง"  หากวันนี้เราเอาบทนี้มาพูด เต๋าที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คือจิตญาณของตัวเรานั่นเอง เมื่อเรามีตัวตนอยู่หนึ่งก็เริ่มแสวงหาสอง ในคำว่าสองนั้นเคยรู้พอไหม (ไม่)  เมื่อเรามีตัวตนเราก็มีของของตน เมื่อมีของของตน ในของของตนนั้นก็มีของของเขา และของของเรา ของของญาติเขาและของของญาติเรา และของญาติคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตัวเรานี้เองก็สามารถก่อเกิดสองสามและนานาสรรพสิ่งได้อย่างไม่รู้จบ และเราจะหยุดนานาสรรพสิ่งได้ด้วยการทำสิ่งใด ก็แค่กลับคืนมาสู่ที่หนึ่งเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราเกิด หนึ่งตัวเรา สองตัวเราที่โกรธ ชอบ เกลียด ชัง โลภและหลง แต่ในเกลียด ชัง รัก โลภ โกรธ หลง ก็มาจากหนึ่งคือตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะกลับบ้านได้ไม่ใช่แบกสรรพสิ่งมาที่ตัวเองแสวงหา แต่จะกลับบ้านได้ จะกลับคืนสู่ความเป็นตัวตนที่เริ่มต้นมา แล้วเริ่มต้นจะกลับได้ก็คือ ต้องกลับจากหมื่นมาสู่หนึ่ง แต่จากหมื่นมาสู่หนึ่งยากไหม (ยาก) แต่จากแสนเหลือเป็นหมื่น จากหมื่นเหลือเป็นพัน จากพันเหลือเป็นร้อย จากร้อยเหลือเป็นสิบ จากสิบเหลือเป็นหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำได้ไหม ถ้าท่านไม่ทิ้งวันนี้ สักวันหนึ่งท่านก็ต้องทิ้งจริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้เรามาเพียงตัวคนเดียว กลับไปตัวคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่ามกลางตัวคนเดียวที่ท่านมา ท่านแสวงหาจนเป็นหมื่นแสน อยู่ๆ จะให้ทิ้งในวันเดียว ท่านบอกเราว่าไม่ได้ ต้องจากแสนเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นพัน จากพันเป็นร้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องอาศัยเวลาทีละขั้นทีละตอน แต่หากว่าวันหนึ่งชีวิตท่านต้องดับสิ้นไป ท่านจะทำใจทันหรือ จากหมื่นให้เหลือหนึ่งทำใจได้ไหม แล้วไปด้วยความเป็นห่วง ไปด้วยความวิตกกังวล จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ก็ต้องลงนรกด้วยความห่วง ด้วยความกลุ้มกังวลใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากเบาใสได้
วันนี้การบำเพ็ญธรรมก็คือ การรู้จักทุกขณะจิตทุกวัน แม้จะเคยมีหมื่นแสน ในวันนี้ต้องดับให้เหลือหนึ่งได้ พรุ่งนี้จะเป็นหมื่นแสนต่อไปได้แต่ก็ต้องคิดว่าสักวันหนึ่งต้องเหลือหนึ่งได้ ท่ามกลางที่มีหนึ่งอยู่นั้น ต้องคิดว่าไม่มีได้ นี่คือมีชีวิตอยู่ทุกขณะและเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะจิต หากเดินออกไปฝนตกลำบากไหม (ลำบาก)  แต่ถ้าหากเดินออกไปถือร่มตลอดเวลาจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน หากทุกขณะจิตมีชีวิตคิดถึงความดับ จะกลัวอะไรกับการสิ้นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทุกชีวิตกระทำแต่สิ่งที่ดีจะกลัวอะไรกับบทลงโทษ เพราะได้ทำดีมาแต่เนิ่นๆ แล้ว ทำดีมาก่อนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราจึงกลัวบทลงโทษ เพราะอะไรเราจึงกลัวตกนรก ก็เพราะว่าเราไม่เคยคิดที่จะทำดีกันอย่างจริงจังและมั่นคงใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการทำดีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ทำบุญทำทานเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมตตาจริงใจเป็นสิ่งที่ควรมี ไม่เห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ควรกระทำ คิดถึงผู้อื่นให้มากหน่อย แม้ชีวิตจบสิ้นไป เพลิงจะไหม้มอดแล้วก็ไม่เคยมอดไปจากใจของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ายังจุดไฟอันดีงามให้คงอยู่สะเทือนใจผู้อื่นเป็นนิจ นี่แหละชีวิตที่แม้ตายไปแล้วก็ไม่ตายอย่างแท้จริง ชื่อยังคงปรากฏก้องในใจผู้อื่นอยู่ร่ำไป
"ทรงคุณธรรมมิใช่แต่เทิดทูน"  เมื่อคิดจะมีคุณธรรมอย่าได้เอาแต่เทิดทูนและกราบไหว้ เมื่อคิดจะมีหลักธรรมหรือบำเพ็ญธรรมอย่าได้เอาแต่เคารพศรัทธา แต่ขาดซึ่งการปฏิบัติ เช่นนี้ก็เสียเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องลงมือลงแรงกระทำด้วย
"กุศลคูณด้วยทั้งหลายรู้อดทน"  จะทำสิ่งใดก็ตาม หนึ่งต้องมีความกล้า หากไม่กล้าไม่มั่นใจในตัวเองก็ยากจะมุ่งมั่นให้สำเร็จได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้เราบอกท่านว่า ตัวของมนุษย์ทุกคนนั้นมีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวตน ท่านกล้ายอมรับไหมว่าตัวท่านนั้นคือพุทธะ หากกล้ายอมรับ จงรักษาให้ดีแล้วดำเนินให้ถูกทาง ความเป็นพุทธะนั้นจะค่อยฉายปรากฏให้ท่านเห็น แต่หากท่านไม่เชื่อ ไม่มั่นใจว่าตัวเองคือพุทธะ อย่างน้อยให้เชื่อ ให้มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดีได้ ตัวเองสามารถเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐได้ ด้วยการปฏิบัติลงมือกระทำอย่างจริงจัง เชื่อมั่นในตัวเองดังที่พุทธองค์กล่าวไว้ว่า "วางดาบเพชรฆาตลงเมื่อใด ก็สามารถสำเร็จอรหันต์ได้ทันที"  เมื่อใดที่มนุษย์เราลด ละ เลิกความผิดบาปทั้งมวลได้ ความเป็นพุทธะก็จะปรากฏได้ในจิตใจตน  เมื่อใดที่เราไม่คิดเดินสู่ความมืดมนแห่งอวิชชาความลุ่มหลง กิเลสธุลีนานา ความสว่างย่อมฉายปรากฏได้ในใจตน แต่เมื่อคิดจะมีแล้ว จงมุ่งมั่นด้วยปณิธานอันกล้าแกร่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วมุ่งมั่นเดินไปให้ถึง
แต่ก่อนนั้นเราก็ไม่ต่างจากท่าน คือมนุษย์คนหนึ่งธรรมดาที่เดินดินอยู่ แต่เพราะอะไรเราถึงสามารถกลับสู่แดนนิพพาน กลับสู่อนุตตรภูมิได้อย่างเป็นสุข ก็เพราะว่าเราคิดว่าเกิดเป็นมนุษย์แท้ที่จริงแล้วมีทุกข์มากมาย การที่จะเอาชนะทุกข์ได้ แท้จริงแล้วก็คือ วางทุกข์ของตนเองแล้วรีบไปช่วยผู้อื่นที่ตกทุกข์ เอาชนะความชั่วร้ายในตัวตนเองก่อนที่จะไปว่าผู้อื่นชั่วร้าย  ชนะที่ใจตัวเองก่อนที่จะคิดไปชนะใคร เมื่อทุกครั้งเราจะทำสิ่งใด เราเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน เมื่อเราเริ่มต้นและช่วงขณะที่เรากำลังทำอยู่นั้น กลับมีผู้อื่นเห็นพ้องและดีงามอยากเดินตามด้วย ช่วงที่เราคิดจะช่วยเหลือผู้อื่น กลับเป็นช่วงที่เราไม่ต้องมีทุกข์ แต่เป็นสุขที่เป็นสุขเหนือคำบรรยายใดๆ เพราะได้ช่วยเขา เขายิ้มเหมือนกับรอยยิ้มนั้นได้มาฉายอยู่ในใจของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าสุขใดไม่เท่ากับทำให้ผู้อื่นสุข สุขที่ตัวเองคิดว่าสุขก็ไม่เท่ากับที่สร้างให้คนอื่นสุข ยิ้มและยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างกล้าแข็ง เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ เพียงเท่านี้เอง ด้วยจิตใจที่ไม่คิดหวังอะไร ทุกขณะที่ทำไปกลัวแต่เพียงว่าทำไปยังไม่เต็มที่ ทำไปยังไม่ลงแรงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เคยกลัวเลยว่าทำแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ กลัวแต่ว่าทำแล้วเขาจะรู้ไหม เขาจะหายจากความทุกข์หรือเปล่า  คิดอยู่เสมอว่าทุกขณะที่ทำเต็มที่แล้ว ดีที่สุด ไม่เคยคิดถึงตัวเอง เท่านี้ทุกท่านก็สามารถทำได้ บำเพ็ญได้ มิใช่เรื่องไกลเกินตัวเลย  จงเห็นค่าของจิตใจตนเอง อย่าเห็นค่าเงินทองเกียรติยศมากกว่าค่าในใจตน
"อันชีวิตสังขารระวังคือความหลง"  หากเราคิดว่าตัวเราดีพอแล้ว เมื่อมีคนว่า ในใจท่านนั้นรู้สึกยินดีปรีดาหรือว่ารู้สึกโกรธา (ยินดีที่เขาได้สั่งสอนเรา แต่ก็โกรธาเพราะขัดต่อใจเรา)  แปลว่าในใจของท่านนั้นยังมีดีบ้างและไม่ดีบ้างหรือยังมีคุณธรรมไม่ค่อยมากพอ ต้องไปสร้างเสริมเพิ่มอีก ผู้ที่มีคุณธรรม แม้จะถูกคนตำหนิต่อว่า เขาจะไม่มีความเคืองแค้นโกรธในใจ กลับยิ่งรู้สึกพึงพอใจ เพราะทำให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริง ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องหมดไหม หากมีคนตำหนิต่อว่า แสดงว่าเขายังทำได้ไม่เต็มที่ ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าคนเราทำดีแล้วมีคนต่อว่าเรารู้สึกโมโหโกรธา นั่นไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริงได้ คนดีที่แท้จริงแม้โดนตำหนิต่อว่าร้ายแรงขนาดไหน ก็ยังรู้สึกขอบคุณเขาลึกๆ อยู่ในใจ แม้ใบหน้าจะยิ้มได้ไม่ออกก็ตาม  แต่อย่างนี้ก็เรียกได้ว่ามีคุณธรรม เป็นคนที่ดีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำดีแล้วใครว่าอย่างไรก็ไม่โกรธ พร้อมที่จะเอามาสำรวจตรวจตราตนเองว่าผิดจริงไหม นั่นแหละคือสามารถมีความดี และนำความดีนั้นมากล่อมเกลาน้อมนำจิตใจตนได้อย่างถูกทาง หลายต่อหลายคนนั้นมักจะพูดว่าตัวเองเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโดนคนว่าก็อดโกรธเคืองเขาไม่ได้ อดโต้แย้งเขาไม่ได้ แต่คนดีที่แท้จริงย่อมไม่โต้แย้งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนดีที่แท้จริงย่อมไม่โต้แย้งธรรมะ คนโต้แย้งไม่อาจเรียกว่าคนดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่คือความจริงต้องกล้าที่จะยอมรับ ซื่อสัตย์ตรวจสอบตนเอง เมื่อไรกล้ายอมรับ ซื่อสัตย์ต่อตนเองอย่างเที่ยงธรรม เราจะรู้ได้ว่าเราดีหรือไม่ดี เรามีธรรมหรือไร้คุณธรรม
ความเป็นปุถุชน สามัญชน กับความเป็นพุทธะ ท่านคิดว่าสิ่งใดใกล้กับตัวท่านมากที่สุด (ปุถุชน เพราะเราไม่สามารถรู้จิตโพธิสัตว์)  จริงๆ แล้วความเป็นโพธิสัตว์ก็มีอยู่ในตัวท่าน ความเป็นพุทธะหรืออรหันต์ก็มีอยู่ที่ตัวท่าน  แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นส่งผลอะไร  มนุษย์เราเมื่อเริ่มต้นกระทำกรรม กรรมดีก็ส่งผลนำมาซึ่งกุศลผลบุญ กรรมชั่วก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากโศกเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรารู้ไหมว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี (รู้)  สิ่งใดเป็นการกระทำและเรียกว่าดี (ทำแล้วทำให้เราสบายใจ ไม่เป็นทุกข์กับผู้อื่น)  การทำแล้วสบายใจบางครั้งต้องระวัง เพราะบางทีอาจจะเป็นทุกข์กับผู้อื่นก็เป็นได้ เพราะทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตอยู่ มีตัวเราที่สบายใจ  แต่อดได้ไหมที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็เผลอที่จะทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  คงยากที่จะทำสิ่งใดโดยที่ไม่นึกถึงตัวเองเลย  แต่เมื่อมีใจคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว สิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีและสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี หากเริ่มก้าวแรกแล้วแยกไม่ออก จะไปทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  แต่หากเมื่อเริ่มต้นจะก้าวยังคิดไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี จะไปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้เช่นกัน แม้จะรู้ว่าตนเองเป็นพุทธะ แต่ก็ยังย้ำว่าตัวเองเป็นปุถุชนอยู่แล้วเช่นนี้จึงมีคำว่า "พุทธะ"  ใช่หรือไม่ (ใช่)   มีคำว่า   "พุทธะ"  มีคำว่า "ผู้ประเสริฐ"  ก็เพราะว่ามีคนเคยปูทางให้ท่านเดินแล้ว มีแนวทางให้ท่านเจริญรอยตาม แต่อยู่ที่ท่านว่าจะก้าวเดินหรือไม่ ท่านจะไปหรือเปล่า ท่านจะลองหรือไม่ ชนะตัวเองไม่ยากเลย   เราคิดว่าการเอาชนะใจคนอื่นยากยิ่งกว่า เพราะชนะคนอื่นเดี๋ยวเขาก็กลับมาเปลี่ยนไม่รักเราแล้ว วันนี้เรามั่นใจว่าเราชนะเขาได้ เขารักเรา แต่พรุ่งนี้อยู่ๆ เขาอาจเปลี่ยนใจ เรายากจะควบคุมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจเราเองนั้นอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่กับใคร ยังไม่มีใครควบคุมได้นอกจากตัวท่านเอง ท่านสร้างความแน่นอนในตัวเอง ท่านสร้างความมั่นคงและความเป็นพุทธะในตัวตนเองนี้ และไปให้ถึงความเป็นพุทธะยากกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าให้สละความสุขของตนเองมาฟังธรรมะ ๒ วัน วันนี้มา ๑ วัน คิดแล้วคิดอีกว่าพรุ่งนี้มาหรือไม่มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ฟังวันนี้ก็คิดแล้วคิดอีก ตัวท่านเองอยากได้คนที่ดีอยู่รอบข้าง ไม่อยากได้เพื่อนฉ้อฉล ไม่อยากได้ภรรยาโป้ปด ไม่อยากได้สามีใจไม่ซื่อ อยากได้ลูกกตัญญู ภรรยาที่ดีไม่ขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้สามีซื่อสัตย์ ไม่ติดอบายมุข ไม่ติดการพนันสุราเมรัย แต่ถ้าตัวท่านไม่เริ่มทำดีก่อน เรียกร้องใครก็ไม่ได้ ตัวท่านไม่ดีก่อนใครจะดี ตัวท่านไม่เริ่มก่อนแล้วใครจะเริ่ม ตัวท่านไม่เรียกร้องตัวเองก่อน แล้วใครจะช่วยเรียกร้อง ให้พุทธะมาปรากฏเสกกายท่านเป็นเงินเป็นทอง แต่หากท่านไม่เป็นเงินเป็นทองด้วย วันนี้เป็นพรุ่งนี้กลับเป็นเช่นเดิม พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนใจอยากเป็นอย่างอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีแต่ตัวท่านเองเท่านั้นที่จะเสกตัวเองเป็นมนุษย์หรือเป็นพุทธะ เป็นปุถุชนหรือเป็นโพธิสัตว์ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เอาชนะใจตนเองไม่ได้หรือ ชนะผู้อื่นเรียกว่า คนฉลาด แต่หากเอาชนะใจตนเองได้เมื่อใด นั่นคือผู้รู้แจ้งเห็นจริง และถ้าหากเสกให้กิเลสหรืออบายมุขในโลกนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว เมื่อไรที่ท่านทำ ก็จะกลายเป็นเพื่อนสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวแบบนั้นได้ คงไม่มีใครอยากทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในโลกนี้คนที่ทำผิดกลายเป็นเทวดา คนที่ทำถูกกลายเป็นกิ้งกือ ไส้เดือน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าท่านเห็นดีด้วย ต้องไม่ใช่ ใช่หรือไม่ ปัจจุบันนี้คนทำดีกลับมีแต่คนหนีไม่อยากเข้าใกล้ คนทำชั่วมีแต่คนอยากชิดใกล้และปฏิบัติตาม เพราะน้ำไหลสู่ที่ต่ำง่าย  จิตใจมนุษย์
ยอมตกต่ำง่ายกว่าป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าลืมว่าเมื่อไรที่เราก้าวขึ้นไป ผลสำเร็จย่อมงดงามและน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน แต่ถ้าเมื่อไรพลาดตกลงต่ำ ผลที่ได้รับนั้นทุกข์ยิ่งนัก เจ็บปวดยิ่งนัก  แต่วันนี้ยังไม่ทุกข์ยังไม่เจ็บปวด เลยไม่คิดอยากเป็นพุทธะ วันนี้ยังไม่สิ้นกายยังไม่ถูกตัดสินลงโทษด้วยความดีความชั่ว ด้วยบาปบุญ จึงไม่คิดที่จะกระทำ  ทำไมต้องรอให้เหตุเกิดก่อน ผลตามมาแล้วจึงค่อยดับ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  วันนี้เรามาเตือนเพราะอยากให้ท่านเป็นพุทธะจริงๆ เป็นพุทธะที่มีคนกราบไหว้ เป็นคนที่ตายไปแล้วมีแต่คำชื่นชมยินดีสรรเสริญ เป็นคนที่อยู่บนโลกนี้แล้วมีแต่ความน่าชื่นชมยินดี มีแต่ความสุขใจ สุขที่ใดละ สุขในการบำเพ็ญตนเป็นพุทธะ เป็นคนที่ดี
"ใครอื่นเริ่มผู้กลัวจากอุปสรรค"  แม้จะรู้ว่ามีเส้นทางๆ หนึ่งอัน
สว่างไสว การได้ก้าวเดินกลับไปสู่ความเป็นพุทธะ กลัวแต่ใจท่านพอเจอความยากลำบาก ก็ท้อแท้เสียแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่ทันมีปณิธานความมุ่งมั่น พอเจอความยากลำบากก็ยอมแพ้กันเสียแล้ว เช่นนี้ยากจะทำอะไรได้สำเร็จ จริงไหม (จริง)  เกิดเป็นคนหากมุ่งมั่นจะทำสิ่งใด อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ายอมแพ้หากไม่ได้มา หากมีใจเช่นนี้ความลำบากหรืออุปสรรคไม่ใช่ปัญหาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราก็คงมาแค่นี้ละนะ อยู่กับท่านนานก็กลัวท่านจะเบื่อเสียก่อน เราอาจจะไม่ได้นำความสุขอะไรมาให้ท่านมากมาย แต่เราต้องการให้ท่านเห็นซึ่งชีวิตอันแท้จริง และก้าวเดินไปสู่ชีวิตอันจริงแท้ด้วยแสงสว่างแห่งตัวเอง  แสงสว่างแห่งตัวเองจะบังเกิดได้ด้วยใจของผู้มีธรรม ความเป็นพุทธะจะฉายปรากฏได้ด้วยคนที่รู้จักปฏิบัติยึดมั่นในคุณธรรมโดยไม่หวังผล และไม่ยอมแพ้ใจตน  วันนี้คงเท่านี้ละนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก หากมีใครในที่นี้สักคนหนึ่งตั้งใจมุ่งมั่นแล้วไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวแม้จะไม่สำเร็จ แต่กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่เต็มที่ ไม่กลัวแม้ใครจะยกย่องหรือไม่ยกย่อง แต่กลัวว่าตัวเองนั้นไม่ได้ทำ หากทำได้เท่านี้ก็เรียกได้ว่าเริ่มมีใจที่จะบำเพ็ญตนเองแล้ว เราพูดวันนี้ไม่สามารถที่จะทำให้ท่านรู้แจ้งเห็นจริงได้ทั้งหมดทั้งสิ้น ขอเพียงตื่นแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งได้ ก็ดีไม่น้อย ตื่นจากชีวิต ชีวิตที่ไม่เที่ยง ชีวิตที่ไม่ใช่อยู่ในมือของตัวเอง  แต่เป็นชีวิตที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าตัวเองจะควบคุมตัวเองได้ไหม แต่ถ้าเมื่อไรรู้จักบำเพ็ญตน ชีวิตจะอยู่ในมือท่าน ไม่ต้องกลัวเลย  แต่ถ้าเมื่อไรไม่คิดจะบำเพ็ญตน ไม่เลิกละสิ่งที่เลวร้าย แม้วันนี้บัญชีหรือชื่อของท่านจะถอนจากยมโลกแล้ว แต่ท่านก็ยากกำหนดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยมากมายสุดท้ายก็ต้องจากอำลา  ขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดีให้กับชีวิตเห็นคุณค่าชีวิตที่แท้จริง ด้วยการรู้ตื่น ตื่นจากความเป็นผู้หลง ตื่นจากความเป็นผู้โลภ ตื่นจากตัวตน และตื่นจากโลกใบนี้


วันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจต้องแลกสิ่งหนึ่งด้วยสิ่งหนึ่ง ให้คำนึงว่าสิ่งใดสำคัญกว่า
มองการณ์ไกลไปข้างหน้าด้วยปัญญา และมาสร้างคุณค่าให้แก่ตน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   กราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
บำเพ็ญธรรมต้องไม่กลัวลำบากใจ ลำบากกายดั่งฝันร้ายชั่วข้ามคืน
แต่ไม่นานศิษย์รักก็ต้องตื่น แม้ดึกดื่นจิตปัญญายังร่วมเคียง
แสวงความก้าวหน้าดั่งม้าฝีเท้าจัด ปรมัตถ์ ไม่จำต้องถกเถียง
ธรรมะแท้ไม่อาจสื่อได้ด้วยเสียง "เพียงสำเนียงเปล่งให้มีความหมาย"
นำความหมายไปปฏิบัติจึงแจ้งทั่ว "ไม่หวาดกลัวอุปสรรค" จะท้าทาย
หมั่นไตร่ตรองตามเหตุผลอย่างมงาย บำเพ็ญใช้สัจธรรมนำทางตน
หลังจากวันนี้ให้กลับมาศึกษา เพิ่มเวลาก็เปรียบดังเพิ่มมรรคผล
เพิ่มกิเลสก็เหมือนเพิ่มความอับจน ศิษย์ทุกคนต้องจำคำอาจารย์ให้ดี
เหลือเวลาอีกไม่มากข้าอยู่ร่วม ศิษย์จงรวมใจกับข้าอย่าหลีกหนี
อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นคนดี และจงมีปณิธานเดียวกับอาจารย์
ฮา  ฮา  หยุด

 ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ความจริงอันเป็นที่สุด, ลึกซึ้งยากปุถุชนจะเข้าใจได้

(หมายเหตุ  กลอนที่อยู่ในเครื่องหมาย " "  พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง)

กำแพงอัตตาคอยกีดขวางตนเอง  เก่งกาจเพียงใดทุกข์เป็น  หวาดลำเค็ญจึงยิ่งทำลาย  ขอเปิดใจยอมรับ  น้อยไปมากด้วยใจระวังเช่นนี้  สง่าเพราะชีวียืนอยู่บนความดี  สุขด้วยจิตปลงอยู่ตัว
อันความเข้าใจพาศิษย์ถึงปัญญา  นานมิท้อเหนื่อยมิลา  ผิดกันแต่บุญกรรมสิ่งยึดถือ  แม้ความรู้มีเต็มเปี่ยม  เผลอก็ท้อเพราะอันใดฤๅ  เพราะรู้แต่มิคิดลงมือ  ชีวิตคนนั้นสุดยื้อ  เร่งขยันบำเพ็ญจริง  (ซ้ำอีกรอบ)

เพลง  อย่าทำลายกัน
ทำนองเพลง  เรือนแพ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กลัวอะไรชีวิตนี้ กลัวที่ตัวเองนั้นยังตัดกิเลสไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นบุหรี่ก็เลิกสูบไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะตัวเราน่ากลัว ใครคิดว่าตัวเองน่ากลัว ใครคิดว่าคนอื่นน่ากลัว ตัวเองกับคนอื่นใครน่ากลัวกว่ากัน (ตัวเอง)  ตัวเราน่ากลัวกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เวลาเรากลัวคนอื่นจำเป็นหรือไม่จำเป็น (ไม่จำเป็น)  ไม่จำเป็นต้องกลัวคนอื่น แต่ว่ากลัวตัวเอง ต้องถามตัวเองด้วย ว่ากลัวอะไรที่อยู่ในตัวเอง ไม่ใช่สักแต่กลัวๆ  สิ่งที่มนุษย์ตัดยากที่สุดก็คือกิเลส เป็นพันธนาการของจิตใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าถ้าเราไม่ตัดกิเลส เราจะหายจากความกลัวแห่งตัวเรานี้ไหม (ไม่)  ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะให้เกิดความเข้าใจ เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญธรรม  การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อตัดกิเลสโดยเฉพาะ จะใช้อะไรตัด ถ้าหากเราคิดว่าตัวเราทำไม่ได้ ทำไม่ได้และทำไม่ได้ คิดว่าทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากเราคิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็ให้โอกาสตัวเองเรื่องใด เรื่องนั้นจะเกิดความง่ายขึ้นหรือเปล่า (ง่ายขึ้น)  การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  เทียบกับการทำงานหาเงิน เรื่องไหนยากกว่ากัน (ทำงานหาเงิน)  เพราะอะไร ทำไมศิษย์จึงคิดว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นยากกว่าการทำมาหากิน (เพราะการบำเพ็ญต้องทำด้วยใจ แต่ทำงานหาเงินทำด้วยแรงไม่ต้องคิดมาก)   ในโลกนี้มีสัตว์หลายๆ ประเภทที่เกิดมาพร้อมกับศิษย์ วัว ควายใช้แรงเป็นประจำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใช้หัวสมองคิดเป็นประจำหรือพูดอีกทีในด้านปรัชญา คือใช้ใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  การที่บอกว่าเราใช้แรงถนัดกว่า เราไม่ใช้หัวสมองหรือไม่ใช้หัวใจของเรา แสดงว่าเราไม่ได้ใช้ความประเสริฐของตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าเป็นมนุษย์มีความประเสริฐที่สุดคือมีปัญญา มีปัญญาอันแตกต่าง คือ พูดภาษาคนได้ สามารถอยากทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ เพียงแต่เราขี้เกียจ ขี้เกียจที่จะเอาชนะใจตนเอง แต่อยากจะเอาชนะผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะบำเพ็ญยากตรงที่เราไม่กล้าที่จะเริ่มต้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ยลองดูสักครั้ง  การที่เราเริ่มต้น มันง่ายยิ่งกว่าการทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่แล้วๆ มา  การเอาชนะกิเลสในจิตใจของเรา ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้แรง ไม่ต้องเสียเวลา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยากที่จะเอาชนะไม่ต้องทุ่มเทอะไรเลย เพียงแต่เรานั้นต้องจับใจเราให้ได้  ถึงตอนนี้ยังมีความคิดผิดๆ ว่าบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการยากอีกหรือไม่ (ไม่)  คนจะเริ่มบำเพ็ญธรรม อย่างแรกต้องทำอะไร (ทำใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะปฏิบัติธรรม)  แล้วตอนนี้จิตใจเราบริสุทธิ์หรือยัง (ยังไม่ถึง ๑๐๐%)  อาจารย์จะบอกให้ มนุษย์นั้นจะมีความเรียกร้องตัวเองสูงมาก บางคนต้องเรียกตัวเองถึง ๑๐๐% เป็นคนเรียกร้องตัวเองสูงที่สุด บางคนเรียกร้องตัวเอง ๗๐% บางคนเรียกร้องตัวเอง ๕๐% บางคนเรียกร้อง ๓๐% บางคนเรียกร้องตัวเอง ๕% เท่านั้น  คนที่สติไม่เต็มไม่เรียกร้องตัวเองเลย เป็นธรรมดาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้น เวลาจะทำอะไรก็คิดว่าจะต้องทำให้ดีๆ  แต่พอทำไม่ได้ดี เลิกทำไม่เลิกทำ (ไม่เลิกทำ)  ตอนนี้บอกว่าไม่เลิก แต่พอเกิดเหตุการณ์เข้าจริงๆ เลิกทำไม่เลิกทำ (ไม่เลิก)  อย่างนี้ต้องไปดูกันเอาเองว่า เลิกทำหรือไม่เลิกทำสิ่งที่เราไม่สมหวัง
เส้นทางการบำเพ็ญธรรม สิ่งที่เป็นคู่มือการบำเพ็ญธรรมนั้นอยู่ในใจของเรา เรียกว่าจิตสำนึก เป็นคู่มือที่อยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว เพียงแต่ตลอดมาเราไม่เคยเปิดอ่านและเราก็ไม่เคยสนใจคู่มือเล่มนี้ ไปดูแต่หนังสือธรรมะข้างนอก หนังสือธรรมะที่มีตัวหนังสือสีขาวตัดตัวสีดำอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เคยสนใจสิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นคุณต่อโลก สนใจแต่ตนเอง จึงเป็นการยากที่เรานั้นจะบำเพ็ญธรรมได้  การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนเส้นทางเส้นหนึ่ง ศิษย์จะเอาขาซ้ายหรือขาขวาก้าวไปก่อนก็ได้ ศิษย์จะเริ่มทำตรงไหนก็ได้ ที่เป็นจุดบกพร่องที่ตัวเองสามารถแก้ไขได้ เพื่อเป็นกำลังใจของตนเอง  อย่างคนที่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่ เราก็อาจจะเลิกจากการที่เคยสูบห้ามวน เป็นวันละหนึ่งมวน มีนิสัยขี้โมโห เราก็เริ่มจากโมโหมากเป็นโมโหน้อย แต่ไม่ใช่น้อยอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ต้องน้อยลงเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละที่อาจารย์จะบอก  หนทางการบำเพ็ญธรรม ศิษย์จะเริ่มต้นด้วยความเมตตา กรุณา อุเบกขา การเสียสละ  การเข้าใจตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น  การลดอารมณ์หรือทำอะไรก็ได้ ขอให้ศิษย์ได้เริ่มต้น  เริ่มต้นจากตรงนี้ ความดีเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน โยงกันไปโยงกันมา เหมือนกับเงิน ๑ บาทโยงกับเงิน ๑,๐๐๐ บาทที่อยู่ในกระเป๋าศิษย์  เงิน ๕๐๐ บาทก็โยงกับเงินของศิษย์เหมือนกัน ทุกคนมีเงินที่เชื่อมโยงกัน ควักแบงค์ในกระเป๋าของเราออกมาดู เงินเราเพิ่งออกมาจากคลังใหม่ๆ ยิ่งควักเหรียญบาทออกมายิ่งจะชัดเจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหรียญบาท เหรียญสิบไม่ใช่เงินที่ศิษย์ได้มาชนิดที่ว่าใหม่เอี่ยม แต่กลับเป็นเงินที่มีรอยขูดขีด ถูกข่วนหรือภาพนั้นก็เลือนไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เลือนไปพร้อมกับการใช้ผ่านมือคนนั้น ผ่านมือคนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ดูเงินในกระเป๋าของศิษย์ ก็จะรู้แล้วว่า ความดีที่จะทำนั้นไม่ได้เริ่มต้นที่อย่างนี้แล้วก็อย่างนี้ตายตัว  หากศิษย์เริ่มจากตรงไหนก็ได้ ให้เริ่มช่วยเหลือคนหนึ่งคนก่อน วันถัดไปศิษย์อาจเริ่มลดอารมณ์ตัวเอง หรือว่าเริ่มตรงไหนก็ได้ ที่ศิษย์คิดจะเริ่ม  แก้ไขตัวเองจากสิ่งที่แก้ยาก แต่ถ้าหากทำไม่ได้ แก้ไขตนเองจากสิ่งที่แก้ง่าย เมื่อศิษย์แก้ไขได้สักเรื่องหนึ่ง ศิษย์ทำความดีได้สักเรื่องหนึ่ง เรามีกำลังใจไหม (มี)  เหมือนคนที่ทำงาน เมื่อหาเงินก้อนแรกได้ก้อนหนึ่ง ดีใจหรือไม่ดีใจ (ดีใจ)  แล้วมีกำลังที่จะหาเงินก้อนต่อๆ ไหม (มี)  แต่พอหาไปได้นานๆ หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป เงินก้อนแรกที่เคยได้มาน้อยไหม (น้อย)  เงินตอนนี้ที่เรามุ่งหวังหาอยู่มากไม่มาก (มาก)  นั่นคือเป็นจุดหักเหในใจของเราที่ว่า คนเมื่อเดินนานๆ ไปก็มักจะลืมไปว่า ตนเองนั้นบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร  พอเริ่มทำมาหากินไปนานๆ ก็ไม่รู้เงินน้อยเป็นอย่างไร รู้จักแต่เงินมาก จิตใจของเราที่เคยบริสุทธิ์ก็เปื้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  จนในที่สุดถ้าเปรียบจิตใจเราเป็นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง จิตใจของเราก็ไม่รู้ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีอะไรบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะหาสีขาวสักที่นั้นยากไม่ยาก (ยาก)  ตอนนี้อาจารย์มองจิตใจของศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี้ เหมือนกับทุกคนมีกระดาษสีขาวอยู่ในมือหนึ่งใบ  กระดาษที่ศิษย์ถืออยู่ในมือ เดิมทีเคยมีสีขาวที่สะอาดมาก แต่ตอนนี้อาจารย์จะหาสีขาวสักที่หนึ่งที่อยู่ในจิตใจของศิษย์ บางคนอาจารย์มองแล้วยังเจออยู่บ้าง บางคนอาจารย์ไม่เจอแล้ว และใครกันแน่ที่ทำให้กระดาษของเราเปอะเปื้อน คงไม่มีคนอื่นนอกจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมง่ายที่สุด ที่อาจารย์บอกคือเริ่มต้นที่ไหน (ตัวเอง)  เริ่มต้นที่ตัวเอง นี่เป็นคำนิยามที่กว้างๆ ให้ศิษย์รู้ว่า ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นที่ผู้อื่นได้ ไม่สามารถที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำสิ่งใดได้  แต่เรียกร้องให้ตัวเองทำเท่านั้น ทำให้ดีขึ้นถ้าหากว่าไม่สำเร็จ อย่าเป็นคนที่ขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาแรง แต่จงเป็นคนที่ขึ้นที่สูงด้วยความระมัดระวัง แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้ไม่เป็นคนที่ร่วงหล่นลงมา ดีหรือไม่ (ดี)
ชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา แต่ละคนมีเรื่องราวที่ต้องตัดสินใจอยู่มากมาย มีเรื่องเล็ก เล็กมาก มีเรื่องใหญ่ ใหญ่มาก  ชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา ผ่านการตัดสินใจมาไม่รู้กี่รอบ แต่ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ คงเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่ชีวิตของศิษย์เคยมีมา เพราะเราจะตัดสินใจเลือกระหว่างการบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นพุทธะ กับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้  ศิษย์ของอาจารย์ต้องตัดสินใจดีๆ ว่าเราจะเลือกอะไร  หากว่าศิษย์คิดว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ธรรมะแท้ ธรรมะนี้ฟังแล้วก็ดูดีเท่านั้น หรือคิดว่าเรานั้นอาจจะทำไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แต่หากศิษย์ไม่เคยลงมือ ศิษย์จะรู้อนาคตของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อไม่สามารถจะรู้ว่าตัวเองจะตายวันไหน เมื่อไม่สามารถรู้ว่าเรานั้นจะบำเพ็ญเป็นพุทธะสำเร็จหรือไม่ มีเพียงการลงแรงทำเท่านั้น การเวียนว่ายตายเกิดมีความทุกข์ทรมานเท่าไร อาจารย์ยังไม่พูดถึง นรกที่ศิษย์รู้จักว่าทุกข์ทรมาน และคงรู้ว่าทุกวันนี้ตัวเองมีความทุกข์มากมายเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือนรก แต่เป็นนรกที่ศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นเท่านั้นเอง  อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นความทุกข์  ส่วนการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็คือการหมดทุกข์ หมดไปจากความทุกข์ที่ศิษย์นั้นมีอยู่ แม้ความทุกข์ที่ศิษย์รู้อยู่จะเป็นความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ แต่ลองคิดดู วันนี้เราอายุเท่านี้ เรามีความทุกข์เท่านี้ วันหน้าแก่ชราไป ความทุกข์ของเราจะเพิ่มทวีหรือจะลดลง แล้วคิดต่อไปว่าชาตินี้กับชาติต่อๆ ไปทบกับชาติที่ผ่านมาศิษย์มีทุกข์เท่าไร  อาจารย์ผู้เป็นพุทธะจึงอยากบอกให้ศิษย์นั้นตัดสินใจให้ถูก เพื่อตัดสินใจบำเพ็ญธรรม หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด วันนี้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม การหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด การหลุดพ้นศิษย์ยังไม่ต้องคิดไปไกล คิดถึงแค่ข้างหน้าว่าเราจะบำเพ็ญธรรม เราต้องเริ่มทำอะไรก่อน  อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ทีแรก ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร อาจารย์ขอเรียกร้องให้ศิษย์แค่ทำเท่าที่มีกำลัง  ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เท่านั้น ศิษย์ก็ได้ผลเท่านั้น  ศิษย์ทำเท่านี้ ก็ได้ผลเท่านี้  ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้คิดถึงแค่การบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญธรรมได้แค่ไหน ถ้าหากคนที่บำเพ็ญจริงๆ ก็ได้แค่หลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด คนไม่บำเพ็ญจริงก็ได้แค่หลุดพ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น
บางคนบำเพ็ญธรรมจิตใจเป็นสุขขึ้นได้บ้าง ไม่ต้องทุกข์อย่างในอดีต แต่ว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นลงแรงจริงจังกว่านี้  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์แค่หมดทุกข์เฉพาะในชาตินี้ แล้วต่อๆ ไปเราก็ทุกข์ใหม่  แต่อยากจะให้เราบำเพ็ญให้จริงจัง เป้าหมายเราอยู่ไกล แต่อย่ามองเป้าหมายบ่อย เพราะจะพลาดพลั้ง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  บางคนเดินไปตามทางก็ชอบมองไปข้างทาง ชอบมองคนนั้นที คนนี้ที ในที่สุดแล้วมองไม่เห็นตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  มองเห็นว่าคนอื่นนั้นแต่งตัวสวยอย่างไร มองเห็นว่าทางนั้นดีไม่ดี แต่มองไม่เห็นว่าทางในใจของเรานั้นมันดีหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ไปจึงต้องหัดย้อนมองส่องตน ยิ่งคนบำเพ็ญยิ่งนาน ยิ่งต้องมองตัวเอง ยิ่งต้องไม่เผลอใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือมองใจตนเองน้อยมาก ต้องกลับไปมองใจตัวเองให้มากๆ ให้ลึกซึ้งเหมือนลมหายใจที่สูดเข้ายาวๆ ผ่อนออกยาวๆ อย่างนั้นเข้าใจไหม
อาจารย์เห็นบางคนถอดรองเท้า บางคนใส่รองเท้า ถ้าหากว่าธรรมเนียมจีนก็ชอบใส่รองเท้าเข้ามาในบ้าน ถ้าหากว่าธรรมเนียมไทยก็ชอบถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน เคยได้ยินไหม (เคย)  ฉะนั้นศิษย์จะเลือกเป็นคนจีนหรือคนไทยอาจารย์ไม่ว่า ถ้าใส่รองเท้าเข้ามาก็ต้องใส่ให้ตลอด  แต่หากจะถอดก็ต้องถอดไว้ข้างนอกใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะมีพิธีระเบียบแบบจีน แต่ว่าเราเป็นคนไทยก็เอามาประยุกต์ไว้หน่อยดีไหม (ดี)  เป็นคนจีนก็ชอบทานอาหารจืดๆ เป็นคนไทยก็ชอบทานอาหารรสจัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อันนี้ศิษย์คงเลือกเป็นชาติไหนสักชาติหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าอาจารย์อยากจะสอนศิษย์ว่าคนที่ทานอาหารรสจัดเกินไป อวัยวะภายในนั้นก็จะไม่ปกติ ทานน้ำเย็นบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะดี มีแต่ว่าจะชื่นใจ ชื่นคอ แต่ว่าไม่ชื่นสุขภาพ  ฉะนั้นหากว่าศิษย์ทำได้ หากว่าเป็นคนทานเผ็ดมากเกินไปก็ลดเผ็ดลงหน่อย  ทานเค็มมากเกินไป ก็ลดเค็มลงหน่อย  ทานเปรี้ยวมากเกินไป ก็ต้องลดเปรี้ยวลงหน่อย  ทานหวานมากเกินไป ก็ต้องลดหวานลงหน่อย เดินทางสายกลางดีไม่ดี (ดี)  นอกจากว่าจะทานอาหารให้อิ่มแล้ว สุขภาพเราก็จะต้องดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าร่างกายของเรานั้นมีความสำคัญ เป็นคนบำเพ็ญธรรมร่างกายสำคัญอย่างไร ถ้าไม่มีร่างกายอันนี้บำเพ็ญธรรมได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้)  เป็นคนบำเพ็ญธรรมหน้าตาซีดเซียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม เราก็ต้องรู้จักรักษาสุขภาพของเราให้ดี เพื่อให้เรามีเวลาบำเพ็ญไปนานๆ เคยเห็นไหมพอแก่ตัวก็เริ่มจะไม่ไหว ทำนั่นทำนี่ไม่ไหว สุขภาพอ่อนแอ  แล้วศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมไปถึงกี่ปี เราก็ต้องบำเพ็ญไปจนแก่ จนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าตอนอายุมาก เราบำเพ็ญธรรมไม่ไหว น่ามองไม่น่ามอง (ไม่น่ามอง)  อาจารย์จะบอกว่าน่ามองไม่น่ามองไม่รู้ แต่อาจารย์เห็นศิษย์ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  หากตอนสาวๆ หนุ่มๆ ไม่รักษาสุขภาพ  ตอนที่อายุมาก แล้วจะให้คนอื่นมาแบกไปบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  คนอื่นเขาก็ไม่มาแบกเราไปสถานธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากเราจะมีลูกหลานมาช่วย แต่ต่อให้ลูกหลานเขาห่วงเราเท่าไรเขาก็มีการงานหน้าที่ ถึงเวลาแล้วใครช่วยเราดีที่สุด (ตัวเรา)  เพราะฉะนั้นความสุขทางด้านการกินต้องลดลงหน่อยไหม (ลด)  ต่อให้คิดว่าไม่บำเพ็ญ หรือไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญหรือไม่ รักษาสุขภาพไว้ก็ไม่เสียหายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ผมขาวนั้นยังน่ามอง แต่หากว่าร่างกายไม่ดีนั้น ไม่รู้นะ
ศิษย์แต่ละคนมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน อาจารย์ถึงแม้จะนั่งตามที่ศิษย์เชิญในวันนี้ แต่หมดจากวันนี้หรือชั่วโมงนี้ไป อาจารย์ก็เดินไม่ได้หยุด เพราะฉะนั้นนั่งตอนนี้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งตอนที่อาจารย์ไม่อยู่กับศิษย์แล้วอาจารย์ได้แต่เฝ้ามอง ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์เหมือนกัน
  กรรมเวรที่เราสร้างไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านพ้นมาได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราไม่อยากจะโดนเจ้าหนี้เวรกรรมรุม ก็ต้องรู้จักที่จะสร้างกุศลให้เขาเห็นใจใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วจะบอกว่าคนที่มีกุศลมีอยู่มากมาย แต่เจ้ากรรมนายเวรของเราจะยอมให้เราใช้คืนหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง  เพราะอะไรรู้ไหม สมมติง่ายๆ หากศิษย์เคยไปฆ่าคนๆ นี้ไว้ เสร็จแล้วศิษย์ก็นำเงินมาจ่ายให้กับครอบครัวเขา หรือจ่ายให้เจ้าตัวที่เราฆ่าเขาไป เขายอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ทำไมล่ะ เงินตั้งมากมายล้นฟ้า ทำไมเขาจึงไม่เอา แล้วเขาอยากได้อะไร (ชีวิต)  ฉะนั้นจึงบอกว่าต่อให้เรามีกุศลมากมายก็ไม่แน่ว่าจะใช้คืนเขาได้ ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมพร้อมใจของเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้เขายินยอมพร้อมใจเอาเงินก้อนนี้ของเราล่ะ (สร้างกุศล)  หากว่าใช้คืนด้วยเงินแล้วเขาไม่เอาทำอย่างไร หากว่าในทางกลับกันศิษย์เป็นคนที่โดนฆ่า ศิษย์อยากได้ชีวิตของเขา แต่ทำอย่างไรเขาถึงจะทำให้ศิษย์ยินยอมให้ศิษย์อนุโมทนาเขา ในการที่เราจะให้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเรายอม เมื่อเราเป็นลูกหนี้เขาก็มีแต่ต้องยอมก้มหัวให้ และสำนึกผิดจริงๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เขาถึงจะยอมยกเว้นเราหนึ่งครั้ง  ฉะนั้นคนที่พูดเก่งไม่ได้หมายความว่าจะชนะคนอื่นเสมอไป คนที่มีเงินมากก็ไม่ใช่จะชนะคนอื่นเสมอไป แต่สิ่งที่ชนะใจกันได้จริงๆ ก็คือคนที่มีความสำนึก ถูกหรือไม่ (ถูก)  โดยเฉพาะเรื่องกรรมเวรนั้นอาจารย์บอกให้อย่างหมดพุง ที่เขายอมให้ศิษย์เพราะเห็นศิษย์เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงตนเองได้สำเร็จ  ศิษย์ทำให้เขาเห็นใจ ศิษย์ช่วยคนอื่น นั่นแหละเขาจึงเห็นใจเรา เพราะคนที่ช่วยคนอื่นก็คงจะไม่ทำร้ายคนอื่นอีกต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาก็คิดว่าที่ศิษย์ยอมช่วยคนอื่น ก็แสดงว่าวันหลังศิษย์คงไม่ทำร้ายใคร เขาจึงยอมอนุโมทนาให้ เขาจึงยอมยกเว้นกรรมครั้งนี้ให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราทำตัวน่าสงสารไหม ศิษย์แต่ละคนดูแล้วเป็นคนที่น่าสงสารไหม (น่าสงสาร)  ที่ผ่านมายังไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร บางคนเคยเตะสุนัข ตอนนี้ยังเตะหรือเปล่า เคยโดนคนอื่นเตะแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บ)  แล้วเราเตะสุนัขๆ เจ็บไหม (เจ็บ)  มีเจ้ากรรมนายเวรเป็นสุนัขน่าชมหรือไม่น่าชม เดี๋ยวเขากัดน่องเราก็มาปวดขา ดีไม่ดี (ไม่ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง)  นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า ความไวของคนไม่เท่ากันใช่หรือไม่ เราไวเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องใช้ความไวให้ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไวในการโกงคน เอาเปรียบคนจะเป็นการดีมาก แต่ไวในการช่วยคน ไวในการที่เราจะเข้าไปทำความดี เป็นความไวที่ดีไหม (ดี)  อาจารย์เห็นพอถึงเวลาต้องทำความดี เห็นคนเดือนร้อนอยู่ตรงหน้า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม  พอถึงเวลาต้องไปเอาเปรียบเขา ทำการค้าก็เร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาอันสมควรก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อตัวเราเอง
เวลาที่นี่เช้าๆ มีหมอก อากาศเย็น ศิษย์เห็นหมอกแล้วสวยงามไหม (สวยงาม)  เราเอามือไปจับหมอกจับควันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทุกวันนี้มนุษย์ลุ่มหลงที่สุดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง  ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองนั้นมีวิธีการเข้ามาหาศิษย์ต่างกัน มีลาภ มียศ ก็คือมีคนอาจจะเอาดาวมาติดให้บนบ่า เอาเกียรติและศักดิ์ศรีอันเป็นวัตถุมามอบให้เรา สรรเสริญเป็นอย่างไร สรรเสริญลอยลมมาใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้ามาแบบไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีวัตถุ พอถึงเราได้ยินแล้วเป็นอย่างไร (ตัวลอย)  มีแรงยิ่งกว่าช้างม้าอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินทองเป็นอย่างไร เงินทองให้ความสะดวกสบาย เงินทองปิดหูปิดตา ทำให้เราตาบอดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มีค่าจริงๆ หรือเปล่า เหมือนกับหมอกในยามเช้า ที่ศิษย์จับต้องแล้วไม่อยู่ในมือ สิ่งเหล่านี้ให้ความสวยงามบันเทิงใจ แต่ไม่สามารถที่จะจับต้องได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ต่อให้ศิษย์ยืนอยู่ท่ามกลางสายหมอก ต่อให้ศิษย์ยืนอยู่ในท่ามกลางความสวยงามเหล่านั้น แต่ไม่มีสิ่งไหนที่ศิษย์จับยึดได้จริงๆ เพราะว่าแดดมาหมอกก็จางใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้ศิษย์มีเงินทองจนล้นฟ้า กอดเงินเข้าโลงศพไปด้วยแต่ถามว่าเอาไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ติดดาวลงโลงไปด้วย เอาไปด้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต่อให้คนสรรเสริญศิษย์จนศิษย์เผาไป เอาไปได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าเงินทองจะมาปิดตา เราก็เปิดตาให้สว่าง หูของเราก็ทำให้หนักๆ อย่าไปหลงมากมาย เงินทองก็ให้รู้จักที่จะพอ จึงเป็นคนที่ร่ำรวย เป็นคนที่มีความสุขที่สุด  หากเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราก็ต้องทำให้ได้อย่างนี้ ความรวยความจนนั้นขึ้นอยู่กับดวงชะตาไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ คนที่รวยมาก็คือคนที่รวยมา คนที่จนมาก็คือคนที่จนมา มีแต่คนที่บำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนได้  แล้วเราจะเปลี่ยนอย่างไร จะบำเพ็ญเหมือนกันแต่วงเล็บว่าไม่ดี คือบำเพ็ญได้ไม่ค่อยดีเท่าไร  แล้วก็เรียกร้องให้ชีวิตของเรานั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์บำเพ็ญ วงเล็บบำเพ็ญดี ศิษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองได้หรือไม่ (ได้)  นั้นแหละเป็นสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ คำว่าพระอาทิตย์เข้ามา แสงแดดกระทบหมอกแล้วหมอกจางไป ก็เปรียบเสมือนปัญญา พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือปัญญา ถ้าหากว่าเรามีปัญญา เราสามารถมองทะลุปรุโปร่ง แล้วอยู่ในโลกของความจริงไม่ใช่ความฝันดีหรือไม่ (ดี)  ความสวยงาม ยามมีหมอกก็อย่างหนึ่ง สวยงามยามมีแดดก็อย่างหนึ่ง สิ่งใดเป็นสิ่งที่จริงมากกว่ากัน ศิษย์ลองมองไปข้างหลังต้นไม้ยามมีหมอกมาบังก็ดูมัวๆ แต่ต้นไม้ยามที่แดดส่องมาให้ต้นไม้ก็มีความสวยงาม เป็นความสวยงามที่คมชัดและจริงแท้  ศิษย์เลือกอยู่ในโลกแบบไหน ในโลกแห่งความฝันหรือในโลกแห่งความจริง (ความจริง)  ตอนนี้พูดได้แต่กลับไปต้องระมัดระวัง เพราะว่านั้นมักจะเผลออยู่บ่อยๆ ทีเดียว
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
อาจารย์เห็นคนในโลกไม่ค่อยกลัวความผิดกันเลย กลัวแต่บาปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วผิดกับบาปใช่ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน (ใช่เรื่องเดียวกัน)  ทำไมถึงเป็นบาปรู้ไหม อะไรที่ทำขึ้นมาแล้วถึงเป็นบาป แล้วอะไรที่เรียกว่าบาป คำว่า 
"บาป"  ก็คือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)
ปกติเวลาที่อาจารย์ให้ผลไม้ อาจารย์จะให้แค่ลูกเดียว เพราะถ้าให้สองลูกก็เหมือนกับจับปลาสองมือ เรามีมือสองมือแล้วเราใช้หมด หากว่าเราจำเป็นจะต้องทำอีกเรื่องหนึ่งแล้วเราจะทำอย่างไร จะทิ้งส้มลูกซ้ายหรือจะทิ้งส้มลูกขวาก็ส้มเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงบอกว่าการทำอะไร ทำมือหนึ่งและเหลือไว้อีกมือหนึ่งไว้ทำอย่างอื่น ตอนนี้บำเพ็ญธรรม มือหนึ่งบำเพ็ญธรรมแสวงหามรรคผล อีกมือหนึ่งก็ทำตนเป็นคนอยู่ในโลก ทำมาหากินได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงให้ผลไม้ทีละลูก
ตอนนี้ศิษย์อาจารย์ทุกคนที่นี่ก็เป็นคนที่มือหนึ่งมีผลไม้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็เป็นมือที่ว่าง เป็นมือที่ใช้บำเพ็ญธรรม สมมติเราถือส้มไว้ในมือคนละลูก ถ้าหากว่าเราออกแรงบีบข้างนี้มากเกินไปได้ไหม (ไม่ได้)  หมายความว่าเราต้องระวังเรื่องของคำพูดก็ดี ความคิดก็ดี การกระทำก็ดี ไม่ให้ออกแรงในการที่จะลุ้นคนอื่นให้ถึงความดีมากเกินไป ไม่อย่างนั้นส้มในมือนี้ก็จะเละคามือ ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ บีบเท่าไรก็หายหมด และที่เราอยู่ในโลกนี้ อาจารย์ให้ศิษย์ทำตนเป็นคนดีในสังคมก็เพื่อ ทำตามหน้าที่อันถูกต้อง อย่างเช่น ถ้าหากว่าเราเป็นลูก เราก็ต้องเป็นลูกที่กตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราติดหนี้บุญคุณใคร เราก็ต้องใช้ให้หมดใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราเป็นลูกศิษย์ ก็ควรที่จะเคารพในครูบาอาจารย์ เราควรจะซื่อสัตย์ในหน้าที่ หากเรามีอาชีพเป็นหมอ พยาบาล เป็นชาวไร่ ชาวสวน ชาวนาก็เหมือนกัน จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่นั้นให้จบให้สิ้น มีไม่กี่คนที่สามารถจะหลุดพ้นจากวงเวียนกรรมของสัตว์โลก คือ ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีพันธะ มีคนที่ยอมให้เราบำเพ็ญธรรม อันว่าเราเกิดมาในบ้านที่มีบุญ แล้วเรามีหน้าที่บำเพ็ญธรรม มีไม่กี่คนที่เป็นอย่างนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถอุทิศตนออกมาเพื่อทำงานธรรมะได้ หากว่าใครที่อุทิศออกมาแล้วก็อย่าได้ไขว้เขว วันหนึ่งเปลี่ยนใจสามรอบสี่รอบ ยิ่งนานยิ่งเปลี่ยนใจ อย่างนี้จะทำให้เราบำเพ็ญธรรมยิ่งยากลำบาก เพราะในการที่เราเดินทางก็เหมือนกับนักเดินเท้า เดินทางไปสู่จุดหมาย  ตอนเริ่มเดินใหม่ๆ  แรงเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินทีเดียวไปครึ่งทางเลย แต่ถามที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เหมือนกับเติมไปอีกสองสามเท่าเลย ครึ่งทางเท่าเดิมกับที่เราเคยเดินมาแล้วยาวไกลยิ่งกว่าครึ่งทางที่ผ่านมา พอเดินยิ่งใกล้ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งหยุดบ่อย ยิ่งหยุดบ่อยถึงไม่ถึง (ไม่ถึง)  ถึงมีเคล็ดลับของคนเดินเท้าบอกว่า "หากว่าเดินต่อให้เหนื่อยก็อย่าพัก ต่อให้พักก็อย่าหยุด"  เพราะถ้าหยุดหนหนึ่ง จะมีหนที่สองไหม (มี)  ถ้าหยุดก็จะหยุดเรื่อยๆ  แล้วยิ่งหยุดก็ยิ่งไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราได้รู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว ก็มีประโยชน์สำหรับการบำเพ็ญธรรม ที่อาจารย์สอนศิษย์อยู่นี้ ไม่ใช้หลักธรรมะ  แต่เป็นหลักปรัชญาให้ศิษย์คิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์นั้นมักไม่สนใจว่าจะหลักอะไรที่ทำให้ศิษย์อาจารย์รู้คิด รู้ตื่น แต่ขอให้ศิษย์ได้เอะใจ ได้รู้สึกตื่นขึ้นมา  อาจารย์ก็ใช้วิธีนั้น ขอให้เราเรียกร้องตัวเองในการที่เราจะเดินหน้า หากว่าเราเคยหยุดแล้ว ไม่เป็นไร  ขอให้ครึ่งที่เหลืออยู่นี้ ทำอย่างที่อาจารย์ว่า เดินต่อไปต่อให้เหนื่อยก็อย่าหยุด ต่อให้ต้องหยุดก็อย่าหยุดนานเกิน  อาจารย์นั้นอภัยในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมาแล้วเป็นความผิดเสมอ
อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นเดินหน้าต่อไปให้ถึงนิพพาน เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดของศิษย์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จะเป็นเสมือนความฝันครั้งสุดท้าย แล้วศิษย์ไม่คิดจะไปสู่ความจริงอันนั้นหรือ จะแบกความทุกข์ไว้เต็มอก แบกความกลุ้มใจไว้เต็มเหนี่ยว วางไม่เป็นปล่อยไม่ได้ วันนี้ปล่อยไม่ได้คิดหรือว่าพรุ่งนี้ปล่อยได้ ฉะนั้นในยามที่เรามีสติ ให้เรานั้นปล่อยวาง ไม่ใช่มีสติรู้ว่า ฉันรู้ว่ามันผิด แต่ฉันจะทำ หลายคนเป็นอย่างนี้ รู้ว่าผิดแต่ทำ สุดท้ายต่อให้เป็นพุทธะอย่างอาจารย์ก็ช่วยศิษย์ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่รู้ว่าผิดแล้วยังทำเป็นคนที่ตรงข้ามกับคนที่มีความสำนึก แล้วเจ้ากรรมนายเวรจะยอมให้อาจารย์ช่วยศิษย์ คนที่ไม่มีจิตสำนึกคนนี้ไหม (ไม่ให้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
ไม่เสียหลายนะ นั่งติดๆ กันก็กล้าพอกัน เรียกว่าความกล้าของคนข้างๆ ส่งผลให้คนข้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางทีเวลาเราบำเพ็ญธรรม เราจะบอกเขาว่าเธอไปสิๆ เขาไปไม่ไป (ไม่ไป)  แต่ถ้าเราไปมาแล้วเขาก็กล้าไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราต้องเรียกเขาด้วยเสียงไหม (ไม่ต้อง)  ไม่ต้องใช้คำพูดในการที่จะเรียกให้เขาทำอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ขอให้เรานั้นมีความกล้า เขาก็มีความกล้าเหมือนกัน
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)
"โพธิ"  แปลว่าอะไร (การตรัสรู้, การรู้แจ้ง)  "โพธิสัตว์"  แปลว่าอะไร (สัตว์ที่รู้แจ้ง)  อาจารย์ก็เป็นอาจารย์  ศิษย์ก็เป็นศิษย์ ทำไมไม่รู้วิธีการเอาของจากอาจารย์หรือ เด็ดผลไม้ต้องทำอย่างไร  จะเอาได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ในตัวของเขา  การแย่งผู้อื่นจะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร  อาจารย์อุตส่าห์ใส่กระเป๋าให้แล้ว ยังไม่เอาอีกหรือ  บำเพ็ญธรรมต้องมีความมั่นใจ อยากจะเริ่มต้นต้องเริ่มต้น เหมือนการจะคว้าก็ต้องคว้า ไม่ใช่มัวแต่ฟังคนอื่น ไม่มั่นใจในตนเองไม่ได้รู้ไหม (รู้)  คำว่า "โพธิ"  แปลว่าปัญญาที่ให้เกิดความรู้แจ้ง  "โพธิสัตว์"  หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญในลักษณะของคนที่คลุกคลีอยู่กับมนุษย์เวไนยนี้ แต่สามารถที่จะช่วยเหลือเขา  คนๆ นี้เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นเต็มที่จึงได้ชื่อว่า “โพธิสัตว์”  ไม่ใช่หลีกหรือปลีกตัวเองไปบำเพ็ญเดี่ยวๆ  บำเพ็ญร่วมกับโลก ร่วมกับผู้อื่น ช่วยผู้อื่นได้ เริ่มจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่ เราก็คือ โพธิสัตว์องค์น้อยๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  การที่อาจารย์บอกว่าอาจารย์ใส่ไว้ตรงนั้น ศิษย์จะเอาไหม  แม้เป็นของๆ ศิษย์แต่ไปอยู่ที่คนนั้น แล้วตกลงเป็นของใคร เราต้องตัดสินใจให้เขาไป เพราะว่ามีเรื่องยากๆ มากมายปัญหาเยอะแยะ เราต้องตัดสินใจอย่างคนมีปัญญา มีเรื่องมากมายที่เป็นความลำบากใจเช่นนี้ ศิษย์ทำถูกแล้ว  แต่พออาจารย์พูดเข้าหน่อย ตอนนั้นอาจารย์ก็เปรียบเสมือนมารที่คอยเป่าหูศิษย์ คอยบอกว่านี่ของๆ เรา ศิษย์จะเอาอย่างไร ทำอย่างนี้คือแย่งเขา ถึงแม้เป็นของๆ เราแต่อยู่ที่คนอื่น ของนี้ต้องได้รับการอนุญาตก่อน ถึงจะกลับมาเป็นของเรา
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)
"บำเพ็ญธรรม"  แปลว่าอะไร  (เพิ่มพูนความรู้)  หลังจากวันนี้มีโอกาสต้องบำเพ็ญธรรมมากๆ มาบำเพ็ญธรรมด้วยการศึกษา และจะเข้าใจการบำเพ็ญธรรมที่สุดก็ตอนลงมือทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
"ออก"  แปลว่า (เคลื่อนที่ให้พ้นจากสิ่งกีดกั้น)  เคลื่อนที่จากอะไร เคลื่อนที่ในจิตใจของเรา ต้องออกจากอะไร สิ่งที่ปิดกั้นจากใจของเราคืออะไร (กิเลส)  เราต้องเคลื่อนที่ไป
"ม้วย"  แปลว่าอะไร (ตาย)  ตายจากความเป็นปุถุชนแล้วไปเกิดเป็นพุทธะดีไหม ตายเกิดนี้อยู่ที่ใจ เกิดดับก็อยู่ที่ใจ
"ไม่มีใครออกจากบ้านโดยไม่ผ่านประตู"  ทุกคนออกจากบ้านก็ต้องผ่านประตูทั้งสิ้น  บ้านหลังหนึ่งก็เหมือนกายสังขารตัวนี้ ผ่านเข้าผ่านออกประตู  มีประตูตา จมูก ปาก สะดือ กระหม่อม มีหลายประตู แต่มีประตูที่ถูกอยู่ประตูหนึ่ง ซึ่งอาจารย์นั้นได้ชี้ไว้ให้ อาจารย์ต้องการให้ศิษย์นั้นเลิกเข้าออกประตูเหล่านี้ และก็ออกทางประตูตรงเพื่อกลับคืนขึ้นเบื้องบนได้
อันว่าการที่เราชวนคนมารับธรรมะเป็นเรื่องง่าย แต่การจะส่งเสริมคนสักคนหนึ่งมาประชุมธรรมเป็นเรื่องที่ยากกว่า  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ หลักสำคัญก็คือพูดให้เขาเข้าใจตั้งแต่เขามารับธรรมะ ถึงเวลาศิษย์ไปชวนเขามาประชุมธรรมก็จะไม่มีปัญหา  คนใดที่ปฏิเสธด้วยวาจาอันแข็งกร้าว แสดงว่าใจของเขาไม่พร้อมจะเปิดรับ  ศิษย์อาจารย์ก็อาจจะต้องหยุดพูดไปก่อน ถ้าหากว่าไฟกำลังร้อน แล้วเราก็เป็นไฟเหมือนกัน ไฟสองกองรวมกันก็จะยิ่งมากขึ้นไปใหญ่  การประชุมธรรม คนที่มาช่วยงานก็ต้องพยายามช่วยงานให้เต็มที่  ส่วนคนที่มานั่งฟังเป็นนักเรียนก็พยายามที่จะตักตวงในสิ่งที่เป็นความหมาย เป็นสิ่งที่ดีกลับบ้านนำไปปฏิบัติ มีเวลาก็ต้องมาสถานธรรม มาศึกษาเพิ่มเติม  ศิษย์อย่ามั่นใจในตัวเองมากว่าเรารู้ไปหมดดีไปหมด เพราะว่าทุกคนก็มั่นใจอย่างนี้ แต่สุดท้ายคนที่กลับคืนขึ้นนิพพานกลับมีอยู่น้อยนิด แสดงว่าความฉลาดหรือความรอบรู้ของเราไม่ได้ช่วยให้เราไปถึงไหนได้ กับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนสามารถที่จะมองเห็นตนเองได้มากกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะฉะนั้นต้องเลือกดูว่าเราพร้อมที่จะเป็นคนแบบไหน หากว่าเมื่อถูกเอาเปรียบแล้วได้รู้อะไรมากขึ้น ก็เหมือนกับศิษย์จ่ายค่าเรียนหนังสือให้กับคนนั้นไป ไม่ได้เป็นการเสียหน้าหรือเสียเกียรติอะไรมากมาย
การบำเพ็ญนั้นต่อด้วยคำหลายคำ บางทีก็ต่อด้วยคำว่า "บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจริง บำเพ็ญดี"  แต่ว่าเราเคยคิดไหมว่าการบำเพ็ญของเราจะต่อด้วยคำว่าอะไร เราอาจจะต่อด้วยคำว่า "บำเพ็ญเล่นๆ"  หรืออาจจะต่อด้วยคำว่า 
"บำเพ็ญแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้"  หรืออาจจะต่อด้วยคำว่า  "บำเพ็ญจริง"  อาจารย์ไม่สนใจว่าศิษย์จะต่อด้วยคำว่าบำเพ็ญในวิถีทางของตนเองว่าอย่างไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ต่อว่า ”บำเพ็ญอย่างไรให้ถึงฝั่ง”  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เบื่อไหมมีแต่เด็กๆ ถึงจะมีนิสัยเบื่อง่าย บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องธรรมดาพื้นๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเรื่องที่เป็นอย่างนี้เสมอไป ไม่มีรูปแบบเยอะแยะ ไม่มีเรื่องใหม่ แปลกประหลาด ให้ศิษย์นั้นตื่นเต้น  แต่หากว่าใครอยู่กับสิ่งที่น่าเบื่ออย่างนี้ได้ ผลลัพธ์ของศิษย์ก็คือ เราได้ชำนาญในสิ่งที่เราได้เรียนรู้อยู่ซ้ำๆ
อันว่าเรื่องความรัก โลภ โกรธ หลง สิ่งที่บันเทิงใจ การละกิเลสทั้งหลายมันก็เป็นเรื่องซ้ำๆ เดิมนั่นเอง รู้ก็รู้หมดแล้ว แต่ว่าทำไม่ได้  อาจารย์จึงบอกว่า แม้ว่าจะต้องเหมือนกับยืน เดิน ย่ำอยู่กับที่ตลอดเวลา แต่ว่าถ้าย่ำบ่อยๆ พื้นนั้นก็มีความหนาแน่นมากขึ้น  เหมือนกันเราบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าเราย้ำในสิ่งที่เราควรจะแก้ไขบ่อยๆ ผลลัพธ์ก็คือศิษย์แก้ไขได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้เรื่องน่าเบื่ออย่างนี้ไม่น่าจะนำมาปฏิบัติหรือ เรื่องน่าเบื่ออันนี้ไม่น่าติดตามหรือ เพราะว่าเป็นการพัฒนาในจิตใจของตัวเราเอง สนุกยิ่งกว่าดูละครอีก
(พระอาจารย์เมตตาให้เรียกแม่ครัว)  คนเรานั้นมักจะทะเลาะกัน ถ้าหากว่าเราเห็นความคิดเราสำคัญกว่าความคิดของคนอื่น เราก็จะทะเลาะกันทันที การฟังเสียงคนอื่นบ้าง เป็นสิ่งที่ควรจะทำ เหมือนกับเวลาที่เรามองดูนาฬิกา เราก็ต้องดูอะไรให้ชัดๆ (เข็มนาฬิกา)  แต่จำเป็นจะต้องมองเข็มนาทีให้ชัดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถึงจะรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง และกี่นาที  หากว่าอย่างตอนนี้อีก ๑๐ นาที ๓ โมง เราจะบอกว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง เราก็ต้องบอกว่าจะ ๓ โมงใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากเรามองไม่ดี อาจไม่คิดว่ามันจะ ๓ โมง แล้วก็ได้  อาจคิดว่าเป็น ๒ โมงกว่าๆ เท่านั้น  เหมือนกันเวลาเรามองนาฬิกา ก็ต้องมองให้ชัด มองรายละเอียดให้ชัด เวลาฟังก็ต้องฟังให้ชัด เวลาดูก็ต้องดูให้ชัด เวลาเราทำอะไรร่วมกัน เราจึงไม่ทะเลาะกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราฟังความคิดเห็นของอื่นเป็นส่วนใหญ่ แล้วเอาความคิดเราสอดแทรกเข้าไปบ้าง มีใครกันที่ไม่ชอบให้คนอื่นฟังความคิดของตนเอง  ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมนั้น ก็ขอให้เราบำเพ็ญจากภายนอกอย่างนี้  บำเพ็ญจากภายนอก ทำด้วยอาการที่ยอมคนอื่น ทำไปเรื่อยๆ จิตใจก็ยอมมากขึ้น  ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราจะให้คนอื่นยอม เราก็ต้องยอมคนอื่นก่อน  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าหากว่าเรามีอัตตามากเกินไป ก็จะเป็นเหมือนยอมคนอื่นแต่จิตใจไม่ยอม นานวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ศิษย์เลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง
อาจารย์พูดในเพลงนี้บอกว่า "กำแพงอัตตาคอยกีดขวางตนเอง"  เรามาบำเพ็ญธรรมศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมาที่นี่ ทุกคนต่างมีอัตตาของตัวเองทั้งนั้น จะเรียกร้องให้คนใดคนหนึ่งหมดอัตตา แล้วให้อีกคนหนึ่งไม่หมดเป็นไปไม่ได้ เราต้องอยู่กันอย่างยุติธรรมคือ ทุกคนต้องไม่มีอัตตาเป็นของตนเองมากเกินไป สิ่งที่กีดขวางศิษย์ไม่ให้บำเพ็ญธรรมคงไม่ใช่สิ่งอื่นใด คงไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่ยอมให้มาหรือว่าไม่มีเวลา  แต่สิ่งที่กีดขวางเราจริงๆ ก็คือ เป็นคนที่อัตตาสูงมากเกินไป เชื่อมั่นในความคิดของตนเองมากเกินไป แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่มีเวลา ยิ่งบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา ก็ยิ่งไม่มีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
"เก่งกาจเพียงใดทุกข์เป็น หวาดลำเค็ญจึงยิ่งทำลาย"  ทุกคนก็มีความทุกข์ คนที่มีความทุกข์ มีปมด้อย ยิ่งจะปิดบังตัวเองด้วยการใช้เสียงอันดังไม่ยอมคนอื่น ใช้ความเด่นมาปิดบังปมด้อยของตัวเองนั้นไม่เป็นผล สู้ศิษย์ยอมรับตนเอง เผชิญหน้ากับสิ่งนั้นๆ ไม่ได้บอกว่ากลัวว่าตัวเองจะลำบาก จึงยิ่งทำลายผู้อื่น ยิ่งเป็นบาปหนักเข้าไปใหญ่
ถ้าหากว่าเรายิ่งมีคำพูดที่ดีๆ คนก็ยิ่งรักใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราจะน่าดู ไม่ได้ดูที่หน้าตา แต่ดูที่จิตใจและก็ความดีงามใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้เราเป็นสาวๆ อยู่ ต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง วันหน้าจะได้แข็งแรงมากกว่านี้  ศิษย์รู้ไหมว่าสภาวะพุทธะนั้นไม่ได้แบ่งความยากดีมีจน ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งว่าศิษย์นั้นจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ผิวสีขาวหรือว่าผิวสีดำ ความรู้จะมีหรือว่าไม่มี  สภาวะพุทธะที่อยู่ในตัวทุกคนนั้นเหมือนๆ กัน  ฉะนั้นการมาในสถานธรรม การศึกษาและการบำเพ็ญเมื่อไม่มีอุปสรรคเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้น ที่จะบงการให้ขาเราก้าวไป มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้เราขึ้นสวรรค์หรือทำให้เราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  ทุกๆ วันที่ศิษย์อยู่ในโลกแห่งสีสันนี้ มีความทุกข์ สุข เศร้าหรือร้องไห้ก็ดี อาจารย์ก็มีความสุขไปกับศิษย์ด้วยในยามที่ศิษย์สุข และก็มีความทุกข์ไปกับศิษย์ในยามที่ศิษย์ทุกข์ แต่ศิษย์รู้ไหมมีคนจำนวนมากที่มีความทุกข์มากกว่าศิษย์ ขอให้ศิษย์หันไปมองรอบๆ ตัวเองให้มากๆ อย่ามัวพูดว่ากันไม่เป็นอันบำเพ็ญ อย่ามัวฟังเสียงนกเสียงกา อย่ามัวบ่นท้อแท้ใจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตคนที่ว่ายาวจริงๆ ก็สั้นนัก สิบปีที่แล้วก็เหมือนผ่านไปดังสายลม  หากไม่รู้จักเก็บเกี่ยวเวลา สร้างคุณค่าให้กับตนเอง อีกไม่กี่วันก็อาจจะตายไม่รู้ตัว แล้วก่อนวันที่ศิษย์จะสิ้นลม ศิษย์ทำอะไรให้มีประโยชน์กับตัวเองบ้าง คนที่ว่าอายุยืนยาวที่สุดก็เพียง ๑๐๐ ปี  ๑๐๐ ปีนี้ก็เพื่อทำความดี เพื่อหลุดพ้นยังน้อยนัก แม้จะสำเร็จเป็นพุทธะ พุทธะก็มีหลายแบบ หลายอย่าง จะว่าไปแล้วในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าระดับ  หากคิดว่าศิษย์ทำดีแล้ว ทำดีให้มากกว่านี้ ศิษย์จะไต่ระดับขึ้นไปสูงขึ้น ขึ้นไปให้สูงกว่าอาจารย์ อาจารย์ยิ่งดีใจ  ตอนนี้ศิษย์มีอาจารย์เป็นพุทธะ แต่ในวันหน้าอาจารย์ก็หวังว่าอาจารย์จะมีศิษย์ที่เป็นพุทธะ เชื่อมั่นในธรรมะ บำเพ็ญให้จริง ทำได้ไหม (ได้)  รักษาตัวให้ดีๆ บำเพ็ญให้จริงๆ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “เห็นแก่ส่วนรวม”

โพธิสัตว์บำเพ็ญเมตตาหมั่นออกช่วย แม้มอดม้วยไม่คลายปณิธานแข็งกล้า
แม้ตกต่ำไม่วายดำรงด้วยปัญญา กิริยางามสอดคล้องด้วยฟ้ากับธรรม
ไม่มีใครออกจากบ้านโดยไม่ผ่านประตู ก้าวเดินสู่หนึ่งจุดหมายด้วยคุณธรรม
ไม่ยึดติดสังขารระวังการกระทำ การจะนำผู้อื่นต้องเริ่มจากตนเอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2543-11-25 พุทธสถานสกุลหง (อิ๋งเต๋อ) จ.ชัยนาท


PDF 2543-11-25-สกุลหง อิ๋งเต๋อ #21.pdf

#การกราบพระ #หลักการดำรงชีวิต

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

องค์ประกอบแม้ขาดไม่อาจสมบูรณ์ ประธานพูนความสำคัญไม่เย่อหยิ่ง
คุมชีวิตสู่แนวทางอันแท้จริง ชั้นเชิงชิงไม่สำคัญต่อการบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
บรรยากาศแห่งธรรมกระทบฟ้า เรียนธรรมาต้องนำไปปฏิบัติ
ไม่มีใครสามารถมาจำกัด ตนเองเท่าตนจำกัดซึ่งตนเอง
อย่าได้เห็นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ธรรมะคือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ทำเท่าใดได้เท่านั้นรู้แก่ใจ ขอให้ใช้ปัญญาเดินทางธรรม
ทุกคนต่างมีจิตญาณอันเดิมแท้ เพียงแน่วแน่เดินหน้าย่อมดีกว่า
แม้วันนี้ชีวิตแสนขมนา แต่ภายหน้าจะทุเลาเพราะบำเพ็ญ
ทำใจในสิ่งที่ควรทำใจ ชีพคนใช่ผักหญ้าอย่าล้อเล่น
เจออุปสรรคใจนี้อย่าไหวโอนเอน ขอให้เบนชีวิตเลือกทำแต่ดี
ต่างมีบุญมารู้ทางต้องเดินกลับ อันความลับไม่มีในโลกนี้
ขอเพียงแต่ทำตนเป็นคนดี จะไม่มีต้องผวาอยู่เรื่อยไป
ย้อนส่องตนแต่ละคนเร่งขัดเกลา อย่าดูเบาตนเองนี้เมธีท่าน
วันกลายเดือนกลายปีรู้ไม่ทัน อย่าทอนบั่นตนเองด้วยกิเลสเลย
สร้างคุณค่าให้แก่ตนเพื่อคืนบ้าน วัฏสงสารไม่อาจหยุดลงเองได้
พยายามความสำเร็จเริ่มจากใจ ขอให้ใช้หลักสัจธรรมนำชีวิน
สองวันนี้มีค่าสุดประมาณ ทั้งพูดทำให้ประมาณตนเองยิ่ง
ปิดรูรั่วในใจไม่ประวิง และอย่าทิ้งธรรมะจนกว่าหมดลมหายใจ
ทั้งสองวันขอน้องนั้นตั้งใจเถิด คนประเสริฐทำความดีมีคุณค่า
ชีวิตนี้อย่าปล่อยลอยไปลอยมา ขอเดินหน้าบำเพ็ญจิตไม่ทิ้งกลางคัน
ในวันนี้ศิษย์พี่รับบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องตั้งใจยิ่ง
พุทธะฉุดน้องจากนรกที่จมดิ่ง ขอให้ทิ้งใจสงสัยลงชั่วคราว
จิตกุศลใจเปิดกว้างฟังธรรมยอด อย่าได้กอดใจวิตกให้นานนัก
จิตกุศลเพราะลงมือถือคุณธรรมหลัก และตระหนักใดก่อนหลังลงมือทำ
ความอดทนทำให้คนมีคุณภาพ ให้กำราบใจไม่นิ่งของตนนั่น
ความไม่ดีของใครอย่าวิจารณ์กัน ขอแข่งขันแต่ใจที่เสียสละเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอน้องใช้วิจารณญาณปัญญาเที่ยง
รักษาซึ่งพุทธะระเบียบไม่โอนเอียง และร้อยเรียงสิ่งที่ฟังให้เข้าใจ
หลังจากจบชั้นนี้แล้วยังศึกษา สละเวลาเท่าที่จะทำได้
ย่นทางไกลให้ใกล้ด้วยตั้งใจ ศรัทธาในจิตเดิมแท้ดั่งแสงทอง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระนาจา
เมื่อไม่หวังไม่มีอะไรให้ผิดหวัง เมื่อไม่รั้งสุขยากทุกข์ให้หลีกหนี
ไร้ตัวตนว่างเปล่าแล้วซึ่งธุลี เวลามีอุทิศช่วยเหล่าประชา
เราคือ
ศิษย์พี่ของท่าน นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์อันวุ่นวาย    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีหรือเปล่า

ต้องย่ำอยู่กับที่เพราะพะวง ธรรมะลงมาท่ามกลางโลกยุคเข็ญ
ละกิเลสบำเพ็ญด้วยใจเยือกเย็น ทั้งกายใจบำเพ็ญชนะสิ้นงมงาย
มั่นคงไว้คู่ธรรมกรรมต้องสาง สำนึกด้วยสำนึกมีทางพอแก้ไข
ชีวิตอันจริงแท้สติเป็นใหญ่ มองปัญหาหลายมุมหรือผ่านตา
ลงมือกับแลรออย่างไรแย่ อดทนแก้ค่อยค่อยไม่เฉพาะหน้า
แต่บางเรื่องเวลาเท่านั้นคลายปัญหา ขณะตรองปัญญาได้ใคร่ครวญภายใน
สติรู้เท่าทันไม่เท่ากัน ดุจชลรินช้ากระชั้นทัศนาได้
ห่วงสบายดุจตนขังตนไว้ บังคับไปตามร่องถูกจองจำ
ไหล่เคียงไหล่มุ่งครรลองใจสบาย แม้นหมายมั่นอะไรจิตต้องยุติธรรม
บำเพ็ญคล่องให้สี่คำต้องจำ ขยันปลงตื่นรู้นำฤทัยเรา
น่าดูตามจับมาไม่หมด น่าฟังอดฟังไม่โศกเศร้า
ยิ่งพูดเรื่องราวยิ่งยากบรรเทา ยิ่งเดาคนผิดยิ่งมากทวี
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทพระนาจา

มนุษย์อยู่ด้วยความหวังใช่ไหม แต่พุทธะอยู่ได้โดยไม่หวัง เข้าใจคำนี้หรือเปล่า ไม่หวังก็คือหวัง แต่ถ้าหวังก็ต้องได้ ไม่หวังใช่ไหม (ใช่)  ฟังคำนี้ให้ชัดเจนนะ มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง แต่พุทธะอยู่ได้ด้วยไม่หวัง ต่างกันใช่หรือไม่  เมื่อไม่หวังแม้จะสมหวังก็ไม่เสียใจ  แต่ถ้ามนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง ถ้าไม่สมหวังก็ต้องเสียใจ แล้วอย่างไหนดีกว่ากัน ย่อมไม่หวังดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง แต่พุทธะอยู่ได้ด้วยไม่หวัง เพราะอะไรถึงไม่หวัง เพราะถ้าอยู่ด้วยความหวังเมื่อไม่ได้อย่างหวังย่อมเศร้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอยู่ด้วยโดยที่ไม่หวังอะไรเลย แม้จะไม่ได้ก็ไม่เสียใจ แม้จะได้ก็เป็นอย่างไร เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  เหมือนมนุษย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้ได้ มีชีวิตมีลมหายใจอยู่ทุกขณะได้เพราะอะไร  เพราะใครหรือเปล่า เราอยู่ได้ด้วยตัวเราเอง หรือเราอยู่ได้เพราะมีใครช่วย (ตัวเราเอง)  พุทธะต้องอยู่ด้วยใจที่ไม่หวังถึงจะทำใจได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราไม่หวังตัวเราเองแล้ว เราต้องไม่หวังในตัวผู้อื่นด้วย แล้วเราจะไม่ผิดหวังและเสียใจที่เขาไม่เป็นดั่งใจเรานึก  จริงไหม(จริง)  เหมือนวันนี้ท่านอยู่ร่วมกัน อย่าได้คาดหวังว่าต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ เพราะถ้าเกิดเมื่อท่านคาดหวังแล้ว เมื่อไม่สมดังหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่คิดหวังใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม จงตามให้ทันความคิดแล้วจงคิดให้ถูกทาง แล้วเราก็จะไม่เศร้าในความคิดที่เราคิดจะทำสิ่งใดจริงหรือไม่ (จริง)
“เมื่อไม่หวังไม่มีอะไรให้ผิดหวัง  เมื่อไม่รั้งสุขยากทุกข์ให้หลีกหนี” หลายต่อหลายคนเมื่อได้พบความสุข พยายามที่จะหน่วงความสุขให้อยู่กับตัวเองให้นานที่สุด ไม่ให้สุขนี้กลายเป็นทุกข์เด็ดขาดใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านมีเรื่องน่ายินดี ท่านก็จะพยายามประคับประคองความยินดีของท่านนี้เก็บไว้อยู่กับตัวนานที่สุดใช่ไหม  แต่ทำไมยิ่งเก็บยิ่งรักษากลับยิ่งสูญเสีย และทำลายได้ง่ายกว่าที่ไม่เก็บไม่รักษาใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือชีวิตของมนุษย์  ชีวิตที่ทุกๆ คนต้องเจอ เรายิ่งพยายามหวงแหนประคับประคองให้อยู่กับตัวเรา  แต่ยิ่งหวงเท่าไรกลับยิ่งรักษาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งไหนที่ท่านไม่หวง ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ กลับอยู่ยงคงกระพันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่พบความสุข อย่าได้
เหนี่ยวรั้ง อย่าได้ยื้อยุด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วเราจะไม่เป็นทุกข์  เมื่อความทุกข์มาหาตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  จงคิดว่าสุขกับทุกข์คือสิ่งเดียวกัน จงคิดว่าทุกข์ก็อาจจะสุขและสุขก็อาจจะทุกข์ก็ได้  แล้วเราก็จะได้ไม่ทุกข์มากเมื่อความสุขเปลี่ยนเป็นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรงจะเหมือนคนตายทั้งเป็นหรือไม่ (เหมือน)  วันนี้ท่านว่าท่านเหมือนคนตายทั้งเป็นไหม  เรารู้สึกว่าท่านไม่มีความกระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า ไม่มีความกระตือรือร้นเลย  เราได้ตื่นและเตรียมพร้อมที่จะฟังโดยไม่เมื่อย ไม่เหนื่อยล้าแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ปลุกจิตใจตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า เราไม่อยากเห็นพุทธะที่ห่อเหี่ยวและหดหู่หมดแรง เหมือนต้นไม้จะตายไม่ตายแหล่
พูดธรรมะมากๆ เดี๋ยวกลัวท่านจะเบื่อ ลองไปพูดอะไรที่ไกลๆ บ้างทำให้จิตใจท่านกระปรี้กระเปร่า มีความสนุกสนานดีหรือเปล่า (ดี)  ประตูแห่งธรรมะเมื่อจะก้าวอย่าได้จำกัดว่าธรรมะต้องเคร่งครัด ต้องสงบนิ่ง มิใช่เช่นนี้  คำว่าธรรมะคือธรรมชาติ แต่จะทำอย่างไรให้ธรรมชาติแห่งชีวิตมีธรรมะอยู่ในตัวตน  ให้เราไปไหนแล้วสามารถกลมกลืนอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมใช่ไหม (ใช่)  นี่ถึงจะเรียกว่าธรรมะที่แท้จริง และรู้จักนำธรรมะไปใช้ในชีวิตได้อย่างถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ไร้ตัวตนว่างเปล่าแล้วซึ่งธุลี”  ท่านสังเกตเห็นขวดหรือกระป๋องไหมว่าเมื่อมีรูปร่างจึงสามารถบรรจุสิ่งต่างๆ ลงไปในขวดหรือในกระป๋องได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไร้รูปร่างสิ่งต่างๆ จะบรรจุลงในขวดหรือในกระป๋องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วคำว่าไร้อัตตาตัวตนต่างอะไรกับสิ่งที่เราพูดสักครู่ ต่างกันไหม (ไม่)  ใครสามารถตีกลับไป แล้วเอาไปนึกให้สอดคล้องได้ นั่นก็คือตัวตนเราก็เหมือนกับกระป๋องใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีที่ว่างก็มีสิ่งต่างๆ ให้บรรจุ  หากเป็นสิ่งหอมคนก็รุมตอม หากเป็นสิ่งเหม็นคนก็หนีหาย  แต่เป็นแมลงวันตอมใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน ในตัวของบุคคลนั้นไม่ว่าจะมีอะไรบรรจุก็ตาม  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหอมหรือเหม็นอย่างไรก็มีคนหมายปองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เรามีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เหมือนกระป๋องอาหารที่มีหลากหลายชนิดให้เลือกลิ้มรสใช่หรือไม่ (ใช่)  รสต่างๆ ย่อมมีคุณสมบัติที่ดีแตกต่างกันไป ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองที่มีความดีบ้าง ไม่ดีบ้าง  เพราะในความดีบ้างไม่ดีบ้าง สักวันหนึ่งอาจมีคนเห็นคุณค่าและชื่นชม  สักวันหนึ่งอาจมีคนไม่เห็นคุณค่าแล้วทอดทิ้งก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเลือกอาหารก็ปลงว่าเหมือนชีวิตคนเราเลยจริงไหม (จริง)  ชีวิตคนเราก็เหมือนกับกำลังไปเดินซื้อของ เราเข้าไปในที่ขายของ อันนี้ต้องใจเราก็หยิบมาเก็บไว้ อะไรไม่ต้องใจบางครั้งเราก็อดตำหนิติเตียนไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำพูดกล่าวไว้อยู่อย่างหนึ่งว่า ”เมื่ออยู่กับตนเองจงสำรวจข้อผิดพลาดของตน เมื่ออยู่กับผู้อื่นอย่าได้ตำหนิติเตียนผู้อื่น”  เพราะใครๆ ก็ไม่อยากเป็นสินค้าให้ท่านมาตอม  ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนในห้างสรรพสินค้า เราก็จงอย่าได้ต่อว่าตำหนิติเตียนซึ่งกันและกันดีหรือไม่ (ดี)  เพราะต่างคนต่างก็เป็นปลากระป๋องที่มีทั้งหอมทั้งเหม็นใช่ไหม (ใช่)  เอาเป็นผักดองก็แล้วกัน เพราะที่นี่เขาไม่ให้กินเนื้อสัตว์  แต่เราไม่อยากบอกว่าท่านเป็นผักดองเลย เพราะท่านพอตากลมมากๆ ก็เหม็น ตากเย็นมากๆ ก็เหม็นจริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนเนื้อสัตว์ตากทิ้งไว้ก็เหม็น ไม่ว่าจะตากลม ตากร้อน ตากเย็นก็เหม็น แต่ผักนี้ตากลมนานๆ เป็นอย่างไร  แห้งและไม่เหม็นฉุนเท่ากับเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนไม่ว่าจะอยู่เหนือ อยู่ใต้ อยู่ร้อน อยู่หนาว ก็เหม็นได้ทุกสภาวะถูกไหม (ถูก)  ไม่เหมือนผัก แม้เก็บในที่เย็นก็ไม่ค่อยเหม็นใช่หรือไม่ (ใช่)
ปัญหาแรกที่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขนั่นก็คือ ความระแวงสงสัย กินแหนงแคลงใจ  ฉะนั้นไม่ว่าอยู่กับใคร หรือว่าอยู่กับคนในบ้าน หรือว่าอยู่กับผู้อื่นก็ตาม  ถึงแม้ว่าเราจะเคยร่วมงานกันมา แต่ถ้าเกิดมีความระแวงสงสัย ไม่ไว้ใจกันแล้ว จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราอยู่กับผู้อื่นได้อย่างไม่
ราบรื่นและกลมเกลียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่อยู่ด้วยความระแวงสงสัยย่อมเป็นทุกข์ใจมากกว่าคนที่อยู่ด้วยความไม่ระแวงใคร มีแต่ความไว้ใจ ให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ศิษย์พี่จะอยู่กับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะอยู่กับศิษย์พี่อย่างเป็นสุขหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าศิษย์น้องมีความสงสัยในใจหรือเปล่า  ศิษย์น้องมีความระแวงหรือไม่ หากมีจงรีบขจัดทิ้ง เพราะถ้ามีเมื่อไร ศิษย์น้องจะทุกข์มากกว่าศิษย์พี่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีแต่คนที่คิดเท่านั้นที่ทุกข์ ส่วนคนที่ไม่คิดตรงนี้ก็จะไม่ทุกข์ และจะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างสบายใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งอยู่ด้วยความสบายใจ ไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องอยู่กับเขาด้วยการเปิดใจกว้างและวางใจเป็นกลาง เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ร่วมกันแล้ว เราไม่คิดอะไรและเขาก็ไม่คิดอะไรเลยก็ เป็นไปไม่ได้  การอยู่ด้วยกันต้องอยู่อย่างเปิดใจกว้าง และวางใจเป็นกลางอย่าคิดเอาฝั่งไหนมากกว่า  ไม่อย่างนั้นความคิดจะทำให้เราต้องเจ็บและทุกข์คนแรก ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นตัวเรา เหมือนเราทำงานร่วมกับเพื่อน เรารู้ว่าเขาทำได้ไม่เต็มเวลา เราต้องทำเต็มและหนักกว่าเขาเป็นเท่าตัว  ถ้าเราทำไปด้วย แล้วคิดไปด้วยเราทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นหากเราทำไปด้วยแต่เราไม่คิด เราจะสบายใจและจะทำให้เขากลับตัวกลับใจไม่ช้าก็เร็วในวันใดวันหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันขอให้ไว้ใจ เคารพ ให้เกียรติ แล้วเราจะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข  แต่ถ้าหากว่าอยู่กันแล้วเขาไม่เคยให้เกียรติ เขาไม่เคยไว้ใจ เขาไม่เคยให้ความสำคัญ กลับดูถูกดูหมิ่น อันนี้ไม่ต้องเสียใจ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าทำให้เราได้ฝึกตัวตนเองว่าเราเข้มแข็งไหม ว่าเราได้เสียสละอุทิศหรือเปล่า  หากอยู่กับใครก็ตามเขาไม่เคยให้ความสำคัญ เขาไม่เคยเชื่อใจ เขาไม่เคยรักเราอย่างจริงใจ  ไม่ต้องเสียใจ ศิษย์พี่ขอยกนิ้วให้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ศิษย์น้องได้ฝึกตัวเองยิ่งหนักใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะท่ามกลางความยากลำบากจะเกิดบุคคลที่หาญกล้า  ไม่มีใครที่จะเกิดมาท่ามกลางความสบาย และเป็นที่เคารพยกย่องนับถือของใครใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคใดๆ ขอให้ศิษย์น้องคิดให้ดี เพราะในอุปสรรคและความยากลำบากนั้นกลับมีแง่คิดและแง่ธรรมให้เราได้ฝึกฝนตน  แต่ในความสะดวกสบายกลับทำให้เราเผลอและลื่นไหลลุ่มหลงตน ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรในโลกนี้ จะทุกข์ จะสุข จะยากดีมีจน จะมีคนชอบ จะมีคนชัง หากคิดให้ดีแล้วล้วนมีแต่ธรรมะสอนใจทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้ปัญญาและรู้จักนำใจเรานี้โน้มเอียงไปหาธรรมะหรือว่าโน้มเอียงไปใฝ่ต่ำคิดชั่วร้ายกันแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องอยู่กับศิษย์พี่ด้วยใจที่มีแต่ธรรม และมั่นคงในธรรม ทำได้ไหม (ทำได้)  แล้วไม่ว่าปีนี้ปีหน้าหรือปีไหนๆ ศิษย์พี่ก็จะได้เห็นหน้าศิษย์น้องทุกๆ วันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จักนำใจเราให้ใกล้ชิดธรรม ไม่รู้จักคิดในสิ่งที่ดี เอาแต่ใจตัวเองใฝ่ต่ำไป พุทธะจะไม่มีวันได้เจอศิษย์น้องแน่ อยากเอาสิ่งใดพุทธะหรือพญามาร (พุทธะ)  พุทธะเป็นแน่แท้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต้องย่ำอยู่กับที่เพราะพะวง”  คนเรานั้นไม่สามารถก้าวหน้าไปไหนได้หากยังมีความวิตกกังวล ถึงแม้จะก้าวไปก็ยากที่จะก้าวไปได้อย่างเต็มที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้หากศิษย์น้องย่ำอยู่ตรงนี้ แต่ยังมีความพะวงความกลัดกลุ้มในเรื่องส่วนตัว เรื่องทางบ้าน หรือเรื่องปัญหาคาใจ ฟังธรรมะก็จะฟังได้ไม่เข้า คุณธรรมก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มพูนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้จงตั้งใจฟังให้ดีๆ มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมาก็ต้องก้าวเดินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก้าวสั้น บางคนก้าวยาวใช่หรือไม่  บางคนก้าวใกล้ๆ บางคนก้าวไกลๆ ไม่ว่าสั้น ไม่ว่ายาว วัดกันได้แค่ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นแค่ความแตกต่าง  แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ดูแค่ชั่วขณะหนึ่ง หรือชั่วขณะก้าว แต่การจะดูที่แท้จริงคือดูในระยะไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตัวศิษย์น้องบางครั้งรู้สึกท้อแท้ใจ เรารู้สึกหดหู่ใจ คนอื่นก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วทำไมเรายังย่ำอยู่กับที่ คนอื่นสามารถทำงานได้ แต่ทำไมเราถูกซองขาวให้อดทำงานใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนมีเงินมากมาย แต่ทำไมเราได้เงินเล็กน้อย แต่ต้องทำงานเป็นสิบๆ เท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอาจจะดูได้ตรงนี้แค่สั้นๆ แต่เราอย่าได้ดูเบาตัวเอง คนที่เริ่มต้นยากลำบากนั้นหรือคนที่เราเห็นว่าเค้าสบายนั้น ล้วนต้องเกิดจากความมานะพยายาม ลำบากมาก่อนด้วยกันทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าวัดในขณะนี้ เราต้องวัดตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่เขาจะมาถึงตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนตัวเรานั้น เราก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง เราต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็ต้องอดทนกับตัวเองว่าการเริ่มต้นตรงนี้ เป็นการเริ่มต้นที่ก่อพื้นฐานเท่านั้น  เราพร้อมที่จะก้าวกระโดดข้ามต่อไปได้เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเมื่อเราเริ่มต้นจะก้าว เราต้องรู้ด้วยว่าเราเริ่มต้น เมื่อเราก้าวต้องรู้ด้วยว่าเราก้าว นี่แหละคือจุดเริ่มต้นในการทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าเรามีชีวิตเริ่มต้นก้าว ไม่รู้ว่าก้าวอย่างไร ไปแล้วก็ไม่รู้ว่าไปไหน เช่นนี้เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเหมือนตัวศิษย์น้องทุกคนอยู่ในที่นี้ถามว่าไปไหน ตอบว่าไม่รู้ต้องไป มีหลายๆ คนพูดแบบนี้ รู้แต่เพียงว่าอยู่บ้านไม่ได้ อยู่บ้านไม่ติด ต้องออกไป แต่ไปไหน ไปทำไม เคยถามตัวเองไหม ไม่รู้ อย่างนี้เริ่มต้นไม่ถูกแล้วจะไปถึงจุดหมายที่ไหนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตเริ่มต้นต้องวางให้ถูก แล้วก้าวต่อๆ ไป จึงไปได้อย่างมั่นคงและสัมฤทธิ์ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ศิษย์น้องมาเริ่มต้นศึกษาหลักธรรม การที่จะเริ่มต้นศึกษาหลักธรรมนั้น จะไปแต่กายใจไม่ไปไม่ได้ จะมีแต่ใจตัวไม่ไปก็ไม่ดี ต้องไปทั้งใจและกายใช่หรือไม่ (ใช่)  จะไปได้ทั้งใจและกายนั้น เรามาเริ่มต้นที่ใจก่อนดีไหม (ดี) หรือว่าเริ่มต้นที่กายก่อนดี ศิษย์พี่เปลี่ยนใจเริ่มที่กายก่อน
หลายต่อหลายคนนั้นมีตาก็ชอบมอง มีหูก็ชอบฟัง มีมือก็ชอบจับสัมผัสใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่เข้าไปในร้านซื้อของแล้วไม่จับ เขาไม่ให้แกะดู อุตส่าห์มีซองใสๆ ก็ยังแกะดู  เสร็จแล้วไม่เอาวางตามเดิม ขอให้ได้จับได้ดู ได้เห็นสักนิดหนึ่ง นี่เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรานั้นยากที่จะวางใจให้สงบนิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเริ่มที่ภายนอกก่อนแล้วค่อยเข้าไปสู่ใจ แต่ถ้าหากว่าศิษย์พี่เปรียบเทียบกับโลกใบนี้เหมือนโลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ศิษย์น้องเหมือนแมลง บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามหู บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามลูกตา บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามมือไขว่คว้า แต่บางคนเป็นแมลงที่ไม่ไปตามหู ไม่ไปตามตา และไม่ไปตามมือ ศิษย์น้องอยากเป็นแมลงตัวไหน  แมลงที่บินไปตามตาเห็นอะไรสวยย่อมมอง อะไรยิ่งสวยก็ยิ่งมอง แมลงที่บินไปตามหู ได้ยินอะไรก็ฟัง แมลงที่บินไปตามมือเห็นอะไรก็อยากจะไปจับ แต่ถ้าศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องเป็นแมลงที่เหมือนไม่มีหู ไม่มีตา ไม่มีมือคงเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะธรรมชาติให้ศิษย์น้องมาครบหมดแล้ว นี่เป็นโชคดีอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตามีไหม บอดไหม (ไม่บอด)  เหมือนบอดนะศิษย์พี่ว่า มีก็เหมือนบอด  บางครั้งเห็นว่าไม่หล่อก็หล่อ ไม่น่าฟังก็ฟัง ไม่น่าจับ เหม็นก็วาง เรามีหูมีตาไว้ทำไม ในเมื่อมีแล้วก็ทำให้เราเกิดกิเลส ฉะนั้นตัดมันทิ้ง ควักมันออกดีไหม (ไม่ดี)  ดีนะเพราะบางทีตาก็ชอบทำให้เกิดปัญหา หูนี้ชอบให้หาเรื่อง มือชอบไปรังแกเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างน้อยชีวิตนี้ก็เคยได้มองแล้ว ได้ยินแล้ว ได้สัมผัสแล้ว ก็พอแล้ว เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเราจะทำยังไงดี ไม่ตัดก็ไม่เอา แต่ถ้าไม่ตัดเลยกิเลสก็ยังคงหนาอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรก็ยังอยากดูอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าอายุมากอายุน้อยเราก็เห็นตาฝ้าฟางแล้วก็ยังดูเข้าไปเถอะ ตาดีชัดแจ๋วดูใหญ่ จริงไหม (จริง)  พอบอกว่าเป็นเรื่องผิดศีลนะอย่าดู  แหมก็มันล่อตาล่อใจ ใช่ไหม (ใช่)  งั้นเราจะทำยังไงดีถึงจะแก้ให้สิ่งที่มีอยู่นั้นไม่ก่อให้เกิดกิเลส และไม่ก่อให้เกิดตัณหา ใครตอบได้บ้าง (หลับตา, ไม่ยึดติดความสัมผัสทางกายและใจ)  นั่นก็คือไม่ยึดติดในสิ่งที่มอง บางครั้งเราเห็นก็อย่าเชื่อใจในสิ่งที่เห็นมากเกินไป เราอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจนมั่นใจเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าเชื่อในสิ่งที่เราจับมากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะสิ่งที่จับนั้นล้วนเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้ท่านยืนยันว่าของที่ท่านจับอยู่ตรงนี้ แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่อยู่ตรงนี้ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คืออย่ายึดติด
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่งออกมาเดินโดยปิดหูปิดตา)  ตาปิดไว้ หูอุดไว้ แล้วเดินซิ  เดี๋ยวลงไปกินข้าวนะ ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ใช่ไหม ศิษย์พี่บอกตัดทิ้งก็ไม่ได้ จะปิดก็ไม่ได้ เพราะศิษย์น้องเกิดมามีหู มีตา จะทำเหมือนคนตาบอดหูหนวกมือใช้ไม่ได้ ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นห้ามพูดออกมา ถ้าพูดผิดแล้วมีคนทำตาม เขามาว่าท่านจะโกรธเขาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่จะสามารถทำได้นั่นก็คืออะไรรู้ไหม แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ ก็ไม่ยากเลย  เมื่อเวลาจะมอง จงมองให้กระจ่าง หรือง่ายๆก็คือเมื่อจะมองต้องมองให้ชัด เมื่อได้ยินต้องได้ยินให้ถ้วนถี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมือจะทำสิ่งใดต้องรู้จักคิดถึงโทษก่อน เพราะการกระทำเป็นเหตุให้เกิดโทษได้ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด มือจะขยับอะไร ขอให้นึกถึงโทษก่อน เมื่อนึกถึงโทษแล้วมือจะไม่กล้าทำผิด แม้ตาจะเห็น แม้หูจะได้ยิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตัวก็จะไม่ให้เราผิดพลาดด้วย แล้วไม่ก่อให้เกิดกิเลสด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ว่าจะตาดู หูฟัง ทำได้แล้ว ไม่ก่อให้เกิดกิเลสแล้ว คราวนี้ก็มาสู่จิตใจบ้าง  ใจมนุษย์ถ้ามีตัวตนย่อมคับแคบ ถ้ามีความวุ่นวายสับสนย่อมยากที่จะวัดอะไรได้เที่ยงยุติธรรม  จริงไหม (จริง)  เมื่อมีตัวตนทำไมจึงคับแคบ  ไหนใครบอกว่าคลื่นลูกหลังมาแรงกว่าคลื่นลูกแรก  ศิษย์พี่เห็นคลื่นรุ่นหลังยังไม่ทันขึ้นสูง ยอมแพ้แล้ว   ใครตอบได้ว่าอย่างไร (ความเห็นแก่ตัว, เห็นประโยชน์ของตัวเองมาก่อน, มีความทะเยอทะยานสูงในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ)  มีความทะเยอทะยานสูงในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ ไม่ว่าจะผิดหรือจะถูก ขอให้ตัวเองได้สูงๆ ไว้ก่อน เป็นคำตอบที่ถูกต้อง  บางครั้งเราอยากไปให้สูงที่สุด  การไปของเราจึงพยายามที่จะไม่สนใจว่าอะไรก็ได้ขอให้ตัวเองสูงไว้ก่อน ใครที่มาขวางทางสูงโดนเบียดตกไปหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์น้องอีกท่านตอบไว้ก็คือว่า บางครั้งเรามีความเป็นตัวของตัวเรามาก เพื่อตัวเรามากเกินไป จึงไม่สนใจฝ่ายอื่นหรือส่วนรวมว่าจะโดนผลกระทบอย่างไร  แต่จริงๆ แล้วศิษย์พี่ให้คำสรุปง่ายๆ เป็นเพราะว่าเรามีตัวตนจึงคับแคบ  แต่ถ้าเมื่อใดไม่มีตัวตนย่อมว่าง จริงไหม (จริง)  ดูง่ายๆ ที่ผืนหนึ่งพอมีคำว่า “บ้าน”  ที่เลยแคบลงเป็นบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  พอมีคำว่า “ห้อง”  จากบ้านไปแคบลงไหม (แคบ)  จากที่นากว้างๆ กลายเป็นมีบ้าน จากมีบ้านกลายเป็นห้องเล็กๆ จากห้องก็มีมุมของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็นั่งที่นั่งของตัวเอง  สังเกตไหมว่ามนุษย์เราเมื่อมีตัวตน เมื่อได้สิ่งของเราย่อมพยายามตีตัวเองให้แคบ แคบที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จากที่กว้างกลายเป็นเหลือชีวิตอยู่แคบ มุมนี้มุมของฉัน มุมนี้มุมของศิษย์น้อง ห้ามใครมายุ่งพอเคลื่อนที่หน่อย ก็ว่าใครมายุ่งโต๊ะฉัน  ใครมายุ่งบ้านฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความคับแคบจึงบังเกิดเพราะว่ามีตัวตน มีของๆ ตน  เมื่อแคบแล้วจะมองโลกให้กว้าง จะมองคนให้ชัด ชัดไหมดวงตานี้  ไม่มีทางชัดหรอกศิษย์น้อง  แม้ใจจะบอกตอนต้นว่า เมื่อตามองต้องมองให้ชัด  แต่ถ้าตานี้มีตัวตน มีเจ้าของ  มองไม่ชัดหรอก  แม้หูจะได้ยิน  ก็ได้ยินได้จำกัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรที่ชอบหูจะฟัง อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่ชอบที่ชังนั้นยุติธรรมไหม ก็ไม่ค่อยยุติธรรมด้วยจริงหรือไม่ (จริง)  แม้จิตใจจะคับแคบก็ใช่ว่าจะกว้างขวางไม่ได้  แม้จิตใจที่คิดว่ากว้างขวาง ก็ใช่ว่าจะไม่คับแคบหรือคับแคบไม่เป็น มันไม่แน่ไม่นอนและเราจะทำอย่างไร ก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมใจตัวนี้อย่ามีตัวตนมาก อย่ามีขอบเขต อย่ามีความเคยชินมาก  พอมีความเคยชินก็จะจำกัดตัวเองให้แคบลง  พอมีอารมณ์ยิ่งตีซอกความเคยชินให้แคบลงเข้าไปอีก ใช่ไหม (ใช่)  มีเคยชิน มีอารมณ์แล้วพอมีตัวตนเองก็ยิ่งเล็กลงไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวตนทิ้ง ตัดอารมณ์ทิ้ง วางสิ่งต่างๆ ทิ้ง แล้วเราก็จะอยู่อย่างกว้างขวาง ได้ยินอย่างแจ่มชัด มองเห็นอย่างชัดเจน ง่ายไหม  ฉะนั้นแม้ว่าจะแคบตอนนี้แต่ต่อไปจะกว้างใหญ่ขึ้น  แม้ตอนนี้จะมีตัวตน มีความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ต่อไปจะละความเคยชิน ละอัตตาตัวตนให้เบาบางน้อยที่สุด ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกเรื่องใจกว้างแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์น้องจะเป็น นั่นก็คือกว้างแล้วแต่ไม่สามารถทำจิตใจให้ใสสงบและยุติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายอมรับไหมว่าเราเป็นคนที่แม้ตัวจะตรง ยืนตรงแต่ใจไม่ค่อยตรง เป็นไหม (เป็น)  อะไรที่รักมากเราก็จะเอียงมากหน่อย ใช่ไหม  อะไรที่เราเกลียด เราก็จะห่างให้มากใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะแบ่งให้ใคร บางครั้งตัดทีหนึ่ง เรายังรู้สึกว่าแบ่งได้ไม่เท่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี เราถึงจะสามารถขจัดใจที่ไม่ยุติธรรม เอนเอียงนี้ให้ตรงเที่ยงได้ นั่นก็คือลดความปรารถนาใคร่อยากให้น้อยลง  มนุษย์เราเพราะมีความปรารถนาใคร่อยาก ความปรารถนานี้จึงทำให้มนุษย์นั้นเอนเอียง ไม่สามารถตรงเที่ยงได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนเวลาเราอยากได้เงิน เราก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้เงิน ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะคดโกงหรือฉ้อฉล ไม่ว่าจะแอบจิ๊กหรือว่าทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้เรายิ่งมีความปรารถนาบ้าง จิตใจเรายิ่งยากจะตรง  เมื่อมีความปรารถนาใคร่อยากมาก จิตใจเรายากที่จะใสสงบนิ่ง  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีเฉพาะหน้า  น้ำไกลไม่สามารถดับไฟใกล้ได้ ความสุขที่ศิษย์น้องพยายามแสวงหามากมายเพื่อมาถมให้ตนเองมีนั้น บางครั้งไม่สามารถทำให้ตนเองสุขได้เท่ากับตอนนี้  ขณะนี้รู้จักปรับใจตัวเอง เอาชนะใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่างที่ศิษย์พี่บอก แม้จะหามามากมาย  แม้จะเอาเวลาทุ่มเพื่อให้ตนเองมีเงินมากมาย  แต่ถ้าศิษย์น้องไม่มีความสุข ที่วิ่งไปหาแม้ได้มาก็ยากสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขในโลกนี้ไม่ใช่อยู่ที่การแสวงมีเงินทอง  แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเจอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ลาภยศหรือเงินมีอยู่ในกระเป๋าเท่านี้ ศิษย์น้องสามารถสุขได้ไหมกับคนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้ ศิษย์น้องสามารถสานให้เกิดความสุขได้หรือไม่ ผูกบุญสัมพันธ์ให้เกิดความสุขได้หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่อยู่ที่การไปมีคนไกลๆ แล้วเรามีความสุข  แต่อยู่ที่ว่าเราสุขกับคนใกล้ตัวได้หรือไม่  ถ้าศิษย์น้องคิดว่า ต้องไปบ้านโน้นแล้วมีความสุข ต้องเจอคนนี้แล้วเราจะมีความสุข เช่นนี้หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่  ความสุขที่แท้จริงก็คือ อยู่ที่ตัวเองสามารถสุขขณะนี้ได้หรือเปล่า  สุขในเสื้อผ้าแบบนี้ได้หรือไม่ สุขในของเท่านี้ได้หรือเปล่า จริงไหม  เมื่อศิษย์น้องพึงพอใจในสุขเท่านี้ เอาน้ำใกล้ดับไฟที่เกิดใกล้ๆ ตัว ย่อมทันกว่าเอาน้ำไกลมาดับไฟใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากคิดได้เท่านี้ศิษย์น้องก็จะเป็นคนที่ไม่ปรารถนาอะไรเกินตัว  จะรู้จักพึงพอใจตามอัตตภาพ และความคดความลำเอียงก็จะเกิดได้น้อยที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  คือเราเริ่มต้นจากตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้อยู่กับคนนี้แล้วมีความสุข ทั้งที่แต่ก่อนไม่รู้ว่าสุขกับคนนี้เป็นอย่างไร  ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกอมแม้จะเปรี้ยวก็สุขและสุขจริงๆ  นี่คือการสร้างความสุขให้กับตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้นั่งฟังบนเก้าอี้นี้แล้วมีความสุข  ถ้าศิษย์น้องเริ่มต้นทำตรงนี้ได้ แม้จะอยู่โดยไม่มีเงินทอง ศิษย์น้องก็เป็นสุขได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นี่คือการทำความสุขด้วยตนเองง่ายๆ เท่านี้เองไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งแล้วติดใจไม่อยากลุก  นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งของพวกเราใช่ไหม แต่ทำยากเหลือเกิน  กลายเป็นคนมีอัตตามีอารมณ์  มีความสุขต้องเป็นอย่างนั้น มีความสุขต้องเป็นอย่างนี้ ลุกยากไหม (ยาก)  ถ้าเราไม่รู้ว่าเก้าอี้นี้นั่งมากๆ แล้วเจ็บก้น  เราจะลุกไหม (ไม่ลุก)  เหมือนอารมณ์ความเคยชินที่ตัวศิษย์น้องมี หากเรายังพึงพอใจมาเป็นของฉัน ฉันเป็นอย่างนี้ ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันยังไม่สุข  ศิษย์น้องจะลุกจากเก้าอี้ตัวนี้ได้อย่างอิสระไหม (ไม่)  ไม่อิสระลุกได้อย่างง่ายดายและองอาจไหม (ไม่)  จะสลัดก็ไม่หลุด จริงหรือไม่ ฉะนั้นอยากจะแก้ไขสิ่งใดก็ตามให้ตัวเองได้ดีขึ้น คือเมื่อรู้วิธีแล้วจะต้องตัดทันที ถ้าตัดทันทีไม่ได้พยายามมองให้เห็นข้อผิดพลาดที่ตัวเองมีเป็นอย่างไร  เราเป็นคนขี้โมโห เวลาโมโหแล้วหน้าอินทร์หน้าพรหมไม่ฟังทั้งนั้น มากี่คนฟาดเรียบ ใช่หรือไม่ พ่อแม่ไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แฟนไม่เกี่ยวเพราะโมโห จริงไหมศิษย์น้องแล้วแก้ได้ไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนเวลาศิษย์น้องหลงชอบเก้าอี้ตัวนี้ นั่งตรงนี้ก็ดี นั่งตรงนี้ก็สบาย มุมไหนก็ดูดีไปหมด ใช่ไหม  อย่างนี้จะลุกไหม ไม่ลุกหรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะลุกได้จากความหลง เราจะรู้ตื่นได้จากตัวตนนั่นก็คือ เราต้องย้อนมองตนก่อน  เห็นก่อนว่า เรามีอะไรผิด มีอะไรที่ไม่ดี จงมองอย่างแท้ มองอย่างกระจกย้อนตัวเอง แล้วเมื่อเราเห็นว่าอะไรดีไม่ดี เราจะสามารถยุติธรรมกับตัวตน  เมื่อตัวตนยุติธรรมจะกลัวอะไรกับคนอื่น เราต้องเที่ยงธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ง่ายไหมบางครั้งเราลืมไปเลยว่าเรานั่งอยู่ บางครั้งก็ลืมไปเลยว่า เรากำลังโกรธอยู่ เป็นไหม  บางทีกำลังโกรธอยู่ มีคนบอกว่า ต้องรีบขับรถไปทันทีมีคนเกิดอุบัติเหตุ เธอต้องไปช่วยเพราะเป็นลูกเธอ ก็รีบไปไม่ทันได้โกรธ เพราะลืมไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ยากเลยกับการกำจัดกิเลสในใจตน มองตัวตนให้แจ่มชัด  เมื่อมองได้แจ่มชัด คราวนี้ก็สบายแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  สบายอะไร ทำไมสบายใจ  เพราะว่าทำตัวเองได้เบาขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เราอยู่บนโลกนั้นเหมือนคนที่ตอนแรกมาตัวเปล่า นี่สวยเอามาแบกไว้ นี่ดีเอาเก็บไว้  นี่ก็น่าหยิบเอามาแปะไว้เต็มตัวไปหมดเลย  เวลาจะนอนทีนอนไม่หลับ เพราะว่าคิดโน่นคิดนี่ เต็มหัวสมองไปหมด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบางครั้งต้องรู้จักปล่อยบ้าง รู้จักตัดทิ้งบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องต้องคิดไว้เสมอว่า ทุกๆ คนไม่ว่าหนุ่มหรือสาว อย่างไรก็ต้องแก่อายุมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากวันนี้ศิษย์น้องไม่ห่วง ไม่ดูแลผู้สูงอายุ ไม่ว่าเขาจะเป็นญาติพี่น้องเราหรือไม่ใช่ก็ตาม หากเราเห็นเขาเดือดร้อน จงยิ้มด้วยไมตรีแล้วยื่นมือช่วยเหลือ  เมื่อเวลาเราแก่เฒ่า ลูกหลานไม่อยู่ใกล้ คนอื่นก็จะช่วยเหลือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราแก่เฒ่าจงหมั่นยิ้มไว้ เพราะรอยยิ้มของผู้เฒ่าผู้แก่นั้น น่าชิดใกล้ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่า ไม่ว่าอายุมาก ความทุกข์ผ่านมากี่ร้อนกี่หนาวอย่างไรก็ตาม ต้องยิ้มให้ออก  เพราะยิ้มออกเมื่อไร จะเป็นจุดที่ทำให้ลูกหลานชิดใกล้ไม่หนีห่างเราไป  ทำไมเราแก่แล้วอายุมากลูกกลับหนีหลานกลับทิ้ง  เพราะเราทำหน้าบึ้งอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ้มๆ ไว้ เป็นการเริ่มต้นที่ทำง่ายๆ แล้วลูกหลานก็จะมาหา  มากี่ทียายก็ยิ้ม ไม่ใช่มากี่ทียายก็ทำหน้าบึ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงทำไว้จะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
ตอนนี้ศิษย์น้องรู้จักควบคุมตัวเองแล้ว  ทำอย่างไรให้ตัวเองมีกิเลสน้อย ทำอย่างไรให้ตัวเองสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข นั่นคือ ต้องมีใจกว้างและบริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำว่า “ใจกว้าง”  จะทำให้เราอยู่กับเขาได้อย่างเป็นมิตร คำว่า “บริสุทธิ์ ยุติธรรม”  จะทำให้เราอยู่กับเขาได้อย่างยั่งยืนนาน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่เปิดใจกว้างก็ไม่มีใครอยู่กับเราได้แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมีสองอย่างนี้ แล้วศิษย์น้องก็รู้วิธีใช้สองอย่างนี้แล้ว เมื่อรู้แล้วกลับไปทำให้ได้ ใจกว้างทำอย่างไร (เสียสละ)  เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่จะพูด  แต่ตอนแรกที่ศิษย์พี่บอกคือ การที่จะให้เราใจกว้างได้คือ การที่เรามีตัวตนน้อยที่สุด  เพราะเมื่อไหร่ที่มีตัวตนน้อยขอบเขตก็จะจำกัด ความเป็นตัวตนของเราก็จะไม่ถูกตีให้เป็นช่องแคบๆ แต่จะเปิดกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตต้องยุติธรรมและจะทำอย่างไรให้บริสุทธิ์ยุติธรรม (ทำใจเป็นกลาง)  นั่นก็คือต้องมีความปรารถนาให้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าเราปรารถนามากเกินไป ความบริสุทธิ์ยุติธรรมย่อมมียาก มีความปรารถนาน้อยใจย่อมสงบ  เมื่อใจสงบมองสิ่งใดย่อมเที่ยงธรรม  แต่ถ้ามีความปรารถนาอยู่จะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นฝ่ายชายหนักก็ต้องไหว เบาต้องสู้  ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรับต่อและอย่างนี้จะเป็นผู้นำใครได้และจงรู้ไว้ว่า ถ้าตนเองยังเอาไม่รอด ไปเกี่ยวเขาอีกคน จะไม่ยิ่งเพิ่มความทุกข์ไปอีกหรือ  คิดให้ดีนะศิษย์น้อง  ตัวเองเอาไม่รอด เธอมาช่วยแบกรับอย่างนี้หรือเรียกว่า ความรัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากศิษย์น้องจะรัก เราต้องเป็นผู้ที่เสียสละด้วย รักแล้วไม่เป็นไรใช้ให้เธอมาเช็ดหน่อยก็ได้ ถึงจะเรียกว่ารักของเขาถูก รักเขาแล้วเธอมายืนต่อ ฉันไม่ไหวแล้วใครจะเลือกเรา
 เมื่อสักครู่นี้ศิษย์พี่บอกไว้ว่า จะพูดเรื่องความเสียสละ  ในโลกนี้แม้ตัวเองจะดีได้ หากว่าดีแล้วแต่ไม่มีจิตใจเสียสละ ช่วยเหลือใครก็ย่อมไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องรู้จักอุทิศเสียสละด้วย  ปัจจุบันนี้สังคมเต็มไปด้วยความเลวร้ายเห็นแก่ตัว สะสมแต่ให้ตัวเองมีมาก คนอื่นไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนตัวเป็นใหญ่ ส่วนรวมเป็นรอง หาใช่ความคิดที่ถูกไม่  ความคิดที่ถูกต้องคือ ส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตัวเป็นรอง  ฉะนั้นหากเราสามารถขจัดและควบคุมวาง
มาตราฐานของตนเองได้ดีแล้ว  โอกาสที่เราจะออกไปช่วยใครย่อมเป็นไปได้ง่าย  ถ้าหากเราไปยื่นมือขอให้ใครทำตาม ก็ย่อมง่ายด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจะทำอย่างไร การทำตัวทำให้ดีแล้ว แต่ใจยังใฝ่สูงตลอด ใจมิใฝ่น้อมต่ำก็ยากที่จะดึงใคร และโอบอุ้มช่วยเหลือใครได้  จิตใจที่น้อมต่ำเท่านั้น จึงจะสามารถไหลไปได้ทุกที่ และที่สกปรกก็ไม่รังเกียจที่จะไปช่วยเหลือ  นี่คือจิตใจที่สามารถอุทิศช่วยเหลือประชาได้  หลายต่อหลายคนใฝ่ที่ตัวเองจะต้องสูงจะต้องดี จะต้องมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความสูงส่ง ความมีมาก ความมีดีจนไม่แบ่งปันให้กับใครนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย  หากความสูงส่งความดีนั้นไม่เคยช่วยเหลือใคร  จะเป็นความดีแก่ตัวเอง ไม่สามารถเรียกความดีที่แท้จริงได้  ความดีที่แท้จริงมองจากตัวเองดีได้แล้ว ยังสามารถเอื้อและโอบอุ้มความทุกข์ยากของผองชน หรือหมู่ประชาที่อยู่รอบข้างได้  นั่นคือหากศิษย์น้องเริ่มรู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน รักษาสิ่งที่ดี สิ่งใดไม่ดี ขจัดทิ้ง  เมื่อมีโอกาสนำความดีนำคุณธรรมไปฉุดช่วยประชา  ความทุกข์ดับได้ด้วยธรรมะ จิตใจที่วุ่นวายสับสนดับได้ด้วยความร่มเย็นแห่งธรรมะ ใครจะช่วย พุทธะไม่อาจช่วยได้ เพราะพุทธะไร้ซึ่งกายเนื้อแล้ว ก็ต้องรอพุทธะองค์น้อยๆ ที่จะพร้อมบำเพ็ญหรือไม่  หากท่านพร้อมบำเพ็ญ เข้าใจธรรมได้ระดับหนึ่ง จงรีบเอาธรรมนี้ไปช่วยเหลือคน เพราะยังมีชนอีกหมู่มากที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเรา  และยังมีคนอีกมากที่เป็นคนไม่รู้  แล้วต้องการจะรู้เรื่องธรรมะแห่งจิตเดิมแท้ของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มโนธรรมสำนึกในตัวตนเขาลืมไป จงเอาธรรมะนี้ไปให้เขารู้ และจงเอาไปให้คนที่รู้แล้วยังไม่ได้ปฏิบัติ ให้รีบปฏิบัติโดยที่ตัวเองเป็นคนปฏิบัติให้เขาเห็นก่อน ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อไหร่ที่ท่านยอมนำธรรมไปฟื้นในสังคม มหาธรรมจะบังเกิดในโลกนี้  เมื่อไหร่ที่ท่านนำธรรมไปโปรดแผ่ช่วยเหลือคน จิตแห่งโพธิจะบังเกิดในใจตน  หวังว่าศิษย์น้องคงทำได้ไม่ยากเลย ทำตนเป็นคนดี วางรากฐานแห่งความดีให้มั่นคง บริสุทธิ์ ยุติธรรมและความบริสุทธิ์ ยุติธรรมในการกระทำของเรานี้จะนำพาเขาและชี้นำแสงสว่างให้เขา  โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลยก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ด้วยจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อดีแล้วอย่าได้เย่อหยิ่ง อย่าได้หยิ่งผยอง อย่าได้อวด  เมื่อดีแล้วอย่าได้ให้คนอื่นต้องเห็นคุณค่า ต้องมีผลตอบแทน เช่นนี้ยังไม่ใช่ดีที่แท้จริง  ไม่อาจดีบริสุทธิ์  ดีที่บริสุทธิ์ก็คือ อุทิศให้โดยไม่หวังผล  ทำให้โดยไม่รอผลตอบแทนให้เขาไปเท่าที่จะให้ได้ แม้เขาไม่สำนึกรู้ แม้เขามองไม่เห็น แม้เขาไม่เห็นความสำคัญ จนกระทั่งเราให้จนจบแล้ว เขากลับเพิ่งนึกรู้ นั่นแหละเรียกว่า อุทิศเสียสละด้วยใจจริง  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องทุกคนทำได้ แต่ต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ เอาชนะอุปสรรคให้ได้  เพราะบ่อยครั้งเมื่อเราตั้งใจจะทำดี ตั้งใจจะบำเพ็ญตน เรามักเจออุปสรรคความยากลำบาก  แต่เมื่อไหร่ที่เจออุปสรรค จงถืออุปสรรคและความยากลำบากนั้นเป็นเหมือนเกราะที่ทำให้เรายิ่งเข้มแข็ง  เป็นเหมือนด่านที่จะทำให้เรามั่นคง อย่าได้ยอมแพ้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำอะไร
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้หัวหน้าชั้นตอบ  (ทำจิตใจให้เป็นกลางและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น)  บำเพ็ญธรรมคือ เริ่มที่ตนเองและนำไปสู่ผองชน  เริ่มต้นทำดีก่อน อะไรที่ไม่ดีตัดทิ้ง ชะล้างทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตัวเองทำดีได้ ท่ามกลางสิ่งที่ตนเองทำดีนั้น อาจจะมีคนอยากจะเรียนรู้ อาจจะมีคนแอบฝึกตามก็เป็นได้  เมื่อเราทำดีมีคนแอบฝึกตาม เราก็ได้บุญโดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเมื่อทำจงอย่ากลัว  เมื่อกลัวจงทำ เมื่อกลัวก็ต้องทำ เมื่อทำก็อย่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ผิด
แล้วจะรู้หรือว่าอะไรถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ป่วยแล้วจะรู้หรือว่าต้องเข้มแข็ง ไม่ทุกข์หรือจะรู้ว่าสุข ไม่รู้ว่าอะไรเที่ยงแท้หรือจะรู้ว่าอะไรเที่ยงแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ ขยัน ปลง ตื่น รู้”  สี่คำนี้จงจำไว้ คนเราไม่ว่าจะเป็นคนยากดีมีจน หากขยันไม่มีวันอดตาย หากขยันไม่มีคำว่า “ลำบาก”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากขยันไม่มีคำว่า “ไม่มีงานทำ” จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นขยันต้องจำไว้ศิษย์น้อง บำเพ็ญธรรมก็ต้องขยัน ทำงานก็ต้องรู้จักคำว่า “ขยัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขยันก็ต้องรู้จักพอบ้าง ไม่ใช่ขยันทำงานแล้วก็ล้มตาย ชีวิตนี้มีค่าแค่งานเท่านั้นเอง  ต้องรู้จักทำเพื่อคนอื่นด้วย
“ปลง”  อีกคำหนึ่งที่ต้องรู้ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน  วันนี้เห็นท่าน วันนี้เห็นของ วันนี้เห็นเรา  แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่เห็นทั้งท่าน ไม่เห็นทั้งของและไม่เห็นทั้งตัวเรา  วันนี้มั่นใจ พรุ่งนี้อาจจะไหวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เป็นคนดี พรุ่งนี้อาจจะเป็นคน (เลว)  ก็ต้องดียิ่งขึ้น  ฉะนั้นต้องรู้จักปลงด้วย  วันนี้อาจจะยิ้มแย้มแจ่มใส พรุ่งนี้อาจจะมีน้ำตา แต่ไม่ต้องทุกข์เกินไป  ปัญหาเกิดก็ต้องรีบแก้ มองให้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกคำหนึ่งก็คือ “ตื่น  รู้”  จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตื่น จะตื่นได้ก็ต่อเมื่อหลับใหล ถ้าไม่หลับไม่มีวันตื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หลับตื่นนี้ไม่ใช่แค่ความหมาย เปิดตา ปิดตา  แต่หมายถึง ตื่นรู้จักชีวิตที่แท้จริง  ตื่นแล้วซึ่งชีวิต ไม่หลงงมงายในโลกนี้อีกแล้ว  เข้าใจชีวิต ยึดกุมชีวิตให้ถูกทางและนำพาไปให้สว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักชีวิตที่แท้จริงแล้วว่า ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่มืดมามืดไป  แต่มืดมาแล้วต้องสว่างไปให้ได้  เมื่อเกิดเป็นคนแล้วต้องพยายามเป็นพุทธะที่ดีให้จงได้ เมื่อเคยเอาแต่แสวงหาเพื่อตนเองแล้วตอนนี้ต้องตื่นแล้ว ต้องรู้จักช่วยคนบ้าง คือการเปิดคุณค่าของตัวเองให้โลกได้ประจักษ์ว่า เราศิษย์น้องของศิษย์พี่ก็เป็นคนดีในสังคมได้เหมือนกัน จะเป็นพุทธะที่องอาจได้ไม่แพ้กัน ใช่ไหม (ใช่)  จงทำให้ได้ แล้วพุทธะน้อยๆ ก็จะมีเต็มสังคม  ไม่ใช่มารน้อยๆ เต็มไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“น่าดูตามจับมาไม่หมด  น่าฟังอดฟังไม่โศกเศร้า”  ฉะนั้นต้องรู้จักแล้วว่าอะไรน่าดู  แม้จะจับไม่ได้หมดก็ปลงได้ วางได้ เข้าใจแล้วอย่าโลภเกินไป มองมากๆ เมื่อยแสบตา เหมือนดูทีวีทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยเห็นมีคนไหนมานั่งดูพุทธะ  เช้าก็ดู กลางคืนก็ดู เห็นทีวีก็ดูตลอด ดูแล้วนำไปสอนชีวิตไหม ดูแล้วก็ขำ เวลาดูแล้วเราต้องนำกลับมาดูในชีวิตเราด้วยว่า เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นแบบพ่อแม่ที่ทำให้ต้องเสียใจไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นเวลาปลาถูกเชือด วัวถูกฆ่า น่าสงสาร ดูแล้วน้ำตาไหล แล้วก็กลับไปกินต่อ ดูทำไมจริงหรือเปล่า (จริง)  มันเจ็บน่าสงสาร แต่อร่อยเหลือเกินต้องไปกินเนื้อย่าง ต้องไปกินหมูปิ้ง  ดูทำไมศิษย์น้อง  วันนี้มีบุญเขายังไม่มาทำร้าย แต่ต่อไปทำกับใครไว้จงจำไว้ศิษย์น้อง ผลย่อมกลับ อย่าได้สร้างกรรม จงรู้จักสร้างบุญ  วันนี้ผลยังไม่เห็น แต่ต่อไปผลเห็นตอนที่ไม่มีร่างกาย เจ็บหนักยิ่งกว่า  ตอนนี้ยังมีชีวิตมีร่างกาย มีโอกาสให้แก้ไขความผิดพลาดจงรีบแก้ อย่าได้สะสมสิ่งผิดไว้  ถ้าหมดชีวิตศิษย์น้องร้องขอพุทธะ วิงวอนพุทธะก็ช่วยไม่ได้  เพราะตอนศิษย์น้องมีชีวิตรู้ว่าผิด ทำไมไม่รีบแก้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงสำนึกไว้อะไรไม่ดีจงอย่าทำ  เพราะเมื่อไหร่หมดชีวิตไปแล้ว ร้องขอใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้ทำร้ายเบียดเบียนใคร  สังเกตไหมว่า เวลาเราพูดอะไรนั้น ถ้าสังเกตให้ดีจะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเองมาก ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเวลาศิษย์น้องจะพูดอะไรต้องดูด้วยว่า เมื่อพูดไปแล้วมีความเป็นตัวของตัวเองสูงหรือเปล่า เมื่อแสดงความคิดเห็นออกไปแล้ว มีความเป็นขอบเขตของตัวเองมากหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  นี่เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเวลาคุยกับเขา ทำไมคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเราก็มีแบบของเรา เขาก็มีแบบของเขา  ฉะนั้นเวลาจะพูดอะไร พยายามคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนว่า พูดแล้วเป็นกลางหรือเปล่า
คนที่มาไม่ครบไม่ให้ลูกอมดีกว่า ให้ดีไหม  มาให้ครบได้ไหม  จะพยายามแค่ตอบว่า จะพยายามศิษย์พี่ก็ให้แล้ว  เพราะศิษย์พี่ก็รู้ว่า บางคนมีธุระ  แต่ธุระบางครั้ง ลองคิดให้ดีนะว่า เพื่อธรรมะแล้วยอมบ้างไม่ได้หรือ ใช่หรือไม่  หมดเวลาศิษย์พี่แล้ว
กลอนนี้ขอให้ดูให้ดีๆ ว่ายังมีความหมายอะไรแฝงอยู่ข้างใน  แต่ความหมายรวมคงไม่สามารถพูดได้หมดวันนี้แน่  แต่ก็อยากบอกให้รู้ไว้ว่า เมื่อได้ไปแล้วจงเอาไปอ่านให้ดีๆ อย่ามองแค่ผ่านๆ จงพิศทีละคำ  ในความหมายแต่ละคำที่ศิษย์พี่ให้นั้นล้วนนำไปสอนใจได้ ธรรมะไม่ใช่มีอะไรอย่างที่ศิษย์น้องคิด ยังมีอะไรมากมายกว่าที่ศิษย์น้องคิดนึกถึงอีก  จงศึกษาให้ดีและตั้งใจบำเพ็ญให้ดี  จงตั้งใจบำเพ็ญให้มั่นคง อย่าหวั่นไหว อย่ายอมแพ้กับอุปสรรค  เป็นคนดีจะไม่กลัวอะไรกับความชั่วร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนฉลาดฉลาดจริงมักแกล้งโง่ มิอวดโอ้ทำเป็นเก่งทำเป็นรู้
ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งทำเป็นรู้ พินิจดูศิษย์รักอยากเป็นคนไหน
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนหลังจากวันนี้จะบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า
ในวันนี้มาพบศิษย์ด้วยคิดถึง ใจเป็นหนึ่งกันหรือยังศิษย์ทั้งหลาย
การบำเพ็ญต้องลงแรงเสมอต้นปลาย ไม่งมงายติดรูปลักษณ์ยากบำเพ็ญ
จิตใจดีมองไปทางไหนก็งามดี ความตระหนี่จงให้ทานออกมาให้เห็น
จะแก้ไขทุกผู้ทุกนามไม่เว้น ใจโอนเอนก็แก้ด้วยจิตนิ่งพอ
ศิษย์ทุกคนคือสายธารในใจข้า หวังมุ่งหน้าศิษย์ก็อย่ามัวแต่ท้อ
ทำสิ่งใดก็อย่าเอาแต่รีรอ กรรมใดก่อย่อมตกผลในสักวัน
จงรักใคร่กลมเกลียวทางตันกลาย ทางราบรื่นงามดุจทางสู่สวรรค์
ขอศรัทธามีเมตตาเฝ้าแบ่งปัน และผลักดันตนเองไม่ลืมตน
ในวันนี้ออกแรงนิดผลศุกล ธรรมแยบยลงอกงามสู่ทุกแห่งหน
รอสักวันศิษย์ข้าคืนเบื้องบน อย่าอับจนอยู่บนแดนโลกีย์
ขอศิษย์ข้าเลือกทำสิ่งดีเถิด คนประเสริฐเพราะความดีดั่งฉะนี้
บำเพ็ญธรรมผ่านไปนานหลายปี ขจัดร้ายสะสมดีในเร็ววัน
ฮา ฮา หยุด


สายธารไหลรวมเป็นหนึ่ง  เข้าถึงเห็นความสำคัญ  ฟากฟ้านั้นดาวล้อมจันทร์ชวนมอง  หลายคนร่วมงานกันยาก  มากคนมิพ้นปรองดอง  บำเพ็ญยึดตามสายทองพร้อมหน้า
* อยู่ไปอย่างไร้ความหวัง  จริงจังความทุกข์จึงเสียน้ำตา  รุดหน้าแล้วกลัวอะไร  สายลมซ่อนแรงมามอบ  ปลอบขวัญผองคนท้อใจ  ใจคือพลังขุมเดียวรู้ตื่น  (ซ้ำ * )
เพลง : สายธาร
ทำนองเพลง : สายทิพย์


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พ่อแม่ให้กำเนิดมาเป็นเรื่องยากลำบาก เราเกิดมาได้เป็นมนุษย์จนมีโอกาสได้รับธรรมะก็ถือว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์พินิจพิจารณาชีวิตของตัวเองให้ดีๆ ว่าชีวิตของเราที่ผ่านมา เราทำให้ชีวิตของเรามีค่าถึงที่สุดหรือยัง ไหนใครคิดว่าทำให้ชีวิตของตัวเองมีค่าจนถึงที่สุดแล้ว แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมใช่หรือเปล่า ศิษย์ใช้กรรมแล้วศิษย์ไม่คิดจะสร้างบุญ มีชีวิตเพื่อใช้กรรมเท่านั้นเองหรือ แค่ชดใช้กรรมก็เหมือนก้มหน้ารับกรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนคนที่ไม่กล้าฮึดขึ้นสู้เลยใช่หรือไม่ แต่ชีวิตของเรามีความหมายมากกว่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกให้ต่อให้ไม่อยากใช้กรรมก็ต้องใช้ กรรมอย่างไรก็ต้องใช้ เหมือนเราติดหนี้เขามาต้องใช้หรือไม่ (ต้อง)  ตอนนี้ต่อให้เราไม่เป็นฝ่ายเอาเงินไปให้เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็มาทวงเราหรือเปล่า ฉะนั้นใช้กรรมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้อยู่แล้ว แต่ว่าจุดมุ่งหมายปณิธานในชีวิตของเรานั้นชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร เกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อทำให้ดีที่สุด, หาความสงบ)  หาอย่างไร ความสงบ (มีจิตใจที่สะอาดและเผื่อแผ่)  ใช่หรือเปล่า แน่ใจไหมตอบมาและเจอหรือยัง (เจอบ้าง)  แสดงว่าความสงบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจะพยายามต่อไปไหม ความสงบหาได้ที่ภายในตัวเอง ไม่สามารถหาได้จากภายนอก การทำความดีทำให้จิตใจสงบลง สงบลงแค่ไหน (บางส่วน)  และบางส่วนที่เหลือ (ภายในภาคหน้า)  และไม่คิดว่าจุดหมายที่กว้างไกลก็เจออยู่แล้วหรือ (ยังไม่ถึง)
ชีวิตของคนก็เหมือนกับสิ่งของสิ่งหนึ่งที่คับแคบ ขวดน้ำขวดหนึ่งที่บรรจุน้ำลงไป น้ำอยู่ในขวดนั้นคับแคบไหม (แคบ)  ตอนนี้เราก็จำกัดชีวิตของเราอยู่นี้ แต่หากว่าเราเปิดขวดน้ำออกมาและเทน้ำลงไป น้ำนี้กว้างไม่กว้าง จะเทออกไปหมดไม่หมด (หมด, ไม่หมด)  เผอิญขวดน้ำของศิษย์นั้นไม่ใช่แจกันของพระกวนอิม เทออกไปหมดไหม (หมด) เพราะขวดน้ำของศิษย์ไม่ใช่ขวดน้ำวิเศษ เพราะฉะนั้นเทน้ำออกไปก็ต้องหมดเป็นธรรมดาถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ว่าน้ำของเราแม้ว่าจะหมดไป แต่หากว่าหมดไปกับการรดต้นไม้ต้นหนึ่งหรือว่าเททิ้งไปให้ความชุ่มชื่นกับพื้น อย่างนั้นถือว่าน้ำขวดนี้มีคุณค่าหรือไม่ (มี)  น้ำขวดนี้ก็คือชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะหมดไปกับการทำสิ่งใดที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น แต่ถามตัวศิษย์เองว่าสิ่งนี้มีคุณค่ากับตัวเองไหม ถ้ามีถือว่าเราเกิดมานั้นใช้ได้หรือยัง ถือว่าเราเกิดมาอย่างมีคุณค่าหรือยัง (มี)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ชีวิตของเราอยู่ที่ว่าเราจะเปิดขวดน้ำของเราหรือเปล่า ศิษย์มีขวดน้ำอยู่ในมือหนึ่งขวด ขวดน้ำนี้ก็คือการที่เราสามารถเปิดจิตใจของเราออกมาช่วยคน ถ้าหากว่าเราสามารถเปิดจิตใจของเราออก ปราศจากความคับแคบที่จำกัดนี้ ถ้าสามารถทำได้ชีวิตเราก็มีคุณค่าและกว้างไกลขึ้นทันทีไม่ต้องรอภายภาคหน้าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  และคนอื่นอยู่เพื่ออะไร (สร้างบุญประกอบความดี)  ทำไมถึงเชื่อเขา (เชื่อเพราะทำบุญแล้วได้ดี)  และทำได้เยอะหรือยัง (คิดว่าต่อไปคงจะทำได้เยอะ)  ทุกคนไม่มีใครตอบอาจารย์ได้อย่างหนักแน่นเฉียบขาดเลย ทุกคนก็ตอบว่าวันหนึ่งอนาคตข้างหน้า หรือว่าอะไรสักอย่างหนึ่งที่ศิษย์นั้นยังไปไม่ถึง ส่วนวันนี้ที่ถึงแล้วมีแต่ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แล้วเราจะยอมแพ้ให้กับวันนี้ของเราไหม (ไม่ยอม)  และเราต้องทำอย่างไร อยู่เฉยๆ ต่อไปหรือเปล่า ต้องสู้ต่อไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  สู้ด้วยอะไร จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ไม่ได้)  การจับเสือมือเปล่านั้นย่อมไม่ได้ ย่อมต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่มาช่วยให้ศิษย์เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่สิ่งนั้นๆ หาได้จากภายนอกไหม (ไม่ได้)  หาไม่ได้จากภายนอก (หาได้จากภายใน)  คือหาได้จากภายในของศิษย์เอง เสือตัวนั้นก็อยู่ภายในใจของศิษย์ ปัญหาตลอดมาของคนที่จะทำความดีไม่ใช่ว่าเราไม่มีที่ให้ลงในการทำความดีของเรา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใจของเรานั้นไม่ได้ถูกฝึกฝนมาเพื่อที่จะไปทำความดีอย่างแท้จริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีก็ติดอคติบ้าง บางทีก็ติดความลำเอียงบ้าง บางทีก็ติดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะติดเลย อาจารย์พูดคร่าวๆ อย่างนี้ศิษย์คงเข้าใจดี เพราะว่าในจิตใจของเราทุกคนนั้น ศิษย์คงเป็นผู้รู้จักตัวเองดีที่สุด  ในขณะเดียวกันเมื่อเสืออยู่ในใจ อาวุธก็อยู่ในใจ อุปสรรคก็อยู่ในใจ และทำอย่างไรดี เราจึงต้องมาขัดเกลาจิตใจของเราด้วย อยากจะทำดีก็คงจะไปโทษคนอื่นว่าทำผิด เราเลยไม่ยอมทำดีไม่ได้ เห็นคนอื่นทำผิดแล้วเราบอกว่าคนนั้นทำผิดและเราก็อยากจะทำดี แต่เราเห็นคนนั้นทำผิดอยู่เราเลยไม่ทำ โทษคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่ว่าต้องมาขัดเกลาจิตใจตัวเอง มาซ่อมแซมจิตใจตัวเอง และสิ่งนี้เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม มาจับเสือในใจตัวเอง อาวุธ และอุปสรรคในใจตัวเอง เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม ฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นแม้ว่าในวันนี้มีสถานธรรม มีเรือธรรมะให้ศิษย์มารวมตัวกัน แต่การบำเพ็ญตน ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น ถ้าหากว่าเราทำได้เราก็ถือว่าเราเป็นผู้ชนะตัวเอง จับเสือในใจตัวเองได้สำเร็จ แต่หากว่าเราทำไม่ได้เป็นอย่างไร ศิษย์ยังอยู่ในเรือธรรมะลำนี้หรือไม่ ถามว่าคนที่อยู่รอบๆ นี้จับเสือในใจตัวเองได้สำเร็จหรือยัง (ยัง)  มีแต่จับได้แต่ขนหนึ่งเส้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีแต่จับได้กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครจับเสือได้ทั้งตัวเลยใช่หรือเปล่า  ยังไม่มีใครสังหารเสือได้สำเร็จเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทุกคนก็อยู่ที่นี่ และทุกคนก็เป็นศิษย์อาจารย์ ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันนั้นก็เป็นเรื่องที่ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  อยู่ที่นี่อยู่ร่วมกัน ถึงแม้ว่าการอยู่ร่วมกันนั้นอาจจะมีจุดๆ ๆ เยอะแยะไปหมดเลย แต่ว่าทุกๆ คนนั้นเป็นศิษย์อาจารย์ บำเพ็ญธรรมะใครเขาว่ายากเราบอกว่าง่าย อยู่ร่วมกันลำบากไหมเราบอกว่าไม่ลำบาก นั่นจึงเป็นการอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุขจริงๆ
มนุษย์นั้นมีวิชาสะกดจิต ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกับกำลังสะกดจิตตัวเอง การสะกดจิตอันนี้ไม่มีข้อเสียเพราะอะไร เพราะเราสะกดจิตตัวเองว่าการบำเพ็ญธรรมะไม่ลำบาก แน่นอนวันนี้การสะกดจิตคือการหลอกตัวเองอยู่ในกลายๆ แต่ในวันหนึ่งเมื่อศิษย์ผ่านอุปสรรคไปแล้ว การสะกดจิตอันนี้ก็คือวิธีการวิธีเดียวเท่านั้นเองที่ศิษย์ได้ใช้ผ่านอุปสรรคนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะใช้วิธีการอะไรผ่านอุปสรรคของตัวเองคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาถกเถียง บางทีเราก็เห็นคนอื่นทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งเราไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย แต่อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ไม่ต้องเข้าใจเขา ขอให้เขานั้นเข้าใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงเรียกร้องให้ศิษย์บำเพ็ญตัวเอง เข้าใจและรู้จักตัวเอง และทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกที่สุด โดยผ่านมโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งกลั่นกรอง กลั่นกรองให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์และเป็นคนอย่างแท้จริง หากศิษย์เปรียบเสมือนน้ำสายหนึ่ง น้ำอันนี้ก็อาจจะมีทั้งตะกอนมีทั้งตะใคร่มีหลายสิ่งหลายอย่าง แน่นอนน้ำใครก็น้ำมันใช่หรือเปล่า ต่างคนก็ต่างกรองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์มัวแต่ไปมองข้างๆ ว่าเขากรองอย่างไร ใสหรือยังแล้วของตัวเองล่ะ ของตัวเองน้ำที่หลุดการกรองไปก็เยอะแยะใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติว่ามือข้างหนึ่งของศิษย์ถือตะแกรงที่กรองน้ำ มือขวานี้สมมติว่าศิษย์เทน้ำลงไปในนี้ แล้วตาของศิษย์ไปมองว่าเพื่อนของศิษย์กรองดีหรือยัง ของตัวเองหลุดไปหรือยัง (หลุดไปแล้ว)  เรามั่นใจว่าไม่หลุดแล้วคนข้างๆ เห็นว่าหลุดหรือไม่หลุด (หลุด)  แต่ว่าเราเห็นตัวเองไหม (ไม่เห็น) เห็นแต่ของคนอื่น วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็บำเพ็ญเป็นอย่างนี้เห็นคนอื่นชัดกว่าตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นตัวเองจะชัดกว่าตัวเองใช่หรือเปล่า เห็นตัวเองจะชัดมากๆ ก็ตอนเห็นตัวเองในกระจกใช่หรือไม่ (ใช่)  มีประโยชน์ไหมทำอย่างไรดี (มองตัวเองก่อนที่จะมองคนอื่น)  สมมติว่าศิษย์เห็นคนคนนี้ทำตัวได้ยอดเยี่ยม สมมติว่าตอนนี้เขายืนตรงอยู่เฉยๆ แต่ภายในจิตใจของเขากำลังกรองน้ำของตัวเองอยู่ ถ้ากำลังกรองน้ำของตัวเองดีทีเดียว ศิษย์คิดว่าถ้าเขาหันมามองคนอื่นเขาก็จะเห็นไม่ชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่มองแล้วก็บอกว่าฉันดีฉันเลิศฉันประเสริฐแล้ว มองแต่ว่าฉันผิดตรงไหนแล้วฉันจะแก้ตรงไหน พอเวลาคนอื่นมองไปคนนี้เขาไม่ได้สนใจมองคนอื่นเลยนะ ศิษย์มองเขาว่าเป็นแบบอย่างที่ดีไหม (ดี)  ยืนตัวตรงเลยดีหรือเปล่า ศิษย์อยากเอาอย่างเขาไหม (อยาก)  โดยที่เขาไม่ได้ใช้ตามามองคนอื่นเลย ไม่มองใครเลยยิ่งไม่มองก็ยิ่งไม่เห็นว่าใครผิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วก็ดีกับคนทุกคนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาใช้อะไรมาสอนเรา เขาใช้ทั้งตัวและหัวใจนั้นมาสอนศิษย์ โดยที่เขาไม่ต้องขยับไปทำอะไรเลย แต่ว่าศิษย์ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ดีไหม ไม่ต้องใช้ปากพูด เพราะว่าคนเวลาพูดมากเกินไปมักจะลืมสำรวมปากของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะพูดเก่งแค่ไหนแต่หากว่าพูดแล้วไม่สำรวมคนชอบหรือไม่ชอบ (ไม่ชอบ)
การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องมองตัวเองทั้งนั้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ปกติเรามองตัวเองหรือมองคนอื่น (มองคนอื่น)  อย่าว่าแต่ในการบำเพ็ญธรรมเลยนะในบ้านเราก็เหมือนกัน ในครอบครัวเรา เพื่อนบ้านเราก็เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันอยู่บ้านติดกันก็ยังไม่วายมองกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์จะใช้สายตาออกไปมอง ในยามที่ศิษย์ต้องใช้สายตาออกไปมอง อาจารย์บอกศิษย์ยามที่เรามองคนอื่น แสดงว่าเราคิดที่จะช่วยคนอื่น ยามนั้นจึงมองเขา มองแล้วให้ช่วยจริงๆ อย่างที่ใจบอกว่าให้ช่วย ไม่ใช่ว่ามองแต่ตามืออย่าต้อง เดี๋ยวของจะเสียใช่หรือเปล่า ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดที่ไม่ดีในจิตใจของเรานั้นออกหมดแล้ว  เราอยากจะช่วยผู้อื่น ให้เราเริ่มมองคนอื่น  เมื่อใจของเรานิ่งเป็นพุทธะมากพอ  ยามนั้นต่อให้ศิษย์มองคนอื่นก็ไม่หวั่นไหว  ไม่เห็นข้อผิดของคนอื่นจนเอามานอนคิด นอนไม่หลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องวิตกว่าคนอื่นจะทำความเดือดร้อนมาให้ตนเองอย่างไร  ดังนั้นยามนั้นจึงมองผู้อื่น  มองเพื่อช่วย ฟังเพื่อช่วย  ไม่ใช่มองเพื่อที่จะติ  ไม่ใช่ฟังเพื่อจะเก็บบันทึกไว้ในใจให้เรียบร้อย  เหมือนกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอแค่ศิษย์มองมันก็บันทึกไว้ในหัวเสร็จเรียบร้อย ใช่หรือไม่  แต่บันทึกเข้าไปล้างอย่างไร  คอมพิวเตอร์เครื่องนี้หาวิธีล้างเจอไหม  คนที่บอกว่าขี้ลืมก็ขี้ลืมอยู่จริง  แต่เรื่องไม่ดีคนอื่นนี่ลืมไม่ลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คอมพิวเตอร์บันทึกเคาะๆ เข้าไปมันก็บันทึกได้  ล้างเคาะๆ เดี๋ยวมันก็ล้างให้  แต่หัวศิษย์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์จริง  มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยความจำที่ไม่สิ้นสุด  เพราะเวลาจำเข้าไปมักจะลืมยากเหลือเกิน  โดยเฉพาะความผิดของผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เรื่องที่ควรจำก็จำไม่ได้  เรื่องที่ไม่ควรจำก็จำได้หมดอย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เสร็จแล้วซิ  อย่างนี้ต้องให้อาจารย์มาล้างสมอง  กลัวไหมอาจารย์จี้กงมาล้างสมอง (ไม่กลัว)  บางคนก็กลัวเหลือเกิน  มารับธรรมะ มาปฏิบัติธรรมนั้นคือ โดนล้างสมอง  แต่จริงๆ แล้วอาจารย์คิดว่าสมองศิษย์ล้างสักหน่อยดีไหม  แต่อาจารย์ยังล้างไม่สำเร็จไม่รู้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เอามาให้ล้างสักหน่อยดีไหม ดีไม่ดี (ดี)  ทำไมพูดไม่เหมือนคนข้างนอก  โดยทั่วไปบอกว่าโดนล้างสมองไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ของอาจารย์คิดว่าล้างสมองดีไหม  ล้างไม่ดีทิ้งไปเหลือแต่ความดีกลับเข้ามา ดีหรือไม่ (ดี)  ล้างสำเร็จหรือไม่ล้าง (ล้าง)  ล้างให้สำเร็จนะ  เวลาสระผมก็คิดไปด้วย  ฉันจะสระสิ่งที่ไม่ดีออกไป  แม้ตอนนี้จะสระได้แต่ภายนอก  แต่วันหนึ่งคงสระได้ถึงข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาอาบน้ำก็คิดหน่อย  ฉันจะล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวฉัน  แต่วันนี้ล้างได้แต่ข้างนอก  สักวันหนึ่งก็คงจะล้างไปถึงข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาโดนคนอื่นทำให้เจ็บใจ  วันนี้ฉันเจ็บใจฉัน  เดี๋ยวสักครู่ฉันจะใช้ธรรมะเป็นยาสมานแผล  ใจฉันจะไม่เจ็บอีกต่อไป  เพราะว่าใจฉันนั้นสะอาดดีแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ยากไม่ยากนักเรียน  (ไม่ยาก)
“คนฉลาดฉลาดจริงมักแกล้งโง่  มิอวดโอ้ทำเป็นเก่งทำเป็นรู้”  คนฉลาดทุกคนในที่นี้เป็นคนฉลาด ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ที่นี่สงสัยจะไม่มีใครให้อวดใหญ่อวดโต  "ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งทำเป็นรู้"  ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อาจารย์บอกว่าคนฉลาดนั้นฉลาดจริงๆ มักจะทำเป็นแกล้งโง่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดยการไม่อวดเก่ง ไม่ทำเป็นรู้ไปหมดทุกเรื่อง
“ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งแล้วก็ทำเป็นรู้”  เราลองดูตัวเอง  อย่าพึ่งไปสนใจกับคำว่า “ฉลาดและโง่”  โดยปกติเราชอบอวดรู้อวดเก่ง ชอบไม่ชอบ  เราไม่ค่อยชอบ  แต่เราชอบทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เราไม่ชอบมันหรอก  แต่เราทำบ่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว  เมื่อไม่รู้ตัวก็หมายความว่า ไม่มีสติ ถูกไม่ถูก (ถูก)  เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้ในสิ่งที่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นรู้และชำนาญมากๆ นั้น  จำเป็นที่จะต้องทำเป็นโง่บ้าง  ทำเป็นโง่เพื่อให้ผู้อื่นสอนเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ทำเป็นโง่ ในความหมายของอาจารย์  อาจารย์พูดเพื่อให้ศิษย์เตือนใจตัวเองเท่านั้นเอง  เมื่อศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมาถึงสถานธรรม  ตั้งแต่วันนี้ถ้าหากใครมีความตั้งใจว่าตัวเองจะบำเพ็ญธรรม  การเข้ามาสถานธรมอย่างคนที่สนิทใจก็เป็นเรื่องที่สมควร  แม้ว่าจิตใจยังมีความไม่เข้าใจ  ยังมีความเคลือบแคลงอยู่บ้าง  แต่จำเป็นต้องขจัดทิ้งโดยเร็ววัน  เพื่อให้เป็นผลดีต่อเราเอง
พุทธระเบียบวิธีการกราบไหว้ในสถานธรรมนั้น  ถ้าหากมีโอกาสอาจารย์อยากให้ศิษย์ฝึกฝน  เพราะการที่เราฝึกฝน  การกราบพระ ไหว้พระก็เพื่อทำให้ตัวเราเป็นผู้มีระเบียบ และทำให้เราดูกลมกลืนไปกับการที่เราจะมาสถานธรรม  เมื่อเราทำอะไรไม่เป็น  เมื่อเราทำอะไรไม่ดี  การที่เราจะมาสถานธรรมนั้นเราก็จะรู้สึกผิดบ้าง  รู้สึกไม่ชำนาญ และก็เกิดความที่ไม่อยากจะเข้าใกล้  ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ทุกๆ คน เมื่อมีเวลาขอให้กราบไหว้พระ หัดทำให้ตัวเองเป็นระเบียบ  เอาระเบียบอันนี้กลับไปใช้ที่บ้าน  เอาระเบียบอันนี้กลับไปใช้ในทุกๆ ที่ ทุกๆ ย่างก้าวที่ศิษย์เดิน  คำว่า "สมาธิและปัญญา"  ศิษย์มีได้ทุกที่  ไม่จำเป็นต้องเลือกสถานที่  ไม่จำเป็นต้องเลือกเวลา  เมื่อศิษย์ทำได้ ไม่ได้เป็นผลดีต่ออาจารย์  แต่เป็นผลดีต่อศิษย์ทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นผู้ที่มีระเบียบไหม  ศิษย์ของอาจารย์อยากให้ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่สง่างามไหม (อยาก)  เราจำเป็นต้องมาฝึกฝนอย่าได้กลัวความยากลำบาก  อย่าได้กลัวพบเจอสิ่งที่แปลกใหม่  อย่าได้เกิดความท้อแท้และอิดหนาระอาใจต่อสิ่งรอบข้างที่เราเจอ  สิ่งที่ไม่ดีเมื่อเราเจอก็คิดว่า สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นจะมาเป็นตัวผลักเคลื่อนให้เราไปข้างหน้า  เมื่อเจอสิ่งที่ดีก็ให้คิดว่านั่นเป็นโชคและวาสนาของเรา  ที่มีโอกาสจะพบเจอในสิ่งที่ดีเหล่านี้  แต่โชควาสนามักมีอายุสั้นกว่าเคราะห์กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาจึงต้องรู้จักระมัดระวังตัว  วันนี้ทำในสิ่งที่ดีแล้ว  พรุ่งนี้ยังต้องทำในสิ่งที่ดีเพิ่ม  มะรืนนี้ความดีที่สร้างมาก็ขอให้เป็นความดีที่ยึดยาว  อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วันที่ศิษย์ดำรงชีวิต  แต่ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ  เพราะเมื่อทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ  การตอบแทนเมื่อบังเกิดขึ้นเมื่อไหร่  บุญและสิ่งที่ศิษย์ทำมาดีนั้นๆ ก็จะหายไปทันที เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
นักเรียนที่มาใหม่ในวันนี้  หลังจากวันนี้จะตั้งใจบำเพ็ญหรือไม่  (ตั้งใจ)  เสียงนั้นแม้จะออกมาไม่ใช่เป็นเสียงที่ดังมาก  ก็ขอให้เสียงนั้นย้อนกลับไปก้องในจิตใจของศิษย์ทุกๆ เวลา  คำว่า "บำเพ็ญธรรม"   ถ้านับตั้งแต่ศิษย์ของอาจารย์รับธรรมะ  บางคนนั้นฟังมาเป็นรอบที่พันที่หมื่นแล้ว  แต่คำว่า "บำเพ็ญธรรม"  ไม่ใช่อยู่ที่การพูด  แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังว่าเราต้องเป็นคนที่กตัญญูก็จำเป็นจะต้องทำ  ฟังว่าพี่น้องต้องปรองดองกันก็จำเป็นที่จะต้องทำ  ฟังว่าจงรักภักดีเราก็ต้องกลับไปทำ  ฟังสิ่งใดมาก็ต้องกลับไปเริ่มทำ  แม้ว่าจะทำได้นิดๆ หน่อยๆ  ไม่มากไม่มาย  แต่การที่เราจะก่อทรายสักกองหนึ่งขึ้นมา  เริ่มจากทรายเม็ดแรก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เริ่มจากทรายเม็ดที่สองและกำต่อๆ ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งเป็นกองหนึ่งขึ้นมา ถูกหรือเปล่า ไม่มีสิ่งใดเมื่อนึกให้เป็นกองก็เป็นกอง  เมื่อนึกอยากให้ภูเขาเกิดก็เกิดขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภูเขายิ่งแข็ง ยิ่งเป็นสิ่งที่หนักเท่าไหร่  ก็แสดงถึงเวลาที่ผ่านมานานเท่านั้น  การที่เราจะก่อภูเขาขึ้นมาสักลูกหนึ่งก็ต้องใช้เวลาและต้องใช้ความอดทน  ต้องใช้พลังและใช้ความสามัคคี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่  การบำเพ็ญธรรมนั้นแม้จะฟังมารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้  แต่อาจารย์เห็นวิธีการบำเพ็ญธรรมของศิษย์นั้น  แต่ละครั้งๆ เหมือนกับอะไรรู้ไหม  ลองเดา ศิษย์เอาทรายหนึ่งกำมากองไว้เป็นภูเขา  ทรายสองกำมากองไว้  ก็ดูนูนๆ ขึ้นมาจากพื้นหน่อย  กำที่สามกำที่สี่  พูนขึ้นมาเรื่อยๆ วันดีคืนดีก็ละเมอกอบทรายออกไปอีกทีละกอง  กอบทรายออกไปทีละกองๆ เสร็จแล้วภูเขาลูกนี้เหลือไม่เหลือ (ไม่เหลือ)  ทำไมถึงทำอย่างนี้  อาจารย์เห็นวิธีการบำเพ็ญธรรมของศิษย์ก็เป็นอย่างนี้  เดี๋ยวก็เอาเข้า เดี๋ยวก็เอาออก เดี๋ยวก็ชักเข้า เดี๋ยวก็ชักออก อย่างนี้ถามว่าจะได้ผลอะไรไหมในการบำเพ็ญ (ไม่ได้)  ถ้าเทียบเรื่องนี้เป็นเรื่องของการก้าวเดิน  ก็เดินไปสิบก้าว  ถอยกลับมาห้าก้าว  เดินเข้าไปอีกห้าก้าว ถอยกลับมาอีกสองก้าว  สรุปแล้วเดินหน้าหรือไม่เดิน  ดูเหมือนเดินหน้าไหม  เหมือนถอยหลังไหม (เหมือน)  ถ้าหากจากตรงนี้จนกว่าจะถึงฝั่งนิพพาน  ต้องให้ศิษย์ก้าวพันก้าว  ตอนนี้ศิษย์ก้าวไปกี่ก้าว ถึงแม้ว่าก้าวๆ ถอยๆ ชักเข้าชักออก อาจารย์ก็ยังเห็นดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็อย่าประมาทไป คนที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมนั้น แม้ว่าคนที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมเต็มตัว บางทียังทำอะไรดีน้อยกว่าคนที่ยังไม่ได้ชื่อว่าบำเพ็ญธรรมก็มี เพราะฉะนั้นจะดูถูกใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้ แม้ว่าเรายังบำเพ็ญธรรมอยู่ แต่เราก็จำเป็นที่เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน และคิดว่ามีคนที่บำเพ็ญดีกว่าเรามากมาย เพียงแต่เรามีโอกาสดีกว่า
ในปักษ์ยุคสามวาระปลายอาจารย์ได้รับบัญชาลงมาโปรดมนุษย์บนโลก เวไนยสัตว์ทั้งหลายและศิษย์ของอาจารย์ก็โชคดีที่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน อาจารย์จึงบอกว่าต่อให้ในชีวิตประจำวันของศิษย์จะเลวร้ายเท่าไหร่ ต่อให้จะต้องเจอเคราะห์ตลอดชีวิต แต่ศิษย์รู้ไว้ว่าโชคดีของศิษย์ที่ได้ยินได้ฟังธรรม แล้วศิษย์นั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการคัดเลือกสู่การบำเพ็ญธรรม อย่างน้อยก็ได้รับการร่อนดูว่าศิษย์จะแก้ไขหรือไม่ จะเป็นทรายที่ละเอียดหรือเป็นทรายที่หยาบก็แล้วแต่ตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นชะตาชีวิตของเราแม้ว่าต้องเจอทุกข์หนักตลอดชีวิตทำอะไรก็ไม่เคยสมหวัง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความหวังของศิษย์เลย แต่ก็ยังดีที่ศิษย์มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญมากมายใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  ดูสิว่าอาจารย์มาตั้งนานพูดจนคนฟังบางคนหลับไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ศิษย์ทั้งชั้นนี้ได้ผลไม้ไม่ครบเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่อาจารย์บอกให้สู้ก็คงมีเพียงเท่านี้ที่สู้เท่านั้นเองใช่ไหม ผู้หญิงมีตอบอาจารย์กี่คน (๔ คน)  คงเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพียงแต่ว่าศิษย์ต้องเป็นคนรู้จักสังเกตดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอบๆ สิ่งแวดล้อมเรามากมายไปหมดต้องเป็นคนที่รู้จักสังเกตดีๆ เราจึงจะตอบได้ แม้ว่าตัวเราเองจะเป็นคนที่ไม่สงสัยอะไรเลย แต่บางทีก็ยังต้องสังเกต  บางคนใช้ชีวิตร่าเริงสนุกสนาน วันๆ ไม่เคยเครียดกับเรื่องอะไรเลย จึงพูดจาไปเรื่อยๆ จนไปกระทบกับใครก็ไม่รู้ โดยที่ตัวเราไม่ได้สังเกตว่า ชีวิตของเราไม่เคยมีความเครียด แต่ชีวิตของคนอื่นเครียดไม่เครียด จึงต้องรู้จักระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  การระมัดระวังจะรู้ได้จากการสังเกต เพราะหากว่าไม่รู้จักสังเกตจะระมัดระวังได้ไหม (ไม่ได้)  สังเกตกับระมัดระวังอะไรมาก่อน (สังเกต)  สังเกตมาก่อนแน่ใจไหม ต้องหัดสังเกตให้มากๆ ใช่ไหม สังเกตกับการจับผิดต่างกันไหม (ต่างกัน)  และต่างกันอย่างไรล่ะ (การสังเกตคือการมองสิ่งรอบๆ ข้าง แต่การจับผิดคือการมองแต่ข้อเสียของคนอื่น)  ถูกไหม (ถูก)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมลองตอบอาจารย์หน่อยซิ หรือไม่เคยเห็นข้อผิดของใครเลย หรือว่าเห็นเองโดยไม่จับผิดเขา (การสังเกตใช้ตาในมอง แต่ถ้าจับผิดเราใช้ตาเนื้อมอง)  ฟังเข้าใจหรือเปล่า ในการสังเกตและการจับผิดนั้นย่อมมีข้อแตกต่างกันอย่างมาก หากว่าเราสังเกตเราก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่เป็นข้อดี และสิ่งที่เป็นข้อเสียไปพร้อมๆ กัน แต่หากว่าเป็นการจับผิดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่ผิดอย่างเดียว และก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับสิ่งที่ผิดเหล่านั้นได้ มีแต่การโทษคนอื่น ไม่มีการโทษตัวเอง อาจารย์สรุปง่ายๆ เป็นสิ่งที่ศิษย์เป็นอยู่ทุกวัน ไม่ได้สรุปเป็นวิชาการเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
เวลามองเขาอย่ามองว่าเขาหล่อไม่หล่อ  มองว่าเขาพูดดีหรือไม่ดี  พูดธรรมะเก่งไม่เก่ง  เพราะว่าโดยทั่วไปถ้าเป็นหนุ่มสาวสมัยนี้มองหน้ากัน  ก็มองว่าสวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ เสร็จแล้วเป็นอย่างไร  จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  วันๆ ก็ไม่คิดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรม  คิดถึงแต่เรื่องจับคู่อย่างเดียว เสร็จแล้วหัวใจก็ไม่เหลือที่ว่างให้กับการบำเพ็ญ  เหลือแต่อะไรก็ไม่รู้  กิเลสความรัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าจะบอกการให้ทานเป็นการคลายทุกข์เข็ญ ยังไม่ใช่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การให้ทานก็ไม่ทุกข์เข็ญไม่ได้  เพราะบางทีคนให้ทานเองก็มีความเดือดร้อนนิดๆ หน่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนที่ศิษย์เคยฟัง  ถ้าหากทำบุญทำทาน  ต้องไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน  แต่บางคนนิดเดียวก็ไม่ยอมเดือดร้อน  จะให้พูดว่าอย่างไร  บางทีถ้าเดือดร้อนนิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากจะไปช่วยคนที่เขาทำแก้วแตกเศษแก้วตก  เศษแก้วกราดเต็มพื้น  ตัวของศิษย์หารองเท้ามาใส่ไม่ทัน  หากว่าต้องไปช่วยเขาเก็บ  จะโดนบาดไม่โดน (โดน)  โดนบาดอยู่แล้ว  แต่เดือดร้อนนิดๆ หนอ่ยๆ จำเป็นต้องทำไหม  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่เก็บ  คนต่อไปเดินมาไม่รู้บาดไม่บาด  เพราะฉะนั้นการเดือดร้อน  บางทีก็มีเดือดร้อนนิดหน่อย เดือดร้อนมากมาย
การที่เข้ามาในสถานธรรมก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ คนที่อายุมากกว่าเราต้องเคารพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาวุโสทางธรรมเราต้องเคารพ  แต่เราเคารพอย่างไหน  เคารพอย่างเคารพออกมาจากใจและคนที่เป็นอาวุโสก็ต้องทำไมด้วย  จะบอกว่าฉันอาวุโสกว่า  ยึดเต็มที่เลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน  การที่เราจะได้สิ่งใดก่อนคนอื่น  โดยที่เราต้องได้มาจริงๆ  ก็ขอให้ศิษย์แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน  เป็นความอ่อนน้อมที่ออกมาจากจิตใจและการเคารพซึ่งกันและกัน  ก็เป็นการเคารพที่ออกมาจากจิตใจเท่านั้นเอง  ช่องว่างระหว่างศิษย์ทุกๆ คนนั้นก็จะไม่มี  เพราะว่าอาวุโสก็อ่อนน้อม  ส่วนผู้น้อยก็เคารพจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ความตระหนี่จงให้ทานออกมาให้เห็น”  บางคนนั้นเป็นคนที่ตระหนี่  แต่การให้ทานไม่ใช่ว่าไม่อยากจะทำ  อยากจะทำอยู่เสมอๆ  แต่ไม่สามารถที่จะดึงออกมาจากตัวเองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติให้ทานเงิน  คิดว่าเราจะบริจาค  แต่เงินไม่หลุดออกจากกระเป๋า  การจะลงแรง คิดอยู่เหมือนกันว่าจะลงแรง  แต่ก็กลัวเหนื่อย อย่างนี้การให้ทานจึงไม่เป็นผลสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจิตใจจะเป็นจิตใจที่ดี  แต่ว่าในด้านการกระทำนั้นไม่ดี  ฉะนั้นอาจารย์จึงสอนศิษย์ทุกๆ คนเสมอๆ ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเน้นหนักที่การปฏิบัติออกมาให้คนอื่นเห็น  ถ้าหากเราปฏิบัติในวงแคบๆ ผลตอบรับออกมา  ความดีความกว้างของจิตใจของเราก็จะมีแค่วงแคบๆ  แต่ถ้าหากว่าเราทำในที่กว้าง  ผลตอบรับนั้นก็จะออกมากว้างขวาง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำความดีต้องไม่หวังผลตอบแทน  เพราะถ้าหากหวังผลตอบแทน  จะมานั่งห่อเหี่ยวอย่างนี้ไหม  ถ้าหากหวังผลตอบแทนก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้  ก็จะย่ำอยู่กับที่
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนวงคำพระโอวาท)
“ชนะ”  หมายถึงอะไร  (ต้องชนะใจตัวเอง)  ชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า (ต้องทำให้ได้)  แม้ว่าจะวงคำว่า “ชนะ”  แต่ชีวิตต่อไปจะชนะหรือแพ้  อาจารย์ก็ไม่แน่ใจ  อาจารย์รู้แต่ว่าอนาคตกำหนดด้วยวันนี้  อยากจะกินผลไม้ก็ต้องรู้จักปลูกต้นไม้  ปลูกวันนี้วันหน้าก็ได้กิน  แต่อย่าปล่อยให้เมล็ดตัวเองกลายพันธุ์ไปก่อน  วันนี้มีใจวันนี้ลงแรง  แล้ววันนี้จะได้มีผลเกิดขึ้นวันหน้าอย่างรวดเร็ว ดีไหม
“มี”  มีอะไรดี (มีธรรมะ) มีธรรมะอาจารย์ขอให้ศิษย์มีใจและมีกำลังไปช่วยบุกเบิกแพร่งานธรรม ดีไหม (ดี)  อนาคตยังไกลแต่ถ้าหากว่าเราใช้ธรรมะควบคู่ไปในชีวิต อนาคตเราจะไกลและดีด้วย
ใบแบ่งงานมีคนที่ทำงานกันอยู่เท่านี้หรือ อาจารย์เห็นศิษย์แบ่งงานกันแต่ละครั้งต้องมีคนที่ถูกแบ่งงานไม่ถึงใช่หรือเปล่า บางคนแม้ขาดตกไปบ้างก็อย่าได้รู้สึกน้อยใจ งานนั้นมีรออยู่ แต่อยู่ที่ว่าเรานั้นเลือกงานหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราตั้งใจทำ ทำตรงไหนก็ได้ งานในสถานธรรมอาจจะมีน้อย ถ้าเทียบกับจำนวนคนทั้งหมด แต่หากว่าคนทั้งหมดแม้ว่าจะถูกแบ่งงานถึงไม่ถึง ร่วมงานพร้อมๆ กัน งานธรรมะก็จะไปไกลยิ่งกว่านี้ และก็จะมีสิ่งที่ดีมากขึ้นกว่านี้ แม้ว่าชื่อเรานั้นจะถูกลงไปหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอให้เรามีใจและมีความคิดที่จะร่วมใจกันทำงาน ทุกคนทำงานพร้อมกันยิ่งกว่าใบแบ่งงานนี้อีกดีหรือเปล่า (ดี)  แม้ว่างานจะแบ่งไม่ถึงแต่อาจารย์จะแบ่งกุศลให้นะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนที่ออกมาวงพระโอวาท) "ปัญญา" ทั้งหมดนี้คงมีศิษย์ที่ได้วงคำที่ดีที่สุด เพราะปัญญามีประโยชน์มากต่อการบำเพ็ญธรรมและอาจารย์หวังว่าศิษย์จะกลับมาบำเพ็ญธรรมในลักษณะนี้ในด้านนี้ ธรรมะที่อาจารย์อุตส่าห์นำลงมาจากฟ้า มาให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการใช้ปัญญา เดินหน้าต่อไปได้ไหม (ได้)  ขอให้เป็นแรงและกำลังให้อาจารย์ด้วยดีหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง  สายทิพย์ และเมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)  ทุกคนล้วนมีพุทธจิตธรรมญาณ แม้ว่าจะเป็นเด็กก็มีพุทธจิต แต่อาจารย์ว่ายิ่งโตพุทธจิตก็ยิ่งเลือนหายใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเด็กๆ นั้นยังใสๆ อยู่ หวังว่าศิษย์จะรักษาจิตใจเหมือนยามที่ศิษย์ยังเป็นเด็กอยู่ให้คงทนถาวร เพราะหากว่าเราโตก็แสดงว่าเรามีพลังที่สามารถออกไปทำสิ่งต่างๆ ได้มาก แต่จิตใจที่เป็นเด็กนั้นช่วยให้ศิษย์ทำงานได้ราบรื่นขึ้น ตา หู จมูก ลิ้น กายใจของเราดูแล้วเหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของอายตนะทั้ง ๖ นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้ที่จริงเราเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้ เราใช้จิตใจของเราไปรู้สึกกับอายตนะทั้งหมดนั้นมากเกินไป ในที่สุดแล้วบอกว่าเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้ เราใช้ตา หู ปากของเราและอยากเป็นนายของอายตนะทั้งหมดนี้ไหม ขอให้เรามองแต่สิ่งที่ดีๆ หูฟังแต่สิ่งที่ดีๆ ปากพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ใจก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ กินอาหารก็กินอาหารที่ดีๆ ไม่เบียดเบียนชีวิตเขา ทำได้ไหม (ได้)
"มุ่งอะไรมั่นหมายถูกครรลอง"  บางคนมักจะพูดกับตนเองเสมอว่า เรายังเป็นญาติธรรมใหม่ยังไม่รู้อะไรเลย  เป็นญาติธรรมใหม่มากี่ปีก็ยังใหม่อยู่เรื่อย  เมื่อไหร่จะเป็นญาติธรรมเก่าสักทีก็ไม่รู้  ถ้าหากศิษย์แยกแยะระหว่างญาติธรรมเก่ากับญาติธรรมใหม่ได้ออก  ศิษย์จะเข้าใจ  จริงๆ แล้วศิษย์ก็เข้าใจอยู่แล้วว่า ญาติธรรมเก่ามีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเรามีตำแหน่งทางธรรม  ยิ่งหลงไปกันใหญ่ อาจารย์อยากจะบอกว่าคนที่มีตำแหน่งในทางธรรม  โอกาสหลงก็มีสูง  งานก็หนักขึ้น  ถ้าหากว่าศิษย์ตัดใจที่หลงสิ่งเหล่านี้พ้นได้  ศิษย์อาจารย์ก็จะมีแต่ผลงาน  มีแต่กุศลเท่านั้นเอง  ยิ่งเรามีจุดเด่น มีสิ่งที่เด่นกว่าคนอื่น  ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม  เรายิ่งจำเป็นที่จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากๆ  คนอื่นยิ่งเขาสังเกต  เขาก็จะยิ่งเห็นเราอ่อนน้อมถ่อมตน  นี่แหละแบบอย่างของผู้บำเพ็ญธรรม
สถานธรรมที่นี่เป็นสถานธรรมบ้านสกุลหง  ฉะนั้นคนที่อยู่ในตระกูลนี้  ก็จำเป็นที่จะต้องมาช่วยงานกันให้มากๆ  ให้เป็นผลสัมฤทธิ์  ให้เป็นเกียรติแก่วงตระกูลให้มากๆ  แต่ถึงแม้ว่า จะเป็นสถานธรรมในครัวเรือน  แต่ในขณะเดียวกัน  ศิษย์ทุกๆ คนก็มีส่วนร่วมได้  เรือธรรมไม่ว่าจะเรือไหน ไม่ว่าจะเป็นเรือชื่ออะไร  หรือจะเป็นเรือบ้านใคร  ทุกๆ คนล้วนแต่มีจิตที่เมตตา  หวังจะให้คนขึ้นเรือธรรมมากๆ ทั้งนั้น  สถานธรรมถ้าเป็นสถานธรรมในบ้าน  แต่หากต้อนรับคนนอกมาก็คือ สถานธรรมส่วนรวม  แต่หากว่าเป็นสถานธรรมส่วนรวม  แต่หากว่าไม่สามารถช่วยคนจำนวนมากมาในลักษณะของสถานส่วนรวมได้  สถานธรรมส่วนรวมก็ไม่ต่างไปจากสถานธรรมในบ้าน  สถานธรรมนั้นไม่ต้องมีมากมาย  ศิษย์รับผิดชอบอยู่ที่ไหนก็ขอให้ทำให้ดีๆ  ศิษย์ไปไหว้พระอยู่ที่ไหน ขอให้เป็นส่วนร่วมของที่นั่นให้ดีๆ  ทุกๆ อย่างถือว่ามีส่วนร่วมในงานธรรมะเช่นเดียวกัน  มีส่วนร่วมกับงานของอาจารย์แพร่งานในยุค ๓  ของอาจารย์เช่นเดียวกัน  อาจารย์จบท้ายแล้ว  หวังว่างานธรรมะคงจะรุ่งเรือง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง สายธาร)
ทุกคนมีสายธารเป็นของตัวเอง  ทุกคนเปรียบเสมือนสายธารธารหนึ่ง  อาจารย์ให้ศิษย์เป็นสายธารในหัวใจของอาจารย์  หวังว่าสายธารที่เป็นชื่อของเพลงนี้  ก็แล้วแต่ศิษย์ว่า ศิษย์จะต่อสายธารของศิษย์ด้วยสารธารอะไร  สายธารทุกสาย อาจารย์ก็เชื่อว่า เป็นสายธารที่ดีอยู่แล้ว
“สายธารรวมกันเป็นหนึ่ง”  ความหมาย แม่น้ำนั้นไหลรวมไปที่ไหน  ทะเล ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรก็แล้วแต่ที่จะให้อะไรไหลไปสู่สิ่งนั้นได้  แสดงว่าสิ่งนั้นต้องอยู่สูงกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทะเลเป็นที่รวมของแม่น้ำทุกๆ สาย  เพราะว่าทะเลอยู่ต่ำ แม่น้ำอยู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เลือกที่จะเป็นทะเลหรือเลือกที่จะเป็นสายน้ำ  อาจารย์เปรียบทะเลเสมือนผู้อาวุโส  แม่น้ำเปรียบเสมือนผู้น้อย  คนที่เป็นอาวุโส  จึงต้องทำเป็นเหมือนอยู่ต่ำ ก็คืออ่อนน้อมถ่อมตน  แม้ว่าจะเป็นอาวุโส  ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่ำ อยู่เตี้ย คือความอ่อนน้อมถ่อมตน  ส่วนผู้น้อยทุกๆ คนเปรียบเสมือนสายธาร  สายธารนั้นจะมารวมกันได้  ก็จำเป็นจะต้องเกิดความยินยอมพร้อมใจของทุกๆ คน  เหมือนกับการบำเพ็ญธรรมในครั้งนี้  ที่อาจารย์จะเรียกศิษย์ให้บำเพ็ญ  ก็ต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สายธารรวมลงมาเป็นมหาสมุทร  ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะทำให้ศิษย์ทุกๆ คนเป็นคนที่สง่างาม  ความอ่อนน้อมถ่อมตนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่  ไม่อ่อนน้อมจนมากเกินเหตุ  จึงจะคงรักษาความสง่างามได้  เหมือนกับการพูด  คนพูดเก่งก็ไม่พูดมากจนเกินเหตุ  จึงจะไม่เป็นการไม่สำรวม  คนที่มีความกล้าหาญ  ก็ไม่กล้าจนเกินเหตุ  จะกลายเป็นคนบ้าบิ่นไป  ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เป็นคุณธรรมความดี  หลักคุณธรรม หลักสัจธรรมทั้งหลาย ก็ให้ศิษย์ดำรงอยู่ในทางสายกลาง
ที่อาจารย์บอกว่า  "ฟากฟ้านั้นดาวล้อมจันทร์ชวนมอง"  และดาวก็รอบล้อมอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าสิ่งที่เป็นความดีทั้งหลาย ดังเช่นการอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะเมื่อศิษย์เข้าถึงก็จะมองเห็นถึงความสำคัญของการอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ใช่มีมากจนเกินเหตุ เหมือนดาวที่ล้อมจันทร์นั้นน่ามองเข้าใจไหม และทุกๆ บรรทัดก็มีการตีความที่เป็นทำนองนี้ อาจารย์นั้นให้ศิษย์ไปตีความหมายเอง
จบท้ายด้วยคำว่า "ใจคือพลังขุมเดียวรู้ตื่น" จิตใจของศิษย์เหมือนขุมสมบัติทีเดียว เหมือนคลังสมบัติและคลังสมบัตินี้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดคือ ความรู้ตื่นมิใช่ความเมตตา มิใช่ความศรัทธา มิใช่สิ่งใด แต่เมื่อเราจะรู้ตื่นเราจะต้องข้ามสิ่งนี้ไป ข้ามความเมตตา และสิ่งอะไรทั้งหลายที่เป็นสิ่งที่ดีนี้ และสิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้น ข้ามพ้นไปสู่ความรู้ตื่น แต่ก่อนที่จะไปสู่ความรู้ตื่นจะต้องใช้ทั้งความเมตตาและกรุณา สัจจะมโนธรรมใช้ทุกๆ อย่างที่เป็นสิ่งที่ดีเหล่านี้กระโดดข้ามไป แต่สมบัติที่มีค่านั้นอยู่ปลายทางจิตใจของศิษย์นี้คือความรู้ตื่น สิ่งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนตั้งแต่ภายนอกเข้ามาสู่ภายใน และตั้งแต่ภายในออกมาสู่ภายนอก เรียกว่า หากว่าศิษย์ต้องทุกข์จนถึงที่สุด เมื่อศิษย์ต้องสบายถึงที่สุด แต่ในยามที่ศิษย์สบายนั้นหลงตัวเองไหม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมนุษย์ติดความสบายมากก็หลงมากใช่ไหม (ใช่)  กิเลสความรัก โลภ โกรธ หลงก็ดี สิ่งเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์รู้มาตั้งแต่ศิษย์นั้นรู้ความทีเดียว รู้ความก็รู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลส อยู่ที่ว่าเราจะตัดไม่ตัดเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราตัดแม้จะขาดบ้างไม่ขาดบ้างก็ขอให้ได้ตัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าไม่คิดจะตัดขาดไม่ขาด (ไม่ขาด)  ถ้าหากว่าไม่คิดจะตัดย่อมไม่ขาด แต่หากว่าขาดนิดขาดหน่อยไม่สมหวังดังใจก็อย่าไปร้อนรน ขอให้เราได้เริ่ม ขอให้เราได้ลงมือทำ ทำได้ดีทำได้ไม่ดีอาจารย์ก็เชื่อว่าดีกว่าไม่ทำ อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนเมื่อก้าวมาในทางธรรมก็ต้องมาด้วยจิตใจที่ศรัทธา บริสุทธิ์ มุ่งมั่นจะแก้ไขกลับตัวเป็นคนดี ให้สร้างแต่สิ่งดีชำระล้างสิ่งไม่ดี เมื่อไม่มีใครรู้ตัวเองดีเท่ากับตัวเราเอง ก็ขอให้ศิษย์แก้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้อาจารย์มาจี้ไช ไม่ต้องรอให้กรรมมาถึงหน้าจึงสำนึกได้ ในวันที่ศิษย์สำนึกได้มากที่สุดคือวันไหนรู้ไหม ในวันที่กรรมมาตามทวง วันที่อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์บางคนตกนรกไป หรือถ้าเรียกอีกทีหนึ่งก็คือวันที่สายแล้ว วันที่แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ค่อยสำนึก บางคนในโลกนี้เห็นแก่เงิน หน้าตา เห็นแก่ความสบาย เห็นแก่โชคลาภ บางคนเห็นแก่สุรานารี พาชีกีฬาบัตร เป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์พาไปนิพพาน อยู่ในโลกศิษย์ก็ต้องช่วยอาจารย์ขัดเกลาตัวเองให้ดีๆ แต่อาจารย์ถามคำหนึ่งว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วตกนรกได้ไหม (ได้)  นั่นคือคำที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เตือนใจตนเองทุกครั้งที่เราเห็นแก่ภาพมายาลวงตา เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพราะเข้าใจว่าไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราเอง
“จิตตื่นคล่องให้สี่รู้จับตาดู” สี่รู้มีอะไรบ้าง มีฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ คนอื่นรู้ สามอย่างนี้คือ ฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ ต่อให้ขาดไปสิ่งหนึ่งก็คือ คนอื่นรู้ก็ยังมีตัวเองที่รู้ ยังมีฟ้ารู้ ยังมีดินรู้ ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรจะต้องรู้จักระมัดระวัง สี่รู้ที่กล่าวมานี้อะไรที่เป็นคนที่รู้แล้วรุนแรงที่สุด (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองรู้แล้วลงโทษตัวเองยิ่งกว่าฟ้าลงโทษ ยิ่งกว่าดินลงโทษ ก็เพราะต่อให้ฟ้าดินลงโทษอย่างมากกรรมเวรก็เอาแค่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าตัวเองรู้กรรมเวรนั้นเอาศิษย์ขนาดไหน วันนี้เกิดเป็นคนเวียนว่ายตายเกิด เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ วันนี้เกิดเป็นคน เกิดเป็นชายเป็นหญิง วันหน้าเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ ให้คนเขาฆ่า ให้เขาเชือดสมควรหรือไม่สมควร ต่อให้ศิษย์มีอาจารย์ดี แต่แล้วเป็นอย่างไร ครูสอนก็ได้แค่สอน คนทำก็อยู่ที่ตัวเอง ข้อสอบยื่นไปถ้าหากคนทำไม่ทำก็เท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงบอกว่า หากศิษย์อยากตื่นอย่างคล่องๆ จิตตื่นรู้อย่างคล่องๆ ต้องทำอย่างไร ให้สำนึกไว้เสมอว่าเวลาเราทำผิด ทำชั่ว ไม่ได้มีแค่ตัวเราเองรู้คนเดียว ยังมีฟ้ารู้ดินรู้และคนอื่นรู้ ร้ายแรงที่สุดก็คือตัวเองรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาทครั้งนี้อาจารย์จึงให้คำว่า “มีสติยั้งคิด” ศิษย์ของอาจารย์ใช้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ศิษย์มีสติยั้งคิดหรือไม่ บางทีโมโหไปแล้วค่อยมาคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าจะโมโหเลย บางทีไปขโมยเงินเขามาแล้วค่อยคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าจะขโมย บางทีไปทำผิดมาแล้วค่อยมาคิดว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าทำผิด แต่คนที่ทำไปด้วยความไม่รู้นั้นยังพอที่จะให้อภัย แสดงว่าพอต่อไปเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่บางคนนั้นทำไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิดแต่ศิษย์ก็ยังทำ คนอย่างนี้ศิษย์คิดว่าจะมีคนให้อภัยไหม (ไม่มี)  แล้วฟ้าดินอภัยให้หรือเปล่า อาจารย์เตือนศิษย์ไว้คำเดียว อะไรที่เราทำ อะไรที่เราก่อสิ่งนั้นเราต้องรับเอง ไม่อยากจะทุกข์ไปกว่านี้ต้องสร้างเหตุแห่งความสุขให้มากๆ ไม่อยากจะเวียนว่ายตายเกิดก็จงสร้างเหตุแห่งการหลุดพ้น ทำได้ไหม (ได้)  ยามใดที่เขาแก้ไขได้ยามนั้นคนทั่วหล้าจะสรรเสริญ แต่อย่าคิดว่าใครเขาจะสรรเสริญเราอย่างรวดเร็ว เราแก้ทันทีแล้วจะให้เขาสรรเสริญทันทีนั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องรอให้คนเขาแน่ใจว่าเราแก้ไขแล้วเขาจึงสรรเสริญเราได้เป็นเหตุเป็นผลไหม หวังว่าโอวาทนี้กลับไปแล้วศิษย์ของอาจารย์ทำได้ทุกคน เพราะคำว่ามีสตินั้นได้ยินกันมานานรู้กันมามากมาย แต่คนที่ทำได้มีอยู่น้อยนิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ทำผิดก็คือไม่มีสติ ทำผิดเมื่อไรก็คือไม่มีสติ แล้ววันหนึ่งๆ ทำผิดไปกี่หน ศิษย์ของอาจารย์ขาดสติไปกี่หน ศิษย์คงต้องตอบเอง
อาจารย์มักจะกลัวที่ศิษย์ของอาจารย์จะเปลี่ยนใจจากการบำเพ็ญธรรมเพราะว่าเมื่อศิษย์เปลี่ยนใจครั้งนี้ทั้งเราศิษย์และอาจารย์ก็เดินคนละทาง อาจารย์เดินทางพุทธะก็อยากให้ศิษย์เดินทางพุทธะ เดินทางอื่นๆ นอกจากทางพุทธะจะหลุดพ้นได้ไหม เดินทางอื่นนอกเหนือจากนี้ศิษย์ก็น่าสงสารแล้ว ทำจิตใจให้มั่นคง ทำจิตใจให้เข้มแข็ง หากเราไม่ผิดอีกนานเท่าไรก็ไม่ผิด หากเขาไม่ถูกจะช้าหรือเร็วศิษย์ก็คือไม่ถูก
รักษาตัวให้ดีๆ ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์ทุกคนก็เหมือนหน้าตาของอาจารย์อย่าท้อแท้เหนื่อยอ่อนต่อการบำเพ็ญของตัวเอง วันหลังค่อยเจอกันใหม่



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “มีสติ ยั้งคิด”

บำเพ็ญกายบำเพ็ญใจไว้คู่ธรรม ชนะกรรมด้วยสำนึกอันจริงแท้
มีสติกับปัญหาหลายมุมแล ค่อยค่อยแก้หรือรอไม่ได้ปัญญาตรอง
รู้เท่าทันใครไม่เท่าทันตน ดุจสายชลรินไหลไปตามร่อง
มุ่งอะไรมั่นหมายถูกครรลอง จิตตื่นคล่องให้สี่รู้จับตาดู

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา