วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2543

2543-06-10 พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีธรรมราช


PDF 2543-06-10-ฉือเหยริน #12.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ยืมกายปลอมบำเพ็ญใจเดิมแท้ คนแน่วแน่จึงสามารถจะเดินถึง
อย่ายอมแพ้ต่อกิเลสที่คอยดึง ให้คำนึงการฝึกฝนใจกายตน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

วนเวียนว่ายทะเลโศกมาแสนนาน ทรมานจะสิ้นสุดด้วยหลุดพ้น
ต้องบำเพ็ญจริงจังรู้จักตน คืนเบื้องบนด้วยกุศลอันสมบูรณ์
ศึกษาธรรมย่อมแจ้งที่ใจเอง คนที่เก่งอาจคืนฟ้านั้นไม่ได้
เพราะจิตใจปิดแคบอันตราย เพราะวุ่นวายเสาะหาไม่เคยพอ
สองวันนี้ประชุมธรรมงานยิ่งใหญ่ สะเทือนไปทั่วสามภพอย่าทำเฉย
ศึกษาแล้วต้องปฏิบัติอย่าละเลย ความชินเคยขจัดสิ้นงามนอกใน
อย่าสงสัยให้จิตใจของเราขุ่น จิตมีดุลนำศรัทธามาส่งเสริม
หลังเข้าใจให้ไปเร่งริเริ่ม เป็นดั่งเดิมเฉื่อยชายากพ้นคืน
ธรรมดาเมื่อมีสุขย่อมมีทุกข์ ท่านจะลุกจากความฝันครั้งนี้ไหม
อัปปมัญญา๑เรียนรู้เพื่อแก้ไข เป็นคนใหม่ไยต้องรออีกหลายปี
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้เคร่งครัด
ในบัดนี้ฟ้าส่งทางสายลัด จงเร่งจัดความคิดกระทำให้สมดุล
ทำความดีไม่หวังผลมาตอบแทน ศึกษาแก่นแห่งธรรมะอย่าหัวหมุน
ในจิตใจใสสะอาดมาเป็นทุน หมั่นเกื้อกูลซึ่งกันยากพ่ายไป
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องสละได้
สองวันนี้ไม่นานจนเกินไป จงตั้งใจให้สมที่ตนมีบุญ
ขอให้รู้นั่งอย่างพระประธาน แม้นไม่นานจิตก็แจ้งขึ้นมาได้
ใช้ธรรมะเหล่ากิเลสอ่อนแรงไป เดินทางไกลต้องจริงใจใช้ปัญญา
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ

การบำเพ็ญธรรมะจริงไม่ไกลตัว ดุจตีเหล็กพันพัวไม่ห่างแท่น
พึ่งจมูกผู้อื่นหายใจแทน ต้องขาดแคลนไม่ต่างย่ำอยู่กับที่
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานชั่วคราว แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

จิตเดิมแท้ที่ตื่นจากนิทรา ดุจช่วงเวลาอาทิตย์ขึ้นมาใหม่
แสงกำจาย ปราศจากร้ายให้หวั่นไหว รุ่งเรืองเริ่มดีแก้ไขใหม่ดู
สว่างฟ้าส่องหล้าเกิดรูปนาม อย่างไรก็ตามสุดห้ามอนิจจังอยู่
เกิดแล้วยากปฏิเสธดับควบคู่ ฝ่าปัญหาทุกชะตารู้สติกำหนด
มโนธรรมอัสดงเรื่องลาภจูงใจคน เศร้าอดทนอันยศและเสื่อมยศ
ฐานะเทียมกันสรรเสริญยิ่งจะลด ยึดสุขมั่นคงแปรหมดไห้ทรมาน
ธรรมดำรงไม่ไปยึดใดลำพอง บางอย่างเหนือเหนือสมองคาดแข่งขัน
แม้ขยันประสงค์ไม่ยึดผลงาน บำเพ็ญตั้งใจโลกทางผ่านเพียงชั่วคราว
ตามกันนั้นสายทองครองเหมาะสม อย่ามองข้ามเส้นผมบังภูเขา
จิตตรงสู่ปัญญาหนักกลายเบา กรรมหลายเท่าหากผิดยังกระทำ
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ

คนที่คิดว่าเราแน่แล้วก็ยังโดนหลอกได้ แต่จริงๆ แล้วคนที่เก่งแล้วแน่แล้ว บอกว่าตัวเองฉลาด บางครั้งก็มีจุดอ่อนข้อบกพร่อง มนุษย์เราพอพูดถึงคำว่า “ทรัพย์สินเงินทอง” จิตใจเราก็มีความอยากได้ มีความไขว้เขว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบอกว่าให้ไปหนึ่งร้อยแล้วได้หนึ่งล้านเอาไหม (เอา)  แม้ฉลาดอย่างไรก็ต้องโง่ ใช่ไหม ทั้งที่รู้ว่าหนึ่งร้อยแลกหนึ่งล้านไม่ได้ แต่พอเขาโน้มน้าวเหตุผลจูงใจพูดแล้วน่าฟังก็เชื่อเขา เพราะความโลภในตัวของเรา นี่คือจุดอ่อนของมนุษย์ เหมือนกันหากมนุษย์เรามีความรัก แม้มีคนบอกว่าเขาไม่ดีอย่างโน้นเขาไม่ดีอย่างนี้ แต่เมื่อเรารักเขาแล้ว ก็เชื่อเขาหมด ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้หมดเลย นั่นก็แปลว่าเพราะเขาเอาสิ่งหนึ่งมาลวงหลอกเราจึงทำให้เราไขว้เขวและลืมใช้ความฉลาด ฉะนั้นวันนี้เราจะมาคุยกับท่านโดยที่ให้ท่านรู้จักนำสติปัญญาที่ท่านมีอยู่นั้นลองใช้คิดทบทวนพิจารณาดูว่า เราได้เอาอะไรมาลวงหลอกท่าน เราได้เอาอะไรมาทำให้ท่านไขว้เขวจนกลายเป็นคนโง่แล้วถูกเราหลอกไหม หากว่าทำแบบนั้น เรายอมรับว่าเราคือผู้หลอก แต่ถ้าหากว่าตั้งแต่เราพูดจนกระทั่งตอนนี้จนถึงเรากลับไม่มีอะไรที่ลวงหลอกท่าน ไม่มีอะไรที่โป้ปดท่าน หรือทำให้ท่านไขว้เขวห่างจากปัญญาและสติ นั่นก็แปลว่าเราไม่ได้ลวงหลอก แต่ถ้าเกิดว่าเรายิ่งพูดแล้ว ท่านยิ่งรู้จักได้ใช้สติปัญญาพิจารณา นั่นก็แปลว่าเราไม่ได้ดึงความฉลาดของท่าน และก็พิสูจน์ได้ว่าเราหลอกหรือไม่หลอกใช่ไหม อย่างนั้นก็อย่าพึ่งกลัวเลยนะ
“การบำเพ็ญธรรมะจริงไม่ไกลตัว ดุจตีเหล็กพันพัวไม่ห่างแท่น”
วันนี้ท่านมาศึกษาเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นคนดีของสังคม และบำเพ็ญตนเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมีจิตใจที่ดีงามเมื่อยามดำรงชีวิต การบำเพ็ญธรรมะต้องลงแรงที่กายลงแรงที่จิตใจ เฉกเช่นการตีเหล็ก จะตีที่ไหนล่ะให้ได้เหล็กที่ดี ก็ต้องตีที่เหล็กใช่หรือไม่ จะฝนที่ไหนล่ะถึงจะได้เหล็กที่คม หรือเป็นดาบเป็นอาวุธตามที่เราต้องการ ก็ต้องฝนที่หินลับที่ทู่ทื่อ การบำเพ็ญตนจะเป็นคนที่ดีได้นั้นจะฝึกฝนได้ที่ไหน ก็ต้องฝึกฝนที่ความยากลำบาก หาใช่ความสะดวกสบายไม่ คนที่จะเป็นคนแกร่งเป็นคนดีของสังคมที่แท้จริง ไม่ใช่มีความสุขสบาย ไม่ใช่เอาแต่สบายนอนนิ่งเฉยๆ เช่นนี้ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมคือผู้ที่พร้อมฝึกตน เคี่ยวกรำตนท่ามกลางความยากลำบากนานา แม้คนไม่ดีก็พร้อมจะฝึกตนท่ามกลางสภาวะที่ไม่ดีด้วย นั่นก็คือลงแรงที่จิตใจและลงแรงโดยไม่เลือกสภาวะแวดล้อม
“พึ่งจมูกผู้อื่นหายใจแทน”  บำเพ็ญธรรมะเอาแต่ฟังผู้อื่นพูดเรื่องธรรมะ เอาแต่ฟังผู้อื่นหยิบยกหลักธรรมะมาให้เรานั้น บางครั้งการเริ่มต้นควรมีแบบนี้ แต่เมื่อเราได้เรียนรู้แล้ว เราต้องรู้จักที่จะพึ่งจมูกตัวเองหายใจด้วย ธรรมะที่ดีไม่ใช่อยู่แค่เพียงคัมภีร์ การเป็นคนบำเพ็ญตน หรือการจะเป็นคนดีนั้น ไม่ใช่ความดีอยู่ที่กระดาษ หรืออยู่ที่หนังสือ แต่ต้องอยู่ที่จิตใจและการลงแรงปฏิบัติ  จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่เรียนรู้ความดีแล้ว เรียนรู้การบำเพ็ญตนแล้ว และพร้อมที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วย
ตอนนี้เริ่มจะเปิดใจกันบ้างหรือยัง (เปิดแล้ว)  แต่ยังเปิดได้ไม่เต็มที่ใช่ไหม เปิดแล้วก็ปิด ปิดแล้วก็เปิดด้วยความหวาดกลัวและหวาดระแวงสงสัย ชั้นนี้เป็นชั้นที่นั่งเรียนกันด้วยความเรียบร้อย รู้สึกว่าตัวเองหวนกลับเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งไหม (เป็น)  จากที่ไม่เคยได้นั่งเรียนมาก่อนก็ต้องมานั่งเรียน แต่วิชานี้เป็นวิชาธรรมะ เป็นวิชาที่เอาไว้สอนชีวิตเอาไว้สอนความเป็นคน เป็นคนที่มีธรรมใช่หรือเปล่า  แล้วมีธรรมแบบไหนล่ะ ก็มีธรรมแบบที่สามารถเอาไปใช้แล้วเป็นพุทธะ เอาไปใช้แล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้บนแดนโลก ดูเหมือนจะเหลือเชื่อ ดูเหมือนจะไม่น่าจะเป็นจริง แต่อย่าลืมว่าพุทธะทุกพระองค์ล้วนสำเร็จได้เมื่อมีกายเป็นคน พุทธะล้วนสำเร็จได้ท่ามกลางความยากลำบาก ไม่มีพุทธะองค์ไหนสำเร็จได้โดยที่ไม่มีสิ่งใดน่าให้เคารพกราบไหว้ ล้วนต้องมีสิ่งที่ลำบากเป็นบทเรียนให้น่าเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้นเมื่อท่านหุบพัด และนั่งลงเมื่อท่านกางพัด)
ย่อมมีหลายคนที่มองไม่เห็นว่ากางหรือหุบพัด แต่ถ้าตั้งสติตั้งใจให้นิ่งๆ ก็จะได้ยินเสียงท่ามกลางความเงียบ เรารู้สึกว่าตั้งแต่ที่เรามีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับพุทธะที่เริ่มฝึกฝนจะเป็นพุทธะในแดนโลก ทุกคนต่างรักความสนุกสนาน ความเงียบสงบในการนิ่งเฉย ทุกคนรู้สึกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ถ้าเกิดคนที่เคยเผชิญโลกมา จะรู้ว่าความเงียบสงบในโลกนี้ก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากในชีวิตปัจจุบันของมนุษย์ พอมีโอกาสเรามักจะไม่หาความสงบ เมื่อเราว่างเราไม่ดูทีวีก็ฟังเพลง ไม่ฟังเพลงก็ออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ เราจึงไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงของการได้นั่งนิ่งๆ สงบหวนนึกรำลึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย แต่หลายต่อหลายคนมักจะทิ้งเรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
บางคนมักจะพูดว่าพอมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับ มีเรื่องมาผูกมัด จิตใจเรารู้สึกไม่อิสระ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า กฎเกณฑ์ข้อบังคับหรือสิ่งผูกมัด บางครั้งก็อาจจะเป็นเกราะป้องกันภัย ไม่ให้เราเดินไปในทางที่เลวร้ายก็เป็นได้ บางครั้งกฎเกณฑ์และข้อบังคับ หรือพูดกันง่ายๆ คุณธรรมบางครั้งก็อาจจะเป็นพรหรือพลังอันประเสริฐที่จะทำให้เราสามารถมีเรี่ยวแรงมีชีวิตที่รู้จักดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข มองโลกในแง่ดีบ้างก็เป็นได้ แล้วนอกจากนั้นหากท่านได้ศึกษาธรรมะ หรือหากท่านมีศีลธรรมประจำใจรู้จักหมั่นใช้ รู้จักหมั่นฝึกฝน ท่านจะรู้ว่าคุณธรรมและศีลธรรมนั้นนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันภัย เป็นพรและพลังอันประเสริฐ ยังเป็นเข็มทิศที่ช่วยทำให้มนุษย์นั้นเดินไม่หลงทาง และยังเป็นแสงสว่างแห่งปัญญา แม้ท่ามกลางโลกที่มืดมิดทำให้เรามองเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรจริงอะไรเท็จ นี่คือคุณค่าแห่งคุณธรรมที่มนุษย์พึงได้ใช้ แต่เพราะเหตุใดล่ะมนุษย์เรามักละเลยทอดทิ้ง หากเรามองง่ายๆ เด็กเมื่อยามมีชีวิตก็ยังไม่รู้จักว่าอะไรคือกฎเกณฑ์ อะไรเรียกว่าถูก อะไรเรียกว่าไม่ถูก อะไรเรียกว่าเหมาะสม อะไรเรียกว่าไม่เหมาะสม อะไรเดินไปแล้วปลอดภัย เดินไปทางนี้เดินไปทางไหน เด็กไม่รู้ แต่ตัวเรานั้นเมื่อยามมีชีวิตเราจะบอกว่าเราไม่รู้เหมือนเด็กได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้แล้ว แล้วเราจะขอให้ทุกๆ คนให้อภัยที่เราไม่รู้ได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนไม่ได้ บางคนไม่ให้อภัย เพราะเรื่องราวในโลกนี้บางครั้งสายน้ำไหลแล้วไม่หวนกลับ โอกาสบางครั้งมีชีวิตมีแค่หนเดียว ผิดแล้วโตแล้วจะบอกว่าเราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ บางครั้งไม่มีใครให้อภัยจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นยิ่งเราเติบโตเรายิ่งประมาทไม่ได้ ยิ่งเรามีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เรายิ่งไม่ควรละเลยในเรื่องผิด ชอบ ชั่ว ดี สักเรื่องหนึ่ง มีแต่ตนเองที่ให้อภัยกับตัวเอง แต่ผู้อื่นบางครั้งครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ครั้งเดียวเราก็เจ็บแล้ว ฉะนั้นมนุษย์เราเกิดเป็นคนย่อมต้องไม่ลืมเรื่องคุณธรรมและศีลธรรม หากเมื่อไรที่เราลืมเรื่องคุณธรรมและศีลธรรมตอนนั้นย่อมน่ากลัว ตอนนั้นย่อมเป็นอันตราย เพราะอะไรคุณธรรม และศีลธรรมจึงมีความสำคัญกับชีวิตเช่นนี้ ก็เพราะว่าหากเราพลาดก้าวเดียว แม้จะเคยดีมาสิบครั้งพอพลาดทำผิดหนึ่งครั้งคนก็ว่าเราร้าย แต่ตรงกันข้าม หากเราร้ายมาสิบหนแม้เราดีได้หนึ่งหนคนจะว่าเราดีไหม ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ฉะนั้นความน่ากลัวของการไม่มีคุณธรรมไม่มีศีลธรรมจึงเป็นเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ คนเราเวลาคาดโทษหรือคาดชีวิตคนๆ หนึ่งแค่หนึ่งครั้งที่เขาเห็น เขาก็มองเราตั้งแต่ต้นจนจบ ฉะนั้นคนเราจึงไม่ควรที่จะละเลยเรื่องคุณธรรมและศีลธรรม ไม่เช่นนั้นแล้วความดีแม้สิบหนก็อาจพังทลายได้ด้วยความประมาทหรือไม่ดีหนึ่งหน คนชั่วทำผิดสิบหนก็ไม่มีวันดีได้เลย เพราะว่าใจเราไม่เคยให้อภัยเขาแม้สักครั้งเดียว ผู้บำเพ็ญธรรมทุกขณะจิตจึงไม่ประมาท ทุกขณะชีวิตจึงไม่ละเลยเรื่องคุณธรรมและศีลธรรม เพราะว่าชีวิตพลาดไปแล้ว ผิดไปแล้ว คนนั้นมักจะแก้ตัวได้ยาก เหมือนตัวท่านเองหากวันนี้เรามาทำอะไรให้ท่านผิดนิดหนึ่ง ท่านก็คงไม่อยากมองหน้าเรา หากทุกคนคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์แต่ถ้าทำอะไรไม่ศักดิ์สิทธิ์นิดหนึ่ง ท่านก็ว่าไม่ใช่แล้ว นี่คือความน่ากลัวของคน แต่ถ้าเกิดเป็นผู้บำเพ็ญธรรม หรือปราชญ์ที่อยู่ในสังคมนี้จะมองกลับกัน แม้เขาชั่วสิบหนแต่มีสักครั้งหนึ่งที่ดีได้เขาก็ยอมเอาดีนั้นแหละล้างชั่วทั้งหมดนี่คือใจที่เปิดกว้าง นี่คือใจที่รู้จักฝึกฝนความเมตตา แต่ส่วนคนที่ดีสิบหนพลาดไปหนึ่งหนเป็นอย่างไร สำหรับคนที่เป็นผู้บำเพ็ญ หนึ่งก็คือยอม แม้จะถูกชี้หน้าเหยียดหยาม ถูกชี้หน้าประนามว่าก็ยอมรับ ใจต้องละอาย ใจต้องสำนึก หากคนเราแม้ดีสิบครั้งพลาดหนึ่งครั้งแต่ขาดละอาย ขาดสำนึก ก็เป็นคนไม่ได้จริงไหม (จริง)  เพราะคนเราจริงๆ แล้วอย่าพูดว่าไม่มีความสำนึก ไม่มีความละอาย ถามว่าใจท่านลึกๆ มีไหม (มี)  แม้จะแอบซ่อนเร้น โกหกคนอื่นได้ แต่ลึกๆ ก็กลัวบาป แต่บางครั้งถ้าทำบ่อยๆ  บาปนั้นก็ทำให้สำนึกหายละอายไม่มี ฉะนั้นหากโดนเขาว่าแล้วใจละอาย หากโดนเขาเหยียดหยามแล้วใจสำนึก นั่นแหละแปลว่าท่านยังดีอยู่ แต่ถ้าเกิดว่าท่านดีสิบหนโดนเขาว่าหนึ่งหนไม่ละอาย ไม่สำนึก นั่นแหละหลงตัวเองว่าดี เพราะว่าเกิดเป็นคนหากขาดซึ่งหิริโอตัปปะคนนั้นยากเป็นคน หากไม่รู้จักละอาย แม้อยู่ต่อหน้าพระยังทำผิดคนนั้นก็น่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่มีความสำนึกคนนั้นก็อกตัญญูยิ่งนัก แม้ต่อหน้าเพื่อนยังโกหกได้คนนั้นก็ขาดซื่อสัตย์ยิ่งนัก แล้วเราเผลอมีบ้างไหม (มี)  เพราะว่าเราลืมละอาย เพราะตอนนั้นผิดแล้วไม่มีคนเห็น ไม่มีใครรู้ จึงไม่สำนึก ผิดแล้วโทษไม่เห็นทันทีจึงไม่เกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ แล้วไยต้องให้โทษเห็นทันทีแล้วจึงเกรงล่ะ เมื่อไรที่โทษยังไม่เห็นทันทีแปลว่าความดีของท่านยังค้ำจุนอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรทำผิดแล้วมีโทษทันทีนั่นแหละดีท่านไม่เหลือแล้ว อย่างนั้นแปลว่าตอนนี้ที่แล้วๆ มาเคยผิดพลาดไปยังมีลมหายใจอยู่ก็แปลว่าความดียังค้ำจุนชีวิตอยู่ แต่คนที่ทำผิดครั้งเดียวแล้วดับดิ้นไปเลยนั้นแปลว่าความดีเขาหรือบุญเขาหมดแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าวันใดบุญจะหมด วันใดดีจะหมด ฉะนั้นรีบทำดี รีบนึกถึงคุณธรรม ศีลธรรมขอให้มีไว้ ศีลห้ามีอยู่ห้าข้อเอง ทำไมทำกันยากเหลือเกิน ลืมไปหรือยังศีลห้ามีอะไรบ้าง (๑. ห้ามฆ่าสัตว์ ๒. ห้ามลักทรัพย์ ๓. ห้ามผิดลูกเมีย ๔. ห้ามพูดปด ๕. ห้ามดื่มสุราเมรัย) แล้วคุณธรรมของความเป็นคนมีอะไรบ้าง (มีความกตัญญู,รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน) ทุกคนต่างมีหน้าที่มากมายมีอะไรบ้าง เป็นบุตร บางครั้งเติบโตแล้วเป็นผู้ใหญ่ บางท่านมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต้องเป็นผู้นำของครอบครัว ต้องเป็นผู้นำของกลุ่มสังคม ต้องเป็นผู้นำของตนเอง ฉะนั้นหากชีวิตไม่สามารถนำตัวเองได้เราจะไปนำใครได้ หากเกิดเป็นคนเรายังเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ แล้วเราจะเรียกให้ลูกสมบูรณ์แบบได้หรือ ฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าพื้นฐานของความเป็นคนที่สมบูรณ์แบบนอกจากกตัญญู รับผิดชอบต่อหน้าที่แล้ว ต่อเพื่อนเรายังต้องรู้จักซื่อสัตย์และจริงใจ  ต่อผู้อาวุโสเราต้องรู้จักเคารพนอบน้อม ต่อเด็กต้องรู้จักเมตตาเอ็นดู แปลว่าสิ่งนี้ทุกท่านต่างรู้อยู่ในใจ แต่อยู่ที่ว่าได้เคยลงมือปฏิบัติไหม ตอนนั้นเวลาอยู่กับใครได้มีจิตสำนึกถึงคุณธรรมบ้างหรือเปล่า เมื่ออยู่กับพ่อแม่จิตสำนึกแห่งคุณธรรมเรื่องความกตัญญูต้องคอยมีไว้ เมื่อทำงานจิตสำนึกแห่งคุณธรรมเรื่องรับผิดชอบต่อหน้าที่ซื่อสัตย์ไม่บกพร่องต้องมีไว้ เมื่อคุยกับเพื่อนจิตสำนึกแห่งความจริงใจซื่อตรงไม่บิดเบือนบางครั้งต้องมีไว้ แต่เกิดเป็นคนนั้นก็มีคำพูดว่า “ตาเถรเดินตรง” มักจะเป็นเช่นไร บอกตาเถรว่าให้เดินตรงไปเรื่อยๆ นะ พอเจอต้นมะพร้าวเป็นอย่างไรก็ชนไม่ยอมหลบ ทุกท่านบางครั้งก็เหมือนกันบางทีเรามุ่งมั่นว่าจะเป็นคนดี มุ่งมั่นจะมีความดีในจิตใจ แต่ความมุ่งมั่นนั้นบางทีก็ทำให้เรานั้นยึดแล้วก็เดินตรงจนไม่รู้จักยืดหยุ่นและพลิกแพลง ทำให้เวลาเดินไปจนถึงเจอปัญหาปุ๊บ จึงล้มตึงแล้วก็ทิ้งทันที นั่นคิดอย่างตาเถร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันต้องเป็นคนดี พอเขาไม่ดีตอบก็เลยรับไม่ได้ เราทำดีให้เขาแล้วเขาว่าเราตอบ เรากลับดีแตก ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราจริงใจซื่อสัตย์กับเขาแล้วทำไมเขายังหลอกเราอยู่วันยังค่ำ ไม่ยอมซื่อสัตย์จริงใจสักที เราเลยเลิกซื่อสัตย์ พอเรารู้ว่าเขาโกง ความดีเราก็เลยแตกทันทีเลย จิตใจที่เคยมุ่งมั่นก็กลายเป็นไขว้เขวและสั่นคลอน แล้วก็บอกว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า ทำดีแล้วไม่ได้ดีแล้วจะบำเพ็ญไปทำไม ในเมื่อเป็นอย่างนี้เราต้องมองให้ดีๆ  ถ้าทำดีแล้วได้รับผลทันที ท่านคงมีกำลังใจทำดีไม่น้อย คงไม่ยอมแพ้ความชั่วร้าย หรือความไม่ดี ความลวงหลอกของคนในโลกนี้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนตอบคำถาม)
ยินดีกับทุกท่านที่ทำแล้วได้ผล บางครั้งโอกาสถ้ารอช้าก็โดนแซงไปแล้ว ในโลกนี้คนเราไวได้เป็นอย่างไร ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บำเพ็ญธรรมะแล้วบางครั้งต้องช้าหน่อยให้คนอื่นบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วบำเพ็ญธรรมะแล้วมีคุณธรรมในจิตใจแล้ว ไวได้เป็นไว แย่งได้เป็นแย่ง อย่างนี้ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรม
วิถีแห่งฟ้าทำไมถึงมั่นคงและยืนนาน หากเรามองดู เราจะเห็นว่าเมื่อขึ้นจนถึงระดับสูงสุดก็ตกลงมาต่ำ เมื่อตกลงมาต่ำก็กลับขึ้นไปใหม่ วิถีแห่งฟ้าก็คือ สรรค์สร้างสืบต่ออย่างไม่ขาดตอน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ วิถีแห่งฟ้าก็อยู่ในตัวเรานั่นคือ หายใจเข้า หายใจออก จึงเรียกว่า “ชีวิต” หายใจเข้าไม่หายใจออก จึงเรียกว่า “ไร้ชีวิต” การดำเนินสิ่งใดก็เหมือนกัน หากเราจะทำให้สิ่งนั้นยั่งยืนและยืนนาน เมื่อเดินไปจนถึงสุด เราต้องไม่ลืมว่า บางครั้งอาจจะมีตกอับบ้าง บางครั้งอาจจะมีพ่ายแพ้และล้มเหลวบ้าง แต่เมื่อล้มเหลวตกอับ เราต้องพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ นี่คือวิถีแห่งฟ้าที่เราไม่ควรจะมองข้าม
หากเราบำเพ็ญธรรม ไม่ว่าเราบำเพ็ญธรรมหรือทำงานอะไรก็ตาม เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าจิตใจเรามุ่งมั่นจะเดินไปให้ถึง แต่บางครั้งความมุ่งมั่นและปรารถนานั้น ยิ่งมุ่งมั่นสูงสุด บางครั้งพอถึงระดับหนึ่ง ทำไมยิ่งร่อยหรอ ทำไมยิ่งหมดแรง เราต้องไม่ลืมที่จะเติมความมุ่งมั่นให้สูงขึ้นอีกมาใหม่ เมื่อเราสามารถทำได้เช่นนี้ ไม่ว่าจะทำงานอะไรหรือบำเพ็ญตนหรือมุ่งมั่นจะทำสิ่งใด คนนั้นย่อมลิ้มรสความสำเร็จได้ คนนั้นย่อมเดินไปถึงจุดหมาย ขอให้ไม่ลืมว่าฟ้านั้น หายใจเข้าย่อมมีหายใจออก มีได้ย่อมมีเสีย มีความแน่นอนย่อมมีความไม่แน่นอน มีเรื่องจริงก็ย่อมมีเรื่องไม่จริง ฉะนั้นทุกขณะที่เราก้าวเดิน ทุกขณะที่มีชีวิตเราจึงต้องไม่ลืมว่าเมื่อมีชีวิตอย่าได้ละเลยเรื่องเสี่ยงในการดับชีวิต เมื่อเรามีชีวิตอย่าได้ละเลยหรือทอดทิ้งเรื่องความดับของตัวตน เพราะหากเราดำเนินชีวิตอย่างประมาท เรานั่นแหละอาจจะเป็นผู้ที่ทำลายชีวิตให้สั้นลงก่อนที่จะถึงกำหนดก็เป็นได้ บางครั้งช่วงที่เราแสวงหาลาภยศ ชื่อเสียง หากเราแสวงหาโดยไม่คำนึงถึงความล้มเหลว ความผิดพลาด เรานั่นแหละอาจจะทำให้ตัวเราไม่สามารถเดินถึงความสำเร็จก็เป็นได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนเมื่อเดินหน้าต้องไม่ลืมรู้จักหยุดและถอยหลังเป็น เมื่อรู้จักแสวงหาจึงต้องไม่ลืมที่จะรู้จักหยุดพักบ้าง อิสระเป็น เมื่อบางครั้งเงินทองเป็นนายของเรา บางครั้งเราก็ต้องทำตัวให้เป็นนายของเงินทองบ้าง อย่าให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาครอบคลุมจิตใจของเราจนลืมมองความเป็นจริงและด้านกลับกันของชีวิต ไม่เช่นนั้นแล้วเรานั่นแหละจะเป็นผู้ที่ตัดความเป็นจริงแล้วพลิกกลับสู่ด้านตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนชายคนหนึ่งคิดว่าจะเดินทางข้ามแม่น้ำไป แต่ช่วงที่เขาเดินทางไปนั้น เขาเห็นทองในน้ำ พอเขาเห็นทองในน้ำ เขารีบดำลงไป แต่ยิ่งดำเท่าไร ทองที่เห็นก็ยังไม่ถึง หากช่วงนั้นใจเขานึกถึงแต่ทอง เขาย่อมลืมจุดมุ่งหมายเดิม การนึกถึงทองแล้วรู้ว่าเอื้อมไม่ถึง การเอื้อมไม่ถึงนั้นอาจจะทำให้เขายากที่จะไปถึงจุดหมายเดิมได้ และอาจจะต้องตายคาที่ในแม่น้ำก็เป็นได้ ฉะนั้นมนุษย์เราเมื่อตั้งใจหรือมุ่งมั่นจะกระทำสิ่งใดก็ตาม แม้ภาวะจะเปลี่ยนเป็นขาวหรือดำ มืดหรือสว่าง ดีหรือร้าย เราจึงต้องไม่ลืมจิตใจเดิมแท้หรือความมุ่งมั่นอันเดิมแท้ หากช่วงที่เราแสวงหาทำให้เราต้องลืมใจอันเดิมแท้ ทอดทิ้งตัวตนของตนเอง ฉะนั้นอย่าหาเลย หากหาแล้วทำลายตนเอง หากหาแล้วลืมจุดหมายของตัวเองเช่นนี้บั่นทอนชีวิตเปล่า ๆ ทำลายตัวเองเปล่า ๆ
ฉะนั้นเกิดเป็นคนเราจึงต้องไม่ลืมจิตเดิมแท้ของตัวตน ทุกคนต่างมีจิตเดิมแท้อันดีงามบริสุทธิ์ แต่เพราะอะไร เพราะเราอยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากไปทางโน้นอยากไปทางนี้จนทำให้เราทอดทิ้งใจที่เคยดีงาม ยอมทิ้งใจดีงามไปแปดเปื้อนกับความสกปรกของสังคม ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักหวนกลับมามองแล้วล้างใจเดิมแท้ให้กลับคืนความสะอาด ชะล้างได้อย่างไร ชะล้างด้วยคุณธรรมและศีลธรรม เมื่อไรที่เราดำเนินชีวิต เรารู้จักมีชีวิตและรู้จักมีธรรมประจำใจ รู้จักมีมโนธรรมย้ำเตือนจิตใจ รู้จักมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป สิ่งนั้นจะช่วยให้เรายิ่งมีชีวิต จิตใจยิ่งค้นพบความบริสุทธิ์ จิตใจยิ่งงดงามผ่องแผ้วเหมือนเพชรที่อยู่ในตม วันหนึ่งเมื่อล้างตมแล้ว เพชรย่อมส่องแสงประกายงดงาม จิตใจของมนุษย์ก็เฉกเช่นกันอยู่ในกายเนื้อที่หยาบกระด้าง แต่ถ้าเมื่อไรเราหวนดูด้วยสติและปัญญา หวนด้วยคุณธรรม เมื่อนั้นเราจะพบว่าท่ามกลางความหยาบกระด้างมีความบริสุทธิ์งดงามแฝงอยู่ในจิตใจ ใช่ไหม (ใช่) มีทั้งหยาบ มีทั้งละเอียดแล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถทิ้งหยาบให้เหลือแต่ละเอียด ทิ้งสกปรกให้เหลือแต่บริสุทธิ์ใส เพราะฉะนั้นหากชีวิตจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าเรารู้จักใช้สติปัญญา ชีวิตนี้แม้จะถูกชะตาฟ้ากำหนดมาแล้ว เราก็สามารถกำไว้ในมือได้ เราก็สามารถทำให้ดีเหนือดีได้ หรือดีจนไม่เหลือดีได้ อยู่ที่สติปัญญาของเราและคุณธรรมในใจนี้ ฉะนั้นขออย่าได้ดูเบาตัวเอง ทุก ๆ ท่านสามารถค้นพบความยิ่งใหญ่ในตัวตนได้ แต่ยิ่งใหญ่แบบไหน ฉลาดแบบไหน บ่อยครั้งที่ความฉลาดของมนุษย์ยิ่งฉลาดกลับยิ่งถูกใช้ใช่ไหม (ใช่) ยิ่งฉลาดเท่าใดยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้นและยิ่งฉลาดมีความเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งห่างไกลธรรมใช่ไหม มีใครบ้างที่ฉลาดแล้วมีธรรม บางครั้งฉลาดแล้วลืมคุณธรรมนิดหนึ่งก็ทำให้ฉ้อฉล เจ้าเล่ห์เพทุบาย เมื่อเจ้าเล่ห์เพทุบายก็ไม่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญธรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหนทางของการบำเพ็ญธรรม บางครั้งแม้จะรู้ก็ต้องบอกว่าไม่รู้ แม้ฉลาดก็ต้องถ่อมตนว่ายังโง่เขลา เมื่อเราโง่เขลา ความวุ่นวายก็น้อยลง เมื่อเราไม่รู้ความยุ่งยากในชีวิตก็เบาลง จริงไหม (จริง) เมื่อบอกว่ารู้เราก็อยากวิ่งไป อันโน้นเราก็รู้ ด้านโน้นเราก็รู้ยิ่งรู้มากยิ่งเหนื่อยมาก บางครั้งก็บอกว่าไม่รู้ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือ รู้จักยืดหยุ่น พลิกแพลง ไม่ใช่เจ้าเล่ห์เพทุบายใช่หรือไม่ (ใช่) อันนี้ไม่ใช่สอนให้เจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่ใช่เป็นคนปากอย่างใจอย่าง ไม่ใช่อย่างนั้น บางครั้งเราจะเห็นได้ว่า ต้นไม้ยิ่งมีคุณค่ายิ่งถูกตัดและทำลาย ต้นไม้ที่ไร้คุณค่ากลับยืนยงนับพันปี ฉะนั้นเกิดเป็นคน เราจึงต้องรักษาสมดุลแห่งความรู้และไม่รู้ให้อยู่ตรงกลาง เมื่อไรที่เราสามารถรักษาตรงกลาง ย่อมมีอิสระที่จะเดินซ้ายหรือเดินขวา แต่หากทำตัวเป็นผู้รู้ จะมาเดินแบบคนไม่รู้ได้ก็เสียเกียรติ หากไปทางรู้แล้วเกิดผิดพลาดก็อับอาย ฉะนั้นบำเพ็ญตนจึงไม่ลืมยืนให้ได้ตรงกลาง รักษาความสมดุลของชีวิต แล้วเราก็จะเป็นคนที่มีชีวิตได้อิสระและเป็นสุข รู้อะไรควร อะไรไม่ควร อย่าบอกว่าตัวเองเป็นคนใจบุญ บางครั้งพอเป็นคนใจบุญ ลูกขอเกินเลย เราเป็นอย่างไร เราไม่ให้ โดนเขาด่าว่าแม่ไม่เห็นใจบุญเลย บางครั้งเราบอกว่าแม่ไปศึกษาปฏิบัติธรรมนะ แต่พอปากพลั้งว่าหน่อยเป็นอย่างไร โดนลูกว่าแม่ไปปฏิบัติธรรมทำไมปากยังไวอยู่จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรม รู้จักงำประกายไม่สำแดงเดช ก็คือ รู้จักถ่อมตน กำลังฝึกฝนอยู่ กำลังจะพยายามเป็นคนดีอยู่ ไม่บอกว่าดีแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) พอดีแล้วโดนคนว่าไม่ดีก็เป็นทุกข์ ยากจะมีอิสระกับสิ่งที่ตัวเองมีได้ ฉะนั้นเมื่อมีจึงต้องไม่ลืมคำว่าไม่มีด้วยจึงจะสามารถรักษาชีวิตได้อย่างสมดุลในโลกที่มีทั้งด้านมืดและสว่าง
“มโนธรรมอัสดงเรื่องลาภจูงใจคน” เข้าใจวรรคนี้ไหม มโนธรรมก็คือ คุณธรรมที่อยู่ในจิตใจ อัสดงก็คือ เวลาที่พระอาทิตย์ตก หากจิตใจของเรารู้สึกตก รู้สึกไม่อยากดี เราจึงต้องรู้ด้วยตัวเอง เมื่อรู้แล้วรีบประคับประคองอย่าให้ตกต่ำจนเกินไป มิฉะนั้นความดีที่สะสมมาก็จะพลันหายไปสิ้นจะสืบเนื่องอย่างไรก็อย่างที่เราบอก จะต้องรักษาความดีกับความไม่ดีนี้ให้สมดุล อย่าปล่อยให้ใจเอียงไปด้านไม่ดี กลายเป็นคนที่ไม่มีดีเลยแล้วก็อย่าปล่อยใจหลงระเริงไปกับดีจนลืมเผลอใจหลงตัวเองกลายเป็นคนที่ไม่ดีไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรักษาสมดุลของความเป็นคน ถ้าเรามาหน้าบึ้งๆ ไม่ยิ้มเลย ท่านก็ไม่อยากคุยกับเรา ใบหน้าก็เป็นส่วนสำคัญนะ หากตึงเกินหย่อนเกินเป็นอย่างไร ไม่มีใครมอง ยิ้มแย้มจนเกินไปเขาก็ว่าบ้า เราต้องระวังหน่อยนะ จับหน้าไว้อย่ายิ้มเกิน เครียดเกินไม่ยิ้มเลยเป็นอย่างไร เห็นหน้าท่านเราก็อดยิ้มไม่ได้นะ ทำให้เราเครียดได้ไม่ถึงครึ่งวินาที เครียดเกินไม่ยิ้มเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครเข้าใกล้ แต่คนเราก็แปลกถ้าเกิดเมตตาปรานีจนเกินไป เขาก็ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านต้องรักษาสมดุลเองอย่าไปโทษเขา ถ้าท่านรักษาถึงคราวเคารพ ท่านไม่ทำให้น่าเคารพใครล่ะจะเคารพ ถึงคราวสนุกสนานท่านไม่ยอมยิ้มแย้มแจ่มใส ใครล่ะจะชิดใกล้จริงหรือเปล่า (จริง)  นี่แหละยากนักชีวิตมนุษย์ใช่ไหม (ใช่)  แต่ยากๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่ง่ายเลยใช่ไหม (ใช่)  ยากก่อนแล้วจึงง่ายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราผ่านความยากได้คนก็ย่อมเคารพ แต่ถ้าท่านผ่านง่ายๆ ใครล่ะจะเคารพจริงไหม (จริง)  บำเพ็ญธรรมเราขอบอกไว้อย่างหนึ่ง เรื่องยากเป็นเรื่องที่ต้องเจอ เมื่อยามบำเพ็ญปฏิบัติธรรมเรื่องทุกข์ก็ต้องเจอ แต่ถ้าเมื่อใดฝ่าทุกข์ได้ เมื่อใดเอาชนะทุกข์ได้ด้วยทางออกที่ดีงามและงดงามไม่กระทบกระเทือนใคร ไม่ทำร้ายใคร เมื่อนั้นแหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญที่น่าเคารพ
บางครั้งความสุขที่คิดว่าเราอยู่ยั่งยืนนาน บางทีก็ไม่นานใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอกว่ารักษาสมดุลแห่งสุขและทุกข์ เมื่อใดที่มีสุขอย่าลืมเรื่องความทุกข์ที่อาจจะมากล้ำกรายในจิตใจก็เป็นได้ เมื่อใดที่ต้องทุกข์ก็อย่าได้เศร้าจนเกินไป ความทุกข์นั้นอาจจะนำพาให้พบกับความสุขในเร็ววันก็เป็นได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนก็อย่าลืมรักษาสมดุลของชีวิต เมื่อเวลาจะแสวงหาก็ไม่ลืมเรื่องผิดหวังไว้บ้างใช่หรือไม่ พูดง่ายๆ ภาษาปาก เผื่อใจไว้ผิดหวังบ้างใช่ไหม (ใช่)  เตรียมใจให้พร้อมรับทุกสถานการณ์แล้วเราก็จะไม่ต้องทุกข์เกินกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะเรารู้จักชีวิตยิ่งขึ้น
บางครั้งเวลามีคนฐานะดีกว่าเรา เราก็รู้สึกว่าเราสรรเสริญยกย่องเขา แต่เวลาเราฐานะเท่าเทียมกับเขาคำสรรเสริญคำยกย่องกลับกลายเป็นเปรียบเทียบและเปรียบเปรยกระทบกระทั่งในโลกนี้บางครั้งเขาได้ดีกว่า เรารู้สึกยกย่องชมเชย แต่พอเขาอยู่ระดับเดียวกับเรา คำยกย่องของเขาก็กลายเป็นเปรียบเทียบ คนเราเอาแน่นอนไม่ได้  แต่เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราต่างจากคนในสังคม เราย่อมต้องรู้ว่าแม้เขาจะเปรียบเทียบตอนเราต่ำกว่า หรือตอนเราดีกว่าเขาจะยกย่อง แต่พอระดับเดียวกับเรา เขามาเปรียบเทียบกระทบกระทั่ง เราต้องรู้จักทำใจและปล่อยวางบ้าง อย่ายึดติดกับตำแหน่งจนเกินไป อย่ายึดติดกับสิ่งที่มีจนเกินไป ไม่เช่นนั้นสิ่งที่มีจะทำให้เราทุกข์ ฉะนั้นเราต้องพร้อม บางคนอาจเคยได้ บางคนอาจเคยเสีย บางคนเขาอาจจะอยู่ต่ำกว่าเรา แต่ไม่แน่เมื่อไรเขาเท่าเทียมกับเรา เราก็ต้องยอมรับ อย่าได้อิจฉาริษยา หรืออย่าได้ถีบตัวเองให้มากขึ้น ให้เหนือกว่าเขา เอาชนะเขา
เกิดเป็นคนอยู่ในโลกหากเอาแต่ชนะผู้อื่น ย่อมยากที่จะพบความชนะอย่างแท้จริง ผู้ที่แพ้ต่อผู้อื่น คือผู้ที่สามารถชนะใจตนเอง ผู้ที่ยอมแพ้ต่อผู้อื่น คือผู้ที่สามารถชนะใจตนเองได้ เราย้ำถึงสองครั้ง เพราะว่ามนุษย์ในสังคมนี้ แพ้คนอื่นไม่ได้ แพ้ตัวเองไม่เป็นไร เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ตัวเองมีไม่เป็นไร คนอื่นมีไม่ได้อย่างนี้ไม่ถูก เรื่องราวในโลกนี้เขามีเราก็มี เขาไม่มี เขามีไม่เป็นไร ไม่ใช่มีเราไม่มีไม่ได้
ทุกขณะจิตทุกขณะเหตุการณ์ของชีวิต ที่มนุษย์เราทุกคนต้องพบเจอ บางครั้งเราก็ยากจะคาดเดา ยากจะแก้ไขได้ ฉะนั้นขอให้รับรู้อย่างหนึ่งว่า เรื่องราวในโลกหากรวมกันง่ายๆ ก็มีอยู่สองเรื่อง คือเรื่องที่เราสามารถจัดการได้ และเรื่องที่เราไม่สามารถจะจัดการได้ เมื่อไรที่เราใช้สติ ปัญญา กำลังเต็มที่แล้ว จัดการไม่ได้ก็จงปล่อยวางเสีย และทำใจเปิดกว้างอย่าไปดันทุรัง อย่าไปยื้อยุดเช่นนั้นจะทุกข์เปล่าๆ แต่ต้องใช้สายตาแห่งคุณธรรมมองให้ออก ถ้าเกิดท่านมองไม่ออกแม้วันนี้จะได้ฟังสิ่งที่เราพูดไป พอไปเจอเข้ากับตัวเองก็สะดุดล้มเอาง่ายๆ ฉะนั้นตัวเราต้องตามเท่าทันจิตใจ ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจ เมื่อเราเท่าทันมีสติ มีปัญญา และระลึกถึงคุณธรรม เมื่อนั้นความผิดพลาดยากจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไรเผลอสติ ปัญญาไม่มี คุณธรรมเลือนหาย เมื่อนั้นอันตรายย่อมมีทุกผู้ทุกนาม ฉะนั้นอย่าเผลอเพราะยิ่งเผลอก็ยิ่งผิด เมื่อผิดหนึ่งครั้งก็ยากที่จะแก้ได้แล้ว ฉะนั้นคนสองคน เรายกตัวอย่างง่ายๆ คนที่หนึ่งทุกขณะจิตแม้เป็นความดีเล็กหรือใหญ่ก็ทำ ยิ่งทุกๆ วันไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ไม่เกี่ยงงอนที่จะทำ ทำทุกๆ ครั้งที่เจอ ทำทุกขณะจิตที่มีโอกาสทำ แม้เล็กๆ ก็รวมเป็นยิ่งใหญ่ได้ แม้เป็นความดีน้อยๆ เมื่อสะสมมากเข้าก็ย่อมเป็นที่กล่าวขวัญได้ แต่อีกคนหนึ่งความดีไม่สนใจ เรื่องเล็กก็ไม่ยอมมอง ไม่ยินดีที่จะทำ ไม่ตระหนักที่จะปฏิบัติ ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ย่อมบังเกิดได้ เหมือนรอยรั่วเล็กๆ ในจิตใจ เมื่อไรที่สะสมนานเข้า ย่อมเกิดแผลที่ใหญ่ได้ เช่นง่ายๆ เหมือนส้มลูกหนึ่ง วันนี้เราเห็นรอยตำหนินิดหนึ่งเรายังไม่กินเอาไว้ก่อน พอพรุ่งนี้มาเห็นเราจะเห็นไหมว่าตำหนินี้ใหญ่ขึ้น รู้สึกจะใหญ่ขึ้น ไม่เป็นไรเสียแค่กลีบเดียวเอาไว้ก่อน พอผ่านไปอีกสองสามวันเราลืมส้มลูกนี้ไหม (ลืม)  บางครั้งลืม แล้วถ้าเกิดมีคนหมุนส้มจากตำแหน่งที่เห็นผิดง่ายๆ เกิดหมุนไปเห็นผิดไม่เห็นแล้ว เราจะลืมส้มลูกนี้ไหม บางครั้งเราก็ลืมไปว่าส้มลูกนี้ไม่มีตำหนิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่เห็นตำหนิเราก็บอกว่าไม่เป็นไร ส้มไม่ได้มีตำหนิ แต่พอยิ่งผ่านไปเป็นจากเน่านิดหนึ่งกลายเป็นเน่าทั้งลูก จากที่ได้กินเป็นไม่ได้กิน ฉะนั้นความดีก็เฉกเช่นส้มผลนี้ หากรีรอแม้เพียงหนึ่งนาที ผิดพลาดแม้นิดหน่อยแล้วละเลย ไม่แน่ความผิดพลาดนั้นอาจจะทำลายชีวิตทั้งชีวิตก็เป็นได้ อย่าว่าเราขู่เลยนะ เพราะตอนนี้ถามท่านลึกๆ ว่ามีความเคยชินอะไรที่ไม่ดีมีไหม (มี)  มีนิสัยอะไรที่ชอบว่าคนอื่นมีไหม (มี)  นั่นคือหนึ่งแผลเล็ก มีนิสัยที่เห็นเงินทองไม่ได้ วิ่งเข้าหาเป็นไหม (เป็น)  ยังโลภอยู่ไหม (โลภ)  เห็นสาวสวยๆ อยากเดินเข้าใกล้เป็นไหม (เป็น)  แม้ตนเองจะมีแล้วเป็นไหม (เป็น) เห็นคนที่หล่อกว่าสามีเรา ดีกว่าสามีเรา จิตใจหวั่นไหวไหม (หวั่นไหว)  ไม่อย่างนั้นคงไม่ติดพระเอกในละคร บอกไม่หวั่นๆ จำได้พระเอกคนนี้หล่อ ชื่ออะไร หรือไม่ก็คงไม่ติดพระเอกลิเก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแม่ยกพ่อยกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกขณะเราอย่าได้เผลอต้องตามให้ทันต้องรู้ให้ทันมีสติให้ทันอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นจะอดกินส้มใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนที่ไม่มีวันได้ดีเลยจริงไหม ฉะนั้นขอให้จำไว้นะ
“แม้ขยันประสงค์ไม่ยึดผลงาน” เมื่อทำสิ่งใดฟ้าบอกไว้อย่างหนึ่งว่า หากสำเร็จจงมอบให้ประชา จงทำงานอยู่เบื้องหลัง แล้วจะเป็นคนที่อยู่ด้านหน้า แต่ถ้าเกิดว่าทำงานอยู่ด้านหน้า แล้วอวดตัวเองว่าอยู่ด้านหน้า ไม่มีใครเคารพจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ว่างานอะไร แม้จะเกิดจากกำลังน้ำพักแรงของตนเอง เป็นคนทำมากกว่าคนอื่น แต่ก็เมื่อสำเร็จจงมอบให้กับผู้อื่น เมื่อผิดพลาดจงยอมรับให้กับตนเอง เมื่อนั้นจะเป็นคนที่ทุกคนปรารถนาจะทำงานร่วมด้วย ไม่ใช้พอสำเร็จเราเอา พอผิดพลาดโทษคนอื่น เช่นนี้ไม่มีใครอยากทำงานด้วย และถ้าเมื่อไรที่สำเร็จแล้วรู้จักมอบให้ประชา เมื่อไรที่สำเร็จแล้วรู้จักมอบความสำเร็จเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น นั่นแหละคือจิตใจที่เมตตา ฉะนั้นขอให้ทุกท่านจงบังเกิดและจงมีให้เป็นได้นะ
“บำเพ็ญตั้งใจโลกทางผ่านเพียงชั่วคราว”  โลกนี้ก็เหมือนฉากใหญ่ๆ ฉากหนึ่ง บางคนผ่านไปได้เป็นพุทธะ บางคนผ่านไปต้องกลับไปเวียนว่ายเป็นสัตว์ทุกข์ทนทรมาน บางคนผ่านไปในโลกนี้สามารถกลับมาเกิดใหม่เป็นคนยากดีมีจน แต่หากเป็นพุทธะเมื่อผ่านในโลกนี้ขอกลับคืนขึ้นฟ้าไม่เวียนว่ายทรมานใช่หรือไม่ เราก็เหมือนกัน เราไม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านโลกนี้ ท่านแน่ใจหรือว่าจะเกิดแล้วไม่ต้องเกิดอีก จะดับแล้วไม่ต้องมาเกิดอีก ไม่มีใครเดาได้ จะดับแล้วไม่ต้องทุกข์ทรมานไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่รู้ก็คือ วันนี้ทำอย่างไร บางครั้งไม่ช้าก็เร็วก็ได้เห็น ฉะนั้นตลอดชีวิตทำอย่างไร แล้วอยากไปอย่างไร ขึ้นอยู่ขณะนี้ปัจจุบันนี้มีดีไหม ปัจจุบันนี้รู้จักเลือกทางบำเพ็ญตนหรือเปล่า รู้จักที่จะหยุดแล้วหลุดพ้นการเวียนว่ายไหม โลกนี้น่ากลัวที่ไหน (น่ากลัวที่ใจคน)  คนนั้นน่ากลัว น่ากลัวตรงที่ใจตนใช่ไหม (ใช่)  ทำไมถึงน่ากลัวล่ะ เพราะคนเราเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พอร้ายร้ายอย่างคิดไม่ถึง ฉะนั้นคุณธรรมเป็นส่วนที่ช่วยให้มนุษย์ไม่เดินผิดพลาด เป็นส่วนที่ช่วยให้มนุษย์ไม่ทำผิดโดยที่ไม่ยอมรู้ตน อย่าได้ละเลยคุณธรรมแม้หนึ่งขณะจิต ไม่เช่นนั้นแล้ว เรานั่นแหละคือผู้ที่สร้างสรรค์ชีวิตและทำลายชีวิตในขณะเดียวกันจริงหรือไม่ (จริง)
“ตามกันนั้นสายทองครองเหมาะสม อย่ามองข้ามเส้นผมบังภูเขา”
บางครั้งพอคิดจะมาบำเพ็ญธรรมอย่าได้มองธรรมะที่ตัวบุคคล แต่ให้มองธรรมที่หลักธรรมอย่าได้วัดธรรมะที่ตัวคนปฏิบัติ แต่ให้วัดธรรมที่หลักสัจธรรม ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นผู้ที่ได้กากไม่มีวันเห็นแก่น เข้าใจตรงนี้ไหม (เข้าใจ)  ถ้าอย่างนั้นเราถามอีกเรื่องหนึ่งง่ายๆ เพื่อเป็นการให้ท่านได้ลองตอบดูบ้างนะ มนุษย์เราสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความอยาก ความโลภ ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนใช่ไหม (ใช่)  บ่อยครั้งที่เราเห็นว่าพัดอันนี้สู้พัดอันโน้นไม่ได้ เสื้อผ้าชิ้นนี้สู้เสื้อผ้าที่แขวนในร้านขายไม่ได้ (ใช่ไหม)  ความปรารถนาในใจนี้สูงจนต้องรีบไปหาให้จงได้ แต่ถ้าเกิดเราสืบสาวหรือมองด้วยดวงตาแห่งธรรม เราจะพบว่ามนุษย์ที่ต้องทุกข์ มนุษย์ที่ต้องพบความผิดพลาดก็เพราะว่าความโลภ และความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะดับตัณหาแห่งความโลภและความอยากได้อย่างไร  (รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี) รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ นี่คือสิ่งที่สามารถดับตัณหาความโลภในใจตน แต่ความพอใจระดับไหนล่ะ ถ้าเราบอกระดับหนึ่งทุกคนอาจจะใช้ได้ไม่หมดใช่หรือไม่ แต่เรามีวิธีอันหนึ่งที่จะใช้แล้วได้ทุกคน คือให้ใช้จิตใจที่ราบเรียบ ไม่ปรุงแต่งมาดับตัณหาในใจตน จิตใจที่ราบเรียบ ไม่ปรุงแต่ง ไร้รูปนามและไร้ชื่อเสียง ก็คือจิตใจอันเดิมแท้ที่ไม่เคยคิดว่าต้องมี ต้องได้ ต้องร้าย ต้องเสีย เข้าใจตรงนี้ไหม นั่นก็คือจิตใจแห่งทารกเดิม จิตใจบริสุทธิ์เดิม จิตใจแห่งความบริสุทธิ์เดิมนี้จะสามารถดับตัณหา ใจที่ไร้รูป ไร้นามจะสามารถหยุดยั้งความอยาก เพราะเรามีตน เราจึงอยากมีของของตน ชื่อของตน ทำให้ตน มีเพื่อตน แต่เมื่อจิตใจนั้นไร้ชื่อ ไร้นาม ไร้การปรุงแต่งก็ไม่มีอะไรที่เพื่อตน และไม่มีอะไรที่เจ็บและทุกข์ แต่ใครล่ะจะทำได้ ก็คือท่านที่นั่งอยู่ที่นี่
บางครั้งทำไมคนเมาตกรถแล้วไม่เจ็บ เพราะเขาลืมตัวเองไปว่าตัวเองมีเนื้อและลืมละอาย ลืมไปว่าตัวเองนั้นมีหน้าตาใช่ไหม นึกจะอาเจียนก็อาเจียน นึกจะล้มลุกคลุกคลานก็ล้มไป ใช่ไหม ฉะนั้นรู้จักหยิบของเขามาใช้ ในโลกนี้บางคนเป็นครูเรา บางคนเป็นอุทาหรณ์ให้กับเรา ฉะนั้นเราต้องไม่ลืมครูและอุทาหรณ์ ถ้าเราเป็นคนที่ทอดทิ้งครูและทอดทิ้งอุทาหรณ์ คนนั้นแหละจบ ไม่มีวันก้าวหน้าและคนนั้นเป็นคนหลงตัวเอง เราขอให้ทุกท่านในที่นี้ไม่เป็นแบบนั้น ได้ไหม (ได้) ในโลกนี้มีครูหลายคน และมีอุทาหรณ์สอนใจเยอะแยะใช่ไหม ครูอาจจะหาได้น้อยแต่อุทาหรณ์หาได้เต็มไปหมดเลยจริงไหม ฉะนั้นเราคงไม่เผลอเอาอุทาหรณ์มาเป็นของตัวเองนะ ใช่ไหม อย่างนี้จะเอาตัวรอดไหม คนทั้งหลาย หากผิดยังกระทำ ฉะนั้นเมื่อจะก้าวมาบำเพ็ญธรรมแล้ว รู้อะไรดี อะไรไม่ดีแล้ว ยังเดินก้าวผิด พอผิดคนว่าเยอะใช่ไหม (ใช่) แต่เราบอกแล้ว ถ้าท่านรักษาสมดุลได้ แม้จะโดนว่าก็เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ แม้จะโดนคนชมก็ไม่หลงระเริง เพราะไม่อย่างนั้นแล้วชมแล้วย่อมมีโดนตำหนิเหมือนกัน แม้เรามีชีวิตอยู่ดูง่าย ๆ สายน้ำถ้าไหลไม่เก็บก็ย่อมเหือดแห้ง เกิดเป็นคนไม่รู้จักแสวงหาอย่างจำเป็น เอาแต่มีชีวิตอิสระย่อมเดือดร้อนวันใดก็วันหนึ่ง แต่ถ้าเกิดว่าน้ำเอาแต่เก็บไม่เคยไหลก็ย่อมเหม็นเน่า ดังนั้นเกิดเป็นคน เอาแต่เก็บไม่เคยให้ก็ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของใคร ฉะนั้นการดำรงชีวิตจงรักษาสมดุลให้ดี แล้วความงามความดีจะบังเกิด  ขอให้ท่านทำสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมด พิจารณาดูว่าเราหลอกอะไรท่านหรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าคิดแล้วพิจารณาแล้ว ได้ไตร่ตรองดูแล้วว่าไม่ได้หลอก แต่สามารถเอาไปใช้ได้ในชีวิต ขอให้เปิดใจมาฟังพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน
ผู้บำเพ็ญธรรมอย่าลืมอย่างที่เราบอก มีโอกาสซ้อมร้องเพลงให้ดี ๆ ส่วนใครที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีงาน ไม่มีหน้าที่ ต้องรีบจับได้แล้ว บำเพ็ญธรรมเพื่อมาสร้างกุศล อุทิศให้กับบรรพชนและค้ำจุนชีวิตให้งดงาม สิ่งดี ๆ ต้องรู้จักสร้างสรรค์นะ อยู่ด้วยกันเป็นธรรมดา บางคนถูกใจ บางคนไม่ถูกใจ วันนี้มาศึกษา เป็นธรรมดาบางคนดี บางคนไม่ดี แต่ให้อภัยเขา เพราะเขากำลังฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเหมือนกับท่านอยู่ หากเปิดใจกว้างยอมรับได้ โลกนี้ก็เป็นโลกที่น่าอยู่ยิ่งนัก หากจิตใจคับแคบไม่ให้อภัย แม้โลกจะกว้างใหญ่ก็ยากที่จะเดินไปไหนอย่างเป็นสุข ทุกคนคือความหวังของบรรพชน ทำดีย่อมเป็นชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล มีกุศลงดงามย่อมช่วยบรรพชนให้ขึ้นจากห้วงนรกได้  นี่คือสิ่งที่เราอยากฝากไว้และทิ้งท้าย  มีโอกาสคงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อเรื่องเล็กก็ไม่สามารถจะทนได้ มีเรื่องใหญ่ก็วุ่นวายไม่สิ้นสุด
ปัญหาเล็กปัญหาใหญ่แห่งมนุษย์ จะยากฉุดเมื่อใช้อารมณ์นำพา
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบน้อม
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

