วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2542

2542-12-04 พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2542-12-04-เซิ่งเต๋อ #22.pdf



วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ  อ.ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

อภัยคนในสิ่งที่ยากอภัย อดทนในสิ่งยากทนย่อมส่งผล
หัดบำเพ็ญบรรลุเป็นคนเหนือคน สุกงอมผลคืนหรือเวียนอยู่ที่ตน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ปล่อยชีวิตไหลล่วงไม่ระวัง อนิจจังกว่าหันหลังก็พลันสาย
ในชาตินี้โชคดีได้มีกาย เลือกทางไปต้องเลือกตั้งแต่มีกายคน
อันมนุษย์ประเสริฐสุดที่ความดี จะคิดหนีเกิดเจ็บตายไม่มีผล
เกณฑ์ยุคสามโปรดมนุษย์สาธุชน ยังปะปนใจขาวดำเร่งขัดเกลา
เอาให้แน่เลือกทางใดไม่สับสน เหยียบเรือบนสองแคมต้องตกน้ำ
ในชีวิตหมั่นสร้างสิ่งเลิศล้ำ อย่าได้ทำสิ่งใดให้เสียใจภายหลัง
คนย้อนมองกับไม่นั้นต่างลิบลับ ย้อนมองกลับให้ผู้คนเป็นกระจก
อย่าได้หมั่นเดินทางลงนรก ขอใจพกธรรมะเป็นคุณากร
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมสงวนใจความสงสัย
ไม่วอกแวกลังเลอยู่หรือไป ปัญญาใหญ่แยกแยะจริงแลปลอม
 ตัดกิเลสให้สิ้นทำทุกวัน ขณะจิตแบ่งปันไม่เป็นสอง
ดำรงชีพอยู่ในตามครรลอง ไม่คอยมองผิดคนอื่นให้บาดตา
สถานธรรมที่ศักดิ์สิทธิ์พึงเคารพ พุทธระเบียบรักษาครบโดยถ้วนหน้า
สร้างกุศลให้บรรพชนอย่าชักช้า เร่งขี่ม้าลงแส้อย่ามัวดู
ขอจงใช้วิจารณญาณอันรอบคอบ ความงมงายจะไม่ลอบแอบอาศัย
สำเร็จได้หรือไม่อยู่ที่ใจ ตรวจสอบในชีวิตประจำวันของทุกคน
ในวันนี้พี่รับบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นตั้งใจใฝ่ศึกษา
นำกลับไปปฏิบัติไม่ร้างรา ดำเนินตามรอยอริยาไม่ขาดไป
หนึ่งใจเดียวทำสิ่งใดคิดหน้าหลัง มีคนชังมีคนรักอย่าสงสัย
ผลย่อมส่งมาตามเหตุปัจจัย ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่คลาดคลา
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้ น้องคนดีเมื่อศรัทธาต้องลงมือ
ระวังกายวาจาใจคนเขาถือ ไฟกระพือด้วยลมฉะนี้เอย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน เหอเซียนกู

ร่วมใจร่วมคุณธรรมนำชัยมา ใช้เวลาใช้ชีวิตอย่างครวญใคร่
ยิ่งนานวันยิ่งได้รู้ประจักษ์ใน ความตั้งใจความอดทนร้ายกลายดี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน เหอเซียนกู รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   แฝงกายกราบอัญชุลีองค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

โชคดีเกิดในประเทศอันร่มเย็น กระทำเป็นแบบอย่างตามรอยแห่งปราชญ์
ทำหน้าที่พลเมืองดีอย่าได้ขาด และไม่อาจทิ้งวัฒนธรรมน่าชมเชย
ใส่ธรรมในชีพแห่งตนคนบำเพ็ญ คำพูดเป็นหน้าตาของคนเอ่ย
หัดเพียรละใจจอมปลอมอดีตเคย ไม่ละเลยทำดีแม้มากความดี
ฝึกจิตกายในที่ไม่ยอมปลง คนซื่อตรงสู้หน้าให้คุณสมบัติชี้
อย่ามั่นใจนอกงามเลิศยินดี สนใจที่ตระหนักแทนใดเปี่ยมค่า
ลาภยศเงินทองเพียบพร้อมย่อมปรีดี ทว่ามีมั่นจริงตอบมาไม่หนา
ล้วนแล้วสิ่งไม่เที่ยงใต้ฟ้าดารา จิตต้องคงศรัทธาต่อความรู้พอ
แปรเรื่องใหญ่กลายเรื่องเล็กด้วยปัญญา ความเมตตาสรรหาจากจิตเป็นต่อ
เมื่อคิดดีทำดีไม่ติดเยินยอ อย่าคดงอในจิตควรคิดบำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด




ถึงพรุ่งนี้  แสงที่ร้อน  ก็เหมือนยังเป็นเช่นเดิม  บางคราเหมือนเติม  ต้องทำใจเข้มแข็ง  ยากเย็นแค่ไหน  สู้เอาด้วยแรง  คนตั้งใจมิแสร้ง  ฟ้าดินตามปกปัก
หรือพรุ่งนี้  แสงที่ร้อน  จะสิ้นลงจนหมดไป  อันความจริงใจ  ไม่ด้อยลงกว่านี้  ก็เพราะได้ทุกข์  จึงเดินได้ดี  กลับนำแรงใจที่มี  พามวลชนพ้นภัย
* ขอสุขที่เห็น  ผู้ตั้งในธรรม  หมั่นช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกัน  เปลี่ยนแปลงพรุ่งนี้
** ขอสุขที่เห็น  ผู้พร้อมบำเพ็ญจิต  ชีวิตให้ดี  อย่างไม่คิดเล็กน้อยในที  สักวันเวลา
ยามบำเพ็ญ  ใจมีธรรม  ถึงไม่คอยเปลี่ยนใจ  ปัญญานำชัย ให้มากองท่วมท้น  ขอให้ชาตินี้  พ้นทุกข์หลุดพ้น  สูญสิ้นทรมาน  มิเว้นผู้ใด (*, **, **)
เพลง : บทเรียนสอนใจ
ทำนองเพลง : ผิดด้วยหรือ

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน เหอเซียนกู

เพลงธรรมฟังดีๆ ก็กล่อมเกลาจิตใจของเราได้ใช่หรือไม่  และบทเพลงบางเพลงฟังแล้วรู้สึกจิตใจเป็นอย่างไร  อย่างเพลงเมื่อสักครู่ฟังแล้วรู้สึกปลุกจิตใจให้กระตือรือร้นและกระชุ่มกระชวย ไม่ปล่อยให้ชีวิตนั่งแบบน่าเบื่อหน่ายใช่หรือไม่  ฉะนั้นบางทีก่อนที่เราจะว่ากล่าวสิ่งใดหรือตัดสินใจสิ่งใด ขอให้ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ใช้สติปัญญาหยั่งดูว่า เพลงที่เราฟังนั้นมีคุณค่ามีความหมายอะไรบ้าง  แล้วเราก็จะไม่พลาดโอกาสเมื่อยามฟังเพลงใช่หรือเปล่า (ใช่)
คงเดากันไม่ออกว่าเราเป็นใคร  อย่ามองเพียงเปลือกนอก  มิเช่นนั้นจะไม่เห็นแก่นแท้ความเป็นจริง จริงหรือไม่ (จริง)  อยู่ในโลกนี้เราจะรู้ซึ้งถึงชีวิต เราจะเข้าใจสรรพสิ่งไม่ใช่การมองด้วยตา การสัมผัสด้วยหูหรือการแตะต้องด้วยมือ  แต่เราต้องใช้จิตใช้ใจเพ่งมองลงไปให้ถึงแก่นแท้ แล้วเราจะสามารถเข้าใจถึงชีวิต เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
ทุกคนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ต่างต้องการสิ่งใดกันบ้าง แต่ละคนคงมีคำตอบไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันหมดคงทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วจริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าอย่างนั้นท่านต้องการอะไรกันเมื่ออยู่บนโลกนี้ หรือไม่มีอะไรที่เราต้องการเลย (ต้องการความสุขความสบายใจ, ไม่ต้องการมีโรคภัยมาเบียดเบียน, ต้องการให้ทุกคนมีความสุข)  แต่เราต้องเข้าใจว่าโรคภัยนี้ก็เป็นหนึ่งในความเป็นจริงของชีวิต  นั่นก็คือมีเกิด มีแก่ ก็ต้องมีเจ็บเป็นของธรรมดา  แต่บางคนทำไมเจ็บก่อนวัยอันควร ก็เพราะว่าเราไม่รู้จักรักษาทะนุถนอมร่างกายตนเองจิตใจตนเอง มีคนตอบว่าต้องการให้ทุกคนมีความสุข เป็นจิตใจที่ดี เป็นจิตใจที่รู้จักเห็นอกเห็นใจ
ผู้อื่น (ต้องการความสำเร็จในชีวิต)  มีชีวิตก็ต้องมีความสำเร็จในการมีชีวิตอยู่ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนปรารถนาใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเป็นคนที่มีชีวิตแล้วพ่ายแพ้ตลอดไม่ได้ หลังมีชีวิตบางคนบอกว่าเกิดมาชีวิตต้องสู้ สู้ทุกลมหายใจ  แต่เมื่อเราสู้ เราต้องรู้จักคำว่า “ชนะ”  และ “พ่ายแพ้”  เมื่อเราคิดจะสำเร็จ เราต้องรู้จักคำว่า “ปราชัย”  ยิ่งเราเหมือนยิ่งอยากแสวงสิ่งใด บางครั้งเรากลับไม่ได้สิ่งนั้นตลอด บางทีเรากลับได้ด้านตรงข้ามกับสิ่งที่เราต้องการ  เหมือนเราหวังอยากมีชีวิตที่ดีงาม เป็นสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีภัย  แต่ทำไมยิ่งหวังกลับยิ่งพลาดในสิ่งที่หวัง  ยิ่งอยากกลับเหมือนยิ่งหนีจริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นเราเรียนรู้ชีวิต เราเกิดมาไม่ใช่แสวงหาอย่างเดียว แต่เราต้องเรียนรู้ด้วย  ท่ามกลางการแสวงหาเราได้เรียนรู้  ท่ามกลางการเรียนรู้เราได้เข้าใจ  ท่ามกลางความเข้าใจเราได้หยั่งถึง  แต่กว่าจะเรียนรู้ กว่าจะเข้าใจและกว่าจะหยั่งถึงเราต้องเจ็บช้ำ เราต้องหัวเราะยินดีปรีดา เป็นเรื่องที่ไม่แน่ไม่นอนเลยในชีวิตใช่หรือไม่  แต่เมื่อฟ้ากำหนดมาให้แล้ว คนมีเกิดต้องมีดับ มีสุขย่อมมีทุกข์ มีได้ย่อมมีเสีย  หากเราทำใจได้นี่คือการรู้จักชะตากรรม  แต่ถ้าเกิดว่าเราทำใจไม่ได้ เอาแต่หนีก็เท่ากับว่าเราฝืนชะตากรรม  คนที่ฝืนชะตากรรม คนที่ฝืนธรรมชาติย่อมไม่สามารถอยู่ได้ ย่อมไม่สามารถเป็นสุขได้ มีแต่คนเข้าใจชะตากรรม ปล่อยชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ จึงจะสามารถอยู่อย่างเป็นสุข  เรารู้แล้วก็เข้าใจอีกว่าชะตากรรมของคนนั้นมีทั้งดีและมีไม่ดี  มีทุกข์มีสุขเป็นเรื่องธรรมดา  แต่เมื่อเราเข้าใจและได้เรียนรู้แล้ว เราต้องทำจิตใจให้เข้าถึงด้วย เข้าถึงในความเป็นจริงที่ว่าทุกข์กับสุขเป็นเรื่องเดียวกัน  อย่ามองเป็นด้านตรงข้าม อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง เป็นไปไม่ได้จริงไหม (จริง)  อย่างที่เรารู้ยิ่งอยากได้ก็เหมือนยิ่งหนี  ยิ่งแสวงหายิ่งเหมือนพลัดพราก  ฉะนั้นเราต้องรู้จักทำใจให้ได้  สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ทุกข์สุข ได้เสีย  แต่สิ่งที่สำคัญคือชีวิตต่างหาก ถึงแม้แต่ก่อนเราจะเคยไม่มี  พอเราได้มีเงิน ได้มีชื่อเสียง เงินชื่อเสียงปกป้องชีวิตได้ตลอดไหม  เมื่อยามไม่มีเงิน ไม่มีชื่อเสียงเขาทำร้ายชีวิตเราได้ไหม  จริงๆ แล้วทำร้ายไม่ได้  แต่ตัวเราเองทำร้ายตัวเราเอง เพราะสรรพสิ่งนั้นล้วนไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงหากเราเข้าถึง ไม่ใช่เข้าใจอย่างเดียว เราก็จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง แต่ใจเราสามารถทำให้เที่ยงได้ท่ามกลางความไม่เที่ยง  ดูง่ายๆ คนเราเกิดเป็นคนช่างโชคดี แต่ถ้าเรามอง
สรรพสัตว์ สรรพสัตว์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้ เมื่อต้องอยู่ในอาจมก็ต้องอาจม เปลี่ยนจากอาจมเป็นแผ่นน้ำผืนฟ้าก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเราถ้าตกอยู่ในทุกข์ เราดิ้นหรือฝ่าออกจากทุกข์ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นเราต้องช่วงใช้ความโชคดีตรงนี้มาใช้ให้ถูกต้องและถูกทาง แล้วเราจะใช้อย่างไร ก็โดยใช้ความสงบรอดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็รู้จักนำสติปัญญามาไตร่ตรองพินิจ ใช้คุณธรรมมาช่วยตัดสินและกล่อมเกลาความประพฤติตน  เมื่อทุกขณะจิตใช้ความสงบดำเนินสู่สติและปัญญา  เดินไปในแนวทางแห่งสัจธรรมและคุณธรรม คนๆ นั้นย่อมมีชีวิตที่เป็นสุขได้ไม่ล้มฟาดไปหรือไม่ต้องทุกข์กับเรื่องราวผันแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น  แต่จะมีใครที่เข้าใจและเข้าถึงธรรมได้เช่นนี้  บางครั้งเรากลับยอมโง่เขลาในสิ่งที่ไม่น่าโง่เขลา  เหมือนอย่างที่เราทราบกันว่า บ่อจำกัดกบ บางทีความรู้ก็จำกัดสติปัญญาของเราเหมือนกัน เราคิดว่าเรารู้แล้วแต่บางครั้งในความรู้นั้นอาจจะทำให้เราโง่เขลาเบาปัญญาได้  เหมือนที่เรารู้ว่าความรู้ทำให้คนฉลาด ทำให้คนยิ่งใหญ่ แต่อย่าลืมว่าความรู้ก็ทำให้คนเราโง่เขลาและเล็กกระจ้อยร่อยได้เหมือนกัน  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงต้องพร้อมที่จะเป็นผู้ไม่รู้ได้ตลอดเวลา  พร้อมที่จะเรียนรู้โลกกว้างใบนี้ด้วยใจที่สงบ ด้วยสติปัญญาที่รู้แจ้งและเข้าถึง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก ทุกท่านทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“โชคดีเกิดในประเทศอันร่มเย็น กระทำเป็นแบบอย่างตามรอยปราชญ์
ทำหน้าที่พลเมืองดีอย่าได้ขาด และไม่อาจทิ้งวัฒนธรรมน่าชมเชย”
เราได้เกิดเป็นคนที่สมบูรณ์แล้ว เราต้องรู้จักรักษาโอกาสของการมีกายคนนี้ นอกจากเราโชคดีที่มีกายคนแล้ว เรายังโชคดีที่ได้เกิดในประเทศอันร่มเย็น มีกษัตริย์ที่ดีงาม  ฉะนั้นเราต้องรู้จักฉวยโอกาสและเอาโอกาสตรงนี้ มารู้จักขัดเกลาตนบำเพ็ญตน และหันหน้าเข้าสู่ทางที่ดีงามบ้าง  ในประเทศที่ยากไร้และทุรกันดาร การที่จะให้คนหันมาพูดเรื่องศีลธรรมย่อมเป็นการยาก  แต่ตอนนี้เราอยู่ในประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไทยมีประเพณีว่าอย่างไร เป็นผู้หญิงต้องเรียบร้อยสุภาพ นุ่มนวลและอ่อนหวาน  เป็นชายต้องเข้มแข็ง กล้าหาญ อดทนและบากบั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการปูแนวทางในการดำเนินชีวิต  เกิดเป็นคนแล้วเราต้องรู้ด้วยว่าสิ่งใดที่ใช้ได้ สิ่งใดที่ใช้ไม่ได้  เรามีชีวิตไม่ใช่นึกจะหยิบจะใช้ก็ใช้ได้ แต่บางครั้งก่อนจะหยิบจะใช้จะนำอะไรออกมาใช้ เราต้องรู้ก่อนด้วยว่าใช้ได้หรือไม่  แล้วท่านคิดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ได้หรือไม่ได้ ถ้าเราคิดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ได้และรู้จักสร้างเสริม
คุณธรรมในชีวิตตน เราย่อมสามารถนำความสงบสุขและร่มเย็นให้กับชีวิตได้  แต่ถ้าหากท่านคิดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ เมื่อคิดว่าใช้ไม่ได้ เราย่อมทอดทิ้ง เราย่อมไม่เอาใจใส่  เมื่อทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ เราก็จะพยายามเป็นคนที่เอาแต่ใจตน เห็นแก่ตน ไร้ซึ่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเป็นคนที่เอาแต่ใจตน เห็นแก่ตน อีกไร้ซึ่งธรรมแล้ว เขาก็จะเป็นคนที่แม้แต่พ่อแม่ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูได้  ถ้าพ่อแม่ตนเองยังเลี้ยงไม่ได้ ไม่สามารถรักได้ นับถือได้  แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการมีชีวิตอยู่ภายนอกให้คนอื่นกราบไหว้ได้ แต่ในบ้านไม่มีใครรักใคร่ ไม่มีใครเคารพ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ได้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เราจึงไม่ควรทอดทิ้ง ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลย ทุกวันจึงต้องหมั่นถามตัวเอง ต้องหมั่นสำรวจตัวเองว่าตื่นขึ้นมาในใจเรายังมีธรรมอยู่ไหม ก่อนจะเดินไปเราดำเนินชีวิตอย่างมีธรรมหรือเปล่า ก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งใดเป็นการถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่ ทุกขณะจิตทุกขณะชีวิตมีธรรมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกคนๆ นั้นก็ยากที่จะไม่มีธรรม ยากที่จะวุ่นวายเดือดร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงเรากลับเป็นอย่างไร วุ่นวายและเดือดร้อนอยู่ทุกวันไม่เดือดร้อนจากตนเอง ก็เดือดร้อนจากคนข้างๆ ไม่เดือดร้อนจากคนข้างๆ ก็จากผู้อื่นเอามาให้แล้วเราจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี หลายคนมักพูดว่าต้องเรียกร้องให้ทุกคนมีจิตใจเมตตาและอารี แต่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับหันมามองที่ตนก่อนที่จะเรียกร้องเขา เราต้องเรียกร้องตนก่อนจริงหรือไม่ (จริง)  ก่อนที่จะให้เขาทำดีเราต้องทำดีก่อนเพราะตอนนี้ชีวิตของทุกคนมีภาระหน้าที่ หากนับรวมๆ กันอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือเป็นแบบอย่างนำคนอื่น อีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องคอยตามคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบอย่างที่ดีได้หรือยัง เราอ่อนน้อมคนอื่นได้หรือยัง หากตามคนอื่นไม่ได้เราจะนำคนอื่นไม่เป็น คนที่นำคนอื่นเป็นเพราะเคยตามคนอื่นมาก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่สอนคนอื่นได้เพราะเคยสอนตัวเองมาก่อนฉะนั้นก่อนที่เราจะเรียกร้องให้สังคมดี ให้โลกสันติสุข ให้คนเป็นคนดี เราจะต้องเรียกร้องที่ตนเองก่อน การเรียกร้องตนเองเราต้องเรียกร้องที่ไหน เรียกร้องที่กายหรือเรียกร้องที่ใจ (ที่ใจ)  ทั้งกายและใจ ดีหรือไม่ (ดี)
บางคนบอกว่าเรามีชีวิตเราเป็นคนดีแล้ว เราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เราไม่ได้ไปแก่งแย่งใครแต่ถ้าเกิดว่าคนดีแล้วกลับไม่คิดช่วยใคร แล้วคนที่เดือดร้อนใครจะช่วย จริงหรือไม่ (จริง)  ในโลกย่อมมีคนประเภทหนึ่งคือ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ กับอีกประเภทหนึ่งคือ ช่วยเหลือตนเองได้  ถ้าเกิดว่าคนช่วยเหลือตัวเองได้ไม่คิดช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โลกจะเป็นอย่างไร ก็ย่อมเป็นเหมือนแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดคนที่ดีแล้วไม่คิดช่วยคนที่ไม่ดีโลกจะเป็นอย่างไร โลกก็เป็นเหมือนแบบนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่าโลกเป็นแบบนี้ เพราะตอนนี้หลายๆ คนดี ก็คือคนดี ร้ายก็คือคนร้าย  กับคนอีกประเภทหนึ่งคือ เป็นได้ทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะกล่าวว่าคนที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนที่ไม่รู้จักดีและไม่รู้จักร้าย  คือคนที่ไม่ยอมดียอมร้ายให้ชัดเจน  ทำไมเราถึงกล่าวเช่นนี้ เพราะคนดีหากรักษาความดี ความดีย่อมส่งผลเขา  คนชั่วหากยังทำชั่วอยู่ ความชั่วย่อมส่งผลเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตาเราย่อมมองเห็นได้ ตาเราย่อมประจักษ์ได้ว่าถ้าทำดีแล้วเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ทำดีแล้วเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกประเภทหนึ่งที่อยู่เหนือจากดีและร้ายนั่นก็คือ สามวันดีสี่วันร้าย คนประเภทนี้น่ากลัวกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นเช่นดีหรือเป็นเช่นร้าย หรือเป็นได้ทั้งร้ายและดี เรานั่นแหละคือคนที่น่ากลัวที่สุด ใจเรานั่นแหละคือใจที่น่ากลัวที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจที่ไม่ร้ายและไม่ดีนี่แหละเป็นใจที่ดูยาก ควบคุมยาก  ฉะนั้นจะช่วยคนต้องช่วยคนที่ไม่รู้จักร้ายให้ดีก่อน  ให้เขารู้จักแยกแยะ ดูง่ายๆ หากมีคนทอผ้าอยู่สองคน คนหนึ่งทอผ้าได้เนื้อละเอียดงดงาม แต่อีกคนหนึ่งทอผ้าออกมาแล้วเนื้อหยาบกร้าน สวมใส่แล้วไม่สบาย แต่เราเป็นผู้ที่ไม่รู้จักแบ่งแยกดีและร้าย เราจึงตัดสินว่าผ้าราคาเท่าๆ กัน เช่นนี้แล้วเราคือคนที่เป็นอย่างไร ทำร้ายคนดีและส่งเสริมคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกที่เราต้องจำไว้นั่นก็คือ ต้องรู้จักแบ่งแยกดีและร้าย หากเรารู้จักแบ่งแยกดีร้าย การจะส่งเสริมและการจะชะล้าง ย่อมเป็นการง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เช่นนั้นตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นผู้ที่ทำให้คนคิดอยากจะทำดีกลับท้อถอย ทำให้คนที่คิดอยากทำชั่วกลับฮึกเหิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเราเกิดเป็นคนแล้วเราจึงต้องรู้จักแยกแยะดีชั่วให้เป็น  เมื่อแยกแยะเป็นแล้วต้องเด็ดขาด ดีก็คือดี ร้ายก็คือร้าย  แต่เมื่อเรารู้จักร้ายแล้วเราต้องรู้จักอีกว่าร้ายแบบนี้เป็นร้ายอย่างไร เป็นร้ายที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เสือดุอย่างไรเรายังทำให้เชื่องได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนร้าย เราจะเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ไหม ก็ได้เหมือนกัน  หันมามองใจเราบางครั้งดีบางครั้งร้าย  ตอนร้ายเราควบคุมให้เชื่องให้ดีได้หรือเปล่า (ได้) แต่ตอนนั้นเราต้องรู้ว่าใจเราดีหรือร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วรู้จักดำเนินชีวิตเป็นแต่เราต้องรู้จักใช้ชีวิตให้ดีด้วย เป็นแล้วเป็นธรรมดาไม่ดี เป็นแล้วต้องเป็นให้ดี เป็นแล้วต้องสำเร็จ  สำเร็จอะไรสำเร็จเป็นคนหรือ ไม่เอา จะสำเร็จทั้งทีต้องสำเร็จอย่างพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำไม่มีที่จะไม่ไหล คนก็เหมือนกันไม่มีที่จะไม่คิดทำดี ร้ายอย่างไรก็ยังคิดดีบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ต้องรู้จักแยกดี แยกชั่วให้เป็น เมื่อแยกเป็นแล้วเราย่อมชี้นำคนดี ชี้นำคนชั่วได้
"ส่งธรรมในชีพแห่งตนคนบำเพ็ญ"  คำว่า “ส่งธรรมในชีพตน”  ก็คือ รู้จักส่งคุณธรรมใส่เข้าไปในชีวิต มีคุณธรรมอะไรบ้างที่ควรจะเอามาใส่ไว้ในชีวิตของเรา (เมตตา)  ถ้าเราเกิดเป็นคนไร้ซึ่งเมตตา ก็เป็นคนใจดำใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใจดำจะเรียกว่าคนได้ไหม  ก็ยังได้อยู่ แต่ใจดำอย่างนี้ไม่น่าเรียกว่าคน จริงหรือเปล่า นอกจากส่งคุณธรรมที่เรียกว่าเมตตาให้มีไว้ในชีวิตแล้ว เราควรจะส่งคุณธรรมอะไรอีก ให้ชีวิตเรามีและรักษาไว้ (กรุณา)  เมตตาแล้วต้องรู้จักกรุณาด้วย แต่บ่อยครั้งที่เรามักจะเมตตาตนเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) พอเราคิดถึงตนเองมาก การจะส่งเมตตาต่อผู้อื่นแล้วกลายเป็นจิตใจที่กรุณาเป็นไปได้ยาก เพราะหลายคนมักจะบอกว่า เอาตัวเองยังไม่รอดแล้วจะนำคนอื่นได้อย่างไร แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร นี่เป็นความหนักใจของการเป็นคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเอาตัวเองรอดก็ยังบอกไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงยังไม่อยากจะบำเพ็ญ พอเอาตัวเองไม่รอด ยังไม่พอกิน ก็ยังไม่อยากเป็นผู้บำเพ็ญ อย่างนี้มนุษย์ช่างอ้างใช่หรือไม่ เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาที่ใช้ไม่ถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งเรารู้ว่าตัวเรานั้นต้องมีธรรมะ ตัวเรานั้นต้องรู้จักเมตตา แต่ก่อนที่เราจะบอกว่าตัวเรานั้นมักจะเป็นอย่างไร เขาต้องเมตตาให้ฉันก่อนจึงจะยื่นเมตตาให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขานั้นต้องเห็นใจฉันก่อน ฉันจึงจะยื่นความเห็นใจให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เขานั้นไม่ดีกับฉันก่อน ฉันจึงไม่ดีกับเขา อย่างนี้เป็นการกระทำที่ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) เกิดเป็นคนทั้งทีเมตตาจะออกได้เพราะเรารู้จักเห็นคนที่ไม่เมตตา เราถึงยื่นเมตตา เห็นคนที่ไม่จริงใจ เราถึงจริงใจเป็น ฉะนั้นเมื่อไรที่เห็นคนไม่เมตตา เราต้องดีใจเพราะตอนนั้นเราจะได้ฝึกเมตตาจริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเห็นคนแล้งน้ำใจตอนนั้นเราต้องมีน้ำใจให้มากๆ เพราะตอนนั้นเราจะได้รู้จักคำว่า "มีน้ำใจ" และ "แล้งน้ำใจ" เป็นอย่างไร ฉะนั้นเวลาเราเห็นคนไร้น้ำใจเราต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้เข้าใจถึงคำว่าดี เห็นคนไม่เมตตาเราต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราประจักษ์ถึงคำว่า "เมตตา"  นี่เป็นการรู้จักใช้ปัญญาเหมือนกัน แต่ใช้ในด้านที่สร้างสรรค์ ในด้านที่นำพาชีวิตไปสู่ความสว่าง จริงหรือไม่ (จริง)  ตั้งแต่เรามีชีวิตจนกระทั่งเราไร้ชีวิต เราก็เห็นแต่นกที่บินจากความมืดไปสู่ต้นไม้อันร่มเย็น เราไม่เคยเห็นนกตัวไหนเลยที่บินจากความร่มเย็นไปแสวงหาความมืด เฉกเช่นเดียวกับชีวิตคน ใครๆ ก็อยากได้แสงสว่างแห่งชีวิต ใครๆ ก็อยากนำชีวิตไปสู่ความสว่าง ความแจ่มแจ้ง ความร่มเย็น ไม่มีใครนำพาชีวิตจากความสว่างไปสู่ความมืด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่นับจากตั้งแต่ที่เรามีชีวิตมา เรากลับนำความสว่างถอยลงไปสู่ความมืด จิตใจที่เคยดีๆ กลับกลายเป็นค่อยๆ หดหู่ ไม่อยากจะดี ไม่อยากจะรักษา ไม่อยากจะเมตตา ไม่อยากจะกรุณา อย่างนี้ท่านก็สู้นกไม่ได้หรือ ก็ไม่ใช่  คนทุกคนอยากมีชีวิตที่สว่างไสว อยากมีชีวิตที่ดีงาม ฉะนั้นเราอยากมีอย่างนี้ ทำไมเราไม่ถามตัวเองว่าขณะนี้เราดีงามหรือยัง ขณะนี้เราได้สว่าง เราได้แจ่มแจ้งในชีวิตหรือเปล่า ไม่ใช่มีชีวิตทุกขณะจิตเดินไปสู่ความมืด ทุกขณะลมหายใจกลับไปสู่ความหมองหม่น อย่างนี้ไม่ใช่ทางที่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งที เราต้องรู้จักระมัดระวังชีวิต รู้จักสำรวมชีวิต รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น จริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากตรงที่จิตใจคนต่างหาก หากเป็นที่มุ่งมั่นกระทำความดี มีชีวิตไม่เคยเบียดเบียนทำร้ายใคร ขอให้ทำดีอย่างไม่มีวันหน่าย ทำดีอย่างไม่มีวันหยุด บ่อยครั้งที่บางครั้งเรามีชีวิตเราทำดี แล้วเราเหนื่อยที่จะทำ เราล้าที่จะดี  สู้ให้ท่านคิดว่าทำดีทุกวันแต่ยังรู้สึกว่ายังไม่ดีย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจิตหนึ่งอยู่ที่ความคิดจะคิดไปด้านนี้หรือคิดไปด้านโน้น อยู่ที่ใจเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะคิดสิ่งใด เราจะทำสิ่งใด ก่อนจะออกมาเป็นการกระทำ เราต้องคิด ฉะนั้นการจะควบคุมตนเองจึงต้องควบคุมใจ หากใจเรารู้คิดตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งคุณธรรม การจะคิดย่อมเป็นการคิดชอบ เห็นชอบ และประพฤติชอบ  แต่ถ้าเกิดว่าใจเราลืมคุณธรรม ทอดทิ้งคุณธรรม เห็นแต่ผลประโยชน์ เห็นแต่ลาภ ยศ เงิน ทอง เมื่อตั้งอยู่บนลาภ ยศ เงิน ทอง ผลประโยชน์ ย่อมไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงจะคิดตรงไหม (ไม่ตรง)  การกระทำจะชอบก็ไม่ชอบใช่หรือไม่ ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีก่อนจะคิด ก่อนจะออกมาเป็นการกระทำ ถามดูว่ายืนอยู่บนแนวทางแห่งคุณธรรมหรือเปล่า ไปตามสัจธรรมความเป็นจริงหรือไม่ หากทุกขณะคิด ทุกขณะทำ มีธรรม มีสัจธรรม คนนั้นย่อมยากที่จะก้าวพลาด คนนั้นย่อมยากที่จะล้มลงได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่กลัวจะพูดว่าทำไม่ได้ หรือไม่ยอมทำ ให้ท่านแบกเก้าอี้สัก ๕๐๐ ตัวทำได้ไหม ย่อมทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ให้ท่านมีคุณธรรม ทำได้ไหม  คุณธรรมหนักไหม (ไม่หนัก)  มีรูปร่างหรือเปล่า (ไม่มี)  แบกแล้วหนักไหม (ไม่หนัก)  ก็ย่อมไม่หนัก แล้วทำไมถึงไม่ทำกัน ใช่ว่าไม่ทำแต่เป็นเพราะไม่ยอมทำ ใช่ว่าไม่ได้แต่เป็นเพราะไม่อยากได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เช่นนั้นที่พูดมาบอกว่า เป็นคนต้องเป็นคนดี ได้เพื่อนต้องได้เพื่อนซื่อสัตย์ มีลูกต้องมีลูกกตัญญู แล้วเราไปเรียกร้องคนอื่นทำไม ในเมื่อตัวเองยังไม่ยอมทำเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียกร้องเพื่อนไม่ได้ สั่งสอนบุตรไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ตอนนี้คิดอยากจะฝึกฝนคุณธรรมหรือยัง  คิดอยากจะมีธรรมบ้างหรือยัง (คิดแล้ว)  ถ้าคิดก็แปลว่าพร้อมแล้วใช่หรือไม่  ถ้าพร้อมแล้วก็ต้องลงมือทำ ตอนนี้อย่าได้แต่คิดอย่างเดียว เมื่อมีโอกาสต้องรีบทำ จะฝึกคนอื่นให้ได้ตัวเรานั้นต้องเริ่มฝึกที่ตนเองก่อน ฝึกจากตรงไหน ฝึกที่จิตนั่นแหละ ผิดพลาดไปตัวเราเป็นผู้เห็น ใช่หรือไม่ ตัวเราเป็นผู้สามารถแก้ไขได้ แต่เกิดเป็นคนทั้งทีแล้ว เราต้องรู้จักนำชีวิตนำจิตใจ การจะนำใจได้นั้น เราต้องวางตนเองให้ตรงและใจต้องตรงด้วยเหมือนกัน หากใจไม่ตรง ความคิดไม่เที่ยงธรรม การจะตัดสินใจ การจะดำเนินชีวิต ย่อมง่ายที่จะผิดพลาด แต่คนเรานั้นมักจะติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่งก็คือ อดไม่ได้ที่ยังอยาก อดไม่ได้ที่ยังต้องการ จะมีใครบ้างที่สามารถแสวงหาและประคองใจให้ดี ยิ่งแสวงหาใจเรายิ่งเป็นอย่างไร ใจเรายิ่งกร่อนลงในเรื่องร้าย เพราะเมื่อหาย่อมอยากมี เพราะเมื่อมีย่อมยิ่งอยากเพิ่ม เพราะเมื่อเพิ่มแล้วยิ่งไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเช่นไร ย่อมเป็นคนหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อหลง ใจจะดีได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกที่เราจะบำเพ็ญ นอกจากควบคุมตนเองแล้ว เราต้องรู้จักลดตัณหาและความอยาก ถ้าลดตัณหาและความอยากได้ ใจแม้จะพลาดไป ใจแม้จะไม่ดีไป แต่ก็คงน้อยมาก ไม่เหมือนกับคนที่แสวงหาตัณหาอย่างไม่มีสิ้นสุด ใจย่อมยากที่จะดีได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ในโลกนี้เรามีสิ่งที่มองเห็น และมองไม่เห็น ใช่หรือไม่ แต่ปราชญ์ย่อมต้องมีทั้งการเห็นและไม่เห็น นั่นคือไม่เห็นในตัวเขา แต่ต้องให้เห็นในตัวเรา เมื่อไรที่เราไม่เห็นในตัวเขาแล้วเห็นในตัวเรา เมื่อนั้นแหละเราจะสามารถเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างเช่นปราชญ์ได้ บำเพ็ญตนอย่างพุทธะได้ เข้าใจตรงนี้ไหม (เข้าใจ) เมื่อมีชีวิตสิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวกันที่สุดคืออะไร (ความตาย)  มีคนตอบว่าสิ่งที่เรากลัวที่สุดก็คือความตาย ใช่หรือเปล่า  แต่ท่านตายจากอะไร ตายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่  บางทีมนุษย์เรามักจะคิดว่าการตายจากร่างนี้ไปสู่อีกร่างหนึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่น่ากลัวก็ได้ ถ้าเกิดว่าร่างนี้ที่ท่านได้ เป็นร่างพุทธะ เป็นร่างแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การตายนี้ก็เป็นการตายที่ไม่น่ากลัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การที่เราจะตายจากร่างนี้ไปสู่อีกร่างหนึ่งขึ้นอยู่กับตอนนี้ หากเรามีชีวิตเรากลัวการตาย แปลว่าการมีชีวิตของเราเป็นการมีชีวิตที่เป็นอย่างไร (ไม่ดี)  แต่ทำไมพุทธะถึงไม่กลัวตาย ก็เพราะว่าการมีชีวิตของท่านเป็นการมีที่มีคุณค่า ฉะนั้นจะตายก็ยิ่งเป็นการอาลัย ยิ่งเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์ทุกข์ที่สุดก็เพราะมีกายคน วุ่นวายที่สุดก็เพราะมีตัวตน ฉะนั้นการหมดตัวตน บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดีและแถมได้พักผ่อนไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราบอกว่าการหลับแท้ที่จริงแล้วเหมือนไม่ได้หลับ หลับแล้วบางทียังเหนื่อยได้ หลับแล้วบางทียังทุกข์ได้เหมือนกัน ฉะนั้นการหลับและพักผ่อนที่แท้จริงก็คือ การหมดสิ้นอายุขัย ตราบใดที่เรายังมีชีวิต บางครั้งเราแทบจะไม่ได้พักเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขณะจิตไม่ว่าตื่นหรือหลับจึงต้องคิดตลอดเวลา แต่จะคิดไปทางไหน คิดดีหรือคิดไม่ดี นี่ต่างหากที่น่าจะจำเป็นมากกว่า
บางครั้งชีวิตมนุษย์ก็ไม่ใช่จะมีสุขไปได้ทุกวัน บางทีวันนี้มีทุกข์ พรุ่งนี้กลับยิ่งทุกข์หนัก วันนี้ว่าเสียแล้ว พรุ่งนี้กลับเสียยิ่งกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  .แต่คนที่เสียไปแล้ว ทุกข์ไปแล้ว  เราจะใช้ท่าทีอย่างไร ที่สามารถจะขจัดความทุกข์ การสูญสิ้นการสูญเสียในชีวิตได้ ก็มีแต่ใช้ท่าทีที่สงบ ใช่หรือไม่ การใช้ท่าทีที่สงบดูสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ดูสิ่งที่ผันแปรในชีวิต ย่อมทำให้เรารู้ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงสูญเสีย เหตุใดจึงทุกข์  เมื่อเรารู้สาเหตุและแก้ที่เหตุนั้น แล้วเราก็ลุกจากความทุกข์ ลุกจากการสูญเสีย  เราย่อมเอาชนะความทุกข์และเข้าใจการสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันทำไมวันนี้ฟ้าร้อนแล้วยังร้อนอีก .บางครั้งเป็นความเป็นจริง บางครั้งเป็นชะตากรรมที่เราแก้ไม่ได้ มีแต่การทำใจเท่านั้นเอง  ทำใจให้เข้าใจทุกข์ เมื่อเข้าใจแล้วฝ่าทุกข์ไป เมื่อฝ่าทุกข์ไปได้ เราย่อมเห็นแล้วว่า ความเป็นจริงแห่งชีวิต มีทุกข์เป็นของธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นั้นที่ต้องเลวร้ายไป ที่ต้องกลายเป็นคนไม่ดีไป ย่อมมีสาเหตุ ท่านคิดไหมว่า สาเหตุที่ทำให้คนเราต้องเลวร้าย สาเหตุที่ทำให้คนเราต้องกลายเป็นคนไม่ดีนั้น เกิดจากเหตุใดบ้าง  เกิดจากปัจจัยใดบ้าง  (โลภ โกรธ หลง ขาดสติยั้งคิด, เกิดจากกรรม)  เกิดจากกรรมก็มีส่วน แต่ถ้ากรรมกำหนดให้เราอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย เราต้องไม่เลวร้ายไปด้วยใช่หรือเปล่า มนุษย์เราสามารถอยู่เหนือชะตาลิขิตได้ ด้วยปัญญาและสติของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)
หากเราจะสรุปว่า มนุษย์สามารถที่จะคิดไม่ดี ประพฤติเลวร้ายก็เพราะสองสาเหตุ สาเหตุแรกนั่นก็คือ การแสวงหาตัณหาวัตถุรูปนาม  นี่คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เราสามารถประพฤติผิดได้  เพราะการแสวงหาอย่างไม่รู้พอ อีกสภาวะหนึ่งที่ทำให้มนุษย์อาจจะเลวร้ายได้ นั่นก็คือ สภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี ทำไมเราถึงบอกว่าสภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี ก็สามารถทำให้จิตใจเราพลอยไม่ดีได้ ท่านว่าเป็นไปได้ไหม (ได้) ทำไมถึงได้ อาจเหมือนดูง่ายๆ ในการที่เราเพาะปลูก แล้วออกดอก ออกผลได้อย่างเต็มที่ จิตใจเราย่อมสุขสบายใจ  แต่ถ้าการเพาะปลูก ออกมาล้มเหลวไม่เป็นท่า จิตใจเราทุกข์กังวลใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจทุกข์ใจกังวล การจะมีใจยิ้มแย้ม มีใจที่มีสุขได้ไหม ก็ไม่ได้  แต่ท่านอย่าลืมว่า เราจะหาความสุขได้ก็ต่อเมื่อตัวเรานั้นเป็นผู้สร้างสุขให้บังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนท่านจะพบฟ้าได้ก็ต่อเมื่อเราแหงนดูฟ้า เราจะพบความสุขได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างความสุขให้บังเกิด เป็นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากให้เขาสุข  เราอยากให้ตัวเรามีสุข เรานั่นแหละต้องเป็นผู้ดำเนินชีวิตให้มีความสุข แล้วคนที่อยู่รอบข้างก็จะสุขกับเรา จริงหรือไม่ ฉะนั้นเฉกเช่นเดียวกัน เราอยากให้ชีวิตมีสุข แม้สภาวะแวดล้อมไม่ดี แต่เราทำใจให้ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากจิตใจจะเปรียบเหมือนสิ่งๆ หนึ่ง หากวางให้เหนืออารมณ์ เหนือกิเลส เราย่อมเหนือได้ แต่วางให้อยู่ในกิเลสอารมณ์ เราย่อมตกในกิเลสอารมณ์ได้  ฉะนั้นขึ้นอยู่กับใจท่าน ท่านจะวางใจเหนือทุกข์เหนือสุข เหนือกิเลส เหนืออารมณ์ หรือวางใจให้อยู่ในทุกข์ในสุข ในกิเลสหรือในอารมณ์ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา หากตัวเรารู้จักวางเหนือนั่นแหละเรียกบำเพ็ญตน รู้จักใช้ชีวิตเป็น  แต่ถ้าหากเราวางให้อยู่ เราย่อมทุกข์ เราย่อมมีอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่ามกลางโลกที่เป็นเช่นนี้ อยู่ที่เราจะวางใจไว้ตรงไหน วางในที่ดีเราย่อมดี วางในที่ร้ายเราย่อมร้ายใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่เรารู้ หัดอยู่กับดอกไม้ หัดอยู่กับคนดี หัดอยู่กับพุทธะ ย่อมติดอะไรไปบ้างที่เป็นพุทธะ ย่อมติดอะไรไปบ้างที่เป็นสิ่งดี  แต่ถ้าทุกวันอยู่กับโลก อยู่กับการแสวงหา อยู่กับการดิ้นรน อยู่กับการแก่งแย่ง สักวันหนึ่งเราต้องเผลอแก่งแย่ง ดิ้นรน และแสวงหากับเขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งมีเวลาหมั่นมาใกล้ชิดห้องพระ อย่าคิดว่าอยู่ในโลกจะประคองใจได้ บางครั้งเราก็พลาดได้เหมือนกันจริงไหม ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสำนวนที่กล่าวว่า สี่เท้า (ยังรู้พลาด)  ตัวท่านก็ (ยังรู้พลั้ง)  เป็นปราชญ์แล้ว
ไม่ค่อยได้ร้องเพลงของเราเลย ใช่หรือเปล่า ไหนลองเอาบทเพลงของเรามาฝึกร้องบ้าง จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ ฟังเราพูดแล้วอาจจะเบื่อ หรืออาจจะไม่ค่อยเชื่อ คิดว่าเรามาหลอกหรือเปล่า  ตอนนี้เราไม่พูดเรื่องธรรมะ เราเอาธรรมะวางไว้ข้าง ๆ ก่อน คิดว่าเราหลอกไหม (ไม่หลอก)  ถ้าโลกเต็มไปด้วยคนดี เต็มไปด้วยคนที่รู้จักทำดีแล้ว พุทธะคงไม่เรียกให้คนบำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจท่านรู้จักประคับประคองตัวเอง ให้เป็นคนเที่ยงธรรมตลอด ให้เป็นคนดีตลอด ไม่สามวันดีสี่วันไข้ วันนี้พุทธะก็คงไม่ลงมาบอก ว่าจะทำอย่างไรให้ดีได้ตลอด
 ความสุขและความหลุดพ้นที่แท้จริงก็คือ นิพพาน  หากวันนี้ท่านมีเงินสิบบาทกับยี่สิบบาท ท่านเลือกมีเงินแบบไหน หลายคนตอบว่ายี่สิบใช่หรือไม่ (ใช่) หากมีเพชรกับมีทองท่านเลือกอะไร หากพุทธะกับปุถุชนท่านเลือกอย่างไหน หากเลือกสุขแบบปุถุชนกับแบบพุทธะท่านเลือกแบบไหน ท่านก็เลือกสุขแบบพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเลือกเรายังต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีค่าสูงสุดเฉกเช่นเดียวกับจิตใจ เราดำเนินชีวิตเราย่อมเลือกหนทางที่นำพาไปสู่ความสูงสุดและดีที่สุดใช่หรือไม่  แต่เมื่อเราเลือกแล้วอย่าคิดถอยหลังว่ายากเกินเอื้อม เมื่อคิดจะจับแล้วต้องจับให้มั่น หากจับแล้วปล่อยจะได้ไหม เหมือนกันหากเราคิดเริ่มต้นว่าเราอยากเป็นคนดี  การเดินไปสู่ความดีก็เหมือนกับการบำเพ็ญตน เมื่อเราบำเพ็ญตนได้เราเดินไปสู่ความดีได้ เราย่อมสามารถเดินไปสู่ความเป็นพุทธะได้ เมื่อจากดีเป็นพุทธะ จากพุทธะย่อมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  หันมองกลับมาพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เคยเป็นคน แล้วก็เคยเป็นคนที่ไม่ดีได้เหมือนกันใช่หรือไม่  แต่เพราะท่านเดินอย่างไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นอย่างไม่เหนื่อยหน่าย บำเพ็ญตนอย่างไม่ยอมแพ้ ชัยจึงมีได้ ชัยจึงเป็นของท่านได้หากท่านมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ แล้วไม่อ่อนแอพ่ายแพ้ใจตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ขอให้ชาตินี้พ้นทุกข์หลุดพ้น เมื่อบำเพ็ญแล้วขอให้ชาตินี้ของทุกคนเป็นชาติที่หมดแล้วซึ่งทุกข์ หมดแล้วซึ่งกิเลส สามารถกลับคืนเบื้องบน ทุกคนกลับคืนได้ ทุกคนเป็นพุทธะได้  ตราบใดที่เรายังมีจิตใจแห่งเมตตา ตราบใดที่เรายังมีจิตใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตราบใดที่ยังมีจิตใจรู้จักสงสารคนอื่น พุทธะก็ล้วนสงสารคนเหมือนกัน จึงได้เป็นพุทธะ พุทธะล้วนมีเมตตาเหมือนกันจึงได้เป็นพุทธะ ตัวท่านอยากเป็นพุทธะก็ขอให้ฝึกฝนและดำเนินรอยตามท่านก็ย่อมเป็นได้ ขอเพียงอย่าดูเบาตนเอง อย่าพ่ายแพ้ใจตนเอง กิเลสเกิดจากใจ ตัวเราเป็นคนสร้าง ตัวเราเป็นคนลบได้ไหม ขอเพียงมุ่งมั่นไม่ย่อท้อสักวันหนึ่งพุทธะย่อมเป็นของเรา  หากเราจะบอกว่าผิดด้วยหรือที่ชีวิตนี้เราคิดจะบำเพ็ญ ที่ชีวิตนี้เราอยากจะเป็นพุทธะ ไม่ใช่เรื่องผิดเลยใช่หรือไม่  จะผิดก็ตรงที่เราไม่อยากเป็น ไม่อยากบำเพ็ญ ใช่หรือเปล่า
วันนี้เราคงไม่สามารถที่จะทำให้ท่านทั้งหมดได้เข้าใจหลักธรรมอันแท้จริงได้ เราเพียงพูดถึงกระพี้ ไม่สามารถทำให้ท่านเข้าถึงแก่นแท้ได้ คนที่จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ได้ก็คือ คนที่รู้จักนำกระพี้นี้ไปเจาะทะลุให้ถึงแก่น เราจะเข้าใจชีวิตก็ต่อเมื่อเราสามารถนำชีวิตที่แท้จริงนี้มองให้เห็นถึงความเป็นจริง มีโอกาสขอให้หมั่นมาศึกษาบำเพ็ญ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายหรือเหลวไหล หากคนๆ หนึ่งคิดจะบำเพ็ญตน คิดจะเป็นคนดี เขาไม่ได้ช่วยแค่ครอบครัว แต่เขายังช่วยทั้งสังคมด้วย  อย่างที่เราบอกไว้ตั้งแต่ต้น หากคนๆ หนึ่งมีธรรม เขาจะไม่ได้ช่วยแค่ตนเอง แต่เขายังสามารถช่วยทั้งสังคมได้ แต่ถ้าคนๆ หนึ่งไม่มีธรรม เขาไม่ใช่เดือดร้อนแค่คนในบ้าน แต่เขายังสามารถทำความเดือดร้อนให้คนทุกๆ คนได้ ฉะนั้นธรรมจึงเป็นเรื่องจำเป็น เป็นเรื่องของชีวิต และเป็นเรื่องของสังคมด้วยเหมือนกัน หากเราดำเนินชีวิตได้อย่างดีงาม มีแบบ มีแผน เราย่อมสามารถนำพาเขาไปได้และเราย่อมสามารถสอนสั่งเขาได้ด้วยแบบอย่างที่ดีงาม โดยเอาตัวเองเป็นแนวทางให้เขาเดิน ทำได้หรือไม่ (ได้)  เป็นธรรมดาของการเกิดมาชีวิตลองดูดอกบัวดอกนี้ ค่าของชีวิตก็คือเบ่งบานให้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเกิดมาเป็นคนแม้จะเจอกิเลส แม้เจอความทุกข์ยาก ก็ไม่ใช่จะเป็นคนที่ไม่ดีเลย ดอกไม้แม้จะโดนแมลงไต่ตอม แม้จะมีแมลงมารบกวนก็ยังคงเบ่งบานไม่หยุดนิ่ง ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน แม้จะมีทุกข์มาทำให้ลำบากใจ ไม่สบายใจ แต่ถ้าเราเข้าใจได้ ฝ่าทุกข์ได้ ทุกข์นั้นจะเป็นตัวทำให้เรารู้จักชีวิตที่แท้จริงและไม่หลงชีวิต หากทุกคนสุขหมดทุกอย่างทุกๆ วัน คงไม่มีใครคิดที่จะบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราต้องขอบคุณที่มีทุกข์เพราะทำให้เรารู้จักตื่น และทำให้เรารู้จักชีวิตแท้จริง
บางคนอายุยังน้อย ถ้าบอกให้ท่องบทสวดก็คงไม่อยากท่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบอกให้ร้องเป็นเพลงธรรมคงมีใจอยากร้องขึ้นมาบ้าง
วันนี้ก็คงสั้นๆ เพียงเท่านี้ อย่าคิดว่าเรามาหลอก พุทธะก็อยากเห็นคนจริงใจ  ฉะนั้นพุทธะก็คงไม่มาหลอกท่านจริงหรือไม่ (จริง)  พุทธะอยากได้คนจริงใจ ฉะนั้นพุทธะต้องแสดงความจริงใจก่อน จะหลอกไปเพื่ออะไร ใช่หรือเปล่า  มีแต่อยากจะโน้มนำพาและชี้ทางสว่าง ทางมีแล้วอยู่ที่ท่านจะเดินหรือไม่เดินเท่านั้นเอง ขอให้ตัดสินใจให้ดีๆ จะเป็นบัวขอให้เป็นบัวที่พ้นทั้งตม พ้นทั้งน้ำ ชูช่ออยู่กลางฟากฟ้า เป็นบัวที่อยู่ได้ เอาชนะได้ทุกสรรพสิ่ง เป็นพุทธะที่บำเพ็ญตน เป็นคนที่ดีจริง
วันนี้คงต้องอำลากันแล้ว มีโอกาสเราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ผู้บำเพ็ญธรรมขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี สิ่งที่ผิดพลาดก็ขอให้สำนึกและแก้ไข จะบำเพ็ญได้ เป็นพุทธะได้ นับจากวันนี้และลมหายใจนี้ ลาก่อน


วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

บนแผ่นดินที่ศิษย์เกิดและตาย กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอยู่
เจ็ดสิบสองแสดงความกตัญญู ให้ควรคู่คำดื่มน้ำนึกต้นธาร
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอริยคุณธรรม  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรง จุดประสงค์อนุตตรธรรมขยันอ่าน
เริ่มที่ใดจบที่ใดให้พิจารณ์ ปัญญาญาณจรัสแสงลับทุกวัน
ในวันนี้เป็นวันดีกว่าทุกวัน ขอศิษย์นั้นจดจำคำไปคิดอ่าน
บำเพ็ญธรรมใช้เวลานานเนิ่นนาน ลำบากนั้นเป็นแค่เพียงใช้หนี้กรรม
เกิดมาแล้วชาตินี้ใช่ชาติแรก ธรรมะจริงเห็นว่าแปลกใจมัวขำ
แล้วเมื่อไรพระอาทิตย์พ้นเมฆดำ ศิษย์ไม่ทำตามฟังมาก้าวหน้าอย่างไร
อย่าเห็นว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องยาก อาจารย์ฝากน้องรุ่นหลังจะได้ไหม
นำพากันให้ดีดีทางยาวไกล ทำเท่าใดได้เท่านั้นนะศิษย์เอย
หวังให้ศิษย์สามัคคีกันพูดทุกปี ศิษย์คนดีอย่าหูทวนลมทำเฉยเฉย
ภูเขาไฟรอประทุช้ำใจเอย อย่าละเลยคำอาจารย์อีกต่อไป
ต่างคนมีต่างนิสัยอย่าว่ากัน คอยแบ่งปันน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าใช่ไหม
วันข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล อย่าเบื่อหน่ายการบำเพ็ญนับว่าดี
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครไม่รู้จักพระอาจารย์จี้กงบ้าง รู้จักหรือเปล่า (รู้จัก)  เมื่อสักครู่นี้เพลงบอกว่าอย่างไร “อาจารย์เป็นผู้นำนาวาธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)  “นาวา” แปลว่าอะไร (เรือ)  แสดงว่าเรือนี้มีใครนำ (พระอาจารย์) แล้วอาจารย์มีใครตาม (ศิษย์)  จริงหรือเปล่า (จริง)  เป็นลูกศิษย์จริงๆ ก็ต้องตามอาจารย์จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นลูกศิษย์ไม่จริงก็ไม่ยอมตามอาจารย์  บางวันตามบางวันไม่อยากตามเป็นลูกศิษย์อาจารย์กันจริงหรือเปล่า เกิดวันนี้อยากตามก็มาเดินตาม วันนี้ไม่อยากตามแล้วก็ไม่ตาม อย่างนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันจริงๆ หรือเปล่า (ไม่จริง)  อาจารย์เป็นผู้นำนาวานี้ นาวานี้ต้องอาศัยศิษย์ทุกคนเป็นผู้ออกแรงใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์นำศิษย์เปรียบเสมือนเข็มทิศ แต่คนที่ต้องพายคือใคร (ศิษย์)  เราอยากให้เรือแล่นไปข้างหน้าต้องให้ใครพายให้เรา (ตัวเอง)  บางคนบอกว่าไปจ้างคนอื่นมาพายให้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราจ้างเขาเราให้เงินเขา แต่ถ้าเกิดวันไหนเขาไม่ต้องการเงินเรา เขาพายพาเรามาถึงกลางทะเลแล้วเกิดเขาจะเลิกพาย เขาจะไปลงเรือลำอื่น แล้วเราจะอยู่อย่างไร ในเมื่อเราพายเรือไม่เป็นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นการรักษาธรรม การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องลงแรงด้วยตนเอง อาศัยผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)
บางคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมมาตั้งนานแล้ว แต่อาจารย์ถามว่าบำเพ็ญธรรมมานาน จิตใจของเรานั้นเหมือนผู้บำเพ็ญหรือเปล่า เราต้องมองย้อนเข้าไปข้างในให้เห็นว่าจิตใจของเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงหรือเปล่า ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่ดีพอต่อให้คนอื่นเขายกยอเราว่าดี ถามว่าเรารู้ไหมว่าตัวเองดีหรือไม่ดี (รู้)  เพราะฉะนั้นให้คนอื่นยอหรือว่าตัวเองจะมาตรวจสอบตนเองดี (ตรวจสอบตนเองดี)
เรือลำนี้ของอาจารย์นั้นมีศิษย์เป็นผู้ตาม ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นช่วยกันพาย คนกับคนอยู่ด้วยกันแล้วเป็นอย่างไร (ยุ่ง , ไม่ยุ่ง)  มองเป็นสองอย่างใช่หรือไม่  บางคนบอกว่าคนอยู่กับคนแล้วยุ่งจริงๆ บางคนก็บอกว่าคนอยู่กับคนก็ไม่ยุ่งเท่าไร  แสดงว่าคนมีหลายประเภทใช่หรือไม่ คนอยู่กับคนด้วยกันนั้นมักเกิดปัญหาขึ้นสารพัดมากมาย แต่เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอย่างไม่ซับซ้อน  หลายครั้งอาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์หลายคนอยู่ด้วยกัน แต่ใจนั้นซับซ้อนเหลือเกิน  เปิดประตูเข้าไปแล้วยังต้องเข้าไปเปิดประตูอีกที เปิดแล้วเปิดอีก ไม่เคยหายสงสัย ไม่เคยมีความกระจ่างชัดในใจของตัวเอง  แม้ว่าเรานั้นจะอยู่กับคนอื่น แต่แท้จริงแล้วคนที่มีปัญหาคือใคร (ตัวเรา)  ปัญหาส่วนน้อยนั้นจึงเป็นของผู้อื่น ปัญหาส่วนใหญ่เป็นของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ก็มีเหตุผลที่จะเข้าข้างตัวเองว่าเราถูกแต่คนอื่นผิด แท้ที่จริงแล้วต้องเราผิดเขาถูกถึงจะดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อย่างนั้นเวลาเรามองเขา เราจะมองเขาด้วยสายตาขวางๆ เขาบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของอะไร (ดวงใจ)  เวลาเรามองใครตาของเราสื่อไหม (สื่อ)  ถามว่าปิดบังผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีปิดบังได้เหมือนกัน แต่ปิดตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ความลับมีในโลกหรือเปล่า (ไม่มี)  ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ที่มีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจใช่หรือไม่  ทั้งนี้จะเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง)  เป็นผลดีต่อผู้อื่นไหม  ผลดีส่วนใหญ่นั้นตกอยู่กับตัวเราเองใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นการแก้ไขตนเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หนึ่งวันเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไป เราไม่ทำผิดเลยได้ไหม (ได้)  ปราชญ์เมธีสมัยก่อนชอบพูดถึงบุคคลในอุดมคติ คือไม่ทำความผิดเลย  คนในสมัยนี้ก็ชอบพูดถึงคนที่เป็นคนปัจจุบันจริงๆ คือทำผิดตลอด  อาจารย์บอกว่าแถวนักเรียนที่นั่งนี้ตั้งอยู่สามแถว อาจารย์เลือกแถวกลางหมายความว่าอย่างไร (เดินทางสายกลาง)  เราไม่ต้องพูดถึงคนที่ทำไม่ผิดเลยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เราต้องไม่พูดถึงคนที่ทำผิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีการแก้ไขคือ เวลาที่เราทำผิดต้องรู้ตัวแล้วปรับปรุง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้จึงเป็นคนที่สมควรที่จะเป็นศิษย์อาจารย์ เป็นผู้ที่จะเป็นผู้บำเพ็ญได้ดีในอนาคต และเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่
ตั้งแต่อาจารย์มา อาจารย์ยังไม่พูดถึงคนอื่นเลย ใช่หรือไม่  อาจารย์มีแต่บอกให้ศิษย์นั้นมองตนเอง ทำตนเองให้ดี  กลับไปบ้านแล้วเราก็ไปทำอย่างที่อาจารย์พูด  มองแต่ตัวเราก็พอแต่ไม่ใช่เห็นแก่ตัว  มองตัวเราเพื่อแก้ไข มองผู้อื่นเพื่อชื่นชม  มองเห็นแต่ข้อดีของเขาไม่ใช่ไปมองเห็นแต่ข้อผิด คนส่วนใหญ่มองคนอื่นเพื่อจับผิด หาข้อผิดของเขา  แต่อาจารย์ไม่เอาแบบนั้น เรามองคนอื่นเพื่อเราเห็นข้อดีของเขาดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากว่าเรามองเห็นข้อผิดของเขาแล้ว ให้หลับตาหนึ่งข้าง หลับตาหนึ่งข้างแล้วเห็นเป็นอย่างไร (ไม่ชัด)  เพราะฉะนั้นความผิดของคนอื่นนั้นไม่ต้องเห็นชัดมาก แล้วสองตานั้นเอาไว้มองตนเอง มองกลับมาข้างใน  คนส่วนใหญ่ใช้ตาสองตามองไปข้างนอก ใช่หรือไม่  มองแล้วเกิดเป็นอย่างไร  คนนี้สวย คนนี้หล่อ สีแดงสวย สีเขียวสวย ที่นี่ดี คนนั้นรวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตาสองตานี้มองออกไปข้างนอกมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)
“เจ็ดสิบสองแสดงความกตัญญู ให้ควรคู่คำดื่มน้ำนึกต้นธาร”
เข้าใจกลอนที่อาจารย์ให้หรือไม่  บนแผ่นดินนี้ศิษย์ของอาจารย์ได้เกิดมา ศิษย์ก็จะอยู่จนตายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้เคยคิดไหมว่าที่ศิษย์นั้นมีความร่มเย็นอยู่ได้ดีกว่าประเทศอื่นเพราะอะไร (มีกษัตริย์ที่เมตตา)  เพราะมีพระมหากษัตริย์ที่ดีใช่หรือไม่ จึงเป็นโอกาสดีที่ศิษย์ของอาจารย์ผู้มีความสุขในชีวิต จะต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์ในประเทศอื่นๆ หลายประเทศ แม้ประเทศของเขามีสงคราม แม้ประเทศของเขาจะไม่สงบสุข แต่เขาก็ยังรู้จักบำเพ็ญ  เรียกว่าท่ามกลางทุกข์นั้นได้เกิดผู้บำเพ็ญขึ้น ได้เกิดผู้ที่จะเป็นพุทธะขึ้น แต่ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เหมือนบัวที่ปลูกกลางน้ำ บัวที่ปลูกกลางน้ำย่อมงอกดีกว่าบัวที่เกิดในไฟ ใช่หรือไม่  ทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสนี้ รู้จักที่จะบำเพ็ญธรรมรู้จักที่จะช่วยตนเอง  ถ้าวันนี้ช่วยตนเองไม่ได้ก็ช่วยผู้อื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ ชีวิตนี้เราเคยคิดไหมว่าจะช่วยผู้อื่น ใครที่เคยคิดว่าตัวเองนั้นจะช่วยผู้อื่น อาจารย์ก็ยินดีด้วย  ใครที่ยังไม่เคยคิดเราลองคิดดู  เจ็ดสิบสองพรรษานี้เราต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านด้วยอะไร  ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใจคนไม่ต่างกันมาก คิดว่าท่านอยากได้สิ่งใดมากที่สุด แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้ท่าน  ศิษย์อยากให้คนเคารพทั่วฟ้าหรืออยากให้คนนั้นช่วยๆ กันทำงาน  กษัตริย์ของศิษย์นั้นทำเพื่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านทำอยู่คนเดียว ไม่ค่อยมีคนช่วย กับการที่ศิษย์นั้นจะแสดงความกตัญญูโดยดำเนินรอยตาม ช่วยผู้อื่นเล็กๆ น้อยๆ  ถ้าเรามีสิบบาท เราจะช่วยผู้อื่นสักห้าบาทได้ไหม (ได้)  ท่านมีเมตตาช่วยผู้อื่นสักแปดบาทได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าอยากเป็นผู้บำเพ็ญช่วยผู้อื่นสักสิบบาทได้ไหม (ได้)  คนที่ตอบได้ก็ตั้งปณิธานไว้ในใจตนเอง การบำเพ็ญธรรมนั้นมีอยู่คำหนึ่งว่า “ดื่มน้ำนึกต้นธาร”  ศิษย์เคยดื่มน้ำไหม ดื่มน้ำวันละกี่แก้ว เวลาเราดื่มน้ำเรานึกถึงอะไร  อาจารย์จะบอกให้ เวลาดื่มน้ำจิตใจว่างเปล่าไม่คิดถึงอะไรเลย ดีไม่ดีคิดถึงเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจตามไปด้วย ดื่มไปก็มีแต่น้ำของความทุกข์ใจ ใช่หรือไม่  ถ้าเราคิดจะช่วยผู้อื่น เราดื่มไปก็เป็นน้ำเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเรากำลังคิดว่าจะไปทำสิ่งที่ดีๆ เราดื่มเข้าไปก็เป็นน้ำของความดี ใช่หรือเปล่า  แต่ว่าน้ำที่ศิษย์กำลังดื่มกินอยู่นั้น ให้คิดไปถึงต้นธารว่าน้ำนี้มาได้อย่างไร น้ำนี้อยู่ได้อย่างไร น้ำนี้มีในตัวเราหรือเปล่า ลองคิดดู
(พระอาจารย์ให้นักเรียนในชั้นนั่งลงพร้อมกัน โดยใครที่นั่งช้าโดนลงโทษด้วยการเดินเป็ดรอบห้อง)
คำขู่ได้ผลใช่หรือไม่ มนุษย์ไม่กลัวคำสั่งสอน ไม่กลัวการอบรม แต่กลัวการขู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  มิน่าศิษย์ของอาจารย์ถึงถูกขู่อยู่บ่อยๆ ไม่โดนคนโน้นขู่ก็โดนคนนี้ขู่ ใช่หรือไม่  เราชอบคำขู่หรือชอบคำชม (ชอบคำชม)  ถ้าเราไม่ทำความดีจะมีคำชมไหม (ไม่มี)  จึงบอกว่าคนที่ชอบคำชมก็ต้องทำตัวให้เขาชม ทำตัวอยู่ในความดีใช่หรือไม่ ต้องทำตัวดีถึงมีคนชม  อยู่ดีๆ จะให้คนที่อื่นมาชมเราโดยที่เราไม่มีความดี เขาเรียกว่าคำยอ  ฟังนานๆ ไปก็ (เบื่อ)  จริงหรือไม่ อาจารย์ไม่เชื่อ เห็นเขายอแล้วยออีกซ้ำๆ ซากๆ ก็อยากฟัง ใช่หรือไม่ ไม่เห็นมีใครเบื่อสักที  อยากจะเห็นคนเบื่อคำชมอยู่เหมือนกัน ถ้าคนเบื่อคำชมก็คงจะดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเบื่อหน่าย เห็นว่าคำชมนั้นหวานหู คำเยินยอนั้นทำให้เราหลงก็ยังชอบ
การที่เรานั้นอยากจะได้คำชมจะต้องทำตนดีให้ผู้อื่นได้ชื่นชม ต้องทำตนเป็นประโยชน์กับคนอื่น ถ้าหากทำประโยชน์แก่ตนเองคนอื่นเขาจะชมไหม (ไม่ชม)  คิดถึงเรื่องคำชมแล้วก็คิดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม อยากได้คำชมต้องทำตนดี เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น  อยากได้การบำเพ็ญธรรมต้องลงมือปฏิบัติ ใช่หรือไม่ ถ้าเราไม่ลงมือปฏิบัติจริงแล้วเราจะได้ผลไหม (ไม่ได้)  บางคนบอกว่าเป็นคนที่โกรธง่าย โกรธมากๆ เลยเวลาคนมายั่วโมโห ทำอย่างไรดีศึกษาธรรมะแล้วก็ยังไม่ยอมดับอารมณ์โมโหได้สักที ศึกษาธรรมะเข้าไปก็ไม่หายโมโหสักที  การบำเพ็ญธรรมอยากได้ชื่อว่าบำเพ็ญดีต้องทำอย่างไร อยากจะได้คำชมก็ต้องไปลงมือทำเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น อยากจะบำเพ็ญดีก็ต้องลงมือที่จะทำตามสิ่งที่ตนเองฟังไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาถึงตอนนี้แล้วได้คำตอบหรือยัง เวลาที่โมโหเรารู้ตัวหรือเปล่า (รู้)  แสดงว่าเรารู้ตัวว่าเรามีอารมณ์นี้อยู่ แต่เราไม่รู้ใจตัวเอง  รู้ตัวแต่ไม่รู้ใจ รู้จักแต่สิ่งภายนอกของตัวตน รู้จักแต่ว่าเราเกิดมาชื่ออะไร เป็นคนแบบไหน แต่ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เกิดแปลกปลอมเข้ามาในใจของเรานั้นจะกำราบอย่างไร วิธีง่ายๆ ก็คือเมื่อใดที่เกิดอารมณ์โมโห เรารู้ตัวอยู่แล้ว  แม้จะห้ามไม่ได้ในตอนนั้นเฉียบพลัน แต่ต้องทำให้ได้ภายในเวลาสามวินาที นับหนึ่ง สอง สาม
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้น)
ถามว่าใช้เวลารับผลไม้กี่นาที กี่วินาที (เจ็ดวินาที)  เจ็ดวินาที แสดงว่าจะดับอารมณ์โมโหก็ใช้เจ็ดวินาทีได้ใช่ไหม (มีแรงยุ ใช้เจ็ด ถ้าไม่มีแรงยุ ก็เกินสิบ)  ถ้าหากมีคนมายุเรา แล้วเราเชื่อ แสดงว่าเรา (หูเบา)  หูเบาทำอย่างไร หูเบานั้นแก้ได้  ไหนให้ผู้ร่วมศึกษาช่วยตอบหน่อย หูเบาทำอย่างไร (ให้นึกถึงเหตุผล)
ไหนลองฟังผู้บำเพ็ญตอบว่าทำอย่างไรเมื่อหูเบา (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : หูเบาต้องพิจารณาให้มาก ใช้ปัญญาให้มาก  เมื่ออาจารย์ท่านมีโอกาส ส่วนใหญ่พวกเราได้รับการเปิดจุดๆ หนึ่ง  จุดนั้นก็คือที่สถิตของปัญญา ฉะนั้นอาจารย์สอนให้เราใช้พิจารณาเป็นหลัก อันนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์สอนตลอด)
เอาอะไรให้เขาดี (กล้วย)  เอากี่ลูก (สองลูก)  มีความหมายอะไร (เป็นคู่)  เอาคู่ไหม (ไม่เอา)  เห็นไหมว่าเขาไม่เอา คนทั่วไปยังชอบคู่อยู่  เวลาให้ใครทำอะไรก็ต้องเป็นคู่ไปหมด อยากถามว่าวันนี้คู่ที่บ้านเราทะเลาะกับเขาหรือเปล่า (ทะเลาะ)  นี่ขนาดมองกันมาหลายปีก็ยังไม่พ้นทะเลาะกันเลยใช่หรือเปล่า จริงๆ แล้วคนที่ชอบให้อะไรคู่ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนมาก็คือเชื่อโชคลาง แต่ถามว่าโชคจริงๆ อยู่ที่ของที่เราให้ผู้อื่นเป็นคู่ หรือเราทำอะไรเป็นคู่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อยู่ที่ไหน (อยู่ที่การกระทำ, อยู่ที่การทำบุญทำกุศลด้วย)  ทำบุญแล้วบุญมาจะส่งไปให้แต่ส่งไปไม่ถึง อาจารย์ไม่ได้พูดเล่น หลายๆ ครั้งบางคนทำบุญแล้ว แต่บุญไปไม่ถึงเราจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นของเรา เพราะใจของเรามีแต่ความโหดร้าย มีแต่ความไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ทุกครั้งที่บุญมาก็เลยไปไม่ถึง เพราะว่าเรานั้นปิดกั้นตนเอง
คำว่า "โชคลาง" นั้นมีอยู่จริง ทำบุญทำให้เราได้โชคก็จริง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความประพฤติและการปฏิบัติของเราด้วย ได้แก่คำพูด คนปราณบุรีหลายคนเป็นคนปากแข็ง ปากแข็งไม่พอเสียงแข็ง เวลาคุยอะไรกันก็เลยไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่มีแต่คนที่นี่ ที่อื่น หลายๆ ที่ก็เป็นแต่ยังน้อยกว่าคนที่นี่เท่านั้นเอง คำพูดการกระทำ ถ้าแข็งแล้ว ปากก็แข็งแล้ว จะให้ทำนิ่มๆ ได้ไหม มันไม่คู่กันเลย แล้วทำอย่างไร ทำตัวแข็งๆ พอเจอใคร จะโน้มเข้าที จะน้อมเข้าที จะโค้งสักที ยากไหม (ยาก)  คนเสียงแข็งโค้งเก่งมีหรือเปล่า อาจารย์ยังไม่เจอ หายากจริงๆ ส่วนมากก็ถูกบังคับ พอเสียงแข็ง ปากแข็ง ตัวแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากอะไร (ใจแข็ง)  มีคนบอกว่าใจแข็ง ก็พอไปไหว แต่จริงๆ คือความคิดที่อยู่ในหัวสมองมันแข็ง แข็งทื่อไปหมดเลยไม่ค่อยจะมีน้ำความเมตตามาหล่อเลี้ยง ไม่ค่อยมีน้ำปัญญามาหล่อเลี้ยง มองอะไรก็มองแคบๆ ดูอะไรก็ดูลวกๆ เวลาทำอะไรก็ดูลวกๆ คิดอะไรก็ลวกๆ สมควรจะแก้ไขได้หรือยัง (สมควร)  ถ้าหากว่าไม่แก้ไข นานๆ ไป แม้ฝนจะตกทุกวัน แต่สถานธรรมแห้งเป็นทะเลทราย กลัวไหม (กลัว)
ใจที่แข็งนี้ หัวที่แข็งนี้ ความคิดที่แข็งนี้ก็คืออคติของเรานี่เอง พูดอ้อมๆ ก็คงไม่ดี พูดตรงๆ คืออคติของเราที่เราใช้มองคนอื่นความคิดพื้นฐานของเราที่บอกว่าคนอื่นไม่ดีกว่าเราเลย ความคิดเช่นนี้ ทำให้เรามองคนอื่นด้วยสายตาที่ขวางๆ ใครที่ไม่เป็นก็ฟังไว้เสริมสติปัญญา วันหลังแก่ตัวไปจะได้ไม่ทำ ดีหรือเปล่า (ดี)  พูดถึงในฝ่ายสถานธรรมก็คือการมองกันด้วยอคติ พอกลับเข้าไปในบ้าน อาจารย์พูดถึงสามี ภรรยา ถ้าเราทำตัวแข็ง ปากแข็งๆ ใจแข็งๆ ความคิดก็แข็งเหมือนเข้าช่องแข็งไว้ ไม่ยอมละลายสักที คนอื่นทำให้ละลายได้ไหม (ไม่ได้) เคยได้ยินคำว่า "น้ำหยดลงหิน" ทำไม (หินมันยังกร่อน)  คำนี้ใช้ได้ไหม ศิษย์เรียนรู้มาจากอะไร ใครตอบได้ เรียนรู้มาจากอะไร (จากประสบการณ์, จากธรรมชาติ) เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ เหมือนกับการที่บอกว่าน้ำหยดลงหิน หินกร่อนไป แสดงว่าที่เรานั้นแสดงตนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เป็นคนที่เอาอ่อนเข้าว่า ไม่แข็งเกินไป มีนิสัยที่อ่อนโยนเมตตา ใช้ได้ผลไหม ในคนที่แข็งเราก็สู้ได้ ในคนที่อ่อนเราก็กลมกลืนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเป็นน้ำที่หยดลงหิน สักวันหนึ่งน้ำอันนี้ไปหยดใส่ทะเลเหมือนกันหรือเปล่า น้ำหยดลงแม่น้ำเหมือนกันไหม น้ำหยดลงแก้วน้ำเหมือนกันไหม ไม่ต้องแก่งแย่ง ไม่ต้องแข่งขัน ไม่ต้องคิดว่าเรานั้นจะเหนือเขา เพราะว่าความคิดที่บอกว่าเราอยากจะเหนือคนอื่น ทำให้เราต่ำกว่าใคร รู้ไหม จึงบอกว่ามนุษย์นั้น เดิมแท้จิตใจสะอาด จิตเดิมแท้เป็นจิตอันสูงสุด บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ไม่มีกิเลสใดๆ แต่สิ่งใดๆ ที่เกิดบนโลกนี้ ทำให้ศิษย์ของอาจารย์กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ที่มีนิสัยต่างๆ กัน เหมือนอาจารย์บอกว่า อาจารย์นำนาวานี้ แต่ศิษย์เป็นคนตาม ตามมาอย่างไร ตามไปทะเลาะกันไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วคนข้างหลังจะเดินมาอย่างไร กล้าเดินไหม (ไม่กล้า)  กลัวลูกหลงไหม (กลัว)  จึงบอกว่าคนข้างหน้านั้นไปให้เป็นระเบียบ ระหว่างคนกับคนนั้น อยู่กันอย่างสันติ จิตใจนี้มีแต่ให้กับให้ ความคิดใดที่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เป็นอคติ การกระทำอะไรที่มันแปลกๆ ที่มันประหลาดๆ พูดอะไรที่คนอื่นรับฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ดี หลีกให้หมด แล้วทำอย่างไรดี ต้องถาม
กิเลสทั้งหลายเราไม่วุ่นวาย ไม่ข้องแวะด้วย ทำให้การบำเพ็ญธรรมนั้นดีขึ้นไหม (ดีขึ้น)  ทำให้เราดีขึ้นหรือเปล่า จากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชน คนผู้นั้นก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญอย่างสมบูรณ์แบบ  สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยเวลาเป็นสิบปีในการฝึกฝน จริงๆ แล้วแค่ศิษย์นั้นมีสติ แค่ปีหรือสองปีก็ทำให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้  แต่ที่สำคัญคือ เราไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง เหมือนกับที่บอกว่า รู้ตัวว่าโมโหแต่ไม่แก้ไขใช่หรือไม่  เราไม่คิดจะแก้อย่างจริงๆ จังๆ จึงเกิดเป็นแผลเป็นขึ้น โดนมีดบาดทีหนึ่งไม่เข็ด เอาไปทำบาดอีกทีหนึ่ง แล้วจะทำอย่างไร ถ้าข้างนี้ยังเจ็บอยู่ ก็เอาอีกข้างไปบาดอีกทีหนึ่ง แขนไม่มีแล้วก็เอาขาออกไปบาดจนขาไม่มีแล้วเอาตัวออกไปบาด ไม่มีวันเข็ดเลย ไม่ยอมเข็ดเลย แผลนี้เป็นแผลของเราเองหรือของคนอื่น (ของเราเอง)  ถ้าเราจับแขนของคนอื่นไปให้โดนมีดบาด เวลามีดมาเขาก็รีบชักแขนออกแล้วใช่หรือเปล่า ตัวเราที่เอาไปให้มีดบาดแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บเอง)  เราตั้งใจเอาเข้าไปอยู่แล้วจึงเจ็บมาก ช้ำมาก ชีวิตนี้ก็เลยเป็นคนขี้กลุ้ม ขี้กังวล มีปัญหาไม่รู้จักจบเพราะความที่ไม่รู้จักเข็ด  หลังจากวันนี้เราจะตั้งหน้าตั้งตาทำตนเป็นคนใหม่ดีหรือไม่ (ดี)  คนใหม่ที่มีความบริสุทธิ์เหมือนกับในวัยเยาว์ เหมือนตอนเป็นเด็กทารก  เด็กทารกเป็นอย่างไร  เวลาคนที่ตัวสกปรกขออุ้มถามว่าเขาให้อุ้มไหม  เขาก็ไม่รังเกียจ เพราะมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ใช้ตานี้ไปดู ไม่เหมือนศิษย์ตอนนี้ที่ใช้ตา อะไรจึงขวางตาขวางหูไปหมด ใช้อายตนะอันนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าให้เกิดโทษ อันว่าคนเราถ้าหากพิการ ไม่ว่าจะเป็นหู ตา จมูก ปากนั้นล้วนแต่เป็นคนที่อับโชคทั้งนั้น เป็นคนที่โชคร้ายแต่ไม่แน่นะ ความโชคร้ายของเขาอาจจะโชคดีกว่าศิษย์ใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าศิษย์ใช้ตาไปมองแล้วทำให้ตนเองเป็นคนขี้กลุ้ม เจ้าปัญหา ในขณะที่เขาไม่มีตามอง แต่เขากลุ้มใจว่าเขามองไม่เห็นเฉยๆ อันไหนดีกว่ากัน สองคนต่างมีปัญหาทั้งนั้น
ในวันนี้วันที่ ๕ ธันวาคม เป็นวันที่ดีที่สุดของคนไทย  คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่ว่ามีแต่ธรรมะอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สนใจ การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้บอกให้ศิษย์ทิ้งบ้าน ทิ้งครอบครัว ทิ้งสังคม ทิ้งญาติพี่น้อง ทิ้งทุกอย่างไปบำเพ็ญ แต่ตรงกันข้ามคือให้ศิษย์นั้นอยู่ในสังคม อยู่ในบ้าน อยู่ในครอบครัวอย่างผาสุก เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญในสมัยนี้จึงทำอย่างไร ประโยคแรกทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรง เรามีหน้าที่เป็นอะไรบ้าง มีหน้าที่เป็นลูกเป็นพ่อแม่มีไหม (มี)  เป็นลูกน้องคนอื่นมีไหม (มี)  เป็นเจ้านายคนอื่นมีไหม (มี)  หน้าที่นำคนอื่นมีไหม (มี)  เรามีหน้าที่เป็นญาติที่ดีไหม (มี)  เรามีหน้าที่ๆ จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นไหม (มี)  เรามีหน้าที่ๆ จะต้องทำการงานอย่างบริสุทธิ์รอบคอบไหม (มี)  นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ แต่หน้าที่ๆ สำคัญที่สุดคือ หน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญู หน้าที่นี้สำคัญมาก ใครทำไม่ได้ก็ไปไม่ถึงไหน แม้ว่าทุกคนนั้นมีหน้าที่การงานที่ต่างกัน แต่มีหน้าที่เป็นลูกทุกคนเพราะทุกคนเกิดมามีพ่อแม่ บิดานั้นมักรักบุตรที่มีความสามารถ แต่มารดาไม่เหมือนกัน เมื่อบิดารักบุตรที่มีความสามารถ มารดาก็รักบุตรที่ไม่มีความสามารถ ความแตกต่างอยู่ที่ตรงไหนล่ะ ความแตกต่างอยู่ที่ลูกนั้นต้องทำตนให้เป็นผู้ที่มีความสามารถและเมื่อเรานั้นอยากที่จะเลียนแบบพ่อแม่ พ่อเป็นผู้ที่ทนุถนอม แม่เป็นผู้ที่มีเมตตา วันหลังเมื่อเรากลายเป็นพ่อแม่ผู้อื่นจึงต้องมีสองอย่างนี้ไม่ให้ขาด
อย่าเห็นว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องยาก นั่งไป ฟังไป ก็คิดไป จะให้หลุดพ้นได้อย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า จึงบอกว่าต้องทำตนเป็นคนใหม่เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็หลุดพ้นไม่ได้จริงๆ  เริ่มวันไหนดี เริ่มพรุ่งนี้ทันไหม  (เริ่มวันนี้)  อย่าเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง หลายคนเสียใจกับการตัดสินใจของตนเองว่าไม่น่าเลย ตอนนั้นไม่น่าทำอย่างนั้น ตอนนี้ไม่น่าทำอย่างนี้ สายไปเสียแล้ว  มีแต่มองอนาคตต่อไปและแก้ไขอดีตที่ผ่านมาให้เป็นบทเรียนเท่านั้นจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรมนั้นมีอยู่ชัดเจนและที่แน่ๆ ก็คือควรที่จะทำตามนั้น อ่านแล้วอ่านให้จบแล้วดูว่าเราต้องเริ่มจากที่ใด แล้วไปจบที่ใด จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรมนั้นข้อแรกว่าอย่างไร
เคารพฟ้าดิน  เมื่อสักครู่นี้มีคนบอกว่าชีวิตนั้นเรียนรู้จากธรรมชาติ นั่นคือ ธรรมชาติเป็นครูสอนเรา  คำว่า “ธรรมะ” ก็คือธรรมชาติ ก็เป็นแบบนี้ การเริ่มต้นที่จะบำเพ็ญธรรม จึงขัดไม่ได้กับจุดประสงค์ของอนุตตรธรรม  ดูก่อนว่าเริ่มจากอะไร ไม่ได้บอกว่าเริ่มจากตัวเองเลย แต่ให้ศิษย์นั้นมองออกไปกว้างๆ มีอะไรบ้าง มีฟ้ามีดิน
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทำไมถึงให้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าคนในสมัยนี้ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม ใช่หรือไม่  เมื่อไม่เชื่อก็บำเพ็ญไปไม่ถึงไหนเหมือนกัน เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองทำไม่ดีแล้วต้องไปรับกรรม ความหมายของการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่าให้เรานั้นเชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรม มากกว่าที่จะให้เราไปกราบพระแล้วขอนั่นขอนี่ แต่บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำเร็จไปจากกายมนุษย์ ท่านทำดีแล้วได้ดีมีคนเคารพ ศิษย์จะต้องเจริญรอยตามอย่างท่าน  ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างพระพุทธองค์ที่ศิษย์รู้จักก็สำเร็จไปจากกายมนุษย์ ในคนจีนก็จะเรียกท่านว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน  ดูซิว่าท่านผ่านความยากลำบากมาเท่าไร แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่อยากจะสำเร็จธรรมตามไป  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่อยากที่จะลำบาก ทุกวันก็วอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ว่าอย่าให้ศิษย์ลำบากเลยขอให้สบายๆ ขอให้มีเงินทองมากๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านทิ้งเงินทองลาภยศไปแล้ว ท่านจะเอาลาภยศเงินทองที่ไหนมาให้ ศิษย์คิดหรือเปล่า แล้วท่านจะให้ศิษย์เพื่อให้ศิษย์หลงทำไม
รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่  เริ่มใกล้ตัวเราเข้ามาเรื่อยๆ ไหม ตั้งแต่ฟ้าดินมาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้มาถึงชาติ ในเมืองไทยนี้อาจารย์จะเพิ่มให้เองเป็นพิเศษเฉพาะกิจวันนี้ว่า คำว่า “ชาติ” ครอบคลุมไปถึงศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วย เนื่องจากจุดประสงค์ของอนุตตรธรรมนั้นไม่ได้เขียนที่เมืองไทย เป็นการแปลมา ในเมื่อกำหนดที่ประเทศอื่นจึงไม่มี แต่ให้ศิษย์เข้าใจกันเองว่าจำเป็นที่จะต้องมี เพราะตั้งแต่เด็กจนโตศิษย์ก็ท่องชาติศาสนา พระมหากษัตริย์จนขึ้นใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแม้จะอ่าน “ชาติ” คำเดียวแต่ก็ให้เข้าใจเป็นที่ครอบคลุมว่า ต้องรักชาติ ชาติมาเป็นหนึ่ง อย่าทำอะไรที่เป็นการทำลายชาติ อย่าทำอะไรที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นการทำลายชาติอยู่ ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ชาติก็พัง
เชิดชูวัฒนธรรม  วัฒนธรรมหลายอย่างที่ศิษย์นั้นไปร่วมงานอยู่บ่อยๆ แต่รู้ไหมว่าวัฒนธรรมคือสิ่งที่เก่าแก่โบราณมา ถ้าหากว่าเราจะไปร่วมก็ต้องดูด้วยว่าวัฒนธรรมนั้นหมายถึงอะไร ความหมายลึกๆ อยู่ตรงไหน
กตัญญูรู้คุณบิดามารดา  ติดตัวเราหรือยัง (ติดตัวเราแล้ว)  นี่คืออยู่ที่การปฏิบัติแล้ว ตอนนี้เริ่มพูดถึงเราแล้วเพราะว่าต้องเริ่มจากใหญ่เข้ามาหาเล็ก แต่ทั้งใหญ่ทั้งเล็กนี้ก็คือสิ่งที่เราต้องทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคารพเทิดทูนอาจารย์ ชีวิตนี้มีอาจารย์กี่คน เคยนินทาอาจารย์ไหม เคยว่าอาจารย์ไหม (เคย)  ถ้าเคยทำ ศิษย์จะไม่เจริญ เพราะว่าไม่เชื่อถือในวิชาความรู้นั้นๆ จึงบอกว่าเรานั้นต้องทำตนให้เป็นคนดี จะต่อหน้าหรือลับหลัง มีคนเห็นหรือไม่มีคนเห็นก็ต้องเหมือนกัน เป็นเหมือนกับลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่พลิกไปทางไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นสี่เหลี่ยมที่พลิกไปทางไหนก็มีแต่มุมมีแต่เหลี่ยม นี่คือวิธีการปฏิบัติตนของเราทั้งนั้น ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่จุดประสงค์ของอนุตตรธรรมพูดถึงศิษย์ก็จะนับเป็นคนดีคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญที่ดีคนหนึ่ง
ถือความสัตย์ต่อเพื่อน  ลิ้นของคนเรายาวเท่าไร ลิ้นนี้ยาวสามนิ้วกระดกไปกระดกมา โกหกคนดีไหม (ไม่ดี)  บางคนบอกว่าไม่ได้เจตนา แต่ถามว่าเวลาศิษย์ไม่เจตนามีคนอื่นเข้าใจเราไหม ไม่มีใครเข้าใจ มีแต่เราเข้าใจตนเอง แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ทำอะไรจึงต้องคิดก่อนที่จะพูด คิดก่อนที่จะทำจึงเป็นผลดี ถือความสัตย์ต่อเพื่อน คำว่าเพื่อนนี้ ในเมืองไทยก็ควรจะวงเล็บว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล  จงเลือกคบแต่กัลยาณมิตร จงเลือกคบแต่มิตรที่ดี ในสังคมปัจจุบันนั้นวุ่นวายวัตถุมาเหนือจิตใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลับไปมองที่บ้านเราก็พอจะเห็นว่าบ้านเรามีวัตถุมากเท่าไร แล้ววัตถุพวกนี้อยู่เหนือจิตใจของเราหรือเปล่า ถ้าใช่ให้ลดลง เพราะว่าตอนที่เราตายไปมีคำพูดว่า เงินบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ จำไว้นะ
มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน  มีไหม (มี)  คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ยังมีอยู่ คนกรุงเทพฯ บางทีอยู่บ้านติดกันยังไม่รู้จักกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่รู้จักคนที่อยู่รอบๆ บ้านเรา ถึงเวลาเราจะไปไหนมาไหนจะวานใครพึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)  คนส่วนใหญ่บอกว่าทุกคนไว้ใจไม่ได้ เราไม่ไว้ใจคนข้างบ้าน คนข้างบ้านก็ไม่ไว้ใจเรา ก็เลยไม่เคยฝากอะไรเราเลยใช่ไหม (ใช่)  แท้ที่จริงแล้วต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่เคยเปิดประตูไปทักทายเขาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนไม่ดี
ละบาปบำเพ็ญบุญ
รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม  ข้อนี้เน้นอะไร เน้นการบำเพ็ญแล้ว จากข้อแรกฟ้าดิน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ลงมาถึงตัวเรา จุดประสงค์ของอนุตตรธรรมนั้นชนตัวเราแล้วชนที่ไหน ชนที่กายข้างนอกของเราพูดถึงเรื่องการปฏิบัติ
ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว  พูดถึงจิตใจด้านในว่าเราควรที่จะมีจิตใจที่สะอาด เปรียบไปแล้วก็เหมือนสีขาวทีเดียวไม่ใช่สีกระดำกระด่าง
อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมอันสูงส่งในกายตน
ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น  ข้อนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราแล้ว ตอนนี้เราได้ล้างตัวเราทั้งความคิด การกระทำ และคำพูดสะอาดหมดแล้ว สะอาดมาตั้งแต่ฟ้าเดิมจนกระทั่งถึงตัวเราออกไป ล้างไปหมดแล้วตัวเราสะอาดแล้วเริ่มช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น อาจารย์ยังบอกว่า ถ้าศิษย์นั้นไม่ดีพอจะช่วยใครได้ ทุกวันนี้ช่วยได้แต่พ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตรคนสนิทเท่านั้นเอง แต่ว่าคนที่ช่วยอยู่ตรงนี้ต้องช่วยให้ดีแล้วเริ่มมองที่จะช่วยคนอื่นบ้าง
ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข  เริ่มออกไปช่วยผู้อื่นแล้ว ไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเองแล้ว จึงบอกว่าพุทธะนั้นต้องช่วยผู้อื่นจึงสำเร็จได้ ปณิธานที่ท่านตั้งนั้นไม่ได้ตั้งเพื่อตนเอง แต่ตั้งเพื่อช่วยผู้อื่น
ช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงาม
เพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า
สามข้อสุดท้าย มีไว้ทำอะไร บอกว่าให้เรานั้นช่วยโลกจนเกิดสันติสุขให้ได้ มีคนบอกว่าโลกนี้ใบใหญ่ ตัวเราเล็กเท่ามดเท่าทราย จะไปทำได้อย่างไร ศิษย์มีความคิดอย่างนั้นไหม ตอนนี้เราต้องพิจารณาให้ดีๆ อยากจะให้โลกสันติสุขนั้นต้องเริ่มที่ไหน ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ในครอบครัวเราเองแล้วไปที่สังคมและประเทศจึงไปถึงโลกได้ แก้วหนึ่งใบใช้ทรายจำนวนนับไม่ถ้วนมาหลอม แล้วถ้าหากว่าขาดศิษย์ผู้เป็นทรายที่จะมาหลอมแก้วนี้ไปสักหนึ่งเม็ด แก้วนี้ก็คงจะมีจุดบอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าให้ศิษย์สามัคคีกัน ลุกก็ลุกพร้อมกัน นั่งก็ให้นั่งพร้อมกัน คิดอะไรเป็นทิศทางเดียวกันไปหมด ไม่อย่างนั้นพายเรือลำนี้ไป คนหนึ่งอยากพายขวาอีกคนอยากพายซ้ายจะไปถึงไหม (ไม่ถึง)  แม้ต่างคนต่างมีความคิด แต่ว่ามีความคิดที่อยู่ตรงกลางระหว่างความคิดศิษย์และความคิดของอีกคนหนึ่ง ลองหาดู อย่าบอกว่าทำอะไรๆ ก็ทำไม่ได้ ถ้าหากไม่เคยลองทำ
การบำเพ็ญธรรมนั้นเริ่มตั้งแต่ตัวเองเป็นหลักใหญ่ การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากมากเกินไป บอกว่านิพพานไปไกล ถามว่าเคยเอื้อมไหม เราเคยลองไหม (ไม่เคย)  ผู้ที่สำเร็จเป็นพุทธะนั้นก็ล้วนแต่มีตา มีหู มีปาก มีแขนขาเหมือนเรา ต้องทดลองดูว่าทำได้ไหม เมื่อทำไม่ได้จึงบอกว่า ไม่เป็นไรค่อยๆ ทำ ชาตินี้ไม่ถึง  ชาติหน้าก็ถึงได้ ฉะนั้นให้ทุกคนไปอ่านจุดประสงค์ของอนุตตรธรรมดูว่า เรานั้นจะเริ่มได้ไหมจากใหญ่เข้ามาหาเล็กและเล็กออกไปใหญ่ ดูๆ แล้วเหมือนลูกบอลลูกหนึ่งไหม ลูกบอลลูกนี้ต้องบริหารเข้าออก แต่ไม่ใช่กลับกลอกออกๆ เข้าๆ เข้าใจหรือไม่
มีเวลามาสถานธรรมไหม (ไม่มี)  แล้วเมื่อไหร่จะมี มาจากที่ต่างกัน เราบอกว่าไม่มีเวลาว่าง เราได้ยินคำว่าเวลา เมื่อเรามีเวลาว่างที่สุดก็คือ “เวลาตาย”  ถึงตอนนั้นต่อให้เราไม่ว่างก็ต้องไป อาจารย์พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์นั้นเอาเวลาที่มีค่ามาทำเล่นๆ อยากให้ศิษย์นั้นมาศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ จิตใจของเราจะได้คลายความวุ่นๆ กังวลปัญหาต่างๆ ได้ หาเวลาให้อาจารย์หน่อยนะ
ชีวิตนี้ถ้าเลือกได้เราต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด .แต่ถามว่ามีคนสมหวังในชีวิตกี่คน น้อยคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามีสิทธิ์ แต่ไม่แน่ว่าเรามีสิทธิ์ได้ ฉะนั้นคนที่มีดวงดีอยู่ก็จงรักษาโชคดีของตนเองให้นานวันและสามารถนำโชคดีของเรานี้ไปให้ผู้อื่นได้ นั่นจึงเรียกว่าเป็นคนไม่หวงของ โชคดีอันนี้ก็จะอยู่กับเราไปนานๆ  หลายคนนั้นอยากจะเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ  อาจารย์เข้าใจ แต่เมื่ออยากจะเจอสิ่งที่ดี ก็จงทำแต่สิ่งที่ดีด้วย จะเจอแต่สิ่งที่ดี หากไปทำความไม่ดี ก็ต้องเจอแต่สิ่งที่ไม่ดีวิ่งเข้ามาหาเรา .เหมือนเวลาศิษย์ปาลูกบอลออกไป ถ้ากระทบกำแพงก็กระเด้งกลับมาหาใคร (ตัวเราเอง)  นั่นเรียกว่าผลบุญ ผลกรรม
 (พระอาจารย์เมตตาแม่ครัว)  ปีนี้มีมากหน้าหลายตากว่าเก่า ก้าวหน้าพัฒนาขึ้นทุกวันๆ เดินตามกันมาอย่าขาดตอน ใครที่ยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมะ ยังบำเพ็ญผิดๆ ถูกๆ บ้าง มีโอกาสลองคุยกับผู้อาวุโสดู อย่าเห็นว่าเป็นคนกันเอง ทุกคนนั้นต่างมีความสามารถของตนทั้งสิ้น เวลาเราก็ไม่ค่อยมี ถ้าเจียดก็คงพอมีได้ บำเพ็ญธรรมนั้นศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่าอย่ามีแต่ความศรัทธา ต้องมีปัญญา ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจ กุศลสร้างก็ยังต้องมีอย่างอื่นรองรับนอกจากกุศลด้วย คือ ความเข้าใจ หากว่าเราทำได้ดี คนอื่นเขาก็เดินตามเรามาดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำไม่ดีคนอื่นเขาก็พยศนิดหน่อย อาจารย์ว่าหลายคนคงเจอเรื่องแบบนี้ แต่ว่าอุปสรรคนั้นก็เหมือนเมฆที่พัดเข้ามา เมฆสีดำๆ ที่บังดวงอาทิตย์ไว้ ใครอยากเป็นดวงอาทิตย์ต้องรู้จักฝ่าฟันออกมา ถ้าฝ่าฟันไม่พ้นก็กลายเป็นเมฆดำไปกับเขาด้วย อาจารย์รู้สึกว่าจะน่าเสียดาย ขอให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีเวลาว่างก็ศึกษาธรรมนะ ต่างเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงซึ่งกันและกัน กำลังใจเรามีเต็มเปี่ยมทำให้คนอื่นดู ทำได้ไหม อย่างที่อาจารย์บอกไป ศิษย์ของอาจารย์ที่นี่ศรัทธามาก แต่อย่ามีแต่ความศรัทธา การบำเพ็ญธรรมะเป็นขั้นเป็นตอน ทำหลายอย่าง ทำตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน มีอย่างอื่นมากกว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นได้พบอยู่ทุกวันนี้ ธรรมะเป็นสิ่งที่วิเศษ หากว่าศิษย์ใช้ดีๆ ธรรมะจะเป็นประโยชน์กับศิษย์มาก อาจารย์หวังว่าศิษย์จะตั้งใจศึกษาธรรมะให้เข้าใจลึกซึ้ง จะได้ไม่โดนลูกๆ หลานๆ ว่าบอกว่าไปที่ไหนก็ไม่รู้ อธิบายไม่ถูก
 (อาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า ”จงรักภักดี”)
เนื่องจากศิษย์เกิดในประเทศไทย การเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์จึงเป็นเรื่องที่สมควร และสิ่งที่ศิษย์ต้องทำให้ได้ก็คือความจงรักภักดี ในความจงรักภักดีมีอีกหลายสิ่งอันได้แก่ ความเคารพ เจริญรอยตามการช่วยเหลือ แม้ว่าเราจะทำได้น้อยก็ตาม ก็ต้องทำให้เต็มที่ เต็มใจ และจริงใจ
ทำไมจงรักภักดีออกมาเบี้ยวๆ บูดๆ อย่างนี้ อันนี้เป็นของขวัญจากท่านเหอเซียนกู โย้ลงมาเป็นเหมือนกับหัวใจ จงรักภักดีด้วยหัวใจของเรา เวลาเราวาดรูปหัวใจก็วาดอย่างนี้ใช่หรือไม่  อันนี้ก็เหมือนกับหัวใจของเราที่เรานั้นมีให้
ช่วงก่อนมีสิ่งที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ไม่สบายใจทั่วไปหมด ข่าวคราวหนาหูแต่อาจารย์บอกว่า หากศิษย์มั่นใจว่าทำในเรื่องที่ถูกต้อง การถูกสอบแค่นี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา วันหน้ายังมีสอบหนักกว่านี้ไม่ต้องห่วง ดูว่าใครมั่นคงจนวันสุดท้ายก็เอาชัยชนะมาได้ ใครมั่นคงไม่ได้ก็แพ้ไป ถ้าหากเป็นพุทธะ การเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ง่าย แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นั้นจะได้รับการคารวะจากผู้อื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตรงนี้เล็กๆ น้อยๆ ให้ศิษย์จำใส่ใจ แล้วข่าวต่อไปที่มาก่อนข่าวที่ศิษย์รู้มาทีหลังนี้ ข่าวนั้นคือข่าวภัยพิบัติ บางคนยังไม่เลิก บางคนยังไม่ตายใจ ไม่ใช่บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดแล้วไม่เป็นจริง แต่ถ้าเป็นจริงแล้วศิษย์พอใจหรือ มีเวลาให้บำเพ็ญนานต่อไปไม่ดีหรือ อาจารย์บอกแล้วพูดไปแล้วคนจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น หากจะต้องตายอย่างสง่าผ่าเผย เราตายนอกบ้านตายเพราะช่วยคนอื่น ไม่ใช่ตายในบ้านเพราะว่ากลัวภัยมาโจมตีเรา ตายอย่างพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่น่ากลัวอะไร ทุกคนเกิดมาต้องตาย ใจของศิษย์ถ้าฝักใฝ่เรียกภัยมา ไม่ต้องเจอภัยข้างนอกก็เจอภัยที่อยู่ในหัวใจนี้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ให้เข้าใจศึกษาธรรมะหลักสัจธรรมให้มากๆ ใครอยากรู้ ว่าเมื่อก่อนนี้อาจารย์พูดว่าอะไร ก็ไปอ่านโอวาทเอง  คงไม่ต้องให้อาจารย์พูดใหม่หลายๆ รอบ นี่ก็จะปี 2000 อยู่แล้ว นี่ก็จะเข้าพุทธศักราชใหม่อยู่แล้ว ยังมัวพะวงกับปี 1999 ไม่เลิก
ศิษย์ของอาจารย์เจ้าบำเพ็ญธรรมก็เพื่อให้โลกเป็นเอกภาพไม่ใช่หรือ ขอให้จิตใจของเรานั้นเป็นเอกภาพก่อนให้จิตใจของเราดีงามก่อน สถานธรรมไม่แบ่งว่าจะเป็นคนแก่ หรือว่าจะเป็นเด็ก มีแต่ว่าใครมาก่อนใครมาหลัง คนมาหลังเคารพคนมาก่อน คนมาก่อนก็ส่งเสริมคนข้างหลัง ทุกคนอ่อนน้อมซึ่งกันและกัน ทุกคนมีไมตรีจิตกัน ใครทำหน้าที่อะไรก็ให้ความเคารพยกย่องจากใจจริง ไม่ใช่เห็นเป็นคนที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่ต้น ก็ไม่เห็นจะน่าเชื่อถือตรงไหน ธรรมะอยู่ในใจศิษย์เชื่อก็เชื่อธรรมะที่อยู่ในใจศิษย์ ธรรมะแท้หรือเท็จก็ใช้ปัญญาแยกแยะดูเองดีหรือไม่ (ดี)
วันนี้อาจารย์ยินดี อาจารย์ดีใจที่เจอหน้าศิษย์ทุกคนเห็นศิษย์เยอะๆ บางทีก็ดีใจ บางทีก็หวั่นใจ ศิษย์ลองนึกถึงตะแกรงร่อนทราย ทรายยิ่งเยอะยิ่งต้องออกแรงเหวี่ยงเยอะ ใครกระเด็นออกไป ศิษย์ของอาจารย์ไหม ทรายเม็ดไหนก็ศิษย์อาจารย์ทั้งนั้น ทุกครั้งอาจารย์จึงบอกศิษย์บำเพ็ญให้ดีๆ ทำตนเป็นคนดี อาจารย์ขอแค่นี้ทุกคนบอกเชื่อ เชื่ออาจารย์นี้ รักอาจารย์นี้ แต่ในความจริงมีคนทำได้กี่คน มีคนอยากเป็นแบบอย่างให้คนอื่นกี่คน อย่าสงสารอาจารย์ที่เห็นอาจารย์ร้องไห้ สงสารตัวเราที่ทำได้เท่านี้ ดีได้เท่านี้
อาจารย์พาศิษย์กลับคืนฟ้า ถ้าอยากตามมา เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์มากกว่านี้อีกสักหน่อยดีไหม (ดี) ความจริงแล้วศิษย์ก็น่ารักในใจอาจารย์ทุกคน แต่มักรักในบรรดามนุษย์ด้วยกัน ให้อาจารย์แก้ตัวแทนไหม มีใครฟังไหม มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าให้ศิษย์ฟัง  ในประวัติของท่านเมิ่งจื้อ แม่ของท่านต้องย้ายบ้านถึงสามหน เพื่อให้ลูกนั้นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีเพื่อเติบโตเป็นคนดี ครั้งแรกบ้านท่านไปอยู่แถวสุสานทำให้ท่านนั้นเติบโตมาอย่างไม่ดี แม่ท่านจึงย้ายบ้านไปอยู่ในตลาดลูกชายก็โวยวายออกมาเหมือนพ่อค้า ต้องย้ายบ้านอีก ครั้งที่สามย้ายมาใกล้โรงเรียนทำให้ท่านนั้นสง่างามดั่งปราชญ์เมธี ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม บรรลุธรรม อาจารย์เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อให้ศิษย์รู้ว่าคนนั้นเป็นไปตามสภาวะแวดล้อมและกิเลสที่มายั่วยุ บำเพ็ญให้ดีๆ ดีไหม แต่อาจารย์ให้ศิษย์ย้ายบ้านไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่มีกายเนื้อจะมาพาศิษย์ของอาจารย์ย้ายหนีมีแต่ความหวังอย่างเดียว ให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นอย่าใจแข็งเข้าหากัน แต่ให้ใจแข็งกับกิเลสเหล่านี้ แปรเปลี่ยนสังคมที่ศิษย์อยู่นั้นให้ดี
วันหน้าเจอกันใหม่ดีไหม มีศิษย์หลายคนที่เพิ่งมารับธรรมะวันประชุมธรรม ก่อนวันประชุมธรรม ธรรมะเป็นเรื่องใหม่ของศิษย์ แต่เป็นเรื่องเก่าของโลกนี้ อย่าให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เข้าใจไหม ดูแลตัวเองให้ดีๆ แทนอาจารย์นี้ วันหลังค่อยเจอกันใหม่ อาจารย์รักศิษย์ทุกคน ศิษย์รักตัวเองด้วย

จุดประสงค์ของอนุตตรธรรม

๑. เคารพฟ้าดิน
๒. บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
๓. รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
๔. เชิดชูวัฒนธรรม
๕. กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
๖. เคารพเทิดทูนอาจารย์
๗. ถือความสัตย์ต่อเพื่อน
๘. มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน
๙. ละบาปบำเพ็ญบุญ
๑๐. รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
๑๑. จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
๑๒. ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม
๑๓. ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
๑๔. อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
๑๕. ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
๑๖. ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมอันสูงส่งในกายตน
๑๗. ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น
๑๘. ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
๑๙. เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข
๒๐. ช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงาม
๒๑. เพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “จงรักภักดี”

หัดจิตเพียรธรรมใส่ใจ ในนอกใจกายเพียบพร้อม
เลิศงามที่ไม่จอมปลอม ฟ้าย่อมยินดีปรีดา
ต้องมีใจที่มั่นคง ซื่อตรงจงรักสู้หน้า
แทนตอบคุณใดให้มา ความดีชี้ค่าของคนเอย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542

2542-11-27 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


PDF 2542-11-27-เหยรินเต๋อ #21.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒    พุทธสถานเหยินเต๋อ  ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ยืนอยู่บนความคาบเกี่ยวดีแลชั่ว อย่าเมามัวหลงถลำมากกว่านี้
ชีวิตหนึ่งแสนสั้นคิดให้ดี ขอให้มีปัญญาโคมนำทาง

เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา   ฮวา ฮวา

ปลูกสิ่งใดได้สิ่งนั้นบุญแลกรรม การกระทำย่อมส่งผลมิละเว้น
ในชาตินี้เบนทิศมาสู่บำเพ็ญ ความลำเค็ญเพื่อสอบใจท่านเมธี
เข้าตามตรอกออกตามประตูเถิด คนประเสริฐพฤติกรรมสง่ายิ่ง
รู้บำเพ็ญซ่อมแซมใจน้องคนจริง อย่าประวิงเพราะเวลาไม่เคยพอ
อันความดีให้หมั่นสร้างทางราบรื่น บางคนขื่นการบำเพ็ญยากแท้หนอ
รากแห่งบุญต้องตั้งใจหมั่นคอยต่อ มิฉะนั้นขาดวันใดรอวันระทม
น้องชายหญิงอย่าสงสัยให้มากนัก ควรตระหนักชีวิตนี้เพื่ออะไร
คนที่คิดจะเดินสู่หนทางไกล ภายในใจต้องมีจุดหมายจริง
อันเวลาสามวันประชุมธรรม ขอน้องจำมาให้ครบทำให้ได้
ในยามนี้ฟ้าดินโปรดโอกาสใหญ่ ภพมนุษย์โชคดีไซร้อย่าปล่อยไป
ในยุคสามการบำเพ็ญในสังคม อย่าได้หลงคารมอันหวานหู
ทุกเวลาฟ้าดินคอยเฝ้าดู ฟ้าดินรู้ตนเองรู้ทำแต่เรื่องดี
การมุ่งมั่นทางนี้ใจตรงเที่ยง อย่าเอนเอียงหากิเลสเป็นเรื่องใหญ่
มนุษย์นี้เห็นหน้าไม่รู้ใจ จงตั้งใจบำเพ็ญตนสะอาดดี
ระมัดระวังคำพูดการกระทำ อ่อนน้อมนำกายใจดั่งคนเขลา
เพื่อได้พ้นเกิดตายปัญญาเชาวน์ ฟื้นฟูใจดวงเก่าขึ้นมานำ
ปฏิบัติงานธรรมะต้องรอบคอบ หินหยกลอบคัดเลือกแล้วกำมือหนึ่ง
ขอให้น้องตรวจสอบใจใฝ่เข้าถึง ใช้อารมณ์เป็นใหญ่จึงรอวันพัง
สยบอายตนะ ในนอกให้วิจิตร ประตูปิดไม่ต้องเสียใจภายหลัง
ในครานี้มีบุญสามวันฟัง ศรัทธาตั้งความเข้าใจจึงตามมา
จงรักษาพุทธระเบียบอย่างเคร่งครัด รู้กำจัดความขรุขระใจตนหนา
หมั่นก้าวเท้าตามรอยอริยา วันข้างหน้าตนเป็นผู้กำหนดเอง
ในวันนี้ขอกล่าวความเพียงเท่านี้ น้องเมธีอย่าหละหลวมให้เห็น
ในเวลาสั้นสั้นเริ่มบำเพ็ญ ขอเยือกเย็นค่อยศึกษารู้เข้าใจ
ศิษย์พี่นั้นจดคะแนนยืนคุมชั้น จรดวางพู่กันลง

ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ 
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ทะเลหยั่งลงลึกคณาได้ แต่ใจคนสุดหยั่งได้หาสิ้นสุด
มีชีวิตแสวงหารูปนามสมมุติ ตราบสิ้นสุดลมหายใจจึงรู้พอ

เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะน้อยน้อยทุกคนสบายดีไหม

พุทธจิตดั่งนาข้าวกว้างสุดตา ปลูกต้นกล้าคุณธรรมประเสริฐศรี
หวั่นมนุษย์ปล่อยอนุสัย เข้าแทนที่ แก้ทันทีด้วยไม่ติดใจอาวรณ์
โมหะเปรียบดั่งไฟเชื้อคือเหตุ อาสวกิเลส เปรียบหญ้าเปรียบไฟสุมขอน
ตฤณชาติ ไร้รากแก้วแล้วสิ้นม้วยมรณ์ ชีวิตดั่งเหมือนคนถอนใจมุทิน 
ใจประชาพื้นเดิมล้วนงดงาม เผลอปลูกความเคยตัวไม่ถวิล
ขาเหยียบดินใจทะยานปักษา บิน สบายชินนานมาข้อควรระวัง
ปรักปรำต่างคนต่างเสียต่างสับสน อัตตามีต่างคนถึงอคติฝั่ง
ละเหี่ยเพลียไม่ลืมธรรมประชาฟัง พึงแก้หนาหน้าหลังรอบคอบดี
จับไม่ปล่อยทั่วใจอันซับซ้อน ลุกลามไปเดือดร้อนเมื่อไร้สติ
ไม่หวนมาอยู่อย่างเดิมปิติ อนัญคติ มองย้อนอย่าเข้าข้างตน
มานะมองส่องตนอย่างรู้สำคัญ บำเพ็ญหวั่นตายน้ำตื้นพาสับสน
ต้นใสรอปลายขุ่นอย่างอดทน สายน้ำต่างไม่ใสจนอนัตตา 


พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

คนอยู่เยอะๆ จะได้รู้สึกอบอุ่น คนอยู่น้อยๆ รู้สึกเงียบเหงาวังเวง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องมีคนเยอะๆ  
วันนี้ท่านมาทำอะไรกัน (ประชุมธรรม)  มานั่งฟังธรรมะใช่หรือเปล่า ยังไม่เรียกว่าปฏิบัติ เพราะว่านั่งเฉยๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างนี้เรียกว่ามาฟังธรรมะใช่ไหม (ใช่)  แล้วได้ธรรมะไปบ้างหรือเปล่า หรือว่าได้แต่ความเบื่อ ความง่วง เดี๋ยวให้ทำโน่น ทำนี่ อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  บางคนบอกว่าใช่  พอบอกจะกินข้าว ทำไมต้องยกจานข้าวด้วยนะ ยกไปก็พูดไปแต่ใจก็คิดว่ากว่าจะได้กินทำไมช้าอย่างนี้  คิดอย่างนั้นหรือเปล่า  กินข้าวทั้งทีก็ต้องรู้จักมีจิตสำนึกคุณ ใช่ไหม (ใช่)  เกิดเป็นคนทั้งทีถ้าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน  คนนั้นก็ไม่น่าจะเรียกว่าคน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราว่าแรงไปไหม (ไม่แรง)
อย่าเพิ่งสงสัยว่าเราเป็นใคร เดี๋ยวเราก็บอกเองว่าเราชื่ออะไร   ตอนนี้ก็คิดเสียว่าเรามาคุยกันดีไหม (ดี)  แล้วเราจะคุยกันเรื่องอะไรดี  อยู่ห้องพระก็ต้องคุยเรื่องพระ เรื่องธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่อยู่ห้องพระแล้วจับเข่าคุยนินทาคนโน้นคนนี้ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ฉะนั้นมาห้องพระก็ต้องฟังธรรมะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากดูทีวี ก็ไปดูทีวี  มานั่งตรงนี้อย่าคิดถึงทีวี  มานั่งนี่อย่าเพิ่งคิดถึงบ้าน เพราะมาถึงนี่ก็ต้องมาให้ถึงที่  ไม่ใช่มาถึงนี่แต่ใจ  ไปโน่นไปนี่ก็ไม่ถูก  อย่างนี้เค้าเรียกว่ามาไม่ได้ทั้งตัวและทั้งใจ ใช่ไหม (ใช่)  
“ทะเลหยั่งลงลึกคณาได้ แต่ใจคนสุดหยั่งได้หาสิ้นสุด”
ทะเลลึกแค่ไหน มนุษย์เราก็สามารถลงไปวัดจนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกจะกว้างใหญ่ยิ่งใหญ่เพียงใด เราก็สามารถไปสืบค้นเสาะหามาได้ แต่ใจเราลึกแค่ไหน มากเพียงใด มนุษย์เรากลับไม่เคยเข้าใจสักวันเดียว จริงไหม (จริง)  เพราะอะไร ทั้งที่อยู่ใกล้เพียงเท่านี้ แต่เรากลับเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย  ไม่เข้าใจแม้ตัวเอง ต้องให้คนอื่นมาบอกว่าเป็นอย่างนี้ ก็คิดว่าใช่นะ แต่พอคนอื่นบอกอย่างนี้ ก็คิดว่าเหมือนจะใช่นะ  ถามเข้าจริงๆ เราก็เหมือนจะใช่ไปเกือบหมดเลย  แล้วเรารู้หรือเปล่าว่าใจเราเป็นอย่างไร  ที่แท้จริงบางทีแทบจะไม่รู้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการเรียนรู้มากมายแต่ไม่รู้จักใจตนเอง มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มี ป่านนี้ท่านคงไม่เรียนหนังสือกันหรอก ทุกคนต่างเลิกเรียนหมดใช่ไหม  ก็ต้องมีประโยชน์บ้างเหมือนกัน  
การเรียน เรียนเพื่ออะไร ไม่ใช่เรียนเพื่อแสวงหาแต่ภายนอก แต่บางครั้งต้องรู้จักย้อนกลับเข้ามาหาตัวตนเองใช่ไหม (ใช่)  บทเรียนที่เราเรียนรู้ก็มาจากประสบการณ์ชีวิตของคนรุ่นก่อนๆ เขาได้ค้นพบ เขาได้เข้าใจ  แล้วเขาก็เขียนเป็นตำราให้เราได้เรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เหมือนคนที่เดินตามรอยคนรุ่นก่อน แต่การจะตามรอยของคนรุ่นก่อนนั้น เอาแต่ย่ำตามรอยอยู่กับที่ได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีก้าวหน้ากว่าเดิมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่สำนวนปราชญ์กล่าวไว้ว่า “คลื่นลูกหลังต้องมาแรงกว่าคลื่นลูกหน้า”  ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าลูกหลังไหม ทำไมกลับยิ่งถอยลงๆ  สิ่งที่ก้าวหน้ากลับเป็นรูปลักษณ์มากกว่า  แต่จิตใจกลับถอยลงๆ  วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแต่ใจกลับถอยลง อย่างนี้ดูไม่น่าจะถูก ใช่ไหม (ใช่)  
“มีชีวิตแสวงหารูปนามสมมุติ ตราบสิ้นสุดลมหายใจจึงรู้พอ”
เรามีชีวิตเราแสวงหากันทั้งนั้น ก็มีแค่สองอย่าง คือ รูปกับนาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  รูปก็คือสิ่งที่จับต้องได้ นามก็คือสิ่งที่จับต้องไม่ได้  เราแสวงหาอยู่สองอย่างนี้  แต่หาเท่าไรก็เติมใจไม่เคยเต็ม เพราะอะไรถึงเติมไม่เต็ม เพราะใจเราเป็นกระเชอก้นรั่วก็ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะว่าใจของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดสุดท้ายของคำว่ารู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ชีวิตของคนเกิดมาเพื่อแสวงหาจนหมดลมหายใจ  เราหาจนเฮือกสุดท้าย  ก่อนตายเรายังต้องหาอีกว่าเราจะกลับทางไหน เราจะไปไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนมีชีวิตเรากลับไม่ถามตัวเอง เรากลับมัวไปหาโน่นหานี่ หาเงินทอง หาชื่อเสียง หาเกียรติยศ หาคนสวยๆ หาคนหล่อๆ เรากลับลืมหาทางที่แท้จริงของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรานั้นหากเข้าใจสำนวนหนึ่ง  เราจะรู้จักว่าชีวิตนี้มีคุณค่า สำนวนนั้นก็คือ “ถ้าเราแสวงหาสืบเสาะ เราย่อมได้สิ่งนั้นมา แต่ถ้าเกิดเราทอดทิ้งละเลยเราย่อมสูญเสียไป” จริงไหม (จริง)  ชีวิตของมนุษย์แสวงหาอะไรกัน แล้วได้อะไรกัน (แสวงหาก็ได้แต่สิ่งว่างเปล่า)  ท่านหาและเข้าใจแล้วว่าหาไปแล้วจริงๆ ก็เหมือนว่างเปล่า แต่บางคนที่อายุยังน้อยคงคิดว่าไม่ว่างแน่ หาแล้วต้องได้ ไม่หาก็คือไม่ได้ แล้วเรามีชีวิตเราหาอะไรกันบ้าง (สัจธรรม)  สัจธรรมคือความเป็นจริงของชีวิต แต่ถ้านับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งอายุเท่านี้เราหาสัจธรรมกี่นาที เราหาความเป็นจริงแห่งชีวิตกี่ชั่วโมง  ส่วนมากเราหา เราสืบค้น เราแสวงอะไร  เราหาก็หาแต่เงิน เราสืบค้นอะไร สิ่งใดที่ล้ำค่าที่สุด สิ่งใดที่ทำให้มีชื่อเสียงที่สุด สิ่งใดที่ทำให้ฉันอยู่เหนือใครมากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านก็ได้แต่สิ่งพวกนั้น  ท่านเคยคิดไหมว่าสิ่งพวกนั้นที่ท่านหามาผลสุดท้ายก็ย่อมคืนเขาไป จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งที่ท่านไม่เคยแสวงหาก็ย่อมหายไปจากใจได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตเราต้องรู้จักให้ความสำคัญในการสืบเสาะแสวงหา ถ้าเรารู้จักสืบเสาะแสวงหาสิ่งที่เป็นจริงของชีวิต เราย่อมได้สิ่งที่เป็นจริงของชีวิตมาอยู่กับตัวเรา  แต่ถ้าเราสืบเสาะแสวงหาสิ่งที่เป็นรูปนาม สักวันหนึ่งก็ย่อมกลับคืนไปสู่ความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราหาอะไรเราย่อมได้สิ่งนั้น  เราหลงอะไรเราย่อมสูญเสียสิ่งนั้น  นี่เป็นความเป็นจริงของชีวิต  
ยินดีต้อนรับเราหรือเปล่า (ยินดี)  สบายดีไหม (สบายดี)  มีคนถามดีกว่าไม่มีคนถามใช่ไหม คนที่อยู่บนโลกนี้เหมือนไม่ค่อยรู้จักกันเลย เดินสวนกันไปเดินสวนกันมา แต่ถ้าเกิดว่าเราอยู่บนโลกนี้ไปไหนก็มีคนถาม เป็นอย่างไร ก็น่าดีใจใช่ไหม ไปที่ไหนก็มีคนอยากจะทักทายเรา อยากจะเห็นอกเห็นใจเรา เป็นห่วงเราก็น่าดีใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ในสังคมปัจจุบัน ต่างคนต่างเมินหน้ากัน ต่างคนต่างคิดว่าช่างเขาไม่เกี่ยวกับฉัน  ทุกคนต่างไม่สนใจกัน ต่างมองแต่ตนเองคนเดียว 
ชีวิตเราเหมือนสายน้ำ ตัวเราก็เหมือนลำธารหนึ่งที่มีน้ำผ่านมา ถ้าเรารู้จักเป็นลำธารที่ดี  ไม่ว่าเรื่องอะไรผ่านมาก็ให้มันผ่านไป อะไรทุกข์ก็ช่วยล้าง ช่วยขจัดสิ่งมลทิน อะไรที่สุขก็ช่วยให้เรารู้จักระมัดระวังตัว ไม่หลงใหลเกินไป  หากเราทำได้เช่นนี้ก็เหมือนกับลำธารที่ผ่านมาก็ผ่านไป ชีวิตนี้ก็มีแต่ความว่างเปล่า ไม่ต้องกังวลทุกข์ วิตกสุข  เราก็จะมีสุขได้ เหมือนลำธารที่น้ำอะไรผ่านมาก็ไม่มีอะไรมากระทบใจ มาคั่งค้างใจ  เราก็จะมีความรู้สึกว่าโลกนี้สุขหรือทุกข์เป็นเรื่องที่ธรรมดาเหลือเกิน 
แต่ความเป็นจริงของมนุษย์เรานั้นไม่ใช่ลำธาร  ความเป็นจริงของมนุษย์เราคือการแสวงหา การดิ้นรน การมีชีวิตเพื่ออยู่รอด  ทำอย่างไรให้การแสวงหา ดิ้นรนและอยู่รอด เป็นการทำให้ชีวิตมีคุณค่าสูงสุด หรือประเสริฐที่สุดเมื่อเป็นคน  ตรงนี้สำคัญเพราะอะไร  สมมุติง่ายๆ ว่า ตอนนี้ให้มีเงินกับมีทองเราจะเลือกอะไร (ทอง)  ให้มีทองกับมีเกียรติท่านเลือกอะไร บางคนก็บอกมีเกียรติ บางคนก็บอกมีทอง  แต่ถ้าเกิดให้มีทองแต่ไม่มีชีวิต ท่านเลือกชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีชีวิตที่ดีกับมีชีวิตที่ไม่ได้เรื่องท่านเลือกอะไร (มีชีวิตที่ดี)  นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด แน่นอนว่าการมีชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าระหว่างดีกับไม่ดี ท่านเลือกสิ่งใด (ดี)  ถ้าระหว่างดีธรรมดากับดีที่สุด ท่านเลือกสิ่งใด (ดีที่สุด)  แต่ทำไมเวลาดำเนินชีวิตท่านกลับถอยหลัง ดีน้อยหน่อยไม่เป็นไร แต่พอบอกว่าดีน้อยหน่อยคู่กับไม่ดี  ท่านกลับบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ดีหน่อยช่างเถิด  เรากลับดำเนินชีวิตถอยหลัง พอบอกให้เลือกไม่ดีกับมีเงิน ท่านก็บอกไม่เป็นไร เสี่ยงตายหน่อยแต่ได้เงินก็ยังดี กลายเป็นว่าเงินสำคัญที่สุด ชีวิตไม่สนใจ  ทำไมเราดำเนินกลับกับความเป็นจริง ความต้องการในใจเรา 
(บางทีเดินแล้วสะดุดล้มไป  ก็ต้องลุกขึ้นมาแล้วถอยหนึ่งก้าว)  ถอยหนึ่งก้าวฟ้ากว้างทะเลไกลใช่ไหม  แต่ก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วถอยหลัง ตอนที่เราล้มลงเราต้องดูก่อนว่าเราล้มเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่มีทางลุกขึ้นมาได้ถ้าท่านไม่รู้ว่าท่านล้มเพราะอะไร  ถ้าท่านไม่สามารถดับเหตุที่ล้มได้ ท่านก็จะไม่กล้ายืนต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากเรามีชีวิตบางครั้งมีผิดพลาดบ้าง บางครั้งจะพยายามเดินไปให้ตรง ให้ดีที่สุด  ตอนที่พลาด ตอนที่สะดุด เราต้องถามใจตนเองก่อนว่าเราพลาดเพราะอะไร  เราทำเต็มที่แล้วหรือยัง  อาจจะทำไม่เต็มที่ อาจเพราะประมาท หรือเราอาจยึดติดในความดีเกินไป คือเราต้องรักษาดีไว้  แต่บางครั้งคำว่าดีก็ทำให้เราล้มลงได้เหมือนกัน หรือบางครั้งเราอาจพูดว่า เวลาเรามีชีวิตไม่ชอบให้ใครมาตีกรอบ บางคนชอบเดินล้ำ บางคนชอบถอย แต่บางคนอยู่ได้อย่างพอดี แต่ท่านอย่าลืมว่าคนที่ชอบล้ำมักจะตายก่อน  คนที่ชอบขาดมักจะไม่ประสบผลสำเร็จหรือไม่คนก็สมเพชเวทนา  เกิดเป็นคนต้องรู้จักดำรงชีวิตให้อยู่อย่างพอดี และรู้จักควบคุมตนเองด้วย   อย่าบอกว่าไม่ชอบควบคุม เราชอบมีอิสระ กรอบมีเท่านี้เราไม่กลัว อยากเดินล้ำ แล้วเป็นอย่างไร  มักอายุไม่ค่อยยืดยาวและมักไม่เป็นที่ปรารถนา  เหมือนที่เรารู้กันว่า อะไรยิ่งยาวยิ่งโดนบั่น  ยิ่งสั้นยิ่งมีคนยอมช่วยต่อให้  ชีวิตก็เท่านี้เอง  การมีชีวิตจะดำเนินชีวิตให้อยู่ในความพอดีเป็นการยาก 
คนเราต้องมีความพอดีในชีวิต ต้องรู้จักอยู่ในกรอบของชีวิต แล้วบางทีเราจะอิสระได้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่เกินขอบเขตของการมีชีวิต  เพราะว่าระหว่างทางเดินของชีวิตย่อมมีคนร่วมทาง ชีวิตนี้ไม่มีใครเดินคนเดียว  ถึงแม้วันนี้เดินคนเดียวแต่อีกวันหนึ่งย่อมมีเพื่อนร่วมทาง  วันนี้มีเพื่อนร่วมทางคนนี้ แต่อีกวันหนึ่งอาจมีเพื่อนร่วมทางอีกคนหนึ่ง  ฉะนั้นเวลาเราเดินอยู่บนชีวิตนั้น  เราจะต้องไม่ลืมการควบคุมตน ไม่ลืมการระมัดระวังตน   เพราะไม่เช่นนั้นเรานั่นเองอาจจะเป็นคนที่ทำร้ายชีวิตตนเอง และเบียดเบียนทำร้ายชีวิตผู้อื่นได้  บางคนแม้จะมีกรอบเท่านี้ แต่วิ่งจริงเท่านี้ไหม  เราต้องมีจุดยืนชีวิตของตนเองด้วย ไม่อย่างนั้นพอเราเห็นจุดยืนของคนอื่นดี เราก็ไปเบียดเขา ทั้งที่ทางเดินของเราก็ดีอยู่แล้ว เรากลับไปแย่งทางเดินของเขา  บางคนถึงแม้จะมีความจำกัดเท่านี้ มีขอบเขตชีวิตเท่านี้  แต่คนบางคนอาจไปได้ไม่ถึงเส้นทางที่ควรจะถึงของชีวิต เพราะอะไร (มีกิเลส, ไม่มีจุดเริ่มต้น, แข่งพายเรือแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้) คือบางครั้งเรามีชีวิต ก็ต้องรู้จักยอมรับชะตากรรมของชีวิตตนเองด้วย  บางครั้งคนที่ร่วมทางกัน เราเอาแต่มองเขา เอาแต่ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เอาแต่บอกว่าคนนั้นดีกว่า คนนั้นสวยกว่า คนที่ทุกข์คือตัวเรา คนที่ช้ำอกตรมก็คือตัวเรา    ฉะนั้นถ้าเราเกิดเป็นคนแล้วมีจุดหมาย มีจุดยืนในการดำเนินชีวิต  เราก็จะมีความสุข เราก็จะ     รู้ทิศทางในการดำเนินชีวิต 
การมีชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีเป้าหมายเพื่อเราจะเดินไปให้ถึง แต่เป้าหมายของมนุษย์ทุกคนนั้นมักจะแตกต่างกัน  ถ้าไม่พูดตอนนี้ถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม  เป้าหมายของทุกคนก็คือการไต่ไปให้สูงที่สุด  นี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคน หรือใจของทุกคนต้องการ  หรือพูดง่ายๆ ก็คือการมีชีวิตที่ก้าวหน้ายิ่งกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก้าวหน้าในทางไหน  แต่ตอนนี้เราพูดถึงการบำเพ็ญธรรม เราก็อยากให้ท่านก้าวหน้าในทางธรรม  เมื่อสักครู่พูดว่า ถ้าสืบเสาะเราย่อมได้มา ถ้าละทิ้งเราย่อมสูญเสีย  เรามีชีวิตเรามักสืบเสาะหาแต่ลาภยศหรือรูปกับนาม แต่มีใครบ้างที่มีชีวิตแล้ว รู้จักสืบหาคุณธรรม ความดี ความหลุดพ้น การเข้าถึงพุทธจิตธรรมญาณ  การรู้แจ้งการมีชีวิตที่แท้จริง น้อยคนนักที่จะพูดถึงด้านนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ทุกคนกลับไปอีกด้านมากกว่าเป็นด้านที่ทุกคนกลับไปแบบมีความสุข กินให้อิ่มหนำ มีให้เต็มที่ เพราะว่าเราไม่อยากจน เราอยากรวย เราอยากมี เราไม่อยากเป็นคนไร้  การที่ทุกคนมีชีวิตจึงมักจะเบนหน้าไปทางอื่นมากกว่าจะเบนหน้าเข้าหาพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า การมีชีวิตไม่ใช่มีแค่แสวงหาบำรุงเลี้ยงร่างกายอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรทอดทิ้ง นั่นก็คือคุณธรรม ศีลธรรม  เมื่อเรามีคุณธรรม ศีลธรรม  ความประพฤติเราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปราชญ์กล่าวไว้ว่า มนุษย์เรานั้นถ้าเกิดการแสวงหาลาภยศชื่อเสียง ไม่สามารถอยู่ในความมั่นคงแล้ว   การที่จะมีทัศนคติในด้านศีลธรรมและมีบรรทัดฐานในความประพฤติคงเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดมนุษย์เราไม่สามารถมีเงินได้อย่างพอเพียง มีทรัพย์ได้อย่างเป็นสุข  มนุษย์เราจะไม่มีทางที่จะหันมาสนใจธรรมะ ไม่มีทางเลยที่ความประพฤติจะเป็นบรรทัดฐานอันดีงามหรือเที่ยงธรรมได้ตลอด แต่มีใครบ้างที่พอหันไปแสวงหาแล้วจะรู้จักคำว่าพอ จะรู้จักคำว่าเท่านี้ ระดับนี้คือความมั่นคง ความพอดีของชีวิตแล้ว  ทุกคนกลับไม่รู้จักพอ  ยิ่งหากลับยิ่งโลภและหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความประพฤติ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย สามวันดี สี่วันร้าย  ฉะนั้นการที่จะมาพูดถึงเรื่องคุณธรรม เป็นเรื่องที่ยากมากๆ  เพราะถ้าเกิดว่าท่านไม่รู้พอในโลกนี้ท่านจะไม่มีทางศึกษาธรรมะและมีบรรทัดฐานในความประพฤติที่ดี เพราะว่าเรายังอดไม่ได้  แต่เมื่อมนุษย์มีความโลภ มีความอยากได้  มีใครบ้างที่โลภและอยากได้อย่างมีธรรม โลภและอยากได้อย่างมีความประพฤติดีงาม เป็นไปได้ยากมากเลยใช่ไหม (ใช่)  เพราะบางครั้งเวลาเราโลภแล้ว เราก็เป็นอย่างไร เราก็คิดว่าไม่เป็นไรโกหกเพื่อนหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยบอกความจริงก็ได้ ความประพฤติก็เริ่มเบี้ยวออกข้างทางแล้ววันนี้เราต้องกลับไปทำกับข้าว กลับไปดูแลที่บ้าน กลับไปทำการบ้านแต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรแอบไปเที่ยวหน่อยแม่ไม่รู้หรอก ไปเที่ยวทุกวันทำเป็นประจำ แม่ก็คิดว่านี่แหละเวลาเลิกเรียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้เรายากนักที่จะมีชีวิตได้อย่างเป็นบรรทัดฐาน มีความประพฤติได้อย่างดีงาม น่าเป็นแบบอย่าง  ฉะนั้นเวลาเราจะแสวงหาเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย เพื่อหาให้ครบปัจจัยสี่ เราจึงต้องไม่ลืมคุณธรรม และไม่ลืมการตรวจสอบหรือระมัดระวังความประพฤติตนเองด้วย อย่ารอให้พอก่อนแล้วค่อยมาหา ตอนนี้เป็นการที่เราสามารถหาได้แล้วก็บำเพ็ญได้ด้วย หาได้แล้วก็รู้จักควบคุมระมัดระวังความประพฤติแล้วก็จิตใจได้ด้วยเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้พอดีหรอก  ถ้ารอให้พอดีป่านนี้ทุกคนคงโบกมือลาธรรมะ และห้องพระ     ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คงมัวไปหาความสุข ความรื่นเริงบันเทิงใจกันหมดแล้ว  
พูดไปตั้งไกล รู้สึกว่ามีคนไม่อยากเดินไปกับเราด้วยเลย เหมือนวันนี้เราพาท่านเดินไปเที่ยวชมธรรมวิสัย  เพราะพาไปชมแล้วบางคนยืนอยู่กับที่ไม่เดินตามเราไป เพราะบางคนคิดว่าชีวิตกับธรรมะ ยังไม่ถึงตัวเขาและวัยเขา ยังไม่อยากทำ ยังไม่อยากมีธรรมะ  เราจะเล่าอะไรง่ายๆ ให้ท่านฟัง หากครอบครัวหนึ่งมีบุตรอยู่ห้าคน ในบรรดาห้าคนนี้มีคนเดียวที่ขยันทำมาหากิน อีกสี่คนนอนรอ ไม่ยอมเรียน ไม่ยอมทำอะไรเลย  ท่านคิดว่าคนบำเพ็ญธรรมเหมือนกับหนึ่งคนหรือเหมือนกับอีกสี่คน เหมือนกับหนึ่งคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดหนึ่งคนก็บอกว่าสังคมก็ไม่เห็นดีเลย ทำไมฉันต้องมาทำความดีด้วย ทำไมฉันต้องมาบำเพ็ญด้วย สี่คนจะได้กินไหม ก็ไม่ได้กิน แล้วห้าคนนี้ก็จะไม่เห็นความดีอีกเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้ก็เช่นกัน  ทำไมเราถึงต้องเรียกร้องให้ท่านรู้จักบำเพ็ญตน ควบคุมตนและประพฤติตนอยู่ในแนวทาง   รู้จักดำเนินชีวิตให้อย่างถูกทาง มีสิ่งที่ดีงามคอยหล่อเลี้ยง คอยอุ้มชู ก็เพราะว่าสังคมปัจจุบันนี้เหมือนกับเมื่อครู่ คือสิบคนหรือหลายๆ คนเป็นจำนวนมากไม่คิดจะทำดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกคนมักจะบอกว่า ก็บ้านฉันไม่มีใครเขาทำกันเลย ก็สังคมไม่เห็นมีใครเขาอยากจะบำเพ็ญกันเลย ทำไมตัวเราต้องบำเพ็ญ ต้องดี ต้องเสียสละให้คนอื่น ต้องยอมให้คนอื่น  หลายคนมักจะคิดอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดทุกๆ คนคิดอย่างนี้ แปลว่าพร้อมจะไม่มีธรรมะเลย พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามคนรอบข้าง แต่ถ้าเกิดสังคมเขาบอกว่าไม่คิดจะรวย ท่านก็ไม่รวยด้วย  ทำไมไม่เห็นมีใครทำแบบนี้เลย  ความเป็นจริงของมนุษย์ไม่ใช่  ทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ตนเองปรารถนาและต้องการ และต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  เราไม่ได้พร้อมที่จะตามคนอื่น แต่การที่เรา
ตามคนอื่นเพราะเรามักจะไม่ยอมทำแล้วเอาคนอื่นมาอ้างมากกว่า
เราถามว่า ท่านมีชีวิตอยู่บนโลก ย่อมมีสิ่งที่ไม่อยากทำและไม่ ยอมทำ  สิ่งที่ท่านไม่อยากทำและไม่ยอมทำคืออะไรกันบ้าง (ไม่อยากทำผิดศีลธรรม, ไม่อยากทำในสิ่งที่ไม่ดีหรือชั่ว, ไม่อยากทำตามกระแสของโลก, ไม่อยากทำอะไรที่ขัดกับใจตัวเอง) สิ่งที่เรียกว่าขัดใจตัวเองคืออะไร สิ่งที่เรารู้สึกไม่ชอบใช่หรือไม่ (ไม่อยากทำผิดพลาดในชีวิต) ใครๆ ก็ไม่อยากผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะไม่ผิดได้เราต้องรู้จักตั้งตนให้ถูกก่อน เราถึงจะไม่ผิดได้  เราต้อง  รู้จักก่อนว่าอะไรผิด อะไรถูก  (ไม่อยากทำในสิ่งที่เขาไม่ให้เราทำ)  แต่บางครั้งเผลอทำไหม (ทำ) ดีที่ยอมรับ  (ไม่อยากทำความชั่ว, ไม่อยากทำในสิ่งที่ไม่ดี, ไม่อยากทำในสิ่งที่เขาต้องการให้เราทำ)  ไม่อยากให้ใครมาบังคับเรา นั่นคือสิ่งที่ท่านไม่อยากทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พ่อแม่บังคับให้ท่านเรียน แล้วท่านเรียนทำไม บางคนมักจะบอกว่าไม่ชอบ ไม่อยากทำในสิ่งที่เขาบังคับให้ทำ  จริงๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่าไม่อยาก แต่ไม่ชอบ  อย่าบอกเลยว่าไม่อยากบางทีก็อยากใช่หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ไปเรียนหรอก (ไม่อยากเป็นคนอกตัญญู)  เกิดเป็นคนต้องรู้จักกตัญญู ใช่หรือไม่ (ใช่)  กตัญญูก็คือตอบแทนคุณ สำนึกคุณ แต่บางครั้งการตอบแทนคุณสำนึกคุณคือการรักเพื่อนมากกว่ารักแม่  ถ้าคำว่ากตัญญูคือการรักเพื่อนมากกว่ารักแม่  คิดถึงหัวอกเพื่อนมากกว่าหัวอกแม่ เข้าข้างตัวเองมากกว่าเข้าข้างแม่  คิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าคิดถึงหัวอกพ่อแม่ เรียกว่ากตัญญูไหม (ไม่กตัญญู)  เพราะบ่อยครั้งการที่จะทำให้คนดีไม่ใช่แค่พูดว่าดีอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ปลอบแต่บางครั้งต้องเฉือนบ้าง ตัดบ้าง ตีบ้างเขาถึงจะดี  ลูกที่ดีต้องทนทุกเฉือน ทุกตัด ทุกตีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านนั่นแหละอกตัญญู  (ไม่ลุ่มหลงอบายมุข) แล้วตอนนี้หลงหรือไม่  (ไม่อยากทำให้คนที่รักเราเป็นห่วง)  นั่นก็คือมีจิตใจที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นใช่หรือไม่ คนที่มีจิตใจเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คนนั้นเรียกว่ามีเมตตาจิต แต่จะขยายไปถึงเมตตาจิตหรือไม่อยู่ที่ตัวเขา
 ทำไมวันนี้เราถึงบอกให้หลายๆ คนตอบ เพราะทุกคนย่อมมีสิ่งที่ไม่อยากทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อยากทำอะไรบ้าง  เราไม่อยากเป็นคนไม่ดี  ไม่อยากเถียงพ่อแม่ ไม่อยากโกหกเพื่อน ทรยศเพื่อน  ถ้าเมื่อไรที่เราสามารถขยายจิตใจที่ไม่อยากทำให้เป็นไม่ทำได้ คนนั้นเรียกว่าคนที่รู้จักมีเมตตา มีคุณธรรม  เมื่อเราสามารถขยายจิตใจที่ไม่ยอมทำให้รู้จักทำ นั่นคือคนที่รู้จักมีเมตตา มีคุณธรรม แต่หลายต่อหลายคนไม่อยากทำ ไม่อยากทำก็จริงแต่เอาเข้าจริงๆ ก็กลับไปทำ  เหมือนถ้าท่านนี้บอกว่าไม่อยากติดอบายมุข รู้ว่าไม่ดี  ถ้าเมื่อไรที่เขาสามารถสกัดกั้นคำว่าไม่อยากให้กลายเป็นเลิกทำได้ เขาจะเป็นผู้ที่สามารถเดินไปถึงคำว่าเมตตาและคุณธรรมได้  เฉกเช่นเดียวกันถ้ามนุษย์เรารู้จักขยายจิตใจที่ดี ตั้งมั่นและมุ่งมั่นทำอย่างไม่เสื่อมคลาย ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนนั้นย่อมเป็นคนที่มีจิตใจดีได้  คนนั้นย่อมเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีเมตตาธรรมได้  แต่บ่อยครั้งพอบอกว่าไม่อยากทำ เราก็ยังทำ   ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอบอกไม่ยอม ก็ยอมใช่หรือเปล่า   ต้องรู้จักไม่ยอมอะไรบ้าง ไม่ยอมให้ตัวเองเป็นคนแล้งน้ำใจ ต้องเป็นคนที่มีน้ำใจ ไม่ยอมให้ตนเองเป็นคนที่เห็นแก่ตน ไม่ยอมเด็ดขาด  และถ้าเราขยายเป็นคำว่ารู้จักเผื่อแผ่ เราก็จะเป็นคนที่มีทั้งเมตตา มีทั้งคุณธรรม ใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือว่าโดยพื้นฐานของทุกๆ ท่านเป็นคนที่จิตใจดี ถ้าเมื่อไรรู้จักคำว่าไม่ยอม ไม่อยาก อันนี้ไม่ดี อันนี้ชั่ว  ถ้าใจท่านยังรู้จักแบ่งแยกว่าอันนี้ไม่ดี อันนี้ชั่วแปลว่าใจเรานั้นยังเป็นคนดีได้ ยังเป็นพุทธะได้ แต่ขอให้ขยายใจอันดีนั้นให้ยิ่งใหญ่ ให้ก้าวหน้า เราก็จะเป็นคนที่เรียกว่าคนประเสริฐได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามักจะไม่ขยายอันนี้  เรามักจะขยายอะไร ชอบขี้บ่น ติดอบายมุข ชอบเป็นคนไม่ดี ชอบเถียงพ่อแม่ ชอบไม่ให้ใครมาทำอะไรขัดใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้เขาขัดใจบ้างก็ดีนะ ขัดแล้วเราจะได้สะอาดจริงไหม 
“ใจประชาพื้นเดิมล้วนงดงาม เผลอปลูกความเคยตัวไม่ถวิล”
เรามักจะเผลอปลูกความเคยตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเคยตัวไปแล้วเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปถวิลหามันอีก ไม่ต้องไปบอกว่านี่เรียกว่าใจเรา ไม่ต้องไปคว้ามาถ้ารู้ว่าเผลอไปแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ถอนเสีย อย่าไปเอามาเก็บไว้ อย่าไปเอามาขยายให้กลายเป็นตัวเรา กลายเป็นคนที่ไม่ดี พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  
ตัวเรานั้นก็เหมือนกับนาแปลงหนึ่ง  หากเราปลูกต้นคุณธรรมเราก็มีแต่คุณธรรมเติบโตอยู่ในใจ ความประพฤติก็ย่อมดีงาม งดงาม  แต่ถ้าตัวเราปลูกแต่สิ่งที่ไม่ดี ปลูกแต่หญ้าแพรก  ปล่อยให้ต้นไม้อะไรก็ไม่รู้มาขึ้น ปล่อยให้ต้นกิเลส ต้นตัณหา ต้นแห่งความไม่ดี ต้นแห่งความฉ้อฉลมาขึ้น  ตัวเรานั้นก็กลายเป็นคนไม่ดี คนฉ้อฉล ใช่หรือไม่ (ใช่)  การปลูกข้าวก็เหมือนกับปลูกคุณธรรมในใจเรา  บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับเราปลูกอะไรในใจเรา ก็คือปลูกสิ่งที่ดีในใจเรา เพื่อให้เรามีแบบอย่างหรือความประพฤติที่ดีงามด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ขาเหยียบดินใจทะยานปักษาบิน”
แม้เท้าเราจะเหยียบพื้นแต่ใจเราสูงส่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 

“สบายชินนานมาข้อควรระวัง”
เกิดเป็นคนปล่อยตามตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละอันตราย    นักแล ใช่ไหม (ใช่)
“ปรักปรำต่างคนต่างเสียต่างสับสน”
บางครั้งเราอยู่ร่วมกัน เราตั้งใจจะเป็นคนดี เราตั้งใจจะบำเพ็ญตนจะฝึกฝนตน มีแนวทางชีวิตที่ดีงาม แต่บางครั้งเราอยู่ร่วมกันก็ต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเวลาทะเลาะเบาะแว้งกัน ยิ่งทะเลาะกัน ต่างก็ไม่มีใครฟังกัน  เพราะต่างคนต่างถือว่าตนเองใหญ่  ต่างคนต่างคิดว่าตนเองถูก แต่ความเป็นจริงของโลกนี้ทุกคนต่างก็ถูกหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคิดในแง่ถูกก็ถูกหมด แต่คิดในแง่ผิดก็ผิดหมด  ผิดตรงที่เถียง แต่ก็เหมือนจะถูกตรงที่มีเหตุผล ใช่หรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงของโลกนี้แล้วบางครั้งเราต้องรู้จักยืนได้ทุกมุมมอง ใช่ไหม (ใช่)  คนหนึ่งมองเห็นด้านหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็มองเห็นอีกด้านหนึ่ง เราจะบอกว่าคนมองมุมนี้ผิด ก็ไม่ใช่เหมือนกัน ทุกคนถูกหมด แต่ขอให้การมองนั้นเป็นการมองที่เที่ยงธรรมไม่เข้าข้างตน การมองนั้นเป็นการมองโดยยืนพื้นอยู่บนความซื่อสัตย์และเป็นจริงตามหลักสัจธรรม 
ชั้นนี้ถ้าจะจบน้อยแต่มีคุณภาพเราก็ขอจบ ถ้าพรุ่งนี้หรือวันนี้ท่านฟังแล้วไม่อยากฟัง ไม่มา เราก็รู้สึกว่าน่าเสียใจ  เราจะบอกว่าไม่มาก็ช่างเขา  เราทำไม่ลงหรอก  ทุกท่านก็เป็นคนดี แต่จะคิดดีและทำดีหรือเปล่า นั่นแหละคือตัวท่านเองใช่ไหม วันนี้เราจะพูดเยอะๆ แต่ถ้าท่านไม่เดินไปตามที่เราพูด ก็อยู่ที่ท่านเองเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้คิดให้ดีนะว่าเรามาตรงนี้เราไม่ได้อยากจะมาหลอกลวงท่าน 
ถ้าเราอยากให้คนอื่นเคารพรักเรา เราอยากให้เพื่อนรักเรา จริงใจ
กับเรา  ตัวเรานั้นต้องเป็นแบบอย่างที่ดี  เพื่อนย่อมเข้ามาหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องอะไรเลย  ถ้าเราเป็นแบบอย่างที่ดีก็คล้ายๆ กับต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านอันร่มเย็น คนย่อมอยากเข้าไปอาศัยพึ่งพิง คนย่อมอยากเข้าไปชิดใกล้  เพราะว่าเราสามารถดำเนินชีวิตได้ดีงาม ดำเนินชีวิตได้น่าเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือการสอนโดยมีธรรม สอนโดยเอาตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดี  และพร้อมให้คนอื่นเดินตามมา  และเมื่อคนที่เป็นแบบอย่างที่ดี จะยื่นมือไปช่วย ย่อมสามารถจะนำธรรมไปช่วยเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกขณะของชีวิตเขารู้จักดำเนินและบำเพ็ญตนให้มีธรรมอยู่แล้ว  การที่จะไปช่วยเขาจึงเป็นการง่าย แต่บ่อยครั้งที่เราบำเพ็ญธรรมแล้ว  ทำไมเราถึงไม่สามารถช่วยเขาได้  เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า  เราสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีโน้มนำที่ดีได้หรือยัง  ถ้าบางครั้งแบบอย่างไม่ดีโน้มนำไม่ดี คนก็อาจจะไม่ตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทุกขณะดำเนินชีวิต ใช้คุณธรรมมาเป็นเครื่องตรวจสอบตัวเองว่าเราประพฤติได้ดีไหม  ตรวจสอบอยู่ทุกๆ วันเราก็จะเป็นคนที่สามารถดำรงและบำเพ็ญตนให้มีธรรมไปตลอดชีวิตได้  เมื่อมีธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองชีวิต ธรรมย่อมทำให้ชีวิตเป็นสุขและร่มเย็น นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะประจักษ์ได้  แต่สำคัญอยู่อย่างหนึ่งว่าท่านจะยอมทำไหม  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มาศึกษาถึงขนาดนี้ ได้เรียนรู้แล้วว่าคนเรานั้น คุณค่าของชีวิตก็คือการรู้จักบำเพ็ญตน  การที่เรามีชีวิตแล้วเรารู้จักบำเพ็ญตน รู้จักควบคุมความประพฤติและมีแนวทาง มีทิศทางของจิตใจที่จะมุ่งมั่นไปสู่ความดีงาม  คนๆ นั้นย่อมสามารถเป็นบุคคลที่นำแนวทางอันดีงาม นำแบบอย่างอัน      ดีงามให้กับสังคมที่แร้นแค้นความดีงามได้  และสามารถเอาความดีงามอันนี้ไปช่วยเหลือคนได้  แต่หลายๆ คนมักจะไม่คิดทำตรงนี้  มักจะคิดบอกว่าเป็นเรื่องทีหลัง เอาไว้ทีหลัง ฉันยังไม่ดี   แต่จริงๆ แล้วตัวท่านนั้นเป็นคนดีได้อย่างไร  ดีได้ตรงที่รู้จักขยายสิ่งที่ดีในใจตนให้ยิ่งใหญ่ ให้มีอำนาจ  เมื่อไรที่ขยายสิ่งที่ดีงามในใจตนให้ยิ่งใหญ่ให้มีอำนาจ ความชั่วร้ายย่อมยากที่จะมาคุกคามใจและทำให้ความประพฤติเบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่ดีได้ จริงไหม(จริง)
ทำไมเราถึงคิดว่าท่านมีจิตใจที่ดีงาม  ท่านยังมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นไหม (มี)  ท่านยังรู้จักแบ่งแยกชั่วดีออก  ท่านยังรู้จักเคารพ อ่อนน้อม มีเมตตาไหม (มี)  ตราบใดที่ท่านยังมีความเห็นอกเห็นใจ  มีจิตใจที่เคารพนบนอบ มีจิตใจรู้จักแบ่งแยกดีชั่ว  ท่านย่อมมีเมตตา มีคุณธรรม และมีความประพฤติที่ถูกต้องดีงามได้  แต่ถ้าเมื่อไรท่านไม่มีความเห็นใจคนอื่น  ท่านไม่รู้จักดีชั่ว นั่นก็แปลว่าคุณธรรมและความเมตตาค่อยๆ หดหาย  ปัญญาที่จะแจ่มใสเริ่มมัวหมอง  แต่ถามว่าจริงๆ แล้วเรามีไหม  เราดูออกไหม ทุกคนยังดูออก  ยังรู้อะไรดีอะไรชั่ว นั่นแหละคือปัญญา ยังรู้จักเห็นอกเห็นใจ ยัง   รู้จักเมตตาสงสารคือจิตใจเมตตา นั่นแหละก็คือจิตใจอันดีงาม  เมื่อไรที่เราสืบเสาะจนเจอแล้วว่าใจเรานั้นดี  แล้วขยายสิ่งที่ดีนั้นให้คงอยู่เรื่อยๆ ไป  ให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป เราก็เป็นคนดีได้ เราก็บำเพ็ญธรรมเป็นแบบอย่างอันงดงามได้ และเรานั้นก็สามารถเอาความดีไปช่วยคนได้  แต่อย่าแพ้ภัยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามักจะแพ้ภัยตัวเองหรือไม่ก็แพ้ใจตัวเอง เราจึงดีไม่ถึงไหน ปัญญาเลยไม่เบิกบาน  เพราะว่าเรามักจะมีความคิดที่ไม่เที่ยงธรรม ใช่   หรือไม่ (ใช่) 
คนที่เป็นคนดีแล้วก็เหมือนกับสายน้ำ ต้นย่อมสะอาด ปลายย่อมขุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสังคมนี้ย่อมเต็มไปด้วยคนดีที่เหมือนน้ำใส  และคนที่ขุ่นซึ่งเหมือนน้ำเสีย  ถ้าน้ำใสน้ำดีทิ้งน้ำเสียก็เป็นไปไม่ได้  น้ำก็คือน้ำเหมือนกัน  อันหนึ่งคือน้ำใส อีกอันหนึ่งคือน้ำเสีย  อันหนึ่งคือน้ำต้น อีกอันหนึ่งคือน้ำปลาย  เช่นเดียวกับเราแม้จะเป็นคนดีแล้ว แต่ทอดทิ้งคนที่ชั่วร้ายได้ไหม (ไม่ได้) เราต้องมีใจอดทนเปลี่ยนแปลงเขาเป็นคนดี และชักนำเขามาบำเพ็ญธรรม เท่ากับเราได้บำเพ็ญตนแล้วเรายังได้ขัดเกลาใจตนเองด้วย  เสียสละได้ไหม รู้จักอุทิศได้หรือเปล่า  เมื่อไรที่เราสามารถขยายจิตใจเสียสละและยอม เราย่อมเป็นผู้ที่ให้อย่างเช่นพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าเมื่อไรใจท่านไม่เคยรู้จักที่จะเสียสละ ไม่เคยยอม ไม่เคยเอาความดีชนะความชั่ว  ท่านก็ใกล้กับพญามาร จริงไหม (จริง) ฉะนั้นอยู่ที่คาบเกี่ยวแล้วว่าเราจะก้าวดีต่อไปไหมหรือว่าจะกลับเป็นอย่างเดิม  ตอนนี้น้ำดีก็มีให้เห็น น้ำเสียก็มีให้ประจักษ์ อยู่ที่เราเลือกแล้วว่าเราจะพยายามกลับเป็นน้ำดีหรือจะพยายามเหมือนน้ำเสีย จริงหรือไม่ (จริง) 
ในสังคมมีน้ำสองน้ำ  ตอนนี้ท่านเหมือนคนที่อยู่ระหว่างกลาง ถ้าเมื่อไรที่คิดจะเป็นน้ำดี ขอให้มุ่งมั่นไปให้ถึง แม้ไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็เป็นคนดีที่หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งของคนอื่น แต่เป็นหนึ่งในใจตน  ดีกว่าเป็นคนเสียแย่ที่สุด ไม่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าจะเลือกเป็นน้ำเช่นไร จะเลือกเป็นคนอย่างไหน เข้าใจไหม 
คนเราแม้จะมีใจบำเพ็ญและตั้งใจมุ่งมั่นทำดี แต่บางครั้งยังอดไม่ได้ที่ยังมีตัวตนของตน นี่คือความยากในการบำเพ็ญธรรม ตอนแรกยากจะตัดสินใจว่าบำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ พอมาบำเพ็ญแล้วก็ยากที่จะขจัดความเป็นตัวของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบำเพ็ญแล้วต้องรู้จักขจัดอัตตาตัวตน ถ้าเราไม่สามารถขจัดได้ ยิ่งจะบำเพ็ญเรายิ่งเป็นทุกข์ เพราะเรามีตัวเราและตัวเขา เราก็แบ่งเป็นสอง  พอแบ่งเป็นสองเราก็ย่อมเห็นเขาดี เขาไม่ดี ฉันดี เขาไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาบำเพ็ญธรรมอย่ามีตัวตนมาก ต้องรู้จักลืมตัวตนบ้าง ลืมตัวเขาบ้าง แล้วเราก็จะเป็นเหมือนเขา แล้วเขาก็จะเป็นเหมือนเรา แล้วเราก็จะเข้าใจและเข้าไปอยู่ในใจเขาได้ แล้วเขาก็จะเข้าใจเราได้  นี่คือการบำเพ็ญธรรม  บางครั้งท่านบำเพ็ญธรรมแล้วมีอุปสรรค เพราะว่าเรามีตัวตน ฉะนั้นลืมตัวตนแล้วใจเราก็จะไปอยู่ในใจเขาได้ เราก็จะเข้าใจจิตใจเขาได้  ผู้บำเพ็ญธรรมทุกๆ คนคงเข้าใจ
เวลาแห่งการเบื่อหน่ายของท่านหมดแล้ว แต่หมดเฉพาะตรงนี้ วันนี้ยังไม่หมด วันนี้อาจจะต้องฟังอีก พรุ่งนี้ใครที่ตัดสินใจว่าจะไม่มาแล้ว อยากขอให้ท่านคิดให้ดีๆ ตัดสินใจให้ดีๆ บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตขึ้นอยู่ที่มือและใจของเราจะตัดสิน จะเลือกทางเดิน  วันนี้มีคนบอกว่าทางเดินนี้เป็นการบำเพ็ญธรรม เป็นการนำพาไปสู่ความสว่างไสว ความประพฤติอันดีงาม  ขอให้ท่านคิดให้ดีว่าที่เราพูดมาใช่หรือไม่ใช่  ถ้าใช่พรุ่งนี้ก็ขอให้มาอีก  ถ้าไม่ใช่เราก็ยอมรับความผิดอันนี้เอง 

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เรื่องบุญกรรมคนเขาว่าล้าสมัย ดั่งหัวใจอยู่ภายในมองไม่เห็น
ในวันนี้เรียกให้ศิษย์ฝึกบำเพ็ญ ใจเย็นเย็นหมั่นศึกษาให้เข้าใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตัดสงสัยทิ้งสิ้นหรือยัง

นิสัยคนอดไม่ได้ต้องการรู้ จิตกำกับอยู่จึงนิ่งเป็นหนา
ลำบากทนเพียรธรรมถูกทางนา เอาแต่คิดค้นหาจิตกระจาย
ทุกทุกสิ่งสอบใจศิษย์เมธี คนดีถูกกดขี่ยุคสุดท้าย
สงบว่างยังใจไม่ล้มพ่าย การพูดจาให้ไว้สำเนียงธรรม
ธรรมะแท้ที่คนนำไปบำเพ็ญ ธรรมะเป็นทางมีไม่สูงต่ำ
ฝึกใจกว้างกว่ากว้างประเสริฐล้ำ ใหม่ตามคนเก่านำด้วยเมตตา
แหงนดูฟ้าให้ระทมกว่าเก่า เมื่อแลเจ้าเถิดเลยไม่ประสา
เวียนตายเกิดพ้นความเป็นพุทธา พิจารณาเพียงเร่งก้าวแม้ทุกข์ยัง
ศิษย์เรางานใดทำเล่นยับเยิน ยามใจเพลินตรวนจะพันธนาการขัง
จิตเบาเพราะไร้กิเลสเป็นกำลัง บำเพ็ญแล้วคนชังทบทวนรู้พลัน
หวานกระท้อนตอนช้ำทำให้คิด ส่วนชีวิตชอกช้ำไม่ฉ่ำหวาน
ได้ประสบธรรมที่รอมานาน จำติดจิตมิคร้านปรับปรุงเอย
ฮา   ฮา   หยุด

ไม่ย่อท้อมากไปกว่านี้  ศิษย์คนดีข้ายังห่วงใย  การได้รู้สัจธรรม   ยิ่งใหญ่  อย่าร้อนใจให้เวลา
* เปิดใจตนแลกเปลี่ยนกับสิ่งดีงาม  ไม่ร้อนตามแรงโลกฉันทา
** ความจริงคงไม่มี  หนึ่งคนใดดีไปพร้อมมูล  พูนความเห็นใจกันกั้นอ่อนล้า  ไม่ว่าใครอภัยเป็นประจำ  หนี้แรงกรรมผันสูญสิ้นตาม
มองศิษย์นี้ด้วยความรวดร้าว  เจ้ามีทุกข์ถึงเดินจากไป  มีกี่คนอดทนเหนือทุกข์ได้  คิดคิดไปน้ำตาก็หยดเอง 
ความหวั่นไหวพาให้ถลำ  บิดเบือนคำเมื่อยามหมดใจ  การได้รู้สัจธรรมที่ยิ่งใหญ่  กว่าเข้าใจไร้ซึ่งทาง (ซ้ำ * , **)
รักหรือหลงคิดดูสักนิด  เจ้ามองเห็นหรือตาพร่าไป  ข้าคอยเตือนแต่สุดท้ายต้องสายไป  เพราะอะไรขอจงตอบที
ทำนองเพลง : ยากยิ่งนัก
ชื่อเพลง : เพราะอะไรขอจงตอบที


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ในเพลงท่อนที่ว่า “พบผู้คนศรัทธามากมาย เราจึงได้ลงมาเยี่ยมเยือน”  ไม่รู้ว่าที่นี่มีคนศรัทธาหรือเปล่า  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกติก็มองไม่เห็นอยู่แล้ว จะเหลียวหน้าเหลียวหลังกันไปทำไม  ไม่รู้ว่าอาจารย์มีศิษย์ดื้อๆ อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร ดื้อหรือไม่ดื้อ (ไม่ดื้อ)  มีคนเข้าข้างตัวเอง ทำให้วันนี้อาจารย์เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนมาไม่ได้ ต้องมาเอง ดื้อหรือไม่ดื้อ (ดื้อ)  
เวลาเรามานั่งในสถานธรรม เราต้องเป็นคนที่มีความสุภาพเรียบร้อย เป็นคนที่น่ารักและตั้งใจฟัง ดีหรือเปล่า (ดี)  ความสงสัยเหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วอยู่  ถ้าน้ำเต็มแก้วจะเอาน้ำใส่ลงไปในแก้วอีกได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่รู้ว่าน้ำเต็มแก้วของศิษย์นี้มีน้ำขุ่นๆ หรือน้ำใสๆ  ยอมรับว่าตัวเองมีน้ำอยู่ในแก้ว เพราะฉะนั้นลองยกมือว่างๆ ขึ้นมาคิดว่าถือแก้วน้ำ แล้วเทน้ำออกสักครึ่งแก้ว  แก้วนี้อยู่ในใจของเรา  แก้วนี้ไม่มีรูปลักษณ์ เหมือนกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีรูปลักษณ์  เทน้ำออกจากใจได้ก็เติมน้ำใหม่เข้าไปได้  เทน้ำออกจากใจไม่ได้ก็เติมน้ำใหม่เข้าไปไม่ได้  ต่อไปนี้คงจะฟังอาจารย์รู้เรื่องขึ้น 
หน้าตาก็ไม่ดื้อเท่าไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับว่าตนเองทำผิดอะไรทั้งนั้น  ความผิดของเรามีตั้งมากมาย  แต่จะหาคนที่จะยอมรับความผิดที่ตนเองทำนั้นมีน้อยมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่ก็บอกว่าคนอื่นผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ให้ดูดีๆ ว่าเราทำเรื่องราวหลายเรื่องในหนึ่งวัน ในชีวิตๆ หนึ่งมีเรื่องราวที่เป็นความผิดสักกี่เรื่อง  ถ้าใครไม่เคยเจอความผิดของตัวเองเลย  อะไรๆ คนอื่นก็ยังผิดอยู่เสมอ แสดงว่าทุกเรื่องที่เราทำนั้นก็ผิดหมดเลย  ถ้าเราเห็นความผิดของตัวเองสักเรื่องสองเรื่อง ความผิดที่เราทำก็จะกลายเป็นเรื่องถูก เพราะอะไร  ไม่ใช่อาจารย์นึกว่าจะให้ถูกก็จะถูก นึกจะกาผิดก็กาผิด  แต่ว่าถูกได้เพราะว่าเรานั้นมีสำนึกและรู้จักที่จะแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  
การที่มานั่งในสถานธรรมนั้นเป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างยิ่ง อย่าเห็นว่ารับธรรมะก็รับง่ายๆ มาฟังธรรมะก็ง่ายๆ จบสามวันก็ง่ายๆ กลับไปบ้านก็เฉยๆ ใช่หรือไม่  หลายคนกลับไปบ้านแล้ว ธรรมะที่ฟังไปนั้นไม่สามารถจะปฏิบัติได้ ไม่สามารถเก็บไปใช้ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะว่าน้ำเรายังเต็มแก้วอยู่  เราจึงไม่สามารถที่จะรับสิ่งใดที่เป็นสิ่งใหม่กลับเข้าไปได้เลย  
อาจารย์ไม่ได้มาชวนศิษย์ให้สงสัย   เพราะฉะนั้นความสงสัยก็เก็บ
ทิ้งไว้ก่อน ได้ไหม (ได้)  ขอให้ทำได้จริงๆ นะ 
“เรื่องบุญกรรมคนเขาว่าล้าสมัย”
รู้จักไหมเรื่องบุญเรื่องกรรม  มีคนบอกว่าล้าสมัย ใช่หรือเปล่า (ไม่ล้าสมัย)  ศิษย์ของอาจารย์มาถึงที่นี่แล้วก็อย่าว่าเรื่องบุญกรรมเป็นเรื่องล้าสมัย  เราต้องรู้จักที่จะสวนกระแสของอะไร (ของโลก)  เท่าที่เรามองเห็นกระแสของโลกเป็นอย่างไร  (เลวลง, วุ่นวายขึ้น)  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานผลไม้ให้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)  อุ้มลัญจกรไว้ผลไม้ก็ไม่ถึงมือใช่หรือเปล่า  บางคนจำไตรรัตน์ได้      ชั่วชีวิต แต่ว่าบำเพ็ญคือการลงแรง ไม่เคยลงแรงเลยก็ไม่มีประโยชน์ เอามือออกมาคว้าหน่อย คว้าไวๆ ก็ได้ไป คว้าช้าๆ ได้ไหม คว้าพลาดได้ไหม 
มีคนตอบว่าวุ่นวายขึ้นและเลวลง  อะไรวุ่นวายและเลวลง (จิตใจวุ่นวาย) จิตใจวุ่นวายขึ้น จิตใจมีความเลวลง  แสดงว่าเดิมแท้เป็นจิตใจที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์มานั่งในชั้นเรียนนี้ เรียกว่าชั้นเรียนฟื้นฟูอะไร (จิตใจ)  ชั้นเรียนนี้มีชื่อว่า “ชั้นเรียนฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ”  ทำไมตอนนี้ต้องมีการฟื้นฟู (ฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้น)  ต้องฟื้นฟูจิตใจอันนี้ให้ดีขึ้น เราทุกคนยอมรับไหมว่าจิตใจของเรานั้นแย่ลงทุกวันๆ (ยอมรับ)  ถ้าไม่ใช้สติยับยั้งชั่งใจสักหน่อย จิตใจนี้ก็ถอยลงๆ ทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นคนชั่วได้ดีแล้วเราก็อยากทำไม่ดีบ้าง เพราะเรารู้สึกว่าบุญกรรมไม่มีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่ามีใครรอดูจนชีวิตของคนที่เราเห็นเขาทำชั่วได้ดีนั้นจบชีวิตลง มีคนทนรอจนถึงตอนเขาจบชีวิตได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ไม่มีใครรอดูตอนจบเลย เหมือนดูละครแต่ตอนต้นเรื่อง ตอนจบได้ดูไหม ในละครจริงๆ ได้ดู แต่ในชีวิตคนที่เหมือนละครอันนั้นไม่ได้ดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้น
เราจะบอกว่าคนทำชั่วได้ดีได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานผลไม้ให้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)  การที่เรานั้นมีธรรมะอยู่ในมือ ต้องจับประคองธรรมะเหมือนกับเราจับแอปเปิ้ลลูกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจับได้ไม่ดี คนอื่นเอาไปได้ไหม (ได้)  คนไทยนั้นแปลคำว่า “ฉิวเต้า” ได้คำว่ารับธรรมะ อาจารย์ไม่ค้าน แต่ว่ารับไปแล้วให้คนอื่นเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ายังใช้มือเดียวจับแอปเปิ้ล จะหลุดมือไหม (หลุด) ต้องทำอย่างไร (จับสองมือ)  ถ้าจับสองมือ คนอื่นแย่งไปได้ไหม (ไม่ได้)  
เวลาที่จิตใจของเรานั้นมีความเป็นพุทธะ จิตใจสะอาดๆ ก็คิดแต่เรื่องดี  เวลาจิตใจของเราไม่สะอาดก็เรียกว่าจิตใจของมาร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มารมาแย่งแค่วิธีเดียวนี้หรือเปล่า (ไม่)  มารมีวิธีทำให้เราเผลอ  ถามว่าเราเผลอไหม (เผลอ)  ชายหนุ่มชอบสาวงาม เผลอไหม (เผลอ)  ถ้ามีสาวงามมาจูงไป ก็เอาแอปเปิ้ลวางไว้ก่อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หญิงสาวเจอชายหนุ่มรูปงาม เงินทองกองโตเอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ไม่เชื่อ เพราะเวลามีแฟนก็เก็บธรรมะเอาไว้ก่อน เอาเรื่องเฉพาะหน้าก่อน คนส่วนใหญ่ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งนั้น แต่ไม่ดูว่าของที่อยู่ในมือเรา ของที่ใจของเราได้มานั้นล้ำค่าเพียงไหน  ส่วนใหญ่ก็จะเสียไปเพราะว่าเรานั้นไม่รู้จักคุณค่า 
วันนี้นักเรียนมีเท่านี้ ทุกคนต้องร่วมกันตอบดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าทุกคนในชั้นสามัคคีกัน เราก็จะได้แอปเปิ้ลคนละสองลูก  ถ้าคนในชั้นไม่สามัคคีกัน  คนที่ตอบหนที่สองก็จะไม่ได้ผลไม้  สามัคคีกันหน่อยดีไหม อยากจะได้ผลไม้ทุกคนไหม (อยาก)  

“ดั่งหัวใจอยู่ภายในมองไม่เห็น”
หัวใจอยู่ข้างในมองเห็นไหม (ไม่เห็น)  ถามว่าขาดหัวใจนี้ ชีวิตนี้ขาดไหม (ขาด)  เรื่องบุญกรรมนั้นก็เหมือนกับหัวใจ  บางคนบอกว่าบุญกรรมเป็นอย่างไร มองไม่เห็นเลย  บางคนบอกว่าบุญต้องตัวกลม ๆ และกรรมต้องตัวรี ๆ  บุญกรรมนั้นไม่สามารถมองเห็นได้แต่สัมผัสได้  คนทำไม่ดีเราอยากเข้าใกล้ไหม (ไม่อยาก)  เราสัมผัสได้ไหม  ถ้ามีคนไม่ดียืนอยู่ตรงหน้าเรา เราอยากเข้าใกล้ไหม (ไม่อยาก)  เราใช้ความรู้สึกสัมผัสจึงรู้ว่าคนนี้ไม่ดี  ฉะนั้นจึงบอกว่าเรื่องบุญกรรมแม้มองไม่เห็น แต่จิตสัมผัสได้  ถามว่าบุญกรรมมีจริงไหม  อย่างน้อยๆ ที่ตาเห็น  เวลาคนนี้ไม่ดีศิษย์ก็ไม่อยากไปอยู่กับเขา ไม่อยากเข้าใกล้  เพราะฉะนั้นเราต้องทำตนให้เป็นคนดี  เพื่อที่ใครเห็นใครก็รัก  บางคนบอกว่าทำไมคนอื่นไม่ชอบฉันเลย  ถามว่าเราเคยชอบคนอื่นไหม เคยชื่นชมเขา ยกย่องให้คนอื่นเหนือกว่าเราไหม  เคยแต่ว่าน้อยครั้งเหลือเกิน  นอกจากคนนั้นจะเก่งจริงๆ  เราถึงจะยอมให้เขาเหนือกว่าเรา  แต่ส่วนใหญ่เรายังอยากเหนือกว่าเขา  เราจึงไม่ได้รับความรักจากใครเลย  
“ในวันนี้เรียกให้ศิษย์ฝึกบำเพ็ญ ใจเย็นเย็นหมั่นศึกษาให้เข้าใจ”
อาจารย์เรียกให้ศิษย์ฝึกฝนบำเพ็ญธรรม และยังเรียกให้ศิษย์นั้นใจเย็นๆ ค่อยศึกษาให้เข้าใจด้วย  สามวันนี้มานั่งฟังธรรม ก็เหมือนปลูกต้นไม้หนึ่งต้น  ต้นไม้ต้นหนึ่งใช้เวลาสามวันปลูกขึ้นไหม (ไม่ขึ้น)  โดยเฉพาะอาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเติบโตเป็นต้นโพธิ์ ไม่ใช่เป็นต้นถั่วงอก  ถั่วงอกใช้เวลาปลูกไม่กี่วัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นถั่วงอกใช้เวลานิดเดียว  เข้าใจรวดเร็ว เติบโตรวดเร็ว แต่ก็ตายเร็ว  แต่ถ้าเกิดว่าศิษย์เป็นต้นโพธิ์ สามวันพอไหม (ไม่พอ)  สามวันยังพอให้ศิษย์นั้นอบอุ่นในพื้นดิน แล้วก็มีความมั่นคง  หากว่ามีความมั่นคงพอ วันข้างหน้าไม่ต้องพูดถึง  ฟ้าและดินช่วยกันปลูก ช่วยกันเลี้ยง ศิษย์จะเติบโตขึ้นเอง  แต่หากว่าบางคนใจร้อน รอไม่ไหว  สามวันก็อยากจะรู้หมดทุกอย่าง สามวันก็คิดว่าตนเองเข้าใจหมดทุกอย่าง  คนๆ นี้ อาจารย์ให้ศิษย์เดาว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว (ล้มเหลว)  เพราะฉะนั้นศิษย์ต่างได้รู้ ต่างทำนายชะตาชีวิตออกว่าถ้าศิษย์ให้เวลาตนเองแค่สามวัน เพื่อที่จะรู้และเข้าใจนั้นน้อยเกินไป  ต้องให้เวลากับตนเองที่จะศึกษาและบำเพ็ญธรรม  ถ้าหากว่าคนอื่นไม่ไปเรียกเรามาสถานธรรมเราจะทำอย่างไร (ตั้งใจมาเอง)  บางคนนั้น ทุกๆ ครั้งที่จะมาสถานธรรม ก็รอให้ผู้อื่นมาเรียก  ถ้าเขาไม่เรียกก็ไม่ได้มา เอาชะตาชีวิตของตนเองไปแขวนไว้กับสมองคนอื่นว่าเขาจะจำได้หรือไม่ได้  ถ้าเราไม่น่าสนใจพอ เขาลืมเราไป เราก็ลืมการบำเพ็ญธรรมไปได้ ลืมการเป็นพุทธะไปได้เลย  อย่างนี้ถือว่าเรานั้นไม่รู้จักขวนขวายด้วยตนเอง  อาจารย์จึงบอกว่าถ้าเกิดไม่มีคนไปเรียกศิษย์นั้นก็ต้องรู้จักมาด้วยตนเอง  ถ้าหากว่าเราอยากจะมาแต่ไม่มีเวลาว่าง  ก็ต้องเจียดเวลา คือทำอย่างไร (รู้จักแบ่งเวลา, สละเวลา)  คำว่าเจียดก็คือ ในหนึ่งร้อยส่วน เอาไม่ถึงหนึ่งส่วน เรียกว่า “เจียดเวลา”  หากศิษย์มีใจคำว่าเจียดของศิษย์นั้นอาจเป็นหนึ่งส่วน สองส่วน สามส่วน ห้าส่วนหรือสิบส่วน เรียกว่าเจียดเวลา  เสียสละเวลาคือครึ่งต่อครึ่ง คือครึ่งหนึ่งทำงานธรรม อีกครึ่งหนึ่งทำมาหากิน  ครึ่งหนึ่งเท่านั้นจึงเรียกว่า “สละเวลา”  บางคนบอกว่าตนเองสละตนแล้ว แต่การกระทำนั้นไปไม่ถึง มีใจไม่มากพอ  “การแบ่งเวลา” คือการทำเป็นสัดส่วน ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่นั้นไปไม่ค่อยถึง  ทั้งๆ ที่เป็นหลักการที่ชาวโลกคิดขึ้นมา แล้วแต่ศิษย์จะเลือกเจียดเวลา แบ่งเวลา หรือสละเวลาก็ได้ อย่าใช้ประโยคผิด
ศิษย์เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (ใจ)  บางคนบอกว่าตนเองมีใจ  เคยได้ยินไหมบอกว่ามีใจบำเพ็ญ แต่ก็มีแค่ใจ  คนมีแต่ใจถึงอาจารย์ได้ยิน แล้วคนอื่นได้ยินไหม  เพราะฉะนั้นเวลาที่บำเพ็ญธรรม อย่าบอกว่าเรามีใจบำเพ็ญ แต่ไม่มีเวลา  เรียกว่าความคิด คำพูดและการกระทำต้องเป็นอย่างไร (เหมือนกัน)  คนตอบยังเด็กอยู่  เด็กมีปัญญาไหม  เรามีปัญญาไหม    ทุกๆ คนต่างมีปัญญาเหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะนำปัญญาออกมาใช้หรือไม่  บางคนอาจารย์ถามแล้วไม่ค่อยอยากจะตอบ เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่งพอแล้ว  เรามีปัญญาต้องรู้จักใช้  ทุกคนจะต้องแสดงคำพูด การกระทำ และความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน  หากวันนี้มาฟังธรรม สิ่งที่ฟังคือสิ่งที่คนอื่นพูดออกมา ซึ่งคนที่พูดออกมาเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนธรรมะ กล่าวธรรมะที่ไร้รูปลักษณ์ออกมาเป็นเสียง ก็คือเป็นคำพูด  อาจารย์ไม่ได้ให้เชื่อ  เมื่อฟังแล้วต้องคิด เมื่อคิดแล้วเรารู้สึกศรัทธา อยากจะทำ  แต่ว่าการกระทำทั้งหมดของเราไม่มีอย่างที่ฟังมาเลย  ทุกครั้งฟังว่าความกตัญญูดี แต่กลับไปบ้าน ความกตัญญูยังอยู่ในความคิด  ถามว่าคนนี้การกระทำ คำพูดและความคิดเป็นสิ่งเดียวกันไหม (ไม่เป็น)  เพราะฉะนั้นฟังสิ่งที่คนอื่นพูดมาแล้วต้องคิดและกระทำออกมา  อย่าบอกว่าเรามีใจ  มีแต่ใจอาจารย์ไม่เอา  บางคนมีใจมาก แต่มีเพียงแค่ใจล้วนๆ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นแต่มนุษย์ด้วยกันไม่เห็น  การกระทำไม่มี กุศลก็ไม่มี  ไม่ทำตามอย่างที่อาจารย์พูดแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร จะกลับไปนิพพานได้อย่างไร จะกลับคืนไปบนฟ้าได้อย่างไร  ฉะนั้นการกระทำ คำพูด ความคิดออกมาเป็นอย่างเดียวกัน  
สิ่งที่อาจารย์พูดแง่แรก คือการฟังผู้อื่นพูด  แต่มีอีกแง่หนึ่งคือสิ่งที่ตนเองพูด คิด และกระทำ  เราพูดอะไรออกไป เราต้องทำได้  สิ่งที่เราพูดออกไปเราต้องคิดก่อน  และสิ่งที่เราทำออกไป ต้องเป็นอะไร (คิดให้รอบคอบก่อนแล้วค่อยทำ) นี่คือสิ่งที่อาจารย์ต้องการ  เวลาเราจะทำอะไรเราต้องคิดก่อน คิดก่อนทำและคิดก่อนพูด 
พูด        คิด        ทำ
ความคิดอยู่ตรงกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะพูดและจะทำเราต้องทำอย่างไรก่อน (คิด)  ดังนี้เรียกว่า เดินทางสายกลาง เวลาเราทำสิ่งใด เราก็จะทำสิ่งที่ผิดพลาดน้อยลง เวลาเราจะพูดสิ่งใดเราก็จะพูดผิดน้อยลง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ส่วนใหญ่ความคิดไปไม่ทันสิ่งที่เราพูดและทำ จึงเกิดความผิดพลาดขึ้น  ฉะนั้นตอนนี้เราต้องคิดก่อนแล้วจึงพูดและทำ นี่คือสิ่งที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้มีความระมัดระวังมากขึ้น  ต่อไปแม้เราไม่อยากเจริญก้าวหน้า เราก็จะเจริญก้าวหน้าเอง  ความคิดที่อยู่ตรงกลางมีอะไรบ้าง เวลาเราจะคิดเราต้องคิดว่าอะไร  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  บางคนเวลารับธรรมะไปแล้ว รับธรรมะเหมือนกับรับผลไม้ลูกนี้  รับไปแล้วผลไม้นี้มีค่า ถ้ามีใครจะแย่งเราจะต้องรีบคว้าไว้ก่อน แต่บางทีเขามาคว้าเขาก็ไม่ได้บอกเราเพราะเราไม่ได้เขียนชื่อติดไว้ เพราะฉะนั้นต้องเก็บไว้กับตัว รักษาไว้ให้ดีตราบจนกระทั่งเรากินแอปเปิ้ลลงไปในท้องเสร็จเรียบร้อยก็ถือว่าจบ กินแอปเปิ้ลลงไปในท้องหมายความว่า วันใดที่เราเสียชีวิตไปแล้ว สิ้นชีวิตไปแล้ว การบำเพ็ญของเราก็จบ เราบำเพ็ญได้สูงเท่าไหน บำเพ็ญได้ดีเท่าไร นั่นเป็นสิ่งที่เราได้รับ  
เวลาก่อนที่เราจะพูดและทำต้องคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความคิดนั้นช่วยการกระทำและการพูดของเราได้  ทีนี้เราก็มองกลับว่าสิ่งที่เราทำและสิ่งที่เราพูดนั้นอยู่ในความคิดของเรา ดูว่าประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวหรือเปล่า  ถ้าประสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวทุกๆ เวลา ไม่ว่าศิษย์จะเดินไปทางไหนก็จะมีคนที่คอยทำตามอย่างเรา  มีคำพูดแต่โบราณบอกว่า “ตามรอยอริยะ”  ทำไมคนเหล่านั้นถึงเป็นอริยะได้ ด้วยพื้นฐานง่ายๆ คือพูด คิด ทำด้วยปัญญาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน  ทุกๆ ครั้งที่เราจะทำและพูดใดใด เราต้องคิด เวลาที่เราคิดเราก็ต้องคิดซ้อนเข้าไปอีกว่า เราคิดแล้วเอาไปทำและพูดเป็นความจริงด้วยปัญญา  ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ได้ไหม 
หากวันนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ตัดความสงสัยทิ้งไป ก็เปรียบเสมือนต้นหญ้านั้นยังมีราก ตัดแค่โคนทิ้งรากยังอยู่ ในวันข้างหน้าพอโดนฝนตกมาใหม่ก็ขึ้นมาอีก เป็นผลร้ายต่อการบำเพ็ญ  บางคนนั้นหลอกตัวเองโดยตัดความสงสัยทิ้งไปชั่วคราว  สงสัยนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่สงสัยในการบำเพ็ญธรรม สงสัยในการที่เราจะเดินทางธรรม สงสัยในสัจธรรมต่างๆ  อาจารย์จึงบอกว่าให้เวลาตัวเองศึกษาให้เข้าใจ เข้าใจแล้วดึงโคนทิ้ง ไม่เก็บไว้อีก จะเป็นผลดีต่อการบำเพ็ญของศิษย์มาก  
“นิสัยคนอดไม่ได้ต้องการรู้  จิตกำกับอยู่จึงนิ่งเป็นหนา”
คนนั้นมีนิสัยช่างอยากรู้อยากเห็นไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าเราอยากจะรู้ทุกเรื่องแล้วเราจะรู้ทุกเรื่องไหม เวลาที่เราอยากจะรู้สิ่งใด ก็ไม่ใช่ว่าเราจะได้รู้ทุกอย่าง นี่เป็นสัจธรรมและความจริงในโลกนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราอยากรู้นั้น สิ่งใดศึกษาได้ รู้ได้ ก็ใคร่รู้ให้จริง เมื่อรู้จริงแล้วจึงทำจริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่านิสัยความช่างรู้ของเรา บางทีนั้นจะเป็นโทษให้กับเราเอง  เหมือนกับที่ศิษย์อยากรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริงหรือเปล่า บุญกรรมมีจริงหรือเปล่า  ถามว่าที่ศิษย์อยากรู้นั้นจะรู้ได้ไหม  มีบางคนบอกว่าเขาเคยตายมาแล้วหมายถึงเสียชีวิตจริงๆ เวลาที่ศิษย์ไปเจอเขา ได้คุยสนทนากับเขา ศิษย์ก็เชื่อว่าตายแล้วยังมีวิญญาณอยู่จริง แต่พอเวลาให้หลังไปไม่นานเท่าไร  ความคิดใหม่ของเราก็เข้ามาแทรก บอกว่าสงสัยคนนี้จะเพ้อไปเอง  มนุษย์เป็นคนที่เชื่อยาก แต่ว่าเผลอผิดง่าย  จึงบอกว่าถ้าจะให้ดีให้เอาจิตของเราเข้ากำกับ เหมือนเวลาที่เราเห็นคนอื่นนั้นกำกับละคร เขาบอกว่าให้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตของเรานั้น เราก็เอาจิตของเราเข้ามากำกับบังคับบัญชาตลอดเวลา  บางคนนั้นไม่รู้ว่าจิตเป็นเจ้านาย เอาจิตเป็นทาส หากว่าจิตเป็นเจ้านาย เวลาทำอะไรก็คิดก่อนทำ  เวลาที่เราเอาจิตเป็นทาสคือคนที่คิดฟุ้งซ่าน คิดไปเรื่อยเปื่อยไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่าเอาจิตเป็นทาส  อาจารย์พูดถึงคนที่คิดเจ้าคิดเจ้าแค้น กับคนที่รู้จักคิดก่อนแล้วค่อยทำ มีความแตกต่างกันมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนหนึ่งใช้จิตไปกำกับการกระทำ กับอีกคนหนึ่งใช้สิ่งแวดล้อมทั้งหมดมากำกับจิตตัวเอง เคยเห็นไหมคนที่คิดฟุ้งซ่าน คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่เคยเห็นก็ไปส่องกระจกดู แล้วเราจะเห็นคนๆ นั้นทันที 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้นสองคน)
คนหนึ่งเป็นจิต คนหนึ่งเป็นผู้กำกับ จิตกำกับอยากให้เขายกแขนซ้ายต้องทำอย่างไร จิตจะอยู่เฉยได้ไหม จิตเอามือเอื้อมไปจับให้เขายกแขนซ้ายขึ้น จิตบอกให้ยกแขนขวาก็ต้องจับยก  เพราะว่าจิตของคนนั้นถ้าไม่จับก็ไปเรื่อยๆ  จิตของคนนั้นเหมือนกับลิง ถ้าไม่เอาอะไรล่ามไว้ก็จะไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจิตของเราจับจิตใจของเราให้อยู่ แล้วเวลาเราอยากให้ร่างกายนี้ทำอะไร เราก็ให้จิตของเรานั้นจับ หมายความว่าทุกขณะจิตนั้นเราจะต้องรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ทำอะไรไปโดยไม่รู้เรื่อง เวลาทำอะไรไปไม่รู้เรื่องเหมือนคนกินเหล้า กินเหล้าแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีก็งงๆ ไปเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า เราต้องเอาจิตของเรากำกับไว้  
ทีนี้ถ้าร่างกายนี้หันมากำกับจิต  เราบอกจิตของเราว่าตอนนี้เราอยากจะไปทำอะไร  ถ้าวันนี้เราอยากยกแขนขวาทำอย่างไร อันนี้เป็นจิตเอากายเข้าควบคุม เราบอกว่าเราบังคับจิตของเราว่าเราจะยกแขนขวา จิตมีแขนไหม (ไม่มี)  จิตไม่มีแขน จิตมีแต่ความคิด พอทำไม่ได้แล้วโดยทั่วไปเราหยุดไหม (ไม่หยุด)  อยากให้จิตยกให้ได้ ต้องยกให้ขึ้น  จิตยกไม่ขึ้นเพราะว่าไม่มีร่างกายนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตไม่มีกายเหมือนที่กายมี แต่กายมีจิตได้  เพราะฉะนั้นคนจึงเฝ้าคิดไปเรื่อยๆ อยากจะให้จิตเราทำอย่างนี้ๆ แต่ทำไม่ได้  เพราะจิตไม่มีร่างกาย ไม่มีแขน ไม่มีขา จึงบอกว่านี่คือคนฟุ้งซ่าน  เพราะว่าเฝ้าบังคับบัญชาจิตอันนี้ อยากให้จิตอันนี้งอกแขนขึ้นมาเราจะได้บังคับจิตไป แต่ว่าบังคับไม่ได้ หลายคนจึงเป็นคนที่ฟุ้งซ่าน ฉะนั้นอยากจะดูคนฟุ้งซ่านก็เอาเรานั้นไปส่องกระจก เราก็จะเห็นคนฟุ้งซ่านคนนี้  
ทีนี้เข้าใจแล้วว่าจิตและกายนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร  อาจารย์จะบอกให้ว่าอาจารย์นั้นมีแต่วิญญาณ มีแต่จิต ถ้าไม่มีกายนี้อาจารย์ก็ทำอะไรไม่ได้ คุยกับศิษย์ไม่ได้ ตั้งแต่มาทีแรกจึงบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแท้เดิมแล้วก็ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่สามารถสื่อสารอะไรได้ ไม่สามารถจะทำอะไรได้ อยากจะไปช่วยคนสักคนก็ช่วยไม่ได้ ในขณะนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีร่างกายเป็นมนุษย์  ตีร่างกาย ร่างกายนี้ก็ยังเจ็บ แต่ถามว่าความเจ็บนี้ให้อะไรบ้าง  เจ็บนี้ทำให้เราจำได้ ทำให้เรารู้ว่ามีร่างกายอันนี้อยู่ เพราะฉะนั้นร่างกายอันนี้เป็นสิ่งมีค่า อย่าพาร่างกายของเรานี้ไปเที่ยวในที่ที่ไม่ควร ไปทำในสิ่งที่ไม่ควร ไปเล่นในสิ่งที่ไม่ควร บางคนชอบเล่นไพ่ บางคนชอบเล่นหวย บางคนชอบไปเที่ยว บางคนชอบที่จะกินอะไรเข้าไปทำร้ายร่างกายตัวเอง บางคนก็พาร่างกายของเรานี้ไปเรื่อยๆ ตามที่ใจของเรานั้นฟุ้งซ่านออกไป ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น  
เพราะฉะนั้นตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ให้รู้ไว้ คนบำเพ็ญธรรมควรตั้งใจที่จะไปสู่ในที่ที่สูงกว่าที่เราอยู่  ชีวิตจะต้องพัฒนาทั้งนอกทั้งใน นั่นคือจิตใจได้รับการพัฒนาและร่างกายของเราจะสามารถไปทำการงานใหญ่โตได้นั้นต้องใช้จิตของเราบังคับกายของเราให้ถูกต้อง ที่ที่ไม่ควร ที่ที่ไม่ดีเราก็ไม่ไป  ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ควร ที่ดี  เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ศิษย์นั้นรู้มานานแสนนาน ตั้งแต่ศิษย์รู้ความจนเดี๋ยวนี้  แต่บางทีเราก็เผลอ  อย่าเผลอบ่อยๆ ดีหรือเปล่า  
“ทุกทุกสิ่งสอบใจศิษย์เมธี   คนดีถูกกดขี่ยุคสุดท้าย
สงบว่างยังใจไม่ล้มพ่าย การพูดจาให้ไว้สำเนียงธรรม”
ทุกๆ สิ่งนั้นสอบใจของเราผู้เป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์เรียกศิษย์ว่าศิษย์เมธีเพราะว่าอะไร เมธีคือผู้ที่มีความเมตตา มีปัญญา เป็นผู้ที่ช่วยผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อศิษย์คนใดของอาจารย์ เป็นผู้ที่เมตตาช่วยผู้อื่นอยู่เสมอ ศิษย์คนนั้นก็จะเจอทุกๆ สิ่งที่มาสอบใจ เพราะเวลาเราไปช่วยคนอื่นเราก็ไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่ไม่เหมือนเมื่อก่อนนี้ที่เราไปยุ่งเกี่ยวเรื่องชาวบ้าน แต่ตอนนี้เรายุ่งเกี่ยวกับเรื่องจิตของเขา อยากให้เขาพ้นทุกข์ ก่อนจะช่วยคนให้พ้นทุกข์เราต้องทำอย่างไร (การที่เราจะช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ ตัวเราต้องเจอทุกข์และอุปสรรคหลายๆ ด้าน ต้องเจอให้หมดถึงจะไปช่วยผู้อื่นได้) การที่เราจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์นั้นเราต้องเจอทุกข์ก่อน อันนี้เป็นสิ่งที่แน่นอนแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เวลาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาอย่าให้ทุกข์เลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตกลงศิษย์จะไปช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ หรือจะช่วยตัวเองพ้นทุกข์คนเดียว (ให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) ใครว่าให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ยกมือขึ้น ใครอยากให้ตนเองพ้นทุกข์ยกมือขึ้น คนที่ไม่ยกมือคิดไม่ออกไม่รู้จะเลือกอะไรดี เขาเรียกจับปลาสองมือ ปลาตัวนี้ก็ดี ปลาตัวนั้นก็ดี  อาจารย์จะพูดให้ฟัง หากศิษย์ต้องการช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์แน่นอนศิษย์ต้องเจอทุกข์ก่อน ไม่รู้จักความทุกข์ก็ไปช่วยเขาออกจากความทุกข์ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน ถ้าหากว่าศิษย์นั้นช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ศิษย์ก็คือพุทธะ เพราะรู้จักช่วยคนอื่นมากกว่าจะช่วยตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าศิษย์นั้นบอกว่าอยากให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็ต้องรอพุทธะมาช่วย เราจะเป็นอะไร  เราก็คือปุถุชนผู้ยังหลับๆ ตื่นๆ หลับบ้างตื่นบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงตอนนี้อยากเป็นพุทธะหรืออยากเป็นปุถุชน (อยากเป็นพุทธะ)  เริ่มจับปลาตัวที่สาม ตอนแรกก็บอกว่าอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ อยากให้ตนเองพ้นทุกข์ด้วย เสร็จแล้วก็บอกว่าอยากได้หมดทุกอย่างในโลกนี้ที่ว่าดี เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์คนใดที่ออกไปช่วยผู้อื่น ออกไปพูดธรรมะกับผู้อื่น โดนว่าบ้าง โดนติบ้าง หรือคนไม่ค่อยเข้าใจเราเลย เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา) นี่คือธรรมดาของผู้ที่จะบำเพ็ญธรรม หากว่าศิษย์นั้นอยู่คนเดียวไม่ต้องการช่วยใคร อยากจะบรรลุไปคนเดียว ศิษย์ก็จะไม่ต้องทุกข์กับคนอื่น  แต่ในปัจจุบันนี้ธรรมะลงโปรดสู่โลก ช่วยคนให้พ้นทุกข์  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีกายเนื้ออย่างมากก็ช่วยได้นิดหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างชะตาชีวิตของตน ชะตาชีวิตของโลก ชะตาชีวิตของทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเป็นผู้กำหนดเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  นับประสาอะไรกับความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ที่มาวันละไม่ถึงหน  บางคนนั้นมีความทุกข์วันหนึ่งไม่ถึงหนเลย หนึ่งวันความทุกข์หนึ่งหนนับว่าน้อย  บางคนทุกข์ทั้งวัน ทั้งหลับทั้งตื่น  อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์นั้นเลือกที่จะทุกข์ คือบางเรื่องตัดได้ ปล่อยได้ วางได้ ต้องปล่อยวางใช่หรือไม่ บางคนมีความทุกข์ไม่ยอมจบไม่ยอมสิ้นเพราะว่าไม่รู้จักคำว่าปล่อยวาง ต่อให้เป็นพุทธะที่ศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากฟ้าก็ช่วยศิษย์ไม่ได้  เพราะว่าใจนั้นอยู่ที่ใคร (อยู่ที่ตัวเราเอง) ใจอยู่ที่เรา เราต้องกำกับเอง เราต้องรู้จักที่จะดูแลใจของเราให้ดี 
“ธรรมะแท้ที่คนนำไปบำเพ็ญ”
บทนี้บอกว่าธรรมะนั้นแท้หรือว่าเท็จอยู่ที่คนที่เอาไปปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าศิษย์นั้นนำไปบำเพ็ญปฏิบัติ  ธรรมะที่อยู่ในตัวศิษย์ก็จะเป็นธรรมะที่แท้  แต่หากว่าศิษย์นั้นเอาไปทิ้งๆ ขว้างๆ ต่อให้ธรรมะศักดิ์สิทธิ์มาอยู่กับเราก็เสื่อมหมด เพราะว่าเรานั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์พอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ธรรมะลงมาจากฟ้าอันศักดิ์สิทธิ์ ลงสู่มนุษย์อันศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะจึงศักดิ์สิทธิ์  ถ้ามนุษย์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์  ฉะนั้นบางคนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง บางคนนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คุ้มครอง  อยู่ที่ว่าเรานั้นจะใช้ธรรมะไปในทางใด บางคนใช้ธรรมะบังหน้าก็มี  ใช้ธรรมะค้าขายก็มี  ใช้ธรรมะไปพูดเล่นพูดเรื่อยเปื่อย สร้างกรรมปากให้แก่ตัวเองก็มี  ฉะนั้นธรรมะที่อยู่ในโลกนี้ คนในโลกเป็นผู้บริหาร  ก็ให้รู้จักที่จะนำธรรมะไปใช้ในทางที่ดี ให้ตัวเองนั้นมีความสะดวกขึ้น  
“ธรรมะเป็นทางมีไม่สูงต่ำ”
ธรรมะเป็นเหมือนทางทำให้เรานั้นมีทางแต่ไม่มีความสูงต่ำ  โดยทั่ว
ไปนั้นในโลกนี้มีความสูงต่ำมากมาย  เก้าอี้นั้นก็สูงกว่าพื้น  หัวเราก็สูงกว่าพื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมะเหมือนกับความที่ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ดำไม่ขาว ไม่มีอะไรทั้งนั้น  จึงบอกว่าธรรมะนั้นอยู่ที่เรา  บางคนบอกว่าเข้ามาก่อนเป็นอาวุโส มาทีหลังเป็นผู้น้อย  มีหรือเปล่า (มี) หากว่าศิษย์ยังติดในคำว่าอาวุโส และผู้น้อย ศิษย์ก็ไม่มีธรรมะ 
“ฝึกใจกว้างกว่ากว้างประเสริฐล้ำ”
ปรกติแล้วเราบอกว่าอย่างไร  สมมุติว่ากว้างนั้นขนาดเท่านี้  แต่ในความกว้างนี้มีแต่ความว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกว่าเท่านี้กว้างกว่าเท่านั้น แต่ตรงนี้ก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย  เราบอกว่าเราใจกว้าง  แล้วถามว่าเราเอาอะไรวัด  อาจารย์จึงบอกว่าฝึกใจให้กว้างกว่าความกว้างที่มนุษย์ว่า ให้เหนือขึ้นไปจากรูปลักษณ์เหล่านี้ ฝึกใจกว้างกว่ากว้างทำอย่างไร  เวลาเรามีสิบ เราสามารถให้สิบได้ไหม  ถ้าเรามีสิบบาทแล้วมีขอทานเดินมาบอกเราว่าขอทำบุญทำทานสักสิบบาท สมัยนี้เวลาเขาขอเขาบอกด้วยว่าเท่าไร เผอิญทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่สิบบาทเราจะให้หรือไม่ให้ (ให้)  ถ้าหากว่าให้ไม่หมดก็ยังไม่กว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะยืมเขามายั่วโมโหเราเล่นก็ได้ บอกขอทานคนนี้ให้ลองไปขอเงินคนนี้มาให้หมด ดูว่าตัดโมโหได้จริงหรือเปล่า ที่ว่าบอกว่าให้ทานได้ ให้ได้จริงหรือเปล่า  บางคนบอกว่าให้ไม่หมด อาจารย์ว่ายังดีกว่าบอกว่าไปไกลๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงบอกว่าใจกว้างกว่ากว้าง อาจารย์ไม่ได้หมายถึงเรื่องขอทานมาขอเงินอย่างเดียว แต่อาจารย์พูดถึงโดยรวมกว้างๆ ไปหมดว่าใจศิษย์นั้นกว้างจริงหรือเปล่า
“ใหม่ตามคนเก่านำด้วยเมตตา”
เราผู้มาทีหลังได้ชื่อว่าเป็นคนใหม่ ทางโลกเรียกว่าเป็นผู้น้อย มีคน
เก่าเป็นผู้นำ เมื่อครู่นี้อาจารย์บอกให้ศิษย์นั้นอย่ายึดในคำว่าอาวุโสและผู้น้อยจนกลายเป็นอัตตาตัวตน  แต่ในขณะเดียวกัน อาจารย์ก็ให้ศิษย์เป็นผู้มีมารยาทต่อกัน  คนไหนมาก่อนคนนั้นย่อมมีความรู้มากกว่า  คนใหม่ตามคนเก่าด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน  คนเก่านั้นเอาชนะใจคนใหม่ด้วยเมตตา
ในยุคสมัยปัจจุบันนี้มีการกำราบคนไว้ด้วยกฎหมาย  ในสถานธรรมก็มีพุทธระเบียบ แน่นอนพุทธระเบียบเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการที่จะให้ศิษย์เป็นผู้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  แต่พุทธระเบียบนั้นย่อมไม่สูงไปกว่าจิตใจของคน  หากจิตใจของศิษย์นั้นสูงและถูกต้องกว่าระเบียบและกฎหมาย  กฎหมายเหล่านี้จะมาคุมศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้)  กฎหมายก็ไม่สามารถคุมเราได้เพราะว่าเรามีความถูกต้องมากกว่า  อย่าบอกว่าระเบียบก็คือระเบียบ  เราไม่ฟังระเบียบก็ได้  ถ้าศิษย์ไม่ฟังระเบียบ จะบอกว่าศิษย์มีจิตใจเหนือระเบียบก็ไม่ได้เหมือนกัน  ฉะนั้นตรงนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ มาสถานธรรมต้องมีระเบียบ  
ฝึกเป็นคนใจกว้าง เป็นผู้บำเพ็ญที่ดี  ธรรมะไม่มีสูงต่ำไม่มีแบ่งแยก  ทุกๆ คนนั้นเป็นคนเหมือนกัน  เป็นคนที่ฝึกบำเพ็ญเหมือนกัน บางคนเอาตำแหน่งมาใส่บ่า  เราก็บอกว่าใส่ไว้ก็เท่านั้น  เรามีจิตใจที่สูงกว่าบ่า กว่าไหล่ กว่ายศที่มาใส่บ่า  ธรรมะนั้นแท้ไม่แท้ยังอยู่ที่ศิษย์เอากลับไปบำเพ็ญ  คนที่มีสิ่งที่จูงใจให้เข้าหากิเลสบ่อยๆ ยิ่งต้องเป็นผู้รู้จักระมัดระวังตัว  บางคนแพ้ลาภยศ บางคนแพ้สรรเสริญ ชอบคำยกย่อง  สิ่งเหล่านี้มาเตือนใจเรา เจอเมื่อไรให้รู้จักคิดพิจารณา อย่าไปลุ่มหลง ทำได้ไหม 
คนบางคนชอบพูดเสียงดัง  อาจารย์บอกว่าเสียงดังนั้นก็ดี แต่ถ้าดังเกินไปหลอดลมจะอักเสบ  บางทีเราก็เอาชนะคนหรือว่าอยากให้คนเข้าใจด้วยการมีใจแบบนี้ไม่ได้  อาจารย์เคยพูดเสมอว่าปฏิบัติงานธรรมต้องรอบคอบ แต่คำว่ารอบคอบนั้นต้องรอบคอบด้วยอะไร  รอบคอบไม่ใช่รัดแน่นแต่หมายความว่าอยู่ในกรอบอันตีไว้รอบอย่างรอบคอบ เข้าใจใช่ไหม 
“แหงนดูฟ้าให้ระทมกว่าเก่า      เมื่อแลเจ้าเถิดเลยไม่ประสา
เวียนตายเกิดพ้นความเป็นพุทธา”
เวลาที่อาจารย์รู้สึกเสียใจที่สุดก็จะเป็นเวลาที่อาจารย์มองศิษย์ของอาจารย์ทำอะไรเลยเถิดอย่างคนที่ไม่ประสา  เหมือนเวลาศิษย์มองดูลูกของศิษย์ แล้วลูกของศิษย์นั้นทำอะไรที่เกินไปให้เดือดร้อนผู้อื่น  ในที่สุดแล้วความเลยเถิด ความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของศิษย์นั้นจะพาให้เราเวียนว่ายตายเกิด  แม้จะเป็นคนที่มากไปด้วยบุญกุศล มากไปด้วยบารมี  แต่เมื่อเราทำผิด เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่ศิษย์เห็นคนบางคนเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน แต่ว่าเศรษฐีคนนี้ก็ยังมาเกิด ร้อยล้านพันล้านนั้นเป็นบุญกุศลที่มาตอบแทนเขา อย่าไปอิจฉา  แม้ว่าบุญกุศลมาแล้ว มีทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างอำนวยความสะดวกให้เขาหมด  แต่เขาก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นคนให้ศิษย์เห็นอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์เห็นไหมว่าถึงแม้เรานั้นจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม แต่หากว่าทำสิ่งที่ขัดแย้งกับการเป็นพุทธะ แล้วเลยเถิดไม่ประสีประสา ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้ว ศิษย์ก็เลยเถิดไปจากความเป็นพุทธะได้  นี่เป็นเรื่องบุญกรรมที่ศิษย์นั้นยังมองไม่เห็น แต่ตอบสนองเร็วไว  ใครที่กลับตัวกลับใจได้ตอนนี้ อะไรผิดพลาด อะไรผิดพลั้ง ต้องรู้จักที่จะปรับปรุงแก้ไขพัฒนาขึ้น
“พิจารณาเพียงเร่งก้าวแม้ทุกข์ยัง”
เร่งก้าวออกไปแม้ว่ายังมีทุกข์ บางคนบอกว่ารอให้ทุกข์จางก่อน
รอให้อะไรๆ ดีขึ้นก่อน จะเป็นอะไรๆ ของศิษย์ก็ตามแต่ทุกๆ คนรู้ไหมว่าชีวิตของเรานั้น เราไม่รู้วันตาย รู้ไหม (ไม่รู้)  ศิษย์ก็รู้ว่าชีวิตของศิษย์นั้น ศิษย์ไม่มีทางที่จะรู้วันตาย  ฉะนั้นจึงอย่าบอกตัวเองว่าเรายังมีเวลาอยู่เยอะ  แม้มีเวลาอีกเก้าสิบปี ศิษย์ก็บำเพ็ญไปทั้งเก้าสิบปี  ให้เรานั้นมีบารมีธรรมและกุศลพร้อมมูล ให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีความสะอาดเรียบร้อย ใครเห็นก็เป็นแบบอย่างให้เขาได้ 
  “บำเพ็ญแล้วคนชังทบทวนรู้พลัน”
บำเพ็ญแล้วคนชังทำอย่างไร  บางคนบำเพ็ญแล้วรู้สึกจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ บำเพ็ญแล้วคนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้า  ในสมัยที่อาจารย์บำเพ็ญ ในสมัยที่อาจารย์เกิดเป็นคน มีแต่คนชอบอาจารย์ทั้งนั้นเลย มีแต่คนรักอาจารย์ทั้งนั้นเลย เพียงแต่อาจารย์แกล้งทำโง่ๆ   ศิษย์อาจารย์ก็เหมือนกัน  บางคนนั้นคนชังเพราะว่าโน่นก็รู้ นี่ก็รู้ ไม่เคยไม่รู้เลย ฉลาดไปหมด ประโยชน์อะไรมา ถ้าผ่านมือเราก็ลดไปครึ่งหนึ่ง สมควรไหมที่คนอื่นเค้าจะไม่ชอบเรา (สมควร)  เราจึงต้องมาดู  เห็นคนอื่นมีสุขให้เรานั้นมีสุข  เห็นผู้อื่นมีทุกข์นั้นให้เราเข้าไปช่วยเหลือ  นี่จึงบอกว่าเป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญ  ขนาดอาจารย์ในสมัยนั้นเป็นคนวิปลาส คนยังชอบได้  คนสมัยนี้อยากเข้าใกล้คนบ้าไหม (ไม่อยาก)  แท้ที่จริงแล้วคนไม่ได้ตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก คนนั้นตัดสินที่จิตใจที่งดงาม แม้เราจะมีอะไรที่ผิดพลาด ผิดพลั้งไปบ้าง  เวลาเรามองคนอื่น แม้ว่าคนนี้มีข้อเสียตรงนี้ๆ แต่ว่าเรามองแล้วให้เรารู้ ให้เราเข้าใจ ให้เรานั้นสบายใจ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทแก่แม่ครัว)
มีเวลาว่าง ห้องพระนี้ก็เหมือนกับบ้านของเรา     มาบ่อยแล้วก็ดูว่า
เรานั้นทำเป็นทุกอย่างไหม พุทธระเบียบ การท่อง การกราบ ถูกต้องหรือเปล่า  ทุกๆ อย่างเป็นหมดทั้งสิ้นไหม  เพราะว่าชีวิตเรานั้นทุกๆ วันก็มีความวุ่นวาย  มีเวลานิดหน่อยก็มาสถานธรรม  ถ้าหากว่าไม่ฝึกอะไรเลย นั่งคุยนั่งเล่นกันเฉยๆ ก็ไม่ดี  ส่วนที่ว่าเราดีอยู่แล้วก็ให้ดีขึ้นไปอีก อะไรที่หัดได้ฝึกได้ก็ให้หัดให้เป็นให้หมด  อาจารย์เห็นศิษย์ทุกคนนั้นพยายามดีมากแต่หวังว่าศิษย์นั้นจะพยายามได้มากกว่านี้ ดีได้มากกว่านี้  อาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์นั้นก็คอยดูอยู่ หวังว่าศิษย์นั้นจะได้เป็นพุทธะในวันหน้า อย่าท้อถอย หกล้มกลางคัน 
“ความหวั่นไหวพาให้ถลำ”
ศิษย์ของอาจารย์นั้นบางทีก็หวั่นไหวไปกับความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง  เวลาศิษย์ของอาจารย์อยู่ในอารมณ์เช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ เจ้าไม่มีอาจารย์ในหัวใจ ความหวั่นไหวอันนี้จึงพาให้ทุกคนนั้นหลงไป 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
 “เปรียบ” คำนี้อยู่ข้างๆ คำว่า “โมหะ” ห้ามโมโหเก่งรู้ไหม 
 “ดั่ง” คำนี้อยู่ข้างๆ “โมหะ” ศิษย์โมโหเก่งไหม คำนี้ก็อยู่ข้างๆ “ไฟ” ต้องดับไฟอารมณ์ตัวเองให้ได้ บำเพ็ญธรรมนั้นก็คือลดละอารมณ์ตนเองให้ได้ ไม่ใช่ว่าอารมณ์โกรธอย่างเดียวที่เปรียบเหมือนไฟ อารมณ์เวลาพาลก็เปรียบเหมือนไฟเหมือนกัน บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ นะ 
“แก้ว” ทำตัวดีๆ เป็นแก้วของอาจารย์ดีไหม ให้ใจนี้ใสๆ อย่าคิดโน่นคิดนี่รู้ไหม
“แล้ว” เชื่อแล้ว ศรัทธาแล้ว จะบำเพ็ญแล้วได้ไหม 
“หญ้า” หญ้านี้หมายถึงว่าอะไร  ปกติแล้วในทางธรรมคำว่า “หญ้า” นั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะว่าหญ้าส่วนใหญ่จะหมายถึงกิเลส  แต่อาจารย์บอกให้ศิษย์นั้นมีความมั่นคงเหมือนต้นหญ้า  ตัดแล้วก็งอกใหม่  กลับไปแล้วต้องศึกษาธรรมะให้มากๆ มีความมั่นคง ดีหรือเปล่า  ถ้าวันไหนไม่เข้าใจ ไม่อยากบำเพ็ญแล้ว ก็ให้คิดดูดีๆ 
“เปรียบ” คำว่าเปรียบนี้ ได้เปรียบคนอื่นหรือเปล่า อยู่กับคนดีๆ เขาก็พามารับธรรมะ ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้ เราบำเพ็ญธรรมะนั้น ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีการบอกว่า เราเป็นอย่างไร เขาเป็นอย่างไร ถ้าศิษย์ไม่มีส่วนนี้ ใจของเราจะมีความสุขขึ้น และทำแต่สิ่งที่ดีๆ 
 “ดิน” ดินเป็นอย่างไร เหยียบทุกวันรู้ไหม  เราลองสังเกตดูให้ดี คนเหยียบดิน ดินไม่เคยว่า  เวลาหลังจากที่กลับไปวันนี้มีคนมาว่าเรา  ถ้าหากว่าเราคิดจะบำเพ็ญจริงๆ ถ้ามีคนมาว่าเรา เราก็ต้องทำใจให้เข้มแข็ง เข้าใจไหม และพยายามศึกษาดูว่าจริงหรือไม่จริง ดูให้รู้ ไม่รู้ไม่เลิก ดีหรือเปล่า 
“คน” รู้ไหมว่าคนนั้นมีสิ่งที่ทำให้คนเป็นคนเกินคนและต่างจากสัตว์ก็คือความกตัญญู เราต้องทำตัวเองให้ดี ให้ถึง รู้ไหม
อยากกลับบ้านหรือยัง (ยัง)  ถึงบางคนอยากกลับก็กลับไม่ได้  เพราะว่าโดนขังอยู่ที่นี่ เวลาที่เราอยู่ที่นี่ขอให้ใช้โอกาสนี้สงบจิตสงบใจ  เราอยู่ในสถานธรรม ในสถานธรรมมีองค์พระ เราก็ทำจิตใจให้นิ่ง ๆ เหมือนองค์พระ  จะเลียนแบบพระศรีอาริย์ ต้องเป็นคนยิ้มง่าย รับความทุกข์ทั้งหมดไว้ในท้อง  ถ้าจะเป็นอย่างอาจารย์จี้กง ก็บ้าๆ หน่อย  ถ้าจะเป็นอย่างพระโพธิสัตว์จันทรปัญญาก็รู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่เกรงกลัวความทุกข์  ถ้าจะเป็นอย่างจอมเทพวินัยธรกวนอู ท่านก็เคร่งครัด สง่างาม  ถ้าจะเป็นอย่างท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่ต้งปิน ก็ต้องรู้จักปลงตกในชีวิต รู้จักที่จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่ติดในลาภยศสรรเสริญ  ดูว่าศิษย์ของอาจารย์จะเลือกเป็นอย่างไร  พระองค์ใหญ่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้มอง  แต่พระองค์ใหญ่สะท้อนถึงพระที่อยู่ในใจของเราเอง  
เวลาศิษย์ของอาจารย์เผลอเอาตะปูไปกรีดกระจก กระจกมีรอยไหม (มี)  เป็นรอยที่มองเห็นได้จางๆ  รอยนี้เหมือนกับการที่เรามีกิเลส  หากว่าศิษย์มีกิเลส ก็เหมือนกับการเอาตะปูไปกรีดกระจกหนึ่งหน  แม้รอยนี้เกิดขึ้นมากระจกก็ยังใช้ได้ แต่ใช้ได้ดีหรือเปล่า ก็กลับไปดูใจตนเองดู  เรามีกิเลสมากมายกิเลสก็ข่วนกระจกของเรานั้นไม่รู้นับครั้งที่เท่าไร กระจกของเราก็ยังใช้ได้ดี เพียงแต่ไม่ได้ดีเหมือนเดิม  อาจารย์อยากให้ศิษย์คิดได้ รู้จักคิด  กระจกของเราเป็นรอยแล้ว  อย่าให้เป็นรอยมากกว่านี้  ขอให้กิเลสของเราหยุดลงเท่านี้ เท่าที่เรานึกอยากให้หยุดแล้ว  บางคนบอกว่าเรานึกอยากให้บำเพ็ญได้ดีแล้ว  แต่ว่าไม่เคยไปลงมือทำ ไม่เคยพยายาม ย่อมไม่เกิดความสำเร็จแน่
ศิษย์เคยเห็นไฟไหม ถ้าหากว่าไม่มีเชื้อไฟ ไฟจะติดต่อไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าดึงเชื้อออก ไฟก็จะไม่สามารถติดต่อไปได้ ใจของศิษย์นั้นมีไฟสุมอยู่กองหนึ่ง ก็คือไฟของกิเลส แต่ว่าเราจะตัดไฟกิเลสนั้นไม่ใช่ตัดที่ไฟ แต่ต้องตัดที่เชื้อ เชื้อคือเหตุแห่งกิเลสนั้นๆ บางคนแก้ปัญหาเท่าไรก็แก้ไม่ออกเพราะว่าเราไม่ได้ตัดปัญหาที่ต้นเหตุ เหตุจึงยังอยู่ เมื่อเหตุอยู่ก็เสมือนมีเชื้ออยู่ ให้ดับไฟเท่าไรก็ไม่สามารถที่จะมอดไหม้ได้ 
อาจารย์มาในวันนี้ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เจอหน้าศิษย์ทุกคน เห็นศิษย์แต่ละคนนั้นก็เป็นคนที่มีภูมิธรรม มีรากบุญดี อย่าได้ดูถูกตนเอง  คำว่านิพพานไกลเกินเอื้อม แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจงลองเอื้อมดู  ถ้าศิษย์เอื้อมดูแล้วไม่ถึงก็คงไม่เป็นไร แต่ขอให้ลองได้หรือเปล่า (ได้)
การที่เราได้มานั่งฟังธรรมะนี้ มีหลายคนบอกว่ารับธรรมะแล้วหลุดพ้น แต่อาจารย์บอกว่าคนที่หลุดพ้นนั้นต้องเป็นคนที่บำเพ็ญจริงๆ บำเพ็ญจริงจัง  หากศิษย์ไม่ยอมบำเพ็ญจริงจัง คำพูดนี้ก็ไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้ 
ใครที่ผ่านประชุมธรรมชั้นที่แล้ว  ฝึกหัดบำเพ็ญให้ดีๆ มีเวลาว่างต้องขยันมาสถานธรรมบ่อยๆ  ธรรมะนั้นศึกษาเอง บำเพ็ญเอง ถ้าหากมีอะไรยังไม่เข้าใจ ศึกษาเยอะๆ เข้าใจไหม
เจอกันถึงจะหลายชั่วโมงก็สั้น  รักษาตัวเราให้ดี  ฝ่าอุปสรรคที่มันวิ่งเข้ามาหาเรา เราอย่าไปกลัวอุปสรรคก็เป็นเพียงแค่ขั้นตอนที่ทำให้เรานั้นสูงขึ้น  
หัวหน้าชั้นในชั้นนี้ก็คือตัวแทนทุกคน ต้องบำเพ็ญดีๆ เข้าใจไหม วันหลังมีโอกาสศึกษาให้เข้าใจ ทำได้หรือเปล่า (ครับ)
วันหน้าเรายังเจอกันอีกหรือเปล่า  เป็นคนคิดดีคิดแต่เรื่องดี ดังนั้นอาจารย์รอเจอศิษย์นะ มีเวลาว่างก็มาสถานธรรม เป็นคนโชคดีกว่าคนอื่นเราก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็นคนโชคดี บำเพ็ญธรรมให้ตนนั้นเป็นคนโชคดียิ่งขึ้น นำพาความโชคดีอันนี้ให้กับผู้อื่นบ้าง  
อายุมากแล้ว กายเป็นรอยไม่เป็นไร ใจไม่เป็นรอยใช้ได้
วันหลังเจอกันใหม่  เป็นกำลังใจให้อาจารย์นะ  บำเพ็ญให้ดีๆ แล้ววันหลังมาเจอกันใหม่  ออกไปแล้วอย่าลืมอาจารย์ ทำได้ไหม ไว้วันหลังเราจะมาเจอกันอีกนะศิษย์นะ  รักษาตัวศิษย์ให้ปลอดภัยถึงฝั่งธรรม อาจารย์จะพาไปเข้าเฝ้าองค์มารดา  รักษาตัวให้ดี  รักษาใจให้ดี  บำเพ็ญให้ดีๆ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา