วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช
๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์พุทธะสำเร็จไปจากายคน ประธานใหญ่เฝ้าฝึกฝนจิตให้งาม
คุมชีวิตคุมบังเหียนตรองถึงสาม สอบรูปนามเลือกคนจริงคืนสุทธา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา
ฮวา
ด้วยเวลาเดินเร็วมิรั้งรอ ดุจไม่พอที่ทุกท่านจะได้ใช้
การบำเพ็ญต้องแบ่งเวลาด้วยตั้งใจ หากว่าใครทำได้ได้บำเพ็ญ
เมื่อชีวิตมีสุขอย่าหลงเลย เมื่อชีพเคยมีทุกข์แจ้งใจไหม
สลับเวียนอารมณ์ขุ่นอยู่ร่ำไป ขอเข้าใจสงบจิตตรวจสอบตน
รู้ไม่มีสิ่งใดที่จีรัง น้องก็ยังแสวงเอาตระการผล
ดั่งไม่รู้แต่แท้รู้ต้องเวียนวน เกิดเป็นคนเช่นนี้ช่างงมงาย
ในบัดนี้ฟ้าเปิดกว้างส่งสายทอง ให้น้องตรองตนให้เที่ยงใจสะอาด
สู่ทางธรรมะละทางโลกกิเลสขาด อย่าประมาทไม่แยกแยะเรื่องเท็จจริง
โลกหลอกลวงให้ใจหลงถึงผวา ลู่ทางฟ้ามิลวงใจให้ขื่นขม
อันยากดีขมปากแต่มิตรม เวียนว่ายจมทะเลทุกข์ให้คืนแดน
ในวันนี้นับว่าเป็นนิมิตรดี ขอใจที่ศรัทธางามแข็งขัน
ศึกษาธรรมเข้าใจตนแท้จริงนั้น มิปล่อยวันคืนผ่านอย่างไร้ความหมาย
อย่าได้มัวสงสัยปิดบังจิต ขอให้คิดในสิ่งดีกระจกใส
ขอให้รู้มาให้ครบสามวันได้ ขอให้ใช้ช่วงเวลาสั้นให้เกิดคุณ
อันเกิดมาตายไปทุกคนพบ แต่อยากจบชีพอย่างอริยะหรือปุถุชน
นาวาธรรมพายช่วยคนกลางมืดมน หากว่าพ้นกาลช่วงนี้ไม่รับคืน
ในวันนี้ขอให้ตั้งใจให้มากมาก
พี่นั้นฝากน้องรักษาวินัยสถาน
จงตั้งใจให้รู้เดินให้นาน บำเพ็ญผ่านมรสุมได้พุทธะจริง
จงรู้ว่าโอกาสนี้ยากยิ่งนัก เร่งตระหนักให้เข้าใจให้รู้ที่
ดำเนินชีวิตทางสายกลางให้พอดี กิเลสมีเร่งตัดอย่าหลงมายา
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจพี่ยืนคุมบันทึกคะแนน
ฮวา
ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช
๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน
ท่านหลันไฉ่เหอ
ต้นไม้ใหญ่แผ่ร่มเงาคนรักษ์ไว้ คนยิ่งใหญ่ไคุณธรรมใครนับถือ
รักสบายเกลียดลำบากยากฝึกปรือ ปราชญ์นับถือคุณธรรมไม่ท้อใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายประนตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ใจงดงามเพราะปราศจากเหล่ากิเลส อารมณ์เจ็ด๑ในฤทัยไม่โหยหา
ผลจากการฝึกหนักสู่เมธา เหนื่อยไม่ว่าต้องการสว่างที่ใจ
ฝุ่นต้องล้างกายนำอนุชน๒ แฝงใจคนช่วยพุทธะได้ไฉน
ฟ้าจะส่งให้ช่วยทำอะไร ไม่ตั้งใจขัดเกลาตนยากนำพา
ทำนุ๓จิตอาภา๔เห็นค่ำมาสาง ใสสว่างด้วยฝนฝึกนานหนา
จนบังเกิดปฏิปทา๕หนึ่งอันมีค่า ในมิเอียงอันตรายกล้ากล้ำกรายฤๅ
ชอบแก่งแย่งเย็นบารมีมิสาดส่อง ทะเลาะแย่งหยุดครรลองฟ้าไร้ชื่อ
ใช้เหตุผลใจตะวันงามระบือ ใจอันเมตตาใฝ่ถือสันติแสน
บำเพ็ญธรรมอีกขัดเกลาทุกคืนวัน บ้างกล้านัยความกลัวบังเกิดแทน
ก่อนคือผยองตระหนักเมื่อถึงแก่น ปัญญาใช้ให้ไตร่ตรองแทนตาเข้าใจ
ฮา
ฮา หยุด
มิยังลุ่มหลงจะสาย คล้ายเหวเยือกเย็นลึกกลืนจิตดี ทุกข์มิซาโดยเดินหนี ทั่วแผ่นดินทั่วแดนฟ้าไร้บ้านเรา ลมพัดเย็นที่เป็นอยู่เช่นนี้นานมาไม่แปร แต่ใจท่านที่แปร เปลี่ยนเวียนแลนิ่งอยู่ได้ไม่นาน
เริ่มตรองดูดอกไม้สวยงามไม่อยู่เนิ่นนาน สีนั้นเช่นความฝันแต่งแต้มชวนเพลินไป
จะอยู่นานคู่ฟ้าได้เมื่อไร หลักธรรมควรเข้าใจเวลาไม่เคยรีรอ
เพลง : อย่าเสียเวลา
ทำนองเพลง :
บอกรัก
๑อารมณ์เจ็ด ยินดี, โกรธ, เศร้า, สุข, รัก, พยาบาท, อยาก
๒อนุชน คนรุ่นหลัง, คนรุ่นต่อไป
๓ทำนุ บำรุง,
อุดหนุน
๔อาภา แสง, รัศมี,
ความสว่าง
๕ปฏิปทา ทางดำเนิน,
ความประพฤติ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
มีความง่วงใช่หรือไม่
ไม่มีใครพูดว่าวันนี้ฟังธรรมะแล้วตื่นจากความฝัน แล้วยังง่วงกันอยู่อีกหรือเปล่า (ไม่ง่วง) ไม่ง่วงแล้วอย่างนั้นการพูดการสนทนาต้องมีแรง
มีเสียงกระปี้กระเป่าเหมือนคนที่ตื่นนอนแล้ว หรือแม้เสียงดัง ๆ ก็เหมือนคนที่ตื่นนอนแล้วอยากกลับไปนอนต่ออีก
เคยเป็นไหมที่เวลาเราตื่นจากที่นอนแล้วเราอยากกลับไปนอนต่ออีก
แล้วการตื่นนั้นเป็นการตื่นที่ไม่เต็มใจเท่าไร แล้ววันนี้จะเต็มใจตื่นหรือไม่ (เต็มใจ) เอาเป็นว่าไม่ต้อนตื่นจากโลกมายา
เพียงขอให้ตื่นจากความง่วงนอนแล้วตั้งใจฟังธรรมะ แล้วตอนนี้ตื่นจากง่วงนอนกันหรือยัง
(ตื่นแล้ว) ทานข้าวก็อิ่ม สบายก็สบาย ต้องทำอะไรบ้าง
มีแค่มานั่งฟังอย่างเดียวแล้วก็ทาน แล้วก็ทำอะไรอีก (แล้วก็คิด)
ใช้ปัญญา
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนหุ่นยนต์เคลื่อนที่พอบอกให้นั่งก็นั่ง
พอบอกให้กันก็กินไม่เคยคิด ไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเลย
ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียกว่าถูกหลอกมา แล้วก็ถูกควบคุมถูกบังคับ
วันนี้มานั่งฟังธรรม
ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อตัวเรา หรือเรียกง่ายๆ
ว่าต่อชีวิตของเรา แต่ถ้าหากพูดให้ลึกซึ่งขึ้นไปอีก
ความสงบสุขความสันติสุขแห่งชีวิตของเรา หาได้จากตัวเราที่มีคุณธรรมความดีงามหล่อเลี้ยงจิตใจ
ไม่ใช่หาได้จากวัตถุหรือจากกิเลส ถึงแม้จะได้ความสุขแต่ก็ยากจะได้ความสงบ
ถึงแม้จะได้ความสงบแต่ก็เป็นความสงบที่ต้องวุ่นวายดิ้นรนและเดือดร้อน
ความสงบสุขหรือสันติสุขที่เราหาได้ในจิตใจนั้นก็คือ
การที่เรามีคุณธรรมความดีงามเมื่อยามดำรงชีวิต เมื่อยามมีชีวิตอยู่บนโลกนี้
คุณธรรมก็คือสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตของเรา และเป็นสิ่งที่ทุกท่านจะละเลยไม่ได้
ทอดทิ้งไม่ได้ ฉะนั้นทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีหรือเพื่อทำร้าย (ทำความดี) ทุกคนพูดเองว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี เพื่อรักษาชีวิตไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น
และมีชีวิตอยู่ทุกวันโดยการสร้างแต่คุณงามความดี
เชื้อเชิญแต่คุณงามความดีมาอยู่กับตัวเอง
แต่ถ้าคิดไปแล้วความเป็นจริงเราทำร้ายชีวิตหรือรักษาชีวิตกัน (ทำร้ายชีวิต) แล้วทำไมเมื่อสักครู่ถึงบอกว่า จะรักษาชีวิตกัน (ทำร้ายชีวิต) แล้วทำไมเมื่อสักครู่ถึงบอกว่า
จะรักษาชีวิต จะทำความดี แสดงว่าปากกับใจไม่ตรงกัน
ปากก็ตั้งอยู่ตรงกลางใบหน้าแต่ใจเอียงอยู่ข้างหนึ่งก็แสดงว่า ปากต้องตรงกับใจ
แต่เพราะอะไรใจที่คิดกับสิ่งที่ปากพูดและการแน่นอนไม่ได้
ทำไมเมื่อสักครู่เราถึงยอมรับ แต่บางคนได้แต่ยิ้มอยู่ในใจหรือไม่กล้าพูดว่า จริง ๆ
แล้วมีชีวิตอยู่นั้นแท้ที่จริงแล้วทำร้ายชีวิตตนเองโดยไม่รู้ตัว
แท้ที่จริงแล้วเราสร้างแต่สิ่งที่เลวร้ายโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นสูบบุหรี่
นินทาว่าร้าย อย่างนั้นเป็นการสร้างความดี เป็นการรักษาชีวิตหรือเปล่า (ไม่เป็น) ล้วนเป็นการทำร้ายชีวิตไม่ของตนเองก็ของผู้อื่น
และเรื่องเบียดเบียนสัตว์ ทำร้ายสัตว์ โดยตนเองที่มีความสุขเรียกว่า
เป็นการทำดีบนความทุกข์ของผู้อื่นได้หรือไม่ (ได้) ยังได้อยู่อีกหรือ ต้องคิดให้ดีอย่าประมาท แม้วาจาของตัวเองที่พูดออกมา
การกระทำอาจจะช้ากว่าคำพูด สิ่งที่สามารถทำให้เรามีอันตรายและนำอันตรายมาสู่เราได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือ
ปาก การกระทำอาจจะช้าแต่ปากอาจจะไวกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่บนโลกใบนี้
เรามีใจใฝ่แล้วซึ่งความดี เรามีใจรักแล้วซึ่งความดี ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรไม่ว่าพูด
มอง คิด หรือกระทำก็ต้องระวังอยู่ทุกเมื่อถึงจะเรียกว่า เป็นผู่ที่ใฝ่ดีอย่างแท้จริง
เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐและรักความดีอย่างเที่ยงธรรม
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่รักความดีแต่ทำความดีไม่ถึงจุดหมาย
เริ่มต้นพูดง่ายๆ
แบบนี้ฟังแล้วยากเกินไปหรือเปล่า ไม่ได้พูดอะไรไกลเกินชีวิตไกลเกินสิ่งที่มองเห็น
เมื่อฟังหลักสัจธรรมที่เห็นกันอยู่ทุกวัน เห็นมานานนับสิบปี
แต่ทำไมเราถึงปลงไม่ได้ วางไม่ลงสักที ทุกวันจะต้องมีเกิด
เจ็บและตายเห็นกันอยู่ทุกวัน และรู้ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น
คนนี้เป็นอย่างนี้แต่พอเกิดขึ้นกับตนเอง ทำไมเราถึงทำใจไม่ทันเสียที
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นความจริงของโลกใบนี้ เป็นความจริงของชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอใครก็หนีไม่พ้น
เราไม่อยากแตะต้อง
เราไม่อยากเข้าไปหาแต่สักวันหนึ่งสิ่งนั้นก็ต้องเข้ามาหาเราโดยที่เราไม่เคยเชื้อเชิญ
แล้วเช่นนี้เราจะทำอย่างไรกันดี (ต้องปฏิบัติธรรม) แล้วการปฏิบัติธรรมทำอย่างไร
อ่านหนังสือรู้แล้วว่าชีวิตนี้ไม่เที่ยงแท้เป็นอนิจจัง
แต่พอความไม่อนิจจังเข้ามาหาตัว ทำไมหนังสือก็หนังสือ ความทุกข์ก็ความทุกข์กันล่ะ
บางครั้งอ่านจบไปแล้วแต่เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น
บางครั้งเกิดทันทีหนังสือยังอยู่ในมือแต่ทำไมถึงทำไม่ได้
เพราะว่าคุณธรรมอยู่แค่หนังสือไม่ได้น้อมนำมาสู่จิตใจ
“คนยิ่งใหญ่ไร้คุณธรรมใครนับถือ”
คนที่ยิ่งใหญ่แต่ไร้คุณธรรมเรานับถือไหม
(ไม่) ฉะนั้นเวลาเราศึกษาเล่าเรียน
เรามุ่งแต่ความสามารถอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจคุณธรรมก็ไม่ได้
เรามุ่งแต่ความสามารถอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจคุณธรรมก็ไม่ได้ ตอบว่าใช่กันหลายคน
แต่การปฏิบัติไม่ทำกันเลยสักคน
พอให้เลือกทำความดีกับความสามารถเรามักจะแสดงความสามารถมากกว่าที่จะทำความดี
และเราก็มักจะยกย่องคนที่มีความสามารถมากกว่าคนที่มีคุณธรรม
เราเป็นทุกข์กับคนที่มีคุณธรรมหรือคนที่มีความสามารถหรือว่าเป็นทั้งสองอย่างเพราะว่าเขาดีเกินไป
จึงทุกข์เพราะเป็นคนดีเกินไป เป็นทุกข์กับคนประเภทไหนมากกว่ากัน (คนที่มีความสามารถ) แล้วคนที่มีคุณธรรมเป็นทุกข์หรือ
(ไม่มี) มีหลายคนอาจจะเป็นทุกข์เพราะถ้าหากเขาบอกให้ท่านมาฟังธรรมะ
ท่านต้องเป็นทุกข์แน่ถ้าท่านไม่ยอมมาวันนี้ ทุกข์เพราะหูฟังวันนี้ก็แล้ว
พรุ่งนี้ก็แล้วฟังไม่หมดสักที ก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน
เรามักจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่แท้จริง
มักจะจับเท็จเป็นจริง จับจริงเป็นเท็จ จนทำให้ชีวิตแยกแยะเป็นเท็จจริงไม่ถูก
เมื่อชีวิตแยกไม่ถูกแล้วว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรเท็จ
แล้วเราจะนำพาชีวิตไปได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมก็อยาก ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรอย่าใช้เพียงสายตาตัดสิน
หูได้ยิน มือสัมผัส แต่เราต้องใช้ปัญญาขบคิดด้วย
จึงจะเป็นผู้ที่รู้จักใช้ปัญญามากกว่าสายตาและใบหูหรือมือที่สัมผัส
ทำอย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสมก็คงยาก
ยินดีที่มีโอกาสพบท่านอีกครั้ง
ถ้าให้ยืนตลอดเวลาที่เรามาก็คงเป็นการกลั่นแกล้งท่านมากเกินไป
เราก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รักการทำความดี เราก็คงไม่คิดที่จะทำร้ายท่านในวันนี้
ฉะนั้นอย่าเห็นว่าแค่เพียงความคิดก็ไม่ระวัง แม้แต่ความคิดก็ต้องระวังด้วย
อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นแล้วจะทำผิดได้
สิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นแล้วเราทำผิดโทษยิ่งหนักและเบื้องบนก็เห็นได้ชัด
อย่ากระทำความผิด แม้แต่ในที่ลับหรือในที่แจ้ง
โดยปกติพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนล้วนรักความยุติธรรม รักการกระทำความดี รักความดี
คงไม่มีใครหรอกที่อยากจะให้ความไม่ดีมาเปื้อนตัวเองโดยที่ตนไม่ได้เป็นผู้กระทำ
คงไม่มีใครต้องการหรืออยากอยู่ใกล้คนที่ทำไม่ดี หรือคนที่ประพฤติผิด
ในสมัยก่อนนั้นผู้ที่ศึกษาใฝ่หาความรู้ประกอบคุณงามความดี
เรียกว่า “เมธี”
แต่ในปัจจุบันนี้เรียกว่า “บัณฑิต” แต่ถึงแม้จะเป็นบัณฑิตแต่หากประกอบการในทางทุจริต
ฉ้อโกง ไม่ซื่อสัตย์ เราก็เรียกว่าคนพาล แต่ปัจจุบันนี้แม้สิ่งที่เรากระทำจะไม่เป็นความผิดที่ร้ายแรง
ไม่ใช่เป็นการคดโกงที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่เราทำอยู่นั้นลองไตร่ตรอง
ลองคิดดูล้วนแต่เป็นการกระทำที่ไม่ค่อยถูกต้องไม่ค่อยดีงามเป็นส่วนใหญ่
ความดีที่มีโอกาสจะทำก็มักจะปล่อยให้พลาดหลุดมือไป แต่คนในสมัยก่อนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมธีได้ผ่านการศึกษาเล่าเรียน
เมื่อมีโอกาสทำความดีเขาก็จะไม่พลาดที่จะกระทำ
ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มีโอกาสเขาก็ไม่ละเลยนิ่งเฉย พยายามหาโอกาสให้ตนเองทำความดี
แต่ปัจจุบันนี้หลายท่านล้วนเป็นบัณฑิต ล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้มีการศึกษา
แต่การกระทำนั้นล้วนเป็นคนพาลเล็ก ๆ โจรน้อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
เช่นสิ่งใดที่หยิบได้โอนอ่อนผ่อนตามได้
แม้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องก็ปล่อยเลยตามเลยไม่คิดที่จะรักษาความดีความถูกต้องไว้
สิ่งใดที่หยิบได้เขาไม่รู้เขาไม่เห็นก็หยิบโดยไม่ระวัง
ไม่นึกถึงผู้อื่นว่าจะเดือดร้อนเพียงใด ฉะนั้นสิ่งที่เรากระทำกับความต้องการทางจิตใจของเราจึงขัดแย้งกันอยู่ร่ำไป
ฉะนั้นเมื่อเราทำความดีผลของความดีจึงไม่สามารถที่จะส่งผลได้อย่างเต็มที่หรือผลของความดีจึงไม่สามารถสะท้อนกลับมาหาเราได้ก็เพราะเช่นนี้เอง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเราก็คงไม่อยากที่จะเป็นคนที่เป็นบัณฑิตแล้วก็เป็นคนพาลในคนเดียวกัน
คือเราไม่อยากเป็นคนพาลในคราบนักบุญ
เป็นคนพาลในคราบเสื้อขาวบริสุทธิ์เราก็คงไม่ต้องการเช่นนั้น
ปราชญ์เมธียังควรสำนึกไว้เสมอว่าเมื่อใดที่ตนคิดอยากจะเป็นคนดี
เมื่อใดที่ตนขึ้นชื่อว่าเป็นปราชญ์บัณฑิตแล้ว
สิ่งที่ต้องพึงระวังเสมอนั่นก็คือการดำรงชีวิตของตนไม่ว่าขณะใดแม้ว่าจะอันตราย
เร่งรีบ เดือดร้อน แต่คุณธรรมความดียังต้องรักษาไว้
ความถูกต้องเที่ยงธรรมยังคงต้องมี
แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เรากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เวลารีบร้อนก็ไม่สนใจความถูกต้อง เวลามีอันตรายก็ไม่แยแสความดี ข้างนอกเป็นอย่างไร
ใจเราก็เป็นอย่างข้างนอก ตัวเราพร้อมจะแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์อยู่ร่ำไป
ฉะนั้นมนุษย์ในโลกจึงเป็นคนที่ยากจะดีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ยากจะเป็นคนที่ได้อย่างแท้จริงก็เพราะเราไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง
และสถานการณ์ที่บังคับทำให้เราไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสทำ และทำให้เราไม่อยากทำ
“ใจงดงามเพราะปราศจากกิเลส อารมณ์เจ็ดในฤทัยไม่โหยหา
พ้นจากการฝึกหนักสู่เมธา เหนื่อยไม่ว่าต้องการสว่างทั่วใจ”
เพราะอะไร
บางครั้งเราถึงไม่สามารถที่จะทำความดี หรือดำรงความดีได้อย่างแท้จริง (สิ่งรอบข้างไม่อำนวย)
แม้สิ่งรอบข้างจะมีปัญหา สิ่งรอบข้างจะไม่เอื้ออำนวย
แต่หากเรายังยืนหยัดและมุ่งมั่นในการกระทำก็ย่อมสำเร็จได้
แล้วผู้ที่ฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากแม้รอบข้างจะไม่เอื้ออำนวยก็ล้วนสำเร็จเป็นพุทธะโพธิสัตว์ได้ทั้งสิ้น
แล้วท่านจะไม่ยินยอมที่จะเดินตามบ้างหรอกหรือ
บางครั้งตัวเราก็ต้องให้โอกาสในการเอื้ออำนวยด้วยเหมือนกัน
วันนี้คิดว่าการฟังเป็นสิ่งที่ดี
หากเราเอื้ออำนวยในการฟังบ่อย ๆ เราก็คงได้ความดีไปบ่อย ๆ เหมือนกัน (มีอุปสรรคมาคอยขัดขวาง
จนทำให้เราไม่สามารถบำเพ็ญได้) เพราะคนที่เราจะทำล้วนเป็นคนที่เราไม่ชอบ
เลยทำให้เราทำไม่ลง แต่ถ้าเกิดว่าเราฝ่าฟันได้แล้วเรายอมทำได้
จนสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงจิตใจและเห็นเราเป็นคนที่ดี แล้วเราก็รักเขาได้
ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และยิ่งเป็นเคี่ยวกรำฝึกเราให้รู้จักให้อภัยและมีใจเมตตา
หรือว่าชีวิตนี้ความดีก็ไม่ทำ ความชั่วขอทำนิดหน่อย (ก็ทำดีมาตลอด)
ทำดีมาตลอดแล้วยังคงทำต่อไปและทำให้มากกว่าเดิมได้หรือไม่
นอกจากทำกับคนอื่นแล้วบางครั้งเราต้องทำกับตัวเองด้วย นั่นก็คือการปล่อยวางบ้าง (เพราะเราไม่เข้มแข็ง) หรือพูดง่ายๆ ก็คือเราไม่สามารถชนะจิตใจของตนเองได้ ความดีจึงยากบังเกิด
แล้วต่อไปนี้จะเอาชนะใจตนเอง เพราะว่าถ้าชระตนเองไม่ได้ แล้วจะเอาชนะใครในโลกนี้ใช่ไหม
(เพราะว่ากายกับใจเราต้องอยู่คู่กันตลอด
ถ้าใจเราอยากทำความดี แต่กายเราไม่อำนวย เราก็ไม่สามารถทำได้) แปลว่าใจอยากทำแต่กายไม่ยอมเดิม
เช่นนี้แล้วก็คงไม่โทษ สภาวะแวดล้อม แต่ตอนนี้กำลังโทษตัวเอง
แล้วตอนนี้กายของท่านเป็นตายของใจหรอกหรือ (เพราะว่าเรามีชีวิตอยู่
กายจึงเป็นใหญ่กว่า) กายเป็นใหญ่กว่าใจเสียแล้ว
ต่อไปมีชีวิตอยู่ใจต้องเป็นนายของกาย
เครื่องจักรกลเวลาเดิน
เครื่องนอกเดินหรือเครื่องข้างในเดิน เพราะเครื่องข้างในเดิน
แล้วจึงมีการส่งพลังให้เครื่องข้างนอกนั่นก็คือ เราต้องให้อำนาจกับจิตใจ
จิตใจถึงมีแรงต่อสู้กับร่างกายนี้ (การทำความดีเป็นสิ่งที่ดี ก็คิดว่าจะทำต่อไป) และจะลงมือกระทำให้จริงจัง (เพราะความหลงในขันธ์ห้า) ติดอยู่ในรูปลักษณ์ พอเห็นว่าเขาไม่ดีเราก็เลยไม่ทำ
พอได้ยินเขาว่าร้ายเราก็เลยไม่อยากทำ แล้วต่อไปจะปิดขันธ์ห้า บ้างดีหรือไม่
ทำไม่รู้ไม่เห็นบ้าง แล้วเห็นเขาเป็นคนดีที่เราอยากทำเหมือนกัน
เพราะจิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจที่สามารถโอบอุ้มคนทั่วโลกได้คือจิตใจเฉกเช่นฟ้าและดิน
ฟ้าและดินมีคุณสมบัติเด่นที่เราเห็นได้ชัด นั่นก็คือไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง
ไม่ว่าใครดีไม่ดีก็ทำดีตลอด แล้วท่านจะมีชื่อและมีจิตใจเฉกเช่นฟ้าดินได้หรือไม่
หรือ เป็นเพราะว่าทำดีแล้วไม่ได้รับผลประโยชน์ ทำดีแล้วคนไม่เห็นคุณค่า
ทำดีแล้วเขากลับดูถูกเหยียดหยามหาว่าเป็นคนแปลกประหลาด
เมื่อไรที่เราดำดีแล้วพยายามทุ่งไปให้ถึงซึ่งความดี
มุ่งไปให้ถึงการบำเพ็ญธรรมก็เป็นเพราะว่ารอบข้างไม่เอื้ออำนวยอย่างที่ว่าบางครั้งไม่มีโอกาสที่จะดี
แต่หากว่าเราอยู่แต่ในบ้าน แม้จะมีโอกาสเราก็ยากเห็น
อย่างนั้นจะพูดว่าโอกาสไม่เอื้ออำนวยก็ไม่ได้
ต้องดูตามกรณีของแต่ละท่านด้วยว่าเราเปิดโอกาสให้ตัวเรามีโอกาสได้ไปสร้างบุญ
เราเปิดโอกาสให้ตัวได้มีเวลาไปทำบุญช่วยเหลือคนหรือไม่
การทำดีทุกคนสามารถทำได้ทุกวันทุกเวลา
หากทุกวันเราคิดที่จะกระทำ เราก็เริ่มดำเนินรอยตามพุทธะตามปราชญ์เมธี
หากเดินไปเรื่อยๆ แล้วไปถึง
เราย่อมสามารถสำเร็จเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับคืนเบื้องบนได้
หากพูดจนถึงจบฟังดูเหมือนใช้ระยะเวลาสั้น แต่การกระทำเมื่อคิดแล้วเป็นระยะเวลายาว
เพราะคนทุกคนนั้นจะขึ้นชี่อว่าเป็นคนดีได้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีความสามารถ
เขามีความเก่งทางโลก แต่เขาเป็นดีได้เพราะเขาได้กระทำอย่างไม่ย่อท้อ
และมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงแม้พบความยากลำบาก และแม้คนนั้นจะเป็นคนที่เขาไม่รัก
เขาก็ทำได้ นั่นก็คือคนที่มุ่งที่จะเดินทางไปให้ถึงซึ่งความดี
ไปให้ถึงซึ่งความเป็นอริยา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจะนิ่งเฉย เราจะยืนเฉย วันๆ
อยู่แต่ในบ้านไม่คิดช่วยเหลือตนเอง ไม่คิดนำความสว่างมาให้กับตนเอง
อย่างรอเพียงโอกาสต้องตกมาให้เราทำความดี แต่ตัวเรานั้นต้องเป็นผู้สร้างโอกาสที่จะกระทำดีด้วย
หากวันนี้โลกแปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นธุลีแห่งความชั่วร้าย
และมลทินแห่งความอยุติธรรม เราจะนิ่งเฉยอยู่แต่ในบ้านไม่สนใจได้หรือไม่
ถ้าโลกวุ่นวายเดือดร้อน บ้ายของเราก็ย่อมเดือดร้อนไปด้วย
ถ้าทุกคนออกจากบ้านช่วยกันล้างฝุ่นแห่งชั่วร้ายและอยุติธรรม ความดีก็ย่อมบังเกิดขึ้นมาได้
และความวุ่นวายในโลกก็คงจะลดน้อยลง ไม่เพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม
ฉะนั้นเราคงไม่นอนคุดคู้อยู่ในบ้าน เราคงไม่เฉยเมย และหันหลังในการกระทำดี
เพราะการช่วยเหลือคนหนึ่งคน ก็คือการขัดเกลาจิตใจของตนเองอย่างหนึ่งได้
ถ้าไปเจอคนที่เรารัก เราจะขจัดความรักในตัวเราเช่นไรดี
การช่วยคนก็คือช่วยขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีของเราและเสริมสร้างสิ่งที่ดีของเราให้ยิ่งงอกเงย
ถ้าถูกผู้อื่นโกรธ แต่เราสามารถให้อภัยและเอาชนะความโกรธจนเขาไม่โกรธเราได้
นั่นก็คือเราสามารถเอาชนะความโกรธในจิตใจของผู้อื่นและสามารถข่มความโกรธในจิตใจของเราด้วย
ถ้าเราเจอคนน่ารัก คนดี เราจะทำอย่างไร (ให้เอาความรักที่มีอยู่ไปให้กับทุกคนในโลก) นำความรักที่เขาให้มาเผื่อแผ่ไปให้ต่อคนอื่น
ไม่เก็บเอาไว้เป็นของเราคนเดียว เพราะหลายครั้งที่เราพบความรัก ความดี ความน่ารัก
เรามักจะอดไม่ได้ ขอเก็บไว้คนเดียวไม่คิดจะเผื่อแผ่ใคร
แสดงว่าเราไม่สามารถเอาชนะความรักในจิตใจเราได้ ฉะนั้นพบความรัก ความโชคดี
เรามีเวลาเผื่อแผ่แบ่งปันให้กับคนเราอื่น ความรักก็ยิ่งกว้างไกล
แล้วเราก็มีรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่ารักที่เขาให้เรา ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พอเจอจริงๆ
ก็สั่นผวาทำอะไรไม่ถูก แล้วก็หมอบอยู่ตรงนั้น
“ทำนุจิตอาภาเห็นค่ำมาสาง ใสสว่างด้วยฝนฝึกนานหนา”
เมื่อฝึกฝนไปนานๆ
หมั่นประกอบความดี หมั่นเชื้อเชิญความดีมาอยู่ในตัวเรา
สักวันหนึ่งเราย่อมเป็นคนที่ดี ตอนนี้เรายิ้มให้ท่านแล้ว
ท่านจะฝึกการยิ้มให้กับเราหรือเปล่า บางคนอยู่ในโลกนี้เป็นคนที่ยิ้มยาก คิ้วมักชนกันทุกวัน
วันนี้ฝึกการคลายคิ้วดีหรือไม่ (ดี)
“จนบังเกิดปฏิปทาหนึ่งอันมีค่า” บางครั้งเมื่อเรามุ่งมั่นจะกระทำดีแล้ว
เราจะเกิดความตั้งใจที่เป็นปณิธานหรือความมุ่งมั่นโดยไม่รู้ตัว
เหมือนกับว่าเราอยากทำดี พอเราดีไปเรื่อยๆ เราก็คิดต่อไปว่าทำดีแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด
ถ้าไปไม่ถึงที่สุด เราจะไม่ยอมหยุดในการกระทำดี
นั่นก็คือเกิดปณิธานเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจว่าเราจะต้องทำดีให้ถึงที่สุด
ถ้าเกิดทุกขณะเวลาเรากระทำหรือทุกขณะเวลาที่เราดำรงชีวิต
เราคิดแต่จะลงล้างกิเลสภายในจิตใจตน แล้วร้างเสริมความดี นั่นก็คือใช้ความดีมาลบล้างความชั่วร้ายอยู่ทุกวัน
ความชั่วร้ายจะไม่สามารถมีอำนาจทำร้ายจิตใจเรา แล้วความดีก็ย่อมบังเกิดได้
ฉะนั้นเมื่อยู่บนโลกเราทำความดีให้มีอำนาจแรงและเหนือกว่ากิเลสและอารมณ์
ถ้าเมื่อใดที่เราอยู่บนโลกแล้วเรานำกิเลสอารมณ์วางเหนือความดี วางเหนือความถูกต้อง
วางเหนือความชอบธรรม สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมก่อให้เกิดอันตรายและความน่ากลัว
เพราะเรานำความไม่ดี อารมณ์ ความรัก ความชอบ วางไว้เหนือคุณธรรมความถูกต้อง
เมื่อเกิดขึ้นมาเราก็แปรปรวนไปตามอารมณ์ แล้วอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นสิ่งที่จับไม่ได้
ยึดไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าอารมณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุดเหมือนลมที่พัดไปพัดมา
ไม่เหมือนคุณธรรม
คุณธรรมเป็นความถูกต้องและดีงามแต่อารมณ์กิเลสเป็นความชั่วร้ายและความมืดมน
ทุกคนสามารถเป็นคนดีและเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้วปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า
“เราสามารถหาความดี
หาจิตใจที่ใฝ่ดีได้จากมนุษย์ได้จากคน” แล้วถ้าคนเดือดร้อน ใครจะช่วยคนได้
ไม่ว่าปราชญ์หรือพุทธะก็ล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อคนเดือดร้อนเราก็สามารถหาความช่วยเหลือได้จากคนเหมือนกัน
คนเดือดร้อนเมื่อคนไม่เห็นใจคน แล้วใครจะเห็นใจคน จะให้สรรพสัตว์เห็นใจเรา
จะให้สรรพสัตว์ช่วยเหลือเราหรือ หากคนไม่ช่วยคนแล้วใครจะช่วยคน
หากคนไม่รักซึ่งความดีแล้วโลกนี้จะอยู่ได้หรือ (ไม่ได้)
แม้มนุษย์จะเกิดมาแตกต่างกัน
แต่ก็มีจิตใจพื้นฐานเหมือนกัน นั่นก็คือจิตใจอันดีงาม รักความถูกต้อง
รักความเที่ยงธรรมมีทุกคน ต่างกันก็ตรงปริมาณ บางคนน้อย บางคนมาก บางคนตอนนี้มี
บางคนตอนนี้ไม่มี
ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าเรามีแล้วตอนนี้เราได้ใช้สิ่งที่มีอยู่ได้อย่างถูกต้อง
หรือได้นำพาไปสู่ความใสสว่างหรือนำพาไปสู่ความมืดมนกัน
ก็ล้วนแต่นำพาไปสู่ความมืดมนและความอับจนของชีวิตทั้งนั้น วันนี้ดี พรุ่งนี้ร้าย
แต่บ่อยครั้งร้ายมักข่มดีได้เสมอ ไม่เคยใสสว่างในความดีสักที
ฟ้าได้ประทานชีวิตจิตใจและความคิดอันบริสุทธิ์ให้แก่เรามาแต่ตั้งเดิม
แต่ปัจจุบันนี้เราได้ใช้ชีวิต จิตใจความคิด ร่างกายไปในทางเสื่อถอยไปในทางมืดมน
ไปในทางอับจนและไร้คุณค่าอย่างมากจนไม่สามารถกลับคืนสู่จิตใจ
ความคิดหรือลักษณะอันดีงามเหมือนเดิมได้
นั่นก็คือเราใช้สิ่งที่มีอยู่ไปในทางที่ไม่ถูก อย่างเช่น
ความคิดที่แต่เดิมใสบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ยากใสบริสุทธิ์ จิตใจที่แต่ก่อนเคยดีงาม
ไม่ได้แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นกิเลส
แต่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยฝุ่นที่ไม่เคยชะล้างเลยสักวันหนึ่ง ผัดวันแล้ววันเล่าไม่เคยแก้ไข
แล้วเพราะอะไรเราถึงใช้สิ่งที่มีอยู่ไปในทางที่ไม่ถูก (เพราะความเห็นแก่ตัว) เมื่อไรที่ตนสามารถเห็นตนได้อย่างแท้จริง
คนๆ นั้นก็สามารถนำตนไปสู่ความสว่างได้ ฉะนั้นต้องนำตนไปไห้ตลอดรอดฝั่ง
วันนี้เราไม่ได้คุยกันเรื่องยากเลย
เราคุยกันแต่เรื่องง่ายๆ ที่ต้องทำแต่ไม่ยอมทำ ที่ทำได้แต่บอกว่าทำไม่สำเร็จ
“ใจมิเอียงอันตรายกล้ากล้ำกรายฤา” หากเราเป็นคนเที่ยงตรง
เวลาเราทำอะไรก็ยากที่จะผิดพลาด หากเราเป็นคนเที่ยงธรรม
เวลาจะทำอะไรก็ยากที่จะผิดทำนองคลองธรรม ผิดหลักธรรม
ฉะนั้นการทำดีอีกข้อหนึ่งที่ควรตระหนักไว้ก็คือ ต้องมีใจที่ไม่ลำเอียง
เวลาเราได้รับผลประโยชน์มาหนึ่งอย่าง ถึงคราวที่เราต้องแบ่งเรามักจะเอนเอียงตาชั่ง
เวลาเราได้รับคำชม การทำงานนั้นเราไม่ได้ทำคนเดียว เราทำร่วมกับคนอื่น
เรามักจะยิ้มใหญ่ โดยลืมบอกไปว่าคนอื่นก็ช่วยทำด้วย
เวลาเรามีโอกาสได้รับประโยชน์เราก็ฉวยเต็มที่ โดยที่ไม่สนใจคนอื่น
เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น) นั่นก็คือต้องพยายามรักษาความเที่ยงตรง
และเที่ยงธรรมให้ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อน แล้วอันจรายก็ยากจะบังเกิดแก่เรา
แล้วความเป็นมิตรก็จะมาสู่เรา
แต่ถ้าเราไม่เที่ยงธรรมบางครั้งดูแค่สีหน้าก็เดาออกแล้วว่าเขาโกงเราหรือไม่โกง
แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ช่างเก่งเหลือเกินปั้นหน้าหลอกลวงได้เก่ง จงจำคำนี้ไว้ “แม้หลอกคนอื่นได้แต่หลอกฟ้าดินไม่ได้” (จิตใจและอารมณ์เกิดสับสนจึงทำให้ยากที่จะตัดสินใจ) บ่อยครั้งที่เรามีใจมุ่งมั่นที่จะกระทำดี
แต่หลายครั้งที่เราตัดสินใจได้ไม่เต็มที่สักครั้งหนึ่ง มักจะเกิดใจเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งคือคิดทำ อีกฝ่ายหนึ่งคือไม่อยากทำ
เพราะว่าใจเราถูกครอบงำด้วยวัตถุและโลกีย์วิสัย
เมื่อเราอยู่บนโลกนี้อย่ายึดติดเฉพาะหู
ตา จมูก ลิ้น แต่เราต้องรู้จักว่า เมื่อเราเห็นเราต้องรู้จักใช้ปัญญาขบคิด
ดังนั้นเราก็ยากที่จะถูกอารมณ์โลกีย์วิสัยหรือวัตถุทางโลกครอบงำจิตใจ
และนำพาให้เราเดินไปทางทางที่ผิด
เพราะปัญญาเรามีนโนธรรมสำนึกอันดีงามซึ่งเป็นพื้นฐานของคุณธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่ทุกคนมีอยู่
ไม่ว่าคนผิวขาวหรือคนผิวดำ ล้วนมีสิ่งนี้อยู่
แต่อยู่ที่ว่าจะใช้ปัญญาขบคิดแล้วนำมโนธรรมนั้นมาตัดสินด้วยหรือเปล่า
บ่อยครั้งที่เราเจอปัญหา เจอสิ่งที่เราอยากได้
เรามักจะปล่อยให้อารมณ์และวัตถุหรือโลกีย์วิสัยครอบงำจนลืมขบคิด ลืมใช้ปัญญา
ลืมใช้มโนธรรมสำนึกอันดีงามตรวจสอบว่าควรทำหรือไม่ควรทำ
บ่อยครั้งเราเห็นก้อนกรวดดินทรายหรือชื่อที่ไร้รูปมีค่ากว่าชีวิตของตัวเอง
รู้ไหมว่าก้อนกรวดหรือหินดินทรายที่เราพูดนี้คืออะไรบ้าง (เพชรพลอย) นอกจากเพชรพลอยแล้วบางครั้งเรายอมแลกชีวิตของเราเพื่อให้ได้มาซึ่งก้อนกรวดดินทราย
หรือกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วอย่างนี้เรารักชีวิตหรือทำลายชีวิตกัน (ทำลายชีวิต) เราทำลายชีวิตโดยไม่รู้ตัว ทำลายความดีโดยไม่รู้ตน ก้อนกรวดดินทรายก็คือ
ตึกพันล้านที่ก่อตัวออกมา แล้วกระดาษแผ่นหนึ่งคือเงิน
กระดาษที่เราเฝ้าจับจองหวงแหนกันนักหนา
โฉนดที่ดินหรือใบเอกสารแสดงตำแหน่งหน้าที่ของเราในบริษัท
หรือนามบัตรที่มีชื่อของเรา จนบางครั้งเรามีเรื่องเพราะพยายามรักษาชื่อเสียงในนามบัตรนั้นไว้
ทำให้เราหลงลืมว่าเราต้องรักษาชีวิตมากกว่ารักษาก้อนกรวดดินทราย
กระดาษแผ่นหนึ่งชื่อที่ไร้รูปลักษณ์ หรือตัวตนที่ไร้ตัวตน
เข้าใจคำว่า “ตัวตนที่ไร้ตัวตน”
หรือเปล่า
ตัวตนที่ไร้ตัวตนคือตัวตนที่หาตัวตนเป็นแก่นสารไม่ได้ แต่ตัวท่านนี้เป็นตัวตนที่หาแก่นสารได้หรือไม่
เราต้องหาให้ได้ ตัวเราเองยังไม่รู้ค่าชีวิตแห่งตน แล้วจะมีตนที่แท้จริงได้หรือไม่
ตนที่แท้จริงคือ จิตใจอันดีงามที่ใฝ่สร้างสรรค์ตนเอง ใฝ่ช่วยเหลือคนอื่น
แต่ตัวตนที่ไม่แท้จริงอีกอย่างหนึ่ง ที่เราหมายถึงนั่นคือกายเนื้อที่เปลี่ยนรูปหาแก่นสารไม่ได้
นั่นก็คือของที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
กายนี้เมื่อถึงร้อยปีเปลี่ยนไปหรือเปล่า
(เปลี่ยน) แล้วเมื่อเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
อย่างนี้จะหาแก่นสารได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นการบำเพ็ญเราจึงต้องดูว่าอะไรมีค่ามากกว่า
อะไรพึงรักษาไว้อย่างหนัก อะไรพึงรักษาไว้อย่างเบา จึงมีสำนวนที่ใช้บ่อยๆ
เมื่อยามบำเพ็ญธรรมนั่นก็คือ “ยืมกายปลอมบำเพ็ญของจริง”
ยืมตัวตนนี้บำเพ็ญตัวตนที่ดูเหมือนไม่มีตัวตน
สร้างชื่อโดยที่ตนเองยังมีชื่ออยู่ แต่การสร้างชื่อที่แท้จริง
ไม่ใช่เป็นการสร้างชื่อทีตั้งขึ้นมาเป็นชื่อแล้วก็ออกมาเป็นนามบัตร แล้วก็ยึดติดผิดๆ
เมื่อไรที่ตนเองไม่เคารพตนเอง
คนอื่นก็ยากที่จะเคารพเรา ถ้าเมื่อไรที่เราดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีคนเคารพเรา
แสดงว่าเราต้องถึงตรวจสอบตนเองได้แล้วว่าเราทำตนเองให้ไม่เป็นที่น่าเคารพใช่หรือไม่
(ใช่) บ้างเมืองเกิดความแตกแยก
เกิดความวุ่นวายเพราะคนในประเทศไม่รักกัน
จิตใจเราวุ่นวายสับสนเป็นเพราะว่าใจเราแบ่งออกไปไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ ฉะนั้นการอยู่บนโลกนี้ ทำไมเขาไม่รักเรา
ทำไมเขาไม่เคารพเรา
ต้องถามและมองกลับมาที่ตัวเองด้วยว่าเราทำตัวให้น่าเคารพหรือเปล่า เราทำตัวให้น่ารักหรือเปล่า
ฉะนั้นหากหวังหรือต้องการสิ่งใดจากคนอื่นก็อย่าลืมสร้างสิ่งนั้นจากตนเองเสียก่อน
“ชอบแก่งแย่งยินบารมีมิสาดส่อง ทะเลาะแย่งหยุดควรลองฟ้าไร้ชื่อ”
คนที่ชอบแก่งแย่งจะมีบารมีอันร่มเย็นหรือไม่
(ไม่มี) คนที่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง
เขาสามารถเดินได้อย่างถูกครรลองคลองธรรมหรือไม่ (ไม่) เพราะยึดความคิดของตนเป็นหลัก ไม่สนใจเหตุผลและความถูกต้องของครรลองคลองธรรม
ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
แม้ว้าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราขาดซึ่งบารมีแห่งคุณธรรม ก็ยอมทำได้แม้ว่าจะทะเลาะกับผู้อื่นหรือแก่งแย่งกับผู้อื่น
“เริ่มตรองดูดดอกไม้สวยงามไม่อยู่เนิ่นนาน”
ชีวิตวันนี้เราว่าสวนดีผุดผ่อน
เรามีพละกำลังแต่ต่อไปอาจจะไร้เรี่ยวแรง อาจจะไร้กำลังโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงามธรรมแจกผ้าเช็ดหน้าให้กับนักเรียนในชั้น)
วันนี้คนที่ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ท่านเป็นคนรุ่นน้อง
เมื่อเช็ดหน้าแล้วต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจ
ต้องเปลี่ยนแปลงใบหน้าให้ดูใสเหมือนกับผู้ที่ส่งให้ดีหรือเปล่า (ดี) เพราะคนที่ส่งให้ท่านคือเด็ก แปลว่าผ้าที่รับแล้วเช็ด
ต้องกลับคืนสู่ความเป็นเด็กได้ แต่เป็นเด็กที่รู้ตื่น แล้วเข้าใจต่อโลก พร้อมที่จะเผชิญความเป็นจริงของโลกด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรม
ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย แม้ความทุกข์ยากลำบาก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาลงไปส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่อยู่ชั้นล่าง)
การดำเนินชีวิตหลังจากฟังธรรมะแล้วได้นำหลักธรรมไปใช้
มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิมหรือเปล่า หรือไม่ก้าวหน้า
ไม่เคยค้นพบความสว่างไสวแห่งจิตใจสักที ก้าวหน้าหรือถอยหลัง (ก้าวหน้า) จุดประสงค์ของผู้บำเพ็ญธรรมก็คือ
ลดทอนความอยากไม่ฟุ้งเฟ้อ
สามารถปล่อยวางเรื่องทางโลกได้ และสามารถมีจิตใจเผื่อแผ่ผู้คนได้
สิ่งใดที่ตนเองผิดเมื่อมีคนมาชี้แนะตักเตือน เราต้องพินิจพิจารณาตรวจสอบดูว่า
สิ่งที่ตนเองผิดนั้นเป็นจริงอย่างที่เขากล่าวหรือไม่
ถ้าเป็นความดีก็พึงรักษาและกระทำ
ส่วนความไม่ดีที่มีอยู่ในติใจนั้นเรามองคนเดียวก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งหมด
ไม่เท่ากับผู้อื่นมาช่วยมอง หรือมีกระจกมาช่วยส่องจะทำให้เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
บ่อยครั้งที่เรารู้นิสัยของผู้อื่นได้ดีกว่ารู้นิสัยของตัวเอง
ฉะนั้นเมื่อใดสามารถเห็นนิสัยของคนอื่นได้ดี เวลาคนอื่นตักเตือนเรา
ให้คำชี้แนะว่ากล่าวเรา เราก็ต้องนำไปคิดพินิจพิจารณาด้วย
อย่ายึดมั่นกับความคิดของตนเอง ไม่เช่นนั้นจะมองเห็นสิ่งผิดและข้อผิดพลาดของตนเองได้ไม่เต็มที่
ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วว่าเป็นสิ่งผิดและยังมีอยู่ในตัว เราต้องเร่งรีบแก้ไข
อย่าผัดวัน อย่าเหนื่อยหน่าย อย่าย่อท้อ ความดีขอให้รักษาและกระทำอยู่ทุกวัน
ความชั่วร้ายก็หมั่นชะล้างและขัดเกลา แล้วอย่างนี้จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร
แต่เพราะอะไรเมื่อเรามาบำเพ็ญธรรมแล้วเรายากจะเผชิญสู้กับความเป็นจริง
เมื่อเราบำเพ็ญธรรมเราต้องสู้และเผชิญกับความเป็นจริง
เมื่อเราบำเพ็ญธรรมเราต้องสู้และเผชิญกับความเป็นจิรง สู้แล้วต้องรับให้ได้
เมื่อรับแล้วต้องเดินต่อไปให้ได้ ในโลกนี้เราไม่สามารถหลบหนีความเป็นจริงได้
เราต้องรู้ความเป็นจริงของโลกนี้ซึ่งมีอยู่ไม่กี่อย่าง ถ้าเราสามารถสู้ได้ อดทนได้
ฟันฝ่าได้ เรานั่นเองคือผู้ชนะ
และเราก็คือผู้ประเสริฐที่สามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้
โดยไม่คิดฝุ่นหรือธุลีกิเลสของโลกนี้ คือแม้เท้าจะเหยียบพื้นแต่ใจไม่สกปรก
แล้วทำได้ไหม (ได้) คงทำได้ไม่มากก็น้อย
แม้จะเดินบ้างถอยบ้างแต่คงไม่ถึงกับถอยจนไม่ยอมเดิน
เมื่อคิดจะบำเพ็ญธรรมและคิดว่าการบำเพ็ญธรรม
คือสิ่งที่ดี สามารถนำพาชีวิตไปสู่แสงสว่างก็ขอให้มุ่งมั่นไปให้ถึง
และยึดกุมให้ได้ อย่ายึดกุมเพียงแค่เปลือกนอก เรื่องราวในโลกนี้เราไม่สามารถใช้เพียงตาตัดสิน
อย่าใช้เพียงหูได้ยิน แต่เราต้องใช้ปัญญาคิดพินิจพิเคราะห์ด้วย
เพราะหลายครั้งที่เราไม่สามารถวัดค่าของคนๆ หนึ่ง
ว่าเป็นคนดีที่แท้จริงได้เพียงแค่มองเปลือกนอก คุณธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน
เราอย่ามองว่าดีเท่านั้น แต่ต้องได้แก่นของความดีและนำหลักของความดีไปน้อมนำชีวิต
น้อมนำจิตใจของเรา แล้วนำพาชีวิตของเราไปสู่ความสว่างให้จงได้ ถ้าทำได้ท่านจะได้พบพุทธะ
ท่านจะได้พบดวงจิตอันสว่างไสวในตัวเองได้ เมื่อนั้นท่านก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้
เมื่อไรที่สามารถวางใจให้ตรง โปร่ง เบา ใส บริสุทธิ์ ท่านก็สามารถคืนฟ้าได้ง่ายๆ
แต่เมื่อช่วยตนเองให้รอดพ้นแล้ว อย่าทอดทิ้งคนอื่น เพราะเราอยู่ร่วมกันในสังคม
หากคนไม่รักคนแล้วใครจะรักคนด้วยกัน
ขอให้มีจิตใจที่เข้มแข็งต่อสู้บำเพ็ญธรรมอย่างไม่ย่อท้อ
วันนี้มาฟังวันแรกอาจจะยังไม่เข้าใจ อาจจะคิดว่ามาล้อเล่นหรือเล่นละคร
การมองอะไรมองแค่เปลือกนอกยากที่จะพบแก่น
ผู้ที่ติดเปลือกนอกย่อมไม่มีวันได้เห็นแก่นแท้ ขอให้จงจำให้ดีๆ
ถ้าใจว่างจากคุณธรรมสักนิดหนึ่ง ความชั่วร้ายก็จะเข้ามาแทนที่
ใครรู้สึกท้อแท้เวลาบำเพ็ญธรรม ใครรู้สึกว่าตัวเองล้มแล้วลุกไม่ได้
บางครั้งเวลาท้อแท้ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ขอให้ถามตัวเองด้วยว่าเราไม่ยอมลุกขึ้นจากการล้มหรือเปล่า
บางครั้งเราท้อแท้
เราเหนื่อยหน่ายเป็นเพราะเราสร้างกำแพงให้ตัวเราเกิดความรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อใดที่เราท้อแท้
เมื่อใดที่เราเกิดความเหนื่อยหน่ายขอให้เราเปิดใจให้กว้างๆ
ขอให้มองคนรอบข้างให้มากๆ บางครั้งเราจะได้กำลังใจโดยไม่รู้ตัว
ดอกไม้ผลัดกันชมได้ตงไม่เหี่ยวเฉาในจิตใจ
แม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาแต่ในจิตใจก็เบ่งบานเหมือนดอกไม้
ใครท้อใครหมดกำลังใจก็มาดูดอกไม้ในตะกร้านี้ดีหรือเปล่า
ถึงแม้เราจะกลับไปแล้วเรกาจะทิ้งดอกไม้ไว้ที่นี้ เพื่อเป็นกำลังใจและปลอบขวัญทุกคน
ทุกอย่างในโลกนี้ความทุกข์หรือความสุขล้วนเกิดจากตนเองเป็นคนสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น
แม้คนอื่นจะพยายามให้ท่านมีความสุข แต่ถ้าใจท่านไม่สุขทำอย่างไรก็ไม่สุข
แม้ทุกคนจะทำให้ท่านทุกข์แต่ถ้าใจท่านปลงได้ ท่านก็ไม่มีวันทุกข์
หากใจเรายังพะวงติดอยู่กับโลกแม้มาทางธรรมก็ฟังไม่รู้เรื่อง
หากใจยังพะวงติดอยู่กับกระดาษใบเดียว แม้มาอยู่ตรงนี้ก็ฟังอะไรได้ไม่เข้าใจ
หากตนเองปล่อยแล้วปล่อยได้ไม่จริงสักวันหนึ่งก้ต้องหวนกลับไปที่เดิม
แม้วันนี้ได้กำลังใจแต่ถ้าใจของตนเองไม่สลัดให้ได้เสียจริงๆ
ก็ได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเอง แต่ไม่ตลอดรอดฝั่ง คนที่จะสร้างกำลังใจคนที่จะให้ท่านมีความสุข
คนที่จะทำให้ท่านมาถึงธรรมและเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมได้ก็คือ ตัวท่านเอง
ขอให้เข้าใจให้ดีๆ บางครั้งควรลืมหรือสลัดความคิด ความรู้ออกไปบ้าง
อย่าได้ถมอยู่ในใจจนมากเกินไป ใจนี้ถ้าหนักแน่นไปด้วยเรื่องของโลกก็ยากที่จะใส ยากที่จะบริสุทธิ์ได้
ยากที่จะหาความสงบและสันติสุขแห่งจิตใจได้
ทุกคนคงมีเรื่องราวที่ยากจะพูด
ยากจะเอื้อนเอ่ยมากมาย
แต่ถ้าจำสิ่งที่เราพูดเมื่อสักครู่ได้ก็คงจะมีประโยชน์ไม่น้อย
ไม่มีใครทำให้ท่านทุกข์หรือสุขได้ถ้าท่านรู้จักวางตัวเองให้ถูกต้อง
วางตัวเองให้ถูกทาง บางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่ามาแล้วทำให้ท่านเกิดความอยากหรือมาแล้วจะทำให้ท่านดับความอยากกันแน่
เวลาเป็นผู้บำเพ็ญแล้วอย่าใช้เพียงคำพูดอย่างเดียว แต่ทั้งคำพูด
และการกระทำต้องสอดคล้องกันไม่ใช่พูดได้แต่ทำไม่ได้
ฉะนั้นถ้าหากว่ากลัวทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งพูดจะดีกว่า เพราะอันตรายที่เกิดขึ้น
มักเกิดจากปากของเราง่ายกว่าการกระทำ บางครั้งความรู้ความสามารถ ความภาคภูมิใจ
ความมีชื่อเสียงก็ไม่สามารถนำพาตนเองให้มีความสุขได้ตลอดชีวิต
ไม่เหมือนคุณธรรมและความดี
เราต่างกันแค่เพียงรูปกายภายนอก
จริงๆ แล้วเราต่างมีพุทธจิตเหมือนกัน ขอเพียงเปิดใจให้กว้าง
อย่าได้คิดว่าเรามาลวงหลอกเท่านี้ก็พอ เวลาที่เราเห็นอะไร
เราต้องคิดพิจารณาแล้วตรวจสอบในเรื่องหลักธรรมให้ถูกต้องตามทำนองครองธรรม
และใช้ปัญญาไตร่ตรองเสียก่อน การกระทำก็ยากที่จะผิดพลาดและล้มเหลว
และยากที่จะไปเบียดเบียนผู้อื่น
(นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ชื่อเพลงพระโอวาท
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นักเรียนในชั้นยกมือเพื่อที่จะเลือก) ได้ชื่อเพลงว่า
“อย่าได้เสียเวลา”
มาวันนี้ก็อย่าให้เสียเปล่า
ต้องได้ความดีหรือหลักธรรมกลับไปด้วย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
วันนี้อาจจะยังร้องไม่คล่อง
แต่ถ้าทุกวันหมั่นฝึกฝนย่อมคล่องแคล่ว วันนี้อาจจะไม่ได้
แต่ถ้าทุกวันหมั่นฝึกหมั่นทำก็ย่อมจะได้ วันนี้แม้ว่าความดีจะยังไม่อยู่คู่กาย
แต่ถ้าต่อไปหมั่นฝึกฝนบำเพ็ญตน ไม่ช้าความดีก็สถิตมาอยู่กับตัวเรา
ทุกคนต่างมีความดีอยู่แล้ว ขอให้เปิดโอกาสให้ตนเองได้สร้างความดีของตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แล้วตัวท่านเองจะสามารถค้นพบความดีอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในตัวเอง
เมื่อเราพบความดีอันยิ่งใหญ่ในตัวเองแล้วรู้เผื่อแผ่ฉุดช่วยคน
เราก็สามารถดำเนินชีวิตเฉกเช่นพระพุทธะหรือโพธิสัตว์ได้ อย่ามองข้ามความดี
ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า
“เมื่อใดที่ใจท่าบอกว่าไม่ควรก็อย่าทำ
เมื่อไรที่ใจท่านบอกว่าไม่ควรปรารถนาก็ไม่ควรปรารถนา”
หากทุกครั้งเวลาจะทำอะไรใจคิดว่าไม่น่าจะทำก็ควรจะใช้ปัญญาคิดก่อนที่จะทำ
เพราะเมื่อใดที่ใจเราคิดว่าไม่แน่ใจก็แปลว่าเริ่มจะไม่ถูกต้อง
แม้ความดีจะเติบโตเงียบๆ แต่ขึ้นชื่อว่าความชั่วร้ายแล้ว จะสูญหายนานช้า
อย่าได้ติดยึดรูปลักษณ์หรือสิ่งของภายนอกจนลืม แก่นแท้ความเป็นจริงของตนเองภายใน
อย่ามองข้ามดูของที่ไม่มีประโยชน์แต่จริงๆ แล้วอาจจะมีประโยชน์ บางครั้งต้องปล่อยวางบ้าง
ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนชอบยึดติดรูปลักษณ์ บางครั้งต้องปล่อยวางบ้างถ้าเกิดว่าเราเป็นคนชอบยึดรูปลักษณ์
บางครั้งต้องรู้จักยึดบ้าง ถ้าเราเป็นคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของสิ่งใด
หลักธรรมบางครั้งต้องรู้จักพลิกแพลง อย่ายึดตายตัว อย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไป
หรือแม้กระทั่งคำพูดของเรา
วันนี้ว่าเป็นหลักธรรม แต่ถ้าต่อไปคนชั่วร้ายนำไปใช้ หลักธรรมนี้อาจจะคุ้มครองคนชั่วร้ายก็เป็นได้
ถึงแม้จะเป็นหลักธรรมที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับคนที่นำไปใช้เหมือนกัน
ถ้าเนคนมีหลักะรรมนำหลักธรรมไคุ้มครองตนก็สามารถจะอยู่รอดปลอดภัยและหลบหลีกอันตรายได้
แต่ถ้าคนดีไม่รู้จักนำหลักะรรมไปใช้ก็ย่อมเป็นอันตรายและยากที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้
ฉะนั้นการอยู่บนโลกนี้ต้องรู้จักตามให้ทัน
อยู่ให้เหนือกิเลสและอารมณ์ของโลกนี้
วันนี้เรามาไม่ต้องการให้ท่านยกย่องเชิดชูหรือนับถือเราแต่เรามาเพื่อให้ท่านรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น
และนำพาชีวิตไปให้ถูกทางและอยากจะยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่ายุคนี้เป็นยุคโปรดเวไนยและบำเพ็ญฝึกฝนตนในครัวเรือน
ก็คือไม่ว่าชายหรือหญิงก็สามารถบำเพ็ญกลับคืนเบื้องฟ้าได้เหมือกัน
แล้วบำเพ็ญอยู่ที่บ้านเมื่อมีโอกาสก็ช่วยเหลือคน มีโอกาสก็รู้จักหมั่นขัดเกลาคน
การบำเพ็ญคนท่านกลางฝุ่นธุลี หากท่ามหลางฝุ่นธุลีเราสามารถบริสุทธิ์ได้
สามารถเป็นพุทธะที่แท้จริงได้ย่อมประเสริฐ
ย่อมเป็นการขัดเกลาที่เห็นได้ชัดว่าทนได้หรือทนไม่ได้ เป็นคนหรือเป็นพุทธะปลอม
ขอให้รักษาโอกาสนี้ให้ดี มีโอกาสรับธรรมะแล้วขอให้ศึกษาทำความเข้าใจให้ดี
ไม่ใช่มีแต่ความหลงงมงายโดยที่ไม่มีความเข้าใจธรรมะนี้ ก็มิต้องการเช่นนั้น
เมื่อใดที่ยังมีการแจกแจงรายละเอียดให้ท่านฟังก็หมายความว่าะรรมะยังเปิดโอกาสให้ท่านศึกษาพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วไปใช้ให้จงได้
มีพบก็ต้องมีพรากเป็นสัจธรรม
วันนี้เราคงรักษาบุญโอกาสเพียงเท่านั้น
แต่วันต่อไปท่านจะมีโอกาสและเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้มีบุญสัมพันธ์ ได้มีโอกาศึกษาธรรมะอยู่หรือเปล่าก็ถามใจท่าน
เราคงไม่เรียกร้องอะไรมากกว่านี้ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี
ขอให้พยายามศึกษาอย่างเต็มที่และตั้งใจลงแรงอย่างแท้จริง
คงไม่ยากเกินไปที่จะกระทำ
ชีวิตก็อยู่ในมือตัวเรา เราจะเลือกทางเดินใดให้กับชีวิต
หากวันนี้มีทางหนึ่งที่สามารถกลับคืนเบื้องบนกลับคืนความสว่างและสดใสชีวิตท่านไม่คิดไม่ไตร่ตรองที่เลือกเดินหรอกหรือ
วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช
๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
นาวาธรรมงามพิสุทธิ์ใสสว่าง เชิญศิษย์อย่าเชิญศิษย์เยือนให้บ่อยบ่อย
ดวงใจนี้ขัดเกลาให้เรียงร้อง ดีเล็กน้อยสู่ดีมากนะศิษย์เอย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า
ถือเป็นการไตร่ตรองปัญญาถูกฝน หล่อหลอมทองไม้ผลิผลง่ายไฉน
ใจหนึ่งสร้างงานพุทธะได้ ความนึกคิดใช้อย่างระมัดระวัง
ตื่นรู้อย่างชีวิตที่มัวเมา ค่ำปราบเช้าอกุศลจิตติดฝัง
ผูกกิเลสบาปและกรรมไม่ระวัง ศิษย์อย่างนี้ใจสะท้านเศร้าวิญญา
สติได้ช่วยสงบให้พายตรี สามัคคีกันเร่งบากบั่นญาณมิกล้า
ตั้งใจจะเป็นตะวันส่องโลกหล้า รุดช่วยฝ่าทางนี้ช่วยเวไนย
ชนทั่วไปในโลกล้วนลำบาก มีทุกข์ยากมากมายหลายสถาน
เร่งเรียนธรรมนำสู่ทิพย์วิมาน เป็นสถานที่สงบทุกภพภูมิ
ฮวา
ฮวา หยุด
หมายเหตุ กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ถ้าไม่เปิดหนังสือจะร้องเพลงได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราจำเนื้อเพลงไม่ได้เปรียบประหนึ่งขาดความคล่องชำนาญ
การที่จะมีคล่องและชำนาญต้องทำบ่อยๆ การงานจะชำนาญต้องทำฝึกบ่อยๆ
การฝึกฝนให้ชำนาญก็ต้องใช้เวลาระยะยาว อยากจะปฏิบัติกิจระยะยาวนี้หรือเปล่า (อยาก) กิจระยะยาวนี้หมายถึงการบำเพ็ญระยะยาวตลอดชีวิต
ทำไมเราจึงต้องบำเพ็ญธรรม (เพื่อให้โลกสันติสุข) ก่อนที่โลกจะสันติสุขได้
ตัวศิษย์ต้องสันติสุขก่อน บางทีเราก็คิดเองแล้ว
เราก็บอกว่าความคิดของเราไม่ถูกต้อง บางทีเรารู้ว่าควรจะทำอย่างนี้แต่เราก็ไม่ทำ
จนกระทั่งเกิดความเดือดร้อนขึ้น ตัวเราเป็นผู้หาความเหนื่อยยากต่างๆ
เข้ามาหาตัวเอง
คำว่า “บำเพ็ญ” แปลว่าซ่อมแซม เราต้องซ่อมแซมจิตใจของเราให้เป็นจิตใจที่ถูกต้อง
ดำเนินอย่างถูกทำนองคลองธรรม คิดในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดีและพูดในสิ่งที่ดี
ทำอย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นการปูทางแห่งการบำเพ็ญธรรมที่ถูกต้อง แต่เราทุกคนไม่สามารถคิดดีได้ตลอดเวลา
เราคิดดีบ้างไม่ดีบ้างปนกันไป ในวินาทีที่เราคิดไม่ดี
ถ้าตัวเราตายไปก็จะกลายเป็นวิญญาณที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตจึงไม่ควรประมาท
คำว่า “ประมาท” ฟังกันมานาน
ตอนนี้ศิษย์ประมาทหรือเปล่า (ประมาท) แสดงว่าเรานั้นยังเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์
ถ้าเรากินทิ้งกินขว้างจะเหมือนกับอะไร แม้ว่าเราจะมีร่างกายเป็นคน
แต่ว่าการประพฤติปฏิบัติเหมือนไม่ใช่คน มนุษย์ควรจะทำอย่างไร
เราอย่าบอกแต่ว่าดีอย่างเดียว แต่ดีอย่างไรก็ไม่รู้
กว่าจะออกมาเป็นวงกลมกว่าจะลากเส้นลง กว่าจะลากเส้นขึ้นตรงนี้ทำอย่างไร (ดีตรงที่ทำความดี, ดีตรงที่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นที่ลำบากของคนอื่น) บางคนพูดเป็นเขียนไม่เป็น
บางคนพูดได้แต่ทำความดีไม่ได้ กว่าจะลากเส้นขึ้นลงต้องทำอย่างไร
ความไม่ใช่พูดเป็นแต่ความดี ความดีต้องทำด้วย ต้องเขียนเป็น ต้องพูดเป็น
และต้องทำได้ด้วย มนุษย์สามารถทำความดีได้ที่ปากกับใจ
เวลาปากกับใจไม่ตรงกันก็ทะเลาะกันเอง ตัวเราทะเลาะกับตัวเราแล้วเป็นอย่างไร
อาจารย์สมมติว่าขาขวาเป็นกาย ขาซ้ายเป็นใจ
ขาขวาจะไปแล้ว แต่ขาขวาไม่ยอมก้าว
หรือขาซ้ายไปแล้วแต่ขาขวาไม่ยอมก้าว การทำความดีครั้งนี้ก็จะไม่สำเร็จ
บางคนใจดีแต่ไม่ได้กระทำ บางคนพูดดีและใจดีด้วย แต่ในที่สุดแล้วก็ยังไม่ได้ทำดี
บางคนพูดจาดีมีธรรมะแต่ในที่สุดก็ยังไม่ได้ลงมือทำ
เพราะฉะนั้นความดีจะต้องทำที่ปาก ที่ใจ ที่กาย ทำให้ครบสามอย่าง
จึงเรียกว่าความดีที่ได้กระทำออกไป แล้วสิ่งที่ทำออกไปนี้ดีจริงหรือเปล่า
บางครั้งทำไปแต่จิตใจเผลอ อยากจะได้ผลตอบแทนนั้นๆ เหมือนกับตักบาตรอยากได้บุญ
ช่วยคนก็อยากได้กุศล เวลาที่เราทำเราก็อยากได้ไปต่างๆ นานา
เวลาเราช่วยคนเราก็อยากให้คนอื่นช่วยเรา ในที่สุดแล้วเรียกว่า “กรรมดี” กรรมดีต้องมาตอบแทนกันหรือเปล่า มีกรรมดีและกรรมชั่ว
เรารู้แต่ว่ากรรมชั่วห้ามทำ แล้วกรรมดีตอบแทนหรือเปล่า ตอบแทนเช่นเดียวกัน
สรุปว่าไม่ต้องทำทั้งความดีและความชั่วจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่
แล้วทำอย่างไร (ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน) ที่สุดแล้วต้องทำความดีไม่หวังผลตอบแทน
ศิษย์ทำได้หรือเปล่า
เราตักบาตรไปเราคิดอะไร ทำไมพุทธศาสนาจึงสอนให้ตักบาตรแล้วจึงต้องกรวดน้ำ
(เผื่อแผ่) เพื่อให้เรานำบุญของเราทั้งหมดเผื่อแผ่ออกไป เหลือแต่จิตใจที่โปร่ง
เบาและสบายใจ แล้วทำไมจิตใจของเราจึงเหลือคำว่า “บุญ”
ไว้ เราตักบาตรก็คือการทำทาน
เราได้บุญตอบแทนกลับมาแล้วเราอุทิศออกไปอีก ในที่สุดแล้วไม่สามารถที่จะหมดสิ้น
แต่จิตใจของเราต้องสิ้นการยึดถือบุญ ถ้าเราไม่ปล่อยวางบุญอันนี้ก็จะกลายเป็นกรรมดี
ในที่สุดกรรมดีต้องตอบแทนเรา เราต้องมาเกิดอีกเพื่อที่จะได้กรรมดีนี้
เพื่อเกิดมาเป็นคนที่มีกิน เป็นคนร่ำรวย เป็นคนที่มีบ้าน เป็นคนที่มีรถ
ตอนนี้พวกเราทุกคนมี แต่บางคนมีน้อย บางคนมีมาก แล้วสิ่งเหล่านี้เรายึดติด
ยึดติดกับอาหารอร่อยๆ ยึดติดกับบ้านสวยๆ ยึดติดกับรถสวยๆ ยึดติดหลานสักคน
ยึดติดกับเงินทองที่เรามีเป็นกองหรือไม่ (ไม่ยึดติด) ถ้าศิษย์ไม่ยึดติดก็เร่งรีบบำเพ็ญต่อไปจะได้หลุดพ้น
แต่ปัญหาสำคัญก็คืออะไร ถ้าบ้านของเราครึ่งหลังหายเข้าไปอยู่ในธนาคารศิษย์จะรู้สึกอย่างไรบ้าง รถสักคันหนึ่งไม่มีจะขับ ไม่มีน้ำมันจะทำอย่าไร
ลูกป่วยหลายป่วยเป็นอย่างไร (ทุกข์) แล้วเราบอกว่าไม่ยึดติด
ถ้าไม่ยึดติดก็ช่างมัน ในที่สุดแล้วชีวิตอยู่ในโลกนี้บอกว่าตัวเองไม่ยึดติด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผ่านเข้ามาผ่านออกไปมีแต่ความทุกข์ ทำไม่มีแต่ความทุกข์ล่ะ
บอกว่าบ้านก็ไม่ยึดติด รถก็ไม่ยึดติด เงินทองก็ไม่ยึดติด ลูกหลานก็ไม่ยึดติด
สุดท้ายไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็บอกว่าทุกข์ใจ จิรงๆ
แล้วเราหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้ยึดติด แต่ที่จริงเรายึดไว้ทั้งนั้นเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสักเส้นหนึ่ง ดวงตาสักคู่หนึ่ง
ผิวหนังผิวหน้ายึดติดหรือเปล่า (ยึดติด) ผู้หญิงใส่กำไลๆ นี้ของใคร (ของเรา) ผู้ชายแขวนพระเครื่องๆ
ของใคร (ของเรา)
ที่บอกว่าตัวเองไม่ยึดติดนั้นยังไม่จริงใจ
อาจารย์จึงบอกว่าทำดีทำไปก่อนเสร็จแล้วทำดีได้ดีหรือเปล่า หมายความเราทำดีแล้ว
ทำได้งดงาม เพรียบพร้อมสมบูรณ์ ถูกต้องหรือไม่ อย่าเพิ่งไปกังวล
เพราะที่เราบอกว่าเราไม่ยึดติดนั้น จริงๆ แล้วก็ยึดติด นี่คือการถูกกิเลสพัดพาไป
เราไม่รู้เลยว่าเราถูกกิเลสพัดพอไปไกลเท่าไรแล้ว เราทุกคนได้ผ่านิ่งต่างๆ
มามากมายแล้ว ควรที่จะละวางปล่อยวางได้แล้ว (ควร) หากวันนี้ไม่ปล่อยวางแล้ววันไหนจึงจะปล่อยชะตาชีวิตเกิดตายใครรู้ก่อน
อะไรที่มาถึงใจให้เราคิดเราต้องเลิกคิด ความทุกข์ความกังวลเป็นเพียงหมอกเบาๆ
เอามือไปปัดมันทิ้งได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าไม่เคยเห็นหมอกบางๆ
เคยเห็นควันบุหรี่หรือเปล่า (เคย) สามารถปัดทิ้งไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าหมอกบางๆ
ปัดทิ้งก็จางไปได้ใช่ไหม ถ้าหมอกหนักๆ ปัดทิ้งไม่ได้ก็พาตัวเองออกมาจากที่นั่น
ถึงบอกว่าสภาวะแวดล้อมมีผลสัมพันธ์ต่อการสร้างนิสัยของเรา
ทำไมเราถึงอยากให้ลูกเราไปอยู่ในที่ๆ ดี ไม่อยากให้อยู่ใกล้คนชั่ว ถ้าเราไม่ได้ต้องทำอย่างไร
เปรียบไปแล้วเราก็เหมือนคนอื่น เรามีลูกก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ใกล้คนชั่ว
ก็ควรจะรีบพาลูกออกมาจากที่นั่น ตัวเราก็เหมือนกัน
เรานั้นมีกิเลสเป็นสภาวะแวดล้อม มานั่งในสถานธรรม
ทุกข์ เมื่อย และคิดสงสัย ศิษย์ชอบมาอยู่ในที่ๆ สภาวะแวดล้อมไม่ดีดั่งโลกมนุษย์ภายนอกทีมีแต่การแก่งแย่งชิงดี
หรือว่าจะอยู่ในสถานธรรมอันบริสุทธิ์สะอาด (สถานธรรม) ตอนนี้เรามาอยู่ในสถานธรรมแล้ว เราคิดสงสัย เวลาเขาพูดผิดนิดหน่อยก็ไม่ได้
เราก็บอกว่าเขาพูดผิดแล้ว ว่าคนนั้นไม่ดีคนนั้นไม่ดี ใจเราเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา
เรานั้นต้องออกมาจากระแสสังคม และกระแสกิเลสแล้วจะไปสู่ที่ใด
อาจารย์จึงบอกให้ศิษย์ขยันที่จะมาสถานธรรม สถานธรรมเป็นที่บริสุทธิ์สะอาด
ปราศจากกิเลส จะมีหลงเหลือติดมาบ้างก็คือกิเลสที่ติดมากับตัวศิษย์เอง ทุกๆ
คนต้องการบำเพ็ญธรรม ต้องการขัดเกลา ทุกคนมีผิดบ้างก็ควรให้อภัย เพราะฉะนั้นสถานธรรมเป็นที่ให้ศิษย์นั้นมาประชุมธรรมหรือมากราบไหว้พระบ่อยๆ
เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพโลกีย์วิสัย เข้าสู่สภาพแห่งวิมุติอยู่ในที่สงบร่มเย็น
เริ่มฝึกตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยการทำใจให้สว่าง
ศิษย์มีกิเลสต้องพยายามปัดทิ้ง แต่อย่าปัดไปถูกคนอื่น
เวลาที่เราปัดกิเลสนั้นเราต้องปัดทิ้งไม่ใช่ปัดมาหาคนอื่น
แล้วเราเราปัดหาคนอื่นจะเป็นอย่างไรอยากรู้หรือเปล่า
เวลาศิษย์ของอาจารย์นั้นคิดว่าเขาไม่ดี สมมติว่าคนที่หนึ่งคิดว่าคนที่สองไม่ดี
คนที่หนึ่งจะบอกคนที่สองไหมว่าคนที่สองเป็นคนไม่ดี (ไม่บอก) เขาก็บอกคนอื่นซึ่งเป็นคนที่สาม
แล้ทำให้คนนี้เป็นคนที่คิดไม่ดีไปด้วย ในที่สุดการคิดไม่ดีระหว่างสองคนนี้เรียกว่า
“คำนินทา” ในที่สุดคนที่สามนี้กลายเป็นไม่ดีไปแล้ว
คนที่สามเคยรู้จักกับที่สองหรือเปล่า (ไม่เคย) คนที่สามยังไม่เคยรู้จักคนที่สองอย่างจริงๆ
แต่พอปัดกิเลส กิเลสก็คือความคิดไม่ดีของเรา ปัดแล้วกระเด็นไปถูกคนข้างๆ
ในที่สุดแล้วกิเลสก็ลุกลามรวดเร็ว คนสามคนกลายเป็นคนไม่ดีไปด้วยถูกหรือเปล่า (ถูก)
ในโลกมนุษย์คนข้างบ้าน คนในครอบครัว
ลูกหลายเหลนก็เป็นเช่นนี้ เวลาที่เราคิดไม่ดีเราก็ปัดส่ง
ในที่สุดแล้วทั้งโลกไม่มีใครดีจริง ท่านกลางกระแสโลกีย์จิตที่หมองมัวก็ยังมีความดีอยู่บ้าง
แต่เมื่อศิษย์ของอาจารย์เห็นคนอื่นไม่ดีเสีย ทำด้วยการประชดหุนหันพลันแล่น
เราก็เลยกลายเป็นคนทำไม่ดีไปเลย วันหนึ่งทำไม่ดีไปหนึ่งกอบ สองวันทำไม่สองกอบ
สามวันทำไม่ดีสามกอบ ในที่สุดแล้วภูเขาทั้งก็คือ กรรม ภูเขาทั้งลูกก็คือดินที่เราเอาไปกอง
ทำไม่ดีทำง่ายอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการทำดีจึงเป็นเรื่องยาก
แต่ถ้าถ้าใช้วิธีเดียวกันศิษย์เอาดินมากองหนึ่งกำ ความดีเอามากองขึ้นไป
สองกำความดีกองขึ้นไป ในที่สุดแล้วภูเขาแห่งความดีทั้งกองนี้มาจากตัวเราเอง
แม้ว่าความดีทำยากแต่ขอให้กลับไปเริ่มทำให้จริงจังดีหรือไม่ (ดี)
ใครจะกลับไปทำความดีจริงจังยกมือขึ้นให้สัญญากับคนอื่นเราผิดสัญญาไปเขาไม่รู้
ให้สัญญากับตัวเราผิดสัญญาไปเรารู้หรือเปล่า
ให้สัญญากับใครไม่เท่าให้สัญญากับตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรักษาสัญญากับตัวเอง
บางคนบอกว่าสัญญากับคนอื่นน่าจะเป็นเรื่องยาก
แต่สัญญากับตัวเองน่าจะเป็นเรื่องง่าย
เพราะเวลาตัวเราทำผิดเราก็จะอภัยให้กับตัวเอง ถ้าเราสัญญากับตัวเอง
เราจะเป็นผู้ที่รู้มากที่สุดว่าเรานั้นถูกหรือผิด
เพราะฉะนั้นจงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองให้ดี
“นาวาธรรมงามพิสุทธิ์ใสสว่าง เชิญศิษย์อย่างเชิญศิษย์เยือนให้บ่อยย่อย
ดวงในนี้ขัดเกลาให้เรียงร้อง ดีเล็กน้อยสู่ดีมากนะศิษย์เอย”
แสดงว่าเรานั้นมาสถานธรรมไม่บ่อย นานๆ
เขาเชิญเราก็ไม่ว่าง ติดธุระเดี๋ยวก่อนเดี๋ยวค่อยไป
ถ้าวันนี้เรายังสุขแข็งแรงดีอยู่ สามวันต่อมาติดธุระจิรงๆ หรือว่าเกิดป่วยไปโรงพยาบาล
ทีนี้ก็ไม่ว่าจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้โกหกตัวเอง
เก้าอี้นี้เรียกว่าเก้าอี้เซียน
จงนั่งให้งดงามเปรียบประหนึ่งเป็นเซียนเป็นพุทธะ แล้วเราเป็นเซียนหรือยัง (ยัง) เป็นเซียนต้องเป็นอย่างไร
เมื่อวานนี้มีโอกาสพบเซียนท่านหนึ่ง เรามัวแต่สงสัยว่าของจริงหรือของปลอม
แล้วไม่ได้ถามท่านว่า ท่านสำเร็จเป็นเซียนได้อย่างไร ท่านชื่อว่า ท่านหลันต้าเซียน
“ถือเป็นการไตร่ตรองปัญญาถูกฝน” ฝนนี้คือ ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
ตอนนี้อาจารย์กำลังในปัญญาของศิษย์
เปรียบประหนึ่งฝนทั่งให้เป็นเข็มยากหรือง่าย (ยาก) ทำได้หรือเปล่า (ได้) ถ้าใครทำไม่ได้
คนนั้นก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เพราะอาจารย์กำลังฝนทั่งแห่งปัญญา
ไม่ใช่ฝนทั่งแห่งเข็ม เพราะฉะนั้นทั่งอันนี้จะต้องถูกฝนให้ใช้ได้
ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นแค่ก้อนๆ หนึ่งในตัวเราเท่านั้น
ในขณะนี้ต้องการฝนจนกว่าจะใช้งานได้ สมมติว่าเปรียบปัญญาเหมือนกับทั่วที่เราจะฝนให้เป็นเข็ม
ทั่งนั้นยังใช้ไม่ได้
จนกว่าจะฝนได้จนกระทั่งกลายเป็นเข็มจึงจะสามารถนำไปเย็บไปชุนสิ่งที่ขาดให้เข้าหากันได้
เพราะฉะนั้นปัญญานี้เราต้องฝนให้ได้จนเป็นเข็มที่ดี มีความคม
มีความเงาจึงจะสามารถไปเย็บปะติดระหว่างการบำเพ็ญกับทางโลกปุถุชนให้เข้าหากัน
จึงจะสามารถเดินขึ้นสู่นิพพานได้ ไม่ใช่เรื่อง่าย
ในสมัยก่อนนั้นการบำเพ็ญธรรม
บำเพ็ญด้วยการที่จะต้องละทิ้งแล้วมุ่งมั่นเข้าแดนที่สามรถขจัดกิเลสให้กับเราได้แดนนั้นต้องมีความสงบ
ต้องความวิเวกและสามารถที่จะให้เรานั้นพำนักอาศัยได้ ในป่ามีต้นไม้ให้เป็นร่ม มีขอนไม้ให้หนุนนอนและมีผลไม้ป่าให้กิน
เพราะฉะนั้นสมัยก่อนการบำเพ็ญต้องมีการละทิ้งจริงๆ
ตอนนี้ศิษย์แม้จะเทียบกับคนที่อยากบำเพ็ญในสมัยก่อนยังเทียบไม่ได้เลย
ในสมัยก่อนนั้นหากต้องการบำเพ็ญต้องตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างและเดินเข้าไปไปบำเพ็ญตน
คนที่เป็นเซียนนั้นก็เป็นได้เช่นนี้
คำว่า “เซียน” ในภาษาจีน ตัวข้างหนึ่งเป็นคน
มีความหมายแทนคน ส่วนอีกข้างหนึ่งคือภูเขา
ดังนั้นคำว่า “เซียน” ก็คือคนที่เข้าไปบำเพ็ญตนในภูเขา
แสดงว่าคนสมัยก่อนนั้นจะสามารถบำเพ็ญได้ต้องมีการละทิ้ง
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นเซียนได้จึงเป็นผู้ที่มีอิสระพ้นจากพันธนาการแห่งกิเลส
เป็นอิสระสง่างามเพราะว่าอยู่เหนืออายตนะทั้งปวง เป็นเซียนทำยากหรือง่าย (ยาก)
ศิษย์ทุกคนอยู่บนโลกที่มีแสงเสียงมากมาย
อาจารย์เพียงแค่ต้องการให้ศิษย์รู้จักควบคุมใจ ควบคุมกาย ควบคุมปาก
การปฏิบัติเช่นนี้จึงจะสามารถเดินเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญธรรมได้
คนที่ขึ้นไปบำเพ็ญบนภูเขาเปรียบได้กับศิษย์ผู้บำเพ็ญในโลกซึ่งมีแสงสี
แต่ผู้ที่ขึ้นไปบำเพ็ญบนภูเขา หรือตัดกิเลสให้พ้นจากพันธนาการอยู่เหนืออายตนะ
ศิษย์ก็เช่นเดียวกัน ในขณะนี้อยู่ในโลกที่มีสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร
มีตัณหาและยังมีกิเลสรุมเร้า อาจารย์ขอแค่ให้ศิษย์นั้นตัดสิ่งเหล่านี้ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่การบำเพ็ญแบบไหนที่ยากง่ายกว่ากัน
สิ่งที่อาจารย์พูดครั้งแรกฟังดูง่ายกว่าหรือสิ่งหลังหรือเปล่า แค่คำว่า “ภูเขา” ลูกเดียวศิษย์ก็ยอมแพ้แล้ว เราต้องไม่ยอมแพ้
ถึงแม้จะมีกิเลสมากมายยั่วตา ยั่วหู ยั่วปาก ยั่วจมูก ยั่วใจ ยั่วลิ้นของเรา
เราต้องทำอย่างไร เราต้องตัดให้หมด
เมื่อเรากินอาหารและกลืนอาคารผ่านลื้นไปแค่สามนิ้วนี้เป็นอย่างไร (อร่อย) จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ยังรู้รส
เพราะฉะนั้นยากหรือง่ายก็อยู่ที่ว่าใครจะทำหรือไม่ ถ้าไม่ทำก็ยากถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้จากภูเขาเปลี่ยนเป็นสังคมโลกมนุษย์แทน
ในสังคมโลกมนุษย์ต้องสามารถอยู่ด้วยกันและบำเพ็ญตนตัดกิเลสได้
สง่างามเหนือวัตถุอันยั่วยวนให้เราหลง ทุกวันนี้ในโลกมีวัตถุมากมาย
เวลาที่เราจะใส่เสื้อผ้าก็จะต้องใส่เสื้อผ้าที่สวย เครื่องประดับก็ต้องแพง
ดังนั้นจึงหลงในวัตถุสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเซียนคือผู้ที่สง่างาม
มีอิสระเหนือกิเลส ศิษย์ทำได้หรือไม่ (ทำได้) โดยที่อาจารย์เปลี่ยนจากภูเขาให้เป็นสังคม
(พระอาจารย์ให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนำแก้วน้ำใสๆ
มาหนึ่งใบเพื่อยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อธรรม)
เป็นภาชนะใสๆ ที่เก็บน้ำ สังคมกับมนุษย์โลกศิษย์จะเปรียบเป็นสิ่งใด
(ระหว่างแก้วกับน้ำ)
ทั่วไปย่อมเปรียบสังคมเป็นแก้ว ล้อมรัดเราไว้
เราเป็นมนุษย์โลกที่เปรียบไปได้ก็คือน้ำ ถ้าภาชนะสูงกว่านี้น้ำก็สูงกว่านี้
ถ้าภาชนะใบยาวน้ำก็ไปทางยาว ทุกๆ วันนี้เราซึ่งเป็นมนุษย์จึงอยู่ภายใต้อะไร (ภายใต้สังคม) สมมติว่ามีน้ำที่มีสี
ซึ่งเปรียบเหมือนคนที่ไม่ดี น้ำใสๆ ก็เปรียบเหมือนคนดี
พอน้ำที่มีสีใส่เข้าไปในน้ำที่ไม่มีสี น้ำก็เปลี่ยนเป็นน้ำที่มีสี
ยิ่งใส่มากสีก็ยิ่งเปลี่ยนไปมาก เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนชั่วในสังคม
เราจึงอดไม่ได้ที่จะทำความชั่วตาม เพราะว่าเราบอกกับตัวเองเสมอว่าเราเป็นมนุษย์มีกิเลส
ในที่สุดเราก็ยอมที่จะทำไม่ดี
(อาจารย์เมตตาให้นำขวดโหลขึ้นมาเพื่ออธิบาย)
อาจารย์จะพูดกลับกันว่า
สมมติให้ศิษย์ซึ่งเป็นมนุษย์นั้นเป็นภาชนะนี้และให้ภายในภาชนะคือสังคม
จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ส่าจะเทน้ำสีอะไรไป เราก็ยังคงที่จะหล่อหลอมพวกเขาให้เป็นคนดีเหมือนเราให้ได้
เราไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสังคม และให้เรานั้นเป็นผู้ผลักดันสังคมให้เปลี่ยนไปตามเรา
เราต้องทำตนเป็นคนดี คนอย่างนี้เป็นคนยิ่งใหญ่หรือไม่ (ยิ่งใหญ่) แล้วศิษย์เป็นคนที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า
โดยปกติเรามักจะยอมเป็นน้ำที่อยู่ในแก้วและเราก็เปลี่ยนไปตามแก้วนั้น
วันนี้ให้ทุกคนเป็นแก้วและให้สังคมเป็นน้ำ
ในที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก้วน้ำก็ยังคงเป็นแก้วที่ดีและใส
แก้วน้ำนั้นไม่เปลี่ยนรูปทรงไปคือคงความดีเสมอ ไม่ว่าใครจะเข้ามาหาศิษย์
ขอให้ศิษย์อย่าได้เปลี่ยนตาม อย่าได้ชั่วตาม แต่ให้ศิษย์นั้นดี และให้ผู้อื่นนั้นดีตามเราให้ได้
เหมือนกันการประคองความดีของเราไว้แล้วสั่งสอนให้ผู้อื่นทำตามได้
อย่ายอมให้ตนเองเป็นน้ำเพราะถเาเราเห็นน้ำแล้วมีความชั่วเข้ามาปะปน
เราก็อดไม่ได้ที่จะชั่วตาม อดไม่ได้ที่จะทำไม่ดี
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ผู้ยิ่งใหญ่ทำง่าย เพียงให้ศิษย์นั้นทำตัวเป็นแก้วที่มีความใส
ก่อนที่เราจะทำความดีเราต้องรู้ว่าแก้วใบนี้มีอะไรบ้าง (มีน้ำใสอยู่ในแก้ว,มีความใสสะอาด,มีรูปทรง,เป็นวัตถุ)
ถ้าการบำเพ็ญยากขนาดต้องวิ่งตาม ศิษย์จะกระทำหรือเปล่า
แก้วนี้แข็งหรือเปล่า เปราะบางหรือเปล่า
เหมือนกับใจของเราแข็งแต่ก็แตกง่าย นี่คือใจของเรา แก้วคือความแข็ง
อันได้แก่บำเพ็ญธรรมต้องใช้ความมั่นคง สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้ คือความเชื่อมั่น
สามารถที่จะนำพาผู้อื่นได้ คือใช้ความศรัทธา
แก้วนี้เปรียบประหนึ่งจิตใจของเราต้องเป็นจิตใจอันดีงามหากไม่ดีงามแล้วจะไม่สามารถนำพาใครไปได้เลย
เมื่อตัวเองยังไม่รอดจะไม่สามารถนำผู้อื่นไปรอดได้หรือ
เมื่อเรายังมีกิเลสนำพาผู้อื่นก็จะไม่ได้รับความสามัคคีร่วมกัน
เพราะเมื่อคนหนึ่งมีกิเลส
คนต่อๆมานั้นจะไม่สามารถสามัคคีกันได้ในที่สุดจึงเกิดการแตกแยก
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจะต้องใช้ทั้งความศรัทธา ความจางใจความเชื่อมั่นและความมั่นคง
(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปให้นักเรียนในชั้นดู)
มีรูปภาพอธิบาย
ถ้าให้ศิษย์ไต่ ด้านนี้คือหน้าผา
ด้านนี้ก็คือหน้าผาอีกด้านหนึ่ง ตรงนี้เรียกว่าเหว ตกลงไปตายหรือเปล่า (ตาย) ศิษย์จืนอย฿ตรงนี้และมีเชือกบางๆหนึ่งเส้นที่ให้ศิษย์ไต่
ศิษย์คิดว่าไต่เชือกข้ามไป ถ้าไต่ช้ามไปข้ามไปข้างนี้ได้ ซึ่งด้านนี้เรียกว่า
นิพพาน ถ้าศิษย์ไต่ไม่ดีก็ตกเหว ส่วนตรงนี้เรียกว่า การเวียนว่ายตายเกิด
ระยะทางนั้นไม่ต้องพูดถึงเป็นเพียงแค่ภาพลวง ถ้าให้ศิษย์ไต่ไปเรื่อยๆ
เราต้องใช้ความระมัดระวังอย่างามก ถ้าเราเผลอเพียงแค่วินาทีเดียวก็ต้องตกเหวแล้วเราก็ต้องตายเมื่อตัวของเราไต่ไปทางนี้เราจะต้องมีความมั่นคง
ด้วยระยะทางที่เท่ากันก็ไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดได้ไม่ใช่มีแค่เพียงนรก
แต่มีสวรรค์ โลกมนุษย์ เปรต ต้องเกิดมาเป็นสัตว์ หรือต้องเกิดเป็นภูติผี
ผู้ที่หิวโหย
มนุษย์แบ่งออกเป็นหลายะดับ มีคนจน มีคนรวย
มีคนที่อดยากและคนที่ประสบภัยพิบัติ เช่นเดียวกัน ในระยะทางที่เราจะเดินไปตรงนี้
ถ้าเราไขว้เขวก็จะไม่สามารถกลับคืนนิพพานได้นิพพานนั้นจะว่าไกลก็ไกล
จะว่าใกล้ก็ใกล้ อาจารย์พูดถึงคำว่า “นิพพาน” ทุกคนก็งง เพราะศิษย์รู้สึกวานิพพานนั้นไกล อาจารย์พูดถึงการบำเพ็ญ
เราต้องละทิ้งกิเลสพันธนาการในสมัยก่อนนั้นคนที่บำเพ็ญแบบนี้จึงจะสำเร็จ
แต่ในขณะนี้ถ้าหากวาศิษย์ทำเรื่องเดียวกันหรือเปล่า(ถึง)
แต่ทุกวันนี้ต่างกันที่ศิษย์นั้นไม่เคยเดินอย่างจริงจัง
ในสมัยก่อนต้องออกค้นหาพระวิสุทธิอาจารย์เพื่อได้รับการชี้ประตูเกิดตายก็สามารถหลุดพ้นได้
แต่ต้องฝ่าความยากลำบากและต้องแสวงหาสัจธรรมที่แท้จริง
แต่ในขณะนี้เปลี่ยนจากภูเขาเป็นสังคมเปลี่ยนจากการบำเพ็ญแบบภายนอกมาสู่การบำเพ็ญแบบในครัวเรือน
ในชีวิตประจำวันของเราระยะเวลาเดินทางนั้นก็คือชีวิตประจำวันทุกวัน
ถ้าหากว่าเราเผลอในชีวิตประจำวันวันไหน ในวินาที่ไหนเราก็ตกหล่นลงมา
การเดินทางสองเส้นนี้ อาจารย์ชอให้ศิษย์เลือกทางไปนิพพาน
และในชีวิตประจำวันทุกๆวันนั้นศิษย์จะไม่เผลอเรอ บำเพ็ญธรรมนั้นต้องใช้ความมั่นคง
ศรัทธา การปฏิบัติอย่างแท้จริง การตัดกิเลสและการสิ้นพันธนาการทุกอย่าง
หากว่าวศิษย์ทำได้ก็จะไปสู่นิพพานได้
แต่กลับกันทางอีกเส้นหนึ่งที่ไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด
หรือเป็นชีวิตประจำวันของคนทั่วๆไปนั้นใช้อะไรบ้าง ความดีเล็กน้อยแก่งแย่งกัน
ทรัพย์สินเงินทองจำเป็นต้องหา ภาระจำเป็นต้องแบก
ความดีจำเป็นต้องทำแต่สู้ความชั่วไม่ได้ ในที่สุดแล้วศิษย์ก็เดินมาสู่ทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันแห่งพุทธะและในชีวิตประจำวันแห่งปุถุชนนั้นต้องต่างกันต่างกันตรงนี้ศิษย์ของอาจารยำได้หรือเปล่า
(ทำได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้น่ายชายพูดว่าชีวิตประจำวันของพุทธะมีอะไรบ้าง
และให้หัวหน้าชั้นฝ่ายหญิงขึ้นมาพูดว่าชีวิตประจำวันของปุถุชนมีอะไรบ้าง)
(หัวหน้าขั้นฝ่ายชาย:ชีวิตของพุทธะจะต้องคิดดีทำดีช่วยเหลือสังคมทำจิตใจให้สงบ
พุทธะต้องละกิเลสสิ่งยั่วยวนสิ่งไม่ดี และปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)
หัวหน้าชั้นฝ่ายหญิง: ทำดีบ้างทำชั่วบ้าง
หรือทำตามใจตัวเองเป็นส่วนมาก เอาอารมณ์ตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีสติ ชิงดีชิงเด่น
หาเงินหาทองเข้าครอบครัวโดยวิธีต่างๆ)
ศิษย์รู้จักทางไหนมากกว่ากัน
เรายังรู้จักทางโลกมากกว่าแต่เรายังไม่รู้จักทางธรรมดีเท่าไหร่เลย
ศิษย์เห็นความแตกต่างของทางนี้หรือเปล่า (เห็น) พุทธะเมื่ออยากจะบำเพ็ญก็ยังต้องกินข้าว ก็ยังต้องนอนเหมือนกัน นี่คือ “พุทธะเดินดิน” เพราะฉะนั้นสองทางนี้มีความแตกต่างกันหรือเหมือนกัน
ขอให้ศิษย์กลับไปคิดเป็นการบ้านและปฏิบัติให้จริงจังจะได้เช้าถึงนิพพานได้
หากไม่หฏิบัติจริงจังย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง ในที่สุดแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเดิม
ฉะนั้นชีวิตประจำวันของเราทุกๆวันสำคัญหรือเปล่า (สำคัญ)
ชีวิตประจำวันอยู่บ้านไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรม
วันนี้ออกไปหาเงินแล้วกลับเข้ามาห้องพระ บอกว่าเรากำลังบำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันตรงที่เราเป็นผู้กระทำ
หากว่าเราอยู่ข้างนอกยังไม่ขัดเกลา อยู่ข้างในจะขัดเกลานั้นย่อมไม่ประสบความสำเร็จ
เปรียบเหมือนกับหน้ามือและหลังมือซึ่งอยู่บนมือเดียวกัน หน้ามือบอกว่าเพ็ญธรรม
ส่วนหลังมือบอกว่ามัวเมาทางโลก สรุปแล้วหน้ามือขาวแต่หลังมือดำสนิท คนๆนี้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า(คนเดียวกัน) มือของเรา เราจึงรู้ว่าเป็นคนๆเดียวกัน
ถ้าหากว่าเอามือวางไว้แล้วไม่ให้เขาเห็นหน้า และคนๆนี้หน้ามือคือบำเพ็ญูธรรมได้ดี
แต่หลังมือกลับดำมาก
ถ้าไปวางไว้เขาย่อมไม่รู้ว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้นจะมีหลังมือที่สีดำสนิท
เขาต้องบอกว่าเป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นทั้งหน้ามือและหลังมือ
คือทั้งทางธรรมและทางโลก ต้องประสานกัน สะอาดและบริสุทธิ์เหมือนกัน
(พระอาจารย์เมตตาลงไปส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่อยู่ชั้นล่าง)
ถึงแม้จะอยู่ชั้นล่างแต่จิตใจเหมือนอยู่ชั้นลน
ชั้นล่างนั้นเปรียบเสมือนโลกมนุษย์ ชั้นก็เปรียบเหมือนแดนนิพพานหรือสวรรค์
เราบำเพ็ญธรรมการที่เราจะต้องก้าวขึ้นไปชั้นบนหมายความว่าอย่างไร
การก้าวขึ้นบันไดกับก้าวลงบันไดอย่างไหนลำบากกว่ากัน (ก้าวขึ้น) ก้าวขึ้นบันไดนั้นมีความยากลำบากมาก
การขึ้นสูงต้องออกแรง ฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องที่ยาก ยากที่เรานั้นจะต้องดึงจิตในของเราให้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ
การที่เราบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ ถ้าใจนั้นเปิดกว้างได้เท่าไร
ขอให้เปิดให้กว้างออกให้มาก
ขอให้เรานั้นอย่าได้เอาตัวของเราไปวัดกับการที่จะต้องประสบเคราะห์ภัย
เจอบาปกรรมและวิบากกรรมที่ทำให้เราเกิดความท้อแท้ และเป็นการแพ้ง่ายๆ
เราเคยก่อกรรมทำเข็ญมากมายมีทั้งที่ตัวเองตั้งใจและไม่ตั้งใจ
เรานั้นก็ยังทำเรื่องเดือดร้อนที่เกิดจากการกระทำของเราเอง
เพราะฉะนั้นในตอนนี้เราจึงเดือดร้อนเพราะคนอื่นบ้าง
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
แต่ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสู่ต่อไป
เพื่อชีวิตนี้จะสามารถฝ่าฟันความเป็นปุถุชนและโลกีย์จนทำให้เรานั้นสำเร็จเป็นพุทธะได้
ศิษย์ทุกๆ คนของอาจารย์เป็นคนดีอยู่แล้ว แต่มักจะถูกกระแสสังคม กระแสโลก
และกิเลสยั่วยวนทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราดีสู้เขาไม่ได้
ศิษย์ลองย้อนคิดดูว่าเป็นการแพ้ที่ง่ายเกินไป แค่เรารู้สึกไม่พอใจ เสียใจ
ลำบากใจหรือรู้สึกว่าเราทุกข์เกินไป
ขอให้ศิษย์นั้นอดทนจนวันที่ดวงตะวันนั้นส่องแสงระยิบระยับ
พ้นความมืดมนในจิตใจของตนเองแล้วศิษย์จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่
พลายคนที่นี่เพิ่งจะประชุมธรรมผ่านไป
ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นหมั่นมาศึกษาให้มากๆ ในวันนี้ที่บอกว่าตัวเรารู้แล้ว
นั้นยังรู้น้อย ยังไม่รู้อะไรที่ชัดเจน ยังไม่ได้รู้อะไรที่จริงจังมากมายนัก
เวลาที่มีคนบอกเรา ขอให้เราน้อมรับการบอกกล่าวของเขา ศิษย์ลองคิดดู
ในมหาสมุทรนั้นคือแม่น้ำทุกสายมารวมกัน ถ้าเราบอกว่าเรารู้แล้ว เราก็แคบเหมือนกับแม่น้ำ
แต่ถ้าเรายอมรับการสั่งสอนจากทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร
ปรารถนาดีหรือปรารถนาร้ายศิษย์นั้นก้มหน้ายอมรับ ก็เหมือนยอมรับวิชาความรู้
ยอมรับสิ่งที่ดีเข้าสู่ตน จิตใจยิ่งกว้างเท่าไรยิ่งสามารถรับผู้คนได้มากเท่านั้น
เช่นนี้จึงจะเป็นมงคลที่สุด อยากได้สิ่งมงคล การยอมรับผู้อื่นเป็นมงคลที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมเก่าท่านหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมวงพระโอวาทครอบเพราะคำโอวาทครอบหมดแล้ว)
โดนตัดแถวตรงเราพอดี
ถ้าบำเพ็ญเป็นพุทธะแล้วเกิดตัดตรงศิษย์พอดีเลย ไม่ได้เป็นพุทธะแล้วศิษย์ทำอย่างไร (ก็แล้วแต่บุญวาสนา) บุญวาสนาเราเป็นคนหา ถ้าหากว่าจะบำเพ็ญก็ตั้งใจบำเพ็ญ
ไม่อย่างนั้นเราจะโดนตัดแบบคราวนี้อีก็จะแย่ ตอนนี้ยังมีโอกาสแก้ตัว
ถ้ายิ่งห่างห้องพระไปนาน ห่างสถานธรรม คนพูดธรรมะก็ฟังไม่เข้าหู นานๆ
มาสถานธรรมครั้งหน้า เจ้ากรรมนายเวรก็ขัดแข้งขัดขาเป็นธรรมดา ถ้าหากมาบ่อยๆ เขาก็คิดว่าเราจะสร้างกุศลให้เขาจริง
เขาก็จะเลิกรังควานเรา ไม่สังเกตหรือว่ามาสถานธรรมทีไรต้องมีเหตุการณ์ต่างๆ
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ เพราะว่าเราไม่ทำอะไรจริงจังให้เจ้ากรรมนายเวรเห็น
เราไม่เคยแสดงให้เขาเห็นว่าเราจะสร้างกุศลจริงๆ ให้เขา เขาขัดขาเราอย่างนี้
เขาก็รู้สึกสะใจดี เพราะฉะนั้นเราต้องมีจิตที่รู้ตื่นด้วยตนเองและแสดงออก
ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไปศิษย์ก็ไปด้วย
ประชุมธรรมครั้งหนึ่งอาจารย์มาศิษย์ก็มาอย่างนี้ไม่ได้ เราบอกว่าเราชอบธรรมะ
แต่เราไปแสวงหาทางโลกก็กลายเป็นบุคคลทางโลก มีความสำคัญทางดลก
แต่เวลาจะเลือกพุทธะเขาก็ตัดตรงศิษย์พอดี เพราะเขาเลือกเอาคนที่จริงจัง
บุญของเรามีแต่กรรมของเรายังมีอยู่อีกมาก แค่เขาขัดขา เขาเตือนเรายังไม่เข็ด
ลูกของเราก็ดี แต่ถ้าไม่จัดการที่สืบสานบุญของเราต่อไปเรื่อยๆ
เหมือนเราเอาหินไปขวางทางน้ำ น้ำก็ไหลช้าลง กิเลส ๑ ก้อนก็เปรียบเสมือนหิน ๑
ก้อนวางลงไป กิเลส ๒ ก้อนก็เปรียบเสมือนหิน ๒ ก้อนวางลงไป
ในที่สุดแล้วน้ำแห่งกุศลของเรานั้น เราก็ใช้ในส่วนที่เราเก็บกักไว้
แต่ต่อไปที่เหลือเราจะไม่มีใช้แล้ว
อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรค โรคภัยไข้เจ็บเราสร้างมา
เราก็ต้องรับกรรม สูบบุหรี่ก็ต้องเป็นโรค กินเหล้าก็ต้องเป็นตับแข็ง
เราเป็นคนโมโหง่ายก็ต้องเป็นโรคหัวใจ
ยาวิเศษที่ไหนจะสามารถทำให้ศิษย์หายจากโรคหัวใจ ถ้าหากว่ายังไม่หายโกรธ
อาจารย์คงไม่ต้องการบอกศิษย์ว่า ศิษย์ทุกคนตอนนี้มีเจ้ากรรมนายเวรมาก
ขอให้รู้จักชดใช้และหันหน้าไปสู้กับเขา การสู้กับเจ้ากรรมนายเวรเราต้องคุกเข่าลงไปบอกว่าที่ผ่านมานั้นเราผิด
ต่อไปนี้เราจะสร้างบุญสร้างกุศลชดใช้ให้ ถ้าเขายอมเราก็บำเพ็ญง่ายขึ้น
มีชีวิตที่ราบเรียบราบรื่นมากขึ้น แต่การที่เรานั้นจะได้รับความราบรื่นนี้
เราใช้ชีวิตอย่างสมถะ ใครที่เข้ามาในสถานธรรมแล้วหวังจะให้อาจารย์จี้กง
เป็นหมดดูหรือหมอรักษาโรค อาจารย์ไม่ให้สิ่งเหล่านี้ อาจารย์จะรักษาอย่างเดียว
คืออาจารย์อยากรักษาจิตใจของศิษย์ที่มืดบอดไปพร้อมกับกิเลส
หากว่าเราเป็นคนที่มีจิตใจอันสว่างไสว แม้จะมีโรครุมเร้า แต่ถ้าจิตใจสงบลง
โรคร้ายๆ ไป ก็เท่านั้น ไม่ลุกลาม ศิษย์เชื่อหรือไม่ (เชื่อ) บางคนเป็นโรคร้ายแต่ตายไหว
บางคนเป็นโรคร้ายแล้วตายช้า ดีไม่ดีตายหลังคนที่แข็งแรงด้วย
เพราะว่าจิตใจนั้นนิ่งสงบ มีกำลังใจที่จะสู้ ยึดมั่นในความดี นี่คือวิธีต้านโรค
ยาใดๆ ในโลกนั้นสามารถระงับได้แต่ก็ไม่เท่ายาที่มาใจของเราเอง
ยาที่มาจากใจของเราเองนี้เรียกว่า “ยาทิพย์” ก็คือยาของการที่เรานั้นตั้งมั่นในความดี มีกำลังใจที่จะต่อสู้
หากว่าศิษย์เป็นโรคร้ายก็อย่าได้กลัว เพราะโรคภัยนั้นมาคู่กับมนุษย์
ยามที่มนุษย์ทำผิดศีลธรรมก็มีโรคเกิดขึ้นได้ ตอนนี้โรคเอดส์ร้ายที่สุด
ช่วงก่อนโรคร้ายที่สุด มะเร็ง ช่วยก่อนนี้อีกคือ อหิวาตกโรค
ทุกยุคทุกสมัยก็มีโรคร้ายเปลี่ยนไปตามนิสัยของมนุษย์
มนุษย์เป็นโรคมะเร็งเพราะไม่เคยเห็นใจผู้อื่น เห็นแต่ใจตัวเอง
โรคจึงลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ความเห็นใจไม่มีอยู่ในหมู่มนุษย์จึงเป็นโรคมะเร็ง
โรคต่อมาคือโรคเอดส์ เกิดขึ้นเพราะชีวิตนั้นไม่มีระบบ ไม่มีระเบียบ ในที่สุดโรคนี้ก็เกิดมาทำลายคน
ถ้าเรานั้นไปใช้ชีวิตอย่างระบบระเบียบถึงจะเป็นโรคนี้แล้ว
แต่อาจารย์บอกให้ว่าจะไม่ลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้
บาคนเป็นเอดส์แต่อยู่ได้เพราะว่าใจนั้นกลับมาอยู่ทางสายกลาง
กลับมาสู่สิ่งที่เที่ยงตรง โรคนั้นก็ไม่สามารถกลับมาทำร้ายเราต่อไปได้ คนที่จิตใจสงบจริงๆ
แล้วต่อให้ตายก็ไม่หวั่น เพราะรู้ว่าชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้อยู่ด้วยการเกิด
จึงต้องมีชีวิตจงไปด้วยการตาย หนีไม่พ้น
ฉะนั้นก็จงรู้ว่าตายวันตายพรุ่งนั้นไม่เป็นไร
ขอให้ใช้ชีวิตที่มีอยู่ในวันนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าเป็นคนที่โลกต้องการ
ไม่ใช่อยู่ไปคนสาปแช่งไป ศิษย์เคยเห็นหรือเปล่า (เคย) เวลาตายไปคนเขาบอกตายไปได้ก็ดี
ลองดูซิว่ามีคนบอกเราอย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าเราเป็นอย่างนั้นแสดงว่าเราเป็นคนไม่ดีอย่างมากๆ
อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงไม่มีใครได้ฉายาอย่างนั้น
อาจารย์เมตตาตั้งชื่อเพลง “อาจารย์ไม่ทิ้งเจ้าไป” อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์
ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ก็แล้วกัน อาจารย์นั้นไม่เคยทิ้งเลย มีแต่ศิษย์ที่ทิ้งอาจารย์
ด้วยคำว่า “ไม่ว่างติดธุระ”
(อาจารย์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง “อาจารย์จะไม่ทิ้งเจ้าไป” ทำนองเพลง “มือที่สาม”)
เพลงนี้อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นกลับไปฝึกหัด ฝึกหัดก็คือการที่เราเริ่มจากความไม่รู้
จึงเรียกว่าการฝึกหัด “บำเพ็ญและแก้ไข” เมื่อบำเพ็ญแล้วรู้ว่าสิ่งใดผิดพลาดจึงเริ่มแก้ไขด้วยความเต็มใจจวบวันสิ้นลม
เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่แค่วันสองวัน คนที่เคยเหนื่อยยาก
เพราะว่าเราเคยทำงานจึงจะรู้ว่างานนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าเราไม่เคยลงมือทำเลยก็จะไม่รู้ว่างานชนิดนั้นเป็นอย่างไรจนกระทั่งเรานั้นได้ลงมือทำจริงๆมนุษย์นั้นมีประสบการณ์เรื่องมนุษย์มากมาย
แต่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการบำเพ็ญธรรม อย่าบอกว่าเราบำเพ็ญเป็นบำเพ็ญดี
เราเป็นคนดี ตอนนี้ต้องลงมือทำเองจึงจะรู้ว่าการบำเพ็ญเป็นอย่างไร เสียเหงื่อบ้าง
เสียน้ำตาบ้าง เสียใจบ้าง ดีใจบ้าง ทุกข์ใจบ้าง
เศร้าใจบ้างจึงรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นยากหรือว่าง่ายอย่างไร ไม่ใช่บอกว่า
เรานั้นรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไรแต่ไม่เคยลงมือกระทำ ก็จะไม่รู้ว่าการบำเพ็ญแท้จริงนั้นบำเพ็ญอย่างไร
เราจะเป็นพุทธะต้องทำในสิ่งที่พุทธะทำ ต้องคิดในสิ่งที่พุทธะคิด
ต้องพูดในสิ่งที่พุทธะพูดและต้องเข้าใจเหมือนกับที่พุทธะเข้าใจ จึงจะเป็นพุทธะได้
ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำเหมือนที่พุทธะทำ แล้วตัวเองบอกว่าเราจะเป็นพุทธะ
แล้วศิษย์จะเป็นอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตใจงามสว่างไสว”)
จิตใจเรางามได้เพราะไม่มีอารมณ์ คนที่มีอารมณ์
คนที่โมโหจนตัวสั่นน่าดูหรือเปล่า
หลงจนไม่ลืมหูลืมตาน่าดูหรือเปล่าโลภจนกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวไม่น่าดู
เพราะฉะนั้นนอกจากว่าเราจะไม่มีอารมณ์แล้วยังต้องไม่มีกิเลสอีกด้วย
จิตใจจึงจะงามและสว่างไสวได้ ไม่ใช่งามเฉยๆงามจนสง่า
เราจะต้องไม่มีกิเลสถ้าพระอาทิตย์ถูกเมฆบังแล้วพระอาทิตย์นี้จะสว่างหรือเปล่า (ไม่สว่าง) กิเลสนั้นเปรียบเสมือนเมฆที่มาบดบังพระอาทิตย์
เพราะฉะนั้นจิตใจจะสว่างได้ก็ต้องไม่มีกิเลส ที่สำคัญจิตใจที่งามได้คือ
ความคิดของเราของเรานั้นต้องเป็นความคิดที่ถูกและใช้อย่างระมัดระวัง
บางคนนั้นบอกว่าความคดของเรา
เรามีสิทธิ์คิดแต่ทุกครั้งที่เราคิดออกมาเป็นสิ่งไม่ค่อยดี และคิดไปต่างๆ
นานาแทนที่เราจะคุมความคิด
เพราะฉะนั้นความคิดเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้จิตใจของเรานั้นสว่างไสว
เดิมทีจิตของเราทุกคนนั้นเป็นพุทธะ จิตของเรานั้นมีความงามสว่างไสวอยู่
แต่ถ้าหากเราไม่รู้จักควบคุมความคิดนี้ก็จะเป็นความคิดที่มืดบอด
ในที่สุดแล้วความคิดนี้เชื่อมต่อเข้ากับพุทธจิตจะทำให้พุทธจิตบอดมืดเช่นเดียวกันอาจารย์ยังอยากให้ศิษย์นั้นทำต่อไปด้วย
เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงนำโอวาทที่อาจารย์ถอดซ้อนออกมาแล้วรำมาให้ศิษย์นั้นถอดซ้อนอีกครั้งหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้ญาติธรรมลพบุรีที่มาสถานธรรมบ่อยๆออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“จิตใจงามสว่างไสว”)
โอวาทสุดท้ายที่อาจารย์ให้วงนี้ ความหมายภายในหนักแน่น
เนื้อหานั้นทำยาก
เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงเรียกให้คนที่อยู่ที่นี้คนที่นำพาและคนที่มาห้องพระบ่อยๆ
นั้นวงได้ ถ้าหากใครที่ออกมาวงแล้วยังทำไม่ถึงคำข้างในนี้
ก็ขอรู้ไว้ว่าเรานั้นต้องพัฒนาตัวเอง เปรียบเหมือนกับได้ของชนิดหนึ่ง
ถ้าเราใส่สร้อยเพชรจะแต่งตัวมอซอได้ไหม(ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเปรียบไป แล้วเหมือนกันปณิธานอันยิ่งใหญ่
ปฏิปทาอันยิ่งใหญ่นั้นมีไว้สำหรับคนที่ต้องการจะสำเร็จจริง
คนที่สำเร็จจริงจึงไม่กลัวความเหนื่อยยาก ยิ่งได้รับทดสอบ
ยิ่งได้รับความเหนื่อยยาก ยิ่งตื่นใจ ยิ่งแจ้งใจและก็จะยิ่งรู้สึกว่าธรรมนี้มีค่า
แต่กลับกันคนที่รู้สึกว่ายิ่งยาก ยิ่งท้อถอยยิ่งกลัวการบำเพ็ญเช่นนี้
คนอย่างนี้ไม่มีปฏิปทาอันยิ่งใหญ่ บางครั้งศิษย์ของอาจารย์เจอความยากลำบาก
เจอจนตัวเรานั้นก็ยังกลัว หากว่าศิษย์ไม่ใช่ผู้ที่พร้อมจะแบกงานอันยิ่งใหญ่แล้ว
ก็ไม่ให้ศิษย์นั้นเจอความยากลำบากหรอก แต่ถ้าหากว่าศิษย์นั้นได้พบความยากลำบาก
แสดงว่าเรานั้นก็มีภูมิธรรมที่ลึกซึ้ง
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมส่วนตัว
วิบากกรรมส่วนตัวจะต้องไปชดใช้เอาเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานซ้อนพระโอวาทคำว่า “ช่วยคน” ที่ครอบออกมาจากพระโอวาท “จิตใจงามสว่างไสว”)
เนื้อหาภายในก็คือ “การช่วยคน”
การช่วยคนนั้นทำให้เราเห็นตัวเองได้อย่างไร
ดังเช่นว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องการชวนคนรับธรรมะหรือต้องการไปส่งเสริมคน
แต่เขาว่าเรากลับมา เราต้องใช้ความอดทน
เมื่อเราไปเรียกเขาอีกทีหนึ่งเขาบ่ายเบี่ยงอีก เราก็ต้องใช้ความพยายาม และความอดทน
เมื่อเราไปเรียกเขาอีกทีเขาบ่ายเบี่ยงอีก เราต้องใช้ความพยายาม
การช่วยคนนั้นไม่ใช่ว่าช่วยให้เขารับธรรมะเท่านั้น
เราอาจจะช่วยให้เขามีความลำบากใจน้อยลงด้วยวาจาที่ปลอบประโลม การให้กำลังใจ
ก็ทำให้เขามีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป สิ่งนี้ก็เป็นการช่วยคน
แต่การช่วยคนที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ก็คือการช่วยคนให้ได้รู้ประตูเกิดตาย
ให้เขารู้ว่าตายแล้วตัวเองจะไปไหน การช่วยคนให้เขานั้นมีกิน
มีเงินใช้นั้นเป็นการช่วยเพียงชั่วคราว เป็นบุญอันเล็กน้อย
แต่ถ้าศิษย์ไปช่วยใครสักคนให้ได้รับธรรมะได้ นั่นก็คือการช่วยให้คนๆ
หนึ่งเป็นพุทธะได้ แต่การช่วยคนจะต้องช่วยคนจะต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง
ไม่ใช่ช่วยเพียงครึ่งทางแล้วก็ปล่อยเขาไว้
“ นัยหนึ่งฝึกใจเย็น แก่กล้า” คือฝึกความใจเย็นของเราให้เป็นคนที่ไม่มีกิเลส ให้เป็นคนที่ไม่มีอารมณ์
ให้เป็นคนที่มีนึกคิดดีสามารถควบคุมความนึกคิดของตนได้
อีกนัยหนึ่งให้เป็นการสร้างกุศล แต่อย่าไปยึดติดในกุศล
“ รู้อย่างนี้อย่าช้า ช่วยได้ช่วยกัน” เมื่อเราช่วยใครได้อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง
อย่าได้เกียจคร้านจนกลายเป็นดินพอกหางหมู
เมื่อเราแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการโปรดคน ในการช่วยคน
คนเท่านั้นจึงสามารถที่จะช่วยคนได้ หากไม่ใช่คนแล้วใครจะช่วยคนได้เท่ากับคนช่วยคนกันเองใช่หรือไม่
(ใช่) แม้อาจารย์จะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่ก็ยังช่วยคนได้ไม่เท่ากับที่คนช่วยคนเลย
อาจารย์สามารถช่วยได้แต่ไม่สามารถที่จะช่วยได้ตลอดเวลาอาจารย์ยังเกิดความละอาย
ศิษย์ของอาจารย์เกิดเป็นคนทั้งที ไม่ช่วยคนด้วยกันแล้วศิษย์จะช่วยใคร
การช่วยคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับจิตใจอันสว่างไสว
จิตใจงามคือ จิตใจที่ไม่มีกิเลส
จิตใจอันสว่างไสวคือจิตใจที่เปรียบประหนึ่งมีดวงตะวันเข้าไปอยู่ใตจิตใจของเรา
ใจเรากว้างพอที่จะใส่ดวงอาทิตย์ทั้งดวงไหม
แค่เรานึกดวงอาทิตย์ก็อยู่ในจิตใจเราแล้วความสว่างนี้เกิดได้ด้วยปัญญา
สว่างนี้เกิดจากการช่วยคน หากว่าเราช่วยคนเราจะมีจิตใจที่สว่างไสวได้
ปกติเราอยู่บ้านคนเดียวทุกวัน เราไม่เคยที่จะให้ใครมาขัดเกลาเรา
ไม่เคยยอมให้ใครมาเตือนเรา
ถามว่าที่สุดแล้วการที่เราอยู่กับบ้านเฉยๆนี้สำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่(ได้) ในทางกลับกันการที่เราออกไปข้างนอกเพื่อช่วยคน
เห็นคนไม่มีข้าวกินก็ช่วยเขา เห็นคนไม่มีธรรมะก็ช่วยเขา
เห็นคนที่เขามีความทุกข์เราก็ช่วยเขา คนเช่นนี้จึงจะมีชื่อเสียง ชื่ออันหอมหวน
แล้วศิษย์รู้จักใครบ้าง รู้จักพระพุทธเจ้าถ้าพระองค์อยู่ในวังเสวยสุข
ศิษย์จะรู้จักหรือไม่(ไม่รู้จัก)ทุกๆวันพระองค์ก็เดินออกไปโปรดคน
ไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์เท่านั้น
สรุปแล้วการที่เราช่วยคนนั้นเป็นการยอมให้เขาขัดเกลาเราจึงจะสามารถมีจิตใจอันสว่างไสวได้
ถ้าหากเราไม่ช่วยคน วันๆอยู่แต่บ้านจิตใจของเราก็เป็นจิตใจที่สว่างไม่ขึ้น
อยากจะสว่างแต่ไม่ยอมจะสว่างเสียที
ถ้าเราออกไปพบผู้คนให้คนเขาติเราบ้างเราช่วยเขาบ้างความเมตตา ความอารี
ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจคนอื่นก็จะบังเกิดขึ้นในใจ
การช่วยคนจึงทำให้จิตของศิษย์สว่างไสวได้เพราะเหตุนี้เอง
หากไม่มีคนพูดให้เรารู้สึกตัว เราก็ไม่สามารถแก้ไขตัวเราได้ถูก เพราะน้อยคนเหลือที่จะมีจิตที่สว่างไสว
ขอให้ศิษย์นั้นสงบใจนึกดูก็จะรู้ว่าเรานั้นจะมีจิตใจสว่างไสวเพราะการช่วยคนได้อย่างไร
ถ้าหากไม่เข้าใจที่อาจารย์พูด
หลังจากที่อาจารย์ไปแล้วลองนั่งหลับตาแล้วก็คิดว่าเรานั้นจะมีจิตใจที่สว่างไสวขึ้นมาได้หรือยัง
จิตใจของเราในขณะนี้สว่างไสวพอแล้วหรือ สว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ยามฉายแสง
ไม่ใช่สว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ตอนตกดิน
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
อาจารย์มานานแล้ว
การที่มีพบก็ย่อมมีพรากเป็นธรรมดาเหลือเกิน
อาจารย์มาในวันนี้เป็นสองวันของการประชุมธรรม ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์จะฟังอาจารย์
จะเข้าใจจิตใจของอาจารย์อาจารย์อยากจะบอกว่าการมีชีวิตเป็นมนุษย์นั้นหากศิษย์ไม่ลืมบางทีเรายังรู้สึกว่า
จิตใจของเรานั้นสามารถสั่งสอนตัวเราได้ จิตนั้นเป็นจิตพุทธะแต่ด้วยความเป็นมนุษย์
กลับปล่อยตัวเราเป็นน้ำในแก้ว ปล่อยให้สังคมบีบรัด เราจึงเปลี่ยนไปๆทุกวันตั้งแต่วันนี้ลองให้สัญญากับตัวเอง
เราเริ่มต้นใหม่สิ่งใดเคยพลาดพลั้ง เราบอกตัวเองว่าเราจะแก้ไข
อาจารย์เชื่อว่าไม่สายเกินไปสำหรับคนที่คิดว่าจะแก้ไขตัวเอง
ธรรมะล้ำค่าก็เท่านั้นถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่ปฏิบัติ
คนข้างหน้าผู้ปฏิบัติงานธรรมจะดีเท่าไรก็เท่านั้น ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้ว่าเขานั้นบำเพ็ญอย่างไร
บำเพ็ญดีอย่างไรที่ว่าดีนั้นดีอย่างไร ไม่เคยไปใส่ใจดูแลตัวเราว่าเป็นอย่างไร
ดูนักธรรมอาวุโสเหมือนกับนั่งดูทีวี ดูบางคนนั้นก็ดูสนุกสนานดี
บางคนนั้นก็ดูแล้วไม่สนุก เราเคยคิดไหมว่าเราจะทำอย่างเขา เคยคิดไหมว่าเราจะเดินทางเส้นเดียวกับพุทธะและในที่สุด
เราจะหลุดพ้นกลับคืนขึ้นนิพพาน
อาจารย์บอกแล้วคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ก็ย่อมที่จะทำได้
พระพุทธเจ้าก็มีร่างกายเป็นมนุษย์เช่นศิษย์ อย่าไปพูดถึงกุศลที่ท่านสร้างมานาน
เพราะว่าตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่มีเวลาที่จะไปสร้างกุศลห้าร้อยชาติแล้วก็ย่นย่อห้าร้อยชาตินั้นให้เหลือชาติเดียวที่เรามีชีวิตอยู่
ดีกว่าปล่อยชีวิตของเรานั้นให้เปล่าประโยชน์
ร่างกายเกิดมาครบสมบูรณ์แต่กลับไม่ทำอะไรวันๆก็ยุ่งอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศ
วันๆก็อยู่แต่คนนี้รักคนนี้เกลียดคนนั้น ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ ของอันนี้สวยหรือว่าของอันนี้ไม่สวย
สิ่งเหล่านี้ทำให้ศิษย์พ้นขึ้นนิพพานได้หรือ แต่กลับจะยิ่งดึงไว้
เพราะฉะนั้นสิ่งใดวางได้ ปลงได้ให้เริ่มวันละนิด
วันละหน่อยการบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ยากสำหรับคนที่พยายาม
แต่ถ้าศิษย์ไม่พยายามจริงๆก็ไม่สำเร็จ อย่าบอกว่าเขาให้มาบำเพ็ญธรรม เขาให้มารับธรรมะ
รู้ทางนิพพานนั้นง่าย แต่จะให้ถึงนิพพานนั้นไม่ง่าย
เพราะว่าที่รู้แล้วไม่ทำก็เหมือนกับไม่รู้นั้นเอง
อาจารย์บอกไว้ว่า “จวบจนสิ้นลม”
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตอนสิ้นลมแล้วค่อยมาบำเพ็ญ
หรือตอนแก่มากเกินไปแล้ว ตอนนี้ก็ต้องเริ่มแล้ว หากว่าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะเริ่มวันไหน
มีการพบย่อมมีการพราก
เราเกิดมาในชีวิตนี้ถ้าไม่ทำตัวเห็นคนดีก็ไม่มีค่าสามวันที่มานั่งฟังตรงนี้ก็เหมือนการเริ่มต้นเท่านั้นเอง
อาจารย์มีคำหนึ่งที่จะพูดไว้ก่อนที่อาจารย์จะจากไป
โดยที่ไม่รู้ว่าศิษย์คนไหนกันแน่จะบำเพ็ญต่อไป คือการปฏิบัติ การศึกษาของพุทธะ คือ
การปฏิบัติเท่านั้นจึงเห็นผลที่ดี
หากศิษย์ไม่ลงมือปฏิบัติอะไรเลยแล้วหวังที่ตนนั้นได้มรรคผลอันยิ่งใหญ่คงไม่เป็นการยุติธรรมสักเท่าไร
ศึกษาสามวันนี้วันต่อไปยังต้องศึกษาต่อไปอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้อย่าท้อแท้
อาจารย์จะไม่ทิ้งเจ้าไปจนกว่าศิษย์ จะทิ้งอาจารย์
อย่าได้เห็นเป็นการเล่นละครละครฉากนี้ไม่ใช่ละครฉากที่สนุกเลย เพราะละครฉากนี้คือ
ชีวิตของศิษย์ทั้งชีวิต อาจารย์ไม่ได้เล่นละคร
ศิษย์ต่างหากที่เล่นละครแห่งชีวิตของตนเอง มีความรัก โลภ โกรธ หลง
มีชีวิตที่ขุ่นมัวและจมดิ่ง ศิษย์ตื่นทีเถอะนะ
วันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช
๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
อย่าลืมนะมาประชุมสามวันแล้ว ต้องแน่วแน่จากจิตใจเกษมศานต์
ต้องช่วยเพื่อนพี่น้องด้วยชื่นบาน ยิ่งนานวันยิ่งมั่นคงทวีคูณ
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านมีความตั้งใจในเรื่องบำเพ็ญบ้างหรือยัง
ประเทศไทยแดนนี้ดีหนักหนา เกิดกายมาพึงต้องรู้ขมันขมี
อันลาภยศใช่สิ่งแท้มองให้ดี เงินทองมีใช้ให้ถูกจึงเป็นนาย
ยุคท้ายนี้ธรรมลงพร้อมภัยแรง อย่าหน่ายแหนงบำเพ็ญเสียก่อนจะสาย
หากเกิดความเบื่อง่ายจึงเลิกไป ต้องน่าอายเพราะยังไม่ทันลำเค็ญ
พูดนั้นง่ายลงแรงจริงจึงรู้ยาก บำเพ็ญมากพูดให้น้อยมีให้เห็น
ใจดวงน้อยยิ่งบำเพ็ญสงบเย็น ศึกษาเป็นคือผู้รู้กลับไปทำ
ทำงานใหญ่กลัวลำบากเพราะทุกข์ไม่น้อย ทุกข์น้อยน้อยจึงยิ่งระสายระส่ำ
ใจสะอาดปราศจากกิเลสครอบงำ อารมณ์ต่ำดั่งหนามบ่งออกที
จะไม่ยอมอ่อนแรงช่วยงานธรรม ช่วยเวไนยขึ้นจากน้ำส่งถึง จะต้นปีกลางปีหรือปลายปี ก็จะดีอย่างนี้ทุกทุกวัน
ฮิ
ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
ร้องเพลงร้องกันหรือเปล่าหรือปล่อยให้คนอื่นร้องฝ่ายเดียว
แล้วท่านปรบมือเปาะแปะ ยิ่งสามวันคนก็ยิ่งน้อยลง แล้วใจท่านน้อยลงหรือเปล่า(ไม่น้อย) ยิ่งสามวันยิ่งต้องมั่นใจขึ้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ร่วมฟังและผู้ปฏิบัติงานธรรมชั้นล่างขึ้นมาชั้นเรียนข้างบน)
รู้สึกอบอุ่นหรือไม่
วันที่สามแล้วทำไมคนน้อยลงหรือว่าธรรมะนี้เป็นธรรมะไม่จริงกันแน่
จริงๆแล้วธรรมะจริงแต่คนไม่จริงต่างหาก
ทานข้าวอิ่มแล้วเราเล่นอะไรหน่อยดีไหม นั่งมากๆ ก็ลงพุง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมกันเล่นเกม
ขยับปาก ปรบมือ กระแทกเท้า)
ท่านชอบปล่อยให้ใจเผลอไปนั่นไปนี่
วันนี้ลองฝึกควบคุมใจตัวเองดู มนุษย์เรามีข้อบกพร่องอยู่หนึ่งอย่างคือ
ธาตุแท้เดิมของเรามีจำกัด แต่ความอยากของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด
แต่ความอยากมีจำนวนไม่จำกัด การต่อสู้ก็เลยเริ่มขึ้น
เหนื่อยกันมามากแล้วในสามวันนี้ ถึงจะเหนื่อยอย่างไรแต่หน้าเราต้องยิ้มสู้ให้
เรื่องราวในโลกจะมากมายเพียงใดแต่ถ้าเรายิ้มสู้ ใจเราสู้
อะไรก็ไม่สามารถทำให้เราล้มไป แต่การสู้นั้นก็ต้องดูจิตใจของเรา
คนเรานั้นเมื่อเจอความทุกข์ยากลำบาก
คนดีรู้จักนำคุณธรรมมาเป็นเกราะป้องกันและอาวุธบ้าง อารมณ์กิเลสหรือไม่ก็ความเห็นแก่ตน
หรือไม่ก็ผลประโยชน์ แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่ศึกษามาแล้วถึงสามวัน
เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเมื่อเราต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอก
เราจะต้องต่อสู้กับเรื่องราวหลายอย่าง เราจะชนะเขาด้วยอะไร
นั่นก็คือการนำคุณธรรมมาใช้ ถ้าเกิดว่าเขาโกรธมาแล้วเราโกรธตอบ เขาว่ามาเราว่าตอบ
ก็เหมือนกับว่าเราต้องรบไปไม่สิ้นสุด
ฉะนั้นการต่อสู้เราต้องรู้ด้วยว่าเราจะเอาอะไรไปเผชิญกับโลกภายนอก
ไปเผชิญกับปัญหาหรือความยากลำบากต่างๆ ในชีวิต ถึงแม้ว่าเรามีความอยากนั้นได้
แม้จะรู้สึกสูญเสียความรู้สึกผิดชอบไปบ้างก็คงน้อยมาก แต่จะมีใครบ้างเมื่ออยากขึ้นมาแล้วพอไม่สามารถดับความอยากได้
จะสามารถรักษาคุณธรรมความดีหรือความถูกต้องได้เต็มที่ เมื่อคนๆ
นี้มีความอยากก็คงจะยากถึง จะรักษาได้ก็คงรักษาได้น้อยเหลือเกิน
ไม่เหมือนกับคนที่ดับความอยากได้ถึงแม้จะสูญเสียความถูกต้องไปบ้าง
แต่ก็คงสูญเสียได้น้อยมาก ฉะนั้นเวลาเราอยู่บนโลกนี้เราต้องรู้จักตั้งรับให้ดีแล้วก็สู้ให้เป็น
แล้วสู้อย่างไรที่จะไม่ต้องสู้ไปอีกตลอดชีวิต เพราะตอนนี้เรายังมีแรงสู้
แต่เราจะมีแรงสู้ไปตลอดหรือไม่
ตอนเราเด็กๆ กว่าเราจะได้อะไรมา
เราจะต้องใช้ความขยันถึงจะสามารถทำอะไรสำเร็จได้ทีละอย่าง หรือไม่ก็ต้องมีความขยันหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ความเพียร เพียรพยายามไปให้ถึงเราถึงจะสำเร็จได้ ถ้าเรื่องเล็กๆ
เราสามารถสำเร็จได้แล้วมีหรือเรื่องใหญ่ๆ เราจะสำเร็จไม่ได้
เมื่อหาเงินทองมาได้แล้ว เราก็ต้องรู้จักใช้ให้เป็น อย่าเป็นทาสของเงิน
อย่าเป็นทาสของวัตถุ อยู่บนโลกนี้ท่านชอบหรือเปล่าใหญ่ข่มเหงเล็ก (ไม่ชอบ) แล้วเล็กก็ไปเบียดเบียนเล็กกว่าดีหรือไม่
(ไม่ดี) ท่านก็ไม่อยากได้ และไม่อยากเป็น
นอกจาใช้ให้ถูกแล้วเราก็ต้องรู้จักเห็นใจคนอื่นด้วย เรารู้จักหาเงินมา
เราก็ต้องรู้จักใช้ เมื่อเราเป็นนายของเงินแล้ว เราก็ต้องรู้จักนำเงินไปใช้ให้ถูกต้อง
ไม่ใช่เอาเงินไปตีหัวคนอื่นเล่น หรือเอาเงินมาซื้อคนอื่นอย่างนี้ก็ไม่ได้
เงินยังไม่สามารถซื้อจิตใจของท่านได้ แต่ทำไมท่านชอบควักเงินซื้อชีวิต
หากใครมาตีราคาท่าน ท่านก็คงไม่ชอบเช่นกัน ฉะนั้นไม่อยากได้สิ่งใดกลับมาหาตัวเรา
ตัวเรานั้นต้องไม่ทำสิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน แม้แต่กับสรรพสัตว์
ถ้าเกิดว่าเราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นแต่ยังไม่ทันพบความยาก
เราก็เบื่อไปเสียก่อน คนๆ นั้นก็ยากจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้
เพราะว่าเป็นคนเบื่อง่าย ทำอะไรก็เลยไม่สำเร็จสักอย่าง หากวันนี้มาบำเพ็ญ
มาศึกษาธรรม เราบอกว่าเบื่อจัง ต้องมานั่งฟังตั้งนานแล้วเราก็เลิกไปอย่างนี้
ชีวิตของคนนี้จะประสบความสำเร็จได้ง่ายหรือเปล่า
แต่วันนี้ท่านยอมทนได้ถึงสามวันก็มีโอกาสประสบผลสำเร็จในชีวิตได้
เรามีนิทานเล่มให้ฟังอยู่เรื่องหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่าชายคนหนึ่งนั้นอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง คนที่อยู่บ้านข้างๆ
เขาเป็นเกะกะระราน แล้ววันหนึ่งชายคนนี้ก็เก็บของ บอกว่าเขาจะไม่อยู่บ้านนี้แล้ว
เขาอยากไปอยู่ที่อื่น เพื่อบ้านที่สนิทกับเขาอีกหลังหนึ่งที่ไกลออกไปหน่อย
เขาก็ถามว่าทำไมล่ะ ก็อยู่ก่อนสิคนไม่ดีอย่างนี้สักวันต้องถูกตำรวจจับ
ถูกข้อหาอะไรบ้าง เพราะเขาเป็นคนไม่ดี ทุกวันก็ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว
วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องโดนจับจนได้ แต่ชายคนนั้นกลับตอบว่าไม่เอา เขาไม่อยากเสี่ยง
เขากลัวว่าตำรวจจะมาจับคนไม่ดีก็ตอนที่เขาถูกคนไม่ดีทำร้ายแล้ว
เพราะเขาอยู่บ้านติดกัน ถ้าเกิดว่ารอให้ตำรวจมาจับเขาแล้วเราค่อยแก้เหตุการณ์ตอนนั้นก็ดูจะสายไป
โลกใบนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์ตอนนี้ โลกภายนอกวุ่นวาย
เราไม่รู้ว่าภัยสิ่งใดจะเข้ามาหาเรา ภัยสิ่งไหนจะมาทำร้ายเราหากเรานิ่งเฉย
หากเราไม่รู้จักป้องกันภัยตั้งแต่ตอนแรก เราจะมีชีวิตอยู่รอดหรือเปล่า (ไม่) ฉะนั้นเวลามีภัยที่เกิดขึ้นเราจะต้องรู้จักหาเกราะป้องกันให้กับตนเองเสียก่อน
แล้วอันตรายก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ในปัจจุบันนี้ทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้เคยระวังถึงภัยที่มองไม่เห็น
เคยนึกถึงอันตรายที่อยู่ข้างนอกหรือเปล่า ได้แต่อ่านหนังสือทุกวันว่าน่ากลัวจัง
แล้วก็ตูมไม่มีวันได้อ่านว่าน่ากลัวอีกแล้ว หรือไม่ก็หายไปเลย
แล้วพบว่าตอนนี้ทำไมวิญญาณเราลอยอยู่แล้วตัวเราหายไปไหน
ถึงตอนนั้นคิดแก้ไขก็สายเกินไป
ตอนนี้โลกวุ่นวายเราไม่สามารถเดาได้ว่าวันใดจะเป็นเคราะห์ของเรา
ทุกคนปรารถนาจะได้รับสุขจะมีใครบ้างที่จะหลีกหนีเคราะห์ภัยได้ ก็คงยากที่จะพูด
ถึงแม้ว่าเราจะพูดว่าเราเป็นคนดี แต่เคราะห์ภัยที่เราเคยสร้างมาก่อน
เคราะห์ภัยที่เราเคยเบียดเบียนผู้อื่น เราสามารถหลบในสิ่งที่เราทำไว้ได้หรือเปล่า
แล้ววันใดจะเป็นวันตัดสินที่เราต้องถูกทำร้ายเราก็ยากที่จะรู้
ฉะนั้นสิ่งใดที่ป้องกันได้เราก็ต้องรีบป้องกันก่อน เหมือนโลกตอนนี้ถ้าเกิดว่าโลกตอนนี้ยากจนข้นแค้น
แต่ว่าเกิดว่าเขาคนนั้นเป็นผู้ที่รู้จักใช้ทรัพย์ เป็นผู้ที่รู้จักถนอมทรัพย์
ถึงแม้ข้างนอกจะเกิดทุกข์ภัยอะไร เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดและรู้จักใช้ชีวิตเป็น
เพราะแต่ก่อนเขารู้จักใช้ตั้งแต่ตอนแรก ถ้าเมื่อก่อนเขาเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
เคยใช้เงินจนมือเติบแล้ว พอถึงคราวยากจน
พอช่วยที่มีภัยเขาจะชินกับการกระเบียดกระเสียร ก็คงจะยากจะแก้ได้
แต่ถ้าเกิดว่าในทางเดียวกันถ้าเกิดตัวท่านนั้นเป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน
ทำแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ถึงแม้ว่าภายนอกจะมีอันตราย เขาคนนั้นจะมีอันตรายได้หรือเปล่า
ก็คงยากถึงจะมีถ้ามีคงน้อยเต็มที
ฟังอย่างนี้แล้วก็แปลว่าคนเราไม่ควรนิ่งเฉยกับเรื่องราวภายนอกที่วุ่นวาย
แล้วเราก็นั่งเฉยๆ ไม่สนใจการอบรมบ่มเพราะขัดเกลาตน ตอนนี้เราจะนิ่งเฉยไม่ได้
เพราะว่าโลกภายนอกง่ายที่จะทำให้ตัวเราเปลี่ยนสีแปรธาตุไปกับโลกภายนอก
เราอยู่กับน้ำเน่านานๆ ตัวเราจะเปลี่ยนสีบ้างหรือเปล่า (เปลี่ยน) แต่คนเราไม่ใช่สิ่งของ
คนเรามีปัญญา มีความคิด มีชีวิต มีลมหายใจ เรารู้ที่จะหลีกหนีได้ รู้จักวิธีแก้ได้
ฉะนั้นถึงแม้โลกภายนอกจะเป็นน้ำเน่า แต่เรื่องอะไรเราจะยอมเน่ากับน้ำด้วยหรือเปล่า
หากตัวเราไม่เน่าแล้ว
คนอื่นเห็นว่าเราทำได้อย่างนี้เขาก็จะมาศึกษาวิธีจากเราในที่สุด
การกระทำของเราย่อมสามารถโน้มน้าวคนอื่นให้ทำด้วยยิ่งเป็นเรื่องดีใหญ่
เรียกว่าช่วยตัวเองแล้วยังสามารถเป็นการช่วยคนอื่นโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลย
แต่การพูดที่ดีก็ไม่เท่ากับการกระทำที่ดี
เพราะการพูดอาจจะหมดค่าถ้าคนนั้นกระทำไม่ได้เลย
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง
เรื่องมีอยู่ว่าจะเรียกว่าคนก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าสัตว์ก็ไม่เชิง
เราสมมติว่าเป็นสิ่งๆ หนึ่ง เขามีอยู่อย่างเดียวคือใจจะไปไหนก็ได้ดังใจคิด
จะลอยไปฟ้าก็ง่าย จะลงดินก็ง่าย ลงไปถึงไหนแล้วเขาก็สามารถกลับมาได้อย่างเดิม
ไม่เหมือนท่านลงดินแล้วไม่ยอมขึ้นฟ้า แล้วเขาก็มีเพื่อนอยู่สองคน
เพื่อนคนหนึ่งอยู่บนฟ้า เพื่อนคนหนึ่งอยู่บนดิน
จนกระทั่งเพื่อนบนฟ้าและบนดินเห็นใจเขา ก็เลยบอกว่าท่านไม่ต้องการเยี่ยมหรอก
ท่านอยู่ตรงกลางนั่นแหละ เดี๋ยวเราจะมาเยี่ยมท่านเอง
เพราะว่าคนที่อยู่บนฟ้ากับบนดิน แต่ดินไม่สามารถจะขึ้น และฟ้าไม่สามารถลงดินได้
เขาเลยนัดหมายกันมาเจอคนที่อยู่ตรงกลาง
พอเขานัดมาเจอเขาก็รู้สึกข่าเขาสงสารเพื่อคนนี้จังเลย หู ตา จมูก กายก็ไม่มี
เขาก็เลยจะช่วยกันตกแต่งคนๆ นี้เขาก็เลยเติมหู ตา จมูกให้เขามีกาย หู ตา จมูก
ไม่มีใจดวงเดียว เพื่อนคนนี้ของเขาก็บอกว่าจะดีหรือ เขาก็บอกว่าดีซิๆ
เพราะว่าท่านมักจะไม่เห็นในสิ่งที่เขาเห็น ท่านมักจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาได้ยิน
เพราะท่านมีแต่ใจดวงเดียวที่ลอยไปไหนมาไหนเท่านั้นเอง เขาก็บอกว่าจริงๆ แล้ว
เขาก็มีความสุขแล้ว ทำไมต้องมาเติมหู ตาให้เขา เพื่อนก็บอกว่าทำเถอะๆ ทำแล้วดี
เขาก็เริ่มเชื่อ ทำแล้วดีหรือก็น่าลอง
แต่บางครั้งเราก็ลืมว่าลองทำไปแล้วกลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้
เราไม่รู้ว่าเราเป็นประเภทนั้นหรือเปล่า
แต่ก็ทำกันทุกคนเลยและกลับมาไม่ได้สักคนเลย เพราะว่าเติมตา หู จมูกแล้ว
แล้วก็กลับมาเหลือใจดวงเดียวไม่ได้ พอเติม ตา หู จมูกได้แล้ว ลงดินเป็นอย่างเดียว
พอเขาเติมให้เสร็จ เติมตาให้แล้ว เขามีตาเขาก็บอกทำไมตรงนี้ถึงสวยขนาดนี้
พอลงไปข้างล่างทำไมน่ากลัวขนาดนี้ พอเขาขึ้นไปข้างบนข้างบนสวยจัง
เขาไม่เคยเห็นก็เลยดีใจที่ได้เห็น พอเขาเติมหูอีก เขาก็บอกว่าคนนั้นพูดเพราะจังเลย
ทำไมคนนี้พูดไม่เพราะเลย ทำไมคนนี้พูดเบา
เขาก็ยังได้ยินอีกว่าทำไมคนนี้พูดไปมีน้ำเสียงเยาะเย้ยจังเลย
แล้วพอถูกเติมให้มีร่างกาย ถูกตัดให้มีร่างกาย เขาก็ร้องว่าเจ็บ
อย่าตัดแรงเขาก็ยอมเจ็บ เพื่อที่จะได้มีร่างกายเหมือนคนอื่นเขา
พอเขาเติมครบหมดแล้วทั้งหู ตา จมูก เพื่อนคนนี้ก็กลับ คนที่มาจาฟ้าก็กลับสู่ฟ้า
เพื่อนคนที่มาจากดินก็กลับสู่ดิน
ผ่านไปหนึ่งเดือนเพื่อนที่อยู่บนฟ้ากับเพื่อนที่อยู่บนดินก็งง
ทำไมเขาไม่กลับไปเยี่ยมให้ทายว่าเพราะอะไร (เพราะว่ายึดติดในร่างกาย
หลงกิเลส เพราะติดในรูปรสกลิ่นเสียง)
เพราะเขามัวติดใจกับตาที่เขามองเห็น หูที่เขาได้ยิน
ร่างกายที่เขาได้รับ แล้วพอเขามีร่างกายแล้วการจะขึ้นฟ้าลงดินนั้นก็ยาก
เพราะว่ามีกายแล้วก็หนักยากที่จะเบาขึ้นไปได้
และถ้าเกิดมีกายนี้แล้วยังไม่ตายก็ยากที่จะลงดินได้ แล้วตัวท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะว่าพอมี หู ตา จมูกเราก็หลงอยู่กับหู ตา จมูก ลิ้น และเราก็หลงลืมใจดวงนี้
ผลสุดท้ายเพื่อนที่อยู่ข้างล่างก็มา เพื่อนที่อยู่บนฟ้าก็ลงมา
ปรากฏว่าเห็นเขาตายเรียบร้อยแล้ว เพราะคนที่ไม่เคยได้มองเวลามองก็ลืมยับยั้ง
เพราะเวลาคนที่ไม่เคยได้ยิน เมื่อได้ยินก็ได้ยินเสียหมดทุกอย่าง
จนลืมปิดหูก็เลยหนวกไปเลย เพราะคนที่ไม่เคยมีปากเวลามีปากก็เลยพูดๆ
พอมีกายเขาก็เดินตรงไปที่ไหนไม่เคยเที่ยวเขาก็ไป อะไรไม่เคยกินเขาก็กิน
แล้วเราอยากเป็นอย่างนี้หรือไม่
สมัยก่อนมีปราชญ์ท่านหนึ่งสามารถมองเห็นการณ์ไกลได้
เพียงเห็นจักรพรรดิใช้ตะเกียบทอง
ท่านก็กลัวแล้วว่าแผ่นดินที่จักรพรรดินี้ครองต้องล่มสลายแน่
เพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนั้น (มองเห็นว่าเป็นของใช้ต้องใช้ตะเกียบทองแล้วต่อไปข้างหน้าก็ต้องเป็นคนที่ฟุ้งเฟ้อ
ใช้ของที่ดีๆ แล้วก็มีราคาแพง) นั่นก็คือ เมื่อใช้ตะเกียบทองเขาจะใช้ชามพลาสติกไม่ได้
ต้องใช้ชามที่ทำจากทอง เมื่อใช้ชามทองตะเกียบทอง ก็ต้องนั่งเก้าอี้บุทอง
เมื่อนั่งเก้าบุทองแล้วโต๊ะจะเป็นทอง เมื่อโต๊ะทอง เก้าอี้ทอง ชามทอง ตะเกียบทอง
จะนั่งอยู่ในห้องธรรมดาไม่บุทองได้หรือไม่ เมื่อต้องใช้ทองมาก
ทองที่มีอยู่ในคลังก็ต้องหมดก็ต้องไปขอจากราษฎร ให้ราษฎรให้หาทองมาให้
ถ้าเกิดมีนางสนมก็ต้องใส่ทองแล้วเพื่อนร่วมโต๊ะก็ต้องมีทอง
ถ้าเราเป็นคนที่รักคุณธรรมคนที่ใกล้ชิดเราก็ต้องเป็นคนมีคุณธรรม
คงไม่ใช่นักเลงหัวไม้หรอกนะ คนนี้เรามีชีวิตอยู่ใกล้กับคนดี คนร้าย
หรือว่าคนน่ากลัวกันล่ะ (คนดี) มีทั้งดีและร้าย
ถ้าตอนนี้เรานึกไปในชีวิตเรารู้สึกว่ามีแต่คนร้ายรอบข้างเลยแสดงว่าเราก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
แต่เราต้องคิดว่าเรามีความคิดที่ดีหรือเปล่า บอกว่าฉันดี แต่คนอื่นไม่ได้เรื่อง
อย่างนี้ก็ไม่ถูก เมื่อความคิดของตัวเองไม่เที่ยงก็เลยว่าคนอื่นไม่เที่ยงไปด้วยใช่ไหม
“ทำงานใหญ่กลัวลำบากเพราะทุกข์น้อย ทุกข์น้อยน้อยจึงยิ่งระส่ายระส่ำ”
ทำงานใหญ่พอเจอปัญหามากเราก็ไม่ทำ
พอทำงานน้อยมีทุกข์เล็กน้อยเราก็ไม่ทำ
ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำงานอะไรหากเรามีความตั้งใจแม้จะมีอุปสรรค
ความยากลำบากเราไม่ย่อท้อเราก็สามารถเป็นผู้ที่ยึดกุมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้
แต่จะสำเร็จยิ่งใหญ่ได้เราต้องรู้จักทำงานเล็กเป็นเป็นเสียก่อน
เป็นผู้บำเพ็ญก็ล้วนแต่ต้องลำบากทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเกี่ยงงอนหรือเปล่า
รักแต่สบายแล้วใครจะเรียกเราเป็นปราชญ์ เป็นพุทธะก็คงยาก
เพราะพุทธะทุกพระองค์ล้วนสำเร็จไปจากการฝ่าความยากลำบาก ฝ่าความทุกข์ยากนานาประการ
มีความเสียสละ เพราะว่าท่านฝ่าได้ทนลำบากได้คนจึงเคารพกราบไหว้ท่าน
แต่ถ้าชีวิตนี้เราไม่เคยฝ่าความลำบากเลยเอาแต่รักสบายอย่างเดียวใครจะเคารพเรา
ใครจะนับถือเราก็คงยาก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนศึกษาบทเพลงพระโอวาท)
ตอนนี้เราจะมาจับปูใส่กระด้ง
กระด้งนี้เป็นกระด้งแห่งพุทธะที่จะร่อนพุทธะกลับคืนไปเบื้องบน
ท่านอยากเป็นพุทธะที่อยู่ในกระด้งหรือตกกระด้งดีล่ะ (ในกระด้ง) อย่างนั้นปูก็อย่าดิ้นมากดีไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่ลุกไปจากชั้นออกไปพูดธรรมะให้นักเรียนในชั้นฟัง)
ท่านมา ๒ วันเกือบจะ ๓ วัน
แล้วลองพูดธรรมะให้เราฟังบ้าง (วันนี้ภูมิใจและดีใจที่ได้ฟังธรรมะจากที่ท่านสอน
เพื่อจะนำไปปฏิบัติแล้วก็สอนผู้อื่น)
แต่เราได้ยินมาคนเราพอมัวแต่คิดว่าจะสอนคนอื่นมากเกินไปบางทีก็ทำให้เราลืมสอนตัวเอง
ต้องบอกว่าพร้อมที่จะสอนเขาได้และพร้อมที่จะรับการจากเขา
ท่านจะขยันบำเพ็ญดีหรือเปล่า เมื่อขยันบำเพ็ญท่านก็ย่อมสำเร็จได้
ขยันเหมือนตอนเด็กๆ บอกว่าอยากทำการบ้านให้เสร็จก็ต้องทำ
อยากคิดเลยเป็นก็ต้องขยันคิด อยากเป็นพุทธะก็ต้องขยันบำเพ็ญ
เราชอบเวลาท่านยิ้ม เราอยากเห็นท่านยิ้มมากกว่าทุกข์
ถึงแม้บางบางครั้งเราจะผิดพลาดหรือผิดหวัง
แต่ก็เป็นเรื่องของวัตถุและรูปนามทั้งนั้น แต่ถ้าใจของท่านยังมีอยู่
ท่านก็ยังสามารถกลับตัวได้ ท่านก็ยังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้
สิ่งใดผ่านไปแล้วผิดไปแล้ว ขอให้จำเป็นบทเรียนแล้วเราจะไม่ทำผิดอีก
หากว่าเราผิดไปแล้วแต่เราไม่มีชีวิตให้กลัวตัวนั่นสิน่าสงสาร
ขณะนี้เรามีเวลาแก้ตัวใหม่ มีเวลาได้เริ่มต้นใหม่ในทุกๆ วัน เราได้เริ่มต้นวันใหม่
เราก็ต้องแก้ไขให้เป็นคนใหม่ให้ได้
ทุกวันคือวันที่ดี
แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำดีหรือไม่เท่านั้น ไม่ได้สิ่งใดมาก
ได้น้อยบ้างก็ไม่ต้องเสียใจ ขอเพียงพอใจในสิ่งที่เรามีก็เป็นสุขแล้ว
อะไรที่มันเป็นไปแล้วก็ไม่ต้องกังวลกับมันมากนัก
เพราะเราไม่สามารถรั้งอะไรได้แม้ชีวิตของเราเอง สิ่งของลาภยศชื่อเสียง
ใครจะรั้งได้ เวลาหยิบก็หยิบได้แค่สองมือ เวลาถือก็ถือได้สองมือ
ถึงแม้จะเหน็บเอวก็ได้ข้างหนึ่ง พอจะเหน็บอีกข้างหนึ่งก็รู้สึกเกะกะ
ฉะนั้นอย่าไปหวังมากเลยกับโลกโลกีย์ ชีวิตที่แท้จริงที่เราควรหวังก็คือ
หวังเพื่อจะให้ได้เป็นคนดีต่างหาก ไม่ใช่หวังเพื่อจะมีแต่วัตถุ มีแต่ชื่อเสียง
อะไรผิดไปแล้วก็ต้องรู้ที่จะแก้ไขให้ได้ ไม่ใช่ช่างเถอะเดี๋ยวทำใหม่
(สิ่งศักดิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นจบมือต่างๆ กัน)
จับมือกันแล้วเราจะได้ไปด้วยกันดีหรือเปล่า (ดี) เราจะไปพร้อมกันดีหรือไม่
แต่ตอนนี้เราจะไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะท่านยังต้องศึกษาและบำเพ็ญต่อไป
อย่าเป็นเหมือนนิทานที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่ ไปไหนก็ไม่ได้ เพราะมัวหลงกับ หู ตา
จมูก ลิ้น ขอตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