เดินเท้าเปล่าในแดนโลกตามหาศิษย์ กี่คนคิดบำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอ
ไม่กลัวต่ออุปสรรคที่พบเจอ ระวังเผลอนะศิษย์รักกิเลสแรง
ตัดรักโลภโกรธหลงเสียให้ขาด อย่าประมาทธรรมเปรียบเหมือนแสง
อย่าตกใจในสิ่งที่เร็วเปลี่ยนแปลง อย่าหน่ายแหนงการบำเพ็ญพ้นเกิดตาย
บำเพ็ญธรรมทำอย่างไรศิษย์รู้ไหม ขัดเกลาใจปฏิบัติจริงมีจุดหมาย
ต่างคนต่างบำเพ็ญเรื่องอภัย ต่างเข้าใจซึ่งกันเดินคล่องดี
กลับไปบ้านนำธรรมะกลับไปใช้ ฝ่าให้ได้ใจหดหู่ในครั้งนี้
ฟ้าหลังฝนงดงามแม้ราตรี ทำความดีอย่ารอให้สายเกินไป
มีนั้นยากเสื่อมนั้นง่ายลองพินิจ จงหมั่นคิดด้วยปัญญาอันสุกใส
วันเวลาผ่านไปแสนเร็วไว เริ่มตรงไหนสู่ปลายทางเหมือนเหมือนกัน
ฮา ฮา หยุด


สู้ต่อไปอย่าท้อแท้  ที่มิแน่อาจมีหวังคนเราไม่  อาจดีทุกอย่าง ใจกว้างเป็นตัวของตัว  พบหน้ากันอ่อนน้อมถ่อมใจ  เมื่อปราศรัยอารมณ์มิขุ่น  มิลืมตัวกับความมักคุ้น  โลกอบอุ่นควรยิ้มให้กัน  ต่างแบกความทุกข์เทียมกัน  น้อยไป  กว่ากันที่ไหนอยากให้ทุกอย่างสมใจจะต้องเสียใจในสักวัน  อย่าหวั่นไหวบำเพ็ญจิตใจหนึ่งนี้  โดยมิติดความน้อยหน้า  หนึ่งชีวิตครบถ้วนปัญญาเมตตากล้าย่อมสุขทุกวัน  เฝ้าบอกใจอย่าอ่อนล้า  ต้องแบ่งเวลาเพียรจิตนี้  ประโยชน์ย่อมเกิดทุกนาที  ที่สร้างคุณธรรม  แม้สู้แล้วยังพ่ายต่อไป  ศิษย์เอ๋ยทางยังอยู่  การแก้ไขสอนให้คนรู้  ก้าวเดินสู่แดนเดิมผึ่งผาย
ทำนองเพลง  : เพื่อน
ชื่อเพลง  : เมื่ออยู่ร่วมกัน…


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คุยกันสนุกไหม (ไม่สนุก)  ทำไมถึงไม่สนุก ไม่สนุกแล้วคุยทำไม (บางคนคุย)  โดนเขาใส่ร้ายยอมรับไหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีรูปลักษณ์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเห็นรูปก็ได้ ดีใช่ไหม เพราะฉะนั้นอาจารย์อยู่หลังห้องแล้วสอนศิษย์ไปเรื่อยๆ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ถ้ามีรูปลักษณ์แล้วเกิดการยึดติด ก็ไม่ต้องมีรูปลักษณ์ดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือคนที่สำเร็จเป็นพุทธะได้ คือคนที่บำเพ็ญจนสามารถบรรลุกลับคืนได้ เพราะฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือคนบำเพ็ญนั่นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยากเป็น)  กายเนื้อของเรานี้เรียกว่าเป็นกายขุ่น ส่วนจิตของเราเรียกว่าเป็นจิตใส ฉะนั้นเวลาที่เราทำอะไรไม่ดี ใครคอยเตือนเราอยู่เรื่อยเลย (จิตใจ)  มีจิตใจคอยเตือนเรา แต่ถ้าเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เชื่อว่าเรานั้นโกรธแล้วดูไม่งาม เราก็เลยยังโกรธอยู่ใช่หรือไม่ จะบอกว่ากายนี้เรียกว่ากายขุ่น แล้วจิตใสอันนี้คือผู้บำเพ็ญ ก็คือพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าหากว่ามนุษย์โลกนั้นเชื่อในจิตใจของตนเอง เชื่อในคุณงามความดี ก็คงไม่เดือดร้อนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องลงมาบอกอีก ฉะนั้นหลังจากกลับไปจากวันนี้ เราเชื่อจิตใจของเรามากขึ้นอีกหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  เชื่อว่าความโลภเป็นสิ่งไม่ดี หาเงินน้อยๆ เชื่อไม่เชื่อ อย่างนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โลภมากได้ไหม (ไม่ได้)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเงินไว้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเงินมากๆ อย่างนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เอาเงินมนุษย์มาหมดแล้ว แล้วมนุษย์มีเงินใช้ไหม (ไม่มี)  ถ้าอย่างนั้นอยากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้อง (ไม่โลภ) ไม่โลภใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เล่นหวยไม่ได้เล่นไพ่ไม่ได้ กินเหล้าไม่ได้ ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าเล่นหวยแล้วมีอะไร เล่นการพนันมีความหลงใช่หรือไม่ กินเหล้าแล้วจิตเป็นอย่างไร  (จิตเมา) จิตเมาใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นการที่บอกว่าเราต้องเชื่อจิตใจของตัวเองให้มากขึ้นหมายความว่า เราต้องทำจิตของเราให้ใสมากขึ้นด้วย
สมมติจิตของเราเป็นกระจกใสบานหนึ่ง กระจกบานนี้ วางทิ้งไว้นานจนฝุ่นเกาะแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง (เช็ด)  จิตอยู่ภายในกายอยู่ข้างนอก ร่างกายนี้อาบน้ำทุกวันไหม (อาบ)  จิตของเราอาบน้ำทุกวันไหม (ไม่อาบ)  กี่ปีแล้วไม่ได้อาบ หลายปีมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งโตมาจิตใจของเรายิ่งขี้เกียจอาบจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ขี้เกียจอาบน้ำจิตใจของเราให้สะอาด เวลาที่เรารู้ว่าเราจิตไม่สะอาดดูได้อย่างไรล่ะ เด็กตัวเล็กๆ กับเราจิตใครสะอาดกว่ากัน (เด็กเล็กๆ ) เราเคยเป็นเด็กไหม (เคย)  ตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใครจิตใจสะอาดมากกว่ากัน (เด็ก)  สมมติว่าเราสอนเด็กบอกว่าเวลาเห็นขยะต้องเก็บไปทิ้งนะใช่ไหม (ใช่)  ตอนเป็นเด็กเราก็เก็บไปทิ้ง แต่ตอนโตแล้วเราเป็นอย่างไร ตอนโตแล้วเราก็เดินข้ามไปใช่ไหม เราไม่ยอมเก็บ เพราะฉะนั้นถามว่าใครจิตใจสะอาดกว่ากัน (เด็ก)  เด็กสะอาดกว่า เราเองเคยเป็นเด็ก ตอนนี้เราต้องการที่จะฟื้นฟูจิตใจอันใสสะอาดอันนั้น เพราะฉะนั้นมาเข้าชั้นเรียนนี้ ชื่อว่า “ชั้นเรียนฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ” หมายความว่า ฟื้นฟูจิตของเราเอง ไม่ใช่ฟื้นฟูที่อะไร ไม่ใช่ฟื้นฟูที่ภายนอกว่าต้องมีเงินมากขึ้น ไม่ใช่ฟื้นฟูที่ภายนอกถ้าบำเพ็ญธรรมแล้วทุกครั้งต้องใส่ขาวกางเกงกระโปรงน้ำเงิน ไม่ใช่เน้นที่ตรงนี้ แต่เน้นที่ว่าจิตใจของเรานั้นต้องขาวสะอาด หากว่าจิตใจของเราไม่ขาวสะอาดใส่เสื้อขาวมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  หากจิตใจของเราไม่ขาวเสื้อแม้ขาวใจไม่ขาวมีคนมองเห็นไหม (ไม่เห็น)  มีคนสัมผัสได้ไหมว่าจิตใจของเราไม่งาม (ได้)  ความลับไม่มีในโลก ถ้าหากว่าเราเป็นคนไม่ดี สักวันหนึ่งความไม่ดีของเรานั้น ก็จะนำพาเราไปในทางตกต่ำ ถ้าหากว่าจิตใจของเรางาม จำเป็นต้องให้คนอื่นชมเชยไหม (ไม่จำเป็น)  ถ้าหากว่าจิตใจของเราดีอย่าได้คิดว่า อยากจะให้คนโน้นคนนี้มาชมเรา ว่าเรานั้นเป็นคนดี เพราะยิ่งชมมากเท่าไร เราจะยิ่งลืมตัวมากเท่านั้น เวลาลืมตัวแล้วเป็นอย่างไร น่าดูไหม (ไม่น่าดู)  เคยลืมตัวไหม (เคย)  เคยทุกคนเลยแสดงว่ากิเลสนั้นประมาทไม่ได้ ประมาททีก็ไปกับเขาที อย่าบอกว่าเรื่องที่อาจารย์พูดมานี้เรารู้หมดแล้ว ต้องบอกว่าเราทำมาหมดแล้วผ่านหมดเรียบร้อย อย่านี้แล้วค่อยมาบอกอาจารย์ได้ไหม (ได้)  บางคนบอกว่าเรารู้หมดแล้ว เราเข้าใจหมดแล้ว แต่ถามว่ารู้และเข้าใจนั้นทำได้ไหม ถึงจะถูกต้อง การศึกษาธรรมะนั้น การเรียนรู้ธรรมะ เรียนจากการเปิดหนังสือก็มีเยอะแยะ แต่การเรียนธรรมะที่แท้จริงนั้น ต้องเรียนด้วยการลงมือปฏิบัติจึงจะได้ผลยิ่งกว่า หากว่าเราไม่ปฏิบัตินั้นเราย่อมไม่รู้ สิ่งที่เราอ่านมาไม่เคยไปทดลองทำ จะไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหนังสือบอกว่าการโกรธกำจัดได้ด้วยการตั้งสติใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็รู้ แต่ถึงเวลาคนเขามาว่าชี้หน้าด่าเรานั้น เราเป็นอย่างไร (โกรธ)  เราก็โกรธ จึงบอกว่าการเรียนธรรมะไม่ใช่การเปิดหนังสือ แต่เป็นภาคปฏิบัติ อยากรู้ว่าตัวเองโกรธไม่โกรธ อยากรู้ว่าที่อ่านหนังสือมาได้เรื่องไหม ลองไปให้คนอื่นเขาใส่ร้าย ปรักปรำ ประนามหยามเหยียดดูก็จะรู้ว่าเราโกรธหรือเปล่า ถ้ายังโกรธก็เรียกว่าใช้ไม่ได้ ถ้าหากว่าเรื่องเล็กๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราไม่สามารถจะทนได้ พอมีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นจริงๆ เราจะทนได้ไหม พอเรื่องใหญ่ขึ้นเราก็จะไม่สามารถทนได้ ฉะนั้นความอดทนในใจของเรานั้นต้องใหญ่กว่าเรื่องราวที่เราเจอ  ความอดทนในใจของเรา หมายความว่าหัวใจของเรานั้นต้องกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องราวที่เราเจอ คำว่า "เรื่องเล็กเรื่องใหญ่" ถูกตัดสินตามบุคคล สำหรับเราบางทีเรื่องนี้เล็กนิดเดียวแต่สำหรับคนอื่นนั้นใหญ่มหึมาใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เคยผ่านความลำบากมาแล้วหนึ่งครั้งพอครั้งที่สองก็จะมีความอดทนมากขึ้น  พอครั้งที่สามก็จะมีความอดทนมากขึ้น พอครั้งที่สี่ก็จะมีความอดทนมากขึ้นอีก  ฉะนั้นความลำบากนั้นจะเป็นครูที่สอนเราได้
บางคนมาสถานธรรม กราบพระ วอนขอว่าอย่าได้เจอความยากลำบากใดๆ เลย ถามว่าวันนี้เรื่องเล็กก็ไม่เคยเจอความยากลำบาก เรื่องใหญ่ๆ จะเจอได้ไหม เรื่องใหญ่ๆ ถึงคราววิ่งมาหาเรา ความลำบากที่ใหญ่ๆ วิ่งมาหาเราอุปสรรคที่ใหญ่วิ่งมาหาเรา เราก็ทนไม่ได้ ฉะนั้นชีวิตของเรานั้นมีความสุขและมีความทุกข์ มีความสบายก็มีความไม่สบาย มีความอดทนก็มีเรื่องให้ต้องทน มันเป็นของคู่กันที่อยู่ในโลกนี้เมื่อศิษย์ยังอยู่ในโลกนี้จะต้องมีเรื่องให้เรามาอดทน จะต้องมีความอดทนคู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะว่าใจของเรานั้นไม่ได้ตรงเที่ยง เราจึงต้องมีความลำบากบ้าง แต่หากว่าเรารู้จักมองสิ่งใดให้ตรงก็จะมีความลำบากน้อยลง ฉะนั้นอย่าได้โทษว่าดวงมันไม่ดี ชอบดูดวงใช่ไหม บอกดวงไม่ดีดวงของเราไม่เฮง ถามก่อนว่าใจของเรานั้นตรงหรือเปล่า หากว่าใจของเราตรงแล้วแม้เรื่องที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นเรายังสามารถดัดคดให้เป็นตรงได้เชื่อหรือไม่เชื่อ (เชื่อ)  อย่าแขวนชีวิตของเรานั้นไว้กับโชคชะตาราศี เครื่องลางของขลัง บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เราหวังพึ่ง เช่น ลูกหลาน อย่าได้หวังเช่นนั้น ขอให้เรานั้นพึ่งตัวเองแล้วก็นำพาตัวเองด้วยจิตใจอันตรงเที่ยง  จิตใจเราจะตรงขึ้นได้อย่างไรนั้น ต้องไม่เข้าข้างตัวเอง บางคนชอบเข้าข้างตัวเอง เวลาที่ลูกของเราไปทะเลาะกับลูกชาวบ้าน ลูกใครผิด (ลูกชาวบ้าน)  ทำไมลูกชาวบ้านผิดล่ะ เพราะว่าเราเข้าข้างตัวเอง  เราเข้าข้างลูกของเราเอง มีแต่คำว่าของเรา ของเราแล้วก็ของเรา เป็นอัตตาใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีอัตตามากขึ้นสะสมอัตตามากขึ้น ในที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเราเอง ถามว่าเวลาที่เราจะละจากสังขารนี้ไป ร่างกายนี้เป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  ร่างกายนี้ก็ยังเป็นของเราแต่ว่าเราเอาไปไม่ได้แล้ว ถึงเวลานั้นเราก็ยังต้องทิ้ง  เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ละร่างกายอันนี้หัดทิ้งเสียบ้าง ทิ้งอะไรล่ะ ทิ้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็นของเราในอันที่เราทิ้งได้ ในเวลาที่เราทิ้งได้ ลองมาหัดทิ้งดีหรือไม่ (ดี)  อย่างเช่นผลไม้กองนี้มีกี่ลูกไม่รู้ เราจะแบ่งชั้นบนนี้ให้คนอื่นทานทำได้ไหม (ได้)  ผลไม้กองนี้เปลี่ยนเป็นเงินกองหนึ่ง ส่วนบนเราจะแบ่งให้คนอื่นใช้ได้ไหม จะยากมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ได้หมายความว่าต้องแบ่งให้ลูกใช้ แบ่งให้หลานใช้อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าเสียสละ ถ้าแบ่งให้คนที่ยากจน ยกตัวอย่างเรามีสิบบาทสามารถแบ่งให้คนยากจนสักห้าบาทได้ไหม ถ้าหากว่าเราแบ่งได้หนึ่งบาท สองบาท สามบาท มากขึ้นเรื่อยๆ แสดงถึงความหนักแน่นในใจของเราที่มีมากขึ้น สามารถแบ่งไปหนึ่งบาทแสดงว่าเรามีความสละได้อยู่หนึ่งส่วน  หากว่าเราสละได้สองบาทแสดงว่าเรามีความสละได้อยู่สองส่วน สละได้สามบาทก็สามส่วนถึงครึ่งไหม (ไม่ถึง)  ไม่ถึงครึ่งของสิบใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละครึ่งหนึ่งหรือว่าเสี้ยวหนึ่งเลือกเอาเองนะ เลือกเอาเองว่าเราเองนั้นอยากจะเป็นอย่างไร
พุทธะนั้นสละแล้วถึงสิบส่วน ศิษย์ของอาจารย์สละได้กี่ส่วนก็ให้พัฒนาไปตามวันเวลา หนึ่งปีผ่านไปบำเพ็ญธรรม สองปีผ่านไปบำเพ็ญธรรม สามปีผ่านไปบำเพ็ญธรรม หากว่าไม่สามารถสละได้เลยสักส่วนเดียวก็ต้องพิจารณาตัวเอง  การสละนี้ไม่ใช่พูดถึงเรื่องเงินทองอย่างเดียว จิตใจก็มี รูปธรรมก็มี นามธรรมก็มี ทุกคนมีอารมณ์ไหม (มี)  ไม่อยากให้ใครว่าเป็นคนไร้อารมณ์ใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นทุกคนมีอารมณ์ อารมณ์ดีและอารมณ์เสีย  อารมณ์โกรธและอารมณ์หลง  อาจารย์บอกว่าเรื่องเล็กก็ต้องทนได้เรื่องใหญ่จึงสามารถทนได้ ปัญหาของมนุษย์นั้นมีปัญหาเล็กและปัญหาใหญ่ มีเรื่องเล็กและมีเรื่องใหญ่ บอกว่ายากจะฉุดทั้งนั้น ต่อให้เป็นเรื่องเล็ก ต่อให้เป็นปัญหาเล็ก ถ้าหากว่าใช้อารมณ์ อารมณ์ดีมากเกินไปเข้าไปฉุดปัญหาได้ไหม (ไม่ได้)  อารมณ์ร้ายยิ่งไม่ได้ ไม่ว่าจะอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้ายก็เข้าไปฉุดปัญหานั้นไม่ได้  ต้องไปฉุดด้วยจิตใจอันเที่ยงตรง  มองทุกอย่างอย่างเที่ยง เที่ยงธรรมที่สุด เมื่อเกิดความเที่ยงตรงก็เกิดปัญญาขึ้นเอง
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าอาจารย์ลงมาสู่แดนโลกีย์ “แดนโลกีย์” แปลว่าอะไร แปลว่าโลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ จิตใจของเราเป็นจิตใจที่วุ่นวาย ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะสงบลงได้  (เชาฉือ บอกให้นักเรียนในชั้นเชิญพระอาจารย์นั่ง ตามมารยาท) เชิญอาจารย์นั่งเป็นมารยาทหรือ คนเดี๋ยวนี้เขาเอามารยาทมาแปะไว้ข้างหน้า ใช่ไหม ต้องบอกว่าเชิญอาจารย์นั่งเป็นความจริงใจ บอกว่าเป็นมารยาทในความหมายของมนุษย์โลก ก็คือทำไปอย่างนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่) สิ่งใดที่ต้องทำออกไปแล้ว ต้องจริงใจหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมพูดผิดได้ไหม (ได้) เป็นธรรมดาที่คนเราจะพูดผิดบ้างเป็นบางครั้ง พูดถูกบ้างเป็นบางครั้ง ต้องหัดทำอะไรไว้มาก ๆ  ต้องหัดอภัยไว้มาก บางทีเราอยู่ร่วมกัน อยู่ด้วยกัน มีความขัดแย้งอยู่เยอะแยะไปหมดเลย เขาชอบเวลาเช้า เราชอบเวลาเย็น เขาชอบกินข้าวสองชาม แต่เราชอบกินข้าวชามหนึ่ง เขาชอบคนหน้ายิ้ม แต่เราชอบทำหน้าเฉย ๆ เป็นเรื่องธรรมดา ต่างคนต่างบำเพ็ญ ต่างคนต่างได้รับ คนไหนบำเพ็ญไม่ดี เขาบำเพ็ญไม่ดีเป็นเรื่องของเขา แล้วทำไมเราต้องเอาตาไปมอง ตามองยังไม่เท่าไร เอาใจไปคิดด้วย บางทีไม่ได้คิดวันเดียว ทำไมคิดตั้งสามวัน จงใจหรือเปล่า (จงใจ) จงใจไปให้เขาไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ดี เพราะฉะนั้น คิดน้อย ๆ หน่อย ดีหรือไม่ (ดี) คิดมากไปก็วุ่นวายเปล่า ๆ  ต่อให้เราคิด หรือไม่คิด เรื่องราวก็ดำเนินต่อไป ต่อให้เราจะแก้ไขอย่างไร บางทีเรื่องก็ต้องจบลงแบบนั้น ฉะนั้นเราควรที่จะปล่อยวางบ้าง ถ้าหากว่าเราปล่อยวาง ไม่คิดเยอะแยะเรื่องราวอาจจะจบดีกว่าที่เราคิดอีก เพราะฉะนั้นนี่คือหลักการของการอยู่เป็นมนุษย์ ทำอย่างไรให้อยู่ในโลกแล้วมีความสุขมากขึ้นล่ะ ต้องใช้อีกหลายอย่าง อยากจะมีความสุข ก็ต้องใช้อีกหลายอย่าง อยากจะหายจากความทุกข์ ก็ต้องใช้อีกหลายอย่าง มีหลักธรรมข้อไหนข้อเดียวสามารถทะลวงไปหมดทุกอย่างมีไหม (ไม่มี) ในพุทธศาสนายังมีบอกว่า มีศีล สมาธิ ปัญญา เพราะฉะนั้นอาจารย์สอนก็คงไม่สามารถมีหลักธรรมไหนอย่างเดียวที่จะสามารถทะลุปัญหาทุกอย่างของศิษย์ได้ ต้องมีหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อมาดับทุกข์ เมื่อดับทุกข์ได้ก็คือสุขนั่นเอง เมื่อสักครู่ อาจารย์บอกว่าอาจารย์ลงมาในแดนโลกีย์ ทำอย่างไรจึงจะพ้นโลกีย์อันนี้ไปจำได้ไหม  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญมาเป็นพุทธะนั้น คนที่ไวที่สุดก็เป็นคนที่ย่อมได้สิ่งที่ดีที่สุด (ต้องปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง) หากเขาบอกว่าการที่เราจะบำเพ็ญธรรมต้องมา สถานธรรม ต้องมาสม่ำเสมอใช่หรือไม่ (ใช่) ประชุมธรรมปีละหน เลยมาปีละครั้ง ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) ต้องมากี่ครั้ง (อาทิตย์ละครั้ง) ครั้งละกี่ชั่วโมง (ไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง) ต่อไปเราจะเจอหน้ากันทุก ๆ อาทิตย์ละหนึ่งหน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมซ่อนหารองเท้าเมื่อนักเรียนหาได้แล้วจึงเดินกลับที่นั้งเดิมโดยผ่านแถวนักเรียนหญิง)
ตรงนั้นแถวผู้หญิงใช่ไหม เดินผ่านมาได้อย่างไร ผู้หญิงผู้ชายล้วนเป็นสมมติในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สงสัยไหมว่าทำไมเขาถึงให้เรานั่งแยกกัน (สงสัย)  เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วก็เกิดมาเป็นผู้ชาย เผอิญชั้นนี้มีคนแก่ๆ นั่งอยู่เยอะหน่อย เกิดชั้นไหนมีสาวๆ นั่งอยู่เต็มไปหมด และข้างโน้นมีหนุ่มๆ นั่งอยู่เต็มไปหมด แปลกใจไหมว่าทำไมเขาถึงให้นั่งแยกกัน (แปลกใจ)  เพราะมนุษย์ในโลกนี้ชอบอยู่กันเป็นคู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นให้นั่งแยกกันสมควรไหม (สมควร)  การบำเพ็ญธรรมนั้นคือบำเพ็ญที่จิตใจของตัวเอง เกิดเขามานั่งแล้ว เกิดนึกชอบใครขึ้นมาก็ไม่เป็นอันฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
“ธรรมะเปรียบเหมือนแสง”  เปรียบเหมือนแสงอย่างไร ชีวิตคนนั้นดำเนินด้วยการใช้แสงใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสมัยก่อนไม่มีแสงนีออน ในสมัยก่อนไม่มีแสงอย่างนี้ ไม่มีสายไฟฟ้า จิตใจของเรานั้นก็ยังบริสุทธิ์สะอาดอยู่ แต่พอมาถึงเดี๋ยวนี้ คนมีวิวัฒนาการสูงแต่จิตใจดิ่งลง เป็นสิ่งที่สวนทางกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อวิวัฒนาการขึ้นถึงขีดสุดแล้ว มนุษย์ก็คงจะต้องมีการเสื่อมสลายอย่างแน่นอน เป็นสิ่งที่สวนทางกัน อาจารย์นั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนนั้น องค์มารดานั้น มองมนุษย์แล้วก็รู้ว่า มนุษย์ยังมีจิตใจที่ดีหลงเหลืออยู่บ้าง จำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูจิตใจของศิษย์นั้น ให้ดีมากขึ้น เพื่อไม่ให้มนุษย์นั้นสูญสลายไปอย่างน่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เพียงบอก บอกแล้วก็สอน คนทำนั้นต้องอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง)  อยู่ที่ตัวเราเอง มองแสงสว่างในห้อง มิใช่แสงธรรมดา เป็นแสงที่เกิดจากการประดิษฐ์ขึ้น เราสามารถแยกแยะออกไหมระหว่างแสงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นกับแสงภายนอก  เราต้องหัดมองให้ออกใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรามองออกเราย่อมรู้ว่าสิ่งใดเป็นเท็จและสิ่งใดเป็นจริง จำเป็นไหมที่จะต้องมองว่าสิ่งใดเป็นเท็จเป็นจริง (จำเป็น)  จะทำให้ชีวิตของเราอยู่อย่างสมถะมากขึ้น จะทำให้ชีวิตของเรานั้นอยู่อย่างเรียบง่ายมากขึ้น และจะไม่ลืมสิ่งที่เป็นคุณธรรมความดีของคนสมัยโบราณ เป็นการเกี่ยวเนื่องกัน แสงไฟนั้นเราสัมผัสได้ด้วยตา มองเห็นด้วยตา ธรรมะมองเห็นด้วยการปฏิบัติ หากว่าคนนั้นมานั่งฟัง หากว่าศิษย์นั้นมานั่งฟังธรรมะสองวันนี้ แต่กลับไปไม่ทำอะไรเลยยังคงเหมือนเดิม เคยเป็นคนโกรธง่ายอย่างไรก็โกรธง่ายอย่างนั้น เคยเป็นคนเที่ยวดึกอย่างไรก็เที่ยวดึกอย่างนั้น เคยเป็นคนที่มีกิเลสมากอย่างไรก็ยังมีมากอย่างนั้น มีคนบอกศิษย์ไหม ว่ารับธรรมะแล้วสามารถหลุดพ้นได้ (มี)  แต่หากว่าเราไม่ลงมือปฏิบัติหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นความวิเศษของธรรมะนั้นต้องอยู่ที่ตัวเรานั้นเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปกว่าการกระทำ การปฏิบัติธรรมด้วยจิตใจอันเปิดกว้างของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้ หลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ก็พูดว่าไม่ได้ ฉะนั้นจึงอยากให้ศิษย์รู้ว่า เป็นศิษย์อาจารย์ ศิษย์อาจารย์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มี ศิษย์อาจารย์บางคนตกนรกอยู่ก็มี ศิษย์อาจารย์บางคนอยู่แค่สวรรค์ก็มี ศิษย์อาจารย์บางคนอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยความทนทุกข์ทรมานก็มี ศิษย์อาจารย์ผู้ปฏิบัติดีก็มี ศิษย์อาจารย์นั้นมีอยู่ทุกประเภท ศิษย์นั้นจะเลือกเป็นคนอย่างไร จะเลือกเป็นคนไหนในบรรดาศิษย์อาจารย์ อยากเป็นศิษย์ที่เวียนว่ายตายเกิด หรือว่าเป็นศิษย์ที่บำเพ็ญดี (บำเพ็ญดี)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงให้กลอนไว้บอกว่า “อย่าประมาทธรรมะเปรียบเหมือนแสง” ธรรมะเปรียบเหมือนแสง ธรรมะนั้นเหมือนกับแสงไฟ แสงที่เราสัมผัสด้วยตา แสงที่เรามองด้วยตาแต่ธรรมะมองเห็นด้วยการปฏิบัติ อย่างที่บอกไป หากไม่ปฏิบัติแล้วก็ไม่สามารถที่จะสัมผัสธรรมะได้ ธรรมะอยู่ที่ไหนล่ะ ธรรมะคือธรรมชาติอยู่รอบๆ ตัวเรา การบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่ใช่ว่ามีกฎเกณฑ์บังคับ แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นมีแนวทางให้ดำเนิน ธรรมะมีแนวทางให้ดำเนิน จำเป็นจะต้องดำเนินในลักษณะที่คล้ายกัน แต่จิตใจนั้นเป็นอิสระ เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้วุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ้านมีกฎในบ้านไหม (มี) เมืองมีกฎเมืองไหม (มี)  สถานธรรมก็มีกฎของสถานธรรม และจำเป็นที่จะให้ศิษย์นั้นทำบางสิ่งเหมือนกันก็เพื่อให้เรานั้นอยู่ด้วยกันอย่างไม่วุ่นวายใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้คนเท่านี้ วันหน้าคนมากกว่านี้ หรือมากกว่านี้ไปอีก เราจำเป็นที่จะต้องมีกรอบลงมาไหม จำเป็น
การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอิสระ จิตใจของเรานั้นเป็นอิสระ เป็นอิสระในการคิดการที่จะตัดกิเลสต่างๆ วันนี้เราเลือกตัดกิเลสเล็กน้อยก็ได้ วันนี้เราเลือกจะตัดกิเลสมากมายก็ได้ หรือเราเลือกที่จะไม่ตัดเลย คนอื่นย่อมไม่รู้ก็ได้ แต่จนสุดท้ายแล้ว ละกายเนื้อไปย่อมเป็นเรื่องของเราเอง แม้ว่าอยู่ในสถานธรรมเดียวกันแต่เมื่อละกายเนื้อไปต่างคนต่างเดินใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนจิตใจไม่ดี พอละสังขารนี้ไปลงไปไหน ลงไปนรก บางคนจิตใจดีก็ลอยขึ้นสู่สวรรค์ ใช่หรือไม่(ใช่)  หากจิตใจพ้นกิเลสนี้แล้วก็กลับคืนนิพพานได้ ทำไมถึงพูดถึงนิพพานง่ายอย่างนี้ล่ะ เพราะว่ายุคนี้เป็นยุคสุดท้ายเป็นยุคที่สามเป็นยุคของการเลือกผู้บำเพ็ญดี การเลือกคนดีออกจากกลุ่มของคนไม่ดี อย่างที่อาจารย์บอกไป เมื่อจิตใจของคนนั้นดิ่งต่ำวิวัฒนาการขึ้นสูง ในที่สุดแล้วก็เป็นธรรมชาติที่คนนั้นย่อมอยู่กับวิวัฒนาการที่สูงนี้ไม่ได้ เกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้น จำเป็นที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะต้องช่วย แม้กระทั่งอาจารย์นั้นไม่ได้อยากจะมาในรูปลักษณ์ของการยืมร่างแบบนี้ให้ศิษย์ติดรูปลักษณ์ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมา เพื่อพูดให้ศิษย์ฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
ในสมัยนี้หาคนบำเพ็ญดีมีกี่คน คนที่ยอมที่จะละทางโลกนี้เพื่อที่จะไปบำเพ็ญในป่าในเขามีอยู่กี่คน คนที่สามารถละจนไปบำเพ็ญในป่าในเขานั้น มีเท่าไรศิษย์ไม่รู้ เพราะไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ แต่ในปัจจุบันนี้ในเมื่อเราอยู่ในเพศฆราวาส และเราเป็นคนมีครอบครัวก็ขอให้เรานั้นบำเพ็ญธรรมะในครัวเรือน เป็นลูกที่ดี เป็นสามีที่ดีเป็นภรรยาที่ดี เป็นคนทำงานที่ซื่อสัตย์ เป็นเพื่อนที่รักษาสัจจะ ทำได้ไหม (ได้)  ต่อตนเองนั้นมีนโนธรรมสำนึกขัดเกลาบำเพ็ญอยู่เสมอๆ  ทำไมต้องบำเพ็ญล่ะ ทำไมต้องบำเพ็ญรู้ไหม เพราะว่าคนนั้นมีความสุข และมีความทุกข์อยากจะหนีความทุกข์ให้พ้นก็จะต้องหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) อยากหลุดพ้นไหม บำเพ็ญธรรมทำอย่างไรศิษย์รู้ไหม เราพูดถึงว่าทำไมต้องบำเพ็ญธรรม แต่เรายังไม่พูดถึงว่าบำเพ็ญ บำเพ็ญอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์คิดว่าการบำเพ็ญธรรมทำอย่างไร (ใช้สติกลั่นกรอง เรามีอารมณ์โลภแล้วเราก็ยังรู้ว่าเรานี้โลภแล้ว เราก็ตัดเสีย รักษาศีล, รู้จักเสียสละมีกตัญญุตาธรรม, รู้จักการให้อภัย) มาวันนี้เชื่อหรือไม่เชื่ออาจารย์ไม่สน อย่าปกป้องตัวเองมากด้วยการนั่งกอดอก ตัวตรงใช่ไหม ยิ่งบอกว่านี่แหละหลอกลวงแน่นอนเลย ยิ่งแสดงความประหลาดเท่าใดยิ่งรู้หมดเลยใช่หรือเปล่าคนสงสัย พระอาจารย์เมตตาถามว่ามีใครอยากจะตอบอีกบ้าง (ละบาป, ฝึกจิตให้มีสมาธิ) ละเท่าที่ใจมี ใจมีบาปเท่าใดก็ละไปเท่าที่ใจมี เราไม่สามารถระบุได้ว่ามีเท่าใด แต่ว่ามีเมื่อใดก็ต้องละเมื่อนั้นใช่หรือไม่ ปัจจุบันทันด่วนเหมือนกดโทรศัพท์ดีไหม คนอื่นจะตอบหรือไม่ตอบ (เป็นคนดีของสังคม, ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีๆ ทั้งกายและใจ) บางทีบางสิ่งเราอยากจะได้ แต่ว่าเราจะได้ทุกอย่างหรือเปล่า (ไม่ได้)  เปิดใจไว้สำหรับความผิดหวังใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่รู้ว่าความผิดหวังเข้ามาหาเราเมื่อใด แต่เมื่อเข้ามาเราต้องทำใจได้เพราะว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญเราไม่ใช่คนที่จิตใจไม่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็แล้วแต่เมื่อเราอยากได้สิ่งใดให้เราพยายามทำให้เต็มที่ เมื่อเราไม่ได้ก็อย่าเสียใจมากเกินไป อย่าเสียใจมากมาย ความเสียใจนั้นทำให้จิตใจของเรานั้นบกพร่อง ทำให้จิตใจของเรานั้นมีแผล ทุกๆ ครั้งที่คิดไปก็ยังจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนั้น มีสัญญาเกี่ยวกับเรื่องนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สู้ไม่เสียใจจะได้ไม่ต้องทุกข์  อยากทุกข์หรือไม่อยากทุกข์ (ไม่อยากทุกข์)  ตอบอาจารย์ซิบำเพ็ญธรรมทำอย่างไร (ให้อภัย, มีความเมตตาต่อผู้อื่น,ให้อภัยทุกครั้งที่เขาทำผิด)  จริงๆ แล้วคำว่าผิดกับถูกในโลกนี้มันเป็นเหมือนตาซ้ายตาขวา ทุกสิ่งในโลกนี้เกิดมาเป็นคู่ ศิษย์สังเกตไหม ตามีสองข้าง หูมีสองข้าง แขนมีสองข้าง ถ้าเราหรี่ตาซ้ายลงมามากหน่อย ตาขวาเราจะกระตุกก็ขาดสมดุล เพราะฉะนั้นเวลาที่ใจของเราเกิดความรู้สึก รู้สึกอะไร เวลาเรามองคนๆ นี้ สมมติเรามองคนคู่นี้เรามองไปแล้วถ้าหากว่าเขาทะเลาะกันอยู่ ถ้าหากว่าใจของเราไม่ตรงเป็นอย่างไร เราหรี่ตาข้างหนึ่งใจเราไม่ตรง อีกข้างหนึ่งก็มืดไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  หมายความว่าเวลาที่เรามองหากเราไม่ได้ใช้ใจที่ตรงๆ มองก็จะมีความผิดและความถูกที่กลับตาลปัตรกันอยู่ไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูกอย่างแท้จริง เพราะว่าใจของเราข้างหนึ่งมันหรี่แล้วส่วนข้างที่เราบอกว่าเปิดสว่างนั้นถูก ไม่แน่ จริงๆ อาจจะหรี่ข้างนี้แล้วมองข้างนี้ก็ได้ใครจะรู้ อาจจะต้องหรี่ข้างนี้แล้วมองข้างนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าอันไหนที่ผิดอันไหนที่ถูกจนกว่าเรื่องราวจะจบลง พอเรื่องราวจบลงปุ๊บก็รู้ทันทีว่าผิดหรือถูก บางทีอาจจะไม่ต้องอาศัยเราก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นให้รู้ไว้ว่าเวลาเรามองสิ่งใดให้มองทั้งสองตาหมายความว่าทำให้จิตใจของเรานั้นตรงเที่ยงเสียก่อนจึงจะมอง เรามีสิทธิ์มองคนอื่นผิดไหม   คนอื่นมีสิทธิ์มองเราผิดไหม  ยอมให้เขามองไหม เรื่องใดที่ไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่มีสิทธิ์มองให้เขาผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องไหนที่เกี่ยวกับเรา (เราไม่ยอมให้เขามองผิด)  อาจารย์จะบอกว่าพยายามอย่ามองคนอื่นผิด และเวลาคนอื่นมองว่าเราผิด พยายามทำใจให้กว้างๆ เพราะหากเขาไม่พูดเขาก็คิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูซิว่าใจเรากว้างได้เท่าไหร่ แต่อย่าคิดไปเองนะ
ต่างคนต่างบำเพ็ญเรื่องอภัย ต่างเข้าใจซึ่งกันเดินคล่องดี
กลับไปบ้านนำธรรมะกลับไปใช้ ฝ่าให้ได้ใจหดหู่ในครั้งนี้
ฟ้าหลังฝนงดงามแม้ราตรี ความดีอย่ารอให้สายเกินไป
“ทำความดี” ตลอดชีวิตก็รู้จักเรื่องทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำความดีนั้นทำอย่างไรล่ะ
ทำความดีนั้นต้องทำด้วยจิตใจที่ใสสะอาด ไม่หวังผลตอบแทนจึงจะเรียกว่ามีกุศล การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เรานั้นต้องก้าวฝ่าฟันขึ้นไป การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพียงแค่การขัดเกลาใจ แต่ยังหมายถึงการสร้างกุศล การเป็นคนที่มีขันติ การเป็นคนที่มีความพากเพียร ยังหมายถึงอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เราจะได้เรียนและศึกษาต่อไป อย่ารีบร้อนเหมือนคนวิ่ง เพราะวิ่งไปถ้าเจอสิ่งใดที่กั้นขวางก็จะล้มลงในทันที  และอาจารย์ว่าศิษย์นั้นกลัวการล้มมากที่สุด เพราะถ้าล้มแล้ว เจ็บแล้วก็ไม่อยากจะเดินใช่หรือเปล่า แต่เราเคยคิดไหมว่าถ้าเราล้มแล้วเราไม่ลุกขึ้นเดินต่อนั้นเราอาจจะไม่เดินอีกเลย หมายความว่าถ้าหากว่าเราล้มลงเราอาจจะไม่ได้เดินอีกเลย ถ้าหากว่าเราล้มลงแล้วเราเลิกบำเพ็ญตลอดชีวิต ไม่ได้บำเพ็ญเราก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เวียนว่ายไป ครั้งหน้าอาจจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก อาจจะต้องเกิดเป็นสัตว์สี่เท้าที่เรานั้นเคยกิน อย่างนั้นก็ลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์มองไปข้างหน้า เห็นตะเกียงไหม (เห็น)  ในตะเกียงนั้นมีไฟใช่หรือเปล่า แต่ในนี้มีอะไร (มีน้ำมัน)  แค่เห็นไฟก็ต้องรู้ว่าข้างล่างคือน้ำมันไม่ใช่เดาไม่ออก น้ำมันนั้นเปรียบเสมือนบุญที่เราสร้าง ทุกๆ คนที่เป็นศิษย์อาจารย์นั้นเป็นคนมีบุญมาก เป็นคนมีบุญมาทั้งนั้น อย่าบอกว่าเราเป็นตาสีตาสา อย่าบอกว่าเราเป็นชาวบ้านธรรมดา ยิ่งเป็นชาวบ้านธรรมดายิ่งเป็นผู้ที่สร้างบุญมามาก  เพราะเห็นอะไรก็ช่วยจิตใจนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายจึงบอกว่าตรงนี้คือน้ำมัน คือบุญที่เราเคยสร้างไว้ แต่ว่าเราไม่ยอมจุดไฟ ไฟอันนี้คือปัญญา แม้ว่าจะมีน้ำมันอยู่มหาศาลคือมีบุญเยอะแยะ แต่หากไม่จุดไฟขึ้นมา ไม่จุดแสงสว่างขึ้นมาก็ย่อมไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการสร้างบุญ
ไปมองกรอบและระเบียบอันนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ทุกอย่างบำเพ็ญไปเพราะว่าเขาบอกให้ทำ คนบอกให้ทำ หรือบำเพ็ญไปเพราะว่าเรารู้ว่าแบบนี้ แต่ละคนนั้นมีปัญหาต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ชีวิตแต่ละคนกำเนิดมาสภาพแวดล้อมก็ไม่เหมือนกัน จำเป็นต้องมีปัญญาไปพลิกแพลง
สมมติว่าศิษย์กินเจ เรามาสถานธรรมเขาบอกให้เรากินเจ กลับไปบ้านเขายังกินเนื้ออยู่ ทำอย่างไร กลับไปบ้านทำเจให้คนทั้งบ้านกินได้ไหม (ไม่ได้)  คนในบ้านอยากกินไหม (ไม่อยากกิน) มิเช่นนั้นเรากลับไปบ้านกินเจคนเดียว คนอื่นอย่ามานั่งใกล้เราให้นั่งห่างรัศมีห้าเมตร ได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนี้ทำให้คนในบ้านยอมรับได้ไหม (ไม่ได้) ต้องมีปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรให้คนในบ้านนั้นกินเจพร้อมกับเรา ทำอย่างไรให้เรานั้นอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติ (เดินสายกลาง) ทำอย่างไรล่ะ กลับไปกินเนื้อเหมือนเดิมหรือ (ค่อย ๆ ชักชวน)
ทำความดีไม่ต้องอายใช่ไหม (ใช่) บางทีเราพูดถึงหลักธรรมมากมาย แต่กลับไปบ้านกว่าจะทำได้ก็เขินไปสามวัน กว่าจะเริ่มทำได้ก็วันที่สี่เข้าไปแล้วใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าทำก็ต้องรีบๆ  ทำตอนที่โอกาสยังมีและทำให้ดีที่สุด
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่ออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
 "ช่วง"  การบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม แพร่ธรรมนั้นทำกันเป็นช่วง ๆ ศิษย์มาเกิดในช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่มีบุญในช่วงนี้ ถ้าหากว่ามีโอกาสก็ขอให้ทำงานธรรมะให้ดี ๆ เพราะว่าช่วงเวลานั้น ในชีวิตคนเต็มที่ก็เท่าอายุศิษย์
"เวลา" คิดว่าอาจารย์หมายถึงอะไร (ระยะเวลาที่มาสองวัน มาร่วมรับธรรมะ เพื่อให้ได้รับสิ่งดี ๆ ) การพูดของศิษย์หมายความว่าศิษย์ต้องกลับไปศึกษาให้เยอะ ๆ หน่อย ถ้าศึกษามากก็ย่อมรู้มาก ศึกษาด้วยการปฏิบัติด้วย
พระอาจารย์เมตตาตอบนักเรียนในชั้นว่า ธรรมะมีอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ปฏิบัติ ข้ออื่นไม่สำคัญ ข้ออื่นค่อย ๆ ตามมาทีหลังได้
 (พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง:เพื่อน,ชื่อเพลง เมื่ออยู่ร่วมกัน...)
สู้ต่อไปอย่าท้อแท้ สู้นี้ไม่ใช่สู้กันเอง แต่สู้นี้สู้ใจตัวเอง สู้หนทางการบำเพ็ญธรรมที่ยังยาวไกลอยู่ได้หรือไม่ได้ คนเราต้องมีใจเดียว ถึงแม้ศิษย์ทำงานด้วยความมีใจก็ทำทีละอย่างใช่หรือเปล่า (ใช่) ยิ่งจำเป็นที่จะต้องทำไปทีละอย่าง การประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เราย่อมประสบความสำเร็จได้ หากเราเป็นผู้มีความพยายามใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ในวิธีการที่ถูกและมีปัญญาในการพลิกแพลงสถานการณ์ย่อมทำให้งานเหล่านี้ง่ายขึ้น
โลกธรรมนั้นมีอยู่แปดอย่างด้วยกันอันได้แก่ (มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา ความสุขและความทุกข์) เป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กันในโลกนี้ เมื่อเวลาที่เรานั้นมีลาภขอให้เรานึกถึงตอนที่เราหมดลาภ ฉะนั้นในเวลาที่เรามีอยู่เราควรที่จะใช้ลาภอันนี้ไปในทางที่ถูกต้อง เมื่อเรามียศเราต้องรู้ว่ายศนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมีตลอดไป ต้องให้คิดถึงความดับสูญ เมื่อเราถูกคนสรรเสริญขอให้เรารู้ว่าคงจะมีคนติฉินนินทาเรา เราจึงต้องระวังตัวอยู่เสมอทำตนเป็นผู้ดำรงอยู่ซึ่งธรรม เมื่อเรามีความสุขขอให้เรานั้นคิดไปถึงความทุกข์เพื่อที่เรานั้นจะได้ไม่หลงอยู่ในคู่ของโลกนี้มากเกินไป โลกธรรม แปลว่า ธรรมดาของโลก เมื่อเราเจอความดับสูญของโลกเราต้องทำจิตใจของเราให้เป็นธรรมดา อย่าว่าแต่ลาภยศสรรเสริญความทุกข์ความสุขเลย ร่างกายของเรานี้ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ร่างกายของเราก็ธรรมดา วันไหนเห็นคนอื่นฟันหัก ก็ให้นึกถึงว่าสักวันตัวเองก็คงต้องฟันหัก เห็นคนอื่นป่วยก็ให้นึกว่าเป็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย สักวันหนึ่งเราคงต้องเจ็บ เห็นผู้อื่นตายขอให้เรานึกว่าเวลาของเราก็คงจะเหลือไม่มากเพราะคนที่อายุมากกว่าเรานั้นได้นำหน้าเราไปแล้ว เราต้องใช้ชีวิตทุกๆ วันให้มีค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวนั่งอยู่กับบ้าน นอนอยู่กับที่ไม่ยอมทำอะไร ถ้าหากว่าเรานั้นรู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ช่วยผู้อื่นเท่าที่เราช่วยได้ ชีวิตนี้จึงมีคุณค่ามากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรานำธรรมะมาปฏิบัติ ธรรมะนั้นก็เป็นธรรมะที่มีคุณค่าเช่นเดียวกัน ธรรมะที่บอกว่าประเสริฐอาจจะไม่มีประโยชน์ถ้าศิษย์นั้นไม่ทำอะไรเลย ไม่เอาธรรมะนั้นมาใช้ ก็ไม่สามารถมีสิ่งใดที่ดีขึ้นได้
เรื่องที่คาดไม่ถึงนั้นในโลกมีอยู่มากมายใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเรากิน ๆ เข้าไป ก้างปลาก็มาทิ่มเหงือกใช่ไหม (ใช่) เดิน ๆ ไป ก็สะดุดล้มใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่อเขาเปิดไว้เราไม่ได้มองก็เดินตกลงไปในท่อ ชีวิตคนนั้นอาจจะไม่ราบรื่นเหมือนทางที่เดินนั้น บางทีเราก็มองเห็นทางนี้ราบรื่นดี แต่เราทำไมเดินล้ม บางทีหาเหตุผลไม่ได้ บางทีเราก็ป่วยเป็นโรค โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรก็มี เหตุผลนั้นคือกรรม กรรมแปลว่าการกระทำ อันหมายความว่าตัวเรานั้นเคยกระทำไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่กรรมที่มาหาศิษย์คงไม่ใช่แค่เดินตกท่อหรือเดินหกล้ม ก้างปลาทิ่มเหงือก คงไม่ใช่แค่นั้น คงยังมีเหตุอีกหลายอย่างที่ทำให้เรานั้นอาจจะต้องเป็นคนที่เคราะห์ร้าย อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ดังที่พระพุทธองค์สอนไว้นั่นแหละ การบำเพ็ญธรรมนั้น เดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์พูดในวันนี้ ศิษย์ก็เคยฟังมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ไม่เคยทำเท่านั้นเอง จึงอยากให้เรานั้นกลับไปทำให้ดี ๆ ดีหรือไม่ (ดี) ทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เราทำได้ อย่าประมาทนัก กิเลสนั้นแรง แรงพอที่เรานั้นต้านไม่ไหว

(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “เมื่อยู่ร่วมกัน…”) พระอาจารย์เมตตาให้ความหมายบทเพลง "เพลงนี้อาจารย์ทำอย่างนี้ เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีจุดจุดจุดไปหมายความว่า ให้เอาสิ่งที่ได้จากเนื้อเพลงนี้ อย่างเช่น เมื่ออยู่ร่วมกัน สู้ต่อไปอย่าท้อแท้ สู้นี้ไม่ใช่สู้กันนะ แต่สู้เอาชนะใจตัวเอง เมื่ออยู่ร่วมกันคนเราไม่อาจดีทุกอย่าง ให้เรานั้นใจกว้าง เมื่อพบหน้ากันให้อ่อนน้อมถ่อมใจ เวลาพูดจาปราศรัยให้อารมณ์นั้นอย่าขุ่น มิลืมตัวกับความมักคุ้น แล้วโลกก็จะอบอุ่นเพราะคนยิ้มให้กันนั่นแหละ และเมื่ออยู่ร่วมกันอย่าหวั่นไหว บำเพ็ญจิตใจหนึ่งนี้ มิติดความน้อยหน้า น้อยเนื้อต่ำใจ ต้องครบถ้วนด้วยปัญญา ความกล้าหาญ เฝ้าบอกใจตัวเองว่าอย่าอ่อนล้า ต้องแบ่งเวลามาเพียรจิตใจนี้ เมื่ออยู่ร่วมกันประโยชน์ย่อมเกิดทุกนาทีที่สร้างคุณธรรม และอีกหลายอย่างจนกว่าจะจบ" (พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงที่ประทานให้)  บางทีเวลาทำงานกัน ทำงานไปทำงานมา เกิดความเครียดแล้วก็ต้องให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงานบ้าง คนรุ่นใหม่ รุ่นเก่าทำงานร่วมกันได้ จึงเรียกว่าเป็นความร่วมแรงร่วมใจ เป็นความสามารถของจิตเราที่เปิดกว้าง หรือถ้าพูดเป็นภาษาจีน ก็เรียกว่าเป็นกงฟู (               ) ของการบำเพ็ญ
 (พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงทำนองเพลงเพื่อน)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทคำว่า “แปด” เป็นกลอนหก)
อาทิตย์ขึ้นมาจากริมฟ้า สุดตาก็อัสดง
ลาภยศสรรเสริญสุขไม่คง แปลไปทางตรงข้ามกัน
“อาทิตย์ขึ้นมาจากริมฟ้า”  หมายความว่าอะไรเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาจากขอบฟ้าไหมขึ้นมาทางทิศไหน (ตะวันออก)  ขึ้นมาทางทิศตะวันออกพอขึ้นมาแล้วก็เป็นอย่างไร (ตก)  ขึ้นมาจากริมฟ้าข้างหนึ่งใช่หรือไม่
“สุดตาก็อัสดง”หมายความว่าสุดตาก็พระอาทิตย์ก็ตกดินใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบอกว่า “ลาภยศสรรเสริญไม่คง” ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีกี่อย่าง (สี่อย่าง) ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่คงหมายความว่าสี่อย่างนี้ไม่มั่นคง
“แปลไปทางตรงข้ามกัน” ก็คือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทาแล้วก็ความทุกข์แปลไปทางตรงข้ามกัน โลกธรรมแปดธรรมดาของโลก พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกเป็นธรรมดาของโลกไหม (เป็น)  เป็นธรรมดาของโลก ในที่สุดคนที่มีอยู่ก็ย่อมเสื่อมสลายใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นความมีและความเสื่อม ความเกิดและความดับเป็นเรื่องธรรมดาขอให้เรานั้นในขณะที่เราได้เกิดมาเวลาเด็กตัดทิ้งไปเวลาที่เราแก่ชราจนทำอะไรไม่ได้ก็ตัดทิ้งไปอีกเหลือแต่ช่วงกลางๆ นี้ ตอนที่อาทิตย์อยู่ตรงกลางเรียกว่าเวลาเที่ยง จนเวลาบ่าย เวลาก่อนเที่ยงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุด และศิษย์ของอาจารย์นั้น บางคนมีเวลาอยู่และบางคนเลยเวลานั้นมาแล้วแต่การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่กาลเวลา การบำเพ็ญธรรมอยู่ที่ใจขอให้ใจเราสะอาดมาเป็นอันดับแรกทำสิ่งใดก็จะราบรื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญก็คือการขัดเกลาให้จิตใจของเรานั้นสะอาด เห็นไหมอาทิตย์ขึ้นมาจากริมฟ้าสุดตาก็อัสดง อาทิตย์ขึ้นมาจากริมฟ้าพอสุดตาก็ตกลงใช่หรือไม่ (ใช่)  “ลาภ” ยศ สรรเสริญ “สุขไม่คง” ลาภยศสรรเสริญไม่มีความมั่นคงพอที่เราจะยึดเหนี่ยวแปรไปตรงทางข้ามกันครบแปดอย่างพอดี
มีนั้นยากเสื่อมนั้นง่ายลองพินิจ จงหมั่นคิดด้วยปัญญาอันสุกใส
วันเวลาผ่านไปแสนเร็วไว เริ่มตรงไหนสู่ปลายทางเหมือนเหมือนกัน
บทสุดท้ายอาจารย์นั้นให้ไว้เพื่อจะรองรับโอวาทซ้อนโอวาทที่เมื่อวานนี้ท่านแปดเซียนหันเซียงจื่อได้ให้ไว้จะบอกว่าโลกธรรมนั้นเป็นธรรมดาของโลกแต่มีนั้นยากจะมีลาภมียศมีสรรเสริญมีความสุขนั้นยากแต่เสื่อมไปนั้นง่ายขอให้เรานั้นลองคิดพิจารณาดูจงหมั่นคิดด้วยปัญญาเพราะวันเวลานั้นผ่านไปรวดเร็วไม่ว่าศิษย์นั้นจะเริ่มตรงไหนสุดท้ายก็สู่ปลายทางเหมือนๆกันไม่ว่าเราจะบำเพ็ญเน้นหนักเรื่องอภัยมากกว่า บำเพ็ญเน้นหนักเรื่องตัดความโกรธมากกว่า บำเพ็ญเน้นหนักเรื่องตัดความรักมากกว่า บำเพ็ญเน้นหนักด้วยการสร้างกุศลมากกว่า บำเพ็ญเน้นหนักเรื่องไหนก็แล้วแต่ล้วนเป็นการทำความดีล้วนเป็นการสร้างกุศล สุดท้ายนั้นก็จะไปสู่ปลายทางเหมือนกัน
ขอให้เรานั้นได้เริ่มเถอะ อาจารย์นั้นกลัวที่สุดเลยนั้นคือคนผัดวันประกันพรุ่ง วันนี้บอกว่าเราจะเริ่มก็ยังไม่ได้เริ่มพรุ่งนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มต่อให้ฟ้าดินนั้นส่งข้อสอบมาอีกสิบใบเมื่อเราไม่เริ่มทำฟ้าดินก็บังคับไม่ได้ใช่หรือไม่ บำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องอิสระของศิษย์ ศิษย์ทำสุดท้ายเราก็ไปสู่ผลที่ศิษย์นั้นได้เคยสร้างไว้ ศิษย์ไม่ทำสุดท้ายศิษย์ก็ไปสู่ผลที่ศิษย์นั้นได้สร้างไว้
ตอนนี้ทุกคนมีน้ำมันแต่ยังไม่มีไฟมีน้ำมันตะเกียงแต่ยังไม่มีไฟตะเกียงขอให้เรานั้นบำเพ็ญธรรมและใช้ปัญญาแสงสว่างที่จุดขึ้นนั้นไม่ได้จุดให้ตัวเองสว่าง แต่จุดให้ผู้อื่นสว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเทียนก็เหมือนกันเทียนจุดขึ้นมามิได้ช่วยตัว ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้ไว้ว่าการทำเพื่อผู้อื่นนั้นจึงมีความสุขทำเพื่อตัวเองไม่วายระแวงให้คิดให้ดีๆ นะ โลกธรรมมีแปดอย่างขอให้เรานั้นได้ศึกษาสัจธรรมชีวิตและได้ใช้ วันนี้เจออาจารย์ดีใจไหม (ดีใจ)  อาจารย์เจอศิษย์ทุกคนอาจารย์ก็ดีใจ อยากให้ใจของเรานั้นเปิดกว้างเหมือนในขณะนี้ตอนนี้ใจของศิษย์หลายคนนั้นเป็นผู้เปิดกว้างแล้วแต่ว่าใจคนนั้นเร็วเหมือนลิงเหมือนม้าใช่ไหม (ใช่) เดี๋ยวก็เชื่อ เดี๋ยวก็ไม่เชื่อ ไม่เป็นไรอาจารย์ขอให้วันนี้แม้จิตใจนั้นจะกลับไปกลับมาอาจารย์นั้นทนได้แต่อย่าให้กลับไปกลับมาทั้งชีวิตอย่าให้กลับไปกลับมาทั้งตลอดทางบำเพ็ญเพราะว่าความตั้งใจกับความลังเล นั้นต่างกันอย่างไรความตั้งใจทำให้เราสู่จุดหมายได้แต่ความลังเลนั้นทำให้เราล้มลงได้เช่นเดียวกันเลิอกอะไรดีกว่าล่ะ ในเมื่อใจเป็นของเราเราย่อมคุมตัวเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคุมจิตใจของเราให้บำเพ็ญให้จิตใจนั้นสะอาดกว่านี้ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แม่ครัว)
บำเพ็ญกันสามัคคีกันให้มากๆ การปรึกษาย่อมเป็นทางที่ให้เรานั้นสื่อสารกันรู้เรื่อง ขอให้ปรึกษาอย่าใช้อารมณ์ คนมีปัญญานั้นไม่ใช่มีกันง่ายๆ เคยเห็นมีดไหม มีดเล่มนึงกว่าจะลับคมได้จำเป็นต้องเอาหินลับมีดมาลับและเวลาที่เนื้อมีดโดนขูดไปเจ็บไม่เจ็บ ต้องยอมเจ็บจึงมีปัญญานะ บำเพ็ญดีๆนะรู้ไหม เชื่อมั่นให้มาก บำเพ็ญดีๆ ได้เจออาจารย์แล้วอย่าหลงทางนะ การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ง่าย หลายๆ คนเข้ามาอยู่ร่วมกันย่อมมีสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกันต้องทำใจให้กว้าง อาจารย์ก็เหมือนธรรมะสัมผัสได้ด้วยจิตใจอย่ามองรูปกายภายนอก อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นตั้งใจบำเพ็ญสุดแรงเกิดสุดแรงกำลังที่เรามี อย่าได้หลงวัตถุ รูปนาม ความคิด อคติของตัวเอง อย่าหลงไปในอารมณ์ของตัวเอง ความวุ่นวายของตัวเอง อย่าหลอกอาจารย์ว่าเจ้ามีใจขอให้มีใจจริงๆ อยากตอบแทนอาจารย์ไม่ยากแค่บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ทำตัวให้ดีๆ ทีให้คนอื่นเขารักเราได้ไหมเราเสียสละเพื่อคนอื่นได้ไหม ใจจริงๆ ก็รักกันอยู่เอาใจดวงนั้นออกมา พูดคุยกันสื่อสารกันความยากจะกลายเป็นความง่าย แล้วเจ้าจะไม่ผิดหวังเชื่ออาจารย์นะ


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “โลกธรรม”

ช่วงเวลาอาทิตย์ขึ้นมาวันใหม่ เรืองกำจายจากริมฟ้าส่องหล้า
ดีร้ายก็ตามสุดปฏิเสธชะตา ทุกปัญหาอัสดงอดทนเทียมกัน
อันเรื่องลาภยศสรรเสริญสุขดำรง ไม่มั่นคงแปรไปอย่างขยัน
ประสงค์เหนือเหนือไม่ทางสายนั้น ตั้งใจกันข้ามตรงสู่ปัญญา

พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “โลกธรรม”
เป็นคำว่า “แปด”

อาทิตย์ขึ้นมาจากริมฟ้า สุดตาก็อัสดง
ลาภยศสรรเสริญสุขไม่คง แปรไปทางตรงข้ามกัน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2543

2543-06-03 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ. อุตรดิตถ์


PDF 2543-06-3-อิ๋งเซิ่ง #11.pdf



วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ. อุตรดิตถ์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

วิถีธรรมลงสู่โลกโปรดเวไนย มองการณ์ไกลไม่ย่ำอยู่กับที่
สำรวมตนใช่เฉพาะตนคนดี นำความดีจูงผู้อื่นให้ดีตาม
เราคือ
องค์ประธานคุมชั้นเรียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เฝ้าเรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้
ทุกทุกสิ่งสามารถนำมาเป็นครู เมื่อใจอยู่กับตัวไม่กลัวภัย
อยู่ลำพังระวังเรื่องความคิด อยู่กับมิตรระวังการพูดจาปราศรัย
หนึ่งชีวิตเวลาสั้นรู้จักใช้ เรื่องเกิดตายยิ่งใหญ่ให้รู้ทาง
ในเวลาที่ยังมีสติอยู่ ให้เฝ้าดูแลคิดอ่านใดควรทำ
ใช้กุศลละลายหนี้เวรกรรม ใช้สำนึกมิหันทำสิ่งไม่ดี
สกุณาเจื้อยแจ้วคนจมปลัก ถูกความรักโลภโกรธหลงหลงทางสิ้น
ใช้ปัญญาเข้าห้ำหั่นไร้ราคิน ล้างมลทินกลับสู่ทารกจิตเดิม
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม อย่าได้สุมจิตสงสัยน้ำตื้นเขิน
มัจฉาไม่สามารถว่ายเพราะตื้นเกิน คิดดำเนินทางธรรมต้องใจกว้างพอ
ศึกษาธรรมแม้รู้แล้วย้ำให้แน่น เข้าถึงแก่นแห่งมรรคาประเสริฐล้ำ
เมื่อใดมีเวลาลงมือทำ ปล่อยวางคำที่ขัดหูอย่าขัดใจ
ทุกทุกท่านต่างมีบุญกับพุทธะ ให้เร่งละเหล่ากิเลสเป็นส่วนใหญ่
จะเดินทางต้องพึ่งตนยากพึ่งใคร ไม่เข้าใจต้องน้อมถามผู้รู้เอย
ขอมุ่งมั่นพ้นเวียนว่ายพ้นเกิดดับ หันหลังกลับพบฝั่งธรรมแสนกว้างใหญ่
สองวันนี้มาเริ่มตนเฝ้าเปิดใจ ล้างจากในสู่ภายนอกไม่รอรี
ทองแท้ต้องถูกไฟหลอมหยกเจียระไน จะไกลใกล้มีจุดหมายย่อมไปถึง
ทุกข์แห่งเวไนยจิตใจเฝ้าคะนึง ให้คิดถึงส่วนรวมกว่าส่วนตน
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบเสมอยิ่ง
จิตใจนี้ต้องหัดดึงให้คงนิ่ง เป็นคนจริงฟ้าคงไม่ต้องห่วงใย
แม้ง่วงนอนจงตั้งใจอย่าท้อหน่าย รักสบายกลายลำบากในภายหลัง
ความคิดตนตนต้องตรองระวัง ใจนั้นคือขุมพลังมหาศาล
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น หวังน้องท่านเสมอต้นเสมอปลาย
และจริงใจทั้งใจและทั้งกาย ศรัทธาใหญ่เป็นเข็มทิศนำคืนแดน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงยืนข้างเคียง
ฮวา ฮวา หยุด

วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทพระนาจา

ธรรมะนั้นใช่ยึดติดที่บุคคล ธรรมะนั้นใช่วัดผลที่สมหวัง
ธรรมะนั้นใช่ติดเครื่องรางของขลัง ธรรมะดั่งแนวทางสู่เบื้องบน
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าความสามารถ จงผงาดด้วยความดีไม่ตระหนี่
มีชีวิตสงบคือความโชคดี ขับวันที่วุ่นวายเคลื่อนสู่อกรรม
ทุกสิ่งนิ่งไปเมื่อยามสลาย อดทนไม่ไหวจงคิดด้วยธรรม
ต่อกันหนาสันติสร้างเป็นประจำ ใจท่านเพียงมีธรรมไม่อาดูร 
เมื่อแจ้งใจหัวเราะในมิจฉาทิฐิ ที่เคยมีโดยตลอดบัดนี้สูญ
ฝึกใจดินดุจนาผืนสมบูรณ์ แปรความขุ่นสุกใสฟ้าคอยกลับ
แข็งอ่อนต่างแต่โดยธรรมชาติสมานฉันท์ อยู่อย่างสอดคล้องกันเป็นเอกภาพ 
ด้วยธรรมะคล้องใจใกล้จิตญาณ ด้วยจิตหาบกังวลปล่อยแล้วเบา
ฮิ ฮิ หยุด

  อาดูร เดือดร้อน
  สมานฉันท์ ความพอใจร่วมกัน, ความเห็นพ้อง
  เอกภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, ความสอดคล้องกลมกลืนกัน


พระโอวาทพระนาจา

สิ่งที่รื่นเริงบันเทิงใจทำให้มีความสุข สิ่งที่ไม่รื่นเริงบันเทิงใจทำให้มีความทุกข์ ความสุขของมนุษย์นั้นถ้ายิ่งเป็นเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจเราจะยิ่งมีความสุข แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่รื่นเริงบันเทิงใจแล้วเราอยู่เฉยๆ ก็มีความสุขเคยไหม เช่นเรานั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ ไม่มีเรื่องอะไรกังวลบางทีเราก็ยิ้มได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามีเรื่องที่ต้องวิตกกังวล มีเรื่องที่ต้องหวาดกลัว มีเรื่องที่ต้องเป็นห่วงแม้นั่งอยู่เฉยๆ แม้ฟังเสียงรื่นเริงท่านจะสุขไหม (ไม่สุข)  จริงๆ แล้วเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจก็ไม่สามารถทำให้ท่านมีความสุขได้ ถ้าใจท่านยังมีเรื่องวิตกทุกข์ร้อน ยังมีเรื่องที่ต้องเป็นห่วงกังวลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่ ใจเราเบาสบายไม่มีเร่องต้องกังวล ไม่มีเรื่องต้องวิตก แม้นั่นเฉยๆ ก็มีสุขจริงไหม (จริง)  ถ้ามีคนมาพูดกับท่านว่าบ้านไฟไหม้แล้วนะ ท่านจะยิ้มออกไหม แม้ท่านจะนั่งดูทีวี นั่งร้องเพลงคาราโอเกะ จากที่มีความสุขอยู่เราก็ร้องเพลงไม่ออกแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่บางคนก็กลับกันบางทีใจมีเรื่องกังวลวิตก มีเรื่องทุกข์ร้อนก็ไปฟังเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจเพื่อให้ผ่อนคลาย แปลว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุขอยู่ที่ใจของเราเอง บางคนไปนั่งฟังเพลงบางทีก็ไม่หายใช่ไหม บางท่านไปนั่งในโบสถ์ในวัดก็ปล่อยวางไม่ลงก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าใจเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามีทุกข์หรือขับทุกข์ออก เรียกสุขหรือว่าเรียกสุขทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้แม้จะไม่มีเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจ แต่ถ้าใจเราโปร่งเบาสบายนั่งตรงนี้ก็ยิ้มได้อย่างมีความสุข จริงหรือไม่ (จริง)
ตอนสมัยที่ท่านเป็นเด็ก ท่านเดินไปทางไหนหรือว่าเดินไปเล่นที่ใดก็ตาม เวลาเราทะเลาะกับเพื่อน เรารู้สึกว่าไม่สบายใจเลย หรือบางทีเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันรู้สึกเป็นอย่างไร (ไม่สบายใจ)  แล้วตอนที่เราไม่สบายใจมีใครเคยคิดในใจว่า ถ้าโตไปมีครอบครัวจะไม่พยายามทะเลาะกัน หรือบางทีเห็นผู้ใหญ่นั่งจับเจ่านินทาคนนั้นคนนี้ แล้วเราก็รู้สึกว่าโตไปเราจะไม่เป็นอย่างป้าคนนี้เด็ดขาด เคยไหม (เคย)  หรือเวลาเราเห็นน้องสองคนทะเลาะกันแค่แย่งเสื้อตัวเดียว หรือขนมถุงหนึ่งก็ตบตีกันจนฟันหักหน้าบวม แก้มแดงแก้มเขียวเลย เราก็รู้สึกว่าโตไปเราจะไม่ทะเลาะกันแบบนี้ มีใครบ้างพอโตแล้วทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ แต่พอโตมาสิ่งที่เห็นเมื่อตอนเด็กๆ ก็เอามาทำหมดเลย ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทะเลาะ ตั้งใจว่ามีของอย่างเดียวกัน ถ้าแย่งกันแล้วจะทำให้พี่เกลียดน้องน้องไม่รักพี่ ก็จะยอมเสียสละจะไม่แย่ง ตั้งใจไว้อย่างนั้นแต่พอถึงเวลานั้น ที่ตั้งใจไว้ก็หายหมด แล้วความตั้งใจเด็กๆ ก็เลยเป็นแค่ตอนเด็กๆ โตขึ้นมาก็เลยทำไม่ได้ แต่เราซึ่งเป็นเด็กเรากลับคิดว่าถ้าท่านทำได้เป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่วงที่เราเติบโตนั้นเราได้เรียนรู้สภาพชีวิตของคนตั้งแต่วัยเด็ก เราเห็นว่าถ้าพ่อแม่รักกันเราผู้เป็นลูกเราก็สบายใจมีความสุข พ่อแม่ก็ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้ ทำไมเราไม่เอาความตั้งใจตอนเด็กๆ นั้นรักษาให้อยู่กับตัวเราแล้วมุ่งมั่นเดินต่อไป พยายามทำให้ได้กันนะ ทำไมกลับเดินตามทางที่เราไม่อยากเดินกัน จริงไหม (จริง)  แล้วอย่างนี้จะรู้ไปทำไม ตั้งใจไปก็เสียเปล่า จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นถ้าใครที่เคยมีความตั้งใจตอนเด็กๆ ไว้ว่าจะไม่ทำอย่างนั้น จะไม่ทำอย่างนี้ ก็ขอให้ความตั้งใจตอนเด็กๆ นี้แม้เติบโตกยังมีอยู่เหมือนเดิมได้ไหม (ได้)  เพราะถ้าท่านทำได้ประสบการณ์ของแต่ละชีวิตที่เราเห็นมาก็จะทำให้เราได้เรียนรู้และไม่ทำตาม แล้ววันนี้มาศึกษาธรรมะ ธรรมะที่ท่านศึกษาเป็นธรรมะที่ให้ท่านยึดติดตัวบุคคลไหม (ไม่ยึดติด)  ศึกษาไปแล้วธรรมะนี้ไม่ใช่เป็นธรรมะที่ให้ยึดติดตัวบุคคล แต่ให้ศึกษาที่แก่นแท้แห่งหลักธรรมะ ถ้าธรรมะใดที่ท่านไปศึกษาเขาบอกว่าให้ยึดติดคนนี้นะ ให้ไหว้แต่คนนี้นะ อย่างนี้เรียกว่าธรรมะไหม แล้วถ้าเราไปศึกษาธรรมแล้วเราบอกว่า ธรรมะนี้ต้องให้สิ่งที่ดี ธรรมะนี้ต้องให้แต่เลขเด็ดๆ ให้เลขเด็ดออกมาแล้วต้องถูกด้วยนะ ถ้าไม่ถูกจะพูดว่าธรรมะนี้เป็นของปลอมได้ไหม (ไม่ได้)  มาถึงสถานธรรมขอขูดฐานพระหน่อย เห็นเลขแล้ว แต่ไปซื้อก็ไม่ถูก แล้วบอกว่าธรรมะนี้อย่าไปไหว้ อย่างนี้เรียกว่าศึกษาธรรมะหรือเปล่า (ไม่ใช่)
“ธรรมะนั้นใช่ยึดที่บุคคล ธรรมะนั้นใช่วัดผลที่สมหวัง
ธรรมะนั้นใช่ติดเครื่องรางของขลัง ธรรมะดั่งแนวทางสู่เบื้องบน”
ธรรมะ ๔ อย่างนี้อย่างไหนน่าสนใจที่สุด ระหว่างอย่างหนึ่งยึดที่บุคคล อีกอย่างหนึ่งเป็นธรมะที่ยึดผลที่สมหวัง กับอีกอย่างหนึ่งที่ยึดเครื่องรางของขลัง แต่อีกธรรมะหนึ่งเป็นธรรมะที่เป็นแนวทางคืนสู่เบื้องบน ท่านว่าอย่างไหนที่เรียกว่าธรรมะที่แท้จริงมากกว่ากัน ธรรมะที่แท้จริงนั่นคือสิ่งที่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไปสู่หนทางที่ดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เป็นแนวทางที่นำไปสู่เครื่องรางของขลัง ยึดติดตัวบุคคล หรือติดเฉพาะสมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บ่อยครั้งมนุษย์เรามักจะวัดธรรมะหรือสิ่งนั้นว่าเป็นธรรมะก็เฉพาะตรงที่ว่า เมื่อศึกษาธรรมะแล้วคิดว่าต้องสมหวัง อย่าลำบาก พอบอกว่าลำบากเลยไม่บำเพ็ญธรรมะ อย่างนี้ถูกหรือเปล่า เราดูตัวอย่างง่ายๆ อย่างพระพุทธองค์ท่านยอมทิ้งลาภยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง ไปแสวงหาอริยะมรรค ท่านต้องละความสบายเพื่อไปหาความลำบาก นั่นก็คือการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมง่ายๆ ในการก้าวเดินนั่นก็คือทิ้งความสบายฝึกฝนความลำบาก เพื่อกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ นี้คือการเริ่มต้น ไม่ใช่ศึกษาธรรมะแล้วสบาย ต้องดีต้องสมหวังทุกอย่างเสมอไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนเมื่อศึกษาธรรมะ นำธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตเมื่อไม่ดีก็โทษธรรมะไม่ดี โทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คุ้มครองอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่านต้องเข้าใจให้ถูกๆ นะ
เมื่อเรานับถือพุทธศาสนา พอมีคนมาว่าพระพุทธองค์ของเรา เราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาว่าพุทธองค์ไม่ได้นะ แล้วพระของท่านศักดิ์สิทธิ์นักหรือ จะพูดอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แสดงว่าท่านไม่ได้นับถือธรรมะแต่ท่านกำลังยึดติดรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติเรากำลังบำเพ็ญธรรมะอยู่ เรากำลังศึกษาธรรมะอยู่ เรากำลังปฏิบัติเรื่องขันติอยู่ พอมีคนว่านี้หรือขันติ ขันติก็เลยกลายเป็นขันแตก นั่นก็แปลว่าเรายึดติดตัวธรรมะ แต่ไม่รู้จักนำมาใช้ให้ถูกต้อง ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมะก็อย่ายึดติด อย่าได้หวังว่าต้องสมหวัง บางครั้งศึกษาธรรมะ บำเพ็ญธรรมะบางทีผิดหวังก็มี แล้วถ้าเราบำเพ็ญธรรมะ เราศึกษาธรรมะวันนี้พระท่านไม่ศักดิ์สิทธิ์ เราจะโทษท่านไหม (ไม่ได้)  วันนี้ถ้าเกิดท่านไม่แสดงอภินิหาร เราจะเชื่อท่านอีกไหม ทุกทีเคยขอแล้วได้ วันนี้ขอแล้วไม่ได้ก็เลยไม่เชื่อเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องหันมามองว่าวันนี้ขอแล้วไม่ได้ ทำไมวันนี้ทำแล้วไม่ได้ดี ทำแล้วไม่สำเร็จแสดงว่าพระไม่คุ้มครองหรือ ธรรมะที่นำมาบำเพ็ญนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือ เราต้องดูว่าสิ่งที่เรานำมาทำนั้นเราตั้งใจเต็มที่ไหม สิ่งที่เราทำนั้นเราลงแรงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตั้งใจจริงไหม อย่างเช่นวันนี้เราจะไปทำบุญตักบาตร แต่พอจะเดินออกไปลูกก็ไม่ให้ไป สามีก็ไม่ให้ไป เราก็ไม่ไปทำบุญแล้ว แล้วก็บอกว่าพระไม่ศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องหันกลับมาดูว่าที่เราจะไปนั้น เราทำหน้าที่เรียบร้อยหรือยัง บอกคนที่บ้านหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่เราจะไปโทษพระ โทษธรรมะ เราจึงต้องหันมาดูที่ตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก แล้วธรรมะนี้จึงจะเป็นแนวทางที่แท้จริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องทุกคนร้อนไหม มีวิธีแก้ร้อน ท่านลองนึกถึงเวลาที่ท่านต้องไปยืนกลางแดดที่ร้อนจัดๆ ตอนนี้อยู่ในห้องเย็นกว่าไหม (เย็นกว่า)  นึกถึงตอนที่ต้องทำงานกลางแดดหามรุ่งหามค่ำไม่หยุด ไม่กล้าที่จะหลบเข้าที่พักเย็นๆ เลยตรงนี้เย็นกว่าไหม (เย็นกว่า)  สบายกว่าไหม (สบายกว่า)  บางครั้งการจะดับความร้อนภายในใจของเรานั้น เราต้องคิดถึงสิ่งที่ร้อนกว่า บางครั้งเราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้เย็นกว่ากันเยอะ ใช่ไหม แต่ถ้าไปนึกถึงแอร์คอนดิชั่น นั่งนอนสบายใจ นั่งตรงนี้ร้อนกว่ากันเยอะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นควรคิดว่าดีกว่าไปนั่งตากแดดที่ไม่มีที่ร่ม ดีกว่าไปนั่งอยู่ในห้องที่ไม่มีแม้พัดลม ตอนนี้แม้เราจะนั่งอยู่ในนี้ มีพัดลมตัวหนึ่งก็ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
“คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าความสามารถ”  ถ้าวันนี้มีบ้าน ๒ หลังให้ศิษย์น้องเลือก บ้านหนึ่งเขียนว่า “พุทธะ” อีกบ้านหนึ่งเขียนว่า “ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ อภิมหาร่ำรวย” ศิษย์น้องจะเลือกอยู่บ้านหลังไหน (บ้านพุทธะ)  จริงหรือ ไม่ค่อยอยากเชื่อนะ เพราะเอาเข้าจริงๆ ศิษย์น้องอยากไปทั้งสองหลังเลยใช่ไหม ถ้าเข้าไปในบ้านแห่งพุทธะ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง มีแต่ห้องว่างๆ แต่พอเข้าไปห้องอาจารย์ ดอกเตอร์อภิมหาร่ำรวยๆ มีทั้งสมบัติ ใบประกาศการเป็นดอกเตอร์ ศิษย์น้องอยากอยู่บ้านหลังไหม (บ้านพุทธะ)  ขอให้ไปอยู่จริงๆ นะ ไม่ใช่พอถึงเวลาจริงๆ ศิษย์น้องก็ไปอยู่บ้านคนร่ำรวย แต่ในความเป็นจริงของทุกๆ คน สิ่งแรกเมื่อมีชีวิตนั่นก็คือต้องมีเงินทองก่อน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่มีเงินทองแล้วจะเลี้ยงชีวิตได้อย่างไรใช่ไหม ไม่ใช่นะ ก่อนจะมีเงินทองต้องมีความรู้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากศิษย์น้องไม่มีความรู้ศิษย์น้องจะมีเงินทองได้หรือใช่ไหม แต่ความรู้ที่ศิษย์น้องศึกษานั้นมีอยู่สองอย่าง ๑. ความรู้เพื่อเสริมระดับภูมิปัญญาในการทำมาหากิน ๒. ความรู้ที่ทำให้เราศึกษาเพิ่มพูนปัญญาในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม แต่ทุกคนมักมุ่งเน้นที่จะศึกษาหาความรู้เรื่องการทำมาหากินกันมากกว่าคุณธรรมจริยธรรม ใช่ไหม (ใช่)  พอเรียนรู้มาแล้วก็เลยต้องหาในสิ่งที่เรียนรู้ สะสมและเป็นให้ได้เท่าที่เรียนรู้หรือใหญ่กว่าที่เรียนรู้มา แต่สิ่งที่เราเรียนรู้มา สิ่งที่เราหามาเมื่อเอาไปเทียบกับผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมแม้ไม่มีเงินกลับดูยิ่งใหญ่และน่าสรรเสริญกว่าคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตมีเงินมากมายเสียอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหลายต่อหลายคนเป็นถึงดอกเตอร์ เป็นถึงศาตราจารย์ แต่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในครอบครัวได้อย่างเป็นสุข ไม่สามารถคุยกับคนธรรมดาหรือคนในครอบครัวได้อย่างรู้เรื่อง บางครั้งลูกเรียนมาสูงกว่าก็มักจะบอกว่าแม่ไม่รู้เรื่อง พ่อไม่รู้เรื่องใช่ไหม ถ้ารู้ว่าลูกเรียนแล้วจะกลับมาว่าเราไม่รู้เรื่อง แม่ยอมให้ลูกไม่รู้เรื่องดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรียนรู้แล้วเรากลับลืมคุณธรรมแห่งความเป็นคน คุณธรรมแห่งความกตัญญูรู้คุณ เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแสวงหาความรู้ การแสวงหาเงินทองที่เราพูดมานั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิด แต่หามาแล้วเราต้องไม่ลืมคุณธรรมแห่งความเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดเป็นคนแล้วรู้จักแสวงหา แต่ทอดทิ้งซึ่งคุณธรรมแห่งความเป็นคน คุณธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคม คนเช่นนั้นแม้มีตำแหน่งใหญ่โต มีเงินทองมากมายก็ไม่น่าเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต่างกันแม้เขาจะเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้มากมาย แต่เขาเป็นคนที่อยู่กับใครก็ได้ รักทุกคนได้อย่างไม่รังเกียจ แถมยังมีน้ำมิตร น้ำจิต น้ำใจ เราก็รักเขาได้แม้ไม่ใช่ลูกหลาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีเราจึงไม่ควรที่จะทอดทิ้งคุณธรรม แต่อยู่ที่ว่าเมื่อถึงเวลาจริงแล้วเราเลือกทำหรือไม่ เพราะเมื่อถึงเวลาจริงแล้ว คนมักไม่ยอมทำ พอจะทำเขินอาย ใช่ไหม (ใช่)  บางทีจะสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ก็รู้สึกอายเพื่อน เรียกแม่แต่ไม่ยอมยกมือสวัสดี เป็นน้องต้องเรียกพี่แต่ไม่เรียก เรียกแต่ชื่อ เพราะอะไรกัน สิ่งที่ควรจะอายเรากลับไม่อาย เราไปละอายสิ่งที่ไม่น่าละอาย อย่างนี้เรียกว่าคนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องของชีวิต แล้วเราอยากเป็นคนไม่รู้เรื่องของชีวิตไหม ก็ไม่อยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราก็ต้องรู้จักที่จะมีจิตสำนึกและมีสติตามให้ทันใช่ไหม (ใช่)  ทำไมกลัวให้ความดีกับเขาไปแล้ว ให้คุณธรรมกับเขาไปแล้ว ให้แล้วกลัวจะหมดหรือไม่ คุณธรรมไม่เหมือนเงินทอง ยิ่งให้เรากลับยิ่งมี ยิ่งให้เรากลับยิ่งสว่างไสวในคุณธรรมข้อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเราไม่เคยเป็นคนที่พูดเพราะๆ กับพ่อแม่ วันนี้เราก็พูดเพราะ คำก็ครับสองคำก็ครับ รับรองเราจะรู้สึกว่าลิ้นไม่แข็ง คำพูดไม่ตะกุกตะกัก พูดกับพ่อบ่อยๆ พอฟังแล้วย่อมรื่นหู ขออะไรย่อมได้ไหม (ใช่)  ระหว่าง “พ่อขอตังค์หน่อย” กับ “พ่อครับขอตังค์สิบบาทได้ไหมครับ” รับรองได้แน่ กับพ่อสิบบาทๆๆๆ (ใช้น้ำเสียงไม่สุภาพ)  ได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นเราต้องรู้จักให้ คนเรานั้นมีอยู่สองอย่างเอง ไม่เป็นคนดีก็เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเลือกเป็นอะไร แม้ตัวจะยังไม่ปรากฏ แต่บางครั้งวาจาก็ปรากฏแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าการกระทำหรือคำพูด สิ่งใดที่เป็นสิ่งดีให้ทำไปเถอะ อย่าได้กลัว อย่างได้ตระหนี่ แต่ถ้านั่งอยู่ตรงนี้ใจลอย ใจลังเลสงสัยจะเชื่อเด็กคนนี้ ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศิกดิ์สิทธิ์คิดแค่นี้ก็ฟังเราไม่รู้เรื่องจริงไหม (จริง)  เราเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า จิตใจนั้นหากมีความสงสัยหรือความกังวลใจ ถ้าหากอยู่ในใจก็คงคล้ายๆ กับน้ำที่มีตะกอน แม้จะมีอะไรตกผ่านมาก็ยากจะมองเห็นได้เด่นชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องทำอย่างไร เราจึงจะสามารถมองเห็นสิ่งที่ผ่านมาในใจ หรือสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตได้ นั่นก็คือต้องปล่อยให้จิตใจนั้นใสหรือนิ่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความวุ่นวายนั้นเมื่อเจอกับความวุ่นวายก็มีแต่พังพินาศ ถ้าเกิด มีความวุ่นวายมา แต่ภายในใจและร่างกายนี้สงบ ความสงบนี้จะช่วยจัดการกับความวุ่นวายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราวิ่งๆๆ แล้วเรานั้นจะมองเห็นคนที่ผ่านมาชัดเจนไหม ถ้าเทียบกับการค่อยๆ เดิน ค่อยๆ เดิน อันไหนเห็นชัดกว่า (ค่อยๆ เดิน)  แต่ถ้าเกิดจะเปลี่ยนจากเดินเป็นหยุดมองอันไหนชัดเจนกว่า (หยุดมอง)
บางครั้งชีวิตของมนุษย์นั้นที่ว่าวุ่นวายมองเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจนก็เพราะว่าใจเราไม่สงบ ถ้าใจเราสงบนิ่ง เราจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบชีวิตได้แจ่มชัด สมมติศิษย์พี่วิ่งๆๆ อยู่ มีคนบอกว่าเอาทองมาให้นะ ถ้าเป็นตัวศิษย์น้องๆ จะทำอย่างไร (หยุด)  ถ้าเกิดวิ่งๆ อยู่เจอทองตกอยู่ หยุดก่อนแล้วค่อยเก็บ แล้วก็วิ่งๆๆ ต่อไป แล้วถ้าเกิดเห็นทองอีกเส้นหนึ่ง แต่ช่วงที่เก็บได้ดูไหมว่าทองจริง ทองปลอมหรือทองเก๊ ไม่ได้ดูเพราะเห็นทองอีกเส้นหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของศิษย์น้องก็เหมือนๆ กัน ตื่นขึ้นมาก็พยายามหาๆๆ วันนี้ต้องไปหาตรงนี้นะ หาตรงนี้เสร็จก็ไปหาตรงโน้นใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจนั้นสงบไหม (ไม่)  จิตใจก็พยายามวิ่งๆ อยู่ตลอดเวลา ยังแสวงหาอยู่ตลอดเวลา ต้องหาให้ทัน ต้องหาให้ได้ ต้องหาให้เยอะๆ ใช่ไหม พอหามาได้ พอได้มาปุ๊บเป็นอย่างไร ไม่ค่อยดีหรอกต้องหาต่ออีกเส้นหนึ่งใช่ไหม หาเช้าจรดเย็นพอกลับมาดู ตายเหนื่อยแทบตายหยิบของปลอมมานี่เอง ใช่ไหมศิษย์น้องเคยเป็นไหม (เคย)  บางทีหาแทบตายขาดทุน ก็เพราะมัวแต่หวังต้องกำไรอย่างนี้ ก็หาๆ แล้วลืมดูตอนที่ได้มาใช่ไหม มัวแต่คุยๆ พอรับเงินทอนมามานั่งสำรวจ ว้ายเราทอนเขาเกินนี่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกไม่ใช่เกิดมาเพื่อวิ่งๆๆ เพื่อจะหา บางครั้งต้นชีวิตต้องวิ่งก่อนแล้วค่อยนิ่ง นั่นก็คือนิ่งเพื่อสำรวจสิ่งที่ตัวเองจะไปแสวงหาก่อน ช่วงที่ไปแสวงหาใจต้องนิ่งแต่กายเคลื่อน พอใจวุ่นวายใจเคลื่อนไปด้วย รับรองไม่ได้ผลดีหรอกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในทางกลับกันนั้น การที่เราจะหยุดความวุ่นวายที่แท้จริงได้ นั่นก็คือทุกสิ่งเกิดมาเพราะกายเคลื่อนไหว เราอยากจะหยุดการเคลื่อนไหวทั้งมวลก็คืออยู่นิ่งๆ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง เพราะมนุษย์เราไปกระทำทั้งสิ้น เราอยากหยุดรัก โลภ โกรธ หลง หยุดนิ่งๆ ได้ไหม เราอยากไม่ต้องคิดก็ต้องหยุดเฉยๆ ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมไม่ได้ล่ะ แล้วจะเอาอะไรมาทาน มีลูกต้องเลี้ยงใช่ไหม (ใช่)  แต่ในความหมายของศิษย์พี่ไม่ใช่ให้ศิษย์น้องทิ้งทุกอย่าง แต่ความหมายของศิษย์พี่นั่นก็คือว่า บางครั้ง เหตุที่ต้องงก เหตุที่ต้องวุ่นวาย ใจที่ไม่สงบ เราสามารถตัดสามสิ่งนี้ได้ก็โดยการที่รู้จักหยุดนิ่งบ้าง บางครั้งหาเงินมากเหนื่อย เราจะหยุดความเหนื่อยได้อย่างไร ไม่ใช่เหนื่อยอย่างเดียวแล้วทุกข์ ทุกข์แล้วเป็นอย่างไร แก่งแย่งกับเขาใช่ไหม บางครั้งแก่งแย่งอย่างเดียวไม่พอยังขาดมิตรเกิดศัตรู ใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรก็คือรู้จักพอบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างลูกบางครั้งเป็นห่วงจนเกินไปเรารักเขาใช่ไหม แต่บางครั้งทุกคนมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง เราจึงต้องรู้จักปล่อยบ้าง เมื่อปล่อยบ้างเราทุกข์น้อยลง ใช่ไหม (ใช่)  จึงมีคำกล่าวว่า “ปราชญ์นั้นไม่ต้องไปแสวงหาก็รู้ได้ ไม่ต้องไปมองก็เข้าใจได้ ไม่ต้องทำอะไรก็สัมฤทธิ์ผล” เข้าใจตรงนี้ไหม
ถ้าศิษย์น้องมีชีวิตสามารถทำได้สามสิ่งนี้ ศิษย์น้องจะสามารถดับความวุ่นวาย ดับความทุกข์ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเชื่อไหม (เชื่อ)  บางครั้งเราไม่ออกนอกบ้าน ศิษย์น้องก็เรียนรู้เรื่องภายนอกได้ บางครั้งประสบการณ์ที่เรียนรู้มาทำให้ศิษย์น้องไม่ต้องมองก็เดาได้ อย่างเช่นศิษย์น้องมีเพื่อนบ้าน เขาเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห แล้วก็ไม่ค่อยรักใคร พอเขาโดนคนเอาปืนมายิง ศิษย์น้องสามารถเดาได้ไหมว่าเพราะอะไรเขาถึงถูกยิง อย่างนี้เขาเรียกว่ารู้โดยไม่ต้องเห็น เข้าใจโดยที่ไม่ต้องแสวงหาใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าศิษย์น้องมีประสบการณ์ ศิษย์น้องเคยเรียนรู้ชีวิต แล้วศิษย์น้องก็เคยเจอมากับตัวเองแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วคำว่า “สัมฤทธิ์ผลโดยมิต้องกระทำ” ก็คือเขาทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เราไม่ต้องไปจัดการอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนก็เท่านี้เอง แต่จะมีใครสักกี่คนเข้าใจสามสิ่งที่เมื่อสักครู่ศิษย์พี่พูดบ้าง เข้าใจแต่ถึงเวลาจริงๆ อับจนหนทางมองไม่เห็นตัวเอง เห็นคนอื่นเขาเป็นอย่างนี้ๆ เราสามารถเดาออกได้ว่าต่อไปเขาจะเป็นอย่างไร แต่พอมองตัวเองกลับมองไม่เห็น เพราะว่าเรามักเข้าข้างตัวเองไม่ยอมเห็นผิดใช่ไหม (ใช่)  เห็นแต่ดี อย่างนี้ก็ดี แต่ที่ผิดนั้นไม่ใช่หรอก ไม่แน่ ไม่จริงใช่ไหม จึงต้องแสวงหา ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ ต้องไปมองเพื่อให้รู้เห็นใช่ไหม (ใช่)  ฟังแล้วยากเกินไปหรือเปล่า ศิษย์พี่พูดยากไหม (ไม่ยาก)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาสมมติให้ทอฟฟี่เม็ดใหญ่เป็นทองคำสิบบาท แล้วให้ทำท่าดีใจเมื่อได้ทองคำ เสียใจเมื่อไม่ได้)
มีวิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งอย่างเช่น ลองทดสอบสถานการณ์ ถ้าสมมติว่านี่เป็นทองคำสิบบาท เวลาท่านได้เป็นอย่างไร (ดีใจ)  เวลามีคนมาโกรธ เวลามีคนมาด่าสมน้ำหน้า มากระทบอะไร ตัวเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ ลืมเป็นตัวของตัวอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีทองยิ้ม เวลาไร้ทองเศร้า แต่มีใครบ้างเวลาได้ทองทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ เวลาโดนว่าทั้งดีใจและทุกข์ใจ นี่คือคนที่รู้จักและเข้าใจชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  และเอาสิ่งที่รู้นั้นมาสอนใจเรา เวลามีอะไรเกิดขึ้นแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้จักผลแห่งการมีชีวิตอยู่ ใช่ไหม ไม่ใช่เวลาได้ทอง ก็ดีใจ เสียทอง โดนว่า ก็ทุกข์ใจ มนุษย์เรามักจะเป็นแบบนี้ ดีก็ดีสุดชีวิต เศร้าก็เศร้ามากใช่หรือเปล่า อย่างนี้เราไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่สามารถสงบได้ ฟ้ากับดินถึงแม้จะสงบ เราก็รู้สึกว่าฟ้าช่างไม่สดใส ดินช่างหม่นหมองเสียนี่กระไร แต่ถ้าใจเราสงบ ฟ้าแม้มืดมน เราก็ดูเป็นทัศนวิสัยที่แปลกตา ดินแม้จะกระเพื่อมไหวแตกร้าว เราก็มองเป็นทัศนวิสัยที่สะท้อนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจเราไม่สงบ วุ่นวายเป็นทุกข์ ไม่ได้ทองแล้วฟ้าทำไมไม่สวยเลย ดินช่างไม่ยุติธรรมเลย เพื่อนเราช่างไม่เห็นใจเลย มองอะไรแย่ไปหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรารู้จักนำมาสอนชีวิต เราจะได้รู้จักทั้งทุกข์และสุขในคราวเดียวกัน ไม่ปล่อยให้ชีวิตนั้นกระเพื่อมไหวไปตามสิ่งที่มาสัมผัสกายกระทบใจ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่เราสามารถสงบได้ เราย่อมมีใจที่จะศึกษาธรรม แต่ถ้าเมื่อใดที่ใจเรายังวุ่นวายอยู่กับได้ เสีย ทุกข์ สุข ดี ร้าย แม้มีธรรมอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้เรื่อง จริงไหม (จริง)  จริงเสียยิ่งกว่าอะไรเสียอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านคงเข้าใจแล้วนะว่า บางครั้งเราจะสามารถมีเวลามาศึกษาธรรมได้ มีจิตใจที่สามารถฟังธรรม แล้วสามารถเอาธรรมมาน้อมนำใจได้นั่นก็คือ เราต้องรู้จักสงบบ้าง เราต้องรู้จักเรียกหาความสงบให้กับชีวิตบ้าง แล้วเราก็จะรู้จักเรียนรู้ชีวิตได้ทั้งสองด้าน ไม่ติดด้านใดด้านหนึ่งตนเกินไป จริงไหม (จริง)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกว่ามีศิษย์น้องสองท่านบอกว่า ให้ตัดทีเดียวบางทีนั้นก็ตัดยาก แม้จะรู้แล้วบางครั้งก็ยังทำยากอยู่ ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งหยิบผลไม้บนโต๊ะพระให้มากที่สุดเท่าที่จะหยิบได้ แล้วเปลี่ยนให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกท่านหนึ่งลองหยิบให้มากที่สุดเช่นกัน)
โดยปกติมนุษย์นั้น มีความจำเป็นอันจำกัด แต่มีความปรารถนาอันไม่จำกัด ศิษย์น้องได้อะไรจากที่ศิษย์พี่ให้ดูการหยิบผลไม้บนโต๊ะพระบ้างไหม ปกติมนุษย์เรามีความโลภกันทุกๆ คน ไม่มากก็น้อย แม้เราจะมีร่างกายอันจำกัด แต่ถ้าบอกให้หยิบ ศิษย์น้องจะหยิบเท่าที่ตัวเองหยิบได้มากที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันศิษย์น้องถ้าไม่มีธรรมะเขามาขัดเกลาจิตใจ ไม่มีธรรมะมายับยั้งใจ ศิษย์น้องก็จะแสวงหาให้มากที่สุด แม้ตอนนี้ยังหยิบไม่ได้ ก็ต้องหยิบใหม่ หยิบให้ได้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์น้องนั้นช่วงที่หยิบเคยนึกถึงกำลังตัวเองไหม บางครั้งไม่นึกถึง แล้วนึกถึงผู้อื่นไหม นึกถึงเวลาไหม นึกถึงชีวิตไหม ไม่นึกถึงเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอหามาได้ใครเล่าทุกข์ จะเดินไปอย่างไรไหวละ ใช่ไหม (ใช่)  เดินไม่ไหวอย่างเดียวเป็นอย่างไร เกิดปัญหาจะเก็บที่ไหนดี บางทีเก็บไม่หมดทำอย่างไรดี
มนุษย์เราแสวงหาอย่างเดียวไม่พอยังชอบเก็บสะสม แต่ถ้าเทียบกับสัตว์ สัตว์นั้นพอหากินอิ่มแล้วเป็นอย่างไร (นอน)  นอนอิ่มพักผ่อน ศิษย์น้องอิ่มแล้วทำอย่างไร (หาต่อ)  หาให้ได้ยังไม่พอ ยังเก็บอีกใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าศิษย์น้องโลภยิ่งกว่าเขาอีกนะ ทั้งโลภทั้งงก คิดถึงตัวเองอย่างเดียวไม่พอ ยังไม่คิดถึงคนอื่นด้วย ใช่ไหม (ใช่)  คิดถึงเฉพาะครอบครัวตนเอง ส่วนรวมช่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องโหดร้าย จริงไหม
(ศิษย์พี่เมตตาเขียนกระดานโดยเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ๆ และค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ บนกระดาน)
นอกจากมือเรามีจำกัดแล้ว ตาเราก็จำกัดด้วย หูเราก็จำกัดด้วย ใช่ไหม (ใช่)  ลองดูนะนี่ศิษย์พี่เขียนอะไร บางคนมองไม่เห็นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ชีวิตนี้จะมองไม่เห็นก็หาไว้ก่อนงกไว้ก่อน แล้วพอไปถึงสมหวังได้อย่างสมหวังไหม (ไม่ได้)  บางทีก็ไม่สมหวังอีก ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนได้แอปเปิลลูกหนึ่งยังไม่พอ ขอเพิ่มอีกสองลูก สองลูกก็ยังไม่พอ ต้องเปลี่ยนเป็นสาลี่ ชมพู่ อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกข์ไหม ฉะนั้นศิษย์น้องจึงต้องรู้จักตัดคำว่า “แสวงหา” บ้าง แล้วเราจะมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุขในที่นี้ไม่ต้องไปไกลเลย สุขโดยการที่เราได้ในสิ่งที่พอใจแล้ว ไม่มีอีกลูกก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ต้องมีอีกสิบๆ ลูก และมีอีกสิบๆ ลัง อย่างนี้เหนื่อยเกินไปไหม เห็นแก่ตัวหรือเปล่า เกิดเป็นคนมีเรื่องเห็นแก่ตัวเป็นอันดับหนึ่ง และอารมณ์หวั่นไหวไปโดยไม่สนใจผิดชอบชั่วดี คนๆ นั้นแม้เป็นคนก็เป็นคนที่ไม่ประเสริฐจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดเป็นคนแล้วไม่ค่อยเห็นแก่ตัว อารมณ์หวั่นไหวยาก คนๆ นั้นแม้จะไม่บำเพ็ญก็เท่ากับใกล้ไปสู่การบำเพ็ญแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะต้องรู้จักตัดและควบคุมตนเองบ้างได้ไหม (ได้)
ถ้าคราวนี้ตาเราก็จำกัด มือเราก็จำกัด หูก็จำกัด ความจำกัดของชีวิตมนุษย์เราหรือตัวตนมนุษย์นั้น บางครั้งก็เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกัน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ได้ยินก็จงบอกว่าไม่ได้ยิน จะได้ตะโกนให้ดังๆ ให้ได้ยิน หรือพูดเสียงดังให้ได้ยิน เมื่อไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้ ไม่เช่นนั้นแล้วความจำกัดของร่างกายนั่นแหละ จะเป็นอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  พอท่านไม่ได้ยินมากๆ เราก็ยังพูด แล้วท่านก็ไม่บอก น้องเอ๋ยจะไปไหน น้องเอ๋ย ทำไมไม่ตอบสักที เดี๋ยวศิษย์น้องก็จะว่าศิษย์พี่ว่าทำไมไม่ตอบสักที ใช่ไหม หรือศิษย์น้องบอกว่า ทนไม่ได้แล้ว ศิษย์พี่พูดอะไรอยู่นั่นแหละ อยู่แต่ในลำคอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การอยู่ร่วมกันบางครั้ง ความอดทนแม้เป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้ ถ้าไม่ได้ยินก็จงบอกว่าไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจก็จงบอกว่าไม่เข้าใจ บางครั้งการอยู่ร่วมกันก็อย่าอ้อมมาก ที่ควรตรงก็ต้องตรง ที่ควรอ้อมก็ต้องอ้อม และอะไรอ้อม อะไรตรงล่ะ ว่าเขาไปว่าทำไมไม่พูดให้ดังๆ อย่างนี้อ้อมหรือตรง อ้อมและตรงผสมกัน ทำไมจึงบอกว่าตรงและอ้อมล่ะ เพราะใส่อารมณ์ลงไปด้วยใช่ไหม (ใช่)  เดินไปแล้วบอกว่าทำไมไม่พูดให้ดังกว่านี้หน่อย ใช่ไหม (ใช่)  อยู่ร่วมกันเธอเดินมาหาสิ เดินมาบอก ไม่ใช่กวักมือเรียกเขา เดินมาบอก แต่ตัวเองอยู่กับที่ แล้วก็ทะเลาะกันอยู่อย่างนี้ เพราะไม่ยอมกัน ดังนั้นไม่ใช่อดทนอย่างเดียว แต่ต้องยอมให้กันด้วยจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
แม้เราไม่เห็นแต่อาจเข้าใจในบางเรื่องใช่ไหม (ใช่)  ค่อยๆ ฝึกไปนะ แล้วศิษย์น้องก็จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญได้ดี มนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าเดินสองขาหรือสี่ขา ได้ทำความผิดมาไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าผิดแล้วเราไม่รู้จักแก้ไข ย่อมเป็นหายนะ แต่ถ้าผิดแล้วรู้จักกลับหันหลังก่อนที่จะไปไกล เป็นเรื่องน่ายินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อผิดแล้วรู้จักแก้ไขในช่วงที่ควรจะแก้ไขเรียกว่าน่าสรรเสริญ เพราะว่าในความผิดนั้น มากที่สุดคือหายนะ รองลงมาคือน่ายินดี และดีที่สุดก็คือทำให้เราเป็นผู้น่าสรรเสริญ แต่ว่าความผิดนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะโหดร้ายเสมอไป อยู่ที่ว่าผู้ที่ดำเนินชีวิตนั้นกระทำเช่นไรเมื่อเจอความผิด ทุกคนผิดได้ไม่ว่าสองขาหรือสี่ขา เมื่อผิดแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องแก้ไขก่อนที่จะไปไกล และรีบแก้ไขในช่วงที่ควรจะแก้ไข แล้วจะเป็นผู้ที่น่ายกย่องใช่ไหม (ใช่)  แต่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่ง มนุษย์ทุกๆ คนบางครั้งทำไปโดยไม่รู้ตนเอง นั่นคือความน่ากลัวของมนุษย์ ทำไปโดยไม่รู้ตัวว่าทำไปแล้วผิด แต่อีกแบบหนึ่ง ทำไปแล้วขาดละอายและสำนึก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการเกิดเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคนแล้วทำผิด ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ และขาดซึ่งความสำนึกและความละอาย การขาดความสำนึกและละอายนั้น ทำให้ศิษย์น้องเผลอทำผิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก หลายต่อหลายคนเมื่อทำผิดละอายไหม ไม่ละอาย กลัวก็ไม่กลัว แล้วก็มีความสุขและสนุกสนาน ทำผิดแล้ว โกหกไปครั้งหนึ่ง มีความสุขที่โกหกได้และยังหัวเราะคนที่ถูกโกหก ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทำผิดนิดเดียว บาดเจ็บก็ไม่เห็นเลือดไหล กลัวทำไม แต่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ในบรรดาศีลทั้ง ๕ ข้อ ถ้าทำผิดข้อหนึ่ง อีกสี่ข้อที่เหลือก็จะทำได้หมด ให้ทายว่าข้อที่เท่าไหร่ (ข้อโกหก)  เพราะโกหกเป็นความผิดที่น้อยที่สุดใน ๕ ข้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าความผิดเล็กที่สุดยังทำผิดได้ และเรื่องอะไรใหญ่ๆ จะทำไมได้หรือ ก่อนคนเราจะทำผิดที่น่ากลัวอันใหญ่ๆ จะต้องทำผิดเล็กๆ มาก่อนทั้งนั้น แล้วศิษย์พี่ก็เชื่อว่าในห้องนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยโกหก เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกว่า ถ้าทำผิดเล็กๆ น้อยๆ เราทำได้ ความผิดใหญ่ๆ เราก็ต้องทำใช่ไหม (ใช่)  เพราะความผิดเล็กๆ น้อยๆ ถ้าหากทำผิดแล้วก็สามารถทำให้เกิดความผิดที่ใหญ่ได้เพราะขาดความละอาย ทำไมคนเราจึงกล้าทำผิดล่ะ นอกจากไม่กลัวและความเคยชินแล้วมีอะไรอีก (ขาดธรรมะ, ความโลภ)  อย่างเช่นสูบบุหรี่ รู้ว่าไม่ดีทำไมจึงสูบ เพราะอะไร (ความอยาก)  บางครั้งเราก็อยากลองอยากรู้อยากเห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  พออยากแล้วก็เลยติด ติดแล้วก็แก้ไม่ได้ แล้วมีอะไรอีกที่สามารถทำให้เราทำความผิดได้ เหมือนเรือลำใหญ่ๆ หากมีรูรั่วเพียงนิดหนึ่งเรือล่มไหม (ล่ม)  ในชีวิตเราสะดุดหินก้อนใหญ่ไหม (ไม่ค่อยสะดุด)  แต่เราจะสะดุดก้อนเล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงไม่ควรที่จะประมาทแม้ความผิดเล็กๆ น้อยๆ อย่าบอกว่าเล็กๆ ไม่เป็นไร ใหญ่ๆ สิน่ากลัว ไม่ถูกใช่ไหม เล็กๆ ก็น่ากลัว ใหญ่ๆ ก็ไม่ควรทำใช่ไหม (ใช่)  และอีกอย่างหนึ่งทีน่ากลัวยิ่งนักนั่นก็คือว่าบางครั้งเรารู้จักว่าอะไรดีอะไรชั่วแล้ว แต่ความดีความชั่วนั้นกลับไม่สามารถที่จะทำให้เรากลัวใช่ไหม ทุกคนกลัวที่จะต้องตกนรกใช่ไหม แต่พอทำผิดนึกถึงนรกไหม (ไม่นึกถึง)  ฉะนั้นก่อนที่จะทำอะไรผิด ขอให้ศิษย์น้องคิดถึงความกลัว ให้กลัวถึงขนาดขนลุก ให้กลัวถึงขนาดว่าตัวเองต้องตกอยู่ในห้วงอเวจีหรือหุบเหวอันมืดมิด ถ้ากลัวขนาดนี้แม้ผิดเล็กๆ ก็ไม่ทำ แล้วใหญ่ๆ ไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ว่าศิษย์น้องไม่กลัวไม่ละอายคนๆ นั้นเกิดเป็นคนก็ยากเรียกได้ว่าเป็นคนที่ดีได้ เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับโจรผู้ร้ายที่คอยรีดเนื้อใช่ไหม (ใช่)  โดยที่ตีท้ายครัวบ้าง แอบทำตอนลับหลังบ้าง หากท่านมีลูกสองคน คนหนึ่งต่อหน้าทำอย่างไรลับหลังก็ทำอย่างนั้น แต่ว่าอีกคนต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ท่านรู้แล้วท่านจะทำอย่างไร แล้วสองคนนี้ต่างกันเพราะอะไร รู้ก็เสียใจ แต่เรารู้เราไม่ควรลงโทษ แต่เราควรชี้นำให้เขาแก้ไขตัวเองและทำให้ดี และที่เขาต่างกันเพราะอะไร เพราะละอายไหม กลัวไหม เขาไม่กลัวใช่ไหม บาปยังไม่กลัวแล้วพ่อแม่เขาจะกลัวหรือ ฉะนั้นคนเราจึงต้องเรียกร้องคุณธรรมจากจิตใจของศิษย์น้อง ก็เพราะว่าขนาดธรรมยังไม่มี แล้วพ่อแม่เขาจะรักหรือ ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงไม่ควรทอดทิ้งคุณธรรม แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่เคยบอกว่าให้เลียนเสียงลิง เสียงม้า แล้วศิษย์น้องก็เลียนเสียงได้ แต่ให้เลียนเสียงแบบพุทธะ ฝึกแบบพุทธะ ทำไมไม่มีใครทำได้เหมือนสักคน พุทธะพูดช้าๆ ทุกถ้อยคำมีแต่ธรรมะ ทุกถ้อยคำล้วนสอนใจ สะท้อนสะเทือนจิตใจ แต่มนุษย์เราทุกคำพูดที่พูดออกมาไม่เป็นลิงก็เป็นค่างใช่ไหม ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจึงต้องรู้จักเลือกเรียนให้กับชีวิตตัวเองใช่ไหม เลือกนำพาชีวิตตนเอง ฉะนั้นเวลาศิษย์น้องมีชีวิตอยู่ อย่าได้ทอดทิ้งธรรมะ ทุกขณะจิตหากมีธรรมะ ทุกขณะจิตไม่ว่าจะกระทำอะไรขอให้คิดถึงธรรมะ ทำแล้วถูกต้องไหม ทำแล้วผิดบาปหรือเปล่า เมื่อทุกขณะจิตไม่ว่าพูดหรือทำ แม้จะทำช้าไปนิด หรือแม้จะพูดช้าไปนิด แต่ทุกขณะจิตมีธรรมย่อมเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ ธรรมะจะช่วยควบคุมจิต ธรรมะจะช่วยอบรมบ่มเพาะใจให้สุกใส ไม่ให้ประพฤติผิด แล้วธรรมะยังเป็นแนวทางสอนให้กับชีวิตสู่ชีวิตอันร่มเย็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยากก็ขอให้ศิษย์น้องพยายามนึกอยู่ทุกขณะว่า ไม่ว่าพูดหรือว่าทำขอให้มีคุณธรรม อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีขอให้ขัดทิ้งล้างทิ้ง อย่าปล่อยให้พอกพูนในจิตใจ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นความเคยชินเป็นนิสัยที่ไม่ดีทำลายความเป็นพุทธะหรือบริสุทธิ์ในดวงใจจริงไหม (จริง)  ศิษย์ก็เหมือนกับลำธารหนึ่งที่ก่อนจะเป็นลำธารนั้นเหมือนกับฝนหล่นลงมาสู่ดิน เมื่อหล่นลงมาสู่ดินแล้ว หากรักษาความสุกใสสะอาดได้ ลำธารนั้นไม่ว่าจะลัดเลาะที่ใด ก็นำพาแต่สิ่งที่สดชื่นใสสะอาดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าช่วงที่ไหลไปสู่แต่ละที่ ทุกขณะที่ไหลเอาความสกปรกติดตามมาด้วย เอาความแปดเปื้อนติดตามมาด้วยแม้จะไหลไปได้ทุกๆ ที่ก็ไม่เป็นที่ปรารถนา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ลืมว่าเราเคยเป็นน้ำที่ใส น้ำขุ่นไม่ใช่จะกลับใสไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคือน้ำ หากจิตของศิษย์น้องคือน้ำ แม้วันนี้จะขุ่นไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าขุ่นแล้วจะใสไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจิตใจจะมีมลทินมาก จิตใจจะดีบ้างร้ายบ้างก็ไม่ใช่ว่าจะดับร้ายทิ้งไม่ได้ใช่ไหม อยู่ที่ว่าศิษย์น้องจะยอมขัดเกลาตัวเองไหม จะยอมพลิกฟื้นจิตใจอันดีงามให้มาสู่ตัวเราไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำบุญเราก็ชอบ ไหว้พระฟังธรรมเราก็ชอบ แต่ว่าการปฏิบัติธรรมเท่านั้นไม่พอ เราต้องมีทั้งกายและใจ เมื่อเวลาเราทำบุญ เรามีใจให้ทาน เมื่อเรามีชีวิตอยู่เรามีใจให้ทานกับเพื่อนไหม ให้ทานไม่จำเป็นจะต้องเป็นเงิน แต่ให้ด้วยคำพูด ให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยอภัย นั่นก็เป็นการให้ทานแล้ว กับลูกหากเขาทำผิดเราให้อภัยเขาไหม หากเราให้อภัยเราก็สามารถให้ทานแล้ว ก็คือให้ทานในการปฏิบัติจริง ใช่หรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องเป็นผู้ปฏิบัติได้ทั้งกาย วาจาและใจ อยู่ในวัดเราสงบ เราไม่พูดมาก ไม่นินทาใคร มีจิตใจตั้งใจนึกถึงพระ ออกไปข้างนอกก็ขอให้สงบ ทุกขณะจิตนึกถึงพระ อย่าไปนึกถึงมาร เมื่อไรที่นึกถึงมาร ใจก็จะเป็นอย่างไร โกรธา ฉุนเฉียวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้มีธรรมะอยู่ทุกขณะจิต แล้วศิษย์น้องก็จะเป็นผู้ที่สามารถนับถือพุทธได้ถ่องแท้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แข็งอ่อนต่างแต่โดยธรรมชาติสมานฉันท์”  บางครั้งเราอยู่ร่วมกันกับบางคนเราก็สามารถทำงานได้อย่างสนิท แต่กับบางคนทำไมทำงานแล้วมีแต่ทะเลาะกันขัดแย้งกัน เพราะว่าบางครั้งความคิดเขากับความคิดเราไม่ตรงกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บุคลิกลักษณะนิสัยก็ไม่เหมือนกัน แต่ศิษย์น้องเคยเห็นไหมว่าแม้ไม่ตรงกัน แต่ถ้าทำงานร่วมกันได้อย่างดี การมองเห็นคนละอย่างกันก็เป็นส่วนที่ช่วยเสริมซึ่งกันและกัน คนๆ หนึ่งมองเห็นได้หนึ่งด้าน แต่ถ้าคนสองคนเห็นคนละด้านยิ่งเป็นการดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำว่า “แข็งอ่อน” ต่างก็เป็นการสอดคล้องกันอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นก็คือว่าฟ้ามีความใสเบา แต่ดินมีความหนักขุ่นข้น แต่ถ้าเกิดว่าฟ้าไม่ยอมดิน มนุษย์จะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นความแตกต่างกันแม้จะแตกต่างกันโดยธรรมชาติ แต่ในความแตกต่างกันนั้นก็ยังมีส่วนที่เสริมกันแล้วก็เอื้อกันด้วยอย่างสอดคล้องเป็นเอกภาพใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกันบางครั้งทำไมคนนี้พูดถูกใจ คนนี้พูดไม่ถูกใจ เราต้องรู้จักเอาความไม่ถูกใจนั้นมาปรับชีวิตเราให้อยู่อย่างสอดคล้องและเสริมเกื้อกูลกัน เมื่อสามารถอยู่กับคนที่ต่างกันแล้วเสริมเกื้อกูลกัน ร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพ นั่นคือมนุษย์ที่สามารถอยู่ได้อย่างเลียนแบบฟ้าและเลียนแบบดิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบอกว่าฉันเป็นใจฟ้า เธอเป็นใจดิน แม้เขาจะเป็นใจดินหรือเราจะเป็นฟ้า แต่เมื่อฟ้าและดินอยู่กันได้อย่างกลมกลืนก็เป็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีแฟนขี้โมโหแต่เราต้องใจเย็น แฟนใจเย็นจนเกินไปบางครั้งเราต้องรู้จักกระตือรือร้นรวดเร็วทันใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเอาความต่างมาให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ถ้าในสังคมเราอยู่ในกลุ่มเพื่อน เพื่อนมีแต่เฉื่อยชา พอเราเข้าไปก็เฉื่อยชาด้วย กลุ่มนี้จะพัฒนาได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องเป็นตัวกระตือรือร้นแล้วทำให้กลุ่มพัฒนาขึ้น อย่างนี้เรียกว่าเอาธรรมชาติ เอาธรรมะมาสอนชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งสามีเราขี้บ่นจู้จี้ แต่เราต้องเป็นคนอะลุ่มอล่วยให้อภัย มีหนักก็ต้องมีเบา หนักเบาต้องสอดคล้องกันจริงไหม
ในกายของเราก็เหมือนกันมีลมปราณแห่งชีวิตคอยหมุนเวียน กายเราคือส่วนที่หนึก ลมปราณคือส่วนที่เบา หากไม่มีลมปราณจะมีชีวิตไหม หากมีลมปราณแต่ไม่มีร่างกายจะเรียกว่าชีวิตไหม กายเป็นส่วนที่นิ่ม กระดูกเป็นส่วนที่แข็ง หากมีแต่กระดูกไม่มีเนื้อหุ้มน่ากลัวไหม เกิดเป็นคนมีแต่ความอ่อนไม่มีความแข็งได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถึงคราวที่อ่อนก็จงอ่อน ถึงคราวที่ควรแข็งก็จงแข็ง ถ้าพ่อแม่ว่าเรา แต่เรากลับแข็ง ทำถูกไหม เมื่อพ่อแม่ว่ามา เราต้องอ่อนน้อม พ่อแม่พูดผิดเราต้องใช้ความอ่อนค่อยๆ บอกเรื่องเท็จจริงให้กับท่าน เพื่อนดีมาเราต้องดีตอบ เพื่อนทรยศมาเราต้องซื่อสัตย์ตอบ เอาความซื่อสัตย์ชี้ให้เขาเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลูกเราเนรคุณมา เราต้องทำเป็นแบบอย่างให้ลูกดู ตอนนี้ใครยังมีพ่อแม่อยู่ เราต้องทำให้พ่อแม่เห็น แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่แล้วจะทำอย่างไรดี ลูกไม่มีความกตัญญู เราต้องพยายามเอาความดีทั้งมวลทั้งหมดในโลกนี้มาทำให้ลูกเห็นใจเรา เพราะเราไม่รู้จะแสดงความกตัญญูที่ไหนแล้ว บางครั้งผู้ที่เป็นพ่อแม่ไม่รู้จะสอนอย่างไรแล้ว เพราะพูดไปก็สอนไม่ได้ ตัวอย่างที่ทำก็ไม่มีให้ทำใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์น้องทำได้ก็คือต้องพยายามเอาคุณธรรมที่มีอยู่ในโลกนี้มาสอนลูก พยายามทำให้ได้ แล้วลูกก็จะเปลี่ยนจากอกตัญญูมาเป็นกตัญญูเอง พ่อแม่ดีอย่างนี้ลูกจะเนรคุณลงหรือ ศิษย์พี่เคยบอกแล้วว่าบางครั้งอดทนไม่ไหวก็จงคิดด้วยธรรม บางครั้งคนยากจะเปลี่ยนใจง่ายๆ เหมือนตัวศิษย์น้องเองสอนก็แล้ว ทำให้เห็นก็แล้ว ทำไมลูกถึงดื้ออย่างนี้ ก็ถือว่าโลกเรามีสองส่วน ส่วนหนึ่งเรากระทำได้ อีกส่วนหนึ่งเรากระทำไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยส่วนที่กระทำไม่ได้ให้เป็นไปตามเวรและกรรม แล้วส่วนที่กระทำได้ก็ทำให้ดีที่สุด นี่คือการทำใจให้อยู่บนโลกนี้
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาส่งเสริมผู้ดูแลสถานธรรม)
งานนี้จะเกิดก็เพราะผู้ดูแลสถานธรรมร่วมแรงกันทำ แต่ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องหวานอมขมกลืนกันมากแค่ไหน ในการทำงานร่วมกัน ถ้าอยู่ร่วมกัน ศิษย์น้องไม่ให้อภัยกันไม่ยอมกัน ไม่รับกันให้ได้บ้าง แม้รับได้ก็ปากอย่างใจอย่าง ก็จะอยู่กันอย่างไม่เป็นสุขใช่ไหม การที่งานจะสำเร็จได้ไม่แค่ช่วยเหลือกัน แต่การจะช่วยเหลือกันนั้น ก็คือว่าใจต้องรับเขาได้ด้วย ต้องให้อภัยเขาได้ด้วยการรับได้ก็คือต้องทนได้ทั้งดีและร้าย คนทุกคนไม่มีใครที่จะมีดีไปหมด และไม่มีใครจะเป็นคนได้สมบูรณ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เคยกล่าวไว้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่สมบูรณ์เลย แล้วจะนับประสาอะไรกับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าการบำเพ็ญธรรมไม่ขัดเกลาไม่เจออุปสรรคเลย อย่างนี้ไม่เรียกว่า “บำเพ็ญ” บำเพ็ญธรรมเจอแต่สบายไม่มีลำบาก อย่างนี้ก็ไม่อาจจะเรียกว่า “บำเพ็ญ” ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ย่อมมีลำบากบ้าง แต่ลำบากของคนทุกคนต้องมี แต่มีแล้วก็ยังต้องอยู่และยังต้องทน หากทนได้เหนืออดทน คนนั้นก็เรียกว่า “ยอดคน” ยอมรับได้ในสิ่งที่คนอื่นยอมรับไม่ได้ คนนั้นจึงเรียกว่า “ผู้บำเพ็ญตน”
บางครั้งไม่มีอะไรได้มาง่าย แต่เราต้องไขว่คว้าเอง ธรรมะก็เหมือนกันอย่าได้รอเวลา เราต้องรู้จักที่จะไขว่คว้าเอาเองใช่ไหม บำเพ็ญธรรมะ แม้วันนี้จะได้มาศึกษา แต่ธรรมะนั้นจะมาอยู่ที่ตัวศิษย์น้องได้ และศิษย์น้องจะเป็นผู้บำเพ็ญได้นั้นไม่ใช่นั่งรออย่างเดียว แต่ตัวเราต้องเป็นผู้เดินเข้าไปหา ตัวเราต้องเป็นผู้ไขว่คว้าหาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อไรที่เราได้ศึกษาธรรมะแล้ว ทุกขณะที่เคลื่อนไหวขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดี สร้างแต่ความสันติ สร้างแต่ความสงบสุขให้แก่ชาวโลก ถึงแม้ว่าจะมีการแสวงหา แต่การแสวงหานั้นก็ไม่เป็นการแสวงหาที่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป ยังคำนึงถึงส่วนรวมด้วย ทำได้ไหม (ได้)  และไม่ว่าจะเคลื่อนไหวหรือไม่ว่าจะสงบนิ่ง ขอให้ภายในใจนั้นต้องมีธรรม อะไรที่จะขัดแย้งก็สามารถนำธรรมะมาใช้ได้อย่างสอดคล้อง ขอให้ศิษย์น้องบำเพ็ญธรรมะ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หัวใจต้องมีธรรมะ ความคิดต้องมีธรรมะ แต่ธรรมะทั้งกายและใจต้องเป็นธรรมะที่เที่ยงธรรมด้วย บ่อยครั้งที่เรามีธรรมะ แต่ใจเราไม่ค่อยเท่ยง เรามีสี่อย่างที่ทำให้ใจไม่เที่ยง นั่นก็คือ ความกลัว ใจก็ไม่เที่ยง, เมื่อวิตก, เมื่อทุกข์ใจ และเมื่อมีอารมณ์ ใจก็ไม่เที่ยง
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เอกภาพ”)
คำว่า “เอกภาพ” มนุษย์ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในโลกนี้ได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต่างก็มีน้ำใจ มีคุณธรรมในหัวใจ ขอให้รักษาคุณธรรมให้ดี บำเพ็ญให้ตลอด แม้จะพบความยากลำบากบ้างก็อย่าได้ยอมแพ้ จงรักษาเอกภาพให้กับโลกนี้ เมื่อใดที่เราสามารถรักษาเอกภาพให้กับโลกนี้ โลกนี้ก็จะสันติสุขและร่มเย็นได้ แต่ถ้าเมื่อไรต่างคนต่างแตกแยกกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ความวุ่นวายย่อมเกิดขึ้น ไม่ต้องมองไกล ถ้าใจของมนุษย์มีดีกับชั่วแยกกัน ความวุ่นวายย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อเอาแต่คิดชั่วแต่ไม่เคยคิดดี ก็เกิดความวุ่นวาย เมื่อบ่อยครั้งมีดี บ่อยครั้งก็มีความชั่วร้ายแฝงอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรมีความคิดชั่วร้าย จงเอาความดีนั้นชนะชั่วร้ายให้เหลือแต่ความดี บางครั้งพอใจเหลือดี แต่บางคนมีร้ายอยู่ เราจึงต้องเอาดีนี้ไปอยู่กับร้ายให้ได้อย่างสอดคล้องและนำพาเขา ตอนแรกเราจะเกิดสองใจ คือดีกับร้ายสู้กัน เมื่อดีสามารถชนะร้าย เรากลายเป็นคนดี เราก็ต้องไปเจอคนข้างนอกที่มีร้าย เราต้องเอาดีไปชนะเขาให้ได้ แต่ชนะเขาไม่ใช่เข่นฆ่าเขา แต่ต้องค่อยๆ น้อมนำเขา
ศิษย์พี่จะไปแล้วนะ วันนี้ทำให้เสียเวลานานต้องขอโทษด้วย


วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ. อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หนังท้องตึงหนังตาหย่อนหรือเปล่าศิษย์ การเคี้ยวข้าวดุจความคิดที่สุขุม
ไอแดดร้อนใจของเราอย่าร้อนรุ่ม รู้ควบคุมใจเราจากนี้ต่อไป
เราคือ
จึ้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า

คนลงแรงจึงมีดวงจิตชนะความหลง หัวใจไม่คิดเจาะจงไปตามชอบใจสิ่งใดดีงามรู้แล้วสร้างไป ปล่อยเวลาน่าเสียดาย การบำเพ็ญเน้นฝึกใจ
ศิษย์เราบางคนได้แต่หวังเป็นดั่งฝัน ทุกวันวอนขอธรรมะนำความสุขใจไม่ทำมาเองแล้วขอจากใคร คนช่วยคนไม่ไหวใครกันรอดพ้น อยู่บนทางบำเพ็ญเลิศร้ายตามกรรม อดทนถึงวันกาลหลุดพ้น การบำเพ็ญที่จริงไร้ปาฏิหาริย์ แต่พาคืนแดนฟ้า
เปลี่ยนแปลงจิตใจ ชะตาพร้อมเปลี่ยน เลิกเวียนว่ายยึดสัญญา กี่คนหรือกล้าหยัดยืน ตรากตรำจิตใจทุกวันเช้าค่ำ อย่าเลิกเพียรเพราะคำหยามเหยียด
* บางทีเราจนคำสื่อสารใจไร้ผู้ใดเข้าใจ วันเวลาแก้ปมไม่เหมือนใคร ชัดทุกอย่างจะชัด หากรักษาลมหายใจ มีเวลาอีกถมเพื่อพิสูจน์ใจให้อดทน (*)

เพลง: ปัญญาและความอดทน
ทำนองเพลง: สักวัน


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เรามาอยู่ที่นี่เป็นวันที่สองแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วร้อนหรือเปล่า (ไม่ร้อน)  จริงๆ เราก็คงมีความร้อนอยู่บ้าง แต่อยากให้คิดถึงคนที่ช่วยทำงานอยู่ข้างนอกใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าเขาร้อนกว่าเราหลายเท่าไหม (หลายเท่า)  ร้อนกว่าเราหลายเท่า แล้วอยากจะถามว่า การที่เรานั้นมาฟังธรรมะแล้วมีคนเสียสละเพื่อเราอย่างนี้ แสดงว่าเราเป็นคนที่มีค่ามากใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะบอกว่าเขาหลอกเราได้หรือไม่ (ไม่ได้)  อยากจะบอกว่าคนที่เขาตากแดดร้อนๆ ทำเพื่อเราตอนนี้เขาหลอกเราใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ต้องจ้างเท่าไรจึงจะให้เขาไปเดินตากแดดได้ทั้งสองวัน ต้องคิดดูดีๆ นะว่าตอนที่มีคนจริงใจต่อเรามากๆ เราต้องจริงใจตอบด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาตั้งใจให้เราทำอะไรในวันนี้ (ตั้งใจฟังธรรมะ)  เขาอยากให้เราฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งใจฟังธรรมะ เมื่อเราตั้งใจฟังเมื่อเรารู้ เราจึงจะไปตั้งใจปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราไม่ตั้งใจฟังสองวันนี้ เวลาเราอยากจะทำ เราจะทำถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าหากทำถูกบ้างผิดบ้างก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่สมบูรณ์แบบใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ทำได้ดีแล้วก็สมบูรณ์ด้วยจึงจะสำเร็จได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
สองวันนี้เรามาฟังอะไร (ธรรมะ)  ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ไหนลองควักใจของศิษย์มาให้อาจารย์ดูซิ ธรรมะอยู่ที่ใจแต่มองเห็นได้ด้วยการกระทำ เพราะฉะนั้นอยากให้คนอื่นรู้ว่าเรามีธรรมะ เราต้องปฏิบัติให้ผู้อื่นเห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกว่าเราเป็นคนดีแล้วบอกว่าคนดีคนนี้ไม่เคยทำดีเลย เราเชื่อไหมว่า เขาเป็นคนดี (ไม่เชื่อ)  หรือบอกว่าดีเฉพาะตัวเราเองก็พอแล้วพอไหม (ไม่พอ)  สมมติว่าเราอยู่ในบ้าน เราเป็นคนดีของบ้านเรา แต่เราไม่เคยทำอะไรที่เป็นความดีเลย ไม่เคยกวาดบ้านให้คนอื่นอยู่ ไม่เคยหุงข้าวให้คนอื่นกิน ถามว่าเราเป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ออกจะเป็นคนขี้เกียจเสียมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นความดีที่เรามีอยู่ อย่าบอกว่ามีเฉพาะตัวเราคนเดียว ต้องทำให้ผู้อื่นเห็นได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะคนไหนที่ต้องเห็นความดีของเรามากที่สุด คือตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนอื่นเห็นเราเป็นคนดีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมตัวเราไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนดีสักทีล่ะ บางทีเราทำความไม่ดีผสมไปกับความดี คนอื่นมองไม่เห็นความไม่ดี เขาบอกว่าเราเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรายังบอกว่าตัวเรายังดีไม่พอ ไม่มีใครมองเห็นความผิดพลาดเลย แต่มีเรามองเห็น เพราะฉะนั้นเราต้องแก้ไขตัวเราเองหรือเปล่า (แก้ไข)  ใครเป็นคนชี้แนะเราได้ดีที่สุด (ตัวเราเอง)  แล้วเราต้องแก้ตามที่ใจเราบอกด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่าความผิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นไร มองข้ามไปก่อนได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเรามองข้ามความผิดเล็กๆ น้อยๆ หนึ่งครั้งเป็นอย่างไร หนึ่งครั้งก็เป็นความผิดพลาดเล็กๆ พอครั้งที่สอง ก็เอาความผิดนั้นมาทบกันมากขึ้นไหม (มากขึ้น)  แล้วในที่สุดก็มากขึ้นอีกในครั้งที่สามใช่หรือไม่ (ใช่)  จนตอนนี้เราโตขึ้นมาอายุเป็นสิบขวบแล้ว ไม่ใช่แปดขวบเก้าขวบ แต่เราอายุเป็นสิบปีขึ้นไปแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ความผิดของเราที่รวมๆ กันจากความผิดเล็กๆ นั้นมีอยู่มากมาย สมมติว่าเราเอามือแบออกมา ถามว่าความผิดของเราพูนมือนี้ไหม (พูน)  ฉะนั้นความผิดเล็กๆ น้อยๆ นั้นก็ต้องไม่ทำด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องขยันทำบ่อยๆ (ความดี)  ตรงข้ามกับความไม่ดีก็คือดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีเล็กๆ น้อยๆ ต้องขยันทำใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความดีเล็กๆ น้อยๆ ครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง เมื่อรวมกันก็มากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดแล้วเหมือนกับคนๆ หนึ่ง ชอบเป็นคนให้ทานคน พอเห็นขอทานก็ส่งเงินให้ ครั้งหนึ่งเขาส่งเงินให้บาทหนึ่ง ครั้งที่สองเขาส่งเงินให้บาทหนึ่ง ครั้งที่สามเขาส่งเงินให้บาทหนึ่ง เขาทำอย่างนี้ตลอดชีวิตเลย ถามว่าคนรู้ไหมว่าเขาเป็นคนชอบให้ทาน รู้ไหม (รู้)  เพราะเวลาเขาให้ เขาไม่ได้เลือกว่าเฉพาะต้องต่อหน้าคนอื่นมองเห็น ต้องให้คนอื่นมองเห็นจึงทำใช่หรือไม่ เขาไม่ได้เลือกอย่างนี้ ความดีของเขาแม้เล็กๆ น้อยๆ ก็จะสร้างให้เขากลายเป็นคนที่รู้จักให้ทาน ตลอดชีวิตนั้นเวลาเราพูดถึงเขา เขาจะบอกว่าเขานั้นเป็นคนชอบให้ทานคนใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันความดีอีกหลายๆ อย่างที่ศิษย์จะทำ อย่างเช่น ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนที่มีความกตัญญู ความกตัญญูนั้นทำทีเดียวหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ต้องดูแลทุกๆ วัน จึงบอกว่าคนคนนี้เป็นคนที่มีความกตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าตั้งแต่เล็กจนเขาโตไม่เคยกตัญญูเลย พ่อแม่แก่ชราแล้วจึงมาดูแลครั้งหนึ่ง ในบั้นปลายชีวิตคนๆ นี้มีความกตัญญูไหม ก็อาจจะมีและไม่มีก็ได้
“การเคี้ยวข้าวดุจความคิดที่สุขุม” การเคี้ยวข้าวนั้นต้องเคี้ยวจนละเอียด จึงกลืนลงท้องใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตอนนี้เราเคี้ยวข้าวนั้นละเอียดไหม (ละเอียดบ้างไม่ละเอียดบ้าง)  อย่างนี้ก็ท้องอืดบ้างไม่อืดบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเคี้ยวข้าวต้องหัดเคี้ยวให้ละเอียดๆ ถ้าหากว่าเป็นคนใจร้อนเป็นคนใจเร็ว เวลาเคี้ยวข้าวจะเคี้ยวละเอียดไหม (ไม่)  เพราะขนาดกินข้าวก็อยากจะกินให้เสร็จเร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราใจร้อนดีหรือไม่ (ไม่ดี)  การเคี้ยวข้าวนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงว่าเรานั้นจะมีสุขภาพที่ดีได้หรือไม่ เราจะมีความคิดที่ละเอียดลออได้หรือไม่ เพราะว่าแสดงถึงนิสัยอันเป็นคนใจร้อนหรือใจเย็นของเราใช่หรือเปล่า
การเคี้ยวข้าวเหมือนกับความคิดตรงไหน เวลาเราเคี้ยวข้าวต้องเคี้ยวข้าวให้ละเอียดใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราคิดสิ่งใดเราก็ต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่เห็นผู้หญิงสวย ก็จีบทันที อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  พอเห็นงานเข้ามา ก็รับทำงานทันทีได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างหนึ่งก็ต้องละเอียดลออต้องพิถีพิถัน และต้องดูให้รอบคอบ ความละเอียดไม่ใช่ ไปละเอียดจู้จี้กับเขาว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ต้องมาละเอียดกับตัวเราเองว่าเรานั้นจะคิดอะไร แล้วก็คิดไปในทางที่ดีแล้วเราจะคิดกี่รอบล่ะ ไม่ใช่คิดรอบเดียวจบ มีเวลาว่างยังต้องกลับมานั่งคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วย เพื่อที่ให้งานนั้นๆ สำเร็จไปอย่างลุล่วงใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่สำคัญของการทำงานคือการที่เรานั้นจำเป็นที่จะต้องมาแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนมีความผิดพลาดเป็นของตัวเองที่ปลูกฝังและสั่งสมมาเป็นเวลานาน จึงต้องค่อยๆ แก้ไขใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเป็นคนใจร้อนมากเวลาบอกว่าจะแก้ข้อผิดพลาด จะต้องแก้ไขให้ได้ภายในสามวัน มีกี่คนทำสำเร็จ น้อยไหม (น้อย)  แล้วเวลาเราแก้ไขไม่ได้ก็เกิดความท้อใจแล้วเราก็เลิกที่จะแก้ไขสิ่งนั้นๆ เลย แล้วถามว่าชีวิตนี้ศิษย์จะแก้สิ่งนั้นได้ไหม ย่อมไม่ได้ เมื่อเราสั่งสมนิสัยความเคยชินที่ค่อยๆ มานั้น เราจึงต้องค่อยๆ แก้ไขไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าอย่าช้าเกินไปในขณะที่เรามีโอกาสแก้ไข แต่เราบอกว่า เอาไว้ครั้งหน้าอย่างนี้ก็เกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  จำเป็นที่จะต้องค่อยๆ แก้ไข ค่อยๆ ขัดเกลาอย่าได้ใจร้อน อย่าได้มีความรู้สึกขัดใจแล้วเราเลิกไปเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดประสบความสำเร็จได้ แม้กระทั่งนิสัยของตัวเองยังแก้ไขไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ไอแดดร้อนใจของเราอย่าร้อนรุ่ม” สองวันมานั่งที่นี่อากาศค่อนข้างจะร้อน แต่ว่าใจของศิษย์นั้นจะต้องเป็นอย่างไร (เย็น)  ใจของเราฟังธรรมะจะต้องเป็นใจที่เย็นๆ แล้วก็พยายามที่จะฟังให้เข้าใจ ฟังให้ครบถ้วน อย่าฟังต้นไม่ฟังปลาย ฟังกลางไม่ฟังท้าย อย่างนี้ถือว่ารู้สิ่งใดได้ไม่ครบถ้วนใช่หรือไม่ (ใช่)
(นักเรียนในชั้นร่วมกันกราบรับพระอาจารย์)
เอาอะไรรับอาจารย์ ใจของศิษย์เป็นอย่างไร ใจขึ้นๆ ลงๆ เอาไหม ใจอยากรู้อยากเห็นเอาไหม ใจขี้สงสัยเอาไหม (ไม่เอา)  เวลาที่ทุกคนมองอาจารย์นั้น มีบางคนมองด้วยความสงสัย บางคนมองด้วยความประหลาดใจ บางคนมองเหมือนไม่ได้มอง เฉยๆ เรียบๆ ไม่มีอะไร มองด้วยตาที่มีความศรัทธา มองด้วยตาที่มีความจริงใจหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)  เวลาคนมองศิษย์ก็อยากให้เขามองดีๆ อยากให้เขายิ้มมา เพราะฉะนั้นอาจารย์แนะนำว่า เวลาเจอหน้าใครก็ยิ้มให้เขาก่อน ถ้าเรายิ้มให้เขาๆ จะยิ้มให้เราไหม (ยิ้ม)  คงมีไม่กี่คนที่เจอเหมือนอาจารย์ ยิ้มให้แล้วไม่มีใครยิ้มตอบ ยิ้มเป็นหรือเปล่า (เป็น)  ยิ้มสวยไม่สวย
ความจริงใจนั้นเป็นสิ่งที่หายากในโลกตอนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงหวังว่าทุกๆ คนที่มาสถานธรรมนั้น อย่าได้พกพาใจทางโลกมา คือใจที่มีความไม่จริงใจ ใจที่เป็นน้ำขึ้นน้ำลง ใจที่เป็นลมพัดลมเพ ใจที่ไม่แน่ไม่นอน ไม่เอาใช่หรือไม่ (ใช่)  สองวันนี้เสียสละเวลามาสถานธรรมแล้ว ขอให้เรานั้นตั้งใจฟัง แล้วก็ฟังให้ได้ แล้วเรานั้นต้องทำอะไรต่อไปเมื่อออกจากที่นี่ อย่างน้อยเพื่อเป็นการสร้างกุศลให้กับตัวเอง ว่าเรานั้นตั้งแต่วันนี้เราจะตั้งใจเป็นคนดี ไม่ใช่คนดีอย่างที่แล้วๆ มา แต่เราจะตั้งใจเป็นคนดีที่ดีจริงๆ เอาจริงกับความดี ไม่ใช่เอาจริงกับความดีแบบหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ไม่เอานะเข้าใจไหม (เข้าใจ)  พายเรือดีกว่านะ ใครที่ปกติไม่ได้ออกกำลังกายก็ถือโอกาสนี้ออกกำลังกายบ้างนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลง “จับไม้พาย” และทำท่าประกอบเพลง)
บางคนกินแรงนะยืนอยู่เฉยๆ ให้คนอื่นพายไป คนที่กินแรงควรจะลงโทษอย่างไรดี จับโยนลงจากเรือไปดีไหม ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ใครถือว่าตัวเองแก่แล้วไม่ช่วยพายบ้าง ยิ่งแก่ยิ่งต้องรีบพาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอื่นอาจจะไปถึงฝั่ง แต่เราอาจจะไม่ถึงก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องรีบช่วยคนหนุ่มคนสาวเขาพายไปถึงไหน (ถึงฝั่ง)  ใครบอกว่าแก่แล้วใกล้ฝั่ง แก่แล้วยังไกลฝั่งก็มีเยอะแยะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฝั่งนี้ฝั่งนิพพานนะ อย่าบอกว่าเราแก่แล้วเป็นไม้ใกล้ฝั่ง เพราะฉะนั้นเราต้องไปฝั่งไหน (ฝั่งนิพพาน)  ไปถึงไหม (ถึง)  ใครไม่แน่ใจบ้าง ใครไม่แน่ใจก็เดินลงจากเรือไปเสียดีกว่า เพราะว่าใจไม่สู้พอ เราต้องมั่นใจว่าเรานั้นไปถึงได้ เราต้องมั่นใจว่าเรามีความสามารถและคุณสมบัติ เพราะฉะนั้นถึงแก่แล้วก็ช่วยพาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่ช่วยพายเดี๋ยวคนข้างๆ เขาหมั่นไส้ก็จะจับโยนลงเรือไป ถึงตอนนั้นอาจารย์ไม่ช่วยแล้วนะ จับไม้พายแล้วหันไปสำรวจข้างๆ ซิ มีสัมภาระเยอะแยะหรือเปล่า ดึงสัมภาระทิ้ง มีเงินไหมเอาเงินทิ้งไป มีความกังวลไหม เอาความกังวลทิ้งไป
ชีวิตนี้ของคนเรานั้นมีความกังวลมากมาย แล้วไม่มีใครรู้ว่าความกังวลนั้นไปสิ้นสุดตรงไหน อาจจะสิ้นสุดตรงที่ปัญหาทุกอย่างไม่สามารถคลี่คลายได้ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นบางทีต้องทำใจให้ว่างๆ เพื่อที่จะพายเรือได้ไกลกว่าเดิม คนบอกว่าทำงาน ทำงานทุกวันก็ไม่มีวันหมด วันนี้ทำไปพรุ่งนี้ก็ทำอีกแล้ว เพราะฉะนั้นบางทีจึงบอกว่าคนว่างได้ เพราะรู้จักทำให้ตัวเองว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าตัวเองไม่มีเวลาว่าง นั่งคิดให้ดีๆ ใช่ไหม (ใช่)  สัมภาระทิ้งไปแล้วจับไม้พายให้ดีๆ การที่เราบอกว่าพายเรือธรรมะนั้นเพื่อให้เรารู้ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นต้องออกแรง ถ้าเราบอกว่าคนอื่นบำเพ็ญแทนเราได้ ลูกเราบำเพ็ญแทนเราได้ ถามว่าใครไปถึง (ลูก)  ลูกไปถึงเราไปถึงไหม (ไม่ถึง)  เพราะฉะนั้นต้องบำเพ็ญด้วยตนเอง ใครอยากถึงก็ต้องบำเพ็ญด้วยตัวเอง ถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถไปถึงได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าเราอายุมากแล้ว อาจารย์จะบอกว่านิพพานนั้นไม่ใช่บำเพ็ญด้วยการจำกัดเวลาว่า ต้องบำเพ็ญเท่านี้ๆ ปีจึงจะสามารถบรรลุได้ องคุลีมาลเพียงสำนึกแล้ววางดาบลงก็เป็นอะไร (บรรลุ)  เพราะฉะนั้นคำว่า “การบำเพ็ญจนบรรลุธรรม” นั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาไหม ขึ้นอยู่กับปัจจัยไหม ขึ้นอยู่กับความรวยจนไหม ขึ้นอยู่กับผิวสีขาวหรือสีดำไหม ขึ้นอยู่กับเรานั้นเป็นคนแก่หรือเด็กไหม (ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้นมองให้ดีๆ ว่าเรานั้นมีคุณสมบัติหรือเปล่า ถ้าหากว่าศิษย์สามารถยกแขนขวา ยกแขนซ้ายขึ้นมาได้ สามารถก้าวเดินไปข้างหน้า มองทุกสิ่งโดยใช้ปัญญาได้ ศิษย์ก็มีสิทธิ์ที่จะบำเพ็ญแล้วบรรลุได้เช่นเดียวกัน เชื่ออาจารย์ไหม (เชื่อ)  อยู่ที่ว่าเมื่อเรามีแขนซ้ายแล้ว เรารู้จักยกแขนซ้ายไหม มีแขนขวาแล้วเรารู้จักยกแขนขวาไหม มีปากเรารู้จักใช้หรือเปล่า คนในโลกปัจจุบันนี้เวลาเรามองไป อาจารย์ถามว่าเรามองได้ชัดเจนไหม ศิษย์อาจจะบอกว่าศิษย์มองได้ชัดเจน แต่ศิษย์ไม่รู้ว่าสิ่งที่ศิษย์ตัดสินใจทำลงไปนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เพราะว่าเรานั้นใช้แต่ตาไม่ได้ใช้ปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญในสมัยนี้นั้น อย่าบอกว่าบำเพ็ญธรรมแล้วบำเพ็ญง่าย อย่าบอกว่าการที่ศิษย์ไม่ต้องโกนหัว ไม่ต้องห่มจีจร ไม่ต้องออกไปตามป่าตามเขาแล้วบำเพ็ญง่าย การบำเพ็ญในสมัยนี้คือการบำเพ็ญในครอบครัว เรานั้นจะต้องเป็นคนที่ดีพร้อม และก็นึกถึงคนจำนวนมากให้ได้ ยิ่งอยู่กับคนจำนวนมาก ยิ่งต้องอาศัยความอดทนมาเป็นหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างคนเกิดมาต่างสภาวะแวดล้อม มีต่างนิสัยใจคอใช่ไหม (ใช่)  เผอิญเราไม่ชอบคนที่สูบบุหรี่ แล้วเข้ามาในสถานธรรมยังเจอคนสูบบุหรี่ เราจะทำยังไง เราจะเดินไปว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เราเดินไปว่าเขาไม่ได้ แต่เราจะต้องบอกเขาดีๆ แล้วถ้าหากเขาไม่แก้ล่ะ เราจะเกลียดเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เกลียดเขาก็ไม่ได้ ชอบเขาก็ไม่ได้ แล้วจะทำยังไงดีล่ะ สถานธรรมแคบๆ แค่นี้จะหลีกเลี่ยงยังไงไหว เราอาจจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากการทำใจ เราต้องรู้จักทำใจของเราให้เย็นๆ เข้าไว้ ถ้าหากว่าเรายิ่งเป็นคนโกรธง่ายโมโหง่าย ไม่ชอบใจเขา แล้วถามว่าเขาพยายามแก้ แต่ปัญหาอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  ถ้าเราไม่รู้จักทำใจ ปัญหาก็มาอยู่ที่เรา เรียกว่าปัญหาซ้อนปัญหาและปัญหาก็หนักขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมนั้นบางทีเราอยู่กันเป็นจำนวนมาก มีเรื่องมากมายที่เรานั้นทำได้แค่ทำใจเท่านั้นเอง อาจารย์นั้นที่ผ่านมาพูดถึงเรื่องทำใจนี้หลายหน เพราะว่าอาจารย์รู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเป็นคนทำใจไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในสถานธรรม เราอาจจะเจอสภาพแวดล้อมที่ดี เวลาเราไปเจอคนที่ไม่ถูกใจเราเลยยิ่งทำใจไม่ได้ พอทำใจไม่ได้จากคนที่เป็นคนอารมณ์เย็นก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาคำว่า “สติ” เข้ามากำราบตัวเราบ้าง เรานั้นแม้จะมีความดีเท่าไหร่ แต่ว่าความดีนั้นๆ อาจจะไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่นก็ได้ ขอให้เอาความดีมาเป็นโล่ป้องกันตัวเราเอง ขอให้เรานั้นรู้จักอยู่กับผู้อื่นด้วยการทำใจได้ สำคัญไหม (สำคัญ)  ยังมีเรื่องความอดทนนั้น เราอดทนต่อสภาวะแวดล้อมที่บีบคั้นตัวเรามากๆ ในครอบครัวก็บีบคั้นเรา ไม่อยากให้เรามาบำเพ็ญธรรม ออกไปข้างนอกก็เจอคนบีบคั้นรังแกเราอีก เราต้องทำอย่างไรดี เราต้องมาย้อนมองตัวเองว่า ทำไมเขาถึงไม่อยากให้ตัวเราทำอย่างนี้ ทำไมเขาไม่อยากให้เราทำอย่างนั้น คนเหล่านั้นบางทีหวังดีต่อศิษย์มาก อาจารย์นั้นดีใจที่ศิษย์นั้นเป็นคนมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้เรานั้นมองเห็นความดีของคนอื่นให้มากๆ เพื่อเรานั้นจะได้แก้ไขในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ยิ่งแก้ยิ่งผูก ยิ่งผูกกลายเป็นปมมหาศาล เราต้องรู้ว่ายิ่งสภาวะแวดล้อมบีบคั้นเราเท่าไหร่ ยิ่งกดดันเราเท่าไหร่ เราต้องทำให้ออกมาเป็นพลังที่สร้างสรรค์ตัวเรานั้นให้ต่อสู้ เพื่อที่เราจะได้ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าบอกว่าอดทนจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกับคนดึงเชือก คนหนึ่งดึงข้างซ้าย คนหนึ่งดึงข้างขวา หากไม่มีใครหย่อนให้เลย ถามว่าเชือกนี้ขาดไหม (ขาด)  แล้วเราอยู่ข้างไหน ศิษย์ก็คงจะอยู่ข้างซ้ายหรือข้างขวา เพราะฉะนั้นบางครั้งยอมได้ต้องยอม เคยยอมคนไหม เวลาคนเขามาใส่ร้ายเรา เวลาคนมาขโมยเงินเรา เวลาคนเขาว่าเราต่อหน้า เรายอมไหม (ไม่ยอม)  การยอมคนนั้นไม่ได้หมายความว่า จะยอมในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่การยอมคนถึงขั้นยอมได้ แสดงว่าเรานั้นยอมในเรื่องที่ใหญ่พอสมควร อย่างเช่นคนขโมยเงินเรา เรารู้ว่าคนๆ นี้เป็นขโมยแต่เขาไม่คืน และเขาไม่บอกว่าเขาเป็นขโมย เรายอมไหม (ยอม)  ปากพูดว่ายอม ใจบอกไม่ยอม เราต้องรู้จักที่จะยอมคนบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราต้องคิดว่าเราอาจจะเป็นหนี้เขามาก่อนก็ได้ ชาตินี้จึงต้องมาใช้เขา คิดอย่างนี้แล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  บางทีเราทำงานทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มีความล้มเหลวเกิดขึ้น ทำอย่างไรดี ก็ต้องใช้ความทดทนเหมือนกัน อดทนต่อความล้มเหลวต่างๆ นานาที่เกิดกับชีวิตของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดยเฉพาะสมัยนี้เขาบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ล้มเหลวเรื่องการค้าเยอะแยะไปหมดเลย อาจารย์บอกว่าล้มเหลวดูสักครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไร ต่อไปจะได้ไม่ประมาทใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าเราปลูกผักไว้แปลงหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าเราเห็นผักนั้นจะกินได้แล้ว แต่เผอิญคืนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คืนที่เราไม่ได้มองแต่พอตอนเช้าแมลงกินหมดทั้งแปลง เราจะทำอย่างไรดี เราก็ต้องอดทนและทำใจ เราก็ต้องดูสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดความล้มเหลวขึ้นมาได้ เพื่อต่อไปนั้นเราจะได้แก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนจีนจึงพูดบอกว่า “ความล้มเหลวนั้นเป็นรากของความสำเร็จ” ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่เคยล้มเหลวเลย จะไปถึงความสำเร็จไหม (ไม่ได้)  มีใครที่ทำการค้าครั้งแรกก็ร่ำรวยมีไหม น้อยคนนักใช่ไหม (ใช่)  มีคนที่ไม่มองดูคนอื่น ไม่มองดูประสบการณ์จากคนอื่น ไม่ยอมฟังใคร แล้วจะประสบความสำเร็จ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  จึงบอกว่าเรานั้นมีหูสองหู ไม่ได้มีไว้ฟังคำติฉินคำนินทาจากคนอื่น แต่มีหูสองหูไว้สำหรับฟังคนอื่นเขาว่ากล่าวตักเตือนเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีปากไว้ไม่ใช่ว่าคนอื่นหรือนินทาคนอื่น เรามีปากไว้พูดแต่ในสิ่งที่ดี มีตาสองข้างไม่ใช่ดูหนังสือไม่ดี แต่เรามีตาสองข้างไว้ดูว่าคนอื่นเดือดร้อนอะไร แล้วเราช่วยอะไรได้บ้าง มีแขนสองข้างไว้สำหรับช่วยคนอื่น เมื่อคนอื่นเขาล้มลง มีขาสองข้างไว้เดินไปนรกหรือเดินไปนิพพาน (นิพพาน)  เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินถอยหลังตกคูไป เรามีใจไว้กลัวหรือกล้า ถ้าเรากลัวแสดงว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเรากล้าแสดงว่าเรารู้ว่าสิ่งนี้ถูกต้องจึงกล้า ฉะนั้นมีใจไว้ก็เพื่อกล้าหาญชาญชัยทำในสิ่งที่ดี
วันนี้ศิษย์มานั่งฟังธรรมะที่นี่ อาจารย์พูดถึงการมีความอดทนนี้เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้ว่า การอดทนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ ไม่ใช่ใครคิดจะมีก็มีได้ ล้วนแล้วแต่ต้องฝ่าฟันความลำบากมาทั้งสิ้น การบำเพ็ญยุคนี้ก็มีความลำบากมากมายที่ศิษย์นั้นจำเป็นจะต้องฝ่า มีกรรมของเราที่เราจำเป็นจะต้องฝ่าฟันเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราต้องตายกับการที่เราขับรถชน เลือกอันไหนดี ถ้าหากว่าเราต้องตายกับการเราเอาชีวิตไว้เพียงแค่รถชนนิดหน่อยเป็นไรไหม (ไม่)  ขอให้ชีวิตนี้ยังอยู่เราก็สามารถตั้งต้นใหม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้คิดพิจารณาให้ดีๆ ฟ้าดินจะสอบคนที่มีคุณสมบัติให้สอบจึงสอบ ไม่มีคุณสมบัติให้สอบก็จะไม่สอบเด็ดขาด บางคนเวลาเป็นอะไรนิดหน่อยก็บอกว่าฟ้าดินสอบ ถามตัวเองว่ามีคุณสมบัติให้สอบหรือเปล่า ที่จะเข้าสอบครั้งนี้ เวลาที่เรามาสถานธรรมเราหวังที่สุดคืออะไร เราหวังอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองใช่หรือไม่ (ใช่)  เราหวังอยากจะให้เราขออะไรก็ได้สมหวังตามนั้นถูกหรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าอาจารย์จะบอกว่าสิ่งที่เราคิดว่าให้เป็นอย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก)  คนที่มีบุญให้ขอ คนที่เคยทำบุญมาทำกุศลมาเมื่อขอก็ย่อมจะประสบความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดึงบุญที่เราเคยสร้างเอามาชดเชยให้เร็วไวขึ้น แต่หากว่าเรานั้นไม่สร้างบุญเพิ่ม ไม่มีอะไรเพิ่มเติม สักวันหนึ่งเราก็ต้องเจอเคราะห์ภัยต่างๆ อยู่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นขี้เกียจสร้างบุญกุศลไม่ได้ และหวังว่าทุกๆ ครั้งที่ขอนั้นจะประสบความสำเร็จไม่ได้ เพราะว่าศิษย์เองไม่รู้เลยว่าตัวเองมีบุญกุศลพอที่จะขอหรือเปล่า อาจารย์บอกได้เลยว่า คน ๑๐๐ คนนั้น มีคนถึง ๙๕ คนนั้นไม่มีบุญกุศลพอที่จะขอให้สมหวังได้ทั้งนั้น เหมือนกับคนหาเช้ากินค่ำไม่มีสิทธิ์ คือทำวันนี้ใช้วันนี้ ทำวันนี้ใช้วันนี้และสิ่งที่ทำแล้วริดรอนกุศลของตัวเองมากที่สุดก็คือการพูดนินทาว่าร้าย การไม่ชอบคนอื่นการเกลียดชังคนอื่น เพราะว่าใจของเรานั้นเมื่อมีความเกลียดชังคนอื่นมากๆ ก็เหมือนกับใจที่เป็นสีดำ ใจสีดำเมื่อทำกุศลแล้วได้กุศลไหม (ไม่ได้)  นี่เป็นการเปรียบเทียบง่ายๆ ให้ฟัง จึงบอกว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่มีความสมหวัง การที่อยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองนั้น ศิษย์ของอาจารย์ก็จะต้องรู้ว่าเราโดยปกตินั้นเป็นอย่างไร บางทีเจ้ากรรมนายเวรนั้นอยากจะให้ศิษย์ของอาจารย์รถคว่ำตายไปเสียเลย หรือไม่ก็เหมือนกับสุภาษิตของไทยที่บอกว่า “ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกยังตายได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเขาก็อยากจะกลั่นแกล้งศิษย์อย่างนั้น ศิษย์ต้องมีใจที่สำนึก ในวันหนึ่งขอให้สำนึกดูสักครั้งหนึ่งว่าเราจะชดใช้กรรมเวรที่เราเคยสร้างมาด้วยการที่เราทำความดีเหมือนๆ กัน ทุกๆ วัน ไม่ใช่เลือกทำความดีเฉพาะวันที่เรานั้นพอใจที่จะทำเท่านั้น วันที่เราพอใจที่จะทำความดีนั้นอาจจะเป็นวันที่สายเกินไปแล้วก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับคนที่เวลาจนแล้วถึงรู้ว่าเราต้องหาเงิน อย่างนี้จะทันไหม (ไม่ทัน)  ไม่ทันแล้วนะ ต้องรู้วาเรานั้นทำสิ่งใดในวันนี้ ต้องรู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะทำอะไร แล้วต้องรู้ว่าอดีตที่ผ่านมานั้นมีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นบ้าง จะได้ไม่ซ้ำความผิดลงไปลึกกว่าเดิมใช่หรือไม่
วันนี้อาจารย์พูดถึงดวงชะตา ดวงชะตานั้นเป็นสิ่งที่เรานั้นเคยกำหนดมาตั่งแต่ก่อนหน้านี้ วันนี้จึงมารับผลของชะตาที่อดีตเคยสร้างมาเท่านั้นเอง จะบุญจะกรรมที่รับในวันนี้ก็คืออดีตที่เคยสร้างมาทั้งนั้น แต่ว่าบางคนชอบดูหมอดูอดีตหรืออนาคต (อนาคต)  อนาคตเกิดขึ้นหรือยัง (ยัง)  อนาคตมาจากอดีตและปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าอดีตสร้างมาไม่ดี ปัจจุบันเราก็จะ (ไม่ดี)  ถ้าหากว่าอนาคตของเรานั้นอยากจะให้ดีก็จะต้องทำปัจจุบันเป็นอะไร (ให้ดี)  เพราะปัจจุบันนั้นเป็นอดีตของอนาคตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากให้อนาคตดีต้องรู้จักทำให้ดีกว่านี้ ไม่ต้องไปเสียเวลาเสียเงินทองดูหมอดู ไม่ต้องดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เรานั้นรู้จักที่จะทำวันนี้ให้ดีๆ บางคนนั้นมีเคราะห์ใหญ่ในวันข้างหน้า ทุกคนมีเคราะห์นะอาจารย์จะบอกให้ แม้คนบำเพ็ญธรรมนั้นก็ยังมีเคราะห์อยู่ เคราะห์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้านั้นศิษย์ไม่รู้เลย อาจจะเป็นพรุ่งนี้เกิด มะรืนนี้เกิด อาจจะ ๓ ปี ข้างหน้าหรือ ๕ ปี ข้างหน้าจึงจะเกิดเคราะห์ใหญ่นั้น แต่ว่าเราจะทำอย่างไร เราเป็นผู้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท วันนี้เราทำปัจจุบันของเราให้ดี วันข้างหน้าเคราะห์ของเรานั้นจากหนักเป็นเบา จากเบาก็อาจจะเป็นไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่มีสะเดาะเคราะห์ จึงไม่มีการขอ และไม่มีการบอกอาจารย์ให้ช่วยนะ อาจารย์มองเห็นอยู่แล้วว่าศิษย์นั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงไม่สามารถที่จะล้างให้ได้เท่านั้น หากอาจารย์ล้างให้แล้ววันหน้าศิษย์จะสำเร็จธรรมได้หรือ ล้างให้ก็สบายหมด สบายแล้วพอเจอความลำบากก็ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่า บำเพ็ญธรรมมีความลำบากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ขอให้เราอดทนไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันในเพลงนี้ที่อาจารย์ให้มา อาจารย์บอกให้อดทนไปถึงวันที่เราหลุดพ้น เพื่อที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตเป็นการล้างกรรมทั้งสิ้น เราเกิดมาเป็นคนนั้นมีร่างกาย ร่างกายของเรานั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดภายใน ๓ ภพนี้ ร่างกายเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด มีเงินก็ซื้อร่างกายไม่ได้ วิทยาศาสตร์อยากจะทำให้เกิดก็ใช่ว่าจะทำให้เกิดได้ อยากจะทำให้มนุษย์ตายก็ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเรามีร่างกาย มีสติ ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลกหล้าแล้ว
“บางทีเราจนคำสื่อสารใจ”
เพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันนั้นมีคำพูดมากมายที่ใช้ในการพูดจา แต่ว่าเรานั้นบางทีก็อธิบายในสิ่งที่เราเป็นไม่ออกใช่หรือไม่ บางทีเราอธิบายในเรื่องที่เราคิดไม่ออก บางทีแม้เราพูดไปแล้วคนอื่นก็ยังไม่เข้าใจเรา ท่านเหลาจื่อยังบอกว่า “ธรรมะไม่สามารถกำหนดเป็นคำพูดได้ ไม่รู้จะเรียกขานนามว่าอย่างไร จึงเรียก” เต๋า ““ เพราะว่าคำพูดของคนนั้นไม่สามารถจะระบุธรรมะได้ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้คนอื่นเข้าใจ บางทีธรรมะก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ศิษย์กระจ่างใจ จึงบอกว่า การบำเพ็ญธรรมก็คือการปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติดีแล้วคนอื่นเห็นดีตาม เขาก็จะมาร่วมปฏิบัติกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นเป็นการอธิบายธรรมะที่ดีที่สุด เป็นคำบรรยายที่ดีที่สุด จึงบอกว่า “ไร้ผู้ใดเข้าใจ วันเวลาแก้ปมไม่เหมือนใคร” วันเวลานั้นจะพิสูจน์ตัวศิษย์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  “ชัดทุกอย่างจะชัด” หมายความว่า ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง “หากรักษาลมหายใจ” ขอเพียงเรารักษาชีวิตนี้ของเราเท่านั้นเอง “มีเวลาอีกถมเพื่อพิสูจน์ใจ” เพื่อพิสูจน์ใจของเราว่าใจของเราเป็นใจของคนที่อยากจะบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า ขอเพียงเรารักษาลมหายใจอันนี้ แม้ไม่มีใครเข้าใจเราในวันนี้ แต่วันหน้าก็ย่อมมีคนเข้าใจเราเอง “ให้อดทน” เหมือนกับที่อาจารย์บอกศิษย์เมื่อตอนต้น วันนี้อาจารย์อยากจะพูดเรื่องความอดทนให้ศิษย์ฟัง อดทนเพื่อผลักดันตัวเองให้มีพลังที่สร้างสรรค์สู้ต่อไปได้ ยิ่งบีบคั้นเรามาก เรายิ่งมีความสร้างสรรค์อยู่ในตัวมาก ยิ่งมีพลังเกิดขึ้นมาก แม้ว่าอดทนจนสุดท้ายต้องล้มเหลวไป ความล้มเหลวนั้นๆ ก็จะกลายเป็นความสำเร็จในวันหน้า เพราะว่าความอดทนครั้งนี้ทำให้เรานั้นเป็นผู้ที่เรียนรู้เอาไว้ใช้ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นความลำบากหรือความอดทนต่างๆ ก็ดีทั้งนั้น ดีที่สอนให้เราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าทำให้เราอดทนจนถึงที่สุดแล้ว ทนไม่ไหวแล้วก็ไปทำความไม่ดี อย่างนี้คุ้มค่าไหม (ไม่คุ้ม)  จะไปสวรรค์ จะไปนรก จะไปนิพพานก็ดี ต้องกำหนดเสียตั้งแต่วันนี้ จนถึงวาระสุดท้ายก็จะบอกศิษย์ว่า ศิษย์นั้นไปสวรรค์ ไปนรก หรือไปนิพพาน เราย่อมรู้ความผิดของเราดีที่สุด เราย่อมรู้ความชอบของเราดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครรู้ได้ แม้ไม่มีใครเข้าใจ อาจารย์เข้าใจ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นใช้พลังที่มีทั้งหมดในการทดทนในการเดินหน้า เพื่อให้เรานั้นได้สู่วันหน้าได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น ไม่ใช่เหมือนที่ศิษย์บอกว่าไปขอบนิพพานก็ยังดี ทำไมถึงบอกว่าไปขอบนิพพานก็ยังดี รู้ว่าวันนี้เราบอกว่าเรายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงบอกว่าไปขอบนิพพานก็ยังดี แต่อาจารย์บอกว่าอีกนิ้วเดียวก็จะถึงขอบอยู่แล้วแต่ว่าไปไม่ถึง เพราะว่าความไม่ดีที่สั่งสมเล็กๆ น้อยๆ ของเรานี้แหละดึงเราไว้อีกนิดเดียว นิ้วเดียวของอาจารย์อาจจะเป็นหลายเมตรของศิษย์ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นิ้วเดียวนี้คือนิ้วเดียวของความดี ความดีที่เราจะสร้างด้วยความมั่นใจ สร้างด้วยความเต็มใจและตั้งใจนี้เป็นนิ้วสุดท้าย
การสอบของธรรมะในช่วงนี้ สอบคนมากที่สุดก็คือเรื่องของปัญญา บางทีเรามองไป เรานั้นแยกไม่ออกว่าสิ่งนี้คือใช่ หรือไม่ใช่ เพราะว่าโลกสมัยนี้คนซับซ้อน การสอบก็ยิ่งซับซ้อนตามคนที่อยู่ในโลกนี้นั่นแหละ จึงบอกว่าต้องใช้ปัญญา จะมองว่าใช่หรือไม่ใช่นั้น บางทีมันก็อยู่ชิดติดกันเหลือเกิน เราจึงต้องใช้ปัญญาให้มากๆ ใช้ปัญญาแล้วยังต้องใช้ความอดทน ในวันนี้ที่อาจารย์สอน ขอให้มีพลังมีการต่อสู้ต่อไปให้นานๆ
ตอนต้นกับตอนท้ายร้องดี แต่ตอนกลางล่มหน่อยๆ เห็นไหมว่าการทำอะไรก็แล้วแต่ต้องมีการฝึกฝน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การฝึกฝนทำให้เราชำนาญขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนจากที่ไม่เคยได้ยินทำนองนี้เลย ร้องๆ ไปก็ยังร้องเป็น บางคนจากที่ร้องเป็นอยู่นิดหน่อยก็สามารถที่จะร้องคลอตามไปจนเกือบจะจบได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นฝึกฝนจึงทำให้เกิดความชำนาญมากขึ้น เวลาเราร้องเพลงธรรมะอาจารย์ไม่ได้เน้นให้ศิษย์ร้องให้เพราะ แต่อยากให้ศิษย์ร้องแล้วเข้าใจในความหมายที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออาจารย์เน้นให้ศิษย์เข้าใจ อย่างท่อนแรกของอาจารย์ที่บอกว่า “คนทำงานจึงมีดวงจิตชนะความหลง” ถ้าหากว่าเราไม่ลงแรงกับใจของเราเอง ไม่พยายามขัดเกลาจะชนะตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  อันว่าความหลงอยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้นการที่เราชนะ เราไม้ได้ชนะความหลงหรอก จริงๆ แล้วเราชนะตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  การชนะคนอื่นนั้นไม่ประเสริฐเท่าชนะตัวเอง เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่าการร้องเพลงก็สามารถให้ธรรมะแก่เราได้เหมือนกัน อันว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญ เมื่อชำนาญแล้วอย่าได้ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเรามาสถานธรรม หากว่านานๆ เรามาทีเราจะมีความคุ้นเคยกับสถานธรรมไหม (ไม่คุ้นเคย)  สถานธรรมเปรียบเสมือนบ้านของศิษย์เช่นเดียวกัน บ้านหมายความว่าเป็นที่ๆ เรากลับมาบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่านานๆ กลับมาทีก็ไม่คุ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเรามาแล้วเรายิ่งเจอคนที่ขัดใจไม่ชอบใจ แสดงว่าเราต้องมาให้บ่อยขึ้น แสดงว่าเรานั้นไม่รู้จักคนในบ้านใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายิ่งต้องมาให้บ่อยเพื่อเอาชนะด้วยความอดทน ชนะนี้ก็ไม่ใช่ชนะคนอื่นแต่เป็นชนะตัวเองเหมือนกัน ชนะความขัดใจของเรา ชนะความไม่เข้าใจคนอื่นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องขจัดจิตใจที่เป็นจิตใจแห่งความไม่รู้หรือที่เรียกว่าอวิชชา ต้องขจัดความยึดมั่นถือมั่น ยึดในตัวบุคคลต่างๆ ของเราทิ้งต้องขจัดความงมงายของเราทิ้งด้วย บางคนคิดว่าบำเพ็ญธรรมแล้วฉันจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อาจารย์บอกว่าบำเพ็ญธรรมแล้วมีจิตใจที่ดีขึ้น ไม่ได้พูดถึงว่าศิษย์นั้นจะรวยขึ้น คนยิ่งรวยยิ่งทำไม ยิ่งรวยก็ยิ่งหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีร้อยอยากเอาพัน มีพันอยากเอาหมื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นคำว่ารวยอาจจะไม่ดีเสมอไป อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับศิษย์เสมอไป อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์มีอะไรที่ดีที่สุด (จิตใจ)  ยิ่งโลกพัฒนาไปยิ่งมากเท่าไหร่ จิตใจของคนก็ยิ่งตกต่ำ เพราะว่าเรานั้นชอบในสิ่งที่สร้างความสบายให้กับเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งสบายเรายิ่งลืมตัว ยิ่งดีใจยิ่งไม่สามารถที่จะห้ามใจตัวเองได้ เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นได้สิ่งที่ไม่ดี เจอความโชคร้ายก็ดี การที่เรานั้นเป็นคนจนก็ดี อาจจะเป็นสิ่งที่ดีแล้วสำหรับเราก็ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอยู่ เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความสุข ความสุขนั้นหาได้ง่ายๆ คือความรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเรามี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่เรามีก็ย่อมจะมีความทุกข์ ความทุกข์เหมือนกับอะไร เหมือนกับเงาของตัวเราเอง ความสุขนั้นอยู่ในใจของเราเอง เพียงแต่เรานั้นสงบใจลงมาสัมผัสความสุขในใจของเราก็จะพบใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราวิ่งหา เงาจะวิ่งหนีเราไหม (วิ่งหนี)  ถ้าเราวิ่งหาความสุขเงาก็จะวิ่งหนีเรา ความสุขก็จะวิ่งหนีเราไปเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ฉะนั้นเวลาที่เราอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ทุกๆ อย่างนั้นเป็นธรรมะให้เราเรียนได้ และเรานั้นก็เป็นตัวแทนของธรรมะได้เชื่อหรือไม่เชื่อ (เชื่อ)
วันนี้อาจารย์มาหาศิษย์นั้นมีความดีใจมาก อยากจะให้กำลังใจศิษย์คนที่รู้สึกท้อแท้และท้อถอย เคยเห็นวัฏจักรของน้ำไหม น้ำเป็นอย่างไร น้ำเย็นๆ ธรรมดา น้ำที่เป็นอุณหภูมิปกติถ้าเอาไฟมาจ่อน้ำเดือดไหม (เดือด)  ถ้าหากว่าเอาเข้าตู้เย็นแข็งไหม (แข็ง)  น้ำเวลาเดือดแล้วระเหยเป็นไอใช่หรือไม่ (ใช่)  ระเหยแล้วกลายเป็นหยดน้ำ กลายเป็นฝนลงมา แล้วกลายเป็นน้ำเฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่บำเพ็ญมานานแล้ว บำเพ็ญมาจนเหนื่อยแล้ว บำเพ็ญจนตัวเองไม่รู้ว่าบำเพ็ญเพื่ออะไรแล้ว อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นรู้ว่าเวลาเรายิ่งลำบากก็เหมือนไฟที่มาจ่อ ทำให้น้ำก็คือความตั้งใจของเรานั้นเดือด แต่ว่าเดือดแล้วน้ำนี้ไม่ได้กลายเป็นอื่น น้ำก็กลายเป็นไอกลับลงมาเป็นน้ำอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่าความตั้งใจของเรานั้น การมุ่งมั่นบำเพ็ญของเรานั้นก็ต้องเป็นเช่นนี้เช่นเดียวกัน อย่าบอกว่าบำเพ็ญไปนานแล้วไม่รู้ว่าตัวเองบำเพ็ญไปเพื่ออะไร ยิ่งเจอความยากลำบากยิ่งสู้ไม่ไหว อันนี้อาจารย์บอกว่าอยากจะให้ศิษย์นั้นทำตัวเป็นเหมือนน้ำ ไม่ว่าเราจะหมุนเวียนไปอีกสักกี่รอบ หรือว่าเราจะเจอความยากลำบากอีกสักเท่าไร ไม่ว่าจะหนาวจนแข็ง ไม่ว่าจะร้อนจนระเหยเราก็จะกลั่นตัวของเรานั้นกลับลงมาเป็นน้ำได้เหมือนเดิม ทำได้ไหม อาจารย์อยากจะให้คนเก่าๆ นั้นเก็บไปคิด เพราะอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นเหมือนน้ำ น้ำเป็นตัวแทนของปัญญา ปัญญาของศิษย์นั้นเมื่อระเหยไปจะไม่หมดไป จะกลับลงมาอีก ขอให้เรานั้นมีปัญญาเหมือนน้ำ ขอให้เรานั้นเป็นเหมือนน้ำ เรียนรู้งานให้เข้าใจ ดีไม่ดี (ดี)  น้ำนั้นไม่หวังที่จะวิ่งไปสู่ที่สูง แต่หวังจะวิ่งสู่ที่ต่ำหมายความว่าอะไร หมายความว่าเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมอย่างยิ่ง บางคนนั้นรักษาภาพพจน์ของตัวเองมากกลัวจะเสียภาพพจน์ไป เอาอันโน้นมาบังอันนี้มาบัง ยิ่งอำพรางยิ่งเสียใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์มาไม่มีใครได้แอปเปิลจากอาจารย์เลย เพราะอาจารย์ถามกี่รอบก็ไม่ฉวยโอกาสตอบใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรม)
วันนี้อาจารย์นี้พูดเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ศิษย์นั้นเคยเจออยู่ทุกวันเท่านั้น อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์นั้นมีความก้าวหน้า บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้เน้นว่าจะต้องบำเพ็ญแล้วจะต้องสูงส่งกว่านี้หรือจะต้องเป็นอะไร แต่ว่าเน้นบำเพ็ญใจของเราให้ขาวมากขึ้นสะอาดมากขึ้น ล้วนเป็นผลดีต่อตัวท่านทั้งนั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์มาเห็นศิษย์ทุกคน ถ้าอาจารย์มาอีกครั้งจะเจอศิษย์ไหม (เจอ)  เวลาของอาจารย์นั้นมีสั้นมาก เวลาของศิษย์เองก็สั้นมาก ชีวิตหนึ่งของคนนั้นมีอีกนานไหม (ไม่นาน)  บางคนตอบว่ามีชีวิตถึงร้อยปี แต่ว่าร้อยปีนั้นถามว่าเวลาแก่ชราแล้วทำอะไรไหวไหม (ไม่ไหว)  ตอนเด็กๆ ทำอะไรเองได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่ในช่วงวัยกลาง ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยที่ก่อนชรา นับเป็นเวลาที่มีค่าเหมือนกับทองคำให้กับชีวิตของเรา แล้วเราใช้เวลาทุกวันนี้ทำอะไรกัน ใช้เวลาในทุกวันนี้ทำในสิ่งที่ดีหรือเปล่า แล้วถ้าหากบอกว่าดีมันเป็นสิ่งที่ดีล้วนๆ ไหม บางคนบอกว่าทำดีมากทำชั่วน้อย แต่ว่าถึงมีชั่วน้อยก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นความชั่วใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาทุกๆ นาที ทุกๆ เวลาให้มีค่าด้วยการทำความดี การลงแรงเอาจริงด้วยการที่จะเอาชนะความหลงของตัวเอง ชนะจิตใจของตัวเอง อาจารย์มองศิษย์อยู่ทุกๆ วัน ไม่ต้องห่วงว่าเรานั้นจะอยู่คนเดียว แต่ว่าในการที่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นคนเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย เราจำเป็นต้องช่วยเหลือคนอื่นด้วย อย่างน้อยช่วยในด้านจิตใจ ปลดปล่อยให้ใจของเราที่อดสูเต็มไปด้วยความไม่รู้ อุปทาน ความอยาก ความเศร้า อันนั้น ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
สองวันที่ผ่านมานั้นอาจจะให้อะไรศิษย์ได้บ้าง แต่ว่าสองวันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น วันหน้าหากว่ามีการศึกษาธรรมะใดๆ ขอให้ศิษย์หาเวลาว่างมาศึกษา ได้ไหม (ได้)  เรายิ่งมีเวลาศึกษามากเท่าไหร่ ยิ่งศึกษาแล้วปฏิบัติได้เท่าไร ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อเรามากเท่านั้น ขวานเล่มหนึ่งสามารถที่จะจามไม้ได้ทั้งภูเขา แต่ไม่ยอมจามตัวเอง ไม่สามารถจามด้ามของไม้ที่เป็นด้ามตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์อย่าหัดเป็นคนที่โทษคนอื่นมากนัก ขอให้รู้จักที่จะย้อนมองตัวเอง ย้อนมองดูว่าเรานั้นเป็นอย่างไร ควรจะแก้ไขอะไร
วันนี้อาจารย์มาพูดเท่านี้นะ คนที่ไม่ได้จับมือกับอาจารย์ ก็จับมือจากคนข้างๆ เอาไว้ มือคนข้างๆ ก็เปรียบเสมือนมืออาจารย์เหมือนกัน ทุกๆ คราวที่โดนคนอื่นติว่า เขาก็คืออาจารย์เจ้า ขอให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญดีๆ นะ ลาก่อน

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “เอกภาพ”

สงบคือความวุ่นวายที่นิ่งไป เมื่อเคลื่อนไหวจงคิดสร้างสันติหนา
เพียงมีธรรมในหัวใจตลอดนา ดุจดินฟ้าใสขุ่นแต่สอดคล้องกัน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา