วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

2542-05-29 พุทธสถานไท่อิน ดาวคะนอง กทม.


PDF 2542-05-29-ไท่อิน #10.pdf


#จุดมุ่งหมายอนุตตรธรรม

วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒   พุทธสถานไท่อิน  ดาวคะนอง กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าฝั่งหาย คนมิใช้ธรรมะเข้ากำราบจิต

กลับลุ่มหลงในโลกีย์เป็นเนืองนิจ วันนี้คิดย้อนมองเห็นสัจธรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก 
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา 

ในวันนี้มีบุญมาร่วมสถาน จิตเบิกบานดั่งพุทธะความสุกใส

ตัดกิเลสจิตกังขาให้ห่างไกล ความเข้าใจเกิดด้วยน้องเพียรศึกษา
ด้วยเวลาชีวิตคนมีสั้นนัก ขอตระหนักให้ถ่องแท้ทางเบื้องหน้า
ชีวิตคนมีค่ากว่ากำหนดราคา พ้นทรมาด้วยให้สุขแก่ผู้อื่น
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมใจนี้อย่าได้ขมขื่น
เรื่องทางโลกใช้ธรรมกล่อมเกลี้ยงมิกล้ำกลืน จงเร่งยืนอยู่บนเท้าของตนเอง
น้องชายหญิงต่างเป็นผู้มีรากบุญ ขอเร่งหมุนใจจิตนี้ให้รีบเร่ง
บำเพ็ญธรรมเรื่องสมควรอย่ากลัวเกรง จิตนักเลงอย่าเกิดมีให้น้อมใจ
แสงสว่างจิตบรรเจิดกว่าแสงตะวัน ชีวิตสั้นแต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย
อย่าพาตนสู่ลู่ทางอันตราย ให้ตั้งใจบำเพ็ญเถิดทุกคืนวัน
ขอให้รู้การศึกษาด้วยตั้งใจ ลำบากไปจิตใจนี้อย่าหวาดหวั่น
ธรรมะแท้ทดสอบจริงเพื่อเลือกสรร กลับคืนบ้านจิตใจนั้นต้องบริสุทธิ์
เพื่อให้รู้ทางแท้ต้องพิจารณา ต้องรักษาให้ใจนี้งามวิสุทธิ์
ปัญญานำออกมาใช้สู่วิมุตติ รับชี้จุดหยุดเวียนว่ายเร่งลงมือ
ในสามวันขอให้มาให้ครบถ้วน อย่าเรรวนพุทธระเบียบให้ยึดถือ
ให้จิตใจงดงามอยู่ในมือ อย่ายึดยื้อใช้วาจาอันเสียดแทง
ละกิเลสบำเพ็ญบุญให้ทั่วหน้า อันธรรมาหากไม่รู้จริงอย่าหน่ายแหนง
สังคมโลกปัจจุบันเฝ้าฆ่าแกง รบรุนแรงด้วยเริ่มขึ้นจากตนเอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอจงใช้วิจารณญาณอย่าอวดเก่ง
เวลาแห่งฟ้าดินคับขันเร่ง ให้กลัวเกรงหากไม่รู้กำหนดชีพตน
วาระสามถือเป็นโชคแห่งน้อง ให้ปรองดองกันไปทุกแห่งหน
อย่าได้กลับคืนบ้านเฉพาะตน ช่วยทุกคนกลับคืนพร้อมแดนสุทธา
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์

จิตเดิมแท้งามสดใสไร้ราคี ดั่งวารีใสสะอาดเห็นก้นบึ้ง

อ่อนน้อมจนคนใกล้ไกลใฝ่คะนึง รู้ตื่นซึ่งชีวิตไม่หลงเวียน
เราคือ
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

บำเพ็ญธรรมอยู่กลางโลกสิ่งสมมติ ในใจจุดไฟธรรมขึ้นสรรเสริญ

เคารพมุ่งหมายของอนุตตรธรรมพร่ำเจริญ ไม่ดำเนินบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างงมงาย
โองการฟ้าอาญาสิทธิ์วิญญู ถือ คนสัตย์ซื่อธรรมชาติรักการให้
เน้นเชิดชูเที่ยงหน้าที่ต่อส่วนใหญ่ สิ่งชูใจคือสามัคคีกลางอุรา
ฟื้นวัฒนธรรมกตัญญูรู้คุณคน แม้ยากจนเทิดทูนเกียรติรักษา
กตเวทีบิดามารดาเคารพอาจารย์ให้วิชา ทุกเวลาถือความดีจะรุ่งเรือง
รักษาสัตย์ต่อตนบ้านเดิมกลับ มีสัจจะเพื่อนกับเพื่อนมิกระเดื่อง
ผู้มีอัธยาศัยไมตรีต่อและเนื่อง ย่อมปฏิบัติในเรื่องใดได้สมบูรณ์
 ให้รู้บุญบำเพ็ญบาปอดกลั้น คุณสัมพันธ์ห้า และคุณธรรมนำหนุน
ตอบแทนคุณทิศแปด พระการุณย์ สติของวิเศษคุณจรรโลงจิตเศวต 
พระธรรมคำสอนแห่งทุกศาสนา จากพระศาสดาทั้งห้าล้วนวิเศษ
หลักปกครองการถือยึดไกลกิเลส ดั่งเมล็ดขึ้นและโตตามปัจจัย
แบบงามดีอันโบราณชำระจิต ไม่รู้คิดจนประเพณีเสื่อมสลาย
ผ่องแผ้วอาศัยการฝึกโดยเข้าใจ แผ้วผ่องให้ใจจิตเสมอกัน
ฮา  ฮา  หยุด



[1] วิญญู :                 ผู้รู้แจ้งนักปราชญ์
[1] คุณสัมพันธ์ห้า    : 1. ผู้ใหญ่กับผู้น้อย  2. บิดากับบุตร  3.สามีกับภรรยา  4. พี่กับน้อง
5.เพื่อนกับเพื่อน   
[1] ทิศแปด                : 1.ทิศเหนือ  2.ทิศใต้  3.ทิศตะวันออก  4.ทิศตะวันตก  5.ทิศตะวัน
ออกเฉียงเหนือ  6.ทิศตะวันออกเฉียงใต้  7.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 
8.ทิศตะวันตกเฉียงใต้
[1] การุณย์                : ความกรุณา

[1] เศวต                    : สีขาว



วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านหนันผิงเซียนถง

คนตามฟ้าเพราะฟ้าโล่งโปร่งใส ฟ้าตามคนเพราะใจคนใสกว่าฟ้า

เกิดเป็นคนต้องแจ้งชัดด้วยปัญญา ทางเบื้องหน้าอยู่ที่เรากำหนดเอง
เราคือ
หนันผิงเซียนถง ติดตาม
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านมีความสุขหรือเปล่า

สิ่งที่พูดต้องทำได้จึงสมบูรณ์ ความเกื้อกูลต้องจริงใจจึงเป็นผล

พบลำบากไม่ยากแค่อดทน พบอับจนอย่าได้ท้อผ่านสักวัน
เดินดีดีอย่ามัวเดินอยู่กับที่ ท่านเมธีบำเพ็ญธรรมเป็นตอนขั้น
เป็นพี่น้องปรองดองร่วมแบ่งปัน หลังสามวันมาแปรตนเป็นคนใหม่
เป็นผู้น้อยตามอาวุโสด้วยอ่อนน้อม คนรู้ยอมมากมากจิตก็จะใส
ภัยภายนอกมิอาจเท่าภัยในใจ ทำตนให้ทุกคนรักท่านหมดเลย
ทุกทุกท่านขอจงมาบำเพ็ญกัน บำเพ็ญนั้นก็ง่ายง่ายอย่ามัวเฉย
จิตใจเฝ้าขัดเกลาทิ้งความคุ้นเคย อย่าละเลยให้เวลากับตนเอง
ฝึกเมตตาชีวิตนี้จะมีสุข ล้มแล้วลุกเวลายืนห้ามเขย่ง
ในบัดนี้ยุคปลายโปรดอย่างรีบเร่ง จงครัดเคร่งกับตนเถิดเกิดผลดี
ฮิ  ฮิ  หยุด
หมายเหตุ   ท่านหนันผิงเซียนถงเมตตาให้นักเรียนร่วมแต่งกลอนวรรคสุดท้าย  ของบทสุดท้าย
ร่วมกันเปล่งวาจาสัตย์สู่นิพพาน
ควรรีบเร่งลุกขึ้นยืนจะสุขเอย
มุ่งบำเพ็ญปฏิบัติธรรมสู่ทางดี


คนบำเพ็ญยามนี้ หลังหลังมีแต่ความหมองใจ

ไปปลดกรรมไฉน หรือไปเกี่ยวกรรมถมตน
ทุกข์ทำให้เกียจคร้าน ผองท่านก็เลยวกวน
หว่านพืชแต่หวังผล มิแคล้ววนกลับไปทุกข์ใจ
ทำนองเพลง  :  แมงมุมลาย


พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์และท่านหนันผิงเซียนถง

ท่านหนันผิงเซียนถง : เราจะบีบคนให้หายเมื่อย ต้องบีบให้จริงๆ  เราต้องบีบเขาให้ถึง  ถ้าไม่ถึงเราต้องขยับมาให้ถึง เราจะให้เขาหายเมื่อยต้องออกแรงพอดีๆ  ออกแรงมากเกินไปเขาก็จะเจ็บใช่หรือเปล่า ออกแรงน้อยเกินไปเขาก็ไม่หายเมื่อย  เวลานวดต้องยืดตัวไปข้างหน้าจึงจะช่วยผู้อื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ต้องออกแรงพอดีๆ  แสดงให้เห็นถึงอะไร (ความพยายามและความตั้งใจ) ต้องออกมาจากข้างในใช่หรือไม่ ส่วนตัวคือการปฏิบัติ  ถ้าวันนี้ท่านมาศึกษาครบสามวันแล้วท่านเอาไปอยู่ในใจเฉยๆ ไม่ยอมออกแรงปฏิบัติ ไม่ยอมออกแรงทุ่มเท ก็ไม่เป็นแรงออกมาบีบให้คนอื่นใช่หรือไม่ ตัวท่านไม่ยอมทุ่มเทมาข้างหน้าก็ไม่สามารถมา

สถานธรรมได้
มนุษย์นั้นไม่มีใครว่างสักคนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนยุ่งหมดเลย ยุ่งเพราะใคร (ตัวเอง)  ยุ่งเพราะตัวเองดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อย่างนั้นตัวท่านก็ไม่ดีน่ะสิ   เวลาที่คนเขาถามว่าท่านดีไหม ท่านก็บอกว่าท่านดี แต่ถามว่ายุ่งเพื่อใคร ก็ยุ่งเพื่อตัวเอง แล้วจะดีจริงๆ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง (ต้องตั้งใจ) ต้องตั้งใจใช่หรือเปล่า (ใช่) พอเขาบอกว่าใช่ก็ใช่หมดเลย  นี่เป็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งของเรา  คนไหนว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน  ทุกวันท่านทำเพื่อตัวเองแล้วท่านก็บอกว่ายังไม่ค่อยดีเท่าไร  เพราะฉะนั้นจะต้องทำอย่างไรดี มีคนตอบถูกแล้วแต่ชอบตอบเบาๆ (ทำเพื่อคนอื่น)  คนตอบไม่ถูกแต่กล้าตอบ  แต่คนตอบถูกกลับตอบเบาๆ คนดีในโลกก็เลยเหมือนมีน้อย คนที่ไม่ดีก็เลยเหมือนมีเยอะ  เพราะฉะนั้นท่านต้องเป็นคนกล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่ท่านคิดว่าถูกต้องดีหรือไม่ (ดี)  แต่ถ้าท่านแสดงออกไปแล้วคนเขาบอกว่าไม่ถูกล่ะ  ท่านจะทำอย่างไร (ต้องแก้ไข)   แก้ไขเลยหรือ ต้องคิดก่อนหรือเปล่า (คิดก่อน)  เวลาเขาพูดอะไรมาก็ต้องคิดก่อน แล้วค่อยทำตามใช่หรือเปล่า (ใช่)  นิสัยของมนุษย์และคนส่วนใหญ่ ชอบพูดแต่ไม่ชอบฟัง  ถ้าไม่ชอบฟังแล้วจะไปคิดได้อย่างไร  ไม่ว่าคนนั้นจะขี้บ่นหน่อย ฟังหรือไม่ฟัง (ฟัง)  แม้จะพูดสั้นไปนิดฟังหรือไม่ฟัง (ฟัง) คนนั้นพูดไม่ค่อยมี
เหตุผลเลยฟังหรือไม่ฟัง (ฟัง)  คนนั้นชอบพูดโกหกอยู่เรื่อยฟังหรือไม่ฟัง (ไม่ฟัง) เริ่มไม่ฟังแล้ว คนนั้นพูดจากลับกลอก พูดกับคนนี้อย่าง พูดกับคนนั้นอย่าง ฟังหรือไม่ฟัง (ไม่ฟัง) ท่านไม่ฟังทำได้หรือ (ไม่ได้)  เอาสำลีมาอุดหูให้เขาเห็นได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าท่านเอาสำลีอุดหูให้เขาเห็นเขาก็จะทำอะไรท่าน ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจจะชก  ถ้าเป็นผู้หญิงจะทำอะไร (ตบ)  แล้วเป็นวิธีที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี)
คนในโลกไม่ชอบให้ใครเด่นกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเด่นทำอย่างไร เคยกำจัดคนเด่นไหม ใครเด่นกว่าเรา เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเป็นคนบำเพ็ญธรรมจึงต้องทำตัวให้โง่ๆ หน่อย คนโง่ๆ คนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เป็นเพชรในตม คนอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย คนฉลาดเล่ห์เพทุบายชอบบอกว่ารู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ท่านเป็นปีกหรือเป็นหาง เราเป็นพุทธะอย่าเป็นปีกเป็นหางเลยดีไหม (ดี)  สงสัยหรือ สงสัยไม่ดีนะ เดี๋ยวหัวสมองรับภาระหนักเพราะว่าท่านนั่งฟังธรรมะก็ยังต้องคิดด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังธรรมะก็ต้องคิดแล้วยังเอาหัวไปคิดเรื่องสงสัยจู้จี้จุกจิกไปหมดเลย แล้วจะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร
“คนตามฟ้าเพราะฟ้าโล่งโปร่งใส”  รู้จักคนตามฟ้าไหม (ไม่รู้)  เคยเงยหน้ามองฟ้าไหม (เคย)  คนตามฟ้าเป็นอย่างไร ท่านอยู่บนโลกนี้บนศีรษะของท่านเป็นท้องฟ้า ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล คนเดินตามฟ้าอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้ฟ้ามาเดินตามคน (ทำตัวให้โปร่งให้ใสเหมือนฟ้าแล้วฟ้าจะเดินตามเรา, ทำให้ตัวเองสวยงามกว่าฟ้า)  คนนี้ใจใหญ่ไปหรือเปล่า แต่เรา
ปรบมือให้ เพราะว่าเราต้องกล้าคิด กล้าตอบแล้วก็กล้าทำ ท่านไม่กล้าคิดว่าท่านจะใสกว่าฟ้าใช่หรือเปล่า แต่ว่าฟ้าที่ใสๆ ก็มีวันที่มีเมฆฝนครึ้มดำ  ถามว่าวันนั้นท่านสามารถใสกว่าฟ้าได้ไหม (ได้)  ทีนี้แหงนหน้ามองฟ้าใหม่อีกรอบหนึ่ง ตอนนี้ฟ้าข้างนอกครึ้มเหมือนฝนจะตก เพราะฉะนั้นตอนนี้ใจท่านต้องใสกว่าฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้ฟ้าข้างหน้าเป็นท้องฟ้าเบื้องหน้า ข้างหลังเราเป็นท้องฟ้าเบื้องหลัง เพราะฉะนั้นใครตามใคร คนตามฟ้าหรือฟ้าตามคน (ต่างคนต่างตาม)  ใจเราตามฟ้าที่ใสๆ ฟ้าก็ตามเราเพราะใจเราใสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจเราไม่ใสฟ้าตามเราไหม (ไม่ตาม)  อาจจะมีฟ้าที่มีเมฆรอที่จะผ่าตามเรามาก็ได้
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : อยู่ในห้องมีความสุขกันหรือเปล่า (มี)  อยู่กับเด็กๆ ก็มีความสุขได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่กับผู้ใหญ่ล่ะ มีแต่ปัญหาหรือ ถ้าให้ท่านเลือก ก็อยากเลือกอยู่กับเด็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องพบเจอกับปัญหา ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องแก้ปัญหา ไม่ต้องขบคิดปัญหา เป็นเด็กมีความสุขยิ่งกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อชีวิตเราต้องก้าวเดิน เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จะเป็นเด็กอยู่ตลอดก็เป็นไปไม่ได้ ชีวิตทำให้เราเรียนรู้ว่าเป็นเด็กแล้วต้องไปสู่ผู้ใหญ่ เราจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ เราต้องก้าวหน้า เราต้องพัฒนาไปตลอด เราจะหวังสิ่งหนึ่งโดยทิ้งอีกสิ่งหนึ่งเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่  เราจะหวังการเป็นเด็กโดยไม่คิดจะเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นไปไม่ได้
ท่านหนันผิงเซียนถง : เวลาบำเพ็ญธรรมะคนเขาชอบบอกว่าเดิน คนเดินอยู่กับที่กับคนเดินไปข้างหน้าเวลาฝนมารับเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ลมมารับเท่ากันหรือเปล่า (ไม่เท่า)  แรงเบาต่างกันนิดหน่อย แต่ท่านรู้ไหมว่าท่านก็ชอบเดินอยู่กับที่แบบนี้ เหนื่อยมากเลยแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินอยู่กับที่ เพราะว่ามนุษย์ตั้งแต่เกิดมาท่านก็สั่งสมแต่เงิน พอมีเงินแล้วก็มีความโลภ มีครอบครัวแล้วก็มีความรักความหลง เวลาที่ท่านได้สิ่งใดมาความสมหวังก็ดีความผิดหวังก็ดี ทุกอย่างกลายเป็นอัตตาตัวตนของท่าน ทำให้ท่านวางไม่ลง เวลาเดินถ้าปล่อยอัตตาปล่อยกิเลสได้ครบทุกก้าวท่านก็จะเดินเร็วขึ้น ปล่อยไม่ได้ก็เดินย่ำอยู่กับที่ หนึ่งก้าวปล่อยหนึ่งก้าวปล่อย ท่านก็จะเดินเร็วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ปล่อย คนอื่นว่าท่านก็แล้ว ติท่านก็แล้ว ท่านก็ไม่ปล่อย ผลเสียจะอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง)  ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนอื่น เพียงแต่ตัวคนพูดมีกรรมปากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง พูดบ่อยๆ ก็มีกรรมปากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง จนสุดท้ายบำเพ็ญไปไม่ถึงไหนเลยเพราะชอบพูดเยอะ เพราะฉะนั้นพูดเยอะดีไหม (ไม่ดี)  แต่ว่าสิ่งใดที่ควรพูดก็พูด สิ่งใดไม่ควรพูดก็ต้องไม่พูด มนุษย์เขาบอกว่าตรงปากมีซิปอันหนึ่งต้องทำอย่างไร (ต้องรูดซิป) แล้วพูดแต่ในสิ่งที่ดี
ทุกคนอยากมีความสุขในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตลอดชีวิตที่เราเป็นสุขนั้นเราได้มาจากเหตุใดกันบ้าง (ได้ธรรมะ)  ความสุขได้จากการเรียนรู้ธรรมะหรือมีธรรมะในตัว เป็นแบบไหนกัน (แผ่เมตตาให้ผู้อื่น)  เป็นความสุขที่นำธรรมะที่อยู่ในตัวไปเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  การช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนในที่นี้จะมีสักกี่คนที่ได้ทำแล้วตนเองมี
ความสุข ความสุขที่ท่านหากลับเป็นเรื่องสองเรื่องนี้ที่เขากล่าวมาได้น้อยใช่หรือไม่ เป็นความสุขในด้านใดกัน ส่วนมากจะเป็นด้านทางโลก ด้านช่วยคนใช่หรือไม่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องหาทรัพย์สิน หาคนรัก หาตามสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยใจ
ใฝ่หา เกิดมาเพื่อหาแต่เราถามจริงๆ ว่าที่เราหานั้นได้ความสุขหรือความทุกข์ เราหาเพื่อได้ความสมอยากหรือไปตามความอยากในชีวิตกัน เรามักจะหาสิ่งที่เราต้องการตามที่ใจเราคิดใช่หรือไม่ พอได้สมปรารถนาเราก็ว่าเรามีสุขเรายินดีปรีดา แต่พอไม่ได้ตามสมปรารถนาเราก็เกิดความเป็นทุกข์กังวลใจกลัดกลุ้มใจ แปลว่าความสุขความทุกข์ของเรานั้นจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ใจเราอยากหรือไม่อยากเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใจเราหมดอยากได้ ทุกข์สุขก็ไม่ต้องกังวลเลยในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในชีวิตของทุกคนต่างมีความอยาก ต่างต้องการหา ทุกข์สุขเลยเป็นอันต้องคาดหวัง แล้วเราจะทำอย่างไรดี ส่วนมากเราจะรู้จักความสุขเพราะว่าเราอยากหนีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากหาความสงบเพราะจิตใจเราว้าวุ่น เราอยากหาความดีงามความร่มเย็นเพราะจิตใจเราเจอแต่เรื่องเลวร้าย มีแต่เรื่องกลัดกลุ้มกังวลใจ เมื่อเราอยู่ในโลก เราอดไม่ได้ที่จะต้องกังวลในเรื่องสองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านร้าย แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้ต้นสายปลายเหตุที่จะทำให้เราต้องทุกข์ ใฝ่หาตามทุกข์สุข เราก็หยุดเสียตั้งแต่ต้น หยุดความอยากในจิตใจเรา ความทุกข์สุขที่เราต้องการไปวิ่งหานั้นก็จะไม่มี ในใจเรามีแต่ความว่างเปล่า ความเงียบ และการไม่แสวงหาก็อาจจะมีความสุขได้ แต่จะมีกันสักกี่คนที่เข้าใจ พอไม่มีก็อยากมี แต่พอมีแล้วจะให้กลายเป็นไม่มี ยากไหม (ยาก) สู้ไม่มีเสียตั้งแต่ต้นย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะดับที่ไหน ดับที่ตัวตนหรือดับที่ใจ (ใจ) ใจเป็นนายของกายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อย่าให้ใจนั้นเป็นทาสของวัตถุ หลายๆ คนมีใจเป็นนายของกาย แต่ใจนั้นมักจะติดวัตถุ เป็นทาสของวัตถุอยู่สม่ำเสมอ ทำให้ต้องทุกข์แล้วก็สุข แล้วก็เจ็บปวดกับทุกข์สุขนี่อยู่ร่ำไป
คราวนี้พอจะรู้การแก้ทุกข์ การหยุดแสวงหาความสุขที่ไม่มีการจบสิ้นหรือยัง สรุปง่ายๆ ก็คือดับที่ใจ รู้จักมีสุขในความเงียบ รู้จักมีสุขในความสงบและความว่างเปล่า  ท่านหาความสุขที่ไหน ที่จิตใจหรือที่วัตถุ แต่เราเห็นท่านชอบดูทีวี และเห็นท่านชอบไปในที่ที่ทำให้ท่านสนุก  ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็รู้ว่าความสุขนั้นมาจากจิตใจของเราถูกหรือไม่ (ถูก) ความสุขที่เกิดจากจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่หาง่าย เพียงแต่ท่านรู้จักคำว่า "ปล่อยวาง" ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าท่านรู้จักไหม (ไม่รู้จัก) ท่านรู้จักแต่ว่า "ปล่อยวาง" เขียนอย่างไร  แต่ท่านไม่รู้ว่าปล่อยวางจริงๆ เป็น
อย่างไร  บางคนปล่อยวางเป็นเหมือนกัน แต่ปล่อยครึ่งหนึ่งเก็บครึ่งหนึ่ง  ถ้าปล่อยครึ่งหนึ่งเก็บครึ่งหนึ่งที่อยู่กับเราเป็นความทุกข์ไหม (เป็น) แต่ถ้าหากท่านปล่อยไปทั้งสองส่วนเลย เราก็ไม่เอาสักส่วนเดียว ท่านมีความสุขไหม (มี) แล้วท่านทำได้ไหม (ได้) เกิดมาชีวิตนี้มีความทุกข์และมีความสุข ท่านเจอสิ่งไหนมากกว่ากัน (ความทุกข์) แล้วท่านชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน (ความสุข) แล้วท่านทำอย่างไร (ปล่อยวาง) แล้วท่านปล่อยได้กี่ครั้งแล้ว เพราะว่าท่านไม่เคยปล่อยวางเลยชีวิตนี้จึงยังเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าปล่อยให้มากๆ ความสุขก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า เหมือนกับวุ้นเส้นเคยเห็นไหม (เคย)  เวลาที่ท่านแช่ลงไป แช่นิดเดียว  ถ้าเอาไปผัดกับข้าวแล้วมันพองขึ้นใช่หรือเปล่า (พอง) แต่ว่าเป็นวุ้นเส้นอันเดียวกันหรือเปล่า (อันเดียวกัน) ก็เป็นวุ้นเส้นอันเดียวกันแต่มันพองขึ้น ดีไม่ดีถ้าท่านไม่ยอมกิน อันที่ท่านกินเหลือไว้มันก็พองขึ้นมาเท่าเดิมอีก ในใจของท่านมีความสุขประเภทนี้ไหม ใครมีบ้างยกมือขึ้น มีคนเดียวเอง สุขเรื่องไหน เพื่อให้พวกเขาสุขบ้าง (ที่รู้สึกมีความสุขมากก็คือได้มาฟังธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และครั้งแรก ฟังแล้วเบิกบานใจ)  แสดงว่ามีความสุขครั้งแรกทางด้านธรรมะเป็นความสุขที่พองขึ้นเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นักเรียนในชั้นปรบมือให้กับนักเรียนที่ลุกขึ้นตอบ) เพราะว่าทุกท่านมานั่งที่นี่ แต่ไม่รู้ความสุขประเภทเดียวกับเขาจึงต้องปรบมือให้กับเขา ความสุขที่พองตัวขึ้นเองได้มีอยู่ในใจของท่าน แต่ถ้าท่านไม่รู้จักที่จะค้นๆ ออกมาแช่น้ำให้มันพองเร็วๆ ก็เป็นวุ้นเส้นแห้งๆ ในตู้กับข้าวในใจท่าน เพราะฉะนั้นท่านต้องค้นออกมา ท่านเก็บเองคนอื่นเห็นไหมว่าท่านเก็บไว้ที่ไหน (ไม่เห็น) ท่านต้องไปค้นออกมาเองว่าท่านมีความสุขประเภทนี้คือสิ่งใด แต่ความสุขประเภทนี้นั้นเกิดได้ก็ต่อเมื่อทำให้ผู้อื่น  ถ้าหากว่าท่านทำให้แต่ตนเอง พอทำให้ตนเองมากเข้าๆ จิตใจก็แคบลงๆ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เวลาที่เรามองตัวเองเราไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเลย แต่เวลาคนอื่นมองเรารู้สึกอย่างนั้นไหม 
(รู้สึก)  แสดงว่าเราเป็นหรือไม่เป็น (ไม่เป็น)  เริ่มเป็นนิดๆ เริ่มเป็นอีกหน่อยหนึ่ง เริ่มเป็นมากขึ้นๆ ในที่สุดแล้วความเห็นแก่ตัวก็มีมาทั้งแขนเลย ใช่ไหม (ใช่) ความเห็นแก่ตัวเราก็เยอะแยะ แต่ว่าคนที่เห็นแก่ตัวนี้มีผลดีหรือเปล่า (ไม่มี)  ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นความสุขของท่านที่อยู่ในใจนั้นเป็นสิ่งที่หาง่าย เกิดง่าย และสามารถพองตัวเองได้ ทำได้ไหม (ได้)
เวลาที่คนอื่นเอาทุกข์มาให้ เขาโยนทุกข์ลงมาแล้วเป็นแครอท เป็นเห็ด เป็นซีอิ๊ว  แล้วอร่อยไหม (อร่อย)  เพราะฉะนั้นให้เห็นความทุกข์เป็นเรื่องอย่างไร (เป็นอุปสรรคทำให้เรายิ่งเจอความทุกข์มากๆ เหมือนกับมียามาทำให้เราพบความสงบสุขได้)  คนนี้เห็นความทุกข์เป็นยา (ถ้าเราประสบกับความทุกข์ ให้เราคิดว่าความทุกข์เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อเราศึกษาถึงแล้ว เราได้ความรู้จากหนังสือเล่มนั้น ทีนี้จะทำให้เราอยากศึกษาโดยรู้ความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  เวลาที่ท่านคำนับแล้วไม่ยอมก้มหัวลง ท่านก็กลายเป็นพยักหน้าใช่หรือเปล่า คนที่มา
สถานธรรมแล้วชอบโค้ง ถ้าหากว่าท่านไม่ก้มลงท่านก็เป็นพยักหน้าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ ก้มครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ต้องก้มให้สุดๆ ให้หลังของท่านขนานกับพื้น คนที่หลังเจ็บก็โค้งนิดๆ เพราะว่าเวลาที่ท่านโค้งนั้นก็ได้รับการออกกำลังกาย ไม่เจ็บไม่ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ หลายคนชอบเป็นโรคปวดหลังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้ท่านโค้งออกมาจากใจ เมื่อทุกอย่างออกมาจากใจก็จะดูสวยงาม ถ้าหากไม่ออกมาจากใจก็ดูแข็งกระด้าง
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : เมื่อสักครู่ที่เซียนน้อยกล่าวไป การทำตัวให้อ่อนน้อม ไม่ใช่การพยักหน้า แต่คือการทำตัวให้รู้จักคำว่า “อ่อนน้อมเป็น” คนในสังคมมักจะไม่กล้าที่จะอ่อนน้อมเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าละอาย เสียเกียรติใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอ่อนน้อมกับคนที่ข้างหน้าอาวุโสน้อยกว่าหรืออายุเยาว์กว่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหมว่ามีธรรมะอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถเกาะกุมใจให้คนทุกคนมีความสนิทสนมกันดุจญาติมิตร เพราะรู้จักปฏิบัติซึ่งความอ่อนน้อม เพราะเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะคำว่าอ่อนน้อมจะสามารถชักจูงให้คนที่แข็งที่สุดกลายเป็นคนที่อ่อนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราดูง่ายๆ คนเราแม้จะสูงอย่างไร แต่สักวันหนึ่งก็ต้องตกลงมาต่ำเหมือนดวงดาว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้นไม้ยิ่งสูงเท่าไร แต่ถ้าเกิดว่ามีเหตุขึ้นมาย่อมเป็นอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะสูงอย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องน้อมต่ำลงมา ยิ่งถ้ามีผลพวงหรือผลไม้นั้นยิ่งน้อมต่ำลงมาหาสรรพสิ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งใหญ่และแรงกล้าอย่างไร แต่ถ้าค่าของพระอาทิตย์ไม่ได้มอบให้สรรพสิ่ง คนจะสนใจไหม (ไม่)  คนก็เหมือนกัน หากไม่รู้จักวางตัวให้อ่อนน้อมเป็น เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น เอาแต่ยืนค้ำหัวคนอื่น คิดว่าตนเองมีปัญญา มีความรู้ แต่แท้ที่จริงแล้วการใช้ปัญญาและความรู้ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยท่าทีเหยียดหยาม ย่อมไม่สามารถเอาชนะจิตใจเขาได้ ย่อมไม่สามารถโอบอุ้มน้อมนำพาเขาไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนกับจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเป็น ย่อมสามารถช่วงใช้คนที่มีปัญญาเก่งกว่าเขาได้ ย่อมสามารถช่วงใช้คนที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมากกว่าเขาได้ ฉะนั้นหากเรารู้และเข้าใจเช่นนี้ ขอให้ปฏิบัติให้เป็น อ่อนน้อมในที่นี้ไม่ใช่ประจบประแจง ไม่ใช่อ่อนแอ แต่อ่อนน้อมนั้นคือไม่ดูถูกเหยียดหยามแม้เขาจะอ่อนกว่า หรือเขาจะมีฐานะหน้าที่ต่ำกว่า เราก็รับฟังความคิดเห็น เราก็รับฟังความเป็นไปของเขาด้วยความบริสุทธิ์จริงใจที่น้อมรับปรึกษาหารือกันดุจญาติมิตร หากทำเช่นนี้แม้คนที่ไกลเพียงใดก็จะทำได้ แม้คนที่ไม่เคยรู้จักท่านมาทำงานร่วมกัน ก็จะทำงานกับท่านได้เพราะเราใช้ท่าทีอย่างไร (อ่อนน้อมถ่อมตน)  อ่อนน้อมถ่อมตนบริสุทธิ์จริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าคนเราปฏิบัติต่อกันอย่างไร้จิตใจ ปฏิบัติกับเขาเหมือนเครื่องจักร ตัวท่านนั้นก็ย่อมไร้
จิตใจเหมือนกัน เป็นเครื่องจักรที่ไม่ต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะหลายคนมักจะคิดว่าตนเองมีไพ่ที่เหนือกว่า ตนเองมีอำนาจที่สูงใหญ่กว่า เราสามารถเลือกบ่าวได้ แต่อย่าลืมว่าเมื่อไรที่บ่าวมาอยู่กับเจ้านาย บ่าวก็พร้อมจะเปลี่ยนใจเลือกเจ้านายได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกับการคบเพื่อนการอยู่ร่วมกับเพื่อน ให้มีแต่ความอ่อนน้อม จริงใจ หากอยู่กันด้วยประโยชน์ เขาย่อมคิดประโยชน์กลับใช่หรือไม่ (ใช่)  การอยู่กันด้วยการดูถูกเขา เขาย่อมดูถูกเรา แต่ถ้าเราอยู่กันด้วยการเคารพกัน จริงใจกัน เขาย่อมเคารพกลับและจริงใจกลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การจะไปเรียกร้องผู้อื่นไม่สำคัญเท่ากับการเริ่มต้นเรียกร้องปฏิบัติตนเอง เป็นคนแรก หากส่งได้ดีการรับจะยากอย่างไร หากเริ่มต้นก้าวได้ถูกต้องเหมาะสม การดำเนินย่อมสอดคล้อง ความสำเร็จย่อมมีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เราพอมีชีวิต ความหมายของชีวิตเรายังเข้าใจไม่ถูก แล้วเราจะดำเนินชีวิตให้สอดคล้องได้อย่างไร จะมีความสำเร็จและความรุ่งเรืองมาหาตนก็ย่อมไม่ได้ ฉะนั้นเริ่มแรกของชีวิตสำคัญอยู่ที่ว่าเราต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้อง เข้าใจตน สรรพสิ่งและเรื่องราว เมื่อเราเข้าใจแล้วการดำเนินย่อมสอดคล้อง ความสำเร็จย่อมมีได้ ความรุ่งเรืองย่อมมาหาสู่เราใช่หรือไม่  ฉะนั้นเริ่มต้นให้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของชีวิตให้เป็น การจะก้าวการจะปฏิบัติและจะมีชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องยาก เข้าใจตนเองด้วยการส่องกระจก หรือเข้าใจด้วยการให้คนอื่นมาพูด หรือเข้าใจด้วยการรู้ด้วยตนเอง (รู้ด้วยตนเอง)  แต่เราอยากให้เราเข้าใจด้วยการที่ทุกคนก็พูดได้ รู้ด้วยตนเองได้ แล้วก็ย้อนมองหาข้อผิดพลาดและถูกต้องของตนเองได้ นี่ถึงจะครบถ้วนในการรู้จักตน ถามท่านว่าเป็นไปได้ไหม เรามองกระจกเรามีชีวิตเราจะเข้าใจตนเองโดยที่ไม่มีใครมาบอก เป็นไปได้น้อยใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเรารู้จักตนเองว่ามีความเมตตาไหม แต่คนอื่นจะช่วยสำรวจให้เราว่าเรามีความเมตตามากแค่ไหน เรามี
น้ำใจกับเขาจริงเพียงใด ฉะนั้นขอให้ยอมรับได้แม้กระทั่งการที่คนอื่นมาสำรวจตัวเรา คนอื่นชี้ข้อผิดพลาดของเรา แล้วเราจะมีความสุขในการดำเนินชีวิต
ท่านหนันผิงเซียนถง : เมื่อสักครู่เราถามว่าให้เห็นความทุกข์เป็นอย่างไรดี (บทเรียนแห่งชีวิต, ถ้าหากว่ามีความอดกลั้นและพยายามที่จะหาทางแก้ไขก็จะพบความสุข, ความทุกข์เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความคิด ความรู้สึก ที่จะแก้ไขความทุกข์ให้เกิดความสุขได้ และฝึกทำให้เราสามารถที่จะนำไปใช้กับชีวิตจริงของเรา ทั้งเรื่องส่วนตัวเรื่องครอบครัว และเรื่องหน้าที่การงานได้)  อันที่จริงแล้ว ทุกๆ ท่านก็มีบทเรียนเรื่องความทุกข์นั้นมาก เพราะว่าทุกท่านรู้จักทุกข์กันเป็นอย่างดีใช่หรือไม่ (ใช่) เอาความคิดของทุกท่านเป็นวิทยาทานรวมๆ กันแล้วเหมือนได้หนังสือเล่มหนึ่งเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกท่านต่างมีวิธีแก้ปัญหาต่างๆ กัน แต่ว่าการที่ให้ทุกท่านนั้น ต่างตอบคำถามเพื่อที่จะให้เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครที่ฟังแล้วมีคำตอบอะไร ที่เป็นสิ่งที่ดีก็ให้เก็บไปปฏิบัติกับความทุกข์ของเราดีหรือไม่ (ดี) แต่คำถามของเราก็คือ เห็นความทุกข์เป็นอย่างไรดี ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกท่านนั้นต้องไปหาต้นเหตุ สาเหตุ แล้วแก้ให้ถูกทิศทาง ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งไม่ดี ไม่ใช่สิ่งที่ขม ไม่ใช่สิ่งที่ท่านนั้นผ่านไม่ได้ แต่ความทุกข์เป็นขั้นตอนอย่างหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงแต่ท่านนั้นไปหาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร ทุกข์เกิดจากความกังวลใจ เป็นคนคิดมาก หรือว่าทุกข์เกิดจากปัญหามารุมเร้า ทุกข์เกิดจากเคราะห์กรรม หรือทุกข์เกิดจากท่านนั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักพินิจพิจารณา ความทุกข์นั้นมีมาต่างๆ กัน เวลาท่านจะดับไฟ ท่านต้องดับที่ต้นเหตุให้ได้ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นความทุกข์ก็เป็นเหมือนกับไฟ ที่ท่านนั้นต้องไปหาสาเหตุให้เจอแล้วไปดับที่ต้นเหตุใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าท่านดับที่ปลายเหตุ ท่านจะเทน้ำสามกะละมังลงไป ไฟดับก็เท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าท่านนั้นเจอต้นเหตุ ท่านเทน้ำกะละมังเดียวลงไป หมดไหม (หมด) แล้วท่านก็เอาน้ำนิดๆ หน่อยๆ ไปพรมที่ปลายเหตุแล้วก็หมดกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าไฟอันนี้มีขึ้นบ่อยๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องมีสติบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งต่างๆ นานาที่ท่านฟังมาในตอนที่ท่านเข้าวัดก็ดี ฟังธรรมก็ดี ทุกท่านนั้นก็ฟังมาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ถ้าจะนับว่าเป็นผู้มีปัญญาก็มีปัญญาอันมากมายทีเดียว แต่ว่าเท่าที่ท่านฟังมานั้น ท่านยังไม่เคยนำกลับไปปฏิบัติในชีวิตจริงเลย ที่นำกลับไปปฏิบัติไม่ได้หนึ่งในสิบ ท่านจึงต้องเป็นคนที่ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าท่านอยากดับทุกข์ได้ ท่านต้องเป็นคนที่มีสติตามทันความทุกข์ต่างๆ ได้
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ดับแล้วต้องดับให้หมด ไม่เช่นนั้นจะบอกว่าธรรมะไม่มีประโยชน์ดับทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ในโลกนี้เราจะดูอย่างไร เราถึงจะมองเรื่องราวในโลกนี้ได้อย่างชัดเจนและแจ่มชัด การจะมองโดยใช้แค่ตาดู หูฟัง เราจะมองเรื่องราว เราจะเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนไหม (ไม่) เดี๋ยวนี้เรามักแยกไม่ออกว่าอะไรจริง เท็จ ของแท้ ปลอม  การใช้แต่ตาดูและมือสัมผัส บางทีก็อาจจะไม่รู้แท้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมีใครพอเข้าใจไหมว่าทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่ารูปงามหรือร่างกายงามจึงบอกว่าเป็นของปลอม แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในดวงใจหรือร่างกายนี้คือของจริง เรามักจะบอกว่าสิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ได้ยิน คือของจริงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่านั่นแหละของปลอม ไม่ใช่
ของแท้ แต่ของจริงที่เป็นของแท้คือตัวตนที่อยู่ภายในใจของท่าน หรือพูดกันง่ายๆ ก็คือพุทธจิตธรรมญาณ หรือเรียกกันตามภาษาปากที่เราพูดก็คือ "วิญญาณ" นั่นคือของแท้ ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ กายเรามีวันเปลี่ยนแปลงไหม (มี) แยกออกมาแล้วเป็นคนเป็นตัวตนได้ไหม (ไม่ได้) แต่วิญญาณเป็นอย่างไร พุทธจิตธรรมญาณเป็นอย่างไร เราไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อไม่รู้จะบอกว่า ของปลอมหรือของแท้กันล่ะ แล้วสิ่งที่รู้ที่เราบอกว่ารู้ชัด รู้แน่ จริงๆ แล้วใช่รู้แน่จริงๆ หรือเปล่า บอกว่าวันนี้อยู่กับมือเรา เป็นของเรา วันนี้ว่าเป็นของจริง แต่จริงๆ แล้วเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง) เช่น เงินทอง เกียรติยศ เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ แต่พุทธจิตธรรมญาณ แม้จะดำหรือขาว ก็ยังเป็นพุทธจิตธรรมญาณที่อยู่ในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่ในโลก เราอย่าได้ติดเฉพาะแค่รูปลักษณ์ภายนอก มนุษย์เรามีชีวิต มักจะสะสมกันแต่วัตถุ รูปนามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ลืมคุณค่าความแท้จริงในตัวตนเองไป ทำให้มีชีวิตเพียงเพื่อสะสม มีค่าเพียงเพื่อการแสวงหา อย่างนั้นเป็นชีวิตที่มีคุณค่า หรือเป็นชีวิตที่เป็นการแสวงหาอย่างแท้จริงหรือเปล่า (ไม่ใช่) การแสวงหาที่แท้จริง คือการแสวงหาเพื่อความนิจนิรันดร์ ไม่ใช่เพื่อความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพื่อความไม่แน่นอน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราเกิดมาเพื่อดับกิเลส และดับความเป็นตัวตนของตนเอง  เมื่อไรเราไม่มีตัวตน เมื่อนั้นเราไม่ต้องทุกข์ เราไม่ต้องแสวงหา แต่ตอนนี้เราจะทำอย่างไรเราถึงจะสามารถอยู่บนโลกโดยร่วมกับคนอื่นได้ มีชีวิตก็มองเห็นได้ชัดเจน  เป็นคนที่เผชิญปัญหาก็สามารถมองเห็นเรื่องเล็กๆ กลายเป็นยิ่งใหญ่บานปลายได้ มนุษย์เรามักจะเห็นทุกข์ ก็ต่อเมื่อทุกข์นั้นยิ่งใหญ่ แต่เมื่อไรที่เราเห็นทุกข์ตั้งแต่เล็กๆ ทุกข์ใหญ่ก็จะไม่บังเกิด เราก็จะดับได้ และทำใจได้มากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือมองภายในสู่ภายนอก มองภาวะการณ์คืนสู่ธาตุแท้ มองเห็นปรากฏการณ์เห็นรูปลักษณ์ แล้วสามารถแยกเท็จจริงได้ เมื่อไรที่เราเข้าใจว่าอันใดเท็จจริง อันใดที่เที่ยงแท้มีค่า เราย่อมสามารถจะจับและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้เรากลับเป็นอย่างไร เท็จแท้แยกไม่ถูก ปนกันมองไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เรารู้แล้วว่า ค่าชีวิตของเรา เวลาชีวิตของเรา อย่าแลกเพียงแค่เงินทอง แต่ต้องแลกด้วยคุณค่า ที่น่าจะทรงคุณค่า คุณค่าที่น่าจะเพิ่มให้สูงขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) คุณค่าของมนุษย์ก็คือการรักษาความเป็นคนให้ประเสริฐที่สุด ก็คือการมีแค่เงินทอง มีความรัก มีความโลภโกรธหลง อย่างนี้เรียกว่าการประเสริฐหรือเปล่า (ไม่ใช่) เรียกว่าเป็นการรักษาความสูงให้สูงอยู่หรือไม่ (ไม่) กลับยิ่งทำให้ย่ำแย่และมืดมนใช่หรือเปล่า (ใช่)
ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม ทุกคนสามารถบำเพ็ญตนขัดเกลาตนกลับคืนเบื้องบนได้ อย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ขอให้มองเห็นถึงแก่นแท้ของความจริง วันนี้ที่เรามากัน มาเพื่อหาความจริงแท้ของชีวิต ไม่ใช่มาเพื่อให้ยึดติดแค่รูปลักษณ์อันจอมปลอม ไม่อย่างนั้นมาก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มาใช่หรือไม่ (ใช่) 
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ล้อรถนั้นหากปราศจากไฟย่อมยากจะขับเคลื่อน  ม้าปราศจากบังเหียนและสายรัดย่อมยากที่จะควบคุมและขับขี่  คนใดไม่รู้จักควบคุมตน ไม่รู้จักวางตน ไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว ไม่รู้จักสำนึกเรื่องถูกผิด  เมื่อผิดแล้วไม่รู้จักแก้ไข เช่นนี้แล้วเขาจะมีสำนึกในเรื่องถูกผิดเหมาะสม
ถูกต้องในการดำเนินชีวิตก็คงยาก  เพราะฉะนั้นเมื่อเจออะไรที่เป็นเรื่องถูกเรื่องดีขอให้รีบปฏิบัติ เมื่อเจออะไรที่เป็นความผิดในตัวตนขอให้รีบแก้ไข  สำนึกรู้อยู่ตลอดเวลาอะไรดีอะไรชั่ว เช่นนี้แล้วคนทุกคนย่อมยกย่องและนับถือว่าท่านคือคนดี คือคนที่รู้จักควบคุมตนเองเป็น แต่ปัจจุบันนี้คนเรามักจะปล่อยตัวไปตามอารมณ์ ปล่อยตามกิเลส ความถูกต้องไม่รับ ความดีไม่ยอมมี  ความชั่วไม่รีบแก้ไขกลับยิ่งปกปิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถูกและผิดยังแยกไม่ชัดเจน แล้วท่านจะเรียกให้คนอื่นทำถูกได้อย่างไร แล้วท่านจะเรียกร้องสังคมให้มีความเที่ยงธรรมได้อย่างไร  ในเมื่อตนเองไม่เริ่มต้นก่อนจริงหรือไม่  วันนี้ที่เราพูดเราต้องการจะฟื้นฟูในสิ่งที่โลกขาดแคลนนั่นคือคุณธรรม อย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องเล่น คุณธรรมใครทำได้คนนั้นย่อมสูงส่ง  คุณธรรมใครมีได้รักษาได้ คนนั้นอย่างน้อยก็เรียกว่าคนดี  ไม่ใช่คนพาลในคราบผู้ดี
ท่านหนันผิงเซียนถง : เรามาที่นี่  เราเป็นเด็กที่ตามผู้ใหญ่มาสู่แดนโลกมนุษย์นี้  การที่เป็นเด็กนั้นตามผู้ใหญ่ง่ายหรือยาก (ง่าย)  จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ง่ายที่ท่านจะเดินตามคนข้างหน้าด้วยความเคารพ  แต่ว่าทุกๆ ท่านจะว่าทำได้ก็ใช่ จะว่าทำไม่เป็นก็ใช่ เหมือนจะทำเป็นเหมือนจะเคารพเป็น แต่จริงๆ แล้วเคารพตัวเองมากกว่า  การที่เรานั้นจะเคารพคนอื่นทำง่ายๆ เพียงแต่เรานั้นไม่ต้องเกิดกิเลสตัณหาใดๆ ทั้งสิ้น วางทุกอย่างให้หมด จิตใจเราก็โล่งเบาสบาย  เวลาที่เราจะโค้งใครสักคนเราก็จะโค้งอย่างสุดจิตสุดใจ  เวลาเราจะเคารพใครเราก็เคารพอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่ใช่เพียงแต่อาวุโสที่สถานธรรมที่เราพูดถึง ตอนนี้ท่านรู้จักเคารพอาวุโสที่บ้าน อาวุโสที่ทำงาน อาวุโสที่สถานธรรม  แต่อยากจะรู้ว่าคนทั่วไปที่ท่านไม่รู้จักหน้าค่าตาเดินเฉี่ยวกันไปเฉี่ยวกันมาตามถนนหนทาง  ต้องเคารพเหมือนกันหรือไม่ (ต้องเคารพ)  ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถเคารพได้ จิตใจของท่านก็จะไม่เป็นจิตใจของผู้บำเพ็ญ  การที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญมาครองนั้น  ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ท่านก็จะได้มา แต่ท่านนั้นต้องลงทุนลงแรงด้วย ทุนของท่านคืออะไร รู้จักคำว่า “ทุน” หรือเปล่า ใช่เงินหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วตัวท่านมีทุนอะไรบ้าง  (คุณงามความดี)
บุหรี่ทำให้เกิดโรคถุงลมพอง กลัวเป็นโรคถุงลมพองหรือเปล่า (กลัว)  ไม่เลิกบุหรี่เหรอ (กำลังจะเลิก)  เลิกวันนี้เลยดีไหม ท่านเดินไปทิ้งถังขยะเองสิ แล้วบอกว่าไม่เอาแล้ว
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี วันนี้นั่งแล้วอาจจะลำบากหน่อยเพราะไม่เคยมานั่งแบบนี้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจจะนั่งแล้วเมื่อยบ้างปวดบ้าง กลับบ้านไปก็ให้รีบพักผ่อน ใครที่มีใจอยากจะมาศึกษาให้ครบ ขอให้รักษาใจอันนี้ให้ดี มาทันโอกาสมาทันเวลา ย่อมดีกว่ามาไม่ทันโอกาสมาไม่ทันเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราทำอะไรแม้เราจะมาเร็วก่อนเวลา แต่สู้มาพอดีๆ เวลาไม่ได้ ขอให้ลองศึกษาดูให้ดีว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ลัทธิหรือศาสนาใหม่ หรือไม่ใช่แค่เด็กสองคนมายืนอธิบายอะไรก็ไม่รู้ แต่ขอให้กลับไปพินิจพิจารณาให้ดี ธรรมะคือชีวิต ชีวิตคือการดำเนินตนให้เป็นคนที่ถูก การดำเนินตนที่ถูกที่ดีที่เจริญแล้ว แต่ถ้าเป็นความเจริญทางวัตถุ เจริญรูป เจริญนาม เจริญเกียรติยศจะมีค่าอะไร หากเขาไม่เคยช่วยเหลือคน หากเขาไม่สามารถรู้จักตน แต่ถ้าเรานั้นมีวัตถุก็ยังช่วยคนได้ช่วยตนได้ พาเราให้พ้นทุกข์ได้ อย่างนี้มีวัตถุด้วยมีบำเพ็ญธรรมด้วยไม่ดีกว่าหรือ อย่างที่เราบอกตอนต้นว่าการดำเนินชีวิตต้องดำเนินให้เป็นและรู้จักควบคุมตนเองให้ถูกทาง แล้วความสำเร็จในชีวิตย่อมเกิดได้
วันนี้เราต้องขอตัวไปก่อน ขอเปิดใจรับฟังสักนิดหนึ่ง แล้วท่านจะมีความสุขในการอยู่ที่นี่ เหมือนเราอยู่ในโลกนี้หากเราปิดใจไม่รับรู้ ปิดใจไม่อยากได้ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  สู้เปิดใจแล้วปรับสภาพชีวิต ปรับสภาพจิตใจให้สู้ได้ให้รับได้ย่อมสุขกว่ากันเยอะ เราคงต้องจากกันแล้วนะ อย่าลืมว่าเราก็คือพี่ของท่านอีกคนหนึ่ง ขอให้รู้ว่าตอนนี้ท่านบำเพ็ญธรรมท่านมีพี่ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีน้องที่อยู่ในโลกนี้
(ท่านหนันผิงเซียนถงเมตตาสอนร้องเพลงธรรม ทำนองเพลง : แมงมุมลาย)
ท่านหนันผิงเซียนถง : “ไปปลดกรรมไฉน หรือไปเกี่ยวกรรมถมตน”  หมายความว่า ทุกท่านนั้นเวลามาสถานธรรมศึกษาธรรม บอกว่าต้องปลดกรรมใช่หรือไม่ แต่ปลดไปปลดมาก็เกี่ยวกรรมมาเต็มไปหมดเลย นิ้วโป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย เกี่ยวมานิ้วละกรรม ข้างขวาไปแล้ว ข้างซ้ายอีกข้างหนึ่ง เกี่ยวมาเต็มไปหมดเลย ยังมีที่เกี่ยวก็เกี่ยวไปอีก ขาก็เกี่ยวมาจนเต็มไปหมดแล้วใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นท่านต้องรู้ตัวว่าชาตินี้ท่านอยากจะให้เป็นชาติสุดท้าย ต้องรู้จักปลดกรรม ไม่ใช่เกี่ยวกรรม
“ทุกข์ทำให้เกียจคร้าน” ความทุกข์นั้นทำให้เราเกิดความเบื่อหน่าย เพราะมีทุกข์มากเกินไป ทำให้ไม่อยากบำเพ็ญธรรม ไม่อยากที่จะให้เรื่องต่างๆ นั้นร้ายแรงไปกว่านี้ จึงอยู่เฉยๆ แล้วในที่สุดถามว่าวิธีการอยู่เฉยๆ ของท่านแล้วรอให้เรื่องมันซาไปเอง ซาได้ไหม (ไม่ได้)  บางครั้งก็ทำไม่ได้ ในที่สุดแล้วท่านจึงเกิดความเกียจคร้าน แล้วก็วนไปวนมาใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีความทุกข์ ขี้เกียจปลดทุกข์แล้วก็วนกลับมาอีกก็เจอความทุกข์แล้วก็ไปเรื่อยๆ
“หว่านพืชแต่หวังผล” คือการทำสิ่งใดแล้วต้องการผลตอบแทน สุดท้ายก็วนกลับมาทุกข์ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะปลดทุกข์ทำอย่างไร ความทุกข์นั้นให้ท่านคอยปลดเอง แต่การที่ท่านจะมีความสุขนั้นทำได้ด้วยการที่มีเมตตามากขึ้น
“ล้มแล้วลุกเวลายืนห้ามเขย่ง” เวลาล้มก็ต้องลุกขึ้นมา แต่เวลายืนแล้วเราจะยืนอย่างเขย่งขาได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้ายืนอย่างเขย่งขา ท่านจะเดินไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเวลาล้ม โดยธรรมชาติก็ต้องลุกขึ้น เวลาท่านยืนโดยธรรมชาติก็คืออย่าเขย่งเท้า หมายถึงให้ท่านใช้ชีวิตให้พอเหมาะพอควรกับฐานะที่มีอยู่ ก็คือการยืนโดยไม่เขย่งเท้ายืนให้พอดีๆ และก้าวได้อย่างสมดุล ท่านก็จะไม่ลำบากกับการที่ชีวิตนี้ต้องหาอะไรที่เกินตัว
“จงครัดเคร่งกับตนเถิดเกิดผลดี” ชีวิตนี้หลายคนชอบไปเข้มงวดกับคนอื่นแต่ไม่ยอมเข้มงวดกับตนเอง ในเมื่อตัวเรายังไม่ได้อย่างที่ตัวเราหวัง เราก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะทำได้อย่างที่เราหวัง ตั้งแต่ลูกหลาน ตั้งแต่คนใกล้ชิด ญาติ
พี่น้อง ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เราคาดหวังในตัวเขาได้อย่างพอเหมาะพอสมเท่านั้น รวมทั้งที่มากๆ ก็คือคนที่ร่วมบำเพ็ญในระดับเดียวกับเรา ที่ร่วมบำเพ็ญอยู่กับเรานี้ เป็นคนที่เรานั้นต้องหัดคาดหวังให้พอสมควร หวังดีได้แต่อย่าคาดหวัง ขอให้ท่านนั้นทำให้สุดกำลังของตนเองไม่ต้องกลัวว่าเขานั้นจะมองไม่เห็นความหวังดีของเรา บางทีจะบอกให้ว่าพวกเขานั้นก็รู้ว่าเราหวังดี แต่ก็อายในการที่จะทำอย่างที่เราบอกเลยในทันที อันนี้ก็เป็นนิสัยคนอีกอย่างหนึ่ง วันนี้มาพูดแต่นิสัยของคนเยอะแยะเลย เมื่อสักครู่เราก็เห็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งแล้ว เวลาถามอะไรพูดตั้งมากมาย แต่พอถามก็บอกว่าเปล่า  นิสัยอะไรที่ไม่ดีที่เป็นความเดือดร้อนต่อผู้อื่นนั้นจำเป็นต้องแก้ไขโดยด่วน เรื่องใดที่เดือดร้อนต่อตนเองก็ต้องไม่รอช้า ต้องรีบ
ปรับปรุง เรื่องใดที่อยู่ในความทุกข์กังวลของผู้อื่น เมื่อเราอยากจะเป็นโพธิสัตว์ อยากจะเป็นพุทธะ ยิ่งต้องรีบเร่งที่จะไปช่วยเขา การช่วยนั้นมีหลายรูปแบบ ขอให้ท่านนั้นเป็นคนที่รู้จักช่วยด้วยจิตใจอันเมตตา
ขอให้ท่านรู้ไว้ว่าทุกๆ ขณะจิต ทุกๆ เวลาไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ก็อยู่ในสายตาของฟ้าดินทั้งสิ้น เพียงแต่ฟ้าดินรักษาสภาพของธรรมชาติคือไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ต่อว่าต่อขาน ฉะนั้นในยามที่ท่านทำผิดจึงไม่รู้ว่าฟ้าดินก็คอยที่จะมอง เวลาที่ท่านอยากจะมาบำเพ็ญธรรม ท่านก็ต้องทำให้ดีๆ แม้ว่าจะไม่มีคนเห็นก็
เหมือนกัน ก็ต้องรักษาสภาพของการเป็นผู้บำเพ็ญให้ดีๆ เข้าไว้ เมื่อท่านทำได้ อย่างที่เราบอกตอนแรกก็คือ  “คนตามฟ้า แล้วฟ้าก็จะตามคน”  อย่าได้คิดว่าทำสิ่งใดแล้วไม่เห็นใครว่าเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ว่า เพราะท่านไม่อยากว่า แต่ทุกท่านก็ต้องรู้ด้วยตนเอง



วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

ศึกษาธรรมจนเข้าใจและปฏิบัติได้ นับเป็นไม้ที่ออกดอกและตกผล

เข้าใจไร้ลงมือพ่ายใจตน เปรียบไม้ผลออกดอกผลไม่มี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   ประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ทานเนื้อกายจิตฟื้นฟูยากเย็น ผู้บำเพ็ญธรรมจริงฟื้นจากฝัน

ถางตฤณชาติ  ธรรมเป็นความรู้ทัน ประจวบกาลแห่งยุคสามเร่งชีวี
ชี้เดิมแท้ส่งเสริมงานสำคัญ รู้ประมาณจิตเดิมแท้สง่าศรี
แจ้งถึงมโนธรรมพลังเต็มที่ ทุกนาทีชัดเจนธรรมในตน
สัจธรรมในส่งสูงอันพร้อมด้วย แก้ไขตนช่วยตนให้หลุดพ้น
หลอมพุทธะกายทองเป็นธาตุสากล ทุ่มเททั้งหมดอีกสมบูรณ์คนใช้เวลา
ยกระดับจิตช่วยตนฝ่าคลื่น เข้าใจช่วยผู้อื่นให้เดินหน้า
ศึกษาธรรมบรรลุเพื่อฉุดหลงนา พิจารณาอีกก่อนอื่นช่วยมองย้อน

รวมทั้งช่วยผู้โลกไม่ต้องการ เป็นสะพานแห่งสุขช่วยดับร้อน
เพื่อให้เกิดสันติแปรตนก่อน อย่าอาวรณ์วิสัยคนให้ทุกข์ทน
สังคมเปลี่ยนจิตใจงดงามสูญ โลกจรูญ  ภาพสงครามทุกแห่งหน
วาจาเอกแหล่งเพื่อนงามสำรวจตน ไม่อับจนโลกคืนงามด้วยน้ำใจ
ความสันติในภายหน้าได้อุบัติ เพราะประพฤติไม่ขัดหลักง่ายง่าย
จริยธรรมนำจิตคืนความสบาย ศีลธรรมพายพาโลกสู่ทิศเดียว
ฮา  ฮา  หยุด




พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
เราอยู่บนโลกนี้เราสนใจอะไร (ตัวเรา) เราจะสนใจแต่ตัวเราเองอย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว ท่านอื่นล่ะ เรามีชีวิตเราสนใจสิ่งใดกันบ้างที่ทำให้เราต้องหยุดมอง ทำให้เราต้องหยุดยั้ง  (ไขว่คว้าความสุขและสมหวัง)  ในเรื่องความสุขสมหวังในสิ่งที่ดีทำให้เราหลงติดไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านอื่นล่ะ สิ่งที่ทำให้ท่านสนใจ หยุดแล้วหันหรือเหลียวหลังหันมามอง มีอะไรกันบ้าง  หรือว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ชีวิตท่านสนใจกันเลย อย่างเช่นผู้ชาย เห็นผู้หญิงแต่งตัวสวยๆ หยุดมองหรือไม่ (มอง)  เวลาเราเห็นเสื้อผ้าสวยๆ  เงินทอง เพชร พลอย ประกายแวววาว แล้วท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง (อยากได้)  ความสนใจเป็นความอยากทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้ก็ทำให้ท่านหยุดยั้งและอยากจะมอง อยากจะได้มาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าเรื่องราวภายนอกนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา  ในวันนี้เราได้หยุด ยั้งคิดใฝ่หามองอะไรกัน  คงไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่เกียรติยศ  ไม่ใช่ผู้หญิง หรือไม่ใช่ผู้ชายใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เป็นอะไรกันที่ทุกวันนี้ทำให้ท่านถึงกับหยุดยั้งแล้วกลับอยากจะมามอง  อยากจะมาฟัง  และก็อยากกลับมาดู (อยากแสวงหาความสุขสงบและสิ่งที่เป็นสัจธรรม)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณธรรม   แต่ถ้านับดูแล้วชีวิตของเราสนใจธรรมะน้อยหรือมากกว่า (น้อยกว่า)  ปัจจุบันนี้น้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามักจะเสียเวลาของชีวิตเรากับทรัพย์สินเงินทอง ความสนใจในเรื่องวัตถุหรือไม่ก็รูปลักษณ์หรือไม่ก็เพศตรงข้าม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาที่เราไปสนใจ การได้มานั้นเกิดจากสาเหตุใดกันบ้าง  ใช่ใจเราสนใจอย่างเดียวหรือ (ไม่ใช่)  ต้องมีสาเหตุที่ทำให้เราสนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  สาเหตุที่ทำให้เราสนใจคืออะไรกัน (ความโลภ กิเลส)   สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราสนใจแล้วอยากหันไปมองนั่นคือ ตาของเรานี่เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตัดลูกตาท่านทิ้ง  ความอยากก็ลดไปหนึ่งอย่างแล้ว  ถ้าทำให้ท่านหูหนวกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย ความอยากก็ลดน้อยลงไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วถ้าตัดมือท่านทิ้งล่ะ คราวนี้ยังอยากอีกหรือเปล่า (ไม่อยาก) แต่ตอนนี้ทำอย่างไร  ตาท่านก็มี หูท่านก็อยากฟัง มือท่านก็อยากจับ  จะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เราสนใจในสิ่งที่ถูก  หรือว่าการสนใจเงินทอง ทรัพย์สิน เพศตรงข้าม เป็นสิ่งที่พึงพอใจสำหรับชีวิต  พอหรือเปล่า (ไม่พอ)  ยังไม่พอกันอีกหรือต้องรู้จักพอได้แล้ว  รู้จักมีความสุขในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตนเองถือ ในสิ่งที่ตาเราเห็น สิ่งที่หูเราได้ยิน  แต่เป็นเพราะอะไรตอนนี้เราไม่พึงพอใจในหูที่เราได้ยิน  ตาที่เรามอง  มือที่เราสัมผัส  เราเลยต้องทุกข์กับการแสวงหา เดินๆ ต้องหยุดเพื่อไขว่คว้าใช่หรือไม่ (ใช่)  การเดินทางของชีวิตเราจึงเป็นระยะทางที่ไกลเหลือเกินเพราะว่า เราเดินไปแล้วเราก็หยุดไปบ้าง  เดินไปแล้วเราก็หยุดพัก  เดินไปแล้วเราก็แสวงหาไปบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ชีวิตของเรามีค่าแค่เพียงอะไร  วัตถุใช่หรือเปล่า มีค่าแค่ความสนใจของหู ตา และมือเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในเมื่อตาเราก็ยังปิดเป็น  มือเราก็ยังอ้าหุบได้ หูก็ยังรู้จักอุดไม่ฟังได้  ด้วยการใช้สติ ปัญญา หากเราใช้สติ ปัญญา แม้จะมีใครมาพูดให้เราอยากมากเท่าไร  แต่ถ้าเราใช้สติ ปัญญา และคุณธรรมที่อยู่ในตัวเรายับยั้ง ความอยากที่ได้ยิน ความโลภที่จะบังเกิดก็คงจะไม่สามารถทำอันตรายจิตใจเราได้  และจะไม่ทำให้การเดินของชีวิตเราต้องเหนื่อย ต้องดิ้นรนมากไปกว่านี้
"เปรียบเป็นไม้ออกดอกผลไม่มี"  เปรียบเป็นไม้เช่นไร หากเข้าใจแล้วแต่ไร้การกระทำ  หากเข้าใจแล้วลงมือกระทำและปฏิบัติเป็นไม้ที่ออกดอกแล้ว ตกผล  แต่ถ้าเข้าใจแล้วไร้การปฏิบัติก็เป็นไม้เช่นไรดี (เป็นไม้ตายคาต้น)  เป็นไม้ตายคาต้นเลยนะ (เป็นไม้ที่ไร้ผล)  เป็นไม้ที่ไร้ผลแม้จะมีแต่ดอกใช่หรือไม่  แต่ก็เป็นดอกที่ไม่ออกผล  เปรียบเป็นไม้ออกดอก แต่ผลไม่มี  ถึงแม้เราเข้าใจแต่เราไม่ปฏิบัติก็เป็นเหมือนไม้แห้งตายคาต้น  ฟังแล้วน่าจะเป็นไปได้ไหม
หากชีวิตคนๆ หนึ่งไร้ซึ่งคุณธรรมจะเป็นไม้แห้งหรือไม่ (เป็น)  ทำไมท่านถึงคิดว่าเป็น  คนที่ไร้คุณธรรมต้องเป็นคนอย่างไร  ไม้แห้งเป็นไม้ที่เป็นอย่างไร  เหมาะในการไปเผาเป็นฟืนใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นคนที่แห้งแล้งการปฏิบัติซึ่งคุณธรรมเหมาะที่จะนำไปเผาเป็นอะไร (เผาเป็นเถ้าถ่าน) เผาเป็นเถ้าถ่านหรือ  คนเราช่างโหดร้ายเช่นนี้พอเขาร้ายก็เลยกำจัด  อย่างนี้ส่อให้เห็นจิตใจเราแล้วใช่หรือไม่ ถึงแม้จะมีคุณธรรมแต่ก็ยังมีความโหดร้ายแอบแฝงอยู่ได้ทุกเมื่อใช่หรือเปล่า ขอเพียงไม่ถูกใจใช่หรือเปล่า อย่างนั้นเราต้องระมัดระวังแม้กระทั่งคำพูดของเราด้วยนะ  ไม่อย่างนั้นคำพูดจะส่อให้เห็นจิตใจของท่านจะเป็นคนใจดีหรือโหดร้าย
เรามาแทนคงไม่ผิดหวังนะ (ไม่ผิดหวัง)  อยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ ไหม (อยาก)  จริงๆ ท่านก็เจออยู่ทุกวันแล้ว พ่อแม่ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสกสรรบันดาลให้ท่านมีชีวิต ต่อสู้กับชีวิตได้
แต่ก่อนเราก็มีชีวิตเหมือนกับท่าน มีโอกาสได้เกิดมาใช้ชีวิตบนโลกใบนี้เหมือนกัน แต่เพราะอะไรเราถึงสามารถบำเพ็ญตนกลับคืนสู่เบื้องบนได้ แล้วอะไรเป็นตัวสะกิดใจทำให้เราอยากจะศึกษาธรรมะ อยากที่จะบำเพ็ญตน อาจจะเป็นเพราะดอกไม้ในตะกร้านี้ก็ได้ เพราะว่าสัจธรรมของชีวิตเราก็เหมือนสัจธรรมของดอกไม้นี้ มีเกิด มีเติบโต มีเจ็บป่วย แล้วก็มีดับสิ้น ดอกไม้ที่ออกดอกมานั้น บางดอกก็สามารถชูช่อให้คนอื่นเห็น บางดอกก็ต้องแอบซ่อนหลบอยู่ภายใน คนอื่นไม่สามารถเห็นคุณค่าได้ เปรียบเหมือนชีวิตเราที่อยู่ในสังคมนี้ บางคนสามารถ
ดิ้นรนจนเป็นดอกไม้ที่มีชื่อเสียง เป็นดอกไม้ที่มีคุณค่า แต่บางคนทำอย่างไรก็
ดิ้นไม่พ้น ชูช่อขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่อยู่เบื้องล่างคนอื่น ชีวิตคนเราก็เหมือนดอกไม้ แต่ว่าการศึกษาธรรมนั้นไม่ได้แบ่งแยกอย่างนี้ การศึกษาธรรมนั้นไม่ว่าเราจะเป็นดอกสูงหรือดอกต่ำ ขอเพียงเราเข้าใจความหมายของชีวิต แล้วรู้แจ้งชีวิตที่แท้จริง จะเกิดมาเป็นดอกต่ำหรือดอกสูง เราก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ สำคัญที่ว่าเราเข้าใจชีวิตของตนเองเช่นไร  ดอกไม้บางดอกก็เปรียบเหมือนชีวิตบางชีวิต เกิดมาแล้วก็ตายอยู่คาต้น ไร้คุณค่า ไร้คนมองเห็น แต่บางดอกเกิดมาแล้วแม้คนจะตัดไป แต่ได้เอาไปบูชาปักไว้เคียงข้างพระพุทธา การตัดดอกแม้จะต้องตัดชีวิต พรากชีวิตจากพื้นปฐพี แต่ก็ทำให้ตนเองมีค่าอยู่เคียงข้างพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของเรา บางคนยอมตัดชีวิตของเราเองเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศ แต่ถ้าในชีวิตหนึ่งของท่านตัดจากต้นแล้ว แต่ไม่สามารถจะมีชีวิตที่ดีได้ มีเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ได้ ทำไมไม่ยอมตัดตัวเองแล้วอุทิศตน อุทิศชีวิตอันมีค่านี้อยู่เคียงข้างพระพุทธองค์กันบ้าง โดยการที่เอาเวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งร่างกายที่สามารถจะอุทิศได้ ที่จะสามารถปลีกมาได้ ทำเพื่อพุทธะเป็นตัวแทนแห่งพุทธะแล้วดำเนินตามพุทธะ หากทำเช่นนี้ตลอดเวลา เขาก็คือคนที่สามารถเคียงข้างพุทธะได้ เขาก็คือดอกไม้ที่ถูกตัดแล้วไปถวายอยู่ข้างพระพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตของเราตอนนี้อยากจะเป็นดอกไม้ในตะกร้า หรือดอกไม้ในแจกันดี (ในแจกัน)  นั่นก็คือใครๆ ก็อยากเป็นดอกไม้ที่สามารถมีชีวิตแล้วอยู่เคียงข้างพระพุทธะ แต่ตอนนี้ถามว่าชีวิตที่มีอยู่ อยู่เคียงข้างใครกัน ชีวิตข้างๆ ของเราล้วนแต่เป็นมนุษย์ ทำให้เราติดความเป็นมนุษย์มากกว่าจะติดความเป็นพุทธะ เหมือนสำนวนไทยที่กล่าวว่า "อยู่ในเข่งปลาเน่า ตัวเราก็เป็นปลาเน่า"  ทั้งที่เราไม่ได้เน่า อยู่ข้างมนุษย์บ่อยๆ ตัวเราก็ติดความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นมารับแสงแห่งพุทธะ มารับความเป็นพุทธะ มาฝึกฝนความเป็นพุทธะ น่าสนใจน่าเดินไหม (น่าเดิน)
เมื่อสักครู่นี้ท่านได้ฟังหัวข้ออะไร (ความหมายของการทานเจ)  ความหมายของการไม่ทานเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราถามทุกๆ ท่านในที่นี้ คนทุกคนล้วนทนไม่ได้ที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเราเห็นเขามีชีวิต ท่านทนได้ไหมที่ต้องเห็นเขาตายไปต่อหน้า (ทนไม่ได้)  เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อน ท่านทนได้ไหมที่จะนิ่งเฉย ไม่สนใจดูแล (ไม่ได้)  แปลว่าทุกคนล้วนมีจิตเมตตา มีจิตโอบอ้อมอารี เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากให้เขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ว่าความเมตตาของเรานั้นกลับเป็นเมตตาแค่เพียงคิดหรือ ต้องเป็นได้ทั้งคิด พูด และกระทำ และตอนนี้เวลาเราเห็นสัตว์ร้อง ในใจของเรารู้สึกเป็นอย่างไร (สงสาร)  เมื่อตอนเห็นสัตว์มีชีวิตแล้วต้องตายไปต่อหน้า ท่านรู้สึกเป็นอย่างไร นึกถึงหม้อแกงหรือว่านึกถึงกระทะร้อนๆ มนุษย์เรานั้นเวลาเห็นคนอยู่ด้วยกัน เราก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ เวลาเราเห็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเราต้องตาย เราก็ยังอดสงสารไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือแม้สัตว์ตัวนั้นจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงก็ตาม แต่ทำไมกลายเป็นเรารู้สึกอยากกินเขา ทำไมเราไม่เกิดความสงสารให้ต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุด แสดงว่าความสงสารของเราเป็นแค่เพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งไม่ใช่ของจริงแท้หรือ (ไม่ใช่) เป็นเพราะความอยากของเราถึงกับฆ่าเขาได้ลง ถึงกับกินเขาได้ลงคอ ความโลภของเราถึงกับประหัตประหารเขาได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ แปลว่าในใจของเราทุกคนก็ไม่อยากจะมีสิ่งนี้ แต่เพราะว่ากินมาจนติดแล้ว เบียดเบียนจนเคยชินแล้ว อำนาจของความชั่วย่อมเป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อใดที่มนุษย์กับมนุษย์ลงโทษกันไม่ได้เมื่อนั้นฟ้าดินจะช่วยจัดการ เมื่อใดที่คนกับคนไม่สามารถตัดสินให้เที่ยงธรรมได้ เมื่อนั้นฟ้าดินจะเที่ยงธรรม อย่าเห็นว่าการฆ่ากันเป็นเรื่องที่ไม่มีผลตอบแทน ย่อมมีผลตอบแทน ทำไมเราอยู่กับบางคนเรารักเขา แต่บางคนเราถึงเกลียดเขา นั่นเป็นอำนาจที่เรามองไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนเราปัจจุบันนี้จึงใช้การฆ่าสัตว์มาฆ่าคนได้ลงคอ นั่นเป็นเพราะว่าเกิดจากความชั่วที่ก่อตัวเล็กๆ ความชั่วที่ทนได้เมื่อเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตา  แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ตัวใหญ่ๆ ที่จะพอกพูนแล้วทำให้ฆ่าเขาลงคอได้จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลาเราเกิดเคราะห์ร้ายเคราะห์กรรมที่เราไม่รู้สาเหตุที่เกิดขึ้นกับเรา เราต้องถามตัวเองว่าเราได้สร้างกรรมดีมากแค่ไหน เราได้เคยเบียดเบียนกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า หากตลอดมาเราได้ทำดีจะไปกลัวอะไรกับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราย่อมสามารถหลีกหนีได้ แต่ถ้าคนทำชั่วทำอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้
ธรรมะนั้นหากเราพูดง่ายๆ ก็เปรียบเหมือนอาหารและน้ำดื่ม ไม่มีใครไม่ดื่มน้ำ ไม่มีใครไม่ทานอาหาร แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจรสอาหารอย่างแท้จริง เข้าใจรสแห่งน้ำได้อย่างแท้จริง เพราะหลายคนเวลาดื่มน้ำมักไม่ชอบดื่มน้ำที่เป็นธรรมชาติ เรามักดื่มน้ำที่ปรุงแต่ง เมื่อเวลาที่เรากินอาหารเรามักไม่กินอาหารที่ปกติสามัญ เรามักกินอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษาธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน เวลาท่านมาศึกษาธรรมะ บอกว่าเป็นธรรมะธรรมดาๆ ไม่มีการทำพิธีไม่มีการเสกสรร ไม่มีการใช้วิธีการต่างๆ ท่านก็รู้สึกสนใจน้อย แต่พอบอกว่าพระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ในการปลุกเสกก็รู้สึกสนใจมากขึ้น อย่างนี้แปลว่ามนุษย์มักจะติดในรูปลักษณ์ที่เป็นพิเศษต่างๆ เราลืมความเป็นธรรมดาธรรมชาติไป แล้วการติดธรรมดาธรรมชาติกับการติดปรุงแต่งอันไหนต้องเหนื่อยกว่ากัน ปรุงแต่งน่าจะเหนื่อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรจึงรู้สึกเหนื่อยกว่า เพราะอะไรจึงติดการปรุงแต่ง (เพราะว่าจิตเดิมแท้ของคนเราเคลือบแฝงด้วยสิ่งที่ไม่ดี) เพราะว่าจิตเรามีจิตเคลือบแฝงในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราพลอยติดความต้องการที่ไม่ดีไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ได้แปลว่าจิตใจของท่านแต่เดิมไม่ดี แต่เพราะว่ามีความเคยชินที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่เด็ก ความเคยชินที่ไม่ถูกต้อง แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและดีงามไปตลอด ไม่ติดในการดำเนินไปผิดทาง  (ตอนนี้เรารับอนุตตรธรรม เราต้องแก้ไข) นั่นก็คือต้องรู้จักแก้ไขตน การจะแก้ไขตนนั้นเราก็ต้องแก้ให้ถูกทาง 
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งท่านลองฟังดูนะ เวลาเรามีชีวิตอยู่บางครั้งมักติดว่าต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนโน้นคนนี้ เมื่อเราเอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับเพื่อนคนหนึ่ง ปรากฏว่าเราอยู่กับเพื่อนคนนี้แล้วทุกข์มากกว่าสุข แล้วในเพื่อนคนเดียวกันนี้ เราเอาครอบครัวเอาพี่น้องไปอยู่กับเขา เพื่อนเขากลับดูแลทำให้ญาติพี่น้องเราอดอยาก ขาดการดูแลเอาใจใส่ แล้วถ้าเกิดว่าเพื่อนคนนี้ได้มีตำแหน่งใหญ่โต ไปดูแลหลายๆ คน เขากลับทำให้เพื่อนร่วมงานไม่มีความสามัคคี วุ่นวายเกิดการแก่งแย่งแข่งขัน ท่านจะทำอย่างไรกับเพื่อนคนนี้ดี  (ปัญญา, สิ่งที่ป้องกันกิเลส)  จริงๆ แล้วถ้าท่านตอบอันแรกก็ถูกแล้ว ปัญญาเป็นอาวุธที่แหลมคมที่สุด และก็เป็นเกราะป้องกันได้ดีที่สุด หาปัญญาในการป้องกันตนเองต้องใช้อะไร (ใช้ความเมตตา)  ถ้าเราใช้คำว่าใช้คุณธรรมจะดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะว่าคุณธรรมจะสามารถใช้ได้กับทุกๆ คน ถ้าเมตตาคนชั่วร้ายท่านเมตตาตอบ แล้วคนดีท่านก็ใช้เมตตาตอบ เขาจะไม่สามารถหยุดยั้งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบคนชั่วร้ายเราต้องใช้ความเที่ยงธรรมตอบ ตอบคนดีเราต้องใช้ความดีตอบ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราคืออะไร (ไตรรัตน์, ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ, ดวงจิต)  ยังถูกไม่เต็มที่ ความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่ควรปฏิบัติและดูแลให้กับพ่อแม่เรา ดวงจิตที่อยู่ภายในของเรา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า (วิญญาณ, จิตใจ)  จิตใจดวงจิตเป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าทุกท่านเห็นว่าความกตัญญูเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าทำไมไม่รีบทำกัน ทำไมกลับไปแสวงหาเงินทองแล้วปล่อยให้พ่อแม่เดียวดายได้ แปลว่าเราเห็นอะไรมีค่ามากกว่า (ทรัพย์สินเงินทอง)  แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือชีวิต การมีชีวิตทำให้ท่านมีเงิน การมีชีวิตทำให้ท่านเป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วอย่างนี้ชีวิตยังแยกไม่ถูกเลยว่า อะไรสำคัญที่สุด อะไรไม่สำคัญแล้วอย่างนี้จะดำเนินชีวิตออกไปได้อย่างน่าเป็นห่วงไหม เราชักเป็นห่วงท่านแล้วนะ ยังไม่รู้เลยว่าอะไรสำคัญที่สุด เมื่อมีการดำเนินชีวิต เรารู้จักที่จะมองออกได้ชัดเจนและกำหนดความหมายของสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้อง จิตใจจะเคลื่อนไหวย่อมขึ้นอยู่กับความดีงาม สิ่งภายนอกสื่อให้ใจพาขยับเขยื้อน แล้วเมื่อใจคิดได้ใจต้องขยับเขยื้อนไปตามสิ่งภายนอก แต่ถ้าใจนิ่งท่ามกลางความวุ่นวายย่อมเป็นอันดีกว่า ถ้าใจข้างนอกวุ่นวาย ใจข้างในก็วุ่นวาย การเคลื่อนไหวก็เป็นอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเมื่อภาวะภายนอกวุ่นวาย ใจต้องนิ่ง เมื่อใจนิ่งแล้วเราจะสามารถดิ่งลงไปในเรื่องราวต่างๆ ได้แจ่มชัด ได้ชัดเจน ฟังตรงนี้พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วเมื่อข้างนอกไม่มีใจ ข้างในเป็นอย่างไร (หยุดนิ่ง)  ต้องรู้จักนิ่งก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหว เมื่อไรที่ท่านช่วยตัวเองได้แล้วการจะช่วยผู้อื่นย่อมเป็นอันง่าย ตัวเองช่วยไม่ได้แล้วการไปอยู่ร่วมกับผู้อื่นย่อมอันตราย จริงหรือไม่ (จริง)
ใครอยากมีชีวิตเป็นเช่นสะพานบ้าง เมื่อวานเซียนน้อยมาบอกว่ามีชีวิตให้เป็นดั่งฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะมีใครยอมเป็นสะพานหรือเป็นดินบ้าง เป็นสะพานถ้าเกิดว่าเท้าเขาเปื้อนต้องยอมให้เขาเหยียบย่ำ ทนได้ไหม (ทนได้) แล้วต่อจากนี้ไปจะเป็นสะพานที่นำความสุข และความดีงามมาให้กับมวลชนหรือไม่ (จะเป็น)  ถ้ามีจุดมุ่งหมายที่ดี แม้จะทำได้หรือไม่ได้เราก็ขอเอาใจช่วย แล้วคุณสมบัติของการเป็นสะพานต้องมีอะไรบ้าง (ต้องพร้อมจะพาผู้คนให้ข้ามไปถึงฝั่งไม่ว่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยหรือยากจน)  ไม่เลือกที่รักมักที่ชังใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าคนที่เกลียดที่สุดท่านต้องรักได้ ท่านต้องยอมให้เขาข้ามไปบนไหล่ท่านได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าท่านจะไม่ทะเลาะกับใครแล้วนะ (พร้อมที่จะให้คนทุกคนเหยียบข้ามไปไม่ว่าคนๆ นั้นเท้าเขาจะเปื้อนหรือไม่เปื้อน, ต้องเป็นคนที่มีความอดทน)  คุณสมบัติของสะพานก็คือมั่นคงและแข็งแรง ข้อสำคัญข้อแรกก็คือว่า เราต้องมั่นใจและมั่นคงในสิ่งที่ตนเองจะกระทำลงไป หากวันนี้ที่นั่งฟังมาแม้ท่านจะรู้ว่าดี หากไม่มีความเข้าใจ ความมั่นคงของสะพานย่อมไม่มีใครที่จะเหยียบย่างขึ้นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้รู้ว่าการบำเพ็ญตน การดำรงตนให้มีคุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในการกระทำดีแล้ว ความดีนั้นก็ย่อมยากจะบังเกิด สะพานนั้นย่อมเป็นแค่เพียงโครงร่าง ไม่อาจก่อเป็นตัวตนที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมในวันนี้ ขอเพียงมีความเข้าใจ เราไม่ได้ต้องการความงมงายหรือความศรัทธาอย่างแค่คำว่าเชื่อ แต่ต้องการคำว่าเชื่อที่พร้อมจะลงมือปฏิบัติแล้วออกไปสู่สังคมด้วยท่าทีที่ถูกต้องและดีงาม อย่างนี้ถึงจะเป็นการเข้าใจและศรัทธาทั้งในตัวตนและคุณธรรมแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสะพานอีกความหมายหนึ่งพอเข้าใจไหม สะพานที่ข้ามไปสู่ฝั่งนิพพาน อย่างนี้ถึงจะเป็นการเข้าใจและศรัทธาทั้งในตัวตนและคุณธรรมแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสะพานอีกความหมายหนึ่งพอจะเข้าใจไหม คือสะพานที่ข้ามไปสู่ฝั่งนิพพาน (อาจารย์บรรยายธรรม : คำว่า "สะพาน" คือคนที่ไม่เพียงแต่มีความมั่นคง ขณะเดียวกันยังพร้อมที่จะสละตนเองเพื่อจะเปล่งประกายของตัวเองให้คนอื่นเดินข้ามไปได้ ส่งเสริมคนอื่นให้สามารถที่จะบำเพ็ญธรรม เพื่อไปสู่ฝั่งได้ตลอดรอดฝั่ง) เวลานั่งอยู่ริมทะเล ลมพัดผ่านมา มีคลื่นซัดสาดแล้วลูกแล้วลูกเล่า แต่จริงๆ แล้วธรรมชาติที่เรามองเห็นก็ช่วยทำให้เรามองเห็นชีวิตได้ คลื่นที่ซัดสาด ลมที่พัดผ่านก็เหมือนกับชีวิตของคนที่ร่วงโรยไป เวลาที่ผ่านไปไม่เคยหยุดยั้ง  ขอให้รู้การปกโปรดยุคสาม เราสามารถมาได้ทันเวลา มาได้ทันแล้วขอให้ปฏิบัติให้ทันเวลาด้วย การปกโปรดยุคสามต้องการฉุดช่วยจิตวิญญาณของทุกคนให้กลับคืนสภาพเดิมแท้จากที่เคยเป็นมา สภาพเดิมแท้คือ สภาพแห่งความบริสุทธิ์ใสสว่าง คนทุกคนมีความบริสุทธิ์อยู่ในตัว แต่เพราะกิเลส อารมณ์ ตัณหา รัก โลภ โกรธ หลง บดบังทำให้เรามองไม่เห็นความใส และคิดว่าความใสนั้นคือความขุ่น แต่แท้ที่จริงแล้วถ้ายอมขัดเกลาตนเอง ยอมขัดล้างตนเอง ชะล้างตนเองก็ย่อมกลับคืนได้ เฉกเช่นน้ำขุ่นก็สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำใสได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะยอมขัดเกลาตนเองไหม เปลี่ยนเป็นคนที่บริสุทธิ์ดีงาม ไม่ใช่สามวันดีสี่วันไขั อย่างนี้ไม่ใช่จิตเดิมแท้ของตน อย่างนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่แท้จริงคือตัวตนที่อยู่ตรงนั้นแล้วไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเรามีหรือเปล่า สิ่งนั้นทุกคนมีแต่เพราะว่าเรามักจะลืม เรามักจะดูเบาตนเองแล้วคิดว่าตนเองนั้นดีไม่ได้ ตนเองนั้นดีไม่หมด เรามักจะพ่ายแพ้กับสังคม พ่ายแพ้กับกระแสแห่งความนิยม กระแสแห่งโลกใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนคงบำเพ็ญได้ การบำเพ็ญคงไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญไม่ใช่ให้ท่านทิ้งหน้าที่ ทิ้งภาระ แต่ทำภาระและหน้าที่ที่ตนเองมีอยู่ให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่มีความบกพร่อง เมื่อมีโอกาสช่วยเหลือคน นำสิ่งที่ตนเองเข้าใจ นำหลักธรรมที่ตนเองมี ไปปกโปรดช่วยผู้คน ถ้าทำได้นั่นก็คือการบำเพ็ญตน คือการช่วยฟื้นฟูจิตใจอันดีงามของตน ฟังอย่างนี้คงไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) จะเป็นแค่ต้นไม้ที่ผลิดอกแล้วไม่ตกผลก็ขึ้นอยู่กับท่าน จะเป็นต้นไม้ที่ผลิดอกแล้วตกผลก็ขึ้นอยู่กับท่านอีกเหมือนกัน 
วันนี้เรามาเราก็กลับคืนไปได้ แต่วันนี้ท่านมา ท่านกลับคืนได้หรือยัง (ยัง) กลับได้ก็แต่บ้านของกายเนื้อนี้ แต่บ้านที่แท้จริงของท่าน บ้านที่ไม่ต้องไปวนเวียนอีกคือที่ไหนกัน บางคนมักจะสงสัยว่า เรามาได้อย่างไรแล้วเรากลับแบบไหน จริงๆ แล้วอย่ามัวแต่สนใจคนอื่น น่าจะสนใจตนเองมากกว่าว่าเรามาได้อย่างไรแล้วเราจะกลับทางไหน บางคนอาจจะไม่สนใจเรื่องชาติหน้า ภพหน้า หากไม่สนใจชาติหน้า ภพหน้า ก็ไม่อาจต้องพูดกันแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใครยังสนใจหันมาคุยกันต่อ เราก็จะเดินไปด้วยกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  การศึกษาทั้งสามวันคงไม่ทำให้ท่านสามารถเข้าใจธรรมะนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ธรรมะพูดทั้งวันก็ไม่จบแต่ถ้าธรรมะไม่พูดเลยจะมีค่ายิ่งกว่าอีก พูดแล้วคนก็ตีค่าเป็นราคาเป็นความหมาย  แต่ถ้าเรามาและเป็นใบ้กับท่านตลอด ท่านก็ไม่รู้เรื่อง ท่านก็ไม่เข้าใจ เราจึงต้องยืมภาษา ยืมอักษรมาช่วยถ่ายทอด มาช่วยทำให้ท่านเข้าใจว่า ธรรมะที่แท้จริงคืออะไร หากพูดสั้นๆ ง่ายๆ ธรรมะก็คือชีวิต ชีวิตก็คือธรรมะ แต่ทำอย่างไรให้ธรรมะกับชีวิตเป็นสิ่งเดียวกันได้และเป็นสิ่งประเสริฐกลับคืนเบื้องบนได้ นี่จึงจะสำคัญกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เราสามารถทำชีวิตให้มีธรรมะและอยู่บนโลกนี้ได้ แต่จะมีใครบ้างที่คิดว่าทำชีวิตให้มีธรรมะแล้วกลับคืนเบื้องบนได้ หากคิดได้แล้วมุ่งหมายและเดินไปให้ถึง ท่านย่อมสำเร็จได้ แม้วันนี้ไม่สำเร็จ อาจจะมีโอกาสได้ไปบำเพ็ญต่อข้างบนก็ยังดีไม่ใช่น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่าจมปลักอยู่ข้างล่าง หรือไม่ก็หนักลงไปใต้ล่าง น่าเศร้าใจยิ่งนัก
 วันนี้เราก็คงจบสั้นๆ เพียงเท่านี้  การดำเนินชีวิตเลี้ยงตนเองก็ยากแล้ว ยิ่งต้องเลี้ยงคนอื่นด้วย ดูแลคนอื่นด้วย นำคนอื่นด้วยยิ่งยากเข้าไปใหญ่ อย่างนั้นจำอยู่สามอย่างทำได้สบายแน่เลย อย่างแรกก็คืออ่อนน้อมเป็น อย่างที่สองก็คือละอายเป็น อย่างที่สามก็คือแบ่งแยกดีชอบเป็น ถ้าละอายเป็นจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร ถ้าอ่อนน้อมเป็นจะสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสมานฉันท์ ประพฤติตนได้อย่างสอดคล้อง ถ้าแยกถูกต้องผิดชอบชั่วดีได้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผู้มีสติปัญญา แต่คนเรานั้นการรู้ก็ไม่เท่ากับการทำได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ในสิ่งที่เราพูด แต่ทำได้ดีนั้นยากเหลือเกิน เราคิดว่าเราถูกต้องแล้วแต่คนอื่นเขาว่าไม่ถูกต้อง ท่านจะทำอย่างไร (แก้ไข)  เราต้องสำรวจตัวเอง เราคิดว่าตัวเองดีแล้วแต่ทำไมลูกถึงไม่ได้ดั่งใจ บางครั้งเราต้องปล่อยบ้าง เราต้องวางบ้าง ไม่อย่างนั้นคนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่เศร้าก็คือเรา ทุกคนมีชีวิตของตนเอง เรานำตนเองได้ ถ้าคนอื่นเห็นดีไม่ต้องพูดเลยเดี๋ยวเขาก็ตามมาเอง แต่ถ้าเรานำตนเองได้ ทว่าไม่มีใครเดินตาม เราต้องมองตัวเราเองแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราคงต้องไปแล้วนะ ขอให้ศึกษาและตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เราไม่ได้ต้องการให้ท่านมายึดถือในการมายืมร่าง แต่เราต้องการให้ท่านเห็นถึงสัจธรรมความจริงแท้ของชีวิต หากใครเข้าใจได้คนนั้นก็หลุดพ้นโลกอันสกปรกใบนี้ได้ แต่โลกจะสกปรกหรือสะอาด บางครั้งอยู่ที่ตาและใจเราคิด ถ้าคิดว่าดี โลกก็ทำให้ท่านดีได้ ถ้าคิดว่าสกปรกบ่อยๆ ใจเราก็พลอยสกปรกไปด้วยได้เหมือนกัน รู้การเป็นคนบนโลกนี้จะให้ดีนั้นยากเหลือเกิน แต่ถ้าทำได้ อดทนได้ บำเพ็ญได้ เราก็ย่อมเป็นคนดีได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้กำลังใจท่านเยอะๆ นะ เพราะรู้ว่ามีชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พอมาให้บำเพ็ญยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ใช่หรือเปล่า ต้องอดกลั้น ต้องอดทน ต้องไม่ท้อแท้ ต้องไม่พ่ายแพ้และก็ต้องไม่เผลอใจตัวเองด้วย พอเผลอเพียงนิดเดียวเราก็ย่อมทำผิดได้ ย่อมก้าวพลาดได้ คงต้องจากกันเท่านี้ล่ะนะ


วันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทางราบรื่นกลับเดินแล้วยากชนะ ทางขรุขระกลับเดินแล้วชนะง่าย

ชีวิตคนอย่าแสวงแต่สบาย ยิ่งง่ายง่ายท้ายยิ่งยากเท่าทวี
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

เกิดมาแล้วพาชีพนี้ให้คงมั่น อย่าคิดสั้นมองการณ์ไกลดีไหมหนา

ฝ่าทวนน้ำกระแสโศกดั่งฝูงปลา มิรอช้าเร่งรัดตนบำเพ็ญดี
บำเพ็ญธรรมเริ่มแรกต้องรู้จักตน แลฝึกฝนด้วยปฏิบัติให้ถ้วนถี่
แก้ไขตนมิรอช้าสักนาที ศิษย์เมธีตามอาจารย์มาไวไว
แสงเทียนส่องเพื่อผู้อื่นใช่เพื่อตน ความอดทนทำให้ใจไม่หมองไหม้
ความพยายามกวักมือเรียกสำเร็จไว้ ศิษย์รู้ไหมทำเพื่อผู้อื่นเรียกพุทธา
หลังจากสามวันนี้ขอศิษย์รัก เร่งตระหนักไม่ละทิ้งการศึกษา
ควบคุมใจควบคุมกายแลวาจา เพียรจนกว่าจะหลุดพ้นไม่ออมแรง
ทะเลทุกข์ปลุกคนตื่นเมื่อรู้คิด หนึ่งชีวิตอย่ามัวเฝ้าหน่ายแหนง
ปลูกถั่วได้ถั่วปลูกแตงได้แตง กรรมรุนแรงกามตัณหาเร่งห่างไกล
ฮา  ฮา   หยุด


กว่าจะรู้แท้ แพ้ใจเลิกเพียรเสียก่อน ความล้าคอยกร่อนทุกก้าวศึกษา คนคิดบำเพ็ญนั้นก้าวเหนือชะตา ฝึกใจฟ้า อย่าเรรวนเฝ้าเปลี่ยนใจ ศิษย์คงมั่นแล้ว ถึงต้องไกลไม่คิดห่วง ศิษย์ได้สิ้นบ่วงแห่งหลุมพรางล้อมฤทัย เพราะมีจุดหมาย มิเดินอย่างลอยชาย โลกทุกสมัยถือหลักธรรมนำตน อย่าดีใจเมื่อสมหวังดังปองทุกอย่าง อย่าโศกใจเมื่อถูกชังหมองหม่น อย่าท้อแท้หากเมื่อใดเกิดทุกข์เกินทน ศิษย์รักเพียรตน จากวันนี้จนสิ้นใจ
     * เกิดมาไม่แคล้ว หลงโลภจงได้คิดห่าง ศิษย์ย้อนมองอย่างนิโรชหลงใหล พลั้งพาขื่นขม ฟ้าจึงยอมฝันใฝ่ ขอคราวต่อไปมิพลาดพลั้งดุจดั่งเดิม  (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง : หนี้รัก



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


นั่งฟังธรรมะมาเป็นวันที่สามแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  คนที่ชวนเรามาเขาบอกว่าฟังธรรมะวันแรกจะเหนื่อยเป็นธรรมดา  พอวันที่สองและวันที่สามจะดีขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า (รู้สึก)  เรารู้สึกอย่างนั้นเพราะอะไร (เพราะจิตเราสงบและเริ่มรวมเป็นจุดเดียวแล้ว, ความศรัทธา, เริ่มเข้าใจ , จิตเบิกบานขึ้น, เปิดใจให้กว้างและรับฟัง)  เท่าที่ฟังมานี้มีบางคนใจยังไม่เปิดกว้าง จิตใจยังไม่เบิกบานหรือเปล่า  หัวหน้าชั้นมีหรือเปล่า (ยังมีอยู่บ้าง)  ถ้าหากเราไม่เปิดใจให้กว้างขึ้น ยังปิดจิตใจให้แคบๆ คิดอะไรซ้ำๆ ซากๆ  เราก็จะไม่เข้าใจธรรมะอะไรมากขึ้น จิตใจของเราไม่นิ่งสงบลงก็จะฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง เปรียบไปแล้วมานั่งฟังสามวันนี้ก็เหมือนมานั่งฟังเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คุ้มหรือไม่ (ไม่คุ้ม)  

เวลาที่เรานั่งฟังธรรมะจะต้องมีความตั้งใจ  จิตใจต้องเปิดกว้าง  พร้อมที่จะศรัทธา  พร้อมที่จะพิจารณา  แล้วยังมีอะไรอีกที่ทำให้ศิษย์รู้สึกว่ามานั่งฟังวันที่สามแล้วดีกว่าวันที่หนึ่งและวันที่สอง (จิตใจเปิดพร้อมที่จะปฏิบัติทั้งกายและใจ , เข้าใจหลักสัจธรรม , เริ่มเข้าใจความเที่ยงแท้และความเป็นสัจธรรม)  มีใครอยากจะตอบว่าเริ่มชินกับการขึ้นบันได 5-6 ชั้นหรือเปล่า  ต่อให้เป็นสาวๆ หนุ่มๆ แล้วให้เดินขึ้นๆ ลงๆ ก็เหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเรารู้สึกเคยชินขึ้นก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบเสมือนการที่เราได้ทำความดี  คนมักบอกว่าความดีทำยาก ความชั่วทำง่าย  ความดีเปรียบเสมือนการก้าวขึ้นบันไดซึ่งต้องออกแรง  แต่เวลาลงแทบจะหลับตาวิ่งได้  ฉะนั้นถามว่าการก้าวขึ้นบันไดกับการก้าวลงบันไดนั้นเราควรจะเลือกทำแบบไหน (ก้าวขึ้นบันได)  การก้าวขึ้นบันไดมาสู่สถานธรรมนั้น  ความเหนื่อยของเราจากวันแรกที่เราไม่ชินเลยกับการขึ้นบันได 5-6 ชั้น  จนมาถึงวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว เริ่มชินขึ้นไหม (เริ่มชินขึ้น)  เริ่มรู้ว่าความดีเริ่มจะทำง่ายขึ้น  ในขณะที่เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าความดีนั้นทำยาก  แต่ได้ฝืนตัวเองมาถึงสามวันแล้ว  ตอนนี้ความดีก็เริ่มทำง่ายขึ้นแล้ว  ฉะนั้น เมื่อกลับไปแล้วจะกลับไปขึ้นบันไดหรือลงบันได (ขึ้นบันได)  กลับไปขึ้นบันไดที่บ้านเหนื่อยกว่าขึ้นบันไดที่สถานธรรมอีก  กลับไปขึ้นบันไดในสังคมเหนื่อยกว่าขึ้นบันไดที่บ้านอีก  การขึ้นบันไดในโลกนี้ยากกว่าการขึ้นบันไดในสังคมอีก เอาไหม  การขึ้นบันไดสู่นิพพานยากที่สุด ยากยิ่งกว่าการขึ้นบันไดไหนๆ เอาไหม (เอา)  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นฝ่าด่านไปได้เป็นขั้นๆ ในที่สุดแล้วก็จะพบความง่ายของการทำความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหลายคนชอบบอกว่า ทำไมจะต้องฝืนตัวเองด้วยล่ะ  อยากทำอะไรก็ทำสิ  แต่สมมติว่าทุกคนชอบการลงบันได ชอบการทำความชั่วเพราะเห็นว่าทำง่าย  ปล่อยจิตใจไหลไปเหมือนกับน้ำไหลลงที่ต่ำ  ทุกคนคิดอย่างนี้  โลกนี้ก็จะไหลลงไปสู่ที่ไหน (ที่ต่ำ)  ในที่สุดแล้วโลกนี้ทั้งโลกก็จะเป็นโลกที่ตกต่ำ  แล้วเราก็อยู่ในโลกที่ตกต่ำนี้ด้วย  จิตใจของเราก็ตกต่ำไปด้วย  ถามว่าในที่สุดแล้วจิตใจของเราจะสูงได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์ไม่รู้จักฝืนตนเอง  ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม  คนอื่นทำชั่วเราก็ทำดีกว่าเขานิดหนึ่ง  ลูกหลานของเราก็ทำดีกว่าเราอีกนิดหนึ่ง  พอเผลอๆ ก็ไหลลงไปที่ต่ำอีกทั้งหมดเลย  ในที่สุดแล้วเราก็จะไม่สามารถขึ้นสู่ที่สูงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เคยเห็นปลาไหม (เคย)  รู้ไหมว่าปลามีคุณสมบัติแบบใด (ว่ายทวนน้ำ)  เขาฝืนไหม (ฝืน)  เขาไม่ปล่อยตัวเองไปตามน้ำ  ไม่ว่าจะวันไหน เวลาไหน นาทีไหน  ถ้าหากว่าเหนื่อยก็หยุดพักอยู่กับที่  แต่ไม่ปล่อยตามใจตัวเองไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นความสำคัญของการฝืนตนเองให้ตั้งอยู่บนความดีหรือยัง (เห็นแล้ว)  ฉะนั้นจงดูว่าหลังจากวันนี้ศิษย์จะไปปีนบันไดไหน หรือจะไปลงบันไดไหน  ถ้าหากว่าปีนบันไดสถานธรรมขึ้นมาแล้วก็ลงไปใหม่  ก็กลับกลายเป็นคนไม่บำเพ็ญ  แล้วจุดจบของคนที่ไม่บำเพ็ญนั้นก็อยู่ที่การเวียนว่ายตายเกิด  ถ้าหากว่าอยู่ในสังคมไม่ยอมปีนบันไดขึ้นไป  คอยแต่จะลงมาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นคนไม่ดีของสังคม  ถ้าหากว่าอยู่ในโลกนี้ไม่ยอมปีนบันไดขึ้นไป แต่อยากจะตกต่ำลงมา  มีคำเปรียบเทียบว่า  สวรรค์อยู่เบื้องบน  นรกอยู่เบื้องล่าง โลกนั้นตั้งอยู่ตรงกลาง  ถ้าหากไม่ยอมปีนบันไดโลกขึ้นไป  คอยแต่จะตกต่ำลง  ถ้าหากว่าบันไดนิพพานศิษย์ไม่ขึ้น  ศิษย์ก็ลงมาข้างล่าง  เปรียบไปแล้วก็คือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น  ชาตินี้เราเกิดมาจำได้ไหมว่าเรากินข้าวไปกี่จาน  จำได้ไหมว่าเราเคยไปสถานที่เดิมๆ กี่ครั้ง  จำได้ไหมว่าเรานั้นเคยทำความผิดไปกี่ครั้ง (จำไม่ได้)  การที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดก็เหมือนกัน  เหมือนกับที่เราต้องมีร่างกายนี้ แล้วก็มีร่างกายนี้ซ้ำครั้งที่สองครั้งที่สาม  เหมือนกับเราเคยไปสถานที่ที่นั้นแล้วเราก็ต้องกลับไปที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่ร้อย ครั้งที่หมื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเรานั้นต้องกินข้าว  กินเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว เบื่อหรือยัง  บางคนบอกว่าเป็นโรคเบื่อข้าว  คิดดูสิว่าต้องกินทุกวัน  ไม่กินก็หิว  แต่ก็ต้องกินทุกวัน  ฉะนั้นเราควรที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้หรือไม่ (ควร)  โดยเฉพาะหลักใหญ่  การที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะเราต้องการพ้นความทุกข์ที่มีนับครั้งไม่ถ้วนนี้  ต้องการพ้นจากความสุขที่พาความผิดหวังมาในภายหลัง  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้จักบำเพ็ญ  เมื่อบำเพ็ญแล้วจึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  เห็นความสำคัญของการบำเพ็ญหรือยัง (เห็น)  
เพลงที่ร้องเมื่อสักครู่ ท่อนจบร้องว่าอย่างไร (โปรดให้ศิษย์บำเพ็ญรู้จริง)  ต้องบำเพ็ญเท่านั้นจึงจะรู้จริงได้  ถ้าไม่บำเพ็ญจะรู้จริงไหม (ไม่รู้)  การบำเพ็ญก็คือการปฏิบัติ ขัดเกลาจิตใจตนเอง  หากไม่บำเพ็ญก็ไม่สามารถที่จะรู้จริงได้  ถ้าหากว่ากลับไปแล้ว ไปนั่งเฉยๆ อยู่ที่บ้าน  ต่อให้มีคนโทรศัพท์ไปเรียก  ถามว่าเรานั้นจะรู้จริงไหม (ไม่รู้)  คนอื่นรู้จริงกว่าเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะต้องมาบำเพ็ญเองดีไหม (ดี)
“ทางราบรื่นกลับเดินแล้วยากชนะ ทางขรุขระกลับเดินแล้วชนะง่าย”  
เพราะอะไรทางที่ราบรื่น ทางที่ให้เดินไปง่ายๆ เรากลับชนะไม่ได้  เพราะไม่ได้ผ่านอุปสรรคใช่ไหม (ใช่)  เพราะทางราบรื่นเปรียบเสมือนให้เรานอนเตียงที่นิ่มๆ สบายๆ  ถามว่าปวดหลังไหม (ปวด)  แต่หากให้เราลงไปนอนที่พื้นแข็งๆ จะหายปวดหลังไหม (หาย)  อันไหนดีกว่ากัน (นอนพื้นแข็ง)  เราก็รู้ว่า ถ้าหากเราไม่อยากเจ็บหลังก็คือเรานั้นไม่อยากจะลำบากที่จะต้องนอนพื้นใช่หรือไม่  แสดงว่าเราต้องลำบากมาก่อนใช่หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าตามใจตนเองอยากจะนอนนิ่มๆ อยากจะเดินสบายๆ อยากเรียนจบดีๆ แล้วก็ไวๆ ด้วย อยากบำเพ็ญเป็นพุทธะ โดยไม่ต้องบำเพ็ญมีไหมในโลกนี้ (ไม่มี)  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องฝ่าความยากลำบาก ยิ่งเรานั้นเป็นคนที่มีนิสัยความชินเคยมากเท่าไร เราก็จะไม่สามารถที่จะขึ้นไปสู่ที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ได้ใช่หรือไม่ 
“ชีวิตคนอย่าแสวงแต่สบาย ยิ่งง่ายง่ายท้ายยิ่งยากเท่าทวี”  
หากวันนี้เรานั้นยิ่งประสบความง่ายดายมากเท่าไร เรายิ่งไม่รู้จักความยากลำบาก ยิ่งไม่รู้จักการที่เรานั้นจะฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างไร เหมือนกับการที่พ่อแม่หาเงินทองให้เราเรียบร้อย ถึงเวลาเราก็ใช้ อายุมากเราค่อยไปหา เรารู้สึกว่ายากลำบากไหม (ยาก)  แต่กลับกันอย่างที่เราเคยได้ยิน เขาบอกว่าพ่อแม่เมื่อก่อนนี้เขาลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่ว่าท่านใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไหมเวลามีเงิน (ไม่)  ก็ไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายอะไร แสดงว่าคนเรานั้นต้องเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราหามาใช่หรือไม่  เราหาสิ่งใดมาบ้าง ชีวิตนี้บางคนก็อายุกลางคนแล้ว บางคนก็เลยไปแล้ว บางคนก็ยังไม่ถึงวัยกลางคนเลย ถามว่าชีวิตนี้สิ่งที่เราหาคืออะไร  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นชาย-หญิงตอบสลับกัน ฝ่ายไหนตอบเป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะ) (ความรู้, ต้องการการหลุดพ้นและจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด, ทรัพย์สินเงินทอง, ความมั่นคงในชีวิต, ความสุข, เมื่อก่อนยังไม่ได้รับธรรมแต่เมื่อรับธรรมแล้วก็ได้รู้ว่าเราจะกำหนดชีวิตไปได้อย่างไร, เกียรติยศชื่อเสียง, แสวงหาคุณธรรม, หาความยุ่งยากมาใส่ชีวิต, หาปัจจัยสี่, แสวงหาหลักธรรม, หาจิตใจที่แท้จริงของตัวเองด้วยการใช้ปัญญา, หาสัจธรรมความจริง, ความสันติสุข, หาแก่นสารแก่นแท้ของชีวิตให้เจอแล้วปฏิบัติ, หาทางให้ตนเองเป็นสุขและช่วยให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วย, แสวงหาลาภยศเงินทอง, แสวงบุญ, หาความจริงในชีวิต กตัญญูต่อบิดามารดามากกว่าที่เคยเป็น, หาความสงบในจิตใจ, ธรรมะเปรียบเสมือนเพชรเราต้องขุดคุ้ยขึ้นมาให้ได้สิ่งนั้น, ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนกับการหาพันธนาการทุกอย่างมารัดเรา โซ่เส้นหนึ่งเส้นแล้วเส้นเล่ารัดเราเข้าไปทุกวัน, พวกเราต่างคิดว่าสิ่งที่เราเคยแสวงหานั้นคือความสุข เป็นความสบายแต่เราไม่ทันคิดว่า สิ่งที่เราได้พบเจอนั้นแท้จริงหรือเปล่า สุขที่แท้จริงคือเราพยายามจะหาความหลุดพ้น แต่ว่าพวกเรามองไม่เห็นมันเท่านั้นเอง, แสวงหาจิตญาณเดิมและเคารพในกายของเรา)
การแพ้ชนะนั้นไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้มาตัดสิน แต่การแพ้ชนะอยู่ที่คำตอบของศิษย์นั้นว่ายอมตอบหรือไม่ คนที่ตอบว่าตนเองนั้นแสวงหามรรคผลนิพพาน แสวงหาจิตญาณเดิมแท้ แสวงหาสิ่งที่เป็นกุศลทั้งหลายก็เป็นผู้ชนะ ส่วนคนที่ตอบว่าตัวเองนั้นแสวงหาลาภยศเงินทองที่พักที่พิง แสวงหาสิ่งที่เป็นปัจจัยสี่ทั้งหลาย ถามศิษย์ว่าจะแสวงหาถึงวันไหน ถึงได้คำว่า “พอ”  คนที่แสวงหาเช่นนี้เป็นคนที่แพ้อยู่เสมอ เพราะว่าคนที่แสวงหามรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ว่าเขานั้นจะตัดเสียจากทางโลก แต่เขากลับทำทางโลกให้ดี เป็นคนดีคนหนึ่งของสังคม ในขณะเดียวกันก็สละเวลาว่างต่างๆ นั้นมาแสวงหามรรคผลนิพพาน ฉะนั้นการชนะและแพ้นั้นอยู่ที่ใจของศิษย์  ในหัวใจเราเหมือนมีอยู่สองข้าง ข้างหนึ่งเป็นอธรรม ข้างหนึ่งเป็นธรรมะ ดูซิว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะให้ฝ่ายมารหรือพุทธะดึงไป  ถ้าหากว่าเรานั้นให้ฝ่ายพุทธะดึงมา เราวางตนได้ดีเสมอๆ  เรานั้นก็เป็นผู้ที่ชนะ  แต่ถ้าหากว่าเรานั้นวางตนไม่ดี แสวงหาอย่างไม่รู้จักพอ  คนๆ นี้ตลอดชีวิตคงไม่มีคำว่า “พอ”  สำหรับคำว่าปัจจัยสี่ใช่หรือไม่ (ใช่)   
สถานธรรมที่นี้มีชื่อว่าอะไร (ไท่อิน)  แปลว่าอะไร  คำว่า “ไท่”  หมายถึงความดีงาม  ส่วนคำว่า “อิน” หมายถึงเสียง  เสียงที่ดีงามอยู่ที่ตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเปล่งเสียงๆ ก็ออกจากตัวใคร (ตัวเรา)  แล้วเสียงที่ดีอันนี้ก็ต้องออกมาจากใจที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจที่ไม่ดีพูดสิ่งที่ดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคนที่มีใจที่ไม่ดีพูดสิ่งที่ดีก็เท่ากับเป็นการหลอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราหลอกตัวเองแล้ว เราก็คงจะหลอกผู้อื่นด้วย  แต่ถ้าเราไม่หลอกตัวเองแล้วเราก็ย่อมไม่หลอกผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากคนที่หลอกคนเขาเรียกว่าอะไร (คนโกหก) ผีชอบหลอกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าถ้าเราหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นก็กลายเป็นผีในคราบคน  เพราะฉะนั้นอย่าได้หลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นดีหรือเปล่า  (ดี)   เพราะว่าชาตินี้เราจะบำเพ็ญให้เป็นพุทธะ  จะบำเพ็ญไปเป็นผีไม่ได้
(นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมในชั้นกราบรับพระอาจารย์)
กราบรับพระอาจารย์เอาอะไรกราบรับ (ใจ)  ใจของศิษย์เป็นสีขาวหรือเป็นสีดำ หรือเป็นสีขาวลายดำ (สีขาว)  จิตใจที่ขาวนี้อยู่ได้กี่วัน  ใครคิดว่าอยู่ได้ตลอดชีวิต ใครคิดว่าไม่แน่ใจ 
ศิษย์รู้จักอาจารย์หรือเปล่า (รู้จัก)  การรู้จักไม่ใช่รู้จักกันแต่ชื่อ  การที่เราจะรู้จักคนๆ หนึ่งนั้นรู้จักได้ที่ไหน (ใจ)  รู้จักที่ใจต้องทำอย่างไรดี  จึงจะให้เขารู้ว่าเรามีใจที่ดี (อยู่ที่การบำเพ็ญและการแสดงออกจากใจ)   การบำเพ็ญและการแสดงออกใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์คนนี้พูดทำให้อาจารย์นึกถึงว่า การที่ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นคนที่มีใจในการบำเพ็ญธรรมนั้น ศิษย์บอกว่า ให้อาจารย์ดูที่ใจ  แต่ว่าคนที่เป็นผู้ร่วมบำเพ็ญนั้นไม่ได้ดูใจของศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นมนุษย์มีคำพูดกล่าวว่า “เห็นหน้าไม่รู้ใจ”  แสดงว่าคนอื่นไม่รู้ใจเรา  ทำอย่างไรจึงให้เขารู้ใจได้  อยู่ที่การแสดงออกใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคารพเขาเราก็ต้องไหว้เขา  เขาจึงจะรู้ว่าเราเคารพ  เราอ่อนน้อมต่อเขาเราต้องโค้งให้งาม เราต้องแสดงสีหน้าที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์บอกว่า  มีใจต่อการบำเพ็ญ ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าศิษย์มีใจ (ช่วยเหลือผู้มีทุกข์, บำเพ็ญโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค)  เราต้องลงมือปฏิบัติสักครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ประจักษ์ผลของการปฏิบัติดูที่เวลาเรานั้นเป็นคนที่ไม่ดี  เราลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดู แล้วดูว่าคนที่บ้านบอกว่าเราดีขึ้นหรือเปล่า  คนที่อยู่รอบข้างเราบอกว่าเราดีขึ้นหรือเปล่า  ดังนั้นจึงบอกได้ว่าเรานั้นเป็นคนที่มีใจที่จะบำเพ็ญธรรม มีใจที่จะใสสะอาดใช่หรือไม่ (ใช่) ในทางกลับกันคนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนที่รู้จักอาจารย์  เป็นคนที่รู้จักที่จะบำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอาจารย์ไม่ได้มาที่จะคุยเล่น  หยอกล้อกับศิษย์ ให้ศิษย์นั้นหัวเราะเฮฮา กลับไปบ้านด้วยความปลอดโปร่งใจ  แต่อยากให้ศิษย์กลับไปแก้ไขปรับปรุงตนเอง  เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่ารู้จักอาจารย์ดีก็ต้องแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้)  พรุ่งนี้ทำไม่ได้มะรืนนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้)  แต่ที่สำคัญวันนี้ต้องทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบอกว่าไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ หรือไม่ก็บอกว่า มะรืนนี้ค่อยทำก็ได้  คนประเภทนี้เป็นคนที่ชอบดินพอกหางหมู ใช่หรือไม่ ถามว่าเป็นคนหรือเป็นหมู  เราเป็นคนเราจึงต้อง ไม่เอาดินมาพอกหางเรา  เพราะเราไม่มีหางใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์ทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า (อิ่ม)  อร่อยหรือเปล่า (อร่อย)  อร่อยแล้วรู้จักแม่ครัวหรือยัง (รู้, ไม่รู้)  เคยเดินไปบอกแม่ครัวว่า แม่ครัวทำกับข้าวอร่อยจังเลย เคยหรือไม่ (ไม่เคย)  หัวหน้าชั้นเคยหรือเปล่า (ไม่เคย)  หัวหน้าชั้นยังรู้จักเรือ ยังรู้จักคนในเรือไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นคนทำกับข้าว วันหลังมาสถานธรรมจะให้ใครทำให้กินล่ะ ใช่หรือไม่ มาหาอีกทีหนึ่งอาจารย์บรรยายธรรมทำกับไม่เป็น มาหาอีกทีหนึ่งอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทำกับข้าวไม่เป็น  วันทั้งวันก็อดข้าวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่มาสถานธรรมนี้ เหมือนกับเป็นพี่เหมือนเป็นน้อง  เรามาใหม่เราเป็นน้อง เขาอยู่ก่อนเขาเป็นพี่  เป็นพี่เป็นน้องกันด้วยความรักใคร่  ก่อนจะรักใคร่กลมเกลียวต้องรู้จักกันหรือเปล่า (รู้จัก)  
มนุษย์นั้นมักเข้าใจผิด ชอบรู้จักกัน แต่จริงๆ ก็รู้จักเพียงข้อเสียของคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเวลาเรารู้จักกันนั้นต้องรู้จักข้อเสียของเขาหรือไม่ จำเป็นหรือเปล่า (ไม่จำเป็น)  มนุษย์มีข้อดีมีข้อเสีย มีจิตใจที่เป็นพุทธและจิตใจที่เป็นมาร  เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีอยู่สองอย่าง ดูซิว่าศิษย์จะเลือกอันไหน  เวลาศิษย์จะแสดงออก ดูว่าจะแสดงออกด้วยใจพุทธะที่ดีงามหรือว่าแสดงออกด้วยใจมาร ใจอันชั่วร้าย เวลาศิษย์จะรู้จักคนจะพูดคุยกับคน จะส่งเสริมคนดูว่าศิษย์จะใช้ใจพุทธะหรือใจมาร เวลาที่ศิษย์จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ให้ดูว่าเราจะใช้ใจประเภทไหน มนุษย์ทุกคนมีข้อดีมีข้อเสีย จะใช้ใจยังต้องเลือกเอาหนึ่งเดียว เวลารู้จักคนรู้จักเพียงข้อดีก็พอ ใช่หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องรู้จักข้อเสีย เวลาเรารู้จักข้อเสียของคนๆ หนึ่งเรารู้สึกไม่อยากที่จะคบเขาใช่หรือไม่ แล้วเรามีข้อเสียไหม (มี)  ถ้าเขารู้จักเราตรงข้อเสียล่ะดีไหม (ไม่ดี)
คนมีทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เวลาหันหน้าเข้าหากันจะเห็นทั้งสองด้านไหม (ไม่เห็น) เห็นเพียงด้านไหน (ด้านหน้า) ด้านหน้าเปรียบเสมือนความดี เวลาหันหน้าเข้าหากันหันได้กี่ด้าน (ด้านเดียว)  จะเอาด้านไหนหันเข้า (ด้านหน้า)  อย่าเผลอเอาด้านหลังหันให้นะ ถ้าหากว่าเรารู้จักคนจริงๆ ก็จะรู้ว่าคนทุกคนมีสองด้าน จะหันด้านใดเข้าหาก็ให้พิจารณาให้ดีๆ บางคนชอบที่จะหันด้านหน้า แต่เอาความชั่วไว้ด้านหน้า เอาความดีไว้ด้านหลังจะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ใครมองมาเจอศิษย์ด้านหน้าที่เป็นความชั่ว เขาจะรักใคร่เราไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นควรจะหันด้านหน้าที่เป็นด้านดี อย่างนี้จึงจะมีผลที่ดีเกิดขึ้น เพราะเวลาเราอยู่ด้วยกันก็เปรียบเสมือนเราตั้งวงกลมขึ้นวงหนึ่ง วงกลมวงนี้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันทั้งสี่ทิศ
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนสี่คนในชั้นออกมายืนล้อมกันเป็นวงกลม)
คนในวงกลมนี้มองเห็นด้านหลังของอีกคนหนึ่งไหม (ไม่เห็น)  เห็นแต่ด้านข้าง แต่ว่าทำไมเราเห็นล่ะ คนในวงนี้ต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นหลังของอีกคนหนึ่ง (ต้องอยู่ข้างนอก)  การที่เราจะเห็นด้านหลังของอีกฝ่ายได้มีอยู่สองทาง ทางแรกคือต้องเป็นคนนอก ทางที่สองคืออะไร แสดงว่าในสี่คนนี้ต้องมีคนหนึ่งไปแอบมองด้านหลังคนอื่นใช่ไหม ซึ่งคนเขาบอกว่าเป็นการนินทาลับหลัง ฉะนั้นเมื่อมีคนหนึ่งเริ่มแอบมองจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนนี้เกิดไปนินทาอีกคนหนึ่ง คนนี้ก็จะรู้สึกอย่างไร ก็รู้สึกไม่ไว้ใจใช่หรือไม่ เพราะไม่รู้วันไหนคืนไหนคนอื่นจะแอบเอาเราไปนินทาบ้าง แล้วเราก็เริ่มมองเขาไม่ดี วงนี้จึงกลายเป็นความระส่ำระส่ายใช่หรือไม่ ในทางกลับกันเรามีวิธีการรู้เรื่องคนอื่น และเป็นวิธีการที่ดีงามคืออะไร ถ้าคนนี้รู้สึกอัดอั้นตันใจมาก แต่เรายืนอยู่ตรงนี้โดยเป็นแบบอย่างที่ดีที่คนอื่นมองแล้วรู้สึกว่าเราคงจะให้คำปรึกษาที่ดีได้ เพียงแต่เรายืนอยู่เฉยๆ แต่คนที่รู้สึกอัดอั้นตันใจมากกลับรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ดีและอยากปรึกษาเรา อย่างนี้เราก็จะรู้เรื่องคนอื่นไหม (รู้)  ก็เพราะเขามาปรึกษาเรา แม้เราจะยืนอยู่เฉยๆ ก็รู้เรื่องคนอื่นเหมือนกัน ถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องมีการนินทาเกิดขึ้น (ไม่จำเป็น)  ไหนใครชอบนินทา คงชอบนินทากันทุกคนใช่หรือไม่ หลังจากวันนี้ถ้าอยากให้ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ผาสุก เรื่องในอย่าเอาออกนอก เรื่องนอกอย่าเอาเข้าใน ถ้าอยากให้บ้านเราและรอบๆ บ้านเราเป็นบ้านที่ดีก็ทำอย่างนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอยากให้สถานธรรมเป็นนิพพานก็ต้องทำแบบนี้ แต่ถ้าอยากให้สถานธรรมเป็นกระด้งทรายฝัดกันไปก็ฝัดกันมาดีหรือไม่ ธรรมะนั้นฟ้าประทานให้แต่มนุษย์เป็นผู้นำพา อยู่ที่ศิษย์จะนำพาอย่างไร เพราะเราไม่สามารถห้ามผู้อื่นให้ดีหรือไม่ดีได้ แต่เราห้ามตัวเราให้ดีหรือไม่ดีได้
ในวันนี้มาที่นี่ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้นพาใจของเราให้รวมเป็นหนึ่งเดียว อย่าได้มีใจคิดวอกแวก มีใจเดียวแต่คิดเป็นสิบๆ เรื่อง อาจารย์พูดอะไรนั้นก็จะไม่ค่อยเข้าใจ การเกิดและการตายของเรานั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ศิษย์ลองมองประวัติศาสตร์ชาติของตนเองสิ เห็นไหมว่ามีหลายคนที่เกิดมาโดยที่คนในโลกไม่รู้จัก แต่ก่อนจะตายนั้น คนอาลัยรักอย่างยิ่ง ดูสิว่าเราเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า ถ้าทุกๆ วันเรายังสนใจแต่เรื่องของตนเองเท่านั้น เราจะไปถึงจุดนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นการเสียสละเพื่อผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง)  หากไม่รู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นสักครั้งหนึ่ง ศิษย์จะรู้จักคำว่า “เสียสละ” ได้อย่างไร การเสียสละพาให้มนุษย์นั้นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เสียสละเรื่องเล็กๆ ก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่เล็กๆ เสียสละเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ เราก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากๆ ถ้าเสียสละในเรื่องของความยิ่งใหญ่ ย่อมเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่การที่เราจะพาตนให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่นั้นได้ เราเป็นคนๆ หนึ่งในสังคมในโลก คนรู้จักเราน้อยนิด ถามว่าเรามีความทุกข์ไหม (มี)  หากว่าเราเสียสละเพื่อผู้อื่นอีก เราต้องมีความทุกข์มากขึ้นหรือเปล่า กังวลเรื่องคนอื่นกลัวคนอื่นจะได้รับความเดือดร้อน เรานั้นคิดแทนเขา ช่วยเหลือเขา เราต้องมีความทุกข์มากขึ้นไหม (ต้องมี)  ยิ่งศิษย์เสียสละใหญ่โตมากขึ้นเท่าไร ยิ่งต้องมีความทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ว่าความทุกข์ใจอันนี้มีจุดจบที่ความสุขใจ จึงบอกว่าให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น กลัวความยากลำบากไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวก็ต้องเจอ กลัวก็ต้องเจอ ชีวิตนี้เหมือนกับความฝัน เหมือนกับหยาดน้ำค้าง หยาดน้ำค้างพอโดนแดดหายไปไหม (หาย)  ชีวิตนี้เหมือนความฝัน ฝันแล้วต้องตื่นไหม (ตื่น)  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า คนที่อายุมากแล้ว คนที่สูงวัยแล้ว ก็เคยผ่านช่วงที่เป็นเด็กมาก่อน เขาผ่านช่วงที่เป็นเด็กมาก่อนได้อย่างไรล่ะ เมื่อวานนี้เหมือนกับเพิ่งผ่านไปอยู่เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดแล้วเรามองเขาแล้วถามตัวเราว่าเราต้องเป็นแบบเขาไหม เราต้องแก่ไหม (แก่)  ชีวิตนี้จึงไม่จีรังใช่หรือไม่ (ใช่)  จะทำอย่างไรดีถ้าหากว่าเราไม่ได้หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายวนซ้ำสอง ซ้ำสาม ซ้ำสี่ ซ้ำห้า เป็นซ้ำที่เราไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว อยากพ้นไหม (อยาก)  คนที่อยากจะพ้นหนทางนี้ต้องทำอย่างไร (บำเพ็ญคุณความดี, มีความเชื่อมั่นและปฏิบัติ, เดินสายกลาง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  เวลาที่อาจารย์ให้ศิษย์คว้าผลไม้แล้วไม่รู้ว่าเราจะคว้าหรือเปล่า นี่เป็นทางขรุขระไม่ได้อะไรง่ายๆ สุดท้ายเรากลับได้ผลไม้นั้นมา ในทางกลับกัน เวลาอาจารย์ยื่นให้เฉยๆ กลับไม่แน่ใจที่จะหยิบ นี่คือง่ายเกินไปใช่หรือเปล่า ง่ายเกินไปก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้น บำเพ็ญง่ายๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  บำเพ็ญง่ายๆ รับธรรมะง่ายๆ ตอนนี้เวลาศิษย์มารับธรรมะก็เหมือนกับอาจารย์เอาแอปเปิ้ลวางไว้ให้ พอหยิบไปได้ง่ายๆ บอกว่าสงสัยไม่จริง มันง่ายเกินไป เพราะฉะนั้นอาจารย์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางไว้เฉยๆ ให้ศิษย์นั้นหยิบ แล้วก็ดูว่าศิษย์คนไหนมีบุญพอที่จะหยิบไปแล้วรู้ว่าแอปเปิ้ลผลนี้เอาไปแล้วกินได้ ธรรมะอันนี้เอาไปปฏิบัติได้ จะเชื่อใจอาจารย์ว่าอาจารย์ไม่ได้วางยาพิษไว้ จะมีกี่คนที่เชื่อก็ดูศิษย์ของอาจารย์เองใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมะได้ง่ายแต่เวลาเอาไปแล้ว ก็ต้องเอาไปปอกเปลือกเอง เอาไปหั่นเอง จะแบ่งให้คนอื่นไหม เป็นเรื่องของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ให้แอปเปิ้ลแล้วคิดว่าอาจารย์จะเอาคืนไหม (ไม่)  อาจารย์ไม่เอาคืน แต่ว่ามีกิเลสต่างๆ นานาอาจจะแปลงตัวมาให้ศิษย์นั้นรู้ว่าเขารู้ทันศิษย์ดี กิเลสในใจของเรานั้นรู้ทันเราดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ให้ไปแล้วแต่จะแปลงตัวเหมือนอาจารย์ แล้วไปขอศิษย์คืน แล้วศิษย์ก็ให้ ตอนนี้สมมติว่ามีกิเลสของเรา มีมารมาแปลงตัวให้เหมือนแล้วมาขอคืนศิษย์จะให้ไหม (ไม่ให้)  ต้องรู้ว่าสิ่งที่เป็นของเรา เราต้องรักษาเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เพียงแต่ธรรมะที่อยากจะพูดถึงแต่มีกิเลสที่ล่อลวงใจเราอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราฉลาด เรารอบรู้ไปหมด แต่กิเลสที่อยู่ในใจของเราฉลาดกว่า เขารู้ว่าเราชอบสีสัน และรู้ว่าเราชอบสีแดง เวลาเห็นเสื้อผ้าสีแดงจะถูกใจเป็นพิเศษ กิเลสสีแดงที่ข้างนอกมีเยอะไหม (เยอะ) เขารู้ว่าเราชอบทอง ทองข้างนอกมีเยอะไหม (เยอะ) เราฉลาดแต่ต้องเชิญเขามาใช่หรือไม่ (ใช่) เงินทองเท่าไหร่ๆที่เราหามา เหนื่อยไหม (เหนื่อย) ให้ใคร เหมือนกับเราให้พ่อค้า แต่เราต้องแลกสิ่งเหล่านั้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) ชอบทองที่เป็นสีเหลือง ชอบเสื้อผ้าที่เป็นสีแดง ในที่สุดแล้วเราก็ฉลาดอยู่ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนมีเพชรนิลจินดา เงินทองมากมาย เวลาตายไปก็ไม่สามารถเอาสิ่งเหล่านี้ติดตัวไปได้ สักวันหนึ่งเราต้องทิ้ง  เพราะฉะนั้น ทำไมจะต้องทิ้งมันวันที่เราตายด้วยล่ะ ทิ้งวันนี้ได้ไหม (ได้) อาจารย์ไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ขัดขวางการบำเพ็ญธรรมของศิษย์ เราจะเป็นผู้ที่บำเพ็ญดีเท่าไร ขึ้นอยู่กับเรา  เราจะปล่อยวางได้เท่าไรขึ้นอยู่กับเรา ปลงมากก็มีสุขมาก ปลงน้อยก็มีสุขน้อย ปลงไม่ได้เลยก็ไม่มีความสุขเลย คนที่อยากจะบำเพ็ญธรรม ถามว่าเอาเพชรนิลจินดาใส่มือไว้ ใส่แขนไว้ ใส่คอไว้ มือถือโทรศัพท์ ใส่รองเท้าหนัง เข็มขัดหนัง เสื้อผ้าสวยงาม หน้าถูกวาดไว้อย่างงดงาม ถามว่าคนนี้เป็นคนบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ห้าม แต่บอกว่าใครทำได้เท่าไรก็เป็นของ เราต้องเริ่มต้นจากวันนี้ด้วยการบำเพ็ญอย่างไรจึงจะเรียกว่าผู้บำเพ็ญล่ะ ฟังมาสามวันแล้วคิดว่าจะกลับไปบำเพ็ญอย่างไรบ้าง (นั่งสมาธิ, บำเพ็ญทั้งข้างนอกข้างใน, บำเพ็ญโดยการพูดดีทำดีคิดดี, ทำจิตใจให้ดีงาม, ปฏิบัติตนในศีลธรรม, กินเจวันพระ, นำสิ่งที่ได้ฟังมาสามวันไปปฏิบัติก็คือเรื่องสัจธรรมของชีวิต ความกตัญญู ความเมตตา, ทำดี, กลับไปก็ปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด)
การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องเริ่มจากการรู้จักตนเอง เมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่าศิษย์รู้จักอาจารย์หรือเปล่า การรู้จักนั้นไม่เพียงการรู้จักแค่ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน  แต่ต้องรู้ว่าเขาได้ประพฤติอะไรอยู่ การรู้จักอาจารย์นั้นต้องรู้ว่าอาจารย์สอนอะไร และมุ่งหวังให้ศิษย์ทำอะไร  บางคนอยู่ในบ้าน รู้จักพ่อแม่ไหม (รู้จัก) เรารู้จักท่านเพราะว่าท่านเป็นผู้ให้กำเนิดเรา แต่เราไม่รู้เลยว่าท่านนั้นทำสิ่งใดอยู่ แล้วเราต้องตอบแทนท่านอย่างไรบ้าง  ถ้าเราไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ก็คือเรายังไม่รู้จักท่าน  เพราะฉะนั้นกลับไปต้องไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ของเราดีหรือไม่ (ดี) รู้จักว่าท่านนั้นมุ่งหวังจะให้เราเป็นอย่างไร มีสิ่งใดที่ท่านคาดหวังแล้วเรายังไม่เคยลองทำดูบ้าง นั่นจึงเป็นการรู้จักท่าน รู้จักพ่อแม่แล้วมารู้จักตนเอง ว่าตนเองนั้นเป็นอย่างไร มีนิสัยอะไรที่ไม่ดีบ้าง ไม่ใช่รู้จักแค่ว่าเราชื่อนี้ นามสกุลนี้ หน้าตาเป็นแบบนี้  การรู้จักแบบนี้ไม่ใช่การรู้จักที่แท้จริง
“แลฝึกฝนด้วยปฏิบัติให้ถ้วนถี่  แก้ไขตนมิรอช้าสักนาที”  สิ่งแรกคือเราต้องรู้จักตนเองก่อน ภายหลังจึงมาฝึกฝนและปฏิบัติ ต่อมาก็คือเราต้องรู้จักปรับปรุงตัวเอง ไม่รอช้าแม้แต่นาทีเดียว ไม่ใช่บอกว่าเรารู้แล้วว่าตรงนี้เราผิด แต่เดี๋ยวรอสักครู่แล้วกัน เดี๋ยวค่อยแก้  หรือว่าตอนนี้เรากำลังโมโหอยู่  ตอนนี้โกรธมาก  รอเดี๋ยวก่อน รอให้ระบายอารมณ์โมโหนี้หมดสิ้นก่อน ฉะนั้นการที่เรารู้เท่าทันความโกรธของเรานั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี) แล้วเราระงับเดี๋ยวนั้นดีรึเปล่า (ดี)  ไม่ต้องกลัวว่าอยู่ดี ๆ ไปเบรกอารมณ์โมโหแล้วจะช็อก ไม่ช็อกใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเรารู้ทันว่าอารมณ์โมโหเรามาแล้ว ตัดเลยได้ไหม (ได้) รอให้ระบายหมดก่อนดีไหม (ไม่ดี) เราไม่ต้องรอจนเราระบายอารมณ์หมด เพราะว่าเรานั้นมักจะระบายออกมาในแง่ของคำพูด การกระทำ ถ้าเราพูดไปก็ทำร้ายผู้อื่นใช่หรือไม่ ถ้าเราทำไปก็ทำร้ายอะไร (ตนเอง) เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะบำเพ็ญ ก็คือการที่รู้จักแก้ไขตนเอง แก้ไขเมื่อเรารู้ทัน เมื่อเรารู้ไม่ทันก็เร่งที่จะก้าวขึ้นหน้าอารมณ์ของเราให้ได้
อันว่าอารมณ์นั้นมีอะไรบ้าง ดีใจ เสียใจ เศร้าใจ สุขใจ อารมณ์ไม่พอใจ อารมณ์พอใจ อารมณ์อยากได้คำชมใช่หรือไม่ นี่เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นมาเหมือนกับลมที่ตีกลับอยู่ในตัวเรา เคยมีไหมที่เวลากินอาหารเข้าไปอิ่ม ๆ แล้วลมตีกลับ ถ้าเรารับความเสียใจเข้าไปมาก ๆ ลมก็ตีกลับมาเป็นความโศกใช่หรือเปล่า ถ้าเรารับความสุขเข้าไปมาก ๆ ลมก็ตีกลับเป็นอะไร (ความเบิกบาน) จิตสงบถึงได้ความเบิกบาน ความสุขตีกลับมาเป็นอะไร (มีความคิดว่าสุขนี้จีรังแค่ไหน, เป็นความทุกข์, ความเสียใจ, ความโลภ) เวลามีความสุขแม้เรากินเข้าไปมาก ๆ เราก็จะรู้สึกว่า ความสุขนี้เราปล่อยวางไม่ลงใช่หรือไม่ เรามีความสุข ความสมหวังในด้านของครอบครัว ด้านของการงาน เหมือนกับเรากินความสุขเข้าไปแล้ว ความสุขนี้มากมายจนกระทั่ง ถ้าหากว่าเราเสียความสุขอันนี้ไปสักนิดหนึ่งก็จะรู้สึกว่าเราไม่อยากให้เสียไปเลย ลมที่ตีออกมาเป็นความโลภที่เรานั้นเสียสละความสุขนี้ไม่ได้เลยสักนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ เพราะเราโลภความรู้สึกนี้จึงไม่อยากจะให้ศิษย์เอาความสุขนี้ไปเลย นั่นเป็นการตีกลับมาจากความสุขใช่หรือไม่ แต่ความโลภเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) จิตใจอันนี้มีพิษอยู่สามอย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง สามอย่างนี้เป็นพิษที่อยู่ในใจของเรา ถ้าเราไม่รู้จักที่จะระงับ ควบคุมจิตใจอันนี้ จะถูกยาพิษอันนี้วางยาเราจนได้ ไม่ใช่การตายแบบทิ้งกายสังขารนี้ไป แต่เป็นการตายทั้งเป็น หากว่าเรามีความโลภมากเกินไป เราจะรู้สึกอย่างไร (มีทุกข์) ถ้ามีความโกรธมากเกินไปจะเป็นอย่างไร (มีความทุกข์ ไม่สบายใจ,ความเบื่อหน่าย) วัยรุ่นชอบเป็นโรคขี้เบื่อ เบื่อมากเข้าก็เบื่อตัวเอง ก็เพราะปล่อยจิตใจของเราให้เตลิดเปิดเปิง ไม่รู้จักควบคุมจิตใจของเราเอง (ถ้ามีความโกรธมากที่สุดจะทำให้เราไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราเองได้,ไม่มีความสุข,มีความกังวลใจ,ไม่สามารถควบคุมตนเองได้และอาจจะไปลงที่คนอื่นได้ทำให้เกิดมีความทุกข์,จิตใจไม่สงบ)
 “มุ่ง”  มุ่งไปทางไหนดี (มุ่งทางธรรม)  อาจารย์ให้ศิษย์นั้นมาบำเพ็ญธรรม ไม่ได้ให้ศิษย์นั้นละทิ้งทางโลก สิ่งใดที่เคยวาดหวังไว้ก็ไปทำให้ดี  เลือกทำในสิ่งที่ดี ส่วนใจนั้นต้องไม่ห่างธรรม สองอย่างให้เดินไปพร้อมๆ กันอย่ารอ บางคนบอกว่าแก่แล้วค่อยบำเพ็ญ  แก่แล้วบำเพ็ญไม่ทันแล้วรู้หรือเปล่า แม่เราแก่แล้วมีแรงหรือเปล่า จะบำเพ็ญมีแรงหรือเปล่า มีก็น้อยกว่าเรา ฉะนั้นอายุมากแล้วก็บำเพ็ญไม่ได้ดีเท่ากับตอนนี้เราเริ่ม  เราต้องอย่าทำให้แม่ผิดหวังดีหรือเปล่า
“อนุตตรธรรม”  อนุตตรธรรมแปลว่า ประเสริฐ สูง  จิตใจของเรานั้นต้องให้สูง ต้องทำให้สม่ำเสมอ จิตใจเมื่อสูงแล้วจึงจะสามารถนำคนอื่นได้  อาจารย์ไม่เคยบอกว่า ศิษย์ของอาจารย์นั้นอยู่ฐานะอะไร วรรณะอะไร  ไม่เคยบอกว่า เราต้องเป็นอย่างไรจึงจะบำเพ็ญธรรมได้  จึงจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ได้  เราก็สามารถนำคนอื่นได้เช่นกัน แต่ขอให้เรานั้นมีจิตใจที่สูงขึ้นมา ไม่ว่าจะโดนใครว่าอะไร บ่นอะไร ดูถูกอะไร ต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว เข้าใจหรือเปล่า
“ฟ้า” ฟ้าทั้งใสและสะอาด ทำจิตใจให้ใสเหมือนฟ้าได้หรือเปล่า หลังจากสามวันนี้ไป ขอให้เรานั้นมีใจกลับมาศึกษาให้เข้าใจ แล้วจะรู้ซึ้งถึงสิ่งที่อาจารย์พูดไป ว่าอาจารย์นั้นต้องการให้ศิษย์ทำอะไร 
“ดิน”  ดินเป็นอย่างไร  (อุดมสมบูรณ์)  เราต้องมีใจเช่นนี้  ดินไม่ใช่มีแค่นี้ ดินยังต้องหนักแน่น ไม่ว่าคนจะถ่มน้ำลายลงดิน ดินโกรธหรือไม่ (ไม่โกรธ)  เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่า ชีวิตนี้คือการอดทน  เราต้องเป็นคนที่หนักแน่นเหมือนดิน ไม่ว่าสิ่งใดจะมาก็ตาม เราอย่าได้ท้อแท้ รู้หรือเปล่า 
“บูชา”  บูชาตัวเองหรือเปล่า (บูชาพระ)  ปกติเราไหว้พระข้างนอก ทีนี้เรากลับมาไหว้พระในตัวเองดีหรือเปล่า  เพราะเรานั้นเป็นพุทธะ เราต้องทำอย่างไรถึงจะเหมือนพุทธะ ทำอย่างไรถึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  คือเราต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ในที่สุดสักวันหนึ่ง เราก็กลายเป็นพุทธะ คนอื่นก็บูชาเราดีหรือเปล่า  กว่าจะถึงวันนั้นไม่ง่ายต้องอาศัยเวลานะ  
“สัตย์”  สัตย์ตัวนี้แปลว่า ความสัตย์  ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง  ต้องทำตนเป็นคนดี ให้คนอื่นเคารพเราได้อย่างสนิทใจ
 “หน้าที่”  เรามีหน้าที่ไหม หน้าที่ทางโลกก็ส่วนหนึ่ง หน้าที่ทางธรรมก็ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าเราเคยมีปณิธานอะไร มีความตั้งใจอะไรในการที่เราเกิดมาเป็นคน ไม่ใช่ลืมสิ่งที่เคยมีมา
“เที่ยง”  ต้องทำจิตใจให้เที่ยงๆ หลังจากนี้ไปแล้วใครจะว่าอะไร ใครจะพูดอะไร ขอให้คิดให้เที่ยงๆ
“เชิดชู”  หลังจากวันนี้เชิดหน้าเชิดตาออกมาบำเพ็ญดีไหม ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับบ้านเหมือนเดิม รู้ไหม
“วัฒนธรรม”  เวลาที่เราอยู่กับใครก็ตาม ต้องอยู่อย่างพร้อมเพรียง คนอื่นคิดอะไรถึงแม้จะไม่ถูกใจเรา เราก็ยอมที่จะพร้อมเพรียงกับเขา มาสถานธรรมไม่ใช่ว่าจะเจอเรื่องถูกใจทั้งหมด แต่เราก็ต้องบำเพ็ญร่วมกับคนอื่นอย่างพร้อมเพรียงกัน ดีไหม
“เคารพ”  เราต้องทำตัวให้เป็นคนดีให้น่าเคารพ เราต้องเคารพตัวเองได้ก่อน จึงจะให้คนอื่นเคารพเราได้ หลังจากวันนี้ขยันๆ บำเพ็ญดีไหม วันข้างหน้าอย่าทิ้งอาจารย์นะ รู้ไหม
“ถือ”  ถืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า หลังจากวันนี้ไปขอให้ถือธรรมะเป็นที่ตั้ง ทำอะไรก็ตามขอให้สอดคล้องกับคนทั่วไปนะ
“สัตย์”  สัตย์ตัวนี้หมายความว่าอะไร (ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น) พยายามหน่อยนะ เราต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรม ต้องรู้จักที่จะสร้างกุศลไปเผื่อแผ่ผู้มีพระคุณต่อเราดีหรือไม่ อย่าลืมเขานะ
“ต่อ”  นั่งฟังสามวันเบื่อไหม (เฉยๆ)  กลับไปแล้วจะเฉยๆ หรือเปล่า (ไม่รู้)  ต้องรู้นะ การบำเพ็ญธรรมอาจารย์ไม่เรียกร้องให้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ว่าสิ่งที่เป็นอคติแต่ก่อนมาต้องลบให้หมด เราต้องฟังพิจารณาดู พ่อมุ่งหวังอะไรเราต้องทำให้ได้เพราะเราเป็นลูก “ต่อ” แปลว่าอะไร เวลาเขาให้เราไปฟังธรรมก็ฟังต่อไป เบื่อๆ ก็ฟังต่อไปไม่เป็นไร ดีไหม แล้วหัดที่จะยิ้มมากๆ คนเขาจะได้รักเราเพิ่มขึ้นดีไหม ชอบให้คนรักหรือคนเกลียด เราต้องรักคนอื่นนะ
“อัธยาศัย” มีอัธยาศัยไหม (มี)  ได้ผลไม้สักลูกหรือยัง (ยัง)  แสดงว่าอัธยาศัยต่ออาจารย์ยังไม่ดี เอาไปให้ได้สักลูกหนึ่งนะ
“ต่อ”  ต่อเหมือนคนเมื่อสักครู่เลย ฟังหรือเปล่า อาจารย์บอกว่าหลังจากประชุมธรรมแล้วมีคนเรียกเรามาฟังธรรมะก็ให้มาฟังต่อดีไหม ไม่ว่าจะเบื่อหน่ายหรือขี้เกียจ เราก็ต้องมา ทำได้ไหม เรามาสถานธรรมก็มีสิ่งที่ไม่ถูกใจเราบ้าง เมื่อไม่ถูกใจเราก็อย่าเพิ่งหันหลังกลับไปทันที
“เพื่อน”  เป็นเพื่อนกับทุกคนดีไหม มาที่นี่ทุกคนเป็นพี่น้องเป็นเพื่อนกับเรานะ
“บาป”  ทุกคนมีบาปมีกรรมติดตัวมา จำเป็นต้องชำระให้หมด เราเองก็มีมา เราต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรมตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว ชีวิตนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง มองอะไรขอให้มองให้กว้างๆ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์รีบเชื่อสิ่งใดโดยไม่พิจารณาให้ดี ธรรมะนี้บำเพ็ญได้ในชีวิตประจำวันของเรา แม้ว่าเราจะทำสิ่งใดที่วุ่นวายๆ อยู่
 “ใน” ถ้าจะให้อาจารย์ขยายความ ก็อยากจะสอนศิษย์ว่าธรรมะแท้อยู่ภายในตัวของเรา ภายนอกที่ศิษย์เห็นทั้งหมดนี้ไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง การบำเพ็ญปฏิบัติก็คือปฏิบัติใจ ขัดเกลาใจของเราให้สะอาด นี่คือคำว่า “ใน” อย่างแท้จริง 
ทุกๆ คนในที่นี้ ในอดีตชาติเคยทำบุญทำกรรมไว้ สิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตก็จะส่งผลในปัจจุบัน ไม่มีผิดพลาดสักอย่างเดียว แต่อนาคตเกิดหรือยัง (ยัง)  อนาคตเราเปลี่ยนได้ไหม (ได้) ยอมแพ้สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือยัง (ยัง) อย่าไปยอมแพ้ เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าคนคิดบำเพ็ญนั้นก้าวเหนือชะตา ต้องก้าวเหนือชะตาที่ยังไม่เกิดขึ้น หากว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วก็อย่าไปกลุ้มใจ อย่าร้อนใจ เกิดขึ้นแล้วแก้ไม่ได้ แต่วันข้างหน้านั้นยังแก้ได้ อย่ายอมแพ้กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อย่าคาดหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราจะล้มเหลวอย่างไร เราจะได้ชัยชนะอย่างไร แต่จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“ฝึกใจฟ้าอย่าเรรวนเฝ้าเปลี่ยนใจ” คนที่จะบำเพ็ญธรรม อยากที่จะฝึกจิตใจของตนเองนั้น อย่าได้เรรวน อย่าได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลับเข้ากลับออก วันนี้เปลี่ยนใจ พรุ่งนี้มีใจอีกแล้ว หรือในขณะเดียวกัน ในหนึ่งชั่วโมง ในสามวันที่มาที่นี่ เปลี่ยนใจไปมาตั้งหลายครั้ง หนึ่งนาทีมีหกสิบวินาที ก็คิดแทบจะได้หกสิบครั้งอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้น อย่าได้เปลี่ยนใจเข้าเปลี่ยนใจออกบ่อยๆ 
นักเรียนวงหมดหรือยัง เอาอย่างไรดี (อีกรอบหนึ่ง) แน่ใจหรือเปล่าว่าจะมีโอกาสให้เราเป็นครั้งที่สอง อย่าแน่ใจว่าจะมีโอกาสครั้งที่สองให้เราบ่อยๆ วันนี้เรามีโอกาสถ้าหากว่าเราไม่รักษาโอกาสของเราให้ดี วันหน้าอาจจะไม่มีโอกาสอย่างนี้อีกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นมีโอกาสรักษาน้ำใจใครจงรักษาไว้  มีโอกาสที่จะช่วยใครจงช่วยไว้  มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองจงเปลี่ยนแปลงไวๆ 
คนที่เป็นผู้ร่วมฟัง หมายความว่าเราอยากจะศึกษาเพิ่มเติม ครั้งที่แล้วฟังยังไม่รู้เรื่องดี ถ้าหากว่าเราถูกจัดเข้ามาอยู่ในผู้ร่วมฟังนั้น ต้องรู้จักพิจารณาย้อนกลับ แต่ไม่ใช่ย้อนกลับไปโกรธคนที่เขาจัดให้เราอย่างนั้น ให้เรารู้ว่าเราควรที่จะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น เข้าใจไหม (เข้าใจ) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงธรรม ทำนองเพลง : หนี้รัก)
“ศิษย์ย้อนมองอย่างนิโรชหลงใหล” คำว่า “นิโรช” แปลว่าอะไร (ไม่มีรส ไม่อร่อยหรือจืด)  อาจารย์บอกว่าให้ย้อนมองอย่างนิโรชหลงใหล หมายความว่า ให้ย้อนมองอย่างไม่มีรสชาติใดๆ ในจิตนี้ไม่มีความเอนเอียงทางซ้าย ทางขวา ไม่มีอคติ ไม่มีความหลงใหลอยู่ในใจ เพราะว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว ทุกๆ คนนั้นย้อนมองเป็น แต่ย้อนมองอย่างเข้าข้างตนเอง ย้อนมองตามจิตใจของตนเองที่ขึ้นหรือลง ขึ้นหน่อยก็ย้อนมองเห็นอะไรก็ดีไปหมด พอไม่ดีหน่อยก็ย้อนมองอย่างเหงาๆ เศร้าๆ ไม่เบิกบาน การย้อนมองอย่างนี้ไม่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่) จงทำจิตใจนี้ให้เที่ยงๆ ตั้งอยู่ในความยุติธรรม ยิ่งเรานั้นมีหน้าที่ยิ่งสูงส่งเท่าไร ยิ่งต้องเที่ยงมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่เที่ยงแล้ว ข้างหน้าเบี้ยวๆ ข้างหลังก็บูดๆ 
ก่อนที่โอวาทซ้อนจะออกมา คนเก่าๆ ลองบอกสิว่าที่อาจารย์ให้ไปคืออะไร (จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรม) รู้จักกันทุกคนหรือเปล่า (รู้) ศิษย์นั้นต้องรู้และต้องเข้าใจในจุดมุ่งหมาย เพราะถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว จะบำเพ็ญไปทางไหนล่ะ 
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “จุดประสงค์แห่ง อนุตตรธรรม”)
เมื่อดูคำในการครอบ อาจารย์ใช้คำว่า “จุดมุ่งหมาย” ทำไมรู้ไหม มนุษย์ทั่วไปย่อมมีการยึดติด อาจารย์ก็เขียนให้เหมือนกับที่ศิษย์เคยแปลไว้ แต่จริงๆ แล้วการแปลก็คือการแปล แปลให้ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะพอใจแล้ว ศิษย์ว่าอย่างไรอาจารย์ก็ว่าตามนั้น ว่าไปตามกัน ถามว่าถ้าหากว่าคนหนึ่งทำผิด ทำผิดไปเหมือนกัน ผิดทั้งหมด คนข้างในนี้รู้ไหมว่าเป็นความผิด (ไม่รู้) ก็เข้าใจว่าผิดเป็นถูกใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่ามกลางความผิดนี้กลับรักษาความสามัคคีไว้ได้ แต่ในวันหนึ่ง มีคนในนี้รู้ว่าสิ่งนี้ผิด คนนี้พยายามจะแก้ให้ถูกต้อง แต่ในที่สุดแล้วคนๆ นี้เป็นคนกลับหมากในกระดานเพียงคนเดียว คนอื่นคว่ำหมดเราอยากหงาย แล้วเที่ยวไปชี้ให้คนอื่นรู้ว่ามันผิด ถามว่าใครกันแน่ที่โดนรุม (คนที่ชี้) คนที่พยายามจะกลับสิ่งนี้ก็เป็นคนที่ผิดแทนใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นมองเข้ามาอาจจะเป็นความผิด แต่ท่ามกลางความผิดนี้ทุกคนคิดว่าผิดคือถูก แท้จริงแล้วในโลกมนุษย์นี้อะไรคือผิดอะไรคือถูก มนุษย์บอกว่า มนุษย์เตี้ย ภูเขาสูง เวลามนุษย์ไปยืนบนภูเขาแล้วใครเตี้ย (ภูเขาเตี้ยกว่า) ภูเขาอยู่ใต้เท้าเรา ภูเขาเตี้ย มนุษย์สูง จริงๆ แล้วมนุษย์สูงหรือภูเขาสูง ไม่ใช่สูงแล้วก็จะสูงเสมอไป แม้ว่าทำผิดเหมือนกัน ผลสุดท้ายคนที่ทำความผิดก็ได้รับผลผิด แต่ถามว่าทุกคนเข้าใจว่าผิดเหมือนกัน ในความผิดในวงนี้ ความผิดที่ทำอยู่คือความถูก ในขณะเดียวกันเมื่อมีคนๆ หนึ่งรู้ว่าผิดแล้ว พยายามที่จะกลับ คนนี้กลับโดนว่า เพราะว่าเขานั้นเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถามว่าถูกต้องสำหรับใครล่ะ (สำหรับตัวเอง)  เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่ศิษย์จะเปลี่ยนนิสัยของตนเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้ดูเหตุปัจจัยของตนเอง ดูความเหมาะสมของตนเอง ดูสภาพจิตใจของตนเอง ดูบ้านของตนเอง ดูให้ครบถ้วนทุกอย่างแล้วค่อยเริ่มที่จะเคลื่อนไหวในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง ถ้าสิ่งที่ศิษย์บอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สักวันหนึ่งทุกคนก็จะเห็นดีตามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้องรู้ว่าย้อนมองอย่างไม่นิโรช ย้อนมองอย่างไม่เอนเอียงเข้าหาตนเอง
อันว่า “จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรม” นี้ต้องจำใส่ใจ ต้องใฝ่ปฏิบัติเสมอๆ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าบำเพ็ญธรรมไปทำไม ไม่รู้
……………





พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท    จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรม
จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรม
เคารพฟ้าดิน
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
เชิดชูวัฒนธรรม
กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
เคารพเทิดทูนอาจารย์
ถือความสัตย์ต่อเพื่อน
มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน
ละบาปบำเพ็ญบุญ
รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม
ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมสูงส่งในกายตน
ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น
ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข

แปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงามเพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า



































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































จุดประสงค์คืออะไร แล้วจะบำเพ็ญดีได้อย่างไร ในเพลงนี้อาจารย์มีความหมายเดียว คืออยากจะบอกศิษย์ว่าการจะศึกษาธรรมะนั้น ไม่ใช่ศึกษาเพียงสามวันนี้จะรู้แจ้งตลอดได้ อาจารย์บอกว่า “กว่าจะรู้แท้ แพ้ใจเลิกเพียรเสียก่อน” กว่าจะรู้อะไรแท้ๆ จริงๆ ศิษย์ก็เลิกเพียรไปก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นจงเพียรให้นาน จงรู้ให้นาน ศึกษาให้นาน อย่าใช้เวลาเพียงสามวันแล้วจะให้ต้นไม้ต้นนั้นผลิดอกออกผล ก่อนอาจารย์กลับขอให้ดอกไม้ทุกดอกเป็นดอกไม้ที่สดชื่น

ในเพลงนี้อาจารย์ได้บอกไว้ครบถ้วนแล้ว “อย่าดีใจเมื่อสมหวังดังปองทุกอย่าง”  ศิษย์ของอาจารย์นั้นมักดีใจจนเกินไป เวลาเสียใจก็เสียใจหนักมาก กลับมาบำเพ็ญให้ดีๆ นะ
“อย่าโศกใจเมื่อถูกชังหมองหม่น” คนนั้นถูกเกลียดชังได้ทุกคน คนเข้าใจผิดเราได้ทุกคน คนว่าเราได้ทุกคน แต่ใจเราหมองไหม้ ทำไมเราต้องหมองด้วยล่ะ เราบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ ขอให้เรานั้นบริสุทธิ์ด้วยความจริงใจ อย่าไปหมองใจเมื่อคนอื่นนั้นเข้าใจเราผิด ไม่มีประโยชน์ที่เราจะนั่งหมองใจหมดแรงต่อสู้ แล้วใครช่วยเราได้ล่ะ ถ้าตัวเรายังเอาตัวเราไม่อยู่ ใจเรายังไม่รู้จะทำอย่างไรเลย แล้วใครจะช่วยเราได้ อาจารย์ถึงบอกว่าไม่ว่าใครจะเข้าใจผิด จะถูกชังเท่าไรอย่าหมองใจ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ 
เขาคัดเลือกเราเป็นหัวหน้าชั้นนั้นถือว่าไม่ธรรมดา ขอให้นำพาพวกเขาด้วยดีไหม บำเพ็ญให้ดีๆ ตามๆ กันไป
อายุมากแล้วต้องหัดบำเพ็ญธรรมให้จริงๆ จังๆ นะ หวังว่าวันหน้าคงได้เจอกันอีก เราเป็นผู้ชายต้องมีความกล้าหาญ อย่าได้เบื่อง่ายหน่ายง่าย เข้าใจไหม
ธรรมะไม่มีสีสันอะไร ไม่มีความแปลกใหม่อะไร เรียบๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงไม่เบื่อ วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะยังไม่กระจ่างแจ้งเต็มที่ แต่ให้เวลาศึกษาหน่อยได้ไหม ทำตัวให้ดีๆ นะ รู้ไหม อย่าเสียโอกาสนี้ไป คนเราเกิดมาชาตินี้เรามีกายมนุษย์ ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งเดียวที่เรามีโอกาสที่ดีมากใช่ไหม
“อย่าท้อแท้หากเมื่อใดเกิดทุกข์เกินทน”  มีความทุกข์เกินทนไหม จะท้อแท้ได้ไหม
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงส่งพระอาจารย์)
อาจารย์เห็นศิษย์มากมายขนาดนี้ ทำให้คิดไปถึงศิษย์บางคนที่มีความเข้าใจในธรรมะอย่างดีในเวลาสามวัน แต่หลังจากสามวันไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยหรือกรรมใดๆ ที่ดึงศิษย์ออกไป ทำให้ศิษย์นั้นเสียมรรคผลที่จะบรรลุถึงนิพพาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเพราะว่ามารทั้งหลายรู้ทันศิษย์เท่านั้น ขอให้ศิษย์ที่อยู่ในชั้นนี้เฝ้ารักษาตัวเองให้ดี ระมัดระวังอย่าให้มารตัวไหนหรือกิเลสชนิดใดรู้ทันเราแล้วดึงเราออกไป ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญต่อไปด้วยความระมัดระวัง ดูแลกันให้ดี เข้าใจกันให้มาก สมานกลมเกลียวกัน ให้พาตนกลับไปถึงบ้านเดิมนะ อย่าลืมอาจารย์ วันหน้าอาจารย์มาแล้วยังหวังจะได้เจอศิษย์ทุกคนอีก ไม่ว่าศิษย์นั้นจะไม่ดีอย่างไร ไม่ต้องหลบหน้าอาจารย์ อาจารย์ไม่เคยเกลียดใคร ลาก่อนนะ


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท    “จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรม”

จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรม
เคารพฟ้าดิน
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
เชิดชูวัฒนธรรม
กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
เคารพเทิดทูนอาจารย์
ถือความสัตย์ต่อเพื่อน
มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน
ละบาปบำเพ็ญบุญ
รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม
ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมสูงส่งในกายตน
ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น
ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข
แปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงามเพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

2542-05-22 พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

วันเสาร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๒ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงพาหลงจม สัมผัสอารมณ์พาจิตใจเตลิดฟุ้ง
อายตนะพาจิตใจให้แต่งปรุง จิตใจคลุ้งโลกีย์ร้ายเร่งทุเลา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ    เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง    ฮวา  ฮวา

ในชาตินี้โชคดีเกิดเป็นคน รู้อดทนสัมมาสติจิตใจนิ่ง
ให้แยกแยะด้วยปัญญาว่าเท็จจริง อย่าละทิ้งโอกาสนี้บำเพ็ญธรรม
ฟ้ายุคสามส่งสายทองช่วยชาวโลก อย่ามัวโศกเรื่องเล็กน้อยในโลกกว้าง
บัดนี้เร่งเดินไปให้ถูกทาง เดินสายกลางฝ่ามรสุมที่โรมรัน
ด้วยเวลาไม่คอยคนให้คิดได้ ขอรู้ใช้ทุกนาทีด้วยขยัน
อุปสรรคเข้ามาขวางให้ฝ่าฟัน อย่าทรมานเกิดและตายอีกต่อไป
บำเพ็ญธรรมหลุดพ้นจากวัฏสงสาร กลับคืนบ้านฟื้นญาณเดิมสุกไสว
ย้อนมองตนอย่าว่ายวนขาดเข้าใจ เดินต่อไปต้องสำรวมทั้งใจกาย
 บำเพ็ญธรรมฝึกฝนจิตให้กล้าแกร่ง ทั้งลงแรงให้ทั่วถึงสม่ำเสมอ
อย่าได้เป็นคนเก่าที่ช่างเผลอ เมื่อยามเจอสิ่งดีดีเฝ้าแบ่งปัน
ในสองวันขอตั้งใจเร่งศึกษา อันธรรมาล้ำค่าที่คนปฏิบัติ
ในยามนี้เปรียบดั่งคนเดินทางลัด เวลาจัดแบ่งสรรให้ดีดี
จงศึกษาอย่างตั้งใจให้รู้แท้ คนรู้แน่ธรรมปฏิบัติยากยิ่งพลาด
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันอย่าประมาท อย่าเป็นทาสเหล่ากิเลสอันมากมาย
ในครานี้โอกาสดีน้องคนบุญ ขอยืดหยุ่นพลิกแพลงไม่แข่งขัน
ขจัดเหล่าความคิดกังขานั่น คนคงมั่นจึงบำเพ็ญได้สุดทาง
สองวันนี้ดั่งการเริ่มฤกษ์อันดี ขอจงมีความตั้งใจไม่ท้อแท้
จิตใจตนขุ่นหรือใสเฝ้าดูแล นอกหมั่นแก้ในจึงคืนสว่างเดิม
ขอชาตินี้บำเพ็ญจริงไม่งมงาย ชราวัยไม้ใกล้ฝั่งต้องรีบเร่ง
อันอ่อนเยาว์ก็อย่าได้ใจนักเลง รู้จักเกรงใจซึ่งกันสามัคคี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอจงได้รักษาพุทธระเบียบ
อยู่ร่วมกันสมัครสมานให้พร้อมเพียบ เดินทางเรียบหรือขรุขระล้วนตั้งใจ
ศิษย์พี่นั้นยืนคุมชั้นบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่  ๒๒  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๒ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

หัดอ่อนน้อมยอมลำบากจะได้ตื่น หัดรักคนผู้อื่นแทนใช้ไม้
หัดลดละกิเลสอย่างมีจุดหมาย หัดตนเป็นพุทธะได้น่ายินดี
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านง่วงนอนหรือเปล่า

การฝึกหัดบำเพ็ญค่อยเป็นไป เข็ดและท้ออย่างไรไม่หน่ายหนี
ขยันล้างมุทินใจด้วยความดี ในนาทีไม่ยอมพ่ายประกายชัย
ทัพออกพ่ายพาฝ่าด้วยสามัคคี เมื่อแรงมีไม่ไปลงไฉน
เหมือนตะวันที่อับแสงเรืองอำไพ อันตรายบนทางหนามจวนได้ยล
บางอุปสรรคอันขัดขวางสอบตั้งใจ อยู่ขั้นใดอาจใช้กำหนดผล
ยิ่งคนไหนมากความทุกข์กังวล จงอดทนสู้ด้วยดีไม่จาบัลย์
จิตนรา คราทุกข์ไปยึดติด ดวงจิตคือพุทธะศักดิ์สิทธิ์แห่งสังขาร
ผู้แจ้งจิตยิ่งใหญ่ความห้าวหาญ ใช่บันดาลสำเร็จทุกสิ่งในมือ

ใช้ความกล้าปัญญาล้างโลภรัก คนแน่นหนักยังเที่ยวลังเลหรือ
เกิดปัญญาเพราะใจได้ฝึกปรือ เท็จเคลื่อนคล้อยฤๅจริงเผยพิจารณา
คนบำเพ็ญใช่แค่คนรักสนุก ปลดความทุกข์ความตามติดปรารถนา
การย่างใกล้ก้าวสำคัญสู่พุทธา ต้องรักษาคุณธรรมเคียงลัดเป้าหมาย
เมื่ออยากถึงจุดหมายแห่งชีวิต ต้องอุทิศอยู่เฉยมิอาจได้
เวลาเปลี่ยนใจไม่เปลี่ยนคงตั้งใจ ชีพสลายความสำเร็จมอบมวลชน
ฮิ  ฮิ  หยุด

[1] นรา                      หมายถึง                 คน

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  นั่งฟังแบบนี้ก็เมื่อยได้ เบื่อได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายๆ  ล้วนต้องหัด ล้วนต้องฝึกด้วยกันทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อยากเป็นพุทธะหรือไม่ อยากเป็นผู้บำเพ็ญไหม (อยาก)  อยากเป็นพุทธะ อยากเป็นผู้บำเพ็ญก็ต้องหัดเป็นพุทธะ หัดเป็นผู้บำเพ็ญ  พุทธะต้องเป็นคนที่อดทนได้ ไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวความเหนื่อย ไม่กลัวความง่วง หมายความว่าไม่ว่าเราจะอยากได้อะไรมาเป็นของเรา มาอยู่กับเรา เราก็ต้องหัดและต้องฝึกฝนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอะไรที่เราอยากได้แล้วก็หล่นลงมาให้เราเลย โดยที่ไม่ต้องหัดและไม่ต้องฝึกฝน (ไม่มี)  เหมือนร่างกายที่ท่านได้มา ล้วนต้องมีที่มาใช่ไหม (ใช่)  แต่พอท่านมีกายแล้วท่านก็ต้องหัดมีกายให้เป็น การมีกายให้เป็นต้องพูดเป็น ต้องเขียนเป็น ต้องเดินเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  การพูดเป็น เขียนเป็น เดินเป็นก็ยังเรียกว่าเป็นคนธรรมดาอยู่ เมื่อพูดเป็น เขียนเป็นแล้วต้องควบคุมตนเองให้เป็นให้ถูกด้วยถึงจะเรียกว่าพุทธะหรือเรียกว่าผู้บำเพ็ญที่ดีได้
ตั้งแต่ท่านมีชีวิตมาท่านเคยหัดเป็นอะไรบ้าง มีใครเคยหัดเป็นพุทธะไหม มาถึงที่นี่ถึงจะมาหัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาหัดบำเพ็ญตน มาหัดเป็นพุทธะ แล้วแต่ก่อนท่านหัดเป็นอะไรกันบ้าง เป็นคน เป็นนักเรียน เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ หัดเป็นแต่อย่างนี้หรือ  เมื่อเขาบอกให้หัดเดินแบบเป็ดท่านก็หัด แล้วหัดเป็นไหม ต้องดูด้วยว่าเป็ดต้องทำอย่างไร มีขาอย่างไร มีก้นอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้ท่านมาหัดเป็นพุทธะไม่ใช่หัดแต่เพียงภายนอก ไม่ใช่หัดแต่เพียงท่าทาง ยังต้องหัดทั้งการแสดงออก แต่การแสดงออกนั้นต้องเกิดจากจิตใจภายในอยากเป็นสิ่งนั้นด้วย ถ้าจิตใจท่านไม่อยากเป็นเรียนไปท่านก็ไม่เอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้ววันนี้ท่านอยากเป็นพุทธะกันไหม (อยาก)  แล้วถ้าอยากมากๆ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  แล้วถ้าอยากแต่สิ่งดีๆ จะดีไหม (ดี)  ก็ควรจะรักษาไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
นอกจากหัดเป็นคนที่มีหน้าที่มีภาระที่ควรเป็นแล้ว เรายังหัดอะไรกันอีก หัดรัก หัดเกลียด หัดชอบ หัดโมโหใช่หรือเปล่า (ใช่)  (หัดโลภ)  ทำไมต้องไปหัดด้วย ฟังดูไม่น่าหัดเลยแต่ทุกคนก็หัด เมื่อหัดเป็นแล้วก็ไม่ยอมเลิกด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  รักเขาแล้วบางทียังถือไม้ รักมากดื้อนักก็ตีเลย อย่างนี้เขาเรียกว่ารักมากแล้วพ่วงอย่างอื่นมาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีรักเขามากแล้วยังเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่ารักไหม ก็รัก แต่ทำไมยังเถียงเขาล่ะ ทำไมยังโกรธเขาล่ะ ทำไมยังเกลียดเขาล่ะ แปลว่าเรารักเป็นหรือเปล่าอย่างนี้ รักแล้วยังมีความเกลียด รักแล้วยังมีความโมโหเข้ามาด้วย รักเป็นไหม (ไม่เป็น)  ความรักอย่ารักเป็นสะพานนำข้ามไปสู่ทุกข์แล้วข้ามกลับมาสู่สุข อย่างนั้นไม่ใช่ความรักที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นความรักที่ยินดีจะมอบแต่สิ่งที่ดีๆ ให้แก่กัน  ไม่ใช่เป็นสะพานวันนี้มีความสุข แล้วพอวันหนึ่งก็ทุกข์ แล้วก็กลับข้ามไปสุขอีก เป็นรักที่ไม่แน่นอนเหมือนโลภ ดีใจที่ได้เงิน เสียใจที่เงินหาย ดีใจที่มีเงินไปซื้อทองน่าจะมีเพิ่มอีกนิดหนึ่งได้ทองตั้งสองบาท ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้แปลว่าเป็นคนหลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยอมรับหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนหลง (ยอมรับ)  หลงในสิ่งที่ตัวเองหัด หลงในสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ไม่ได้แปลว่าเราเรียนแล้วเรียนผิด หรือความรู้นั้นไม่ดี แต่เป็นเพราะว่าคนปฏิบัติไม่เป็นไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคุณธรรมหากเรารู้จักนำไปใช้ย่อมนำพาให้เราพบแต่สิ่งที่ดี แต่ทำไมเรานำคุณธรรมไปใช้กลับโดนเขาชี้หน้าว่าคนนี้น่ะหรือคนดี อย่างนี้ก็ต้องถามตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงท่าของลิง เป็ด แมงมุมและม้า)
เรามักจะหัดเลียนแบบท่าอะไรก็ได้ที่เราเห็น ที่เราชอบ แต่น้อยคนนักที่จะหัดเป็นพุทธะ ฝึกฝนตนเองเป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วการทำท่าพุทธะหรือการเลียนแบบท่าพุทธะทำยากไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงท่าพุทธะทั้งหลาย มีพระศรีอาริย์, พระอาจารย์จี้กง, พระพุทธเจ้า, พระโพธิสัตว์กวนอิน, และท่าเซียนเด็ก)
ฝึกพุทธะยากไหม (ไม่ยาก)  อยู่ที่ว่าเรามีความนิ่งอยู่ในตัวเราหรือเปล่า ถ้าเขาหัวเราะท่านก็หัวเราะท่านจะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวท่านหรือรูปแบบท่านก็จะหลุดออกไปตามเขาใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นการฝึกเป็นพุทธะ เขาหัวเราะ เขายิ้มอย่างไร ท่านต้องนิ่งให้ได้ ท่านต้องสงบให้ได้ การฝึกฝนบำเพ็ญตนก็เฉกเช่นเดียวกัน เราอยากเป็นพุทธะที่สำคัญต้องมีฐานแห่งความนิ่งและก็สงบ ใช่หรือไม่
การฝึกฝนบำเพ็ญตนกับการเป็นคนดีใกล้เคียงกันไหม (ใกล้เคียง)   การฝึกฝนก็คือการรู้จักควบคุมตนให้เป็นคนที่ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกทาง แต่เวลาเราดำเนินชีวิตเราต้องรู้ว่าสิ่งไหนควรหนัก สิ่งไหนควรเบา  สิ่งไหนควรก่อนและสิ่งไหนควรหลัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การที่เรามัวแต่ส่งเสริมพัฒนาร่างกายของเราให้มีรูปแบบสมบูรณ์ที่เรียกว่าหล่อที่สุดกับการที่เราพัฒนาร่างกายของเราให้มีรูปแบบที่สวยที่สุดอย่างนี้เรียกว่าการเข้าใกล้การเป็นคนดีไหม (ไม่)  คนหล่อกับคนสวยเรียกได้ว่าเป็นคนดีไหม (ไม่ใช่)  ท่านรักการเป็นคนดีไหม (รัก)  แล้วรักคนดีไหม (รัก)  แต่ทำไมสิ่งที่ท่านทำ ท่านกลับรักรูป พัฒนากายมากกว่าพัฒนาซึ่งคุณธรรมความดีกันล่ะ เรารักดีแต่ไม่หามดี แปลว่าการชอบในจิตใจกับการปฏิบัติขัดแย้งกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไร ให้สิ่งที่เราชอบกับการปฏิบัติไปในทางเดียวกันได้ (มาฝึกความเป็นพุทธะ)  เราต้องทำให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพูดกับปฏิบัติไปในทางเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเราจะมาฝึกกันก่อนไหมแล้วค่อยพูดว่าทำอย่างไร มาฝึกรู้จักหนัก เบา ต้น ปลาย ก่อนดีไหม (ดี)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นฝึกด้วยการปรบมือหนัก เบา สูง ต่ำ ตามจังหวะปรบมือที่ท่านทำ และฝึกร้องเพลงเสียงเบา เสียงดัง ตามจังหวะมือ)   ชีวิตของเราไม่ใช่จะเบา ดัง หยุด ค่อย สูง ต่ำ ง่ายๆ  ยังมีความยากที่มากขึ้นไปอีก  ในบางเรื่องราว ให้รู้จักรักน้อยๆ แต่บางทีเราก็รักน้อยๆ ไม่เป็น ให้รู้จักโกรธเบาๆ อย่าโมโหรุนแรงให้ข้างบ้านเขาได้ยิน ให้อย่าเป็นคนหาเรื่องเยอะ ให้เป็นคนหาเรื่องน้อยที่สุดแทบจะไม่มีก็ทำไม่ได้ โมโหทีไรก็มีเรื่องทุกที แล้วมีเรื่องดีไหม (ไม่ดี)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง "ฉันอยู่ที่นี่มีความสุข")
แล้วเราจะทำอย่างไรให้การทำดีกับสิ่งที่เราชอบสอดคล้องและไปในทางเดียวกัน  เราต้องมาดูก่อนว่าการทำดีทำอย่างไร  ทุกคนทำดีเป็นไหม (เป็น)  แต่ยากอยู่อย่างหนึ่งคือเราจะทำอย่างไรให้ลบร้ายแล้วเหลือดี ขจัดร้ายให้เหลือแต่การสร้างความดีในตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ่อยครั้งที่เวลาเราจะทำดี แล้วใจเราเกิดการต่อสู้กันระหว่างร้ายและดี ดีและชั่ว ถ้าชั่วชนะก็กลายเป็นทำไม่ดี ถ้าดีชนะก็กลายเป็นทำดี  แล้วความชั่วในตัวเรากับความดีในตัวเรามีเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน)  จริงๆ แล้วเท่ากัน แต่การใช้ของเราทำให้สองฝั่งนั้นหนักไม่เท่ากัน  พอเราใช้ดีบ่อย เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนที่ดีมาก แต่ถ้าเราใช้ชั่วบ่อย เราก็กลายเป็นคนที่ชั่วใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าในตัวเรามีทั้งดีและชั่ว สิ่งไหนบ้างล่ะที่อยู่ในใจเราแล้วทำให้เราเป็นคนดี อันนี้เราต้องรู้ให้ได้ก่อน หรือพูดง่ายๆ ก็คืออะไรบ้างที่เราทำแล้วเราจะเรียกว่าคนดีได้ มีอะไรบ้าง (ช่วยเหลือผู้อื่น, ทำบุญ, ให้ทาน,  กตัญญู,  พูดดีคิดดี, ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก)  เราจะบอกว่าเราไม่มีดีได้ไหม จริงๆ แล้วทุกคนมีความดีอยู่ในตัว  ความดีที่เราเรียกว่าความดีนั่นก็คือความบริสุทธิ์ จริงใจ  ความอ่อนน้อม รู้จักเคารพผู้อื่น การเอาใจใส่คนอื่น ไม่ทอดทิ้งเขา ความเป็นมิตรกัน ความเที่ยงธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเที่ยงธรรม ไม่เอารักเอาเกลียดมาตัดสิน อย่างนี้เรียกว่าดีมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนอีกด้านหนึ่งที่เรียกว่าไม่ดีมีอะไรบ้าง  (เบียดเบียนผู้อื่น, ฆ่าคน, ความโกรธ)  ความโกรธก็เป็นความชั่วร้ายได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฆ่าคนนี้ต้องเรียกว่าอะไร ชั่วร้ายยิ่งกว่า  ฆ่าสัตว์ตัวหนึ่งก็บาปแล้ว นี่ฆ่าคนได้ลงคอยิ่งบาปใหญ่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  การฆ่าคนทั้งเป็นก็เป็นบาปเหมือนกัน  พูดให้ตายไปเลยอย่างนี้ก็บาปเหมือนกัน เป็นการฆ่าเขาเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านเคยพูดกับต้นไม้ไหม ว่าต้นไม้ทุกๆ วันต้นไม้เฉาตายไหม  ฉะนั้นท่านไม่อยากฆ่าใคร ท่านก็ต้องรู้จักพูดแต่สิ่งดีๆ ปากหวานหน่อยไม่เสียหาย ใช่หรือไม่   
ในจิตใจของเรานั้นมีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือความดี อีกอย่างหนึ่งคือความชั่ว ถ้าเราสามารถขจัดความชั่วร้ายไม่ให้บังเกิด แต่เอาความดีมาแสดงออกแทน คนนั้นย่อมเป็นคนดีและเดินทางไปสู่ความดีได้  แต่ถ้าเมื่อใดเราไม่สามารถเอาความดีออกมาให้บังเกิดได้ แต่กลับเอาอารมณ์กิเลสตัณหามา ครอบงำความคิด แล้วปล่อยให้ตัวเองแสดงออกตามความคิด อารมณ์ กิเลสตัณหา คนนั้นเรียกว่าคนที่พร้อมจะกระทำความผิดแล้วกลายเป็นคนไม่ดีได้ ด้วยการเริ่มต้นผิดหรือเริ่มต้นด้วยมูลเหตุที่ไม่ดีงาม มนุษย์เราเป็นคนประเสริฐอยู่แล้วหรือพูดง่ายๆ เราเป็นคนที่สูงอยู่แล้ว หากรักษาความสูงให้สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิมไม่ได้ก็ต้องรักษาความสูงให้ทรงตัวอยู่เดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากสูงก็ไม่ได้ เท่าเดิมก็ไม่ได้ แต่ต่ำเลยอย่างนี้เรียกว่าคนไม่รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น คนที่รักดีแต่ไม่ทำดี อนาคตเขาย่อมไม่มีทางสดใสหรือมีความสุขในบั้นปลายของชีวิตแน่ แต่ว่าการทำดีเป็นสิ่งที่ง่ายไหม ง่ายอยู่ที่ว่าเราจะควบคุมความคิดของเราให้เอาอะไรแสดงออกมา  การทำดีมีอิทธิฤทธิ์ตรงที่สามารถทำให้คนรักเราได้ สามารถทำให้คนอยากอยู่ใกล้เราได้  การทำดีสามารถดึงดูดใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอคนทำชั่วเหมือนผลักให้ไกล หรือเป็นคนที่ทำให้เรารังเกียจไม่อยากคบหา ฉะนั้นความดีความชั่วจึงเปรียบเหมือนอิทธิฤทธิ์ในตัวเรา หากเรารู้จักควบคุมรู้จักใช้ เราย่อมเสกคนข้างๆ ให้เป็นอะไรก็ได้ตามที่เราอยากจะให้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนที่รักเรา เราต้องรู้จักปฏิบัติซึ่งความรักที่ดี เป็นคนที่เกลียดเราก็เพราะเราปฏิบัติซึ่งทางที่ไม่ชอบไม่ถูก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้แปลว่าการทำดีทำชั่วไม่ใช่เรื่องยากเลย อยู่ที่ว่าควบคุมเริ่มต้นให้เป็นหรือเปล่า  ก่อนที่จะออกมาสู่การปฏิบัติเริ่มต้นที่ไหน (ตัวเราเอง)  อยู่ที่จิตใจที่คิดใช่หรือไม่ จะต้องรู้จักควบคุมความคิดของใจให้เป็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้แสดงท่าประกอบเพลง รถไฟ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ปู๊น ปู๊น)  คำว่าปู๊นปู๊น หมายถึงอะไรรู้ไหม ก็เหมือนคนที่ร้องโอดโอยๆ เอาแต่รอความหวัง เอาแต่รอฟ้าให้ช่วย ฟ้าทำให้มีความสุขได้หรือเปล่า แปลว่าความสุขในการดำเนินชีวิตที่ดีงามล้วนขึ้นอยู่กับตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาความบังเอิญมาเป็นความจริงของชีวิต บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาตลอด ล้วนมีเหตุมีผลมีที่มาแล้วก็มีที่ไป ทุกอย่างในโลกนี้มาตามเวลาแล้วก็ไปตามเวลา เราต้องรู้จักดำรงชีวิตให้เป็น ไม่ใช่ไปก็ร้องไห้ มาก็ร้องไห้ เพราะดีใจเกินก็ไม่เรียกว่าคนดำเนินชีวิตเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะต้องดำรงให้เป็น ดำเนินให้สอดคล้อง
การวางมูลเหตุที่ดีย่อมบังเกิดผลที่งดงาม การดำเนินชีวิตโดยไตร่ตรอง คิดก่อนแล้วค่อยกระทำ ย่อมสร้างผลอันดีงามและไม่ผิดหวัง ไม่เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผลบางคนก็ต่างกัน ทำไมบางคนทำดี ผลในการรับความดีจึงต่างกัน เคยเห็นไหม (เคย)  และเคยคิดไหมว่าเพราะอะไร ทำไมถึงต่างกัน เราจะบอกให้นะ อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจในการเริ่มทำอันนั้น  เรายกนิทานเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง เล่านิทานก็ต้องมีตัวละคร (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมแสดงเป็นงู ๒ หัว และเด็ก) มีงู ๒ หัว กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง มีวันหนึ่ง เด็กผู้ชายออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าน เล่นตามปกติ  แล้วเผอิญไปเห็นงูตัวหนึ่งมีหัว ๒ หัว งูก็เลื้อยเพื่อจะกลับรัง แต่มีคำพูดอยู่อย่างหนึ่งว่า ใครเจองู ๒ หัว คนนั้นย่อมโชคร้ายและตายในที่สุด งูก็เลื้อยผ่านเด็กไปโดยที่ไม่ทำอันตรายใดๆ แต่พอเด็กคนนั้นรู้ว่าความเชื่อแบบนี้จะทำให้บังเกิดความโชคร้ายและอันตราย เขาจึงหาไม้ตีงูให้ตายโดยทันที งูก็ตายแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น เด็กคนนั้นก็รีบวิ่งกลับมาหาคุณแม่ ร้องไห้ด้วยความเสียใจ "แม่…ผมต้องตายแน่ๆ เพราะโชคไม่เข้าข้างผม ทำให้ผมเจองู แม่…ผมจะทำยังไงดี"  แล้วแม่ก็ถามว่า "ลูกไปเจองูอะไรล่ะ"  ลูกก็ตอบว่า "งู ๒ หัว " แม่ : "แล้วงูมันกัดลูกหรือเปล่าล่ะ"  ลูก : "ไม่กัด"  แม่ : "ถ้าไม่เป็นไรแล้วลูกร้องไห้ทำไม"  แล้วลูกก็บอกว่า "ก็ไม่ใช่คนโบราณเขาบอกว่าใครเจองู ๒ หัว คนนั้นต้องตาย ต้องโชคร้ายไม่ใช่หรือครับ"  แม่ : "ไม่ใช่หรอก แล้วลูกฆ่างูทำไมล่ะ "  ลูกก็บอกว่า "ที่ฆ่าเพราะผมกลัวว่า คนอื่นจะมาเห็นแล้วจะต้องเป็นอย่างผม" แม่ก็เลยปลอบใจว่า "อ้อ…ที่แท้ลูกมีเจตนาดี กลัวคนอื่นเห็นแล้วจะคิดเหมือนความเชื่อโบราณ ไม่เป็นไรหรอก ลูกมีเจตนาที่ดี ถ้าทำดีแล้วจะกลัวอะไรกับความตาย" จบ  แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่า ปัจจุบันนี้เราเลยไม่ค่อยเจองู เพราะเจอทีไรก็ฆ่าหมดเลย แต่เจตนาคนฆ่าต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนฆ่าเพื่อกิน บางคนฆ่าเพื่อขาย บางคนฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายกเรื่องนี้ก็เพื่อให้ท่านรู้ว่า สมมติว่างู คืออันตรายแล้วท่านเป็นคนที่ไปพบอันตรายหรือความชั่วร้ายนั้น ท่านปฏิบัติอย่างไร ถ้าคนมีเจตนาที่ดี เขาย่อมคิดว่าฆ่าเพื่อไม่ให้งูตัวนั้นไปทำร้ายใคร ไม่ให้ใครไปเห็นแล้วต้องโชคร้ายเหมือนเขา เขาเลยยอมฆ่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้การทำความดีแตกต่างกันเพราะว่า ฆ่าเพราะอยากได้เงิน อยากกิน ฆ่าเพราะเห็นงูมันไม่ดี ตายไปเถอะ ใช่หรือไม่ การทำดีของคนก็เหมือนกัน ทำไมผลถึงต่างกันก็ต่างกันตรงเจตนา ความคิดที่เราเจอเรื่องร้ายๆ นั้น  หากเราคิดเพื่อเราจะหยุดความชั่วร้ายไม่ให้ความชั่วร้ายไปโดนผู้อื่น ย่อมเรียกว่าเจตนาที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้ คนเราทำดีเพียงเพื่อหวังจะได้ดีเท่านั้น ไม่มีใครทำดีเพื่อฟื้นฟูความดีให้งอกงามแล้วลบล้างสิ่งเลวร้ายให้หมดไปจากโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ก็เพื่อให้คนคิดแบบนี้ บำเพ็ญไม่ใช่ว่าเพื่อเราดีอย่างเดียว แต่บำเพ็ญแล้วต้องทำให้คนอยากจะเป็นคนดี อยากจะเดินหน้า หันเข้าสู่ความดี ไม่กลับเข้าไปหาความชั่วอีก  นี่คือจุดมุ่งหมายของการทำความดีที่ดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญตนช่วยเหลือคนในสังคมทำได้ไหม ยากเกินไปหรือเปล่า .ในการปฏิบัติ เวลาเจอเรื่องอะไร อย่าคิดถึงแต่ตน แต่ขอให้คิดถึงผู้อื่นอย่างเที่ยงธรรมถูกต้อง แล้วท่านก็จะเป็นผู้ทำดี มีเจตนาที่สูงส่งได้ ทำได้ไหม  แต่ปัจจุบันคนเราความดีไม่ค่อยสนใจ ผลประโยชน์ฉวยได้ฉวยเอา เงินหาได้ไม่รู้แล้วว่าอะไรถูกต้อง  การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่า คนพาล  เพราะคนพาลเห็นผลประโยชน์เป็นหลัก แต่คนดีคุณธรรมย่อมมาเหนืออารมณ์ เหนือกิเลสใช่หรือไม่ พอทำได้หรือยัง กับการปฏิบัติดี บำเพ็ญซึ่งความดีภายในตัวเรา
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมมาแสดงท่าเดินประกอบจังหวะ) เข้าใจท่าที่เราให้แสดงไหม ไม่ว่าจะมีคลื่นลมฝน คลื่นทุกข์ หรืออุปสรรคอย่างไรเราก็ยังเดินได้อย่างมั่นคงได้   เหมือนชีวิตเราไม่ว่าจะเจอเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่หากเรามุ่งมั่นจะเป็นคนดี มุ่งมั่นจะบำเพ็ญตนให้ถึงซึ่งความเป็นพุทธะ แม้จะเจอลมร้ายลมปากคน คำนินทา เราจะเป็นอย่างไร แม้จะอ่อนไหวไปบ้างแต่ก็ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำได้ไหม การทำดีนั้นนอกจากทำให้เรามีความสุขแล้ว ยังทำให้เราไม่เป็นโรคทางใจด้วย หลายคนมักจะทำให้เราเป็นโรคทางใจ   โรคทางใจเกิดได้จากอะไรบ้าง  (ความเครียด) คิดมากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  และเข้าใจไหมว่าเวลาเครียดจะต้องทำอย่างไร ให้คิดน้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่)  อันหนึ่งคือคิดมากเกินไปปลงไม่ตกใช่หรือไม่ (ใช่) และโรคทางใจเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง โรคทางใจเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ ประคองสติของตัวเองไม่มั่นคงใช่หรือเปล่า (ใช่)  โรคทางกายรักษาได้ หาหมอได้ แต่โรคทางใจเป็นโรคที่ท่านรักษาได้ยากที่สุด และวันนี้เราจะมาบอกวิธีรักษาโรคทางใจ ทำอย่างไรให้พวกเราเข้าใจได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางใจ มีอะไรบ้าง (กิเลส, คนชอบขัดใจและทำให้ไม่สบายใจ)  ถ้าอย่างนั้นวิธีรักษาโรคทางใจง่ายนิดเดียวทำอย่างไรรู้ไหม แต่ท่านต้องทำให้ได้ นั่นก็คือเวลาที่ท่านอยู่กับใคร อย่างสมมติอยู่กับคนในครอบครัว คนที่ควรเอาใจที่สุด คนที่ควรดูแล คนที่ควรถนอมรักษา ท่านต้องรู้จักเอาใจใส่ดูแลถนอมรักษาเข้าใจไหม เมื่อเวลาที่ท่านออกไปทำงาน สิ่งใดที่ท่านควรจะซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม ปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้อง ท่านทำให้ได้ดีและมั่นคง เมื่อนั้นก็สามารถทำให้อยู่กับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข เมื่ออยู่บ้านก็ทำให้คนในบ้านเป็นสุขได้ หากเราดำรงตนให้เที่ยงธรรม บริสุทธิ์ถูกต้อง และเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความผิดพลาดเรื่องระหองระแหง เรื่องไม่เข้าหูย่อมต้องมีน้อยมาก  เพราะว่าเราปฏิบัติได้ถูกต้องเที่ยงธรรม  เพราะเราไม่แบ่งรัก ไม่แบ่งเกลียด ไม่แบ่งโลภใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออยู่ในบ้านหรือข้างนอกก็สามารถปราศจากโรคทางใจได้ แค่นี้เองทำได้ไหม และทำอย่างไรล่ะจึงปราศจากโรค คนที่อยู่รอบข้างเราที่เป็นผู้ใหญ่ให้หมั่นดูแลเอาใจใส่ที่ดีถูกต้อง แล้วผู้ใหญ่จะบ่นว่าท่านไหม เมื่อเพื่อน แฟน หรือภรรยาได้รับความเอาใจใส่อย่างดีเขาจะบ่นให้ท่านได้ยินไหม (ไม่บ่น) และเมื่อเราอยู่กับเพื่อนหรือพ่อแม่หรือกับใครถ้าท่านบอกว่าจะทำ แล้วท่านก็รักษาสัจจะเขาก็ต้องย่อมเชื่อถือวางใจท่าน รักท่าน  และเมื่อคนอายุน้อยกว่าเข้ามาใกล้ ท่านก็มีคำสอนควรแก่การรับฟัง หากทุกคนทำได้เช่นนี้ท่านก็ปราศจากโรคทางใจและก็อยู่กับคนในโลกอย่างมีความสุข ทำได้ไหม ยังมีคนกล่าวว่าหากคนเรารู้จักปฏิบัติปรับปรุงตนเองให้เป็นคนดี ครอบครัวย่อมอยู่ได้ สังคมย่อมอยู่ได้ และโลกก็สันติสุขได้เหมือนกันใช่ไหม คนคือรากฐานของสังคม คือรากฐานของครอบครัว คือรากฐานของโลกนี้ คนมีจิตใจเป็นรากฐานของชีวิต จิตใจที่เที่ยงธรรม จิตใจที่มีศีลธรรม พูดง่ายๆ นั่นก็คือคุณธรรมดี ใจที่ใฝ่แต่ความดี ไม่เอารัก โลภ โกรธ หลงมาวางเหนือศีลธรรม เหนืออารมณ์ เหนือความดีงาม ทำได้ไหม  การปฏิบัติดีทำได้ไหม ฟังมาตั้งมากมายคงจะทำได้ไม่ยากใช่ไหม
สอนเราเราก็ไม่ฟัง บอกเราเราก็ไม่เอา เพราะว่าควบคุมใจตัวเองยาก  การปล่อยตัวเองไปตามอิสระนั้นง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเลยปล่อยให้ตัวเองมี รัก โลภ โกรธ หลง  แล้วคนที่รัก โลภ โกรธ หลง ก็คือคนที่ต้องทุกข์ใจ วันนี้ผลอาจจะยังไม่เกิด แต่เราบอกแล้วว่าผลแห่งการทำไม่ดี หรือทำดีย่อมมีอิทธิฤทธิ์  วันนี้ผลยังไม่เกิด ผลที่เกิดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี ท่านอยากให้ผลที่ท่านกระทำมาตกเอาตอนแก่  มาตกเอาตอนอายุมากดีหรือ (ไม่ดี)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักสร้างมูลเหตุที่ดีเอาไว้ก่อน เมื่อสักครู่เราบอกว่าคนเรานั้นมักชอบความบังเอิญ  แล้วคิดว่าความบังเอิญนั้นจะนำพาให้ตัวเองมีความสุข  โดยคิดว่าไม่ต้องไปสร้างความดีหรอก ไม่ต้องไปทำความดีหรอก ขนาดฉันไม่ได้ทำความดียังถูกลอตเตอรี่เลย ฉันไม่ได้ทำความดี ฉันสูบบุหรี่ ฉันยังมีความสุข ฉันยังมีร่างกายที่แข็งแรงเลย แต่จริงๆ แล้วผลแห่งความดีและผลแห่งความชั่วจะตกลงมาเป็นผล ก็เหมือนกับผลไม้ ต้องอาศัยการบ่มเพาะที่อิ่มตัว หรือการบ่มเพาะที่สมบูรณ์เต็มที่จึงจะตกลงมาเป็นผลได้ แต่ส่วนมากผลที่เราได้รับมักจะไม่ได้รับตอนที่เราแข็งแรง แต่มักจะได้รับตอนที่เราเป็นอย่างไร (อ่อนแอ) อ่อนแอและมีทุกข์ซัดกรรมซ้อน ฉะนั้นเราไม่อยากมีทุกข์ซัดกรรมซ้อนเราต้องรู้จักสร้างและปูพื้นฐานที่ดีไว้ เอาแต่นั่งรอคอย เอาแต่นั่งรอให้คนอื่นนำมาให้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  คนที่เอาชีวิตไปฝากไว้กับความบังเอิญ เอาอนาคตไปฝากไว้กับความหวังอันลมๆ แล้งๆ โดยตัวเองไม่ได้อาศัยแรงความเพียรของตัวเองไปพยายามทำ คนนั้นย่อมยากที่จะประสบผลสำเร็จ ยากที่จะได้รับสิ่งที่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ดึงคนอื่นมาทำงาน ใครล่ะจะได้รับ ก็ล้วนแต่เป็นคนอื่นทั้งนั้นเลย ไม่ใช่ตัวเรา แล้วถึงแม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการสร้างให้เขาทำความดีก็ตาม แต่ถ้าเมื่อใด ท่านยืมมือให้คนอื่นทำชั่ว ผลนั้นก็ย่อมกลับมาหาท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านแน่ใจหรือว่าเรายืมมือคนอื่นทำไม่ดีแล้วผลจะไม่มาหาเรา  ในโลกนี้เรารู้สัจธรรมอย่างหนึ่งว่า ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมทำท่าตรงข้ามกับคำที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูด)  จับใจตัวนี้ให้นิ่งๆ ไม่อย่างนั้นท่านยืนตรงนี้ ท่านฟังเราท่านก็จะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วบางทียืนไปก็เป็นทุกข์ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง ทำนอง :  Are you sleeping?)
"ต้องรักษาคุณธรรมเคียงลัดเป้าหมาย" ต้องรักษาคุณธรรมให้อยู่เคียงกับเราแล้วเดินไปสู่ทางลัดอันเป็นเป้าหมายในการบำเพ็ญตน เราอยากมีจุดหมายแห่งชีวิตเป็นพุทธะหรือเป็นคน หากเราอยากเป็นพุทธะ ขอให้นำสิ่งที่วันนี้เราบอกท่านไปเร่งรีบปฏิบัติ ไปเร่งรีบขวนขวายให้เป็นคนที่รักความดีแล้วปฏิบัติดีอย่างแท้จริง การที่รู้จักควบคุมตน ปฏิบัติตนให้ได้ซึ่งความดีนั้นเรียกการบ่มเพาะตัวเองหรือฝึกฝนตนเองให้ก้าวเดินไปสู่ความเป็นพุทธะ
"เมื่ออยากถึงจุดหมายแห่งชีวิต  ต้องอุทิศอยู่เฉยมิอาจได้"  เมื่อตนเองเดินไปแล้วก็ต้องรู้จักช่วยเหลือคนอื่นให้รู้จักเดินเป็นและสู้ชีวิตเป็นด้วย  การจะก้าวไปถึงจุดหมายต้องรู้จักอุทิศ คนจะบำเพ็ญตนแล้ว ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตนเองอย่างเดียว ชีวิตของเราถ้ามีค่าหนึ่งนาที หนึ่งลมหายใจ เราได้ช่วยคนหนึ่งคน ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกลมหายใจคือการช่วยคน ทุกลมหายใจคือการเอาใจใส่เขา ดูแลเขาด้วยการไม่เบียดเบียนเขา ทำได้ไหม (ได้)  อย่างแรกไม่เบียดเบียนเนื้อสัตว์ทำได้ไหม วันนี้เราเปลี่ยนใจ เราไม่อยากกินเนื้อสัตว์แล้ว เราเปลี่ยนใจอยากกินเนื้อคน ถ้าพุทธะเปลี่ยนใจอยากกินเนื้อคน บริโภคเนื้อคน ท่านก็จะตายหมดใช่หรือไม่ แล้วท่านรู้ไหม ทำไมบางประเทศจึงรบกันแค่เหตุผลเล็กๆ เอง นั่นเกิดจากอะไรล่ะ ก็เช่นเดียวกับการฆ่าสัตว์ ทำไมท่านอยู่ๆ ถึงฆ่าเขา การฆ่าเมื่อก่อตัวสูงขึ้น ย่อมเกิดพลังและอำนาจที่มืดดำแฝงอยู่  เมื่อใดที่อำนาจมืดดำแฝงอยู่ เมื่อนั้นอำนาจมืดดำย่อมเข้าไปหาอำนาจมืดดำเหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อคนเราคิดอย่างไร ใจเราต้องผกผันให้เราไปตามที่คิด ใช่หรือไม่ ฉะนั้นการปฏิบัติตัวดีก็คือการลบล้างความมืด เพื่อเสริมสร้างความดีในตัวเรา หากทุกวันสร้างแต่ดี เปิดแต่ความสว่างให้กับจิตใจ ใจเราจะลงสู่ที่มืดที่ต่ำได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงแม้พลาดลงไป ความดีย่อมปกป้องคุ้มครองคนดีคนนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักสร้างแสงแห่งความดี สร้างพลังแห่งความดีให้มีอิทธิฤทธิ์ รีบชะล้างความชั่วร้ายก่อนที่ความชั่วร้ายจะมาถึงเรา ดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรให้เรียกว่าเป็นคนดี เป็นคนฝึกฝนบำเพ็ญตน การปฏิบัติของเรายังมีอีกสองอย่างที่ต้องรู้จักทำ หนึ่ง คือรู้จักให้ได้ง่ายเสียสละเป็น กับอีกอย่างหนึ่งคือ อย่ารู้จักรับง่ายๆ ทำได้ไหม ทำไมเราถึงบอกว่าอย่าเป็นคนรับง่าย การรับเป็นเหตุให้สร้างผลต่อ มีใครบ้างให้ท่านง่ายๆ โดยที่ไม่หวังอะไรจากท่านเลย การเป็นคนให้ง่ายๆ เสียสละให้คนอื่นได้ง่าย ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่ารับง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่าให้หัดเป็นคนรับยาก เพราะว่าเรื่องราวในโลกนี้หากเรื่องใดไม่ถูกต้อง หากเรื่องใดแม้จะเป็นเรื่องน่า
ยินดีสนุกสนาน แต่มองดูแล้วไม่เที่ยงธรรม มีผลประโยชน์ที่แฝงการคดโกง และแฝงความชั่วร้ายอยู่ ท่านไม่ยอมรับ นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นปฏิบัติดีและดำรงซึ่งความดี ทำได้หรือเปล่า มนุษย์เรามักจะยากที่จะยื่นให้ผู้อื่น แต่มักจะยื่นกลับมาในตัวง่ายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักเปลี่ยนกันบ้าง ง่ายที่จะให้เขา การให้คือการเสียสละ พุทธะทุกๆ พระองค์สำเร็จเป็นพุทธะ สำเร็จเป็นผู้ที่ให้คนกราบไหว้ได้ ก็เพราะว่าท่านรู้จักให้โดยที่ไม่บ่น ให้โดยไม่มีคำว่า เมื่อไหร่จะหยุดให้สักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมนุษย์เรารู้จักการให้ เวลารับรู้จักเลือกสรรก่อน ท่านจะเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างผิดพลาดน้อยมาก ทำได้ไหม
นอกจาก รัก โลภ โกรธ หลงที่ต้องรู้จักวาง ตัด ปลง ลดละให้น้อยแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์มักจะทำไม่ได้ นั่นก็คือ สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ท่านรู้ไหมว่า ตัวท่านเป็นอุปสรรคให้กับเขาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่าเอาตัวเราเข้าไปขวางแล้วให้เป็นอุปสรรค ต้องรู้จักถอนบ้าง ส่วนท่านก็ไม่ใช่เดินเข้ามาให้เขาขวาง บำเพ็ญธรรมแล้วต้องให้รู้จักลดบ้าง เลิกบ้าง อะไรไม่ดีรีบๆ เลิกเสีย ท่านอยากเป็นคนดีไหม อายุมากแล้วอยากแข็งแรงไหม (อยาก)  ทำไมยังสูบบุหรี่อีก ผู้หญิงมักอดไม่ได้เรื่องนินทา ต้องปิดปากบ้างดีไหม จะได้ไม่สร้างกรรมที่ปาก กรรมปากเราอย่าพ่น จะพ่นน้ำหวานหรือพ่นพิษอยู่ที่เราคิด อย่าไปมองแต่สิ่งร้าย
"ชีพสลายความสำเร็จมอบมวลชน" เมื่อไรที่เราปฏิบัติแล้ว มุ่งมั่นและมั่นคงแล้ว ความสำเร็จย่อมบังเกิดกับทุกๆ ท่านในที่นี้ได้ การกลับคืนเป็นพุทธะเป็นคนดีที่เรียกว่า น่าเคารพยกย่องย่อมมีเกิดขึ้นกับตัวท่านได้ หากท่านทำได้เป็นสิ่งที่ดี แล้วจงมอบความสำเร็จนี้ให้แก่มวลชน ให้แก่ทุกๆ คนทำได้ไหม  เหมือนกับการปูพื้นฐานชีวิตเรา การปูพื้นฐานทางเดินให้กับตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกการก้าวเดินคือ การปูทางให้กับชีวิต ท่านจะปูทางชีวิตนี้ให้เป็นทางที่คนอยากเดินตาม หรืออยากเป็นทางที่คนไม่เดินตาม ขึ้นอยู่กับว่านับแต่นี้ไปอยากสร้างสิ่งใด อยากคิดสิ่งใด อยากลงมือกระทำสิ่งใดแล้วใช่ไหม  
วันนี้แม้เราจะมาพูดมากมาย แต่ถ้าท่านได้แต่รู้ๆๆ ก็กลับไปดีๆๆ แต่ไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทางนี้ไม่ได้ปฏิบัติใช่หรือไม่ ทางแห่งพุทธะจะสำเร็จไปถึงคำว่าพุทธะไหม อยู่ที่วันนี้แล้ว ถ้าสำเร็จได้จุดหมายนั้นย่อมมีคนอยากเดินตาม  แล้วช่วยจุดแสงไฟแห่งความตั้งใจของท่านให้ประสบผลใช่หรือไม่  ความตั้งใจและปณิธานย่อมหมุนเร็ว แม้ไฟแห่งคบเพลิงจะหมดไปแล้ว แต่ไฟแห่งตะเกียงเทียนยังคงมีอยู่ ไฟก็คือความตั้งใจ ถึงแม้ความตั้งใจของท่านไม่สำเร็จ แต่ถ้าท่านตั้งใจดีมีคนจะสืบสานความตั้งใจนี้ไหม ก็มีเหมือนการดำเนินตนให้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมพระพุทธองค์ดับขันธ์ไปแล้ว พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็หมดไปแล้ว แต่ไฟปณิธานก็ยังอยู่ ไม่ว่ากัปกัลป์จะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน ก็เพราะว่ารอยเท้าของท่าน หนทางที่ท่านปูไว้เป็นหนทางที่น่าเดินและน่าไปยิ่งนัก ใช่ไหม  ขอให้ชีวิตของท่านมีค่ายิ่งกว่านี้ ดียิ่งกว่าเดิม ทำได้ไหม  ผิดแล้วรีบแก้ ท้อแล้วรีบลุกขึ้นสู้ ทำได้นะ
วันนี้ก็คงมีเวลาเท่านี้ พรุ่งนี้ถ้าใครมาได้ก็ขอให้มาครบ ได้ไหม  มาฟังดู หัดหน่อย อดทนหน่อย แต่ก็ได้ฝึกการเป็นพุทธะ ไม่มีเรื่องอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายมาก แต่อยู่ในมือของเราเองว่าเราทำได้หรือไม่ทำ เรื่องแม้ยากแต่ว่ายากหรือไม่ยากเราก็สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยความเพียรพยายาม ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญตั้งใจฟัง  วันนี้กว่าท่านจะมานั่งตรงนี้ง่ายๆ แต่ผู้ปฏิบัติงานธรรมล้วนเหนื่อยยากเพื่อท่าน ยิ้มให้เขาหน่อย ขอบคุณเขาหน่อย  อย่าทำหน้าบึ้งตึง เราไปก่อนนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาเปลี่ยนแปลงจิตใจนี้ที่เลวร้าย สู่จิตใจดวงใหม่สะอาดเกลี้ยง
เอาธรรมะมาชะล้างอย่างพอเพียง มิคอยเกี่ยงว่ายากเกินไม่อยากเพียร
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

ทะเลทุกข์กว้างใหญ่ดั่งไร้ฝั่ง รวมพลังฝ่าฟันสักวันถึง
โลกมายาพาจิตใจให้ดื้อดึง ศิษย์เป็นหนึ่งด้วยมั่นคงย่อมรอดภัย
การยกย่องต้องคิดพิจารณา ถูกติว่าจะมากน้อยต้องแก้ไข
อย่าโมโหโกรธาเป็นฟืนไฟ อย่าหลงไปการยกย่องภาพลวงตา
พุทธะทำเพื่อผู้อื่นไม่ขื่นขม เวไนยตรมทำเพื่อตนเกิดปัญหา
เกิดเป็นคนช่างสั้นนักชั่วเวลา ศิษย์รู้มาบำเพ็ญเถิดประเสริฐคุณ
ศิษย์รักเอยดั่งพี่น้องร่วมนาวา เพียรธรรมาเกื้อกูลกันอย่างเนื่องหนุน
ได้เป็นศิษย์อาจารย์กันถือเป็นบุญ ขอคิดครุ่นอย่าปล่อยพ่ายลี้เปล่าเลย
เป็นศิษย์น้อยที่น่ารักสมัครสมาน ย้อนมองตนให้นานนานนะศิษย์เอ๋ย
อย่าปล่อยใจตามความอยากอันชินเคย อย่าละเลยใส่ใจกันให้เพียงพอ
ตามรอยแห่งอริยะด้วยตั้งใจ หนทางไกลศิษย์รักเอยอย่ามัวท้อ
อาจารย์เคียงอาจารย์คอยอาจารย์รอ โอ้ศิษย์หนอขอเป็นพุทธะโดยทั่วหน้า
จงอดทนโลกกว้างนี้วุ่นวายมาก กลางความยากจิตพุทธะได้ก้าวหน้า
อย่าได้ขาดนั้นคือความเมตตา ดวงปัญญาพาศิษย์รักถึงฝั่งธรรม
ฮา  ฮา  หยุด




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้นั่งฟังธรรมะเป็นวันที่เท่าไรแล้ว (วันที่สอง)  ในสองวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า วันที่สองแล้วมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า เปลี่ยนแปลงจากตอนที่เรายังไม่ได้รับธรรมะกันบ้างไหม (มี)  มีนิดเดียวหรือมีมาก (มีมาก)  เปลี่ยนอะไรบ้าง (เปลี่ยนแปลงจิตใจ, เปลี่ยนแปลงความคิด, รู้สึกสบายใจ)  ต้องออกความคิดเห็นบ้าง มาถึงก็นั่งเงียบๆ เขาบอกว่ามาห้องพระต้องเงียบใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เวลาอาจารย์จี้กงมายกเว้นไม่ต้องเงียบก็ได้นะ
โลกมนุษย์ทุกวันนี้วุ่นวายเพราะว่าคนหนึ่งชอบบอกว่าผิด ส่วนอีกคนหนึ่งชอบบอกว่าถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ความผิดกับความถูกใครเป็นผู้กำหนดขึ้น (มนุษย์)  ตัวเราเป็นผู้กำหนดขึ้น สังคม สภาพแวดล้อมเป็นผู้กำหนดขึ้น จึงเกิดความวุ่นวาย เพราะเราอยู่ในโลกของความผิดกับความถูก สีขาวกับสีดำ ฉะนั้นตอนนี้เรามาอยู่ที่นี่ทุกคนเป็นคนที่ถูกหมด ถ้าผิดก็ผิดเหมือนกันหมดดีหรือไม่ (ดี)  ตอนนี้อาจารย์ถามว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทำไมถึงตั้งคำถามอย่างนี้ เพราะว่าเรามานั่งฟังธรรมะที่นี่สองวันแล้ว เขาจับเรามานั่งที่นี่ตั้งสองวัน เราเต็มใจมานั่งที่นี่ตั้งสองวัน ต้องรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เป็นการตามทันจิตของตนเองว่าเรานั้นมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่ใช่มานั่งสองวันแล้วยังไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย พอไม่รู้ว่าวันนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง กลับไปจากชั้นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปแก้ไขอะไรดีใช่หรือไม่ (ใช่)  คนหลายๆ คนเวลาฟังธรรมะไม่ค่อยชอบคิด ไม่รู้ว่าเรานั้นควรจะกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง สุดท้ายการที่มานั่งฟังธรรมะในสองวัน กลายเป็นการมานั่งฟังเสียเปล่า ไม่ได้สิ่งใดนำกลับไป ไม่ได้แก้ไข ไม่ได้ปฏิบัติสิ่งใด จึงเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมไม่ได้ มีแต่ผู้บำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่จะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาที่นี่เพื่อมานั่งฟังธรรมะ มาฟังให้เข้าใจ แปรเปลี่ยนตัวเองจากปุถุชนธรรมดาเป็นบุคคลที่ฝึกฝนบำเพ็ญธรรม คนเหล่านี้จึงเป็นผู้ที่หลุดพ้นได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์เต็มใจเป็นคนแบบนี้หรือไม่ (เต็มใจ)  หรือว่าอยากจะมีความทุกข์ อยู่ที่นี่ใครไม่รู้จักความทุกข์บ้างมีหรือไม่ (ไม่มี)  ใครไม่รู้จักความสุขบ้างมีหรือไม่ (ไม่มี)  แต่ถามว่าชั่วชีวิตนี้หรือชีวิตที่ผ่านมามีความทุกข์หรือความสุขมากกว่ากัน (ความทุกข์)  เจอคนที่อายุสิบกว่าก็ตอบว่าความทุกข์มากกว่า คนที่อายุสามสิบกว่าก็ตอบว่าความทุกข์มากกว่า คนที่อายุเจ็ดสิบกว่าก็ตอบว่าความทุกข์มากกว่า แสดงว่าโลกที่เราอยู่นี้มอบความทุกข์ให้มากกว่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  จึงเรียกโลกนี้ว่าทะเลทุกข์ และเรานั้นก็เป็นผู้ที่เวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าอยากจะพ้นจากความทุกข์ไหม (อยาก)  อยากจะพ้นได้ต้องทำอย่างไร (ความดี) ๑ วันมี ๒๔ ชั่วโมง  ทำความดีหรือทำความไม่ดีมากกว่ากัน (ดี, ไม่ดี)  อยากจะเป็นคนที่หลุดพ้นได้ เราต้องทำความดีมากกว่าทำความไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่นี้มีใครไม่รู้จักความดีบ้างมีไหม แต่อาจารย์ว่าคนในที่นี้ยังไม่รู้จักความดี เพราะว่าคนที่ยกมือบอกว่าตัวเองทำความดีมากกว่าความไม่ดี ก็ยังทำความดีไม่มากเท่าไร ส่วนคนที่ยกมือบอกว่าตัวเองทำความไม่ดีมากกว่า ส่วนใหญ่จะรู้จักความดีจึงไม่กล้ายกมือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามศิษย์ว่าเวลาที่เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก เรานั้นได้ยื่นมือเข้าไปช่วยหรือเปล่า (ช่วย)  แล้วช่วยมากเท่าไร (เท่าที่จะช่วยได้)  ส่วนใหญ่จะตอบว่าบางครั้งก็ช่วย บางครั้งก็ไม่ ตอนที่ไม่ช่วยก็เป็นคนไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วก็บอกว่าช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ถ้าเกิดความคิดชั่ววูบหนึ่งว่าช่วยไม่ได้ก็ไม่ช่วยใช่หรือเปล่า จึงบอกว่าเรานั้นยังไม่ค่อยรู้จักความดีมากเท่าไร เพราะว่าชีวิตทุกวันนี้ที่ทำความดีเป็นความดีเล็กๆ ความดีที่ยิ่งใหญ่คือความดีที่ได้ช่วยผู้อื่น คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง เห็นผู้อื่นมีทุกข์เราก็ไม่นิ่งเฉย รู้จักที่จะช่วยเหลือ แต่ต้องช่วยด้วยปัญญา หลายคนชอบช่วยเหมือนกัน แต่ว่าชอบช่วยแบบเป็นผู้ปรารถนาดี แต่พูดไม่ดี กลายเป็นยุยงส่งเสริม ทำให้คนที่เราอยากช่วยกลายเป็นได้รับผลร้ายจากคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของเรา  เพราะฉะนั้นการที่จะพูดสิ่งใดก็ควรที่จะต้องคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)
ความดีที่ดีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง (ทำแล้วสบายใจ, ไม่หวังสิ่งตอบแทน, ใช้คำพูดไพเราะ)  เพราะว่าหลายครั้งที่เราใช้คำพูดที่ไม่ไพเราะถึงมีเจตนาดีแต่ผู้ฟังอาจรับไม่ได้ การที่เรานั้นจะทำความดี ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีจิตใจที่อกุศลแฝงอยู่ ไม่มีความคิดที่อยากจะได้ผลตอบแทน ความดีที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ ความดีที่เป็นไปตามหน้าที่คือความดีของลูกที่ควรที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ความดีที่เรานั้นควรจะกระทำตามทางโลกก็คือ การที่เรารู้จักหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต แต่มีความดีอีกประเภทหนึ่งที่เป็นความดีที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน แต่ถ้าทำได้ก็จะเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ คือการทำความดีของพุทธะอริยะทั้งหลาย ช่วยผู้อื่นโดยที่ตัวเรานั้นเป็นผู้ช่วย ช่วยผู้อื่นโดยที่มีจิตใจที่เมตตาหวังจะให้เขาพ้นทุกข์ แต่การที่เรานั้นจะทำสิ่งนี้ได้ ถามว่าเรายังทุกข์อยู่แล้วเราจะทำให้ผู้อื่นเขาพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทุกวันนี้เรายังทุกข์หรือ (ทุกข์)  ยังทุกข์ก็ช่วยผู้อื่นได้ไม่เต็มที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้ในสิ่งที่เราจะต้องแก้ไข จึงจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้  ต้องมีปัญญา ต้องมีสติ ไม่ใช่ปล่อยกายปล่อยใจไปตามอารมณ์ อารมณ์ดีก็ช่วย อารมณ์เสียไม่อยากช่วยก็ไม่ช่วย เรียกว่าเป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นทุกวันนี้จึงยังไม่เป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาใจของเราไปช่วยผู้อื่น แต่ใจของเรายังไม่ได้ช่วยใจของเราเอง ยังไม่ได้รับการขัดเกลา จึงยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ช่วยตัวเองไม่พ้นเมื่อเราช่วยผู้อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้เพราะยังติดอยู่ที่ตัวเราเอง เพราะช่วยไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็ยังติดอยู่ที่ตัวเราเอง เป็นการพาผู้อื่นได้ไม่พ้น ตอนนี้มาช่วยตัวเองก่อนดีไหม (ดี)  มาช่วยตัวเองให้พ้นจากอารมณ์ร้ายของตัวเอง ให้พ้นจากกิเลสตัณหาของตัวเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าจะช่วยให้พ้นได้อย่างไร กลับไปจาก ๒ วันนี้แล้ว กลับไปเลยโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ช่วยตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)
เพราะฉะนั้นกลับไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง เหมือนกับที่เรามานั่งสองวันนี้ แล้วเราเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิด ความสบายใจ ความสงบ สติ นี่คือการเปลี่ยนแปลงหลังจากสองวันที่เรานั่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าสองวันที่เรานั่งนี้ เรานั่งด้วยความสบายไหมตอนแรก (ไม่สบาย)  แต่ในที่สุดตอนนี้ความคิด สติ ปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างของเรากลับมาสว่างใสใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นกลับไปจากสองวันนี้ แม้ว่าเราจะกลับไปปฏิบัติธรรม กลับไปแก้ไขตนเอง ก็ต้องปฏิบัติขึ้นมาจากความยากลำบาก ความตั้งใจจริง ความจริงจังในการที่จะแก้ไขตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องกลัวไหมว่ากลับไปถ้าหากว่าลำบาก ฉันไม่แก้ (ไม่กลัว)  เพราะว่าสองวันนี้เราก็เริ่มต้นศึกษาธรรมด้วยความยากลำบาก กลับไปแล้ว ถ้าหากว่าเราแก้ไข ก็ต้องแก้ไขจากจุดที่ยากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดที่ยากที่สุดมองเห็นง่ายไหม อย่างเช่นเราเป็นคนอารมณ์ร้าย เห็นง่ายไหม (ง่าย)  จุดนี้เราจะแก้ไขง่ายหรือไม่ เราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบใจคนอื่น อิจฉาริษยาผู้อื่น มองเห็นง่ายไหม (ง่าย)  เพราะฉะนั้นก็แก้ไขจากตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ชายคนไหนตอนนี้ยังกินเหล้า สูบบุหรี่ มองเห็นง่ายไหม (ง่าย)  ถึงเวลาก็คาบขึ้นมา เพราะฉะนั้นตรงนี้แก้ก่อน  แก้จนกระทั่งถึงในจุดที่แม้แต่ตัวเราเองยังเข้าใจผิดว่าเราดีในจุดนี้ แก้ไปจนถึงในจุดตรงนั้น เพราะว่าหลายคนนั้นถ้าเทียบกับผู้อื่นแล้วก็ยังใช้ไม่ได้เท่าไหร่  แต่เราบอกกับตัวเราเองว่าเรานั้นดีจริงๆ เลยมีไหม (มี)  ไม่ต้องปฏิเสธใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกวันนี้ชอบเกี่ยงเวลาที่เจอยากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ง่ายๆ ฉันทำเอง ยากๆ ทำมองไม่เห็นให้คนอื่นไปทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าเวลาฝึกฝนขึ้นมาจริงๆ แล้วคนที่ผ่านความยากกับคนที่ผ่านความง่ายใครเก่งกว่ากัน (คนที่ผ่านความยาก)  อย่างนี้เราก็ปรารถนาดีเอาความเก่งไปให้คนอื่น เราเอาโง่เขลาเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  อันไหนยากๆ เรามาทำเอง อันไหนง่ายๆ ให้คนอื่นไปทำ ไม่ต้องกลัวว่าเขานั้นจะเก่งน้อยกว่าเรา
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (ฮุ่ยจื้อ)  แปลว่าอะไร (ปัญญา)  มีปัญญากันทุกคนหรือเปล่า (มี) มีมากหรือมีน้อย (มีน้อย)  มีเป็นบางครั้งใช่หรือเปล่า แล้วครั้งที่ไม่มีปัญญาแล้วหลงไป ถามว่าหลงแค่ชั่วขณะเดียวก็จมดิ่งไปสู่เหวนรก กว่าจะปีนขึ้นมาอีกทียากไหม (ยาก)  เพราะฉะนั้นสู้ให้เรานั้นเป็นคนที่มีปัญญาและมีสติตลอดเวลาดีไหม (ดี)  เพราะว่าชั่วครู่หนึ่งที่เราขาดปัญญาก็เกิดความหลงเข้าครอบงำ เมื่อความหลงเข้าครอบงำก็จมดิ่งลงไปเลยเหมือนกับปาก้อนหินลงไปในน้ำ ตอนที่เราเหวี่ยงนั้นเราเหวี่ยงออกจากมือ แต่ตอนที่หินหลุดออกไปจากมือเราแล้วเราห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนที่หินออกไปจากมือเราแล้ว ช่วงนั้นเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแค่ชั่วขณะที่เราเผลอจิต ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา หินปล่อยออกไปจากมือเราแค่ครั้งเดียว แต่ในขณะที่หินวิ่งไปนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายหลังจากที่เรานั้นไม่มีปัญญา ไม่มีสติ ตรงนี้คุ้มหรือไม่ (ไม่คุ้ม)  เหมือนกับปัจจุบันที่เขารณรงค์ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ในขณะที่เราจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ช่วงนั้นจะต้องมีสติและมีปัญญา เพราะเราไม่รู้ว่าหลังจากที่เราทดลองไปแล้วเราจะลุ่มหลงเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่หัดสูบบุหรี่แรกๆ เราก็มีสติ แต่เราคิดว่าลองไม่เป็นไร หลังจากที่ทดลองไปแล้วเราก็ติดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่าผลช่วงของคนที่สูบบุหรี่ในตอนนี้คือช่วงที่หินได้ปล่อยออกไปจากมือแล้วจะตกน้ำ  ในขณะที่เราติดยาอยู่ตรงนี้ เราไม่รู้เลยว่าเราจะแก้ไขอย่างไร เพราะฉะนั้นการที่เราจะแก้ไข ก็คือตัดไฟแต่ต้นลม ตอนแรกๆ ก็อย่าเพิ่งยุ่งเกี่ยวกับมันใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อคนบอกว่ามันเป็นสิ่งร้าย แล้วเราจะยุ่งเกี่ยวกับมันทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนในทางของการบำเพ็ญธรรมะ ในช่วงที่หินถูกปล่อยออกจากมือไปสู่เหนือน้ำ จมลงไปสู่ใต้น้ำก็คือกิเลส กิเลสมากมายที่ศิษย์นั้นแค่จุดประกายเหวี่ยงด้วยความขาดปัญญา ขาดสติ ลงไปปุ๊บ กิเลสทำอะไรบ้างศิษย์ไม่รู้ รู้แต่ผลสุดท้ายแล้วศิษย์เป็นคนตาย ศิษย์เป็นคนรับกรรมนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ไม่)  ชีวิตนี้คุ้มที่จะให้หยอกเย้าเล่นกับกิเลสตัณหาไหม (ไม่คุ้ม)  เราต้องรู้จักสร้างชีวิตนี้ของเราให้คุ้มค่า ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที ทุกๆ วินาทีจะต้องมีสติและปัญญา  โดยเฉพาะคนที่มาฟังธรรมะที่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ ที่แปลว่าปัญญานี้จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากกว่าคนทั่วไป เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  อย่าดูถูกตนเองว่าฉันหรือจะมีปัญญา ทุกคนมีปัญญา ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีทั้งปัญญาและความเฉลียวฉลาด
ทานข้าวอิ่มหรือเปล่า (อิ่ม)  หนังท้องตึงหนังตาหย่อน  หลับวูบๆ ฟังธรรมะก็เลยไม่รู้เรื่อง ตรงที่ไม่รู้ก็เลยเป็นช่วงที่สำคัญ  กลับไปบ้านก็ไปนอนเล่นเหมือนเดิม ใครหลับในชั่วโมงหัวข้อใด ก็ให้ไปถามผู้บรรยายเป็นการทบทวน บอกว่าเมื่อสักครู่เผลอหลับไปนิดหนึ่งเลยไม่รู้ว่าพูดว่าอะไร ดีหรือไม่ (ดี)  บางคนบอกว่าหลับตลอดเลย เลยไม่รู้ว่าตอนไหนที่ขาดไปบ้าง อย่างนี้ต้องกลับมาฟังใหม่สองวันใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่นี้บอกว่าต้อนรับอาจารย์ เอาอะไรมาต้อนรับอาจารย์ หัวหน้าชั้นเอาอะไรมาต้อนรับอาจารย์ดี (ความดี)  ความดีรวมๆ กันได้กี่กอง ได้เยอะไหม จะบอกให้ว่าบางคนมีความดีมากขนาดที่ยิ่งใหญ่เท่าภูเขาหนึ่งลูก บางคนรวมกันเป็นสิบหรือยี่สิบคน ความดียังน้อยจนกระทั่งมองไม่เห็นเลย เพราะว่าอะไรที่แตกต่างกันรู้ไหม เป็นคนทำบุญมาชั่วชีวิตแต่ไม่รู้ว่าที่เราทำบุญไปแล้วตกลงว่ามีบุญหรือไม่มีบุญกันแน่ เพราะว่าอะไร (อยู่ที่เจตนาการกระทำ, ทำไม่บริสุทธิ์ใจ, ไม่มีความตั้งใจจริง)  อันที่จริงแล้วเราก็รู้ได้ว่าที่เราทำบุญ ทำกุศลแต่หากจิตใจยึดติด ผลบุญนั้นก็จะไม่งอกเงยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากศิษย์ทำบุญห้าสิบสตางค์แต่ว่าจิตใจนั้นทำด้วยความบริสุทธิ์ มีเงินอยู่เท่านี้ทำเท่านี้ ผลบุญนั้นจะยิ่งใหญ่เป็นภูเขาเลากา แต่หากว่าทำบุญด้วยเงินหนึ่งล้านบาทแต่จิตใจเฝ้าวกวนอยู่กับเงินหนึ่งล้านบาท คิดว่าเงินหนึ่งล้านบาทจะกลับมาหาเราสองล้านบาท หรือคิดว่าทำบุญหวังผลอยากจะให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นอะไรบ้าง ถวายดอกไม้แล้วอยากจะสวย สร้างสะพานแล้วอยากจะให้ลูกหลานมั่นคง ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะไม่ได้กุศลใดๆ เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้ทุกๆ คนเลยแต่ถามว่าเวลาทำบุญทำทานเกิดความยึดติดหรือเปล่า (เกิด)  อาจารย์จะบอกให้เป็นการยากที่จะห้ามจิตไม่ให้ยึดติดในกุศล บุญและผลกรรมต่างๆ แต่ก็ต้องทำไหม (ต้องทำ)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า เท่าที่ชีวิตนี้ทำมาจะไม่เหลืออะไรเลย
ทำไมชาตินี้บางคนเกิดมาจึงมีวาสนาดีกว่าเรา ถ้าหากว่าสืบสาวไปถึงอดีตชาติที่เคยทำมาแล้ว เรานั้นก็อาจจะไม่แพ้เขา แต่ว่าถ้าพูดตามหลักเหตุผลของบุญและกรรมแล้ว เราเกิดความยึดติดมากกว่าเขา ชาตินี้ทำเท่าไหร่จึงไม่มีสักที เหนื่อยก็เหนื่อยกว่าคนอื่นเขา แต่ทำเท่าไหร่ ก็ไม่มีงอกเงยสักที และไม่เห็นจะได้ใช้ คนอื่นใช้หมด ก็เป็นเพราะทำบุญแต่เราเกิดการยึดติด ฉะนั้นในตอนนี้ อาจารย์จึงอยากให้ทุกคนมาทำบุญโดยไม่ยึดติดดีหรือไม่ (ดี)  บุญในที่นี้ไม่จำเป็นต้องทำด้วยเงินก็ได้ มีน้อยเราก็ลงแรงให้มากใช่ไหม (ใช่)  อย่างศิษย์มาที่นี่เป็นแม่ครัวทำกับข้าวได้เอาเงินมาสร้างไหม  หากเราเอาเงินมาสร้างหนึ่งพันบาทแล้วกลับไป แต่ก็ไม่เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  เป็นแม่ครัวมาลงแรงอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำอาหารให้เรากินทุกมื้อ เขาเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ถามว่าจิตใจของคนที่เอาเงินมาสร้างแต่ยังยึดติดอยู่ กับคนที่มาลงมือทำ คนไหนมีกุศลมากกว่ากัน (คนที่ลงมือ)  เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้กลับไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขดีหรือไม่ (ดี)  ให้เราเป็นคนที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ เราจะไปทำอะไรหลังจากนี้ หากเริ่มต้นด้วยใจที่บริสุทธิ์ทุกอย่างก็จะเป็นกุศล ไม่ใช่จิตใจสะอาดแล้วจะได้กุศล ทำบุญอยากได้กุศลก็จะไม่ได้กุศลใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน
มาที่นี่ถึงสองวันแล้ว ความเข้าใจเมื่อมีเพิ่มพูนมากขึ้น เรานั้นต้องเอากลับไปปฏิบัติด้วย เมื่อปฏิบัติ จึงได้ประสบผลสำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่)  ในวันนี้ที่มา เรานั้นเข้าใจอะไรดีมากขึ้น เกิดมาเป็นคนนั้นมีแต่ความทุกข์ สุขนั้นมีน้อย แต่ศิษย์ทุกคนนี้ก็ยังเป็นผู้ที่ลุ่มหลงอยู่ในโลกีย์ ไม่ยอมตื่นขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  การตื่นนี้ไม่ใช่การตื่นที่ลืมตา แต่การตื่นนี้เป็นการตื่นที่ใจ เมื่อรับรู้ในสิ่งที่โลกกำลังเป็นไป อย่างที่คนรอบข้างกำลังเป็นไป ต้องพร้อมที่จะช่วยผู้อื่น เช่นนี้จึงจะเรียกว่าจิตที่เมตตา ที่ปรากฏขึ้นในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ สภาพแวดล้อมต่างๆ บ่มเพาะศิษย์ของอาจารย์ให้เป็นคนที่จิตใจมีกิเลสมาก กิเลสนั้นได้แก่อะไรบ้าง (ความรัก โลภ โกรธ หลง)  ต้องท่องให้ขึ้นใจ เพราะว่า สี่อย่างนี้เราจะต้องทำอย่างไร (ตัดทิ้ง) คนที่ไม่ตัดเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นพุทธะกลับคืนไปแล้ว แต่ยังมีความรักอยู่ วันดีคืนดีจะมารักคนบนโลกอีกได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่ารักแล้วก็หลง เมื่อหลงจิตใจก็ไม่สว่าง เป็นพุทธะที่อับแสง เหมือนพระอาทิตย์ที่ลืมแสงสว่าง ถามว่าเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นพุทธะอยากมีเงินกองเท่าบ้าน อยากจะมีความโลภก็เที่ยวไปดึงความสุขของคนอื่นมาแล้วปล่อยให้เขาทุกข์ เป็นพุทธะอย่างนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  หากว่าพุทธะมีความโลภ เวลาที่ศิษย์ไปขอท่าน ท่านจะให้หรือไม่ เวลาที่เราไปไหว้พระมักจะขออะไร (หวย)  หัวหน้าชั้นนำไปขอหวยก็แย่แน่ คนที่ขอหวยแล้วแทงถูกทุกครั้งหรือไม่ (ไม่)  ส่วนใหญ่ถูก หรือโดนกิน (โดนกิน)  อยากรวยแต่เอาเงินไปให้เขากินจะรวยไหม (ไม่รวย)  คนที่ซื้อหวยแล้วอยากรวยเป็นคนมีปัญญาหรือไม่ (ไม่มี)  และจะบำเพ็ญได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นซื้อหวยรวยหรือจน (จน)  อยากรวยก็ต้องเลิกซื้อหวย แต่ถามว่าการที่เรามีความร่ำรวยเป็นลาภอันประเสริฐไหม (ไม่)  มีการขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สองคือ ขอให้สุขภาพแข็งแรง การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะฉะนั้นการขอให้สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ (ดี)  ถามว่าขอใครดี (ขอตัวเราเอง)  อย่าเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้เราร่างกายแข็งแรงได้ เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ก็คือตัวเอง อยากสุขภาพแข็งแรงเราก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่กินแต่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาเมื่อโรคภัยไข้เจ็บมาเราจะทำอย่างไร ต้องรู้จักรักษาร่างกาย รู้จักทำตัวเองให้ถูกวัฏจักรของความแข็งแรง ความแข็งแรงที่ดีที่สุดคือ การแข็งแรงที่ใด (จิตใจ)  ทุกวันนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่ว่าสิ่งที่อ่อนแอที่สุดอยู่ที่ไหน (จิตใจ)  จิตใจอ่อนแอเพราะอะไร สมมติว่าแอปเปิ้ลนี้คือร่างกายของคนๆ หนึ่ง  จิตใจก็คือแกนกลางใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่างกายอันนี้ คนๆ นี้มองผิวเผินร่างกายแข็งแรงไหม (แข็งแรง)  แต่จะรู้ไหมว่าข้างในอ่อนแอหรือแข็งแรง ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเปรียบเสมือนผลไม้ลูกหนึ่งที่โดนแมลงเจาะข้างนอก ก็คือสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ การไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง ข้างนอกไม่สวยแล้ว เพราะว่าโดนแมลงแทะเล็มไปหมดเลย เวลาที่เราโดนคนอื่นยั่วโมโห ก็โมโหใช่ไหม (ใช่)  ตรงนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ข้างในเปรียบเสมือนจิตใจก็คือแกนกลาง แกนกลางของเราอ่อนแอเพราะเรานั้นมีสิ่งหนึ่งที่มันกินมาจากข้างในก็คือกิเลสตัณหาต่างๆ ถ้าสมมติว่าภายนอกคนดูไม่ออก ดูสวยงามอย่างนี้ แต่ภายในของเราเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ร่างกายอันนี้จะแข็งแรงไม่ได้เลย ถ้าจิตใจของเรานั้นไม่รู้จักขจัดเชื้อโรคที่อยู่ในใจของเรา เชื้อโรคที่อยู่ในใจของเราก็มากมายเต็มไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  ขจัดเชื้อโรคตัวไหนก่อนดี (ความโกรธ, ความโลภ, ความพยาบาท)  มีกิเลสจากภายในมากมายที่เรารู้อยู่แล้วแต่เราไม่ยอมที่จะไปตัดมัน ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักเขา เรารู้จักแต่เรานั้นไม่เคยที่จะลงแรงไปตัดมันสักที รู้ว่ามีความโกรธ แต่ว่ามีขึ้นแล้วตัดได้ไหม  จะบอกให้ว่าความโกรธเกิดขึ้นมาศิษย์ก็รู้ แต่ว่าไม่รู้จักตัดเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ความโกรธเป็นอันตรายที่สุดต่อจิตใจของเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักระงับความโกรธของเราอันนี้ให้ดีๆ แม้ว่าคนจะนินทาว่าร้ายเราอย่างไร ก็ต้องรู้จักระงับจิตใจของเรานี้ให้สงบนิ่งเหมือนกับน้ำที่เรียบๆ ไม่มีคลื่น ความโกรธเมื่อลงไปนั้นเหมือนกับก้อนหินที่โยนลงไปแล้วน้ำเหมือนกับมีคลื่นมีวงขึ้น เพราะฉะนั้นเราทำจิตใจของเราให้นิ่งได้เหมือนกับน้ำที่เรียบๆ ทำได้ไหม (จะพยายาม) ก็ขอให้พยายามจริงๆ
การที่จะดูผลไม้จากเปลือกนอกนี้ ดูผิวเผินสวยใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันและสัมพันธ์กันนั่นคืออะไร เวลาที่จะมองผู้บำเพ็ญธรรมสักคนหนึ่ง มองที่หน้าตาเขาสวยหรือไม่สวยใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ต้องมองให้ลึกถึงจิตใจ ต้องดูให้ถ่องแท้ แต่ไม่ใช่ดูด้วยอคติต่างๆ นานาที่เรามี  อาจารย์จะยกตัวอย่างแอปเปิ้ลเหมือนเดิม แอปเปิ้ลลูกนี้เหมือนกับคนบำเพ็ญธรรมสักคนหนึ่ง เหมือนกับศิษย์ทุกคน มีคำพูดอยู่คำหนึ่งบอกว่า "คนเลวจะไม่น่ากลัวเมื่อเทียบกับคนที่เป็นบัณฑิตเก๊" เป็นคนที่ดีเก๊ๆ มองแล้วเหมือนดีแต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ดี  มีคัมภีร์เล่มหนึ่งบอกว่า การที่เรานั้นจะมองสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือหน้าตาเหมือนกัน ดูๆ แล้วคล้ายคลึงกัน เหมือนว่าจะดีแต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ดี เพราะฉะนั้นการที่เราอยากจะเป็นคนที่บำเพ็ญดีนั้นจะต้องบำเพ็ญดีจากจิตใจใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์ลองหยิบผลไม้ขึ้นมาสักลูก แล้วถามใจเราเองสิว่าเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นบัณฑิตเก๊หรือเปล่า เป็นคนบำเพ็ญเก๊ๆ หรือเปล่า  มองภายนอกแล้วดูดี สมบูรณ์ สง่างาม แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ดีแฝงเร้นเต็มไปหมด  หากว่าศิษย์ตั้งใจจะบำเพ็ญ ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ทิ้ง ก็นับเป็นบุญต่อตนเองและบรรพชน แต่หากไม่ใช่ เรายังจะบำเพ็ญธรรมแบบปลอมๆ นี้ไปเรื่อยๆ คือไม่ได้คิดที่จะตัดสิ่งใดให้เด็ดขาด ไม่คิดตัดกิเลสให้เด็ดขาดก็จะไม่มีผลเลยต่อการบำเพ็ญธรรมถึงบั้นปลาย  สุดท้ายแล้วศิษย์จะเป็นผู้รู้ว่าเรานั้นชั่วชีวิตนี้ที่ทำมามันเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นเมื่อคิดจะบำเพ็ญ เมื่อคิดตัดรักก็ต้องตัดจริงๆ เมื่อคิดตัดโลภก็ต้องตัดจริงๆ คิดตัดโกรธก็ต้องตัดจริงๆ คิดตัดหลงก็ต้องตัดจริงๆ  ราคะ ตัณหา ความพยาบาท ความโกรธ ความเกลียด สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เป็นธุลีที่ติดอยู่บนจิตใจของเราเองนั่นเองที่เราจะเป็นผู้รู้ดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องรอให้ผู้อื่นมาสะกิดมาเตือนไหม (ไม่ต้อง)  เรานั้นต้องเป็นผู้ที่ชำระล้างด้วยตนเอง กิเลสที่ติดอยู่ในใจเราก็เหมือนกับคราบสกปรกที่ติดอยู่บนพื้น เมื่อสิ่งสกปรกหกลงไปรดใหม่ๆ เราเอาผ้าเช็ดล้างทันทีง่ายไหม หากว่าปล่อยทิ้งไว้สองวันล่ะ ยากไหม (ยาก)  สามวัน (ยากขึ้น)  สี่วัน (ยากขึ้น)  ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว มีบางความสกปรกที่ติดตั้งแต่อายุสิบกว่า  บางความสกปรกติดตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า  บางความสกปรกติดตั้งแต่อายุสามสิบกว่า  จนกระทั่งตอนนี้ถึงเท่าไหร่แล้ว แล้วถามว่าไปเช็ดมันบ้างแล้วหรือยัง  ถ้ายังไม่เช็ดป่านนี้ก็มากมายไปหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกไว้แล้วเมื่อสักครู่นี้จำได้ไหม ให้ไปเริ่มตรงจุดที่เรานั้นเห็นชัดที่สุด แล้วขอให้เริ่มจริงๆ จังๆ  ไม่ใช่เริ่มเล่นๆ  วันนี้ทำ พรุ่งนี้ไม่เป็นไรปล่อยไปก่อน ก็ติดเป็นความสกปรกครั้งใหม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบไปแล้วเหมือนกินข้าวไม่ยอมล้างชาม ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  การบำเพ็ญธรรมนั้นคือการแก้ไขขัดเกลาตนเองให้สะอาดยิ่งขึ้น สะอาดด้วยความดี เมื่อเราขัดเกลาชะล้างสิ่งสกปรกที่เรานั้นเคยมีแต่เดิมทิ้งได้ การทำความดีครั้งต่อไปของเรานั้นก็จะ (มีคนยกย่อง)  มีคนยกย่องไม่ดี เพราะว่าเสียงยกย่องเวลาเข้าหูเราแล้วเรารู้สึกชอบ  แต่พอคนเขาว่าเราล่ะรู้สึกอย่างไร ถ้าคนเดิมเปลี่ยนมาเป็นต่อว่าเรา เราก็รู้สึกไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)   เพราะว่าเดิมทีนั้นเราชอบเราเลยมีความรู้สึกไม่ชอบ  เสียงที่มายกย่องเราก็เหมือนกับเสียงที่ผ่านหูเราไป เรายิ่งต้องคิดว่าเรานั้นดีได้อย่างที่เขาพูดจริงหรือไม่  มีคนเขาว่าเรา ทำอย่างไรดี (ทำเป็นไม่ได้ยิน)  เมื่อมีคนมาติเราทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้ โกรธได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาที่คนชมเรา รู้สึกชอบ เวลาที่คนเขาว่าเราเลยรู้สึกไม่ชอบ ต้องตัดทิ้งพร้อมๆ กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่คนเขาชมมาต้องน้อมรับด้วยอาการอันอ่อนน้อม แล้วบอกว่าขอบคุณ แล้วค่อยมาดูว่าเรานั้นเป็นจริงได้ดั่งที่เขาพูดหรือเปล่า มีตรงไหนที่ไม่สมควรแก่การยกย่อง เราควรที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอคนเขามาติเรา มาว่าเรา ไม่ว่าจะว่าแรงหรือว่าเบา เราควรที่จะทำอย่างไร (พินิจพิจารณา)  เวลาคนเขาว่าเราทำอย่างไรดี (ทำเฉยไว้) แสดงว่าโกรธใช่ไหม  ถ้าไม่โกรธก็ไม่ต้องทำเฉยใช่หรือไม่  เวลาคนเขาว่าเรา เราต้องยิ้ม เพราะเวลาที่คนเขาทำเฉยแล้วเป็นอย่างไร  เวลาที่คนให้สิ่งที่มีค่าหรือสิ่งที่ดีต้องทำอย่างไร  เวลาที่อาจารย์ให้ธรรมะไปแล้ว ให้ทุกทีไม่ต้องขอบคุณอาจารย์  แต่อยากให้ศิษย์ไปปฏิบัติและบำเพ็ญให้ดี ให้บรรลุถึงฝั่งนิพพาน ธรรมะที่รับไปแล้วนี่คือสิ่งที่มีค่า ที่เขาบอกว่ารับธรรมะแล้วสำเร็จถึงนิพพาน ไม่ใช่คำพูดที่โอ้อวดจนเกินไป  แต่ว่าจะถึงนิพพานหรือไม่อยู่ที่ศิษย์ เพราะว่าคนปฏิบัติคือศิษย์ ถ้าเราไม่ปฏิบัติจะถึงนิพพานหรือไม่ (ไม่ถึง)  ต้องอยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ตอนนี้ต้องให้คำตอบตนเองว่า ถ้าเราปฏิบัติเราจึงถึงนิพพาน ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่ถึงนิพพาน มิหนำซ้ำอย่างที่อาจารย์พูดไปเมื่อสักครู่ ถ้าปฏิบัติให้ภายนอกดูสวยงาม สมบูรณ์ แต่ว่าภายในไม่ได้รับการปฏิบัติเลย เป็นบัณฑิตเก๊ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าคนชั่วเสียอีก อยากให้ศิษย์นั้นกลับไปคิด ถ้าคนอื่นเขาว่าเรา เราต้องแก้ไขปรับปรุง เวลามองเห็นนิพพานก็มองเห็นอย่างนี้ เรามองเห็นอยู่ตรงหน้าแต่เรากลัวที่จะไปเอง จินตนาการว่านิพพานนั้นไกล แต่จริงๆ แล้ว คนที่ทำชั่วหรือทำไม่ดีมาก่อนหากสามารถกลับใจได้ทันทีก็คือนิพพานแล้ว แต่เราจะสามารถรักษานิพพานให้คงอยู่ตลอดไปได้หรือเปล่า บางคนมีนิพพานในใจเพียงแค่สองนาที บางคนหนึ่ง
ชั่วโมง คนที่เขาว่าเรา เราควรทำอย่างไร (ยิ้มรับ)  แต่ในใจเปลี่ยนเป็นพญามารหรือเปล่า ยิ้มรับแต่ใจต้องยิ้มด้วย (ต้องไม่เถียง)
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมทั้งสองข้างตอบคำถามพระอาจารย์ (ขอบคุณ, ขอโทษ, สำนึกผิด, ไม่แสดงกิริยาโกรธ, ปรับปรุงตัวเอง))  คำว่าปรับปรุงหลายคนฟังแล้วก็โมโหเหมือนกัน เถียงกลับเล็กน้อย แล้วกลับมาคิดกลายเป็นคิดมากแล้วไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข พอเราไม่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว คนนี้ว่าผ่านไป เราโมโหเสร็จเรียบร้อย คนต่อไปมาใหม่ ก็ยังว่าเรื่องเดิม เรายังไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขใช่หรือไม่ (ใช่)  เดิมทีแล้วถ้าเราคิดอย่างเป็นกลาง เราก็จะรู้ว่าเราเป็นอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ต้องรู้จักปรับปรุงแก้ไขตนเอง โดนคนเขายกย่องให้คิด คิดให้ออกว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่ว่ารับคำยกย่องมาด้วยใบหน้ายิ้มแต่เรานั้นยังทำไม่ได้อย่างที่เขาว่าเลยก็เป็นการรับคำยกย่องที่เรานั้นต้องละอาย  กลับกันในเวลาที่โดนคนอื่นเขาว่าเรื่องจะเถียง เรื่องจะโกรธ ไม่ต้องพูดถึง แต่ให้เรานั้นต้องกลับมาแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้คิดแล้วแก้ไขจึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
มนุษย์สมัยนี้ไม่ชอบให้ใครว่า จะว่าเล็กว่าน้อยหรือว่ามากก็ไม่ได้ทั้งนั้น ในที่สุดแล้วเวลาที่เราโดนคนอื่นว่าและเรารับไม่ได้ แล้วเราจะดีขึ้นจากตัวเราเองมองตัวเราเอง แล้วเราก็แก้ไขตัวเราเองหรือเปล่า แล้วในที่สุดเราจะแก้ไขตัวเราเอง โดยที่จะไม่ผ่านคนอื่นว่าเลยไหม มีทางไหม (ไม่มีทาง)  เพราะว่าเวลาที่คนอื่นว่าเรานั้นเปรียบเสมือนกระจกที่จะบอกเราว่าเรานั้นยังมีข้อเสียตรงไหน แต่ว่ากระจกที่ศิษย์ส่องอยู่ทุกวันนั้น ส่องให้เห็นแค่ความสวย ส่องให้เห็นการแต่งตัวที่เรียบร้อย หน้าดำหรือหน้าขาว คิ้วไปทางไหน ตาไปทางไหน สวยหรือเปล่า ส่องให้เห็นแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราหน้าบึ้งๆ มา กระจกตามบ้านมีข้อดีอย่างเดียว เวลาที่ศิษย์กำลังหน้าบึ้งโกรธใครมา ไปส่องกระจกดูสิ แล้วใบหน้าของเราจะกลับกลายเป็นยิ้มทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าอะไร  เพราะว่าเราไม่ชอบหน้าปีศาจที่อยู่ในนั้น เราชอบหน้าพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดกับใครเราจะต้องยิ้ม ถ้าเราทำหน้าดำคร่ำเครียดปั้นปึ่งกับตัวเองดูว่าเราจะชอบหรือเปล่า ฉะนั้นวิธีการแก้ไขความโกรธก็คือ เวลาที่เราโกรธเราก็มาส่องกระจกดูใช่หรือไม่ (ใช่)  ใบหน้าความโกรธและปั้นปึ่งก็จะกลายเป็นรอยยิ้ม มองในทางกลับกันมองผู้อื่นเขาจะบึ้งหรือเขาจะยิ้มให้ (ยิ้มให้)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องยิ้มให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะให้เขายิ้มให้เราจะต้องยิ้มให้เขาก่อน ถ้าหน้าตาไม่หล่อ แล้วหน้าตาบึ้งๆ เราจะยิ้มให้เขาไหม เพราะถ้าเรายิ้มให้เขาแล้ว เขาก็จะยิ้มให้เรา เวลาไม่ยิ้มให้เขา เขาก็ไม่ยิ้มให้เรา นี่คือธรรมชาติ การบำเพ็ญธรรมะก็เป็นธรรมชาติแบบนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราอยากจะให้จิตใจภายในของเราดีขึ้น เราก็ต้องเริ่มจากภายนอก เหมือนกับการที่เรายิ้มให้คนอื่นแล้วเขาก็ยิ้มให้เรา ถ้าเราอยากจะดีขึ้นที่ภายใน แล้วก็มาทำที่ภายนอกใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนแรกอาจจะยากอาจจะลำบาก ไม่ว่าจะตัดอะไรทำอะไร จะอยู่กับใครก็ยากไปหมด แต่เราต้องพยายามฝืนมันเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราโกรธจะให้เรายิ้มยากไหม (ยาก)  เหมือนกันเวลาที่เราทำความดี หรือบำเพ็ญก็มีความยาก เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้รู้จักพิจารณาตนเอง ต้องลำบากได้เพื่อคนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าสามารถลำบากได้เพื่อผู้อื่น ศิษย์ก็จะได้เป็นศิษย์พุทธะที่อยู่บนโลกดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาตั้งคำถามให้นักเรียนชายทุกคนในชั้นตอบ)  
"เวไนย" กับ "พุทธะ" ต่างกันตรงไหน (ไม่ทราบ)  มีคนจำนวนมากบนโลกที่บำเพ็ญธรรมแล้วตอบว่าไม่ทราบ สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพุทธะหรือว่าเป็นเวไนย (เป็นพุทธะ)  จะเป็นพุทธะได้จะต้องทำอย่างไรบ้าง (ต้องปฏิบัติตนให้ดี)  แล้วปฏิบัติตนได้ไหม ถ้าวันไหนปฏิบัติตนได้ดีวันนั้นก็เป็นพุทธะ เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติตนให้ดี (พระอาจารย์เมตตาพูดกับนักเรียนชายในชั้นใส่สร้อยคอมา)  คนสมัยก่อนทำสร้อยคอขึ้นมาเพื่อเตือนสติให้รู้ว่าเรานั้นยังมีห่วงคล้องคอ แต่คนสมัยนี้เอามาประดับร่างกาย แต่จริงๆ แล้วในความสวยงามต้องรู้จักคิดได้ ถ้าคิดไม่ได้แล้วจะเป็นห่วงเส้นใหญ่กับเส้นเล็กใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ใส่กันมากหรือเปล่า 
พุทธะกับเวไนยต่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น พุทธะคือผู้ที่ทำเพื่อผู้อื่น แต่เวไนยเป็นผู้ที่ทำเพื่อตัวเอง ทุกวันนี้เราทำเพื่อผู้อื่นหรือตนเอง  ถ้าทุกวันที่เราทำเพื่อตัวเองเราก็คือเวไนย ให้ตนเองนั้นมีทรัพย์สินเงินทอง ให้ตนเองนั้นหรูหรา มีบ้านหลังใหญ่โต ทุกวันก็คิดเพียงเท่านี้ ฉะนั้นความคิดของศิษย์จึงเป็นความคิดที่คับแคบ ขอให้ศิษย์นั้นหัดคิดเพื่อผู้อื่นบ้าง มีจิตที่เป็นพุทธะบ้าง แต่หากว่าเรานั้นมีความคิดทำเพื่อตนเองเท่านั้น เราจะกลายเป็นผู้ที่หลงในทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ ชื่อเสียงใช่หรือไม่ (ใช่)  พุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และทำเพื่อผู้อื่น หากว่าเรารู้จักทำเพื่อผู้อื่น เราก็จะเป็นผู้รู้ที่เป็นผู้รู้ เพราะไม่คิดถึงแต่ตนเองเพียงผู้เดียว จึงรู้มากกว่าคนที่คิดถึงแต่ตนเอง และตอนนี้จะถามว่าพุทธะทำอย่างไร ให้ศิษย์ของอาจารย์ลองชวนคนรับธรรมะดูสิ แล้วเราจะรู้ว่ากว่าที่เราจะมานั่งฟังธรรมะในวันนี้ คนที่ชวนเรามานั้นไม่ใช่ง่าย ต้องลำบาก นอกจากความสงสัยของเราแล้ว ความสงสัยนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เมื่อสงสัยแล้วให้รู้จัก
ไตร่ถามเพื่อรู้ให้ชัดเจน ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นผู้ศึกษาที่กระจ่างแจ้ง จึงจะเข้าสู่ปัญญาได้อย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่ว่านั่งอยู่เฉยๆ เพื่อตัวเองคนเดียวแล้วจะมีปัญญาได้ ผู้ชายนั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากกว่าผู้หญิง เพราะเรานั้นเป็นคนที่มีเรี่ยวแรง ไม่ใช่เวลาโมโหโกรธาก็ทำร้ายคนอื่น เวลาที่ทำร้ายคนอื่นก็เป็นบาปเป็นกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผู้หญิงนั้นก็ต้องมีปัญญาเหมือนกัน เพราะเรานั้นเป็นคนที่มีเรี่ยวแรงน้อย มีแรงน้อยจึงชอบใช้ปาก หากว่าเราพูดไปง่าย คนไทยเรียกว่าปากเบาใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักพิจารณาให้ดี ในการที่จะพูดหรือทำอะไรต้องพิจารณาใช้ปัญญาของเรา
(พระอาจารย์เมตตาตั้งคำถามให้นักเรียนหญิงทุกคนในชั้นตอบ)  ก่อนรับธรรมะและหลังรับธรรมะต่างกันอย่างไร (รู้สึกสว่างและเบาขึ้น, มีจิตใจดีขึ้น,มีทัศนะคติที่ดีขึ้น,รู้ทางเป็นพุทธะ,มีความงดงามในจิตใจ,มีความสบายใจ ) ก่อนที่เราจะรับธรรมะ ชะตากรรมชีวิตของเรานั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาเป็นผู้ลิขิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์หลายๆ คนก็เป็นผู้ที่หลงใหลทางด้านการดูดวงชะตา แต่หารู้ไม่ว่าชะตานั้นเกิดจากเราเป็นผู้กำหนดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในขณะนี้ศิษย์ของอาจารย์รับธรรมะแล้ว ไม่ว่าจะดีจะชั่ว จะขึ้นจะลง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเล็กกรรมใหญ่ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้น ชะตาชีวิตจะดีหรือไม่ดี สุขภาพร่างกายจะดีหรือไม่ดีใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเราเอง)  เพราะฉะนั้นนี่คือความแตกต่างโดยคร่าวๆ รู้ไหมว่าความสบายใจจริงๆ เกิดขึ้นได้ที่ไหน ศิษย์ของอาจารย์ที่นี่หลายคนนั้นผมที่อยู่บนศีรษะไม่ใช่สีดำแล้ว ออกจะขาวๆ ไปบ้างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าความสบายใจชั่วชีวิตของเรานี้มีได้เพราะว่าอะไร มารับธรรมะจึงจะมีความสบายใจใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  แต่ความสบายใจนั้นเราจะต้องเป็นผู้ที่หามาเอง หามาได้ด้วยการที่รู้จักปล่อยวาง ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางเราจะเป็นคนที่มีความสบายใจได้ไหม (ไม่ได้)  ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากศิษย์ไม่ทำใจของศิษย์ให้สบายด้วยการปล่อยวาง ทุกวันๆ ก็หมกมุ่นอยู่กับปัญหานั้น ทุกวันๆ ก็วางไม่ลงเหมือนกับเอาหินก้อนใหญ่มาแบกไว้ที่บ่า ถามว่าถ้าเราไม่เอาหินออกจากบ่าเราจะเบาได้ไหม (ไม่ได้)  บางครั้งเรื่องราวบางเรื่อง เรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันการแก้ปัญหานั้นต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ต้องละมุนละม่อม ต้องรู้จักการแก้ปัญหาด้วยการใช้สติปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  สติปัญญานั้นมีมากมาย ที่นี่ทุกๆ คนเมื่อตอบคำถามได้ก็คือมีปัญญา แม้ว่าจะมีมากหรือมีน้อยก็ไม่เป็นไร ขอให้เรานั้น รู้จักใช้ปัญญาน้อยๆ นี้ นำพาให้เราเดินไปบนเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเรานั้นมีปัญญามากมายเหลือเฟือก็เผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น ไม่ใช่ว่านำพาแต่เราคนเดียวเท่านั้นกลับคืนขึ้นฝั่งนิพพาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่รับธรรมะแล้วเราบำเพ็ญจึงจะหลุดพ้นได้ ศิษย์ของอาจารย์หลุดพ้นแล้วจะนำพาตัวเองคนเดียว หรือนำพาผู้อื่นขึ้นไปด้วย (นำพาผู้อื่นขึ้นไปด้วย)  การที่ศิษย์นั้นจะมีความเชื่อมั่น มั่นใจ เกิดความกระจ่างแจ้ง หายจากความสงสัยได้นั้นต้องให้เวลาตัวเอง ให้โอกาสตนเองที่จะศึกษาให้มากๆ และให้ถ่องแท้ถี่ถ้วน เปรียบไปแล้วเหมือนการที่เรานั้นจะทำนาสักผืนหนึ่ง เราได้เตรียมที่นาไว้ดีแล้ว ผลผลิตก็จะงอกงามขึ้นมาอย่างดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกัน คนที่ทำนาเหมือนกันแต่ไม่รู้จักเตรียมพื้นที่ให้ดี ถึงเวลาก็โปรยๆ หว่านๆ เหยียบๆ ย่ำๆ สองทีสามที ถามว่านาผืนไหนจะได้ผลดีกว่า (นาผืนแรก)  ศิษย์อยากจะได้นาผืนแรกหรือผืนที่สอง (ผืนแรก)  อยากจะได้นาผืนแรกต้องเหนื่อยกว่าผืนที่สองกลัวเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่กลัว)  ถ้าเรากลัว เราก็จะไม่ได้สิ่งใดที่ดีเลย 
บุคลิกภาพของผู้บำเพ็ญธรรมนั้นนอกจากจะต้องดูสะอาดสะอ้านด้วยการแต่งตัวที่เรียบร้อยแล้ว การที่เรายังต้องมีบุคลิกภาพที่ดูแล้วชายให้เป็นชาย หญิงให้เป็นหญิง แล้วทำให้คนนั้นชื่นชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญธรรมนั้นภาษาไม่ได้เป็นอุปสรรค อุปสรรคอยู่ที่การไม่ยอมเปลี่ยนแปลง นั่นจึงเป็นอุปสรรคที่แท้จริง ใครเอากำแพงมาขวางหน้าเราก็ปีนข้ามกำแพงได้ ใครเอาหินมาขวางหน้า เราก็เดินข้ามหินได้ ต่อให้เขาตั้งกำแพงเป็นกำแพงคน เราก็ข้ามได้ มีอยู่อย่างเดียวที่ข้ามไม่ได้คือใจของเราที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง เราข้ามไม่ได้ กิเลสที่อยู่ในตัวเรารู้จักเราดี ว่าต้องแหย่เราด้วยเงินเท่านี้ ถึงเวลาแล้วก็จะรู้สึกว่าอยากจะได้ หนึ่งพันไม่พอสำหรับคนนี้ต้องหนึ่งแสน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสรู้จักเราดี แล้วเรารู้จักกิเลสดีหรือเปล่า หันกลับไปมองกิเลส ตัณหา อารมณ์ ความอยากต่างๆ ที่เป็นของเรา เขารู้จักเราดีทำไมเราไม่รู้จักเขา
คนที่อยู่ที่นี่ คำว่า “กล้า” หมายความว่าอย่างไร  คำว่ากล้านั้นหลายๆ คน หนุ่มน้อยทั้งหลายความกล้ากับความคะนองไม่เหมือนกัน  ความกล้าหมายความว่าทำสิ่งใดก็แล้วแต่ไม่ละอายต่อฟ้านั้นจึงถือว่าเป็นความกล้า  แต่หากเราทำสิ่งใดด้วยความคึกคะนองให้เกิดสิ่งต่างๆ นานา อันนั้นไม่เรียกว่าความกล้า แต่เรียกว่าความบ้าบิ่น เพราะฉะนั้นความกล้าเป็นสิ่งที่ดีงาม ศิษย์ต้องรู้จักความกล้าให้ดีๆ รู้จักที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ให้ถูกต้อง เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน เจอหน้าใครไม่ต้องกลัว นี่จึงเรียกว่ากล้าหาญ
“ปัญญา” หมายความว่าอะไร ปัญญาหมายถึงสติที่ออกมาจากจิตใจอันดีงามของเรา สั่งให้เราทำการ อันนั้นจึงเรียกว่าเป็นปัญญาที่ออกมาจากจิตใจของเรา  ความคิดนั้นเป็นแค่เปลือกนอกของปัญญาเท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้นคำว่าปัญญา เรานั้นอยากจะได้ก็ได้ แต่ต้องผ่านการฝึกฝน ผ่านความยากหนึ่งครั้งก็จะเพิ่มพูนขึ้นหนึ่งครั้ง ปัญญาไม่ใช่ความฉลาด ไม่ใช่กลโกงเล่ห์เพทุบายที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้
เคยมีจิตใจหดหู่ไหม แก้ไขจิตใจที่หดหู่ของตนเองอย่างไร อาจารย์อยากถามว่าจิตใจหดหู่ตกต่ำนั้นศิษย์จะเปลี่ยนให้จิตใจเป็นไปในสภาพนั้นเป็นการสมควรไหม  บางครั้งก็คิดไม่อยากจะบำเพ็ญธรรม บางครั้งก็คิดอยากจะไปช่วยคนอื่น บางครั้งก็คิดว่าทำไมชีวิตทุกข์แท้หนอ จิตใจอันหดหู่ตกต่ำนั้นพาเราไปได้ทุกที่เลย ใช่ไหม  ถามว่าจิตใจหดหู่นั้นเราควรจะรักษาไว้หรือตัดทิ้งไป (ตัดทิ้งไป)  ศิษย์จะตัดจิตใจอันหดหู่นี้ด้วยอะไร (ด้วยการขัดเกลา)  ทุกวันนี้ก็เห็นมีความกล้าหาญทุกคน แต่ไม่เห็นว่าใครจะสามารถรอดหลุดพ้นจิตใจอันหดหู่ไปได้เลย เพราะอะไร  อาจารย์คงจะสอนให้ศิษย์น้อยไปนิดหนึ่ง เลยไม่รู้จักที่จะเอาชนะความหดหู่ของตนเองได้ ความหดหู่เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนมีใช่ไหม
ตอนที่ศิษย์ของอาจารย์หดหู่เป็นช่วงเวลาที่น่าสงสารที่สุด การเอาชนะความหดหู่นั้น เอาชนะด้วยกรอบประเพณี ความคิด หลักการที่ถูกต้อง หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่ศิษย์รู้จักทั่วไปก็คือศีล  ศีลคือกฎระเบียบอันถูกต้องที่เป็นกรอบให้ศิษย์เดินไปในทางที่ถูกต้องที่สุด แต่ศีลที่อยู่ในสถานธรรมที่ศิษย์รู้จักมีอะไรบ้าง ศิษย์ยังรู้จักศีลน้อยมาก  ให้ศิษย์ของอาจารย์ไปเริ่มต้นจากศีลห้าที่ศิษย์รู้จักกันดี เข้าไปถึงศีลที่ทาบเข้ากับจิตใจตนเองได้แล้ว แล้วรู้ว่าเราบกพร่องอะไรบ้าง ให้ไปเริ่มดูใหม่  ความหดหู่เป็นแค่อารมณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น  อย่าให้เอาความหดหู่นี้ทำลายศิษย์ของอาจารย์ทั้งชีวิต  ถ้าจะรอกำลังใจจากผู้อื่นก็อาจจะได้รับช้า ควรรู้จักให้ตนเองก่อน ไม่ต้องรอช้า
“อารมณ์เหมือนปีศาจร้าย” เวลาที่เรามีอารมณ์ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าโกรธมากก็เป็นปีศาจของความโกรธ ถ้าเราหลงมากเกินไป ก็หลับหูหลับตาเหมือนคนตาบอด เหมือนปีศาจอาละวาด ถ้าเรามีความเกลียดมากเกินไปก็เที่ยวรังควานผู้อื่น ก็เหมือนปีศาจอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ศิษย์นั้นจะเอาอารมณ์ไว้หรือตัดอารมณ์ทิ้งดี (ตัดทิ้ง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทชื่อเพลง : "จงเอาชนะจิตใจที่หดหู่" ทำนองเพลง : "สิ่งสุดท้าย")
อาจารย์ให้เอาชนะจิตใจที่หดหู่ จิตใจที่หดหู่เกิดขึ้นจากความท้อ เกิดความท้อเพราะเรามีอุปสรรค แต่ถามว่าอุปสรรคนั้นทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นหรือทำให้เราตกต่ำลง (แข็งแกร่งขึ้น)  อุปสรรคทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น เรานั้นจึงไม่สมควรไปรังเกียจอุปสรรคต่างๆ นานา บางอุปสรรคเป็นอุปสรรคที่จะมาล้างเคราะห์กรรมให้เราด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเรายิ่งควรขอบคุณอุปสรรคนั้นๆ ที่ผ่านมาในชีวิต แล้วเราจะแก้จิตใจหดหู่ได้อย่างไร
"แก้ไขร้ายอย่างห้าวหาญ" แก้ไขร้ายทำอย่างไร ห้าวหาญเป็นอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า ความกล้าคือการทำสิ่งใดก็แล้วแต่จะไม่เกิดความละอายใจ เพราะทำในสิ่งที่ถูกทำนองคลองธรรมที่สุด ทำในสิ่งที่สมควรที่สุด เปรียบเสมือนเวลาที่เราจะเข้าบ้าน เราจะเข้าทางไหน (ทางประตู)  เราจะปีนหน้าต่างเข้าหรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นการที่เราทำในสิ่งที่ถูกทำนองคลองธรรม คือการที่เรานั้นได้เข้าประตูบ้าน ไม่ใช่ปีนเข้ามาทางหน้าต่างบ้าน
"ล้วนมีต้นและมีปลาย" ปัญหาต่างๆ นั้นมีต้นและมีปลาย มีเหตุอันเกิดขึ้นและมีผลอันตามมา เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาต่างๆ ศิษย์จะไปแก้ที่ปลายได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แก้ที่ปลายเหตุ ถามว่าเราจะแก้ปัญหาได้สำเร็จหรือไม่ (ไม่สำเร็จ)
"หวนย้อนมองความพ่าย"  เมื่อไรที่เราแพ้ ไม่ว่าจะแพ้สิ่งใดก็ตาม เราหวนดูว่าเราแพ้เพราะอะไร
"อารมณ์เหมือนปีศาจร้าย" จิตใจที่หดหู่เกิดขึ้นจากอารมณ์ของเรา อารมณ์ที่ไม่คงเส้นคงวา อารมณ์ที่ถูกคนอื่นยั่วยุ อารมณ์ที่ถูกกิเลสยั่วยุ อารมณ์ที่ไม่พอใจ ไม่สมหวัง เพราะฉะนั้นวันนี้แก้ไขที่การปรับอารมณ์ของเราให้เป็นปกติ
"ศิษย์เอ๋ยอาจารย์แสนห่วง" ห่วงเพราะศิษย์ของอาจารย์นั้นโดยมากมายที่บำเพ็ญธรรมแล้วก็จิตใจหดหู่ได้ เวลาหดหู่ เวลาจิตใจตก ก็รู้สึกไม่อยากบำเพ็ญธรรมเลย แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ความคิดนี้ทำลายศิษย์ทั้งชีวิตได้ เพราะฉะนั้นอารมณ์เพียงชั่ววูบ อย่าให้เกิดขึ้นแต่ขอให้ดับไปโดยไว แต่ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์ไปแก้ที่ต้นเหตุของความหดหู่ อารมณ์ร้าย อารมณ์ปรวนแปรอันนั้นก็จะเอาชนะจิตใจตกต่ำอันนี้สำเร็จ แต่ว่ารักษานั้นอาจารย์นั้นอยากให้รักษาตลอดไป หลังจากที่ผ่านอารมณ์หดหู่ ชั่วร้ายอันนี้แล้ว ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ใช้ศีลเข้ากำราบ แล้วพาตนให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ไม่หลงผิดบ่อยครั้ง ไม่เผลอใจตามใจตัวเองบ่อยครั้ง ไม่เห็นแก่ตัวบ่อยครั้ง อาจารย์เชื่อว่าจิตใจหดหู่ตกต่ำอันนี้ก็จะห่างหายไป โดยเฉพาะคนที่มาบำเพ็ญธรรมแล้ว อย่าให้จิตใจหดหู่บ่อยครั้ง เพราะถ้าหากศิษย์หดหู่ เนื่องจากไม่อยากบำเพ็ญธรรมแล้ว ต่อไปก็หดหู่ไม่อยากจะมีชีวิต ต่อไปก็หดหู่ไม่อยากทำงาน นั่นเป็นหนทางแห่งนรกเลย ทราบหรือเปล่า (ทราบ)  (อาจารย์เมตตาสอนให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงธรรม)
การที่เราจะร้องเพลงธรรมะสักเพลงหนึ่ง จากการที่ร้องเพลงไม่พร้อมกันเลยให้มีความพร้อมเพียงกันได้ เกิดขึ้นได้จากการที่เรานั้นได้ร่วมแรงร่วมใจ ทำงานธรรมะนั้นก็เหมือนกัน ก็มีจุดยืนจุดหนึ่งที่เหมือนกัน เช่นเดียวกับการร้องเพลงธรรมะ ร้องให้จิตใจของเรานั้นสงบขึ้น การที่จะร้องเพลงธรรมะสักเพลงหนึ่ง ร้องพร้อมกันได้ก็ต้องอาศัยเวลา การบำเพ็ญธรรมนั้นก็เช่นกัน สองคน สามคน ห้าคน สิบคนย่อมมีจุดยืนที่เหมือนกันสักจุดหนึ่ง เอาจุดยืนอันนั้นมาเป็นสิ่งที่ร่วมกันทำงาน ไม่จำเป็นจะต้องเอาจุดยืนทุกจุดมาร่วมกันทำงาน ทุกวันนี้ก็อยากให้คนอื่นนั้นเขาเข้าใจเรา อยากจะใช้จุดยืนทุกจุดนั้นมาร่วมกันทำงานก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกันไม่หยุดไม่หย่อน แต่เคยหวนดูไหมว่าเรื่องราวที่เป็นความพ่าย เป็นการทะเลาะกันนั้น ดูว่าเราใช้อารมณ์หรือเปล่า ดูว่าเรานั้นใช้จุดยืนที่ดีของเราหรือเปล่า ใช้จุดยืนเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าใช้แล้วย่อมทำงานกันด้วยความราบรื่นสม่ำเสมอใช่หรือไม่ (ใช่) หลายๆ ครั้งที่อาจารย์มองเห็นศิษย์เผชิญปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นแรงกรรม ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุปัจจัย สังคม สิ่งแวดล้อมก็ดี อาจารย์อยากจะพูดอยากจะสอน แต่ก็จนด้วยคำพูด เพราะความจริงคนไม่ชอบฟัง พูดความเท็จไม่ทำให้ศิษย์พัฒนาขึ้น  ทำไมศิษย์ไม่รักตัวเอง ต้องรอให้อาจารย์พูด อาจารย์ว่า หมดทางแล้วหรือ มีทางแค่นี้ให้อาจารย์เลือกหรือ ตื่นด้วยตัวเองรู้ด้วยตัวเอง ก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยตัวของตัวเอง พึ่งตัวเองให้มาก คนอื่นเขาจะได้พึ่งศิษย์  อาจารย์ก็รอวันที่ศิษย์ของอาจารย์ จะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้บ้าง  อาจารย์ก็รอวันที่ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่เข้มแข็ง แต่ทุกๆ วันศิษย์ก็วุ่นวายกับอารมณ์ของตัวเอง การค้าส่วนตัว ความรัก โลภ โกรธ หลงของตัวเองที่ไม่รู้จักที่จะตัดให้ขาด ยากหรือง่ายอยู่ที่เรา อารมณ์จากก้อนใหญ่ กิเลสจากก้อนใหญ่ หรือจากเล็กๆ ก็เหมือนกัน ขอให้ปัญญาของศิษย์ที่เป็นมีดอันนี้มันคมตัดกิเลสที่เดียวก็ขาด ทำไมไม่ลงมีด ทำไมต้องรอให้คนอื่นเขาว่า รอให้เรื่องมันแดง ถึงจะรู้จักแก้ไขสำนึกได้หรือ ชีวิตนี้เหมือนฝันยังจำได้หรือเปล่าที่ศิษย์นี้เป็นเด็ก เรื่องที่ผ่านมาก็เหมือนเมื่อวานนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้ก็ไม่มีแล้ว  ทำไมต้องรอวันนี้ถึงตัดได้ เกิดขึ้นก็ตัดเลยไม่ได้หรือ  แม้ว่าจะห่วงศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นรุ่นน้อง ที่เป็นนักเรียนในวันนี้ หรือคนที่ยังไม่ประชุมธรรมก็ดี แต่อาจารย์บางทียังห่วงเขาน้อยกว่าศิษย์ที่ยืนอยู่ที่นี่เลย เพราะว่าเอาจริงเอาจังมาหลายปีแต่เหมือนไม่ได้อะไรเลย เหมือนเดินจนเหนื่อยแต่ยังเดินอยู่กับที่ไม่ไปไหนเลย  สงสารตัวเองบ้าง อารมณ์ก็ตัดได้ อัตตาก็ตัดได้ กิเลสก็หันหลังให้ไม่ยุ่งเกี่ยว อย่าเป็นทาสของอารมณ์กิเลสตนเอง  แล้ววันหน้าอาจารย์จะได้คุยกับศิษย์เรื่องใหญ่กว่านี้ ในวันหน้าจะคุยเรื่องการโปรดสามภพกับศิษย์ได้ จะได้บอกให้ศิษย์ช่วยอาจารย์บ้าง  ไม่ใช่มาทุกครั้งอาจารย์บอกให้ศิษย์ช่วยตนเอง แก้ไขตนเองแก้ไขให้ดีๆ อาจารย์เคยพูดอะไรกับศิษย์ไว้อาจารย์ก็จำได้ แก้ไขในสิ่งที่อาจารย์เคยพูดไปมันไม่ยาก ขยันมาห้องพระบ่อยๆ ทำในสิ่งที่ตนเองควรกระทำให้ตัวเองนั้นก้าวหน้ามากขึ้น
อาจารย์ให้ปัญญาไปแล้ว เวลาอยู่ร่วมกันเราอาจจะสูญเสียอะไรที่เราเคยมีเคยได้  แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เราสูญเสียไปนั้นมันอาจจะได้สิ่งที่ดีกลับมา
เมื่ออาจารย์จากไปแล้วหวังว่าวันหน้าไม่ว่าเราจะเจอกันที่ไหน เมื่อไร เจอกันเหมือนความฝัน อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นจะบำเพ็ญได้ดีสมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์ ช่วยตัวเองให้รอด วันหน้าเราจะได้คุยกันเรื่องใหญ่กว่านี้ เรื่องที่ช่วยผู้อื่น ไม่ใช่คุยแต่เรื่องอารมณ์ กิเลส ตัณหา ความอยู่รอดของศิษย์เท่านั้น แก้ไขตนเองให้ดีๆ  แม้ว่าศิษย์คนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ย่อมดีกว่าให้อาจารย์ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าศิษย์ทุกๆ คนจะดีขึ้น ขอเพียงคนเดียว ขอเพียงขณะเดียวแล้วรักษาขณะนั้นให้นาน ให้เป็นคุณธรรมที่ประกาศก้องได้ว่าเรานั้นเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ก็ดี มีความเมตตาก็ดี มีปัญญาก็ดี ขอเพียงอย่างเดียวก็พอนะ ลาก่อนศิษย์รัก


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พุทธะทั่วหน้า”

ด้วยใจมิยอมพ่ายพาฝ่าออกไป  ไม่มีอับจนหนทาง  อันใดไหนมาอาจขัดขวาง  ใช้ความดีสู้ไปทุกครา  พุทธะใหญ่ยิ่งจิตแห่งความหาญกล้า  ปัญญาล้างสิ่งที่ยังหนักใจ  คนจริงฤๅคล้อยตาม  ความทุกข์เคียงใกล้  ก้าวสำคัญสู่เป้าหมายมิเฉยอยู่
เวลามาให้สิ่งใหม่  วันใดท้อให้ตระหนักดู  ชีวิตคนดั่งเหมือนฝัน  เพราะดวงใจหดหู่ให้ร้าย  แก้ไขร้ายอย่างห้าวหาญ  ล้วนมีต้นแลมีปลาย  หวนย้อนมองความพ่าย  อารมณ์เหมือนปีศาจร้าย  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์แสนห่วง
เพลง : จงเอาชนะจิตใจที่หดหู่
ทำนองเพลง : สิ่งสุดท้าย
(ย่อหน้าที่ ๒ เป็นเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานต่อจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทจากย่อหน้าที่ ๑)


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา