วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2542

2542-06-12 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


PDF 2542-06-12-เหยรินเต๋อ #12.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒   พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

มหาฤกษ์เบิกชัยในสถาน ประชุมงานฟ้ามนุษย์ร่วมกันจัด
วิสุทธิอาจารย์เบิกธรรมชี้ทางลัด ขอเร่งรัดตนเองบำเพ็ญจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง        ฮวา   ฮวา

ในวันนี้น่ายินดีพบหน้ากัน ขอใจนั้นสุขุมนิ่งเบาสงสัย
ธรรมะแท้หรือเท็จล้วนอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใครนำกลับไปปฏิบัติ
ชีวิตหนึ่งดั่งภมรสุขกี่ครั้ง มิหยุดยั้งน้ำลงต่ำน่าสงสาร
อย่าปล่อยตนไม่ใส่ใจทรมาน รู้ซึ่งกาลแห่งฟ้าดินส่งสายทอง
ย้อนมองตนชีวิตหนึ่งใดสำคัญ จะเหหันไม่ถูกทิศชีพไร้ค่า
รู้จักที่ประมาณตนมากด้วยค่า กลับคืนสู่ที่มาไม่ทุกข์ตรม
ในวันนี้มาศึกษาธรรมกระจ่าง ขอจงสร้างบรรยากาศธรรมในตนด้วย
ในจิตใจเป็นพุทธะจะสำรวย มุ่งมั่นช่วยตนก่อนไปช่วยคน
ดูสิว่าเมื่อได้รู้จงปฏิบัติ รู้เคร่งครัดกับตนยากผิดพลาด
คนส่วนใหญ่ชอบดำเนินอย่างประมาท และเฝ้าขาดพิจารณาตนด้วยปัญญา
ในบัดนี้ประสบโอกาสพบธรรมแท้ ขอเร่งรีบแก้ไขตนอันเคยผิด
จะขึ้นหรือจะลงอยู่ขณะจิต ขอให้คิดถี่ถ้วนยอมบำเพ็ญ
ละกิเลสที่เคยกินไม่รู้อิ่ม ความอยากลิ้มชิมเท่าไรไม่รู้รส
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันมากำหนด แม้บรรพต๑ช่างสูงนักป่ายปีนถึง
ในยุคสามสำรวมใจให้แม่นมั่น บำเพ็ญนั้นต้องปฏิบัติสม่ำเสมอ
อย่าให้ปล่อยใจลอยไปพลั้งเผลอ แม้จะเจออุปสรรคผ่านด้วยใจ
สามวันนี้จงตั้งใจจะเรียนรู้ หมายเชิดชูจิตพุทธะมิทำเล่น
อันความสุขไม่มีซึ่งกฎเกณฑ์ มิโอนเอนตามใจตนนับว่าดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังว่าน้องคงตั้งใจขมันขมี
เมื่อรู้แท้ปฏิบัติแท้ไม่รอรี หวังว่ามีพุทธะเดินดินเพิ่มขึ้นมา
ประชุมธรรมงานพุทธะรักษากฎ ในใจคดดัดให้ตรงโดยถ้วนหน้า
สามัคคีรวมพลังระเบียบนา เป็นเมธาผู้สุขุมโดยทั่วกัน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน

ฮวา   ฮวา   หยุด

๑ บรรพต      ภูเขา

วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน

หนึ่งเวลาสามารถกำหนดชีวิตคน ในฝึกฝนสามารถได้ความตื่นรู้
แปดคุณธรรมนำใจแท้ให้คงอยู่ เซียนเคียงคู่ความพากเพียรไม่ห่างไกล
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

แม้หลายปีบำเพ็ญยังต้องบากบั่น มากที่ผ่านอย่างคนกำลังท้อ
พ่ายหมายความไร้ทางน้ำตาคลอ กุศลต่อก็ล้างมืดสิ้นงงงวย
คนบากบั่นเดินคล้ายเสี่ยงกลับชนะ การฟื้นฟูใจพุทธะสติช่วย
ทนยิ่งนักจากกิเลสคอยอำนวย ใจล้มป่วยที่หนักฟื้นบริบูรณ์
อันสัทธรรมในเข้าใจควรลงแรง ปฏิปทา๑อันแอบแฝงอย่าให้สูญ
ปัญญามีต่างคำนึงถึงเกื้อกูล เชื่อใจพูนใจกันร่วมบำเพ็ญ
ฝึกกล้าแกร่งอดใจไม่คะนอง คนแม้ยากปรองดองในความเห็น
อย่าแต่งเติมสรรหาเกินจำเป็น แม้ลำเค็ญฝ่าปลุกคนโดยเมตตา
บำเพ็ญไปไม่หวั่นหลงโลกีย์นั้น สลัดฝันเกียจคร้านไม่ล่าช้า
ผิดถูกช่างคนใหม่ไม่ถือสา สู่ความหมดมัจฉริยะ๒หนาชื่อกังวาน
การนับถือผู้เพียรใช่แต่นับถือ นับถือคือกระทำตั้งใจตามอย่างท่าน
ปณิธานนำสื่อความงามมุ่งมั่น ท้อครามครันทำตามกำลังมี
ฮา    ฮา    หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ

มองสิ่งใดจงมองไปให้ถึงปลาย ดูสิ่งใดดูให้ถึงซึ่งแก่นแท้
ด้วยปัญญาพิจารณาย่อมรู้แน่ จริงเท็จแท้เกิดดับ ณ ใจตน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

อารมณ์ส่งผลให้ใจไม่ตรง โกรธาส่งห้ำหั่นล้างไม่ไว้หน้า
ธรรมทั้งมวลยุติภัยไม่พ้นเมตตา สืบดีงามใจฟ้าสันติพลัน
ขอความเป็นแรงใจให้ปรีดา ไม่อิจฉาต่างใจไม่ปิดกั้น
ช่วยกันหนาหนึ่งเวลาค่าอนันต์ กีดและกันชั่วกาลบาปราวี
พลีบำเพ็ญหลุดพ้นกงเกวียนมายา พลีบำเพ็ญพ้นชีวากงกรรมนี้
ก่อนอื่นให้ฤทัยมั่นคงที่ แลมุ่งมั่นจากนี้ตลอดไป
ปฏิปทาอันแกร่งใจต้องแกร่งคู่ วิญญูรู้ย้อนมองผลจากไหน
ปลุกตนตื่นดูคนยอมแก้ไข ไม่แต่มองอย่างไรดีปฏิบัติตาม
ร้ายมาดีสู่เส้นทางพุทธา พรจากฟ้าเสรีทุกข์พ้นข้าม
ความวิริยะส่งผลคืนใสงาม ชีวิตความยิ่งใหญ่เมื่อแจ้งญาณ
ดิ้นรนวนตายเกิดโลกดั่งเวที วนเวียนมิสิ้นสุดทางวัฏสงสาร
เพื่อพ้นไปต้องบำเพ็ญผ่านนานัปการ เวลาผ่านกี่มาลีมิทนรอ

ฮา    ฮา    หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียนและท่านหันเซียงจื่อ

ท่านหันเซียงจื่อ : คนมากอย่างนี้รู้สึกอึดอัดหรือเปล่า หรือคิดว่ามีเพื่อนมาศึกษาด้วย ใช่หรือไม่ สมัยก่อนนั้นการจะศึกษาธรรมะ ถ้าใครมีความตั้งใจจริงก็ต้องพยายามดั้นด้นแสวงหาไปให้พบจนได้  เมื่อพบแล้วการจะหาเพื่อนร่วมศึกษาก็เป็นการยาก  ส่วนมากเมื่อใครตั้งใจแล้วคนๆ นั้นก็จะไปเพียงคนเดียว  ไม่มีการเรียกเพื่อนพ้องเท่าใดนัก  เพราะว่าการที่เราจะมีใจศึกษาธรรมได้นั้นต้องเกิดจากจิตใจภายในของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เราได้ศึกษาธรรมร่วมกับหลายๆ คน เราย่อมมีเพื่อน  การศึกษาจึงเป็นการศึกษาร่วมกัน  ไม่ใช่นั่งศึกษาอยู่คนเดียวเหมือนดังแต่ก่อน
ท่านจงหลีเฉวียน : ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  มีพัดลมอยู่หลายตัว ร้อนหรือไม่ร้อน แล้วใจร้อนหรือไม่ร้อน (ไม่ร้อน)  ใจร้อนกับอากาศร้อนอันไหนร้อนกว่ากัน  นั่งฟังธรรมะครึ่งวันแล้วใจยังร้อนอยู่เช่นเดิมหรือไม่ (ไม่ร้อน)  อากาศร้อนต้องใช้พัดลมช่วยปัดเป่าเพื่อให้หายร้อน  เมื่อใจร้อนใช้สิ่งใดปัดเป่าให้หายร้อน (ธรรมะ)  ธรรมะที่ท่านฟังในวันนี้สามารถปัดเป่าให้ท่านหายร้อนหรือไม่ (หายร้อน)  ต้องมั่นใจต่อตนเองได้  ท่านคิดว่าใจท่านที่ยังอยู่ในขณะนี้เป็นใจที่ดีหรือไม่ (ดี)  ท่านจะใช้ธรรมะปัดเป่าเพียงสามวันหรือมากกว่านั้น (มากกว่านั้น)  ธรรมะปัดเป่าแล้วท่านใจเย็นสบายขึ้นท่านจะใช้ปัดเป่ากี่วัน (ทุกวัน)
ท่านหันเซียงจื่อ : เพราะชีวิตนั้นร้อนตลอดจึงต้องใช้ธรรมะปัดเป่าตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นหรือ  แต่ถามเข้าจริงๆ ท่านก็คงไม่ใช้ธรรมะ  เวลาใจร้อนก็ไปปรับอากาศให้เย็นๆ เปิดเครื่องทำความเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่ากายหรือใจร้อนอย่างไรก็ต้องไปหาสิ่งที่ตรงกันข้ามเพื่อดับให้เย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนรู้สึกว่าตนเองร้อนจึงเอาน้ำดับ ดับทั้งกายและดับทั้งใจแต่แท้จริงแล้วหาดับได้สนิทไม่  จะดับได้อย่างแท้จริงนั้นจะต้องดับที่ใจเรา  เกิดจากตรงไหนก็ดับที่ตรงนั้น  ดับที่ต้นเหตุไม่ใช่ดับที่ผล
ท่านจงหลีเฉวียน : อยู่กับเราทั้งสอง ทุกๆ ท่านจะต้องมีจิตใจที่เป็นสมาธิ  จึงจะสมแล้วกับผู้ที่ต้องการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมอย่างแท้จริง  ด้วยว่าทุกๆ ท่านนั้น ในชีวิตๆ หนึ่ง ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที คำว่าสมาธินั้นขาดหายไปจากจิตใจ  อยากจะได้สมาธิสักครั้งหนึ่งก็ต้องจงใจไปนั่งสมาธิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าในยามที่ท่านนั่งสมาธินั้นท่านได้สมาธิไหม (ได้)  สมาธิของท่านเป็นสมาธิที่สมบูรณ์พร้อมหรือเปล่า (ไม่สมบูรณ์)  เพราะว่าท่านนั้นนานๆ ฝึกฝนทีจึงไม่ใช่สมาธิอันแท้จริง  ดังนั้นสมาธิไม่ใช่จงใจให้ท่านไปนั่งสมาธิ  แต่ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีนั้น ท่านยิ่งต้องมีสมาธิเกิดขึ้นในขณะที่ท่านนั้นเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งนั่นเอง ท่านทำได้หรือไม่ (ไม่ได้)  หวังว่าหลังจากที่ท่านกลับไปจากวันนี้แล้ว  ทุกๆ ท่านจะทำใจให้เป็นสมาธิได้  อันว่าสมาธินั้นเกิดทุกๆ ขณะที่เคลื่อนไหว ในขณะที่ท่านนั่ง ในขณะที่ท่านยืน ในขณะที่ท่านเดิน ในขณะที่ท่านนอน  ทุกๆ ขณะจิตของท่านนั้นฝึกฝนสมาธิได้ ไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตา ภาวนาให้เกิดสมาธิ ยิ่งในขณะที่ท่านมีอารมณ์โกรธ โมโห ไม่ยินดี ไม่พอใจ มีความอยาก นั่นยิ่งเป็นการทดสอบใหญ่ว่าท่านนั้นแท้จริงแล้วมีสมาธิหรือไม่  บางคนบอกว่าความ โกรธนั้นต้องตัดให้ขาด  แต่ในขณะที่เราจะตัดขาดจากความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความไม่ชอบใจนั้น  ท่านสามารถมองเห็นตนเองได้ว่า สิ่งที่ท่าน    ฝึกฝนมานานนับ อันได้แก่  สมาธิ ความรู้ตื่นนั้น ได้ถึงการแจ้งอย่างที่สุดหรือยัง  ท่านเคยสังเกตสิ่งเหล่านี้ไหม
ท่านหันเซียงจื่อ : ในท่ามกลางกระแสแห่งความคิดที่หลากหลาย  ในท่ามกลางความจริงและเท็จ  บ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะสับสน แยกแยะไม่ออกว่าควรจะเชื่อถือสิ่งใด หรือควรจะตัดสินสิ่งใดว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ  เพราะหากมนุษย์เอาแต่เชื่อสายตาของตนเอง คิดว่าสิ่งที่ตนเองมองนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง คือสิ่งที่เป็นจริง  การใช้แต่สายตาโดยไม่ใช้สมองคิดก็เรียกว่าคนที่อาจจะถูกหลอก ลวงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การใช้แต่สมองคิดโดยไม่ใช้สายตาก็อาจจะเกิดความคิดที่ผิดเพี้ยนหรือผิดพลาดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่เราคิดว่าตาของเราน่าเชื่อถือที่สุด  ในบางครั้งตาของเราก็ลวงหลอกเราได้เหมือนกัน  เหมือนเรามองฟ้ามีพระอาทิตย์ แล้วมองว่าฟ้าและ    พระอาทิตย์ดวงเล็กนิดเดียว ใช้มือบังก็มิด  แต่แท้จริงแล้วตาที่เราควรจะเชื่อนั้นบางทีก็เชื่อไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราคิดว่าความคิดเราถูกต้องแล้ว  ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างแน่ชัดแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อกาลเปลี่ยนไป เรื่องราวของโลกย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาล  บางครั้งวันนี้เราว่าเรารู้ดีเรื่องนั้นอย่างชำนิชำนาญแล้ว  แต่วันรุ่งขึ้นเรื่องที่เรารู้อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือผิดพลาดไปได้
ฉะนั้นไม่ว่าจะมองหรือจะดู  เหมือนเราดูหนังสือเล่มหนึ่งแล้วจะซื้อ เราต้องมองตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้โดยการมองอย่างเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องใช้การดูและพินิจพิจารณาด้วยความคิดและปัญญาของเรา  เราถึงจะทราบแก่นแท้และเนื้อเรื่องที่แท้จริงของเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้น  เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ของชีวิตสอนให้เรารู้ว่าอย่ามองคนเพียงผิวเผิน  อย่ามองคนเพียงแค่คำพูด แต่ต้องมองคนหรือสิ่งของให้เห็นถึงแก่นแท้ของความเป็นจริงที่อยู่ภายในตัวเขา  เราไม่สามารถวัดคนได้เพียงการแต่งตัว ไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของเขาได้โดยการมอง หรือใช้สายตาพินิจ  อย่ามองคนเพียงแค่คำพูด  แต่เราต้องมองคนหรือสิ่งของให้เห็นถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของเขาที่อยู่ภายใน  เราไม่สามารถวัดคนได้เพียงการแต่งตัว  เราไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของเขาได้ด้วยการมองโดยใช้สายตาพินิจ  นั่นก็แปลว่าบ่อยครั้งตาเราก็อาจจะหลอกเราได้ ความคิดของเราก็อาจจะพาเราผิดเพี้ยนไปได้เหมือนกัน  ตาที่หลอกได้ ความคิดที่ผิดเพี้ยนได้เกิดขึ้นเพราะเราเป็นคนที่ปิดกั้นตน  ทำไมถึงเรียกว่าปิดกั้นตน  เพราะคนที่ปิดกั้นตนคือคนที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใดๆ  ไม่ยอมเปิดรับสภาพความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลง  ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อหรือสิ่งที่ตนเองเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว  แต่อย่าลืมว่าจิตใจของเราเปลี่ยนแปลงได้    วันนี้เราว่าใจเราเที่ยง แต่พรุ่งนี้ถ้ามีความรักความชอบเข้ามา  ใจเราอาจจะ    ไม่เที่ยงก็ได้  วันนี้ตาเราว่าเรามองได้ชัดเจน แต่พรุ่งนี้ตาเราอาจจะมองได้ไม่ชัดก็เป็นได้  ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้  ฉะนั้นคนที่รู้จักเปิดใจกว้างรับทุกสภาพ  ย่อมสามารถที่จะตรวจสอบและมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนว่า  ตอนนี้ตนเองเที่ยงเพียงใด  ตอนนี้ตนเองเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน  เมื่อเรามองตนออก การจะมองคนอื่นออกก็คงจะไม่ยากอะไร  ถึงแม้เราจะมองคนอื่นออก แต่มองตนเองไม่ออกย่อมเป็นปัญหาใหญ่   ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ท่านมองตนออกหรือเปล่า  (ไม่ออก)  ลองชั่งใจคิดพิจารณา พาใจนี้ให้สงบลง แล้วท่านลองพิจารณาดูว่า  การที่ท่านรู้จักคนอื่น  กับการที่ท่านรู้จักตนเองนั้นสิ่งใดมากกว่ากัน  บางท่านนั้นตอบว่าท่านรู้จัก    ตนเองมากกว่า แต่เมื่อคิดให้ลึกซึ้ง คิดกันให้จริงจังท่านจะเห็นว่าท่านนั้นไม่รู้จักตนเองเลย  เพราะว่าเรานั้นไม่เคยชนะตนเองได้เลยสักอย่างหนึ่ง  เมื่อจิตใจคิดอยากได้สิ่งใด ประสงค์สิ่งใด  แม้ผู้ที่เป็นบุพการีห้ามปรามยังไม่ฟัง  โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้  จึงยังห่างไกลจากความกตัญญู  ส่วนคนที่สามารถฟังคำ     ทัดทานจากบุพการีได้  แต่ฟังคำทัดทานจากตนเองไม่ได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน  ชีวิตนี้มีเวลาจะว่ายืดยาวก็ยืดยาว  มองเห็นผมขาวขึ้นทีละเส้นๆ จะว่าสั้นก็สั้นนัก  พริบตาเดียวผมทั้งศีรษะก็กลายเป็นสีขาว  เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งสั้นหรือยาวก็อยู่ที่ตัวท่านเองว่าท่านนั้นใช้ชีวิตนี้ไปทำอะไร  หากท่านใช้ชีวิตนี้ไปทำในสิ่งที่ทรงคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่า  ชีวิตท่านย่อมเป็นชีวิตที่มีคุณค่า  แต่ถ้าท่านใช้เวลาทั้งชีวิตนี้เพื่อตนเอง เพื่อความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านคิดว่ามากมายแล้ว  ชีวิตนี้ของท่านก็เป็นชีวิตที่ยังหาค่าได้น้อย
สัจธรรมชีวิตให้แง่คิดแก่ตัวท่าน  หากท่านไม่นำกลับมาย้อนคิด  ท่านก็จะไม่ได้อะไรจากสัจธรรมชีวิต  แต่หากท่านย้อนคิดแล้วก็จะพบว่าท่านนั้นอยู่กับ สัจธรรมชีวิตมาตลอด  เหตุใดยังต้องให้ผู้อื่นมาสอน  ก็เพราะว่าท่านยังไม่ได้ย้อนมองอย่างจริงจัง  เวลาเห็นผู้อื่นล้มป่วย เจ็บ ตาย  ท่านเคยย้อนกลับมาคิดไหมว่าตัวท่านนั้นก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้  มีหลายคนที่คิดได้เมื่อชีวิตของตนนั้นล่วงเลยไปสู่วัยของคนที่มีเพื่อน มีญาติเสียชีวิตไปแล้ว  แต่ท่านยังไม่คิดเลยว่าตัวท่านนั่นแหละอาจจะเป็นรายต่อไปก็ได้  เมื่อคิดได้แล้วถามว่าชีวิตของท่านนั้นยังมีสิ่งใดที่ควรจะไปทำมากที่สุด
ท่านหันเซียงจื่อ : เหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น (เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น)  อย่างนั้นก็แปลว่าตั้งแต่ที่มีชีวิตมาไม่ดีขึ้นเลยหรือ  เรารู้ว่าการนั่งฟังในห้องแคบๆ แบบนี้  อากาศไม่เป็นใจแบบนี้ ย่อมเกิดความอึดอัดเบื่อหน่ายและหน่ายท้อ  โดยเฉพาะจิตใจที่ไม่ฝักใฝ่ที่จะมาศึกษาธรรมด้วยแล้ว  การจะนั่งอยู่ตรงนี้ย่อม ไม่สงบสุข  ในใจจะคิดว่าแม้แค่หนึ่งนาทีสั้นๆ ในใจก็จะคิดว่าเหมือนหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งปี  แม้เขาจะพูดโน้มน้าว สนุกสนานอย่างไร ถ้าจิตใจท่านไม่สนุกสนานเกิดความเบื่อหน่าย หน่ายท้อ อย่างไรก็ไม่เกิดความสุข จะทำอย่างไรให้ชีวิต   ตนเองตรงนี้มีความสุข  แล้วสามารถเรียกความสุขให้เกิดขึ้นมาอยู่ในตัวเราได้  ก็คือยอมรับสภาพความเป็นจริงตรงนี้ให้ได้  แล้วเราก็จะพลิกจากความเบื่อหน่ายให้เป็นความสุขได้เหมือนกัน  บางคนทำไมแค่นั่งอยู่นี้จึงเกิดความสุขสันต์ จึงเกิดความยินดีปรีดา  แต่ทำไมคนนั่งข้างๆ เรากลับเกิดความหน่ายท้อ ความกลัดกลุ้ม ความเบื่อหน่ายง่วงเหงาหาวนอน  เพราะว่าใจคนหนึ่งยอมรับ ชอบ รักที่จะฟังเรื่องธรรม  แต่ใจอีกคนหนึ่งเบื่อหน่าย ไม่ชอบเรื่องธรรม  สองคนที่มานั่งอยู่ด้วยกันจึงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  เหมือนมองฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงย่อมเห็นความแตกต่าง  เหมือนคนที่นั่งข้างๆ เรากับตัวเราย่อมไม่เหมือนกัน  คนเรานั้นเกิดมาเหมือนกันหมด มีร่างกาย มีชีวิต  แต่มีจิตใจที่แตกต่างกัน  จิตใจที่แตกต่างกันจึงทำให้สีหน้าที่ปรากฏแตกต่างกันไปด้วย  คนที่รู้จักยอมรับเปิดใจกว้าง อารมณ์ดี แจ่มใสใบหน้าย่อมยิ้มแย้ม เบิกบาน ใบหน้าย่อมสงบสุข  แต่คนที่มีชีวิตที่กลัดกลุ้มวิตกกังวล  ใบหน้าย่อมเป็นทุกข์หมองเศร้า  แล้วตอนนี้อยากดูกระจกไหม  จะได้รู้ว่าจิตใจตอนนี้ท่านเป็นอย่างไร  หากทุกขณะที่เรามีชีวิต ที่เราดำเนินชีวิต  หากเป็นไปได้ท่านลองติดกระจกไปพร้อมกับตัวเองด้วย  เวลาเกิดอารมณ์อย่างไร หยิบกระจกขึ้นมามอง  เวลาสุขอย่างไร หยิบกระจกขึ้นมาดู  เวลาทุกข์เช่นไร หยิบกระจกขึ้นมาดู  แล้วตอนนั้นท่านจะเห็นคนที่แต่งหน้าเป็นพันหน้าเลย  ใครปั้นหน้าเราไม่เก่งเท่าตัวเราปั้นหน้าเราเอง  ปั้นได้ทุกสภาวะ ปั้นได้ทุกแบบ  อย่าไปมองเขามองที่ตัวเรา
ท่านจงหลีเฉวียน : เมื่อได้รู้เช่นนี้ใครที่ยังไม่มีใบหน้าติดรอยยิ้ม  ขอให้เริ่มยิ้มขึ้นได้แล้วดีหรือไม่ (ดี)  การยิ้มไม่ใช่เรื่องยาก  รอยยิ้มที่ดีคือรอยยิ้มที่จริงใจ   ขอให้ทุกท่านมีรอยยิ้มที่ดี  แม้ไม่มีกระจกก็ยิ้มได้
ทุกท่านในที่นี้มีความสุขดีหรือไม่          มีความสุขท่ามกลางอากาศที่ร้อน    
อบอ้าวหรือไม่  อันความสุขแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  เพราะฉะนั้นอากาศภายนอกไม่มีผลใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตคนนั้นก็เช่นเดียวกัน  จิตใจและร่างกายนั้นเป็นคนละส่วนกันแต่กลับมีความสัมพันธ์กันอย่างคาดไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่อากาศร้อนจิตใจก็ร้อน  ในยามที่อากาศเย็นสบายจิตใจก็เย็นสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาชีวิตนี้ไม่สมหวังท่านเป็นทุกข์เวลาชีวิตท่านสมหวัง ท่านก็มีความสุขมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนั้นสัมพันธ์กันเช่นนี้ได้อย่างไร  ตลอดเวลาของชีวิตที่ผ่านมาท่านปล่อยให้ปัจจัยภายนอกมีผลต่อจิตใจของท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นเวลาเห็นของที่สวยงาม จิตใจหวั่นไหวอยากจะได้  เป็นเพราะปัจจัยภายนอก   ทำให้จิตใจนั้นสั่นคลอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นเวลาที่บุรุษเห็นสตรีงามก็เกิด   จิตใจฝักใฝ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น ถูกหรือเปล่า (ถูก)
 ถ้าหากว่าท่านสามารถตัดจิตใจเหล่านี้ได้ ท่านนั้นก็จะเป็นเซียนพุทธะได้ในเร็ววัน  แต่ในขณะนี้ทุกๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน เป็นคนธรรมดา  หมายความว่าทุกๆ คนนั้นล้วนมีใจรักกิเลสทั้งสิ้น    ท่านจึงต้องเป็นปุถุชน ทุกๆ วันหาเช้า กินค่ำ
อยากจะเป็นเซียนพุทธะไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่นี้เราให้ไว้ในกลอนบอกว่าเซียนเคียงคู่สิ่งใด  เซียนเคียงคู่ความพากเพียร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อท่าน ตั้งใจที่จะมาศึกษาธรรม ตั้งใจที่จะมาเลิกละกิเลส  ท่านจะต้องมีความพากเพียร ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านหันเซียงจื่อ : เมื่อสักครู่เราได้พูดทิ้งค้างไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ให้ทุกท่านพกกระจกไปทุกขณะ แล้วจะได้ตรวจสอบใบหน้าและจิตใจของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าวันใดวันหนึ่งท่านเกิดลืมกระจก ท่านจะใช้สิ่งใดช่วยตรวจสอบ  จิตใจและใบหน้าของตนเอง  การที่ท่านโมโหท่านจะยอมรับไหมว่าท่านนั้นโมโหท่านจะยอมรับไหมว่าตอนนั้นตัวเองโมโห (ยอมรับ)  แล้วจิตใจนั้นจะมองเห็นใบหน้าตนเองได้หรือไม่ (ได้)  มีกระจกบานหนึ่ง  บางครั้งเราไม่ต้องพกมันไป  ไปที่ไหนเขาก็ช่วยตรวจสอบ ช่วยวัดเราได้ว่าเรากำลังเป็นคนเช่นไรหรือเราเป็นคนมีจิตใจแบบไหนคือกระจกแบบใด (คนรอบข้าง)  คนรอบข้างช่วยตรวจสอบท่าน ช่วยวัดว่าท่านเป็นคนเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมตอบว่าใช่  เราถามให้ท่านพูด ให้ท่านคิดจะได้ไม่เบื่อ และจะได้ดูว่าสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดนี้เป็นการท่อง เป็นการเตรียมมาหรือเปล่า ดีหรือไม่ (ดี)  ท่านตรวจสอบเรา เราตรวจสอบท่าน  แล้วทำไมถึงเชื่ออย่างนั้นว่าคนสามารถช่วยตรวจสอบเราได้  ช่วยวัดเราได้ว่าเราเป็นอย่างไร  อย่างเช่นเราชอบสิ่งใดเรามักจะอยู่ใกล้กับสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราชอบเสื้อผ้าสวยๆ เรามักจะอยู่ท่ามกลางร้านค้าตลาดหรือว่าร้านที่ขายเสื้อผ้าล่ะ ก็ต้องร้านที่ขายเสื้อผ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราชอบนินทาว่าร้าย  คนรอบข้างเราก็ชอบนินทาว่าร้ายพูดใส่ไคล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราชอบพูดไม่เพราะ  คนที่อยู่รอบข้างเราพูดเพราะหรือพูดเช่นเดียวกับเรา (พูดเช่นเดียวกับเรา)  มนุษย์มีจริตอย่างไร  จริตแบบนั้นย่อมถ่ายทอดและนำพาตนเองไปสู่หนทางนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปกติชีวิตของมนุษย์หรือชีวิตของทุกท่านมีจริตที่ฝักใฝ่กันด้านใดบ้าง  ส่วนมากจะเป็นด้านลาภยศ ชื่อเสียง ความสนุกสนาน ความอิสระเสรี ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่จะมีจิตใจฝักใฝ่หาคุณธรรมนั้นนับเป็นเรื่องเดือดร้อน เมื่อทุกข์ยาก เราถึงจะฝักใฝ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแก้เมื่อผลเกิดย่อมไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต เราจะแก้ไขเราต้องรู้จักแก้ไขตั้งแต่ต้น เราอย่ามองข้ามอันตรายเล็กๆ น้อยๆ  อันตรายจะเกิดขึ้นจริงได้ก็เพราะคนเรามองข้ามพื้นฐานเล็กๆ ข้อบกพร่องที่ผิดพลาดน้อยๆ จึงทำให้เกิดความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่และเรื่องราวที่น่ากลัวบานปลายขึ้นมาในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราอยู่ในสังคมการเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว การเอาแต่ชนะผู้อื่นย่อม    ไม่เป็นประโยชน์ เพราะการเอาแต่ชนะและคิดว่าตนเองแน่ย่อมมักพาให้ตนเองพบแต่ศัตรู และเรื่องราวที่ไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่การรู้จักเปิดใจกว้างพร้อมยอมรับและรับรู้ว่าตนเองสู้ได้ สู้ไม่ได้ การยอมรับตนเอง การรู้จักตนเองย่อมนำพาให้ตนเองพบกับความเป็นจริงและพบกับหนทางที่แจ่มใสได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่คิดว่าตนเองแน่ ไม่ยอมฟังใคร  คิดว่าความคิดเห็นของตนเองถูกต้องที่สุด ของคนอื่นนั้นผิดหมด ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นกับผู้อื่นหรือรับฟังความคิดเห็นของผู้ใด  นานๆ เข้าคนๆ นี้ย่อมยากที่จะได้รับฟังเรื่องที่เป็นจริง เรื่องที่  ถูกต้อง  หนักเข้าไปอีกเขาจะมีแต่คนที่โป้ปดมดเท็จอยู่รอบข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนสำนวนที่กล่าวว่า  “ยาดีย่อมขมปาก คำเตือนมักขัดหู”  เพื่อนที่จะเป็นเพื่อนแท้คือเพื่อนที่กล้าตักเตือนข้อผิดพลาดของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่จะนำพาชีวิต นำพาจิตใจเราไปสู่หนทางที่แท้จริงได้ต้องกล้าชี้ข้อบกพร่องในตัวเรา ต้องกล้าพูดว่าอะไรดี อะไรไม่ดีของเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การอยู่บนโลกนี้นั้นหากเราไม่รู้จักวางใจให้ดีแล้ว ย่อมง่ายที่จะพลั้งเผลอ ง่ายที่จะปล่อยตามอารมณ์และจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอารมณ์ที่เราชอบพลั้งเผลอและปล่อยไปตามจิตใจเป็นอารมณ์อะไรกันบ้าง (อารมณ์โกรธ)  โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์โกรธ  ทุกคนมักจะปล่อยอารมณ์โกรธได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่เราก็รู้ว่าโกรธแล้วย่อมนำผลร้ายมาสู่ตน  โกรธแล้วคนที่เจ็บก่อนก็คือตน ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เพราะอะไรเรารู้ตัวเช่นนี้เราถึงยับยั้งไม่ได้  ควบคุมตนเองให้เอาชนะอารมณ์    ไม่ได้วางเหนืออารมณ์ เพราะเราง่ายที่จะเคยชิน ง่ายที่จะปล่อยไปตามอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรามักจะปล่อยชีวิตไปตามอิสระ นึกอย่างไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น  ตอนนี้โกรธก็ปล่อยให้โกรธไม่อยากเก็บไว้  เก็บไว้ก็มีแต่อัดอั้นตันใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเรารู้ว่ามี ทำไมเราไม่รู้จักล้างให้เป็น  ความโกรธเป็นเหมือนสิ่งสกปรก มีแล้วก็ทำให้ขุ่นมัว ทำไมไม่รู้จักล้าง มือเวลาสกปรกยังรู้จักล้าง  ใจเมื่อแปดเปื้อนธุลีสิ่งมึนมัว ทำไมเราไม่รู้จักขจัดทิ้ง ล้างทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราเมื่อมีชีวิต เรามักแสวงหาหรือไปตามใจปรารถนาของตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้เราถามใจท่านว่าอยากอะไร ปรารถนาสิ่งใดในตอนนี้ (ความสุข, ความหลุดพ้น, อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น)  ในที่นี้คงมีความปรารถนาและความต้องการแตกต่างกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดทีละอย่างดีไหมตอนนี้เขาตอบสามคน มนุษย์เราทุกคนปรารถนาซึ่งความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อสักครู่เราได้ฟังท่านจงหลีเฉวียนพูดไว้ว่าความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากจิตใจ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากภายนอกใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าภายในจิตใจของเราทำให้ว่างเปล่าแล้วคอยเติมความสุขให้เต็ม เราจะมีวันสมกับความสุขไหม สามารถจะเติมความสุขนี้ได้เต็มไหม คิดว่าจะเติมได้เต็มไหม (เต็ม,ไม่เต็ม) มีทั้งเต็มและไม่เต็ม ท่านคิดว่าจะเติมให้เต็มไหม (เติมให้เต็ม) คือการที่เราพยายามไขว่และคว้าหาความสุข ถ้าเกิดว่าการพยายาม    ไขว่คว้าหาความสุขแต่ภายในจิตใจเราไม่เคยมีความสุข แม้จะเติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับมนุษย์เราอยากจะมีความต้องการ มีเงิน มีทรัพย์สิน แต่ถ้าเราทำจิตใจภายในให้กลวงเปล่า เติมอย่างไรย่อมไม่มีวันเต็ม จนกว่าภายในจิตใจของเรามีความรู้สึกว่าพอแล้ว หยุดแล้ว สุขแล้ว คงที่แล้วนั่นแหละใจเรา จะค่อย ๆ เต็มขึ้นมาเองโดยฉับพลันทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจตรงนี้ไหม  เราอธิบายให้ง่ายขึ้นไปอีกนิดหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนให้ท่านจงหลีเฉวียนคุย           กับทุกท่าน ความสุขภายนอกที่ได้มาด้วยลาภยศหรือเงินทองชื่อเสียง แม้เราจะได้มาด้วยความต้องการที่เกิดจากภายใน เมื่อเราได้มาหนึ่งครั้งเรารู้สึกว่าความสุขนั้นชั่วคราวหรือว่าเป็นความสุขที่นิจนิรันดร์ (ชั่วคราว) จนกว่าความสุขนั้นเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเราจนรู้สึกพอแล้ว หยุดแล้ว ความสุขนั้นจึงจะเปลี่ยนจากชั่วคราวเป็นนิจนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เฉกเช่นเดียวกันแม้เราจะมีความสุข ความสุขนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่มีเงินบาทหนึ่ง หรือว่ามีเงินแค่สิบบาท แต่ถ้าใจเรารู้สึกอิ่มในความสุขหนึ่งบาทหรือสิบบาทนั้น แม้ว่าความสุขภายนอกจะมาเติมความสุขนั้นก็ยากจะมีผลอะไร เพราะใจเราสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือว่าแม้ภายนอกจะได้มามากเท่าไร แต่ถ้าจิตใจเราทำให้ว่างเปล่าไร้ ก็ไม่มีวันสุข ไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริง การจะหาความสุขที่แท้จริงได้ ต้องเริ่มต้นจากใจเรา รู้จักพอ รู้จักสุขแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น (ทำความดี) ทำความดีแน่ใจหรือไม่ว่าทำความดีจะได้ชีวิตที่ดีขึ้น (แน่ใจ) การที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ทำได้อย่างเดียวคือการแก้ไขตัวเอง ปัญหาใดๆ ที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดี แก้ไขสภาพ     แวดล้อมที่เราเป็นอยู่โดยเริ่มจากตัวเรา อย่าเกี่ยงว่าสภาพแวดล้อมที่เราอยู่นั้น ไม่ดี แต่ว่าให้เรานั้นไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ให้ได้ เพราะว่าเราเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีทุกอย่างก็ดีขึ้นใช่ไหม ชื่อเสียง ลาภยศหรือเงินทองนั่นไม่ใช่ชีวิตที่ดีขึ้น รู้ไหม
ตอนนี้ทุกท่านยังทำท่าอมทุกข์อยู่เลย นั่งที่นี้มีความสุขที่แท้จริงหรือไม่ ความสุขที่แท้จริงนั้นออกมาจากใจมิใช่หรือ ทุกท่านลองเอาใจของท่านออกมา แสดงถึงความปิติสุขหน่อยดีไหม ความสุขทำอย่างไรบ้าง การนั่ง นั่งให้สง่างาม ตรงๆ ตรงโดยธรรมชาติไม่ต้องฝืน มือไม่กอดอก เพราะมือที่กอดอกนั้นแสดงถึงความไม่เข้าใจ ไม่เปิดใจของตัวท่านเอง มีรองเท้าให้ใส่ไว้ ใบหน้าประพรมด้วยรอยยิ้ม หากใจมีความสุขจริงๆ ก็จะยิ้มออกมาได้อย่างธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครยังทำไม่ได้แสดงว่าจิตใจยังไม่มีความสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าใจและกายต่างคนต่างอยู่ก็จริงแต่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อัน สุดท้าย ไม่แสดงกิริยาง่วงเหงาหาวนอน เปิดปากหาวโดยที่ไม่ปิดปาก เป็นไหม เราต้องเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เมื่อเป็นบุรุษก็เป็นบุรุษที่สง่างาม เมื่อเป็นสุภาพสตรีก็เป็นสตรีที่อ่อนโยนนิ่มนวล ทำได้ไหม (ได้) การนั่งสามวันนี้จะดูแล้วทรมานยิ่ง หรือจะดูแล้วสบาย ๆ ผ่านไปสามวันดั่งเซียนพุทธะ ล้วนอยู่ที่ท่านนั้นเอาจิตใจออกมาช่วยหรือไม่ ถ้าทำแต่กายไม่เอาใจออกมาช่วยใจย่อมเมื่อยล้า ในที่สุดแล้วไม่มีสมาธิที่จะฟัง แต่หากท่านนั้นมีจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นปิติสุขท่านย่อมฟังสามวันนี้ผ่านไปอย่างสบาย
เมื่อสักครู่นี้พูดถึงความพากเพียรใช่หรือไม่ (ใช่) ความพากเพียรนั้นมาอยู่คู่กับเซียนพุทธะได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนพุทธะที่มีความเมตตา เมื่อเป็นนักเรียนเรียนหนังสืออยากได้ที่หนึ่งต้องอาศัยความพากเพียรหรือไม่ (อาศัย) เมื่อเป็นคนอยากจะได้หน้าที่การงานที่สูงส่งตัวเองจะต้องมีความพากเพียรไหม (มี) ใครที่ไม่มีคุณสมบัติ ความสามารถอันแท้จริงก็จะไม่สามารถจะไต่เต้าขึ้นไปยังที่สูงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นในครานี้เรามาที่นี่เราอยากให้ท่านพากเพียรไปเป็นพุทธะ มิใช่ปุถุชนธรรมดาสามัญ การที่จะข้ามขึ้นไปถึงเป็นเซียนพุทธะนั้น ต้องพากเพียรอย่างหนัก ใช่หรือไม่ (ใช่) อันความทุกข์ที่เจอมาในโลกที่ว่าทุกข์แล้ว การที่เราฝึกเป็นเซียนพุทธะนั้นอาจจะทุกข์เสียยิ่งกว่า ท่านจึงต้องมีใจที่กว้างใหญ่ไพศาล รู้จักที่จะอภัยคนผู้อื่นจึงจะสามารถอภัย   ตัวเองได้ ท่านจะต้องมีใจเมตตาที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงจะสามารถที่จะหยุด  การกินเนื้อสัตว์ได้ ท่านจะต้องมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีช่วยผู้อื่นด้วยปัญญา       อันด้วยท่านนั้นมีปัญญาสูงส่งยิ่ง ฉะนั้นการพากเพียรเป็นพุทธะนั้นจะต้องอาศัย  ตัวท่านเองด้วยจิตใจอันปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่ใช่จิตใจที่หนักอึ้ง อึมครึมเหมือนฝนจะตกกระนั้น ทุกๆ ท่านนั้นมีจิตใจเพียงดวงเดียว แต่ในขณะเดียวกันกลับคิดไปได้หลายอย่าง คิดไปได้หลายเรื่อง ในสิ่งนี้ท่านจะต้องควบคุมให้ลดน้อยถอยลง ให้ตัวท่านนั้นมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวเสียก่อนจึงจะฉุดช่วยผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ การพากเพียรนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่เราจะมาพากเพียรกันนั้นท่านต้องมีความมั่นคง ความมั่นคงเกิดได้ด้วยสิ่งใด (ความตั้งใจ )
เราน่ากลัวกระนั้นหรือ  ถ้าหากว่าเราน่ากลัวแล้วทุกท่านถ้าได้ดูกระจก  สักครั้งจะรู้ว่าทุกท่านนั้นน่ากลัวกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ในหนึ่งนาทีคิดไปได้หลายอย่าง แล้วในหลายอย่างนั้นก็มีความคิดที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) และในหนึ่งความคิดของท่านนั้นมีความคิดที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วยจึงบอกว่าความคิดของท่านนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความคิดของเราอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) อันว่าความคิดอยู่ภายใน การกระทำอยู่ภายนอก ในขณะนี้ท่านจึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วท่านมีความน่ากลัวเท่าไร การพากเพียรเกิดด้วยสิ่งใด (ความขยัน, ความอดทน) อันความพากเพียรนั้นเกิดได้ด้วยท่านนั้นมีความเข้าใจ เมื่อท่านเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีท่านจึงออกแรงที่จะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความเข้าใจเกิดได้ด้วยสิ่งใด  ความเข้าใจเกิดได้ด้วยท่านนั้นศึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังสามวันนี้ที่ท่านนั้นได้กระทำอยู่ก็เรียกว่าการศึกษาแต่ว่าศึกษาได้เข้าใจเท่าไหร่ แม้ว่านั่งอยู่ด้วยกันในหนึ่งชั้นคนจำนวนมาก แต่อาจจะมีคนเข้าใจเพียงครึ่งเดียวก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นเป็นเพราะเหตุใด นั่นเป็นเพราะว่าท่านนั้นยังไม่มีจิตใจที่ศรัทธาเชื่อมั่นพอ   ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นความมั่นคงนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อท่านนั้นได้มี  ความจริงใจในการศึกษาเท่านั้น สิ่งต่างๆ ก็จะเกิดตามท่านมาเอง  ฉะนั้นหวังว่าสามวันนี้เมื่อท่านจริงใจศึกษาอยู่ที่นี่ จึงไม่เป็นการเสียแรงเปล่าที่ท่านนั้นได้มานั่งฟัง ความพากเพียรนั้นเป็นสิ่งที่พุทธะเบื้องบนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์นั้นควรมีทั้งสิ้น ท่านมานั่งอยู่ที่นี่ในขณะนี้มีความร้อน ต้องใช้สิ่งหนึ่งเรียกว่าความอดทน ความอดทนนั้นช่วยอะไรได้ ในการจะทำงานสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุล่วงต่อไปได้ ท่านนั้นต้องอาศัยความอดทน ความอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ความอดทนในความร้อนจำเป็นต้องมีไหม (มี) เมื่อมีความอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้  ชีวิตวันข้างหน้าก็ไม่ต้องห่วง ท่านนั้นก็จะสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดมุ่งหมายของท่านได้เอง แต่หากวันนี้ความอดทนเรื่องเล็กน้อยไม่มีเกิด วันหน้าจะสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหันเซียงจื่อ : มีสำนวนไทยกล่าวไว้ว่า  “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”  แล้วตอนนี้ท่านเป็นอย่างไร คับที่หรือคับใจ (คับที่)  ไม่คับที่แต่คับใจ ใช่หรือไม่     (ไม่ใช่)  ขอให้ไม่ทั้งสองนะ  เพราะที่นี้ก็กว้างมาก แล้วใจท่านก็กว้างเช่นกัน     ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินว่าเมธีบนโลกมนุษย์ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นคนใจกว้าง  ใจกว้างอย่างนี้ก็ต้องยอมรับเราทั้งสองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้เราจะดูเหมือนเด็กและก็มีคนที่เป็นผู้ดำเนินรายการกล่าวว่าเป็นพุทธะ เป็น    สิ่งศักดิ์สิทธิ์  แต่ภายในใจก็เกิดความแย้งว่าไม่น่าใช่ ไม่น่าเชื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วอย่างนี่จะเรียกว่าใจกว้างหรือเปล่า ไม่เรียกว่าใจกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ……
ท่านเคยต้องทำงานร่วมกับหัวหน้าหรือนายใหญ่สักคนหนึ่ง โดยที่ตัวท่านเองต้องเป็นลูกน้อง เคยไหม (เคย)  แล้วท่านทำอย่างไรเมื่อหัวหน้านั้นทำอะไรก็ไม่ถูกใจเรา ทำอะไรก็ขัดใจเราไปตลอด เราจะทำอย่างไร  อย่างแรกระเบิดความรู้สึกออกมาเลย  กับอีกอย่างหนึ่งทนให้ได้ กับอีกแบบหนึ่งทนไม่ไหวก็เข้าห้องน้ำระบายความเครียด ความอัดอั้น ทนได้แล้วก็กลับออกมาสู้ใหม่  มนุษย์เรามักเป็นแบบไหนกัน  ตัวท่านเป็นแบบไหนกัน  ไม่เป็นหนึ่งในสามนี้ใช่หรือไม่
ถ้าอยู่ในชีวิตมนุษย์เรา ไม่มีเรื่องอะไรที่จะถูกใจท่านไปหมด ที่จะพร้อมสมบูรณ์ไปทุกอย่าง เรามีชีวิตได้มาล้วนต้องเสียไป  ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ แม้เราจะทำอะไรก็ได้ตามใจเราไปทุกอย่าง แต่เรื่องบางเรื่องไม่ใช่จะถูกใจเราไปเสียหมด ใช่หรือไม่  แล้วเรื่องที่ได้มานั้นก็คือการเสียเวลาของชีวิตไป หากใจเรา     ไม่ยอมรับ เรานั้นต้องได้เรื่องเสียไปอย่างน่าทุกข์ น่าเศร้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราบอกว่าในชีวิตของคนเรานี้ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์พร้อมไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และไม่มีอะไรที่จะถูกใจเราไปหมดทุกอย่าง บางครั้งเราอยู่บ้าน พ่อแม่ตามใจเราไปหมดทุกอย่าง  แต่ออกข้างนอกบ้าน เพื่อนไม่ตามใจเรา ใช่หรือไม่  บางครั้งเราอยู่บ้าน เพื่อนตามใจเราทุกอย่าง แต่พ่อแม่ไม่ตามใจ ใช่หรือไม่  หากการมีชีวิตคือการเสียเวลาของชีวิต การได้มาสิ่งหนึ่งก็ต้องเสียไปสิ่งหนึ่ง  แล้วเราจะหวังทุกๆ อย่างให้ได้ตามที่เราต้องการเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ทุกๆ วันนี้เราต้องเสียเวลาแห่งชีวิตไปทุกขณะ เมื่อเราไม่สมหวังเราก็จะเกิดทุกข์ เมื่อเราสมหวังเราจะเกิดความยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำ   อย่างไรให้เมื่อไม่สมหวัง เราจึงเกิดความสุขได้  นั่นก็คือการเปิดใจยอมรับ        ใช่หรือไม่ (ใช่)  และรู้จักควบคุมตน เพราะการปล่อยตนตามอิสระไม่ใช่จะให้คุณ บางครั้งก็ให้โทษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วโดยปกติชีวิตของเรามักปล่อยไปตามอิสระ หรือรู้จักควบคุมตนกัน  มักจะถนัดปล่อยไปตามอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อครู่ท่านจงหลีเฉวียนกล่าวไว้ว่าต้องนั่งให้ตรง ไม่นานท่านก็เผลอนั่งพิงพนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเรามีชีวิต เราต้องรู้จักควบคุมตนให้เป็น ไม่ทำผิดพลาด เผลอสักพักหนึ่งเราก็ผิดไปแล้ว เราก็พลาดไปแล้ว เราก็ทุกข์ไปแล้ว     เมื่อผิดไปแล้ว พลาดไปแล้ว เราเสียเวลากับชีวิตไหม (เสียเวลา)  ฉะนั้นถ้าตั้งแต่มีชีวิตเรารู้จักควบคุมตนเองให้เป็นตั้งแต่แรก  การที่จะสูญเสียไป ความผิดย่อมน้อย  ความถูกและความสุขย่อมประสบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ผู้บำเพ็ญธรรมนั้นก็คือผู้ที่รู้จักแบ่งเวลา  การแบ่งเวลาได้นั้นดีทั้งสุขภาพร่างกายและดีทั้งสุขภาพจิตใจ  ชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีเวลา   ไม่มากนัก  การแบ่งเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับทุกท่าน  การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ลำบาก มีความลำบากมาก  แต่ยิ่งมีความลำบากมากเท่าไร  ท่านยิ่งต้องแบ่งเวลาให้เป็นมากเท่านั้น
หากว่าท่านนั้นต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต หน้าที่ทางโลกก็ขอให้ท่านนั้นทุ่มเทจิตใจกระทำ แต่อย่าให้เกิดกิเลสเป็นเงาตามมา  อย่าได้เกิดเวรกรรมเป็นเงาตามตัว  หากว่าท่านนั้นต้องการจะสำเร็จไปถึงนิพพานแดนฟ้า    ขอให้ท่านนั้นลงแรงที่จิตใจของตัวเราเอง  เพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่  ท่านสามารถที่จะลงแรงจิตใจของท่านให้สะอาดได้มากเท่าไร  ท่านก็จะได้สิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้นเท่านั้น
ความผิดต่างๆ ที่มนุษย์นั้นก่อกระทำขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่ผิดมากหรือผิดน้อย  แต่กลับเป็นจิตใจที่คิดกระทำว่าโหดร้ายมากเพียงใด  โหดร้ายมากเท่าไรความผิดบาปและกรรมนั้นก็จะมากขึ้น  หากว่าท่านนั้นไม่มีจิตใจที่เจตนามาก แม้ว่าเป็นกรรมหนักแต่บาปกรรมที่ได้รับผลนั้นก็จะเบาลง  ท่านเชื่อสิ่งนี้ไหม  สิ่งนี้เป็นความแยบยลของบุญและกรรมที่ท่านนั้นไม่เคยรู้จักเลย
มีคนบอกว่าถ้ากินเนื้อวัวจะเป็นบาปมาก แต่กินเนื้อไก่จะเป็นบาปน้อย เพราะว่าวัวตัวใหญ่และไก่ตัวเล็ก ใช่หรือเปล่า  สมมติว่าให้ฝ่ายชายเป็นวัว ให้ฝ่ายหญิงเป็นไก่ เพราะว่าฝ่ายชายนั้นรูปร่างใหญ่กว่า ฝ่ายหญิงรูปร่างเล็กกว่า ใช่หรือไม่  ถามว่าถ้าหากฝ่ายหญิงคิดจะไปฆ่าฝ่ายชายแล้วบอกว่ากรรมเยอะ  ใช่หรือเปล่า  ฝ่ายชายคิดฆ่าฝ่ายหญิงเพราะว่าฝ่ายหญิงตัวเล็กกว่า กรรมคงจะนิดเดียว ใช่หรือไม่  ต่างมีชีวิตเพียงหนึ่งชีวิต  อันว่าความตายนั้นเราทดลองไม่ได้  เมื่อท่านตายไปแล้วก็ถือว่าแล้วกัน  กรรมที่ก่อขึ้นย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว    ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่กรรมนั้นจะมากหรือน้อยย่อมอยู่ที่เจตนาในใจของท่านเอง  อย่าบอกว่ากินสัตว์เล็กแล้วกรรมจะน้อยกว่า  หากว่าในขณะที่ท่านต้องการที่จะได้สัตว์เล็กขึ้นมากิน ดังเช่นปลา ไก่ หรือเนื้อสัตว์เล็กๆ แต่ว่าตัวท่านนั้นมีเจตนาที่โหดร้าย  ถามว่าท่านจะมีบาปไหม (มี)  ในขณะที่ท่านนั้นกำลังทานสัตว์ใหญ่อยู่ แต่ท่านนั้นไม่มีเจตนาเลย ท่านไม่รู้ ถามว่าท่านมีกรรมไหม (มี)  มากหรือเปล่า ไม่มากแต่ก็พอที่จะทำให้ท่านนั้นไม่สามารถที่จะก้าวพ้นวัฏสงสารนี้ไปได้ แม้เพียงสัตว์ตัวเดียวก็ตาม  ฉะนั้นชีวิตนี้ของท่านนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแก้ไขตนเองนั้นมีได้หลายอย่าง  บางคนนั้นแก้ไขตนเอง แก้ไขในเรื่องราวที่เกิดขึ้น  อีกวิธีหนึ่งคือการแก้ไขตนเองโดยหลักการ  อีกวิธีหนึ่งคือการแก้ไขในใจของตัวท่านเอง  การแก้ไขนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยท่านมีจิตใจที่จะแก้ไขเท่านั้น  ทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการแก้ไข  เป็นเพราะว่าทุกๆ ท่านนั้นในขณะนี้มีการทำผิดบาปมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องการการแก้ไขหรือไม่ (ต้องการ)  หากท่านไม่แก้ไขท่านก็จะไม่ได้เป็นพุทธะ  หากท่านที่จะแก้ไขแม้จะแก้ไขไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ชื่อว่าเบาบางลง
ความผิดจะร้อยอย่างพันอย่าง โดยมากนั้นเกิดขึ้นจากใจของท่านเอง  ฉะนั้นการแก้ไขที่ใจนั้นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดในขณะเดียวกัน     เชื่อไหม (เชื่อ)  ใจดวงเดียวอันนี้แก้ไขยากที่สุด  การแก้ไขในเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วท่านกลับไปแก้ตัวนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด  ส่วนการแก้ไขในหลักการนั้นท่านจะต้องศึกษาให้เพียงพอ รู้และแน่ใจจึงจะทำได้  ดังเช่นหากว่าท่านว่าเกิดโมโหไปชกตีกับใครเข้า  หากมีความสำนึกได้ก็กลับไปขอโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝ่ายตรงข้ามอภัยให้แล้วก็ถือว่าเป็นการแก้ไขที่จบแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อได้รับการอภัยจากอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ถือเป็นการจบกัน  การแก้ไขชนิดนี้ง่ายไหม (ง่าย)  หากว่าท่านไปทำให้พ่อแม่น้ำตาไหลด้วยความเสียใจ  ท่านกลับไปกราบขอโทษพ่อแม่  พ่อแม่อภัยให้แล้วก็ถือว่าจบ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แน่นอนความผิดอันนั้นถือว่าจบกัน  แต่ทว่าการแก้ไขที่หลักการทำอย่างไร การแก้ไขตามหลักการ     จะเร็วกว่าตรงที่ว่าท่านต้องมีสติตามให้ทัน  ท่านนั้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสติ สมาธิแล้ว  ท่านได้ศึกษาถ่องแท้แล้ว  ท่านก็ไม่เผลอที่จะโกรธง่าย
อันว่าความโกรธนั้นเปรียบเสมือนไฟ  ท่านก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับไฟนี้  เมื่อท่านแก้ไขความโกรธนี้ได้  ก็ถือว่าเป็นการจบเช่นเดียวกัน  แต่การแก้ไขที่ใจยากกว่านั้น  เมื่อความโกรธเกิดขึ้นทันทีทันใด  ท่านจะต้องรู้สึกตัวในขณะนั้น  ความโกรธนั้นก็จะละลายหายไป ไม่เกิดแม้แต่ในความคิดคำนึง  การแก้ไขเช่นนี้ยากกว่าหรือไม่ (ยากกว่า)  แต่ว่าใจนี้เป็นของท่าน จึงบอกว่า   จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ใช่  อยู่ที่ตัวท่านเองนั้นรับที่จะแก้ไขหรือไม่
หากท่านมีใจที่จะแก้ไข  แม้ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดท่านก็จะป่ายปีนถึง  แต่หากว่าท่านไม่มีใจ  แม้ภูเขานี้สูงเท่าคนๆ เดียว  ท่านก็ปีนไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างจึงอยู่ที่ว่าท่านนั้นมีใจที่จะแก้ไขตนเองมากเท่าไร      ความเคยชินต่างๆ อันเป็นนิสัยของมนุษย์นั้นปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ท่านมีทุกๆ คน   จะแก้ไขได้มากหรือน้อย ขอให้ท่านไปย้อนมองใจของตัวเองแล้วจะรู้ว่าท่านนั้นพร้อมที่จะแก้ไขหรือยัง
ท่านหันเซียงจื่อ : หากวันนี้เรามาถามท่านพร้อมจะบำเพ็ญไหม  วันนี้ก็คงยัง ไม่พร้อม ใช่หรือไม่  หากวันนี้ถามว่าทุกท่านพร้อมจะศึกษาธรรมไหม พร้อมหรือไม่ (พร้อม)  วันนี้ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม  เพราะวันนี้คือการมานั่งศึกษาหลักธรรม  ธรรมสอนให้เรารู้จักชีวิต  แล้วชีวิตแตกต่างจากสรรพสิ่งบนโลกนี้ไหม  ชีวิตกับสรรพสิ่งบนโลกนี้แตกต่างกันไหม (ไม่แตกต่าง)  ถ้าบางคนที่ยังไม่เข้าใจว่า    แตกต่างหรือไม่  คราวนี้ลองนั่งแล้วควบคุมใจให้สงบ  แล้วมองวันเวลาที่ผ่านไป  มองฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน  มองใบไม้ที่ร่วงหล่น  หากหันกลับมามองชีวิตของเรา  ชีวิตของเราล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือดูง่ายๆ เหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นไปตามอายุขัย  เมื่อใบไม้ร่วงหนึ่งใบก็ย่อมมีใบอ่อนที่แตกยอดออกมาอีกหนึ่งใบ  เมื่อชีวิตเราล่วงไปหนึ่งปีหรือหนึ่งขวบกาล  ก็ย่อมมีอายุเพิ่มมาอีกหนึ่งปี หนึ่งขวบกาล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้น สรรพสิ่งของชีวิตย่อมมีการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับสูญ  ในท่ามกลางเกิด เปลี่ยนแปลงและ   ดับสูญ เราสามารถยื้อยุดสิ่งใดไว้กับเราได้บ้าง เราสามารถหน่วงเหนี่ยว เกาะกุม หรือรั้งสิ่งใดให้อยู่กับตนเองได้บ้าง  หากมองด้านวัตถุ เรายึดถือ เราหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดได้บ้าง (ไม่ได้)  ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเรารักร่างกาย ร่างกายนั้นหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
สรรพสิ่งสอนให้เรารู้ว่า เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ  เมื่อมีพบย่อมมีพราก  ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน  บ่อยครั้งที่เราทำใจไม่ได้  เราอยากรั้งชีวิตของเราไว้  เราอยากรั้งอายุขัยของเราไว้  แต่เรารั้งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมชาติสอนให้เข้าใจชีวิตว่า ชีวิตของเราต้องพบสัจธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือความเที่ยงนำไปสู่ความไม่เที่ยง  ความมีนำไปสู่ความไร้  แล้วในทางกลับกัน  ความไร้นำไปสู่ความมี  ความ      ไม่เที่ยงนำไปสู่ความเที่ยง ซึ่งวนเวียนเป็นวัฏจักร ชีวิตของมนุษย์ก็อยู่ในวัฏจักรนี้  หากเราเข้าใจเราย่อมวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนี้ได้อย่างเป็นสุข แต่หากเราไม่เข้าใจการผ่านของวัฏจักรนี้ ย่อมผ่านด้วยความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดพร้อมกับคราบน้ำตา  แต่ถ้าเมื่อใดเราเข้าใจวัฏจักรนี้ ยอมรับวัฏจักรนี้ได้  เมื่อยอมรับได้ เข้าใจได้  เมื่อนั้นเราย่อมเข้าใจชีวิต  และเมื่อนั้นเราย่อมเข้าใจสรรพสิ่ง  เมื่อ  เข้าใจชีวิต เข้าใจสรรพสิ่งแล้ว  เราย่อมเข้าใจธรรม  เมื่อใดที่เราเข้าใจธรรม    ค้นพบธรรมในตัวแล้ว เมื่อนั้นเราสามารถพบความเป็นพุทธะในตัวตนได้  เหมือนดังสำนวนที่กล่าวว่า “ที่ใดมีธรรม ที่นั่นย่อมมีพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่”  แต่ตอนนี้เรายังไม่พบธรรมในตัว  เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจสรรพสิ่ง  เมื่อใดที่เราเข้าใจชีวิต เข้าใจสรรพสิ่งและยอมรับได้  แล้วพร้อมเดินไปด้วยความเป็นสุข  เมื่อนั้นเราจะพบสัจธรรมของชีวิต  พบคุณธรรมภายในตัวตน  เมื่อเราพบคุณธรรม เราก็พร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม  เมื่อพร้อมที่จะบำเพ็ญธรรม เราย่อมพร้อมที่จะฝ่าฟันความยากลำบาก และนำพาชีวิตตนเองไปสู่ความหลุดพ้นได้  นี่คือหลักการง่ายๆ ในการรู้จักชีวิต  แล้วนำพาชีวิตไปสู่ความหลุดพ้น
แต่มนุษย์ทุกวันนี้ ชีวิตยังไม่สนใจ  ความเป็นจริงยังไม่อยากรับรู้  เหมือนตอนนี้ให้รับสภาพการนั่งตรงนี้ให้เป็นสุขได้  ท่านยังยอมรับไม่ได้เลย  แล้วเมื่อท่านต้องไปเผชิญทุกข์ เผชิญความยากลำบาก เผชิญคนร่วมงานที่ขัดใจท่าน เผชิญเพื่อนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน ท่านจะทำอย่างไร  เอาแต่หนีก็ไม่มีวันพ้น  เราจะอยู่กับเขาอย่างเป็นสุขได้อย่างไร หากเราเอาแต่ชนะ เอาแต่ข่มเหง
การจะอยู่กับส่วนรวมได้อย่างเป็นสุขและฉันท์มิตร  นั่นก็คือยอมรับและยอมพ่ายแพ้บ้าง  ถ้าเรารู้ว่าเราสู้ไม่ได้ก็ยอมรับเสีย  คนที่ยอมรับความจริงย่อมอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข และมีความยินดีปรีดา  ชีวิตของเราก็เหมือนชีวิตของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา มีเกิด มีเปลี่ยนแปลงและมีดับ  เมื่อไรที่เรา   เข้าใจการเกิด เปลี่ยนแปลงและการดับ  เมื่อนั้นเราย่อมยอมรับได้  เมื่อเราเข้าใจ ยอมรับได้  เราย่อมมองเห็นสัจธรรมของภายนอก และสัจธรรมของชีวิต  เมื่อเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิต สัจธรรมของภายนอก  เมื่อนั้นเราย่อมค้นพบคุณธรรมในตัวตน ค้นพบคุณธรรมในสรรพสิ่ง  เมื่อเราค้นพบ แล้วเราพยายามใฝ่หาการ   ค้นพบให้ลึกเข้าไปอีก  เราก็จะยิ่งเข้าใจธรรมมากยิ่งขึ้น  เมื่อเรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะพบธรรมในตัวตน พบธรรมในชีวิต  นั่นก็คือการมุ่งมั่น ใฝ่หาซึ่งหลักธรรม  ค้นพบธรรมในตัวตนก็คือการเริ่มต้นค้นพบพุทธะในตัวตน  เมื่อไรมีธรรม เมื่อนั้นมีพุทธะ  เมื่อไรมีพุทธะ เมื่อนั้นมีธรรม
การจะไปให้ถึงธรรมไม่ใช่แค่รู้แจ้งแค่เกิด เปลี่ยนแปลง ดับ  แต่ต้องยอมรับและมีสุขในการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับได้  เมื่อเรามีสุขในการเกิด เปลี่ยนแปลงและดับ พร้อมจะฝ่าฟันชีวิตทุกรูปแบบ ทุกสภาวะ  เมื่อนั้นก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญตน  เมื่อฝึกฝนบำเพ็ญตน ฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากได้ทุกอย่างแล้ว  เมื่อนั้นเราจะรู้แจ้งชีวิต  และเมื่อนั้นเราจะค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตและพุทธะแห่งตัวตน  ดูแล้วอาจจะยากแต่ขอให้ลงมือทำ  หากเรายอมรับชีวิตได้ ยอมรับ  สรรพสิ่งได้  เราย่อมยอมรับธรรมมาอยู่ในตัวตนได้  คนที่เข้าใจธรรม คนที่เข้าใจตัวตน  นั่นก็คือคนที่ยอมรับได้ทุกสภาวะ ปราศจากซึ่งความรังเกียจเดียดฉันท์  พุทธะรับได้ทุกสภาวะ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  นี่คือความเป็นเอกของพุทธะ  เมื่อ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อนั้นย่อมเกิดจิตใจเมตตากับทุกๆ คน
ท่านจงหลีเฉวียน : เป็นธรรมดาที่ทุกท่านนั้น จะเห็นเรื่องการเกิดตาย  เป็นเรื่องน่าชวนหัว เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะฟัง  แต่ดังที่บอกไปแล้วว่า ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น  แม้แต่ตัวท่านเอง  ฉะนั้นสามวันนี้ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ  ขอให้รู้ว่าชีวิตของตนเองนั้น ตนเองต้องเป็นผู้รับผิดชอบ  ไม่มีใครรับผิดชอบให้เราได้     หากวันนี้ท่านเห็น
เป็นเรื่องเล่น  วันหน้าเมื่อท่านเจอแล้ว  ท่านย่อมรู้ว่าท่านยังเอาตัวเองไม่รอด
ชีวิตนี้เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องของการเกิดและตาย  การเกิดมาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์  การตายนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในแดนของสวรรค์และนรก  ตั้งแต่โบราณกาลมานั้นมีอยู่สองทางที่ท่านไปหลังจากที่ท่านนั้นดับสิ้นชีวิตแล้ว นั่นก็คือสวรรค์และนรก  ท่านต้องเลือกไปทางไหนสักทางหนึ่งในสองทางนี้  หากว่าแย่กว่านั้นท่านอาจต้องไปจุติเกิดในสถานที่ที่แย่กว่านี้  หากว่าท่านได้เป็น    ผู้บำเพ็ญเพียร  ท่านก็จะเกิดในทางที่ดีกว่านี้ นั่นก็คือนิพพาน  แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์นั้นขาดสิ่งหนึ่งคือ ความพากเพียร คือความพยายาม  จึงไม่สามารถ    จะค้นหาจิตแท้ที่อยู่ในตนเองพบ  หวังว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่      มีบุญแล้ว จะต้องหมั่นรักษาบุญของตนเอง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไปง่ายๆ
มนุษย์นั้นรู้จักรักษาโอกาสของตนเองอย่างยิ่ง  แต่ส่วนใหญ่นั้นจะทำในสิ่งที่ได้มาซึ่งลาภยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง เงินทอง  ซึ่งในสมัยก่อนนั้นที่เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ก็ทำเช่นนี้เนื่องด้วยไม่เห็นเหตุสำคัญของการที่จะต้องหลุดพ้นไป  ด้วยไม่รู้จักทางแท้  ทุกท่านแม้จะเคยเป็นเช่นนั้น แต่ในบัดนี้ท่านได้รู้ทางแท้แล้ว  จึงหวังว่าจะไม่ปล่อยทิ้งไปง่ายๆ  ด้วยเหตุที่ว่าไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ  อันว่าเท็จแท้นั้นขึ้นอยู่กับใจท่านเอง  สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะจริง แต่ถ้าท่านนั้นไม่นำสิ่งที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดไปปฏิบัติ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้จริงตัวท่านนั่นแหละเท็จ  หากว่า      สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท็จแต่ว่าพูดในสิ่งที่ดีแล้วท่านเอาไปปฏิบัติ  แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเท็จแต่ท่านนั้นก็จะได้เป็นพุทธะที่จริง  อย่างนี้ไม่เป็นการดีหรอกหรือ  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเท็จแท้นั้นขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง  อย่าได้เอาความสงสัยในตัวของเราทั้งสองนั้นไปเก็บ ไปหมกมุ่นไว้ในใจ แล้วทำให้ท่านนั้นไม่ได้มรรคผลนิพพาน ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านหันเซียงจื่อ : ท่านคิดว่าธรรมะมีค่ากับชีวิตไหม (มี)  ถ้าไม่มีค่าก็ไม่ต้องมีหัวข้อศึกษาในชั้นเรียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีค่าป่านนี้สังคมหรือตัวคนก็คง   ไม่เรียกร้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือถ้าไม่มีค่าป่านนี้ตอนที่เราเป็นเด็กๆ  เราก็คง   ไม่ได้ยินพ่อแม่พูดว่าต้องเป็นเด็กดี ต้องกตัญญู  แปลว่าธรรมะมีค่ากับชีวิต  ท่านเคยเห็นเครื่องดนตรีไหม  ฝ่ายชายคงชอบเล่นกีตาร์กัน  กีตาร์แม้จะส่งเสียงได้ไพเราะเพราะพริ้งหรือแม้จะมีราคามูลค่าหลายหมื่นหลายแสน  หรือเครื่องดนตรีอะไรก็ตาม แม้จะมีค่าที่ทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ แต่หากปราศจากนิ้วมือหรือความชำนาญของคน  เครื่องดนตรีนั้นก็ย่อมยากประจักษ์คุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันแม้ธรรมะจะมีอยู่ในชีวิตแต่ถ้าขาดซึ่งคนหรือตัวคนขับเคลื่อนธรรมะให้ปรากฏ  ธรรมะนั้นก็ย่อมยากที่จะส่งเสียงใดออกมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต่างพูดว่าตัวเองนั้นไม่มีดีมากก็ต้องมีดีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้ว่าการจะให้ยอมรับคนใดคนหนึ่ง พี่ก็ไม่ใช่ น้องก็ไม่ใช่ เจ้านายก็ไม่ใช่  เรื่องอะไรจะต้องมายอมรับ ใช่หรือเปล่า  แต่วันนี้เรื่องที่เราคุยกับท่านไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของตน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ แต่แค่ลองคุยกับเราสักนิดหนึ่ง  จะหลอกลวงเราสักครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ชีวิตนี้เหมือนกับความฝัน  อย่าลืมที่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้น  ความฝันอย่างนี้จะเป็นฝันดีหรือฝันร้ายย่อมอยู่ที่ตัวท่านนั้นเลือกกำหนดตัวท่านเอง  อย่าได้เอาชีวิตของเรานั้นไปบนทางที่เราไม่รู้จัก  ทางในโลกียภูมิอันนี้ ในโลกมนุษย์อันนี้  วันข้างหน้าเป็นอย่างไรท่านยังไม่แน่ใจเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะตกต่ำไปถึงขีดสุดหรือจะรุ่งเรืองไปถึงที่สุด  ท่านนั้นยังไม่แน่ใจแต่ขอให้ท่านจง อยู่กับชีวิตปัจจุบันนี้  ให้ท่านรู้จักทำปัจจุบันนี้ให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  ในเมื่อวันนี้มาสู่เส้นทางแห่งพุทธะนี้ก็ขอให้ทุกท่านเอาคำว่าพุทธะเข้าไปใส่ในใจท่าน  เอาแบบอย่างของพุทธะนั้นเข้าไปใส่ในใจท่าน  พุทธะนั้นทำสิ่งที่ดีตลอด  กล่าวในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดีและคิดในสิ่งที่ดี  สิ่งใดที่ว่าไม่ดีนั้นท่านจะทำไปทำไม  ไม่เห็นจะมีประโยชน์ในการที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น  ท่านพูดในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาปากของท่านนั้นเหม็นไป  ทำในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาตัวของท่านนั้นเหม็นไป  คิดในสิ่งที่ไม่ดีก็จะพาใจของท่านนั้นไม่ได้รับความสงบสุข มีความกังวลอยู่เรื่อย  มนุษย์นั้นเวลาทำความผิดจะรู้สึกว่าเหมือนมีใครมองเราอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้จริงแล้วใครกำลังมองท่านอยู่ (ตัวเราเอง)  แท้จริงแล้วผู้ที่มองท่านอยู่ก็คือพุทธะในตัวของท่านเองคอยบอกท่าน เพียงแต่ท่านไม่รู้จักตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าท่านนั้นมีพุทธะอยู่ในตนทุกๆ คน  เพียงแต่จะเลือกฟังพุทธะองค์นี้หรือไม่  ท่านลองพิจารณาดูตลอดมาหนึ่งชีวิตนี้ ท่านถือหลักคำสอนองค์ที่อยู่ในใจของท่านนั้นกี่หนแล้ว จนท่านเองไม่แน่ใจว่าตัวท่านนั้นเป็นคนดีหรือเปล่า เป็นเพราะเหตุที่ท่านไม่เคยฟังเสียงที่อยู่ในใจของท่านเอง  ฉะนั้นหลังจากวันนี้กลับไปขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจเริ่มต้นปฏิบัติตนได้ ดีหรือไม่ (ดี)  รู้จักแบ่งเวลาให้เป็น รู้จักทำชีวิตให้ดี ให้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุขอันแท้จริง ไม่ใช่ให้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุขอันจอมปลอม  อันได้แก่ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง สิ่งบันเทิงเริงใจต่างๆ นี้เป็นสิ่งลวงตาหาจริงแท้ไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หวังว่าทุกท่านคงได้สติตื่นจากความฝันที่ผ่านๆ มาและทำชีวิตจากวันนี้ให้เป็นชีวิตที่แท้จริงดีไหม (ดี)
การเกิดและการดับนั้นขึ้นอยู่ได้ที่ตัวท่านเอง  หลังจากวันนี้ออกไปจะกลายเป็นพุทธะในคราบมนุษย์หรือเปล่าหรือจะกลายเป็นคนที่ไม่ดีในคราบของมนุษย์ก็แล้วแต่ท่านจะเลือก
ท่านหันเซียงจื่อ : ความจริงไม่กี่ชั่วโมง  การจะให้เข้าใจหมดทุกกระบวนนั้นก็คงเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เวลากับตัวเองอีกสักนิดหนึ่ง  วันนี้เสียสละมาหนึ่งวันแล้วยังขาดอีกสองวันก็จะครบ  ขอให้มาให้ครบดีหรือไม่ (ดี)   อดทนในเรื่องเล็กๆ ได้ เรื่องใหญ่จะไปกลัวอะไร  อดทนในเรื่องเล็กไม่ได้ เรื่องใหญ่ก็ยากจะสมปรารถนา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจงหลีเฉวียน : ทองโดนหลอมอย่างไรก็คือทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากท่าน ไม่ใช่ทองท่านก็จะสลายหายไปเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครที่มาไม่ครบสามวันนี้ก็คงจะไม่ใช่ทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ท่านคิดว่าท่านเป็นทอง  แม้จะโดนอากาศที่อบอ้าวหลอมเช่นไร ขอให้ท่านนั้นยังคงอยู่ทั้งสามวัน ดีหรือไม่ (ดี)  ส่วนทองในตัวของท่านนั้นจะเป็นทองแท้หรือทองเทียมก็อยู่ที่ว่าท่านนั้นดีมาก ดีน้อยเท่าไร
ท่านหันเซียงจื่อ : อย่างที่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้น การจะดูหรือมองสิ่งใดนั้นขอให้มองให้เห็นซึ่งแก่นแท้อย่าติดเพียงรูปลักษณ์จอมปลอมสิ่งภายนอก  มิฉะนั้นตาเราเองนั่นแหละจะลวงหลอกเราทำให้เราหมดโอกาสที่จะทำให้เราพบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะมองคนทั้งทีคนๆ นั้นเป็นคนอย่างไรก็ดูที่จุด        มุ่งหมายหรือดูที่ปณิธานของเขา  ถ้าปณิธานเขาสูงส่ง การมุ่งมั่นไปให้ถึงปณิธานเขาไม่เคยย่อท้อ  เมื่อเขาประสบผลสำเร็จหรือประสบความล้มเหลว เขาก็ไม่เปลี่ยนใจในความมุ่งมั่น  แปลว่าจิตใจของคนๆ นี้น่าเคารพ น่าเชื่อถือ      น่านับถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การมองคนหรือการจะดูใครหรือการจะดูธรรมะหรือ   ผู้ปฏิบัติงานธรรม  เราดูเขาเพียงภายนอกเรายากจะรู้ถึงจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราก็ดูที่จุดมุ่งหมายที่เขากำลังจะทำอยู่  การดูจุดมุ่งหมายของเขาจะช่วยทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีเพียงใด มุ่งมั่นแค่ไหน             แล้วเขาทำเพื่อใคร        
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทั้งสองก็คงมาเพียงเท่านี้ ร้องเพลงส่งเป็นการอำลาจาก       ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านจงหลีเฉวียน : หวังว่าวันหน้ามาคงได้เจอเมธีทุกท่านอีกดีหรือไม่  ตอนนี้ทุกท่านนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง  หากว่าสามารถจะรดน้ำต้นไม้ต้นนี้ให้เจริญเติบโต  ผลนั้นก็จะให้คนอื่นได้รับประทานได้  แต่หากต้นไม้ต้นนี้ท่านนำกลับไปแล้วเลี้ยงไม่รอด  แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่ได้ร่มเงา  ขอให้พิจารณาให้ดีๆ
จะขอเตือนเมธีที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ความกล้าแกร่งและความคะนองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง ความกล้าแกร่ง ความกล้าหาญหมายในการทำสิ่งที่ดี ส่วนความคะนองนั้นคือการทำอะไรไม่ยั้งคิด
ในขณะนี้บางท่านยังมีความสุข ยังเต็มไปด้วยความสุขแวดล้อมหรืออาจจะเจอความทุกข์มาจนอยากจะประชดชีวิต แต่อยากจะบอกท่านว่าผลดีและ ผลเสียต่าง ๆ นั้นจะขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง อย่ารอให้เจอความทุกข์จนยากจะเยียวยารักษา ท่านจึงค่อยคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะบำเพ็ญ ขอให้ทุกขณะจิตนั้นมีการบำเพ็ญ การเดินหน้าและการใช้ชีวิตไปด้วยกัน แล้วอย่าลืมว่าหากวันไหน      ผิดหวัง ท้อแท้ชีวิต อย่าได้คิดฆ่าตัวตาย ขอให้กลับมาที่พุทธสถาน ขอให้มีจิตใจที่บริบูรณ์พร้อมกลับมาทุกคน แล้วหวังว่าวันหน้านั้นจะได้เจอกันใหม่ดีไหม (ดี) บุญสัมพันธ์ของเรานั้นคงหมดลงในไม่ช้านี้ หวังว่าทุกท่านนั้นคงจะมีชีวิตที่ก้าวหน้าในทางธรรมให้ดีๆ อย่าให้ชีวิตให้ลอยชายเหมือนคนใจลอย หาแก่นสาร   ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องเสียใจกับชีวิตนี้จนตลอดไปทีเดียว
(ท่านจงหลีเฉวียนเมตตาประธานพระโอวาทนักเรียนฝ่ายหญิง)
หวังว่าทุกท่านนั้นบำเพ็ญให้ดี ๆ ไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นสตรี ปัจจุบันสตรีนั้นเปรียบเสมือนพระจันทร์ในยามค่ำคืน ทอแสงเด่นเป็นประกาย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เน้นหนักให้ผู้บำเพ็ญนั้นอยู่ในบุรุษ ในบัดนี้ท่านได้เกิดเป็นสตรี     หนำซ้ำยังพบอนุตตรธรรม ประจวบเหมาะกับการแผ่โปรดนับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ชีวิตนี้แม้ไม่โชคดีสิ่งใด แต่มาโชคดีสิ่งนี้ก็ถือเป็นมหาโชค ฉะนั้นจงบอกตนเองไว้เถิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้โชคดีอย่างยิ่ง เกิดมาไม่มีพี่น้อง ท่านก็จะได้พี่น้องในสถานธรรมแห่งนี้มากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว หวังว่าท่านจะรัก สามัคคีกันให้ดี    มิเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ขอให้บำเพ็ญให้สามารถพาตนเองและผู้อื่นนั้น    กลับคืนขึ้นสู่บ้านเดิมโดยทั่วหน้ากัน
ท่านหันเซียงจื่อ : ถึงเวลาเราคงต้องไปกันแล้ว มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ วันนี้คงไม่สามารถที่จะพูดเรื่องหลักธรรม เรื่องชีวิตให้ท่านกระจ่างได้ทั้งหมด เพราะว่าหลายคนนานาจิตตัง พูดที่หนึ่งอีกที่หนึ่งไม่ได้ยิน พูดอีกที่หนึ่งให้เข้าใจ อีกที่หนึ่งก็ไม่เข้าใจ พอมาพูดตรงนี้ใจท่านก็ไปหาอีกท่านหนึ่ง ตอนนี้ใจท่านยังจับตัวเองไม่ได้ ยังจับใจให้อยู่กับที่ไม่ได้ แล้วเวลาเดินออกไปจะประสบอันตรายหรือจะประสบความโชคดีได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เดี๋ยวไปทางโน้น เดี๋ยวไปทางนี้ ฉะนั้นเวลาผิดพลาดอย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษใจเราต่างหากที่ไม่เคยอยู่นิ่ง วิ่งไปวิ่งมาเหมือนลิง เหมือนวานร
ผู้บำเพ็ญธรรมฝ่ายหญิงเป็นอย่างไรกันบ้าง บำเพ็ญธรรมเจอความยากลำบากไหม ความลำบากหรือไม่ลำบากต้องถามใจเราด้วย  ถ้าใจเราพร้อมเผชิญทุกสภาวะ ใจเราไม่เป็นตัวก่อปัญหา อุปสรรคต่างๆ ถึงแม้จะเข้ามาเราก็สามารถหลีกหนีหลบหน้าได้ แต่ถ้าใจเราเองเป็นตัวสร้างปัญหา แม้จะมีปัญหามากี่ทีเราก็หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะดับภัยต้องดับตั้งแต่ภายใน  อยากจะมีสุขต้องสร้างตั้งแต่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่) คงต้องไปแล้ว จากกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มดีกว่า


วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เถลไถลไม่รู้ตัวกลัวศิษย์หลง กระตือรือร้นอย่าพะวงหน้าพะวงหลัง
ชีวิตคนมีทุกข์ง่ายรู้ระวัง สุขที่หวังย่อมได้แน่เพราะรู้พอ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

ถูกความคิดพาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ความเป็นจริงอยู่หนไหนเร่งไปหา
หลงและตื่นใช่อยู่ที่หลับลืมตา กลืนความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น
หายใจเข้าเอาความกล้ามาบำเพ็ญ ใช้ธรรมะกันเป็นไหมไถลลื่น
ความเข้าใจเพราะศึกษาทุกวันคืน ดีใจเมื่อศิษย์ข้าตื่นโดยเร็ววัน
แผ่เมตตาพาจิตใจให้มีสุข ไปล้มลุกคลุกคลานอย่าโศกศัลย์
รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน
ทำงานแห่งดินฟ้าศรัทธาไว้ แห่งหนใดพากันถ้วนทั่วตื่น
ฟ้างามตาคือใจศิษย์อันสดชื่น แบกผู้อื่นไม่หนักใจเพราะเต็มใจ
ขึ้นมาบนเรือธรรมง่ายอย่าละทิ้ง บ่าทั้งสองแห่งคนจริงช่างกว้างใหญ่
ปัญญาเอ๋ยศิษย์อย่าลืมเฝ้านำใช้ นำตนเองก้าวไกลไม่ท้อกลางคัน
สู่ธรรมนี้ด้วยมั่นคงใจไม่ท้อ ความรู้พอพาให้เกิดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
ก้าวสู่ปลายย่อมเกิดจากก้าวแรกนั้น ไกลไม่หวั่นหวั่นไม่ยอมจะก้าวเดิน

ฮา   ฮา   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อครู่ทำท่าจับปูใช่หรือเปล่า ปูมีกี่ก้าม (สองก้าม)  ก้ามปูเหมือนกับอะไรที่อยู่ในตัวเรา (ปาก)  ตอบได้ถูก  ปูใช้ก้ามหนีบคน คนใช้อะไรหนีบคน (ปาก)  คนชอบใช้ปากหนีบคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะเป็นปูหรืออยากจะเป็นคน   (เป็นคน)  ถ้าอยากเป็นคนต้องใช้ปากไปทำอะไร (พูด)  คนใช้ปากพูด แล้วเรา  ใช้ปากของเราพูดแต่ในสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าเราใช้ปากเราพูดไม่ดี เราก็ใช้ปากของเราหนีบคน  ปากหนีบคนเป็นอย่างไร ประชด ว่า เสียดสี นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นผู้บำเพ็ญ เราใช้ปากหนีบคน ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าเราใช้ปากของเราหนีบคน ปากของเราก็จะยื่นยาวออกมา แล้วจะมีความคมขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอนานๆ เข้าปากของเราก็จะกลายเป็นมือปู ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากเป็นผู้บำเพ็ญต้องมีปากที่ใช้พูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครคิดว่าตนเองใช้ปากพูดในสิ่งที่ไม่ดี ยกมือขึ้น ยอมรับตัวเองไหม ใครเคยนินทาคนบ้าง ใครเคยว่าคนลับหลังบ้าง ใครเคยออกไปว่าคนต่อหน้าบ้าง ใครเคยประชดประชันว่าเสียดสีเปรียบเปรยลอยๆ ไปตามลมบ้าง ยกมือขึ้น คนที่ตอบอาจารย์บอกว่าก้ามปูเหมือนปากคนยังไม่ยอมยกอะไรสักอย่างหนึ่ง  สงสัยยังไม่เคยทำ (ทำทุกอย่าง)
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม การที่เราจะควบคุมปากของเราเอง ง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ปากจะเปิดใครสั่งเปิด (ตัวเราเอง)  ปากจะปิดใครสั่งปิด (ตัวเราเอง)  แล้วตัวเองควบคุมยากไหม (ยาก)  ยากอีกหรือ  เวลาเปิดปาก  มีเสียงไหม (มี) เวลาปิดปากมีเสียงไหม (ไม่มี)  แล้วถามว่าเวลาที่จะว่าคนแล้ว  ปิดปากยากไหม (ไม่ยาก)  แค่ปิดปากเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อไปค่อยไปจัดการที่ใจ ถ้ายังจะคิดอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะควบคุมตัวเองนั้นที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เรานั้นรู้จักควบคุมตัวเอง ตอนนี้เราอยากจะนินทาคนนี้จะแย่อยู่แล้ว คนนี้ทำไมไม่ดีเลย วิธีการแก้ง่ายๆ คือมามองตัวเองดีไหม (ดี) ตัวเราเองดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ตัวเรามีข้อดีไหม (มี)  ตัวเรามีข้อเสียไหม (มี)  ต้องบอกตัวเองว่า คนที่เราอยากจะนินทานั้นเขาก็มี   ข้อเสียและข้อดีเหมือนกัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาข้อดีของเขามาลบข้อเสียของเขาทิ้งดีหรือไม่ (ดี)  เวลาเราฟังใครพูดถึงข้อเสียของเขา เราก็เก็บมาใส่ใจ  เวลาเราฟังข้อดีของเขา เราก็เก็บมาใส่ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่า เราจะเลือกฟัง     ได้ไหม (ได้)  ท่าทางคนเวลากำลังจะนินทามักจะไม่ปกติ  กล้ามาจับไมค์เหมือนเวลาบรรยายธรรมะไหม (ไม่กล้า)  เวลาจะนินทาคน  ต้องพูดเบาๆ แล้วพูดกันอยู่สองสามคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเห็นคนพูดลักษณะอย่างนี้ เราก็หลีกไปให้ไกลเลยดีไหม (ดี)  อย่าคิดว่าเขาอาจจะกำลังนินทาเราอยู่เลยต้องเข้าไปฟังหน่อย  เช่นนี้เราจึงจะมีปากที่ไม่ใช่ปากปู ดีหรือไม่ (ดี)  ปากของเราก็จะเป็นปากคน  เป็นปากที่สวยงามด้วยการพูดจาแต่ในสิ่งที่ดี  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การพูดจาแต่ในสิ่งที่ดีนั้นยังไม่พอ  ต้องทำในสิ่งที่ดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนชอบพูดมากกว่าทำ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าคนที่ชอบพูดมากกว่าทำนั้น ส่วนใหญ่ ทำได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เวลาเราพูดไปร้อยอย่าง เวลาทำทำได้กี่อย่าง  ไหนใครคิดว่าตัวเองทำได้สิบอย่าง ทำได้สักสิบเปอร์เซ็นต์ยกมือขึ้น ทำได้สักเท่าไร ห้าสิบถึงไหม  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะมาเป็นผู้บำเพ็ญธรรม อีกอย่างหนึ่งก็คือ การพูดให้น้อย ทำให้มาก เรายิ่งทำดีมากเท่าใดคนก็ยิ่งยกย่องเรามากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่การทำดีทั้งหลายทั้งปวงนั้น  ไม่ได้ทำเพื่อจะให้คนอื่นมายกย่องเรา แต่ทำเพราะว่าเรานั้นต้องการจะฝึกฝนตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับการมานั่งในสามวันนี้ นั่งที่นี่ ร้อนไหม (ร้อน)  แต่ก็จำเป็นต้องนั่งเพื่อเป็นการฝึกฝนตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราฝึกฝนตนเองได้ดีมากเท่าไร  สภาพเช่นนี้เราสามารถอดทนได้  วันหลังเมื่อเราเจอคนมาว่าเราต่อหน้า  เราก็จะสามารถยิ้มให้ได้เอง  แต่ถ้าหากว่าเราไม่เคยทุกข์ยาก ไม่เคยลำบากเลย  เวลาที่คนอื่นมาว่าเรา เราก็จะทนไม่ได้  เพราะฉะนั้นความทุกข์นั้นมีประโยชน์  ที่ทำให้เรานั้นเป็นคนเต็มคน  ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่รู้จักอดทนในสิ่งใดเลย  ฉะนั้นจึงบอกว่าความทุกข์นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี  ความสุขนั้นต้องเข้าใจใช้ เข้าใจอยู่กับความสุข  ไม่ใช่อยู่กับความสุขด้วยความหลง  ความทุกข์ความสุขเป็นอย่างไร  เราชอบความสุข ความสุขอยู่ตรงหน้าแล้ว  แต่ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็อยู่ข้างหลัง ถามว่าความทุกข์และความสุขนั้นแยกจากกันได้ไหม (ไม่ได้) กลางความสุขมีความทุกข์  เพราะว่าต้องหาแทบตายจึงได้ความสุขนิดหน่อย  ส่วนกลางความทุกข์เช่นที่เรานั่งกันท่ามกลางอากาศที่ร้อนเช่นนี้ กลับมีความสุข  เพราะว่าเราได้ธรรมมาชำระล้างจิตใจให้สะอาด  ศิษย์ของอาจารย์คงไม่ปฏิเสธถ้าอาจารย์จะพูดว่า  แม้ชำระไม่ได้มากก็ชำระได้น้อย  คือชำระจิตใจของศิษย์ได้บ้าง  หาทางแก้ปัญหาในตัวของศิษย์ได้บ้าง  เพราะฉะนั้นความทุกข์และความสุขนั้นวนเวียนอยู่รอบตัวเรา  ยามใดที่เราเจอความทุกข์ เราก็รู้ว่าตอนนี้ความทุกข์อยู่ข้างหน้า แต่ความสุขอยู่ข้างหลัง  สองสิ่งนี้แยกจากกันไม่ได้  ถ้าหากอยากได้ความสุขก็ต้องได้ความทุกข์ด้วย  เหมือนกับการกินมะระ  เวลากินมะระตอนอยู่ที่ลิ้นเป็นอย่างไร (ขม)  ตอนอยู่ที่คอเป็นอย่างไร (หวาน)  เอาที่ลิ้นหรือเอาที่คอ (ที่คอ)  ดังนี้ทุกคนก็รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่อยู่ที่ภายภาคหน้าของเรา  อยากได้ความสุขก็ต้องหาจากความทุกข์จึงจะเจอความสุขอันแท้จริง
ในสามวันนี้มาพูดเรื่องการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ       พุทธะเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสบายๆ การเรียนก็ดี ภรรยาก็ดี ลูกก็ดี การงานก็ดี ทุกอย่างดีหมด  ถามว่าคนๆ นี้รู้จักความทุกข์ไหม (ไม่รู้จัก)  หากคนนี้ไม่รู้จักความทุกข์ ถามว่าอยากบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่อยาก)  เพราะชีวิตนั้นมีความสุข อยู่ดีๆ ก็ให้ผละจากใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีมาใส่เสื้อผ้าสีขาวก็ย่อมยาก  เพราะฉะนั้นในการที่ศิษย์รู้จักความทุกข์นั้นจึงเป็นสิ่งที่ดี  อย่าได้มองความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ไม่ควร ไม่เอา  ในการบำเพ็ญธรรมนั้นมีความยากลำบากต่างๆ นานา  ศิษย์กล้าที่จะเผชิญความยากลำบากเหล่านี้ไหม (กล้า)  ถ้าไม่กล้าเผชิญความยากลำบากแม้แต่เล็กน้อย จะได้สิ่งที่เป็นผลที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร หากอยากจะได้ผลที่ยิ่งใหญ่ต้องพบอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก่อน
“เถลไถลไม่รู้ตัวกลัวศิษย์หลง”
เคยเถลไถลไหม (เคย)  เถลไถลเพราะอะไร (ไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง, เพราะเราไม่อยากจะทำ, ขี้เกียจ, ทำแล้วไม่เห็นผลเลยไม่อยากทำ)  มนุษย์ชอบที่จะเห็นผลได้ทันตาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่จะเห็นผลทันตาทุกอย่าง การปลูกต้นไม้ก็ต้องใช้เวลา  อยากให้คนชั่วได้รับผลชั่วก็ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นผู้ลิขิตเสียเอง  ไปลิขิตให้เขาได้ผลชั่วเสียเดี๋ยวนั้นโดยการที่เราลงมือเอง  อย่างนี้ก็เป็นการใจร้อนเกินไป  ชีวิตคนเป็นอย่างไร (ชีวิตคนสั้น, มีทุกข์, ไม่แน่นอน)  อาจารย์อยากบอกว่าชีวิตมีทุกข์  แล้วจะได้ความสุขอย่างไร
“ชีวิตคนมีทุกข์ง่ายรู้ระวัง สุขที่หวังย่อมได้แน่เพราะรู้พอ”
อาจารย์บอกว่าความสุขได้แน่เพราะรู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครรู้จักความพอไหม  ยังไม่รู้ว่าความพอที่แท้จริงเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)   ตอนนี้เรามีเงินสูงสุดในตัวห้าพัน มีความสุขไหม (มี)  แต่มีอีกคนหนึ่งมีเงินสูงสุดในตัวหนึ่งหมื่น  ถามว่าเขากับเราใครมีความสุขมากกว่ากัน (เรา ,เขา)  ทำไมถึงว่าเขามีความสุขมากกว่า (เพราะสามารถหาความสุขได้, คนที่มีเงินมากกว่าอาจจะไปขโมยเงินคนอื่น)  เห็นไหมว่าความคิดของคนนั้นมีหลากหลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นว่าความคิดของเราจะต้องถูกเสมอไป อาจารย์อยากรู้ว่ามีเงินหมื่นมีความสุขกว่าคนที่มีห้าพันตรงไหน (มีเงินหมื่นแล้วรู้จักพอ)  น่าเสียดายที่มนุษย์สมัยนี้มีเงินหมื่นแล้วไม่พอ  ถ้าพูดตามนิสัยของคนบนโลกมนุษย์นี้ทั้งห้าพันทั้งหนึ่งหมื่นก็ ไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่สองคน แต่มีคนอยู่ มากมาย  เวลาเราฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์  คนที่มีเงินหมื่นล้านเราก็อยากจะได้ด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเราเห็นคนที่มีเงินหนึ่งล้านเราก็รู้สึกว่าอยากจะได้ด้วย  แต่ถามว่าใครมีความสุขมากกว่ากันระหว่างสองคนนี้  ไม่มีใครมีความสุขเลยและถ้าหากว่าใครคนหนึ่งจะมีความสุข  ก็ด้วยเหตุที่เขารู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครรู้จักพอคนนั้นก็ย่อมมีความสุข  มีเงินน้อยใช้แต่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเงินน้อยก็ใส่เสื้อผ้าราคาถูกหน่อยหนึ่ง  เสื้อผ้ามีไว้ทำอะไร (ปกปิดร่างกาย)  ศิษย์จะปกป้องร่างกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงหรือราคาถูก เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  อาหารการกิน คนที่กินอาหารมื้อละพันกับคนที่กินมื้อละร้อย เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  ชีวิตคนนั้นอย่าได้ให้ความสำคัญกับเงินทอง  อย่าใช้เงินทองตัดสินคน  เพราะว่าเงินทองนั้น ทุกๆ ใบในแบงก์สิบ แบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อยไม่มีชื่อเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีเราเป็นเจ้าของแบงก์ใบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเงินเข้ากระเป๋านี้แล้วก็ออกไปอยู่กระเป๋าคนโน้นเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  ก็ดู    ไม่ออกว่าเป็นเงินทองของใคร  เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินกันด้วยเรื่องของเงินทอง อย่าให้เงินทองเป็นเจ้าชีวิต ขอให้สร้างชีวิตให้มีคุณค่า แล้วชีวิตนี้จะมีค่ามากขึ้น เชื่ออย่างนั้นไหม (เชื่อ)
ใจของศิษย์เป็นใจที่สะอาดๆ หรือเปล่า (สะอาด)    เป็นใจที่มีความศรัทธา
หรือเปล่า (มี)  มีความศรัทธามากหรือน้อย (มาก)  มีความศรัทธาปลอมๆ หรือจริงๆ (จริงๆ)  อาจารย์ก็หวังว่าอย่างนั้น เพราะถ้าหากว่าศรัทธาไม่จริงรับไปก็รับไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับคนส่งอยู่อีกฝั่งแต่คนรับอยู่อีกฝั่ง ไม่ได้ยืนอยู่ฟากเดียวกัน แล้วจะถึงไหม (ไม่ถึง)  เหมือนกับยืนอยู่ประตูคนละฟาก ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์แม้จะได้ยินเสียงของอาจารย์ แม้ว่าจะรู้ในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ไม่เปิดใจออกรับ ก็จะไม่ได้รับในสิ่งที่อาจารย์พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นหวังว่าศิษย์ทุกๆ คนคงมีความศรัทธาจริงใจ คงตั้งใจฟังและระงับความสงสัยไว้ชั่วขณะ ไม่มีจิตที่เล่นๆ จริงๆ หยอกๆ เย้าๆ  ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรียกว่าอาจารย์แล้ว  ถ้าหากว่าทำดื้อรั้นกับอาจารย์ อาจารย์ก็มีสิทธิ์ลงโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อาจจะลงโทษให้ออกมายืน มาเดินเป็ด ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์ของอาจารย์ดื้อหรือเปล่า (ไม่ดื้อ)  คนดื้อมักจะบอกว่าตัวเองไม่ดื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เมื่อยังมีร่างกายอยู่ก็เป็นการยากที่จะรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรงได้ถ้าหากเป็นผู้ที่ตามใจตัวเองอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจปาก เราก็หาโรคเข้าใส่ตัวเราด้วยการกิน  ตามใจอารมณ์ก็หาโรคเข้าหาตัวเราด้วยอารมณ์ต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตามใจร่างกายพาตัวเองไปเหนื่อยกับการเล่นเกม กับการทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปเที่ยว ไปหาความสุขด้วยการใช้ร่างกายของเราไปในทางที่ไม่ดี  ก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดโรคได้เช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)    บางคนเพิ่งอายุยี่สิบกว่า บางคนมากกว่านั้น   ถามว่าจะรักษาร่างกายให้แข็งแรงไปจนอายุ   หกเจ็ดสิบได้อย่างไร  เพราะว่าคนที่เป็นหนุ่มสาวสมัยนี้ เราปวดเมื่อยเป็นไหม (เป็น)  บางคนก็มีโรคประจำตัวต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเป็น      ไข้หวัดก็รู้ว่าตัวเองนั้นร่างกายไม่แข็งแรง  แล้วจะรักษาร่างกายของเราให้อยู่  ยืนยาวจนแก่จนเฒ่าโดยมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่านี้ได้อย่างไร  นั่นต้องถามตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงจึงจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้  หากเรามีสุขภาพไม่แข็งแรงเวลาที่จะบอกคนอื่นมาบำเพ็ญธรรม เราจะมีแรงออกไปเดินตามได้กี่คนเมื่อเทียบกับคนที่แข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรง ศิษย์ของอาจารย์จำเป็นต้องสังเกตตนเอง  อย่างแรกคือร่างกายของเราทุกๆ ส่วน  อย่างที่สองคืออารมณ์ในใจของเรา  อย่างที่สามคือความคิดคำนึงต่างๆ ของเรานั้น ต้องรู้จักควบคุมให้ดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากเรื่องร่างกายอันแข็งแรงแล้วยังต้องดูเรื่องการปฏิบัติตนด้วย  หากมีคนที่ทำให้เราไม่พอใจ เราก็ไม่พอใจตอบ  คนๆ นี้เหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เหมือน)  คนๆ นี้ไม่สุภาพ ไม่เรียบร้อยเหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เหมือน) แล้วทำไมต้องบำเพ็ญธรรม (เพื่อให้หลุดพ้น, เพื่อให้จิตใจดีงาม, เพื่อความสบายใจ, เพื่อให้จิตใจสงบ, เดินตามอาจารย์จะได้เห็นผล)  ถ้าหากว่าโดนคนเขาดึงจะทำอย่างไรดี คนอื่นว่าบำเพ็ญธรรมไม่ดีหรอกมากับเขาดีกว่า  เวลาสามวันนี้เราฟังธรรมะก็มีความเข้าใจกระจ่างดี แต่พอกลับไปบ้านมีคนมาบอกว่างมงาย คนนั้นก็บอกว่าไม่จริง อีกคนบอกว่าไม่ใช่  ถามว่าเราเชื่อตัวเอง     หรือเปล่า (เชื่อ) เราจะดึงเขาหรือจะให้เขาดึงเรา (เราจะดึงเขา) หากเขามาดึงเรา เราก็ต้องดึงกลับใช่หรือเปล่า (ใช่) ดึงใคร สมมติว่าคนนั้นเป็นพุทธะ แล้วอาจารย์เป็นมาร ถ้าอาจารย์ดึงเขาถามว่าเขาต้องทำอย่างไร (ดึงกลับ)  ต้องเป็นพุทธะที่สามารถดึงทุกคนที่อยู่รอบข้างเราให้กลับเป็นพุทธะได้อย่างเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่) ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพุทธะ  แต่หากว่าเราโดนผู้อื่นดึง เราก็ยังสมัครใจไปอยู่กับมาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าอาจารย์เป็นพุทธะแล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นอาจารย์ดึงศิษย์เพื่อให้ศิษย์ตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะดูว่าหลังจากที่อาจารย์ดึงศิษย์ในวันนี้แล้ว ศิษย์จะตามมาหรือเปล่า (ตาม)  ตามไม่ตามไม่ใช่อยู่ที่วันนี้ เขาบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไม่ใช่ว่าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าศิษย์ตามมาแล้วก็จะตามมาจริงๆ ต้องดูว่าหลังจากสามวันนี้เป็นอย่างไร หลังจากนี้ให้หลังปีหนึ่งยังอยู่ไหม สามปียังอยู่หรือเปล่า ห้าปียังอยู่หรือเปล่า สิบปีมาดูกันว่าบำเพ็ญดีขึ้นหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญนั้นก็คือการขัดจิตใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ขัดอะไรออก เวลาที่เราทำน้ำหวานเปื้อนลงไปที่พื้น ถามว่ารอยเปื้อนอันแรกขัดออกง่ายไหม. (ง่าย)  รอยเปื้อนอันที่สองยังไม่อยากขัดเลยปล่อยทิ้งไว้เป็นอย่างไร (ขัดยากขึ้น) ถามว่าปีหนึ่งผ่านไปขัดออกไหม (ขัดไม่ออก)  เพราะว่าแน่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งทียิ่งแน่นขึ้นเรื่อยทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าพื้นนี้เป็นจิตใจของเรา  เราทำอะไรเปื้อนลงไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว เปื้อนมากี่สิบปีแล้ว เคยไปขัดไหม (ไม่) เรายังไม่เคยขัดจิตใจของเรานี้เลย เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปขัดจิตใจของเรานั้นต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกมนุษย์บอกว่าต้องใช้น้ำยาขัด ต้องใช้น้ำยาที่แรงมากๆ ถึงจะสามารถขัดรอยเปื้อนอันนี้ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องใช้ธรรมะที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงจึงจะสามารถที่จะขัดจิตใจของเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าธรรมะศักดิ์สิทธิ์นั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน (ความเชื่อ, ใจ, ความนับถือ, ความศรัทธา, อยู่ที่การปฏิบัติ) ธรรมะนั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ อยู่ที่เรานั้นนำไปปฏิบัติหรือไม่  ถ้าหากว่าอาจารย์พูดไปกี่คำ กี่ครั้ง ก็ไม่ปฏิบัติ ธรรมะจะศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถือว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ฟังไม่เข้าใจ ไม่นำกลับไปปฏิบัติ ธรรมะก็ขาดความศักดิ์สิทธิ์  ในทางเดียวกัน เวลาที่เราอยู่      ข้างนอกถ้าหากว่าคนที่พูดให้เราฟังนั้นไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นเพื่อนของเรา เป็นพี่ของเรา เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นคนที่เราไม่รู้จักหน้าตา ถามว่าเขาพูดให้เราฟังแล้วเรานำไปปฏิบัติศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์) คำพูดของคนคนนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติได้มากเท่าไร จะศักดิ์สิทธิ์มากหรือน้อยก็ล้วนอยู่ที่ตัวของเราเอง  ขึ้นอยู่กับว่าใจของเรานั้นต้องการจะเป็นพระศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไร
มานั่งฟังธรรมะสามวันนี้ อาจารย์ขออย่างเดียว ขอให้มานั่งด้วยความ เต็มใจ ด้วยความเข้าใจ อย่าได้นั่งฟังธรรมะเพราะว่าความจำใจที่คนอื่นเรียกให้มาฟัง  สิ่งที่ดีๆ ที่แฝงอยู่ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าไม่น่าฟังเลยจะเกิดขึ้นไหม ก็ไม่สามารถจะมีขึ้นได้  แต่หากว่าศิษย์ตั้งใจฟัง แม้พ่อแม่จะบ่นยาวยืดศิษย์ไม่อยากฟัง แต่ในคำบ่นนั้นก็มีคำสอนที่ดีเกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์เต็มใจเท่าไร ความเต็มใจคือใจที่เต็ม แล้วทำให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นได้ก้าวหน้าขึ้นจากความไม่รู้ทั้งหลาย
ในโลกมนุษย์นี้ ไม่ใช่ว่ามีแค่สิ่งบันเทิงล่อใจ ไม่ใช่มีแค่โลกีย์ แต่ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ศิษย์นั้นต้องไปศึกษา การบำเพ็ญธรรมะ การศึกษาธรรมะไม่ใช่เรื่องของคนแก่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกว่าเป็นเรื่องของคนแก่ ก็ลองย้อนมองดู  ในการศึกษาของโลกปัจจุบันนี้ทุกๆ อย่างอาศัยหลักธรรมชาติในการเรียนรู้ ก่อสร้างขึ้น  ดาราศาสตร์ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า ดาราศาสตร์เรียนรู้เอาจากธรรมชาติว่าโคจรไปทางไหน เป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัจจุบันนี้มีการนำของเก่ากลับมาใช้ใหม่ เรียกว่ารีไซเคิล  ถามว่าเรียนรู้มาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวศิษย์เกิดขึ้นมา แก่ เจ็บ ตาย สัจธรรมชีวิตที่สอนขึ้นมานั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นอยากจะได้ความเจริญก้าวหน้า อยากจะได้สิ่งที่ดีในชีวิตก็ต้องเรียนรู้จากธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องเรียนรู้จากธรรมชาติว่า      ธรรมชาติให้อะไรกับเราบ้าง  เวลาที่ศิษย์โยนผลไม้ลูกนี้ขึ้นไปถึงที่สุดแล้ว      เป็นอย่างไร (ตกลงมา)  ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าชีวิตของเรานั้นเมื่อขึ้นถึงที่สุดก็ต้องหล่นลงมา  หล่นลงมาเป็นธรรมชาติไหม (เป็น)  ถามว่าใครหลีกพ้นหรือเปล่า  ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ มีทรัพย์สินเงินทองเป็นร้อยล้าน ในที่สุดพอขึ้นไปถึงที่สุดก็ต้องหล่นลงมา  ไม่พ้นต้องหล่นลงมาเบื้องล่าง  เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นจะขึ้นไปที่สูง ยิ่งสูงเท่าไรยิ่งตกลงมาแรงเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรดี    จะใช้สิ่งใดมารองรับชีวิตอันนี้ดี เพราะว่าชีวิตนั้นเกิดมาต้องตายในที่สุดหลีกหนีไม่พ้น
ตอนเกิดเรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร  แต่ตอนตายรู้ไหมว่าจะทำอย่างไร (ทำความดี)  รู้จักความดีไหม (รู้จัก)  วันหนึ่งเราทำความดีกันกี่ครั้ง เอาความดี  หนึ่งวันมารวมๆ กันได้สักชั่วโมงหนึ่งไหม (ไม่ได้)  ก็อาจจะยังไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมนุษย์โดยส่วนใหญ่ในโลกนี้ทำความชั่วมากกว่าความดี  ในขณะที่เราบอกว่าเราเป็นคนดีอยู่ เราก็ยังทำความดีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในวัฏสงสารนั้นจึงก่อกำเนิดสองแดนที่นอกเหนือจากโลกมนุษย์ ก็คือสวรรค์และนรก  บอกว่าไม่เชื่อเลยว่ามีสวรรค์และนรก  สวรรค์และนรกนั้นเป็นธรรมชาติ ก่อเกิดจากศิษย์ของอาจารย์ทำความชั่วมาก ทำความชั่วมาก ใคร  ลงมาลงโทษเรา  ถ้าในโลกนี้ไม่ได้รับการลงโทษเลยแล้วใครจะลงโทษเรา  ก็คือธรรมชาติของนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนที่ทำความดีมากก็ไปรับผลบุญอยู่ในแดนสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสองแดนนี้จึงเป็นธรรมชาติของศิษย์ที่ทำความชั่วและความดี ทำเท่าไรก็ได้เท่านั้นทำดีมากไปรับผลดี ทำชั่วมาก     มารับผลชั่ว
เขาบอกว่าทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก  เพราะฉะนั้นความชั่วอยู่      เบื้องล่าง และความดีอยู่เบื้องบน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะปีนบันไดขึ้นไป  ข้างบน ยากไหม (ยาก)  กับการที่เรานั้นจะไถลลงมาอยู่ข้างล่าง ยากไหม (ไม่ยาก)  การทำความดียากหรือเปล่า (ยาก)  ถามว่าต้องทำไหม (ทำ)  เราอยากจะปีนบันไดขึ้นไปบนสวรรค์หรือจะไถลลงมาในนรก (ปีนบันได)  เวลาปีนขึ้นไปลำบากไหม (ลำบาก)  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า ความดีและความชั่วนั้นเป็น   ธรรมชาติของมนุษย์เหมือนกัน  ในการที่เรานั้นออกจากร่างกายนี้แล้ว จิตของเรานั้น เมื่อทำความดีมากก็จะเบาเหมือนกับขนนก  อารมณ์โกรธก็มีน้อยลง  ความโลภก็ไม่ค่อยมี  ความรัก ความเกลียดก็ไม่มี จิตนี้ก็จะเบา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวัน เดี๋ยวก็โกรธคนโน้น เกลียดคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ เดี๋ยวก็ไปทำกรรมอันนี้ คิดร้ายอย่างนี้ ไปขโมยทรัพย์สินอย่างนี้  ทุกวันๆ ผ่านไป  สมมติว่าจิตเป็นพัดอันนี้ พอใส่หินมากขึ้นเป็นอย่างไร (หนัก)  ใส่หินก้อนเล็กๆ คือทำความชั่วไม่ดีเล็กๆ  ใส่หินก้อนแรกลงไปเป็นอย่างไร หนักขึ้นไหม (หนัก) หนักเล็กน้อย ใส่อีกก้อนหนักไหม (หนักขึ้น)  หนักขึ้นเรื่อยๆ  เพราะทำความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น  ในที่สุดแล้วพัดอันนี้เป็นอย่างไร พัดอันนี้ก็หล่นลงตกลงสู่ที่ต่ำ เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะไม่สามารถยืนยันความดีอันนี้ของตนเองได้  เพราะทุกวันก็เฝ้าทำความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดแล้วตกลงสู่ที่ต่ำ ต่ำไปถึงที่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง  จึงบอกว่าธรรมชาตินั้นให้ศิษย์นั้นเรียนรู้  หากศิษย์ดำรงชีวิตนี้ด้วยความเป็นธรรมชาติ ทำความดีให้มาก ทำความชั่วให้น้อย ย่อมจะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน  เป็นเรื่องของธรรมชาติของชีวิต  คนที่ทำความดี ความชั่ว เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์นี้มีธรรมชาติเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในปรโลก  แต่ถามว่าศิษย์ของอาจารย์ชอบอยู่ใกล้คนดีหรือไม่ดี (คนดี)  เพราะฉะนั้นเราจึงบอกตนเองว่าอยากเป็นคนดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วเราทำดีหรือยัง เราเป็นคนดีเต็มที่หรือยัง จึงต้องกลับมามองตนเองและถามตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน”
ทำไมถึงบอกว่าสว่างคืน   การคืนมาแสดงว่าเดิมทีจิตใจของเราทุกคนเป็น
จิตใจที่ใสสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเวลานาน แต่ว่าในการที่เกิดมาชาตินี้ ศิษย์ของอาจารย์ก็มีจิตใจที่สว่างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คือเวลาที่เรานั้นเป็นเด็กเล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเป็นเด็กนั้นจิตใจของเราก็ดี แต่พอ  ยิ่งโตขึ้นๆ ก็เหมือนกับเอาก้อนหินหยอดลงบนพัดทีละก้อนๆ  ในที่สุดแล้วจิตใจของเราแปรเปลี่ยนเป็นจิตใจที่ไม่งดงามแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการ   ที่เรานั้นจะแปรเปลี่ยนจิตใจให้สว่างคืนมา ทำอย่างไรบ้าง (บำเพ็ญธรรม, ยกหินออก, ขัดเกลา, เอาสิ่งดีๆ เข้ามาใส่, ใช้ธรรมะมาปฏิบัติ)
 (มีนักเรียนคนหนึ่งถามอาจารย์ว่า ใช้ธรรมปฏิบัติข้อไหนที่จะได้มรรคผล)
เมื่อสักครู่เราคุยกันบอกว่า ธรรมมีมากมายจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อยู่ที่ตัวเราเอง  เพราะฉะนั้นธรรมข้อไหนก็สามารถที่จะให้ศิษย์นั้นหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้ทั้งสิ้น  พระกวนอูมีธรรมหลายข้อที่เด่นมาก  แต่มีธรรมข้อหนึ่งที่เด่นที่สุดคือความซื่อสัตย์  มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้รู้จักความซื่อสัตย์ไหม (รู้จัก)  รู้จักแต่ไม่มีใครที่จะลงมือทำ  ถ้ามีโอกาสคว้าได้ก็คว้าเลย  เพราะฉะนั้นธรรมที่ศิษย์ของอาจารย์ใช้จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เลย  เพราะว่าทำทุกๆ ข้อก็ไปหยุดที่กลางคัน  เสร็จแล้วก็จบแล้วจบกัน
ร่างกายของคนนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง  หัว แขน ขา  ถามว่าในคนนี้  ตรงไหนที่เรียกว่าคน  เราก็บอกว่าต้องมีหัว มีแขน มีขา ตาก็ต้องมีสองข้าง หัวต้องชี้ฟ้า ขาต้องเหยียบดิน อย่างนี้ถึงเรียกว่าคน  เพราะฉะนั้นการที่จะใช้ธรรมข้อใดปฏิบัติก็แล้วแต่  ธรรมนั้นต้องรวมทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในศิษย์  ไม่สามารถบอกได้ว่าใช้ธรรมข้อใด  นั่นขึ้นอยู่กับว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะใช้สิ่งใดเป็นหลักเท่านั้นเอง  เหมือนกับพระกวนอูใช้ความซื่อสัตย์เป็นหัว  หมายถึงว่า มองแล้วก็รู้ว่าคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก  ใช้ความเมตตาเป็นแขน ใช้มโนธรรมเป็นขา ดังนี้เป็นต้น  เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องรวมกันเป็นหนึ่ง  ศิษย์ต้องรวม  ขึ้นมา ต้องมีคนบอกว่าศิษย์เป็นคนมีธรรม มีจิตใจที่ตื่นรู้อยู่เสมอ  นี่จึงบอกว่าศิษย์นั้นเป็นผู้บำเพ็ญได้  ไม่ใช่บอกว่าคนๆ นี้ไม่มีธรรมเลย  ถ้าอย่างนี้จะบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์มีแต่จะบอกศิษย์ว่า สิ่งที่ใช้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นบันไดพื้นฐานให้ศิษย์เหยียบขึ้นไปนั้นอยู่ที่ไหน  ศิษย์จะขึ้นไปถึงบันไดขั้นไหนนั้น อยู่ที่ศิษย์  พื้นฐานคือคุณธรรมทั้งแปดอย่าง๑
ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง  ถ้าหากว่าอยากเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความกตัญญูจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธะไหม  เขาว่าคนนี้เป็นพุทธะปลอมๆ เป็นพุทธะแต่ชื่อ เป็นพุทธะแต่ในนาม  ใส่เสื้อขาวกระโปรงน้ำเงินหรือกางเกงน้ำเงิน แต่ใจไม่ขาวเลย  อย่างนี้จะบอกว่าเป็นพุทธะ เป็นคนที่มีธรรมก็ไม่ได้  เพราะฉะนั้นการมองไม่ใช่มองแต่เพียงภายนอก
บันไดขั้นที่สองคือความปรองดองในหมู่พี่น้อง  ทั้งพี่น้องที่บ้านและในสถานธรรม  ผิดนิดอภัยบ้าง  ผิดหนักอภัยใหญ่  อยู่ที่ว่าใจของเราใหญ่เท่าไร  ถ้าใจเราใหญ่มากก็อภัยมาก  เขาผิดมากแต่ใจเราเล็กกว่าเราจะอภัยเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ที่ใจของศิษย์เอง  เขาผิดมากใจเรานิดเดียวเราจะอภัยเขาไหวไหม (ไม่ไหว)  เขามีความผิดมากเท่าไร ใจเราต้องกว้างมากกว่านั้น

๑  คุณธรรมแปด
๑. กตัญญู ๕. จริยธรรม
๒. พี่น้องปรองดองกัน ๖. มโนธรรม
๓. ซื่อสัตย์  จงรักภักดี ๗. สุจริตธรรม
๔. ความสัตย์จริง ๘. ละอายและเกรงกลัวต่อบาป

บันไดขั้นที่สามคือความซื่อสัตย์สุจริต  ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง  ในการที่เกิดมาเป็นคนนั้นแม้ชีวิตจะสั้นมาก  แต่คุณค่าของคนมากที่สุดนั้น อยู่ที่ความรับผิดชอบ  หากว่าเรามีหน้าที่เป็นลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบ   ในหน้าที่ของตนเอง คือเป็นผู้มีความกตัญญู  รับผิดชอบในหน้าที่การงาน การเรียนหนังสือ ในการบำเพ็ญตน  การรับผิดชอบต่างๆ นั้น  หัวใจคือต้องทำให้ทันเวลา ไม่ใช่รับผิดชอบเหมือนกัน  แต่บอกว่าเดี๋ยวเอาไว้ก่อน เป็นดินพอกหางหมูก็ไม่ได้
บันไดขั้นที่สี่คือความมีสัจจะ  สัจจะต่อผู้อื่นต้องมีไว้ แต่สัจจะที่  สำคัญมาก คือสัจจะต่อตนเอง  อาจารย์ถึงบอกว่าการเป็นพุทธะนั้น อย่า      พูดเยอะ ให้ทำเยอะ จึงจะรักษาสัจจะไว้ให้คงอยู่  หากว่าเราพูดเยอะ ทำน้อย  สัจจะนั้นก็จะ  ไม่สามารถที่จะคงอยู่ได้
บันไดขั้นที่ห้าคือมารยาท คือจริยธรรม  จริยธรรมคือการทำทุกอย่างเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่ชิงสุกก่อนห่าม ไม่ผิดมารยาทต่อผู้อื่น  สิ่งที่ไม่ควรฟังอย่าฟัง  สิ่งที่ไม่ควรดูอย่าดู  สิ่งที่ไม่ควรทำอย่าทำ  สิ่งไม่ควรคิดอย่าคิด
บันไดขั้นที่หกคือมโนธรรมของเรา  มโนธรรมที่อยู่กับเราตลอด  ใจที่บอกให้เราทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง  มโนธรรมที่คอยอยู่ในใจเราแล้วเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลา  ขอให้เรานั้นทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง  แล้วเรานั้นต้องทำแล้วปฏิบัติตาม
บันไดขั้นที่เจ็ด  บันไดขั้นที่แปด คือหิริโอตตัปปะ  คือความรู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป  เวลาเราทำผิดบาป ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะละอาย เกรงกลัวต่อบาปแล้ว  เมื่อนั้นก็จะขาดพุทธจิตที่อยู่ในจิตของตนเองไป  เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นบาป สิ่งใดที่ผิดต้องรู้จักละเว้น  เริ่มจากน้อยไปหามาก  เริ่มละอายเมื่อไรก็ต้องรู้จักที่จะหักห้ามใจของตัวเองเมื่อนั้น  ไม่ใช่หาเหตุผลต่างๆ เข้าข้างตัวเอง  แล้วก็บอกว่าเรานั้นถูกอยู่เสมอ ผู้อื่นผิด  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะไม่ได้ในสิ่งที่ถูกต้องใส่ตัว  เพราะเป็นคนที่ช่างเจ้าเหตุผล  มีแต่บันได     พื้นฐานแปดข้อนี้ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไว้เป็นบันไดจริงๆ  การบำเพ็ญพุทธะ การที่จะหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยืดยาวกว่าที่อาจารย์พูดอีก  อาจารย์พูดเยอะแต่ศิษย์ของอาจารย์ต้องไปทำเยอะกว่านี้  ยังมีการทดสอบใจของเราอีกหลายเรื่องที่ต้องไปฝ่าฟันให้ได้  เพราะว่าการชนะสิ่งใดก็ไม่เท่าชนะใจตนเอง
ชอบใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยงไหม (ไม่ชอบ)  ใครที่ชอบไปเล่นไพ่ เล่นหวย เล่นไฮโล ชอบชกต่อยกับคน  ล้วนเป็นเรื่องของความเสี่ยงในชีวิตทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงไม่สมควรจะไปใช้อย่างเสี่ยงเช่นนี้  ศิษย์ของอาจารย์สามารถใช้ชีวิตอย่างราบเรียบปกติสุขได้  ความราบเรียบเป็นความไม่มีสีสัน  แท้จริงแล้วสีที่สวยที่สุดก็คือสีขาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลายคนชอบเป็น    สีแดง สีเขียว สีดำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เวลาที่เรามองดอกไม้  ดอกไม้มีหลายสี   อยู่รวมกันเป็นสิ่งที่สวยก็จริง แต่ถามว่าดอกไม้ทุกดอกนั้นเหี่ยวเฉาได้ไหม (ได้)  เหมือนกับชีวิตของคน ในที่สุดแล้วดอกไม้ก็ไม่สามารถที่จะยืนยงอยู่ได้ตลอดไป  วัยของเราก็เหมือนกับดอกไม้ที่เพิ่งจะแย้มบาน มีความแข็งตัว  แต่ถ้าหากใช้ชีวิตนี้ด้วยการเสี่ยงต่อไป อาจจะกำหนดชีวิตตนเองทำให้พิการไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถือว่าเป็นการเสี่ยงที่         ไม่สมควร ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงควรใช้ชีวิตนี้ด้วยความระมัดระวัง  สิ่งใดเป็นการเสี่ยงภัย สิ่งใดที่เกิดจากอารมณ์มากเกินไป  การใช้อารมณ์มากเกินไป โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เกลียด แค้น  สามอารมณ์นี้ขอให้เบาบางลงทุกๆ วัน  อันว่าอารมณ์นั้นเกิดขึ้นภายใน คนอื่นอาจจะไม่รู้ก็ได้แต่ว่าเรานั้นรู้ดีที่สุด  คนที่         มีอารมณ์โกรธมากๆ นานๆ เข้าจะกลายเป็นโรคหัวใจ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น
“ลืมความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น”
อาจารย์บอกเช่นนี้แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทุก ๆ คนต้องไปหาความหวานที่อยู่ในความขมให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราคิดที่จะกินมะระ เราก็ต้องเลือกว่าเราอยากจะขมลิ้นหวานคอหรืออยากจะกินของหวานลิ้นขมคอ ชีวิตของเรานี้ถ้าเกิดว่าอยากจะมีสีสัน ความบันเทิง ความแปลกอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้  วิวัฒนาการของโลกยุคใหม่นี้ก้าวหน้าไปทุกวัน  ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าที่ศิษย์ได้รับไปนั้นคืออะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ของบางอย่างผลิต  ขึ้นมาไม่รู้ว่าผลวันหน้าจะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ ศิษย์ไม่รู้ก็เหมือนกับการที่ไปเสี่ยง เหมือนกับเอาตัวเราเข้าไปเสี่ยง คือการกินของบาดลิ้นแต่ไม่รู้ว่ามันขมคอเท่าไร อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้ถ้าทำอะไรไม่รู้จักคิด เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ทำอะไรรู้จักคิด ไม่ใช่คิดครั้งเดียวแต่ต้องรู้จักคิดถึงสามครั้งก่อนที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่เสียใจภายหลังอยู่ตลอดเวลา
อันว่าความเข้าใจเกิดขึ้นได้ ในยามที่ศิษย์ของอาจารย์กำลังทำความ   เข้าใจอยู่ แต่ต้องรู้ว่าความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วต้องไม่ขาดปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ขาดซึ่งความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสามสิ่งนี้ไป ก็      ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ดีพร้อม  ถ้าอยากเป็นคนดีพร้อมต้องมีความเข้าใจใน    เรื่องราวต่าง ๆ นานา  มีปัญญาต้องมีความดีประกอบคู่กันเข้าไปด้วย ซึ่งความดีก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ขาดแคลนยิ่งนัก  บอกว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีแต่จริงๆ แล้วดียังไม่ถึงที่สุด เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วคนอื่นยังดีกว่าเราอีก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถามหน่อยว่าหากว่าเบื้องบนจะคัดเลือกหยกที่ดีที่สุด  เราเป็นหยกปนหิน เบื้องบนเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วถามว่าถ้าเราเป็นหยกแท้ เป็นหยกที่ดี เป็นหยกที่เย็นเบื้องบนเอาไหม (เอา)  ถ้าเรายังเป็นหินปนหยก     หยกปนหินอยู่  
ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นหยกแท้ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นทองแท้ ย่อมไม่ดีแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คำที่ศิษย์ออกมาช่วยกันออกมาวงทุกคน ๆ อ่านว่า “ธรรมะคือเข็มทิศของจิตใจ”
ชีวิตคนหนึ่งชีวิตนั้น เดินไปทางไหนเหมือนกับการเสี่ยงทายไม่มีผิด แต่อาจารย์จะบอกว่ามีเครื่องที่ใช้วัดความเที่ยงอยู่ไม่กี่ชนิด อันแรกคือไม้ตั้งฉาก  ใช้สำหรับวัดความเหลี่ยมใช่หรือไม่ (ใช่)  สร้างออกมาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วน   เข็มทิศนั้นก็เป็นเครื่องวัดหาความเที่ยงตรงและการเดินทาง เป็นวงกลมใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์จะเดินทางต้องพกเข็มทิศใช่หรือไม่ แต่ว่าอาจารย์ไม่มีเข็มทิศแจกคนละอัน อาจารย์มีอย่างเดียวคือสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ นั่นคือธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตของศิษย์นั้นจะสามารถพาขึ้นไปให้ดี  หรือว่าจะพาลงไปตกต่ำย่อมขึ้นอยู่กับศิษย์เอง การบำเพ็ญธรรมะจะอยู่จะรอด จะไปไม่ไปย่อมอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอาจารย์ขอมอบสิ่งหนึ่งที่ไม่มีรูป  ไม่มีลักษณ์ นั่นก็คือธรรมะ
เมื่อครู่เพื่อนนักเรียนถามว่าธรรมะชนิดไหนที่จะพาไปให้สู่ความหลุดพ้น ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว อาจารย์ไม่มีธรรมะที่จะหลุดพ้นทีเดียวให้ อาจารย์มีแต่ก้าวบันไดธรรมะที่เป็นก้าวให้ศิษย์ไปทำ หากว่าศิษย์ทำไม่ได้ก็เหมือนกับ         ไม่ได้ก้าวขึ้นบันได เหมือนกับการก้าวอยู่กับที่ ย่อมเป็นการเสียเปล่าชีวิตนี้ที่  เกิดมาหนึ่งชีวิต เพราะฉะนั้นธรรมะย่อมเป็นเข็มทิศของจิตใจของเรา ธรรมะ    ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอกแต่อยู่ที่จิตใจ เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นเข็มทิศให้ศิษย์ไว้ใช้   เดินทาง เดินทางนี้เดินทางธรรมะ เดินทางการเป็นพุทธะ ต้องบำเพ็ญเพียรจนชีวิตหาไม่ทีเดียว  ใครบำเพ็ญแค่ห้าปีเจ็ดปี แล้วบอกว่าสามารถที่จะขึ้นสู่แดนนิพพานนั้นไม่จริง ต้องวันสุดท้ายของชีวิตถึงบอกได้ว่าศิษย์คนไหนสามารถเป็นพุทธะได้ แต่เครื่องวัดอย่างหนึ่งที่ศิษย์สามารถมองว่าศิษย์นั้นเป็นพุทธะได้หรือไม่ คือลองดูว่ารอบๆ ข้างเรานั้นมีใครเรียกเราเป็นพุทธะเดินดินบ้าง ถ้าเขา      ยกย่องเราว่าเป็นพุทธะเดินดินได้ แสดงว่าเรานั้นก็มีสิทธิ์เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจึงบอกว่านิพพานไกลไหม  นิพพานจะว่าไกลก็ไกล แต่ว่าใกล้ก็อยู่ข้างหน้าศิษย์นี้เอง อยู่ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะไปหรือไม่ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไกลแล้วก้าวทีละก้าวถึงไหม (ถึง)  เหมือนกับการวิ่งแข่งกัน การวิ่งแข่งวิ่งไปข้างหน้า คนนี้ขาไม่ดีแต่ว่าขยันวิ่งถึงไหม (ถึง)  คนนี้ขาดีมากเลย ทุกสิ่ง ทุกอย่างสภาวะแวดล้อมปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าฐานะ หน้าที่ เงินทอง การงาน กุศลผลบุญพร้อมหมดแต่ไม่ยอมวิ่ง ถึงไหม (ไม่ถึง)  ถามว่าจะมีใครมาแบกมาลากเขาไปไหม (ไม่มี)  แบกไปไว้ครึ่งทางเหนื่อยแล้วเขาก็วางใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะแต่ละคนนั้นต้องรับผิดชอบกรรมที่ตัวเองกระทำมา ก่อมา  ศิษย์อาจจะราบรื่นในแง่นี้ ในการเดินทางอย่างนี้ แต่จะไม่ราบรื่นในอีกแง่หนึ่งที่คนอื่นเขามองไม่เห็นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าเฝ้าอิจฉากัน อย่าเฝ้าบอกว่าเขาบำเพ็ญง่ายกว่าเรา จริงๆ แล้วทุกๆ คนถ้ามาเปรียบเทียบกัน ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมารวมๆ กัน ไม่มีใครบำเพ็ญง่ายกว่าใครเลย
ทุกคนมีอุปสรรคเป็นของตัวทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ขอให้บำเพ็ญธรรมโดยการก้าวทีละก้าวไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่าช้ามาก ไม่รีบร้อนแต่อย่าอืด อย่าเฉื่อยแฉะอย่าเถลไถล เหมือนกับเวลาฟังนิทานเมื่อสมัยเด็ก เต่ากับกระต่ายวิ่งแข่งกันใครชนะ (เต่า)  ทำไมเต่าชนะ เต่ามีความเพียรแต่กระต่ายมีความขี้เกียจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วลองถามตัวเราเองว่าเรานั้นมีความขยันหรือ    ขี้เกียจ  ถ้าหากใครตอบว่ามีขยันกับขี้เกียจปนกันก็ฟังอาจารย์พูดให้ดีๆ  คนที่มีความขยันและขี้เกียจปนกัน ถ้าเผอิญว่าในยามที่ศิษย์ขยันนั้นไม่มีสนามให้    วิ่งแข่ง แต่ว่าในยามศิษย์ขี้เกียจนั้นกลับมีเส้นชัยขึ้น ถามว่าตอนที่เราขยันนั้นมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ในยามที่เราขยันนั้นก็ไม่มีประโยชน์
เหมือนกับในยามนี้ที่มหาธรรมลงสู่โลกยุคนี้  เมื่อคนมีความชั่วมากธรรมะจึงลงมารวดเร็ว เข้าถึงตัวศิษย์อย่างง่ายดาย แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้ จะมา ขี้เกียจเอาตอนนี้ก็จะเป็นการเสียโอกาส  เพราะฉะนั้นในยามนี้เหมือนกับมีสนามแข่งตั้งอยู่ตรงหน้า  หากว่าศิษย์ขี้เกียจ คนอื่นก็จะวิ่งแซงตัวเองไป       ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดแล้วศิษย์ก็จะเสียโอกาสการเป็นพุทธะต้องมาเวียนเกิดเวียนตาย
ใครที่บอกว่าตัวเองทุกข์แล้ว อาจจะเจอทุกข์อีกร้อยรอบพันรอบก็ได้ อาจจะเจอทุกข์อีกล้านรอบแสนรอบไม่มีวันสิ้นสุด ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าการที่ให้ศิษย์บำเพ็ญนั้น อาจารย์ใจร้อนมาก เพราะอาจารย์รู้แล้วว่าตอนนี้ใกล้เวลาอันคับขัน จึงได้เวลามหาธรรมลงสู่โลก เพื่อฉุดช่วยพุทธะให้กลับคืน  แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใส่ใจ จึงยากบอกว่าจะให้ใครเป็นพุทธะ ให้ใครเวียนว่ายตายเกิด  หวังใจอย่างยิ่งว่าคนนั้นไม่ใช่ศิษย์
อันว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น เวลาชีวิตคนที่ว่าสั้น เวลาของอาจารย์       พบหน้าศิษย์สั้นยิ่งกว่า  อาจารย์หวังตั้งแต่มาว่าศิษย์ที่ดื้อรั้นของอาจารย์นั้นจะไม่มองอาจารย์ด้วยสายตาอันเคลือบแคลงสงสัย  แต่จนถึงบัดนี้ มีกี่คนที่คิดเปลี่ยนแปลงตนเองบ้าง  ชีวิตเหมือนกับการเล่นละครก็จริงอยู่  แต่อย่าทำชีวิตเป็นเล่น  ประมาทก็คือทางแห่งความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งจึงประมาทไม่ได้แม้สักครั้งเดียว ไม่ใช่ขอประมาทเพียงครั้งเดียว  หากการประมาทครั้งนั้นเกิดผิดพลาดไป แล้วจะมีใครช่วยเหลือเรา  ในเมื่อชั่วชีวิตนี้ของเราไม่เคยช่วยใคร แล้วใครจะช่วยเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขนาดคนที่คอยช่วยผู้อื่น อยู่ทุกวันยังไม่ตั้งตนอยู่บนความประมาทเลย  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นใครจึงตั้งตัวอยู่บนความประมาททุกวันๆ  ได้รู้ทางแท้แล้วกลับมองเป็นเล่น  ชีวิตคน ฟ้ากำหนดอย่างนั้นหรือ  ชีวิตคนนั้น คนเป็นผู้กำหนดมาเอง กำหนดมาตั้งแต่ต้น ทำชั่วมากกว่าดีก็ศิษย์กำหนด  ตอนนี้อยากจะทำดีมากกว่าชั่ว ก็ศิษย์กำหนด  อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่าดื้อรั้น อย่าคิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว  แม้มนุษย์บางคนมีอายุมาก ภูเขาก็มีอายุมากกว่าศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟ้าก็มีอายุ  มากกว่าภูเขาอีก ฉะนั้นชีวิตนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตนเองนั้นสามารถกว่าใคร อ่อนน้อมไว้เป็นดีที่สุด ถ่อมตนไว้ขอให้ผู้รู้นั้นช่วยเราไม่ดีหรือ ลองหยิ่ง ทะนง อวดเก่งแล้วถามว่าใครอยากช่วยคนประเภทนี้ ต่อให้เป็นศิษย์ ก็ไม่อยากจะช่วยเขา
ในสามวันนี้เป็นชั้นเรียนสำหรับฟื้นฟูดวงจิตของเรา  การฟื้นฟูดวงจิตนั้นย่อมนำมาจากการกระทำต่างๆ เมื่อศิษย์ได้กระทำในสิ่งที่ดี ก็ถือว่าศิษย์นั้น   ฟื้นฟูมากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่อาจารย์บอกไว้ในบทเพลงบอกว่า “กระทำนำสื่อความตั้งใจ”  สิ่งที่เรากระทำนั้น ถ้าเราตั้งใจมาก การกระทำของเราก็เป็นคนที่ตั้งใจทำ  เหมือนสั่งให้ศิษย์พับผ้าสักผืนหนึ่ง คนตั้งใจพับกับคนไม่ตั้งใจพับ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  เหมือนสั่งให้ศิษย์ล้างชามสักใบหนึ่ง  คนที่ตั้งใจล้างกับคนที่ไม่ตั้งใจล้างเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  คนที่ล้างชามไม่สะอาด พับผ้าไม่เรียบร้อย เขาก็บอกว่าไม่มีใจทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงเอาใจมาอ้างอีก ก็เพราะ  ทุกอย่างออกมาจากใจศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อศิษย์บอกว่าศิษย์มีใจบำเพ็ญก็ให้ทำอย่างคนมีใจบำเพ็ญ ช่วยเหลือผู้อื่น ฝึกความเมตตา  เมื่อศิษย์บอกว่าศิษย์มีใจที่อยากจะหลุดพ้น ก็ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจสร้างกุศล คุณงามความดี ขยันให้มากขึ้นๆ ในทุกวัน  อย่าบอกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ยุ่งยาก มากเรื่อง  ถามว่าในโลกนี้มีเรื่องใดที่ง่ายๆ บ้าง  ขนาดจะกินข้าวยังต้องมองคนอื่นว่าใช้ช้อนอย่างไร ถ้าศิษย์ทำไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างมีการเริ่มต้น  เริ่มต้น        ยากหน่อย ลำบากหน่อย  แต่หวังว่าศิษย์คงไม่ท้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะมาเป็นพุทธะ  เราไม่ได้มาเป็นปุถุชน  ปุถุชนเหมือนคนที่ไหลตามน้ำ ทำตัวสบายๆ แต่พุทธะเหมือนคนที่ทวนกระแสน้ำ เหมือนกับปลาที่ไม่ปล่อยให้น้ำพัดพาลงสู่ที่ต่ำ  แม้กระทั่งเวลาหลับ  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้หลับหรือตื่นอยู่ (ตื่น)  ตื่นอยู่ ปล่อยน้ำแห่งความสบาย ปล่อยน้ำแห่งกิเลสนั้นพาตนเองไปเบื้องล่าง   ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ต้องเชื่อมั่นว่าศิษย์นั้นเป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้อง     เชื่อมั่นว่าใจอันขุ่นหนักของเรา ใจอันไม่ได้เรื่องของเราอันนี้ เราจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้  ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นได้  มีใครนึกดูถูก ตัวเองไหมว่า เรานั้นเป็นบุคคลธรรมดา อยู่ดีๆ จะไปเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์        ได้อย่างไร  ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ มากับอาจารย์  มีศิษย์หลายคนในที่นี่มีความคิดว่าตนเองนั้นเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีอะไรวิเศษวิโส แล้วจะมาบำเพ็ญเป็นพุทธะได้อย่างไร  ขอเพียงศิษย์มีร่างกายพร้อมบริบูรณ์นี้ ศิษย์ก็เป็นพุทธะได้  มีความไม่เข้าใจอยู่มากมายค่อยๆ คลายไปทีละเรื่อง ใช้เวลามากหน่อย หวังว่าจะ     เสียสละเวลาตรงนี้  ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ ให้เข้าใจมากๆ ให้รู้มากๆ จะได้ช่วยคน   ได้มากๆ  ตั้งใจให้ดีๆ มั่นคงให้มากๆ  เสียสละเวลาสักนิดหมั่นทำให้มากๆ
ศิษย์ตั้งหลายคนอยู่ที่นี่  บอกให้อาจารย์ไม่ห่วงไม่อาลัย คงเป็นไปไม่ได้  อาจารย์มีแต่บอกศิษย์ว่า  บำเพ็ญดีๆ ศึกษาให้มากๆ มั่นคงให้นานๆ  นี่คงเป็นคำสุดท้าย ที่อาจารย์ควรจะพูดกับศิษย์มากที่สุด หากศิษย์ได้รู้ว่าคนที่มีความทุกข์มากๆ เป็นความทุกข์ที่ผู้อื่นนั้นหามาให้เรา แล้วเราไม่มีทางแก้ไขได้ ได้แต่ยืนมองดู เอาใจช่วย คงรู้ว่าความรู้สึกของอาจารย์ตอนนี้เป็นอย่างไร  อาจารย์ ไม่รู้ว่าจะบอกศิษย์อย่างไร  หากว่าอาจารย์เวียนว่ายตายเกิดแทนได้ แล้วพาศิษย์ให้รู้ตื่นได้โดยฉับพลัน  ถ้าทำได้อาจารย์ทำแล้ว  แต่กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นต้องรับ  จนวันสุดท้าย จนหมดสิ้น  อาจารย์ทำสิ่งนั้นไม่ได้เลยเพราะอาจารย์นั้นเป็นธรรมชาติ  อยู่กับธรรมชาติ  การเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็ฝืนธรรมชาติ    ไม่ได้  จึงได้แต่บอกว่าให้บำเพ็ญ ศึกษาให้เข้าใจ มั่นคงให้นานๆ  มีอาจารย์อยู่ในใจ อย่าเขี่ยอาจารย์ทิ้งไปนอกใจ  วันหน้าขอให้อาจารย์ได้พบศิษย์อีก





                      ถูกความคิดพาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง        ความเป็นจริงอยู่หนไหนเร่งไปหา
                หลงและตื่นใช่อยู่ที่หลับลืมตา                         กลืนความขมหวานตามมาไม่เป็นอื่น
                หายใจเข้าเอาความกล้ามาบำเพ็ญ               ใช้ธรรมะกันเป็นไหมไถลลื่น
                ความเข้าใจเพราะศึกษาทุกวันคืน                  ดีใจเมื่อศิษย์ข้าตื่นโดยเร็ววัน
                แผ่เมตตาพาจิตใจให้มีสุข                                ไปล้มลุกคลุกคลานอย่าโศกศัลย์
                รักษาโอกาสรู้ทางแท้มิปล่อยนาน                  ช่วยจิตญาณแห่งตนนี้สว่างคืน
                ทำงานแห่งดินฟ้าศรัทธาไว้                             แห่งหนใดพากันถ้วนทั่วตื่น
                ฟ้างามตาคือใจศิษย์อันสดชื่น                         แบกผู้อื่นไม่หนักใจเพราะเต็มใจ
                ขึ้นมาบนเรือธรรมง่ายอย่าละทิ้ง                    บ่าทั้งสองแห่งคนจริงช่างกว้างใหญ่
                ปัญญาเอ๋ยศิษย์อย่าลืมเฝ้านำใช้                   นำตนเองก้าวไกลไม่ท้อกลางคัน
                สู่ธรรมนี้ด้วยมั่นคงใจไม่ท้อ                              ความรู้พอพาให้เกิดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
                ก้าวสู่ปลายย่อมเกิดจากก้าวแรกนั้น             ไกลไม่หวั่นหวั่นไม่ยอมจะก้าวเดิน

ฮา   ฮา   หยุด


       พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  ธรรมะคือเข็มทิศของจิตใจ

ส่งมวลดีงามยุติห้ำหั่น  ล้างภัยใจความอิจฉา  ต่างเป็นแรงใจกันและกันหนา  หนึ่งชั่วชีวาบำเพ็ญหลุดพ้น  ให้มุ่งมั่นจากใจอันตื่นรู้   ย้อนมองดูอย่ามองแต่ผล  คนดีดีมาจากวิริยะส่งผล  เสรีสู่ความยิ่งใหญ่ 
                เกิดตายวนเวียนมิสิ้นสุด  โลกดั่งทางผ่านมาผ่านไป   กี่ปีที่ผ่านอย่างไร้ความหมาย  ก็คล้ายเดินบนทางมืดเสี่ยงนัก  ฟื้นฟูใจจากที่ป่วยล้มหนัก  เข้าใจในสัทธรรมอันแอบแฝง  ต่างมีใจกล้าแกร่ง  อดใจคำสรรเติมแต่ง   แม้ยากฝ่าไปไม่หวั่น

                ปลุกคนหลงช่างฝัน  เกียจคร้านคนจะหมดความนับถือ  ผู้เพียรใช่แต่ชื่อ   กระทำนำสื่อความตั้งใจ         ถูกความหลงกลืนหาย ใช้ความดีแผ่ไปรักษา ช่วยทำงานแห่งฟ้าแบกขึ้นบ่า ปัญญานำสู่ความก้าวไกล

                                                                                                                                   ทำนองเพลง : จี้เฮ่า


ชื่อเพลง  : วิริยะบำเพ็ญ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2542

2542-06-05 พุทธสถานเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2542-06-05-เซิ่งเต๋อ #11.pdf

วันเสาร์ที่  ๕  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ฟื้นฟูใจแห่งพุทธะคืนใสงาม ด้วยพยายามไม่ท้อถอยแลพลั้งเผลอ
แม้จะพบเหล่ากิเลสมิเผอเรอ เสมอต้นเสมอปลายมิโลเล
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ     เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา
วันเวลาหมุนเปลี่ยนไม่รอคน จากเด็กจนเป็นผู้ใหญ่อันวัยสูง
มาย้อนมองกันสักครั้งไม่ถูกจูง โดยกิเลสอันรุ่งริ่งให้เห็นตาม
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันไร้แน่เที่ยง ให้ตื่นเลี่ยงความลุ่มหลงรู้ไหมหนา
ดั่งน้ำพิษกระเด็นถูกนัยน์ตา น้องอย่าช้าชำระล้างทันท่วงที
ในวันนี้เป็นวันดีประชุมธรรม ขอให้นำจิตเปิดออกอย่ากังขา
ขอให้มีจิตเปี่ยมล้นด้วยศรัทธา เพียรธรรมาจะต้องมีเพียงหนึ่งใจ
ขอให้รู้ศึกษาธรรมให้แน่ชัด เดินทางลัดก็ใช่ว่าจะง่ายง่าย
ละกิเลสในใจตนโล่งสบาย ถึงสุดปลายถึงบอกได้ใครพุทธะจริง

อันอุปสรรคทดสอบใจคนจริงนี้ หากยอมพลีเพื่อประชาเมตตาไว้
แต่ก่อนอื่นต้องบำเพ็ญจากภายใน ภัยมากมายล้วนเกิดจากตัวเราเอง
ในบัดนี้เป็นยุคขาวแผ่โปรดกว้าง ได้รู้ทางอย่าทิ้งไปเสียเฉยเฉย
เริ่มต้นด้วยปรับปรุงตนความชินเคย ไม่ละเลยกตัญญูเป็นยอดคน
สองวันนี้ขอตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพพุทธะระเบียบแห่งสถาน
รักษาไว้ซึ่งจิตใจอันชื่นบาน กลับคืนบ้านวันหน้าพร้อมเพรียงกัน
ในวันนี้เป็นวันแรกการเริ่มต้น ขอกมลละสิ้นกังวลทั้งหลาย
จะขึ้นหรือจะลงอยู่ที่ใจ ขอให้ใช้ปัญญามาตรึกตรอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจศึกษาเถิดศิษย์น้อง
ดำเนินชีวิตอยู่ในหลักธรรมครรลอง ในโลกท่องจนทั่วแล้วไร้เที่ยงคืน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่  ๕  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ออกเดินทางไปช่วยคนนะ ชนะใจตนเร็ววัน
จะเคืองไปไยเรื่องเก่านั้น กระจ่างจันทร์ข้างในใจ
เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนใหม่ ไม่ท้อสู้ทนทุกอย่าง
ไม่มีประโยชน์ก็อย่าไปคิด ไม่รั้นตามใจตนเอง
         เพลง : เตรียมพร้อมเดินหน้า
ทำนองเพลง : I have two eyes to see with
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ     แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว รีบวิ่งมาหาท่าน   ถามเมธีทุกท่านวันนี้ยิ้มหรือยัง
ฟื้นฟูใจเดิมแท้ให้ปรากฏ งามหมดจดอนุตตรภาวะประดุจราก
เปรียบเมธีบำเพ็ญธรรมการข้ามฟาก ความสำเร็จต้องเริ่มจากความพยายาม
ความลำบากรากหยั่งการรู้คิด หลีกเลี่ยงนำชีวิตต้องคมหนาม
ส่งเสริมให้มนุษยธรรมนำรูปนาม พุทธะงามใจแจ้งการแจ้งใจ
เผลอสติจะผิดทำให้พลาด ความประมาทมีทุกคนให้แก้ไข
ปัญญาแคล่วคล่องคิดเรื่องน้อยใหญ่ ทำอะไรตริตรองก่อนลงมือ

มิจฉาพูดกระทำเข้าก็มีภัย อุปนิสัยใดที่บ่อยมากอัตตาถือ
ขัดเกลาจากเล็กน้อยขึ้นรับมือ ละทุกสิ่งคือกิเลสจะสบาย
ฉุดชีวิตเมามึนไม่ตกต่ำ ไม่ยอมถลำสู้ด้วยใจขวนขวาย
ลักษณะแห่งผู้บำเพ็ญคุณธรรมรู้จักให้ พาเวไนยข้ามทะเลด้วยความดี
อย่ามองข้ามทุกข์สามารถสอนชีวิต มาพินิจกันทุกคนเวลานี้
มีสุขมากกว่าทุกข์ทุกชีวี ดั่งราตรีมีจันทรานวลส่องทาง
ฮิ  ฮิ  หยุด




พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
วันนี้ยิ้มหรือยัง ใครยังไม่ได้ยิ้มบ้าง วันนี้ได้ยิ้มบ้างหรือยัง (ยิ้มแล้ว)  เราอยู่บนโลกนี้ มีแต่เรื่องทำให้เราปวดสมอง ทำให้เราเครียด วิตกกังวล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรให้หายเครียด หายปวดสมอง ทำให้เรามีจิตใจเบิกบาน สดชื่นแจ่มใส ทำให้เราไม่เป็นคนอมทุกข์ ยิ้มได้ เขาบอกว่าเป็นคนอมทุกข์แล้วก็คลายทุกข์ทิ้งใช่ไหม แล้วทำอย่างไรให้เรายินดีมีความสุขเวลาอยู่บนโลกนี้ อยู่บนโลกนี้มีเรื่องกลุ้มใจไหม (มี)  มีแต่เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ทุกข์ใจกังวลใจ หรือไม่ก็หนักใจ  ส่วนเรื่องที่ทำให้สบายใจ ปลอดโปร่งใจ เบาใจนั้นมีน้อยเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือปล่อยให้เป็นอย่างนี้ทุกๆ วัน ให้เราช่วยเหรอ ง่ายๆ ก็แค่ยิ้ม ดีหรือเปล่า (ดี)  เวลาทุกข์ก็ยิ้มสู้  เวลาท้อก็ยิ้มให้กับตนเองบ้าง แต่เราต้องรู้ด้วยว่าบางครั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้น บางอย่างก็เกิดจากตัวเราเป็นคนก่อ บางอย่างก็เกิดจากคนอื่น เป็นคนมาทำให้เราทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนทำดีกับเรา เราก็ดีตอบเขาได้อย่างสบายใจ ได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าคนที่ทำไม่ดีต่อท่าน ท่านจะทำอย่างไร (ยิ้มตอบ)  แม้เขาจะไม่ดี แต่เราก็ยิ้มให้เขาตลอดไป ดีหรือไม่ แต่จริงๆ แล้ว เวลาเขาไม่ดีต่อเรา เรามักจะ จองเวรเขา  หรือไม่ก็ไม่ดีกลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การทำไม่ดีกลับกับเขาถือเป็นความหายนะกับตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  คำว่าจองเวรคือคำว่าหายนะ เป็นความหมายที่ใกล้เคียงกัน แล้วทำไมเราถึงบอกว่าจองเวรก็คือการนำไปสู่ความหายนะ ท่านว่าการจองเวรนำไปสู่ความหายนะกับชีวิตไหม การจองเวรกัน สมมติเขาไม่ดี เราก็ไม่ดีตอบเขา อย่างนี้เรียกว่าจองเวรใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การจองเวรคือการพาเราไปสู่ความหายนะ  เพราะเราอดไม่ได้ ถ้าแรงมาก็แรงตอบ และถ้าเกิดว่าแรงของเราขาดการยับยั้ง อาจจะไปพรากชีวิตเขา  เมื่อพรากชีวิตเขา เราก็อาจจะถูกติดคุกใช่หรือเปล่า(ใช่) ที่เราจองเวรกับเขา ก็เพราะว่าใจเราคับแคบ ใจเราไม่เปิดกว้าง คนที่ใจคับแคบไม่ใช่ทำร้ายแต่คนอื่น แต่ทำร้ายตนเองด้วย  หากคนเราเปิดใจกว้างให้อภัยกัน มองกันในแง่ดี เป็นพลังอันบริสุทธิ์ แต่การเอาความคับแคบ เอาความจองเวรมาขับเคี่ยวกัน มาโต้ตอบกัน ย่อมเป็นการนำไปสู่ความมืด แล้วก็นำไปสู่ความทุกข์ทนและทรมานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนการมีใจกว้างกับการอภัยให้กัน การใจกว้างนั้นนอกจากจะทำให้เราเป็นสุขแล้ว ยังทำให้เราอารมณ์เย็น  จิตใจปลอดโปร่ง  ความคิด แจ่มใส ทำอะไรย่อมมองเห็นได้ชัดเจน และทะลุปรุโปร่ง ไม่เหมือนใจที่คับแคบ คนที่ใจคับแคบมักจะเป็นอย่างไร ใครดีก็ริษยา เวลาสู้เขาไม่ได้ก็เจ็บใจ   แล้วเวลาเขามาเอาเปรียบเรา เราก็เคืองแค้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) ปัจจุบันนี้ยิ่งโลกเป็นอย่างนี้ปัญหาก็มีมากมาย เราต้องรู้จักใช้ท่าทีที่เป็นในการอยู่ร่วมกัน  ใช้ท่าทีไหนที่จะทำให้เรามีความสุข ท่าทีที่เปิดใจกว้าง เปิดใจกว้างแล้วยิ้มง่ายๆ ให้อภัยเป็น แล้วใจเราก็จะเยือกเย็น สมองเราก็ปลอดโปร่ง จิตใจเราก็แจ่มใส ชีวิตเราก็เป็นสุขแค่นี้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แค่นี้เรามักทำไม่ได้ แสดงว่าใจไม่เปิดกว้าง คับแคบ เรามักจะมีความขุ่นเคือง ขุ่นข้อง หมองใจ เวลาอยู่ร่วมกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามักจะไม่อภัยเขาอย่างเต็มที่ ไม่สามารถเปิดใจกว้างรับเขาได้ เพราะว่าเรารู้ข้อไม่ดีของเขา พอเราเห็นข้อไม่ดีของเขา เวลาเราอยู่ร่วมกัน เราก็เลยยากจะเป็นสุขกับเขาได้ ยากจะประสานกลมกลืนกับเขาได้อย่างฉันท์มิตร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราเจอข้อไม่ดีของเขา ก็รีบๆ ล้างออกก่อน  อย่าเอาข้อไม่ดีของเขามาอยู่ในใจเรา ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่กับเขาได้อย่างไม่เป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเต้นท่าประกอบเพลง)
ขยับเขยื้อนแล้วมีความสุขไหม (มี) การควบคุมขาควบคุมยากไหม (ยาก) แล้วเวลาจะควบคุมใจไม่ยากกว่าหรือ (ยาก) แต่เรื่องยากๆ นั้นจะกลับเป็นเรื่องง่าย ถ้าเราหมั่นฝึกฝนใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้มาศึกษาธรรมะก็เพื่อจะนำกลับไปปฏิบัติ ในชีวิตซึ่งดูเหมือนยาก แต่ถ้าหมั่นทำ หมั่นศึกษา หมั่นเข้าใจก็อาจจะเป็นเรื่องง่ายได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมะเพื่ออะไรกัน ทำไมเราต้องศึกษา  ชีวิตเราในวันพระเราก็เข้าวัด เข้าไปศึกษาธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้ทำไมต้องมีการรับธรรมะ รับธรรมเสร็จแล้วก็ต้องมาฟังว่า ที่รับไปนั้นคืออะไร มีประโยชน์อะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนมีพุทธจิตธรรมญาณที่เป็นพุทธะแฝงอยู่ในตัวเรา เป็นธรรมะที่อยู่ในกายเรา การรับธรรมะคือการได้รู้ธรรมะที่แฝงอยู่ในตัวเรา ให้เราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง ว่าการที่เราจะนำพาชีวิตเรานั้น เรายังมีอีกตัวตนหนึ่งที่จะนำพาเราไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวตนนั้นอยู่ในตัวเราลักษณะอย่างไร ถ้าบอกว่าเป็นแก้ว ก็ต้องเป็นแก้วกลมๆ ที่ใส หากจะพูดว่าไม่มีรูปร่างเป็นเหมือนเสียงอันหนึ่งที่คอยบังคับชีวิตเราให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินหน้า เดินตรง ถอยหลังใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวตนนั้นแหละที่ท่านจะต้องรู้ จะต้องมีธรรมหรือไม่มีธรรม และสามารถที่จะพาท่านหลุดพ้นจากการเวียนว่ายขึ้นอยู่กับตัวตนนั้นเอง ถ้าตัวตนนั้นดีหรือสิ่งที่แฝงอยู่ในตัวเราเป็นสิ่งที่ดี การจะนำพาชีวิตเราย่อมจะไปพบแต่ในเรื่องที่ดีๆ ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรในตัวเราบางครั้งถึงมีทั้งดีบ้างและไม่ดีบ้าง ที่ไม่ดีใช่มีอยู่แล้วหรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่ที่ไม่ดีเป็นเพราะว่าเราไปติดอะไรมา แต่ถ้าเราพูดว่าทุกคนเมื่อก่อนเป็นคนดีหมดแต่เพราะว่าติดความความชิน ติดอารมณ์ ติดกิเลส ติดตัณหา จึงทำให้เราเผลอพลั้งทำผิดพลาด กลายเป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วสิ่งที่ทำให้เราติดนั้นเป็นอะไรล่ะ สิ่งที่ทำให้เราชอบทำผิดบ่อยๆ นั่นก็คือ ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  พวกเราส่งเสริมอะไรกัน เราไม่ได้ส่งเสริมให้คนมีคุณธรรม มีความดี แต่เรามักจะส่งเสริมให้ชีวิตต้อง มีเงินเยอะๆ  มีเกียรติ มีตำแหน่งสูงส่ง เมื่อเรามีเงินเยอะๆ มีเกียรติ มีตำแหน่ง แต่คุณธรรมเรากลับน้อยลงทุกวัน เรามัวแต่เฝ้าหาเงินทอง เกียรติยศ เพราะคิดว่าเงินทองและเกียรติยศนำมาซึ่งความสุข สามารถซื้อความสุขได้ แต่แท้ที่จริงแล้วมีเงินซื้อสุขได้ไหม (ไม่ได้)  อาจจะบอกว่าซื้อได้ ซื้อบ้านหลังสวยๆ ซื้อเตียงนอนใหญ่ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลงรักษ์ปิดทองอย่างดีเลย แต่เงินหรือเกียรตินั้นสามารถซื้อการให้เราหลับบนเตียงอันสวยงาม หลับในบ้านอันสวยงามได้เป็นสุขไหม (ไม่)  บางทีไม่เป็นสุขเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเงินเยอะๆ  ตึกสูงๆ สามารถซื้ออาหารให้ท่านได้ไหม (ได้)  แต่ซื้อความอยากให้ท่านได้หมดไหม (ไม่ได้)  อะไรล่ะที่จะซื้อความอยากและดับความอยากทั้งหมดให้เราได้อย่างแท้จริง ใช่เงินหรือไม่ (ไม่ใช่)  สิ่งที่จะช่วยดับความอยากในใจเราได้ ดับความอยากในกายเราได้นั้นคือธรรมะต่างหาก แต่บางคนอาจจะบอกว่ามีเงินดีนะ มีเงินทำให้เราสามารถทำประกันชีวิตได้  ไม่ต้องกลัวตาย มีประกันแล้วปลอดภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ  แล้วมีเงินซื้อประกันได้แต่ว่าซื้อชีวิตได้ไหม ซื้อตอนเราตายใช่หรือเปล่า แล้วเงินที่ซื้อประกันสามารถรักษาความปลอดภัยให้ชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  แม้จะมีเงินมีเกียรติ แต่ชีวิตเราไม่ใช่มีค่าเพียงเพื่อการหาเงินหรือมีเงินเท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตของเรายังต้องมีคุณค่าอีกอย่างหนึ่งที่เหนือกว่าเงินทองทรัพย์สิน นั่นคือการรู้จักมีธรรมะให้กับชีวิตตนเอง หรือจะพูดว่าคนมีเงินนับเป็นน้องมีทองเขานับเป็นพี่ ฉะนั้นจะต้องมีเงินมีทองเขาจะได้มีพี่มีน้อง มีธรรมะแล้วเป็นคนที่ไม่มีพี่น้องจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คนบำเพ็ญธรรมะไม่เคยโดดเดี่ยวใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมะหากเขาบำเพ็ญได้ดีมองไกลย่อมน่าเคารพ เข้าใกล้ย่อมรู้สึกอบอุ่นและร่มเย็น  แต่คนมีเงินมองไกลแล้วเป็นอย่างไร (น่าไปขอยืม)  เข้าใกล้แล้วกลัวเพราะกลัวจะต้องจดบัญชี จดดอกเบี้ย มีชีวิตเอาแต่หาเงินหาทองอย่างเดียว จริงๆ แล้วไม่มีค่าพอเพียงเลย ค่าของชีวิตจะมีได้ จะเป็นสุขได้นั่นคือการมีอย่างรู้พอ มีอย่างรู้ประมาณ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า แม้ท่านจะรู้สึกว่าการมีเงินมีทองคือสิ่งที่มีคุณค่า แต่พุทธะอาจถือการไม่มีหรือถือการมีอย่างพอเหมาะย่อมมีค่าต่างหาก เข้าใจไหม (เข้าใจ)  คนทั่วไปมักเข้าใจว่าการมีเงินเยอะๆ มีเกียรติสูง และตำแหน่งเป็นสิ่งมีค่าสำหรับชีวิตแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรารู้จักลดละกิเลส รู้จักนำพาชีวิตไปสู่ความสุข ท่านจะรู้ว่าการมีน้อยหรือการไม่มีหรือมีเพียงพอมีคุณค่าที่สุด เพราะมีมากเกินไปเวลานอนก็ก่ายหน้าผากใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะทำอย่างไรจึงเรียกว่ามีอย่างพอดีแล้วเป็นสุข  มีหนึ่งบาทก็มีความสุขแล้วสำหรับเด็กตัวเล็กๆ หรือไม่ท่านอาจจะมีหนึ่งบาท แม้ท่านจะอายุสี่สิบท่านก็มีความสุขเพราะว่าอะไร  เพราะยามเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงโจร ก็มีเพียงหนึ่งบาทจะเอาไปมากกว่านี้ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่ามีเงินเป็นสิบเป็นร้อยอยู่ในกระเป๋าท่านกลัวไหม (กลัว)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจชีวิตนั้นไม่ใช่มีค่าเพียงแต่การมีเงินมีทองจึงเรียกว่าคนมีค่า การมีคุณธรรมย่อมมีค่าได้เหมือนกัน
ท่านเคยเห็นรากไม้ไหม ทำไมเคยล่ะ เพราะว่าเคยไปขุดมาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านจะเห็นธรรมะได้ไหม(ได้)  ก็ต่อเมื่อท่านไปลงมือศึกษาหรือค้นคว้ากันใช่หรือไม่ (ใช่)  จำเป็นหรือไม่ว่าสิ่งที่อยู่ในความสกปรกต้องสกปรกเสมอไป บางครั้งอาจจะสะอาดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านอยู่ในโลกใบนี้สกปรกหรือสะอาด(สกปรก)  จำเป็นหรือไม่ว่าใจท่านต้องสกปรก ใจท่านย่อมจะสามารถสะอาดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นอยู่ว่าใจเรานั้นรู้จักเลือกสรร รู้จักกลั่นกรอง รู้จักทำตัวเองให้เป็นคนอย่างไรต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่โทษคนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ฉันเลยไม่ดีเธออย่ามาว่าฉัน ต้องโทษรากต่างหาก ไม่ยอมดูดซับตัวเองทำตัวเองให้เน่าเองทำไม เห็นรากไม้หรือเปล่า โดยธรรมชาติแม้ว่าอยู่ในโคลนตมก็ยังขาวสะอาด แม้อยู่ในดินอันสกปรกคนทิ้งสิ่งไม่ดีต่างๆ ลงไปก็ยังขาวสะอาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังทำตัวให้ตัวเองเติบโตเป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็นได้เหมือนกัน ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกันทำอย่างต้นไม้ได้ไหม หรือบอกว่าฉันเป็นคนหนังเหนียวแล้วเคี้ยวยาก ฉันเป็นไม้ที่แก่แล้ว ดัดอย่างไรก็ดัดไม่ไหว มีแต่จะหักไป เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แขนท่านยังงอได้ก็แปลว่ายังไม่แข็ง บอกว่าตัวเองแข็งหนังเหนียวได้อย่างไร เฉือนทีไรก็ถูกบาดทุกที ไม่เหนียวด้วยและยังไม่แข็งด้วย ยังเป็นคนที่อ่อนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่แข็งก็คือคนที่ตายแล้ว คนที่เฉือนไม่เข้าก็คือไม่มีให้เฉือนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  มีสำนวนกล่าวไว้ว่าแดนมนุษย์โลกกับแดนสวรรค์มีทะเลทุกข์ขวางอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะทำอย่างไรจึงจะข้ามฟากไปได้(นั่งเรือ)  เราจะเอาเรือที่ไหนยังไม่ได้สร้างเลย ต้องบอกว่าสร้างเรือแล้วนั่งเรือข้ามฝากใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนรู้วิธีจะดำเนินแต่ลืมการสร้างให้กับตัวเองก่อน  เรารู้ว่ามนุษย์โลกคือแดนแห่งทะเลทุกข์ซึ่งขวางกั้นอยู่  รอวันที่เราจะข้ามไปถึงฝั่ง จะมีใครบ้างที่รู้จักทำตัวเองให้ไปถึงฝั่งนิพพาน บางคนได้แต่นั่งถอนหายใจ ทุกข์จังเลย ไม่ดีเรื่อยเลย บางคนตอบง่ายๆ ทำอย่างไรรู้เปล่า ก็เดินข้ามไปใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทำบุญเจริญภาวนา รักษาศีล บริจาคทาน บริจาคทาน มีสามอย่างเท่านั้นเอง การทำบุญเจริญภาวนา รักษาศีล ก็ยังได้เหมือนกันแต่ก็ยังไปไม่ถึงที่สุด ใช่หรือไม่(ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่ายังไม่ถึงที่สุด ที่สุดนั้นที่เราได้เรียนรู้ศึกษามา นอกจากช่วยตัวเองได้แล้วเราต้องรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตอนนี้เรายังไม่สามารถบรรลุได้แต่ถ้าหากเราบำเพ็ญไปด้วยช่วยคนอื่นไปด้วยย่อมเป็นการเกื้อหนุนและหนุนนำ ค้ำจุนให้เราบำเพ็ญได้ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อสักครู่เราบอกว่าเพียงแต่เดินข้ามไปเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ นั่นคือเพียงแต่เดินข้ามไปเองเราก็ไปถึงแล้ว เพราะอะไรบางคนถึงเดินข้ามไปไม่ได้ เมื่อเดินข้ามไปแล้วจมหายไปเลย ก็เพราะว่าวัฏฏะแห่งโลก หรือว่าวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายต่ายเกิดของมนุษย์นั้นมีมาก มีหลายพันปีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่ามีมาก นั่นเพราะว่ามนุษย์เราต่างมีกรรม และมีเวรที่สร้างกันมาใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ความยากง่ายในการบำเพ็ญแตกต่างกันไป บางคนก้าวนิดเดียวก็บรรลุแล้ว ทำไมก้าวเดียวแล้วบรรลุนั่นก็คือท่านได้บำเพ็ญมาแล้ว เมื่อได้รับการชี้หนึ่งจุดสามารถกลับคืนได้แล้วเหมือนการก้าวๆ เดียว แต่เป็นเพราะเราแม้จะได้รับการชี้และศึกษาบ้างแล้วแต่ทำไมจึงต้องก้าวตั้งหลายก้าวยังไม่ถึงสักที นั่นเพราะว่าเรายังมีกิเลส เรายังมีธุลี เรายังมีความสกปรกที่อยู่ในจิตใจทำให้เรายากที่จะกลับคืนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่บนโลกนี้เรามักจะเป็นวัตถุมาก่อน คุณธรรมมาทีหลังใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาทำอะไรไม่รูปมาก่อนก็เป็นนามมาก่อน บางทีทำอะไรจะคำนึงถึงผลประโยชน์ก่อน เป็นเช่นนี้หรือเปล่า เงินมาก่อนซื่อสัตย์มาทีหลัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาค้าขายกำไรต้องมาก่อน น้ำใจทิ้งไว้ทีหลังดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีแล้วท่านทำเช่นนี้ทุกวันเลย วันนี้ได้มากจึงละ เพราะอะไรเราจึงเป็นกันอย่างนี้ เพราะว่าเมื่อมนุษย์มีคำว่าอยากขึ้นมา เราไม่สนใจคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราไม่สนใจคนอื่นความอยากของเราก็พร้อมที่จะออกมาทำร้ายเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  เช่นเดียวกันมนุษย์รักความสบาย ทุกคนรักความสบายไหม (รัก) แล้วชอบไหมที่ทำอะไรตามสบายตามใจชอบไหม (ชอบ) เคยไหมเวลาที่เราทำตามสบายแล้วกลับเป็นการเอาเปรียบเขา กดขี่ข่มเหง ให้เขาทำมากกว่าแล้วเราทำน้อยกว่าเพื่อความสบายของเรา เคยหรือไม่ (เคย) เรารักความสบาย เรียนหนังสือหนักจังกลับมาบ้านก็ขอนอนก่อนนะ แม่ทำอาหารให้ทานเร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  น้องไปเอาน้ำมาให้พี่ดื่มหน่อยสิพี่เหนื่อยจังเลย หรือไม่สามีบอกว่าอย่างไร ให้คุณมาช่วยนวดหน่อยสิทำงานมาทั้งวันยังจะมาใช้ผมซักผ้า ทำงานโน้นอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือไม่ภรรยาก็บอกฉันทำหน้าที่ล้างจานแล้วคุณไปซักผ้าบ้างสิ ไปถูบ้านบ้างสิใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าได้แต่หวังในความสบายของเรา ความอยากของเรา มองแต่ตนเอง ต้องรู้จักมองผู้อื่นด้วย
ทำไมเราถึงบอกว่าต้องรู้จักมองผู้อื่นด้วย บางคนนั้นเรารักความสุข แต่เรื่องใดที่ทำให้เราต้องเดือดร้อน วุ่นวาย เราคิดว่าเราไม่อยากเข้าไปยุ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเห็นคนถูกขโมย ถูกตีถูกทำร้าย หรือข้างๆ บ้านมีเรื่องขึ้นมา เรากลับนั่งเงียบ กลัวภัยจะมาหาเราทำแบบนี้ผลจะเป็นอย่างไร เรามัวแต่กังวลความสุขของตนเอง ไม่อยากยื่นมือไปช่วยคนที่ทุกข์ร้อน คนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนเราจึงแล้งน้ำใจกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ขาดแคลนความดีที่ยื่นให้แก่กัน ก็เพราะว่าเรามัวแต่รักความสุขของเราจนเกินไป กลัวเราจะเดือดร้อน เราจึงไม่คิดยื่นมือไปช่วยคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้คนดีถูกทำดีมานักต่อนักแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง)  การเห็นแต่ตนโดยไม่มองผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ความเห็นแก่ตนเป็นมูลรากแห่งการเกิดภัยทุกๆ ชนิด น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  แล้วอยากทำไหม รู้อย่างนี้คงไม่อยากทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เป็นเพราะอะไร เวลาเราทำอะไรเรามักจะคิดถึงตนเองก่อน คนอื่นไว้ทีหลังฉันต้องสุขก่อน คนอื่นช่างเขา แต่ความเห็นแก่ตัวนั้น เป็นเหตุที่ทำให้เราสามารถคดโกงได้ เอาเปรียบเขาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  รังแกเขาได้ลง เบียดเบียนเขาได้ ฆ่าเขาได้เพราะว่าความเห็นแก่ตนเท่านั้นเอง ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้เราอย่าได้เห็นแก่ตนมาก ต้องรู้จักคำนึงถึงสุขของคนอื่นด้วย หากเราสุขแต่ทั่วโลกทุกข์ ท่านจะสุขได้เต็มที่หรือ ย่อมไม่เต็มที่ ย่อมไม่สบายใจเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราศึกษาร่วมกันใช่ไหม (ใช่)  ทำอะไรก็ทำพร้อมกันใช่หรือไม่ (ใช่)  การทำอะไรเป็นหมู่คณะ ยากไหม (ยาก)  เราจะคำนึงถึงแต่ตนเองได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องมองดูคนรอบข้างด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อย่างนั้นเราจะยืนหัวโด่ แล้วยังทำให้ผิดทั้งแถวใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราทำอะไรไม่ได้คำนึงถึงแต่ตนเอง แล้วเรายังมีความรับผิดชอบคำนึงถึงคนอื่นด้วย การทำงานก็ย่อมสามารถบรรลุผลแล้วสำเร็จผลร่วมกันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราขาดความรับผิดชอบ ขาดการดำรงตำแหน่งของตัวเองให้เหมาะสม ขาดการทำงานอย่างเหมาะสม การงานย่อมสูญเสียและเกิดการผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักหน้าที่ของเรา ตอนนี้หน้าที่เราคืออะไร กำลังทำอะไร เรารับผิดชอบต่อหน้าที่ ดีพร้อมหรือยัง คนทุกคนไม่ใช่มีหน้าที่เดียว ไม่ใช่มีภาระเดียว ต่างมีหลายภาระ ต่างมีหลายหน้าที่ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราเป็นคุณพ่อ บางครั้งคุณพ่อก็เป็นเจ้านาย หรือเป็นผู้ตามใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งท่านเป็นคุณแม่ แต่คุณแม่ก็อาจจะเป็นได้ทั้งพี่สาว น้องสาวของตนเองด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตำแหน่งของความเป็นแม่นั้นยังมีภาระอะไรอีก เป็นบุตรได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นอะไรได้อีก เป็นหัวหน้าเขาก็ได้ เป็นลูกน้องเขาก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องตรวจสอบดู ว่าเรารับผิดชอบในหน้าที่ของชีวิตพร้อมไหม สมบูรณ์หรือเปล่า ถ้าเรารับผิดชอบในหน้าที่พร้อมสมบูรณ์โดยไม่ทำอะไรเห็นแก่ตนเพียงอย่างเดียว ยังคำนึงถึงประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อสังคม หรือสิ่งที่เราทำหน้าที่ในสังคมอย่างเหมาะสมนั้น ย่อมทำให้สังคมนั้นเป็นสุขได้ สงบสุขได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าลูกเอาแต่ใจตนเอง ไม่คำนึงถึงจิตใจพ่อแม่ พ่อแม่ย่อมเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราทำงานเอาแต่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ คนอื่นย่อมเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราดำรงตำแหน่งหน้าที่เรารับผิดชอบต่อหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และมีคุณธรรมถึงพร้อมด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการบำเพ็ญอย่างถูกต้อง ปกติเราได้ทำอยู่แล้ว แต่ต้องทำให้สมบูรณ์ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำให้สมบูรณ์นั่นยกตัวอย่างเช่น เวลาแม่ต่อว่าเรา เราอดใจไม่เถียง ยอมรับฟัง เวลาหัวหน้าต่อว่าเรา เรายังเคารพเขาได้ แม้เขาจะต่อว่าแบบไม่มีเหตุผลก็ตามทำได้ไหม (ได้)  เวลาน้องดื้อกับเรา เรายังรักเขาได้ แม้เขาจะแอบขโมยเราไปสิบบาทร้อยบาท เรายังรักเขาได้ ถ้าพี่รู้จักปฏิบัติต่อน้องดี รู้จักดำเนินหน้าที่ของเราได้สมบูรณ์ คนที่ตามมาเขาย่อมอยากเอาเป็นแบบอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนอยากปฏิบัติตามนั่นคือการบำเพ็ญตนแบบง่ายๆ  ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าเราทำอะไร จะทำก็ทำโดยไม่ยั้งคิด เป็นอันตรายไหม (เป็น)  เพราะฉะนั้นการทำอะไรต้องยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนที่จะทำ หากเรายั้งคิดแล้วความผิดพลาด และความวู่วามย่อมไม่บังเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสภาวะปัจจุบันนี้เรามักจะทำอะไรแล้วเราสำนึกเสียใจทีหลังบ่อยไหม (บ่อย)  ในโลกนี้ไม่มียาอะไรที่ทำให้เราสำนึกแล้วดึงเวลากลับมาแก้ตัวใหม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรขอให้คิดให้รอบคอบ ตรึกตรองหาเหตุผลให้แจ่มชัด ก่อนจะลงมือกระทำ เพราะในโลกนี้ไม่มียาที่แก้ตัวใหม่ ไม่มียาที่เรียกเวลากลับมาใหม่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจะทำอะไร ขอให้คิดสักสามครั้งดีหรือไม่ (ดี)  สามครั้งในการคิดคือตรวจสอบดูตัวเรา ตรวจสอบดูเหตุการณ์ และตรวจสอบดูคนรอบข้างใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคือคิดสามครั้ง สามครั้งในการคิด ไม่ใช่มองแต่ตัวเรา แต่ต้องมองคนรอบข้างและเรื่องราวที่เราจะทำ ทำได้ไหม (ได้)  แล้วท่านจะได้ไม่ต้องเสียใจเพราะเวลาเหมือนวารีเหมือนสายน้ำไหลไปแล้ว เราเรียกกลับไม่ได้ ฉะนั้นจะทำอะไรขอให้คิดให้หนักๆ หูต้องหนักเข้าไว้ อย่าได้หูเบา  การรู้จักคิดก่อนมีอยู่ ๙ อย่างที่ควรคิด  เวลามองต้องมองให้ชัดเจนและ
รอบคอบด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาฟังต้องฟังต้องฟังให้เข้าใจแล้วเปิดหูฟังให้เต็มที่ อย่าฟังเพียงข้างเดียว มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นคนลำเอียงโดยไม่รู้ตัวใช่หรือเปล่า (ใช่)  นอกจากรู้จักมองรู้จักฟังแล้ว ต้องรู้จักพูดก่อน ประสบการณ์สอนให้เรารู้จักพูดและรู้จักทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการกระทำช่วยเสริมคำพูดของเรา ไม่ใช่เป็นคนพูดไปก่อนแต่การกระทำเดินตามต้อยๆ  อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนไม่รักษาคำพูด ต้องยอมทำก่อนแล้วค่อยพูดหรือพูดทีหลังก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็จะเป็นคนมีสัจจะ อย่าเป็นคนที่พูดก่อนแล้วมาทำทีหลัง เพราะเราอาจจะลืมไปเลยก็เป็นได้ใช่ไหม (ใช่)
เราบอกว่ามี ๙ อย่าง เมื่อสักครู่เราบอกไปแค่ ๓ อย่าง ใครรู้บ้างว่ามีอะไรอีกที เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราไตร่ตรองก่อนที่เราจะลงมือกระทำนอกจากมอง ฟัง พูด แล้วมีอะไรอีก ผู้บำเพ็ญธรรมศึกษามาแล้วพิจารณา ๙ มีอะไรบ้าง  สีหน้าต้องเป็นอย่างไร ต้องยิ้มแย้ม ท่าทีต้องอ่อนน้อม เวลาโมโหต้องคำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมาใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาสงสัยต้องให้รู้จักไต่ถาม เวลาทำงานต้องทำด้วยความตั้งใจแล้วเราจะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง เพราะว่าเราทำได้อย่างเต็มที่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญต้องมีความละอายด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เรื่องอะไรนึกจะทำก็ทำโดยไม่ตรวจสอบว่าผิดหรือถูกอย่างนี้ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะในโลกนี้ยังมีทั้งเรื่องที่ถูกและเรื่องที่ผิด หากเราแยกไม่ออกเรานั่นแหละจะเป็นคนที่ทำผิดบ่อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ใจท่านเหมือนลูกปูจับให้อยู่ในห้องก็มักจะวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่   นั่งฟังธรรมะก็เบื่อให้เล่นก็เหนื่อย  แต่ก่อนนั้นคนที่นับถือพุทธศาสนารักษาศีลห้าให้ครบ แล้วคนที่รักความดีต้องพยายามถือศีลห้าให้ครบเมื่อใดที่ขาดศีลเมื่อนั้นก็เรียกว่าเป็นคนที่ไม่ใช่คนที่ปฏิบัติซึ่งความดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  ภายในศีลห้านั้นหากท่านศึกษาให้ดียังมีคุณธรรมสอนให้เรารู้จักไม่ฆ่าสัตว์ต้องรู้จักเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราต้องรู้จักปฏิบัติศีลห้าให้ครบ ศีลห้าเป็นพื้นฐานของความเป็นคนที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะบอกอีกว่าภายในศีลห้านั้นยังมีอะไรแอบแฝงอยู่นั่นก็คือต้องเป็นคนที่เมตตาเป็น เมื่อเมตตาเป็นแล้วยังต้องเป็นคนที่รู้จักจรรยามารยาท รู้จักความชอบธรรม และรู้จักซื่อสัตย์ และละอายเกรงกลัวต่อบาปนี่คือศีลห้าที่เราควรจะรู้เพิ่มเติม ความเมตตาคืออะไรใครพอตอบได้บ้าง (สงสาร) สงสารอย่างเดียวพอไหม เรียกว่าเมตตาไหม ความเมตตาก็คือเมื่อเราเป็นสุขเราก็อยากให้เขาเป็นสุขด้วย  เมื่อเราเกลียดทุกข์เราก็ต้องไม่เอาทุกข์ไปให้เขาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่เราแค่สงสารเป็น แต่เราต้องรู้จักมีน้ำใจกับเขาด้วย เห็นใจเขาด้วย และก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้เขาด้วยนี่ถึงจะเรียกว่าเมตตาใช่ไหม (ใช่)  แล้วจรรยามารยาทเราอยู่ในสังคมเราต้องรู้จักมีระเบียบแบบแผน  มีมารยาทต่อกันนั่นก็คือรู้จักวางตัวและวางท่าทีของตนเองให้ถูกต้องและดีงามใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมีจรรยามารยาท มีความชอบธรรมก็มีความซื่อสัตย์ และก็มีความละอายอีก เมื่อมีความซื่อสัตย์แล้ว ความละอายคงไม่ต้องพูดถึง ถ้าทุกคนใฝ่ดีแปลว่ายังมีใจที่ละอายอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ซื่อสัตย์ นอกจากเราต้องซื่อสัตย์ต่อคนอื่นแล้ว เรายังต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง นี่ถึงจะเรียกว่าซื่อสัตย์แท้จริงใช่ไหม ซื่อสัตย์ต่อตนเองนั่นคือ ซื่อสัตย์กับความคิดตน  ถ้าคิดว่าไม่ดีก็ต้องไม่ทำ ถ้าหากเราบอกว่าคิดแล้วไม่ดีแต่เราทำ เรียกว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เราซื่อสัตย์กับคนอื่นนั้นทำง่ายแต่การซื่อสัตย์กับตนเองนั้นมักจะทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดท่านทำได้แม้กระทั่งซื่อสัตย์ต่อตนเองอย่างนี้เขาเรียกว่ายอดคน ฉะนั้นอย่าคิดอะไรหุนหันพลันแล่นต้องไตร่ตรองก่อนดีหรือเปล่า (ดี)  จะได้ไม่เป็นคนที่หลอกคนอื่นได้ และยังหลอกตัวเองได้อีกอย่างนี้ไม่น่าคบเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
การรู้จักดำรงตนเคารพตนเอง คำคำนี้มีใครเข้าใจความหมายบ้าง ไหว้ตนเองทุกวันนี่เรียกว่าเคารพตนเองไหม (ไม่)  การเคารพตนเองคือการทำอย่างไร (มีความสัตย์ในตนเอง ซื่อสัตย์ในตนเอง)  การเคารพตนเอง เราให้ผู้อื่นเคารพเรา เราจะให้ผู้อื่นรักเราเราต้องรู้จักรักตนเองเป็นก่อน เคารพตนเองเป็นก่อน เราอยากให้ผู้อื่นเห็นใจเรา ตัวเรานั้นต้องเห็นใจตัวเราเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น เราอยากให้ผู้อื่นทำอะไรกับเราตัวเรานั้นต้องเริ่มต้นกระทำที่ตนเองก่อน ตอนนี้เราอยากเรียกร้องให้สังคมมีแต่สิ่งที่ดี ตัวเรานั้นต้องเรียกสิ่งที่ดีในตัวเราให้เริ่มต้นก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการเคารพตนเองการรักตนเองคือ การเอาแต่โกหก เคารพตนเองไหม การเอาแต่นินทาผู้อื่น รักตนเองไหม การเอาแต่โมโหโกธาไม่ไตร่ตรองไม่เปิดใจกว้างอย่างนี้รักตนเองไหม ฉะนั้นเราอยากให้คนอื่นเคารพเราอยากให้คนอื่นรัก ตัวเราเองนั้นต้องเป็นตัวอย่างที่ดีงามและสูงส่งฟังดูแล้วยากไหม (ยาก)  แต่ยอมรับว่ายากหน่อยแต่เวลาไปเจอง่ายก็สบายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ว่าจะยากหรือง่ายขอให้ลงมือกระทำ ทำได้ไหมแล้วเราก็จะเป็นคนที่มีคนรักและมีคนเคารพเรา เวลาเราจะไหว้อะไรเราต้องมีใจอย่าเพิ่งแอบไปกินก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าใจเราอยากกินแปลว่าใจเราไม่อยากไหว้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้แปลว่าไม่เที่ยงกับตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพุทธะจะให้ความเที่ยงกลับได้ไหม (ไม่)  ก็ต้องให้คดคดงองอกลับไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วฆ่าหมูฆ่าเป็ดฆ่าไก่มาไหว้พระ แต่ในใจก็คิดว่าไหว้เสร็จแล้วเราจะได้กินไม่คิดว่าจะไหว้พระ เราฆ่าชีวิตเขาเพื่อมาขอความสุขได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนนี้ท่านเป็นทุกข์ท่านเลยบนด้วยการฆ่าชีวิตเขาให้ตนเองมีสุขแล้วอย่างนี้จะสุขได้หรือ ก็เหมือนเราอยากใช่ไหม (ใช่)  เราอยากจะมีสุขแต่ความอยากของเราเบียดเบียนคนอื่น แล้วพุทธะจะให้สุขกลับคืนท่านได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอย่างที่เราบอกเราอยากหวังสิ่งใดจากคนอื่นหรือแม้กระทั่งอยากให้ฟ้าให้กับเรา ตัวเรานั้นต้องเป็นแบบอย่างที่ดีก่อน แล้วฟ้าจะส่งมาให้ทันที ที่ไม่ได้ส่งมาให้เราอย่าได้โทษฟ้า เราอย่าได้โทษคนอื่น แต่เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราสร้างพื้นฐานส่งไปให้เขาได้อย่างสมบูรณ์และดีหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่าความทุกข์อย่ามองข้าม บางทีความทุกข์ช่วยสอนชีวิตเรา คำถามสุดท้ายก่อนเราจะจากกัน ทำไมเราถึงบอกว่าความทุกข์บางทีก็สอนชีวิตเราได้ ทำให้ชีวิตเราเข้มแข็งขึ้นได้ เราลำบากแล้วต่อไปเราจะไม่ก้าวผิดแล้วต้องให้ตัวเองลำบากมากกว่านี้ เพราะว่าคนเราทุกข์เราจึงพยายามดิ้นรนหาความสุขให้กับชีวิตตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนดิ้นรนหาความสุขแต่หาสุขที่จริงหรือสุขที่ปลอม บางคนหาได้ หากได้สุขแต่เป็นสุขที่ปลอมก็ต้องกลับไปทุกข์ใหม่ การจะหาเราจึงต้องหาให้ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  สุขที่แท้จริงของชีวิตคือการมีเงินมีทองอย่างที่เราว่าหรือ ไม่ใช่ แต่สุขที่แท้จริงของชีวิตคือการมีสุขใจต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีสุขใจเกิดขึ้นได้จากอะไรได้บ้าง บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีเงิน การไม่มีเงินใจเราก็เป็นสุขได้ใช่หรือไม่
การที่เรานั่งเฉยๆ อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบบางทีก็มีสุขได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  การทำงานของตนเอง การรับผิดชอบหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ มีคุณธรรมให้กับทุกคน อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเราก็เป็นสุขได้ ขอเพียงกำหนดความสุขพึงพอใจกับความสุขง่ายๆ ของชีวิต เราก็จะมีสุขในชีวิตได้ง่าย ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)
"ดั่งราตรี"  เหมือนที่เรามองพระจันทร์มืดแต่ก็ยังมีความสว่าง ในความมืดอย่ามองเห็นว่าเป็นมืด ในความมืดยังมีความสว่างแฝงอยู่ และกลับกันในความสว่างก็ยังมีความมืดแฝงอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในเวลาเราดำเนินชีวิตเราต้องรู้จักระมัดระวังทุกฝีก้าว และระมัดระวังทุกความคิด แล้วเราจะเป็นคนที่มีความสามารถเดินไปได้อย่างมีความสุข และสำเร็จได้ในบั้นปลายดีหรือไม่ (ดี)
"มีจันทรานวลส่องทาง"  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเหนื่อยไหม คงไม่เหนื่อยนะ คนที่มาช่วยเตรียมงานก่อนเหนื่อยไหม ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้กับคนอื่นมีโอกาสรู้จักให้กับคนอื่น นั่นก็คือการบำเพ็ญตนเองแต่ให้แล้วอย่าหวังผล การให้จะตกผลสมบูรณ์ได้ก็คือให้แล้วไม่หวัง ให้โดยไม่คาดหมาย เราถึงเรียกได้ว่าเราบำเพ็ญให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลายคนง่วงอีกแล้วละเรารู้ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทำท่าลุกนั่ง)  ถ้าไม่ปลุกให้ตัวเองตื่นตอนนี้เดี๋ยวอีกหัวข้อท่านก็หลับ
คนที่ไม่ยอมเข้าห้องพระก็ไม่ได้ฟังธรรมะสักที แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เข้าก็ได้ฟังเรื่อยๆ ก็เป็นผลดี แต่ต้องรู้จักเอาไปปฏิบัติ เอาไปทำให้ได้ไม่ใช่ผิดแล้วก็ผิดอีก อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคนชอบอยู่ข้างนอกก็ไม่ยอมฟัง ถ้ามีโอกาสไปอ่านก็ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนนี้ศึกษาแล้วก็พร้อมที่จะเดินหน้าไปในหนทางที่ถูกต้องและดีงาม เป็นผู้ที่พร้อมจะบำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า (ได้)  วันนี้อาจจะยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด อาจจะยังไม่สามารถไปปฏิบัติได้แต่ก็ขอให้มีเวลากลับไปศึกษาบ่อยๆ กลับมาทำความเข้าใจตรงนี้ดีไหม (ดี)  กลับไปลองศึกษาดูว่าธรรมะ และการบำเพ็ญธรรม และการมีชีวิตมีส่วนช่วยส่งเสริมกันอย่างไร และดีแท้จริงกันอย่างไร วันนี้เรามาพูดยังไม่สามารถทำให้ท่านเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด เราพูดได้เพียงด้านเดียว เราคงไม่สามารถพูดแล้วทำให้ทุกท่านเข้าใจทุกด้านได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้ขอให้ท่านลองไปมองทุกๆ ด้าน ทุกๆ มุม ของธรรมะก่อนที่จะเดินจากไป ขอให้ลองศึกษาลงแรงให้เวลาตรงนี้สักนิด มีชีวิตเราให้เวลากับการหาเงิน หาทองมาตั้งเยอะ ตอนนี้เรามีชีวิตเราลองให้เวลากับการศึกษาธรรมบ้าง เป็นการเพิ่มเติมคุณธรรมให้กับจิตใจ ให้กับชีวิต การเติมคุณธรรมให้กับชีวิตย่อมมีแต่ความสันติและความร่มเย็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราวุ่นวายมาก็มาก เครียดมาก็มาก ทุกข์มาก็มาก ผิดหวังมาก็เยอะแยะ พยายามหาความสุขให้กับจิตใจบ้าง โดยการมีธรรม โดยการนำธรรมไปช่วยเหลือคน ทำได้ก็ขอให้ทำให้ได้ ใครรู้ตัวว่าทำผิดบ่อยๆ รีบแก้นะ  อย่าให้เรามาชี้เลยดีหรือเปล่า (ดี)  เรายังมีข้อผิดพลาดในตัวเราเยอะ เรายังมีนิสัยความเคยชินที่ไม่ดี เราอย่าไปพูดถึง ตอนนี้เรามาพูดถึงแต่การที่จะทำอย่างไรให้เราดีกว่าเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนใหม่อยู่ทุกๆ วัน เป็นคนดีได้ทุกๆ วัน อันนี้เป็นเรื่องที่น่ามองมากกว่า อดีตผิดพลาดไปแล้วไม่ต้องกังวล ทำปัจจุบันให้ดี แล้วอนาคตที่สดใสย่อมอยู่ในมือของทุกๆ ท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ



พิจารณา ๙
๑.  เวลามองต้องมองให้ชัดเจน รอบคอบด้วย (รู้จักมอง)
๒.  เวลาฟังต้องฟังให้เข้าใจ และเปิดหูฟังให้เต็มที่ (รู้จักฟัง)
๓.  รู้จักพูด เป็นคนมีสัจจะ รักษาคำพูด ต้องไปกระทำก่อน แล้วพูดทีหลังหรือไม่พูดก็ได้
๔. สีหน้าต้องยิ้มแย้ม
๕. ท่าทีต้องอ่อนน้อม
๖. เวลาโมโหต้องคำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมา
๗. เวลาสงสัยต้องให้รู้จักไต่ถาม
๘. เวลาทำงานต้องทำด้วยความตั้งใจ แล้วเราจะไม่รู้สึกเสียใจภายหลังเพราะว่าเราทำได้อย่างเต็มที่แล้ว
๙. ต้องมีความละอายต่อบาป



วันอาทิตย์ที่  ๖  มิถุนายน  พ.ศ.๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
ขึ้นนิพพานได้หรือไม่ ใช่อื่นไกลอยู่ที่เรา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   แฝงกายกราบเบื้องหน้า
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
อย่ามองคนเพียงรูปกายอันแตกต่าง แต่ต้องมองเป็นที่ตั้งคือคุณธรรม
การทำดีทำด้วยใจไม่ระส่ำ ใจเลิศล้ำต้องรู้บำเพ็ญจริง
เตือนศิษย์รักสี่เท้านั้นยังรู้พลาด เป็นนักปราชญ์ยังรู้พลั้งไปทุกสิ่ง
แต่ผิดแล้วไม่ผิดซ้ำเป็นคนจริง ทำดียิ่งอย่าไปหวังให้คนชม
ในวันนี้แสนยินดีพบหน้าศิษย์ ขอจงคิดกระทำตนให้เหมาะสม
อย่าไปหลงสิ่งลวงตาน่าภิรมย์ อย่าดำว่ายผุดจมเวียนว่ายเลย
ชีวิตนี้แสนสั้นเป็นที่สุด แสวงวิมุติศิษย์รักอย่ามัวนิ่งเฉย
ทนให้ได้คำกระทบกระเทียบเฝ้าเปรียบเปรย ละชินเคยก้าวไปดั่งพระพุทธา
ศรัทธาแล้วต้องศึกษาให้ถ่องแท้ ศรัทธาแล้วต้องปฏิบัติแน่เป็นคนกล้า
ถ้าศรัทธาไม่ศึกษาหลงแล้วนา ถ้าศรัทธาไม่ปฏิบัติไม่พ้นเวียน
ไม่ศรัทธามาศึกษาปลายไร้ต้น ไม่ศรัทธาปฏิบัติตนวนปวดเศียร
ให้ศึกษาแลปฏิบัติพ้นวนเวียน ชีพดังเทียนอย่ามัวแต่รอเวลา
ไม่ศรัทธาไม่ศึกษาไม่ปฏิบัติ ไม่ฝึกหัดคงเวียนว่ายไม่คืนฟ้า
กลัวลำบากก็ยากยิ่งเป็นพุทธา ศิษย์เมธารักษาโอกาสของตนเอง
ศิษย์รักเอยบำเพ็ญธรรมใช่เรื่องยาก เพียรมากมากใช่ว่าต้องไปรีบเร่ง
ใช่ว่าต้องชักช้าอย่างคนกันเอง ต้องรีบเร่งย้อนมองตนไม่โทษใคร
ฮา  ฮา  หยุด
(หมายเหตุ   กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจาย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง)
มาตื่นขึ้นก่อนรำไพดับลา  ลืมตื่นช่วยประชากันอย่างไร  ตามใจนี้รู้อีกทียากแก้ไข  เกิดภัยสู่คนจากตนก่อภัย
ดวงจิตที่ปล่อยวางช่างเบิกบาน  ห้ำหั่นอีกกีดกันใครสบาย  บนแดนฟ้ายกย่องคนได้แก้ไข  ศิษย์ไปกลับตนอย่าทนหม่นใจ
* กล้ำกลืนความขมได้มวลอุปสรรค  ไม่โดนนำชักมาอยู่ในใจ  คนวันนี้ล้วนยิ่งทีไม่แก้ไข  ตรวจใจสอบตนอย่าทนหม่นใจ
มาตื่นขึ้นก่อนรำไพดับลา  ลืมตื่นช่วยประชากันอย่างไร  ตามใจนี้รู้อีกทียากแก้ไข   เกิดภัยสู่คนจากตนก่อภัย  (ซ้ำ *)
เพลง : ตื่นก่อนอัสดง
ทำนองเพลง : อยากลืมกลับจำ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้มานั่งฟังธรรมะจริงๆ หรือว่ามีคนบอกให้มาดูทรงเจ้า ต้องมาฟังธรรมะจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องเอาจิตใจศรัทธาของเรานั้นออกมาฟังธรรมะ พิจารณาว่าสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่จีรังยั่งยืนล้วนแต่เปลี่ยนแปลงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ธรรมะเท่านั้น ที่เราฟังเข้าไปในใจแล้ว นำออกมาเป็นการปฏิบัติ จึงจะเป็นสิ่งที่จีรังใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟัง ได้เห็น ได้รู้ ล้วนเปลี่ยนแปลงไป ศิษย์จะรับมือกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันๆ อย่างไรดี ทุกวันมีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เริ่มจากใครก่อน (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองก็เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เมื่อก่อนผิวหนังเหี่ยวๆ ย่นๆ อย่างนี้ไหม (ไม่ใช่)  พอนานวันเข้าเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า (เปลี่ยนแปลง)  สิ่งที่เราเคยมีตอนนี้บางสิ่งก็ไม่มีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราเคยไม่มีตอนนี้ก็กลับมีขึ้นมาอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะรับมือกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร สมมติว่าเราเป็นคนที่มีทุกสิ่งพร้อมสมบูรณ์ อยู่มาวันหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายวับไปกับตา กลัวไหม (กลัว)  ไม่ฟังก่อนว่าสิ่งที่หายวับไปกับตานั้นเป็นอะไร ทุกคนก็คิดไปถึงทรัพย์สินเงินทองก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นเพราะว่าจิตใจของเราตลอดชีวิตนี้ใฝ่แต่เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ความโชคดีความมีสุข แล้วก็กลัวสิ่งเหล่านี้หายวับไปกับตา แต่ถามว่าเราทำให้เขาไม่หายไปได้ไหม จะเอาอะไรมารัดความสุขไว้อยู่กับเรา เอาอะไรมารัดลูกไว้อยู่กับเรา เอาอะไรมารัดเงินทองไว้อยู่กับเรา ไม่มีสิ่งใดรัดเขาให้อยู่กับเราได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาใช่หรือเปล่า ถามว่าเราใช้อะไรมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ความไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ใช่หรือไม่ เราไม่ประมาทแล้วเรายังต้องสูญเสียไหม (สูญเสีย)  แต่โอกาสที่จะสูญเสียน้อยกว่า เพราะฉะนั้น ความไม่ประมาทรับมือได้บางอย่างเท่านั้นเช่น ร่างกายของเราที่ต้องเหี่ยวย่น ความรวยความจนที่ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามปัจจัยต่างๆ สิ่งเหล่านี้ถึงเราไม่ประมาทก็ต้องสูญเสีย เราต้องใช้การบำเพ็ญตนและปฏิบัติธรรมมารับมือใช่หรือเปล่า (ใช่)
พอมีคนเริ่มตอบว่าใช่เราก็รู้สึกว่าจะใช่ตาม เราต้องคิดจากตัวเราเอง อย่าใช่ตามๆ กัน อย่าไม่ใช่ตามๆ กัน เพราะว่าตอนนี้มานั่งฟังที่นี่คนเขาบอกว่าธรรมะจริงเราก็จริงตาม พอออกไปข้างนอก หลังจากสองวันนี้กลับออกไป คนเขาบอกว่าไม่จริง เราจะไม่จริงตาม เราตามเขาไปเพราะว่านิสัยเราเป็นคนช่างตามใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้น ต้องตัดสินใจพิจารณาด้วยตนเอง การศึกษาธรรมะเอาไว้ใช้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงรับมือได้อย่างไร มีคนบอกว่าธรรมะนั้นไว้บำเพ็ญตอนแก่แล้ว หนุ่มๆ สาวๆ ไม่เกี่ยว หรือบอกว่าธรรมะก็เป็นเรื่องของคนที่บำเพ็ญตน คนไม่บำเพ็ญตนก็ไม่เกี่ยวเหมือนกันใช่หรือเปล่า ต้องรู้ว่าเรานั้นบำเพ็ญธรรมะ เข้าใจธรรมะเพื่ออะไร เพื่อใช้ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ไม่ว่าศิษย์นั้นจะมุ่งหมายที่จะไปถึงนิพพานหรือไม่ ไม่ว่าเรานั้นจะมุ่งหมายที่จะบำเพ็ญตนหรือไม่ ธรรมะคือสัจธรรม ความจริงของชีวิต รู้แล้วเข้าใจจะได้ปลงตกดีหรือไม่ (ดี)  เวลาเราสูญเสียจะได้ปลงตกดีหรือไม่ (ดี)  เวลาเรารับสิ่งที่เข้ามาเราจะได้ไม่รู้สึกดีใจจนฮึกเหิม ดีหรือไม่ (ดี)  เรารู้จักความทุกข์มากกว่าความสุข ความทุกข์ให้อะไรกับเราบ้าง ถ้าหากว่าไม่รู้จักความทุกข์ จะมานั่งเข้าใจชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่รู้จักความทุกข์จะไม่เข้าใจชีวิตนี้เลย ว่าชีวิตนี้แท้จริงเป็นเช่นไร เพราะฉะนั้น ความทุกข์จึงให้เรานั้นเป็นคนที่อยู่เหนือคนได้ เหมือนกับเวลาเรียนหนังสือต้องสอบไหม (ต้องสอบ)  เวลาจะไปสอบต้องทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่สอบผ่านแล้วก็สบาย ถ้าก่อนไปสอบแล้วขี้เกียจ เมื่อสอบเสร็จจะทุกข์หนักกว่าเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้น เราเกิดมาเป็นคน ความทุกข์ให้สิ่งที่ไม่สบายใจกับเรา แต่ความทุกข์หลังจากที่ผ่านไปแล้วก็ให้ประสบการณ์ชีวิต ให้เราเป็นคนเหนือคนได้ ให้เรานั้นรู้จักชีวิตอย่างแท้จริง แล้วนำพาตนเองให้ตลอดรอดฝั่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารู้จักความทุกข์แล้วความทนไม่ได้ ไปฆ่าตัวตาย ตายแล้วลำบากกว่าเดิมไหม (ลำบาก)  คนที่ฆ่าตัวตายต้องกลับมาฆ่าตัวตายอีกเจ็ดครั้ง เป็นความลำบากอย่างยิ่งใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าตนเองไม่มีทางไป ที่จริงทางมีเยอะแยะ ทางบนโลกนี้เส้นไหนๆ ก็เรียกว่าทาง อยู่ที่เราจะเลือกเดินหรือไม่ ทางชีวิตของเราก็เหมือนกัน มีทางขึ้นสวรรค์มีทางลงนรก ถ้าหากทำความดี ก็เรียกว่า ขึ้นสวรรค์ ถ้าทำความชั่วก็ ลงนรก อยากขึ้นสวรรค์การทำความดียากไหม ในที่นี้มีคนเป็นร้อยคน มียี่สิบคนบอกว่าความดีทำยาก แสดงว่าความดียังทำง่าย อยู่บ้านทุกบ้านมีบันได การขึ้นบันไดขึ้นไปแล้วถึงสวรรค์ หากลงบันไดลงไปแล้วสู่นรก ขึ้นบันไดกับลงบันไดสิ่งใดยากกว่ากัน (ขึ้นบันได)  แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วเราก็ได้พักผ่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกัน หากว่าเราลงบันได ลงบันไดง่ายไหม (ง่าย)  แทบจะหลับตาวิ่งได้เลย แต่พอไปถึงข้างล่างแล้วต้องลงบันไดกลับไปทำงานใหม่ลำบากไหม (ลำบาก)  ต้องลงบันไดไปทำกับข้าว ออกไปทำงานก็ลำบาก แต่ขึ้นบันไดกลับเข้าห้องนอนไปเลยสบายไหม (สบาย)  เอาแบบไหนดี ความลำบากหรือความสบายนั้นอยู่ที่เราเป็นผู้กำหนด ถ้าเรากำหนดให้ความทุกข์นั้นเป็นทุกข์ เราก็จะทุกข์อยู่เรื่อยไป ถ้าหากว่าเรากำหนดความทุกข์เป็นบทเรียนที่มาสอนชีวิต เราก็จะมีความสุขขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้ศิษย์ทำความไม่ดี ทำความชั่ว สุดท้ายแล้ว เมื่อผลของความชั่วมาตอบสนอง เราก็มีความสุข เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ถามว่าสวรรค์นรกมีหรือเปล่า (มี)  คำถามนี้ไม่ต้องตอบ รอให้เราไม่มีร่างกายนี้ก่อน เราก็จะเห็นว่ามีหรือไม่มี เพราะฉะนั้นหลายคนชอบบอกว่า สวรรค์มีจริงหรือเปล่า นรกมีหรือเปล่า ครึ่งๆ หนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กว่าที่เราจะรู้ว่าครึ่งไหนเป็นครึ่งที่เราจะได้รับผล เราก็อาจจะสูญเสีย อาจจะเสียใจ จนไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้จงทำความดี เพราะ “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”  ไม่ใช่อยู่ที่ไหนที่มองไม่เห็น ในวันนี้อาจารย์มา ไม่ได้พาศิษย์ขึ้นสวรรค์ หรือลงนรก แต่พาให้ศิษย์นั้นได้ขึ้นนิพพาน เอาไหม (เอา)  นิพพานไกลหรือเปล่า คนที่บอกว่าใกล้หรือไกลนั้นเริ่มจะกำหนดชีวิตตนเองแล้ว ส่วนคนที่บอกว่ายังไม่รู้ ชีวิตนี้ก็ยังไม่ถูกกำหนด ส่วนคนที่ไม่พูดเลยก็คือคนที่ไม่ยอมกำหนดชีวิตตนเอง สุดท้ายแล้วชีวิตเราไปทางไหน ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็เป็นชีวิตที่เลอะๆ เทอะๆ ทางอยู่ข้างหน้าแล้วแต่เหมือนมีควันมาบัง สุดท้ายแล้วชีวิตของเราจะฝ่าควันบางๆ อันนี้ไปได้ไหม อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกับศิษย์ที่บอกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรเราต้องรู้จักกำหนดเอง ไม่ใช่ให้ชะตากรรมมาลิขิต ชะตาอดีตนั้นกำหนดปัจจุบัน ปัจจุบันกำหนดอนาคต ตอนนี้เราอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตยังไม่เกิดขึ้น เคยไปดูดวงเขาบอกว่าดวงของเราไม่ดีเลยโชคของเราไม่ดีเลย โชคนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ข้างหน้าและยังมาไม่ถึง เราเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ได้)  เขาบอกว่าโชคเราดี แต่ว่าตอนนี้ ปัจจุบันนี้ทำไม่ดีเลย วันหน้าโชคดีไหม (ไม่ดี)  เชื่อดวงหรือเชื่อตัวเอง ต้องเชื่อตัวของเราเอง สวรรค์อยู่ที่ไหน (อก) นรกอยู่ที่ไหน (ในใจ)  ขึ้นนิพพานได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าวันนี้เราไม่ทำ วันหน้าเราก็ไม่ได้ขึ้นนิพพาน
วันนี้กลับไปบ้านก็มีใจที่ศึกษาธรรมะ มีใจที่จะปฏิบัติธรรมดี แต่ออกไปรู้สึกว่าคนชั่วเยอะทำไมเราเป็นคนดีอยู่คนเดียว เราไม่ยอมเป็นแกะขาวในฝูงแกะดำ ในที่สุดแล้ว ถามว่าเวลาที่เราเห็นคนชั่วคนหนึ่ง แล้วเราก็ทำตามคนชั่วคนนั้นไป สุดท้ายเราเป็นคนชั่วหรือคนดี (คนชั่ว)  แล้วคนอื่นก็มองเราเป็นคนชั่ว คนชั่วคนนี้ไปนิพพานได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้น ยอมเป็นแกะขาวในหมู่ฝูงแกะดำดีหรือเปล่า (ดี)  เวลาอาจารย์จะช่วยก็อยู่นี่เองสีขาวๆ ช่วยง่ายไหม (ง่าย)  ถ้าหากว่าศิษย์ดูแล้วดำๆ ขาวๆ บางวันก็ดี บางวันก็ไม่ดี ในหนึ่งคนมีทั้งความดีและความไม่ดี ก็เป็นแกะที่สีดำบ้างขาวบ้าง ถ้าอยากได้แกะสีขาวแล้วแกะตัวนี้จะเอาไหม (ไม่เอา)  มีแกะดำอยู่ห้าพันตัว มีแกะขาวอยู่ร้อยตัว เที่ยวอีกห้าพันตัวมีแกะขาวอีกร้อยตัวต้องเอาแกะขาวๆ ดำๆ ที่นี่ไหม ไม่เอา เราอย่าลืมว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่มีแค่เราใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่มีแต่คนที่บำเพ็ญอนุตตรธรรมเท่านั้นที่สามารถที่หลุดพ้น เพราะฉะนั้นเราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนระมัดระวังตัวอยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวที่สุดคือความชั่วใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลัวความดีไหม (ไม่กลัว)  อย่าไปกลัว ถ้าหากว่าอยากได้เพชรก็ต้องขยันที่จะหาสิ่งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) หินในโลกนี้มีหลายก้อนถามว่ามีหินที่เป็นเพชรอยู่กี่ก้อน น้อยไหม (น้อย)  เพราะฉะนั้นเราอยากจะได้สิ่งที่ประเสริฐมีค่าก็ต้องลงแรงที่จะทุ่มเทที่จะบำเพ็ญ  เพราะฉะนั้นจะขึ้นนิพพานได้หรือไม่ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับอาจารย์จี้กง อยู่ที่ตัวเราเอง
นิพพานอยู่ที่ไหน ใช่อื่นไกลอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นสวรรค์ก็อยู่ในอกเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาทำดีก็สวรรค์เปิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  นรกอยู่ในใจเรา เพราะฉะนั้นนิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานย่อมอยู่ในตัวเรา ศิษย์จะรอให้ศิษย์นั้นตายแล้วถึงจะไปนิพพานเป็นไปได้ไหม ถ้าอยู่บนโลกนี้ไม่รู้จักทำกุศลแห่งนิพพานไว้ ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นนิพพานก็อยู่ในโลกนี้ คนที่บำเพ็ญตนอย่างดีพร้อมย่อมกลับคืนขึ้นนิพพานได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ทำความชั่วตลอดชีวิตไปที่ไหน (นรก) นรกอยู่ในใจ เกิดเป็นคนก็มีนรกอยู่ในใจแล้ว เพราะฉะนั้นตายไปจะไปที่ไหน (ไปนรก) สวรรค์อยู่ที่ไหน (สวรรค์อยู่ในอก)  ทำความดีก็ไปสวรรค์ แต่เป็นสวรรค์ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ นิพพานก็เหมือนกัน ถ้าหากทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ได้ทำในสิ่งที่เป็นกุศลมูลพอที่จะพาไปนิพพาน วันหน้าศิษย์ก็จะไปนิพพาน แต่ถ้าหากวันนี้ยังดีบ้างไม่ดีบ้างวันหน้าก็ไปที่ไหนดี ทางระหว่างมนุษย์และสวรรค์คืออสูรกาย เป็นครึ่งคนครึ่งเทพ ทางแห่งมนุษย์และนรกคือ เปรต และนรกที่อยู่บนโลกมนุษย์นี้ก็คือ คนที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นคนอยู่กึ่งกลางระหว่างฟ้าและดินจึงเป็นผู้ที่มีความประเสริฐสุด ยากจนหน่อยประเสริฐไหม (ประเสริฐ)  รวยหน่อยประเสริฐไหม (ประเสริฐ)  เวลาเรานิสัยไม่ดีแต่มีโอกาสได้แก้ไขประเสริฐไหม (ประเสริฐ)  ถ้าหากว่าทำดีไม่มีโอกาสแก้ตัวประเสริฐไหม ก็ประเสริฐเหมือนกันถ้าร่างกายเป็นมนุษย์อยู่ก็ยังประเสริฐอยู่ในทุกๆ ด้าน ถ้าหากว่าเราไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์แล้ววันนั้นก็หมดความประเสริฐลง เพราะฉะนั้นชีวิตนี้สั้นไหม (สั้น)  หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน ร้อยปีมีสามหมื่นกว่าวันเองน้อยหรือไม่ เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ก็สั้นๆ เองใช่หรือไม่ (ใช่)  จะใช้ชีวิตนี้ให้มีคุณค่าได้หรือเปล่าก็ย่อมอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันหนึ่งวันหนึ่งผ่านไปรวดเร็วไหม (รวดเร็ว)  เพราะฉะนั้นทำความดีให้มากกว่าความชั่วดีไหม (ดี)  เสร็จแล้วทำความดีแล้วไม่ยึดติดในความดี ดีไหม (ดี) ทำความดียากนิดลำบากหน่อยต้องทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราขยันเดินขึ้นบันไดบ่อยๆ เข้าเรารู้สึกว่าชินกับการที่เดินขึ้นบันไดไหม (ชิน)  ศิษย์ก็จะชินกับการทำความดีแล้วไม่มีคนยกย่องไปเองในที่สุด เพราะว่าความดีในโลกนี้ ความดีบริสุทธิ์นั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดมายกย่องสรรเสริญ ยิ่งถูกยกย่องมากเท่าไหร่ยิ่งติดคำหวานหอมที่มาเข้าหูเรามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเรานั้นติดในผลของการทำความดีมากขึ้นเท่านั้น ลองดูซิว่าไปยากหรือไปง่าย  
ถามว่าพระพุทธองค์นั้นเคยเกิดมีร่างกายเป็นมนุษย์ไหม (เคย) มีกายเนื้อเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้ไหมไปนิพพาน พระพุทธองค์ทำได้แล้วเราทำได้ไหม (ได้)  เราต้องไม่ดูถูกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นบอกว่านิพพานไปยาก บางคนบอกว่าไกลเสียจนเกินเอื้อม แต่ถามว่าเอื้อมทุกวันถึงไหม ต้อง
เอื้อมมากเท่าไหร่ (เอื้อมสุดมือ)  ทำสุดกำลังแล้วนิพพานค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าวันนี้ไม่ทำนิพพานว่าได้ไหม (ไม่ได้)  ในวัฏฏะสงสารนี้เหมือนกับรูปวงกลม ข้างบนเรียกสวรรค์ ข้างล่างเรียกนรก ตรงกลางเรียกโลกมนุษย์ ก็วนกันไปวนกันมา  ไปถึงสวรรค์แล้วก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพียงแต่ไปสวรรค์ครู่หนึ่งแล้วกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ อยู่นรกเวียนว่ายตายเกิดไหม (เวียนว่าย) วนกันไปวนกันมาวนกันมาวนกันไปอยู่ทีไหน (โลกมนุษย์)  
วันนี้ทุกข์หรือยัง ถามว่าพรุ่งนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  มะรืนนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  อยู่ในโลกมนุษย์นี้รู้อนาคตเลยว่าเราทุกข์ทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะอยู่ในความทุกข์อันนี้ต่อไปดีหรือไม่ (ไม่)  แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ พ้นทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พ้นทุกข์ก็คือต้องกลับไปสู่ดินแดนอนุตตรภูมิ หรือแดนนิพพานถึงจะพ้นทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยู่ที่เราเอื้อมหรือไม่เอื้อม ถ้าไม่เอื้อมก็ไม่ได้ถ้า เอื้อมก็อาจจะได้ แต่การได้ทดลองบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นนั้นย่อมดีกว่าดำเนินชีวิตนี้อย่างเลอะๆ เทอะๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยชีวิตนี้ก็มีจุดหมายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขับรถออกจากบ้านต้องรู้ว่าจะไปไหนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถามจริงๆ ว่าทุกวันนี้ ชีวิตนี้ขับไป ร่างกายเหมือนรถ จิตที่อยู่ข้างในเหมือนคนขับ ทั้งชีวิตนี้ขับไปไหนรู้ไหม ร่างกายเหมือนรถ จิตเหมือนคนขับ ตลอดชีวิตนี้ขับมาตลอดแล้ว ขับมาเรื่อยๆ  ร่างกายรถนี้ก็เปลี่ยนเป็นคันใหญ่ไปเรื่อยๆ  พอเราแก่ลงรถนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงแล้วถามว่าตลอดมาขับชีวิตไปไหน ถ้าหากว่าหลังจากวันนี้อาจารย์บอกให้บำเพ็ญธรรมเพื่อที่จะมุ่งหมายนิพพาน ถ้าหากยังไม่ทำ ถามว่าชีวิตนี้ขับรถนี้ไปที่ไหน หลายๆ คนขับชีวิตไปจอดตายกลางทาง หมายความว่าขับเสียจนเต็มที่แล้วชีวิตนี้ถึงไหนก็ถึงกันขอแค่มีครอบครัว ขอแค่มีลูก ขอแค่ทำงานหาเงิน ขอแค่ร่ำรวย ขอแค่ความสบาย ถึงเวลาแล้วรถจอดแล้วเราก็ออกจากรถนี้ไป ไปหารถคันใหม่ รถนั้นก็ปล่อยจอดทิ้งตายกลางทางอยู่ตรงนั้นโดยที่ทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่ได้อะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าอย่างที่บอกไว้ตอนแรกทุกสิ่งที่เห็นของแท้ไหม (ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้นทั้งชีวิตนี้ดิ้นรนขวนขวายมาเพื่อที่จะหาของปลอมต่างๆ อาจารย์ไม่ได้ห้ามไม่ให้หาแต่อาจารย์ให้หาอย่างพอเหมาะพอควรใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราโยนก้อนหินขึ้นไป พอโยนเต็มที่ก้อนหินตกไหม (ตก) เหมือนกับอะไร ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของเรา โยนขึ้นเต็มที่รวยที่สุดหล่นไหม รวยมากจนมากใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจจะไม่ได้จนในชั่วชีวิตของเรา แต่อาจจะจนในชั่วชีวิตของลูกหลานก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้สิ่งที่มอบให้ลูกหลาน จึงไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ทุกวันนี้แสวงหาเงินทองมากมายเพื่อเก็บให้ลูกหลานใช้กลัวเขาลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราลองถามตัวเราสิว่าเราส่งต่อความดีนี้ไปให้ลูกหลานหรือเปล่า ถ้าเราไม่ส่งให้เขา ในที่สุดเขารวยมากหล่นแรงไหม เขาก็จะหล่นแรง เพราะฉะนั้นความห่วงใยนั้นเมื่อส่งทรัพย์สมบัติก็ต้องส่งคุณธรรมให้คู่กันด้วย มีเงินทองไม่รู้จักใช้ก็เป็นภัยแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่จะสอนลูกหลานลองถามตัวเราว่า เรานั้นได้ใช้เงินทองเป็นภัยแก่ตัวหรือเปล่า
พุทธสถานเซิ่งเต๋อแปลว่าอะไร แปลว่าอริยคุณธรรม แสดงว่าเราต้องมีคุณธรรมเหมือนพระอริยะไหม (ต้อง)  ถ้ามีคนมาว่าเราเราทำอย่างไร (ยิ้ม)  มีคนขโมยเงินเราเราทำอย่างไร ยิ้มออกไหม (ยิ้มไม่ออก) พุทธะอริยะเงินทองไม่ใช่สิ่งสำคัญ ยิ้มไม่ออกก็ต้องยิ้มให้ออก เมื่อรู้ตัวขโมยแล้วทำอย่างไรดี ทำร้ายร่างกายเขาได้ไหม (ไม่ได้) มองเขาตาขวางๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ต้องอภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอภัยก็คือหนึ่งในคุณธรรมของอริยะ อภัยได้ไหม
เมื่อยหรือยัง (ยัง) เราต้องหาอาหารมาใส่ร่างกายเรานี้เพื่อให้อิ่ม ไม่หิวแล้วก็มีสมาธิในการทำงาน นั่งฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกันมีกายแล้วก็ยังมีใจอีก ใจของเรานั้นอยู่ภายใน ใจนั้นเหมือนกับร่างกายของเรา เราต้องหาคุณงามความดี หาธรรมะ หาสิ่งที่ดีๆ ให้จิตใจฟังเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกวันนี้เราออกไปข้างนอก อยู่ในสังคมสิ่งที่เป็นธรรมะนั้นมีน้อยไหม (น้อย) แล้วเราพยายามจะดิ้นรนขวนขวายหาหรือเปล่า (พยายาม) ถ้าหากใครได้พยายามแล้วจิตใจดวงนี้ได้รับอาหารแล้วย่อมเป็นจิตใจที่ได้รับการบำเพ็ญมาบ้าง แต่หากตลอดชีวิตนี้ไม่ค่อยจะดิ้นรนขวนขวายหาธรรมะใส่ตน คุณงามความดีไม่ค่อยสร้าง เปรียบเสมือนจิตใจดวงนี้ไม่ได้รับอาหารนานวันเข้าก็จะเข้าใจว่าดำขาว เข้าใจผิดเป็นถูก ชีวิตนี้ย่อมจมลงสู่อบายภูมิ ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้จักที่จะหาธรรมะใส่ตน ไม่ว่าเรานั้นจะมีโอกาสหรือไม่ ถ้าไม่มีโอกาสก็ต้องรู้จักฉวยโอกาส ถ้าโอกาสยังมาไม่ถึงต้องรู้จักรอโอกาสใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นสิ่งสำคัญ อาจารย์มาถึงที่นี่ไม่ใช่ให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นมานั่งดูทรงเจ้าเข้าผี แต่ต้องการให้ศิษย์ตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์จะพูด แล้วนำกลับไปปฏิบัติให้ได้ ไม่ว่าจะยากหรือจะง่าย ถ้าง่ายก็ปฏิบัติให้มากๆ ถ้ายากก็พยายามขึ้นอีกดีหรือไม่ (ดี) ชีวิตหนึ่งชีวิตไม่ใช่เวลาที่นานมาก ถ้ามีความทุกข์อยู่ก็แสนนาน ถ้ามีความสุขอยู่ก็แสนสั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้สั้นๆ ยาวๆ อยู่ที่เรานั้นได้รับสิ่งใดอยู่ แต่จงรู้ไว้ว่าเนื้อแท้ของชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยืนยาว สิบปีที่แล้วที่เรายังไม่ได้แต่งงานก็เหมือนกับเมื่อวานนี้เอง สิบปีต่อมาเรามีลูกแล้ว สิบปีต่อไปลูกเราก็โตแล้วชีวิตสั้นๆ เหมือนกับชั่วครู่เท่านั้น เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงต้องรู้จักใช้ให้อย่างมีคุณค่า แม้ชีวิตนั้นจะสั้น แต่ว่าต้องสร้างคุณค่าให้กับชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนโดยประมาณก็มีชีวิตร้อยปีเท่าๆ กัน หวนย้อนมองวีรชนของชาติไทย มีชีวิตสั้นเหมือนกันไหม สั้นเหมือนกับที่ศิษย์มีไหม บางคนยังต้องสละชีวิตทั้งๆ ที่ไม่ถึงคราวจำเป็นด้วยซ้ำใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นท่านเหล่านี้ก็มีชีวิตสั้นพอๆ กับศิษย์แต่ก็มีชีวิตที่มีคุณค่า ศิษย์นั้นแม้จะไม่มีโอกาสที่จะแสดงความสามารถ แสดงวีรกรรม แสดงสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองขนาดนั้น แต่ก็ควรจะสร้างคุณค่าเล็กๆ ให้กับชีวิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยเราต้องรู้จักที่จะทำให้ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ไม่ไร้ค่า ชีวิตที่ไม่ไร้ค่าควรทำอย่างไร สร้างชีวิตนี้ให้มีคุณค่าได้อย่างไร 
คำพูดนั้นพูดง่ายแต่ถึงเวลาแล้วยากยิ่งกว่า เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นพูดออกไปแล้วต้องทำให้ได้ หลายคนเคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คือไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอะไร จำเป็นจะต้องไม่หวั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงเวลาท้อได้ไหม (ไม่ได้)  กลัวได้ไหม (ไม่ได้)  สอนตัวเองไว้นะ ต้องมีคุณธรรมว่าอย่างไร ใช้หลักสัจธรรมให้กับชีวิต ใช้หลักสัจธรรมอะไรบ้าง หลายอย่างด้วยกัน หลักในการทำความดี หลักคุณธรรม การน้อมนำจิตใจ ใจกตัญญู หลายคนพูดถึงหลักสัจธรรม แต่จริงๆ แล้วไม่รู้จะใช้หลักไหนดี หลักเยอะไปหมดเลย ในที่สุดแล้วหลักก็อยู่ส่วนหลักเราก็อยู่ส่วนเรา เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์เจอปัญหาใดปัญหาหนึ่ง ถ้าคิดว่าเราจะแก้ปัญหานี้ด้วยสัจธรรม แก้ด้วยคุณธรรม หากไม่รู้จะใช้หลักอะไรลองใช้หลักอะไรก็ได้นำไปแก้ปัญหาดูก่อน เริ่มต้นจากหลักไหนก็ลองแก้ปัญหานั้นดูก่อน ดีหรือไม่ (ดี) ในที่สุดหลักสัจธรรมก็เป็นรูปวงกลมเหมือนกัน หลักสัจธรรมเป็นเช่นรูปวงกลมเหมือนกัน ความจริงของชีวิตจะวนเวียนอยู่ตรงนี้ศิษย์จะเริ่มจากหลักสัจธรรมนี้ มาสู่หลักสัจธรรมนี้ก็ได้ หลักนี้ไปสู่อีกหลักก็ได้ลองใช้หลักไหนสักหลักหนึ่งลงไปก่อน ขอเพียงเป็นหลักสัจธรรมไม่ใช่อารมณ์ ใช้อะไรก็ได้ลงไปก่อนแล้วผลก็จะออกมาว่าศิษย์นั้นก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่แก้ปัญหาด้วยสัจธรรม ไม่แก้ปัญหาด้วยคุณธรรม แต่แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ คำพูดทิฐิ ความรุนแรง จิตใจที่ดุดัน และอารมณ์ที่ร้อนแรง ในที่สุดแล้วปัญหาไม่ได้ถูกแก้แต่ปัญหาถูกทบมากขึ้น และมากขึ้น เวลาจะแก้ไม่รู้จะเริ่มแก้จากที่ไหน เพราะว่าปมมันถูกผูกจนแน่นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  สร้างชีวิตให้มีคุณค่าอย่างไร (ทำความดี) ใช่หรือเปล่า
ผลไม้นี้เหมือนมรรคผลถ้าหากว่าให้ศิษย์ไปแล้วต้องรับไหม (ต้องรับ)  แต่ว่าเวลาที่คนอื่น หรือกิเลสจะดึงอารมณ์ จะดึงมรรคผลนิพพานของเราไปทั้งหมด เพราะอะไร กิเลสดึงเพียงเล็กน้อยในที่สุดแล้วกิเลสก็ดึงสำเร็จ กิเลสดึงเราเพียงนิดเดียวใช่หรือไม่ แต่เรากลับปล่อยยอมให้ดึงใช่หรือเปล่า อารมณ์เพียงนิดเดียวแต่ศิษย์เสียมรรคผลทั้งหมดคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  จะยอมให้กิเลสตัณหาความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่มีเพียงนิดเดียวของเราดึงมรรคผลของเราไปทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร ต้องไปยื้อแย่งกับเขาที่ตรงนี้หรือว่าจะมาจับที่ตรงนี้ จะไปยื้อแย่งกับอารมณ์กิเลสตัวเองชนะก่อนแล้วตัวเองค่อยมาจับมรรคผลได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่ายื้อแย่งมากเป็นอย่างไร ยื้อแย่งมากตรงนี้ก็หลุดใช่หรือไม่ เพราะเรามัวแต่ยื้อตรงนี้แล้วไม่สนใจสิ่งที่สำคัญกว่าใช่หรือไม่ ในที่สุดแล้วหลุดไหม (หลุด)  หวังว่าเราทุกคนคงทำได้เช่นนี้ไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้เสียทิศทางของการบำเพ็ญ เพราะการบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ 
การเกิดตายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิต แต่การหลุดพ้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของการเวียนว่ายตายเกิด เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ทั้งชีวิตสร้างชีวิตให้มีคุณค่าจึงจะสมกับที่เราเกิดมาเป็นคน ถ้าหากว่าใช้ชีวิตทำความดีไม่สมกับความเป็นเรานั้นสมควรที่จะเรียกว่าคนไหม ถ้าเรามัวเมาสุรานารีเรานั้นเหมือนคนไหม (ไม่เหมือน)  ถ้าเรามัวเมากิเลสตัณหาเราเหมือนคนไหม (ไม่เหมือน) คนนับได้อยู่ที่ไหน คนเหมือนคนที่ตรงไหน (คนที่สร้างความดี มีคุณธรรมมากน้อยอยู่ที่ใจ)  แล้วมีมากน้อยเท่าไหร่เริ่มสะสมแล้วหรือยังต้องเริ่มสะสมแล้ว ต้องปรามอารมณ์ของตัวเองลงให้ได้ดีไหม (ดี)
สองวันนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้เลยยกมือขึ้น หลังจากจบวันนี้เอาผลไม้กลับไปคนละลูกดีไหม (ดี)  อยากได้ผลไม้ต้องทำอย่างไร ต้องตอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ตอบก็อด ถ้าไม่บำเพ็ญก็ไม่ต้องกลับนิพพาน อยากเป็นคนก็ง่ายๆใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำเหมือนทุกวันนี้ชาติหน้าก็กลับมาเป็นคนใหม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างดีก็ไปแค่สวรรค์ รับธรรมะเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วไม่ไปนิพพานได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าทำอย่างที่พูดนี้ก็แค่นี้แหละ ถ้าทำอย่างทุกวันนี้อย่างมากก็แค่สวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าแอบไปทำความผิดเล็กๆ น้อยๆ หลบๆ ซ่อนๆ ก็ไปนรก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำความผิดใครไม่เห็นแต่ตัวเราเอง  เพราะฉะนั้นทำความดีหรือความชั่วอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  เวลาทำความดีอยากให้คนอื่นรู้ อยากให้คนอื่นยกย่อง แล้วเวลาทำความผิด อยากให้คนอื่นรู้ไหม (ไม่)  ทำไมเวลาทำความผิดไม่อยากให้คนอื่นเห็น เวลาทำความดีอยากให้คนอื่นชม มีความละอาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความรู้สึกของเราอารมณ์ของเรานั้นที่อยู่ภายในแบ่งเป็นสองซีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ข้างหนึ่งทำความดีอยากให้คนอื่นรู้ แต่อีกข้างหนึ่งทำความไม่ดีก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ ความรู้สึกของเราเหมือนกับอะไร ความรู้สึกของเรานั้นแบ่งออกเป็นสองข้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ข้างที่ทำความดีอยากให้ผู้อื่นรู้นั้นเป็นข้างของพุทธะที่แฝงใจมาร ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นของมารที่แฝงใจของอะไร (พุทธะ) ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นำถ้วยมาประกบกัน) สมมติว่าถ้วยหนึ่งเป็นใจของเราที่ทำความดีอยากให้คนอื่นรู้ จริงๆ แล้วควรจะเป็นใจที่เต็มๆ แต่ความที่อยากจะให้ผู้อื่นรู้นั้นก็เป็นถ้วยข้าวที่กลวงๆ ส่วนอีกใจหนึ่งทำความชั่วไม่คิดที่จะแก้ไข เป็นจิตใจของมารที่อยากจะปิดบัง แต่ไม่อยากจะแก้ไข ก็เป็นใจที่สีดำสนิทล้วนๆ ใจดวงนี้เมื่อประกบกันเข้าแล้วมีใจพุทธะอยู่กี่ส่วน (2 ส่วน)  แต่อีกถ้วยหนึ่งเป็นสีดำสนิทแล้ว เพราะทำความชั่วแล้วแถมอยากปิดบัง ไม่อยากจะให้ผู้อื่นรู้ว่าเป็นสีดำ ส่วนถ้วยนี้เป็นจิตใจของพุทธะที่แฝงใจมาร เป็นอย่างไร เป็นสีขาวครึ่งเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงเปรียบไปแล้วมีใจพุทธะแค่หนึ่งในสี่เท่านั้นเอง แสดงว่าตอนนี้พวกเราล้วนมีใจพุทธะเพียงแค่หนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้นเอง การที่จะทำให้ใจพุทธะมีอยู่ครึ่งหนึ่งทำอย่างไร (ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน) แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำครึ่งนี้ก่อน ครึ่งนี้เป็นการทำความดีอยากให้ผู้อื่นรู้ ครึ่งนี้เป็นการทำความผิดแล้วอยากปิดบัง ถ้าเราเปลี่ยนจากอยากปิดบังมาเป็นอยากแก้ไข ทำความผิดแล้วอยากแก้ไข ทุกคนทำความผิดได้ไหม (ได้)  เขาบอกว่า 
“สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์บอกว่าศิษย์อย่าทำผิด ทำได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์ก็เห็นศิษย์ทำผิดอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นเมื่อทำผิดแล้วอยากแก้ไข ต้องทำอย่างไร ให้ใจของเรานั้นจากที่เคยเป็นอยู่แล้ว ให้มีใจพุทธะอยู่สักครึ่งหนึ่ง ทำอย่างไรกับข้างนี้ที่ทำความผิดแล้วอยากปิดบังดี ต้องทำความผิดแล้วไม่ทำความผิดอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่บอกว่าไม่ทำความผิดแล้วไม่ทำความผิดเป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สองหายไปไหน แสดงว่าเรานั้นผิดซ้ำไปแล้วทีหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  จะต้องทำความผิดแล้วพยายามจะไม่ให้ผิดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สองก็ไม่เอาแล้ว ไม่ใช่บอกว่าครั้งที่สองหยวนๆ เดี๋ยวครั้งที่สามค่อยแก้ตัวใหม่ เขาบอกว่าดินพอกหางหมูใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราทำความผิดหนึ่งครั้งอีกครั้งหนึ่งจะผิดอีกได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องบอกตัวเองว่าไม่ได้ เพราะว่าเรามีประสบการณ์ในการผิดพลาดมาแล้วหนึ่งครั้ง จะให้มีการผิดครั้งที่สองอีกนั้นเป็นเรื่องที่สุดวิสัยถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเจตนาให้เป็นผิดครั้งที่สอง เพราะว่าเรานั้นขี้เกียจจะแก้ ผิดครั้งที่สามเพราะว่าเราเผลอไป ผิดครั้งที่สี่เพราะว่าเรานั้นไม่อยากเลย เราก็รู้แล้วแหละแต่ก็ไม่อยากเลย ผิดครั้งที่ห้าแล้วก็ผิดครั้งที่หก ถ้ามีครั้งที่หนึ่งก็มีครั้งต่อไปเรื่อยๆใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราตัดเสียตั้งแต่ครั้งแรก หนึ่งก็ไม่ให้ต่อแล้วเป็นอย่างไร ก็เรียกว่าชนะใจตัวเอง ชนะใครไม่ภูมิใจเท่าชนะใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ชนะคนอื่นอยากจะชนะใช้กำลังชนะได้ไหม (ได้)  ใช้เงินทองชนะได้ไหม (ได้) ใช่ชื่อเสียงชนะได้ไหม (ได้) ใช้ความเก่งชนะได้ไหม (ได้)  ใช้ความสามารถชนะได้ไหม (ได้) แต่ว่าสิ่งที่เราจะชนะเขาแล้วภูมิใจที่สุดก็คือ (ชนะใจตัวเอง)  ไม่ใช่การไปชนะคนอื่นแต่มาชนะใจตนเองนั่นเป็นการชนะที่น่าภูมิใจที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการผิดครั้งที่สองเอาไหม (ไม่เอา) ตอนที่ศิษย์รักของอาจารย์ตอบมีคนหัวเราะใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าอะไร เพราะว่าคนที่ทำความดีมักมีคนที่เยาะเย้ย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พูดอะไรเป็นไปได้อย่างไร พูดอย่างนี้ทำได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะทำแล้วไม่มีความผิดครั้งที่สอง แต่ถามว่าคนทำไม่ได้ คนร้อยคนทำไม่ได้มีหนึ่งคนเป็นพุทธะทำได้ คนเป็นพุทธะคนนี้ดูแล้วบ๊องๆ ไหม คนเป็นพุทธะคนนี้ก็ตอบแล้วบ๊องๆ นิดๆ แต่เป็นคำตอบที่ถูกที่สุดเลย เพราะฉะนั้นออกไปข้างนอกแล้วมีคนหัวเราะเยาะเย้ยเรา เพราะเราทำตัวแปลกๆ ไม่แต่งตัวตามสมัยนิยม ไม่ฟู่ฟ่าหรูหราเกินไปแปลกไหม
ถ้าหากว่าเรากินเจคนอื่นกินชอหมดแปลกไหม (ไม่แปลก) คนที่กินเจแล้วบอกแปลก เพราะว่าเคยมาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยไปอยู่ในหมู่คนจำนวนมากที่เขากินชอแล้วเรากินเจ สุดท้ายเขาบอกว่านี่ตัวประหลาด แต่ถามว่าตัวประหลาดตัวนี้เป็นอะไร เป็นคนที่มีความเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่)  ปลาก่อนตายเขาทำอย่างไร เขาทุบหัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปลาดิ้นจนวาระสุดท้ายไหม  ฆ่าไก่ทำอย่างไร (เชือด) ฆ่าหมูทำอย่างไร (แทงคอ) ฆ่าวัวทำอย่างไร เขาร้องไหม บางตัวเมื่อมีสำนึกมาก มีความเป็นคนสูงขนาดร้องไห้ก็ยังมีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นถามว่าคนที่กินเจแปลกหรือคนที่กินชอแปลก (กินเจ) อยากมาแปลกประหลาดด้วยกันไหม ถ้าศิษย์ไม่แปลกประหลาดวันนี้ ก็ต้องบอกว่าคนกินเจแปลกประหลาด แต่คนที่กินเจแล้วจิตญาณจะใสกว่าคนที่กินชอเพราะคนกินชอนั้น กินเอาไออาฆาตของสัตว์ต่างๆ เข้าไป  ในที่สุดแล้วยามที่เราต้องการจะบำเพ็ญจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมสว่าง ทำอย่างไรก็ไม่ใส เหมือนกับเราขัดพื้น แล้วไม่สะอาดสักที เพราะเรานั้นไม่ยอมใช้น้ำยาใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องพยายามที่จะลด ละ เลิก ในการทานเนื้อสัตว์ ถ้าหากว่าทำได้แม้ว่าจะประหลาดในวงสังคมแต่ไม่ประหลาดในแดนฟ้า ไม่ประหลาดในการบำเพ็ญธรรม ชีวิตคนเกิดมาแต่ละคนมีความมุ่งหวังคาดหวังต่างๆ นานา ดูว่าศิษย์มุ่งหวังอะไร ชีวิตนี้จะให้เอาร่างกายที่ขับรถไปตายอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือ กับการที่ศิษย์นั้นขับรถ ออกรถไปแล้วมุ่งหมายจะไปทางนี้ แล้วจะต้องไปให้ถึงนิพพาน ถึงเวลาแล้วไม่ถึง ก็ยังไม่เป็นไร ดีกว่าขับไปทางไหนก็ไม่รู้สะเปะสะปะใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้วยข้าวสองถ้วยนี้เป็นอย่างไร ถ้วยหนึ่งทำความดีแล้วอยากให้ผู้อื่นชมอีกถ้วยหนึ่งก็ทำความชั่วแล้วอยากแก้ไข เมื่อประกบกันแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพุทธะเต็มที่ ก็เป็นพุทธะอยู่ครึ่งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าถ้วยหนึ่งอยากให้คนชมก็จริง แต่อีกถ้วยหนึ่งก็อยากจะแก้ไขเหมือนกัน ในทางกลับกัน ถ้วยหนึ่งภายหลังทำความดีแล้วไม่อยากให้ใครยกย่อง ไม่อยากให้ใครสรรเสริญ แล้วอีกถ้วยหนึ่งทำความผิดแล้วก็อยากแก้ไข ในที่สุดก็เป็นพุทธะมากขึ้นอีก เมื่อถ้วยหนึ่งทำความดีแล้วไม่อยากให้คนอื่นชม อีกถ้วยหนึ่งก็เปลี่ยนจากการที่เราทำความผิดแล้วมาเป็นทำความดีมากขึ้น ในที่สุดแล้วจิตดวงนี้เป็นจิตพุทธะโดยสมบูรณ์ไหม (สมบูรณ์)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำสิ่งใดต้องมีการฝึกฝนและเริ่มต้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเริ่มต้นวันไหนดี (วันนี้)  เราต้องเริ่มต้นวันนี้ ไม่ใช่จะเริ่มต้นวันไหนก็ได้ เดี๋ยวขอคิดดูก่อน กลับไปบ้านแล้วเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวเริ่มวันไหนก็ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ดี ทุกวันนี้เป็นคนเหมือนกันแต่เป็นคนปลอมๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคนที่ยังไม่เหมือนคนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเหมือนอะไรให้ไปคิดเอาเอง เหมือนอะไรก็ได้แต่ไม่เป็นคนที่เหมือนคน
สองวันนี้แล้วกลับไปอยากจะทำอะไรเป็นอย่างแรก (ศึกษาธรรมะต่อ , ฝึกฝนทานเจ , กตัญญู , กลับไปบำเพ็ญและแก้ไขสิ่งที่ผิด , กลับไปทำงานใหญ่)  อาจารย์จะบอกให้ไม่ว่าจะทำงานใหญ่หรืองานเล็กก็เหมือนกัน คือต้องเริ่มจากความศรัทธา ต้องเริ่มจากการศึกษาและปฏิบัติ ตอนนี้กำลังปฏิบัติอยู่ก็กลับมาดูว่าเราศึกษามากและแม่นพอหรือยัง เข้าใจหรือยัง ถ่องแท้หรือยัง แล้วกลับไปปฏิบัติให้ดีเข้าใจไหม  อาจารย์บอกว่าบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องรีบเร่ง  เพราะว่าคนส่วนใหญ่เมื่อเริ่มต้นไวก็จะจบไว เพราะว่าตอนเริ่มต้นมีแรงที่จะวิ่งมาก พอถึงสุดท้ายแล้ววิ่งไม่ออกก็เลิกวิ่ง อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์ต้องรีบเร่ง แต่ว่าไม่ใช่ให้ชักช้าเหมือนคนกันเอง ชักช้าเหมือนคนกันเองเป็นยังไง เวลาเรารอใครที่บ้านเราให้เขาแต่งตัวเสร็จนานไหม (นาน) แล้วสมมติว่าไม่ได้เป็นญาติกันเรารีบไหม (รีบ)  เพราะว่าคนที่ไม่ใช่ญาติเรา เขามีสิทธิ์ทิ้งเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องไม่ช้ามากเกินไปจนไม่ยอมทำอะไรเลย ทุกวันก็รอเวลาให้ผ่านไป บำเพ็ญธรรมไม่ได้มองใจตนเองเลยเอาแต่โทษคนอื่น อ่อนน้อมก็ทำไม่เป็น อย่างนี้เรียกว่าเรานั้นช้าเกินไป ส่วนการเร็วเกินไปเป็นอย่างไร อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าใจแต่จะทำทุกอย่างเลย อย่างนี้ก็เร็วเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์บอกว่าไม่ใช่ต้องชักช้าอย่างคนกันเอง 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม : ต้องเร่งรีบ)  ศิษย์ของอาจารย์บอกว่าก็ยังต้องรีบเร่งถูกหรือเปล่า (ถูก)  ในความชักช้าใครชักช้าก็เอาความรีบเร่งเข้าไป  ใครรีบเร่งก็ให้รีบเร่งช้าลงอีกนิด ต้องรีบเร่ง อาจารย์ไม่ได้ให้รีบเร่งจนเกินไป แต่บอกว่าต้องรีบเร่งย้อนมองตน ไม่โทษใคร การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าเน้นหนักอยู่ที่ภายนอก ไม่ได้เน้นหนักอยู่ที่รูปกาย ไม่ได้เน้นหนักที่ทรัพย์สิน  ใจของเรานั้นใช้ได้หรือยัง ดีพร้อมหรือยัง ได้รับการขัดเกลาดีหรือยังใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะไปเรียกให้ใครทำอะไรนั้นไม่จำเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต้องเรียกร้องให้ตัวเราเอง หัดที่จะย้อนมองตนเองทุกๆ วัน วันข้างหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร เรายังไม่รู้ว่าผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะเปรี้ยวจะหวาน บำเพ็ญธรรมต่อไปไหมยังไม่รู้ ยังไม่รู้จนกว่าจะได้แกะออกดูใช่หรือไม่ ธรรมะก็เหมือนกัน ข้างนอกนี้ก็มองได้ แต่ว่าข้างในนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรานั้นต้องไปศึกษาให้เข้าใจ แต่ว่ากระท้อนเวลากินต้องทำอย่างไรก่อน ทุบใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเราประสบพบเจออุปสรรคมากหน่อยก็ทนมากหน่อยดีไหม 
คนบางคนไม่ชอบพูด ชอบทำก็ดีแล้วใช่ไหม ทำความดีให้มากๆ คนบางคนไม่ชอบทำแต่ชอบพูด ก็ต้องรู้จักพูดแต่ในสิ่งที่ดีๆ พูดแต่ในสิ่งที่เป็นความดีของคนอื่น จึงจะเหมาะสมใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทั้งชอบทำชอบพูดทำอย่างไรดี ก็ต้องทำแต่ในสิ่งที่ดีๆ พูดแต่ในสิ่งที่ดีๆ ดีหรือไม่ ในขณะเดียวกันหากคนอื่นเขามาพูดสิ่งไม่ดีของเรา เราจะทำอย่างไร ถ้าคนอื่นเขามาพูดสิ่งที่ไม่ดีของเรา เราต้องรีบเร่งย้อนมองส่องตน ว่าเรานั้นมีความไม่ดีตรงนั้นไหมใช่หรือไม่ (ใช่)  จะว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเขาจะพูดร้ายมา ว่าเรามีกิเลส เราก็ยินดีที่จะไปละกิเลส ถ้าคนอื่นบอกว่าเราไม่ดี เราก็ยินดีที่จะแก้ไขให้ดี จะได้เห็นตัวเองชัดขึ้น ดีไหม
การแยกแยะเป็นสิ่งสำคัญหรือเปล่า เวลาคนอื่นถูกต่อว่า แล้วเราจะเดือดร้อนทำไมใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีเราต้องรู้จักแยกแยะความผิด ความถูก ดีชอบออกจากกันให้ได้ บางทีเราแยกแยะไม่ค่อยถูก รู้ไหมว่าต้องใช้อะไรแยกแยะ ใช้ปัญญา ปัญญาเป็นอย่างไร สิ่งที่สอนให้เราเอาเปรียบคน เอาชนะเหนือคนอื่นเรียกว่าปัญญาหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าหากว่าคนอื่นว่าเรา สิ่งที่สอนเราให้ว่าเขากลับ หรือว่าให้ไปแก้แค้นกลับ สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญญา หากว่าเขาว่าเรา เราให้อภัยเขาได้ สิ่งนี้เรียกว่าปัญญา ความฉลาดกับปัญญาแตกต่างกันตรงไหน ปัญญาเหมือนน้ำที่ใสเย็นไม่มีสี สีอะไรมาก็พร้อมจะรับ แต่ความฉลาดเป็นน้ำที่มีสีอยู่แล้ว ยิ่งสีต่างๆ ลงปนเปื้อนลงไป น้ำนี้จะยิ่งดำ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้จักปัญญาที่บริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ยิ่งดี ดีไม่ดีศิษย์อาจจะทำให้น้ำที่กำลังจะหยดมาสู่ในใจของเรา ทำให้ใจของเราเปลี่ยนสี เราอาจจะไปเปลี่ยนเขาก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีคนอยากจะเปลี่ยนคนอื่นด้วยคำพูดเพียงสองสามคำทำได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องเปลี่ยนคนอื่นด้วยการที่เรานั้นทำให้เขาเห็นว่าเราทำในสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำจนได้ผลแล้ว เราเป็นคนดีจนได้ผลดีแล้ว คนอื่นจึงอยากเป็นคนดีตามเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ต้องรู้จักที่จะใช้ปัญญาแยกแยะว่าเรานั้นมีความสามารถเพียงพอจะเปลี่ยนเขาหรือเปล่า บางทีเราไม่มีความสามารถไปเปลี่ยนเขา แต่เราเข้าใจว่าเราสามารถเปลี่ยนเขาได้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้ ศิษย์ยังถูกเขาดึงกลับไปด้วย กลายเป็นเราเปลี่ยนตามเขาไปอีก เปลี่ยนเราจากที่เคยดีอยู่แล้วกลายเป็นไม่ดี  เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนใครสักคน ขอให้มองย้อนเข้ามาดูตัวเอง ว่าเรานั้นมีความสามารถที่จะไปเปลี่ยนเขาหรือเปล่า  หากว่าเราไม่มีความสามารถเปลี่ยนเขา เราจงให้ผู้อื่นมาเปลี่ยน  คนไทยมักจะพูดว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ  ดีไม่ดีก็โดนแทะจนตัวเองเหลือแต่กระดูก
รำไพแปลว่าพระอาทิตย์ มาตื่นขึ้นก่อนพระอาทิตย์ดับ โดยปกติแล้วเราจะตื่นในตอนเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้นใช่หรือไม่ แต่ว่าชีวิตของศิษย์นั้นตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นคือตอนที่เกิดร่างกายนี้ ก็ตื่นๆ หลับๆ ตลอดทั้งวันเลย เพราะฉะนั้นเขาบอกว่านอนตอนพระอาทิตย์ตกจะรู้สึกไม่สบายใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกว่าให้ตื่นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินถ้าหากว่านอนต่อไปศิษย์ก็จะไม่สบาย ตื่นขึ้นมาให้เรานั้นได้เรียนรู้ช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตนี้เสียก่อน ก่อนที่จะถึงช่วงของชีวิตนี้ คนตื่นสายเท่าไร ตื่นเช้าเท่าไรอยู่ที่ว่าตอนนี้ตัวเองอายุเท่าไรแล้ว ไม่ต้องคิดไกลไปจนถึงเจ็ด เจ็ด สี่สิบเก้า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “มนุษยธรรม”)
อันนี้เป็นโอวาทซ้อนที่ศิษย์ช่วยกันวง อาจารย์พูดถึงเรื่อง “มนุษยธรรม” “มนุษย์" แปลว่าอะไร มนุษย์หมายถึงศิษย์ทุกๆ คน "ธรรมะ" หมายถึงธรรมะแห่งมนุษย์นั่นเอง การที่จะบำเพ็ญอนุตตรธรรมที่ศิษย์ได้มาบำเพ็ญในครานี้ การเริ่มต้นแน่นอนต้องมี เริ่มต้นขึ้นจากธรรมะแห่งมนุษย์ อาจารย์ถึงบอกว่าทำคนให้เป็นคน เราต้องเป็นคนที่เหมือนคนด้วยการมีธรรมะแห่งคน  ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง ไม่มีพุทธะองค์ไหนบนแดนฟ้าบนนิพพานที่ไม่กตัญญู ทุกๆ พระองค์นั้นต้องมีความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง แม้ว่าเคยผิดพลาดมาแล้วต้องกลับไปแก้ไข แก้ไขแล้วไม่ผิดซ้ำ เราต้องเป็นผู้ที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อผู้ใหญ่เราต้องมีความเคารพ ต่อผู้น้อยต้องรู้จักปรานีเมตตา พ่อแม่ต้องมีความรักในตัวลูก เมตตาในลูก ลูกมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ พี่น้องต้องปรองดองกัน เป็นพี่มาก่อนเป็นน้องมาหลัง สามีภรรยาก็ต้องมีความสนิทกัน มีความกลมเกลียว สามีเป็นเท้าหน้าภรรยาเป็นเท้าหลัง เป็นเพื่อนต้องมีสัจจะต่อเพื่อน พูดอะไรแล้วต้องให้เป็นไปตามนั้น นี่จะเป็นมนุษยธรรมขั้นต้นของคน เราบางทีก็อยู่ในฐานะพ่อ บางทีเราอยู่ในฐานะแม่ บางทีเราอยู่ในฐานะลูก บางทีเราอยู่ในฐานะพี่ บางทีเราอยู่ในฐานะน้อง เรานั้นอยู่ได้ทุกสถานะ เพราะฉะนั้นทำตนให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง ต่อบุคคลที่เราใกล้ชิด ต้องทำหน้าที่ของเรานั้นให้ดี จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญมนุษยธรรม เมื่อมนุษยธรรมได้ครบถ้วนดีแล้วจึงไปบำเพ็ญอนุตตรธรรมได้ อนุตตรธรรมบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะ มนุษยธรรมบำเพ็ญเพื่อเป็นมนุษย์ ทุกวันนี้ต้องเป็นมนุษย์ก่อนถึงเป็นพุทธะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ดังที่อาจารย์พูดไว้แต่ต้น ศิษย์ของอาจารย์โชคดีมีร่างกายเป็นมนุษย์ อยากจะเป็นนกทำได้ไหม ก็ไปขึ้นเครื่องบิน อยากจะเป็นปลาก็ลงเรือดำน้ำ อยากจะเป็นคนเป็นคนวิเศษเท่าไหร่ อะไรก็ทำได้ทั้งนั้นขอให้ศิษย์มีร่างกายเป็นมนุษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเป็นมนุษย์นั้นอยากจะเป็นพุทธะ เป็นเซียนได้ไหม อยากจะเป็นผีนรกได้ไหม อยากจะเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ไหม ได้หมดเลยทุกทาง ทางทุกเส้นนั้นขึ้นอยู่กับศิษย์นั้นไปเดิน นิพพานในวันหน้าคือศิษย์ในวันนี้ เทวดาในวันหน้าก็คือศิษย์ในวันนี้ ผีนรกในวันหน้าก็คือศิษย์ในวันนี้ ไม่ใช่ว่าฟ้าดินใช้วิธีการจับฉลากไปลงทางไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าตนเองนั้นได้ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นนิพพานอยู่เบื้องบนหรือว่าอยู่ที่นี่ (อยู่ที่นี่)  จะนิพพาน สวรรค์ นรก ขึ้นอยู่ที่ศิษย์ในวันนี้ทั้งนั้น อย่าประมาท ชีวิตคนนั้นสั้นๆ วันนี้หายใจพรุ่งนี้อาจจะหมดลมหายใจก็ได้ ไม่ใช่ว่าผมขาวจึงจะหยุดหายใจ แต่หยุดหายใจได้ทุกๆ คน เมื่อเราไม่มีลมหายใจเราก็หมดความโชคดีอันนี้แล้ว เพราะฉะนั้นทรัพย์สินเงินทองใดๆ ก็แล้วแต่ไม่อาจโชคดีเท่าศิษย์นั้นมีร่างกายนี้ เพราะฉะนั้นจงรักษาร่างกายนี้ให้ดีๆ ร่างกายนี้พูดได้ทำได้ พูดในสิ่งที่ดีๆ ทำในสิ่งที่ดีๆ ระมัดระวังทุกๆ อย่าง ทุกๆ ก้าวดีหรือเปล่า (ดี)  คนบำเพ็ญนั้นที่ศิษย์เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ว่าทุกๆ คนนั้นจะดีทุกๆ คน เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งใดขัดใจขัดตาขออย่าให้นำพาเป็นอารมณ์ใส่ใจดีไหม (ดี)  ถ้าเราคิดว่าเราดีจริงเราจงเอาความดีของเราเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ชำระจิตใจของเราให้ใสสะอาด อย่าคิดว่าใคร อย่าคิดอิจฉาใครดีไหม (ดี)
หัวหน้าชั้นเป็นหัวหน้าของคนทั้งชั้น อาจารย์ฝากคนทั้งชั้นไว้กับเราทำได้ไหม หลังจากวันนี้อาจารย์คงได้เจอศิษย์ทุกคนอีก บำเพ็ญให้ดีๆ ทุกคนมีรากบุญ มีส่วนบุญบนนิพพาน อาจารย์นั้นมีคำพูดมากมายที่จะพูดกับศิษย์ แต่พูดแล้วแรงเกินไป พูดเบาเกินไปก็อาจจะไม่เข้าใจ ดูๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์ก็เดินตามกันมาดีทุกคน แต่ว่าที่ตามๆ กันมานี้ยังไม่มีใครที่เป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างเด่นชัดได้ ศิษย์ลองทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีๆ ให้คนอื่นทำตามให้ดีอย่างแท้จริง ไม่มีจุดสีดำปนเปื้อน เพราะว่าธรรมะนั้นล้ำค่า ไม่ได้ดูที่ธรรมะ แต่ธรรมะที่ล้ำค่านั้นดูที่ศิษย์ของอาจารย์ ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีมากๆ เขาก็บอกว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมะที่ดี ศิษย์ของอาจารย์ไม่ดีเขาก็บอกว่าธรรมะนั้นไม่ดี บำเพ็ญดีๆ เพราะฉะนั้นธรรมะนั้นไม่ได้เป็นอิสระด้วยตัวของธรรมะเอง แต่ถูกพันธนาการไว้ด้วยศิษย์ทั้งหลาย ฉะนั้นหวังว่าหลังจากศิษย์กลับไป ทำตัวเราให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นแบบอย่างที่ดีให้คนข้างหลัง เป็นแบบอย่างที่ดีให้คนรอบข้าง ถ้าหากว่าศิษย์นั้นดีได้ถึงเวลาศิษย์ไม่ต้องออกปาก ไม่ต้องชวนเขาเข้ามาสถานธรรม เขาก็อยากเข้ามา
ในเพลงอาจารย์ถึงบอกว่า "บนแดนฟ้ายกย่องคนได้แก้ไข" คนที่แก้ไขตัวเองได้ บนแดนฟ้านั้นยกย่องยิ่งนัก คนที่แก้ไขตนเองไม่ได้ เหตุผลของศิษย์คืออะไร ต่อให้ศิษย์เอาเหตุผลร้อยข้อมาบอกอาจารย์ แต่เหตุผลสุดท้ายกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองแก่คนผู้นั้น ถึงเวลาอาจารย์เอาเหตุผลไปช่วยศิษย์ในยมโลกและอาจารย์เอาเหตุผลไปบอกซันกวนต้าตี้ได้ไหม เพราะศิษย์อาจารย์แก้ตรงนี้ไม่ได้เลย เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์มีปัญหาตรงนั้นตรงนี้ ศิษย์อย่าลืมพุทธะบนฟ้าสำเร็จไปก็ไม่ง่าย อุปสรรคมากมาย แล้วศิษย์ของอาจารย์ฝ่ามากี่ครั้งแล้ว หนักๆ รับได้กี่ครั้งกัน อดทนมากหรือน้อยอยู่ที่เรา รักอาจารย์ก็ต้องอยู่กับอาจารย์อย่าเปลี่ยนใจบ่อย ชีวิตนี้ทุกข์ใช่ไหม  วันนี้อาจารย์ให้ทางพ้นทุกข์แล้วก็อย่าลืมเอาไปปฏิบัติ อย่ามัวเอากลับไปบ้านไปเฉยๆ เราออกมาปฏิบัติไม่ได้ก็ขอให้เรานั้นได้ปฏิบัติที่ใจ ทำจิตใจเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อมีโอกาสสักวันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์ก็จะได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง ครบถ้วนทั้งกาย และใจ สองวันนี้จบกันไปแล้วก็ลืมอาจารย์ ธรรมะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ชีวิตเดินอย่างไรก็ไม่รู้ อย่าให้เป็นอย่างนี้ อาจารย์ส่งสายทองให้แค่เส้นเดียว มือสองข้างให้จับสายทองเส้นเดียว เราอาจจะไม่หลงได้ แต่อย่าลืมว่าคนที่อยู่รอบๆ ข้างเรา บางทีเขาก็ไม่เข้าใจเท่าไร เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างทุกขณะของเราอย่าทำให้คนอื่นเวลาที่เขาทำตามเรา แต่เขาเข้าใจไม่เท่าเรา เขาก็จะหลงไปก่อนเรา ถึงเวลาเราจะไปเรียกเขากลับมาก็ไม่ได้แล้ว ระมัดระวังให้ดี เชื่อฟังอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเหมือนที่เชื่ออาจารย์เข้าใจไหม
อาจารย์หวังว่าจากวันนี้ได้ลากันแล้ว วันหน้าหวังว่าจะได้เจอศิษย์ทุกคนอีก หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะไม่เปลี่ยนใจง่ายดายได้ไหม (ได้)  ธรรมะศึกษาให้เข้าใจ อย่าทิ้งธรรมะไปง่ายดาย ศึกษาธรรมะให้เข้าใจกันทุกๆ คน อย่าบำเพ็ญด้วยความไม่รู้ ทำตัวให้ดีๆ คนข้างหน้าย่อมใกล้ชิดอาจารย์มากกว่าคนข้างหลัง ศิษย์ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาให้ได้เข้าใจใหม รักษาตัวให้ดีๆ ทุกคน


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มนุษยธรรม”
การบำเพ็ญอนุตตรธรรมต้องเริ่มจาก การหยั่งรากมนุษยธรรมนำชีวิต
ต้องเลี่ยงการจงใจจะทำผิด ทุกเรื่องคิดคล่องตริตรองก่อนกระทำ
ที่เล็กน้อยบ่อยเข้าก็มากขึ้น สิ่งเมามึนคือกิเลสไม่ถลำ
ผู้บำเพ็ญสู้ด้วยคุณธรรม สามารถข้ามทะเลทุกข์กันทุกคน


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา