วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

2543-05-05 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


PDF 2543-05-05-อิ๋งเซียน #7.pdf

วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ทำจิตใจให้สงบสะอาดนิ่ง บรรเทายิ่งความสงสัยในจิตนั่น
เมื่อโลกนี้วุ่นวายสารพัน ขอรู้หันคืนฝั่งธรรมบำเพ็ญจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา   ฮวา  ฮวา

อาวุธคมคมไม่เท่าปัญญาคม หวานเป็นลมขมเป็นยาอัชฌาศัย
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันอันยาวไกล หลงหรือไม่ต่อสิ่งที่ยั่วยวนเรา
จงได้รู้มีโอกาสบำเพ็ญจิต ขอให้คิดอย่างมีสติแท้
คนรู้ผิดขอเพียงรู้จักแก้ ใดย่ำแย่จะกลายดีในสักวัน
ความอดทนทำให้คนสำเร็จได้ สร้างคุณค่าต้องใส่ใจแลเชื่อมั่น
อันความคิดต้องเสมอเส้นแลเท่าทัน รู้แบ่งปันสิ่งที่ตนมีอยู่ไป
อย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล่นนะศิษย์น้อง หลงเงินทองลาภยศยากบำเพ็ญได้
ชั่วชีวิตคิดดูทำสิ่งใด เป็นประโยชน์มอบให้แด่มวลชน
สามวันนี้ประชุมธรรมน่าชื่นชม ต้องขมก่อนจึงหวานเสมอหนา
ต้องศึกษาแลปฏิบัติปฏิปทา ต้องรู้ค่าชีวิตตนมีค่าเพียงไร
เมื่อมีบุญมาอยู่ร่วมให้รักษา ฟังธรรมาต้องตั้งใจแม้รู้อยู่แล้ว
มุ่งจะทำสิ่งดีงามอันเพริศแพร้ว จึงคลาดแคล้วจากร้ายกลายเป็นดี
ขอตั้งใจศึกษาอย่างคนมีใจ คนเป็นไข้ไม่เท่าใจเจ็บป่วยหนา
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมนา ขอตั้งหน้าด้วยจิตใจไร้วุ่นวาย
ขอให้มีความจริงใจใสสะอาด อย่าประมาทในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
คนบุญมีแต่กรรมบังพาใจแป้ว ขอเลิกแล้วต่อกิเลสเริ่มบำเพ็ญ
สามวันนี้ขอตั้งใจอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบแห่งสถาน
บำเพ็ญจริงจึงหลุดพ้นทรมาน ให้คืนบ้านด้วยไร้กรรมใดติดตาม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังน้องใช้ปัญญาแท้คอยคิดอ่าน
เมื่ออยู่กลางทุกข์ทนอย่าลนลาน ให้ใช้ธรรมที่รู้นานแก้ไขไป
ศิษย์พี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ผู้สืบทอดเกียรติคุณธรรมบรรพชนนาน อันลูกหลานต้องขยันอบรมสอน
หวังครอบครัวร่มเย็นไม่ทุกข์ร้อน ต้องรู้ผ่อนหนักเข้มงวดเริ่มจากตน
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านอยากมีความสุขไหม

เมื่อมีมากปัญหามักมากตาม ถูกอารมณ์คอยคุกคามทำให้ท้อ
เมื่อมีน้อยปัญหามักร่อยหรอ พอใจพอจึงสามารถใจเย็น
แฝงอวิชชาในใจน้ำเซาะตลิ่ง ประหวั่นสิ่งที่ตนเรียกทุกข์เข็ญ
เมื่อยังมีอัตตาอยู่ยากบำเพ็ญ สันโดษพอฝึกตามเป็นปราชญ์เมธี
มนุษย์ที่มีสุขใช่ด้วยทรัพย์ ปลดสภาพมั่งมีที่แปลกหนี
สู่สภาพการต้องสมถะบำเพ็ญดี ละทำบาปใจที่นิทราลา
ไฉนหาบความทุกข์แม้ยามนอน ดำเนินย่อมก่อนมลายในไม่ช้า
สติมั่นไม่ทุกข์อย่างแล้วมา สุพพัต  มาเวลาเหมาะเรียนทำใจ
ในยามสู้ความสามัคคีคือพลัง ขณะต่างยอมรับหนาง่ายก้าวใหม่
วงขยายธรรมกำหนดอย่าพลอยไร้ ยากง่ายเพราะประจวบได้ใจสำคัญ
พิจารณาเห็นค่าสิ่งที่มีอยู่ แม้ไม่ง่ายทิ้งดูกิเลสนั่น
อภัยให้ไม่ขอเป็นผู้โมหันธ์ ปณิธานไม่เสียในคนพากเพียร
ฮิ ฮิ หยุด

  สุพพัต ผู้ประพฤติดี
  โมหันธ์ ความมืดมนด้านความหลง


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

“มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่าไม่มา”  นั่งฟังธรรมะมาค่อนวันแล้วมีใครเมื่อยบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้เราไม่เคยนั่งฟังธรรมะได้ยาวนานขนาดนี้ มีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์สามารถมีความอดทนได้ยาวหรือสั้นก็ได้ขึ้นอยู่ที่ใจของตัวเราเอง” แล้ววันนี้เราอยากเป็นคนที่มีความอดทนได้ยาวไม่มีที่สิ้นสุด หรือว่าอดทนได้สั้นนิดเดียว (ยาวไม่มีที่สิ้นสุด)  คนอดทนทำอะไรย่อมสำเร็จได้  คนที่อดทนได้ยาวก็จะเป็นคนที่โกรธคนได้ยากด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่อดทนได้ยาวจะเป็นคนที่เกลียดคนได้ยากหรือง่าย (ยาก)  อาจจะยากหรือง่ายก็ได้แล้วแต่ใจของท่านเองอีกเหมือนกัน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือตามจังหวะ)
วันนี้เรามาแล้วก็อย่าเพิ่งสงสัยอะไรมาก เก็บความสงสัยไว้ข้างๆ ก่อน เรามาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขดีไหม (ดี)  อย่าอยู่กันแบบทนเพราะถ้าอยู่
อย่างอดทน ก็จะไม่เหลือทนให้อดใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนที่เราไม่อยากอยู่ร่วม และสามารถปรับตัวปรับใจให้อยู่ร่วมได้ ก็เป็นการฝึกการดำเนินชีวิต ฝึกการอยู่ร่วมกับคนในสังคม อย่างนั้นก่อนจะไปฝึกกับคนอื่นมาฝึกกับเราก่อนได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าเช่นนั้นวันนี้เราคงเห็นทุกคนอยู่กับเราอย่างแช่มชื่นเบิกบานใช่หรือไม่ (ใช่)
ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมก็ต้องยืนให้ทนหน่อยนะ ไม่ใช่พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาต้นชั่วโมงจะเห็นยืนกันแน่นมาก แต่พอท้ายชั่วโมงก็จะค่อยๆ หายไปทีละคนสองคนเหมือนใบไม้ร่วง บรรยากาศในห้องจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากผู้ปฏิบัติงานร่วมกันสร้างบรรยากาศให้มีความสุข และวันนี้เราเป็นใครท่านยังไม่รู้จักใช่ไหม (ใช่)  เรามักจะเดินไม่อยู่กับที่นะเพราะถ้าเราเดินไปกลุ่มนี้ เดี๋ยวอีกสองกลุ่มก็จะเสียใจ ฉะนั้นเราต้องเดินให้ทั่วๆ จะได้ไปถึงทุกๆ คน ถ้าเราหมดแรงกลางทางท่านก็ช่วยพยุงเราหน่อยได้ไหม (ได้)  พอเราเดินไปตรงไหนท่านก็แหวกทางให้เราตรงนั้นได้หรือเปล่า (ได้) แต่พอตรงไหนเราไม่ได้เดินท่านก็หุบได้ไหม (ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเอียงตัวออกเมื่อท่านเดินเข้าไปหา และเอียงตัวเข้าเมื่อท่านเดินผ่านไป)
การอยู่ร่วมกันบางคนก็มีเหลี่ยมมีมุมใช่ไหม (ใช่)  คนมีนิสัยแตกต่างกันออกไป มีความเคยชินแตกต่างกันออกไป เขามาท่านต้องรู้จักยอมถอยก่อน ไม่ใช่เขามาก็บอกว่าไม่กลัวหรอกมาสิ เหมือนเราอยู่กับท่านเราให้ท่านฝึกน้อมออกก่อน พอท่านน้อมออก เราเป็นเด็กกว่าจึงบอกว่าอย่าน้อมเลย นั่นก็คือ เวลาเราอยู่ร่วมกัน บางครั้งอย่าเพิ่งตั้งแง่ตั้งตัวตน ว่าตัวเองเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ บางครั้งเวลาอยู่ร่วมกันขอให้ทิ้งความเป็นตัวของตัวเองลงไปบ้าง แล้วเราจะสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างมีความสุข ไม่อย่างนั้นมัวแต่ตั้งแง่กันก็มีแต่ทะเลาะกันเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านอยากเป็นไหมเวลาเดินไปตรงไหนก็มีแต่คนเอียงตัวออกให้เป็นแถวเลย อยากให้เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่อยาก)  ทำไมล่ะ ที่ไม่อยากเพราะมีคนเอียงแบบสองความคิด คือความคิดดีกับความคิดไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราอยู่ร่วมกันเราอยากให้คนที่เขาอยู่ร่วมกันมีสองความคิดหรือหนึ่งความคิด (หนึ่งความคิด)  ร้ายหรือดี (ดี)  ใครๆ ก็อยากให้คนที่อยู่ร่วมกับเรานั้นส่งมอบแต่สิ่งที่ดีให้เรา จะหลีกทางให้ก็กระทำด้วยความเคารพยกย่อง ไม่ใช่หวาดกลัวขยะแขยงใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นก็ต้องอยู่ที่ว่าตัวเราทำเช่นไร บางครั้งแม้ตัวตายชื่อก็ยังคงอยู่ แม้ตัวตายแต่ชื่ออาจจะกลับขึ้นมามีชีวิตใหม่ได้ ก็เพราะความดีของเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาทำดีแม้ตัวตายชื่อก็ยังคงอยู่ แล้วตัวเราล่ะ ถ้าเกิดวันนี้มีอัสนีฟาดเข้ามาที่ห้องพระ ทุกคนไหม้เป็นตอตะโก กลัวตายไหม  คนที่ไม่กลัวตายแสดงว่าชีวิตนี้ทำดีมาตลอดชีวิต แม้ตายก็ไม่กลัวตกนรก ใครไม่กลัวนรกบ้างยกมือขึ้น ชั้นนี้น่ารักจังเลยมีอยู่ท่านเดียวเอง ทำไมเราถึงชมเขาคนเดียว เพราะเขารู้จักตัวเองและก็ยอมรับตัวเองใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราถึงพูดว่าถ้าวันนี้เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงมาทีหนึ่ง ตัวท่านดำเป็นตอตะโกท่านกลัวตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงกลัวตาย ก็เพราะถึงแม้เราจะรู้ว่าต้องทำความดี แต่เราก็ไม่คิดที่จะขวนขวายทำกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เดี๋ยวทำบ้างไม่ทำบ้าง เดี๋ยวดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วจะบอกว่าลูกจงทำ ได้ไหม (ไม่ได้)  น้องจงรักพี่นะ ได้ไหม เพราะพี่บางทียังสามวันรักสี่วันไม่รักน้องเลยใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราพูดได้ไหมสามีจงซื่อสัตย์กับภรรยานะ (ไม่ได้)  บางทีเราเห็นพระเอกหล่อๆ เรายังติดใจนั่งดูทุกเช้าทุกเย็นเลย บางทีเราเห็นผู้หญิงสวยๆ เรายังอดเหลียวมองไม่ได้เลย ทั้งที่มีสามีภรรยาแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจะเรียกร้องสิ่งใด เราจะทำสิ่งใดนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย อยู่ที่ว่ารู้แล้วทำหรือไม่ รู้แล้วลืมไปหรือเปล่า ทุกคนรู้เรื่องนี้ บางทีเราไม่ต้องพูดทุกคนก็รู้ แต่บางครั้งที่เราต้องพูดเพื่อย้ำความรู้สึก ถามใจลึกๆ ข้างในว่าอยากเป็นจริงๆ ไหม ทุกคนอยากเป็นคนดี แต่มักจะดีแตก ดีไม่ตลอดใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าความไม่ดีของคนทำให้เราดีไม่ถึงที่สุด ความดีของเราทำแล้วฟ้าไม่เห็นใจเลย ความดีของเราทำแล้วทำไมเราไม่เห็นได้รับผลเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้ววันนี้ท่านอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร (อยากรู้)  อย่างนั้นต้องติดตามตอนต่อไป
ถ้าเรามีความดีอยู่กับตัวเราแต่เราไม่ได้ส่งทอดไม่ได้บอกต่อลูกหลาน ลูกหลานก็ไม่สามารถที่จะสืบทอดความดีของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกคนอย่าลืมนะว่าหนึ่งคนทำกระทบถึงบรรพชน เพราะว่านามสกุลเรายังแขวนอยู่จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรอย่าบอกว่าเรื่องของฉัน ตัวของฉัน ปู่ย่าตายายพ่อแม่ไม่ต้องเกี่ยว เพราะตราบใดที่เรายังมีชื่ออยู่ ยังมีแซ่อยู่ มีนามสกุลอยู่ ยังมีลักษณะใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงพ่อแม่อยู่ เราก็ยังต้องระมัดระวังในการประพฤติปฏิบัติตัวเองด้วย เพราะว่าตัวเองนั้น อาจจะเป็นผู้ที่ทำลายหน้าแบบนี้ที่ใกล้เคียงกันก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  ถึงบอกว่าเรื่องของเรา เราผิดเราก็รับเอง คนอื่นจะมาเกี่ยวได้อย่างไร ไม่แน่หรอก บางครั้งคนที่หน้าเหมือนเรายังโดนว่ามาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราบอกว่าเราไม่ได้ทำผิดเลย แต่เขาบอกว่าหน้านี้แบบนี้ ปากอย่างนี้ คิ้วอย่างนี้ ใช่เลยที่ว่าเรา ความเข้าใจผิดเกิดได้เสมอใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร เราต้องอย่าลืมว่าต้องระมัดระวังตัวเอง
"หวังครอบครัวร่มเย็นไม่ทุกข์ร้อน ต้องรู้ผ่อนหนักเข้มงวดเริ่มจากตน"
หวังจะให้ครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ตัวเรานั้นจะต้องปูพื้นฐานของตัวเราให้ดีก่อน เมื่อตัวเราดี ลูกหลาน สามีหรือภรรยาก็จะพึ่งพิงได้ แต่ถ้าตัวเราไม่ดี แทนที่จะได้พึ่งพิงกลับต้องหนีห่างกันไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็น่าเสียดายที่มีบุญสัมพันธ์มาอยู่ร่วมกันกลับต้องขาดสะบั้นเพราะความไม่ตั้งใจของเรา ความไม่ระมัดระวังของตัวเรา บ่อยครั้งที่เราต้องมานั่งเสียใจ เพราะว่าอะไร บ่อยครั้งที่เราหัวเราะได้เบิกบานแจ่มใส เพราะว่าอะไร มันต้องมีสาเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ต้องติดตามกันต่อไป
มีสองเรื่องแล้วที่เราอยากจะให้ท่านคิดดู ต้องจำให้ได้ เรื่องแรกก็คือเราจะสามารถทำความดีได้อย่างไรให้ไปตลอดรอดฝั่ง แล้วไม่เป็นความดีที่พ่ายแพ้ใจตัวเอง พ่ายแพ้อุปสรรค  ใช่ไหม (ใช่)
น่ากลัวที่สุดก็คือความขี้ลืมของคน  แม้จะเรียนรู้มาดี อบรมมาดี บ่มเพาะมาดี แต่พอลืมก็ลืมหมดเลย ไม่ดีเลยนะ
(ทุกคนกล่าวต้อนรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ยินดีต้อนรับเราไหม เราได้รับบัญชาให้มาก็เลยมา ถ้าไม่ได้รับบัญชาก็ไม่มาหรอกนะ มนุษย์หลายใจ โลเล ขี้สงสัย ขี้น้อยใจ แล้วก็ขี้ขอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งแรกที่ขอบ่อยที่สุดคือหนึ่งขอให้รวย สอง ขอให้หายโรคหายภัย สาม ขอให้ครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่ามนุษย์เกิดมาสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือปัจจัยสี่ ถ้าเราไม่มีปัจจัยสี่ เวลาจะพูดธรรมะก็บอกเอาไว้ทีหลัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอได้ปัจจัยสี่แล้วลูกหลานต้องอยู่ร่มเย็น สุขภาพต้องแข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงจะเห็นมาห้องพระไหม (เห็น) คนที่มาห้องพระส่วนมากไม่ค่อยแข็งแรงสักคนเลย ไม่กายบกพร่องก็ใจพิการ คนที่ดีๆ ไม่เคยเห็นหรอก ที่น่าเกลียด น่ากลัวบางทีมาเห็นไหว้พระ ขอเถอะๆ  แล้วทีแรกทำไมไม่ทำให้ดี  ใช่ไหม (ใช่)  ทุกคนรู้ไหมกินอย่างไรถึงจะทำให้สมบูรณ์ กินอย่างไรที่ทำให้ตัวเองบกพร่อง ทำอย่างไรให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพพลานามัยดี ทำอย่างไรให้ร่างกายอ่อนแอ ปวกเปียก ไม่เป็นผู้เป็นคน ทำอย่างไรท่านรู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทำไมไม่ทำ ต้องมาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วทำอย่างไรให้ตัวเองร่ำรวย ก็ประหยัดหน่อยใช่ไหม หรือที่ท่านไปเรียกเขาว่าคนขี้ตระหนี่ แต่ที่ตระหนี่น่ะคนรวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างท่านรู้หมด เพียงแต่คราวหน้าถ้าจะมาขอเราแนะนำให้ว่าขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กำลังใจ มีแรงทำให้สำเร็จ ขออย่างนี้น่าจะดีกว่า เรารู้อยู่แล้ว แต่ขอให้ท่านช่วยเพิ่มสติปัญญา และกำลังใจให้ไม่ดีกว่าหรือ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าคราวหน้ามา ขอให้เพิ่มสติปัญญาและกำลังใจ  พอเราได้แรงใจเราก็มีแรงไปเผชิญโลก ไปเผชิญคน แล้วก็สู้กับใจตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การเจ็บป่วยบางครั้งเราต้องดูว่าเป็นเพราะเราไม่ค่อยออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายหรือเปล่า พอมานั่งตรงนี้นานก็เริ่มเข่าเมื่อยเท้าบวมใช่หรือไม่ (ใช่) หรือไม่ก็น้ำหนักมากเกินไป หรือไม่ก็กินอะไรที่กัดกระดูกเกินไป หรือไม่ก็อีกแบบหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรตามทัน อยากเอาแบบไหน เราวิเคราะห์ให้หมดเลยนะ อยากแข็งแรงต้องอยู่ที่ใจ อย่าให้ใจป่วย ถ้าใจป่วยกายก็จะป่วยไปด้วย
ก่อนที่เราจะก้าวไปสู่อนาคตเราต้องไม่ลืมที่จะดูอดีตด้วย  คนปัจจุบันนี้ยืนอยู่ได้เพราะมีการสืบทอดจากคนในอดีตตกทอดมา ฉะนั้นก่อนที่เราจะก้าวออกไปสู่อนาคต หรือก้าวออกไปสู่วันใหม่ เราต้องไม่ลืมที่จะหวนมองอดีตของตัวเองด้วย หวนมองอดีตของบรรพชนด้วย ทำไมเราถึงบอกว่าต้องรู้จักหวนมอง เพราะคนเรานั้นเกิดเป็นคนล้วนมีรากฐานกันมาทุกคน ถ้าเกิดเป็นคนแล้วลืมรากตัดรากตัวเองทิ้ง อย่างนี้ไม่เรียกว่าคนที่ดีได้ ฉะนั้นเป็นคนต้องไม่ลืมรากหรือแก่นแท้บรรพชนหรือชีวิตของตนเอง  ถ้าเราพูดถึงบรรพชนในอดีต อดีตสอนให้เรารู้ว่าหากทำดี รู้จักคำนึงถึงผู้อื่น รู้จักเป็นห่วงทุกข์ยากของผู้อื่นเหมือนทุกข์ยากของตนเอง คนๆ นั้นจะสามารถครองใจหมู่ชนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่เราสามารถครองใจหมู่ชนได้ เมื่อนั้นเราถึงจะสามารถเป็นคนที่มีเกียรติมีชื่อเสียงได้ แต่ถ้าตราบใดเรายังทำร้ายหมู่ชน ตราบนั้นเราจะไม่สามารถมีเกียรติมีชื่อเสียงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือสิ่งที่ทุกท่านรู้ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถครองใจคนได้ เราเป็นคนมีเกียรติมีชื่อเสียง แม้ตายไปแล้วก็ยังมีคนที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ความตั้งใจที่ดีของเรา เราจะทำอย่างไรถึงจะครองใจคนได้ ก็คือต้องเห็นทุกข์ของเขาเหมือนทุกข์ของเรา รักเขาเหมือนรักตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทำได้เช่นนี้เขาย่อมสามารถอยู่กับท่านและรักท่าน  ท่านจะสามารถเป็นที่รักของทุกๆ คนได้ เป็นคนที่สามารถกุมใจของทุกๆ คนให้อยู่กับท่านได้ แม้จะมีเหตุอะไรเขาก็ไม่เปลี่ยนใจ มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดี นี่เป็นสิ่งที่เกิดมาแล้วก็ไม่เสียชาติเกิด ไม่ใช่เรารักแต่คนในบ้าน แม้แต่คนข้างนอกเราก็ต้องรัก ไม่เปลี่ยนความตั้งใจที่เราเคยวางไว้ นั่นก็คือ เราต้องครองใจเขาได้ก่อน หากคนๆ หนึ่งสามารถเป็นที่รักที่ครองใจของทุกคน  คนๆ นั้นเกิดมาก็คุ้มแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าบ่อยครั้งที่เรามักจะทำไม่ได้ เพราะว่าบางทีทุกข์ของตัวเองก็หนักอยู่แล้ว จะให้ไปรับทุกข์ของคนอื่น ก็รู้สึกหนักมาก ปุถุชนเลยไม่ได้เป็นพุทธะ ฉะนั้นทุกข์ของเขาก็คือทุกข์ของเราไม่ต่างกัน บางครั้งท่านไปดูเขาเป็นทุกข์หนักหนา แต่เมื่อเวลาที่มาเจอกับตัวเอง ท่านกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ทุกข์เลย กลับง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราพูดทุกข์ของเราให้เขาฟัง เขากลับบอกไม่เห็นยากเลย ท่านทำอย่างนี้ๆ สิ  ช่วงที่เราก้าวเข้าไปช่วยแบกรับทุกข์ของเขา อาจจะเป็นช่วงที่ท่านได้รับรู้วิธีการแก้ทุกข์ของตัวเองก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   อยู่ที่ว่าตัวท่านเองนั้นอย่าได้ห่วงกังวลกับทุกข์ตัวเองจนเกินไป ไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะไม่มีโอกาสได้ช่วยบรรเทาทุกข์ของคนอื่นเลย และไม่มีโอกาสได้ครองจิตใจใครเลย ถ้าท่านครองใจได้ ท่านจะรู้ว่าการครองใจประชาได้มีค่ายิ่งกว่าครองแผ่นดินสิบไร่ ร้อยตารางเมตรอีก เมื่อเราลองเทียบระหว่างมีคนๆ หนึ่งรักท่านมาก ซื่อสัตย์จงรักภักดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง กับการมีที่ดินแปลงหนึ่ง ท่านอยากมีสิ่งไหนมากกว่ากัน (มีคนรัก)  ท่านย่อมเลือกมีคนรักมากกว่า เพราะบางทีมีที่ผืนหนึ่งถ้าท่านไม่ไปลงแรงที่ผืนนั้นก็ไม่มีประโยชน์ หรือท่านมีที่ผืนหนึ่งมีคนแย่งจะเอาจากท่านให้ได้ทุกวิถีทาง ท่านกลับเป็นทุกข์มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนมีคนที่จงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลงย่อมดีกว่า ฉะนั้นขอให้ท่านลองหันมาคิดดูว่า การที่เราสามารถทำดีแล้วครองใจคนได้กับการที่เราเอาเวลาไปแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง บางครั้งครองใจคนได้ก็ทำให้ชีวิตมีค่าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง มากกว่าหาเงิน หาทอง หาเกียรติ หาชื่อเสียงอีก จริงหรือไม่ (จริง)
ใครที่คิดว่าตนเองเป็นคนที่ร่ำรวยให้ยกมือขึ้น เราขอยกก่อน แม้เราจะไม่รวยทรัพย์แต่เรารวยน้ำใจ รวยน้ำใจแล้วเป็นทุกข์หรือเปล่า (ไม่ทุกข์)  มีแต่ทุกข์ว่าจะทำอย่างไรถึงจะแจกใจนี้ให้ได้เยอะที่สุด แต่ถ้ามีเงินมากๆ มีทรัพย์มากๆ ทำไมถึงเป็นทุกข์กัน มีทรัพย์มากๆ เป็นสุขไหม (ไม่เป็นสุข) ทำไมไม่สุข (เพราะว่ามีคนขโมย)  ถ้ามีทรัพย์มากๆ บางครั้งที่คิดว่าจะมีสุขกลับต้องวุ่นวายกับการจัดการทรัพย์อันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วุ่นวายรุ่นเรายังไม่พอยังต้องไปวุ่นวายรุ่นลูกรุ่นหลานอีก  ฉะนั้นคนที่คิดจะบำเพ็ญควรแสวงน้อยๆ ดีไหม (ดี)  มนุษย์เราเหนื่อยเพราะการแสวงหาหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย)  เราเห็นน้อยเหลือเกินที่แสวงหาเงินทองแล้วไม่เหนื่อย มีแต่เหนื่อย แต่บอกตัวเองไว้ว่าไม่เหนื่อย หลอกตัวเองไว้จะได้มีแรงใจหาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากเป็นพุทธะไหม (อยาก)  จะเป็นพุทธะได้ต้องรู้จักเจริญรอยตามในสิ่งที่ดีงามก่อน เมื่อเราสามารถรักษาสิ่งที่ดีงามไปได้ตลอด ท่านก็สามารถก้าวเข้าสู่ความเป็นพุทธะได้ จะเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ได้หรือไม่อยู่ที่ว่า ในขณะที่ทำดีนั้น ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียวหรือเปล่า  ถ้าขณะที่ก้าวไป ขณะที่ทำดีไป ยังมีการช่วยผู้อื่น ผลักดันผู้อื่น ให้กำลังใจผู้อื่น นั่นก็คือการก้าวเป็นพุทธะและเจริญตามแบบโพธิสัตว์  แต่ถ้าก้าวไปทำดีให้กับตัวเอง ก็ได้แค่ความเป็นพุทธะในตัวตน และเป็นพุทธะระดับหนึ่งเท่านั้นเอง  ถ้าช่วยคนไปด้วย โปรดคนไปด้วย ดึงคนไปด้วยก็ได้เป็นพุทธะที่เป็นโพธิสัตว์เข้าใจไหม (เข้าใจ)  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก อย่างแรกก็คือ ตั้งต้นเป็นคนดีก่อน เมื่อเป็นคนดีแล้ว ต้องเป็นแบบตุ๊กตาล้มลุก ล้มอย่างไรก็ลุกขึ้นมาได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นสามคนออกมาแสดงหน้าชั้น โดยมีหนึ่งคนเป็นตุ๊กตาล้มลุก และอีกสองคนสลับกันผลักและรับตุ๊กตาล้มลุก จากนั้นให้คนที่เป็นตุ๊กตาล้มลุกถือพานผลไม้เพิ่ม)
บ่อยครั้งที่เราต้องทำให้ผู้อื่นยอมรับ บางคนก็อาจจะช่วยผลักดันส่งเสริมเรา เมื่อเวลาเขาผลักดันส่งเสริมให้เราก้าวหน้า เราอย่าไปคิดว่าเขาขับไล่ไสส่ง เหมือนบางครั้งเวลาเขาอยู่กับเรา หมดเวลาเขาก็ให้เราไปอยู่กับคนอื่นบ้าง เราก็อย่าไปคิดว่าเขาไล่เรา เมื่อหมดเวลาอยู่กับเขา บางครั้งเราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเรามีบุญสัมพันธ์กับเขาสั้นๆ เท่านี้  ชีวิตของคนเราบางครั้งได้พบคนนี้ บางครั้งก็ต้องไปพบอีกคนหนึ่ง วันนี้ได้อยู่กับอีกคนหนึ่งทำไมต้องพลัดพรากนั่นเป็นเรื่องสัจธรรมของชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  มีบุญได้อยู่ร่วมกันสักวันก็ต้องจากกันไป แต่จะจากแบบมีบุญหรือจากแบบมีกรรม ขึ้นอยู่กับเวลาเราอยู่กับเขา ใช่ไหม (ใช่)  เราอาจจะเป็นตุ๊กตาที่มีผู้รับผู้ส่งไม่ซ้ำกันเลยก็ได้ ช่วงที่ท่านกำลังดำเนินชีวิตอยู่นั้น แม้จะอยู่กับคนนี้แล้วรู้ว่ารับคนนี้ได้ แต่บ่อยครั้งเรามักจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้คนที่รับต้องเพิ่มน้ำหนักรับมากขึ้น จากที่ผลักไปง่ายๆ ก็ต้องระมัดระวังผลักเข้าไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่เขารับง่ายๆ ก็ต้องรับมากขึ้น เพราะว่ามีพานผลไม้ซึ่งเป็นภาระและอารมณ์ของเขา หรือไม่ก็เป็นนิสัยที่เพิ่งขึ้นมาตอนที่ได้อยู่ร่วมกันนานขึ้น ตอนอยู่ร่วมกันแรกๆ ก็ยังรู้สึกว่าเขาดีไปหมดเลย พอมาสักพักหนึ่งทำไมนิสัยอย่างนี้มาได้อย่างไร ก็เลยทนไม่ได้ ผลักไป พอมาหนึ่ง บางครั้งก็พอรับได้ แต่ถ้ามีสองขึ้นมาทำอย่างไร รับได้ไหม ตัวเองก็ถือหนักแล้ว บางคนทนได้ มีอะไรเข้ามาก็รับได้ เพราะชีวิตนี้รับเขามาแล้ว  ถ้าหากเราไม่รับขึ้นมา เขาก็มีแต่ล้ม แล้วก็บาดเจ็บ นี่คือการยกตัวอย่างในการอยู่ร่วมกันเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พานผลไม้นั้นเปรียบเหมือนกับอารมณ์ นิสัย หรืออาจจะเป็นภาระที่เพิ่มขึ้น บางคนทำไปแล้วแต่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเรารับไม่ได้รับไม่ไหว บางครั้งเราต้องรู้จักพูดตรงๆ บ้างใช่ไหม (ใช่)  บางทีมนุษย์อยู่ด้วยกัน ก็ฉาบกำแพง ฉาบอิฐ ฉาบกระจกไว้เยอะไม่ให้เขาเห็นตัวเอง แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  บางครั้งให้เขารู้ไปเลยว่าเราเป็นคนอย่างนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาจะได้บอกว่า ก็เธอเป็นอย่างนี้ต้องแก้ แต่ถ้าท่านฉาบไว้หนาใครจะช่วยเราได้ ฉะนั้นเป็นมนุษย์ต้องเป็นคนที่จริงใจและบริสุทธิ์ใจ บ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะถามตนเอง ถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถามฟ้าดินด้วยความไม่รู้ว่า ทำไมคนดีทำดีถึงไม่ได้ดี  ทำไมคนชั่วชอบรังแกคนดี ทำไมทำดีแล้วโดนเขาต่อว่า โดนเขาไม่เห็นดีด้วย จะทำดีอย่างไรท่ามกลางคนที่ทำไม่ดีเต็มไปหมด บ่อยครั้งเรามักจะมีคำถามเกิดขึ้น เพราะว่าเราไม่รู้จะทำอย่างไรดีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราจะบอกท่านให้ว่า วิธีที่จะทำไม่ยากเลย มีสำนวนกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์เรามีใจที่บริสุทธิ์ มีความประพฤติอันดีงามในคุณธรรมที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ คนๆ นี้เมื่อไปอยู่ในสังคม เขาสามารถมีจิตสำนึกได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร เขาย่อมเป็นคนที่รู้จักเคารพกฎ เคารพผู้ใหญ่ เมตตาผู้น้อยและเขาย่อมเป็นคนที่ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอย่างเดียว แต่ยังรู้จักเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น อุทิศสละเพื่อคนอื่นไม่เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม้หนึ่งก้าน จะหาให้ได้ยาวและตรงอย่างที่เราต้องการโดยที่ไม่ติดข้อไม่ติดปล้องบางครั้งเป็นอย่างไร (ยาก) แต่ท่านว่ามีไหม (มี) คนที่ดีแล้วรักษาความดีได้ตลอดหาได้ยากเหลือเกิน แต่ใช่ว่าจะไม่มีใช่ไหม (ใช่) เหมือนไม้บางครั้งก็ต้องติดข้อติดปล้องบ้าง แต่เมื่อติดข้อติดปล้องแล้วก็ยังตรงได้ ไม้ตรงเรายังเลือกมาใช้ แต่ไม้คดบางครั้งเราต้องดัดให้ตรงจึงจะมาใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครๆ ก็อยากได้คนตรง ฉะนั้นถ้าผิดไปบ้าง ก็ต้องรู้จักรีบปรับปรุงแล้วกลับมาตรงเหมือนเดิม แต่หลายคนมักจะอ้างว่าเขาไม่ให้โอกาส เขาไม่นับถือฉันเลย ฉันจะไปดีกับเขาทำไม ให้ฉันมีเงินก่อนแล้วฉันจะเป็นคนดี บางคนมักจะบอกว่า ให้เขาทำตัวน่ารักกว่านี้ก่อนแล้วฉันจึงจะดีกับเขา เขาไม่ให้โอกาสฉันแล้วฉันจะทำดีได้อย่างไร หรือบางทีก็โทษคน โทษฟ้าไม่ให้โอกาส ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ หน้าก็ไม่สวย หล่อก็ไม่หล่อ นิสัยก็ไม่ดี ใช่ไหม แม้ฟ้าจะกำหนดชะตามนุษย์ แต่มนุษย์ก็สามารถลิขิตและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ อยู่ที่ว่าเราอย่าได้เอาคุณค่าของตนเองไปฝากไว้กับสิ่งนั้นสิ่งนี้
การบำเพ็ญธรรมนั้นทำไมจึงให้เรารู้จักปล่อยวางทรัพย์ และเกียรติยศบ้าง เพราะหากมนุษย์นั้นยังห่วงกังวลเรื่องทรัพย์ เกียรติยศอยู่ การที่จะคิดฝักใฝ่บำเพ็ญย่อมเป็นได้ยาก จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์รู้จักปล่อยวางเรื่องทรัพย์ เราก็จะมีเวลา แต่เราจะทำอย่างไรให้เราสามารถปลดปล่อยได้อย่างดี บ่อยครั้งที่เรารู้ว่ามีมากเกินก็เป็นทุกข์ มีน้อยเกินก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แล้วเราทำอย่างไรถึงจะให้มีแล้วพอดี มีแล้วเป็นสุข นั่นก็คือต้องหาความปานกลางหรือที่เราเรียกว่า "พอดี" ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะหาความพอดีได้จากที่ใด (ตัวเราเอง) มนุษย์สามารถหาความสมบูรณ์และพอดีได้ที่ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราบอกว่า "มีเงินหนึ่งบาทสมบูรณ์แล้ว เขามีสิบบาทสมบูรณ์แล้ว" ถ้าเป็นเด็กยังใช้เงินไม่เป็น แต่เขามีเงินสิบบาทเป็นสุขไหม (สุข) นั่นหมายความว่าทุกคนสามารถหาความสุขในการแสวงหาได้ แต่ต้องรู้ว่าจุดพอดีของตนเองอยู่ที่ใด จุดพอดีแล้วมีสุขไม่ต้องเดือดร้อน เมื่อไรที่เราสามารถหาจุดนั้นได้เมื่อนั้นท่านจะมีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อใดท่านไม่สามารถหาจุดพอดีได้ ท่านจะไร้เวลา จะวุ่นตลอดชีวิต แล้วเมื่อไรเราหาจุดพอดีให้กับตนเองได้ สุขนั้นก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม และไม่เหนื่อยเกินไปด้วยจริงหรือไม่ (จริง) แต่ต้องถามตัวเราเองนะว่าทำอย่างไร จึงเรียกว่า "พอดีแล้วมีสุข" ทุกคนย่อมมีมาตรฐานไม่เท่ากัน จะเอาเขามาวัดเราไม่ได้ จะไปหาข้างนอกก็ไม่ได้ จะต้องหาที่ใจเราเอง แล้วเราก็จะสามารถเป็นคนที่สุขในคำว่า "พอดี" และสุขในคำว่า "สมบูรณ์" แล้วเมื่อนั้นท่านก็ย่อมมีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ที่ว่าเมื่อไรเราจะฝึกตนเอง เมื่อไรเราจะบำเพ็ญตัวเองให้เรียกว่าพอจริงๆ ถ้าเมื่อไรเราสามารถหยุดได้แล้วรู้ว่านี่คือความพอและสุขของเรา นี่ก็คือการได้ก้าวบำเพ็ญตนให้รู้จักอิ่มและพอมีเงินมากเกินไปขี้เกียจ   ฉะนั้นอย่าหาจนมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเต็มแล้วจะต้องล้น ล้นแล้วก็จะลำบาก แต่จะมีใครในโลกนี้สามารถเต็มอย่างพอดี แล้วเป็นสุขในคำว่า "พอ" นั่นก็คือต้องรู้จักสมถะ แม้เสื้อจะเก่าไม่ทันสมัยก็มีสุข แม้ทองจะเส้นเล็กนิดเดียวก็พอแล้ว แม้แต่งตัวไม่ทันสมัย เสื้อเก่ากว่าคนข้างๆ ก็ภาคภูมิใจและมีสุข  บ่อยครั้งที่ทุกคนเมื่อไม่มีก็พยายามทำให้ตัวเองมี แต่พอทำให้ตัวเองมีแล้ว ตัวเองต้องใจสกปรก เมื่อทำให้ตัวเองมีแล้ว ทำให้ตัวเองต้องผิดกับคนอื่น ทะเลาะกับคนอื่น อยากมีไหม (ไม่อยาก) อย่าดิ้นรนแล้วทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นคนที่ไม่ดีเพราะว่าอยากมีเท่านั้น  ไม่อย่างนั้นเกิดมาก็เสียชาติเกิด เพียงแค่อยากได้กำไรเขาหนึ่งพันหนึ่งหมื่น ก็ยอมทิ้งความดี เช่นนี้ไม่คุ้มเลยนะในการเกิดมาเป็นคนใช่ไหม (ใช่)
"ละทำบาปใจที่นิทราลา" นั่นก็คือจะละจากการดำเนินชีวิตที่ผิด เพราะว่าเราได้รู้ตื่นแห่งชีวิตแล้ว ชีวิตของทุกคนมีสุขมีทุกข์ไม่แน่นอน เรามีชีวิตไม่ใช่มองแค่ทุกข์มองแค่สุข แต่เราต้องรู้จักว่าทำไมเราจึงทุกข์ ทำไมเราจึงสุข อย่าไปติดแค่ว่ามีสุขดีใจ มีทุกข์เศร้าใจ อย่ามองแค่ตรงนี้ แต่เราต้องมองที่สาเหตุ ทำไมเราจึงทุกข์ทำไมเราจึงสุข เมื่อเรารู้สาเหตุว่าทำอย่างนี้ได้สุข ทำอย่างนี้จะต้องตรอมตรมในทุกข์ แล้วเราก็ต้องเก็บสาเหตุนี้เอาไว้ในการดำเนินชีวิต เมื่อเราผิดพลาดเราก็กล้าที่จะแก้ไขและยอมรับผิด แล้วก็ปลงตกใช่ไหม  เมื่อไรที่เรารู้สาเหตุว่าทุกข์มาจากอะไร สุขมาจากอะไร เราก็สามารถมีชีวิตอย่างมีอิสระไม่กังวลวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องทุกข์สุข แต่ถ้าท่านไม่สามารถรู้สาเหตุได้ ท่านก็ยังต้องทุกข์ร้อนต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักดำเนินชีวิต รู้เหตุแห่งความเป็นมาและเป็นไป เมื่อเรารู้เหตุและสืบสาว เราย่อมมีชีวิตได้อย่างเป็นสุข และสุขได้อย่างเสรี ชีวิตนี้มีสุขมีทุกข์แต่เราจะทำอย่างไรให้เราสามารถเข้าใจทุกข์และสุข แล้วเดินฝ่าไปได้อย่างปลอดภัย  ชีวิตก็เหมือนฝันอันยาวนาน แต่ถ้าเมื่อไรเราตื่น เราจะรู้ทางเดินแห่งชีวิตอีกทางหนึ่ง นั่นก็คือการบำเพ็ญตัวเอง
การศึกษาธรรมนั้นก็คือการมุ่งให้เราบำเพ็ญปฏิบัติเป็นคนดี มีศีลธรรม แต่เราจะมุ่งปฏิบัติบำเพ็ญได้นั้น สิ่งแรกตัวเราต้องตั้งใจขึ้นก่อน หากตัวเราไม่ตั้งใจขึ้นมา แม้จะรู้ว่าดีแต่ก็ยากที่จะกระทำได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าตัวเราไม่มุ่งมั่น ตัวเราไม่ตั้งเป้าให้กับตัวเอง การศึกษาคุณธรรมนั้นก็เพื่อบำเพ็ญตัวเอง นอกจากจะรู้จักปฏิบัติธรรมแล้ว ยังต้องรู้จักขัดเกลาจิตใจของตัวเองด้วย จิตใจของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกับน้ำ บางครั้งก็เหมือนน้ำใส บางครั้งก็เหมือนน้ำขุ่น แต่น้ำจะใสหรือขุ่นก็ยังเป็นน้ำอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเป็นคน แต่ก็ใช่ว่าเป็นคนแล้วเปลี่ยนจากความเป็นคนไม่ได้ จริงๆ ยังเปลี่ยนได้ คนเราสามารถเปลี่ยนเป็นอีกสิ่งหนึ่งได้แม้จะมีความเคยชินก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ อยู่ที่ว่าเราอย่าดูถูกตัวเอง
ท่านเคยไหมบางครั้งเห็นฟ้าที่กว้างแล้ว แต่ใจคนบางครั้งทำไมถึงเป็นคนใจกว้างได้ขนาดนี้ โลกนี้มีคนที่ใจกว้างยิ่งกว่าฟ้าใช่ไหม (ใช่) ดูง่ายๆ อย่างในหลวงของท่าน  ทั้งที่ท่านมีเงินทองมากมาย ไม่จำเป็นต้องไปตากเหงื่อเสียแรงกาย อยู่เฉยๆ ชี้นิ้วสั่งก็ได้ แต่ทำไมท่านถึงใจกว้างยอมเสียสละแบบนี้ บางครั้งเราเห็นว่าฟ้าที่ว่าสูงแล้ว แต่ยังเห็นใจคนสูงยิ่งกว่าฟ้าอีกใช่ไหม (ใช่)  บางทีเราก็ถามในใจว่า ทำไมเขาถึงสูงได้อย่างนี้ ทำไมเขาถึงเป็นคนดีแบบนี้ อะไรล่ะทำให้เขาเป็น ทำไมพุทธะสามารถเอาชนะกิเลส เอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ จนเป็นคนที่สูงส่งน่าเคารพนับถือ ทำไมท่านถึงทำได้แบบนี้  ทำไมคนถึงใจกว้างและสามารถสูงยิ่งกว่าฟ้าได้อีก นั่นเป็นเพราะมีความมุ่งมั่นใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเรามุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ เขาย่อมสามารถไปถึงได้ ท่านคิดว่ามีอะไรอีก (มีความจริงใจ, มีเมตตาธรรม, มีคุณธรรมประจำใจ) คุณธรรมประจำใจทุกคนมักจะเข้าใจผิดว่าคือมีคติประจำใจ พอถามว่ามีคุณธรรมประจำใจไหม ทุกคนก็ตอบว่ามี คืออดทน สู้ไม่ถอย อย่างนี้ไม่ใช่มีคุณธรรมประจำใจ คุณธรรมประจำใจก็คือสามารถมีธรรมแล้วไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ออกไปจากใจดวงนี้ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ธรรมอันนี้ก็ยังคอยสอนย้ำเตือนอยู่ จึงจะเรียกว่า "คุณธรรมประจำใจ" นอกจากนี้ยังมีอะไรอีก (มีใจเสียสละ แบ่งปันให้ผู้อื่น, มีใจอยากสร้างกุศลความดีงาม, มีปณิธานที่แน่วแน่ มีความดีและจริงใจ)
บ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะแพ้สภาวะแวดล้อม แม้บางคนจะมีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ แต่พอเจอสภาวะแวดล้อมไม่เป็นใจ เราก็เปลี่ยนแปลง พอเจอน้ำขุ่นท่านก็ขุ่นตาม พอเจอน้ำใสท่านก็ใสตาม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราสามารถอยู่เหนือสภาวะแวดล้อมได้ ถ้าคนคิดแล้วมุ่งมั่นในความคิด เขาย่อมสามารถไปเจริญจนสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ที่ความคิดของตัวเราด้วย หากเรามีความคิดมุ่งมั่นกระทำดี แม้สภาวะแวดล้อมก็แพ้ใจเราได้เหมือนกัน เราต้องเริ่มที่ความคิด เมื่อความคิดส่งผลก็ออกมาสู่การกระทำ แต่จะคิดแล้วสู่การกระทำได้ ต้องคิดด้วยความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้บอกว่ารับธรรมะ บำเพ็ญแล้วบรรลุนิพพาน ท่านบอกว่าโม้สุดขีดเลย  ฉะนั้นเวลาพูดต้องคิดให้ดีๆ ก่อนนะ ถ้าท่านพูดไม่ดีก็จะกลายเป็นว่ายกตัวเองเกินไป แล้วก็ยกธรรมะให้สูงจนเกินไป  ฉะนั้นเวลาเราพูด เราต้องพูดให้ง่ายๆ ก่อน แล้วพอเขาเดินไปได้ง่ายๆ เราก็ค่อยบอกเขาทีละขั้นๆ ที่สูงต่อไป จากบอกง่ายๆ บางคนก็ไม่ค่อยอยากเดิน พอบอกว่าถ้าทำง่ายแล้วท่านค่อยๆ ก้าวไป ท่านจะไปสูงกว่านี้ได้ ทุกคนถึงจะมุ่งมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีง่ายก็ต้องมีขั้นสูงให้เขาเห็นด้วย เหมือนเราบอกว่าผลไม้นี้ก็เหมือนกับการบำเพ็ญธรรรม ทุกคนก็สามารถเอาธรรมะนี้ไปใช้ได้ อยู่ที่ว่าเราใช้เพียงคนเดียว หรือว่าเราไปช่วยผู้อื่นด้วย  อยู่ที่ว่าเราเอาธรรมในชีวิตไปใช้แบบไหน ถ้าเราเอาไปใช้ได้ดี ใช้ได้ถูกต้อง นั่นก็เรียกได้ว่าบำเพ็ญได้ถูกทางแล้ว แต่ถ้าใช้แล้วบางครั้งอาจจะมีคนว่าบ้าง มีคนไม่เห็นด้วยบ้าง มีคนชิงชังบ้าง เราต้องดูว่าตอนที่เรามีชีวิตอยู่นั้น เราใช้กับตัวเองเป็นหรือยังก่อนที่จะนำไปใช้กับผู้อื่น เราดำเนินชีวิตตัวเราเองถูกหรือยังก่อนจะไปชี้นำผู้อื่น  บางทีเรามีใจอยากจะช่วย แม้ตอนนี้ตัวเองยังชี้นำไม่ถูก แต่ถ้าพอเข้าใจว่าทำอย่างนี้แล้วเขาจะไปได้ ไม่เป็นไรช่วยเขาไปก่อน บางครั้งต้องพลิกแพลงด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางครั้งเราอยู่ร่วมกับผู้อื่น เรามีความมุ่งมั่น เรามีความตั้งใจ แต่ในสังคมนั้นย่อมมีทั้งคนดีและไม่ดี เวลาเราเห็นคนไม่ดี เราชี้หน้าว่าเขา ดีไหม  (ไม่ดี) เวลาเราเห็นคนดี เราชื่นชมและเลียนแบบเขาได้ไหม (ได้) แต่เวลาเห็นคนไม่ดี เราเลียนแบบดีไหม (ไม่ดี) เมื่อเราตั้งใจมุ่งมั่นทำดี พบคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เราต้องไม่ย่อท้อ เมื่อไม่ย่อท้อเราต้องสามารถเอาความดีนั้น ทำให้เขาสะเทือนใจ ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ อย่าเพิ่งคิดว่าชนะหรือแพ้เลย ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรจึงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า จริงหรือไม่  ธรรมนั้นก็คือตัวเราต้องมีสติอยู่กับตัวเองตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เรามักลืม แม้กระทั่งคุณงามความดี ก็เพราะว่าเราไร้สติ บางครั้งเราเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่เรารู้สึกนั้นแตกต่างกันออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนต่างมีเหตุการณ์หรือสภาวะแตกต่างกันออกไป อยู่ที่ว่าเมื่อได้รับธรรมนี้ไปแล้ว เราจะนำไปใช้ได้อย่างไร ตอนนี้เราอาจจะพบอุปสรรค พบความลำบากบ้างก็อย่าได้ย่อท้อ บางครั้งถ้าเรามีเรื่อง มีภาระอะไรที่จะต้องแบกรับอยู่ เมื่อมีสิ่งที่ผ่านมาเราก็ลืมที่จะสนใจไป แม้สภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรแต่ความคิดของมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด คิดดีก็เป็นกุศล คิดร้ายก็อับจนหนทาง
ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งสำคัญขอให้รู้จักให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เรามีร่างกายอยู่เราต้องให้ความสำคัญ เราสามารถเอาความสำคัญนี้ฉุดช่วยผู้คนได้หรือช่วยตัวเองก็ได้  แล้วคุณค่าก็ต่างกันอยู่ที่ว่าเราจะทำเพื่ออะไรในสิ่งที่เรามีอยู่นี้ เราเห็นค่าไหม เราได้สร้างค่าบ้างหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของมนุษย์นั้นมีค่ามาก  ถ้ารู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกทางและสามารถนำค่าแห่งชีวิตนี้กลับไปสู่ที่ๆ ตัวเองเคยมา นั่นก็คือแดนนิพพาน อยู่ที่ว่าเรามีความมุ่งมั่นไหม เราคิดจะเป็นคนดีที่แท้จริงหรือเปล่า  เราเคยค้นหาความดีงามในตัวเองไหม ที่เรียกว่า "มนุษย์อันประเสริฐ"  ประเสริฐเพราะว่าเรามีธรรมแล้วใช้ธรรมให้เกิดความประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์ กิเลส ตัณหาบางครั้งรู้สึกว่าเป็นการยากที่เราจะมิโกรธเขา มิรักเขาจนหลง รู้จักแยกแยะอะไรดีอะไรชอบ รู้จักมุ่งมั่นแล้วไปให้ถึง ไม่พ่ายแพ้ใจ อารมณ์หรือความอ่อนแอ เราสามารถตัดได้ เราสามารถรู้ได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี  จริงๆ แล้วท่านรู้ไม่จำเป็นต้องให้เราบอก เรานั้นมีอารมณ์ได้แต่มีอารมณ์ระดับไหนที่พอดี มิเกินงาม ไม่ทำร้ายผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้รู้จักเรียกหา อย่าได้มีชีวิตแล้วเอาแต่เบียดบังผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นเพื่อความสุขของตนเอง อย่างนี้จะเรียกว่ามนุษย์อันประเสริฐไหม (ไม่)  ก่อนที่เราจะว่าเขาไม่ยุติธรรม ไม่ดี นิสัยเลว เราถามตัวเองก่อนว่าเรามีบ่อเกิดที่ทำให้เราไม่ยุติธรรมไหม ถ้ามีรีบตัดทิ้ง เพราะเรื่องเล็กๆ ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การจะบำเพ็ญธรรมให้ถึงซึ่งจุดหมายนั้น เมื่อถึงคราวเด็ดขาดแล้วต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถรักษาความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือได้   เมื่อพูดว่าต้องลงโทษก็ต้องลงโทษ เมื่อถึงคราวรักเมตตา เราก็ต้องรักเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)   การเป็นคนจะบำเพ็ญตนให้ดีนั้นต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เข้มงวดผ่อนปรน และต้องรักเมตตาทุกๆ คน   เมื่อเรามีความเข้มงวดผ่อนปรนเด็ดขาด ทุกคนย่อมเชื่อถือ เมื่อเรามีความรักความเมตตาทุกคนย่อมรักใคร่ ใช่หรือไม่ (ใช่) อีกอย่างหนึ่งก็คือต้องรู้จักตนเองและรู้จักผู้คนด้วย เมื่อรู้จักสามอย่างนี้แล้วก็นำไปใช้ในการบำเพ็ญ ใช้ในการดำเนินชีวิต  เมื่อใครล้มเราก็ช่วยพยุงเขา บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองเลย พูดสิ่งที่ดีๆ พูดให้กำลังใจ จากล้มก็อาจลุกขึ้นใหม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
งานประชุมธรรมที่นี่จะเกิดได้ ก็เพราะมีคนที่นี่ที่ต้องมาลงแรงเตรียมงาน  คนเรานั้นหากมีใจ แม้แผ่นดินจะหนาใจนั้นก็สามารถที่จะทำให้มนุษย์ฝ่าออกไปได้ ทะลุไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เสียงและแสงที่เร็ว หากใจมนุษย์มีสติทัน เราก็สามารถไปอยู่หน้าเสียงหน้าแสงได้หรือตามทันได้ ขึ้นอยู่ที่ใจของมนุษย์อยากจะเป็นอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ใจของพุทธะน้อยๆ จะต้องมีความบริสุทธิ์ มีคุณธรรมอันเปี่ยมล้น  ยิ้มให้กับทุกคน ยิ้มให้กับทุกๆ โอกาสที่ต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานโอวาท และผลไม้แด่ผู้ปฏิบัติงานธรรม)
งานในวันนี้จะเกิดขึ้นเพราะมีผู้ลงแรงมาช่วยงานก่อน เราอยากบอกผู้ปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งว่า เราดีใจที่ท่านอยากมาพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่การลงแรงฟังอย่างเดียว เราต้องลงมือปฏิบัติช่วยเหลือด้วย งานในห้องพระก็คืองานที่ต้องขอแรงและอุทิศแรง ทุกคนมีปณิธาน ปณิธานที่จะสละตนเองฉุดช่วยคน และการสละตนเองฉุดช่วยคนนั่นก็คือลงแรง แม้จะทำเบื้องหลังเพื่อให้เบื้องหน้าสำเร็จก็ไม่เป็นไร อย่าอยู่แต่เบื้องหน้าแต่เบื้องหลังไม่เคยไปช่วย อย่างนี้ก็ไม่ได้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แม้งานจะจบก็มีใจมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม หรือมีอะไรพอทำได้เราก็ทำ ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะว่างานนี้จัดขึ้นมาได้ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรงของคนที่นี่คนเดียว แต่ต้องเกิดจากทุกๆ คนร่วมมือกัน มีทุกๆ ท่านจึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีทุกๆ ท่านเสียสละเราจึงได้มาวันนี้ ไม่อย่างนั้นแม้เราได้รับโองการก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีคนมานั่งฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ภาระหน้าที่เราก็เสร็จแล้วนะ ขอให้ทุกท่านตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าคิดว่าเรามาหลอกเลยนะ คิดว่าเรามาผูกบุญสัมพันธ์กัน วันนี้มีพบก็มีพรากเป็นธรรมดา ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ



วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน และท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน

รับธรรมง่ายบำเพ็ญยากอยากฝากไว้ บำเพ็ญง่ายบรรลุยากเป็นหนักหนา
จึงหวังท่านเดินทางธรรมด้วยใฝ่หา ความพยายามสู่เบื้องฟ้าสุทธาเดิม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลวี่ต้งปิน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน   แฝงกายประณต
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านตั้งใจฟังธรรมะหรือไม่

รู้วันเกิดแต่ไม่อาจรู้วันดับ มองย้อนกลับยากกลายง่ายให้แก่นสาร
ทุกเวลานาทีที่พ้นผ่าน ระมัดระวังค่อยคิดอ่านทำสิ่งใด
สิ่งต่อไปที่จะทำต้องดีกว่าเก่า ไม่เงียบเหงาในการจะแก้ไข
ธรรมะแม้ดั่งซบเซาแต่เฟื่องไกล ศึกษาให้กระจ่างเถิดจะเกิดผล
สามวันแม้ยังข้องจิตไม่เป็นไร แต่หลังจากจบชั้นไปหมั่นฝึกฝน
ขจัดมารในใจออกเพียงรู้ตน รู้หนึ่งต้นแจ้งสิบปลายด้วยปัญญา
ปฏิบัติธรรมให้ผลิดอกและออกผล ต้นไม้ต้นนั้นท่านต้องเป็นผู้รักษา
มีโอกาสอย่าปล่อยผ่านเร่งรุดนา ยืมปลอมมาบำเพ็ญจริงชั่วชีวัน
ฮา ฮา หยุด


สภาวธรรมอยู่เหนืออักขระใด ผู้เข้าใจบำเพ็ญจริงไม่รอช้า
ผู้เข้าถึงเสรีเหนือมายา รับรู้ด้วยปัญญาเห็นแจ้งจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ได้เกิดมาทีตระหนักคนบำเพ็ญ รู้จักพอเป็นสุขไม่เคยเปลี่ยน
บำเพ็ญจิตรู้เสมอต้นปลายเพียร เตรียมพร้อมความประมาทเปลี่ยนเป็นระวัง
อันชีวาทุกข์ดีช่วยเป็นครู พินิจดูควรไม่ควรครรลองตั้ง
แสวงแค่เพียงพอทางสายกลาง จิตสว่างรู้จักตนเองดีพอ
ในเรื่องควรไม่ควรปัญญาคิด กวดชีวิตตระหนักทุกคำกล่าวหนอ
ชั่วชีวิตบำเพ็ญใช่ว่าง่ายรอ เมื่ออยากสุขรู้จักพอสุขแยบยล
คนโง่มักวาสนามีสูงส่ง เพราะไม่ติดวัตถุหลงประโยชน์ผล
ฉลาดถูกความฉลาดทำร้ายตน กลัวเสียผลไม่ทนสละไป
ฮา ฮา หยุด


อยู่ในความไม่เหมือนกัน  ที่คนแตกต่างกันไป  ย่อมมีขัดกันขึ้นมา  ต่างโทษกันว่าไม่ดี  มากไปด้วยเหตุปัจจัย  ที่ผิดนั่นใครตัดสิน
? ก้าวไปเหนือความคิด ขาวดำกลมกลืนและต่าง คงอยู่ที่ใครให้เป็นแบบไหน
?? อภัยในใจย่อมมีสันติ  ไม่เหลือชิงชัง  ดึงดันอารมณ์ย่อมขุ่น  ยิ่งมีแต่ปัญหา  มีบุญได้มาพบปะ  อย่าคิดทำลาย  พอวันเวลาผันผ่าน  ฝึกใจยอมรับกับความจริง
ต่างจิตใจ  ต่างรูปการณ์  เข้าใจจิตแห่งตนเอง  มิลืมเข้าใจผู้คน  จิตใจคนก็เหมือนกัน  น้ำใจแค่หยดลงไป  ประดุจดั่งเป็นธารน้ำ  ( ซ้ำ ? , ??, __ )

เพลง : รู้เขารู้เรา เข้าใจกัน
ทำนองเพลง : เธอคงไม่รู้



พระโอวาทท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน และท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน

สถานการณ์หรือเรื่องราวแห่งชีวิตนั้นไม่มีใครคาดเดาได้ว่า วันหน้าจะเป็นอยู่เหมือนอย่างวันนี้หรือไม่ วันนี้ที่ดีอย่างนี้แต่วันหน้าอาจจะไม่ใช่เช่นนี้ก็เป็นได้  ฉะนั้นการเตรียมพร้อมไว้เสมอและการมีใจเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ในโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเลย ขอเพียงเวลาอยู่ร่วมกันอย่าระแวงอย่าสงสัยกันเท่านั้นเอง หากระแวงสงสัยกันอยู่ร่วมกันก็ไม่เป็นสุข จริงหรือไม่ (จริง)  หากเรามีเพื่อน หรือหากเราเดินทางแล้วได้รู้จักคนๆ หนึ่ง  เขาดีกับเราทุกอย่าง แต่ในใจเรากลับรู้สึกไม่วางใจเขา  ไม่มั่นใจในความดีที่เขาทำให้เรา ว่าเขาประสงค์สิ่งใด  เพราะเหตุใดมนุษย์เราถึงกลัวกัน เพราะว่าคนในปัจจุบันนี้ชอบเอาความเมตตามาลวงหลอกกัน ชอบเอาความเมตตามาเรียกร้องความสนใจให้เราเบี่ยงเบนความตั้งใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เฉกเช่นมีคนหนึ่ง ท่าทางน่าสงสาร พอท่านเห็นท่านก็มีใจอยากช่วย  แต่กลับมารู้ภายหลังว่าเขาเอาความสงสารนั้นมาหลอกลวงใจเรา  ฉะนั้นเวลามีคนดีต่อท่าน หรือให้อะไรกับท่านโดยไม่หวังผลตอบแทน ท่านก็เลยอดสงสัยไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านหลวี่ต้าเซียน : ตอนนี้ขอให้ในใจของท่านไม่สงสัยหรือเปิดใจออกกว้างหาคำตอบให้กับตัวเองได้หรือไม่  ในขณะนี้หากว่าท่านสงสัยก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญนั้นคงไม่ได้อยู่ที่สามวันนี้ แต่อยู่ที่ว่าหลังจากสามวันนี้ ท่านจะสามารถเลิกสงสัยไปเลย หรือไม่ก็บำเพ็ญธรรมได้ดีไปเลย ทำได้ไหม (ได้)
สามวันสำหรับท่านเป็นเวลาที่มากไหม (ไม่มาก)  ชีวิตมีอายุเป็นสิบๆ ปี หนึ่งปีมีถึงสามร้อยหกสิบห้าวัน แต่ท่านฟังธรรมะอยู่แค่สามวัน เพราะฉะนั้นสามวันนี้จึงเป็นเวลาที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่เป็นการปูพื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ หากเทียบกับหนึ่งปีที่ผ่านไปของท่าน สามวันนั้นเล็กน้อยมาก ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมหรือว่าฟังธรรมะนั้นหนึ่งปีควรฟังกี่ครั้งถึงจะสมดุล ให้ท่านนั่งฟังอย่างนี้สามร้อยหกสิบห้าวันได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำไมถึงไม่ได้ หากว่าทำบาปทำกรรมทุกวัน การที่ต้องนั่งฟังธรรมะทุกวันก็เป็นเรื่องสมควร หากว่าในหนึ่งปีท่านฟังธรรมะสามวัน ท่านก็ต้องรู้จักพูดธรรมะให้คนฟังสามวันทำได้ไหม (ได้)  สามวันนี้ไปพูดให้ใครฟังดี (ให้ญาติพี่น้อง,เพื่อนร่วมงานและญาติพี่น้อง,คนที่รักที่สุด)
ท่านหลันต้าเซียน : แล้วถ้ารักทุกคนในโลกล่ะ ก็ต้องบอกทุกๆ คนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดที่มนุษย์ยังมีรักกับเกลียดอยู่ ตราบนั้นมนุษย์ก็ต้องมีทุกข์และสุข แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่มีรัก ไม่มีเกลียด ตราบนั้นเราก็จะไม่มีทุกข์และสุขให้วิตกกังวล จริงหรือเปล่าหัวหน้าชั้น (จริง) แล้วทำได้ไหม (กำลังพิจารณาอยู่)  หลังจากพิจารณาแล้วยังจะรักใครอีกหรือเปล่า (รักทุกๆ คน)  เปลี่ยนเป็นรักทุกๆ คน ไม่มีเกลียดใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลวี่ต้าเซียน : มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะรักตัวเองมากกว่าใครใช่หรือเปล่า (ใช่)  หวังแต่ว่าเมื่อท่านรักตัวเองแล้ว รักให้ถูกทาง พาตัวเองไปในทางที่สามารถรอดพ้นจากความทุกข์ได้ จึงจะเป็นความรักที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่มักรักตัวเองอย่างไร รักตัวเองให้ตัวเองมีคนรัก ให้ตัวเองมีของที่เราชอบ ให้ตัวเองสบาย อย่างนั้นท่านก็รักตัวเองมากจนทำร้ายตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นการไม่คุ้มค่าที่ท่านนั้นรัก เพราะว่าคำว่า "รัก" ของท่านเหมือนกับคำว่า "หลง" ไม่มีผิด
ท่านหลันต้าเซียน: เราอยู่ในโลกนี้ เราจะอยู่โดยไม่มีอารมณ์เลยทำได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมทำไม่ได้ มีใครสอนให้ท่านเกลียดคนไหม (ไม่มี)  แล้วท่านเกลียดเป็นได้อย่างไร (เป็นโดยอัตโนมัติ) เป็นเครื่องไฟฟ้าหรืออย่างไร เปิดปุ๊บก็ติดปั๊บ เพราะเหตุใด ท่านคิดว่าตัวท่านมีอารมณ์ครบทุกอย่างไหม ตั้งแต่เกิดมา หากเรานับตั้งแต่เด็กๆ เรายังไม่มีอารมณ์อะไรเลย พอค่อยๆ เติบโตขึ้นเราถึงรู้ว่าอย่างนี้เรียกว่า "เกลียด" อย่างนี้เรียกว่า "รัก" อย่างนี้เรียกว่า "ทุกข์" อย่างนี้เรียกว่า "สุข" แต่พอเรียนรู้แล้ว เราก็เหมือนผู้ที่จับให้มั่นแล้วก็ปล่อยไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความจริงแล้วเราปล่อยได้ไหม (ได้)  แล้วกลับสู่สภาพเดิมได้หรือเปล่า (ได้) ต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เราพร้อมที่จะหันหลังกลับหรือไม่ เราพร้อมที่จะหยุดหรือไม่ต่างหาก ทุกคนเวลาจะโกรธ ก่อนที่จะกลั่นตัวเป็นคำว่าโกรธแล้วระเบิดใส่ผู้อื่น เรารู้ตัวไหม (รู้) รู้ว่าหงุดหงิดแบบนี้ ไม่พอใจแบบ เห็นใครก็ขวางหูขวางตาไปหมด อย่างนี้เรียกว่าเป็นอะไร กำลังจะโกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอกำลังจะโกรธตอนนั้นเราหยุดได้ไหม หยุดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์รักก็เหมือนกัน เห็นคนสวยๆ แบบนี้ เห็นคนหล่อๆ แบบนี้ หยุดก่อนได้ไหม ก่อนที่จะไปรักเขาก็หยุดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนเป็นอย่างไร เริ่มต้นแล้วก็หยุดไม่เป็น เดินหน้าแล้วไม่ยอมถอยหลัง ฉะนั้นจริงๆ แล้วเราสามารถหยุดโกรธได้ หยุดรักได้ หยุดเกลียดได้เหมือนกัน แต่อยู่ที่ว่าเราพร้อมที่จะหยุดไหม และเรารู้ตัวเองหรือเปล่า เหมือนคนที่ป่วยก่อนที่เขาจะไปหาหมอ เขาก็ต้องรู้ก่อนว่าเขานั้นป่วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันการจะเอาธรรมมารักษาจิตนั้น เราก็ต้องยอมรับก่อนว่าจิตเราป่วยแล้วเราจึงพร้อมใช้ธรรมรักษา  แต่ถ้าเกิดว่าเราคิดว่าจิตเราไม่ป่วย ธรรมะมาก็ไม่มีทางได้รักษา จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราต้องมองดูตัวเองให้เป็นด้วย
ท่านหลวี่ต้าเซียน: ตั้งใจฟังธรรมะหรือไม่ สองวันที่นั่งฟังธรรมะนี้ยังเหลืออีกหนึ่งวันใช่หรือไม่ (ใช่)  ความก้าวหน้าที่มียังสามารถจะก้าวหน้าได้มากกว่านี้อีกเหมือนกับชีวิตของท่านในตอนนี้ บางคนอยู่ในวัยกลางคนแล้วก็ยังสามารถก้าวหน้าขึ้นไปได้อยู่ที่ว่าท่านจะใช้เวลาที่เหลือนั้นอย่างไร หากว่าใช้เวลาที่เหลือเหมือนดั่งเดิมที่เคยทำมาคือ ทำงาน ทำมาหากิน เลี้ยงลูกหลาน เมื่อท่านจบชีวิตไปคุณธรรมที่งอกขึ้นมานั้นก็จะมีไม่มากพอ ย่อมไม่มีใครระลึกถึงหลังจากที่ท่านนั้นตายไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมท่านจึงจำเป็นจะต้องมีคุณธรรมสืบทอดต่อไป เพราะท่านนั้นเกิดมามีกายมนุษย์นี้มิใช่ธรรมดา หนึ่งชาตินี้ไม่ใช่หนึ่งชาติที่ท่านนั้นจะเอาชีวิตมาใช้อย่างไม่มีจุดหมาย แต่ท่านต้องใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมายและจุดหมายของท่านต้องสูงส่ง เมื่อท่านได้พบธรรมะแท้แล้ว การที่เราจะมีจุดหมายที่สูง และจะเดินได้สูงตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีความตั้งใจมาก ความตั้งใจนี้มิใช่กำหนดขึ้นในสามวันนี้เท่านั้น แต่ความตั้งใจนี้ต้องเกิดหลังจากที่ท่านมั่นใจว่าท่านนั้นเข้าใจธรรมะแล้ว หลายครั้งที่ท่านเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นเหมือนกับต้นหญ้าที่ถูกลมพัดไปมา ลมพัดไปทางไหนท่านก็ไปทางนั้น ถ้าหากว่าชีวิตของท่านเปรียบเหมือนต้นหญ้า ท่านจะบรรลุถึงแดนนิพพานได้อย่างไร  แต่ถ้าหากความตั้งมั่นของท่านนั้นเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ ท่านจะบรรลุถึงนิพพานได้หรือไม่ (ได้)  อยู่ที่ท่านจะเลือกปลูกต้นไม้ต้นใดในใจท่าน ถ้าท่านเลือกปลูกต้นโพธิ์ ท่านก็จะมีความกล้าแกร่งมาก  แต่ถ้าท่านเลือกปลูกต้นหญ้าท่านก็จะไปไม่ถึงไหน ต้นหญ้านั้นมีข้อดีอยู่อย่างเดียว คือเมื่อมีอุปสรรคมานั้นไม่ล้มพัง แต่คนที่สามารถบำเพ็ญเหมือนกับต้นหญ้าไม่ล้มทับลงมาในวาระสุดท้ายก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จเป็นพุทธะได้ทุกคน เพราะว่าเรามีความอ่อนน้อม มีความโอนอ่อนแบบต้นหญ้าแต่ในใจนั้นไม่มีความกล้าแข็ง มุ่งมั่นเป็นของตัวเอง  ฉะนั้นชีวิตของคนเป็นชีวิตที่มีค่า  บางครั้งก็ต้องรู้จักโอนอ่อนแบบต้นหญ้า บางครั้งก็ต้องกล้าแข็งแบบต้นโพธิ์  ท่านจะเลือกเป็นต้นไม้ใด (ต้นโพธิ์) เวลาโดนคนว่าหรือตำหนิท่านจะเป็นต้นอะไร (ต้นหญ้า)  มีปัญญาดีมาก
ท่านหลวี่ต้าเซี่ยน : มีคำกล่าวว่า "มารภายนอกรักษาง่าย มารที่อยู่ในใจรักษายาก"  คำนี้ท่านจะตีความว่าอย่างไร
(นักเรียน : มารภายนอกเป็นสิ่งที่มองเห็นตัวตน เราสามารถจะหลบเลี่ยงหรือหนีได้ ส่วนมารภายในคือภายในจิตใจเราเองเราหลบได้ยากและเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนอกจากใช้ธรรมะเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงได้, ในปัจจุบันมารภายนอกก็เปรียบเหมือนกับโรคภัยไข้เจ็บหรือผู้คนที่ต้องการที่จะทำร้ายเราและที่ไม่ประสงค์ดีกับเรา เราก็สามารถหาทางป้องกันหรือหลบหลีกได้ แต่มารภายในนั้นเปรียบเหมือนความคิดเรา จิตใจเราอยู่ที่ตัวเราเองว่าจะแก้ไขหรือปรับปรุง ถ้าเราเห็นทางที่จะแก้ไขหรือปรับปรุงเราก็ทำได้ แต่ถ้าเรายังปิดตาอยู่ไม่มองในสิ่งที่คิดว่าไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ ยังเป็นผู้ที่ดวงตายังไม่เห็นความสว่างก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขให้กับตัวเองได้, มารภายนอกคืออุปสรรคต่างๆ นานาที่อยู่ภายนอกตัวเราซึ่งเราสามารถที่จะแก้ปัญหาได้โดยจิตใจของเราที่ดีๆ ถ้าเรามีธรรมะที่ดีเราก็สามารถกำจัดอุปสรรคต่างๆ ได้ ส่วนมารภายในก็คือมารในจิตที่จิตของเราไม่สามารถจะรับรู้ได้ว่าจิตนั้นเป็นจิตมาร)
เดิมทีแล้วทุกๆ คนมีจิตใจที่เป็นฝ่ายพุทธะและจิตใจที่เป็นฝ่ายมาร ทุกๆ คนนั้นมีทั้งพุทธะและมารอยู่ในตน  อันว่ามารภายนอกนั้นรักษาง่ายเพราะว่าเรามองเห็น เมื่อเรามองเห็นก็สามารถที่จะขจัดปัดเป่าได้  แต่มารภายในได้แก่ กิเลสของตัวเราซึ่งเรานั้นเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง เมื่อเราสร้างเขามาเขาย่อมรู้จักเรา แต่ในขณะนี้เราต่างหากที่ยังไม่รู้จักเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่รู้จักย่อมไม่สามารถที่จะขจัดปัดเป่าได้  ท่านคิดจะรู้จักกิเลสในใจของท่านเองหรือไม่ (คิด)  ท่านจะรู้จักด้วยการทำอะไรบ้าง (ใช้ธรรมะ, การทำความดี, ทำจิตใจให้สะอาดผ่องแผ้ว)
ท่านหลันต้าเซียน : บรรยากาศวันนี้กับบรรยากาศเมื่อวานไม่เหมือนกันนะ แต่ในความสงบก็มีความสุขได้
ท่านหลวี่ต้าเซียน : ดังที่ท่านหลันต้าเซียนพูดไว้ การขจัดนั้นมีวิธีง่ายๆ คือเมื่อยามที่เราจะโกรธนั้น เราต้องรู้ทันอารมณ์ตัวเอง เมื่อเรารู้ทันก็อยู่ที่ว่าเราจะแก้ไขหรือไม่ หากท่านไม่แก้ไขก็แสดงว่าท่านไม่คิดที่จะรักษามารในใจของตัวท่านเอง  เวลาท่านส่องกระจกท่านมองเห็นอะไร (เห็นตัวเอง)  ในตัวท่านเองมีอะไรบ้าง ท่านจำเป็นที่จะต้องรู้จักตัวท่านเองให้ดีๆ ไม่ใช่รู้จักแต่แง่ดีของตัวเราเอง แต่ต้องรู้จักแง่เสียในตัวเราเองด้วย  ซึ่งแง่เสียในตัวเราเองนี้ต้องการการขจัดปัดเป่าทิ้ง เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับฝุ่นที่เกาะอยู่บนกระจก  หากว่าท่านไม่เอามือไปปัดฝุ่น ไม่ใช้ผ้ามาเช็ดฝุ่น ฝุ่นที่ท่านเห็นนั้นย่อมไม่หมดไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตอนที่ท่านปัดนั้นท่านต้องลงแรงปัด ฉะนั้นสามวันนี้ที่ท่านมาประชุมธรรม เป็นเพียงแค่การศึกษาให้เข้าใจ  เมื่อท่านเข้าใจแล้วก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติด้วย หากไม่ปฏิบัติก็ย่อมไม่ได้ผล
ทำไมในกลอนนำของเราจึงบอกว่า “รับธรรมง่ายบำเพ็ญยาก”  บำเพ็ญยากนี้ไม่ใช่ยากจากสิ่งใด แต่ยากจากใจของตัวเอง  ยากที่เกิดจากแรงกรรมย่อมไม่ยากกว่าที่เกิดจากความเกียจคร้าน  เมื่อท่านบำเพ็ญง่ายย่อมบรรลุยาก  เพราะว่าเรารู้จักแต่ความสบาย รู้จักแต่ทางหนีทีไล่  ไม่ได้รู้จักการบำเพ็ญธรรมจริงๆ การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องยาก เรามาในวันนี้พูดถึงเพียงเรื่องบำเพ็ญธรรม เพื่อให้ท่านนั้นรู้จักการบำเพ็ญจริง  หากจบชั้นในสามวันนี้กลับไปแล้วท่านไม่คิดบำเพ็ญธรรม ไม่คิดแก้ไขปรับปรุงสิ่งใด ท่านย่อมจะไม่ได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน แต่หากว่าท่านกลับไปแล้วสามารถแก้ไขตัวเองจากที่แย่ให้ดีจากที่ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น  เมื่อคนรอบข้างเห็นท่าน ย่อมรักท่าน  คนที่อยู่ใกล้ชิดท่านเมื่อเขารู้จักท่าน เขาย่อมอยากสนิทกับท่าน เมื่อเขาสนิทกับท่าน เขาย่อมที่จะสร้างประโยชน์ให้กับท่านบ้าง  แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ท่านนั้นไปโลภในประโยชน์ที่ผู้อื่นนั้นตั้งใจจะสร้างให้  แต่ให้ท่านได้รู้ว่า ในเมื่อท่านต้องการสิ่งที่ดีเพื่อชีวิตของท่าน ท่านต้องมอบสิ่งที่ดีให้กับผู้อื่นก่อนท่านจึงจะพบสิ่งที่ดีได้
ชีวิตที่ผ่านมาของมนุษย์นั้นเป็นชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ อาจจะมีดีบ้างไม่ดีบ้าง มีสุขบ้างมีทุกข์บ้าง  แต่ในชาตินี้ที่ได้เกิดกายมาเป็นมนุษย์นั้นนับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว  เมื่อท่านเห็นหมู หมา กา ไก่  เวลาถูกตีนั้นก็เจ็บได้ร้องได้ แต่เขาไม่สามารถจะตอบกลับมาได้ว่าเขาเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านนั้นสามารถบอกได้ เวลาคนตีท่าน ท่านพูดได้ว่าเจ็บ คิดได้แก้แค้นได้  แต่ทำไมสัตว์เหล่านั้นจึงคิดไม่ได้ ท่านนั้นมีปัญญาซึ่งเป็นคุณสมบัติแห่งมนุษย์  แล้วท่านจะปล่อยให้ตัวท่านผู้มีปัญญานั้นอยู่เฉยๆ ให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ค่าหรือไม่  (ไม่ปล่อย)  เมื่อไม่ปล่อยก็จำเป็นจะต้องรักษาเอาไว้ โอบอุ้มเอาไว้ ประคองเอาไว้ โดยท่านนั้นรู้จักใช้ปัญญาในทางที่ถูกต้อง  คำว่า “ปัญญา” นั้นหมายถึง การรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง  ทุกวันนี้หลายๆ ท่านประสบปัญหา  เพราะว่าท่านไม่ได้หันหน้าเข้าหาความจริงเลย แม้ใช้ความคิดแต่ใช้ความคิดไม่ถูกต้อง เมื่อคิดก้าวเดิน ก็คิดก้าวเดินแบบใจที่คิดหาผลประโยชน์ จึงไม่สามารถมองสิ่งใดตามสภาพความเป็นจริงได้  สมควรหรือไม่ที่ต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้ (สมควร)  สิ่งที่เราพูดท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ท่านก็รู้อยู่แล้ว แต่ท่านก็ลืมไปนานแล้วเช่นเดียวกัน  ฉะนั้นเมื่อยามเจอปัญหาอะไร ท่านก็จะพบทางตัน
มนุษย์นั้นเกิดมารู้วันเกิด แต่ไม่สามารถรู้วันตายได้ จึงต้องไม่ตั้งตนอยู่บนความประมาท  ท่านเกิดมาแล้วยี่สิบปี ท่านอาจจะต้องตายในหนึ่งปีข้างหน้าก็ได้  คนที่จะอยู่ในโลงศพก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่ผมขาวเสมอไป  ฉะนั้นสมมติว่าท่านเหลือเวลาอีกหนึ่งปี ท่านจะทำอะไร (สร้างบุญกุศล, ทำความดี, ละเว้นความชั่ว, บำเพ็ญธรรม)  เมื่อท่านสร้างกุศลแต่ท่านคิดว่าท่านจะรับกุศล กุศลก็จะไม่มีให้ท่าน หมายความว่าถ้าไม่ยึดติดในบุญกุศลนั้นๆ ที่สร้างไป  บุญกุศลนั้นแม้ว่าสร้างหนึ่งบาท ก็ยังมากกว่าร้อยบาทได้
เราจะบำเพ็ญธรรมะให้ดีที่สุดนะ (สละทางโลกเข้าหาทางธรรม) ตั้งใจจริงหรือเปล่า สิ่งนี้เป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ได้เลยนะ ไตร่ตรองดูก่อนหรือเปล่า ท่านมีความตั้งใจ แต่ท่านจะดูตัวท่านคนเดียวไม่ได้ ต้องดูที่ครอบครัวและคนรอบข้างด้วยใช่หรือไม่ บางทีเราตั้งใจจะทำอะไร แต่ติดปัญหาตรงครอบครัว ฉะนั้นก่อนที่จะออกมาหรือก่อนที่จะตัดสินใจอะไรอย่าลืมครอบครัว ต้องถามด้วยปรึกษาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาจะกล่าวว่า คนในห้องพระพรากตัวท่านมาจากครอบครัว
การมาฟังธรรมะคำหนึ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดก็ล้วนเป็นธรรมะ อีกคำก็เป็นธรรมะ ทำไมธรรมะถึงมีคุณค่าขนาดนี้ เคยคิดหรือเปล่า ธรรมะหากพูดธรรมดาก็ดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่คนสามารถนำธรรมะมาทำให้ตัวเองนั้นยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ผุดผ่องได้ ธรรมะมีคุณอันมหาศาลแล้วธรรมะมีโทษไหม (ไม่มี)  หลายครั้งเรามักเห็นคนในสังคมเอาธรรมะมาหลอกลวงคน  อย่างเช่นแกล้งทำให้คนอื่นเห็นว่าตนเองนั้นอ่อนแอไม่รู้ แต่จริงๆ แล้วตัวเองนั้นเป็นผู้รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือการนำสิ่งที่ดี นำสิ่งที่ถูกต้องไปใช้ในการประหัตประหาร ความน่ากลัวของมนุษย์นั้นอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์คิดจะไปในทางใดกัน คิดไปในทางที่สูง ก็นำพาให้ชีวิตตัวเองขึ้นสู่ที่สูง แต่ถ้าเกิดว่านำของสูงไปใช้ในที่ต่ำ แม้จะสูงศักดิ์สิทธิ์อย่างไรก็ต้องนำพาตัวเองลงต่ำจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วตลอดชีวิตเรานี้ เราคิดว่าตั้งแต่เริ่มต้นเรามีธรรมะไหม แล้วจนกระทั่งถึงบั้นปลายเราต้องใช้ธรรมะไหม (ใช้)  ทำไมถึงคิดว่าใช้ล่ะ อย่างเช่นง่ายๆ หากพ่อแม่ไม่มีจิตใจเมตตา ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไม่สามารถเลี้ยงบุตรคนหนึ่งให้เติบโตเป็นคนในสังคมได้ หากตัวท่านเองไม่สามารถใช้คุณธรรมความขยันหมั่นเพียร อดทน ท่านก็ไม่สามารถจะเป็นผู้ที่มีวิชาความรู้ได้ หากท่านไม่รู้จักตอบแทนคุณ กตัญญูต่อบิดามารดา ท่านก็ไม่สามารถที่จะเป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่ได้ แปลว่าไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนต้องมีธรรมะ ล้วนต้องใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิต หากคนๆ หนึ่งพูดว่าตัวเขานั้นไม่มีธรรมะ ท่านมั่นใจไหมว่าจะเอาชีวิตไปฝากกับคนๆ นี้ได้ ท่านอยากจะอยู่ใกล้ๆ เขาไหม (ไม่อยาก)  เพราะเรายากจะเดาได้ใช่หรือไม่ หากเขากล้าพูดว่าตัวเขาไม่มีธรรมะ ตัวเขาไม่มีศาสนา อย่างนี้ท่านอยากอยู่ใกล้ไหม (ไม่อยาก)  เพราะเป็นคนที่รู้สึกว่าน่าอันตราย น่าเป็นห่วงยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนขอเพียงอย่างเดียวว่าอย่าได้ลืมธรรมะ ธรรมะไม่ใช่เรื่องของผู้อาวุโสหรือผู้สูงวัย แต่ธรรมะเป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตต้องมีธรรม ถึงแม้ไร้ชีวิตก็ยังคงมีธรรมจริงหรือไม่ (จริง)  หากไร้ชีวิตแล้วไร้ธรรมด้วยป่านนี้ท่านคงไม่มีคุณธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหนึ่งชีวิตหายไปธรรมะก็หายไปหนึ่งอย่าง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่) ทุกคนมีคุณธรรมแตกต่างกันออกไป คนนี้มีจิตใจเมตตาสูงส่ง คนนี้มีจิตใจเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างมากมาย แปลว่าคนหนึ่งคนนั้นหากไม่มีธรรมะเลยเราก็ไม่อยากชิดใกล้ ฉะนั้นตัวเราเองต้องไม่ลืมที่จะหมั่นเรียกร้องให้ชีวิตนี้มีคุณธรรม มีธรรมประจำตัว ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่เป็นที่รักของใครและไม่เป็นที่ปรารถนาของใคร และเป็นอันตรายต่อตัวเองด้วยจริงหรือเปล่า (จริง)
 คุณธรรมในสังคมนั้น นอกจากความเมตตา ความเอื้ออาทร ความรักใคร่แล้วยังมีอะไรอีกที่เรียกหาและนำมาปฏิบัติกับชีวิตได้ (ความเผื่อแผ่และทำคุณประโยชน์แก่ทุกคนที่อยู่ร่วมกัน, มีจิตใจที่เสียสละ, ช่วยผู้สูงวัยและเด็ก, ช่วยให้ผู้มีทุกข์พ้นจากทุกข์)  ช่วยให้ผู้มีทุกข์พ้นจากทุกข์เป็นคำกล่าวที่ดีมาก เพราะคนในสังคมนี้ล้วนมีทุกข์ไม่จบไม่สิ้น วันนี้มีสุขพรุ่งนี้ก็อาจจะมีทุกข์ แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับทุกข์และคลายทุกข์ได้ (ช่วยให้กำลังใจปลอบใจ, หาต้นเหตุความทุกข์นั้น)  เมื่อเราหาต้นเหตุได้ผลก็ออกมาเป็นอย่างนั้น การที่เราสามารถใช้ธรรมได้ เราต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุที่เราทุกข์นั้นเกิดจากสิ่งใด บางครั้งเราทุกข์ก็เพราะว่าเรานั้นอดทนไม่พอ ไม่อยากที่จะเสียสละให้ใคร ไม่อยากที่จะยอมแพ้ใครใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรารู้จักธรรมแล้ว เราก็ต้องรู้สาเหตุที่ทำให้เราต้องเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้ ชีวิตของคนเราอยู่ๆ จะทุกข์เลยโดยไม่มีสาเหตุเป็นไปไม่ได้ ล้วนต้องมีสาเหตุที่มาและที่ไป ฟังหัวข้อเมื่อสักครู่ที่เขากล่าวว่า พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า ปุถุชนกลัวผล อริยะกลัวเหตุ  มีคำกล่าวคำหนึ่งบอกว่าหากมนุษย์เราคิดถึงธรรมเดี๋ยวธรรมก็มาเอง แต่ถ้าทุกวันไม่คิดถึงธรรม ธรรมจะมาเองไหม (ไม่มา)  เหมือนเสื้อที่เราหยิบบ่อยๆ หลับตาเราก็หยิบถูก แต่ถ้าธรรมะเราไม่หยิบมาช่วงใช้บ่อยๆ หลับตาคลำอย่างไรก็ไม่ถูกจริงหรือไม่ (จริง)  แม้หยิบถูกแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าเอาไปใช้กับเหตุนี้ได้ไหม เอาไปใช้แล้วดับผลได้หรือเปล่า ฉะนั้นแม้เราจะรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ธรรมะเป็นสิ่งที่มีคุณ แต่ถ้าเราไม่รู้จักหมั่นเรียกหา หมั่นดึงมาใช้ หมั่นนำมาใช้ในชีวิต เราก็อาจจะหยิบใช้ไม่ทัน แก้ไม่ทันการณ์ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ผู้บำเพ็ญธรรมนั่งเป็นทุกข์กันยังไม่หายใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญมากี่ปีแล้ว มีธรรมะแต่ธรรมะก็ยังใช้ดับทุกข์ไม่ได้ มีธรรมะแต่ธรรมะก็ช่วยอะไรไม่ทัน ถูกหรือไม่ อย่างนี้มีไปแล้วก็เปล่าประโยชน์ แปลว่าทุกขณะเราต้องไม่ลืมที่จะเรียกธรรมะหรือถามตัวเองว่าตัวเองมีธรรมะหรือเปล่า แล้วจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเรียกธรรมะได้ตลอดเวลา ถามหาธรรมะให้กับชีวิตในทุกขณะจิต (ประพฤติปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ) ประพฤติปฏิบัติให้สม่ำเสมอ คำนี้ไม่ค่อยถูกนะ นั่นก็คือว่าเราต้องรู้จักตรวจสอบอยู่ทุกขณะเวลา  ตรวจสอบอะไรบ้าง ตรวจสอบคำพูด ตรวจสอบการกระทำ ตรวจสอบจิตใจ หรือความคิดของเราเมื่อจะพูดเราคิดเสียว่าเราเป็นคนระดับนี้พูดแล้วมีธรรมไหม พูดแล้วดีไหม พูดแล้วทำร้ายหรือเปล่า นี่คือตรวจสอบคำพูด เมื่อพูดไปแล้วได้รักษาสัตย์ที่เคยกล่าวไว้ไหม พูดแล้วสามารถรักษาสัตย์โดยการกระทำได้หรือเปล่า  นี่คือการตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบอยู่ทุกขณะไม่ว่าคิด พูด ทำ การเป็นคนบำเพ็ญธรรม จะเป็นคนที่ทำอะไรช้าได้ไหม จากที่เคยพูดไวๆ โดยไม่คิด จากที่เคยทำอะไรหุนหันพลันแล่นโดยไม่ไตร่ตรอง จากที่เคยใจไปอย่างไรยังไม่ทันคิดมือก็ไปก่อนแล้ว ต้องกลายเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมพูดก็ช้า เดินก็ช้า คิดก็ช้า ดีหรือไม่ (ดี)  บางครั้งพอเราพูดช้า คิดช้า ทำอะไรช้าคนข้างๆ รู้สึกไม่ได้ดั่งใจ ตัวเราเองกลับรู้สึกไม่ทันใจ แต่เราก็รู้ว่าสิ่งที่ทันใจ สิ่งที่ได้อย่างใจผลเป็นอย่างไร เสียใจทุกรอบเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตคิดช้าหน่อย ทำช้าหน่อยจะเป็นอะไรไป

ท่านหลวี่ต้าเซียน : คนที่ทำอะไรช้า ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ระมัดระวัง แต่คนระมัดระวังมากเกินไป คนในสมัยนี้เรียกคนๆ นี้ว่าคนขี้ขลาด  อะไรๆ ก็ไม่กล้าทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านกลัวหรือไม่เวลาคนเรียกท่านว่าขี้ขลาด เราไม่กลัวเขา แต่เรากลัวปากเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนตอบว่าเพราะเราหวั่นไหว หวั่นไหวที่ไหน (ใจ)  ใจของใคร (ของเรา)  ฉะนั้นควบคุมใคร (ควบคุมตัวเรา)  ควบคุมตัวเรามิใช่ควบคุมเขา  แม้ลูกหลานมิได้ดั่งใจควบคุมใคร (ตัวเรา)  แม้เงินทองไม่ได้ดั่งใจควบคุมใคร (ตัวเรา)  บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญที่ใคร (ตัวเรา)  ถ้าหากว่าเจอผู้ร่วมบำเพ็ญธรรมไม่ดีโทษใคร (ตัวเอง)  ขอให้เป็นไปตามนี้ การที่เราเป็นผู้ที่ระมัดระวังนั้นทำอย่างไรให้คนไม่มองเราเป็นคนขี้ขลาด ไม่เช่นนั้นปราชญ์โบราณจะต้องกลายเป็นคนขี้ขลาดทุกคนเพราะว่าเป็นคนระมัดระวัง คนในปัจจุบันมักตอบว่าต้องเป็นผู้ที่มั่นใจในตัวเอง เราอยากจะบอกว่าคนในปัจจุบันนี้คิดไม่ผิดแต่ไม่ถูก สิ่งที่ทำให้เรานั้นไม่กลายเป็นคนขี้ขลาดนั่นคือการประพฤติ สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่ ต้องเป็นผู้ประพฤติในสิ่งที่ดีงามแล้วผู้คนจึงมองเราอย่างไม่ดูถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าความประพฤติเกิดขึ้นทุกวันแต่สิ่งที่เราจะทำแล้วเราระมัดระวังนั้นอาจจะแค่สามวัน  ความประพฤติเป็นความประพฤติตลอดชีวิต แต่งานที่ท่านทำอาจจะแค่สามปีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในสามปีนี้ท่านทำอะไรช้าท่านเป็นผู้ระมัดระวังคนนั้นมองท่านสามปีนี้หรือไม่ ไม่ได้มองที่สามปีนี้แต่มองมาก่อนสามปีนี้ด้วยซ้ำ  ในงานชิ้นใหญ่ๆ ที่ท่านทำยังมีงานชิ้นเล็กๆ อีก ยังมีงานชิ้นเล็กๆ ที่ทำให้เขารู้จักท่านมากขึ้น ท่านจะกลัวอะไรถ้าหากท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังและความประพฤติดี เช่นเดียวกับความกล้าหาญ ถ้าหากว่ากล้ามากเกินไปไม่มีความประพฤติดีมาคอยควบคุมเขาก็เรียกคนๆ นี้ว่าเป็นคนบ้าบิ่น   ไม่มีความอ่อนน้อมใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นความกล้าหาญนั้นจะต้องเป็นความกล้าหาญและประพฤติดีด้วย  ความประพฤตินั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ประพฤติหมายถึงการกระทำ การกระทำไม่ได้หมายถึงการกระทำสองวันหรือสามวันแต่หมายถึงการกระทำตลอดไป จึงมีวิสัยของคนบางอันเรียกว่านิสัยถาวร บางอันเรียกว่านิสัยขาจร ถ้าหากว่านิสัยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วยังไม่คงที่ นิสัยขาจรนี้ท่านรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นก็จะไม่กลายเป็นนิสัยที่ถาวรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในหนึ่งปีนั้นอายุมากขึ้น ท่านก็ปลูกฝังนิสัยเพิ่มขึ้นกี่อย่าง ในหนึ่งปีอย่างน้อยหนึ่งอย่างถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วในหนึ่งปีที่ผ่านมาหนึ่งนิสัยที่ปลูกฝังกลายเป็นนิสัยถาวรของท่านนั้น เป็นนิสัยที่ดีมากกว่าหรือไม่ดีมากกว่า หากว่าท่านเป็นคนดีก็คงจะปลูกฝังนิสัยดี หากท่านเป็นคนไม่ดีก็คงจะปลูกฝังนิสัยไม่ดี
ฉะนั้นในปีนี้ที่มนุษย์โลกตื่นเต้นว่าเป็นปี 2000 ขอให้ท่านปลูกฝังนิสัยที่ดี ดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าในยุคปัจจุบันนี้ยิ่งปีนี้คนยิ่งเอาวิวัฒนาการออกมาแสดงกันว่าของใครจะเหนือกว่าใคร แล้วคนบำเพ็ญธรรมมีอะไรที่เหนือกว่าบ้าง คนภายนอกคนที่ไม่รู้จักบำเพ็ญธรรมะเอาวิวัฒนาการความเหนือกันออกมาแสดงให้เห็น เราผู้บำเพ็ญธรรมนั้นต้องเอาจิตใจที่สูงกว่าออกมาให้เห็น คนบำเพ็ญธรรมนั้นเงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญ บ้านไม่ใช่เรื่องสำคัญ รถไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำคัญอยู่ที่ไหน (ใจ)  สำคัญอยู่ที่ภายในบ้านที่มีพ่อแม่ของท่านนั้น ท่านกตัญญูหรือไม่ สำคัญอยู่ที่รถที่ท่านใช้ขับนั้นท่านใช้ขับไปที่ไหน ถ้าขับไปเที่ยวก็นับว่าไม่คุ้มค่า  ถ้าขับไปเพื่อพูดธรรมะให้คนฟังก็ย่อมเป็นการคุ้มค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เนื่องจากเรานั้นในธรรมกาลนี้มีหน้าที่สองอย่าง หน้าที่แรกก็คือเป็นจอมเทพวินัยธรคุมกฎในสถานธรรม อีกหน้าที่หนึ่งก็คือเป็นหนึ่งในแปดเซียน ในวันนี้ที่เรามาเราไม่ได้มาในหน้าตาที่ดุ เราไม่ได้เคร่งครัดระเบียบแต่อดพูดไม่ได้ อดกล่าวถึงไม่ได้ อดพูดไม่ได้ว่า ในการมาสถานธรรมนั้นอย่าเห็นว่านึกจะเดินก็เดินเข้ามาได้ การมาสถานธรรมมีระเบียบที่ท่านนั้นจะต้องทักทาย  ทักทายสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทักทายคนที่อยู่ร่วมกัน หากว่าท่านเดินเข้ามาหน้าตาบึ้งตึงมีคนอยากจะคุยกับท่านไหม (ไม่มี)  ท่านจึงต้องมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อท่านมาสถานธรรมทุกครั้งท่านเป็นคนที่จิตใจสะอาดสะอ้านยิ้มแย้มเสมอๆ เมื่อท่านออกไปนอกสถานธรรมคนก็นิยมรักชอบท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่มาสถานธรรมนั้นจึงช่วยให้ท่านเป็นคนที่มีราศีขึ้นได้ การกราบพระนั้นจำเป็นที่จะต้องกราบให้ถูกต้อง ไตรรัตน์จะต้องจำให้ได้ หลายๆ คนมาสถานธรรมมาเป็นเวลานานแต่มาแต่ตัว ใจไม่ได้มาด้วย เมื่อยามฟังธรรมะ ฟังเข้าหูแต่ไม่เข้าใจ เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการทดสอบทีท่านก็ร่วงไปทีหนึ่ง กว่าจะกลับมาได้ใหม่ก็เป็นเรื่องยากลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าอยู่ในสถานธรรมทำตนเป็นคนดี แต่ว่าออกไปนอกสถานธรรมแล้วท่านทำตัวไม่สมควร เท่ากับท่านนั้นเป็นผู้ที่เอาธรรมะที่แท้ไปขายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแม้ว่าเราจะมาสถานธรรม จะเป็นญาติธรรมธรรมดา จะเป็นเจ้าของสถานธรรม จะเป็นผู้ดูแลสถานธรรม จะเป็นอาจารย์บรรยายธรรมหรือเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม ล้วนมีส่วนร่วมในสถานธรรม สถานธรรมที่ท่านเห็นนั้นก็เป็นเพียงแค่วัตถุที่ตั้งขึ้นมา สถานธรรมจริงๆ นั้นอยู่ที่ใจของท่าน ตะเกียงที่อยู่ในใจของท่านต้องได้รับการจุดขึ้น ไม่ใช่ดับ ตะเกียงในสถานธรรมอาจจะดับและอาจจะจุดเป็นเวลา แต่ตะเกียงในใจของท่านนั้นต้องสว่างอยู่เสมอ
หนึ่งเวลาหนึ่งขณะจิตที่ท่านปล่อยให้อวิชชามาครอบงำ ท่านก็จะกลายเป็นมาร แส้ของเราที่ถืออยู่ในมือนี้ เรียกว่าแส้ปราบมาร ท่านที่มีมารอยู่ในใจ หมายความว่าท่านมีกิเลสหนาแน่นอยู่ในใจ จิตใจชอบฟุ้งซ่านอยู่เป็นนิจ อย่างนี้ต้องใช้แส้ปัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แส้ของเรานั้นเป็นแส้ภายนอก เหมือนเราบอกว่าเป็นมารภายนอก มารภายนอกรักษาง่าย แส้จริงๆ นั้นมีอยู่ในมือท่านทุกคน แส้ภายนอกรักษามารภายนอกที่เป็นรูปลักษณ์ให้ท่านเห็นเท่านั้น แต่แส้จริงๆ นั้นอยู่ในใจท่าน ใช้กำราบมารในใจของท่านเอง ท่านเห็นแส้ในมือของท่านเองไหม จงใช้แส้ที่อยู่ในมือของท่านนั้นกำราบใจของท่านเอง เพราะทุกคนนั้นมีจิตที่ฟุ้งซ่านอยู่เสมอๆ จึงต้องกำราบด้วยตัวเอง มีบางคนบอกว่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยกำราบให้ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กำราบได้เฉพาะมารภายนอกเท่านั้น ส่วนมารภายในต้องให้ตัวท่านเองเป็นผู้กำราบ ให้ตัวเองเป็นคนปราบจนสำเร็จ
ในวันนี้หลายๆ ท่านที่มาสถานธรรม อาจจะเป็นเพราะท่านว่างในวันเสาร์อาทิตย์ หรืออาจจะเป็นเพราะท่านอยากจะมาในวันนี้ก็เป็นได้ทั้งนั้น เมื่อมาสถานธรรมต้องทำตนให้มีงานทำ จึงจะไม่ใช่มาทำบาป หากมีงานทำเรียกว่ามาทำกุศล ไม่มีงานทำเรียกว่ามาทำกรรม เพราะว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านใช้อยู่ในนี้ เงินใช้ซื้อข้าว ท่านกินข้าว ท่านใช้เงินสร้างกุศลของคนอื่น ท่านกินข้าวที่คนอื่นนั้นบริจาค หากว่าท่านไม่ทำอะไร ก็ถือว่ามาทำบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมาสถานธรรมนั้นจึงต้องรู้จักคิดพิจารณา ทำในสิ่งที่เรานั้นมองเห็น งานที่น่าจะมีกุศลมากที่สุด เป็นงานที่ลำบากที่สุด เช่น งานขัดห้องน้ำเพราะว่าทุกคนต้องเข้าห้องน้ำ  งานทำครัวเพราะว่าทุกคนต้องกินข้าว แต่ถ้าหากไม่มีใครกวาดถูพื้น พื้นก็ไม่สะอาด เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หน้าที่ทุกหน้าที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน แล้วทุกท่านจะยอมแพ้งานเหล่านี้หรือ ท่านเกิดเป็นคนจึงต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  เป็นคนบังคับงาน คนที่ทำงานร่วมกันจะมีปากเสียงกันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  คนที่มาทำงานต้องพยายามอะลุ่มอล่วยซึ่งกันและกัน
ท่านหลันต้าเซียน : เราเปลี่ยนบรรยากาศมาร้องเพลงบ้างดีไหม (ดี)  เพื่อจะเรียกความกระชุ่มกระชวยขึ้นมาในจิตใจบ้าง ตอนนี้ท่านเป็นเหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไร้น้ำ จิตใจท่านเหี่ยวแห้งหรือไม่ (ไม่) หน้าท่านตอนนี้เราไม่อาจเรียกว่าสดชื่นได้นะ พอพูดถูกใจก็ยิ้มแย้ม พอไม่ถูกใจก็เงียบนิ่งเฉย ท่านต้องถามตัวเองต่างหากว่าทำไมไม่มีใครรักเรา ทำไมไม่มีใครนับถือเรา ทำไมไม่มีใครเคารพเรา ก่อนที่เราจะไปถามคำว่าทำไมกับคนอื่นนั้น เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า ตัวเราเองทำอะไรให้น่าเคารพน่ารักบ้าง หากตัวเรามีธรรมผู้อื่นย่อมมีธรรมตอบ หากตัวเรามีเมตตาผู้อื่นย่อมมีเมตตาตอบ หากตัวเรามีความเกลียดโกรธชังผู้อื่นเขาก็เกลียดโกรธชังเราตอบ จริงหรือไม่ (จริง) นี่เป็นสัจธรรมความจริง บางครั้งเราสามารถค้นหาได้ด้วยตัวเอง ถามตัวเองลึกๆ แล้วตัวเองก็จะได้คำตอบ แต่การที่จะได้คำตอบนั้น เราต้องดูใจตัวเราเองด้วย
การที่เราจะตัดสินว่าคนเขาพูดดีหรือพูดไม่ดี ทำดีหรือทำไม่ดีนั้น ตัวเราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า มีความยุติธรรมบ้างหรือไม่  เราพูดว่าเรามีความยุติธรรม แต่ยุติธรรมนั้นมีอารมณ์อิงแอบหรือเปล่า ถ้าเรามีอารมณ์อิงแอบอยู่ในการตัดสินใจ เราจะตัดสินใจได้ไม่ยุติธรรม จริงหรือไม่ (จริง)  เวลาเราฟังคนอื่นพูด บางครั้งเราต้องคิด หากเราไม่คิด เราอาจจะทำผิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อคิดเราต้องจำแนกให้ออกว่า อย่างไรดี อย่างไรไม่ดี อย่างไรถูก อย่างไรผิด แต่เราจะตัดสินได้ก็ต่อเมื่อเรามีความเที่ยงธรรม แต่ถ้าเที่ยงธรรมนั้นอิงแอบด้วยอารมณ์ การตัดสินใจก็จะไม่ชัดเจน แล้วทำไมเราถึงต้องเป็นคนที่รู้จักอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรผิดด้วย ก็เพราะว่าหากชีวิตเรา เราไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรผิด เราไม่มีความยุติธรรมอยู่ในตัว อารมณ์ก็จะชักพาให้เราก้าวผิดได้เสมอ จริงหรือไม่ (จริง)
มีใครรักดอกไม้สีนี้บ้าง แล้วรักดอกไม้อีกสีหนึ่งได้เท่าเทียมกัน ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครบ้างรักคนนี้แล้วก็รักอีกคนได้เท่าๆกัน  เอาแค่ว่าบุตรเราเอง พูดว่ารักเท่าๆ กัน แต่ใจลึกๆ ก็ยังเอียงไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) นับประสาอะไรกับคนนอก ฉะนั้นก่อนที่เราจะเอาใจเราไปวัดไปตัดสิน ชี้ว่าเขาไม่ดี ชี้ว่าเขาร้าย เราถามตัวเราเองก่อนว่า ตอนนั้นเรามีอารมณ์อย่างไรกับเขา ถ้าไม่มีอารมณ์อะไรเลย การตัดสินนั้นอาจจะเที่ยงธรรมได้ แต่คนเรานั้น อารมณ์มักเป็นใหญ่กว่าคุณธรรม มักเป็นใหญ่กว่าธรรมในจิตใจ เมื่ออารมณ์เป็นใหญ่แม้ตอนนี้นั่งฟังธรรมอยู่ก็ไม่รู้เรื่อง  แม้ตอนนี้เราพูดจนจบแล้วก็ไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ดอกไม้ผู้ติดตามดิน ไม่ยอมพ้นดินสักที ดีหรือไม่ (ไม่ดี) ต้องเป็นดอกไม้ที่พ้นดินแล้วชูช่อให้คนได้เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้บางครั้งชูช่อแล้ว เราจะบอกว่าเราต่ำกว่าเขา ไม่เป็นไรหรอกนะ ถึงแม้จะต่ำกว่า แต่เราก็บอกว่าเพราะมีต่ำอย่างเรา จึงมีสูงอย่างเขา แต่ถ้าเกิดว่าเราพยายามเต็มที่แล้วได้เท่านี้ ก็จงพอใจดีหรือไม่ (ดี) แล้วความต่ำของเรายังทำให้คนสูงได้ด้วย  นั่นก็คือหากมนุษย์มีจิตใจที่บริสุทธิ์ งดงาม การที่จะคิดหรือการที่จะมีชีวิตในโลกนี้ก็มีสุขได้ โดยการอิงในเรื่องที่ดีๆ เข้าไว้ อย่าคิดร้ายให้ทำลายจิตเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
ท่านหลวี่ต้าเซียน :ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) ไม่เมื่อยก็ยืนให้สง่างาม บอกว่าไม่เมื่อยแต่ยืนเหมือนดอกไม้เฉา ใช่หรือไม่ ความอดทนของคนเรานั้นมีที่จำกัด แต่คนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องอดทนในสิ่งที่ผู้อื่นไม่อดทน นี่เป็นคุณสมบัติประจำตัว ท่านนั้นอยู่ในสถานธรรมต้องฝึกฝนอีกหลายๆ อย่างเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อที่จะให้ท่านนั้นเป็นคนแกร่ง ไม่ใช่แกร่งเช่นคนทางโลก แต่แกร่งเช่นพุทธะ
ท่านหลันต้าเซียน : ต้องยืนให้ได้เยี่ยงพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  มั่นคงและไม่หวั่นไหว แม้ตัวจะหวั่นไหว แต่ใจต้องมั่นคง
ท่านหลวี่ต้าเซียน : เมื่อพุทธะนั้นมิได้เบื่อเวไนยที่ไม่รู้ตื่นสักที พูดไม่รู้ ฟังไม่เข้าใจ ท่านเองก็ต้องไม่เบื่อในการที่จะอดทนบำเพ็ญต่อไป ทำได้ไหม (ได้)
ท่านหลันต้าเซียน : เมื่อเราอยู่กับคนจำนวนมากบ่อยครั้งจะมีคนที่ไม่เหมือนกับเรา มีนิสัยแตกต่างกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่นิสัยแตกต่างกับเรา หากเรายอมรับเขาได้ ไม่ถือทิฐิ ไม่ถือความแข็งกร้าว เราก็สามารถอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อไรเราถือทิฐิ เราถือตัวตนเอง เราไม่ยอมรับเขา เรารู้แค่เพียงว่าเขาต่างกับเรา เมื่อเราไม่รับเขา เขาก็ย่อมไม่รับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อต่างคนต่างไม่ยอมรับ ต่างคนต่างแข็ง ก็มีแต่เสียงที่จะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท  ฉะนั้นบางครั้งเวลาเราอยู่ร่วมกับคนย่อมเป็นธรรมดาที่มีคนเหมือนกับเราและต่างกับเรา เมื่อเราเจอคนที่ต่างกับเราก็ขอให้คิดง่าย ๆ  เหมือนเราดูท้องฟ้าและผืนดิน ฟ้าสว่างโปร่งเบาใส ดินหนักขุ่นข้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากขาดฟ้าคงไม่มีมนุษย์ และถ้าเราขาดดินก็ไม่สามารถอยู่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งมีคนต่างจากเรา ยิ่งทำให้บังเกิดสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเช่นฟ้าและดิน ฟ้าและดินแม้จะต่างกันก็ยังก่อเกิดสรรพสิ่งมากมาย แต่ถ้าฟ้าและดินที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมานกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ก็จะก่อให้เกิดสรรพสิ่งนานับไม่ถ้วน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากคนที่แตกต่างกันสองคนหรือมากกว่าสองคนมาอยู่ร่วมกันย่อมสามารถทำให้เกิดสรรพสิ่งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะก้าวทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไป แต่ถ้าหากว่าเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ หากฟ้าไม่รับดิน ดินไม่รับฟ้า จะมีมนุษย์อยู่บนพื้นไหม (ไม่มี)  และจะมีมนุษย์ที่สามารถมีศีรษะเหยียดฟ้าไหม (ไม่มี)  เราก็คงไม่กล้าที่จะชูคอขึ้นฟ้าและก็คงไม่มั่นใจที่จะเหยียบพื้นปฐพีใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเจอคนที่ขัดแย้ง ให้มองฟ้าและดิน ให้เขาเป็นฟ้าก็ได้ เรายอมเป็นดิน  แล้วเรากับเขาก็จะอยู่ร่วมกันและสามารถบังเกิดสิ่งนานาดีหรือไม่ ถ้าหากเรารู้ว่าเราแตกต่างกันแต่ไม่สามารถอยู่กันอย่างสมานกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ความต่างนั่นแหละจะทำให้เกิดหายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะไม่เกิดการสร้างสรรค์ใดๆ ขึ้นเป็นอันขาด  ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าขาวและดำต่างกันที่จิตใจคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีขาวหรือจะมีดำ ถ้าเกิดคนขาวทิ้งคนดำ ก็จะไม่มีวันขาว  ฉะนั้นขาวจึงต้องช่วยดำ เบาจึงต้องช่วยหนัก  นี่คือการอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้อง  ถ้าเกิดคนดีทิ้งคนชั่วร้ายจะเรียกว่าคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  นี่คือสาเหตุหนึ่งที่เราบำเพ็ญธรรมแล้ว เราต้องมีใจฉุดช่วยคน อย่ารังเกียจเขา เฉกเช่นเดียวกัน หากไม่มีเด็กหรือจะมีผู้ใหญ่ หากเราไม่มีจิตเมตตาแล้วเด็กจะเคารพเราไหม (ไม่เคารพ)  แต่บางครั้งเด็กก็ต้องรู้จักตีความหมายของผู้ใหญ่ให้ถูก บางครั้งผ่อนปรนก็ไม่ใช่ว่าจะดี  เข้มงวดเกินไปก็ไม่ใช่ว่าจะร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ต้องรู้จักเข้าใจความหมายของผู้ใหญ่ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่เรียกว่า รู้เขารู้เราแล้วเข้าใจกัน ขอให้จำคำนี้ไว้ เพราะบ่อยครั้งที่มนุษย์เราอยู่ในสังคม ไม่ขัดแย้งกับคนนี้ก็ขัดแย้งกับคนนั้น  ไม่ขัดแย้งกับคนนั้นก็ขัดแย้งที่ใจของเราเอง
ใจของมนุษย์นั้นมีขาวและมีดำ เพราะมีดำจึงทำให้เรารู้จักขาว ฉะนั้นเราต้องรู้จักเอาดำมาใช้ให้เกิดประโยชน์  เมื่อไรที่เรามีดำ เราจึงรู้ค่าของความขาวสะอาด  เมื่อไรที่เรามีความทุกข์ เมื่อนั้นเราจึงรู้ว่าค่าแห่งความมีสุขนั้นเป็นอย่างไร ฉะนั้นเมื่อมีสุขจงรีบแบ่งปัน เมื่อมีทุกข์จงรีบขจัดขัดล้าง ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเราจะไม่มีวันพบสุข  เพราะว่าสุขและทุกข์เป็นด้านตรงกันข้าม มีหน้าย่อมมีหลัง มีมืดย่อมมีสว่าง เราจะหลุดพ้นจากวงเวียนแห่งมืดและสว่าง สุขได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถตัดวงเวียนแห่งวัฏฏะด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ ปล่อยวางด้วยรู้จักตน  แต่หลายคนรู้ว่ามีทุกข์ มีสุขแต่ปลงไม่ได้ เหมือนตอนนี้เมื่อเมื่อยหากปลงไม่ได้ ก็จะเมื่อยไปตลอด  หากเบื่อตอนนี้ปลงไม่ได้ก็จะเบื่อไม่สิ้นสุดใช่ไหม เพราะว่าโอกาสที่เราจะผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกันนั้นเป็นไปได้ยาก วันนี้เราคิดว่าเราได้เจอท่านเราต้องถนอมโอกาสให้มากที่สุด พูดโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ พระก็คือปุถุชน พุทธะก็คือคน แต่ต่างกันที่พุทธะได้ค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตน แต่คนยังเห็นความเป็นคนในตัวตน ไม่เห็นความเป็นพุทธะในตนสักที  ฉะนั้นขอให้ท่านรีบไปค้นดูว่าใจที่ขาวอยู่ตรงไหน รีบๆ รักษาให้มีอยู่ ใจที่ดำอยู่ตรงไหนรีบๆ ล้างให้หมดไป ทำได้ไหม (ได้)  แต่สิ่งแรกที่จะทำได้คือต้องรู้จักพอ ถ้าไม่รู้จักพอในลาภยศ  ชื่อเสียง เงินทอง ทรัพย์สินก็จะไม่มีเวลามาบำเพ็ญธรรม ก็จะไม่มีเวลาแม้แต่มองตัวตนเองนี้  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลวี่ต้าเซียน : เมื่อมีการพบก็ย่อมมีการพรากเป็นธรรมดา ในวันนี้เราทั้งสองหวังว่าการมาของเราทำให้ท่านเข้าใจชีวิตมากขึ้น และหลังจากวันนี้ตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรต่อไป ด้วยปัญญาของท่านนั้นไม่ใช่เล็กกว่าปัญญาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยความที่ท่านนั้นได้ลงมาอยู่ในโลกมนุษย์นานหลงในสิ่งต่างๆ ทำให้ท่านตามืดบอดไป หูพร่าไป หวังว่าท่านจะขวนขวายบำเพ็ญด้วยตนเอง เรานั้นมีหน้าที่ในสถานธรรม ทุกๆ วันจึงต้องตรวจสอบถ้าท่านกลับมาสถานธรรมบ่อย เราย่อมได้พบท่าน ถ้าท่านไม่กลับมาสถานธรรมย่อมไม่ได้พบเป็นธรรมดา ขอให้ท่านเชื่อมั่นในตัวท่านเองว่าท่านนั้นมีพุทธจิต มีจิตอันเป็นพุทธะที่สามารถรู้ตื่นและรอการรู้ตื่นอย่างแท้จริง  ในวันนี้ท่านได้รับชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะสามารถหลุดพ้นโดยที่ท่านนั่งอยู่เฉยๆ ได้ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะหลุดพ้นโดยที่ท่านทำบาปทำกรรมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าท่านสามารถหลุดพ้นได้โดยการทำความดีเล็กน้อย เมื่อสวรรค์ไปยากต้องพยายามไป เมื่อนิพพานไปยากท่านต้องลงแรงไปให้ถึง
ท่านหลันต้าเซียน : มีความตั้งใจอยากจะไปกันหรือไม่ (มี) ฟ้าบางทีเรายังอยากจะขึ้นไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดินไม่มีใครอยากมุดลงไปอยู่  ฉะนั้นทุกท่านในที่นี้จะเป็นพุทธะที่กลับคืนแดนฟ้าได้ เป็นคนที่สามารถกลับกลายเป็นพุทธะได้ อยู่ที่ว่าจะบำเพ็ญตนเองไหม บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องไกลเกินชีวิต บำเพ็ญก็คือการรู้จักนำธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต นำธรรมมาใช้ในครอบครัว และนำธรรมมาใช้ในการดำรงชีวิตตน หากมีธรรมอยู่ในทุกขณะจิต มีโอกาสขัดเกลา มีโอกาสรู้จักนำธรรมมาช่วยเหลือคน นั่นคือการดำเนินสู่การเป็นพุทธะ
ท่านหลวี่ต้าเซียน : สิ่งที่น่ากลัวของคนที่บำเพ็ญธรรมทุกวันนี้ก็คือการหาเรื่องใส่ตนเอง เพราะว่าท่านนั้นไม่รู้ว่าความปรารถนา ความโลภและความอยากของท่านนั้นจะให้ผลร้ายกับท่านมากเท่าไร เมื่อยามใดที่เรื่องราวกลายเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้นมา ตอนนั้นท่านจะแก้ก็ต้องลงแรงมาก มิสู้กำราบความโลภที่มีอยู่ในใจท่านเสียก่อน ก่อนที่จะเกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา เมื่อเรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อยากมาสถานธรรมเพราะว่ากลัวคนอื่นทราบ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่ายดาย ขอให้ท่านนั้นเพียงแต่รู้จักควบคุมตัวเอง และหัดมองข้ามความผิดของผู้อื่นไปบ้าง เดิมทีเรื่องบางเรื่องที่เป็นความผิดของผู้อื่น ท่านก็ไม่รู้เมื่อวันหนึ่งรู้ขึ้นมาก็ไม่มีอะไร ทำตัวเป็นปกติ เพราะว่าความผิดเป็นความผิดของเขาไม่เกี่ยวกับท่าน เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เราผู้บำเพ็ญนั้นต้องเป็นผู้มีจิตใจสะอาด เหมือนดอกบัวที่อยู่กลางโคลนตมมิแปดเปื้อนโคลนตมแม้แต่น้อย ฉะนั้นขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า ทุกท่านอย่าได้หาเรื่องใส่ตัว อย่าได้สร้างเหตุเพื่อรอผล แต่ขอให้ขจัดเหตุเพื่อไม่เกิดผล ทำได้หรือไม่ (ได้)  เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็จะกลายเป็นอริยะไปโดยปริยาย มีโอกาสหวังว่ากลับมาได้พบทุกท่านอีก ขอให้ทุกท่านนั้นตั้งใจบำเพ็ญจริง
ท่านหลันต้าเซียน : ผู้ร่วมฟังมีโอกาสต้องเปลี่ยนจากการร่วมฟังมาปฏิบัติบ้าง เพื่อจะได้นำสิ่งที่ฟังนั้นมาพิจารณาดูว่าเราฟังแล้วปฏิบัติได้ถูกต้องไหม สิ่งที่ฟังนั้นเอาไปประยุกต์ใช้แล้วใช้ได้ถูกหรือเปล่า  อย่าได้เป็นผู้ที่นั่งฟังอย่างเดียว แล้วขาดการลงมือปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นฟังไปแล้วก็เสียเปล่า จริงหรือไม่ เราเห็นแววตาของทุกๆ ท่านแล้ว บ่อยครั้งที่เราก็อยากจะบอกให้ทุกๆ คนได้ยินว่าจงก้าวต่อไป และบำเพ็ญต่อไป อย่าได้ยอมแพ้ และอย่าได้หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ จะต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ อย่าพ่ายแพ้ต่อคำพูดของคน และอย่าพ่ายแพ้ที่ใจตนเอง จงก้าวต่อไปแล้วเราจะได้พบกัน จงสู้ต่อไปแล้วท่านก็คือพุทธะ คงต้องจากกันจริงๆ แล้วนะ ขอให้ดอกไม้แห่งพุทธะจงบานอยู่ในใจไม่มีวันโรยรา ขอให้มีจิตใจตั้งมั่นในการบำเพ็ญต่อไป ไม่มีสูญสิ้น อย่ายอมแพ้อุปสรรค เข้าใจนะ (เข้าใจ)



วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์คิดอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตไหม อาจารย์ถามใช่ลองใจของศิษย์หนา
ที่ดีแล้วให้ดีขึ้นและดีกว่า ที่แย่แล้วขยับขึ้นมานะศิษย์เอย
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซียน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

ปีต่อปีก้าวต่อก้าวเจริญธรรม คำทุกคำมองทุกคนศิษย์รักเอ๋ย
เป็นอย่างไรกันบ้างแล้วศิษย์รักเอย เจ้าละเลยบำเพ็ญธรรมหรือไม่กัน
ในยามนี้ดั่งยืนบนน้ำแข็งบาง อย่าอำพรางร้ายแล้วอวดสิ่งดีนั้น
ชีวิตหนึ่งเป็นเพียงฝันเวลาสั้น ตื่นกลางคันสำนึกผิดเร่งแก้ไข
สุดอาลัยไม่อยากจากศิษย์ทั้งหลาย หมื่นลี้ไกลตามอาจารย์ไปได้ไหม
อย่าเบื่อหน่ายเฮือกสุดท้ายช่วยกันไว้ บรรยากาศธรรมสร้างได้ด้วยมือของเรา
แต่ละที่แต่ละแห่งข้าเคยย่าง พบศิษย์ต่างมีคนใหม่มีคนเก่า
เก่าหายไปใหม่เข้ามาพารวดร้าว จงรู้เท่าโลกีย์เพื่อปลอบใจข้าเอย
ฮา  ฮา  หยุด
หมายเหตุ  กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง




เคยวุ่นวายสับสน  ผจญแต่ความผิดหวัง  และทุกสิ่งเปราะบาง  แต่วันนี้คล้ายดั่งเริ่มเปลี่ยน  เปลี่ยนแปลงให้ใจเข้มแข็งมีแต่ความเพียร  ตั้งรับในสิ่งที่เวียนเข้ามาล่อใจ
ศิษย์เอยอย่าไปหวั่นไหว  จิตใจไม่มีอิจฉา คอยฝึกตนหนา  อย่านำพาด้วยความใจใหญ่  ต่อกรกับบางปัญหาเพียงแต่ทำใจ  รับทุกอย่างเอาไว้และปล่อยวางพร้อม
ทุกข์ที่แสนเย็นชา หล้าอันแสนจอมปลอม  เมื่อยามความชิงชังสุกงอม  จะเดินร่วมทางได้ไง  ถ้ายังนึกลังเล ใคร่ครวญอย่าช้าจนสายไป  แม้อาจารย์จะยังห่วงใยไม่อาจก้าวแทน
เพลง : ไม่อาจก้าวแทน
ทำนองเพลง : ไม่ขอเป็นรอง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นักเรียนศรัทธามากไหม (มาก)  มากเท่าไหน (มากเท่าฟ้า)  ใช้อะไรวัด (ใจ)  แล้วใจของเราตรงหรือเอียง (ตรง)  แน่ใจนะ (แน่ใจ) ธูปนี้ปักตรงหรือเอียง (ตรง)  แน่ใจหรือเปล่า ไหนใครว่าธูปปักตรงยกมือ หัวหน้าชั้นออกมาดูสิว่าธูปปักตรงหรือเอียง (เอียง)  หัวหน้าชั้นหญิงออกมาดูตรงหรือเอียง (เอียง)  อาสาสมัครหนึ่งคน ผู้หญิงออกมา (เอียง)  เมื่อกี้ใครบอกตรง ตอนนี้ฟังสามคนพูดแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง สามคนนี้ยังยืนยันเหมือนเดิมไหม (ไม่เหมือนเดิม)  ไม่เหมือนเดิมแล้ว เห็นไหมว่าอะไรแตกต่าง  ธูปก็ปักเอียงอยู่แล้ว อาจารย์เห็นแต่แรกก็รู้ว่าธูปเอียง แต่เป็นเพราะว่าเรามองไกลๆ จึงรู้สึกว่าธูปตรงดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามองใจของเราเองไกลๆ เราก็คิดว่าใจของเราตรงดี ยิ่งเปรียบเทียบกับคนอื่นยิ่งตรง แต่ถ้าเรามองใจของตัวเองใกล้ๆ เหมือนกับเรามองธูปใกล้ๆ เราจะเห็นว่าตรงหรือเอียง (เอียง)  ตอนนี้ใครว่าเอียงยกมือขึ้น แสดงว่าเป็นคนโลเลใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเมื่อกี้บอกว่าเอียง ตอนนี้บอกว่าตรง แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นขอให้เรามีจุดหมายในการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลงครั้งเดียว คือตอนแรกเราบอกว่าธูปนี้ปักได้ตรงอยู่ เราเดินออกไปดู หมายความว่า เราต้องปฏิบัติ ตอนนี้เรานั่งฟังอยู่ เมื่อเราออกไปดูก็คือเราเอาสิ่งที่เราฟังนั้นออกไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วจึงรู้ว่าตรงหรือเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราเป็นคนที่ดูอยู่ไกลๆ จะตรงจะเอียงพูดอย่างไรก็ได้ คนที่มองศิษย์บำเพ็ญจะพูดอย่างไรก็ได้ ศิษย์มองเขาจะพูดอย่างไรก็ได้  แต่ไม่สู้ให้เรานั้นมองเอง  แต่เราต้องมองอย่างคนที่ไม่เข้าข้างตัวเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  เมื่อเรามองอย่างไม่เข้าข้างตัวเองแล้วเราจะรู้ว่า จริงๆ แล้วจิตของเราตรงหรือเอียง
ถ้าเราตั้งใจหนึ่งครั้ง เราก็เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเวลาที่เราเกิดรู้สึกว่าเราขี้เกียจขึ้นมา ทำไมคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วเราบอกว่าจะไม่โมโหเลย แต่อยู่ๆ ไปก็รู้สึกว่ายังโมโหอยู่ดี อยู่กับอีกคนก็ยังโมโหอยู่ดี แล้วเราก็ไม่ได้ยืนยันจุดหมายของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราเป็นคนที่จิตตรงหรือเอียง (เอียง)  ก็ยังเอียงอยู่ เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า การเปลี่ยนแปลงขอให้เปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่งในหนึ่งเรื่อง หมายความอย่างไร หมายความว่าตอนนี้ตั้งใจจะทำจิตที่เอียงให้ตรง ก็ตั้งใจหนึ่งครั้งแล้วทำให้สำเร็จ ถ้าตั้งใจทำสองครั้ง เป็นอย่างไรก็ขาดความน่าเชื่อถือ หากตั้งใจทำสามครั้งเป็นอย่างไร (โลเล) ก็เป็นคนที่มีจิตใจโลเลใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะเตือนศิษย์ทุกคนว่าคนที่มีนิสัยโลเล หรือมีนิสัยอันไม่น่าเชื่อถือนั้น เมื่อเราโลเลครั้งที่หนึ่งได้ ย่อมมีครั้งที่ (สอง) ย่อมมีครั้งที่ (สาม)  ศิษย์ของอาจารย์เคยท้อจนเลิกบำเพ็ญไปแล้วครั้งหนึ่งไหม คงมีบางคนยืนอยู่ที่นี่ด้วย เคยท้อจนเลิกบำเพ็ญไปครั้งหนึ่งแล้ว ถามว่าจะมีครั้งที่สองไหม  มีแต่ตัวเราที่ตอบเองได้ มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่เตือนศิษย์เช่นนี้ อาจารย์เตือนศิษย์ครั้งนี้ต้องเตือนครั้งหน้าไหม หรืออาจารย์อาจจะไม่มีโอกาสเตือน เพราะว่าศิษย์ไปแล้วไปลับไม่กลับมาใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้อาสาสมัครนักเรียนชายหนึ่งท่านออกมาขยับธูปให้ตรง)
เห็นหรือเปล่าว่าอันไหนเอียง (เห็น)  แน่ใจนะว่ามองได้ถูก (แน่ใจ)  ในความจริงก็มีความไม่จริง ในความไม่จริงก็มีความจริงอยู่ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้อาสาสมัครนักเรียนหญิงหนึ่งท่านออกมาขยับธูปให้ตรง)
ก่อนจะเปลี่ยนต้องมองก่อนว่าตรงหรือไม่ตรง เขาขยับทีหนึ่งแล้ว ถ้าเราขยับอีกต้องให้ตรงกว่าเดิมนะ ยังมีที่ให้เขาขยับอยู่ แสดงว่าเมื่อกี้ยังไม่ตรงพอใช่หรือไม่  ตรงหรือยัง หาผู้ตรวจสอบอีกสองคน คนไหนที่มั่นใจว่าตาไม่เอียง ผู้ชายออกมาหนึ่งคน ผู้หญิงออกมาอีกหนึ่งคน ดูว่าเอียงหรือไม่เอียง (เอียง)  เชื่อเขาสองคนนี้ไหม (ไม่เชื่อ)  ทำอย่างไรดี (ต้องดูเอง)  ต้องดูเองก็ต้องดูไกลๆ เพราะอยู่ในสถานธรรมถ้าทุกคนออกมาดูหมดเป็นอย่างไร (วุ่นวาย)  แต่ว่าอาจารย์บอกว่าที่ปักอยู่ข้างหน้านี้เห็นทุกครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลามาสถานธรรมอยู่ใกล้โต๊ะพระที่สุดแค่ไหน แค่เบาะกราบใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเคยจับไม้ปัดฝุ่นไปปัดไหม บางคนเคยบางคนไม่เคย ใกล้ชิดโต๊ะพระที่สุดก็แค่เบาะกราบ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าหากเรามองให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าเราล้วนมีธรรมะ  จะหยิบขึ้นมาหรือจะวางลงไปเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้อาจารย์ก็แค่หยิบอย่างหนึ่งบนโต๊ะพระออกมาให้ศิษย์ดู ดูอย่างนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้าใจคำว่า "เอียงและตรง" ไหม ไม่มีใครตรงได้ในสายตาใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนมีความเอียงหมดเลยเท่ากันทุกคน ต่อให้ตอนนี้เป็นอาจารย์จี้กงปักธูปให้ ก็อาจจะยังเอียงอยู่ใช่หรือไม่ เพราะว่าไม่ใช่เกิดจากตัวเราเป็นผู้ทำเองจึงเอียงเสมอ การกระทำใดที่เป็นของเรา จึงบอกตัวเองว่าตรงเสมอ ตอนนี้ต้องกลับกันใช่หรือไม่ กลับกันเป็นอย่างไร เป็นผู้อื่นทำอะไรก็ตรงเสมอ จะได้หัดมาตรวจสอบตัวเองเสมอๆ  อาจารย์จี้กงคนนี้ก็คือตัวศิษย์ทุกคน ที่อาจารย์พูดให้ฟัง บอกว่าถ้าอาจารย์จี้กงลงไปปักธูป ศิษย์ก็บอกว่าเอียง แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ที่ลงไปปักธูปทุกคนมองการกระทำของคนทุกคนเป็นอาจารย์จี้กงหมด จะกล้าโทษเขาว่าผิดไหม (ไม่กล้า)  ก็อาจจะไม่กล้าโทษก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงบอกว่าต่อให้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ใช่ว่าจะหนีพ้นคำครหานินทา อยู่ที่ว่าเวลาเขานินทาแล้วศิษย์เอาหูฟังหรือเปล่า เอาใจคิดหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าคนเขานินทาศิษย์ห้าเมตร ศิษย์ได้ยินไหม (ไม่ได้ยิน)  โกรธไหม (ไม่โกรธ) แต่ถ้าหากว่าเขานินทาอยู่แค่ครึ่งเมตรตรงนี้เองได้ยินไหม (ได้ยิน)  โกรธไหม (โกรธ)  ทำไมถึงโกรธล่ะ เพราะว่าใจของเราเอียง ไม่ยอมตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากคิดว่าตัวเราเป็นธูปในกระถางไม่มีสิทธิ์ขยับเขยื้อนไปไหน ใจของเราเป็นธูปไม่มีความคิด และไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ ถามว่าโกรธคนเป็นไหม (ไม่เป็น)  เกลียดคนเป็นไหม (ไม่เป็น)  ถ้าหากว่าเราทำใจของเราให้ตรง แล้วก็ทำอารมณ์ของเราให้เป็นธูป เราจะโกรธใครไม่เป็น เราจะรักใครไม่เป็น เราจะเกลียดใครไม่เป็น เพราะว่าความรักนั้นมีข้อเสียที่นำมาซึ่งความลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่น สมมติว่าเรามีลูกคนหนึ่ง ลูกของเราไปตีกับลูกชาวบ้านไม่รู้ว่าใครตีก่อน ถามว่าว่าลูกใครผิด (ลูกเขาผิด)  ลูกเขาผิดทำไมล่ะ ทั้งที่เราก็ไม่ได้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำไมถึงไม่บอกว่าลูกเราผิดล่ะ ทำไมถึงบอกว่าลูกชาวบ้านผิดล่ะ เพราะว่าใจของเราลำเอียง เพราะว่ามีความรักเป็นเหตุใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงต้องมาดัดใจของเราให้ตรงมากขึ้น ใจของเรานั้นเหมือนกับเหล็กท่อนหนึ่ง เหล็กท่อนนี้เบี้ยวๆ บูดๆ แล้วแต่ใจคน เหล็กในใจของศิษย์นั้นจะเบี้ยวเท่าไหร่ก็ได้ ถ้ายิ่งเบี้ยวมากต้องออกแรงดัดมากไหม (มาก)  ถ้าเบี้ยวน้อยออกแรงดัดน้อยไหม (น้อย)  ถ้าหากเรารู้ตัวว่าเราเบี้ยวมาก เวลาเราบำเพ็ญธรรมเราต้องเจออุปสรรคมากหน่อยสมควรไหม (สมควร)  บางคนบำเพ็ญธรรมจึงง่าย บางคนบำเพ็ญธรรมจึงยาก หากว่าเราเบี้ยวมากบำเพ็ญธรรมยากๆ ก็สมควรแล้ว แล้วเราจะท้อทำไมใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าความทุกข์ที่ประดังมาทั้งหมด อุปสรรคที่ประดังมาทั้งหมดก็เพื่อให้เรานั้นกลายเป็นคนใหม่ กลายเป็นเหล็กที่ตรง เมื่อเหล็กตรงแล้วเหมือนธูปไหม (เหมือน)  เมื่อเหล็กตรงแล้วเหมือนธูปก็มีคนอยากจะใช้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธูปไม่มีความคิด ธูปไม่รู้จักที่จะโกรธ ไม่รู้จักที่จะเกลียด อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นเหมือนธูปก้านนี้ สักวันหนึ่งธูปก้านนี้หมด ชีวิตของเราจบลง เรายังไม่รู้ว่าจะจบแบบไหน แต่เรากำหนดตอนจบได้ไหม (ไม่ได้)  แน่ใจหรือ หากว่าตลอดชีวิตทำชั่วตลอดเลย ตั้งแต่รู้ความเฝ้าแต่ทำผิด ทำชั่ว ตอนงานเผาศพฝังศพมีคนไปไหม (ไม่มี)  อย่างนี้กำหนดตอนจบได้หรือไม่ (ได้)  กำหนดตอนจบด้วยการทำดีตลอดชีวิต ตอนงานเผาศพ ฝังศพมีคนไปไหม (มี)  แล้วทำไมต่างกันล่ะ อันนี้ใครกำหนด (ตัวเราเอง)  แต่เราไม่ใช่กำหนดความดีทั้งชีวิตที่เราจะทำเพื่อวันเผาศพ แต่เรากำหนดเพื่ออะไร บางคนตายไปคนเขาบอกว่าแผ่นดินจะ (สูงขึ้น)  บางคนตายไปคนจะเสียดายร้องไห้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนมีคุณธรรมต่างกัน ถ้าหากว่าศิษย์ทำในสิ่งที่ดีย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน ถ้าหากศิษย์ทำในสิ่งที่ชั่วย่อมได้รับสิ่งที่ชั่วตอบแทน
ในปัจจุบันนี้ผลกรรมไม่ได้ตามสนองชาติหน้า แต่ผลกรรมตามสนองชาตินี้ ทำชาตินี้ได้รับชาตินี้ ทำชาติที่แล้วก็ได้รับชาตินี้ ทำดีชาตินี้ผลก็มาเกิดชาตินี้ เพราะฉะนั้นคนทุกคนมีกรรมเป็นส่วนตัวอยู่แล้วส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นส่วนมากด้วย คนทุกคนมีกรรมดีและกรรมชั่วติดตัวมาแล้ว หากว่าชาตินี้ทำกรรมชั่วไปผสมกับกรรมเก่าอีกเป็นอย่างไร อาจารย์สมมติให้กรรมชั่วเป็นลูกตุ้มที่ถ่วงขาอยู่ บางคนลูกตุ้มเล็ก บางคนลูกตุ้มใหญ่ ทำไมบางคนรวย บางคนจน ทำไมบางคนโชคดี บางคนโชคร้าย  นั่นเป็นเพราะว่ากรรมที่สร้างมา หากมีโอกาสจะได้ดีก็จะได้ดีไปเอง เมื่อไม่มีโอกาสจะได้ดี ไม่ใช่นั่งรอความตาย แต่ต้องสร้างโอกาสให้ตัวเอง  อาจารย์ถึงถามศิษย์ว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นไหม  ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงอย่ามัวนั่งเฉย ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงหลังจากกลับไปจากสามวันนี้ไม่ใช่ทำตัวว่างเปล่าไม่มีหน้าที่ แต่เราต้องทำให้เต็มที่ ทำในสิ่งที่เรารู้ อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ แต่บอกว่าให้ทำในสิ่งที่เรารู้และทำให้ดี แม้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะไม่ดีเท่าคนอื่น แต่ก็ดีที่สุดสำหรับเราและดีที่สุดสำหรับอาจารย์แล้ว เข้าใจไหม (เข้าใจ)
เมื่อศิษย์นั้นตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตย่อมเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อไม่ตั้งใจจะเปลี่ยนย่อมเปลี่ยนไม่ได้ แต่การเปลี่ยนนั้นดังที่อาจารย์บอกในตอนต้น ขอความตั้งใจที่ดีที่สุดหนแรกหนหนึ่งก่อน ถ้าให้ดีขอเป็นหนเดียวและหนสุดท้าย ดั่งความมุ่งมั่นแห่งพระพุทธองค์ในยามที่นั่งใต้ต้นโพธิ์รอการบรรลุธรรมนั้นบอกว่าถ้าไม่สำเร็จก็จะไม่ลุก  เป็นความตั้งใจหนเดียวและเป็นหนสุดท้ายและเป็นความมุ่งมั่นที่ถึงที่สุด แล้วเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  เปลี่ยนชะตาชีวิตของท่านจากปุถุชนสามัญให้กลายเป็นพระพุทธเจ้าได้ไหม (ได้)  แล้วศิษย์ของอาจารย์ล่ะ พระพุทธองค์ตอนเกิดมาเป็นกายมนุษย์มีแขน มีร่างกายเหมือนกับศิษย์ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมใจของเราต่างกับใจของท่าน จริงๆ แล้วไม่มีอะไรต่าง หวังว่าศิษย์นั้นจะมีใจเดียวในการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองนี้ด้วยการบำเพ็ญธรรม
ใจของเราเอียง สร้างอะไรขึ้นมาก็เอียง  ใจของเราตรง สร้างอะไรขึ้นมาก็ตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสูงความต่ำหลอกตาได้นิดหน่อย  แต่ว่าไม่อาจหลอกสายตาฟ้าได้
สถานธรรมที่นี่ชื่ออะไร (อิ๋งเซียน)  แปลว่าอะไร (ต้อนรับเซียน)  แล้วคนที่มาที่นี่เป็นเซียนหรือยัง (ยัง)  เป็นเซียนขี้โมโหหรือเปล่า มีเซียนกินเหล้าไหม มีเซียนสูบบุหรี่ไหม  น่าคิดนะ
(นักเรียนในชั้นโค้งต้อนรับพระอาจารย์พร้อมกัน)
เวลาเราโค้งคำนับ เราโค้งด้วยอะไร (ใจ)  เราโค้งด้วยใจ  ถ้าหากเราโค้งแล้วเหมือนรีบๆ เป็นรถด่วน  แสดงว่าเราไม่ได้โค้งด้วยใจ  ถึงบอกว่าเวลาโค้งต้องโค้งด้วยใจ ทำสิ่งใดทำด้วยใจ ดีก็ดีด้วยใจ  คนข้างนอกไม่เห็นใจของศิษย์  เพราะฉะนั้นจึงโทษคนอื่นไม่ได้ที่เห็นเราเป็นคนไม่ดี  ทำทุกสิ่งทำด้วยใจ  เพราะฉะนั้นการโค้งจึงต้องตั้งใจ  ต้องระมัดระวังตัวเอง  อยู่อย่างคนที่อยู่ในโลกีย์ อยู่อย่างคนที่อยู่ในแดนโลก  เผลอไปนิดเดียวก็พลาดไปหลายก้าวแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าอยู่ในสถานธรรม เขาเรียกให้เราคำนับ เรายังใช้ใจไม่เป็นเลย  ถ้าออกไปข้างนอกเจอคนยั่วโทสะเข้าเป็นอย่างไร  ไม่โกรธไปห้าสิบเมตรหรือ ใช่หรือไม่
วันหนึ่งเรากินข้าวกี่มื้อ (สามมื้อ)  กินอะไรบ้าง จำได้ทั้งสามมื้อไหม (จำได้)  อาจารย์เห็นมนุษย์ในโลกเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม ได้หน้าก็ลืมหลัง แต่ทำไมเรื่องกินไม่ลืม  เรานั้นกินอาหารสามมื้อ กินอาหารนี้เพื่อบำรุงร่างกายของเรา ให้ร่างกายของเรามีแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรากินข้าวบำรุงเลี้ยงร่างกาย จำเป็นไหมต้องกินเนื้อสัตว์ (ไม่จำเป็น)  สามวันนี้ไม่ได้กินเนื้อสัตว์แล้วรู้สึกไม่มีแรงไหม (ไม่รู้สึก)  ก็รู้สึกยังดีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาหารกินเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย จะใช้อะไรบำรุงล่ะ  ตอนนี้ใจของศิษย์ป่วย  ไม่ได้กินข้าวมานาน จะใช้อะไรไปบำรุงใจดีล่ะ (ธรรมะ)  ทุกคนตอบว่าธรรมะ แล้วธรรมะแปลว่าอะไร (ธรรมชาติ)  แล้วธรรมชาติของศิษย์อยู่ที่ไหน ถ้าหากว่าทุกคนบอกว่าธรรมชาติอยู่ที่ตัวเราเอง มีคำๆ หนึ่ง ที่ขึ้นด้วยคำว่า "เห็น" แล้วคำหลังคือคำว่า "ตัว"  คือคำว่าอะไร (เห็นแก่ตัว)  เพราะว่าทุกวันนั้นคิดถึงแต่ตัวเอง จึงทำให้มีคำๆ นี้เกิดขึ้นมาในใจของเรา  แต่จริงๆ แล้วธรรมชาติอยู่ที่ไหน  เราทำงานอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ทำงาน)  อาบน้ำที่ไหน (ที่บ้าน)  ที่บ้านมีใคร (มีพ่อแม่)  กินข้าวที่ไหน (บ้าน)  ทำกับข้าวที่ไหน (ครัว)  แล้วเพื่อนของเราอยู่ที่ไหน  อยู่รอบๆ ตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมะอยู่ที่ไหน  ธรรมะเป็นธรรมชาติที่เราอยู่กับสิ่งที่เราอยู่ด้วยอย่างมีธรรมะ เวลาเราเข้าครัวเราก็ต้องมีธรรมะ เวลาเราคุยกับเพื่อนเราก็ต้องมีธรรมะ  อาบน้ำก็ยังต้องมีธรรมะ เวลาที่เราคุยโทรศัพท์ก็ยังต้องมีธรรมะ เวลาเราออกไปเที่ยวก็ยังต้องมีธรรมะ เผอิญเราออกไปเที่ยวแล้วเจอคนหกล้มอยู่ตรงนั้น เราจะทำอย่างไร เห็นเศษแก้วอยู่ที่พื้นทำอย่างไร (เก็บ)  ปกติเก็บหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าธรรมะคือธรรมชาติ ก็คือธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกอย่าง เมื่อกลับบ้านเราจะนำธรรมะไปใช้ที่บ้านของเรา เมื่อก่อนเราเคยเถียงพ่อแม่ ตอนนี้เราต้อง (ไม่เถียง)  เมื่อก่อนเราเคยว่าพี่ว่าน้อง เมื่อก่อนเราเคยเอาเปรียบคน อย่างเช่นเขามองไม่เห็น เราก็คิดเงินเกินนิดหน่อย หรือคนทอนเงินเกินเราก็ไม่คิดที่จะคืนเขา คนมีธรรมะทำได้ไหม (ไม่ได้) เวลาเราเห็นคนทุกข์ยากก็รีบเข้าไปช่วยเหลือ อย่างเช่นเห็นคนหกล้มเราต้องรีบเข้าไปพยุง เห็นคนตาบอดจะข้ามถนน เขาตัวดำปี๋เลยเราจะทำอย่างไร ช่วยหรือไม่ (ช่วย)  ต้องคิดก่อนตอบนะ เดี๋ยวไม่แน่อาจารย์อาจจะแปลงเป็นคนตาบอดตัวดำปี๋จะเดินข้ามถนนก็ได้นะ ดูซิว่าศิษย์จะช่วยอาจารย์พยุงข้ามไปหรือไม่ แล้วถ้าเขามีหูดเต็มตัวไปหมด มีแผลเน่าเฟะเต็มขาเลย ช่วยหรือไม่ช่วย (ช่วย) มือที่เรากำลังจะจูงนั้นเปื้อนโคลนมาหนาสามนิ้วเลยช่วยหรือไม่ (ช่วย)  คำว่า "ธรรมะ"นั้นจึงเป็นคำที่ธรรมดาที่สุด นี่เป็นธรรมะในชีวิตประจำวันของเราที่เราจะต้องมี เมื่อเรารู้ว่าเรามีธรรมะจึงเข้าใจที่จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การฟังธรรมะอย่างเช่นในสามวันนี้ อาจจะให้ความรู้อาจจะให้ความเข้าใจแก่ศิษย์ได้มาก แต่การที่จะได้มากกว่านี้ก็คือการปฏิบัติ ศิษย์เคยฟังว่าความเมตตาเป็นคุณธรรมค้ำจุนโลก แต่ความเมตตาที่ศิษย์เรียนนั้นศิษย์จะไม่รู้จักความเมตตาเลย ตราบใดที่ศิษย์นั้นยังไม่มีความเมตตา คนที่รู้จักความเมตตาและไม่รู้จักทำนั้นจะเป็นคนที่พูดเก่ง จำเก่งแต่ทำไม่เก่ง เพราะว่าไม่เคยทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่เรารู้จักความเมตตาจริงๆ นั้นจึงต้องลงมือทำ ลงมือทำและลงมือทำ ทำครั้งเดียวพอไหม ทำกี่ครั้ง แม้ลมหายใจสิ้นก็ไม่หยุด จึงเรียกว่าเป็นผู้มีความเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระโพธิสัตว์กวนอินนั้นเมื่อยามอยู่ในโลกก็เมตตาคน สั่งสอนคนอยู่เสมอๆ เมื่อท่านสิ้นกายนี้ไปแล้วก็ยังมีคนฝันเห็น ยังไปช่วยคนอยู่เสมอๆ จึงเรียกว่า แม้ตราบลมหายใจสิ้นก็ไม่หยุด ถ้าหากว่าอยากจะเป็นแบบนี้ตอนนี้ต้องเริ่มแล้วนะ เมื่อเข้าตลาดจะสั่งเขาบอกว่าเอาปลาตัวนี้แหละทุบให้หน่อย ไม่ได้แล้วนะ ถ้าเราเมตตาจริงเราทำร้ายชีวิตใครให้ตายไม่ได้แม้แต่กระทั่งชีวิตสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตบยุงได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้ายุงมันน่ารำคาญเหลือเกินตบได้ไหม (ไม่ได้)  มีบางคนบอกว่าถ้าเขาไม่ทำเราเราก็ไม่ทำเขา ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ชาติก่อนเราอาจจะเคยเป็นยุงไปดูดเลือดเขา แล้วชาตินี้เขาเป็นยุงมาดูดเลือดเราสมควรไหม (สมควร)  หากว่าเราไม่เลิกที่จะเกี่ยวกรรมกัน ถามว่ากรรมมันจะต่อไปเรื่อยๆ ไหม (ต่อไป)  อยากต่อหรือไม่อยากต่อ (ไม่อยาก)  ถ้าชาตินี้เราไปสั่งเขาทุบหัวปลา ชาติหน้าต้องเกิดมาเป็นปลาให้เขาทุบหัวเอาไหม (ไม่เอา)  เกิดมาชาติหนึ่งเพื่อรอคนๆ นี้มาสั่งให้ทุบหัวเราคุ้มไม่คุ้ม (ไม่คุ้ม)  เพราะฉะนั้นชาตินี้เกิดเป็นคนแล้วดีหรือไม่ (ดี)  เกิดเป็นคนมีคนมาเอาเปรียบเราได้ไหม (ได้)  แล้วยอมให้เขาเอาเปรียบหรือเปล่า (ยอม)  มีคนตอบความจริงอยู่กี่คน เราให้คนเอาเปรียบได้แต่เราไม่เคยยอมถูกใครเอาเปรียบใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นความจริงของคนถูกหรือเปล่า (ถูก)  การยอมถูกเอาเปรียบบ้างนั้นอาจจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราชอบความสุขแต่บางทีความทุกข์ก็สอนเรา ความสุขต่างหากที่สอนไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นศิษย์หยิบมีดเล่มหนึ่ง ไม่เคยรู้เลยว่ามีดเล่มนี้คมมาก ปกติหยิบมีดเล่มไหนก็ไม่คมเท่าเล่มนี้ ถ้าหยิบมีดเล่มนี้แล้วเฉี่ยวถูกมือเราแล้วมีเลือดออกมาเลย เราก็รู้ว่ามีดเล่มนี้คมมากแล้ว ใช่หรือไม่ ทุกครั้งที่จะกลับไปหยิบมีดเล่มนี้ก็จะระวังมากขึ้นถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นบางทีความทุกข์ต่างๆ นั้นสอนให้เรารู้จัก รู้จำและอาจจะรู้ถึงรู้จักตัวเองด้วย บางทีการรู้จักตัวเองอาจจะทำให้ศิษย์นั้นรู้จักผู้อื่นด้วย เพราะฉะนั้นความทุกข์นั้นสอนเราไหม (สอน)  ความสุขสอนอะไรบ้าง สมมติว่าตั้งแต่เล็กจนโตศิษย์ของอาจารย์อยากกินผลไม้ก็มีคนไปหั่นให้ อยากจะทานข้าวก็มีคนไปทำกับข้าวมาให้ ก็จะไม่รู้จักใช้มีดเล่มนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาบอกว่าหั่นแครอทต้องหั่นอย่างนี้จะรู้ไหม (ไม่รู้)  แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ บอกให้หั่นเป็นสี่เหลี่ยมๆ แต่ถ้าหากไม่เคยหั่นเลยจะหั่นเป็นไหม (ไม่เป็น)  หั่นแล้วก็เบี้ยวๆ บูดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำพูดบอกว่า "ผลิดอกก่อนจึงออกผล" ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้อาจารย์จะให้ผลแล้วยังไม่ทันจะผลิดอกเลย กลับไปอย่าลืมผลิดอกเองนะ เข้าใจไหม ผลิดอกหมายความว่าอย่างไร ต้องศึกษาปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้อาจารย์ให้ก็เหมือนขั้นปฏิบัติไม่ได้ศึกษา กลับไปก็ศึกษาเพิ่มเติมให้มาก อย่าคิดว่าเรารู้แล้ว เราเป็นแล้ว
ใครอยากเดินตามอาจารย์บ้าง ตอนนี้อยากเดินก็จะได้เดินตาม วันหน้าไม่รู้ว่าจะได้เดินตามหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบำเพ็ญไม่จริง ทำไม่จริง ย่อมไม่สามารถบรรลุจริง เมื่อไม่บรรลุคิดอยากตามอาจารย์ได้ไหม (มีผู้ร่วมฟังเดินตามอาจารย์ แต่เมื่อพระอาจารย์หันหลังกลับ ผู้ร่วมฟังจึงอยู่ด้านหน้าพระอาจารย์)  ทำอย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นคนเดินตาม ต้องย้ายมาเดินอยู่ข้างหลังอย่างนี้ใช่ไหมจึงจะเรียกว่าเดินตาม  เพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่าเราเป็นผู้น้อย หรือการบอกว่าใครเป็นผู้อาวุโส เราจะเป็นผู้น้อยหรือเป็นผู้อาวุโสกันแน่  ความแตกต่างก็แค่อยู่ข้างหน้าหรืออยู่ข้างหลัง การจะเป็นคนที่อยู่ข้างหน้าหรืออยู่ข้างหลังนั้นก็ด้วยปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)
สถานธรรมนั้นอาจารย์บอกศิษย์ทุกคนไว้  แม้กระทั่งนักเรียนใหม่ มาสถานธรรมมีผู้อยู่ข้างหน้าเราเรียกว่า  "ผู้อาวุโส"  มีคนที่ตามหลังเราเรียกว่า “ผู้น้อย”  ในตอนแรกที่เรามาสถานธรรมมีคนเรียกเราว่าผู้น้อย เรานั้นก็เป็นคนที่ตามข้างหลังใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราเผลอไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจะเรียกว่า เป็นผู้น้อยที่ถูกต้อง  ตอนแรกศิษย์ของอาจารย์คนที่เดินตามอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะกลับหันหลังมาตามอาจารย์ได้อย่างไร แต่ในที่สุดก็รู้ว่าต้องเดินมาข้างหลัง การบำเพ็ญนั้นจึงเป็นการฝึกฝน แม้ว่าครั้งแรกมาจะไม่เข้าใจ จะขัดใจบ้าง  มีอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยชิน มีอะไรที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยฟัง  แต่ว่าศึกษาได้ไหม เรียนรู้ได้ไหม ในที่สุดเป็นไหม (เป็น)  แล้วเมื่อเราเป็นแล้วก็ไม่รู้สึกอึดอัดใจ การบำเพ็ญของเรานั้นก็จะเป็นธรรมชาติมากขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลับกันถ้าเมื่อสักครู่ศิษย์ของอาจารย์บอกว่าเท่าเทียมกันแล้วก็ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างนั้น ถามว่าใครกันแน่ที่มีความทุกข์ใจ คนที่ยืนขวางอยู่อย่างนั้นก็มีความทุกข์ใจ เพราะว่าไม่รู้ว่าจะทำให้อาจารย์เดินไปได้อย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเปลี่ยนจากอาจารย์เป็นผู้อาวุโส ก็คงจะทุกข์ใจทั้งคู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากเป็นอาจารย์จริงๆ อาจารย์อาจจะใจเย็นรอศิษย์  การที่จะให้คนใดเปลี่ยนมาเป็นข้างหลัง เราต้องรู้จักใจเย็นพูดจาใช่หรือไม่ เมื่อถึงสักวันหนึ่งเขามีความสามารถมากกว่าเรา สมมติว่าเป็นผู้น้อยที่ยืนอยู่ข้างหน้าเรา เป็นคนที่มีอายุมากกว่า เดิมทีก็เป็นผู้น้อยเพราะว่ามาทีหลัง แต่วันหนึ่งเขามีความสามารถ และเขาก็รู้และมีความเข้าใจ  ทำได้ทุกอย่างดีกว่าที่เราทำ  เราควรจะเปลี่ยนสภาพจากเขาเดินตามเรา เป็นเราเดินตามเขา นี่จึงจะเรียกว่าอ่อนน้อมถ่อมตนใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ายึดกับความสูงส่ง ยึดกับสิ่งที่ไม่แน่นอน  อย่ายึดกับการบอกว่าคนนี้เป็นใครและคนนี้เป็นใคร  เมื่อเราจับยึด ศิษย์จะยึดตำแหน่งนี้ได้จนตาย  แต่ศิษย์จะบรรลุธรรมไม่ได้เลย ให้เลือกเอาว่าเราอยากจะเป็นแบบไหน  เราอยากติดในหน้าที่นี้หรือว่าเราอยากจะบรรลุไป
ผู้ร่วมบำเพ็ญกันถ้าหากว่าติกันมากจะมองหน้ากันไม่ติด เพราะฉะนั้นเวลาเราอยากติใคร แม้เราไม่มีความผิดแบบเขา แต่ให้เราติตัวเองว่าทำไมช่างติ  ทำไมเป็นคนชอบบ่นได้หรือไม่ได้ (ได้)  แล้วกล้าติเขาอีกไหม (ไม่กล้า)  แต่บอกได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบอกให้ใครยอมรับฟังเรา ว่าเขาผิดอย่างไรนั้น เราต้องมองหน้าเขาก่อนด้วยว่าเขาอยากฟังที่เราพูดไหม บางคนเวลาเราติเขา เขาอยากฟังเราพูดหรือเปล่า (ไม่อยาก)  เขาไม่อยากฟังเราพูดเลยเพราะว่าอะไร เพราะว่าเรานั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่ได้ดีกว่าเขา เขาจึงไม่อยากที่จะฟังเรา ดูไปดูมาก็ไม่พ้นการบำเพ็ญตัวเองใช่หรือไม่  (ใช่)  เวลาศิษย์ของอาจารย์อ่านหนังสือ ธรรมะในหนังสือมีเยอะแยะ ความคิดอันชาญฉลาดที่ถูกถ่ายทอดมาในหนังสือมีมากมาย แต่ไม่มีใครทำตามได้ เพราะว่าอะไร ถ้าหากว่าเรานั้นสามารถทำได้เพียงหนึ่งหน้าของหนังสือแห่งคุณธรรม อาจารย์เชื่อแน่ว่าแค่หนึ่งหน้านี้ จะทำให้เมื่อศิษย์เดินไปที่ไหน เขาจะเชิญให้ศิษย์นั่งเก้าอี้ จะไม่ปล่อยให้ศิษย์ยืนอยู่อย่างนั้น ยืนโดยไม่มีใครสนใจ ไม่มีทางใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงทำได้หนึ่งหน้าเท่านั้น  คนเมื่อยามเห็นศิษย์ก็จะยินดีต้อนรับ ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้เลย ต่อให้เราอ่านหนังสือจนหมด อ่านคัมภีร์หมดทุกเล่ม เรารู้อยู่เต็มหัว แต่ว่าไม่มีใครต้อนรับเราเลยเป็นไปได้ไหม เป็นไปได้  ฉะนั้นการที่เราศึกษานั้นจึงไม่สู้การปฏิบัติ  การปฏิบัตินั้นจะทำให้เราเลื่อนขั้นเหมือนเดินขึ้นบันได เวลาเดินขึ้นบันไดกับเดินลงอันไหนง่ายกว่ากัน (เดินลง) แต่ว่าเดินลงนั้นเป็นทางไปไหน นี่เรียกว่าโลกมนุษย์ เขาเรียกขึ้น (สวรรค์)  ลง (นรก)  อยากขึ้นหรืออยากลง (อยากขึ้น)  แล้วถามว่าลงง่ายหรือขึ้นง่าย (ลงง่าย)  จะลงหรือจะขึ้น (จะขึ้น)  ฉะนั้นต้องลำบากบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าสบายหมดก็เป็นอย่างไร ถ้าสบายหมดก็ลงนรก ถ้าลำบากหน่อยก็ขึ้นสวรรค์ การบำเพ็ญธรรมนั้นหากเราเจอเรื่องยากลำบากแล้วให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยนั้นเป็นการควรไหม (ไม่ควร)  ไม่ได้บอกว่าไม่ช่วยศิษย์ของอาจารย์ แต่อาจารย์บอกว่าขอไปก็เท่านั้น ในบางเรื่อง บางทีต้องปล่อยให้เจอความยากลำบากจึงรู้สึกใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีถ้าเราสบายมากเกินไปเราก็จะไม่รู้อะไรเลย อยากเป็นคนมีความรู้สึกหรือไร้ความรู้สึก (มีความรู้สึก) เพราะฉะนั้นลำบากบ้าง  ยากบ้าง  อดทนได้ไหม มีคำกล่าวบอกว่า "เจ็บตัวไม่เท่าเจ็บใจ"  ถ้าหากเราเจ็บตัวเราทนไหวไหม (ทนไหว)  เจ็บตัวคืออะไร เจ็บตัวคืออาการป่วยไข้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทนไหวไหม พอรู้ว่าเจ็บตัวแปลว่าอะไรก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ เจ็บตัวไม่เท่าเจ็บใจ เราเจ็บตัวแล้วยังทนไหว เจ็บใจทนไม่ได้ เจ็บใจเกิดขึ้นได้อย่างไร (พลาดโอกาสแล้วเราเจ็บใจ)  ถ้าสมมติแอปเปิ้ลนี้เรียกว่าปลา เขาเรียกว่าอะไร จับปลาสองมือ คนว่าเราจับปลาสองมือได้ไหม เขาบอกว่าจับปลาสองมือจะดิ้นหลุดหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าสมมติว่าอันนี้เป็นมรรคผลก็ดิ้นหลุดหมด เอาไม่เอา (เอา) เรียกว่ายอมแพ้แก่กิเลส มันลอยผ่านหน้าเราไปเฉยๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
อาการเจ็บใจนั้นจะเกิดขึ้นก็เพราะว่าคนอื่นเขามาว่าเราใช่หรือไม่ (ใช่) โดยที่เราไม่มีการโต้ตอบเราเกิดความเจ็บช้ำนั้นขึ้นมา ถ้าการเจ็บช้ำน้ำใจนั้นควรจะดูว่าเขาว่าในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหรือไม่ ถ้าหากเขาว่าในสิ่งที่ถูกต้องเราก็ไม่ควรที่จะเจ็บใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
ชั้นนี้มีนักกวีนักกลอนหลายคน ตอนแรกอาจารย์คิดจะให้ฝ่ายชายตอบ แต่ยังไม่เห็นแววฝ่ายชายเลยนะ ยังไงผู้หญิงก็ยังมากกว่า และผู้หญิงยังเก่งกว่าอีก ใช่ไหม ผู้ชายยอมเขาหรือ เดี๋ยวฟังอาจารย์อธิบายสักนิด แล้วดูว่าศิษย์ของอาจารย์จะต่อว่าอะไร ในยามนี้ ก็คือ เวลานี้ "ดั่งยืนบนน้ำแข็งบาง" ที่เรายืนอยู่ตรงนี้เหมือนเป็นน้ำแข็งบางๆ  น้ำแข็งบางเป็นอย่างไร ถ้าเหยียบลงไปไม่ระวัง แตก ตกลงไปในทะเลน้ำแข็งหนาวตายไหม (หนาวตาย)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังถูกหรือไม่ (ถูก)
"ยังอำพรางร้ายแล้วอวดสิ่งดีนั้น" ห้ามที่จะอำพรางสิ่งที่ร้ายในใจของเราและอวดแต่สิ่งที่ดีออกมา หลายๆ คนเป็นคนที่ชอบเอาสิ่งที่ดีออกมา สิ่งที่ดีอวดไปทั่ว แต่สิ่งที่ร้ายอยู่ไหน เก็บไว้ลึกเลยล็อกกลอนซะอย่างดีไม่ให้ใครเห็น แต่สุดท้ายถามว่าสิ่งที่เป็นความชั่วร้ายในใจของเราที่เราเก็บไว้เป็นผลเสียต่อใคร (ตัวเราเอง)  เปรียบไปแล้วความชั่วที่ซ่อนไว้ก็เหมือนกับหนอนที่ไชอยู่ในผลไม้ สักวันหนึ่งเราเก็บเขาไว้เขาก็เจาะออกมาข้างนอกได้ สุดท้ายเราเป็นผู้ได้รับผลเสียล้วนๆ  และที่สำคัญอาจารย์อยากจะเตือนว่าสิ่งร้ายนั้นเก็บไม่มิด เพราะว่าสิ่งร้ายที่อยู่ในตัวของเรานั้นมีมากมาย เวลาอยู่ในห้องมืดๆ คนเดียวเราก็เผลอทำออกมา เก็บไม่มิดเพราะว่าเขาต้องการแสดงออกมา ฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือตัดทิ้ง  ตัดอย่างไร เหมือนการที่จะปักธูปให้ตรงให้ดูที่ฐาน ใจของเราเป็นอย่างไร มองแล้วเห็นด้วยตนเอง
"ชีวิตหนึ่งเป็นเพียงฝันเวลาสั้น" ชีวิตหนึ่งเหมือนความฝัน เวลาศิษย์นอนหละอาจจะฝันเรื่องราวทั้งชีวิต ตื่นขึ้นมาแล้วมีอะไรที่เป็นความจริง ฝันว่ามีภรรยาสวย ฝันว่ามีลูกดี ตื่นขึ้นมามีอะไรที่เป็นความจริง ตอนนี้อาจจะมีภรรยาสวย ตอนนี้อาจจะมีลูกดีอยู่ก็ได้ ถามว่าตายแล้วมีอะไรเหลือ ลูกไปกับเราไหม (ไม่)  สามีภรรยาไปกับเราไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งดูเหมือนความฝันไม่ยาวนาน
"ในยามนี้ดั่งยืนบนน้ำแข็งบาง อย่าอำพรางร้ายแล้วอวดสิ่งดีนั้น"
ตอนนี้เราเหมือนยืนอยู่บนน้ำแข็งบาง อาจารย์บอกว่าอย่าอำพรางสิ่งที่ร้าย ต่อไปบอกว่าชีวิตเหมือนกับความฝันไม่ได้ยาวนานเลยจะต่อด้วยอะไร
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่งบทกลอนพระโอวาท)  (นักเรียน:  ตื่นกลางคันสำนึกผิดเร่งแก้ไข ) อาจารย์ชอบอันนี้ที่สุด เพราะว่าตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์กำลังฝันอยู่ มีอยู่คนบอกว่า ตื่นกลางคันขึ้นมาตอนนี้สำนึกผิดแล้วเร่งแก้ไข ศิษย์ของอาจารย์คนไหนจะตื่นกลางคัน  อาจารย์กลัวแต่งัวเงียขึ้นมาแล้วหลับต่อใช่หรือไม่ (ใช่)
(อาจารย์เมตตาประทานลูกอมให้คนที่แต่งกลอนได้ถูกใจอาจารย์โดยให้เดินออกมาข้างหน้า)  มีรถยุ่งยากไหม วันนี้อาจารย์อยู่กับศิษย์นั้นอาจารย์มีความสุขมาก อยากจะเห็นศิษย์ของอาจารย์นี้มาสถานธรรมบ่อยๆ ทุกวันๆ  ไม่มีวันไหนมากกว่าวันไหน ไม่มีวันไหนน้อยกว่าวันไหน ทุกๆ วันคือวันที่ตั้งใจ ทุกๆ วันคือวันที่ทำจริง ทุกๆ วันศิษย์นั้นมีสิทธิ์ที่จะได้บรรลุมรรคผลเพราะว่าเรานั้นได้ทำแล้ว อาจารย์อยากเห็นเช่นนี้ งานประชุมธรรมนั้นจัดขึ้นมาบ่อยครั้งมาก บ่อยมากจนศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้ว่าการที่ศิษย์ได้เจออาจารย์ อาจารย์ได้เจอศิษย์มีความล้ำค่าเพียงไหน ในเวลานี้กฎเกณฑ์ของธรรมะนั้นมารุ่งเรืองที่เมืองไทย วันนี้จึงเป็นโอกาสของเรา จะได้บำเพ็ญธรรมที่เรานั้นจะได้อยู่ร่วมกันและจะได้รับอมฤตคำสั่งสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างมากมาย ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นถือเป็นโอกาสเพราะไม่รู้ว่าเวลาไหนวันไหนที่เรานั้นจะได้เจอกัน ถ้าหากว่าปีหนึ่งได้เจออาจารย์เพียงหนสองหนดูซิว่าศิษย์ของอาจารย์จะเปลี่ยนแปลงไปถึงไหน ในเมื่อเจออาจารย์บ่อยๆ อย่างนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่สามารถจะรักษาใจเดิมได้ และถ้าสักวันหนึ่งกลับหน้ามือเป็นหลังมือทุกๆ คนไม่ชอบที่ศิษย์บำเพ็ญธรรมะ ทุกๆ คนว่าร้ายกล่าวร้ายธรรมะ ศิษย์ของอาจารย์จะยืนอยู่ได้ไหม  คนที่ใหม่มากย่อมฟังไม่เข้าใจ คนที่อยู่ในงานธรรมะนานๆ แล้วจึงฟังแล้วเข้าใจ ศิษย์คนไหนฟังอาจารย์เข้าใจในยามนี้อาจารย์บอกว่าศิษย์ผู้นั้นเป็นคนที่มีปัญญา แม้ว่ามาทีหลังแต่เหมือนคลื่นลูกหลังแซงคลื่นลูกหน้าขึ้นมาแล้ว เมื่อมีปัญญาหยั่งรู้เช่นนี้ย่อมมีโอกาสที่จะยืนหยัดอยู่ได้ อยู่ที่ว่าถึงเวลานั้นจริงๆ เราจะตัดสินใจให้เราไปทางไหน การตัดสินใจนั้นมีขึ้นมาเป็นระลอกๆ เหมือนคลื่น แต่ว่าการตัดสินใจนั้นควรจะตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ไม่ใช่เอะอะก็ตัดสินใจท้อแล้ว ตัดสินใจล้มแล้ว ตัดสินใจเลิกแล้ว ถ้าตัดสินใจบ่อยๆ อย่างนี้แล้วถามว่าศิษย์จะอยู่ได้อย่างไรถ้าเกิดวันหนึ่งไม่เจออาจารย์
อาจารย์มายืมร่างอย่างนี้ ข้อดีทำให้ศิษย์นั้นได้รู้จักธรรมะ เข้าใจธรรมะเหมือนมีพ่อมีแม่มีคนสั่งสอน ข้อเสียทำให้ศิษย์ของอาจารย์ติดรูปลักษณ์ไม่รู้จักบำเพ็ญจริง เอะอะก็อยากเจออาจารย์พออาจารย์กลับไป ศิษย์กลับไปบ้านก็กลับไปนั่งเฉยๆ สามวันทีก็จะทำเรื่องดีสักหนึ่งครั้ง คำว่า "หมั่นทำดี" ทำความดีที่ศิษย์นั้นยึดเป็นคติประจำใจก็เป็นได้เพียงความคิด ไม่ได้ทำจริง เมื่อไม่ได้ทำจริงก็ไม่ส่งผล ไม่เกิดผลแล้วอาจารย์จะยกให้ศิษย์ขึ้นไปเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)
  ใครที่บอกว่าเราทำดีแล้ว ดีกว่าชาวบ้านด้วยซ้ำ ดีกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นดีไปกว่าพุทธะที่สำเร็จเป็นพุทธะหรือยัง (ยัง)  มีคนที่เป็นคนทำชั่ว ลำดับต่อมามีคนที่ตั้งใจทำดี ลำดับต่อมามีคนดี ลำดับต่อมามีคนดีเยี่ยงวีรชน ลำดับต่อมามีคนดีเยี่ยงพุทธะ ศิษย์อยู่ระดับไหน หากว่าเรานั้นบอกว่าเราดีแล้วขยับขึ้นมาอีกซิ บันไดก้าวต่อไปก็ยังมีศิษย์จะเอาสูงเท่าไหร่บัวมีเก้าชั้น ศิษย์ไปถึงชั้นที่เก้าก็ยังไหวแต่ไม่ใช่ล้มกลางคัน เลิกกลางคัน ท้อกลางคัน เปลี่ยนใจกลางคัน อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นตื่นกลางคันมากกว่า เมื่อสักครู่นี้ฟังโอวาทในชั้นที่ต่างๆ มาแล้วอาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นมีโอวาทประจำชั้นของตัวเองเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะได้คำว่าอะไร ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นจากตรงไหน  การเริ่มต้นนั้นขอให้เพียงได้เริ่มต้น เมื่อเริ่มต้นแล้วอย่าหยุดกลางคัน  ศิษย์ของอาจารย์ย่อมเดินหน้าไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน
"อย่านำพาด้วยความใจใหญ่   ต่อกรกับบางปัญหา  เพียงแต่ทำใจ  รับทุกอย่างเอาไว้และปล่อยวางพร้อม"  เวลาเราเจอปัญหาบางปัญหานั้น ทางที่ดีที่สุดคือการทำใจเท่านั้นเอง  ถ้าหากว่าเราทำใจเราไม่ได้ ปัญหาที่ตันอยู่แล้วจะยิ่งตันยิ่งขึ้น  แต่ถ้าหากว่าเราเพียงแต่ทำใจเท่านั้นเอง ปัญหาก็จะตั้งอยู่ตรงนั้น แล้ววันหนึ่งปมที่แน่นก็จะคลายเอง  มีแต่การรอเวลา มีแต่การทำใจเท่านั้นที่ช่วยได้ อาจารย์ให้ทำใจ แต่ว่าไม่ได้ให้ทำเฉย  บางคนบอกว่าอาจารย์จะอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรล่ะ  อาจารย์บอกว่าทำใจ ไม่ใช่ทำเฉย แต่ก็ไม่ใช่ดิ้นรนแบบคนบ้าคลั่ง  แต่เราดิ้นรนอย่างคนที่มีสติ และปัญหานั้นก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ  บางคนดิ้นรนจนแทบตาย แต่ทำอะไรไม่ได้เลย
เวลาเราเกลียดใครสักคนหนึ่ง เกิดความชิงชังใครขึ้นมาสักคนหนึ่ง เราจะยอมทนเดินร่วมทางกับเขาไหม (ยอม)  เราจะอยู่ห้องเดียวกับเขาได้หรือเปล่า (ได้)  เราจะบำเพ็ญที่เดียวกับเขาได้หรือเปล่า (ได้)  อย่างนี้แสดงว่ายอมให้ความชิงชังมันสุกงอมใช่ไหม ยอมหรือไม่ยอม ฟังให้ดีๆ เมื่อยามความชิงชังสุกงอม จะเดินร่วมทางได้อย่างไร ในเมื่อความชิงชังในใจของเรามันสุกแล้ว เราก็ไม่อยากทนที่จะอยู่ร่วมกับคนอีกคนหนึ่งที่เราชิงชังเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องตัดผลความชิงชังทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องไม่มีจิตที่ชิงชังใคร เห็นใครก็เหมือนกันหมด ไม่ใช่ดีกับคนนี้เป็นพิเศษให้คนอื่นอิจฉา ไม่ใช่ดีกับคนนี้เป็นพิเศษให้คนอื่นเขามองตาเขียวได้ไหม (ไม่ได้)
เราจะปลูกต้นหนึ่งให้สุกต้นเดียวคือต้นอะไร เราจะปลูกต้นๆ หนึ่งให้ผลิดอกออกผลเป็นต้นคุณธรรม ลูกเมตตา ลูกกรุณา ลูกอุเบกขา และลูกอะไรอีก (ลูกปัญญา)  เป็นลูกปัญญา ลูกเมตตาให้สุกให้หมดเลยดีไหม (ดี)  สุกแล้วให้ใครกิน ให้คนอื่นกินไป เราไม่ต้องกิน เพราะเราเป็นต้นไม้คุณธรรม เราเป็นต้น ส่วนลูกให้คนอื่นกินไป ต้นไม้จะกินลูกตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ใส่ชุดขาว ดำ ออกมาหน้าชั้น)
ขาวและดำดูแล้วต่างกันไหม (ต่าง)  ตัดกันไหม (ตัด)  ตัดกันอย่างไม่มีความเหมือนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาใส่ชุดขาวกับดำกลมกลืนกันไหม กลมกลืนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าความกลมกลืนตรงนี้ดูแล้วขาวกับดำยังแตกต่างกันไหม (ต่างกัน)  แตกต่างกันแต่สามารถกลมกลืนกันได้  ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าแต่ละคนมีนิสัยแตกต่างกันออกไป คนที่นั่งติดกับศิษย์ที่นี้ก็มีนิสัยไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต่างจิตใจต่างรูปการณ์” แต่ว่าสำคัญก็อยู่ที่จิตของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเข้าใจใจของตัวเอง ไม่ว่าใจของเราจะเป็นสีขาวหรือสีดำก็แล้วแต่ ย่อมสามารถกลมกลืนสีขาวหรือสีดำฝ่ายตรงข้ามได้ เราเป็นผู้บำเพ็ญ จิตใจของเราจะขาวเป็นที่หนึ่ง แต่ว่าเรากลมกลืนกับคนที่ไม่ดีได้ไหม (ได้)  จึงบอกว่าต่างจิตใจ ต่างรูปการณ์  เข้าใจจิตแห่งตนเอง มิลืมเข้าใจผู้คน จิตใจคนก็เหมืนกัน ใจทุกคนเหมือนกัน น้ำใจถ้าหยดลงไป ไม่ว่าคนดีคนชั่วต่างต้องการรับน้ำใจทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างต้องการน้ำใจแค่หยดเดียวเอง หยดลงไปประดุจเป็นเหมือนอะไร เหมือนกับน้ำ เหมือนกับเอาตัวเราลงไปแช่อยู่กับกองน้ำทีเดียว ขอเพียงหยดเดียว  อาจารย์ไม่ได้บอกว่าต้องให้มากมาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้บอกว่าต้องให้มากมาย ในความเป็นจริงแล้วหยดเดียวที่ลงไปนั้นสามารถจะทำให้รู้สึกว่าตัวเรานั้นถูกแช่อยู่ในธารน้ำ ท่ามกลางอารมณ์ที่โกรธของตัวเอง และเขาก็จะเบาบางอารมณ์ที่โกรธของตัวเองลงได้  ถ้าศิษย์เป็นแบบคนไม่ดี ด้วยความไม่ดี รู้เรื่องไม่ดีของเขาก็เลยยิ่งไม่อยากจะมองหน้าเขา เขาก็จะยิ่งโกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรจึงจะสามารถปลอบอารมณ์จิตใจของเขาได้ล่ะ ก็คือให้น้ำใจเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้น้ำใจด้วยรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร มีสติอยู่ตลอดเวลาจึงจะเป็นการดี
เบื่ออาจารย์หรือเปล่า (ไม่เบื่อ)  จริงใจหรือเปล่า (จริงใจ)  อยากจะไปอยู่กับอาจารย์ไหม (อยาก)  ต้องทำอะไร (ต้องบำเพ็ญ)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : ไม่ขอเป็นรอง)
เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ขยันก้าว ไม่ขยันสร้างกุศล ไม่ขยันบำเพ็ญธรรม แม้อาจารย์จะห่วงใย แต่อาจารย์นั้นไม่สามารถทำอะไรแทนศิษย์ได้ ไม่สามารถสร้างกุศลแทนศิษย์ได้ ไม่สามารถที่จะทำอะไรแทนได้เลย อาจารย์จึงได้แต่สอนและบอก เตือนและกล่าวว่าบ้าง ใครที่เคยถูกอาจารย์ว่าขอให้รู้ไว้ว่าอาจารย์นั้นห่วงใยเจ้าที่สุดถึงต้องว่า หากไม่ห่วงก็ไม่ว่า แต่ที่อาจารย์ว่าศิษย์นั้นน้อยมาก เพราะอะไรรู้ไหม เวลาที่พ่อแม่ว่าลูก ลูกจะไม่ฟัง ลูกอยากให้พ่อแม่ปลอบใจ แต่บางทีใจของผู้เป็นพ่อแม่ เมื่อเตือนจนถึงที่สุด ปลอบจนถึงที่สุดยังไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องว่า
เดิมทีศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีปัญญา ศิษย์ทุกคนมีพุทธจิต เป็นเสมือนแก้วสารพัดนึก นึกอยากให้ศิษย์ของเรานั้นคิดอะไร ศิษย์ของเรานั้นมีทั้งคำถามและคำตอบไว้เสร็จสรรพ แม้ในเรื่องที่ยากที่สุด และเรื่องที่ง่ายที่สุด ศิษย์นั้นเป็นแก้วสารพัดนึกก็เพราะอย่างนี้ แล้วเวลาเจ้าทำผิดไป อาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่ากำลังทำผิด แน่นอนถ้าเค้นเอาจริงๆ ศิษย์ต้องบอกว่ารู้อยู่แล้ว และคำตอบคำนี้ทำให้อาจารย์นั้นสงสารศิษย์เป็นที่สุด เพราะว่ารู้แล้วแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เหตุเพราะอาจจะติดกิเลส ติดความอยาก ติดความโลภ อาจารย์จึงอยากบอกว่าใจของคนเป็นอาจารย์ทำได้แค่เพียงบอกกล่าว สุดท้ายถ้าศิษย์ของอาจารย์นั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามชะตากรรมกำหนดก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มีแต่คนที่ยอมทวนกระแสเท่านั้นจึงจะอยู่เหนือกระแสอันรุนแรงเชี่ยวกรากอันนี้
อาจารย์ไม่เคยบอกว่าการบรรลุธรรมนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่อาจารย์บอกให้ศิษย์นั้นลองพยายามดูสักครั้งหนึ่ง จุดหมายครั้งนี้ตั้งแล้วไม่ยอมเปลี่ยน ดูสิว่าจุดหมายอันแน่วแน่นี้จะชนะตัวศิษย์ได้ไหม อาจารย์มักจะมีความเชื่อมั่นอยู่เสมอๆ ว่าได้ แต่ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเชื่อมั่นอย่างที่อาจารย์เชื่อไหม ในแดนโลกนี้ศิษย์บางคนก็มักจะพูดว่า ให้ลูกทำแล้วเราคอยสนับสนุน ให้ลูกสร้างกุศลแทนแล้วพ่อแม่อยู่เฉยๆ หรือว่าให้คนโน้นสร้างแทนหรือให้คนนี้สร้างแทน แล้วเรานั้นแค่เพียงเป็นฝ่ายสนับสนุนเท่านั้น ถามศิษย์จริงๆ ว่ากุศลนั้นตกถึงคนที่สนับสนุนไหม ลองใช้แก้วสารพัดนึกของตัวเองนึกสิว่าถึงหรือไม่ถึง คนที่ตักอาหารเข้าปาก คนไหนตักเข้าปากย่อมได้กิน คนไหนไม่ตักได้กินไหม (ไม่ได้)  เปรียบไปแล้วก็คือรอให้เขาเอาอาหารมาป้อน แล้วถ้าเกิดเขาลืมป้อน ถ้าเขาป้อนน้อยไป อิ่มหรือไม่ (ไม่อิ่ม)  ท้องของเราเราย่อมรู้สึก เติมเท่าไหร่จึงอิ่ม กินเท่าไหร่จึงอิ่ม เราย่อมรู้ อย่าบอกว่าให้คนอื่นนั้นสร้างกุศลแทน ศิษย์นั้นยังไม่ตาย ไม่ใช่วิญญาณ แม้มีแรงน้อย เดินตามน้อยย่อมมีกุศลมาก หากคิดว่าตัวเองแรงน้อยแล้วไม่รู้จักทำอะไรเลย ย่อมไม่มีกุศล ฉะนั้นอย่าบอกว่าให้คนอื่นทำแทน ให้ลูกบำเพ็ญแทน ให้หลานบำเพ็ญแทน ให้ใครทำแทนไม่ได้เลย อาจารย์นั้นห่วงใยศิษย์เป็นที่สุดยังก้าวแทนศิษย์ไม่ได้เลย ยังบังคับขาซ้ายของศิษย์ให้ก้าวไปไม่ได้ ยังบังคับขาขวาของศิษย์ให้ก้าวไม่ได้ แล้วศิษย์จะบังคับให้ใครทำแทนได้ไหม ต้องกินเอง ต้องทำเอง ต้องเดินเองจึงถึงเอง ไม่ทำไม่ถึง ไม่เดินไม่ถึง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  มีอยู่กรณีเดียวคือบรรพชนของศิษย์ที่ล่วงลับไปแล้ว พ่อแม่ของเราที่ล่วงลับไปแล้วไม่อยู่ในโลกนี้ สร้างกุศลไปแล้วอุทิศให้ หรือแม้แต่ไม่ได้อุทิศก็ตามแต่ก็ถึง ยังอาจถึง อยู่ที่ความจริงใจของเรา อยู่ที่ปณิธานของเราความตั้งใจมุ่งมั่นของเรา ในเมื่อตอนนี้ศิษย์ยังมีกายเนื้อจะรอให้คนอุทิศทำไม ต้องทำเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราอายุมากเรี่ยวแรงไม่ค่อยมี มีน้อยทำตามน้อย มีแรงน้อยก็เดินน้อยๆ ย่อมเป็นกุศลมาก อาจารย์บอกว่าแม้เรามีแรงน้อยแต่ถ้าเราทำจริงย่อมมีกุศลมากฟังให้ดีๆ นะ อาจารย์ไม่ได้บอกว่ามันน้อยตามแรงไป เพราะว่าอะไร คนที่มีแรงน้อยคนนั้นทำเต็มที่ กุศลนั้นย่อมมีเต็มที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟ้าดินนั้นมีตาเหมือนตาข่ายอันถี่ยิบ ไม่ว่าจะทำความไม่ดีในที่มืด ไม่ว่าจะทำความดีในที่แจ้งล้วนเห็นชัดทั้งนั้น
ใกล้เวลาที่อาจารย์นั้นจะต้องกลับแล้ว เหมือนกับที่ศิษย์เจอในสองวันแรก สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมาแล้วก็กลับไป อาจารย์นั้นก็ต้องกลับไปเหมือนกัน ฉะนั้นถึงแม้ว่าจิตใจของศิษย์นั้นยังมีความสงสัยในตัวอาจารย์ก็ดี โปรดรักษาเวลาอันน้อยนิดที่เราจะอยู่ร่วมกัน ให้ความศรัทธาจริงใจกับอาจารย์ แม้ศิษย์ของอาจารย์นั้น จะเป็นคนที่ศรัทธามากก็ดี ขอให้ศิษย์ของอาจารย์เข้าใจและนำไปปฏิบัติตาม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “พอใจในสิ่งที่ตนมี”)
ทำไมถึงเป็นคำนี้ คำๆ นี้ในพุทธศาสนานั้นมีอยู่แล้ว อาจารย์แค่ยืมคำเพื่อจะได้สั่งสอนศิษย์ ว่าศิษย์รู้ไหมตอนนี้คนทุกคนจนหมด ไม่มีใครเลยที่รวยกว่าใคร คนรวยที่มีอยู่ในสังคมจริงๆ นั้นก็มีอยู่น้อยนิด คนรวยก็กลับมาเป็นคนจนแล้ว ฉะนั้นจึงบอกว่าแม้เราจน แต่ใช่เราไม่มีอะไรเลยหรือเปล่า อย่างน้อยยังมีธรรมะประจำใจ อย่างน้อยยังมีความคิดเป็นของตัวเอง อย่างน้อยยังมีปัญญาเป็นของตนเอง มีน้อยก็ให้พอใจ เมื่อพอใจก็ย่อมเป็นสุขได้ คนพอใจนั้นเป็นคนที่ร่ำรวย โอวาทท่อนสุดท้ายบอกว่า "คนรู้พอเป็นสุขเสมอมา"  อยากมีความสุขในทะเลทุกข์ต้องเป็นคนรู้จักพอ
“คนรู้พอเป็นสุขเสมอมา ความพอดีทุกชีวาควรรู้จัก”
ศิษย์รู้จักไหมว่าความพอดีอยู่ตรงไหน ความพอดีที่ศิษย์นั้นไม่เคยรู้จักเขาเลย อาจารย์จึงบอกว่า “ความพอดีทุกชีวาควรรู้จัก แค่เพียงพอทุกชีวิตควรตระหนัก” แค่ความเพียงพอเท่านั้น มีแค่พอแก่ความต้องการของตัวเราเท่านั้น พอแล้ว
“บำเพ็ญอยากสุขรู้จักคำว่าพอ” ถ้าหากว่าบำเพ็ญอยากสุขให้รู้จักคำว่า "พอ" ที่อยู่ในคำแรกของโอวาทฉบับนี้ "พอใจในสิ่งที่ตนมี" เมื่อเราพอใจในสิ่งที่เรามี เราก็จะสุขตามอัตภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ถ้าเรามั่งมีแล้วได้ความมั่งมีที่แลกมาด้วยการทำบาป “ใจต้องหาบความทุกข์แม้ยามนิทรา” แม้นอนก็ยังเป็นทุกข์เลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้โลกวุ่นวาย สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ ใช่ประเทศไทยต้องรวยกว่านี้ไหม แต่อะไรที่จนอยู่ตอนนี้  ใจคนยากจน ไม่ใช่เงินทองยากจน ลองถ้าทุกคนรู้จักพอ ทุกคนก็มีสุขได้ตามอัตภาพของตัวเอง ตอนนี้ในเมื่อโลกวุ่นวาย จริงๆ แล้ววุ่นวายมานานแล้ว แต่ช่วงนี้วุ่นวายขึ้นมาก พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ พ่อแม่หย่าร้าง ลูกฆ่าแม่ แม่ฆ่าลูก มีอะไรอีก จริงๆ แล้วยังมีกรรมที่หนักๆ อยู่ ล้วนเกี่ยวกับการฆ่าทั้งนั้น ฆ่าตัวตายใช่หรือไม่ ล้วนเป็นกรรมที่หนักๆ ทั้งนั้น ฉะนั้นในยามนี้จึงต้องมีธรรมะเพื่อที่จะช่วยใจของทุกคน ธรรมะไม่ได้มีตลอด ศิษย์ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงว่าธรรมะเพี้ยนๆ อย่างนี้ จะทำให้หลงไปถึงไหน หากว่าศิษย์มีความคิดอย่างนี้ไม่เป็นไรหรอกนะ ธรรมะไม่ได้อยู่ตลอดไป
“มาก่อนย่อมไม่สู้มาเวลาเหมาะ” ตอนนี้เหมาะที่ไหน มีร่างกายเป็นมนุษย์ เกิดในประเทศที่มีธรรมะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เกิดในยุคสามใช่ไหม (ใช่)  เจอธรรมะแท้ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าเราเป็นคนโชคร้ายหรือ เรามักจะคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้าย แต่จริงๆ แล้วถามว่าโชคร้ายหรือเปล่า สี่อย่างนี้เป็นสี่อย่างที่พบยากที่สุด ไม่ว่าศิษย์จะหาในความฝัน โลกนรก โลกมนุษย์ โลกนิพพาน สี่อย่างนี้หาไม่เจอ แล้วศิษย์ของอาจารย์มีคุณสมบัติอย่างนี้ ศิษย์ว่าศิษย์เป็นคนโชคร้ายหรือ โดนฟ้าดินทอดทิ้งหรือ ไม่ใช่เลย ศิษย์เป็นคนโชคดีที่สุดเลย
“มาก่อนย่อมไม่สู้มาเวลาเหมาะ ต่างรับธรรมง่ายเพราะประจวบกำหนดหนา”
มนุษย์บอกว่าคำว่า "เต๋อเต้า" ในภาษาจีน แปลว่ารับธรรมะ เพราะฉะนั้นคำว่ารับธรรมะนี้ง่าย ทำไมถึงรับธรรมง่าย ก็เพราะได้เวลาพอดี เราเป็นคนที่โชคดี มาทันเวลายุคนี้พอดี
“ได้ง่ายอย่าพลอยทิ้งง่าย”  ศิษย์รู้สึกว่ารับธรรมะเป็นเรื่องง่ายไหม ง่ายจริงๆ เลย ทำไมธรรมะที่มีค่าอย่างนี้ถึงได้ง่ายๆ ล่ะ ศิษย์เคยคิดไหมว่าศิษย์เป็นคนที่มีบุญ บรรพชนของเราเป็นบรรพชนที่มีบุญ เคยคิดไหม ทำไมไม่คิดว่าเรานั้นมีบุญไม่ใช่ง่าย อาจารย์จึงอยากเตือนว่า ได้ง่ายไม่ใช่ว่าทิ้งง่าย อย่าทำเป็นไม่เห็นค่า เพื่อไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นคน
สี่อย่างนี้ต่างเป็นอุปสรรคที่ไม่อาจพบได้ ต่างเป็นสิ่งที่ยากพบที่สุด ในสี่อย่างนี้ในโลกมนุษย์ อย่างที่พบยากที่สุด คือกายมนุษย์ กายมนุษย์ที่ศิษย์นั้นแทบจะเดินชนกันทุกวันนั่นแหละ แต่ศิษย์ไม่รู้ว่าวิญญาณในนรกอีกเท่าไรที่ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์ เทวดาในสวรรค์อีกเท่าไรที่ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แล้วทำไมศิษย์ของอาจารย์ถึงใช้ร่างกายอันนี้อย่างไม่ถนอม ไม่รักษา มารู้จักคุณค่าในตัวเราเองดีไหม (ดี)  ทำประโยชน์ให้สมกับที่เรานั้นเป็นคนที่มีประโยชน์ดีไหม (ดี)  ทำให้สมกับที่พบธรรมะยากดีไหม (ดี)
เห็นศิษย์มากมายอย่างนี้อาจารย์ไม่อยากไปเลยนะ อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นมีความสามัคคีอยู่ในหัวใจ เจอใครๆ เราก็คิดจะสามัคคีกับเขา ไม่ว่าเขาจะว่าอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะว่าหัวใจเรามีความสามัคคีเหมือนเตรียมการไว้ก่อนฝนตกแล้ว คนอื่นว่า คนอื่นกล่าว เราจึงมีแรงที่จะต่อสู้ไปได้ ลมที่แรงที่สุดคือลมปาก วาจาที่แรงที่สุดออกมาจากปาก ถ้าเราปิดปากก็ไม่มีวาจา เป็นเรื่องไม่ง่าย สถานธรรมนั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเรือธรรมะเพราะว่าโลกนี้ถูกเรียกว่าทะเลทุกข์ แล้วทุกคนก็ยังมีทุกข์อยู่เต็มอก อาจารย์นั้นก็อยากให้ศิษย์นั้นพ้นทุกข์อยู่เต็มอกเช่นเดียวกัน ทุกๆ ครั้งอาจจะต้องร้องไห้เพราะว่าสงสารศิษย์ ศิษย์ก็ไม่รู้ ธรรมะเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ศิษย์นั้นยังไม่ค่อยรู้จัก เป็นเรื่องยากที่อยู่ดีๆ จะบังคับให้ใครสักคนหนึ่งทวนกระแสโลกีย์ที่เชี่ยวแรงนี้ อย่าคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธะและอาจารย์นั้นไม่เข้าใจ เข้าใจอย่างยิ่ง รู้อย่างยิ่ง แต่ถ้าช่วยเหลือ แล้วเมื่อไหร่ศิษย์ของอาจารย์จะได้รู้จักฝั่ง ถ้าจะฝ่าทะเลนี้ขึ้นมา ในทะเลออกเรือไปนานๆ จะต้องมีมรสุมใช่หรือไม่ ศิษย์จะหลีกมรสุมได้สักกี่ครั้ง วันนี้ไม่อยากเจอมรสุมแล้วอย่างนี้จะให้ใครช่วยล่ะ ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญนานๆ เบื่อหน่ายการบำเพ็ญ เบื่อหน่ายคนที่บำเพ็ญอยู่ด้วยกัน ทุกๆ คนเบื่อหน่ายเหมือนกันหมดเลย อาจารย์ก็เห็นแต่ภาพเบื่อหน่ายของศิษย์เช่นนี้ แล้วอาจารย์ยังต้องรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทำอะไรอยู่ที่ไหน คิดอย่างไร  อาจารย์นั้นจะไม่เศร้าใจอย่างไรไหว ทำไมอาจารย์สอนศิษย์บอกว่าเป็นคนโง่ดีกว่า เพราะอาจารย์นั้นต้องทำแกล้งโง่อยู่ตลอดเวลา อาจารย์จึงมีความสุขได้ ในเมื่อเบื่อในเมื่อหน่ายทำไมไม่เอาแรงเฮือกสุดท้ายของเราทุกคนออกมาสร้างบรรยากาศธรรมเดิมๆ ออกมาสร้างความกระจ่างใสเหมือนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อีกครั้งล่ะ ทำไมศิษย์เลือกวิธีการวิ่งหนี ทำไมเลือกวิธีการนี้
เป็นผู้ชายกิเลสที่อยู่ลวงล่อเรานั้นรุนแรงมากเป็นพิเศษ เราต้องเข้มแข็งแบบเหล็กกล้า เข้มแข็งแบบบุรุษ ไม่หลงทางไปง่ายๆ อย่าทิ้งอาจารย์ไปง่ายๆ เข้าใจไหม
มาบำเพ็ญกับอาจารย์นะ อาจารย์เคยเห็นคนที่แสวงหาธรรมที่สูงสุด แสวงหาไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่พบอะไรเลย เพราะจริงๆ แล้วธรรมะถ้าลองบำเพ็ญจริงก็อยู่ที่ตัวเรา ขอให้เราบำเพ็ญจริงไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็สามารถบรรลุนิพพานได้ทั้งนั้น
หวังว่าวันนี้คงไม่เป็นวันสุดท้ายที่อาจารย์นั้นจะเจอศิษย์  แม้ได้เจอกันบ่อยๆ ขอให้ได้ยิ่งเจอกันตลอดไป  อาจารย์น้ำตาไหลทุกวัน ไหลจนไม่มีให้ไหล ไหลจนตกใน  มีอย่างเดียวที่จะปลอบใจอาจารย์ได้ คือการบำเพ็ญของศิษย์ทั้งหลาย  อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง (พวกเราจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง)
คอยดูตัวเองให้ดีๆ ทุกคนเลยนะ  โลกเปลี่ยนเร็วเท่าไหร่ ใจเราต้องช้านิ่ง เพื่อจะได้ตามทัน สมกับที่เป็นศิษย์ของอาจารย์  สมกับที่อาจารย์ฝากความหวังไว้อย่าหลงอยู่โลกนี้นานนะ ลาก่อน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา