วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

2542-05-01 พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง

วันเสาร์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒      พุทธสถานอิ๋งเซียน  ดอนเมือง
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

                ชะล้างใจดั่งฝนชะล้างฟ้า             ดวงปัญญามีทุกคนเร่งรู้ใช้
ทางโลกีย์ยิ่งเดินนานจะยิ่งไกล   กลับหลังหันฝั่งกว้างใหญ่เร่งไปเยือน
                                เราคือ
                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา           ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
                                ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง       ฮวา  ฮวา

                ชีวิตนี้มีสิ่งใดที่แน่นอน  ความทุกข์ร้อนไม่มีใครที่หลีกพ้น
ในชาตินี้เป็นโชคดีมีกายคน        ขออดทนบำเพ็ญธรรมให้แจ้งจริง
ทะเลทุกข์กว้างไพศาลน้องอยู่กลาง         ถูกขัดขวางด้วยกรรมสร้างแต่ก่อนเก่า
แดนนิพพานว่าไกลห่างไม่คว้าเอา           ด้วยตัวเราก่อนนี้ต่างเป็นพุทธะ
เชื่อหรือไม่เกิดมาแล้วต้องตายจาก         เรื่องพลัดพรากมีอยู่บ่อยจิตไยร้อน
ความทุกข์มากตัดไม่ขาดข่มตานอน       ชีวิตนี้ดั่งละครโปรดเห็นตาม
กรรมเล็กน้อยทยอยสร้างกลายกรรมหนัก             โลภโกรธรักขวางในจิตยากว่างว่าง
ขอให้รู้วิสุทธิอาจารย์ชี้หนทาง    โปรดได้จางกิเลสนั้นในใจตน
หากว่ารู้ใจดวงนี้ช่างมีค่า             ขอรักษาไกลมายาทุกข์ขื่นขม
หันหน้ามาสู้ความจริงบัวกลางตม            ช่างน่าชมโผล่พ้นน้ำไม่ยอมพ่าย
ในชาตินี้โชคดีเป็นมนุษย์             ฟ้าส่งสายทองสู่โลกอย่าสงสัย
ในใจนี้จงศรัทธาด้วยเปิดใจ        ความเข้าใจเป็นรากแท้การกลับคืน
ด้วยเวลามีน้อยนิดพิชิตใจ           อย่าบ่อยครั้งพ่ายใจตนยากรักษา
ความเป็นคนทุเลาลงคืออัตตา  คืนแดนฟ้าได้ด้วยพยายาม
กลางสังคมความหลากหลายน้องต้องสู้ จิตตื่นรู้ก็ดับลงดั่งเทียนดับ
เร่งจุดขึ้นการฝึกฝนดั่งมีดลับ      ขอเร่งนับอายุตนก็ใช่น้อย
วันเวลาไม่คอยคนหมุนเปลี่ยนไป             อันเภทภัยหนักขึ้นช่วยคนหลง
ดัดจิตใจแห่งตนนี้ให้คืนตรง       อย่าลุ่มหลงฝืนใจตนในคราวหลง
ในครานี้เป็นครั้งแรกมาประชุม  อย่าได้สุมใจโอนเอนลังเลหนัก
สามวันนี้มาให้ครบเพื่อประจักษ์               ขอให้รักตนเองเดินถูกทาง
จงตั้งใจศึกษาให้ถ่องแท้               ตั้งใจแก้ในสิ่งผิดอย่าถลำ
ในใจตนอย่าสุมไว้ด้วยเมฆดำ    รู้จักนำตนเองให้ถูกทาง
พุทธระเบียบจงรักษาให้เคร่งครัด             ดินหยิบมือรวมกันเป็นปฐพีกว้าง
สามัคคีมีใจเดียวหนึ่งแนวทาง   ด้วยการฟังอาจไม่ถ้วนเท่าลงแรง
ขอจงรู้รักษาโอกาสของตนเอง   แม้ว่าเก่งไม่อาจจะรอบด้านได้
ชีวิตคนบ้างสั้นบ้างยาวไกล         จะเป็นใครสั้นหรือยาวยากจะเดา
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้                ขอน้องพี่ฝึกฝนตนวันนี้เริ่ม
ใครไม่เคยแก้ไขวันนี้ประเดิม      ฟื้นญาณเดิมด้วยมุ่งมั่นไม่สายเกิน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๑ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒     พุทธสถานอิ๋งเซียน  ดอนเมือง
พระโอวาทพระนาจา

                จิตเบิกบานยาอายุวัฒนะ             จิตวิริยะกุญแจแห่งความสำเร็จ
จิตกลัดกลุ้มไม่ต่างกินบอระเพ็ด               จิตขมเข็ดอย่าผิดแล้วต้องผิดอีก
                                เราคือ
                นาจาน้อย                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา           ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

                ลิงน้อยแคล่วคล่องปีนป่าย          ตามต้นไม้ใหญ่เสรี
ฮึกเหิมลำพองตนนี่         ใต้หล้ามิมีกลัวใคร
แม้มีใครเตือนหวังดี        กลับหนีว่ามาวุ่นวาย
วันหนึ่งพลาดท่าตกไป   ในดงหนามใหญ่แหลมคม
ป่ายซ้ายป่ายขวาก็หนาม             ทิ่มตามกายใจทุกข์ขม
ประมาทไม่แคล้วเศร้าตรม          รู้ตนก็สายเกินกาล
แม้เรียนสูงล้ำเท่าใด       แม้ยิ่งยศใหญ่ห้าวหาญ
ก็เพียงด้านหนึ่งของงาน               ใช่ชาญทุกเรื่องรอบตัว
รักโลภโกรธหลงลวงตา  มายาพาตนสลัว
ไม่เผลอยึดหลงเมามัว   พาตัวให้ทุกข์ร่ำไป
เป็นคนแม้ถูกจำกัด         ไม่ตัดโอกาสจนไร้
เรื่องราวเรียนรู้แก้ไข       ยิ่งใหญ่ท่ามกลางเปลี่ยนแปลง
มนุษย์ประเสริฐปัญญา เมตตานำทางอย่างแสง
ตั้งใจบำเพ็ญมีแรง          มิแฝงทิฐิอัตตา
                                                ฮิ ฮิ  หยุด

พระโอวาทพระนาจา

วันนี้คงเอาหูมาฟังกันทุกคนใช่ไหม (ใช่อย่าเป็นคนที่หูหนวก มาฟังธรรมะแต่เหมือนไม่ได้ยินธรรมะ น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่แม้จะไม่เห็นว่าธรรมะมีตัวตนอย่างไร  แต่ตอนนี้ได้ยินเสียง ก็ใช้เสียงนี้มาคิดพิจารณา เสียงอาจจะนำพาให้เรารู้ถึงว่าธรรมะเป็นอย่างไรก็เป็นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่แล้วตอนนี้พอนึกออกหรือยังว่าเสียงที่ได้ยินธรรมะเป็นแบบไหนบ้าง  ฟังไปเกือบค่อนวันแล้ว  สิ่งที่ได้ยินพอเดาได้ไหมว่าธรรมะเป็นอย่างไร บางคนก็อาจจะยังไม่ชัดเจนสักเท่าไร  ยังดูไม่ออก เดาไม่ถูกว่าธรรมะจะเป็นรูปอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ก็คิดว่าคงดีไม่ใช่น้อย  เพราะหากธรรมะไม่ดีจริงคงไม่มีผู้ปฏิบัติธรรมมายืนข้างๆ ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรา ใช่หรือเปล่า (ใช่อย่างนั้นก็แปลว่าต้องมีอะไรดีสักอย่างหนึ่ง  เพราะว่าเสียงนำพาให้ท่านมานั่งตรงนี้ได้  และก็เพราะเสียงข้างหน้าทำให้ท่านต้องอดทนนั่งตรงนี้ให้จบวันให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่นอกจากเสียงแล้ว เรามาเราก็ไม่ได้เอาหูมาเพียงอย่างเดียว  เรามีตัวมา เราก็ต้องมีใจมาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่แม้จะถูกบังคับ ก็ต้องมาทั้งกายและใจใช่หรือเปล่า ( ใช่)
จิตกลัดกลุ้มไม่ต่างจากกินอะไร (ยาขมความกลัดกลุ้มก็ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ต่างจากกินบอระเพ็ด ทุกคนชอบอมบอระเพ็ดไหม (ไม่ชอบถ้าอย่างนั้นต่อไปท่านต้องไม่กลุ้มใจอีกนะ
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่อยู่อีกห้องหนึ่ง)
ร้อนไหมตรงนี้ (ไม่ร้อนอยู่ตรงนี้ต้องเสียสละหน่อย ไม่เป็นไรนะ นั่งก็ร้อนกว่าเขาใช่หรือไม่  แม้จะไม่เห็นภาพจริงๆ แต่เห็นในจอก็คงไม่เป็นไร การเป็นผู้บำเพ็ญ อย่างน้อยต้องฝึกเสียสละเป็น ใครไม่กล้า เราต้องกล้าก่อน
คนเราอยู่ในโลกนานเข้าก็มักจะลืมความเป็นตัวของตัวเอง เหมือนเราอยู่ในโลก พอนานเข้าแล้วเราเป็นคนอย่างไร บางทีก็ลืมออกบ่อย บางทีเราดำเนินชีวิตไป จริงๆ แล้วเราชื่ออะไรกันแน่ ตอนแรกเรามีชื่อหนึ่ง แต่พออยู่กับเพื่อนเขาก็ตั้งฉายาให้เราใหม่
อยู่ในโลกนี้ ใครๆ ก็ชอบเป็นคนเด่นคนดังใช่หรือไม่ (ใช่แต่เด่นหมายถึงมีหลายคนหรือมีแค่คนเดียว (ถ้าเด่นแล้วอย่าให้เด่นเกิน เด่นเกินแล้วจะเป็นภัยบางครั้งก็เด่นได้คนเดียว บางครั้งก็เด่นได้เป็นกลุ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่แต่การจะทำตัวเด่นได้ เราก็ต้องดูด้วยว่าเราอยากเด่นแบบไหน และเราต้องมีจุดเด่นด้วย  อย่างเช่นมีความรู้ มีความสามารถ มีการแสดงออกที่ไม่เหมือนใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่เด่นดังก็ต้องเป็นการเด่นดังที่ดี  วันนี้เรามาศึกษาธรรมะ จะเด่นดังก็ต้องเด่นดังที่ดี  แต่ในการศึกษาธรรมะที่แท้จริงแล้ว ไม่เด่นดังเลยย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่อย่างที่ศิษย์น้องท่านหนึ่งบอกไว้ ไม่เด่นเลยย่อมลดภัยให้น้อยลง แต่ใครบ้างที่รู้แล้วจะทำได้ เวลาตัวเองได้แสดงความสามารถในสิ่งที่คนอื่นทำเป็นไม่ได้ เรารู้สึกดีใจและภูมิใจใช่หรือเปล่า (ใช่แต่คนเราจะมีความรู้ความสามารถเรื่องอะไรก็ตาม เราต้องผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ ใช่ไหม (ใช่)
 เหมือนวันนี้จะสามารถรู้ธรรมะได้ หรือเข้าใจธรรมะที่วันนี้มาศึกษา จะนำไปบำเพ็ญ จะนำไปปฏิบัติในสังคมได้ เราก็ต้องเรียนรู้ก่อน  แต่เรื่องราวในโลกนั้น เราต้องเรียนรู้เกือบหมดทุกอย่างเลย ไม่มีใครที่รู้ได้โดยไม่ต้องเรียน  การจะเรียนรู้ได้นั้น เราต้องมีใจรักที่จะเรียน และมีใจที่จะศึกษา อดทน พยายามจนถึงความเข้าใจ แล้วลงมือปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้ก็ไม่เรียกว่าเป็นคนที่ทำได้ แต่ต้องปฏิบัติจนมีประสบการณ์มากๆ จนเกิดความชำนาญได้  จึงจะสามารถเรียกว่าเราเป็นผู้ที่เก่งหรือมีความรู้อย่างแท้จริง  แต่คนส่วนมากมักไม่เป็นอย่างนี้ มักชอบรู้โดยอ้อม  แล้วบอกว่าฉันรู้ การที่มีคนมาบอกว่าธรรมะเป็นอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกว่าฉันรู้แล้ว ไม่ไปร่วมศึกษาหรอก อย่างนี้เรียกว่ารู้ได้ไหม (ไม่ได้บางครั้งเขาบอกว่าอ่านหนังสือเพียงสองสามหน้าก็รู้แล้ว จริงๆ แล้ว ท่านรู้ถึงแก่นแท้ธรรมะจริงๆ หรือไม่ (ไม่รู้) น้อยคนนักที่จะรู้ถึงแก่นแท้  มักจะรู้กันแค่เพียงผิวเผินหรือเปลือกนอก ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนวันนี้เราถามท่านอย่างหนึ่งว่าธรรมะที่ท่านเคยศึกษามาคืออะไร (ธรรมะคือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติแต่ถ้าลูกมีหน้าที่ปฏิบัติ แต่เขาปฏิบัติผิดทาง เรียกว่าธรรมะได้ไหม (ไม่ได้ก็แปลว่าธรรมะที่เรารู้เป็นแค่กรอบนอกเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่บางคนบอกว่าธรรมะก็คือธรรมชาติ อย่างนั้นการที่เราปล่อยตัวเองไปตามอิสระ อยากตีเขา ฉันก็ตี  อยากไปเที่ยวก็ไปเที่ยว  อย่างนี้เรียกธรรมะได้ไหม (ไม่ได้อย่างนี้ธรรมะที่แท้จริงคืออะไร หากศิษย์น้องตอบได้ก็แสดงว่าน้องเข้าใจถึงแก่นแท้ แต่ถ้ายัง
ตอบได้แค่เพียงรูปหรือลักษณะแสดงว่ายังไม่เข้าใจแจ่มชัด  เหมือนการทำความดีคืออะไร เราก็รู้แค่เพียงไม่ประพฤติผิดเท่านั้นเองเรียกว่าทำความดี แต่จริงๆ แล้ว ยังมีองค์ประกอบ ยังมีรายละเอียดย่อยเข้าไปอีก  ฉะนั้นอย่าคิดว่าสิ่งที่ตนเองศึกษาหรืออ่านมานั้นจะเรียกว่ารู้ทั้งหมด  บางทีไม่ใช่ต้องผ่านการลงมือปฏิบัติ ผ่านประสบการณ์แล้วมีความเจนจัดชำนาญ ถึงจะเรียกว่าเรารู้เรื่องนั้นอย่างแท้จริงใช่หรือเปล่า (ใช่เหมือนเรารู้ว่าการบำเพ็ญธรรมะคืออะไร เราต้องศึกษาให้เต็มที่แล้วนำไปปฏิบัติ ไปลงมือทำ เราจะยิ่งเข้าใจยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าวันนี้ศิษย์พี่บอกว่าธรรมะก็คือ สิ่งๆ หนึ่งที่มนุษย์ควรปฏิบัติแต่ต้องปฏิบัติให้ถูกทำนองคลองธรรมไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึก ไม่ผิดต่อความผิดชอบชั่วดีของสังคมแล้ว หากศิษย์น้องทำได้ก็เรียกว่าการปฏิบัติซึ่งธรรมะ แต่ต้องเป็นไปอย่างธรรมชาติ กลมกลืนและสอดคล้อง อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าธรรมะโดยแท้จริง แต่คำพูดก็ยังเป็นเพียงตัวอักษร ยังไม่เรียกว่าธรรมะจนกว่าคนๆ นั้นจะปฏิบัติจริงๆ
ศิษย์พี่จะยกตัวอย่างให้ฟัง  มีเศรษฐีอยู่คนหนึ่งเป็นคนที่ร่ำรวยมาก มีทรัพย์ทุกอย่าง แต่ว่าเศรษฐีมีข้อด้อยอยู่ข้อหนึ่งคืออ่านหนังสือไม่เป็น แต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองอ่านไม่เป็น เพราะว่ากลัวขายหน้า กลัวลูกหลานจะว่าเอา  วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งอยากจะยืมม้าจากเศรษฐี จึงส่งจดหมายฝากให้คนใช้มายืม แล้วบอกคนใช้ว่าเมื่อได้ม้ามาแล้วให้ขี่ม้าตัวนี้กลับบ้านไป เศรษฐีก็แกล้งทำเป็นอ่านรู้เรื่อง ทำปากขมุบขมิบ แล้วเศรษฐีก็บอกว่าเดี๋ยวเราจะไปกับท่านเอง บางครั้ง ความรู้ของเราที่เราคิดว่ารู้ บางทีก็ไม่รู้จริงเสมอไปใช่หรือไม่ (ใช่เราควรจะยอมรับหรือเปิดออกกว้างบ้าง เมื่อเราไม่รู้ก็ต้องยอมเป็นผู้อ่อนน้อมบอกเขาว่าไม่รู้ ก็ไม่เสียหายอะไร  ไม่เช่นนั้นชายคนใช้ที่เขาให้มาเอาม้าก็คงต้องขี่เศรษฐีกลับไปใช่หรือเปล่า (ใช่บ่อยครั้งที่เรามักจะยึดมั่นสิ่งที่ตนเองรู้ สิ่งที่ตนเองเข้าใจว่าตนเองรู้แล้ว เก่งแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราก็มักจะทำให้คนอื่นทำได้กับเรื่องของเราที่เราคิดว่าเก่งใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์น้องในที่นี้คงไม่ยอมให้ตัวเองเป็นแบบนั้นดีหรือไม่ (ดีแม้จะอ่านหนังสือธรรมะหรืออ่านคัมภีร์อะไรมามากมาย แต่วันนี้ทำเป็นผู้ไม่รู้บ้างจะดีไหม (ดีแม้จะเป็นคนที่อยู่ในสังคมเก่งกล้าสามารถแต่วันนี้ยอมเป็นผู้ไม่เก่งได้หรือไม่ (ได้
แก้วน้ำจะสามารถรับน้ำได้ต้องเป็นแก้วน้ำที่ว่างสักนิดหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ว่างทั้งหมดแต่ก็ขอให้มีที่ว่างสักนิดหนึ่ง  อย่าให้ศิษย์น้องเป็นแก้วที่ไม่รู้จักเป็นแก้ว นั่นก็คือเป็นคนที่ไม่รู้จักค่าของคน อย่างนั้นน่าเสียดายที่สุด  แก้วมีคุณสมบัติตรงที่สามารถรองรับสิ่งต่างๆ ได้ คนก็เฉกเช่นเดียวกันต้องสามารถรองรับสิ่งต่างๆ ได้ อย่าอยู่บนโลกนี้แต่ไม่ยอมรับอะไรเลย เช่นนั้นเขาก็ไม่มีค่าอะไร  เหมือนแก้วตันๆ  ตอนนั้นคงไม่มีใครเรียกท่านว่าแก้ว  อาจจะเรียกเป็นอิฐ หรือเป็นหินที่ไม่มีคุณค่าก็ได้ 
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงท่าทางประกอบบทพระโอวาทที่ท่านให้)
 ตอนที่เราเพิ่งเกิดมาเราได้เรียนรู้ แต่ยังไม่มีโอกาสไปเผชิญโลก เรามักจะมั่นใจว่าสิ่งที่เราเรียนรู้หรือมั่นใจในตนเองว่าแน่พอ ถ้าไม่แน่พอก็ไม่กล้าออกไปข้างนอก ไม่กล้าไปเจอใคร  แต่พอออกไปแล้วเราถึงได้รู้ว่าจริงๆ ที่ว่าแน่แล้ว ยังมีแน่กว่า ที่ว่าเก่งแล้วก็ยังมีเก่งกว่าเราใช่หรือไม่ เพราะมนุษย์โดยทั่วไปเหมือนกบน้อยๆ อยู่ตรงนี้ก็คิดว่าตนเองใหญ่แล้ว ลืมมองไปว่าข้างหน้ายังมีที่ใหญ่กว่าอีกใช่หรือไม่  การมีความสุขตรงนี้คิดว่าเป็นอย่างไร อีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือการไม่รู้จักพอของตัวเราด้วย ทำให้เรามักจะไม่มีความสุขในการยืนอยู่ตรงนี้ เรามักจะไปหาสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่ก้าวหน้ากว่าใช่หรือไม่ (ใช่สิ่งที่ทุกคนไปหาเป็นจุดมุ่งหมายที่ดี แต่การหานั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นการหาเพื่อพัฒนากาย พัฒนา ยศถา พัฒนาทรัพย์สินมากกว่าที่จะเป็นการหาเพื่อพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้าขึ้น ให้ดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่มีใครบ้างที่ออกไปแล้วสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ ออกไปจากบ้านครั้งหนึ่งก็เป็นอีกแบบหนึ่ง รับมาอีกเรื่องหนึ่ง ออกไปสิบครั้งกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ แล้วการออกไปอย่างนี้แปลว่าเราจะโทษสภาวะข้างนอกอย่างเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้) อยู่ที่เราต่างหากว่าเราจะเลือกสรรกับชีวิตตัวเองอย่างไร แม้สภาวะแวดล้อมจะเลวร้าย แต่คนสามารถเอาชนะได้ จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า สถานการณ์สร้างวีรชน  แต่ในทางกลับกันวีรชนที่เก่งจริงๆ ก็สามารถสร้างสถานการณ์ให้กับตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แม้เราจะไม่ได้เป็นวีรชน แต่ขอเพียงเรามีปัญญามีความมุ่งมั่นจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ยากจะเปลี่ยนแปลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แม้เราจะไม่ใช่วีรชน แต่ขอเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวในการกระทำ ไม่ถูกสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงชักพา ไม่ติดยึดอยู่กับโลกีย์วิสัย หรือกระแสความนิยม แม้อยู่ที่ไหนเราก็สามารถเป็นคนอย่างนั้นได้ ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ใช่หรือไม่
 ทำไมใครๆ ก็พูดว่า เราก็เป็นคนดีได้ เป็นพุทธะได้ แต่เพราะอะไรเราถึงไม่สามารถเป็นคนดีได้ เป็นพุทธะได้ ออกไปทีไรก็กลายเป็นคนไม่ดีอยู่ร่ำไป ออกไปทีไรก็ไม่รู้จักตัวเองมากขึ้นอยู่ร่ำไป นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่สามารถประคองจิตใจของตนเองให้เป็นหนึ่งได้ตลอดเวลา เจอเรื่องหนึ่งก็เปลี่ยนไปแบบหนึ่ง เจออีกเรื่องหนึ่งก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง แล้วอย่างนี้อายุร้อยปี ต้องเปลี่ยนร้อยปีตามอายุหรือ ก็คงไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่ดังนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกเราต้องมีจุดหมายแนวทางให้กับชีวิตเราด้วย ไม่ใช่ปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง เช่นนี้เราก็คงเป็นเหมือนน้ำที่ขึ้นๆ ลงๆ มาแรงก็ไปแรง มาเบาก็ไปเบา ฉะนั้นวันนี้ศิษย์น้องมาก็ขอให้รู้ว่าเราต้องมีจุดหมายให้กับชีวิต นี่คือสิ่งหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากจะบอก จุดหมายในการที่จะเป็นคนที่ดีและบำเพ็ญตนเองได้ ทำได้หรือเปล่า (ได้) ศิษย์พี่เชื่อว่าศิษย์น้องทุกคนทำได้ แต่ต้องลงแรงมากๆ โดยการทำความเข้าใจให้แจ่มชัด แล้วค่อยลงมือปฏิบัติอย่างถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่)
ลิงตกหลุมแห่งหนามแล้วไม่สามารถเอาตัวรอดได้ แต่คนมีสติปัญญามีความแตกต่างจากลิง ขอเพียงไม่ท้อถอย มีความอดทน เราย่อมฝ่าขวากหนามความยากลำบากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่มั่นใจกำลังตัวเอง มั่นใจสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำ แม้มีความอดทนมีสติปัญญา หากไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำก็ทำไม่สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นต้องมีความมั่นใจลงไปด้วย คนสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะได้ แล้วคนก็สามารถจะอยู่กับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดอย่างนี้ ถ้าโลกเลวร้ายศิษย์น้องสามารถเปลี่ยนโลกให้ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แปลว่าศิษย์น้องสามารถเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมให้ดีขึ้นได้ โดยการทำอย่างไร (ช่วยกันทำจิตใจให้งดงาม, มีเมตตากรุณา) ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดอย่างนี้ โดยส่วนมากแล้ว ถ้าศิษย์น้องเรียนรู้เรื่องการปฐมพยาบาล ก็จะต้องทำการปฐมพยาบาลเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์มีสติปัญญาแม้จะไม่ได้ทำงานปฐมพยาบาล แต่ไปทำงานวิชาการ ศิษย์น้องจะสามารถแปรสภาพให้ตนเองทำตรงนั้นได้ไหม (ได้)  เราไม่ใช่ลิงเราไม่ใช่ม้าแต่มนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ประเสริฐตรงที่มีปัญญา มีความสามารถ และรู้จักปรับตนเองให้สอดคล้องเป็น ขอเพียงเชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ สิ่งต่างๆ ที่ลำบากที่สุดย่อมกลายเป็นง่ายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนตอนนี้ตัวเองคิดว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะบำเพ็ญ แต่ถ้าถามจริงๆ แล้ว ให้ศิษย์น้องลองไปศึกษาไปทำความเข้าใจ แม้จะไม่เหมาะก็เหมาะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญได้หรือไม่ จริงๆ แล้วก็คือบำเพ็ญได้ ในเมื่อเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ ทำไมกับคนอื่นเราจะเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ที่ว่าศิษย์น้องจะลงมือกระทำหรือไม่ การบำเพ็ญนอกจากเปลี่ยนแปลงให้ตนเองเป็นคนดีแล้ว ยังสามารถนำพาคนอื่น หรือเป็นแบบอย่างให้คนอื่นบำเพ็ญดีตามด้วย
โลกนี้มีทั้งดีและร้าย ตัวเราเองก็มีทั้งดีและร้าย เราจะสามารถบำเพ็ญตัวเองอย่างไร ให้มีแต่ดีแล้วร้ายไม่มี (ปฏิบัติธรรม) นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะเลือกสิ่งใดในการดำเนินชีวิต หากเลือกคุณธรรมเวลาตัดสินใจเลือกความดีความถูกต้องในการดำเนินชีวิต เราย่อมเป็นคนบำเพ็ญได้ แต่ถ้าเลือกอารมณ์เลือกกิเลสตัณหา เลือกความอยาก ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง โอกาสที่จะดีก็น้อยลงไปอีกนิด ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราเลือกความโกรธ โอกาสที่เราจะดีก็น้อยไปส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง โอกาสที่จะบำเพ็ญดี ก็น้อยลงไปอีกสี่ส่วน ฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมขอให้เบาเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่เราจะทำได้ไหม (ทำได้)  ถูกรักหลงเกาะกินใจ คนตาบอดน่าสงสารเพราะเขาไม่รู้ เขายากจะรู้ ตอนนี้ทุกท่านไม่ใช่คนตาบอด ฉะนั้นอย่าทำตัวเองให้เหมือนคนตาบอด
 เราอยู่ในโลกเราสามารถมีวิถีทางที่จะเอาชนะกิเลส ชนะอารมณ์ ชนะความโลภได้ เรามักจะทำตนเป็นคนตาบอดคลำช้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้มีความสุขได้ แต่ถามว่าความสุขที่มีได้นั้น ใครสามารถจับได้ว่ามาจากสาเหตุใด ทำไมวันนี้ถึงรอดปลอดภัยมีชีวิตครบสมบูรณ์  ไม่เจ็บป่วย ไม่มีทุกข์ ไม่มีใครมาทำร้าย ไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา ทำไมถึงรอดมาได้ หากเราสามารถกุมวิธีนี้ได้ แล้วเอาไปใช้ตลอดชีวิต เราจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในการดำเนินชีวิต หรือเรียกง่ายๆ ว่าเราจะเป็นคนที่สามารถบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่ง แต่หลายคนพอดำเนินชีวิตผ่านมาได้วันหนึ่งก็ดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะมีสักกี่คนที่ถอนหายใจแล้วรู้ตัวเองว่าวันนี้รอดมาได้ก็โชคดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วถ้าคนสำนึก แล้วรู้ค่าของชีวิต เขาจะรู้ว่า วันนี้ผ่านมาได้นั้นช่างโชคดีจริงๆ  ไม่เจ็บป่วย ไม่ถูกรถชน ไม่ถูกเขาต่อว่า   ไม่ถูกเขานินทา ไม่ถูกเขาเหยียบย่ำ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจเหตุผลแล้วยึดกุมวิธีนั้นมาใช้ตลอดชีวิตกันได้บ้าง คงมีน้อย ศิษย์น้องทุกคนมีแต่ตาบอดคลำช้างไปเรื่อยๆ  หรือไม่ก็ตามัวไปเรื่อยๆ รู้แล้วว่าการบำเพ็ญนั้นดี แต่ยังหยุดไม่ได้ ต้องขอรักต่อ ขอโกรธอีกนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายท่านหนึ่งใส่วิกใส่กระโปรง เอาหมอนมาใส่ในเสื้อให้ดูอ้วนแล้วให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมอีก ๔ ท่านปิดตา แลัวให้มาจับเพื่อทายดูว่าเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ อ้วนหรือมีครรภ์)
 หากชีวิตเราเป็นแบบนี้ เราจะเป็นอย่างไร  การเรียนรู้อะไรอย่างหนึ่ง บางครั้งเราจะอาศัยแค่การจับ หรือความเข้าใจของเราอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีประสบการณ์ที่เคยผ่านมาในชีวิตมาบวกกันด้วย จึงทำให้สามารถเดาได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร  แต่ชีวิตของศิษย์น้อง การใช้คำว่า น่าจะเป็น ไม่ควรที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต เราดำเนินชีวิตโดยไม่มีหลักการในการดำเนิน โดยไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีแนวทางในการดำเนิน ดำเนินโดยใช้ประสบการณ์ หรือการกะประมาณเอาได้หรือไม่ ดำเนินชีวิตโดยใช้การผ่านไปวันๆ ได้หรือไม่ (ไม่ได้แปลว่าเราต้องรู้จักยึดกุมวิถี คุมการดำเนินชีวิตให้เป็น  แล้วรู้ด้วยว่าจะเอาวิถีอะไรมาดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่
ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร จะต้องรู้ที่มาและที่ไป เพราะเรื่องราวในโลกทุกอย่างนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุไม่มีผล  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป  ฉะนั้นในการดำเนินชีวิต ขอให้เราพิจารณาไตร่ตรองให้ดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานั้นเพราะอะไร มองให้ออกแล้วดูให้แจ่มชัด  เมื่อดูให้แจ่มชัดแล้ว เราจะสามารถนำพาตนเองไปได้ถูกแนวทาง ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนคนยิงธนูวันนี้เผอิญศิษย์น้องยิงได้ตรงเป้า  จะเรียกว่ายิงเป็นได้หรือไม่  วันนี้เผอิญว่าเรามีความสุขในการดำเนินชีวิตเหลือเกิน จะเรียกว่าเรามีความสุขในการดำเนินชีวิตได้หรือไม่  ก็ยังไม่ได้  แต่คนที่รู้จักระมัดระวังในการดำเนินชีวิตได้ ต้องกุมแนวทางในการดำเนินชีวิตนั้นเป็นด้วย  จึงจะเรียกว่าเป็นอย่างแท้จริง  แล้วนำพาชีวิตได้อย่างถูกทางและมีความสุขใช่ไหม
มนุษย์เราแม้จะมีร่างกายและมีความสามารถบางอย่างที่จำกัด มีบางโอกาสที่จำกัดไม่เอื้ออำนวยที่จะทำให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เรามีปัญญาความคิดความสามารถไม่จำกัดเลย ขอเพียงเรามีความพยายามความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ เราย่อมสามารถดำเนินชีวิตแล้วมีความสำเร็จได้บำเพ็ญได้ ใช่หรือเปล่า  แม้โอกาสจะไม่เอื้ออำนวย แม้ทางบ้านจะไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเรามีใจอยู่บ้าง รู้จักพลิกแพลงบ้าง เราก็สามารถนำมาสร้างสิ่งที่ดีได้ ใช่หรือไม่  เพราะถ้าเราบอกว่าเราจะมาบ้านเพื่อน เราก็มาบ้านเพื่อนจริงๆ แล้วก็มาช่วยงานธรรมะ มาฟังธรรมะ  การฟังธรรมะ มาทำสิ่งที่ดีถึงพ่อแม่รู้ก็คงไม่ว่าใช่หรือไม่  แต่เดี๋ยวนี้บางคนยังเลี้ยงลูกไม่เป็น ห้ามเกินขอบเขตจนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก เหมือนตัวเราเองในบางครั้งแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรดีอะไรร้าย ใช่หรือไม่
วันนี้มาก็ยังลังเล จริงๆ เท็จๆ เถียงกันอยู่ในใจ ใช่หรือเปล่า  บางทีเราก็ยังไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร เพราะเราจะเจอคนที่ต่างแบบ เราคิดว่าแบบนี้ทำคนนี้ให้เปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ ให้เปลี่ยนแปลงจากเกลียดเป็นรักเราได้  แต่พอเรายึดวิธีนี้ไปใช้กับอีกคนหนึ่ง ทำไมถึงใช้ไม่ได้ ใช่หรือไม่  เหมือนเราได้แนวทางนี้ สามารถทำให้เราประสบผลสำเร็จแต่พอเราเอานำแนวทางนี้ไปใช้กับอีกเรื่องหนึ่ง ก็ทำไม่ได้  ฉะนั้น เราต้องดูให้รอบ มองให้ชัดว่าเรื่องราวแต่ละเรื่องยึดกุมทางหนึ่ง  แต่ทางนั้นจะนำไปใช้ได้เหมาะหรือเปล่า
ตอนนี้มีความสุขเป็นเพราะว่าตัดเรื่องทางบ้าน และภาระหน้าที่ไปก่อน แต่พอกลับไปก็รู้สึกเหมือนกับเอาหัวโขนกลับมาใส่หัวเราอีก แล้วเราจะทำอย่างไรให้หัวโขนที่เราต้องแบกรับมีความสุขได้ บางครั้งเวลาเรามางานธรรมะ ก็เหมือนได้ถอดหัวโขนหนักๆ นี้ออกแล้ว  แต่พอเราไปอยู่ในสังคม ไปเจอกับหน้าที่ ไปเจอกับเพื่อน ไปเจอกับผู้คน เราก็เหมือนต้องใส่หัวโขนเปลี่ยนหน้ากากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช่หรือเปล่า  แล้วเราจะทำอย่างไรเล่า ก็ทำให้ตนเอง ไม่มีหัวโขน ไม่มีหน้ากาก  อยู่กับเขาด้วยความจริงใจ ด้วยน้ำใจไมตรีแต่เนื่องจากเรารู้จักเขามากเกินไป เราจึงไม่สามารถให้ความจริงใจกับเขาได้เต็มที่ เรารู้จักเขายิ่งกว่ารู้จักตัวเรา เราจึงไม่สามารถเอาหน้าธรรมดาของเรานี้ออกมาวางอยู่ใกล้ๆ เขาได้ แต่จริงๆ ถ้าศิษย์น้องบำเพ็ญแล้ว ฝึกตรงนี้ได้ ศิษย์น้องจะอยู่กับใครก็มีความสุขได้ อยู่กับใครก็ไม่ต้องใส่หัวโขน ไม่ต้องใส่หน้ากาก   แล้วเราก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ ยิ่งใหญ่นี้ศิษย์พี่ไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นคนอวดเบ่ง แต่ยิ่งใหญ่ภายในใจของเรา งดงามภายในจิตในตัวของเราเอง แม้คนอื่นจะว่าก็ไม่เป็นไร ขอให้ศิษย์น้อง ยังมีใจบำเพ็ญในสิ่งที่ดีก็เพียงพอแล้ว
หากจมกับความคิดของตนเองมากเกินไปก็ปวดหัว เพราะว่าใจไม่ยอมเปิดออก คนเราอยู่ในโลกนี้ แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถเข้าใจผู้อื่นเขาได้ เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเปิดใจรับฟังเขาบ้างหรือไม่ ท่านจะรู้จักเรา โดยที่ท่านเอาแต่ปิดหูปิดตา แล้วจะฟังเรารู้เรื่องไหม (ไม่รู้ฉะนั้นมาพูดคุยกัน มาเป็นพี่น้องร่วมศึกษาธรรม ทำไมต้องรังเกียจด้วย  วันนี้ศิษย์พี่มาก็ไม่ได้มาชวนให้ศิษย์น้องไปเป็นคนที่มีความโลภมากๆ มีความทะยานอยากมากๆ แต่นำพาไปให้ศิษย์น้องมีความสุข มีชีวิตที่ดีงาม สามารถบำเพ็ญตนเป็นคนที่มีประโยชน์ สามารถดำเนินรอยทางแห่งพุทธะได้ ทำไมไม่ลองมาฟังมาดูกันบ้าง ให้เวลากับการศึกษาธรรมเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง ให้เวลากับชีวิตในด้านดีเพิ่มขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง แล้วเราจะรู้ว่า ชีวิตของเราไม่ได้มีค่าแค่เงินทองเกียรติยศชื่อเสียง แต่ชีวิตของเรามีค่าตรงที่สามารถเป็นคนดีแปรเป็นพุทธะได้ สามารถกลับคืนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ตอนนี้ได้รู้แล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ลองไปทำความเข้าใจดู ลองไปปฏิบัติดู แนวทางของทุกคนล้วนมีให้เดิน ตอนนี้ศิษย์น้องเหมือนมาเจอทางแยกทางหนึ่ง ขอให้คิดให้รอบคอบก่อน อย่าปล่อยให้ทางแยกนี้หายไป
ศิษย์น้องก็ทำได้ มั่นใจว่าศิษย์น้องทำได้ แล้วสามารถจะมายืนตรงนี้ได้เหมือนกัน แต่ต้องรอให้หมดกายเนื้อก่อน แล้วก็กลับไปข้างบน แล้วลงมาช่วยงานใหม่ แต่ตอนนี้ศิษย์น้องมีกายก็ทำแบบนี้ได้เหมือนกัน มีโอกาสไปถึงตรงไหน ใครดีก็พูดธรรมะให้ฟัง แต่การพูดธรรมะไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นว่าฉันจะพูดธรรมะให้เธอฟัง อย่างนี้วงแตกทันทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่ก็คุยกันปรกติธรรมดา เราบอกตรงนี้น่าคิดนะ เราน่าจะมีสัจจะนะ แค่นี้ก็พูดธรรมะแล้ว ให้คุณธรรมโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็จะบอกว่าเพื่อนคนนี้ขนาดพูดกับเรายังต้องมีสัจจะเลย แปลว่าเขาทำอะไรเขาก็ต้องถือสัจจะใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นหากเอาการบำเพ็ญมารวมกับการดำเนินชีวิตก็ย่อมดีไม่ใช่น้อย ได้เป็นแบบอย่างที่ดี ได้นำคุณธรรมที่ดีไปเผยแพร่สู่สังคม ซึ่งปัจจุบันนี้น้อยคนนักที่จะคิดเรื่องนี้ ที่จะเข้ามาบอกว่าวันนี้เราน่าจะไปช่วยเขา วันนี้เห็นคนตายอีกแล้ว เมื่อไรจะเป็นคราวเราบ้างล่ะ การนึกอย่างนี้ทำให้เรารู้จักปลงกับชีวิตแล้วเร่งรีบหาคุณค่าให้กับชีวิต มีรัก โลภ โกรธ หลง มีได้ในการบำเพ็ญ แต่ให้น้อย อย่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งมาก บำเพ็ญต้องรู้จักลดเรื่องกิเลสลดตัณหา ลดความอยาก แม้ว่าเราจะเป็นคนเชยที่สุดในโลก แต่ขอให้เป็นคนมีคุณธรรมก็ดีแล้ว แม้ว่าจะเป็นคนที่จนที่สุดในโลก แต่ถ้ารักษาความดีได้แม้จะจนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แม้พ่อแม่จะไม่เห็นด้วยแต่เราทำดีทำกุศลหนุนหลังให้ท่าน ท่านจะว่าอย่างไรก็ไม่เป็นไร  แม้เพื่อนจะว่าเป็นตัวประหลาดกินเจ เป็นคนแปลกทำตัวไม่เหมือนคนอื่น แต่ถ้าเราทำได้ย่อมเป็นเรื่องดี หรือเราเริ่มต้นไม่เบียดเบียนแม้กระทั่งสัตว์ ก็แปลว่าเราไม่ละเลยเรื่องเล็กน้อย เราให้ความรักแม้กระทั่งสัตว์เล็ก เช่น มด แมลงสาบ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเรายังรักษาคุณธรรมได้ แล้วกับคน เขาก็ต้องคิดสิว่าท่านจะทำเขาลงหรือ ในเมื่อแมลงสาปท่านยังไม่ขยี้ ยุงแม้จะกัดท่านเจ็บท่านยังไม่ตบ ก็แปลว่าแม้คนที่ทำให้ท่านเกลียด ท่านก็ยังไม่คิดที่จะฆ่าเขา ไม่คิดที่จะจองล้างจองผลาญเขา เป็นการฝึกจิตเมตตา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากเราคิดให้ดีก็มีคุณธรรมสอนใจ ถึงเขาจะคิดไม่ได้ แต่ขอให้ศิษย์น้องในที่นี้คิดได้ ศิษย์พี่ก็พอใจแล้ว
การฝึกแรกๆ ใครอยู่ที่ไหนไม่ได้แต่ศิษย์น้องอยู่ได้ ใครทำไม่ได้แต่ศิษย์น้องทำได้ เป็นการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมก้าวแรก ใครทำไม่ได้แต่เราอดทนได้ไม่ปริปากบ่น เพื่อนข้างๆ คนใกล้ชิดจะไม่ตามเรามาได้อย่างไร ที่สำคัญคือต้องอดทนให้ได้นะศิษย์น้อง อดทนในสิ่งที่เขาอดทนไม่ได้ ทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้
ศิษย์พี่ต้องไปแล้ว ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญกันให้ดีๆ อะไรลด ละ เลิกได้ ให้เลิกเสีย อะไรคิดน้อยได้ก็คิดน้อยบ้าง ดีหรือไม่ (ดีเมื่อเรามีแนวทางมีจุดมุ่งหมายของชีวิตแล้วก็ควรพยายามไปให้ถึง อย่ามีแค่จุดหมายปณิธานแต่ทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่อาจเรียกผู้บำเพ็ญ ต้องไปทบทวนว่าเรามีปณิธานอะไรบ้าง  วันหน้าคงได้เจอศิษย์น้องทุกๆ คนอีก  มีพบก็มีพราก มีสมหวังก็มีไม่สมหวังเป็นธรรมดา แต่เราจะอยู่ระหว่างกลางเรื่องราวในโลกนี้ได้อย่างไร เราจะประคองตัวเองระหว่างทุกข์กับสุขได้อย่างไร เราจะประคองตัวเองให้อยู่กับรักและเกลียดได้อย่างไร สำคัญตรงนี้มากกว่า เป็นคนทั้งทีต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่ดีให้ได้ ล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วก็สู้ สู้แล้วก็ไปให้ถึง ขอให้ถึงจริงๆ


วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒                พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลวี่ต้งปิน

                รักนั้นเปรียบฝุ่นเข้าตามองไม่เห็น            โลภลำเค็ญทำลายตนหารู้ไม่
โกรธนั้นเปรียบดั่งเปลวไฟเผามอดไหม้  หลงสบายกลายทุกข์ขมเท่าทวี
                                เราคือ
                หนึ่งในแปดเซียน ลวี่ต้งปิน   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา           ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว               ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

                ชีวิตนี้เปรียบความฝันไม่ยืนยง   เฝ้ามั่นคงในลาภยศสรรเสริญ
ยิ่งนับวันเวียนว่ายวนอย่างเพลิดเพลิน   ดั่งวิหคที่เหินต่ำยากรอดภัย
ท่านเมธีบำเพ็ญจิตพินิจเถิด       เมื่อได้เกิดอย่าหลงโลภยากแก้ไข
พันธนาการเฝ้าปลดออกใช่ง่ายดาย        อย่ารอสายจึงรู้ตื่นไม่ทันการ
อายุเยาว์สู่ชรายากหยุดยั้ง           ไม่เห็นฝั่งลอยคอในวัฏสงสาร
ไร้จุดหมายแล้ววันใดได้คืนบ้าน                มัวห้ำหั่นไม่ยอมถอยไม่พ้นตรม
รู้จักตนในยามนี้จะดีกว่า              ใช้ความกล้าแห่งตนให้เหมาะสม
ความเมตตาอยู่ในใจน่าชื่นชม   ความเกลียวกลมขยายวงจากตัวเรา
ในยุคสามวาระปลายจับสายทอง             ประทีปส่องสว่างเป็นแสงขาว
ฉุดตนเองให้พ้นความมัวเมา      แล้วเร่งก้าวช่วยผู้อื่นไม่รีรอ
รักหน้าตาอันฉาบฉวยอันนี้ฤๅ    แดนโลกคือโรงละครคนสร้างก่อ
ติดกับดักความเสรีไม่รู้พอ           เป็นม้าห้อควบไปไม่ดูทาง
กลางศรัทธาแฝงลังเลอยู่ภายใน                แสงอาทิตย์อันกว้างใหญ่มีเมฆขวาง
เร่งศึกษาให้เข้าใจขุมพลัง            พุทธะจิตอันแสงบางกลับงามคืน
                                                ฮา ฮา หยุด




พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

                คิดพูดทำเป็นสิ่งเนื่องหนุนกัน    เสี้ยวชีวันถูกพลิกผันคาดไม่ถึง
เปรียบฝนตกแดดออกหวนคนึง ผู้รู้ซึ่งผิดยังทำใครอภัย
                                เราคือ
                หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา           ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา       ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

                วันเวลาไม่คอยใครให้รักษา         ค่าราคาคนกำหนดหลงเชยชิด
หมายบำเพ็ญยังลังเลต้องหลงผิด             ผู้รู้คิดไม่ทำไป่ปรมัตถ์
ต้องมุ่งขวามัวจ้ำซ้ายอนิจจา      ถูกขัดขวางต้องช้าไม่สามารถ
การคิดก่อนทำให้ไม่ประมาท                      ประสงค์ปราชญ์เข้าถึงคิดด้วยปัญญา
ฝึกใจแล้วหนึ่งเที่ยงย่อมปรากฏ เมื่อยอมลดกิเลสตนก้าวหน้า
ความสูงสุดล้วนคืนสู่ธรรมดา     ยุคสามมาบำเพ็ญจากภายใน
เตือนตนจึงไม่ต้องทุกข์ประวิง    ทำสิ่งเสียใจคิดก็สาย
จงทำดีทำแม้ทุกข์เท่าใด               สุดท้ายในดีมีสุขมาประโลม
หยุดแสวงแย่งดิ้นรนคนรู้พอ       กำลังใจบั่นท้อไม่ซัดโหม
เพื่อนำคนข้างหลังประดุจโคม   จะต้องโหมไฟคุณธรรมสว่างตน
เมื่อทำสิ่งเกินตัวรัวอุปสรรค        ฝ่าลำบากไป่ทำพ่ายทุกหน
วิสัยกอปรชอบคิดแต่เรื่องตน     ระลึกผลไว้เตือนไปคิดดู
จงระวังอย่าเผลอทำสิ่งผิด            เทียนชีวิตดับลำบากตามติดสู้
แต่จะติดอีกครั้งลำบากอยู่           ฉะนั้นรู้อยู่กับชีวิตในปัจจุบัน
                                                ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน และท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน

ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          การแต่งตัวภายนอกทำให้รู้ว่าจิตใจภายในเราเป็นอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่แม้อาจจะยังไม่สามารถวัดได้ว่าดีหรือชั่ว แต่อย่างน้อยก็บ่งบอกนิสัยเขาได้ หรือบ่งบอกฐานะตำแหน่งของเขาได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่หากเป็นฝ่ายหญิงเวลาแต่งตัวสิ่งที่สำคัญก็คือต้องรัดกุม ทุกคนจะแต่งแบบไหนก็ได้ แต่ผู้หญิงหากขาดซึ่งความรัดกุมในการแต่งตัวแล้ว การแต่งตัวของเราอาจสื่อถึงลักษณะนิสัยและอาชีพการงานก็เป็นได้ แล้วฝ่ายชายจะแต่งตัวต้องเป็นอย่างไร ฝ่ายชายแต่งง่ายแต่อย่างน้อยต้องถือความเหมาะสม ใช่หรือเปล่า    (ใช่ฉะนั้นการแต่งตัวภายนอกก็สามารถสื่อหรือส่งให้เรารู้ได้ว่าคนๆ นั้นเป็นอย่างไร มีจิตใจละเอียดอ่อนหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาครั้งนี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง อาจจะไม่เหมือนกับเมื่อวานที่ท่านเห็น  แต่นั่นเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขในโลกนี้หาได้ง่ายไหม บางครั้งต้องถามจิตใจของเราเองต่างหาก  บางคนทำไมสุขได้ง่ายเหลือเกิน ใครพูดอะไรนิดหน่อยก็หัวเราะ สนุกสนานเฮฮา แต่บางคนทำอย่างไรก็ไม่ยอมหัวเราะ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมยิ้ม นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะจิตใจคนเราต่างกัน เป็นเพราะในใจอาจจะมีเรื่องราวอะไรที่ทำให้ยิ้มไม่ออกก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :           เข้ามาสู่สถานธรรมด้วยจิตใจที่สงบนิ่งหรือไม่ (สงบเมื่อต้องการฟังธรรมะ ต้องการเข้าใจธรรม ต้องอาศัยความสงบเป็นขั้นแรก  จิตใจของมนุษย์นั้นโลดแล่นเร็วไว ไม่มีความสงบนิ่ง ในความสงบที่ได้นั้นจึงเป็นความสงบที่ไม่อยู่ได้ตลอด สามวันนี้จึงต้องฝึกฝนให้ได้มาซึ่งความสงบในตนเอง
ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          คนมีความสุขจำเป็นต้องยิ้มแย้มร่าเริงหรือไม่ (ไม่จำเป็นนั่งเงียบๆ อย่างนี้มีสุขได้ไหม (ได้แล้วตรงไหนสุข ใบหน้าหรือว่าจิตใจ (จิตใจแล้วตอนนี้มีใครบ้างใจหลั่งน้ำตา (ไม่มีรู้สึกเสียใจว่าไม่น่ามาที่นี่เลย มีหรือไม่ (ไม่มี)
การที่เรามาสององค์ แม้จะมีใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรามีความทุกข์หรอก ไม่ใช่บอกว่าเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ้ม เราเลยยิ้มไม่ออก และนั่งอย่างหวาดกลัว กลัดกลุ้ม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใจนั้นยิ่งกว่าลิง จับให้อยู่นะ  ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นมีลิงสองตัววิ่งเต้นไปมา
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :           มนุษย์นั้นแสดงละครได้เก่งกว่าในหนังทีวีเสียอีก แม้ว่ามีความทุกข์มากมาย แต่เมื่อเข้าสังคม ใบหน้านั้นก็ยังต้องยิ้มแย้ม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ในโลกมนุษย์นี้มีความเสแสร้งมากมายเช่นนี้ ท่านนั้นมีความสุขอยู่ในโลกนี้จริงหรือไม่ (ไม่แล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจแล้วใจของท่านในขณะนี้มีความสุขไหม (มี)
ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          สุขแบบนี้กับสุขทางโลก เลือกสุขแบบไหนดี (สุขแบบนี้เลือกทั้งคู่เลยหรือเปล่า เวลาบอกว่าให้เสียสละเวลามานั่งฟัง สุขแบบนี้ กลับไม่ว่างไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่มนุษย์อยู่ร่วมกัน ปรึกษาหรือติดต่อกัน จำเป็นหรือไม่ว่าเขาต้องมีประโยชน์กับเรา  ถ้าเขาไม่มีประโยชน์ ท่านจะไม่มาหาเขา จำเป็นไหม (ไม่จำเป็น, บางครั้งก็จำเป็น บางครั้งก็ไม่จำเป็นแต่คนส่วนมากในปัจจุบันนี้อยู่กันด้วยผลประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่แล้ววันนี้ท่านมาหวังจะมาเอาผลประโยชน์จากเขาหรือเปล่า (หวังแต่บางคนสู้ไม่หวังดีกว่าหวัง ถ้าหวังแล้วไม่ได้ดังหวังจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์แต่ถ้าไม่หวังแล้วได้ขึ้นมา เป็นอย่างไร (เป็นสุขเป็นสุขยิ่งกว่าตอนหวังแล้วสมหวังอีก หรือที่เรียกกันว่าได้สิ่งที่คาดไม่ถึง เราก็มักจะชอบสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่ในโลกนี้คงหาคนที่มีชีวิตอยู่แบบไม่หวังได้ยาก ฉะนั้นจึงเรื่องคาดไม่ถึงที่เกิดกับตัวได้น้อย เพราะว่าเราอยู่อย่างหวังกันเป็นส่วนใหญ่  ฉะนั้นมาวันนี้ลองลดความหวังสักหน่อย เราก็คงได้เหนือความคาดหวังไปได้บ้าง ดีกว่าจะได้ความผิดหวังกลับไป แต่เราก็รู้อยู่อย่างหนึ่ง มาวัดต้องได้ธรรมะ แต่หลายคนมาวัดกลับได้กิเลส เป็นเพราะอะไรกัน (คนไปวัดมีทั้งคนดีและคนไม่ดี, มีทั้งโลภ โกรธ หลงคนที่โลภโกรธหลงนี่คือตัวท่านหรือคนที่เข้าวัด (ตัวเองด้วยแล้วก็ผู้อื่นด้วยอย่างนี้เราว่ากล่าวท่านหรือเปล่า ว่าการไปวัดมักจะไม่ได้ธรรมะแต่มักจะได้กิเลส  เหมือนให้ท่านสังเกตง่ายๆ ธรรมะนั้นก็คือความสะอาดเรียบร้อย กิเลสก็คือฝุ่นธุลี แล้วในวัดมีไหมที่จะไม่มีฝุ่นธุลี ไม่มีกิเลส (ไม่มีฝุ่นธุลีนั้นเกิดในใจหรือเกิดที่วัด ถ้าเราพูดว่าไปที่ไหนก็มีกิเลส ที่วัดก็มี เพราะมองที่ไหนก็มีฝุ่นไปหมด แต่กิเลสจะเกาะวัดหรือเปล่า ไม่เคยเกาะ กิเลสก็ส่วนกิเลส ธรรมก็ส่วนธรรม เฉกเช่นเดียวกับในใจเรา เราไปวัดจะได้ธรรมหรือได้กิเลสก็อยู่ที่ว่าตอนนั้นเราเอาใจไปเกาะกิเลส หรือเราเอาใจไปตั้งใจฟังธรรมะกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :           จิตใจที่เป็นหนึ่งนั้นจะต้องเป็นหนึ่งได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คิดจะทำสิ่งนี้ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าจะทำสิ่งนั้น จิตใจดวงนี้จะเรียกว่าจิตใจดวงเดียวต่อไปหรือไม่ ในจิตใจของท่านก็เป็นเช่นนี้  ในขณะที่เป็นคนดีและมีจิตใจที่ดีงาม แต่ก็แฝงจิตใจที่ไม่ดีซ่อนรวมอยู่ด้วย จิตใจผู้อื่นไม่อาจมองเห็น ผู้ที่มองเห็นนั้นจะต้องเป็นตัวท่านเท่านั้น ยิ่งซ่อนลึกยิ่งซ่อนไว้ดีเท่าไหร่ ผลร้ายกลับมานั้นก็จะเป็นของใคร (ของตัวเราเองการที่เราใช้สายตามองผู้อื่น เฝ้ามองว่าเขามีความผิดอะไร เคยมองหรือไม่ว่าตัวเรานั้นก็มีความผิด  ฉะนั้นการซ่อนความไม่ดีของตนนั้นไว้ยิ่งลึกเท่าไหร่จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตนเอง  เมื่อยามใดที่ความไม่ดีของเรานั้นปรากฏออกมา มีผู้อื่นตักเตือน ท่านคิดว่าควรจะโกรธผู้อื่นหรือไม่ (ไม่ควรแต่ควรทำอย่างไร (ขอบคุณและแก้ไขทั้งมองผู้อื่นและตัดสิน โดยที่ยังไม่รู้ว่าความถูกคืออะไรและความผิดคืออะไรด้วยซ้ำ  การที่เราจะมองนั้น เมื่อเราเห็นความไม่ดีของผู้อื่นก็จงปล่อยวาง เมื่อคราที่เรานั้นได้เห็นความชอบของผู้อื่น แม้คนนั้นจะต่ำต้อยกว่าเรา แต่หากคนผู้นั้นเพียบพร้อมไปด้วยความดีความชอบ ขอให้ท่านรู้จักนำกลับไปเป็นแบบอย่าง ใช่ว่าความดีความชอบนั้นจะต้องอยู่กับบุคคลที่เพียบพร้อมไปด้วยลาภยศ เงินทอง ฐานะความร่ำรวย อันว่าความเพียบพร้อมนั้นอยู่กับทุกคน ขอให้เมธีทุกท่านรู้จักที่จะมองหา ยามที่มองเห็นความไม่ชอบของผู้อื่น ก็ให้มองเข้าไปลึกอีกสักนิดแล้วจะมองได้ถึงความชอบของผู้อื่น เมื่อนั้นท่านก็จะมีสุข ความสุขนั้นอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่อยู่บนสวรรค์ ไม่ใช่อยู่บนนิพพาน  หากว่าตัวท่านมีจิตใจที่เป็นอคติ คดไม่ตรง แม้ท่านจะได้ขึ้นสวรรค์หรือนิพพานก็ไม่สามารถจะสุขใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่จงยกนิพพานสวรรค์มาอยู่ในใจเรา ไม่ใช่พร่ำเพรียกเรียกหาในดินแดนที่ไกลโพ้น
ชีวิตของท่านทุกวันนี้ ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนกับชีวิตที่เย็นเฉียบ ขาดความอบอุ่น อันว่าเปลวเทียนชีวิตของตนเองนั้นไม่รู้จักติด ปัญญามีไม่รู้จักใช้ ความเข้าใจมีแต่ไม่พยายาม การศึกษาทำได้แต่ไม่ขวนขวายที่จะทำ  บุคคลทุกคนที่อยู่รอบข้างเราล้วนเป็นบุคคลที่สำคัญทั้งสิ้น แม้จะมีกรรมสัมพันธ์ แม้จะมีบุญสัมพันธ์ ล้วนแล้วสัมพันธ์กับเราทั้งสิ้น ในวันนี้จึงต้องเป็นวันที่รู้ตื่นรู้แจ้ง หากชีวิตนี้ยังสัมพันธ์กับความรัก โลภ โกรธ หลง  เราชี้นำให้ดูความรัก โลภ โกรธ หลง ที่เรานั้นให้ไว้ในบทกลอน ความรักเปรียบเช่นกับผงเข้าตา ความโลภนั้นเปรียบเสมือนอาวุธที่คอยทำลายตน เมื่อท่านถือมีดที่จะทำร้ายผู้อื่น เคยคิดไหมว่ามีดนั้นจะกลับมาห้ำหั่นตนเอง ท่านยังไม่เคยคิดว่ามีดนั้นจะกลับมาห้ำหั่นตน แต่บทเรียนในชีวิตนั้นก็มีอยู่แล้ว เวลาท่านถือมีดจะหั่นผักหั่นเนื้อ เคยไหมที่มีดนั้นจะย้อนกลับมาหั่นเนื้อเราเอง ความโลภนั้นก็เป็นเช่นนี้ เมื่อท่านต้องการที่จะทำลายผู้อื่น ความโลภนั้นก็จะย้อนมาทำลายตนเอง แม้จะครั้งเดียวก็เจ็บแล้วใช่หรือไม่ (ใช่มีมากมีน้อยต่างกัน ถือมีดเล่มใหญ่คิดจะห้ำหั่นคนจำนวนมาก ถือมีดเล่มเล็กคอยจะห้ำหั่นคนเพียงคนเดียว เรานั้นก็เจ็บน้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าให้ดีควรรู้จักถือความเมตตาไว้ เป็นการให้พรผู้อื่น ทั้งยังให้พรตัวเองนั้นจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า
ความโกรธนั้นเปรียบเสมือนอะไร (เปรียบเสมือนเปลวไฟเปลวไฟนั้นถ้าอยู่ในมือจะร้อนหรือไม่ (ร้อนถ้าจุดอยู่บนฟืนก็จะกลายเป็นกองไฟเลยใช่หรือไม่ (ใช่ไฟเพียงนิดเดียวก็กลายเป็นไฟที่ลุกท่วมได้ เผาฟืนกองเดียวหรือเผาบ้านทั้งหลังก็เริ่มจากไฟนิดหน่อยเท่านั้น ฉะนั้นท่านจึงประมาทในการใช้ชีวิต ประมาทว่าเพียงกองไฟเล็กน้อยเปลวไฟนิดหน่อยที่จริงแล้วไม่มีความแตกต่างเลย  ชีวิตนี้หากว่าประมาทเพียงหนเดียว เผลอทำความผิดเพียงหนเดียว แล้วผิดหนต่อไป ผิดที่ใหญ่กว่าจะเกิดขึ้นได้ไหม (ได้ฉะนั้นพึงระลึกไว้ว่า เปลวไฟก็คือเปลวไฟ ความโกรธอันนี้เป็นเปลวไฟจริง แต่ทำลายจิตใจไม่ใช่ทำลายภายนอก เมื่อภายในถูกเผาไหม้หมดสิ้นแล้วภายนอกจะหลงเหลือ มีแต่รูปกายแต่ภายในนั้นหมดสิ้นไปกับกองไฟ แล้วท่านจะมีความสุขได้อย่างไร
ความหลงให้คุณหรือให้โทษ (ให้โทษความหลงนั้นให้ความสุขหรือให้ความทุกข์ (ความทุกข์ท่านเมธีอยากได้ความสุขหรือความทุกข์ (ความสุขถ้าท่านอยากได้ความสุข ท่านต้องตัดอะไรด้วย (ความหลงหากวันนี้ท่านไม่ตัดแล้วเมื่อไหร่จะตัด หากไม่ตั้งจุดหมายให้กับชีวิต ชีวิตนี้ก็จะเดินอย่างไร้จุดหมาย  ชีวิตของท่านมีจุดหมาย ณ ที่ใด (นิพพานถ้าหากว่าทำตัวเช่นทุกวันนี้จะไปนิพพานได้หรือไม่ (ไม่ได้ก็ยังไม่ได้เดินไปตามจุดหมายที่ตั้งไว้ ดั่งที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นความสุขแท้จริงไม่ใช่อยู่บนนิพพาน อย่าหวังว่าขึ้นไปแล้วจะได้พบ หากว่าอยู่บนโลกแล้วยังวุ่นวาย ปลงไม่เป็น เจอความสุขก็เกิดความหลง เหมือนกับเท้าที่ก้าวไปแต่ไม่ถึงจุดหมาย รู้จักปลงเพียงนิดหน่อย รู้จักเมตตาเพียงนิดหน่อย รวมๆ แล้วท่านยังไม่ได้ถึงคุณธรรมข้อไหนเลย  การไปนิพพานจึงยังเป็นทางที่ไกล แต่ขึ้นอยู่ที่ตัวท่านเองว่าจะสามารถบั่นยาวอันนี้ให้กลายเป็นสั้นได้หรือไม่ (ได้รับปากได้ง่ายแต่เวลาทำกลับยากใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          ในสังคมอันเต็มไปด้วยกระแสแห่งความนิยม ใครนิยมอย่างไรเราก็นิยมตามนั้นโดยไม่คิดตาม อย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดีในโลกแห่งทุกข์สุข รัก โลภ โกรธ หลงนั้น  จะมีสักกี่คนที่จะพบความสุขอันยืนนาน มีใครบ้างที่สามารถพบความทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วไม่ต้องพบทุกข์อีก กลายเป็นความสุขที่ยินดีปรีดา คงหาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อมีสุขก็ช่างสั้นเหลือเกิน เมื่อมีทุกข์ก็ยาวไม่รู้ว่าจะจบสิ้นวันไหนใช่หรือไม่ (ใช่แล้วในกระแสโลกแห่งทุกข์สุขนี้ เราจะดำรงชีวิตกันอย่างไรดี บางคนก็นิ่งเฉย ทุกข์มาก็หน้าขื่นขม สุขมาก็ยินดีปรีดา  บางคนปลีกตัวหลบลี้ไปจากสังคม ไม่ต้องเจออีกเลยทุกข์สุขนี้  แต่อีกหนึ่งคนที่คิดว่าทุกข์สุขนี้เปรียบเหมือนแห ที่ใครเผลอไปติดแล้วยากจะหลุดออก  เขาจึงกล้าที่จะใช้จิตใจและความกล้าหาญ คุณธรรม ปัญญาของเขาที่มีอยู่ตัดแหอันนี้ แล้วพยายามดีดตัวเองให้พ้นจากความทุกข์สุข รัก โลภ โกรธ หลง  มุ่งค้นหาสัจธรรมความเป็นจริงในตัวตน  หากมีคนกระทำได้เช่นนี้ เขาคงไม่ต้องพบโลกกว้างที่มีแต่ทุกข์และสุขใช่หรือไม่ (ใช่แต่คนส่วนมากไม่เป็นอย่างหนึ่งก็เป็นอย่างสอง จะเป็นอย่างสามนั้น หนึ่งในร้อยใช่หรือไม่ (ใช่ทุกคนเอาแต่หนี ทุกคนเอาแต่นิ่งเฉย  การเผชิญทุกข์แบบนี้หรือการเผชิญกับปัญหาแบบนี้ เป็นวิถีทางที่ถูกต้องสำหรับผู้มีปัญญาหรือเปล่า (ไม่ถูก)
เปรียบง่ายๆ มนุษย์ก็เหมือนมัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ในธารา  มีกิเลสตัณหา ความทุกข์ความสุขเป็นแหที่ห้อมล้อมรัดตัวไว้  วันใดเราถูกแหนั้นร้อยรัด วันนั้นเราจะเป็นอย่างไร ทุกข์ก่อนแล้วค่อยตายใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าคนมีปัญญาก็จะหาทางตัดแหอันนี้แล้วรีบเหวี่ยงให้ออก แต่วันนี้คนส่วนมากกลับนิ่งเฉยยอมให้แหร้อยรัด หรือไม่ก็หลีกหนีไปเลยจากห้วงทะเลนี้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือหลีกหนีไปจากสังคมที่เลวร้าย แต่หนีแล้วเราหนีพ้นหรือเปล่า (ไม่พ้น)  เพราะห้วงกิเลสที่เกิดขึ้นแหที่รัดเราอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากคนภายนอกอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากจิตใจเราก็เป็นได้ บ่อยครั้งที่คนหนีจากสังคมอันเลวร้ายเพื่อจะไปทำให้ตัวเองมีความสุข ตัดจากกิเลสตัดจากโลก แต่ผลสุดท้ายก็กลับสร้างแหขึ้นมาโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว เป็นแหแห่งการยึดติดตัวตนอัตตา ใครพูดอะไรก็ไม่ยอมรับฟัง การสร้างแหอันนี้จึงเกิดได้สองกรณี กรณีหนึ่งคือใจเราเป็นผู้หา อีกกรณีหนึ่งคือตัวเราเป็นผู้ออกไปรับสังคมสภาวะแวดล้อม แล้วท่านอยากจะเป็นอย่างเดิมหรือว่าคิดจะลุกขึ้นตัดแหแห่งโลภ โกรธ หลง ทุกข์ สุขในโลกนี้ คงคิดตัดแหบ้างไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่ (ใช่แต่การจะตัดแหให้ได้และตัดให้ขาดจากตัวตนนั้นเราต้องรู้วิธีตัดด้วย ความหมายของการตัดใจก็คือรู้จักให้มีเบาบาง รู้จักให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ การมีน้อยต้องเทียบกับคนมีมาก แต่ถ้าเกิดมีน้อยเทียบกับไม่มีอย่างไหนจะดีกว่า (ความไม่มีแต่ตอนนี้ท่านกำลังเป็นผู้ที่เริ่มฝึกหัด เราก็ขอให้แค่เพียงลดน้อยก่อน แต่ผู้บำเพ็ญต้องพยายามให้ไม่มี  เพราะเมื่อจะทำอะไรแล้วเรามักต้องหวังดีที่สุด เยี่ยมที่สุด เลิศที่สุด  ฉะนั้นจะตัดทั้งทีทำไมยังตัดแล้วหวังครึ่งๆ กลางๆ พร้อมจะตัดหรือยัง (พร้อมปราชญ์กล่าวไว้ว่าการจะพูดอะไรต้องสำรวจการกระทำ แล้วการจะพูดอะไรนั้นโดยไม่สำรวจการกระทำว่าตนเองทำได้หรือไม่ได้ ก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีสัจจะกับตัวเอง
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :           สัจจะนั้นมาจากคำพูด ท่านจึงต้องสำรวจว่าปากเราที่กล่าวสัจจะนั้นมีสภาพที่เพียบพร้อมหรือเปล่า จะรักษาไว้ซึ่งสัจจะนั้นเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อสำรวจว่าวาจาของเรานั้นดีแล้วงามแล้วก็ให้เริ่มสำรวจที่จิตใจของเรา จิตใจของเราที่จะดำรงไว้ซึ่งสัจจะนั้นเหมาะสมหรือยัง ในกาลโบราณนั้นปราชญ์เมธีทุกท่านต้องมีคงไว้ซึ่งสัจจะ แม้นคงไม่ได้ซึ่งสัจจะก็จะไม่ได้ซึ่งชื่อปราชญ์เมธี แต่ในขณะนี้เราผู้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียกท่านว่าปราชญ์เมธีทุกคำ ทุกท่านจึงต้องรู้เข้าใจนำพาจิตใจของตนเองว่า จิตใจของเรานั้นเพียบพร้อมเพียงพอหรือยังใช่หรือไม่ (ใช่มนุษย์นั้นใช้อายตนะอย่างฟุ่มเฟือย ใช้ปากในการพูด ใช้หูในการฟัง แต่ท่านได้ฟังสิ่งที่เที่ยงแท้ที่สุดหรือเปล่า (ไม่เที่ยงแท้ใช้อะไรตัดสิน (ใช้ปัญญา, ใช้มโนธรรม, ใช้วิจารณญาณทุกสิ่งที่กล่าวมานี้แอบแฝงอคติหรือไม่ (ไม่แอบแฝงเวลาท่านได้ยินคนพูดถึงคนอีกคนหนึ่งว่าเขาเป็นเช่นนี้ เขาไม่ดีอย่างนี้ ถามว่าเวลาท่านมองเขาใหม่อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ฟังเรื่องไม่ดีของเขามาแล้ว จิตใจท่านนั้นเหมือนเดิมกับที่ไม่เคยฟังหรือไม่ (ไม่เหมือนเดิมสิ่งนี้เรียกว่าอคติ ฉะนั้นท่ามกลางคำพูดที่ท่านฟัง เสียงที่ท่านได้ยิน ท่านจะต้องเหลือช่องว่างไว้สำหรับบุคคลนั้นๆ ที่ท่านได้ฟังมา และจงหลีกเลี่ยงการเข้าไปนั่งในวงนินทาของหมู่คน ดีหรือไม่ (ดี)
อันว่าเภทภัยนั้นเกิดขึ้นจากมนุษย์ และโรคภัยนั้นก็เข้าทางปากเหมือนกัน สิ่งที่ท่านกินเข้าไปเป็นสิ่งที่สร้างโรคภัยให้ พวกผู้ชายก็อาจจะสูบบุหรี่เอาควันเข้าไป  กินเหล้าเข้าไปเป็นสิ่งดีหรือไม่ (ไม่ดีอาหารที่กินเข้าไปท่านเคยสังเกตหรือไม่ (ไม่กินตามความเคยชินและคุ้นเคย  แต่เวลาเรียกให้ท่านกินเจ ท่านบอกว่าต้องดูสารอาหารเสียก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่ทุกวันนี้เคยดูไหมว่าสิ่งที่ตนเองกินเข้าไปมีสารอาหารหรือเปล่า มิหนำซ้ำสิ่งที่พวกท่านกินเข้าไปยังสร้างสิ่งที่ไม่ดีอยู่ในร่างกายอีกมากมายด้วย  มนุษย์สมัยนี้จึงต้องคิดวิธีการล้างพิษขึ้นมา กินพิษเข้าไปจึงต้องคิดวิธีล้างพิษ ทุกวันนี้นอกจากการกินนั้นจะมีพิษเข้าไป จิตใจก็กินพิษเข้าไปเช่นเดียวกัน  พิษของจิตใจได้แก่อะไรบ้าง (กิเลสกิเลสออกจะกว้างไปหน่อย ทุกคนก็พูดถึงว่าตัดกิเลส แต่ยังไม่มีใครตัดได้เลย  มิหนำซ้ำยิ่งบอกว่าจะตัดก็ยิ่งมากขึ้นทุกวันๆ  เปรียบเสมือนคำพูดที่ฟังมา คำนินทาที่เข้าหู เวลาที่เราฟังมาแล้วพูดว่าคนนั้นเป็นเช่นนั้น นอกจากท่านจะคิดว่าเป็นจริง บางทียิ่งคิดก็ยิ่งบอกว่าใช่ ยิ่งหนักขึ้นทุกวัน จนกระทั่งคนดีกลายเป็นคนเลวไปได้ในสายตาและจิตใจของเรา  ฉะนั้นการเป็นคนดีจึงเป็นยากใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ความยากเท่านี้เป็นความยากที่เล็กน้อย เมื่อเทียบกับความยากลำบากที่ต้องเจอในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย  วันนี้ว่ายากแล้ววันหน้าถ้าเจอสิ่งที่ยากกว่านี้แล้วท่านจะรับมือได้อย่างไร ฉะนั้นจึงต้องรู้จักคิดพิจารณาด้วยปัญญาของท่าน  ปัญญาของท่านนั้นมีมากหรือมีน้อยขึ้นอยู่กับท่านนั้นได้รับฝึกฝนมากเท่าไร  อย่าคิดว่าการบำเพ็ญธรรมสมัยนี้ไม่มีการฝึกฝน การบำเพ็ญธรรมสมัยนี้ยิ่งเน้นหนักการฝึกฝน  ท่านไม่ต้องลำบากในการที่จะออกไปตามหา แต่เมื่อท่านอยู่ในสถานธรรมแล้วจิตใจที่สงบท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ ท่านจะต้องทำให้ได้ จึงสมกับที่ชาตินี้เกิดมามีชีวิตเป็นมนุษย์ ถามกลับไปว่าตัวท่านนั้นได้ทำในสิ่งที่  สมควรทำหรือยัง เกิดมาเป็นลูกต้องมีความกตัญญู ท่านมีพร้อมแล้วหรือยัง  เกิดมาเป็นพี่ต้องนำพาน้องได้ ท่านทำได้หรือยัง  เกิดมาเป็นน้องต้องเคารพเชื่อฟังพี่ ท่านทำได้หรือยัง (ยังเท่าที่พูดมายังทำไม่ได้อีกหรือ ในครอบครัวของเรานั้นยังเป็นเรื่องเล็ก ผู้บำเพ็ญธรรมยังต้องมีหน้าที่ต่อสังคม ต่อประเทศ ต่อโลกนี้อีก ฉะนั้นเรื่องเล็กๆ เท่านี้ขอให้เริ่มทำให้ได้ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง วันนี้บอกว่าพรุ่งนี้ทำ พรุ่งนี้บอกว่ามะรืนนี้ทำ ถ้าท่านเป็นเช่นนี้ท่านจะไม่ถึงความสำเร็จเลย
ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          กลอนที่เราให้ไปนั้นมีความหมายอยู่ หากจะตีขยายความให้เข้าใจง่ายๆ เวลาเปรียบประดุจชีวิตของคนเรา เรามีเวลาผ่านมาเท่าไรแล้ว  เวลาของคนส่วนใหญ่นั้นสูญเสียไปกับอะไร (ความประมาท, ความโลภ)  เวลาของเราคือชีวิต ชีวิตเราคือการออกไปสู่สังคม ออกไปปฏิบัติ  บางคนเวลาคือหน้าที่ เวลาคือการศึกษาหาความรู้  แต่ส่วนใหญ่มักเป็นเวลาเพื่อ  ทรัพย์สินเงินทอง หรือไม่ก็เกียรติยศชื่อเสียง แต่ตอนนี้เราได้เรียนรู้แล้วว่าชีวิตของเรามีคุณค่า คุณค่านั้นจะปรากฏได้ด้วยการปฏิบัติคุณธรรมคุณงามความดี  แต่นั่นเป็นเพียงหน้าที่สำหรับตน แต่เรายังมีหน้าที่จะต้องช่วยคนด้วย หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของคนบำเพ็ญธรรมนั่นก็คือช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ก็คือการช่วยชีวิตคน ฟังแล้วลองคิดดูว่าหากทุกขณะลมหายใจ ทุกขณะขวบปีที่ผ่านไป เราคือคนหนึ่งที่มีชีวิตแจ่มใสมีอนาคต คือคนหนึ่งที่ได้รู้จักแนวทางอันประเสริฐให้กับตน เวลาแห่งชีวิตของเรา เวลาแห่งขวบปีของเราเป็นเวลาที่มีค่ามาก เพราะสามารถรู้จักนำพาตนเองได้ ไม่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ห้วงกิเลสห้วงตัณหา สามารถนำพาตนเองไปสู่แสงสว่างแห่งชีวิต นอกจากเขาจะนำตนเองได้ เขาย่อมเป็นเหมือนประทีปนำทางผู้ตามหลังมาได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่แต่น้อยคนนักที่จะยอมเสียสละที่จะให้ตนเองร้อน เพื่อเกิดความสว่างให้กับคนอื่น  ถ้าเราบอกว่าจะให้เราหยุดเวลาของเรา หยุดเวลาการทำงาน หยุดเวลาการหาเงินมาเพื่อเสียสละให้กับคนอื่น เรามักจะถามว่าทำแล้วได้อะไร เรามีประโยชน์อะไร ตอนนี้การบำเพ็ญธรรม หากคนๆ หนึ่งไม่เคยคิดเสียสละให้กับสังคม เป็นเช่นนี้กันทุกคนแล้ว โลกจะเป็นอย่างไร (วุ่นวายต่างคนต่างเห็นแก่ตน พ่อแม่ไม่สนใจเลี้ยงดูลูก ลูกไม่สนใจที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ เพื่อนไม่คิดจะรักษาสัจจะ พี่น้องไม่คิดจะเคารพกัน โลกย่อมวุ่นวาย ความน่ากลัวย่อมบังเกิดขึ้นได้ ตาเราย่อมสามารถเห็นภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่การจะเห็นภัยได้ไม่ใช่เห็นภัยแบบใหญ่  ผู้มีปัญญาแล้ว ผู้มีการศึกษาแล้วย่อมรู้ด้วยว่าภัยเล็กน้อยที่เรามองข้ามก็สามารถบังเกิดความยิ่งใหญ่และความน่ากลัวได้ เหมือนวันนี้เราไม่รักพ่อแม่ ความน่ากลัวและยิ่งใหญ่ของการไม่รักพ่อแม่ นั่นก็คือเขาไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนวันนี้เราไม่สามารถเสียสละเพื่อประเทศได้ ต่อๆ ไปลูกหลานเราหรือเราที่เป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ ใครจะเสียสละต่อมวลชน ย่อมไม่มีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการอยู่ในโลกนี้ นอกจากจะมีชีวิตเพื่อเลี้ยงดู มีชีวิตเพื่อทำหน้าที่ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีชีวิตเพื่อช่วยชีวิต นอกจากช่วยตนแล้วเรายังสามารถช่วยมวลชน ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก แต่การช่วยที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ให้เขามีแค่เงินทองไปวันๆ เท่านั้น นั่นก็คือต้องเริ่มให้เขามีความคิดที่เที่ยงและถูกต้องในด้านคุณธรรม หากความคิดเขาไม่เที่ยง แม้เราจะให้เงินเขาไป สักวันหนึ่งเขาต้องกลับมาหาเรา หากความคิดเขาไม่สุจริต ไม่ชอบธรรม เงินนั้นแทนที่จะสร้างสิ่งที่ดีและได้ช่วยเหลือเขา เขาอาจจะไปทำสิ่งเลวร้ายก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่มีอยู่สำนวนหนึ่งที่เราอยากจะย้ำเตือนท่าน หากเริ่มต้นคิดไม่ถูกแล้ว ผลสำเร็จหรือผลบั้นปลายจะดีงามได้อย่างไร หากใจของเราไม่เคยปลูกฝังซึ่งคุณธรรมความดีแล้ว ต่อไปชีวิตเราจะมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่หรือ ก็ย่อมยากใช่หรือไม่ (ใช่การเริ่มต้นดำรงชีวิตโดยรู้จักบ่มเพาะความดีงามหรือคุณธรรมที่ถูกที่ควร จึงเป็นการสร้างหรือการปูพื้นฐานชีวิตที่ดีงาม แต่ตอนนี้เราเหมือนไม้ที่ค่อนข้างจะแก่ ดัดยากเหลือเกิน แต่คนก็ไม่ใช่ไม้ที่ดัดแล้วหักทันที ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนคือผู้ประเสริฐที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้  ฉะนั้นวันนี้เราได้รู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่นำพาให้เราเป็นคนดี รู้จักเป็นแบบอย่างที่ดี รู้จักช่วยคน คนในที่นี้คงสามารถจะบำเพ็ญกันได้ไม่มากก็น้อย ขอเพียงอย่า   ท้อถอย อย่าเหนื่อยหน่ายเท่านั้นเอง ไม่เลือกแม้จะทำให้ใคร ไม่เลือกแม้คนนั้นจะรักเราหรือไม่ เราก็พร้อมจะเมตตาต่อเขา พร้อมจะเป็นแสงสว่างที่ดีงามให้กับเขา แสงสว่างที่เที่ยงเท่านั้นถึงจะส่องให้มวลชนทุกคนอย่างทั่วถึงได้ แต่แสงสว่างที่ขึ้นตามที่รัก ลงตามที่ชัง ยากที่จะส่องให้มวลชนทุกคนได้ เมื่อคิดจะบำเพ็ญ เมื่อมีคุณธรรมแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อมานั้นก็คือความเที่ยงธรรม และต่อลงมาอีกก็คือความกล้าหาญ ใช่หรือไม่ (ใช่
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :           อันว่านิพพาน ความสุขที่กล่าวถึงอันแสนไกลเริ่มดูได้ตั้งแต่วันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่แม้ว่าเรามาในวันนี้ไม่ใช่มาเพื่อคุมกฎดูระเบียบ แต่ก็สามารถดูทุกท่านได้ตั้งแต่ท่านั่งซึ่งแสดงถึงความตั้งใจ นั่งสบายเกินไป นั่งเอกเขนกเกินไปก็พลอยจะหลับ เก้าอี้มีที่เกี่ยวขา บางคนก็เอาขาไปเกี่ยว นี่คือนิสัยความเคยชินของเรา เราเคยชินว่าสิ่งนี้ควรที่จะเป็นอย่างนี้ เราเคยชินว่าเราจะต้องได้รับความสบาย เมื่อความสบายมาถึง แม้ในสถานธรรมก็ไม่เว้น ท่านก็เอาขาขึ้นไปเหยียบใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หากมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถที่จะสำเร็จงานใหญ่ได้  ผู้ที่สำเร็จงานใหญ่จะต้องสำเร็จในงานเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ฉะนั้นหากท่านใดแก้ไขได้ก็ขอให้นั่งให้เรียบร้อยจะได้แสดงถึงความตั้งใจอันเป็นหลักดีหรือไม่ (ดีจิตใจอันทิฐินั้นให้ละวางเสีย ความลังเลที่มีจะทำให้ท่านไม่ได้สิ่งใดกลับบ้านไปเลย
ชีวิตนี้เกิดมาก็ขอให้เกิดมาอย่างมีคุณค่า เมื่อท่านไม่คิดลวกๆ ในสิ่งใด  ก็ขอให้รู้พิจารณาก่อนที่จะวางสิ่งนั้นลง ดีหรือเปล่า (ดีหยกที่ท่านบอกว่างดงาม ก่อนที่จะมาเป็นหยกก็ต้องอยู่ในหิน ทองที่สุกสกาวที่ท่านหมายปองก่อนที่จะมาเป็นทองก็ดูด้านๆ ต้องผ่านไฟหลอมก่อน เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ให้มองตนเองว่าเรานั้นจะมีจิตใจที่งดงามกว่านี้ได้ จำเป็นจะต้องผ่านความยากลำบาก ผ่านไฟหลอมเหมือนดังเช่นทองผ่านการหลอม หยกผ่านการเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์ในสมัยนี้มักหลบเลี่ยงความลำบาก แสวงหาความสบาย แท้จริงแล้วเมื่อท่านยิ่งหลบเลี่ยง ตัวท่านก็จะกลายเป็นคนที่เกียจคร้าน ไม่มีความมุ่งมั่นจริง ไม่รู้จักที่จะแก้ไขตนเอง เพราะว่าติดอยู่ในความสบายนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้มาฟังธรรมะเป็นวันที่สอง จิตใจดวงนี้จะต้องเป็นจิตใจที่สงบลงบ้าง ถ้าหากว่าท่านตั้งใจที่จะบำเพ็ญ ขอให้มีความมุ่งมั่นอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากสักเท่าไหร่ ขอให้ใจของเรานั้นเป็นหนึ่งเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญธรรมสองสามปี จิตใจก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิมหรือแย่กว่าเดิม ถ้าเป็นเช่นนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็หาบำเพ็ญดีไม่ แดนฟ้าที่ท่านหมายปองย่อมไปไม่ถึง ในโลกนี้จึงเป็นที่ระหว่างผู้บำเพ็ญและผู้ที่ต้องการที่จะเวียนว่ายต่อไป ต่างกันแค่ก้าวเดียว ฉะนั้นทุกๆ ก้าวจึงต้องเป็นก้าวที่ระมัดระวังเสมอ ระวังเหมือนยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่บาง หากตกลงไปก็ลึกเหมือนดังหุบเหว
ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          ทุกๆ คนในที่นี้รักความอิสระไหม (รัก) ตอนนี้เรากำลังเบียดบังความอิสระของท่านบ้างหรือเปล่า (เปล่า) ตอนนี้เรากำลังจะพูดถึงเรื่องความอิสระ มนุษย์เรามักจะชอบความเป็นอิสระเสรี แล้วชอบไหมที่เห็นคนอื่นถูกกักขังถูกหน่วงเหนี่ยว (ไม่ชอบ)   ถ้าเช่นนั้นวันนี้ใครขังปลา ใครขังไก่ ใครเลี้ยงนกต้องกลับไปปล่อยแล้วนะ วันนี้ฟังเรื่องกฎแห่งกรรมแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่ทำไมเราถึงพูดเช่นนี้ ก็เพราะว่ามนุษย์เรานั้นเดิมแล้วก็รักความอิสระ ชอบที่จะมีความอิสระเสรี ทำสิ่งใดก็ได้ แต่ถ้าความอิสระเสรีที่เราชอบนั้นเป็นการชอบเลี้ยงนก เลี้ยงปลาขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับว่าเรามีเสรี แต่เราขังเสรีของคนอื่นไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่เช่นเดียวกับเรารักเงิน รักเกียรติยศ แต่บางครั้งในการรักเงินและรักเกียรติยศ เรามักจะเบียดบังและข่มเหงเอาเงินของคนอื่นมา เอาเกียรติยศของคนอื่นมาเพื่อให้ตนเองมีเงินมีเกียรติยศ หากมนุษย์ทำเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องที่น่าละอาย หากคนคำนึงแต่ความรู้สึกของตน โดยไม่คำนึงถึงความ    รู้สึกของผู้อื่น คนๆ นี้เรียกว่าคนพาล ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วตอนนี้เราเผลอทำเรื่องน่าละอายไปบ้างหรือไม่  บ่อยครั้งที่เงินในกระเป๋าของเราเป็นเงินที่ได้มาจากคนอื่น  หรือพูดง่ายๆ ถ้าคนที่ยังไม่มีหน้าที่การงานก็คือได้มาจากพ่อแม่  เรามีอิสระที่จะใช้เงินได้ตามสบาย แต่อิสระของเรากำลังเหยียบอยู่บนอิสระของคนอื่น ความร่ำรวยของเรา ยศตำแหน่งของเราได้มาโดยที่คนอื่นต้องตกตำแหน่ง เราทำได้ลงคอหรือ  ทุกคนก็อยากรักความดีปราบความชั่วร้าย แต่อย่าเป็นคนชั่วร้ายเองโดยไม่รู้ตัว เรารักความเที่ยงธรรมแต่บ่อยครั้งเรามักเหยียบความเที่ยงธรรม หรือไม่รู้จักการดำรงอยู่ในความเที่ยงธรรมโดยแท้จริง เรารักความมีน้ำใจต่อกัน รักอิสระเสรี แต่ในอิสระเสรีเรากลับเหยียบย่ำทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายแม้สิ่งเล็กน้อย อย่างนี้หรือที่เรียกว่าอิสระเสรีที่เราควรได้  ถ้าเช่นนั้นความประพฤติของท่านก็ไม่ต่างจากคนพาลนี่เอง  เอาเขามาโดยที่เขาเจ็บปวด เอาเขามาโดยที่ไม่สนใจความรู้สึกเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใช่แปลว่าท่านทำถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไร ทุกก้าวเดินขอให้ระมัดระวัง ขอให้สำรวจตรวจคิด แล้วเราจะไม่เป็นผู้กระทำผิด แล้วเราจะไม่เป็นคนพาลทั้งทางตรงและทางอ้อม
 ใครๆ ในที่นี้ก็อยากเป็นคนดี ใครๆ ในที่นี้ก็เป็นคนดีได้ เป็นพุทธะได้เพราะว่าทุกคนมีรากเหง้า มีจิตใจ หรือมีพื้นฐานที่ใฝ่ชอบอยู่แล้ว ถ้าไม่มีคงไม่มานั่งในวันนี้ คงไม่มานั่งตรงนี้ใช่หรือไม่ เพราะธรรมะก็คือของที่ดี คือการกระทำดี  แล้วทำไมเราไม่แผ่ขยายความดีที่อยู่ในตัวเราให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไป ทำไมเราชอบเอาอารมณ์มากดความดีของเรา เอาความคิดชั่วร้ายวูบหนึ่ง มาทำร้ายความดีหรือรากแห่งความดีในตัวตนกันล่ะ  อาจจะเป็นเพราะว่าเราอายที่จะทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ถ้าเห็นไม้จิ้มฟันหรือไม้จิ้มลูกชิ้น มีใครบ้างจะกล้าเก็บ มีใครบ้างจะคิดได้ว่าไม้นี้แม้เราจะไม่โดนแทง แต่อาจจะไปแทงคนอื่นก็เป็นได้ แต่คนจะเก็บก็ต่อเมื่อไม้นั้นทิ่มเราแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนกับตัวท่านจะยอมประพฤติดี จะยอมฟื้นฟูความดี จะยอมเรียกร้องความดี ทำไมต้องให้เข็มทิ่มตัวเองก่อน ทำไมต้องให้ความชั่วร้ายมันเกิดขึ้นในตัว แล้วเราค่อยมาเรียกหาความดี แล้วเราค่อยมาเรียกหาความยุติธรรม เจ็บแล้วจึงรู้จักคิดหรือ ก็คงไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่
ระลึกผล ทำอย่างไรดี  คิดก่อนพูดและทำ ได้ไหม  ถ้าทุกครั้งเราคิด ความประมาทความผิดพลาดจะบังเกิดไหม (ไม่บังเกิดอาจจะบังเกิดได้ถ้าภายในความคิดของเราไร้ความเที่ยงตรง ไร้ซึ่งคุณธรรมที่หมั่นสั่งสมมา ความคิดเราอาจจะเอนเอียงแล้วตัดสินผิดพลาด ฉะนั้นจึงต้องคิดก่อน คิดสองรอบดีหรือไม่ (ดีหรือเพื่อความไม่ผิดพลาด คิดสักสามรอบ ทำได้หรือเปล่า  อย่างเช่นมีตะกร้าใบหนึ่งใส่ทองไว้เต็ม ท่านเห็นแล้วจะทำอย่างไร (อยากได้ตอนนี้คิดอยากได้ไม่เป็นไร คิดก่อนยังไม่เป็นไรใช่หรือไม่ (ใช่คิดต่ออีกว่าตะกร้านี้เป็นของใคร แล้วคิดต่อไปอีกว่าเราเอาดีหรือไม่เอาดี อย่างนั้นหรือเปล่า  เอาดีหรือไม่ดี (ไม่ดีต้องเอาดี ถ้าท่านเอาไม่ดีสิร้ายแน่ ใช่หรือไม่  เข้าใจหรือเปล่า  ถ้าตอนนั้นครั้งที่สามท่านคิดเอาดี ตะกร้านั้นก็คงจะรีบถูกนำไปให้ตำรวจ แต่ถ้าคิดเอาร้าย ตะกร้านั้นก็อยู่กับตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่เราบอกแล้วว่าต้องคิดให้ได้สามรอบใช่หรือเปล่า
แต่ในโลกที่ท่านต้องเผชิญความจริงนั้น ใช่จะง่ายอย่างนี้ตลอด บางครั้งไม่ใช่การทำดีง่ายๆ บางครั้งการทำงานร่วมกับเพื่อน เรารู้ว่าถ้าทำมากหน่อยจะได้เลื่อนตำแหน่ง จะมีใครสักกี่คนยอมให้คนอื่นขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าถึงตอนนั้นท่านจะคิดกันประการใดดี จะคิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้คราวนี้ต้องคิดถึงทั้งส่วนรวม ส่วนตัวและส่วนเพื่อนด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่เป็นการคิดที่ต้องละเอียดอ่อนขึ้นไปอีก  ทำไมเราบอกว่าต้องคิดส่วนตัวด้วย  ถ้าตอนนี้ภาวะแวดล้อมเรามีพร้อมสมบูรณ์ แต่เพื่อนไม่มี  หรือถ้าตอนนี้ภาวะแวดล้อมเราแม้จะไม่พร้อมสมบูรณ์ แต่ว่าเพื่อนเก่งกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่ก็ปลีกย่อยรายละเอียดมากขึ้นไปอีก  หากเราไม่พร้อมสมบูรณ์ แต่เพื่อนทำได้ดีกว่า  แต่ตอนนี้หัวหน้าให้เรา มีใครบ้างจะยอมให้เพื่อนทำ ใช่หรือไม่ (ใช่นี่แหละเป็นเรื่องยากของมนุษย์ที่จะทำดี  เพราะมักจะคิดถึงตัวเองมากกว่าผู้อื่น  แต่จะมีใครคิดได้บ้างว่าชั่วขณะนั้น หากเราคิดให้เพื่อนทำไม่ช้าก็เร็ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าเรามีบุญคุณ  แต่สักวันหนึ่งเขาย่อมรักเราจนวันตาย ใช่หรือไม่ (ใช่อย่างนี้ได้เพื่อนมาเป็นเพื่อนแท้ กับการที่เราได้เลี้ยงดูครอบครัว  บางครั้งเราต้องคิดหนักเลยว่าจะเลือกอะไรดี  นั่นแหละคือความยากในการดำเนินชีวิตของคน  เมื่อมีคำว่าผลประโยชน์ เมื่อมีคำว่าผลพลอยได้ เรามักจะยากตัดสินใจ ยากพูดถึงคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นบางครั้งหากตำแหน่งหน้าที่ตรงนี้พอแล้ว เราภูมิใจกับการมีชีวิตเท่านี้แล้ว  ทำไมเราจะต้องเอาตัวเราไปเผชิญกับการตัดสินใจยากๆ ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่แต่เพราะมนุษย์เรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ หรือไม่รู้จักคำว่าสมถะ ก็เลยทำให้ตนเองยากที่จะตัดสินใจอยู่บ่อยครั้ง และยากที่จะเป็นคนมีคุณธรรมอยู่เป็นนิจศีล ใช่หรือไม่ (ใช่
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :           สิ่งที่ท่านได้ฟังมาตลอดเวลาที่เราทั้งสองมาที่นี่นั้น หมายถึงการใช้ธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวัน  โดยปกติแล้วท่านมักจะคิดว่าธรรมะและชีวิตนั้นไม่เหมือนกัน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  แต่ทว่าที่จริงแล้ว ธรรมะกับชีวิตนั้นสามารถจะรวมกัน และรวมกันได้อย่างดี  ในบางครั้งเมื่อท่านเจอปัญหาที่ยากมากๆ  ให้รู้จักใช้ธรรมะเข้ามาแก้ไข  ไม่ใช่แก้ไขด้วยอารมณ์อย่างที่เป็นอยู่  หลายๆ คนจึงกลายเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง เมื่ออารมณ์ร้อนก็ไม่เข้าใจผู้อื่น  เพราะว่าใจของเรานั้นเปิดไม่ออก เหมือนกับใช้กุญแจล็อคไว้  ขณะนี้จึงอยากจะเตือนทุกท่านว่าชีวิตคน ดูๆ แล้วยาว แต่อันที่จริงสั้นยิ่งนัก ท่านจงใช้ชีวิตของตนเองให้มีคุณค่าด้วยการรู้จักใช้ปัญญาของเราให้ดี อย่าเพิ่งใช้ความฉลาดแกมโกง ใช้ความคดในใจของเรา ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ได้รับผลเสียต่างๆ นานาจะเป็นท่านเอง  เปรียบเสมือนเมื่อเราโกรธ ความโกรธนั้นไม่ได้ทำลายผู้อื่น แต่ทำลายใจของเราโดยตรง  ทำลายผู้อื่นเพียงนิดหน่อยแต่จะทำลายจิตของเรามาก ธรรมะจึงสัมพันธ์กับชีวิตด้วยเหตุฉะนี้  หากว่าท่านรู้จักดึงธรรมะเข้ามาใช้กับชีวิต ชีวิตของเราก็จะเป็นชีวิตที่ผาสุกรุ่งเรือง  แต่หากว่าท่านใช้อารมณ์  ใช้ความปลงไม่ตก ความโลภ ความหลงดังเช่นทุกวันนี้ที่เป็นมา ท่านก็จะได้รับผลเสียต่างๆ นานาอันสุดประมาณได้  ทุกวันนี้ขอให้มองไปรอบๆ ให้ดูว่าจิตใจของเรานั้นเป็นเช่นไรเมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่น เราจะต้องนำสิ่งที่ดีของผู้อื่นนั้นมาเป็นของตน ในหนึ่งคนย่อมมีข้อดีหนึ่งอย่าง ถ้าท่านสามารถนำข้อดีของผู้อื่นมาได้สักสิบคน ท่านก็มีข้อดีสิบอย่างในเวลาอันรวดเร็ว อย่าเลือกที่จะเลียนแบบใคร อย่าเลือกที่จะดูว่าเขาดีหรือไม่ดี  แม้คนต้อยต่ำ แม้คนที่ไม่มีเงินทอง  ถึงอย่างไรเขาก็มีข้อดีให้ท่านเลือกมองได้ ขอให้จำสิ่งนี้ไว้  อันด้วยสายตาและหูของมนุษย์นั้นชอบฟังสิ่งที่ไม่ดี ชอบดูในสิ่งที่ไม่ดี จนจิตใจของเรานั้นเป็นจิตใจที่ไม่ดี ธรรมะที่ดีนั้นเมื่อฟังแล้วต้องปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้น้อยก็ยังดีกว่าปฏิบัติไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่ในขณะที่ตัวท่านในตอนนี้ได้รับเคราะห์กรรมต่างๆ ได้รับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ขอให้รู้ที่จะเตือนสติตนเอง ว่าเรานั้นไม่ใช่คนที่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่จงมีจิตใจที่แข็งแรงเหมือนเดิม  แม้ว่าท่านจะโดนผู้อื่นให้ร้าย แต่จิตใจของท่านก็อย่าร้าย  แม้ว่ามีเคราะห์กรรมมากมาย แต่ท่านอย่าได้หาเคราะห์กรรมใส่ตัวเอง สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่มงคลที่สุดสำหรับท่าน เพราะว่าในโลกนี้มีคนรักย่อมมีคนชังอย่างหลีกหนีไม่พ้น ขอให้ทำจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์สะอาดขึ้นทุกวันๆ
ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียน :          การอยู่ในโลกนี้ จะอยู่ให้ดีนั้นเป็นการยาก  แต่อยู่แล้วจะเป็นที่รักของทุกๆ คน ยิ่งยากขึ้นไปอีก  เราจะอยู่อย่างไรที่จะทำให้ตนเองไม่ผิดพลาดมากที่สุด แต่ถ้าเกิดว่าเรากังวลในความผิดพลาดมากเกินไป ก็ทำให้เราไม่กล้าที่จะออกไปไหน หากความผิดพลาดเปรียบเหมือนกับโรคร้าย แล้วเราไม่ยอมออกไปเผชิญโลกเลย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่โดนฝน ไม่โดนลม จะเป็นการรักษาโรคโดยถูกวิธีไหม (ไม่ถูกเป็นการป้องกันโรคโดยถูกวิธีหรือเปล่า (ไม่ถูก) ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ อดไม่ได้ที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม แล้วเราจะทำอย่างไรให้เกิดโรคน้อยที่สุด คนทั่วไปเป็นโรคกลัวหมอ เกลียดที่ตัวเองจะต้องทำผิด เกลียดที่ตัวเองจะมารักษาข้อผิดพลาด หรือเกลียดที่ตัวเองต้องมานั่งฟังคำติเตียนของผู้อื่น แต่ถ้าเราทำผิดแล้วกลับนิ่งเฉย ไม่ฟังคนอื่นตักเตือน ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะอะไรเราถึงต้องฟังคำเตือน เพราะคนเตือนเปรียบเหมือนกระจกเงา แต่ไม่ได้ส่องกายอย่างเดียว ยังส่องให้รู้ว่าจิตใจเราเป็นอย่างไร บางครั้งไม่จำเป็นต้องให้เขาพูด
บางครั้งเราอยู่ร่วมกับเพื่อน อยู่ร่วมกับคนอื่น เราสามารถรู้นิสัยของเราได้ว่าเราขยันทำงานหรือว่าขี้เกียจทำงาน เวลาเราเรียนหนังสือกับเขาเรารู้ได้ว่าเราเป็นคนเก่งหรือไม่เก่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรเราถึงต้องสนใจความผิดพลาด สนใจการตักเตือนและสนใจคนรอบข้าง เพราะการที่เราป่วยเป็นโรคอะไรสักโรคหนึ่ง หากเราไม่รู้ตัว ปล่อยให้มันลุกลามใหญ่ขึ้น อันตรายย่อมเกิดขึ้น ความคาดไม่ถึงย่อมบังเกิดได้ ฉะนั้นเมื่อเราป่วยแล้วเรารู้หรือว่าเราเห็นหมอ เราต้องอย่ารังเกียจ เราต้องพร้อมที่จะเดินเข้าไปหา และพร้อมที่จะพิจารณาว่าตนเองนั้นอ่อนแอหรือไม่ ตนมีดีหรือมีข้อผิดพลาด  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกัน เจอคนดีบ้างไม่ดีบ้าง อย่าได้ท้อ อย่าได้ยอมแพ้ อย่าบ่นว่าเขา แต่ต้องคิดว่าเป็นกระจกที่ดี เป็นแบบที่ดีในการตรวจสอบตัวเรา ตรวจสอบใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ความผิดพลาดหากเกิดขึ้นแล้วเราไม่เอาใจใส่ดูแล ก็เปรียบเหมือนกับสรรพสิ่ง ไม่มีความผิดพลาดใดหรอกที่จะนิ่งเฉย แล้วไม่เจริญเติบโตยิ่งใหญ่  ทุกสิ่งในโลกนี้ แม้แต่ตนเอง มีใครบ้างที่เคยทำผิดครั้งหนึ่ง จะไม่เผลอทำอีกเป็นครั้งที่สอง (ไม่มีก็ต้องพูดว่าน้อยเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าเรามีความผิดต้องรีบลงมือแก้ไขทันที อย่าปล่อยให้ความผิด ความชั่วร้ายซุกซ่อนแอบพัฒนาเพิ่มขึ้น เช่นนั้นแล้วผลที่เราได้รับจะมากหรือน่ากลัวกว่าที่เราคิดหลายเท่า ใช่ไหม (ใช่) เหมือนคนคิดผิดอย่างเดียวว่าเราเกลียดเขา  ความเกลียดนั้น หากเราไม่รักษาให้หาย มีไหมที่จะไม่เกลียดเพิ่มขึ้น หรือเปรียบดูง่ายๆ เหมือนคนๆ หนึ่งทำขวานหาย แล้วคิดว่าเป็นเพื่อนข้างบ้านขโมยไป ไม่ว่ามองกี่ครั้งๆ ก็จะรู้สึกว่าคนนั้นจะเป็นคนขโมยตลอดเลย  กระทั่งเราพบขวานแล้วถึงจะคิดได้ว่า จริงๆ แล้ว เขาไม่ใช่ขโมย ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนความผิดที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเรา ความชั่วร้ายที่แอบอยู่ในตัวเรา แม้เพียงกระพี้เล็กนิดหนึ่ง เราอย่าได้ประมาท เพราะถ้าสั่งสมขึ้นยิ่งใหญ่ เราอาจจะกลายเป็นคนที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำดินก็เป็นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ดูน่ากลัวเกินไปไหม แล้วคิดว่าท่านพลิกฟ้าคว่ำดินได้ไหม (ไม่ได้)  หรือพูดง่ายๆ ท่านสามารถคว่ำคนๆ หนึ่ง แม้เพียงวาจา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่เราพูดธรรมะมาก็มากมาย การที่ท่านมาฟังธรรมะแล้วก็ต้องบำเพ็ญตน เป็นเพราะอะไร  สำคัญอย่างเดียว ที่เราอยากบอกท่านก็คือเพื่อไม่ให้เราเผลอทำผิด หรือกลายเป็นคนชั่วร้ายไปโดยไม่รู้ตัว เพราะวันนี้เราคิดดีได้ แต่วันต่อไปท่านรับประกันได้ไหมว่าจะคิดดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจก็คือใจของเรา ความคิดก็อยู่ที่ตัวเรา  ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมให้เป็นด้วย อย่าคิดว่าการควบคุมเป็นการบีบบังคับ แต่ถ้าบีบแล้วออกมาสวย ออกมาดี ทำไมไม่ลองบีบกันดูบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเราจะทำดอกไม้ หากเราไม่บีบออกมา ดอกไม้จะสวยได้ไหม (ไม่ได้เหมือนวันนี้จะมาฟังธรรมะ จะรู้ได้ไหมว่าธรรมะคืออะไร ถ้าแค่นั่งมองแล้วไม่คิดไม่ปฏิบัติ
วันนี้ท่านอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูดเลยก็ได้ แม้เพียงประโยคเดียว  เพราะว่าเอาแต่มอง ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักลงมือปฏิบัติ  เหมือนคนที่อยากรู้สรรพสิ่งในโลกนี้ว่าเป็นอย่างไร  แต่เอาแต่นั่งมอง เขาจะรู้สรรพสิ่งในโลกนี้ได้ไหม (ไม่ได้ต้องทำอย่างไร (ลงมือทำอย่าลืมคิดด้วย คิดแล้วปฏิบัติ  การคิดนั้นจะช่วยให้เราไตร่ตรองและตรวจสอบว่าสิ่งที่เราฟังมานั้นเข้าใจแจ่มชัดหรือยัง  หากปฏิบัติทันทีแปลว่าเราไม่ได้ตรวจสอบวิธีการที่เราเรียนรู้มา  เหมือนเราบอกท่านประโยคหนึ่งไปถึงท้ายประโยค วิธีเหมือนกันไหม (ไม่เหมือนแล้วเวลาท่านฟังจากเรา วิธีจะเหมือนกับที่เราพูดไหม (ไม่เหมือนย่อมมีผิดพลาดไปบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขอให้ท่านระวังตัวสักนิดหนึ่งเมื่อมีชีวิตอยู่ไม่ว่ารัก โลภ เกลียดหรือหวัง เมื่อจะมีอยู่ในใจ เมื่อจะเกิดอยู่ในใจ ขอให้ตรวจสอบให้ดีว่ารักอย่างไรจึงจะดี หวังอย่างไรจึงจะเหมาะสม  ในการบำเพ็ญธรรม เรารู้ว่าทุกคนหวังก้าวหน้า หวังอยากเป็นคนดี หวังอยากกลับคืนเบื้องบน  แต่ถ้าหวังแล้วไม่ได้ทำ ไม่ได้คิดไตร่ตรอง ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าคิดว่าตนเองมีความสามารถ แล้วคนอื่นไม่เห็น แต่ตนเองไม่เคยลงมือทำ จะโทษเขาได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรื่องราวในโลกนี้ หรือเรื่องราวในชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ใช่เรื่องเสี่ยงทาย เอาลูกเต๋ามาเสี่ยง หรือเอาไพ่มาเดา  แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต ชีวิตเรามีแค่หนึ่งเดียว ไม่ใช่แมวที่มีเก้าชีวิต  ไม่ใช่เสือที่ดูยิ่งใหญ่  แต่เป็นชีวิตที่พร้อมจะดับสิ้นได้  ไม่มีวันรู้และไม่มีใครเดาได้  ฉะนั้นการดำรงชีวิต ขอให้มีคุณค่า ขอให้ไตร่ตรอง  คิดสักนิดก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนเดิน  แล้วท่านจะเป็นคนที่มีความสุขในการดำรงชีวิต และมีความสุขในการอยู่ร่วมกับคน  ในการบำเพ็ญตนเอง
วันนี้เรามาก็ยินดีที่ได้พบกันอีก หลายๆ คน เจอเราหลายครั้งแล้ว แต่หลายครั้งนี้คงไม่ทำให้เบื่อกันไปก่อน เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ ต้องทำตัวให้เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักอย่างหนึ่งได้ไหม (ได้คือยิ้มได้ตลอดเวลา สังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่าเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจะยิ้มได้อยู่เสมอ แม้ว่าเขาคนนั้นจะอยากฟังหรือไม่อยากฟัง ขอให้ท่านยิ้มได้ตลอดเวลา ยิ้มนั้นก็คือยิ้มสู้ สู้กับทุกๆ เรื่อง อย่าพ่ายแพ้ใจตนเอง อย่าไปโทษคนอื่น ดีหรือไม่ (ดี) คนที่มาเพียงหนึ่งวัน วันนี้อาจไม่กระจ่าง ยังมีข้อสงสัยที่ค้างคาใจอยู่หลายข้อ  เป็นธรรมดาที่การฟังเรื่องราวๆ หนึ่ง จะใช้แค่ตาดูหูฟังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ใจคิดพิจารณา  หนังสือเล่มหนึ่งท่านจะเข้าใจภายในหนึ่งชั่วโมงก็เป็นไปไม่ได้ ต้องให้เวลาสักนิดหนึ่ง  การให้เวลากับสิ่งที่ดี การให้เวลากับคุณธรรมไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เรามาก็ไม่ได้หวังให้ท่านเชื่อเรา แต่เรามาเพื่ออยากจะให้ท่านเข้าใจคุณธรรมในตัวเอง แล้วบำเพ็ญชีวิตอย่างมีคุณค่า ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง แล้วท่านจะประจักษ์เองว่าสิ่งที่ดีนั้นไม่ใช่ใครเป็นผู้แต่ง แต่คือตัวเราที่เป็นคนสร้าง เราสามารถเป็นคนดีได้ แล้วเราก็สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ คิดดูให้ดีแล้วกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนเกิดมาจากมนุษย์ กายคนใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกผลไม้ให้กับนักเรียน) มีใครจะขอตะกร้าเราบ้างไหม เรายินดีจะให้นะ แต่ขอให้ใช้ตะกร้าใบนี้ไปตักคุณธรรมความดีมาให้เต็ม ไม่ใช่ไปตักตวงเงินทองมาให้เต็มนะ
คิดถึงบ้านกันหรือยัง (ยัง) ตอนนี้เราคิดถึงแทนแล้วนะ แต่บ้านไม่ใช่บ้านหลังนี้ หรือบ้านในโลกนี้ แต่เป็นบ้านที่ทุกคนสามารถกลับไปได้ แต่ลืมกลับไปกันต่างหาก  จะกลับทั้งทีก็ขอให้กลับไปยังเบื้องบนดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เราคงเห็นทุกท่านกลับไปด้วยกันกับเรานะ แม้วันนี้จะไม่ได้กลับไปด้วยกัน แต่ก็ขอให้มีจิตใจที่ดีงามให้เรานำกลับไปด้วยดีหรือไม่ (ดี) คงผูกบุญสัมพันธ์กันแค่นี้นะ อดอาลัยไม่ได้ใช่หรือเปล่า เป็นธรรมดา แต่ก่อนจากกัน เราได้สร้างแต่สิ่งที่ดีแล้ว เวลาจากเราก็ไม่เสียใจ  ฉะนั้นเวลาเรามีชีวิตเราพบเจอใครขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดี จะจากเขาเราจะได้ไม่ต้องกังวล ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านหลวี่ต้งปินต้าเซียน :            (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมเก่า) อยากเตือนทุกท่านที่เป็นผู้บำเพ็ญมาหลายปีแล้ว ในทุกๆ ปี ทุกๆ วัน ยิ่งมากขึ้น ขอให้ท่านรู้จักสร้างกุศลให้มากขึ้น สำรวมให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้ว ทุกๆ วันปล่อยไป ท่านเองก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่บำเพ็ญ ฉะนั้นการขึ้นนิพพานจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมาก วันนี้ท่านอาจยังไม่ทราบ แต่วันหน้าท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคมากที่สุดก็คือนิสัยของตนเอง ทุกๆ คนต่างมีนิสัยประจำตัว เรานั้นเป็นผู้ที่เคร่งครัด จึงอยากให้รู้จักเคร่งครัดกับตนเอง หลายคนชอบปล่อยตัวตามสบาย สบายมากก็จะหลงมาก เมื่อไม่รู้จักมอง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรได้ ไม่รู้จักเรียนรู้ ก็ไม่สามารถพาตนเองให้พัฒนาไปได้ ฉะนั้นจงพาตนเองให้ดีๆ รู้ให้ถ้วน ให้เข้าใจ อย่าบอกว่าเรานั้นเป็นเด็ก มีสิทธิมากกว่าผู้ใหญ่ ฟ้าเบื้องบนไม่เคยมองใครเป็นเด็ก ไม่เคยมองใครเป็นผู้ใหญ่ ทุกๆ คนนั้นมีสิทธิเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าผู้ใดยับยั้งชั่งใจได้มากกว่ากัน ขอให้รู้จักปันใจ คำเตือนมีค่ายิ่งกว่าทองคำ มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมในชั้นท่านหนึ่ง) ท่านลองดูสิว่าแส้อันนี้มีกี่เส้น ให้รู้ไว้ว่าในโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้ เหมือนกับแส้นี้ ที่ไม่อาจรู้ได้ว่ามีกี่เส้น ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง มีคนสอนมีคนเตือนก็ให้ฟัง ไม่เช่นนั้นท่านจะเสียใจ การบำเพ็ญนั้นต้องทำทุกวัน รู้จักบำเพ็ญทุกๆ วัน ใจของเรามองแล้วต้องแก้ไขให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นท่านจะทิ้งรากบุญที่มีอยู่ ซึ่งไม่สามารถที่จะขจรขจายมากกว่านี้เข้าใจหรือไม่
ในขณะนี้ อยากพูดในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในจอมเทพวินัยธร อยากจะบอกทุกท่านไว้ว่า ทุกท่านสามารถที่จะนำตนเองให้ก้าวหน้ากว่านี้ได้ อันว่าหลายคนรู้จักเคร่งครัด แต่ทว่ารู้จักเคร่งครัดกับผู้อื่นมากกว่าที่จะเคร่งครัดกับตนเอง จึงกลายเป็นผลเสีย ท่านไม่สามารถจะเปลี่ยนผู้ใดได้ด้วยการที่ท่านพูดแค่คำสองคำ แต่จงเปลี่ยนตนเองด้วยคำพูด พูดกับตนเองทุกวันไม่รู้จบ ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องเสียใจที่ท่านนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญ แต่บำเพ็ญได้ไม่ดีเลย  ขอให้หาความก้าวหน้าให้กับตนเองทุกวัน ทุกๆ วันนั้นมีค่า หากว่าท่านไม่ปล่อยไปอย่างเปล่าประโยชน์
หวังว่าทุกท่านที่มาเป็นนักเรียนฟังธรรมะในสามวันนี้ จงตัดใจที่ลังเลสงสัย ขอให้ท่านรู้จักที่จะมองตนเอง มองให้เห็นแล้วนำธรรมะเหล่านี้เข้าไปเติมในจิตใจของท่าน ให้เกิดความเต็มขึ้นมา ไม่เช่นนั้นแล้วท่านเองก็จะมีน้ำขุ่นในใจที่ไม่สามารถชะล้างทิ้งได้ น้ำใหม่ที่เอาเข้าไปอันได้แก่ธรรมะนั้นก็เข้าไปนอนนิ่ง กลายเป็นน้ำเน่าเสีย
หวังว่าท่านจะมีความตั้งใจหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ใดมั่นใจ เข้าใจศึกษาธรรมะก็ขอให้ศึกษาด้วยจิตใจอันสงบ ทุกท่านต่างมีบุญมาก่อน แต่ว่าบุญนี้จะอยู่กับท่านตลอดไปไม่ได้ เหมือนกับการตัด ตัดออกจากเนื้อก้อนหนึ่ง ยิ่งตัดยิ่งสั้น จงรักษารากบุญของตนเองให้อยู่กับตนอีกนาน เพื่อที่จะได้เป็นร่มเงาให้กับคนต่อไปได้
ดอกไม้มีหลายสี แต่ละสีนั้นยั่วยวนจิตใจ ทำให้หลงใหลชอบพอ มีแต่เพียงสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้นที่ไม่บาดตา จึงหวังว่า ท่านจะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจชีวิตและนำพาชีวิตของตนเองไปให้ตลอดรอดฝั่ง ชีวิตคนๆ หนึ่งก็เปรียบเสมือนดอกไม้ ไม่นานก็เหี่ยวเฉา ดูสิว่าช่วงเวลาก่อนที่จะเหี่ยวเฉานี้ ท่านเมธีจะทำสิ่งใด
หวังว่ามีโอกาสจะได้พบกันใหม่ ขอให้ทุกท่านบำเพ็ญดียิ่งๆ ขึ้น ความสำเร็จนั้นย่อมเกิดแก่ผู้พยายามเท่านั้น  มีโอกาสค่อยร่วมผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่



วันจันทร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒    พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

                หว่านสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่พลาดผิด                หนึ่งชีวิตทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น
กรรมและบุญเป็นสิ่งที่คู่กัน          ขอศิษย์นั้นเลือกให้ถูกดูให้ดี
                                เราคือ
                จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

                ความพยายามอยู่ที่ไหนในใจศิษย์           ขอสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาด่วน
ศิษย์พุทธะตามพุทธะอย่าเรรวน               ใดสมควรเร่งรีบทำอย่ารีรอ
กตัญญูมาเป็นหนึ่งมาเป็นหลัก ด้ามพร้าหักไม่อาจใช้อย่างเนื่องต่อ
ความเมตตารีบเร่งทำอย่ารีรอ   เสียงพะนอพาให้หลงอย่าหลงฟัง
ปูเส้นทางแห่งพุทธะให้ตนเอง    คนที่เก่งอาจมีอัตตาขวาง
ศิษย์เอ๋ยศิษย์ขอให้เดินทางสายกลาง     ทุกก้าวย่างให้ระวังตนให้ดี
ความมั่นคงเกิดในจิตเมื่อวันใด ขอถนอมรักษาไว้ให้เต็มที่
กำลังใจให้ศิษย์ทุกทิวาราตรี       จากวันนี้จวบสิ้นลมต้องฝ่าฟัน
รักหลงพาหกคะเมนตีลังกา         อย่าชักช้าหนีให้ทันมุ่งคืนบ้าน
ศึกษาธรรมเป็นปัจจัยฟื้นธรรมญาณ      เข้าใจพลันปฏิบัติตรงสัจธรรม
หญ้าได้ฝนไม่พ้นงอกขึ้นมาใหม่                จงดึงรากถอนโคนไปอย่ากลัวช้ำ
ถอนไม่หมดกลับกลายเป็นยิ่งระกำ          จงจดจำอาจารย์พูดและทำตาม
สามวันนี้ศิษย์คนดีมาศึกษา       หลังวันนี้อย่าออกไปอีกถลำ
บำเพ็ญคือการขัดเกลาและน้อมนำ         คิดแล้วทำตามอาจารย์อย่าห่างไกล
อย่าลุ่มหลงในโลกีย์มากสีสัน      ทางฟ้านั้นมีหนึ่งเดียวอย่าเผลอไผล
วอนขอตนไม่ต้องวอนขอผู้ใด     จงตั้งใจอาจารย์นี้จะคอยเคียง
                                                ฮา  ฮา  หยุด






ดวงใจโยงใยสายสัมพันธ์  ห่างกันศิษย์อย่าร่ำร้องไห้  จะแสนไกล
อยู่หนใด  อาจารย์นี้ยังเคียง
ปลอบใจคนดีด้วยสายลม โศกกับคนดีด้วยฝนหลั่ง  ศิษย์รักเอยอย่าหลงทาง  อาจารย์นี้ยังคอย
เสียงจากใจ  ฟ้าปรานี  ได้มีศิษย์ไม่เคยเสียใจ  ศิษย์อย่าท้อไป  บุกฝ่าผองภัย  ขอใจนี้ยังอยู่  แล้วสักวันศิษย์คงหวนมา
                                เพลง : สักวันศิษย์คงหวนมา
ทำนองเพลง : เพลงประกอบภาพยนตร์ฟงอวิ๋น



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมเด็กพ่อแม่ของเราให้เรามาในงานธรรมะก็หวังจะให้เรานั้นเป็นเด็กดี อย่างน้อยก็ต้องไม่ทำให้พ่อแม่กลุ้มใจ ใช่ไหม (ใช่อยู่ในกรุงเทพฯ อย่าได้หนีออกไปเที่ยว  สิ่งใดที่ไม่ดีก็งดเสีย สิ่งใดที่ดีก็ทำให้มากๆ  ไม่อย่างนั้นแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร ในเมื่อหน้าที่ของตัวเองยังทำได้ไม่ดี มีหน้าที่เรียนหนังสือก็เรียนให้เก่ง ทำได้ไหม (ได้เป็นเด็กดี จำไว้
ถ้าหากว่าเราต้องตามหาใครสักคน เหนื่อยไหม (เหนื่อยถ้าเรารู้ว่าเขาซ่อนอยู่ตรงไหนจะหาเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อยแล้วอยากรู้ไหมว่าอาจารย์นั้นรู้หรือไม่ว่าศิษย์อยู่ที่ไหน (อยากอาจารย์อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วอาจารย์รู้ว่าศิษย์อยู่ที่ไหน แต่ว่าศิษย์ชอบแอบกัน ชอบเล่นซ่อนแอบเหมือนเด็กๆ ใช่ไหม (ใช่บอกให้มาสถานธรรม อยากมาไหม (อยากอยากแล้วมาหรือเปล่า (มารักสถานธรรมเหมือนบ้านตัวเองหรือเปล่า (รักถ้าหากว่าให้เลือกระหว่างอยู่บ้านกับสถานธรรมจะเลือกอยู่ที่ไหน (อยู่สถานธรรมโกหกตัวเองหรือเปล่า
ทุกๆ วัน ทุกๆ มื้อก็มีอาหารอร่อยๆ กิน  แต่ถ้ามีมื้อหนึ่งไม่อร่อย เราก็จะรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ไม่อร่อยเลย  เมื่อเกิดความรู้สึก  ความชอบหรือไม่ชอบก็เกิดตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่ถามว่าเรารู้สึกชอบหรือไม่ชอบ เป็นความรู้สึกที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี)   ความรู้สึกที่ดีคือ   รู้สึกว่าไม่ชอบและไม่ชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้ว รู้สึกอย่างนั้นกับใครบ้าง  โดยส่วนใหญ่เรามีความรู้สึกอย่างนี้น้อยมาก เพราะเวลาเรามองคนๆ นี้ เราก็บอกว่าเราชอบ มองคนๆ นั้น เราไม่ชอบ ไม่มีตรงกลาง ไม่เอนซ้ายก็ไปขวา ถูกหรือเปล่า (ถูกแล้วศิษย์ของอาจารย์จะทำใจให้ตรงได้อย่างไร  ฉะนั้นชีวิตนี้จึงต้องรู้จักตรงกลางใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้กินอาหารไม่อร่อย พรุ่งนี้ก็ลองกินอาหารอร่อยดูบ้าง มะรืนนี้ก็กินอาหารไม่อร่อยอีก  สลับกันไปดีหรือไม่ (ดีเคยเกลียดคนนี้ เราก็ลองชอบคนนี้ดูบ้าง  เราไม่อยากให้ใครมาเกลียดเรา เราอย่าเกลียดเขา ทำได้ไหม  ถ้าเกิดเขาตบมาหนึ่งที ชอบเขาได้ไหม (ได้, ไม่ได้แล้วเขาก็เตะเราซ้ำอีกหนึ่งที เราชอบเขาได้ไหม  คิดลำบากใช่หรือไม่ เพราะว่าเราฉลาด เราไม่อยากให้ใครมาเอาเปรียบเรา สมัยนี้โลกเราไม่ได้เอาเปรียบด้วยการทำร้ายร่างกาย แต่เอาเปรียบโดยที่เราไม่รู้ตัว หลอกล่อหลอกลวงให้เราหลงไป  นี่เป็นวิธีการของคนที่เรียนรู้เรื่องกิเลส  เลียนแบบกิเลส มิได้เลียนแบบพุทธะ ชีวิตนี้จึงจมลงๆ  ถ้าหากว่าเราเอาเปรียบผู้อื่น  ผู้อื่นก็ต้องเอาเปรียบเรา ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์มานั่งฟังสามวันนี้แล้ว เราควรเอาเปรียบผู้อื่นไหม (ไม่ควรทำได้หรือเปล่า (ได้)
ข้อธรรมข้อแรกที่อาจารย์อยากบอกศิษย์นั้นคือ อย่าเอาเปรียบผู้อื่น  สังคมนี้ถ้าไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกันก็มีความผาสุกมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) หนึ่งคนยอมถอยคนละหนึ่งก้าวดูแล้วชีวิตนี้ก็กว้างขึ้น  อย่ากลัวว่าถอยๆ ไป เราจะตกเหวตาย จิตใจของเราถ้าหากว่าเราทำให้เป็นคนที่ใจแคบ พื้นที่ในใจของเราก็แคบ  ถอยไปถอยมาก็ตกขอบตาย ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราทำตัวให้เป็นคนที่ใจกว้าง ถอยไปก็ไม่มีวันสิ้นสุด ยอมให้คนอื่นก็ไม่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำได้ไหม (ได้ตอนนี้มีคนมาตบหนึ่งทีจะทำอย่างไร (ตบตอบ) ใครว่าตบตอบสักทีหนึ่งยกมือขึ้น ใครคิดว่าช่างมันไม่เป็นไร ยกมือขึ้น แล้วถ้าเขาตบ และเตะซ้ำอีกทีหนึ่ง แล้วเราบอกว่าไม่เป็นไรสบายดี คนไหนทำได้อย่างนี้บ้าง เพราะฉะนั้นถามว่าคนที่ยกครั้งแรก คนที่ยกครั้งที่สอง และคนที่ยกครั้งที่สามต่างกันอย่างไร  ถ้าทางโลกเรียกว่าความฉลาดกับความโง่ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าจะให้มองในเรื่องของความฉลาดความโง่ต้องบอกว่า คนที่โต้ตอบนั้นเป็นคนโง่  ถ้าเราไปตบเขาอีกที เขาก็ตบเรามาอีกทีใช่ไหม (ใช่แต่ถ้าคนที่ฉลาดทำอย่างไร (เฉยๆ) และจากความฉลาดนี้ศิษย์ก็จะกลายเป็นผู้มีปัญญา  อันด้วยจิตที่รู้จักปล่อยวาง  จิตใจจะโล่งสบาย  จิตที่โล่งๆ สบายๆ มาจากจิตใจที่ไม่อาฆาตผู้อื่น จิตใจของเราก็จะโล่งสบาย  ตอนนี้จึงดูว่าคนสามประเภทที่ยกมือต่างกันนี้ คือระดับปัญญาที่ต่างกัน  บางทีเราอยู่ด้วยกันอาจจะมีปัญหาบ้าง เพราะว่าแต่ละคนมีปัญญาไม่เท่ากัน  แต่ว่าทุกคนนั้นล้วนมีปัญญาอันดีงามพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าปัญญานั้นได้ถูกบ่มเพาะมาถึงระดับไหน  บางคนนั้นถ้าสติตามไม่ทัน แม้เป็นคนปัญญามาก แต่ว่าหลงชั่ววูบไป คนฉลาดก็อาจจะกลายเป็นคนโง่ไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
 มนุษย์ในโลกนี้ก็อยากเป็นคนฉลาดกันทั้งโลก    แต่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ถามว่าใครฉลาดที่สุด บางทีก็เรา บางทีก็คนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่ใครจะรู้ว่าใครเป็นฟ้าชั้นไหน   เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักยอมกันบ้าง  อย่าคิดแต่ว่าตัวเองก็เป็นฟ้าเหนือฟ้า ที่สุดแล้วตัวเองก็เป็นฟ้าดำๆ เป็นเมฆดำๆ ในที่สุดก็ไม่พ้น เป็นเมฆฝนที่ต้องตกลงมาใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้น ถ้าอยากเป็นฟ้าที่เหนือฟ้าตลอดไปต้องเป็นฟ้าที่ใส  จิตใจของเราต้องใสสะอาด  ทำได้ไหม (ได้ได้มากหรือได้น้อย  ทำได้ทุกวันไหม  หรือได้บางวัน  การบำเพ็ญนั้นก็เช่นเดียวกัน ต้องทำได้ทุกๆ  วัน แล้วก็ได้ดีด้วย   การบำเพ็ญธรรม บางคนบำเพ็ญดี บางคนบำเพ็ญไม่ดี จิตของเรานั้นต้องเป็นจิตที่ใจกว้าง   ถ้าเป็นคนจิตใจแคบก็ไม่สามารถเอาใครไปยืนอยู่ได้  หากศิษย์อยากจะเป็นผู้ที่มีเมตตาตามพุทธะอริยะ จิตใจนั้นต้องเป็นจิตใจที่กว้าง  กว้างแล้วจึงสามารถจะรับผู้คนขึ้นไปยืนอยู่บนพื้นได้ ถูกหรือเปล่า (ถูกพื้นนั้นก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน แต่คือใจของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
"หว่านสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่พลาดผิด"  ถ้าเราหว่านเมล็ดถั่วลงไป เราจะได้ต้นอะไร (ต้นถั่วจะได้งาไหม (ไม่ได้ถ้าเราหว่านเมล็ดแตงลงไป เราก็ไม่ได้เป็นอย่างอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ถ้าเราทำกรรมมาก เราจะได้อะไรมาก (กรรมถ้าเราทำบุญมากเราจะได้อะไรมาก (บุญถามว่าตอนนี้เราทำกรรมหรือบุญ (กรรม
"หนึ่งชีวิตทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น" ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ทำบุญมาก เราก็จะเป็นคนที่มีจิตใจที่ใสสะอาด   ถ้าหากว่าเราทำกรรมมาก แล้วบอกว่าเราจะไปสะเดาะเคราะห์จะหายไหม (ไม่หายดีไม่ดีสะเดาะเคราะห์นี้ก็ไปเคราะห์นั้นใหม่ ไปสะเดาะเคราะห์ที่วัด พอเดินออกนอกวัดก็ทำกรรมใหม่   ถามว่าเคราะห์หายไหม (ไม่หาย) เคาะที่หัวนี้ที่มันดื้อๆ ดีหรือเปล่า (ดีมันดื้ออยู่ที่เรา  เพราะฉะนั้นเคราะห์นี้เคาะที่ตัวเราดีหรือเปล่า (ดีไม่ใช่ว่าจะไปเคาะๆ ให้มันออกหมด  แต่ว่าเราเคาะให้มันสะอาดขึ้นบ้าง ในที่สุดแล้วอย่าได้เรียกร้องตนเองจนสูงเกินไป  ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ต้องเร่งร้อนดีหรือไม่ (ดีจะหวังก้าวเดียวขึ้นฟ้าเลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้ก็ต้องก้าวทีละก้าวใช่หรือไม่ (ใช่
 "กรรมและบุญเป็นสิ่งที่คู่กัน ขอศิษย์นั้นเลือกให้ถูกดูให้ดี"
บางทีเราก็ชอบดู  แต่ถามว่าดูแต่ละครั้งดูดีไหม ดูให้ดีหรือเปล่า เมื่อยหรือยัง   ยืนนานๆ ก็เมื่อยใช่หรือไม่ (ใช่มนุษย์ก็มีความทุกข์อย่างนี้ อยากพ้นทุกข์ไหม (อยากอยู่เฉยๆ ได้พ้นทุกข์หรือเปล่า (ไม่ได้ต้องทำอย่างไรถึงพ้นทุกข์  (ต้องพยายามถามว่าทุกวันนี้หาความทุกข์ใส่ตัวหรือเปล่า (หานอกจากเราหาความทุกข์ใส่ตัวแล้ว ยังมีคนอื่นหาความทุกข์ให้เราอีก เราอยู่เฉยๆ เขาก็หามาโยนให้เราใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นตอนนี้ครึ่งหนึ่งเราทำเอง ครึ่งหนึ่งคนอื่นหามาให้ อยากพ้นทุกข์ก็ต้องรู้จักที่จะตัดของตัวเองออกไปก่อน  แล้วไปช่วยคนๆ นั้นให้รู้จักวิธีการพ้นทุกข์ แล้วเขาก็ไม่หาทุกข์มาใส่เรา  ในที่สุดแล้วเราไปช่วยคนอื่น แต่เท่ากับเราได้ช่วยตนเองใช่หรือไม่ (ใช่บางคนบอกว่าการช่วยคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่ถามว่าหากเราไม่ช่วยคนอื่น แล้วคนอื่นให้ร้ายเรา  เราก็ต้องเป็นคนรับความทุกข์อันนั้นอีก ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราต้องช่วยตัวเองแล้วไม่ลืมช่วยผู้อื่น   ถ้าเราไม่รู้จักช่วยผู้อื่น ผู้อื่นก็จะหาทุกข์มาใส่เรา  อย่าได้กลัวความลำบากที่เราจะช่วยผู้อื่น แต่หากว่าศิษย์ไม่รู้จักช่วยผู้อื่น นั่นแหละจะเป็นทางของความทุกข์ ในที่สุดเขาก็หาทุกข์มาให้เรา เราก็จะทุกข์หนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่เราพูดถึงการมอง  ลองมองให้ดีกระท้อนลูกนี้หวานหรือเปล่า สวยหรือเปล่า (สวย) ดูภายนอกรู้ไหมว่าหวานไม่หวาน (ไม่รู้ถึงมองให้ดีก็ไม่สามารถรู้ถึงข้างในได้  แล้วศิษย์บอกว่าศิษย์มองดีแล้ว จริงๆ แล้วดีหรือเปล่า (ไม่ดี) จะมองให้รู้ว่ากระท้อนนี้หวานหรือเปรี้ยวต้องปลอกออกแล้วชิมใช่หรือไม่ (ใช่การบำเพ็ญธรรมมานั่งศึกษาสามวัน ถ้าหากไม่รู้จักนำกลับไปปฏิบัติ จะรู้ไหมว่าธรรมะดีหรือไม่ดี (ไม่รู้) ตอนนี้บอกว่าเชื่อแล้ว แต่ถ้าไม่ปฏิบัติต่างอะไรกับคนที่ไม่เชื่อไหม (ไม่ต่างไม่มีความแตกต่าง เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วต้องปฏิบัติ  ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ กระท้อนไม่แกะไม่ทุบไม่หวาน เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมต้องโดนทำอย่างไร (ทุบ)   ต้องทุบหน่อย ทุบแล้วถึงรู้ว่าหวาน กลัวโดนทุบไหม (ไม่กลัวไม่มีใครมาทุบเรา แต่ต้องฝ่าเคราะห์กรรมที่เคยสร้างนี้ให้หมด  กรรมต่างๆ ที่เราเคยก่อไว้จะกลับมาทุบเราให้เรานั้นหวานกว่านี้หน่อย เอาไหม (เอา
"อิ๋งเซียน" แปลว่าอะไร (ต้อนรับเซียนเข้ามาในสถานธรรมแล้วเราก็เป็นเซียนแล้ว แต่เซียนองค์นี้ยังเป็นอย่างไรอยู่ ใจดวงนี้เบาหรือยัง (ยัง) ไม่เบาก็ลอยไม่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้เบาๆ  วางอะไรบ้าง (วางกิเลส) วางอารมณ์วางได้ไหม  วางอัตตาวางได้ไหม  วางทิฐิวางได้ไหม (ได้วางได้เยอะไหม (เยอะต้องวางให้ได้หมดจดใช่หรือไม่ (ใช่
ผ้าผืนหนึ่งที่เราจะซักต้องซักจนขาว ถ้าซักแล้วมอมแมมเอามาใส่ ถามว่าคนนี้เป็นคนที่สะอาดหรือสกปรก (สกปรกเพราะฉะนั้นตอนนี้ก่อนที่จะวางสิ่งต่างๆ ต้องหันมาสำรวจตัวเองดูก่อนว่าเราเป็นคนที่จิตใจสะอาดหรือสกปรก ก่อนที่เราจะเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ไม่ใช่วางที่สะอาดออกมาหมดเลยแล้วเก็บที่สกปรกไว้ ผิดไหม (ผิดต้องเก็บอะไร (เก็บที่สะอาด) วางอะไร (สกปรกบางคนเลอะเทอะชอบวางอันที่สะอาดไว้ข้างนอก ใช่หรือเปล่า (ใช่ธรรมะวางไว้ข้างนอกแต่อะไรเก็บไว้ข้างใน (ตัวตนของเราเราเป็นคนอย่างนี้ เราไม่ยอมก็เป็นคนอย่างนี้แหละตั้งแต่เกิด ถามว่าเซียนพุทธะพูดอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้เซียนพุทธะจะเป็นอย่างนี้ จะชอบแกล้งคนอย่างนี้ ได้ไหม (ไม่ได้เซียนพุทธะต้องวางอัตตาของเราออกเหลือแต่ความเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่
เวลาจะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักการะด้วยอะไร ด้วยธูปหอมใช่หรือไม่ (ใช่แล้วจิตของศิษย์นั้นเป็นจิตที่หอมๆ หรือเหม็นๆ (หอมๆ
ศิษย์รักเคยคิดไหมว่าเราสบายกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่วายคิดอยากจะสบายไปกว่านี้  ถือว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักพอใช่หรือไม่ (ใช่คนที่ไม่รู้จักพอเมื่อไหร่จะเต็ม เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มใช่หรือไม่ (ใช่บางคนบอกว่าเดี๋ยวฉันจะหาไว้ให้ลูกหลาน  ถามว่าลูกหลานนั้นหาเองได้ไหม (ได้เราเป็นลูกหลานใคร แล้วถามว่าพ่อแม่หาให้เราหรือเปล่า ท่านหาให้แต่ว่าเราก็หาเป็นใช่หรือไม่ (ใช่ในที่สุดแล้วลูกหลานใช้ไปยังไม่ทันครึ่งชีวิต สิ่งที่พ่อแม่หามาให้ก็เกือบหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นที่บอกว่าเราหาให้ลูกหลาน ศิษย์จะหาเท่าไหร่ถึงจะพอ จริงๆแล้วหาแค่ไหน รู้จักหา หาอะไรให้ ไม่ใช่หาเงินทองให้ลูกหลานจึงจะเป็น  การดี แต่ต้องเป็นการหาสิ่งที่ดี  ความดีต่างๆ เรานั้นเคยทำ พ่อแม่เราเคยทำ   ใช่หรือไม่ (ใช่ความดีนี้ภาระของเราต้องส่งต่อให้ถึงลูกหลานของเรา  ถ้าเราส่งต่อไม่ถึงถือว่าเราทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ (ไม่ดีเงินทองนั้นยิ่งให้ใช้มาก ยิ่งทำให้ลืมตัว ไม่รู้จักความยากลำบาก แล้วถามว่าเรานั้นเอาอะไรให้เขากันแน่ เอาสิ่งที่ดีหรือไม่ดีให้ (ไม่ดีเรากำลังเอาสิ่งที่ไม่ดีให้  เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าใครมีลูกหลาน ก็ให้เริ่มต้นนำสิ่งที่ดีไว้ให้เขาได้แล้ว  ความดีต่างๆ คุณธรรมต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องให้เขาสืบทอดไว้  เพราะฉะนั้นคนในโลกหน้า คนในปัจจุบัน ในอนาคตนั้นก็จะไม่เหลือคนดี กลัวไหมว่าในอนาคตจะไม่เหลือคนดี (กลัวในเมื่อรุ่นพ่อแม่เราท่านดีมาก  พอมาถึงรุ่นเราก็บอกว่าดีครึ่งไม่ดีครึ่ง แล้วถึงลูกหลานดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วเหลนของเราจะเหลืออะไร  ก็เหลือแต่สิ่งที่ ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นต้องสืบทอดอะไรไว้ให้เขา (ความดีเราลำบากหน่อยในการทำความดี ยากไหม (ไม่ยากต้องบอกตัวเองว่าเรานั้นทำได้ ถ้าเราไม่ยอมลำบากลูกหลานของเราก็จะลำบากใช่หรือไม่ (ใช่
ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่ยืนยาวไม่ถาวร ความสุขที่ผ่านเข้ามาเป็นความสุขเฉพาะหน้า เป็นความสุขชั่วครู่  ขอให้รู้จักที่จะทุเลาเบาบางลงบ้าง  อย่าหลงได้ปลื้มกับเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ที่มีมาเหมือนกับหมอกที่ลอยมาตรงหน้า ถามว่าคว้าแล้วได้ไหม (ไม่ได้เงินทองลอยมาเป็นก้อนๆได้หรือเปล่า (ไม่ได้เงินทองก็เหมือนควันที่ลอยมาเหมือนกับได้แต่ไม่ได้ เหมือนกับได้แต่คว้าไม่ถึง คว้าถึงแล้วเก็บอยู่ไหม (ไม่อยู่) หมอกมาแล้วเอาขวดมาเก็บไว้ สิ่งที่อยู่ในขวดคืออะไร (ความว่างเปล่านี่คือความจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามี ขอให้รู้จักพอ ขอให้รู้จักทำความดี สิ่งที่ได้มาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ลาภยศสรรเสริญทั้งหลาย ขอให้หามาอย่างถูกต้อง สมควรที่จะได้ ไม่ใช่ได้มาอย่างคนที่ทุจริต  ถ้าหากว่าศิษย์ทุจริต ลูกหลานเห็นเราทุจริต ถามว่าเขาจะทำตามไหม (ทำตามมนุษย์ชอบพูดอยู่คำหนึ่งว่า ความดีนั้นเรียนยากแต่ความชั่วนั้นเรียนง่าย”  และมีอีกคำหนึ่งที่พูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่เพราะฉะนั้นความดีทำง่าย ความชั่วทำง่าย  ไม่ใช่เขาบอกว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เราก็ไปทำอะไร (ทำชั่วถ้าหากเขาเลือกคนที่จะโกยลง คนชั่วลงนรก คนดีขึ้นสวรรค์ เราลงหรือขึ้น (ลงเพราะเราไปทำความชั่วเราก็ลง  ถามว่าพ้นหรือไม่พ้น (ไม่พ้นแล้วหากคำที่คนชั่วพูดมาเราฟังเข้าหูไหม (ไม่เข้าต้องรู้ว่าที่จริงแล้วมารทั้งหลาย  ภูตผีทั้งหลาย คนที่เกิดมาด้วยจิตใจอันขุ่น ที่เรียกว่ามารทั้งหลายนั้น เขามีวิธีการต่างๆ นานา ที่จะทำให้ศิษย์หลงใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถามว่าถ้าเรามีจิตพุทธะแท้ๆ เชื่อมั่นในการเป็นพุทธะ เราหลงไหม (ไม่หลงฉะนั้นคนที่หลงไปตอนนี้แสดงว่าเรามีจิตที่ไม่เชื่อมั่น  เรามีจิตส่วนหนึ่งที่เรียกว่าไม่ใช่พุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นเราจะเอาจิตพุทธะนั้นทำอะไร (ผลักจิตแห่งมารทิ้งไปผลักใช้แรงไหม (ใช้) แรงมากไหม (มากศิษย์มีแรงมากไหม  เพราะฉะนั้นต้องเป็นจิตพุทธะที่มีแรงใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเป็นคนหมดแรงเป็นอย่างไร คนหมดแรงจะไปดึงคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้หนำซ้ำถูกคนอื่นดึงเราอีกใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นพุทธะจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตเบิกบาน ต้องรู้ตื่น กระปรี้กระเปร่า มีโรคมีภัยสู้โรค มีโรคร่างกายไม่แข็งแรงต้องสู้  มีความไม่ดีต้องสู้ความไม่ดี  มีเคราะห์ภัยต้องสู้เคราะห์ภัย  เจอความลำบากต้องไม่ถอยแม้ก้าวเดียว  เดินหน้าไปเรื่อยๆ ถามว่าคนๆ นี้ชนะไหม (ชนะแต่ถ้ากลับกันเราเป็นคนที่ขี้เกียจ วันๆ ก็อยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี เสร็จแล้วตาก็ไม่ค่อยอยากจะลืมดูอะไร อยากจะหลับแล้วก็ฝัน อยู่แต่ในโลกของความฝัน ถามว่าคนๆ นี้เจริญไหม (ไม่เจริญไม่ว่าทางธรรมหรือทางโลกถ้าหากผู้ที่มีนิสัยที่เกียจคร้าน ไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่สดชื่น คนๆ นี้ก็ไม่มีทางที่จะได้สิ่งใดมาใช่หรือไม่ (ใช่แบบที่ฟังในนิทานที่มีสารถีมาเกยหน้าบ้าน จะมีไหมในชีวิตจริง (ไม่มีเพราะฉะนั้นเกิดเป็นมนุษย์อย่าฝันกลางวัน  ทุกสิ่งทุกอย่างหามาด้วยความพยายาม  มั่นใจมุ่งมั่นที่จะหาในสิ่งที่ดี ดีหรือไม่ (ดีทำได้ไหม (ได้ทำได้กี่วัน 
ศิษย์พุทธะตามพุทธะอย่าเรรวน  อาจารย์เป็นพุทธะก็ต้องตามพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่จะไปตามอสูรมารได้หรือไม่ (ไม่ได้ในเมื่อรู้ว่าความดีเป็นเช่นไร รู้ว่าพุทธะบำเพ็ญอย่างไรก็ต้องตามในสิ่งนั้น  ไม่ใช่อาจารย์อยู่ทางนี้กวักมือเรียกมา  แต่ศิษย์กลับเดินไปทางอื่น ทางของอาจารย์เดินยากเหลือเกิน ไปเดินทางที่สบายๆ ดีกว่า เขาบอกว่าเดินสบายไปลำบาก ถ้าเดินลำบากก็สบาย”  ใช่หรือไม่ (ใช่อยากจะเป็นผู้จัดการก็ต้องเริ่มตั้งแต่ถูบ้าน กวาดบ้านเลย คนในโลกมนุษย์ชอบพูด อาจารย์ก็คิดว่าจริง  ถ้าหากว่าอยากจะไปที่สูงๆ อยากเป็นอาจารย์บรรยายธรรม ก็ต้องไปเริ่มกันตั้งแต่ขัดห้องน้ำ เริ่มตั้งแต่การศึกษาทุกๆ ชั้นให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นก็เป็นอาจารย์บรรยายธรรมที่เลอะเทอะ ขึ้นไปก็พูดอ้อมหมดเลย ในที่สุดใจความหลักใหญ่ก็พูดไม่ได้ แล้วจะพาคนขึ้นมาได้อย่างไร
ใช่หรือเปล่า (ใช่นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ใช่ว่าอวดเบ่งเป็นปูมีก้าม แล้วก็เที่ยวหนีบคนอื่นไปเรื่อย ทำอย่างนั้นแล้วถามว่าเราจะนำคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้ไปหนีบเนื้อของเขาขึ้นมาหน่อย เนื้อก็ติดที่ก้ามมา เวลาเราไปแยกก้ามให้ใครเขาดู เขาก็เห็นเลือดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่เราน่ากลัวไหม (น่ากลัว)
เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำในสิ่งที่คนอื่นเรียกว่าต่ำต้อย ไม่ใช่ว่าโดนบังคับให้ไปทำนะ และไม่ใช่ว่าเรานั้นทำเพราะว่าคนอื่นไม่ทำ ทำเพราะว่าไม่มีใครจะทำแล้วเราจึงต้องไปทำ คิดอย่างนี้ไม่ได้ มีเวลาว่างก็ต้องไม่อยู่เฉย ไม่มีคนทำเราก็ไปทำเลย  แม้ว่าการงานจะแบ่งหน้าที่กันทำเสร็จสรรพเรียบร้อย แต่ว่าถ้าหากว่าดูแล้ว ตรงนี้ไม่มีใครทำพอดีเราก็ไปทำ ให้คนหน้าที่นั้นสบายหน่อยแล้วเขาก็จะได้ไปทำอย่างอื่น เขาก็อาจจะทำในสิ่งที่ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
คนเรานั้นแตกต่างกันด้วยความฉลาดและความโง่ ปัญญาต่างระดับกันก็จริง แต่ทว่าทุกๆ คนนั้นล้วนมีปัญญา ไม่แน่ว่าเราเปิดโอกาสให้เขาทำในสิ่งที่ดีกว่าอาจจะเกิดสิ่งที่ดีขึ้น เหมือนกับชีวิตของเราต้องรู้จักเปิดโอกาสกว้างให้กับคนทั่วๆ ไป  ทุกๆ คนมีโอกาสเท่าๆ กัน เรามีความรู้ความสามารถ ก็ไม่ใช่ว่าเรานั้นจะต้องมีความรู้ความสามารถทุกอย่าง คนที่เราดูถูกเขาทุกวันๆ เขานั้นอาจจะมีความสามารถพิเศษที่แม้แต่ศิษย์เองก็ทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนกับผู้ชายนั้นชอบว่าผู้หญิง แต่ถ้าผู้หญิงไม่ทำกับข้าวให้ผู้ชายกิน ผู้ชายจะมีกินไหม (ไม่มีผู้ชายยกของหนักผู้หญิงเห็นแล้วไม่เอา แต่ถามว่าผู้หญิงทำได้ไหม (ไม่ได้แต่ละคนล้วนมีความสามารถแตกต่างกัน เราต้องมองให้เห็นถึงความสามารถของบุคคลนั้นๆ ไม่ใช่มามัวบอกว่าเขาไม่เป็นก็คือไม่เป็น ไม่ได้ก็คือไม่ได้
โลกนี้ทุกสิ่งเป็นของคู่กัน มีสีขาวก็ต้องมีสีดำ มีผู้ชายก็ต้องมีผู้หญิง มีโง่ก็ต้องมีฉลาด มีสูงก็ต้องมีต่ำ มีฟ้าก็ต้องมีดิน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคู่กัน มาด้วยกัน ขอเพียงศิษย์ของอาจารย์ลองมองให้ดีๆ ก็จะเห็นว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่บอกว่าไม่มีแล้วจะไม่มีเสมอไป ฟ้าที่มีฝนเป็นฟ้าผืนเดียวกับฟ้าที่โปร่ง ดินที่เลอะๆ กวาดสักนิดล้างสักนิดก็จะเป็นอย่างไร (สะอาดถามว่าเป็นดินผืนเดียวกันไหม (ผืนเดียวกันในโลกนี้ทุกๆ อย่างเต็มไปด้วยความผิดพลาดและความถูกต้อง อาจจะสลับกันได้ทุกเมื่อ สิ่งที่เราเคยบอกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด สักวันหนึ่งอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปใช่หรือไม่ (ใช่ถามว่าศิษย์นั้นตัดสินใจสิ่งใดได้ไหม (ไม่ได้ตัดสินใจสิ่งใดก็ไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว นี่จึงเป็นสิ่งที่บอกศิษย์ว่าควรจะฟังความคิดของคนหมู่มาก  เพราะว่าเรามองคนเดียว อาจจะมองผิดพลาด เหมือนกับเราตัดสินใจว่าถูก  แต่คนนี้อาจจะมองอีกอย่างหนึ่ง  เขาบอกว่ามันผิด ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเราไม่ฟัง เราก็จะไม่รู้  การฟังความคิดของคนส่วนมากจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ อาจารย์หวังว่านักเรียนชั้นนี้แม้จะน้อย แต่ต้องมีคุณภาพ มีคุณภาพไหม (มีเราเป็นของน้อยแต่ต้องมากด้วย (คุณภาพเราทุกคนในที่นี้ก็คือส่วนประกอบของกันและกัน บางคนเป็นหัวใจ บางคนเป็นแขน บางคนเป็นขา บางคนเป็นเลือด ในนี้ประกอบกันแล้วทุกๆ คนอย่าได้ดูถูกตนเอง เราจะเป็นของน้อยที่มากไปด้วยคุณภาพ จะเป็นของที่มากไปด้วยคุณภาพนั้นได้อย่างไร (ได้จากความดี, ได้ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง, ได้ด้วยการสร้างกุศลนักเรียนผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นคุณภาพต้องหนักกว่าใช่หรือเปล่า (ใช่
(มีนักเรียนในชั้นบอกพระอาจารย์ว่าขอให้โรคภัยในตัวหายหมด)
อาจารย์จะบอกให้นะ โรคภัยเกิดจากการสั่งสมของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกิน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ ฉะนั้นอย่าเฝ้าขอ เพราะคนที่ชอบขอโชคขอลาภนั้นเป็นเพียงคนที่บำเพ็ญได้ระดับต่ำเท่านั้น ขอให้ดีคือขอตนเอง อย่าได้ตามใจปาก อย่าได้ตามใจอยู่ ขอให้ทำให้ถูกต้องดีไหม
โดยปกติแล้วหลายๆ คนชอบที่จะไปวัดขอให้หายโรคหายภัย ไปไหว้พระตามศาลเจ้าแล้วก็อยากให้หาย ในทางเดียวกันศิษย์ไปขอให้หายโรค แต่กลับมาศิษย์ก็กินโรคเข้าไป กินโรคเข้าไปกินอย่างไร เราไม่อยากจะเป็นพยาธิ แต่เรากินเนื้อสัตว์ที่มีพยาธิเข้าไปเป็นโรคพยาธิไหม (เป็นเราไม่อยากเจ็บป่วยแต่เอาตัวเราไปตากฝนตากแดด เป็นไหม (เป็นเราไม่อยากที่จะปวดหลัง แต่ชอบนอนตามใจตนเอง ผิดท่าผิดทาง ถามว่าปวดหลังไหม (ปวดเราไม่อยากเมื่อยขาปวดเมื่อย แต่เราชอบกินสัตว์ปีก เมื่อยไหม (เมื่อยนี่เป็นสิ่งที่วิทยาการสมัยใหม่ได้ศึกษามาเรียบร้อย อาจารย์นั้นไม่ได้พูดอะไรที่เกินเลย ศิษย์อยากจะหายโรคหายภัยก็ต้องรู้จักรักษาตัวเอง ให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารักษาให้ แต่ว่าตัวเองนั้นไม่รู้จักรักษาตัวเอง เหมือนอาจารย์กวักมือเรียกให้มาทางนี้แต่ว่าศิษย์ก็จะไปทางโน้นใช่หรือไม่ (ใช่รักษาหายแล้วก็เป็นอย่างไรต่อ (เป็นอีก)   แล้วก็มาขอใหม่ เมื่อหายแล้วก็เป็นอย่างไรต่อ (เป็นอีกเป็นอีก เป็นต่อ เป็นอีก ไม่จบไม่สิ้น เพราะฉะนั้นขอใครดีที่สุด (ขอตัวเองโรคภัยไข้เจ็บ เภทภัยต่างๆ ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยที่อยู่ในใจ โรคที่อยู่ในใจของเรา โรคในจิตเป็นอย่างไรบ้าง เอาแต่ใจตัวเอง อย่าบอกว่าเป็นโรคเด็กๆ ผู้ใหญ่ก็เป็นใช่หรือไม่ (ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ยึดติดความเคยชิน ขี้เกียจ เห็นคนอื่นได้ดีก็ไม่รู้สึกพอใจด้วย เป็นไหม (เป็นโรคนี้เป็นโรคหนักหน่อย ถ้าใครเป็นโรคนี้ก็จะบำเพ็ญได้ไม่เป็นสุข เพราะฉะนั้นรักษาโรครักษาด้วยอะไร (ใจ, ปัญญา, คุณธรรม)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ส่วนใหญ่นักเรียนในชั้นนี้มือเร็วนะ มือเร็วก็ดี คิดอีกทีหนึ่งก็ไม่ดี เพราะมีคำพูดว่ามือไวแล้วใจเร็ว แต่ว่าอันนี้มือเร็วไม่ต้องใจเร็วใช่หรือไม่ (ใช่มือเร็วเปรียบเทียบเหมือนกับการใช้มือของเรานั้น จิตของเราไม่ค่อยนิ่งจับไม่อยู่ เพราะฉะนั้นใช้มืออันนี้ มืออันนี้ก็คือธรรมะ ปัญญา ศีลทั้งหลาย เอามาจับจิตของเราให้อยู่ ไม่ใช่จะจับอะไรก็ยังไม่รู้ เขาเรียกจับเสือมือเปล่า จับเสือมือเปล่าดีไม่ดีก็ถูกเสืองับ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นก็ควรจะรู้ว่าเราจะจับจิตของเรานี่เราจะต้องใช้อะไรไปจับ สิ่งใดบ้างเป็นอาวุธของเรา ไม่ใช่ว่าเรานั้นดุ่ยๆ เข้าไปจับเลย ธรรมะไม่ศึกษาไม่เข้าใจ ศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ เข้าใจแล้วยังไม่ได้ปฏิบัติ อย่างนี้ก็ไม่สามารถที่จะจับจิตของตัวเราอยู่
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมถามพระอาจารย์ : ถ้ามีคนสักคนหนึ่งบรรลุมรรคผลแล้ว เจ็ดชั้นบนและเก้าชั้นล่างจะได้อะไรบ้าง)
เจ็ดชั้นเก้าชั่วคนคือการดึงบรรพบุรุษของเราและผู้ที่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกับเราต่อไปถึงเก้าชั่วคนที่ถูกระบุไว้แล้วขึ้นมา แต่ความโลภที่อยากจะให้คนเหล่านั้นขึ้นมากับเรา จะทำให้ฉุดเขาไม่ได้ เหมือนคนที่มือเปียกแล้วไม่สามารถดึงใครได้ใช่หรือไม่ (ใช่คนมือเปียกไม่สามารถที่จะดึงมือใครได้เพราะมือเราเปียกเอง เพราะฉะนั้นการที่จะดึงผู้อื่นนั้นอย่าดึงด้วยความโลภในกุศล อันนี้คือประการแรก ประการที่สองก็คือถ้าใครคิดจะดึงบรรพชนเจ็ดชั้นเก้าชั่วคนขึ้นมา คนนั้นต้องสำเร็จเป็นพุทธะ ไม่ใช่สำเร็จอยู่ขอบๆ นิพพาน แต่ต้องสง่างามไปยืนอยู่ตรงกลาง จึงจะสามารถสำเร็จได้ ในขณะนี้จึงมีการฉุดช่วยบรรพชนเฉพาะคนเกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ใครก็ตามที่รู้ว่าเรานั้นติดบุญคุณคนนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเรานั้นจะสามารถพาตัวเองหลุดรอดหรือเปล่า ได้ฉุดเขาคนนั้นขึ้นมาก่อน ฉะนั้นที่บอกว่าเจ็ดชั้นเก้าชั่วคนทำได้ แต่ศิษย์ของอาจารย์อย่าลืมว่ากรรมของบางคนนั้นก็มีหนักมาก บางคนมีเบา เมื่อเราเป็นพุทธะแล้วจะฉุดเขาอย่างไร ไม่ใช่ให้เขาวิ่งตามเรามา เราต้องลงมือไปฉุดเขาด้วย ฉุดเขาทีละคนๆ ขึ้นมาก็ยังเป็นภาระของเราอยู่ดี เพียงแต่ว่าภาระเบาหรือหนักขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เองว่าเป็นพุทธะที่เป็นพุทธะแค่ไหน ถ้าเป็นพุทธะเทียม เปลือกนอกสวยงาม ข้างในเละ ก็ไม่สามารถที่จะฉุดใครได้ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์อยากจะฝึกฝนจิตใจให้เมตตา ก็ขอให้เริ่มฝึกทุกวันๆ อาจารย์จึงเน้นเสมอ เน้นบ่อยๆ ว่า ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญใจตน ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญธรรมแก้ไขตัวเอง ขัดเกลาตัวเองอย่ารอช้า หนึ่งวันผ่านไป หนึ่งวันหมดเวลาไร้ค่า ศิษย์จึงต้องรู้จักที่จะมุ่งมั่นจุดหมายเดินไปให้ถึง แม้นใครเดินไม่ถึงทิ้งกลางคันก็หมดโอกาส ชีวิตนี้สั้นนัก อย่าได้รีรอ อย่าได้ผัดผ่อน  อย่าหลงใหลไปตามความคุ้นเคย ความเคยชินของตนเอง ทะเลทุกข์กว้างใหญ่ ต้องอาศัยความพยายามอย่างยิ่งที่จะกลับคืนขึ้นฝั่งให้ได้  บางคนขึ้นเรือแล้ว ไม่ต้องจมอยู่ในทะเลแล้ว กลับกระโดดลงไปใหม่  เข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นปลา ขาดน้ำไม่ได้ ขาดสุขไม่ได้  เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความทุกข์กลายเป็นความสุขก็กระโดดลงไปใหม่  พอคิดได้ เรือก็พายไปไกลแล้ว  มาเสียแรงว่ายตามเรืออีก  ว่ายทันก็ดีไป ว่ายไม่ทันก็รอชาติใหม่  เสียเวลาหนึ่งชาติ  เสียดายไหม (เสียดายอาจารย์จึงบอกศิษย์ทุกครั้งที่เจอกันว่า บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญให้ดีๆ”  พูดเป็นอยู่คำเดียว บำเพ็ญให้ดีๆ แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยฟังให้รู้เรื่องเลย  เหมือนกับลมที่ผ่าน เข้าหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวา พยายามเข้าก็แล้วกันนะ  ให้เหมือนกับกระท้อน โดนทุบแล้วจึงหวาน
เมื่อสักครู่อาจารย์พูดว่าอยากจะเป็นพุทธะ ต้องมีสิ่งหนึ่งก็คือ เรามาที่นี่ถึงแม้คนจะน้อยแต่ก็ต้องมากด้วยคุณภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือคุณสมบัติของพุทธะ  ไม่ใช่ธรรมะ ปัญญาและความดีอย่างที่บอก  อันนั้นคือรายละเอียดปลีกย่อยที่อยู่ในคำว่าคุณสมบัติทั้งสิ้น  ในชีวิตคนก็เหมือนกัน ศิษย์ของอาจารย์บางทีก็หลงไปกับรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ  ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องใหญ่ๆ ในชีวิตกลับลืมไป  ชีวิตนี้จึงเดินหลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่คุณสมบัติของพุทธะนั้นต้องเป็นคนให้ได้ดีก่อน  มีมนุษยธรรมครบถ้วนบริบูรณ์ก่อน  จึงจะสามารถเป็นพุทธะได้  คุณสมบัติของคนที่ดีทำอย่างไร มนุษยธรรมทำอย่างไร  ตอนนี้ใครก็เรียกเราว่าคน  การเป็นคนที่สมบูรณ์ต้องทำอย่างไร (กตัญญู, ซื่อสัตย์ต่อตนเองความซื่อสัตย์ของมนุษย์นั้น จะไปซื่อสัตย์กับคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อซื่อสัตย์กับตนเองยังไม่ได้เลย  เห็นเงินก็ตาลุกวาว  รู้ว่าไม่ใช่ของเราก็ยังอยากได้ เป็นการซื่อสัตย์ต่อตนเองไหม (ไม่เป็นมีภรรยาแล้วก็อยากได้ภรรยาอีก มีสามีแล้วยังแอบลอบไปมองชาวบ้านเขา ซื่อสัตย์ไหม (ไม่มีพ่อแม่ ไม่รู้จักกตัญญูต่อท่าน ซื่อสัตย์ต่อตนเองไหม (ไม่ไปคิดดูแล้วกัน ยังมีอีกเยอะ แล้วคุณสมบัติของการเป็นคนมีอะไรอีกบ้าง (รู้บุญคุณพ่อแม่, ทำดีสร้างกุศลกุศลนั้นสร้างให้จิตใจอิ่มเอิบสบาย แต่อย่าลืมว่าภายในทำ ภายนอกก็ต้องรู้จักปฏิบัติให้ดีด้วย  การปฏิบัติให้ดีได้ต้องไม่เข้าข้างตนเอง (ต้องเป็นคนมีความรับผิดชอบ, มีความเมตตากรุณา, มีสัจจะและคุณธรรม, รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน, มีคุณธรรมในใจ, อดทนต่อกิเลส, มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป, ไม่คบคนพาล, มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง, มีความจงรักภักดี, ถึงพร้อมด้วยศีล, รักษาศีล, ขัดเกลาจิตใจและสร้างกุศล, มีความเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย)
นักเรียนผู้ชายตอบได้มากกว่า เขาเรียกว่ามีน้อยแต่มากด้วยคุณภาพ อย่างน้อยในมือทุกคนก็มีแอปเปิ้ลแล้ว ในขณะที่ผู้หญิงบางคนยังไม่มีเลยใช่ไหม (ใช่เพราะฉะนั้นมีน้อยแต่มากด้วยคุณภาพ หมายถึงว่าแม้เรามีน้อย แต่ใจทุกๆ ดวงต้องประสานกันเป็นหนึ่ง ถ้าบอกให้ตอบก็ต้องตอบกันทุกคน อย่างนี้จึงเป็นคุณภาพ ในขณะเดียวกันผู้หญิงมีมากกว่า แต่ว่าคนมีแอปเปิ้ลยังมีไม่ครบ  ก็เรียกว่ายังมีอีกมากที่ยังไม่ได้คุณภาพ  แต่ถ้าหากว่าคนจำนวนมากสามารถยกระดับตัวเองให้มีคุณภาพทั้งหมด ก็สามารถชนะผู้ชายได้  เหมือนกับว่ามีเมฆฝนก้อนเล็กๆ ลอยมา  เมฆฝนก้อนนี้ดำสนิทพร้อมที่จะตก ในขณะเดียวกันมีเมฆฝนก้อนใหญ่ลอยมาชน  ถามว่าเวลาฝนตก เมฆฝนก้อนใหญ่หรือก้อนเล็กตกแรงกว่ากัน (ก้อนใหญ่เพราะฉะนั้นเราก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง  ถ้าหากว่าเราสามารถเป็นเมฆฝนก้อนใหญ่ก็ชนไปเลย ชนะไหม (ชนะยอมแพ้ไหม (ไม่ยอมแพ้เวลาเราสู้กับกิเลส เวลาเราสู้กับใจตนเองก็ต้องสู้ให้ได้อย่างนี้ ศิษย์ทุกคนจะชนะเพราะว่าคนหนึ่งไม่ยอมแพ้ และอีกคนต้องชนะ ใช่หรือไม่ (ใช่ตอนนี้ก็ดูตัวเองแล้วกัน  เขาบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน  ตอนนี้เราเป็นคน
ก็คือเวลาพิสูจน์เราใช่หรือไม่ (ใช่
ดูว่าในสามวันนี้ ศิษย์ของอาจารย์จะไปได้ไกลเท่าไร ถ้าไปได้ใกล้ๆ
ก็ถูกคนอื่นแซง ถ้าไปได้ไกลๆ ก็ต้องรู้จักระวังตัว  ต้องรู้ตัวว่าเรานั้นออกจากจุดเริ่มต้นมาไกลแล้ว ต้องรู้ว่าเราวิ่งมาไกลแล้ว ต้องระวังให้มากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่สิ่งรอบข้าง กิเลสตัณหาไม่อาจจะเข้ามาในใจเราได้ ถ้าจิตใจของเราแข็งแกร่งพอ คนพูดสิ่งใดไม่สามารถทำให้จิตใจของเราคลอนแคลนได้ ถ้าเรามีความหนักแน่นพอ  ทุกวันนี้กลัวก็แต่ว่าเราเป็นคนที่ไม่มีความหนักแน่น เมื่อไม่มีความหนักแน่นทำสิ่งใดก็ไม่อาจสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่สามปีดูว่าศิษย์ของอาจารย์จะถอยหรือว่าจะเดินหน้า (เดินหน้าห้าปีดูว่าจะขึ้นสูงหรือว่าจะลงต่ำ (ขึ้นสูงสิบปีดูว่าเรานั้นได้ผลออกมาเป็นอย่างไร  ผลของเราที่ออกมา ต้นไม้ที่เราปลูกนั้นหากไม่ขยันใส่ปุ๋ย แม้ว่าจะออกลูกมาก็ลูกเล็ก  คนที่ขยันใส่ปุ๋ยหน่อยลูกออกมาก็ใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นก็ดูว่าศิษย์ของอาจารย์ ถ้าใครถึงสิบปีแล้ว ก็รีบดูตัวเอง ถ้าหากว่าในสิบปีแล้วยังไม่ดี ก็ต้องนั่งนับหนึ่งใหม่แล้วนะ นับต่อไปอีกสามปีห้าปีแล้วก็สิบปีดีไหม (ดีแต่ไม่ต้องนับหนึ่งใหม่บ่อยๆ นะ  ผิดก็นับหนึ่งใหม่ ให้โอกาสตัวเองเสมอๆ  ในที่สุดแล้ว พอโอกาสหมดก็หมดโอกาส ใช่หรือไม่ (ใช่พอหมดโอกาสก็รู้เองนะ
 “รักหลงพาหกคะเมนตีลังกา  อย่าคิดว่าไม่จริง  คนเราลองตกหลุมรักเข้าไปเป็นอย่างไร  หินที่อยู่ข้างนอกก้อนใหญ่ก็มองไม่เห็น  รักมากเกินไปก็กลายเป็นหลง  นอกจากรักหลง ยังมีความโกรธ ความโลภอีก  กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนอารมณ์ร้อนทุกคนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของเรา อารมณ์นั้นเกิดเมื่อเราใช้อายตนะของเรามอง ใช่หรือไม่ (ใช่ไปฟัง ไปดู และไปคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ เราก็เลยเอาใจของเราใส่เข้าไป  นานๆ ไปเราก็จะไม่สามารถหักห้ามอารมณ์ของเราได้  แล้วอารมณ์ของเราที่มีมากเกินไป ก็เหมือนกับเข็ม  คนสมัยนี้ชอบฝังเข็ม ใช่หรือไม่ (ใช่เข็มทิ่มเข้าไป  ทิ่มถูกก็รักษาโรคได้ แต่ถ้าทิ่มผิดก็อาจจะเกิดโรคได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นหากว่าเราสามารถที่จะหักห้ามได้ ก็ให้รู้จักหักห้าม  หากหักห้ามไม่ได้ ก็ต้องรู้จักควบคุมให้มีอยู่ในสิ่งที่พอเหมาะพอควร  ไม่เช่นนั้นแล้วเราเองก็จะเตลิดไปไกล หรือว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ อยู่ในโลกนี้ก็เป็นทุกข์ เลยไปหาทุกข์มาใส่ตัว  แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร  เกิดมาในโลกนี้ ทุกคนมีความทุกข์และความสุขปะปนกัน  แต่ถามว่าทุกข์หรือสุขมากกว่ากัน (ทุกข์ยิ่งอยู่ยิ่งทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นเราวิ่งหนีมันดีไหม (ดี,ไม่ดีการที่จะฝ่าฟันอุปสรรคได้ ต้องหันหน้าเข้าหาอุปสรรค  อย่าหันหลังให้อุปสรรค  ถ้าหากเราจะออกจากประตูนี้ แต่ประตูปิดจะทำอย่างไร  เปิดใช่หรือไม่  แต่อุปสรรคหรือปัญหาในชีวิตเปิดง่ายไหม (ไม่ง่ายแต่ว่าต้องเปิดไหม (ต้องเปิดถ้าไม่เปิด เราพ้นได้ไหม (ไม่ได้แต่หนทางที่เราไปมีทางเดียว จะต้องไปเปิดใช่หรือไม่  ต้องเปิดถึงจะพ้น  ถ้าไม่เปิดก็ไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะหมดทุกข์ แล้ววิ่งหนีทุกข์จะพ้นไหม (ไม่พ้นความทุกข์เป็นเหมือนอะไร  คนสมัยนี้มีจานเรดาร์สืบหาติดตามค้นหาใช่หรือไม่  ความทุกข์อยู่ในใจของเรา  ความทุกข์กิเลสเหล่านั้นรู้จักเราดีมาก  มีแต่เรานั่นแหละที่ไม่รู้จักกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่แม้รู้ว่าผิดก็ยังทำ  ถามว่าเรารู้จักเขาหรือเขารู้จักเรา (เขารู้จักเราเขาติดตามได้ถูกทุกที่ หลอกล่อเราทุกอย่างให้เราเป็นคนที่ไม่ดีสักวันหนึ่ง  เพราะฉะนั้นเมื่อเขารู้จักเรา เราต้องรู้จักที่จะหันหน้าเข้าไปสู้ ไม่ใช่วิ่งหนี  ถ้าวิ่งหนี เขาก็วิ่งตามใช่หรือไม่ (ใช่เขาหมดแรงหรือว่าเราหมดแรง (เราหมดแรงถ้าใครคิดจะวิ่งหนี ต้องวิ่งหนีให้พ้น  ถ้าไม่พ้น เราก็ต้องตาย  เพราะฉะนั้นการหันหน้าไปสู้ความจริง ปัญหาใดที่เข้ามาหนักบ้างเบาบ้าง ก็หันหน้าไปเปิดประตูนั้นเสีย  หินมาขวางก็ขนหินออกไปทีละก้อน  สมมติว่าก้อนหินกองสูงท่วมหัวเรา  แต่เราจำเป็นต้องผ่านไปให้ได้  เราก็ต้องลงมือหยิบออกทีละก้อนๆ  หมดไปก้อนหนึ่งก็เล็กลงหน่อย  ในที่สุดแล้วปัญหานี้ก็หมดไป ใช่หรือไม่ (ใช่แต่มนุษย์สมัยนี้ติดความสบาย แม้กระทั่งการแก้ปัญหาชีวิต คอยจะเอารถแทรกเตอร์มายกออกไปเรื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่เคยคิดจะใช้วิธีธรรมดาๆ ก็คือการที่เรานั้นยกมันออก ประตูนั้นมีกุญแจ แต่กุญแจก็อยู่ที่ใจของเรา  กุญแจอยู่ที่ว่าเราได้เข้าใจปัญหานี้มากเท่าไร  เข้าใจมากก็แก้ได้มาก เข้าใจน้อยก็แก้ได้น้อย  จะเปิดประตูได้กว้างเท่าไรก็อยู่ที่เราใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อเราเปิดออกไป ก็ต้องใช้แรงผลัก  ถ้าศิษย์บอกว่าเราเปิด แต่มีความพยายามแค่ครึ่งเดียว ก็เปิดไปครึ่งหนึ่ง  ถ้าหากว่าเปิดเล็กน้อย ก็ไปไม่พ้น  เพราะฉะนั้นต้องแก้ปัญหาให้ผ่านไปเลย  อย่าก้าวครึ่งหนึ่งแล้วทิ้งไว้อีกครึ่งหนึ่ง  ในที่สุดแล้วครึ่งหนึ่งก็จะกลายเป็นปัญหาที่เต็มร้อยอีก ใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์ก็ต้องมาแก้ใหม่อีก  ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ หมุนไปๆ เหมือนกับวงกลม ใช่หรือไม่ (ใช่ถามว่าหมุนแล้วเวียนหัวไหม (เวียนหัวต้องหาทางหยุดความวนเวียนนี้ด้วยสติปัญญา ด้วยธรรมะ  ไม่ใช่หยุดด้วยการเอามือมาขวาง เอาตัวไปขวาง ไม่หยุดหรอก  อยากจะหยุดได้ต้องใช้สิ่งที่เรามีใช่ไหม (ใช่)
อันว่าความมืดนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเป็นตัวแทนของสิ่งที่ไม่ดี คือความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่แต่คนสมัยนี้ชอบไหม (ไม่ชอบไม่ชอบแต่ชอบไปนะ  ต้องรู้ว่าเราจะไปทางใด  พุทธะเข้าคาราโอเกะได้ไหม (ไม่ได้คาราโอเกะเป็นนรกในเมืองมนุษย์  ชอบก็พาไปลงนรกใช่หรือไม่ (ใช่นรกนั้นก็มืดๆ  ไปคาราโอเกะก็มืดๆ ฉะนั้นต้องรู้ว่าเราจะพาตัวเราไปฟังสิ่งใด เป็นเพราะว่าสิ่งใด เคยกินอะไร  พอเราเคลิบเคลิ้มตามไปมากๆ  ทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ ทั้งอาหาร  เป็นสิ่งที่ทำให้ศิษย์สร้างกรรมโดยเฉพาะ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นต้องหยุดตั้งแต่ก้าวแรกที่เราคิดจะเดินไป ใช่หรือไม่ (ใช่ความคิดเป็นสิ่งสำคัญ  บางคนคิดดี บางคนคิดชั่ว  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องดูว่าความคิดของเราส่วนใหญ่นั้นเป็นอย่างไร  อย่าใช้ความคิดที่ไม่ดี  การคิดเป็นสิ่งที่ดี สามารถคิดได้  คนที่ไม่รู้จักคิดก็จะพาตนไปตกอับ  แต่ว่าอย่าเฝ้าคิดจนทำให้เป็นความคิดที่ไม่ดีเรื่อยไป  ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อคิดไม่ดีแล้วจะทำดีได้ไหม (ไม่ได้มันขัดกันใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นต้องคิดดีและทำดีใช่หรือไม่  ถึงจะเป็นการคุ้มค่า  ไม่เช่นนั้นแทนที่สถานธรรมจะเหมือนสวรรค์บนดิน คาราโอเกะเหมือนนรกบนดิน  แทนที่จะมาสถานธรรม ก็กลับไปนรก แล้วจะดีตรงไหน  อยากเป็นพุทธะ แต่ไปคาราโอเกะ  ยังมีอีกมากมายที่เป็นสถานที่ทำนองนี้ ต้องรู้ดีกว่าอาจารย์อยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่ดิสโก้เธค
อาบอบนวด ใช่หรือไม่ (ใช่โดยเฉพาะที่ๆมนุษย์เขาเรียกว่าโสเภณีชอบอยู่
ใครชอบไปเที่ยวที่แบบนี้ วันหน้าก็ต้องไปเป็นโสเภณีให้คนอื่นเขามาย่ำยี  นี่คือกงกรรมกงเกวียน เราชอบไปสถานที่แบบนี้ อีกหน่อยเราก็ต้องเกิดเป็นโสเภณีให้คนมาหาเราก่อนถึงจะหมดกรรมได้ อาจารย์ไม่ได้พูดเล่น เราตบเขาหนึ่งเขาตบเราหนึ่งที เพราะฉะนั้นเราทำอะไรไปก็ต้องได้แบบนั้น  ชาตินี้ทำไม่ได้เพราะเราไม่ใช่ผู้หญิง ชาติหน้าก็ได้ สมัยนี้คนเกิดมาก็มีการคุมว่าให้ลูกเกิดมาเป็นหญิงหรือชาย ใช่หรือไม่ (ใช่ในที่สุดแล้วผู้ชายสมัยนี้ก็ชอบเรื่องพวกนี้ด้วย แล้ว
ผู้ชายก็อยู่กับผู้ชาย เพราะว่านี่คือกงกรรมกงเกวียน เหตุปัจจัยที่ต้องเกิดมาเป็นผู้ชาย แต่เหตุปัจจัยในชาติก่อนที่เรานั้นเคยทำสิ่งไม่ดีเหล่านี้ไว้ ในที่สุดแล้วเป็นผู้ชายก็ไม่พ้นกฎแห่งกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์คนใดเคยไป ให้สำนึกและเลิก ต้องสำนึกจริงๆ เพราะว่าในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์มีร่างกายเป็นมนุษย์ สิ่งใดก็ทำได้ จะไปฟ้ามุดดินก็ทำได้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ จะแก้กรรมร้ายให้เป็นดีก็ทำได้ แต่ต้องมีความตั้งใจจริง สำนึกจริงจึงทำได้ ใครมีความตั้งใจนิดหน่อยก็แก้นิดหน่อย งูหนึ่งตัวยาวไหม (ยาวตัดหางงูหน่อย แล้วงูตายไหม (ไม่ตายงูตัวนี้ก็คืองูในใจของเรา เป็นอสรพิษร้ายในใจของเรา เราดึงหางงูนิดหนึ่ง ไม่รู้จักจับหัวมัน มันก็แว้งเข้ามาฉก
"ได้มีศิษย์ไม่เคยเสียใจ ศิษย์อย่าท้อไป  บุกฝ่าผองภัย" ความผิดและความถูกไม่ใช่เรื่องธรรมดา (มีนักเรียนในชั้นเรียนถามพระอาจารย์ว่า มาประชุมธรรม 3 วัน แต่ต้องหยุดเรียนมา ทำให้ไปเรียนไม่ทัน ถามว่าอกุศลกรรมนั้นจะตกอยู่ที่ใครแน่นอนอกุศลกรรมที่เราเห็นตกอยู่ที่เราอย่างเดียว ก็คือเรานั้นอาจจะสอบไม่ผ่าน นี่เป็นอกุศลกรรมหรือเปล่า อกุศลกรรมชนิดนี้ตกที่เรา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ผิดและถูก มนุษย์นั้นชอบยึดในคำว่าผิดและถูก ทุกเรื่องก็ตัดสินใจได้หมดว่านี่ผิดนี่ถูก ไม่ว่าเรื่องใดก็ตัดสินใจได้หมด ต้องมีผิดและถูก ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้ไม่ผิดและไม่ถูก เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีผิดและไม่มีถูก แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าเรื่องมีหนักมีเบา ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องเบาของผู้อื่น เป็นเรื่องหนักของเจ้าตัว ต้องดูว่าถ้าเรานั้นสามารถที่จะทำสองอย่างพร้อมกันได้ในคราวเดียวกัน ต้องทำอย่างไร กลับไปต้องขยัน ไม่มีคำว่า "ทำไม่ได้ไม่มีคำว่า "ตามไม่ทันคำว่า "วิชาความรู้ในโลกทุกคนศึกษาได้ ทุกคนเรียนได้  ไม่มีคำว่า
"เรียนไม่ได้ไม่มีคำว่า "ไม่รู้ไม่มีสาขาไหนในโลกนี้ที่ไม่รู้ แม้คนโง่ก็สอบผ่านได้ เพียงมีคำเดียวคือ"พยายามถ้าเขาให้เราอ่านหนังสือเยอะๆ เราก็อ่านเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้เราเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ไม่ใช่วิชานี้ผ่านก็พอแล้ว แต่ต้องผ่านทุกๆ วิชา ศิษย์ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ในเมื่อเราเจียดเวลาให้อย่างนี้ ก็ต้องกลับไปขยันขันแข็งให้มาก ดีไหม (ดี
คนที่อายุมากที่เรียกว่า "คนแก่พออายุไปถึงวัยนั้นก็จะเกิดความคิดโน่นคิดนี่โดยอัตโนมัติ เรียกว่าความทรงจำนั้นกลับคืนขึ้นมา จะฟุ้งซ่าน จะคิดไปอยู่เรื่อย เป็นไปตามวัย แต่มีคนแก่อีกประเภทหนึ่งที่ได้ศึกษาธรรมะ รู้จักปลงตั้งแต่สมัยที่ความคิดนั้นยังไม่เลอะเทอะ ก็จะเกิดการปลงได้ จิตใจก็จะตรงขึ้น ฉะนั้นตอนนี้คนที่ยังไม่เข้าสู่วัยชรา ถือว่ายังมีโอกาสที่จะฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่มีจิตใจที่นิ่ง พอถึงเวลาเราอายุมาก ก็จะไม่พูดมาก ขี้บ่น หัวสมองเลอะเทอะแล้วชอบคิดโน่นคิดนี่ฟุ้งซ่าน ดีหรือไม่ (ดีต้องรู้จักที่จะปลง ศิษย์รู้จักคำว่า
"ปลง" ไหม  มีสัตว์อยู่สามตัวในคำนี้ มีปลา มีลิง มีงู ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันนี้พอเห็นปลาทันทีก็ปลง เห็นลิงทันทีก็ปลง เห็นงูทันทีก็ปลง ไม่ว่าเราจะเห็นอะไรผ่านมา ถ้าเรามีโอกาสเห็นสามอย่างนี้ทันทีก็ให้คิดถึงคำนี้ดีไหม (ดี) ต้องตักเตือน
ตัวเอง
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทครอบ)
ไม่ ไม่ใช่วันๆ คิดถึงแต่เรื่องแค่ว่าเราทำความดีก็พอ  พุทธะต้องทำอย่างอื่นที่นอกเหนือจากทำความดีอีก ได้แก่ คุณธรรมต่างๆ หน้าที่ต่างๆ  การเป็นพุทธะจะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย  ตอนนี้ต้องมีเวลาก่อน อย่าบอกว่าไม่มีเวลามาศึกษา ศิษย์ต้องมีเวลามาศึกษาให้มากๆ ศึกษาให้เข้าใจ
ต้องคำนี้คือ ต้องบำเพ็ญแล้ว เมื่อก่อนนี้เราก็เป็นคนทำดีคิดดีมาตลอดชีวิต  ตอนนี้รากฐานเราปูไว้แน่น ต้องก้าวต่อไปแล้ว ศาสนาเป็นสิ่งล้ำค่ามาปูพื้นให้ทุกคนเป็นคนดี ตอนนี้ถ้าศิษย์มิใช่คนดี อาจารย์ก็ไม่สามารถให้ศิษย์รับธรรมะได้ ตอนนี้รับแล้วก็ต้องบำเพ็ญแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องคำนี้ก็คือ ต้องบำเพ็ญ”  ตลอดมาเป็นคนดี ตอนนี้ก็ไม่ทอดทิ้ง จากพื้นฐานที่ปูแน่นแล้วศิษย์ต้องก้าวขึ้นต่อไป ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์ก็เหมือนคนทั่วๆ ไปที่ทำดีคิดดีอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ก้าวให้สูงขึ้นมาสำหรับการบำเพ็ญตัวเราเอง เราบำเพ็ญตัวเราเอง ไม่ใช่การทำบุญเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้คือทำกุศล จิตใจต้องสะอาด ถึงจะเป็นพื้นฐานอันดีสำหรับการบำเพ็ญได้เข้าใจไหม
สุขความสุขอันนี้เราควรมอบให้กับคนทุกคนดีไหม นี่เป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนนั้นหวังความสุขให้คนทั่วๆ ไปได้ก็เป็นพุทธะได้เหมือนกัน
ท้อตอนนี้ศึกษาธรรมะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่เราไม่มีความท้อ อย่าไปท้อ  บำเพ็ญธรรมต้องเอาจริงเอาจัง บำเพ็ญแล้วต้องบำเพ็ญทุกวัน  วันไหนมาสถานธรรมก็ไหว้พระ หัดฝึกนั่นฝึกนี่  วันไหนอยู่บ้านก็ฝึกจิตใจ พาลูกพาหลาน พาทุกคนให้ดีมีสุขดีไหม
การบำเพ็ญอย่าทำใจแคบ ต้องทำใจให้กว้างๆ เขาจะมายืมเราเป็นสะพานบ้างก็ปล่อยไป  เพราะว่าการเป็นสะพานให้ผู้อื่นนั้นเป็นกุศลอย่างมาก
เมื่อวานนี้ท่านหลันต้าเซียนฝากว่า คิดแล้วทำใช่หรือไม่ (ใช่อย่าได้ลืม คำว่าคิดแล้วทำมีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งว่า ต้องเป็นความคิดที่ดี ไม่ไช่คิดร้าย ถ้าคิดร้ายแล้วทำจะต้องได้รับผลกรรม  แต่เราคิดแล้วทำต้องคิดในสิ่งที่ดี แล้วจึงทำในสิ่งที่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ต้องขอบคุณท่านหลันต้าเซียนที่ได้ให้คำนี้ไว้ เพราะหลายคนคิดแล้วไม่ทำ   คิดไว้เป็นอย่างดีวางแผนอย่างรอบคอบเบ็ดเสร็จเหมือนกับได้คำนวณไว้เสร็จสรรพแล้ว แต่ว่าคิดแล้วยังไม่ทำ ในที่สุดแล้วก็ไม่เกิดผลอะไร แต่มีคนอีกประเภทหนึ่ง คนที่คิดแล้วทำ แต่หวังว่าสิ่งที่ทำนั้นต้องสำเร็จแน่นอน ถามว่าเป็นอย่างนั้นไหม ไม่จำเป็นว่าสิ่งที่ศิษย์คิดนั้นจะต้องสำเร็จทุกเรื่อง ไม่ได้ทำแล้วหวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์ หวังว่าต้องสำเร็จแน่นอน ไม่ใช่อย่างนั้นทุกเรื่อง  ไม่เช่นนั้นในโลกนี้จะมีคำว่าไม่สมหวังหรือ   เพราะฉะนั้นขอให้คิดแล้วได้ทำ แต่ไม่ใช่บอกว่าทำแล้วต้องสำเร็จ เข้าใจหรือเปล่า อาจารย์มักจะบอกศิษย์เสมอถึงวิธีการที่ทำให้ตนนั้นไปสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าเกิดคิดแล้วไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่มีเงื่อนไขที่ว่าเมื่อเราทำแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องสำเร็จ ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็จะต้องเจอความเสียใจ เพียงแต่สิ่งที่ทำแล้วต้องทำให้เต็มที่   หลายคนคิดแล้วทำ แต่ก็ยังทำไม่เต็มที่ ในที่สุดแล้วที่บอกว่าจะสำเร็จก็ไม่สำเร็จ ความดีก็ไม่หลงเหลือ เพราะว่าขาดไปนิดหนึ่ง 
มัวคิดไม่ทำจำช้า ถ้าหากว่าเราคิดแล้วไม่ทำก็ช้าลง อาจจะช้าจนหมดโอกาสเลยก็ได้
ต้องขวาไปซ้ายไม่ถึง บอกให้ศิษย์ไปทางซ้าย แต่ศิษย์กลับเดินไปทางขวาจะถึงไหม (ไม่ถึงแต่ถ้าให้เดินไปตลอดเลย แม้จะตายก็ไม่กลัว ถึงไหม (ไม่ถึงคนประเภทไหนที่เป็นคนที่ต้องไปขวาแต่กลับไปซ้าย ประเภทที่ศึกษาธรรมะ แต่ยังไม่เข้าใจ เขาบอกว่าทำ เขาบอกว่าบำเพ็ญ ก็บำเพ็ญตามเขา แต่ในที่สุดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาบำเพ็ญอะไรกัน แล้วก็มาใส่เสื้อขาวกระโปรงน้ำเงิน กางเกงน้ำเงินเหมือนกัน  แต่จิตใจของเรานั้นไม่ได้บำเพ็ญ แม้จะใส่เสื้อเหมือนกัน ภายนอกเหมือนกัน เขาใส่แว่นตา เราก็ใส่แว่นตา เขาใส่เสื้อขาว เราก็ขาวบ้าง เขาตัดผมทรงนี้ เราก็ตัด แต่ถามว่าศิษย์นั้นถึงหรือไม่ (ไม่ถึงเพราะที่ต่างกันนั้นคือว่าเราไม่รู้ เรามีอวิชชา  ก่อนทำให้คิดทีหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องคิด  ถ้าเราไม่คิดแล้วจะทำได้ไหม (ไม่ได้เขาบอกให้เราไปหั่นผัก เราก็ไปยืนอยู่หน้าเขียง มีดไม่ได้เอามา  จะหั่นได้ไหม พอเราเดินไปหามีดก็มีคนมาหั่นแทนแล้ว   งานนี้ก็กลายเป็นว่าเราเสียโอกาสใช่หรือไม่ (ใช่ก่อนทำอะไรจึงต้องคิด ทำ
ทุกอย่างเหมือนการหั่นผักหมด ต้องคิดให้รอบคอบ แล้วจึงไม่ต้องเสียใจ  ถ้าหากว่าเราทำสิ่งใดก็ให้คิด ไม่ต้องเสียใจแน่นอน 
คิดดีทำดีมีสุข คิดไม่ใช่ให้คิดร้าย ให้คิดดี คิดดีทำดี ถ้าคิดร้ายต้องทำไหม (ไม่และจะต้องเลิกคิดด้วย แม้ทุกข์มาบั่นศิษย์ท้อหรือไม่ แม้มีความทุกข์มากมายเราก็จะไม่ท้อ คนพ่ายทำไปคิดไป ความสำเร็จไม่ต้องพูดถึง มาพูดถึงความพ่ายแพ้ คนที่แพ้เป็นประเภททำไปแล้วถึงค่อยคิด  ถ้าศิษย์ทำแล้วคิดก็จะกลายเป็นคนที่แพ้อยู่วันยังค่ำ
เตือนไว้คิดทำตามลำดับ ต้องคิดก่อนแล้วค่อยทำ ไม่ใช่กลับ
ตาลปัตรทำแล้วค่อยคิดใช่หรือไม่ (ใช่ทีนี้อาจารย์จะเพิ่มเติมคำว่า คิดก่อนพูด ด้วย คิดก่อนพูดว่าเราจะพูดสิ่งใด ในความคิดของเรานี้ เราต้องดูว่าเรากำลังคิดสิ่งใด ไม่ใช่ว่าเราก็มีความคิดเหมือนกัน แต่เราคิดเรื่องอะไร เรายังไม่แน่ใจเลย ในที่สุดแล้ว เอามารวมๆ เละๆ ก็เป็นจับฉ่าย จะหาผักสักต้นหนึ่งในนี้ก็มีไม่เยอะ จะหาเต้าหู้สักหลายๆ ชิ้นในนี้ก็มีไม่มากพอ สุดท้ายผักจานนี้ก็เป็นจานที่ไม่พร้อม เป็นผักของความไม่พร้อม ใช่หรือไม่ (ใช่
หญ้าได้ฝนไม่พ้นงอกขึ้นมาใหม่ถ้าเราตัดหญ้าแล้วรากไม่ขึ้นมาด้วย เวลาได้ฝนหญ้าจะงอกขึ้นมาใหม่ แล้วหญ้าก็เป็นวัชพืชของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกับหญ้าที่อยู่ในใจเรา สิ่งนี้เรียกว่ากิเลส เวลาเราจะดึงกิเลสออกจากใจเรา บางคนเสียดายดึงนิดหนึ่ง หรือไม่ก็เอากรรไกรมาตัดให้มันเกรียน ให้มันราบไป เสร็จแล้วพอฝนตกลงมาใหม่ก็เป็นอย่างไร สมมติว่าเรามีกิเลสที่หนักมากเกี่ยวกับเรื่องของการมอง ชอบมองสิ่งสวยงาม แล้วไม่รู้ว่าสิ่งสวยงามนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม สมมติว่ามีกิเลสตัวนี้ศิษย์ก็ฟังธรรมะกลับไปปฏิบัติ ตัดกิเลสของการมองนี้ อายตนะที่ตานี้พยายามจะตัด แต่ความที่เรานั้นตัดเพียงผิวเผิน ใช้กรรไกรก็คือปัญญานั้นไปตัดแค่เพียงผิวเผิน ถึงเวลาแล้วพอเราออกไปเจอของสวยงามก็เหมือนกับฝนที่พรำลงมา ในที่สุดแล้ว กิเลสงอกอีกไหม (งอกเพราะฉะนั้นจะตัดสิ่งใดก็ตัดให้เด็ดขาด  จะมาตัดครึ่งๆ กลางๆ ตัดแบบเสียดายได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการดึงกิเลสขึ้น จะต้องดึงอย่างสะอาดหมดจด
 “อย่าลุ่มหลงในโลกีย์มากสีสัน          ทางฟ้านั้นมีหนึ่งเดียวอย่าเผลอไผล
อันว่าฟ้ามีทางเดียว ไม่มีสอง ไม่มีสาม ตลอดเส้นทางนี้ก็เรียบๆ ง่ายๆ ไม่มีสีสัน ไม่เหมือนในโลกีย์นี้ที่มีอยู่หลายสีสัน ทุกเฉดสีมีพร้อม แต่ทางในการบำเพ็ญธรรมนั้นเรียบๆ ง่ายๆ  ศิษย์ต้องรู้ว่าความหลากหลายนั้นอาจจะทำให้มึนงงได้ แต่ความเรียบง่ายอันนี้อย่าให้เกิดความเบื่อหน่าย ธรรมะก็ไม่มีอะไรมาก ให้บำเพ็ญใจตัวเอง แต่ตอนที่เราเบื่อนั้นเราเคยคิดไหมว่า คำว่า ขัดเกลาหรือ บำเพ็ญตัวเองเราทำได้หรือยัง เพราะฉะนั้นต้องย้อนคิดกลับมาดูว่า ที่เราเบื่อที่เรารู้สึกว่ามันน้อยไม่มีอะไรเราทำได้ทุกข้อหรือยัง ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ทุกข้อแล้ว อยากจะมีสีสันหน่อยก็ให้ออกไปช่วยคนอื่น จะได้รู้ว่าความทุกข์นั้นยังมีอยู่มากมายในโลก เราปลงได้ไม่ใช่ผู้อื่นปลงได้ ถ้าเราทำให้ผู้อื่นปลงได้ ทำให้
ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ เราจึงเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ  หากว่าทำไม่ได้ ไม่เป็นไรค่อยๆ ทำดีไหม แต่ว่าทางในโลกีย์เปรียบเหมือนไม้ เวลายอดแตกออกไปก็แตกออกไปอีก ถ้าหากว่าศิษย์ควานหาสิ่งที่มีสีสันอย่างนี้  ศิษย์นั้นก็จะเจอปลายสุดที่โอนเอนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนเด็กๆ เรารู้สึกว่ามีเงินทองดี ศิษย์ก็แตกออกไปทางหนึ่ง เงินทองดี ทีนี้ลาภยศดีก็แตกออกไปอีกทางหนึ่ง
ที่แตกออกไปก็ยังแตกต่อไปได้ ศิษย์แตกออกไปอีกไกลกว่าเดิมไหม เริ่มจะลดเลี้ยวเคี้ยวคด ทีนี้พอมีลาภยศแล้วก็ชอบคำสรรเสริญชอบฟังคำหวานแตกออกไปอีก ศิษย์ก็แตกไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่นึกออกไหม ทีนี้พอเราแตกไปทางนี้เราก็ยังรู้สึกว่านี่คือเงินทองอันเป็นตัวนำให้รู้สึกว่าอยากได้ มีความรู้สึกว่าอยากได้เงินทอง แตกออกไปอีก ทางนี้ก็ยังไปเรื่อยๆ พอทางนี้เสร็จสิ่งที่ตามมาต่อไป สมมติว่าเป็นความโลภก็ต่อไปเรื่อยๆ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ก็แตกออกไปอีก ในที่สุดแล้วแตกออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายศิษย์อยู่ตรงไหน (ไม่รู้เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นมีกิเลสมากเกินไป มีความอยากได้มากเกินไป สุดท้ายแล้วจะพาศิษย์ไป
ที่ใดไม่รู้
(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปทางไปนิพพาน เริ่มต้นทางกว้างไปทางแคบลง                  )
อาจารย์พูดอย่างนี้ก็อยากให้ศิษย์รู้ว่าทางที่ไปฟ้ามีแค่นี้ ตรงนี้คือทางเริ่มต้น ตอนแรกๆ เป็นทางกว้างๆ แต่ยิ่งไปยิ่งแคบ แคบเพื่อให้เรานั้นเดินง่ายขึ้น อันหมายถึงจิตใจที่บำเพ็ญแล้ว ดีแล้ว  เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่เป็นสีสัน มีแค่ข้างซ้ายกับข้างขวา มีคนที่เดินกับเราเท่านั้น จะเบื่อเขาได้ไหม (ไม่ได้จะเห็นว่าเขานั้นศึกษาธรรมะมามากแล้ว เราก็ทำร้ายจิตใจกันได้ไหม (ไม่ได้ในแดนโลกนี้ก็มีสวรรค์ อันได้แก่สถานธรรม อยู่ที่ว่าศิษย์นั้นจะทำให้สถานธรรมของศิษย์นั้นเป็นสวรรค์ชั้น ๑, ชั้น ๒ หรือชั้น ๓  เป็นสวรรค์ที่สามัคคี เป็นสวรรค์ที่มีความสุขมากเท่าไร อยู่ที่ศิษย์จะแต่งปั้น จะทำให้เป็นสถานธรรมร้างก็ทำได้
ก็อยู่ที่ศิษย์ ทางเดินสวรรค์อยู่ที่นี่ น้ำอมฤตน้ำทิพย์ในโลกนี้ก็มี ชื่นใจยิ่งกว่าน้ำอมฤตบนสวรรค์อีก ก็คือน้ำใจ ความมีน้ำใจไมตรีนั้นเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ เราจะเอาน้ำใจเราไปประพรมใครบ้าง หรือว่าจะเก็บน้ำอมฤตของเราไว้ในแจกัน จะเก็บไว้ในน้ำเต้า เราจะไม่แจกจ่ายใครเลย น้ำอมฤตน้ำใจที่อยู่ข้างในวางไว้นานๆ ก็เสียใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ศิษย์นะ จะขึ้นสวรรค์จะลงนรก อาจารย์นั้นจูงมือให้มาทางนี้ แต่หากว่าไม่สนใจอาจารย์ เดินห่างอาจารย์ไป อาจารย์ก็จะกวักมือเรียก ถ้ายังไม่มาอีกก็วันหน้าชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่อีก แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า คนไม่ใช่
สิ่งของตั้งไว้ก็มีฝุ่นขึ้น เกิดเป็นคนนั้นก็ต้องกระฉับกระเฉง ต้องคล่องแคล่ว ต้องทำงาน เพราะว่าคนนั้นไม่ใช่สิ่งของ ต้องรู้จักที่จะประมาณตนมองดูตนเอง อย่าเที่ยวมองดูคนอื่น เรามาสถานธรรมแล้วมีสิ่งใดขัดใจขัดหูขัดตา ขอให้เรานั้นล้างใจ ล้างหู ล้างตาของเรา  ไม่ใช่ไปว่าคนอื่นเขา เพราะว่าคนอื่นเขามองเรา เขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่เราไม่รู้ เพราะมนุษย์นั้นไม่ค่อยชอบพูดต่อหน้า ชอบพูดลับหลังเท่านั้น แก้ไขตนเองเสียใหม่นะ มองดูตนเองเสียใหม่ อยากจะเป็นพุทธะจริงๆ ก็อยู่ที่เรา ตั้งใจให้ดีๆ ศึกษาธรรมะให้ดีๆ อย่าให้เกิดความเบื่อหน่าย  มั่นคงให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาสอนให้ร้องเพลง สักวันศิษย์คงหวนมา”)
สิ่งที่อาจารย์พูดถึงในเพลง มันก็จะกลายเป็นความจริง อีกสักครู่จะต้องห่างกัน ไม่ใช่ห่างกันธรรมดา  แต่เป็นห่างที่อาจารย์ไม่แน่ใจว่าศิษย์ของอาจารย์คนไหนจะสามารถบำเพ็ญจนเป็นพุทธะ จะสามารถกลับมาเจอหน้ากันได้อีก  เพราะฉะนั้นวันนี้เรายืนอยู่ เราก็ทำดวงใจของเราให้เป็นดวงเดียวกัน
ให้สัมพันธ์กันให้ได้ รับอาจารย์เข้าไปอยู่ในใจของศิษย์
กินเจ อย่าเบียดเบียนคนอื่น ไม่เช่นนั้นอาจารย์จะเอาอะไรไปอ้างกับวิญญาณต่างๆ ให้เขาอภัยให้  ตอนนี้สบายแต่วันหน้าไม่รู้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นและผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกคนจับมือกันไว้)
ศิษย์ทุกคนเอามือจับกัน เราจะได้โยงใยดวงใจเป็นสายเดียว  คนข้างๆ ที่เราไม่เคยชอบเราก็ต้องชอบเขา  ศิษย์มีค่ากับอาจารย์ที่สุด เมื่อดวงใจ
ที่โยงใยร้อยสัมพันธ์  ไม่ว่าจะห่างกันเท่าไหร่ ถ้าจะร้องไห้ เราต้องร้องไห้ไม่ใช่เราทุกข์จนร้อง แต่เราร้องไห้เพราะว่าเราทุกข์แทนผู้อื่น  จากกันวันนี้ หวังว่าวันหน้าคงได้เจอกันอีก ศิษย์ของอาจารย์ที่อายุยังน้อยที่นี่มีมาก ดั่งที่อาจารย์พูดไว้แล้วตั้งแต่มา จงเป็นเด็กดี จงทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ อย่าได้เกเร เด็กๆ นั้นก็เหมือนกับเซียนน้อยๆ ที่อยู่บนแดนนิพพาน ขอให้ศิษย์จงเป็นเด็กดี  แม้ว่าพวกเซียนน้อยๆ จะซุกซน แต่พวกเขาซุกซนด้วยปัญญา ทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ไม่เคยทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนกลุ้มใจ  ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน เทพบนฟ้าองค์นั้นก็คือ พ่อแม่เรา เราอย่าทำให้ท่านกลุ้มใจ


พระอาจารย์เมตตาประทาน  พระโอวาทซ้อนพระโอวาท    คิด แล้ว ทำ

                มัวคิดไม่ทำจำช้า          ต้องขวาไปซ้ายไม่ถึง
ก่อนทำให้คิดที่หนึ่ง      แล้วจึงไม่ต้องเสียใจ
คิดดีทำดีมีสุข   แม้ทุกข์มาบั่นท้อไม่
คนพ่ายทำไปคิดไป       เตือนไว้คิดทำตามลำดับ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา